The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานเล่มที่ 1 สรุปสำหรับผู้บริหารป่าพรุและวิถีคนพรุควนเคร็ง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Forestry Research Center, 2021-11-14 21:02:56

รายงานเล่มที่ 1 สรุปสำหรับผู้บริหารป่าพรุและวิถีคนพรุควนเคร็ง

รายงานเล่มที่ 1 สรุปสำหรับผู้บริหารป่าพรุและวิถีคนพรุควนเคร็ง

รายงานสรปุ สาหรบั ผบู้ รหิ าร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเคร็ง วถิ ีคนและป่า | 151

การลามประมาณ 12.5 เมตรต่อนาที ซ่ึงสูงมากเม่ือเปรยี บเทียบกับไฟไหม้ป่าประเภทอ่ืน ๆ ของประเทศ
ไทย

ปัจจยั ท่ีเปน็ ตวั กาหนดการเกิดไฟปา่ ในพ้ืนที่ป่าพรุควนเครง็ ซ่ึงในอนาคตผู้ท่ีมีความสนใจสามารถ
นา ปัจจัยเหล่านี้มาใชใ้ นการสร้างโมเดลหรือแบบจาลองทางคณิตศาสตร์สาหรับกาหนดระดับความเสย่ี ง
ในการเกิดไฟป่าได้ต่อไปโดยปัจจัยสาคัญที่จะส่งเสริมเกิดไฟไหม้ป่าพรุควนเคร็งสามารถจาแนกได้เป็น 2
กลุ่มหลัก ไดแ้ ก่ ปจั จัยทางดา้ นส่ิงแวดล้อม และปจั จัยทางด้านเศรษฐกิจและสงั คม ปจั จัยด้านสิง่ แวดล้อม
สาคัญที่พบทั้งจากการสารวจ สังเกต ผลการวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลท่ีปรากฏอยู่ ได้แก่ ปัจจัยทางด้าน
อากาศ อณุ หภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ และการปรากฏของฝนเปน็ ปจั จัยสาคัญอย่างยิ่งต่อโอกาสการเกิดไฟ
ไหม้ ดังเห็นได้จากบทวิเคราะห์ไฟป่าปี 2555 การติดตั้งเคร่ืองมือตรวจวัดอากาศในพื้นท่ีและเฝ้าติดตาม
ตรวจสอบอย่างใกล้ชิด จะช่วยให้สามารถคาดการณ์โอกาสเกิดไฟป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพมา กข้ึนซึ่ง
ปัจจุบันเคร่ืองมือตรวจวัดอากาศมีประสิทธิภาพสูงและมีราคาถูก อีกท้ังสามารถบันทึกข้อมูลได้อย่าง
ต่อเน่ือง หรือแม้แต่สามารถส่งข้อมูลเข้ามายังคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือได้โดยตรง ปัจจัยในพื้นที่
สังคมไม้พ้ืนล่าง (เชื้อเพลิง) ที่ปรากฏ ซึ่งหากเป็นพรรณไม้ในกลุ่ม กระจูด กระจูดหนู และมีความ
ต่อเนื่องท่ัวพ้ืนที่ ซ่ึงมีความสัมพันธ์กับความทึบ โปร่ง ของพ้ืนท่ี กล่าวคือหากพื้นที่มีต้นไม้หนาแน่นมาก
เรือนยอดค่อนข้างแน่นทึบ กลุ่มไม้พ้ืนล่างจะมีน้อย นอกจากนี้ความต่อเนื่องของเชื้อเพลิง (fuel
continuity) ในพ้ืนที่มีความสาคัญต่อการลุกลามของไฟและการเผาไหม้ การปลดปล่อยก๊าซต่างๆ ซึ่งใน
บางพน้ื ทีท่ ี่ศึกษาพบว่าหากเช้ือเพลิงไม่มีความต่อเน่ือง การลุกลามของไฟจะไม่รวดเรว็ และสามารถดับลง
เองได้ในบางจุดระหว่างการเผา อีกท้ังหากพื้นท่ีมีความเช่ือมต่อกับทุ่งโล่งซ่ึงมักจะมีไม้พื้นล่างดังกล่าวอยู่
เป็นจานวนมากจะย่ิงเป็นการเพิ่มความเส่ียงและเป็นพ้ืนที่ท่ีต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะจะเห็นได้จาก
ผลการวิจัยในคร้ังนี้ว่าบริเวณเหล่านี้มักจะมีพฤติกรรมไฟที่รุนแรง และผลกระทบที่เกิดขึ้นท้ังในแง่การ
สูญเสียคาร์บอนและกา๊ ซต่าง ๆ ท่ีปลดปล่อยออกมามีปริมาณค่อนขา้ งสูง (กอบศักดิ์ วันธงไชย และคณะ,
2558)

พ้ืนท่เี ปราะบางต่อการเกิดไฟไหม้บรเิ วณพรุควนเครง็ ในชว่ งแลง้
ผลการวิเคราะห์พื้นท่ีแห้งแล้งบริเวณพรุควนเคร็งสาหรับการจัดการไฟไหมพรุโดยใช้เทคโนโลยี
ภมู ิสารสนเทศของ อานันท์ คมั ภรี ร์ ะ (2560, 260-264) (ภาพที่ 1.21) ชใี้ หเ้ หน็ ว่า เขตพืน้ ท่ีเปราะบางต่อ
การเกิดไฟไหม้บริเวณพรุควนเคร็งในช่วงแล้งอยู่ในระดับเปราะบางสูงเป็นส่วนใหญ่ มีพ้ืนท่ี 367.81
ตารางกิโลเมตร (229,882.87 ไร่) หรือ 52.12 % โดยมีการกระจายอยู่ทั่วไปบริเวณรอบ ๆ ขอบป่าพรุ
ควนเคร็งท้ังด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และพื้นท่ีเหล่านี้มักเป็นพื้นที่ท่ีมีการใช้ประโยช์ทางด้าน
เกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างย่ิงการทาสวนปาล์มน้ามันท่ีอยู่ในบริเวณรอบขอบป่าพรุ ทุ่งหญ้า และ
บริเวณท่ีดอน ท้ังน้ี พื้นที่เปราะบางต่อการเกิดไฟไหม้พรุควนเคร็งส่วนใหญ่อยู่ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเล
น้อยตอนบน มีพื้นท่ี 174.03 รองลงมาคือพื้นท่ีในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าล่อล้อตอนบน มีพ้ืนท่ี 93.28 ตาราง
กิโลเมตร โดยพิจารณาตามอาเภอและตาบลจะพบว่า เขตพื้นท่ีเปราะบางต่อการเกิดไฟไหม้บริวเณพรุ
ควนเครง็ ในชว่ งแล้งทีอ่ ย่ใู นระดับมีความเปราะบางสงู คือ ตาบลเคร็ง อาเภอชะอวด มพี ้นื ท่ี 60.50 ตาราง
กิโลเมตร รองลงมาคอื ตาบลบ้านแหลม อาเภอหัวไทร มีพื้นที่ 57.86 ตารางกิโลเมตร ทัง้ ยังบง่ ช้ถี งึ ให้เห็น
ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขตพ้ืนที่เปราะบางต่อการเกิดไฟไหมบริเวณพรุควนเคร็งกับการเกิดไฟไ หม้

152 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุเพอื่ เพ่มิ ความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน
และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยงั่ ยืน

บรเิ วณพรุในอดีตท่ีเป็นไปในลักษณะมีความสัมพันธ์ทางตรง กลา่ วคือ การเกิดไฟไหม้ป่าพรใุ นชว่ งปี พ.ศ.
2549-2557 มักเกิดข้ึนในเขตพื้นที่เปราะบางต่อการเกิดไฟไหม้บริเวณพรุควนเคร็ง คิดเป็นร้อยละ 90
โดยมีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นท่ีเกิดไฟไหม้นอกเขตพ้ืนท่ีเปราะบางหรือพ้ืนที่ไม่เปราะบางต่อการเกิดไฟ
ไหม้ในบริเวณพ้ืนที่พรุควนเคร็ง นอกจากน้ีพื้นท่ีเปราะบางต่อการเกิดไฟไหม้สูงส่วนใหญ่อยู่ในเขตการใช้
ท่ีดินประเภทป่าพรุและพื้นท่ีลุ่ม ซ่ึงมักมีสภาพเป็นป่าพรุ ป่าพรุเสื่อมโทรม พื้นท่ีลุ่ม ทุ่งหญ้า และจูด
รองลงมาก็เป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทเขตเกษตรกรรม ซ่ึงมักมีการปลูกปาล์มน้ามัน ยางพารา นา
ข้าว ไม้ผลและไม้ยืนต้น พืชสวน และพื้นที่เตรียมการเกษตร คิดเป็นพื้นที่ราวร้อยละ 33.59 ของพ้ืนที่
ทงั้ หมด (ภาพท่ี 1.22)

ภาพท่ี 1.21-1.22 เขตพนื้ ทเ่ี ปราะบางต่อการเกิดไฟไหม้บริเวณพรุควนเคร็งในช่วงแล้งระหว่างปี พ.ศ. 2549-2557 และ
การใช้ประโยชน์ทด่ี ินในเขตพื้นทเ่ี ปราะบางต่อการเกดิ ไฟไหมบ้ รเิ วณพรุควนเครง็ ในช่วงแลง้
ท่มี า: อานนั ท์ คาภรี ะ (2560)

ข้อมูลสถิติการเกิดไฟไหม้ในพ้ืนท่ีพรุควนเคร็งตั้งแต่ พ.ศ. 2505-2562 (ตารางท่ี 1.3) โดยการ
เกิดไฟไหม้ในพ้ืนท่ีป่าพรุควนเคร็งใน พ.ศ. 2505 นับเป็นปีที่มีการเกิดไฟไหม้ป่าพรุที่รุนแรงและพื้นที่ป่า
เสยี หายเป็นจานวนมหาศาล โดยในฐานขอ้ มูลไม่สามารถระบขุ ้อมลู เน้อื ท่ปี ่าที่ได้รบั ความเสยี หายได้

รายงานสรุปสาหรบั ผู้บรหิ าร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเครง็ วิถีคนและปา่ | 153

ตารางที่ 1.3 สถิตกิ ารเกิดไฟไหม้บรเิ วณป่าพรุควนเคร็ง พ.ศ. 2505-2562

ปงี บประมาณ เดอื นทีเ่ กิดไฟไหม้ปา่ จานวนครัง้ พื้นทป่ี ่าพรุทเี่ สียหาย

ที่เกิดไฟไหม้ปา่ (ไร่)

2505 - - (ไม่สามารถระบุได้)

2541 - - 16,000

2548 - - 4,084

2549 สงิ หาคม-กนั ยายน 15 287

2550 มนี าคม เมษายน กรกฎาคม 45 471

สิงหาคม และกันยายน

2551 กมุ ภาพนั ธ์-ตลุ าคม 28 386

2552 มกราคม-มนี าคม และ 115 2,407

พฤษภาคม-ตุลาคม

2553 มกราคม-ตลุ าคม 330 19,095

2554 สงิ หาคม 13

2555 มนี าคม-สงิ หาคม 120 11,875

2556 มิถนุ ายน-ตลุ าคม 17 348

2557 มนี าคม-ตุลาคม 38 1,827

2558 มถิ นุ ายน – กันยายน 16 281

2559 สงิ หาคม 118 10,426

2560 มถิ นุ ายน – กนั ยายน 18 366

2561 ตุลาคม 60 – สิงหาคม 61* 19 785

2562 ตุลาคม 61 – สงิ หาคม 62* 64 13,955

ท่มี า: สงั เคราะห์ข้อมลู จากสานักบริหารพนื้ ท่ีอนุรักษ์ท่ี 5 (2558, อา้ งถงึ ใน อานันท์ คัมภีร์ระ, 2560, 76)

และพไิ ลวรรณ ประพฤติ และคณะ (2563)

จากข้อมูลสถิติการบันทึกการเข้าดับไฟไหม้ในพ้ืนท่ีบริเวณป่าพรุควนเคร็งที่บันทึกโดยศูนย์
ส่งเสริมการควบคุมไฟป่าภาคใต้ (2562) (ตารางที่ 1.4) โดยตัวเลขที่ระบุเป็นพ้ืนท่ีป่าท่ีอยู่ในเขตความ
รับผดิ ชอบของกรมป่าไม้เท่านัน้ จะเหน็ ได้วา่ การเกดิ ไฟไหมป้ ่าพรุควนเครง็ ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2558-
2561 นั้น จานวนคร้ังที่มีการเข้าดับไฟในเขตป่าเกิดขึ้นมากท่ีสุดในปี พ.ศ. 2559 ซ่ึงสอดคล้องกับข้อมูล
จุดเกิดไฟป่าในแผนที่แสดงจดุ เกิดไฟป่าในพ้ืนท่ีโครงการในปี 2559 ที่แสดงจุดเกิดไฟป่ามีความหนาแน่น
กว่าในปี 2558 นอกจากนี้ แผนภาพแสดงจุดเกิดไฟป่าในพื้นที่โครงการในปี 2561 แสดงให้เห็นว่าในปี
ดังกลา่ วเกิดเหตุไฟไหมป้ ่าไม่มกี ารลุกลามท่รี ุนแรงมากนัก (ภาพท่ี 1.23)

154 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจดั การระบบนิเวศป่าพรุเพื่อเพิ่มความสามารถในการกกั เกบ็ คาร์บอน
และอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยงั่ ยนื

ตารางท่ี 1.4 สถิตกิ ารเกิดไฟไหมบ้ รเิ วณปา่ พรคุ วนเครง็ พ.ศ. 2557-2562

ปงี บประมาณ เดอื นท่ีเกดิ ไฟไหมป้ า่ จานวนครั้ง พ้นื ท่ปี า่ พรทุ ีเ่ สียหาย
ทีเ่ กิดไฟไหมป้ ่า (ไร่)
2557 มีนาคม
เมษายน 8 163
พฤษภาคม 11 64
มิถนุ ายน 5 112
กันยายน 2 81
1 165
2558 สิงหาคม
2559 กนั ยายน 29 585
2560 ตุลาคม
2561 กันยายน 1 20
2562 พฤษภาคม 5 1,430

มถิ ุนายน 1 37
กรกฎาคม
สงิ หาคม 3 27-1-93
รวม ปี 2562
รวมท้งั สน้ิ 7 113
ทีม่ า: ศูนย์ส่งเสรมิ การควบคมุ ไฟปา่ ภาคใต้ (2562) 2 10
8 97
1 2,653-1-83

18 2,873-1-83

65 4,972-3-72

รายงานสรปุ สาหรับผบู้ รหิ าร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วถิ คี นและปา่ | 155

ภาพที่ 1.23 แผนทแ่ี สดงจดุ เกดิ ไฟป่าในพนื้ ท่ีโครงการ ปี พ.ศ. 2554-2562
ที่มา: ระบบฐานข้อมูลปาพรคุ วนเครง็ แผนที่เพอ่ื การจัดการทรพั ยากร (2562)

156 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุเพื่อเพม่ิ ความสามารถในการกกั เกบ็ คาร์บอน
และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยงั่ ยืน

จากภาพท่ี 1.23 ซ่ึงเป็นแผนท่ีแสดงจุดเกิดไฟป่าในพื้นท่ีพรุควนเคร็งในขอบเขตพ้ืนท่ีโครงการ
ย้อนหลัง 6 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554-2562 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความรุนแรงของการเกิดไฟป่าใน
พื้นท่ีพรุควนเคร็ง โดยเฉพาะการเกิดไฟป่าในปี พ.ศ. 2555 ที่เกิดไฟไหม้ป่าในระดับที่รุนแรงและ
ครอบคลุมพื้นท่ีเป็นบริเวณกว้าง ทาให้พ้ืนที่ป่าพรุควนเคร็งได้รับความเสียหายเป็นจานวนมาก สาหรับ
การเกิดไฟไหม้ป่าพรุในพ้ืนที่พรุควนเคร็ง ปี พ.ศ. 2562 ไดเ้ กดิ ขน้ึ หลายจุด การแสดงข้อมูลการเกิดไฟป่า
สามารถแสดงผลได้ผ่านระบบดาวเทียมท่ีแสดงภาพได้อย่างชัดเจน ดังภาพที่ ซึ่งแสดงแผนท่ีพ้ืนท่ีป่าพรุ
ควนเคร็ง ตาบลการะเกดิ อาเภอเชียรใหญ่ จงั หวดั นครศรีธรรมราช เขตห้ามลา่ สตั วป์ ่าบ่อล้อ เขตห้ามล่า
สตั ว์ป่าทะเลน้อย (ภาพที่ 1.24-1.27)

ภาพท่ี 1.24 แผนที่แสดงพื้นท่ีท่ีได้รับผลกระทบจากไฟป่าในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบ่อล้อและสวนปาล์ม ในพื้นท่ีตาบล
การะเกด อาเภอเชยี รใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
ทม่ี า: สานกั งานพัฒนาเทคโนโลยอี วกาศและภูมสิ ารสนเทศ (องค์การมหาชน) : GISTDA (2562)

ภาพท่ี 1.25 แผนทแี่ สดงพ้ืนทที่ ีไ่ ดร้ บั ผลกระทบจากไฟป่าในพืน้ ที่ป่าพรคุ วนเคร็งในเขตห้ามล่าสัตวป์ ่าบ่อล้อ
และเขตหา้ มล่าทะเลน้อย
ท่มี า: สานกั งานพฒั นาเทคโนโลยีอวกาศและภูมสิ ารสนเทศ (องคก์ ารมหาชน) : GISTDA (2562)

รายงานสรุปสาหรับผู้บริหาร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเครง็ วิถคี นและปา่ | 157

ภาพที่ 1.26-1.27 แผนทแ่ี สดงพน้ื ทท่ี ่ีได้รบั ผลกระทบจากไฟป่าในเขตหา้ มล่าสตั วป์ ่าบ่อล้อและสวนปาลม์ ในพนื้ ที่
ตาบลการะเกด อาเภอเชยี รใหญ่ จงั หวัดนครศรีธรรมราช
ที่มา: สานกั งานพฒั นาเทคโนโลยีอวกาศและภูมสิ ารสนเทศ (องค์การมหาชน) : GISTDA (2562)

158 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุเพ่อื เพม่ิ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนุรักษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งย่งั ยนื

ระดบั ของปัญหาและผลกระทบจากการเกดิ ไฟป่าในพืน้ ทีป่ า่ พรุ
จากรายงานการศึกษาความเหมาะสมผลกระทบส่ิงแวดล้อม (EIA) โครงการสารวจและออกแบบ
โครงสร้างเพื่อรักษาระดับน้าที่เหมาะสมในการป้องกันไฟไหม้และรักษาความสมดุลของระบบนิเวศและ
ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าพรุควนเครง็ จังหวัดนครศรธี รรมราช (สานักบริหารพื้นที่อนรุ ักษ์ท่ี 5
, 2558, 3-201) ไดส้ รุประดบั ความสาคญั ของปญั หาและผลกระทบจากการเกิดไฟปา่ ในพื้นทีป่ ่าพรุได้เป็น
5 ระดับ คือ ระดบั ท่ี 1 ความสาคัญมากกว่าร้อยละ 90 มีปัญหาไฟไหมต่อเนื่องทุกปีและเกิดข้ึนในพ้ืนท่ีท่ี
อย่ตู ิดกบั พ้นื ทีเ่ กษตรกรรม ระดบั ที่ 2 ความสาคัญอยู่ในช่วงระหว่าง มากกว่าร้อยละ 75 นอ้ ยกว่าร้อยละ
90 มีปัญหาไฟไหม้ต่อเนื่องทุกปีในพ้ืนที่ที่ไม่ติดกับพ้ืนท่ีเกษตรกรรม ระดับท่ี 3 ความสาคัญอยู่ในช่วง
มากกว่ารอ้ ยละ 50 น้อยกว่าร้อยละ 75 มีปญั หาไฟปา่ ไม่ตอ่ เน่ือง พ้นื ที่เกิดเหตมุ ีระยะห่างจากจุดเกิดเหตุ
ไฟไหมม้ ากกว่า 1 กิโลเมตร ระดบั ที่ 4 ความสาคัญมากกว่าร้อยละ 25 น้อยกวา่ ร้อยละ 50 มีปญั หาความ
ชุ่มช้ืนขาดน้าหล่อเล้ียงในพื้นท่ีพรุ และระดับท่ี 5 มีความสาคัญน้อยกว่าร้อยละ 25 เป็นพ้ืนที่นอกเขต
ปกป้องฯ การเกดิ ไฟไหม้
สถานการณป์ ญั หาในพน้ื ท่ภี มู ทิ ศั นพ์ รุควนเคร็ง
ปา่ พรคุ วนเคร็ง เปน็ ป่าทตี่ ้องเผชิญกับนานาปัญหาไม่ต่างจากป่าในพ้นื ท่ีอื่น ๆ ทั่วโลก นนั่ เพราะ
ป่าคือทรัพยากรที่สาคัญต่อการดารงชีพของมนุษย์ท่ีอนาคตทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ บนโลกนี้มี
แนวโน้มลดลงในลักษณะสวนทางกับการเติบโตของประชากรและกิจกรรมการพัฒนาในระดับนโยบาย
ของแต่ละประเทศ ขณะที่ในช่วงเวลา ณ ปัจจุบัน (ปี 2562) พื้นที่ป่ากาลังกลายเป็นพ้ืนที่ขยับขยายใน
การปลูกพืชเศรษฐกิจท่ีอยู่ภายใต้การส่งเสริมตามนโยบายรัฐด้วยความหวังที่จะมีรายได้สูงขึ้นของ
เกษตรกรรายย่อย ยิ่งกว่านั้น พื้นท่ีป่ายังเป็นพ้ืนท่ีการลงทุนของทุนหลากหลายประเภท เช่น ทุนธุรกิจ
ทางการเกษตรที่มีความต้องการพ้ืนท่ีทาการเกษตรจานวนมากเพื่อการผลิตสินค้าทางการเกษตร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกปาล์ม ข้าวโพด รวมถึงยางพารา ซึ่งผลการศึกษาจากงานวิจัยหลายชิ้นงาน
สะท้อนข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันว่า ท้ังน้ี กิจกรรมจากการลงทุนต่าง ๆ ทั้งด้านการเกษตร การพัฒนา
โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ท่ีมุ่งสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ เห็นได้
ชดั วา่ ผลกระทบท่มี ีต่อป่าไมโ้ ดยส่วนใหญ่มีรากของต้นปัญหามาจากนโยบายของรัฐ โดยมขี ้อสังเกตจาก
ภาพรวมสาเหตุการสูญเสียพ้ืนท่ีป่าในประเทศไทยตั้งแต่อดีตยุคการให้สัมปทานป่าจนถึงปัจจุบัน ท่ี
กฤษฎา บุญชัย (2554, อ้างถึงใน สวรินทร์ เบ็ญเด็มอะหลี , 2558, 28) ระบุไว้ 7 ประการ ได้แก่ การให้
สัมปทานป่าโดยขาดการควบคุม การเพิ่มข้ึนของประชากร การพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน การ
ประกาศเขตอนุรักษ์ป่า การแพร่หลายของเทคโนโลยีเลื่อยไฟฟ้าและรถไถ (น่ันคือการพัฒนาทางด้าน
เทคโนโลยี) การเก็งกาไรท่ีดิน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 ท่ีทาให้เกิดการบุกรุกเพื่อครอบครองป่าเพื่อค้าที่ดิน
และพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและท่ีพักตากอากาศ ทั้งนี้เม่ือพิจารณาจากเหตุเหล่าน้ีจะเห็นได้ว่าแต่ละ
สาเหตมุ ีความเช่อื มโยงกบั นโยบายของรฐั แทบทง้ั ส้ิน ไมว่ ่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม
ปัญหาท่ีเกิดขึ้นในพ้ืนที่ภูมิทัศน์พรุควนเคร็ง จากการทบทวนข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัยที่
เกี่ยวข้องกับพ้ืนท่ีภูมิทัศน์พรุควนเคร็งพบว่าปัญหาต่าง ๆ มี 2 ส่วน คือ ปัญหาของพรุควนเคร็ง และ
ปัญหาของชุมชนรายรอบขอบพรุ โดยปัญหาท่ีเกิดขึ้นทั้งสองส่วนดังกล่าวท้ังต้นเหตุของปัญหาและ
ผลกระทบของปัญหามีท้ังมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยที่ปัญหาในแต่ละมิติมีความ
เกี่ยวพันเช่ือมโยงกันและกัน น่ันคือ เมื่อปัญหาเกิดขึ้นในมิติใดมิติหนึ่งก็สามารถส่งผลกระทบเชอ่ื มโยงไป

รายงานสรปุ สาหรับผบู้ รหิ าร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเคร็ง วิถีคนและปา่ | 159

ยังมิติอ่ืน ๆ สะท้อนได้จากปัญหาไฟไหม้ในพื้นท่ีป่าพรุควนเคร็งซ่ึงถือเป็นปัญหาของพรุควนเคร็ง แต่
เชื่อมโยงและส่งผลกระทบต่อชุมชนและสังคม ดังที่กอบศักด์ิ วันธงไชย และคณะ (2558) ได้กล่าวถึง
ปัญหาไฟไหม้ในป่าพรุควนเคร็งว่าเกิดข้ึนอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มจะรุนแรงข้ึนในอนาคตจากสภาพ
แรงบีบค้ันทางเศรษฐกิจและอิทธิพลของการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศ น่ันหมายความว่า แรงบีบคั้น
ทางเศรษฐกิจซ่ึงอาจเกิดจากภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ราคาสินค้าทางการเกษตรตกต่า ขณะที่แต่ละครัวเรือน
ในชุมชนมคี ่าใช้จา่ ยในชีวิตประจาวันในด้านต่าง ๆ ทอ่ี าจไมเ่ พียงพอ มีความตอ้ งการรายได้ที่เพ่ิมขึ้น การ
ขยายพื้นท่ีเกษตรกรรมเพ่ิมขึ้นจึงเป็นทางเลือกหน่ึงในการสร้างโอกาสการมีรายได้จากผลผลิตท่ีอาจ
เพิ่มขึ้น และการบุกรุกพื้นท่ีป่าพรุควนเคร็งด้วยวิธีการต่าง ๆ การลดเวลาการเตรียมพ้ืนท่ีเพาะปลูกโดย
การเผา และนาไปสู่ปญั หาไฟไหม้ป่าพรุ ท่ีส่งผลกระทบตอ่ ส่ิงแวดล้อมท้งั ในระดบั ชุมชน สงั คม และระดับ
โลก มีการปลดปล่อยคาร์บอนจานวนมหาศาลจากป่าพรุ ซึ่งเช่ือมโยงไปสู่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพ
ภูมอิ ากาศของโลก

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นในพ้ืนท่ีภูมิทัศน์พรุควนเคร็งทั้งในส่วนของพรุควนเคร็งและชุมชน
ประมวลจากข้อมูลสภาพปัญหาของพรุควนเคร็งที่ปรากฏในรายงานการศึกษาความเหมาะสมผลกระทบ
สิง่ แวดล้อม (EIA) โครงการสารวจและออกแบบโครงสรา้ งเพือ่ รักษาระดับน้าทีเ่ หมาะสมในการป้องกันไฟ
ไหม้และรักษาความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพของป่าพรุควนเคร็ง
(สานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5, 2558) ประกอบด้วย 1) ปัญหาที่เก่ียวข้องกับการใช้ทรัพยากรจากป่าพรุ
ควนเคร็ง ได้แกป่ ญั หาท่ดี ิน ซึง่ จากัดท้ังในดา้ นพนื้ ท่ี ดา้ นคุณภาพ และสทิ ธกิ ารครอบครอง ส่วนปญั หาน้า
มีสภาพเป็นกรดในช่วงหน้าแล้งส่งผลกระทบต่อการทาเกษตรกรรม กระจูดมีปริมาณน้อยลงเน่ืองจาก
ผลกระทบจากไฟไหม้ป่าพรุ ส่วนปัญหาป่าไม้คือความหลากหลายของพันธุ์ไม้ลดลง สัตว์ป่าและสัตว์น้ามี
น้อยลง บางชนิดสูญพันธหุ์ รอื ใกล้สูญพันธุ์ ขณะท่ีทุ่งหญ้ากลับมีเพิ่มข้นึ โดยหญ้าอ่ืน ๆ ขึ้นแทนพืชกระจดู
เป็นผลมาจากการต้ืนเขินของพรุ 2) ปัญหาด้านสังคมหรือชุมชน ได้แก่ ปัญหาพ้ืนที่ทากิน เช่น การไม่มี
เอกสารสทิ ธ์ิในที่ดินทากิน การไม่มีที่ดินทากิน ความไม่ชดั เจนของแนวเขตพืน้ ที่ป่าสงวนแห่งชาติกับท่ีดิน
ทากินของชาวบ้าน นอกจากนี้มีปัญหาความอุดมสมบูรณ์ของดิน และปัญหาแหล่งน้าเพื่อการเกษตรซ่ึง
เกิดจากน้ามีความเป็นกรด น้าในพรุแห้งจากการขุดคลองในป่าพรุ การใช้น้าในแปลงปาล์มน้ามัน และ
การขาดแหลง่ นา้ มาหล่อเลยี้ งพรุ รวมถงึ น้าเนา่ เสยี จากขยะและนา้ ท้ิงจากชมุ ชน และการปิดประตูระบาย
น้าปากพนังทาให้ไม่มีน้าไหลเวียนข้ึนลงในบางฤดูกาล ตลอดจนการรุกล้าของน้าเค็มจากนากุ้งเข้าพื้นท่ี
เกษตร อีกท้ังปัญหาการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศในป่าพรุท่ีส่งผลกระทบต่อชุมชน เช่น ปัญหาความ
อดุ มสมบรู ณ์ของป่าพรลุ ดลง ขาดความหลากหลายของพันธุ์ไม้ หรอื พันธุ์ไมบ้ างชนิดส่งผลกระทบต่อสัตว์
เลี้ยง เช่น ชาวบ้านเช่ือว่าไม้เสม็ดทาให้น้าเปรี้ยว สัตว์เล้ียงไม่สามารถด่ืมได้ หรือปัญหาไฟไหม้ป่าพรุ
กระทบต่อกระจูด ผึ้งในป่า สัตว์ป่า รวมถึงปัญหาการเพิ่มข้ึนหรือลดลงของสัตว์บางชนิดส่งผลกระทบต่อ
การทาเกษตรกรรมของชาวบา้ น และการดารงชีวติ เช่น การเพ่ิมขนึ้ ของนกพรกิ นกยาง นกเป็ดน้าในเขต
ห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย ทาลายข้าวและกระจูด ปัญหายุงชุกชุมเสี่ยงต่อการเป็นโรคเท้าช้าง ขณะท่ีสัตว์
นา้ และปลาบางชนดิ ท่ีชุมชนไดใ้ ช้ประโยชน์กลับลดลงซ่ึงมสี าเหตทุ ั้งจากการใชป้ ระโยชน์ทไ่ี มย่ ัง่ ยืนของคน
ในชุมชนด้วยการใช้เคร่ืองมือที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้ไฟฟ้าดักจับปลา (การช๊อตปลา) การใช้ยาเบื่อ
และเกิดจากการเปล่ียนแปลงของระบบนิเวศป่าซึ่งเป็นผลจากสภาพดิน สภาพน้า และการเกิดไฟไหม้ป่า
พรุ นอกจากน้ีปัญหาด้านสังคมที่สาคัญอีกประการคือ ปัญหาการมีส่วนร่วมของชุมชน เป็นปัจจัยสาคัญ

160 | โครงการเสรมิ ศักยภาพการจดั การระบบนิเวศปา่ พรุเพ่อื เพมิ่ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยง่ั ยนื

อย่างย่ิงต่อการดาเนินโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการ
ทรัพยากรธรรมชาติทมี่ ีในชุมชน เช่น ปา่ ไม้ ซ่ึงเปน็ ผใู้ ชป้ ระโยชนโ์ ดยตรง ชุมชนถอื เปน็ ผู้กระทาการหลัก
ที่จะสะท้อนความสาเร็จหรือล้มเหลวของการดาเนินโครงการได้ในระดับหน่ึง การสร้างผู้กระทาการหรือ
Actor ท่ีทางานขับเคลื่อนกิจกรรมเหล่านี้จากคนในชุมชน การได้รับความร่วมมือหรือการที่คนในชุมชน
เขา้ มีสว่ นร่วมเป็นส่ิงสาคัญอย่างย่งิ

เห็นได้ว่า ปัญหาต่าง ๆ ท่ีกล่าวข้างต้นมีความสอดคล้องกับผลการศึกษาของ เสาวคนธ์ รุ่งเรือง
และคณะ (2550) ได้กล่าวถึงปัญหาต่าง ๆ ท่ีส่งผลกระทบต่อวิถีชุมชนรายรอบพรุควนเคร็ง และส่งผล
กระทบต่อป่าพรุท่ีควรได้รับการแก้ไข ได้แก่ การแก้ไขปัญหาการไม่มีเอกสารสิทธ์ิในท่ีดินทากิน การขาด
แคลนน้าเพื่อการอุปโภค บริโภค และการเกษตรในฤดูแล้ง ปัญหาการเข้าถึงบริการของทางราชการ
ปัญหาข้อขัดแย้งกรณีพิพาทของชุมชน นายทุน และหน่วยงานราชการ ปัญหาการบุกรุกพื้นท่ีพรุเพื่อ
นาไปใช้ประโยชน์ส่วนบุคคลท่ีมีถึงร้อยละ 5-7 ต่อปี ของพ้ืนท่ีพรุท้ังหมด รวมถึงปัญหาความเส่ือมโทรม
ของทรัพยากรจากไฟไหม้ป่าพรุ นับเป็นปัญหาเร่งด่วนท่ีต้องได้รับการแก้ไข ในขณะที่ปัญหาจากการทา
ประมงในพรุควนเคร็ง พบว่าปริมาณสัตว์น้าท่ีจับได้เร่ิมลดน้อยลง สัตว์น้าหลายชนิดมีความเสี่ยงจนใกล้
สญู พนั ธ์ุ

ความขดั แย้งและการจัดการความขัดแย้งทีเ่ กิดจากการใชท้ รัพยากรจากป่าพรคุ วนเครง็
“ความขดั แย้ง” เม่อื ได้ยินคาน้โี ดยทว่ั ไปมักทาให้นึกถึงความหมายในแง่ลบมากกว่าแงบ่ วก คาว่า
“ขัดแย้ง” ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง ไม่ลงรอยกัน
ความขัดแย้งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกสังคม และเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมท่ีมีปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
มนุษย์ โดยเกดิ ข้นึ ได้ในทกุ วัฒนธรรมและทุกระดับของความสัมพันธ์ (วนั ชยั วัฒนศพั ท์, 2550, 9, อ้างถึง
ใน สวรินทร์ เบ็ญเด็มอะหลี, 2557, 2) ทานองเดียวกัน ลิขิต ธีรเวคิน (2552) ยังได้อธิบายว่า มนุษย์อยู่
กันเป็นสังคม ย่อมหนีไม่พ้นความขัดแย้ง เริ่มจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ลังเลไม่สามารถจะ
ตดั สินใจได้ และเมอื่ อยูก่ ันตง้ั แตส่ องคนขึน้ ไปก็เปน็ ความขดั แยง้ ระหว่างบุคคลสองคน เมื่อขยายเป็นสังคม
กว้างใหญ่ขึ้นก็จะเกิดความขัดแย้งในมิติต่าง ๆ เช่น ความขัดแย้งในครอบครัว ความขัดแย้งของสถาบัน
ต่าง ๆ ในสังคม ความขัดแย้งระหว่างสังคมและรัฐ จนถึงความขัดแย้งระหว่างหน่วยการเมืองสองหน่วย
คอื ความขดั แย้งข้ามประเทศจนอาจนาไปสสู่ งครามไดร้ ะหวา่ งรฐั
อย่างไรก็ตาม เหตุแห่งความขัดแย้งท่ีสาคัญประการหนึ่งซ่ึงเกิดขึ้นบ่อยครั้งและบานปลายไปสู่
ความขัดแย้งด้านอ่ืน ๆ ต่อไป คือ ปัญหาความขัดแย้งท่ีเก่ียวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งความขัดแย้ง
ที่เก่ียวข้องกับท่ีดินทากิน ป่าไม้ท่ีมีท้ังกรณีการบุกรุกเพ่ือเข้าครอบครองโดยมิชอบโดยกฎหมาย การแย่ง
ชิงทรพั ยากรจากแหลง่ น้า ทัง้ นี้ในประเด็นความขดั แยง้ ด้านทรัพยากรธรรมชาตินั้น สัณฐติ า กาญจนพันธุ์
(2554, 4 อ้างถึงใน สวรินทร์ เบ็ญเด็มอะหลี , 2557, 3) ได้อธิบายถึงความขัดแย้งในด้าน
ทรัพยากรธรรมชาติท่ีชี้ประเด็นไปที่การมุ่งทาความเข้าใจกับความคิดของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละ
กลุ่มเพื่อให้สามารถจัดการกับปัญหาความขัดแย้งท่เี กิดขึ้นหรือเพ่ือลดปัญหาความขัดแย้งลงได้ โดยกลา่ ว
ว่า “เบื้องหลังกระบวนการในการตัดสินใจพัฒนาทรัพยากรหรือการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม คือ การถกเถียง
แลกเปล่ียนความคิดเห็น มีความขัดแย้งแย่งชิงทรัพยากร และมีการต่อสู้เพื่อผลักดันความคิดของคน
หลายกลุ่ม โดยที่แต่ละกลุ่มมีอานาจ วิธีคิด และวิธีปฏิบัติต่อส่ิงแวดล้อมที่หลากหลายและยึดถือ

รายงานสรปุ สาหรับผูบ้ รหิ าร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเคร็ง วิถคี นและป่า | 161

ผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน บ้างก็ยึดประโยชน์ของมนุษย์เป็นหลัก บ้างก็ให้ความสาคัญแก่พืช สัตว์และ
ระบบนเิ วศ แต่กลุ่มใดมคี วามรู้ มีขอ้ มูล มอี านาจ และมีเสียงสนับสนุนมากกว่ากส็ ามารถผลักดันความคิด
ด้านส่ิงแวดล้อมของตนให้เป็นที่ยอมรับได้ ดังน้ัน การจัดการความขัดแย้งจึงควรทาความเข้าใจถึง
ความคิดของกลุ่มทีเ่ กีย่ วข้องเหล่าน้ี”

ประเด็นความขัดแย้งที่เก่ียวข้องกับการใช้ทรัพยากรนั้น สัณฐิตา กาญจนพันธ์ุ (2554, 382-384
อ้างถึงใน สวรินทร์ เบ็ญเด็มอะหลี, 2557, 3) ยังได้หยิบยกเหตุผลสาคัญ 4 ประการที่ Buckles and
Rusnak (1999, 3-4) ได้อธิบายไว้ถึงสาเหตุสาคัญที่ทาให้เกิดความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากร นั่นคือ
ประการแรก พ้ืนท่ีอันเป็นแหล่งทรัพยากรมีการเช่ือมต่อหรอื อยู่ในระบบนิเวศที่ใกล้เคียงกัน ทาให้การใช้
ทรัพยากรจากพ้ืนท่ีหน่ึงส่งผลกระทบไปยังพ้ืนที่ข้างเคียงได้ ประการท่ีสอง ความหลากหลายของกลุ่มทาง
สังคมท่ีใช้ทรัพยากรร่วมกัน ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มีความสัมพันธ์เชิงอานาจท่ีแตกต่างกัน ประการที่สาม ปัญหา
ความขาดแคลนทรัพยากรที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากความเสื่อมโทรมและสังคมมีความ
ต้องการใช้ทรัพยากรมากขึ้น และประการสุดท้าย การใช้ทรัพยากรธรรมชาติทั้งทางกายภาพ และเชิง
สัญลักษณ์ของกลุ่มคนต่างๆ ในสังคม และสาเหตุทั้งสี่ประการนี้ล้วนมีส่วนก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่าง ผู้มี
ส่วนไดเ้ สยี กลุ่มตา่ ง ๆ เหน็ ไดว้ ่า สาเหตทุ ั้ง 4 ประการ อธิบายปรากฏการณค์ วามขดั แย้งทเี่ ชื่อมโยงกับการ
ใช้ทรัพยากรในพื้นที่ต่าง ๆ รวมถึงพ้ืนท่ีป่าพรุควนเคร็ง ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาแนวเขตป่ากบั
ทด่ี นิ ทากินของบุคคลท่ีเป็นเจ้าของที่ดิน การขดุ คนู า้ ทางการเกษตรในพื้นที่ทากนิ ทสี่ ่งผลกระทบต่อระดับ
น้าใต้ดินในพื้นท่ีพรุ การปลูกปาล์มน้ามันรุกล้าเข้ามาในเขตป่าเพ่ือเป้าหมายการครอบครองที่ค่อย ๆ รุก
คืบทีละนิด หรือความหลากหลายของกลุ่มคนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียท่ีเกี่ยวข้อง หรือแม้กระท่ังปัญ หา
ความขาดแคลนทรัพยากรท่ีมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น และยิ่งทาให้ปัญหาเหล่านี้มีความซับซ้อนและมีความ
ยุ่งยากในการแกไ้ ขปัญหาและต้องใช้เวลาเพือ่ คลีค่ ลายปัญหาในแต่ละระดับ ทั้งระดบั ชมุ ชนทอ้ งถิ่น ระดบั
นโยบาย นั่นคือการใช้นโยบายของรัฐเป็นกลไกการแก้ไขปัญหาร่วมกับอีกหลายแนวทางผสมผสานและ
บูรณาการ โดยในประเด็นความขัดแย้งที่เกี่ยวกับทรัพยากรน้ัน สุวิชา เป้าอารีย์ (2562) ให้ความเห็นว่า
ปญั หาความขดั แย้งในสังคมที่เก่ียวกับการใชท้ รพั ยากรสาธารณะเป็นปญั หาที่ค่อนขา้ งยากในการแก้ไข ไม่
ว่าจะเป็นปัญหาระหว่างภาครัฐกับประชาชนหรือปัญหาระหว่าง กลุ่มประชาชนด้วยกันเองในการ ใช้
ทรัพยากรสาธารณะ เชน่ ปัญหาประชาชนเข้าไปอาศัยทากนิ อยู่ในที่ดินของรฐั ปญั หาโครงการพฒั นาของ
ภาครัฐที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ดั้งเดิมของคนในพ้ืนที่ ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง
ประชาชนในพ้นื ที่ด้วยกันเองเก่ยี วกับการใช้ทรัพยากรร่วมกันหรือการดาเนนิ ชีวิตร่วมกัน เป็นตน้ บางคร้ัง
หากภาครัฐมีการใช้หลักกฎหมายอย่างเคร่งครัดก็อาจจะถูกกล่าวหาว่ารังแกประชาชน ไม่เห็นใจคนยาก
คนจน หรือแม้กระทั่งถูกกล่าวหาว่าทาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้คนบางกลุ่ม แต่หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมายก็
อาจถกู อีกฝ่ายหนง่ึ ฟ้องร้องว่าละเว้นการปฏิบตั ิหน้าท่ี คาถามคือเราควรทาอย่างไรต่อปัญหาความขัดแย้ง
ในรปู แบบนี้

พ้ืนทีพ่ รุควนเคร็งเปน็ อีกพื้นทหี่ น่ึงที่มกี ารใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างหลากหลาย โดยข้อมูลจาก
งานวิจัยของ นฤมล ขุนวีช่วย (2558) ที่ศึกษาในประเด็นพลวตั การใช้ประโยชนท์ รัพยากรป่าพรุควนเคร็ง
ได้สะท้อนให้เห็นวิถีการพ่ึงพิงผืนป่าพรุควนเคร็งในยุคต่าง ๆ และปัจจัยท่ีสัมพันธ์กับการใช้ประโยชน์
ตลอดจนความขัดแย้งที่เกิดข้ึนอันเป็นผลจากการใช้ประโยชน์จากป่าพรุควนเคร็ง โดยได้แบ่งการใช้
ประโยชน์ทรัพยากรป่าพรุควนเคร็งเป็น 3 ยุค ได้แก่ ยุคป่าเขียว (ก่อนพ.ศ. 2505) ยุคหลังวาตภัย (พ.ศ.

162 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจดั การระบบนิเวศป่าพรุเพอื่ เพมิ่ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยนื

2505-2539) และยคุ เกษตรเชงิ พาณิชย์ (พ.ศ. 2540-ปัจจบุ ัน) โดยลักษณะการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร
ในปา่ พรเุ ก่ยี วขอ้ งกบั วิถีชีวิต นน่ั คือ การเกบ็ กระจูดและใชป้ ระโยชน์จากกระจดู ผา่ นภูมปิ ัญญางานจักสาน
แปรรูปเปน็ สง่ิ ของเครือ่ งใชต้ า่ ง ๆ ในชีวิตประจาวนั การใช้ไมจ้ ากปา่ เชน่ ไม้เสม็ด การเกบ็ หาของปา่ การ
จับสัตว์น้า การทานา การทาสวนยางพารา และปาล์มน้ามัน โดยที่ลักษณะการใชป้ ระโยชนท์ ่ีแตกตา่ งกนั
ในแต่ละยุคข้ึนอยู่กับ 2 ปัจจัย คือ 1) ปัจจัยภายในชุมชน ได้แก่ ฐานทรัพยากรป่าพรุ และกระบวนการ
เรยี นรู้ของชมุ ชน 2) ปจั จัยภายนอกชุมชน ไดแ้ ก่ การเปลี่ยนแปลงจากนโยบายของภาครัฐ และการเขา้ มา
ขององค์กรและหน่วยงานภายนอก สาหรับสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรป่าพรุควนเคร็ง จาแนกได้ 3 กลุ่ม
ได้แก่ กลุ่มท่ีหากินกับทรัพยากรในป่าพรุอย่างยั่งยืน เช่น กลุ่มหาของป่า จับสัตว์น้า ถอนกระจูด กลุ่มท่ี
สองเป็นกลุ่มที่หากินกับการทาลายทรัพยากร ได้แก่ กลุ่มท่ีเข้าไปตัดไม้ในป่าเพื่อใช้ประโยชน์และค้าขาย
และกลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มท่ีไม่สนใจหากินกับทรัพยากรแต่ต้องกาครอบครอง ได้แก่ กลุ่มท่ีเข้าไป
ครอบครองท่ีดินป่าพรุเพ่ือการเกษตร หรือเพ่ือผลประโยชน์อ่ืน ๆ ดังน้ันกลุ่มคนทั้ง 3 กลุ่ม จึงมี
ความสัมพันธ์เกย่ี วโยงซึ่งกันและกัน โดยความสัมพันธ์เป็นไปทั้งในรูปแบบของการพึ่งพาอาศัย และความ
ขัดแย้ง ซ่ึงในความสัมพันธ์ดังกล่าวได้นาไปสกู่ ระบวนการปรับตัวของชมุ ชน เป็นการปรับตัวเพ่ือแสวงหา
ทางออกให้กบั ตนเองใหม้ ชี ีวติ อยูร่ อดได้ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทีเ่ กดิ ขึน้ โดยอยู่บนฐานการผลิต
ทต่ี อ้ งอาศยั ทรัพยากรปา่ พรุ และการสนบั สนุนจากหนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วข้อง

เห็นไดว้ ่า กลมุ่ คนทใ่ี ชป้ ระโยชนจ์ ากพ้ืนที่พรุควนเครง็ มีหลายกลุ่ม มีความสัมพันธ์เชิงอานาจของ
คนแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน มีอานาจ วิธีคิด และการยึดถือประโยชน์จากพื้นท่ีพรุควนเคร็งท่ีแตกต่างกัน
จึงทาให้ชุมชนไม่อาจหลีกเล่ียงปัญหาความขัดแย้งที่เช่ือมโยงกับการใช้ทรัพยากรร่วมกันของคน
หลากหลายกลมุ่ ได้ ดงั น้ัน การทาความเข้าใจกบั ปัญหาความขัดแย้งและกระบวนการจัดการความขัดแย้ง
ของชุมชนในพื้นที่ภูมิทัศน์พรุควนเคร็งจึงมีความสาคัญต่อการกาหนดแนวทางการจัดการทรัพยากร
ร่วมกนั ของผ้มู สี ว่ นได้สว่ นเสยี กลุม่ ต่าง ๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งเชือ่ มโยงกบั การใช้ทรัพยากรจากพน้ื ที่พรคุ วนเคร็งซ่ึง
มีรูปแบบหลากหลาย สอดคล้องกับผลการศึกษาของนิธิตา สิริพงศ์ทักษิณ (2561) ได้ระบุถึงท่ีของปัญหา
ความขัดแย้งที่เกิดข้ึนในชุมชนพรุควนเคร็งท่ีส่วนใหญ่เก่ียวข้องกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของ
ชุมชนทั้งมิติการใช้ประโยชน์จากที่ดิน การทาประมง การใช้ทรัพยากรจากป่าพรุ และรูปแบบการจัดการ
ความขัดแย้งของชุมชนพรุควนเคร็งมีการใช้วิธีการที่ผสมผสานหลากหลายแนวทาง ท้ังการเจรจาต่อรอง
โดยอาศัยระบบเครอื ญาติ การเจรจาไกล่เกลี่ยโดยบุคคลที่ได้รับความเคารพนับถือของคนในชุมชนที่มีทง้ั
การใชบ้ คุ คลคนเดยี วและใช้กล่มุ บุคคล

ป่าพรุควนเคร็งกบั ศักยภาพการกักเกบ็ คาร์บอน
ป่าพรุควนเครง็ เปน็ พ้นื ทปี่ า่ ท่ีมีคณุ คา่ สงู ต่อการอนรุ ักษน์ น่ั เพราะว่าไม่เพียงแค่เป็นพ้ืนท่ี

ป่าที่มีส่วนสาคัญต่อการดารงอยู่ของวิถีชุมชนซ่ึงใช้ประโยชน์จากป่าพรุผืนน้ีในหลายรูปแบบ ทั้งโดย
ทางตรงและทางอ้อม กล่าวได้ว่าเป็นพ้ืนท่ีท่ีมีความสาคัญท้ังด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของ
ชุมชน แต่พรคุ วนเครง็ ยงั เปน็ ผนื ปา่ ทมี่ ีความสาคัญระดับโลกทส่ี ามารถเกก็ กกั คาร์บอนได้ปรมิ าณมหาศาล
ที่ช่วยลดภาวะโลกร้อนของโลกได้ ถึงกระน้ันก็ตาม ป่าพรุควนเคร็งยังคงเผชิญกับปัญหาในหลายด้านทั้ง
การบุกรุกพื้นที่เพ่ือแปรสภาพเพ่ือการทาประโยชน์อย่างอ่ืนท้ังโดยกลุ่มทุนและชาวบ้านในพ้ืนที่
โดยเฉพาะการปลูกปาล์มน้ามัน ซง่ึ เป็นพืชเศรษฐกิจที่เปน็ พนื้ ที่การลงทุนทางการเกษตรของกลุ่มทุนนอก

รายงานสรุปสาหรบั ผ้บู รหิ าร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วถิ ีคนและป่า | 163

ชุมชน และเป็นพ้ืนที่แห่งความหวังในการแสวงหารายได้เพื่อความเป็นอยู่ท่ีดีของแต่ละครัวเรือน อันเป็น
ผลสืบเนอ่ื งจากนโยบายการสง่ เสรมิ ของภาครฐั ทงั้ นก้ี ารบุกรุกจงึ มักเกดิ ขน้ึ ในรูปแบบทส่ี ่งผลให้เกิดไฟใน
ป่าพรุท่ียากแก่การควบคุมทาให้พื้นท่ีป่าได้รับความเสียหายเป็นจานวนมาก และไฟท่ีลุกลามทาลายไม่
เพียงทาลายผืนป่า ทว่าส่งผลกระทบต่อชุมชนทั้งในด้านเศรษฐกิจ (พื้นที่ปาล์มหรือเกษตรกรรมอ่ืน ๆ
เสียหายจากไฟที่ลุกลามเข้าสู่พ้ืนท่ีเกษตรกรรม) สังคม (สุขภาพของคนในชุมชน โดยเฉพาะเด็กและคน
สงู อายุ หรอื ผ้ปู ว่ ย) และสิ่งแวดลอ้ ม (ป่าถกู ทาลาย เปรียบเสมอื นปอดของชุมชนและคนรายรอบพรุได้รับ
ความเสียหายด้วยเช่นกัน โลกสูญเสียพ้ืนที่เก็บกักคาร์บอนที่ช่วยประคับประคองอุณหภูมิของโลก ลด
ภาวะโลกร้อนฯลฯ)

ท้ังน้ี จากผลการศึกษาของวรรณพร แป้นนวล, กาญจน์ขจร ชูชีพ และวิพักตร์ จินตนา
(2558, 17-18) ท่ีทาการศึกษาประเมินการกักเก็บคาร์บอนเหนือพื้นดินของไม้ต้นในป่าพรุควนเคร็ง
หลังจากเกิดไฟป่าอย่างรุนแรง เม่ือปี พ.ศ. 2555 โดยเร่ิมจากการจาแนกสภาพป่าตามความสมบูรณ์และ
ผลกระทบจากไฟป่าจากภาพถ่ายดาวเทียมไทยโชต โดยวิธีการจาแนกข้อมูลภาพแบบกากับ จากนั้น
ตรวจสอบความถูกต้องของการจาแนกเพ่ือปรับปรุงคุณภาพผลการแปล แล้วจัดทาเป็นช้ันข้อมูลแผนที่
ด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ จากนน้ั ทาการสุ่มวางแปลนตัว อยา่ งขนาด 30x30 เมตร ในแตล่ ะสภาพ
ป่า เก็บวัดความโตและความสูงของไม้ต้นในภาคสนามเพ่ือนามาคานวณหาค่ามวลชีวภาพเหนือพ้ืนดิน
ด้วยสมการแอลโลเมตรีท่ีเหมาะสม พร้อมทั้งสุ่มเก็บตัวอย่างไม้ยืนต้นตายจากอิทธิพลไฟป่านามาอบแห้ง
เพื่อสร้างสมการแอลโลเมตรี และหาค่าความเข้มข้นของคาร์บอน จากนั้นทาการประเมินปริมาณการกัก
เก็บคาร์บอนเหนือพ้ืนดินภาคสนามไปหาความสัมพันธ์เชิงเส้นกับข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม Landsat 8
(OLI) เพ่ือนาสมการที่เหมาะสมท่ีสุดไปใช้ในการประมาณค่าการกกั เก็บคาร์บอนเหนือพ้ืนดินเชิงพื้นท่ีของ
ป่าพรุควนเคร็ง ผลการศึกษาพบว่า การแปลภาพมีความถูกต้องโดยรวมร้อยละ 72.58 (Kappa
coefficient =0.63) ได้สมการแอลโลเมตรีสาหรับประมาณค่ามวลชีวภาพเหนือพ้ืนดินของไม้เสม็ดขาว
ยืนต้นตายซ่ึงเป็นชนิดพันธ์เด่นในพื้นที่คือ W=0.0381 (DBH2H) 0.8952 มีค่า R2=0.93( W คือมวล
ชีวภาพ) และค่าความเข้มข้นของคาร์บอนโดยน้าหนักแห้งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 48.21 เปอร์เซ็นต์ เมื่อ
ประเมินมวลชีวภาพเหนือพื้นดินของพ้ืนท่ีป่าพรุควนเคร็ง พบว่า มีมวลชีวภาพเหนือพ้ืนดินเฉล่ีย 37.92
ตันต่อเฮกตาร์ คิดเป็นปริมาณการกักเก็บคาร์บอนเหนือพื้นดินเฉลี่ย 17.83 ตันคาร์บอนต่อเฮกตาร์ จาก
การทดสอบความแตกต่างกันในทางสถิติของปริมาณการกักเก็บคาร์บอนเหนือพ้ืนดินของแต่ละสภาพป่า
พบว่า ปริมาณการกักเก็บคาร์บอนเหนือพ้ืนดินในป่าพรุสมบูรณ์กับป่าพรุเสื่อมโทรม พื้นที่ป่าพรุสมบูรณ์
กับพน้ื ที่ไฟไหม้ ปี พ.ศ.2553 และพน้ื ท่ปี า่ พรุสมบูรณ์ กบั พ้นื ทไี่ ฟไหม้ ปี พ.ศ. 2555 มปี รมิ าณการกักเก็บ
คาร์บอนเหนือพื้นดินแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญท่ีระดับความเช่ือม่ัน 95 เปอร์เซ็นต์ ส่วนพื้นท่ีอ่ืน ๆ มี
ปริมาณการกักเก็บคาร์บอนเหนือพื้นไม่แตกต่างกัน เม่ือทาการหาปริมาณการกักเก็บคาร์บอนเหนือ
พ้ืนดินในแต่ละสภาพป่าของพื้นที่ศึกษา ด้วยวิธีการด้ังเดิมท่ีใช้ค่าเฉล่ียต่อหน่วยเนื้อท่ีของปริมาณ
คาร์บอนที่ได้จากการประมาณจากมวลชีวภาพบนฐานสมการแอลโลเมตรี พบว่า มีปริมาณการกักเก็บ
คาร์บอนเหนือพื้นดินของป่าพรุควนเคร็งรวมทั้งพ้ืนที่เท่ากับ 174,464.27 ตันคาร์บอน ในขณะที่การหา
ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณการกกั เก็บคาร์บอนเหนือพื้นดนิ ภาคสนาม (ตามตัวแปร) กบั ข้อมลู ภาพถ่าย
ดาวเทียม Landsat 8 (OLI) (ตัวแปรอิสระ) ด้วยการวิเคราะห์การถดถอยได้สมการที่ดีที่สุดคือ CS =
0.0323(G-R)-6.5495 มีค่า R2 = 0.2126 ( CS คือ ปริมาณการกักเก็บคาร์บอนเหนือพื้นดิน) เมื่อนา

164 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจดั การระบบนิเวศปา่ พรุเพ่อื เพมิ่ ความสามารถในการกกั เก็บคาร์บอน
และอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งย่งั ยืน

สมการไปประมาณการกักเกบ็ คาร์บอนเหนือพ้ืนดินเชงิ พน้ื ทีภ่ าพถ่ายจากดาวเทยี ม Landsat 8 (OLI เมื่อ
G คือ แบนด์ 3 Green, R คือ แบนด์ 4 Red) พบว่า ปริมาณการกักเก็บคาร์บอนเหนือพ้ืนดินเท่ากับ
167,570.46 ตนั คาร์บอน ตา่ กว่าการประมาณแบบดั้งเดิม

นานาทรรศนะกบั การจดั การป่าพรุควนเคร็ง
การจัดการป่าพรุควนเคร็งน้ันได้มีการศึกษาวิจัยในเชิงวิชาการมาอย่างต่อเนื่อง ซ่ึงล้วนมี
ข้อเสนอแนะที่น่าสนใจ ทว่า การนาข้อเสนอแนะเหล่าน้ีไปสกู่ ารปฏบิ ัตินั้นเป็นอีกประเด็นที่ชวนให้ขบคิด
ตัวอย่างข้อเสนอแนะจากผลการศึกษาของ ศราวุธ และชไมพร (2550, อ้างถึงใน เสาวคนธ์ รุ่งเรือง และ
คณะ, 2550) ท่ีมีข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารจัดการพื้นที่พรุควนเคร็งดังน้ี 1) การสร้างมูลค่าเพ่ิม
ของผลผลิตสัตว์น้า พัฒนาและยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์สัตว์น้า คานึงถึงรสนิยมผู้บริโภค การยืดอายุ
ผลผลิต และการบรรจุภณั ฑ์ เพอ่ื สรา้ งเอกลกั ษณะ (Brand-identity) ของปลาดุกร้า ปลาตากแหง้ ไตปลา
ตลอดจนพัฒนาผลิตภัณฑ์ปลาส้ม ปลาส้มถอดก้างสูตรสุขอนามัย 2) สร้างชุมชนเข้มแข็ง รู้จักพ่ึงตนเอง
รวมถึงปลูกจิตสานึกในการอนุรักษ์สัตว์น้า/สัตว์ป่า เน้นการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรใน
พ้ืนท่ีพรุ พร้อมสนับสนุนจริงจังจากองค์กรภาครัฐและส่วนท้องถ่ิน เช่น เครือข่ายอนุรักษ์สัตว์น้า กลุ่ม
ฟ้ืนฟูอนุรักษ์สัตว์ป่า และอ่ืน ๆ 3) ควบคุมระดับน้าในป่าพรุให้เหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน เพ่ือ
ปอ้ งกนั ไฟปา่ รกั ษาแหลง่ อาศยั สตั วน์ ้า/สตั ว์ป่า และระบบนเิ วศทางน้าดงั้ เดมิ ไว้ให้ได้มากท่สี ุด 4) กาหนด
เขตพ้ืนที่ (Zoning) ระหว่างพืน้ ทีเ่ พ่ือพัฒนา และพื้นที่เพ่อื อนุรกั ษ์คมุ้ ครองสตั ว์น้า/สัตวป์ า่ เพ่อื เป็นแหล่ง
คมุ้ ครองพ่อแม่พันธสุ์ ัตวน์ ้าและพันธส์ุ ัตว์นา้ ชนดิ ใกล้สญู พันธ์ุ 5)จดั สรรทดี่ ินทากนิ พรอ้ มกาหนดมาตรการ
การใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับวิถีชีวิต และกระทบต่อสมดุลของทรัพยากรธรรมชาติน้อย
ที่สุดน่าจะเป็นทางออกสาคัญให้ “คนกับพรุ”อยู่ร่วมกันอย่างย่ังยืน ใน“คลังอาหารธรรมชาติ” ที่อุดม
สมบูรณต์ ลอดไป
ขณะท่แี นวทางจากเวทจี ิบน้าชา-เสวนา “มมุ เมอื งคอน มองป่าพรคุ วนเครง็ ” ซึ่งจดั ข้ึนทีบ่ ้านควน
เคร็ง ตาบลเคร็ง อาเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เม่ือวันที่ 9 กันยายน 2562 ซ่ึงจัดข้ึนโดยกลุ่ม
ชาวบ้านป่าพรุควนเคร็ง เพื่อค้นหาปัญหาและแนวทางการฟื้นฟูป่าพรุควนเคร็ง หลังจากเกิดไฟไหม้ มี
ข้อเสนอ 4 แนวทาง กล่าวคือ 1) การกาหนดพื้นท่ีระหว่างเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เขตพ้ืนท่ีอนุรักษ์ และเขต
พ้ืนที่ทากินของชาวบ้านให้ชัดเจน 2) ปลดล็อคเอกสารสิทธิ์ที่ดินทากินของชาวบ้านในพื้นที่ เพ่ือให้
สามารถนาไปใช้ประโยชน์อ่ืนๆได้เช่น การขาย การจานองท่ีดิน 3)การกักเก็บน้าเพ่ือเพ่ือใช้ในท่ีเกษตร
และเป็นแหล่งน้าของชาวบ้านในพ้ืนที่ และ 4)การส่งเสริมการท่องเท่ียวเพ่ือสร้างรายได้ใหก้ ับชาวบา้ นใน
พื้นที่ (โพสทูเดย,์ 2562)

รายงานสรุปสาหรับผ้บู รหิ าร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเครง็ วถิ ีคนและปา่ | 165

8

วิถชี มุ ชน คนและปา่ พรุควนเคร็ง

กระจูดที่ตากแดดใหแ้ ห้งก่อนนาไปรีดใหแ้ บนเพื่อใช้จักสานงานหัตภกรรมของหมบู่ ้าน

166 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจดั การระบบนิเวศป่าพรุเพอ่ื เพม่ิ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนรุ ักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งย่ังยนื

ชาวบ้านตาบลเครง็ กบั มัดกระจดู ท่ีพร้อมแปรรูปชิ้นงานหัตถกรรม

รายงานสรปุ สาหรบั ผบู้ ริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเครง็ วถิ คี นและปา่ | 167

“ประวัติศาสตรท์ ้องถ่นิ เปน็ เร่ืองราวของท้องถ่ิน มีเหตุการณ์ที่เคยเกดิ ขนึ้ จริง มีพยานหลักฐานให้
เห็นหรือพูดคุยตวั เป็น ๆ กันได้ การได้พูดคุยถึงเรื่องราวในอดีตนอกจากจะไปฟ้ืนความทรงจาของผู้เฒ่าผู้
แกแ่ ล้ว มักมีผลตอ่ การฟื้นพลังความคดิ และความสุขร่วมกันดว้ ย กระบวนการศึกษาประวัตศิ าสตร์ท้องถ่ิน
จะทาให้เห็นตัวละครที่ทาให้ทั้งเด็กและคนในชุมชนเห็นว่าตัวเขาหรือบรรพบุรุษของเขามีที่ยืนอยู่ใน
ประวัติศาสตร์การสร้างถิ่นฐานของชุมชนในท้องถ่ิน เขาเป็นส่วนหน่ึงของการสร้างบ้านแปลงเมือง เป็น
ส่วนหนึ่งของชุมชน กระบวนการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจึงมีผลไปเปล่ียนทั้งการเรียนรู้ สานึกความ
เป็นพลเมือง และความสัมพันธ์ของคนในท้องถิ่น” (ลีลาภรณ์ บัวสาย, 2554) ทานองเดียวกับ ปณิธี บุญ
สา และคณะ (2550) ซ่ึงศึกษาเกี่ยวกับการจัดการป่าชุมชนโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน และได้สะท้อน
ขอ้ มูลทน่ี า่ สนใจเก่ียวกบั การให้ความสาคัญกับขอ้ มลู ทางประวตั ิศาสตร์ชมุ ชนวา่ เป็นเงื่อนไขหนง่ึ ที่ นาไปสู่
พ้ืนฐานการสรา้ งการมีส่วนร่วมในการจดั การทรัพยากรป่าของชมุ ชน ทาใหค้ นในชมุ ชนรับรขู้ ้อมูลและเกิด
ความเขา้ ใจทีม่ าท่ีไปของชมุ ชนตนเอง”

ประวัติศาสตร์ชุมชนเป็นกลไกหน่ึงที่มีความสาคัญต่อการเรียนรู้และเข้าใจชุมชน ท้ังในแง่
พฤติกรรมและประสบการณ์ในการดาเนินชีวิตของคนในชุมชน ดังนั้นการศึกษาและทาความเข้าใจกับ
ประวัติศาสตร์ของชุมชนหนึ่ง ๆ คอื ขอ้ มูลเบื้องตน้ ท่ีจะทาให้กาหนดแนวทางในการจัดการสภาพแวดล้อม
ด้านต่าง ๆ ของชุมชนได้อย่างเข้าใจและเข้าถึง ทาให้ได้รูปแบบการจัดการมีความสอดคล้องกับวิถีชีวิต
ของคนในชมุ ชน โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ซง่ึ เป็นทนุ พ้นื ฐานในการดารงชวี ติ ของ
คนในชมุ ชน ไมว่ า่ ชมุ ชนใดในโลกล้วนพ่งึ พาทรัพยากรธรรมชาติในการดารงชีพ การเลอื กต้ังถ่ินฐานจึงมัก
เลือกพื้นที่ท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ของดิน แหล่งน้า ทุ่งหญ้า และป่าไม้ ทานองเดียวกับชมุ ชนพรุควนเครง็
ท่ีมีประวัติศาสตร์การต้ังถ่ินฐานมาไม่ต่ากว่าสองศตวรรษ มีวิถีผูกพันอยู่กับพรุควนเคร็ง ผืนป่าท่ีมีความ
หลากหลายทางชีวภาพ ไม่เพียงเท่าน้ัน การศกึ ษาขอ้ มลู ประวัตศิ าสตรช์ ุมชนพรุควนเครง็ ยังทาให้เข้าใจถึง
สภาพแวดลอ้ มเดิมของพรุควนเคร็งได้ว่าผืนดนิ ควนและป่าพรุท่ีเปน็ อยู่ในปจั จบุ ันนั้นคือท้องทะเล และยัง
ฉายภาพความหนาแนน่ ของผู้คนและความคึกคักของการคา้ ขายติดต่อกบั โลกภายนอก จนกลา่ วได้วา่ พรุ
ควนเคร็ง คือ ทะเลและเกาะเล็กๆ และศูนย์การค้าขายแลกเปล่ียนสินค้า อน่ึง การทาความเข้าใจกับ
ข้อมลู ยอ้ นอดตี ของชุมชนพรุควนเคร็งทาใหเ้ ข้าใจถึงรากเหงา้ ของชมุ ชน ท่ที าให้ผู้มสี ่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
สามารถกาหนดแนวทางร่วมกันในการพัฒนาหรือการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ข องชุมชนให้มีความ
สอดคลอ้ งกับวิถชี มุ ชน สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ว่า “เข้าใจ เขา้ ถงึ และพัฒนา” อย่างแทจ้ ริง

ประวัติศาสตร์การต้งั ถิ่นฐานของชมุ ชนพรุควนเครง็
ชุมชนพรุควนเครง็ เป็นอีกชุมชนเก่าแก่ท่ีมปี ระวตั ศิ าสตร์ทีส่ ะท้อนตัวตน ความเป็นมาของผู้คนที่

เขา้ มาอยู่อาศัย การศกึ ษาข้อมลู เชิงประวัติศาสตร์ของชุมชนพรุควนเคร็งมีความสาคญั ต่อการทาให้คนรุ่น
ปัจจุบนั ทงั้ ในและนอกชมุ ชนได้รับรู้และเข้าใจรากเหง้าของชุมชน เพ่อื นาไปสู่การมีส่วนรว่ มในการจัดการ
ทรัพยากรของชุมชนโดยที่ทุกฝ่ายมีข้อมูลประกอบการคิดและตัดสินใจเพื่อแสวงหาแนวทา งท่ีเหมาะสม
โดยอยู่บนพื้นฐานของความรู้และเข้าใจต่อชุมชนอย่างแท้จริง กรรณิการ์ ตันประเสริฐ และคณะ (2540)
ได้เคยมีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับข้อมูลเชงิ ประวัติศาสตร์ไว้เมื่อปี 2540 ซ่ึงสะท้อนข้อมูลท่ีน่าสนใจอย่างยงิ่
กล่าวคือ การตั้งถิ่นฐานของชุมชนโบราณแถบจังหวัดนครศรีธรรมราชแบ่งได้เป็นสองลักษณะใหญ่ คือ
ชุมชนท่ีมีอายุเก่าแก่ตั้งแต่คร้ังยุคก่อนประวัติศาสตร์ และยุคสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น ๆ มักจะเลือก

168 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจดั การระบบนเิ วศปา่ พรุเพอ่ื เพิ่มความสามารถในการกกั เก็บคาร์บอน
และอนุรักษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอย่างยงั่ ยนื

ทาเลที่ตั้งถ่ินฐานแถบเทือกเขานครศรีธรรมราช ท่ีราบเชิงเขาท้ังสองด้านหรือสันทรายท่ีขนานกับชายฝั่ง
ทะเลทิศตะวันออก อย่างไรก็ตามยังมีชุมชนโบราณอีกกลุ่มของจงั หวดั นครศรีธรรมราชท่ีเลอื กอาศัยอยทู่ ่ี
ราบลุ่มที่เกิดข้ึนใหม่อันเป็นผลจากการตกตะกอนของลาน้า หรือตะกอนชายฝั่งทะเล เช่น ชุมชนแถบ
อาเภอเชยี รใหญ่ อาเภอหวั ไทร อาเภอชะอวด ชมุ ชนเกา่ กลุ่มน้ีปรากฏหลักฐานของการก่อตัง้ ชุมชนไม่เก่า
มากเท่ากับชุมชนโบราณในกลุ่มทาเลแบบแรก หลักฐานเก่าสุดที่พบมากสาหรับชุมชนแบบหลังจะมีอายุ
ราวพุทธศตวรรษที่ 23-24 และมีคุณสมบัติพิเศษ คือ เป็นชุมชนที่คงมีบทบาทเป็นจุดแวะพักและค้าขาย
ติดต่อทางทะเลเป็นสาคัญ สาหรับชุมชนเก่าที่อยู่ในทาเลท่ีต้ังแบบหลังท่ีน่าสนใจของจังหวัด
นครศรีธรรมราช คือ แถบพรุควนเคร็ง อาเภอชะอวด ซึ่งเป็นชุมชนเก่าท่ีตั้งอยู่ขอบพรุ และบน “ควน”
ในพรคุ วนเคร็ง

เคร็ง ในยุคที่ทาการศึกษาตามโครงการวิจัยดังกล่าวระบุว่าเคร็งเป็นตาบลหนึ่งท่ีอยู่ในเขตการ
ปกครองอาเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช แบ่งการปกครองเป็น 10 หมู่บ้าน ปี พ.ศ. 2536 มี
ประชากรรวม 6,264 คน ชาย 3,020 คน หญิง 3,244 คน มี 1,234 ครัวเรือน ทรัพยากรท่ีมีคงเดิมของ
ชุมชนย่อมบริเวณส่วนใหญ่เป็นพรุ เรียกว่า พรุควนเคร็ง มีพ้ืนที่เป็นพรุประมาณ 195,545 ไร่ หรือ
ประมาณ 312.87 ตารางกิโลเมตร เป็นพรุขนาดใหญ่ เป็นอันดับที่ 2 ของภาคใต้ คือ รองจากพรุโต๊ะแดง
ในจังหวัดนราธวิ าส พรุควนเคร็งอยู่ในเขตรอยต่อของจังหวัดพัทลุง สงขลา และนครศรีธรรมราช อยู่ทาง
ตอนเหนอื สดุ ของทะเลสาบสงขลา คลุมถงึ พืน้ ที่บางส่วนของอาเภอระโนด จงั หวัดสงขลา อาเภอควนขนุน
จังหวัดพัทลุง อาเภอหัวไทร อาเภอเชียรใหญ่ และอาเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช (อะแว มะแส
และคณะ, 2546) อนง่ึ ข้อมลู ขา้ งต้นมีประเด็นน่าสนใจคือ จานวนประชากร โดยจากข้อมลู ประชากรของ
ต า บ ล เ ค ร็ ง ณ เ ดื อ น เ ม ษ า ย น 2 5 6 2 ป ร ะ ช า ก ร ทั้ ง ส้ิ น 7,450 ค น แ ย ก เ ป็ น ช า ย 3,647
คน หญิง 3,765 คน มีความหนาแน่นของประชากร 43 คน ต่อตารางกิโลเมตร (องค์การบริหารส่วน
ตาบลเคร็ง, 2562) และจากข้อมูลจานวนประชากรในพื้นที่ภูมิทัศน์พรุควนเคร็งในขอบเขตพื้นท่ีดาเนิน
โครงการ ไดร้ ะบุจานวนประชากรในแตล่ ะตาบลดังน้ี (ตารางท่ี 1.5 และภาพท่ี )

ตารางท่ี 1.5 ข้อมลู ประชากรในพ้ืนทด่ี าเนนิ โครงการ

พืน้ ที่ จานวนประชากร พนื้ ท่ี จานวนประชากร

(คน) (คน)

ต.ควนพงั 12972 ต.การะเกด 7,035

ต.สวนหลวง 11,093 ต.พนางตุง อ.ควนขนุน 10,080

จังหวัดพัทลุง

ต.บา้ นตูล 7,120 ต.ทะเลน้อย อ.ควน 6,588

ขนุน จังหวดั พัทลุง

ต.ชะอวด 9,991 ต.นางหลง 6,474

ต.ทางพนู 8,779 ต.เขาพระบาท 6,323

ต.แมเ่ จ้าอยู่หวั 7,550 ต.แหลม 6,133

ต.เครง็ 7,431

ทม่ี า: ระบบฐานขอ้ มูลพ้ืนที่ภูมทิ ศั น์พรุควนเครง็ โดย RECOFTC (2562)

รายงานสรุปสาหรบั ผูบ้ ริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเคร็ง วถิ คี นและป่า | 169

ภาพท่ี 1.28 แผนท่ีแสดงจานวนประชากรและหมู่บ้านพืน้ ที่ดาเนินโครงการ ปี 2562
ที่มา: ระบบฐานข้อมลู พ้ืนทีภ่ มู ิทัศนพ์ รคุ วนเครง็ โดย RECOFTC (2562)

จะเห็นได้ว่า ระยะเวลาเกือบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ประชากรในพ้ืนท่ีตาบลเคร็งไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก
นัก มีอัตราการเปล่ียนแปลงเพียงร้อยละ 15 ท้ังนี้อาจเกิดจากการย้ายออกนอกพื้นท่ีของผู้คนในชุมชนท่ี
เป็นคนรุ่นใหม่ สอดคล้องกับการลงพื้นท่ีสารวจชุมชนที่พบว่ามีบ้านหลายหลังที่ถูกทิ้งร้างและผู้คนใน
ชุมชนส่วนใหญ่จะเป็นคนสูงวัย เด็กและเยาวชนท่ีเข้าศึกษาในโรงเรียนของชุมชน ขณะท่ีคนหนุ่มสาวมัก
ทางานต่างพ้ืนที่ในเขตจังหวัดใกล้เคียงหรือกรุงเทพมหานคร อีกปัจจัยหนึ่งอาจเกิดจากอัตราการเกิดท่ี
น้อยลงจนทาให้ประเทศไทยกาลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์แบบนั่นเอง แต่ประเด็นท่ีน่าขบคิดคือ
จานวนประชากรของชุมชนท่ีไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด จึงมีความเป็นเหตุเป็นผลไม่เพียง
พอท่ีจะอธิบายได้ว่าการเพ่ิมขึ้นของประชากรในชุมชนเป็นปัจจัยหนึ่งของการเสื่อมโทรมหรือลดลงของ
ทรัพยากรเพราะมีการบุกรุกเพ่ือเข้าครอบครองขยับขยายพื้นท่ีเกษตรกรรมหรือการสร้างที่อยู่อาศัย
เพมิ่ ข้ึน ทัง้ นอี้ ตั ราการเพม่ิ ข้นึ ของประชาชนในพนื้ ทต่ี าบลเครง็ ที่ไม่มากนักยังสอดคล้องกบั ข้อมลู ที่สะท้อน

170 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุเพ่ือเพมิ่ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนรุ กั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยัง่ ยนื

ผ่านเสียงคนในชุมชนที่เข้าร่วมในเวทีประชุมปฏิบัติการต่าง ๆ ท่ีจัดขึ้นหลายคร้ังซึ่งมีความสอดคล้องกัน
คือ คนในชุมชนแต่ละครัวเรือนครอบครองที่ดินในจานวนเนื้อที่ไม่มากและที่ดินเหลา่ นี้สืบทอดมรดกจาก
รุ่นสู่รุ่นและยังถูกจัดสรรแบ่งปันกันหลายคนขึ้นอยู่กับจานวนสมาชิกในครอบครัว ทั้งยังสอดคล้องกับ
ขอ้ มูลที่สะทอ้ นผา่ นเสยี งของเจ้าหน้าทีร่ ฐั ที่เข้าร่วมประชมุ ปฏิบัติการที่จัดขนึ้ หลายครง้ั ทรี่ ะบุว่า ผูย้ ื่นสิทธิ
การครอบครองที่ดินทากินผ่านโครงการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม (สปก.) หากสืบข้อมูลย้อนกลับโดย
ละเอียดแล้วจะพบว่ากลุ่มคนเหล่าน้เี ป็นคนนอกชมุ ชน เห็นได้ชัดว่าข้อมูลอัตราการเพ่ิมข้ึนของประชากร
ในพื้นที่ตาบลเคร็งและข้อมูลประกอบอ่ืน ๆ ท่ีมีความสอดคล้องกันนี้ ซ่ึงสามารถคาดการณ์ได้ว่าพ้ืนที่
ชุมชนอื่นๆ ที่อยู่รายรอบพรุควนเคร็งก็น่าจะไม่แตกต่างกันมากนัก จะเห็นได้ว่าข้อมูลประชากรมีอัตรา
การเปล่ียนแปลงไม่มาก กอปรกับข้อมูลสนับสนุนอ่ืนๆ ดังกล่าว มีความย้อนแย้งกับสถานการณ์พื้นที่ป่า
พรุควนเครง็ ทม่ี แี นวโนม้ ลดลง

ควนเคร็ง บางเครง็ พกหมาก
ความเป็นชุมชนในพ้ืนที่ภูมิทัศน์พรุควนเคร็งมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาท่ีน่าสนใจท้ังในแง่
สภาพภูมิประเทศ การตั้งถ่ินฐาน และการปกครองในอดีตท่ีจะทาให้เข้าใจรากเหง้าความเป็นชุมชนของ
คนชายพรุ (เรียกตามภาษาถ่ินใต้) หรือคนในชุมชนรายรอบพ้ืนที่ภูมิทัศน์พรุควนเคร็ง โดยข้อมูลจาก
สารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคใต้ เล่มท่ี 3 (สุทธิวงศ์ พงษ์ไพบูลย์, 2542, 1089) กล่าวถึงตาบลเคร็งใน
อดีตว่า มีผู้คนเข้าไปอยู่อาศัยเป็นคร้ังแรกเม่ือราว พ.ศ. 2387 ตรงกับรัชกาลที่ 1 หรือก่อนหน้านี้ไม่มาก
นัก สาหรับควนเคร็งน้ันในอดีตคือ บางเคร็ง ซึ่งมีท่ีมาจากข้อมูลประวัติศาสตร์ท่ีระบุว่า “ในทาเนียบ
ข้าราชการนครศรีธรรมราช ครั้งรัชกาลท่ี 2 (พ.ศ. 2354) บ่งว่า บางเคร็ง เป็นท่ีพกหมาก เช่นเดียวกับท่ี
(ถลาง) บางคลที พี่ กหมากแขวงจนั ตะพ้อ และที่พกหมากขนอมพเนียน นายที่เครง็ คือ หม่ืนภกั ดนี ิตย์ ถือ
ศกั ดนิ า 400 ฝ่ายซา้ ย รองที่เคร็งคือ หมื่นวงั บุรี ศกั ดินา 200 ท่ีเคร็งขนึ้ กับกรมท้ายวัง เชน่ เดียวกับที่บาง
จาก ท่ีพนางตุง และท่ีพังไกร กรมท้ายวังมี ออกหลวงทิพรักษา ศักดินา 1,200 เป็นผู้ปกครอง มีขุนทิพ
รักษา ศักดินา 600เป็นรองท้ายวัง ขุนอินทรรักษา ศักดินา 400 เป็น ปลัดท้ายวัง ในขณะเดียวกันน้ันท่ี
ชะอวดเป็นที่ปรามนาหมาก มีหลวงพิชัยโยธา ธานิตภักดี ศรีสงคราม เป็นหลวงปรามบุรี ศักดินา 1,200
ฝ่ายขวา มีหลวงพิชัยภักดี ศรีสงคราม ศักดินา 600 เป็นปลัดปราม ออกหลวงพินิจภักดี ศรีราช ศักดินา
1200 เป็นอากรนาหมาก มีเมืองพินิจภักดี ศรีสงคราม ศักดินา 600 เป็นเมืองรองนาหมาก และขุนปลัด
ศักดินา 400 เป็นนาหมาก ตาแหน่งข้าราชการที่ปรามนาหมาก” นอกจากน้ี ภัคพดี อยู่คงแก้ว และคณะ
เจ้าหน้าที่หน่วยศิลปากรท่ี 9 ได้ดาเนินการขุดตรวจชั้นดินทางโบราณคดี ที่บ้านควนชิง หมู่ท่ี 9 ตาบล
เคร็ง สรุปได้ว่าบริเวณควนชิงและควนอื่น ๆ ของพรุควนเคร็ง มีหลวง 3 ขุน และเมือง 1 รวมเป็น 6 คน
แม้ว่าบางเคร็งจะไม่เกี่ยวโยงกับปรามบุรี หรือปรามนาหมาก ตามสายการปกครอง แต่ก็มีความเก่ียวโยง
กันในกรณีท่ีมีพ้ืนท่ีต่อเนื่องกันและเกี่ยวกับ “นาหมาก” และ “ท่ีพกหมาก” ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า
ตาแหนง่ ข้าราชการเมืองนครศรีธรรมราช คร้ังรชั กาลที่ 2 นอกจากเจา้ เมอื งแล้ว ตาแหน่งที่สูงถัดลงมาคือ
ปลัดเมือง ซึ่งมีออกพระศรีราชสงครามรามภักดี ดารงตาแหน่งน้ี ถือศักดินา 3000 ฝ่ายขวา ได้รับ
พระราชทานกิจและกระทงครามและข้าวผกู กึ่งเจ้าเมือง และท่ีพกหมาก ตาบล พเนยี นขนอม ซง่ึ มีขุนแก้ว
ไกรพัฒน์ ศักดินา 400 เปน็ พยาบาลท่ีพกหมากสาหรับปลัด

รายงานสรุปสาหรับผู้บริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วถิ ีคนและป่า | 171

อนึ่ง จากข้อมูลข้างต้นที่ระบุว่า บางเคร็งเป็นท่ีพกหมากนั้นสะท้อนถึงการเป็นเมืองท่าขนส่ง
สินค้า ดังข้อมูลท่ีระบุว่า คาว่า “พก” ในภาษาถิ่นใต้ มีความหมายอย่างหนึ่งว่า บรรทุก เช่น เรือพก คือ
เรือสาหรับบรรทุกเพื่อลาเลียงหรือเพ่ือขนถ่าย อาจพกพืชผล สัตว์ คน หรือสิ่งของอ่ืน ๆ ก็ได้ แต่ต้องพก
ได้น้าหนักจานวนมาก ๆ หรือเรียกฉางข้าวเปลือก หรือฉางข้าวสารว่า “เรินพกข้าว” มักเก็บพักเพื่อรอ
การขนถา่ ย ส่วนคาว่า “หมาก” ในท่ีน้หี มายถึง พชื ผล ดังน้ันทพี่ กหมากจึงอาจหมายถึง ท่าเรือสาหรบั ขน
ถ่ายสินค้าประเภทพืชผล หรือเป็นด่านสาหรับส่งออกสินค้าพื้นเมืองของเมือง ถ้าเป็นเช่นน้ีย่อมแสดงว่า
บางเคร็ง หรือท่ีเครง็ สมัยต้นกรงุ รัตนโกสินทร์ เคยมีบทบาทสาคญั ที่เป็นทา่ สาหรบั ขนถ่ายสินคา้ ทางเรือ

เคร็งในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาเป็นอู่น้าที่ชุกชุมไปด้วยปลาน้าจืดนานาชนิด อุดมด้วยสัตว์น้า นก
และพรรณไม้ โดยเฉพาะกระจูด และบริเวณท่ีเช่ือมต่อกับเขตพรุก็เป็นอู่ข้าวท่ีสาคัญย่ิงของภาคใต้ แต่
บริเวณดังกล่าวมีปัญหาในการสัญจรไปมาจึงมีผูค้ นอาศัยอยู่น้อย และมีปัญหาเร่ืองสุขภาพอนามัยเพราะ
ชุกชุมด้วยยุง ปลิงและสัตว์เล้ือยคลาน ผู้คนที่นี่เคยเป็นโรคเท้าช้างกันมาก และเนื่องจากการสัญจรไม่
สะดวกจึงมีวฒั นธรรมท่ีแปลกพเิ ศษ คือ เคยมีผชู้ ายเป็นหมอตาแยหลายคน

ทั้งนี้ ผลการศึกษากรณีการต้ังถิ่นฐานที่กรุงชิงและพรุควนเคร็งของแพทย์หญิงกรรณิการ์ ตัน
ประเสริฐ และคณะ (2540) ตามโครงการวิจัยสนองพระราชประสงค์ โดยสังกัดมหาวิทยาลัยหัวเฉียว
เฉลิมพระเกยี รติ พบวา่ พรุควนเคร็งเคยมีสภาพคลา้ ยหม่เู กาะบริเวณท่เี ป็นท่รี าบลุ่มและพรุ คอื ชว่ งแคบ
ระหว่างแผ่นดินใหญก่ บั สนั ทรายสทิงพระที่สามารถใชเ้ ป็นเส้นทางเดินเรือได้เปน็ อย่างดี และมีหลักฐานว่า
เคยใช้เป็นเส้นทางน้าสายในระหว่างนครศรีธรรมราช-พัทลุง-สงขลา ในระหว่างพุทธศตวรรษท่ี 22-23 มี
พ่อค้าและเรือเดินทะเลของชาวจีนผ่านเข้าออก มีการติดต่อกับโลกภายนอก เช่น ชาวอินเดีย ลังกา
ตะวันออกกลาง และจีน คร้ังบริเวณดังกล่าวตื้นเขิน ควนเคร็งจึงกลายเป็นที่ห่างจากเส้นทางเดินเรือ
ดังกล่าวแล้ว

การตั้งถิ่นฐานของชุมชนโบราณแถบจังหวัดนครศรีธรรมราชแบ่งได้เป็นสองลักษณะใหญ่ คือ
ชุมชนท่ีมีอายุเก่าแก่ต้ังแต่คร้ังยุคก่อนประวัติศาสตร์ และยุคสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น ๆ มักจะเลือก
ทาเลที่ตั้งถ่ินฐานแถบเทือกเขานครศรีธรรมราช ท่ีราบเชิงเขาท้ังสองด้านหรือสันทรายที่ขนานกับชายฝ่ัง
ทะเลทิตะวันออก อย่างไรก็ตามยังมีชุมชนโบราณอีกกลุ่มของจังหวัดนครศรีธรรมราชท่ีเลือกอาศัยอยู่ท่ี
ราบลุ่มที่เกิดขึ้นใหม่อันเป็นผลจากการตกตะกอนของลาน้า หรือตะกอนชายฝ่ังทะเล เช่น ชุมชนแถบ
อาเภอเชยี รใหญ่ อาเภอหวั ไทร อาเภอชะอวด ชุมชนเกา่ กลุ่มนี้ปรากฏหลกั ฐานของการกอ่ ตั้งชุมชนไม่เก่า
มากเท่ากับชุมชนโบราณในกลุ่มทาเลแบบแรก หลักฐานเก่าสุดที่พบมากสาหรับชุมชนแบบหลังจะมีอายุ
ราวพุทธศตวรรษท่ี 23-24 และมีคุณสมบัติพิเศษคือ เป็นชุมชนที่คงมีบทบาทเป็นจุดแวะพักและค้าขาย
ติดต่อทางทะเลเป็นสาคัญ สาหรับชุมชนเก่าที่อยู่ในทาเลท่ีตั้งแบบหลังที่น่าสนใจของจังหวัด
นครศรีธรรมราช คือ แถบพรุควนเคร็ง อาเภอชะอวด ซึ่งเป็นชุมชนเก่าท่ีตั้งอยู่ขอบพรุ และบน “ควน”
ในพรคุ วนเคร็ง

ลักษณะทางกายภาพของพรุควนเคร็งในอดีต พรุน้ันคือพ้ืนท่ีลุ่มน้าท่วมขัง พรุควนเคร็งคงเกิด
จากการตื้นเขินของชายฝั่งทะเล ในอดีตน้าทะเลสามารถเข้าออกได้จนถึงบริเวณพรุ แต่ในเวลาต่อมาเม่ือ
เกิดการทับถมของตะกอนชายฝั่งมาก ๆ ขึ้น พ้ืนท่ีพรุกลายเป็นพ้ืนท่ีปิด น้าท่ีขังกลายเป็นน้าจืด และโดย
ปกติในพรจุ ะมสี ังคมพืชในพรุ ได้แก่ กก กระจดู ปรือ เสม็ด ทุ (โทะ) ย่านลิเพา เป็นต้น พชื ในพรุบางชนิด
มปี ระโยชน์มากในทางเศรษฐกิจ เชน่ กระจดู ใช้จกั สาน เสมด็ ใช้เผาถ่าน สร้างท่ีอยูอ่ าศัย เปน็ ต้น

172 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจดั การระบบนเิ วศปา่ พรุเพ่อื เพ่มิ ความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน
และอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยง่ั ยนื

พ้ืนท่ีดอนในพรุจะเรียกว่า ควน ลักษณะเป็นเนินสูงในพรุท่ีประกอบด้วยดินลูกรังและหินผุเป็น
ส่วนใหญ้ และไม่มีความลาดชันมากเหมือนภูเขา ในพรุควนเคร็งมีควนกระจายอยู่ในพื้นที่จานวนหนึ่ง
ตามควนปกติจะมีไม้ป่าแถบป่าร้อนชื้นท่ัวไป ท่ีสาคัญคือพืชตระกูลปาล์มต่าง ๆ เช่น ชิง กะพ้อ
เหลาชะโอน

เม่ือกล่าวถึงพรุควนเคร็ง โดยความหมายแล้วมิใช่เขตการปกครอง แต่พรุควนเคร็ง คือ พ้ืนที่ลุ่ม
น้าท่วมขังมีเนื้อที่ถึง 195,545 ไร่ อยู่ในพ้ืนท่ีรอยต่อระหว่างจังหวัดสงขลา พัทลุง และนครศรีธรรมราช
ในพรุควนเคร็งมีพ้ืนท่ีดอนที่เรียกว่า “ควน” เหมาะสาหรับการต้ังถ่ินฐานอยู่ด้วย มีผู้คนที่อาศัยอยู่
หนาแน่นมากทีส่ ดุ ในพรุควนเครง็ คอื ทค่ี วนต่าง ๆ ของตาบลเครง็ อาเภอชะอวด จังหวัดนครศรธี รรมราช

จากผลการศึกษาประเด็นแง่มุมการต้ังถ่ินฐานในอดีตที่พรุควนเคร็ง ที่ตาบลเคร็ง อาเภอชะอวด
จงั หวัดนครศรีธรรมราช ได้ผลสรุปดงั นี้

ประการแรก ชุมชนปัจจุบันท่ีควนต่าง ๆ ในตาบลเคร็ง ท่ีสาคัญ คือ ควนยาว ควนชิง และควน
เคร็ง มีประวตั ิศาสตร์การต้งั ถน่ิ ฐานเปน็ ชุมชนมานานไมน่ อ้ ยกว่าหนงึ่ ศตวรรษมาแล้ว

ประการที่สอง จากแผนที่อาณาจักรสยามท่ีสารวจและทาข้ึนโดยชาวต่างประเทศ ในราวพุทธ
ศตวรรษท่ี 22-24 ชี้ให้เห็นว่าบริเวณพรุควนเคร็ง คือ ช่องแคบระหว่างแผ่นดินใหญ่ (นครศรีธรรมราช-
พัทลุง) และเกาะ (สันทราย) สทงิ พระผคู้ นสามารถใชเ้ รือผา่ นเข้าช่องแคบทางตอนบนคืออาเภอปากพนัง
ในปัจจุบันเพ่ือเดินทางต่อไปยังพัทลุงและสงขลาได้ ควนต่าง ๆ ในพรุควนเคร็ง คือ เกาะขนาดเล็กที่
กระจายอยใู่ นชอ่ งแคบนัน้

ประการที่สาม ด้วยเหตุที่พรุควนเคร็งเคยเป็นช่องแคบและเป็นเส้นทางเดินเรือทะเลมาก่อน
ฉะนั้นจึงได้พบหลกั ฐานของการเป็นจดุ แวะพักของการติดต่อค้าขายทางทะเลท่ีควนตา่ ง ๆ ในพรุควนเคร็ง
โดยพบเศษเคร่ืองถ้วยจีนกระจายตามชายควนบางควนในปริมาณมากพอสมควร นอกจากนั้น ยังพบว่า
ควรมแี หล่งเรือจมอยู่ ณ บริเวณพรุควนเคร็งแถบน้ันดว้ ย เพราะมรี าษฎรค้นพบไห และเครือ่ งถ้วยชามจีน
ไทย เวียดนาม ทสี่ มบูรณจ์ มฝังอย่ใู นพรุจานวนหน่ึง

ประการที่สี่ บทบาทของพรุควนเคร็งต่อการเป็นจุดผ่านของเส้นทางน้าสายในระหว่าง
นครศรีธรรมราช-พัทลุง-สงขลา คงมีมากในระหว่างพุทธศตวรรษท่ี 22-23 ท้ังน้ีด้วยเหตุผลของ
ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ท า ง ก า ร เ มื อ ง แ ล ะ ค ร อ บ ค รั ว อ ย่ า ง ใ ก ล้ ชิ ด ร ะ ห ว่ า ง เ จ้ า เ มื อ ง พั ท ลุ ง แ ล ะ เ จ้ า เ มื อ ง
นครศรีธรรมราช รวมท้งั การต้งั สถานีการคา้ ของฮอลนั ดาทนี่ ครศรีธรรมราช

ประการที่ห้า ที่พรุควนเคร็งในอดีตคงมีพ่อค้าและเรือเดนิ ทะเลของชาวจีนผ่านเข้าออก แต่คงไม่
มีการตั้งหลักแหล่งที่ถาวรของคนจีน ณ บริเวณดังกล่าว และชุมชนปัจจุบันท่ีพรุควนเคร็ง ก็ไม่มีร่องรอย
ของการต้งั ถ่นิ ฐานของคนจนี ในปจั จุบันเช่นกนั

สภาพปัจจุบนั ของประชากรทตี่ าบลเครง็ ประกอบอาชพี การเกษตร ไดแ้ ก่ ทาสวนยาง สวนผลไม้
ทานา ถอนกระจูด หาปลา และอาชีพหัตถกรรมพื้นบ้าน ได้แก่สานเส่ือ และทาผลิตภัณฑ์อ่ืน ๆ ท่ีทาจาก
กระจูด เชน่ พดั กระสอบ กระเป๋าถือ นับตง้ั แต่นา้ ในพรเุ ริ่มไมแ่ หง้ ไฟปา่ ไม่ไหม้ เมื่อไม่เกนิ สบิ ปีมาน้ี ชวี ิต
ของชาวพรุควนเครง็ เรม่ิ ดีขึน้ กล่าวคอื มีปลามากข้ึน ตน้ กระจูดงอกงามเหมือนเดิม และในเวลาเดียวกัน
ค่านิยมของชาวพรุควนเคร็งนิยมส่งเสริมให้บุตรหลานมีการศึกษา รวมทั้งคนวัยหนุ่มสาวนิยมย้ายถ่ินไป
ประกอบอาชีพอ่ืนที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจ เช่น ท่ีกรุงเทพฯ หาดใหญ่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี เม่ือมี

รายงานสรุปสาหรบั ผ้บู รหิ าร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วถิ คี นและป่า | 173

รายได้ก็ส่งเงินกลับมายังบ้าน รวมทั้งพืชพันทางการเกษตรที่นาเข้ามาใหม่ในพื้นท่ีคือยางพารา เร่ิมได้ผล
ผลิตและมีราคาสูงขนึ้ ทาให้ชาวพรคุ วนเคร็งในปจั จุบนั เศรษฐกจิ ท่ีดีข้นึ ปญั หาโจรผูร้ า้ ยลดลง

ปฏิสัมพันธ์ท่ีชาวพื้นเมืองแถบกรุงชิง และพรุควนเคร็งติดต่อกับโลกภายนอก เช่น ชาวอินเดีย
ลังกา ตะวันออกกลาง จีนท่ีเป็นพ่อค้า นักเผชิญโชค และนักบวช ก็คงมีอยู่เช่นกัน ดังเช่นได้พบหลักฐาน
โบราณคดีโดยเฉพาะของอินเดีย เช่น ศาสนวัตถุ และของจีน ได้แก่ เคร่ืองถ้วย ณ บริเวณดังกล่าว เป็น
เรื่องที่น่าสนใจท่ีว่าในบรรดาชาวต่างชาติที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนในท้องถิ่นนั้น ดูเหมือนว่าชาวจีนจะเป็น
กลุ่มชาวต่างชาติท่ีมีบทบาทมาต้ังแต่เริ่มแรก และยังมีบทบาทในกาลเวลาต่อๆ มาโดยตลอด ซ่ึงตรงกัน
ขา้ มกับชาวต่างชาติกลุ่มอินเดีย ลังกา ตะวันออกกลาง ทีด่ เู หมือนวา่ มีบทบาทไม่ต่อเนื่องและย่ิงกาลเวลา
ผ่านไปดเู หมือนจะลดความสาคัญลง

หลักฐานบ่งชี้ พรุควนเคร็ง คือ ทะเล
พื้นที่ที่ควรจะเป็นของพรุควนเคร็งในอดีต คือ ส่วนหนึ่งของช่องแคบระหว่างแผ่นดินใหญ่
และเกาะ จากข้อมูล ประการแรก การเปล่ียนแปลงสภาพแวดล้อมการตั้งถ่ินฐานในอดีต โดยจาก
ภาพถ่ายจากดาวเทียมบริเวณนครศรีธรรมราชจนถึงบริเวณทะเลสาบสงขลา ปี 2532 แสดงให้เห็นว่า
บริเวณท่ีราบลุ่มบริเวณพรุควนเคร็งระหว่างสันทรายชะอวด และสันทรายเชียรใหญ่ และเนินเขาซึ่งเป็น
ท่ีตั้งชุมชนรวมเป็นกลุ่ม มีสภาพเป็นเกาะล้อมรอบด้วยที่ลุ่ม ประการท่ีสอง แผนที่เก่าของชาวต่างชาติ
และประการทสี่ าม พรคุ วนเคร็งคือ ทะเลเก่าข้อมูลจากคาบอกเล่า และชอ่ื สถานที่ ข้อมูลประเภทคาบอก
เล่าของผ้คู นอาศัยในชุมชนท่ต้องการศึกษาติดต่อกนั มานาน ได้ซึมซบั เรื่องราวอันเก่าแก่ทเ่ี กยี่ วข้องกับถ่ิน
ฐานท่ีอยู่หรือบรรพบุรุษของตนน้ัน ถือเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ประเภทหนึ่งได้ มีผู้ได้จัดหลักฐาน
ประวัติศาสตร์ประเภทนี้ว่า “หลักฐานท่ีไม่เป็นลายลักษณ์อักกรประเภทท่ีเป็นภาษา ได้แก่ ข่าวลือ เร่ือง
เกร็ดประวัติศาสตร์ คติพจน์ในประวัติศาสตร์ นิทานก่ึงประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์จากคาบอกเล่า
นิยาย และเทพนิยาย และคติชาวบ้าน (นิธิ เอียวศรีวงศ์ และอาคม พัฒิยะ, 2525 อ้างถึงใน กรรณิการ์
ตนั ประเสรฐิ และคณะ, 2540, 82-83)
นิทานเลา่ ขาน บ่งชพ้ี รคุ วนเครง็ คอื ทะเล
จากผลการศึกษาของ กรรณิการ์ ตันประเสริฐ และคณะ (2540, 55) ได้สะท้อนเรื่องราว
ของพรุควนเครง็ ทีเ่ คยเป็นทะเลมาแต่เดิมจากนทิ านท่เี ล่าสืบต่อกนั มาในหมชู่ าวตาบลเคร็ง ได้แก่
ภูเขาชีแพง ที่ควนเคร็ง เป็นเรื่องราวท่ี นายกลิ่น ทองกลับ ได้เขียนบรรยายในหนังสือประ
วัติเคร็งหรือเคร่ง เพื่ออุทิศเป็นวิทยาทานในงานทอดกฐินสามัคคี ณ วัดควนเคร็ง เม่ือวันที่ 27 ตุลาคม
2534 ว่า “มีคาบอกเล่าจากผู้รู้อีกกระแสหน่ึงว่ามีพระคุณเจ้าจากกรุงสุโขทัยองค์หน่ึงชื่อ พระแพง ท่าน
เดินทางผ่านมาโดยเรือใบ มาถงึ เหน็ เกาะเขา้ เกาะหน่ึง (คือควนเครง็ เด๋ียวนี)้ มสี ถานทอ่ี นั รม่ รน่ื และวยงาม
มาก มีเรือวิ่งผ่านไปมากเสมอ เป็นที่เงียบสงบดี เหมาะสาหรับปฎิบัติธรรมมาก พระแพงจึงตัดสินใจขึ้น
มากตั้งสานักอยู่บนเกาะนี้ สถานท่ีอยู่บนยอดเขาลูกกลางของควนเคร็ง ซ่ึงต่มาภายหลังชาวบ้านเรียกชื่อ
ยอดเขาลกู นี้วา่ “ภเู ขาชแี พง” หรอื ภเู ขาท้ายโมสท์ ทา่ นปฏิบตั ธิ รรมเครง่ ครัดมาก ทาให้ชาวเรือเคารพนับ
ถือกันกว้างขวามมาก ได้บรรทุกอิฐหน้าวัวมาจากกรุงสุโขทัย เอามาช่วยกันสร้างวัดให้ท่านจน
เจรญิ รุ่งเรืองเป็นอยา่ งมาก
อ่างนางห้อง สถานท่ีดังกล่าวน้ีคือบริเวณพรุอันกว้างทางด้านทิศใต้ของควนเคร็ง เป็น
เส้นทางติดต่อได้กับทะเลน้อย โดยมีเร่ืองเล่าว่ามีบุคคลชื่อเพชรแก้วพร้อมน้องชายชื่อเพชรลอย และ

174 | โครงการเสริมศักยภาพการจดั การระบบนเิ วศป่าพรุเพื่อเพิ่มความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งยัง่ ยนื

น้องสาวชื่อนางห้อง ทั้งสามคนพร้อมด้วยญาติผู้ใหญ่ชื่อจอมเฒ่าได้นาเรือสาเภาบรรทุกสิ่งของเพ่ือจะไป
ร่วมบูชาพระบรมธาตุที่นครศรีธรรมราช แต่มีบุญน้อยเรือต้องลมพายุแตก และล่มลงแถบควนเคร็ง นาง
ห้องตดิ อย่กู ับเรือจมนา้ ตาย ชาวบ้านจงึ เรยี กสถานท่ที ี่เรอื แตกวา่ “อ่าวนางหอ้ ง”

จากตัวอย่างเร่ืองเล่ากันในหมู่ชาวควนเคร็งท้ังสองเรื่องพอจะช้ีให้เห็นว่าความทรงจาเร่ือง
พื้นที่ดังกล่าวท่ีครั้งหน่ึงเคยเป็นทะเลนั้นยังคงเป็นเค้าเง่ือนของการอธิบายสถานท่ีสาคัญ ๆ ของท้องถิ่น
เช่น การพบอิฐหน้าวัวบนยอดควนเคร็ง รวมทง้ั การอธิบายที่มาของช่ือสถานที่ “อ่าวนางห้อง” กรณีเรื่อง
เล่ากันตามหมู่บ้านต่าง ๆ ว่ามีสถานที่ซ่อนเร้นสมบัติซึ่งไม่สามารถนาไปถวายเป็นพุทธบูชาในคราว
ก่อสรา้ งพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราชได้ทันนั้น แพรห่ ลายไปทว่ั เกอื บทุกๆ ตาบล สอดคล้องกบั เรื่อง
ยอดนิยมประจาถ่ินดังกล่าว และน่าสนใจท่ีชาวควนเคร็งในปัจจุบันยังเช่ือว่าเร่ืองดังกล่าวนี้เป็นเรื่องจริง
และยงั มคี วามหวงั วา่ โอกาสพบสมบตั ทิ ่ยี ังจมอยกู่ ับเรือไดใ้ นวนั หน่งึ

ภูมินาม สะท้อนควนเคร็งคือทะเล ชื่อสถานท่ีต่าง ๆ เป็นอีกข้อสังเกตหน่ึงที่บ่งช้ีได้ว่าพรุควน
เคร็งเคยเป็นทะเลมาก่อน โดยมีผู้ตั้งข้อสังเกตวา่ ช่ือสถานที่ต่าง ๆ บริเวณควนเคร็ง (ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัด
นครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา) น้ัน มีความเกี่ยวข้องและมีความหมายเก่ียวเน่ืองกับทะเลเป็นส่วน
ใหญ่ ได้แก่ 1) บ้านเลโมง (ทะเลโมง ทะเลมอง) ตาบลควนชะลิก อาเภอหัวไทร 2) บ้านทะเลตัง ตาบล
แหลม อาเภอหัวไทร 3) บ้านทะเลปัง ตาบลหัวไทร อาเภอหัวไทร 4) อ่าวนางห้อง ตาบลเคร็ง อาเภอชะ
อวด 5) อ่าวทุ่งครก ตาบลเคร็ง อาเภอชะอวด 6) บ้านในอ่าว ตาบลเคร็ง อาเภอชะอวด 7)บ้านนอกอ่าว
ตาบลเคร็ง อาเภอชะอวด 8) อ่าวเหมน ตาบลเครง็ อาเภอชะอวด 9) บ้านแหลมเคยี น ตาบลเคร็ง อาเภอ
ชะอวด 10) บ้านแหลมโตนด ตาบลปันแต อาเภอควนขนุน และ 11) บ้านบางเกร็ง ตาบลเคร็ง อาเภอ
ชะอวด ท้ังน้ีข้อสันนิษฐานดังกล่าวน้ี นายกลิ่น ทองกลับ ระบุไว้ในหนังสือ “ประวัติเคร็ง หรือเคร่ง” ว่า
“บรเิ วณพรุที่มีน้าขังนา่ จะเคยเป็นทะเลมาก่อน เพราะถ้าเราขดุ ดินลงไปลึก ๆ จะพบเปลือกหอยทะเลอยู่
ทั่วไป และชอ่ื สถานท่ีบางแห่งท่ีมชี ื่อคล้าย ๆ กบั ส่วนประกอบของทะเล เชน่ อ่าวนางหอ้ ง อ่างทุ่งครก ใน
อ่าวนอกอา่ ว และแหลมโตนด แหลมเคยี น (กล่ิน ทองกลบั , 2534, 12 อ้างถึงใน กรรณิการ์ ตันประเสริฐ
และคณะ, 2540, 55)

ข้อพิสูจน์ความจริงของพรุควนเคร็งต่อทฤษฎีการเป็นถ่ินฐานในอดีต การต้ังถิ่นฐานของชุมชน
โบราณแถบจังหวัดนครศรีธรรมราชแบ่งได้เป็นสองลักษณะใหญ่ คือ ชุมชนท่ีมีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งยุค
ก่อนประวัติศาสตร์ และยุคสมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น ๆ มักจะเลือกทะเลท่ีตั้งถ่ินฐานแถบเทือกเขา
นครศรีธรรมราช ท่ีราบเชิงเขาทั้งสองด้านหรือสันทรายที่ขนานกับชายฝ่ังทะเลทิศตะวันออก อย่างไรก็
ตาม ยังมีชุมชนโบราณอีกกลุ่มของจังหวัดนครศรีธรรมราชท่ีเลือกอาศัยอยู่ท่ีราบลุ่มที่เกิดขึ้นใหม่อันเป็น
ลุ่มจากการตกตะกอนของลาน้า หรือตะกอนชายฝั่งทะเล เช่น ชุมชนแถบอาเภอปากพนัง อาเภอเชียร
ใหญ่ อาเภอหัวไทร อาเภอชะอวด ชมุ ชนเก่ากล่มุ นีป้ รากฏหลักฐานของการก่อต้ังชุมชนไม่เก่ามากเท่ากับ
ชุมชนโบราณในกลุ่มทาเลแบบแรก หลักฐานเก่าสุดที่พบมากสาหรับชุมชนแบบหลังจะมีอายุราวพุทธ
ศตวรรษที่ 23-24 และมีคุณสมบัติพิเศษ คือ เป็นชุมชนที่คงมีบทบาทเป็นจุดแวะพักและค้าขายติดต่อ
ทางทะเลเป็นสาคญั สาหรบั ชมุ ชนเกา่ แก่ที่อย่ใู นทาเลที่ตัง้ แบบหลังที่น่าสนใจของจังหวัดนครศรีธรรมราช
คอื แถบพรคุ วนเคร็ง อาเภอชะอวด ซ่งึ เปน็ ชุมชนเก่าแกท่ ีต่ ้ังอยขู่ อบพรแุ ละบน “ควน” ในพรคุ วนเครง็

รายงานสรุปสาหรบั ผู้บริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วิถคี นและปา่ | 175

การตั้งถ่ินฐานชุมชนพรุควนเคร็ง ชุมชนท่ีตั้งถิ่นฐานหนาแน่นมากท่ีสุดในพรุควนเครง็ คือ ชุมชนใน
ตาบลเคร็ง อาเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช มีประชากรอย่อาศัยในตาบลนี้ประมาณ 6,334 คน
แบง่ เป็นชมุ ชนทีอ่ ย่อู าศัยตามหม่บู ้านและตามควนในพรคุ วนเคร็ง ดังนี้

ชุมชนที่อยู่อาศัยที่ดอนของตาบลเคร็ง ได้แก่ 1) ชุมชนบ้านทุ่งโคกยาง หมู่ท่ี 2 ประกอบด้วยชุมชน
ย่อยอีก 2 ชุมชน คือ บ้านโต๊ะทด และบ้านไทรหัวม้า 2) ชุมชนบ้านทุ่งไคร หมู่ที่ 5 ประกอบด้วย 3
ชุมชนย่อย คือ บ้านดอนแต้ว ชายคลองควน และบ้านต้นโดน 3) ชุมชนบ้านนางน้อย หมู่ท่ี 10
ประกอบด้วยชุมชนย่อยอีก 2 ชุมชน คือ บ้านสักโพรง บ้านบางกรูด และบ้านบางไทรปก 4) ชุมชนบ้าน
ยางแดง หมูท่ ่ี 8 ประกอบด้วยชมุ ชนยอ่ ยอีก 3 ชุมชน คอื บา้ นสักโพรง บา้ นบางกรูด และบา้ นบางไทรปก
5) ชุมชนท่บี ้านทุ่งตะเคียนดว้ น อยู่ในทอ้ งที่ ม. 6 6) ชมุ ชนบ้านนอกอา่ ว หมู่ 7 ประกอบดว้ ยชุมชนย่อย
บ้านจระเข้ตาย บ้านเสม็ดงาม บ้านนอกอ่าว และบ้านหัวลาน 7) ชุมชนบ้านทุ่งยาว หมู่ท่ี 4 ทิศตะวันตก
ของตาบลขอนหาด อาเภอชะอวด จงั หวดั นครศรีธรรมราช ทางดา้ นทิศใตข้ องหมบู่ ้านจรดเขตอาเภอควน
ขนุน จงั หวัดพทั ลงุ

ส่วนชุมชนทอ่ี ย่อู าศัยตามควนในพรุควนเคร็งของตาบลเครง็ อาเภอชะอวด ได้แก่ 1) เนินบา้ น
ควนเคร็ง 2) เนินบ้านควนยาว เป็นพ้นื ทีร่ าบลอ้ มรอบภูเขาควนยาว ยอดสูงประมาณ 51 เมตร มีคลองขุด
เช่ือมระหว่างเนินควนเคร็งและเนินควนยาว 3) เนินบ้านควนชิง (ท่ีราบรอบควนชิง ซ่ึงมียอดสูงประมาณ
57 เมตร 4) เนินบา้ นควนป้อม ยอดควนสูงไมเ่ กนิ 40 เมตร 5) เนินบา้ นควนดนิ ยอดควนดนิ สูงประมาณ
55 เมตร 6) เนนิ บ้านควนไทร ยอดเนินสูงไม่เกิน 40 เมตร 7) เนินบ้านควนราบ นอกจากน้ียงั มคี วนอน่ื ๆ
ของพรคุ วนเคร็งที่ไม่อยู่ในตาบลเครง็ และเปน็ ชุมชนขนาดเล็ก เช่น ควนพนังตงุ อาเภอควนขนุน จังหวัด
พัทลุง ควนเลตัง ควนเลโมง ควนเอียด และควนชะลกิ อาเภอหัวไทร จงั หวดั นครศรีธรรมราช

ทั้งนี้ในแง่ของข้อสันนิษฐานต่อการเข้ามาของชาวจีนว่ามีอยู่ในพื้นที่พรุควนเคร็งหรือไม่นั้น ผล
การศึกษาจากงานวิจัยนยี้ ังชวี้ ่าไม่เคยมชี ุมชนถาวรของชาวจีนท่ีพรุควนเคร็ง โดยชุมชนชาวจีนท่ีใหญ่ และ
ใกล้ชุมชนชาวพรุควนเคร็งมากท่ีสุดคือ ชุมชนชาวจีนท่ีตลาดชะอวด และตลาดคลองแดน ซึ่งตลาดคลอง
แดนเป็นเขตติดต่อระหว่างตาบลคลองแดน อาเภอระโนด จังหวัดสงขลา และตาบลรามแก้ว อาเภอหัว
ไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ทีน่ ั่นเดิมเปน็ ตลาดใหญ่ มีชาวจนี มาทามาคา้ ขายร้อยละ 80 ของคนในตลาด
ชาวพรุควนเคร็งนาสินค้าของตนด้วยการหาบคอบหรือใส่เรือถ่อมาขายท่ีตลาดคลองแดน เช่น ใบพ้อ
หวั มัน ข้าว

อาชีพของคนพรคุ วนเคร็ง 1) เกษตรกรรม ปลกู ข้าว ยางพารา ไมผ้ ล เช่น ทุเรยี น ลางสาด ละมุด
มะม่วง 2) ประมง ดักจับสัตว์น้าในพรุ เช่น ปลาไหล ปลาดุก ปลาหมอ ปลาช่อน และปลาอ่ืน ๆ 3)
หตั ถกรรม จกั สานจากกระจูด 4) หาของป่ ่า เช่นน้าผง้ึ

วฒั นธรรมความเชือ่ และตานานของชาวพรคุ วนเครง็
วัฒนธรรมความเชื่อ เป็นส่ิงท่ีมีอยู่ในทุกชมชนในทุกพ้ืนท่ีท่ัวโลก ชุมชนพรุควนเคร็ง ซ่ึงเป็น

ชุมชนหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทยที่มีความเช่ือของท้องถิ่นที่ไม่ต่างจากชุมชนอ่ืน ๆ ในภาคใต้มากนัก
สุธิวงศ์ พงษ์ไพบูลย์ (2542, 984) อธิบายว่า ความเชื่อ เป็นวัฒนธรรมพ้ืนบ้านประเภทหนึ่ง ซ่ึงมีอิทธิพล
ต่อแนวความคิดและพฤติกรรมของชาวบ้านกลุ่มน้ัน ๆ อย่างลึกซ้ึง เพราะการสืบทอดความเชื่อมีการ
ปลูกฝังสืบต่อกันมาหลายช่ัวคน ผู้ปฏิบัติตามย่อมได้รับการยอมรับของสังคม ขณะที่ผู้ฝ่าผืนจะได้รับการ

176 | โครงการเสริมศักยภาพการจัดการระบบนเิ วศปา่ พรุเพอ่ื เพ่มิ ความสามารถในการกกั เก็บคาร์บอน
และอนรุ กั ษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งย่ังยืน

ลงโทษทางสังคม โดยท่ีความเช่ือของคนในภาคใต้น้ันจาแนกตามท่ีมาได้ 4 ประเภท ได้แก่ ความเช่ือที่
เกี่ยวกับลัทธิและศาสนา ความเช่อื ทางไสยศาสตร์ เป็นการเชื่อตอ่ สง่ิ เหนือธรรมชาติ ความเชือ่ ที่เก่ียวกับจ
ริยวัตร เป็นความเช่ือท่ีมีอุบายเพ่ืออบรมส่ังสอนให้ประพฤติให้สอดคล้องตามค่านิยมของสังคมนั้น ๆ
และความเช่ือท่ีเก่ียวกับยากลางบ้านและการปัดเป่า โดยความเชื่อทั้งสี่นี้อาจประสมประสานอยู่ในเร่ือง
เดียวกันมากว่าหนึ่งประเภท ท้ังนี้ นฤมล ขุนวีช่วย (2558, 58) ได้กล่าวถึงประเพณีและวัฒนธรรมใน
ชุมชนพรุควนเคร็งว่าปรากฏอยู่ในหลายลักษณะ ท้ังความเช่ือ พิธีกรรมและประเพณีต่าง ๆ อย่างความ
เชอ่ื ของผู้คนในเขตป่าพรุ สว่ นใหญ่เป็นความเชอ่ื ท่เี กดิ จากการใชป้ ระโยชนท์ รัพยากรธรรมชาติในพื้นที่พรุ
ควนเคร็ง ได้แก่ ความเชื่อต่อตาอินทร์แก้วตาอินทอง ทวดหัวควน ทวดร่มเมือง ทวดตากล้วยยายคาและ
เจา้ ท่ีเจ้าทาง เปน็ ต้น ด้วยลักษณะความเชอ่ื เหลา่ นจี้ งึ กอ่ ให้เกดิ พธิ ีกรรมทเี่ ก่ยี วข้อง

ผลการศึกษาข้อมูลในโครงการวิจัยของ กรรณิการ์ ตันประเสริฐ และคณะ (2540) ระบุว่า
ประชากรของตาบลเคร็งนนั้ นับถือศาสนาพุทธทั้งหมดและมีความศรัทธาสูงในพุทธศาสนา ยังมีความเชอ่ื
อีกอย่างหนึ่งของชาวบ้านควนเคร็งหรือชาวใต้ทั่ว ๆ ไป คือ สถานที่บางแห่งเจ้าท่ีหวง ไม่ต้องการให้ใคร
บุกรุกหรือเข้าไปครอบครองมักเป็นที่ที่มีต้นไม้ใหญ่หรือเป็นร่องน้า ต้นน้า และมีบรรยากาศที่ครึ้ม ลึกลบั
มีเจ้าท่ี สถานท่ีดังกล่าวเรียกว่า ทวด มักจะปรากฏตัวเป็นงูบองหลา (เทียบคาตะบองสลาหรืองูจงอางใน
ภาษากลาง) ขนาดใหญ่ มีสีออกไปทางขาว บางทีมีหงอน ไม่ทาร้ายผู้คน ชาวบ้านจะนับถือบนบาน เซ่น
ไหว้ และมักสรา้ งศาลหรือหลาไวใ้ หท้ วดอาศัย เฉพาะที่ตาบลเครง็ มีทวดอยู่หลายแหง่ สอดคล้องกับข้อมูล
จากสารานุกรมวัฒนธรรม ภาคใต้ เล่มที่ 6 เรียบเรยี งโดย วสิ ทุ ธ์ิ ถริ สัตยวงศ์ (มูลนธิ ิสารานกุ รมวฒั นธรรม
ไทย, 2542, 3019-3020) อธิบายเกี่ยวกับทวดบองหลา ว่าเป็นความเชื่อของชาวภาคใต้เกี่ยวกับงู
บองหลา (งูจงอาง) ซ่ึงมีลักษณะพิเศษ มายุยืน เชื่อว่าเป็นงูท่ีไม่ทาร้ายใคร มีความศักดิ์สิทธิ์ เรียกกันว่า
“ทวดบองหลา” เมื่อทวดบองหลาปรากฏข้ึนท่ีใด ชาวบ้านจะไม่ทาร้าย แต่มักจะเซ่นไหว้ด้วยเคร่ืองหอม
ขอโชคลาภต่าง ๆ เช่น ขอหวย บางคนเช่ือว่าถ้ากลัวว่าหญิงมีครรภ์จะคลอดบุตรไม่ออก ให้ถอนเส้นผม
ของคนท้อง 1 เส้น โยนตรงหน้าทางท่ีงูบอกหลาเล้ีอยข้าม เชื่อว่าจะทาให้คลอดง่าย ความเช่ือของ
ชาวบ้านเก่ียวกับงูบองหลา ปัจจุบันยังมีอยู่บ้างในชนบท ย่ิงกว่าน้ัน คุณาพร ไชยโรจน์ (2549, ก) ได้
อธิบายว่า ทวด คือ ส่ิงศักดิ์สิทธ์ิที่คนไทยในภาคใต้และคนในรัฐทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซียให้
ความเคารพนับถือประหน่ึงว่าเป็นผีบรรพบุรุษหรือวิญญาณศั กดิ์สิทธ์ิอันนามาสู่ความเจริญงอกงาม
นอกจากนี้เอมอร บุญช่วย (2544, 93 อ้างถึงใน คุณาพร ไชยโรจน์, 2549, ก) ได้จาแนก ทวด เป็น 3
ประเภทใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่ ทวดท่เี ชอ่ื วา่ เป็นรูปคน ทวดที่เช่ือว่าไมม่ รี ปู และทวดทเ่ี ชื่อวา่ เปน็ รูปสตั ว์

อย่างไรก็ตาม ความเชื่อของคนในชมุ ชนชาวพรุควนเคร็งท่สี ะท้อนผ่านงานวจิ ัยดังกลา่ วระบุไว้น้ัน
ประกอบด้วยทวดทั้ง 3 ประเภท ดังน้ี

ทวดหัวควน อยู่ทางใต้สุดของควนเคร็ง เป็นเส้นทางท่ีจะไปทางทะเลน้อย ทางบ้านคูวา ทาง
บ้านขอนหาด คนท่ีเดนิ ทางผ่านมักจะกราบไหว้ บนบาน ขอให้เดินทางปลอดภัยจากสัตว์รา้ ยคนร้าย เมื่อ
กลับมาจึงเซ่นไหว้ด้วยเหล้า ไก่ หมาก พลู และท่ีสิบสอบ (ถาดหรือกระจาด ใส่บัตรพลีเครื่องคาวหวาน
12 สง่ิ )(ภาพท่ี 1.29)

รายงานสรุปสาหรับผู้บรหิ าร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเครง็ วิถีคนและป่า | 177

ภาพท่ี 1.29 ทวดหัวควน ซึ่งมีรูปร่างเป็นงูจงอางมีลักษณะสีออกขาว ท่ีตั้งอยู่ในตาบลเคร็ง อาเภอชะอวด
จังหวัดนครศรธี รรมราช

ที่มา: บันทกึ ภาพโดย สวรนิ ทร์ เบ็ญเด็มอะหลี เม่อื พ.ศ. 2562

ทวดหลักเมือง อยู่ทางตอนใต้ของควนยาว ตรงเนินบ้านนาดอน มีอภินิหารในการป้องกันภัย
พิบัติและโรคภยั

ทวดร่มเมือง มีหลาต้ังอยู่บนยอดควนยาว ถือเป็นทวดพ่ีใหญ่ (ทวดสามพี่น้อง คือ ทวดควนยาว
ทวดหลักเมือง และทวดหัวควน) มีผู้เล่าว่าเคยมีหมองูมาทดลองจะจับ แต่พอชาวบ้านไปต้ังเคร่ืองเซ่น
บอกกลา่ วกม็ ีเสียงคารามจากโพรงใต้ดนิ หมองตู กใจกลับหนีสาบสญู ไป

ทวดตากลว้ ย ยายคา มหี ลาอยู่ที่บา้ นหัวเนนิ ทางใต้บา้ นควนชิง ปรากฏตัวเปน็ ตายายคู่หนึง่ ตา
แต่งตัวเป้นชาวเมืองลุง คือ นุ่งผ้ายาว (ผ้าลอยชาย) จึงมีผู้ป้ันเป็นรูปตายายประดิษฐานไว้บนหลา มี
เคร่ืองเซ่นไว้มีเหลา้ บุหร่ี และหมากพลู ปัจจุบันนี้รถท่ีวิ่งผ่านมักจะกดแต่เป็นสัญญาฯก่อนผา่ น หรือหาก
เดนิ ผา่ นกจ็ ะยกมอื ไหว้

ตาอนิ ทร์แก้ว ประจาพรุผ้าลาย บา้ นพงั กานทราย เปน็ เส้นทางร่วมไปอาเภอเชียรใหญ่ อาเภอชะ
อวด และอาเภอหัวไทร คอยคมุ้ คอรงคนเดนิ ทาง เครื่องเซ่นไหว้ มีใบกระท่อม น้าฝน และหมากพลู

ตาทอสุก แมป่ งิ้ เฒ่า หรอื แม่พรายประสทิ ธิ์ ประจาทงุ่ พลัด เปน็ ท่งุ นาของชาวบา้ นควนยาว การ
ไปทานาต้องไปตั้งหนา (ขนาหรือเถียง) อยู่ จนกว่าจะทานาแล้วเสร็จ จึงเซ่นไหว้ตาทองสุก แม่ป้ิงเฒ่าให้
คมุ้ ครอง ผูใ้ ดฝา่ ฝืนจะถกู หลอกหลอนจากผปี ่า ผที งุ่ ไม่สามารถอยไู่ ด้ เครอ่ื งเซน่ ไหว้แลว้ แตจ่ ะจดั หา แต่ที่
ขาดไม่ได้คือ ใบกระท่อมกัรบน้าฝน หากจะให้ทวดพอใจเป็นพิเศษต้องหากระดาษแข็งตัดเป็นรูปป้ิง
(กระจบั ปิ้ง) วางคูก่ บั เครอ่ื งเซ่นด้วย

ตาหม่อมรอง อยู่ในเขตสานักสง์์บ้านทุ่งไคร ช่วยคุ้มครองจากสัตว์ร้าย ปรากฏตัวเป็นเสือลาย
พากกลอน (เสือโคร่ง) เครอื ่งเซ่นไหว้มีเหล้า ไก่ หมากพลู

ตาทวดชัยหัวหมอน อยู่บ้านดอนกอก ริมทางสายชะอวด ควนเคร็ง คนขับรถจะกดแต่ทุกคร้ังท่ี
ผ่าน จะช่วยให้หากนิ คล่อง ฝา่ ฝืนรถมกั เสยี

นอกจากน้ี ยังมีตาทวดอื่นๆ อีก คือ ทวดปากควนเป็นจระเข้ อยู่ปากคลองควน ฤษีตาไฟ อยู่วัด
บางนอ้ ย พอ่ ท่านในบัววัดควนปอ้ ม

ตานานแม่เจ้าอยู่หัว ทวดโปชี และพ่อท่านขรัว อีกหนึ่งตานานความเชื่อเกี่ยวกับแม่เจ้าอยู่หัว
ซงึ่ เปน็ ทีม่ าของชื่อตาบลแม่เจา้ อยู่หัว อาเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช ทงั้ นี้คาวา่ แม่เจ้าอยู่หัวก็

178 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจดั การระบบนเิ วศปา่ พรุเพอื่ เพ่มิ ความสามารถในการกกั เกบ็ คาร์บอน
และอนุรักษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอย่างย่ังยนื

คือ พระนางเลือดขาว ซึ่งเป็นบุตรีคหบดี บิดาเป็นชาวจังหวัดพัทลุง เช้ือสายลังกา (คุลา) มารดาเป็น
ชาวบ้านเก่าหรือบ้าน์้อง (บริเวณวัดแม่เจ้าอยู่หัวหมู่ที่ 3 ตาบลแม่เจ้าอยู่หัว อาเภอเชียรใหญ่ จังหวัด
นครศรีธรรมราชปัจจุบัน)บิดามารดามีอาชีพค้าขาย ณ ชุมชนสุดสาย หาดทรายแก้ว นครศรีธรรมราช
หรือสันทรายเชียรใหญ่ ทางทิศใต้ คือ บริเวณวัดแม่เจ้าอยู่หัว ซ่ึงเป็นชุมชนท่าเรือในสมัยโบราณเสถานที่
เกิดของนาง คือ บ้านเก่าหรือบ้าน์้องประมาณ พ.ศ.1745 แม่เจ้าอยู่หัว (พระนางเลือดขาว) พระนาม
เดมิ ไม่ทราบแน่ชดั แตไ่ ด้รับทราบจากคาบอกเลา่ บางกระแสเรียกช่ือว่า“กังหรี”บางกระแสไม่ปรากฎพระ
นามเดมิ พระนางเลอื ดขาวมีพ่ีนอ้ ง 3 คน คือ ทวดโปชมี ีรูปปั้นประดิษฐานณวัดพงั ยอมพ่อท่านขรวั มีรูปปั้น
ประดิษฐาน ณ วัดบ่อล้อและแม่เจ้าอยู่หัวมีรูปปั้นประดิษฐาน ณ วัดแม่เจ้าอยู่หัว (สานักบริหาร
ยทุ ธศาสตร์กลมุ่ จงั หวดั ภาคใตฝ้ ่งั อ่าวไทย, ม.ป.ป)

ข้อมูลข้างต้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเก่ียวกับนางเลือดขาวที่ได้มีบันทึกไว้ในสารานุกรม
วัฒนธรรมไทยภาคใต้ เล่มที่ 8 (มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย, 2542, 3702-3704) โดยระบุว่า ตานาน
นางเลอื ดขาว เป็นตานานทเ่ี ล่ากันแพรห่ ลายในทอ้ งถิ่นจงั หวดั พัทลงุ นครศรีธรรมราช สงขลา และจังหวด
ตรัง ต้นกาเนิดของตานานคือบ้านพระเกิด อาเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง แล้วแพร่หลายไปยังจังหวัด
ใกล้เคียง ต้นเร่ืองจากการอพยพของชาวอินเดียเพื่อหนีภัยบ้านเมืองที่เกิดการรบรา์่าฟันแย่งชิงราช
สมบัติ ชาวอินเดียบางสว่ นอพยพเดนิ ทาง สว่ นหน่งึ คือเดนิ ทางข้ึนฝ่ังในจังหวัดพัทลงุ มตี ายายคู่หน่งึ ไปจับ
ช้างป่าแล้วพบเจอกับชาวอินเดีย และได้ยกบุตรีให้แก่ตายาย รับเป็นบุตรบุญธรรม ตั้งชื่อว่า “นางเลือด
ขาว” เพราะเป็นผู้มีผิวกายขาวกว่าชาวพื้นเมือง ต่อมาตายายคิดจะหาคู่ครองชาวอินเดียให้นาง จึง
เดินทางไปขอบุตรชายชาวอินเดียมาอาศัยอยู่ที่ถ้าไม้ไผ่เสรียง ไว้เป็นบุตรบุญธรรม ให้ช่ือว่า กุมาร หรือ
เจ้าหน่อ เมื่อตายายเสียชีวิตลง กุมารและนางเลือดขาวได้รับมรดกเป็นนายกองช้าง เล้ียงช้างให้
เจ้าพระยากรุงทองสบื ต่อจากตายาย เร่อื งราวของนางเลอื ดขาวและกุมารได้สรา้ งส่ิงตา่ ง ๆ ไวม้ ากในพ้ืนท่ี
ต่าง ๆ หลายจังหวัดใกล้เคียงท้ังอาเภอบางแก้ว จังหวัดพัทลุง วัดพระงาม จังหวัดตรัง จนการเดินทาง
มาถึงจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้มีการพักที่บ้านหนองหงส์ อาเภอทุ่งสง สร้างสาธารณประโยชน์แก่
บ้านเมอื งไวม้ าก จนรา่ ลือถงึ กรุงสโุ ขทยั พระเจา้ กรุงสุโขทัยได้โปรดเกลา้ ฯ ให้พระยาพิษณโุ ลกกบั นางทอง
จันทร์คุมขบวนเรือนางสนมออกไปรับนางเลือดขาวถึงเมืองนครศรีธรรมราชเพ่ือทรงนาไปชุบเล้ียงเป็น
พระมเหสี สว่ นเจา้ พระยากุมารก็เดินทางกลบมาอย่บู ้านพระเกิด ครั้นนางเลือดขาวเข้าไปถึงกรงุ สโุ ขทัยได้
เข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงสุโขทัยแต่พระองค์มิได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระมเหสีหรือนางสนม ด้วยนางน้ันมี
สามีมีครรภ์ติดมาแต่สามีเดิม เพียงแต่โปรดเกล้าฯ ให้อาศัยอยู่ในกรุงสุโขทัย จนนางคลอดบุตรเป็นชาย
พระเจา้ กรงุ สโุ ขทัยทรงขอบตั รนั้นเลี้ยงไว้ ฝา่ ยนางเลอื ดขาวทูลลากลับเมืองพทั ลุง ครง้ั นั้นโปรดเกล้าฯ ให้
พระยาพิษณุโลกกับนางทองจันทร์นานางเลือดขาวไปส่งถึงเมือพัทลุง โดยขบวนเรือแล่นเข้าทางแม่น้า
ปากพนัง นางเลือดขาวได้พานักอยู่บริเวณบ้านค๊องหลายวัน ได้สร้างวัดขึ้นใกล้กับคลองค๊อง เรียกช่ือว่า
“วัดแม่อยู่หัวเลือดขาว” (ตาบลแม่อยู่หัว อาเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช) แล้วเดินทางต่อไป
จนถึงเมืองพัทลุง หลังจากนางเลือดขาวกลับจากกรุงสุโขทัยแล้วคนท่ัวไปมักเรียกนางว่า “แม่เจ้าอยู่หัว
เลือดขาว” หรือบางคร้ังเรียกว่า “นางพระยาเลือดขาว” หรือ “พระนางเลือดขาว” ด้วยเข้าใจผิดว่านาง
เป็นพระมเหสีของพระเจ้าแผ่นดิน โดยสรุปแล้ว ตานานนางเลือดขาว เป็นตานานทางประวัติศาสตร์
ท้องถ่ินที่แพร่กระจายอยู่ในบรเิ วรท้องท่ีจังหวดั พัทลงุ นครศรีธรรมราช สงขลา และตรัง ได้มีการรวมเอา

รายงานสรุปสาหรับผ้บู รหิ าร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเครง็ วถิ ีคนและปา่ | 179

นิทานอธิบายสถานท่ีเข้าปะปนด้วยกันจึงดูเป้นเร่ืองเกินความจริง ยากท่ีจะเช่ือถือเป็นข้อเท็จจริงทาง
ประวัตศิ าสตรไ์ ด้ แต่อยา่ งไรก็ตามในสิง่ ทเี่ ป็นนทิ านนน้ั ยอ่ มมีข้อเท็จจริงแอบแฝงอยูด่ ว้ ยอยา่ งแนน่ อน

ศาลหลวงต้นไทร ลุ่มน้าเทวดา เป็นอีกหน่ึงสถานท่ีสาคัญในพ้ืนท่ีภูมิทัศน์พรุเคร็ง ตั้งอยู่ใน
ตาบลการะเกด อาเภอเชยี รใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช (ภาพที่ 1.30) ท่ีมาของเรื่องราวมคี วามน่าสนใจ
กล่าวคือ เม่ือคร้ังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 9 ทรงรับเรื่องร้องทุกข์จากชาวบ้านในเขต
จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา เก่ียวกับปัญหาในการทาเกษตรกรรมท่ีได้รับผลกระทบจาก
น้าเค็มและสถานการณ์ปัญหาการทานากุ้งท่ีทาลายดินจนไม่สามารถทาเกษตรกรรมได้ น้าเค็มรุกล้าเขต
นาขา้ วสร้างความเสียหายแก่นาข้าว จากสถานการณ์ปญั หาทีร่ ้องทุกข์ไปนั้นทาให้พระองค์ทรงมีโครงการ
ในพระราชดาริเพ่ือแก้ปัญหาให้แก่ราษฎรเพื่อการพัฒนาลุ่มน้าปากพนังให้ฟ้ืนคืนชีวิตเป็นแหล่งน้าขนาด
ใหญ่อีกคร้ังหน่ึง ทรงดาริให้สร้างคลองส่งน้าและประตูระบายน้าเพ่ือควบคุมระบบน้าจืดและน้าทะเล ให้
ผสมผสานจนสมดุลกัน ทาให้ชาวนาปลูกข้าวได้ตามฤดูกาล ชาวนากุ้งเปล่ียนมาเล้ียงกุ้งขาวได้ตามปกติ
กระนั้นในระหว่างการดาเนินการขุดคลองส่งน้า เจ้าหน้าที่กรมชลประทานใช้รถแทรกเตอร์และเรือขุด
พยายามรื้อศาลตน้ ไทรแหง่ น้ี ทวา่ ต้องลม้ ป่วยและลม้ ชกั ในขณะทางาน ภายหลังจากน้ันนายจานญู พลาย
ด้วง ราษฎรตาบลแม่เจ้าอยู่หัวได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เมื่อวันเสาร์ที่
16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 เวลา 20.00 น. ถึงต้นไทรโบราณขนาดใหญ่ที่ขึ้นขวางแนวขุดคลองชะอวด -
แพรกเมือง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลท่ี 9 ทรงรับส่ังให้รักษาศาลแห่งน้ีไว้ และโปรด
เกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสร้างเป็นศาลหลวงตามโบราณราช
ประเพณี และมีการประกอบพิธีบวงสรวง เมื่อวันศุกร์ท่ี 29 ตุลาคม 2547 โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
กรรมการและเลขานกุ ารมูลนธิ ชิ ัยพัฒนาเปน็ ประธานในพธิ ฯี (สานกั บริหารยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวดั ภาคใต้
ฝัง่ อ่าวไทย, ม.ป.ป, คมชัดลกึ , 2554; ไทยพีบีเอส, 2559)

180 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจดั การระบบนิเวศป่าพรุเพือ่ เพิ่มความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนุรักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอย่างย่ังยนื

ภาพที่ 1.30 ศาลหลวงต้นไทร ริมคลองชะอวด-แพรกเมือง ตาบลการะเกด อาเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช
สถานท่ศี ักด์สิ ทิ ธ์ทิ ี่ผคู้ นกราบไหวบ้ ชู าพอ่ ปพู รมสตุ มลี กั ษณะเป็นจระเขม้ ีขาวตามความเชื่อโบราณ และเจ้าแม่ไทรทอง
ที่มา: บันทกึ ภาพโดย สวรนิ ทร์ เบ็ญเด็มอะหลี เม่อื พ.ศ. 2562

การดารงอยูข่ องความเชื่อทวดในชมุ ชนพรคุ วนเคร็ง
ความเชื่อเรื่องทวดของชุมชนพรุควนเคร็งมีการผลิตซ้าความเช่ือจากรุ่นสู่รุ่น และสามารถดารง
อยู่เป็นท่ีพ่ึงทางใจให้แก่คนในชุมชนได้จวบจนปัจจุบัน สะท้อนได้จากผลการศึกษาสะท้อนได้จากผล
การศึกษาของวรฤทธ์ิ บุรินทร์กุล (2562) ซึ่งได้ข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลที่เป็นคนเฒ่าคนแก่ของชุมชน นั่นคือ
ตานัด หรือนายนัด ภูส่ าย อายุ 84 ปี และตาเปลื่อง หรอื นายเปลอื่ ง แป้งทอง อายุ 70 ปี ชาวบา้ นตาบล
เคร็ง ได้เล่าถึงการนับถือทวดของคนในพ้ืนที่ตาบลเคร็ง อาเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราชว่า
ชาวบ้านในพนื้ ท่ีตาบลเคร็ง มีการนับถือสงิ่ ศักด์ิสทิ ธ์ิมาต้ังแต่โบราณ ซ่ึงก็คือการนับถือทวด และจากความ
เชื่อน้ีจึงทาให้ชาวบ้านนับถือบูชาทวดเป็นประเพณีและการทาบุญ เช่น ไหว้สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
ทวด คือ คนที่เคร่งศาสนา เก่งกล้าวิชา จนกลายร่างเป็นงู เสือ จระเข้ ได้สถานที่ที่ทวดอยู่เรียกว่า หลา
(ศาลา) สว่ นใหญจ่ ะมอี ยทู่ ุกหมู่บ้าน หลาทวด มีไวเ้ พอื่ ป้องกนั รักษาพื้นที่ ท่ีตง้ั ของหลาทวด มีนาค วน คือ
การเอาจุดปลายสุดของท่ีดินแต่ละคนท่ีจะชนกันเว้นไว้เพ่ือตั้งหลาทวด เว้นไว้เป็นรูปวงกลมประมาณ 1
ไร่ เป็นกุศโลบายเพื่อไม่ให้ทะเลาะกันเร่ืองท่ีดิน และสถานท่ีท่ีคนเห็นทวดมาปรากฏจะเอาท่ีบริเวณน้ัน
เป็นที่ตัง้ หลาทวด การทาบญุ หลาทวด มกั ทาในชว่ งเจ็บไข้ไม่สบาย คือหากเราไปบนศาลากล่าวไว้ ก็จะไป
แก้บนโดยการทาบุญหลาทวด เม่ือถึงเดือน 9 จะมีพิธีฉลองทราย ทาวันใดก็ได้แล้วแต่จะสะดวก การจัด
พธิ ีฉลองทราย ชาวบ้านจะช่วยกนั ถางหญ้า กวาดหลาทวด นาทรายไปสร้างเจดีย์ทรายและนาดอกไม้ ธูป
เทียน ไปจุดล้อมรอบคนละดอก ตกแต่งใหส้ วยงามนาธงขาวไปปักยอดกองทราย ในธงขาวนั้นจะเขียนช่ือ

รายงานสรุปสาหรับผู้บริหาร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วิถคี นและป่า | 181

ที่อยู่ของคนท่ีไปฉลองทรายเสร็จแล้วก็เอาข้ึนไม้ไผ่ปักธงไว้ตลอดจนกว่าจะพัง จากนั้นชาวบ้านจะนิมนต์
พระไปสวดพาหุง ถวายเพลพระ ของเซ่นไหว้จะเป็นท่ีสิบสอง คือ นากับข้าวคาวหวานหรืออื่น ๆ ใส่ให้
ครบ 12 อย่าง แต่ห้ามมีเหลา้

การนบั ถือทวดในเคร็งจะมีหลาทวดอยู่ทุกหมูบ่ ้าน หลาทวด (ภาพที่ 1.31) มไี ว้เพ่ือป้องกันรักษา
พ้ืนที่ ที่ตั้งของหลาทวดคือการเอาจุดปลายสุดของท่ีดินแต่ละคนที่จะชนกันเว้นไว้เพื่อตั้งหลาทวด เว้นไว้
เป็นรูปวงกลมประมาณ 1 ไร่ เป็นกุศโลบายเพ่ือไม่ให้ทะเลาะกันเรื่องท่ีดินและสถานที่ที่คนเห็นทวดมา
ปรากฏ จะเอาที่บริเวณน้ันเป็นท่ีต้ังหลาทวด และมีการทาบุญหลาทวด โดยมักทาในช่วงเจ็บไข้ไม่สบาย
คือ หากผู้ใดไปบนบานศาลกล่าวเอาไว้ เมื่อหายจากการเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะไปแก้บนโดยการทาบุญหลาทวด
และเมื่อถึงเดือน 9 จะมีพิธีฉลองทราย โดยที่ทาวันไหนก็ได้แล้วแต่จะสะดวก การจัดพิธีฉลองทราย
ชาวบา้ นจะชว่ ยกนั ถางหญา้ กวาดหลาตาทวด นาทรายไปสรา้ งเจดยี ท์ รายและนาดอกไม้ ธปู เทียน ไปจุด
ล้อมรอบคนละดอก ตกแต่งใหส้ วยงามเอาธงขาวไปปักยอดกองทรายในธงขาวนั้นจะเขียนชื่อท่ีอยขู่ องคน
ที่ไปฉลองทรายเสร็จแล้วก็เอาขึ้นปักธงไว้ตลอดจนกว่าจะพัง จากน้ันชาวบ้านจะนิมนต์พระไปสวดพาหุง
ถวายเพลพระ ของเซ่นไหว้จะเป็นท่ีสิบสอง คือ เอากับข้าวคาวหวานหรืออื่น ๆ ได้ให้ ครบ 12 อย่าง
แตห่ า้ มมีเหลา้

ภาพท่ี 1.31 หลาตาทวดที่มขี องเซน่ ไหว้ และของเซน่ ไหวท้ ีว่ างบนถาดทีใ่ ช้ในการทาพิธีเซ่นไหว้ตาทวด
ท่มี า: วรฤทธิ์ บรุ นิ ทร์กลุ (2562)

คนในตาบลเคร็ง มีความเชื่อและศรัทธาในทวดเคร็งอย่างแรงกล้า ในปัจจุบันยังมีการเคารพนับ
ถือทวดเคร็งเหมือนเดมิ แต่คนรุ่นใหม่บางส่วนมีแนวคิดท่ีเปลยี่ นแปลงไป ไม่ได้ลบหลู่แต่ไม่ได้ไปบูชาหรือ
ร่วมทาพิธีบูชาทวดเคร็ง แต่ด้วยคาบอกเล่าปากต่อปากจากบรรพบุรุษ ก็ยังนับถือทวดเคร็งอยู่การนับถือ
ตาทวด ทาให้ชาวบ้านรู้จักเคารพนบั ถือกันและกัน และถือว่าหากจะทาการใดล่วงเกินตามความเชอ่ื ที่ถือ
ปฏิบัติกันมายาวนานก็ต้องก็จะยึดถือตาทวดเป็นหลัก น่ันหมายความว่าจากอดีตจนถึงปัจจุบันชาวบ้าน
ควนเคร็งยึดถือตาทวดเป็นที่พึ่งทางจิตใจ เช่นเดียวกับผลการศึกษาในงานวิจัยของ ศุกลภัทร รักษ์ทอง
และคณะ (2554, 367-408) ทรี่ ะบุวา่ ชาวบา้ นในชมุ ชนเคร็งมคี วามเชื่อเรอื่ ง ตาทวดหลักเมอื ง ตาทวดตา
กล้วย-ยายคา ตาทวดอินทร์แก้ว โดยเช่ือว่าว่าอานาจจากสิ่งศักด์ิสิทธิ์เหล่าน้ีสามารถท่ีจะคุ้มครองรักษา
และป้องกันอันตรายต่างๆ ตอ่ คนทเ่ี คารพนับถือ ท้งั ยังทาให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ในการเพาะปลูก โชคดี

182 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจดั การระบบนเิ วศปา่ พรุเพ่ือเพ่มิ ความสามารถในการกกั เกบ็ คาร์บอน
และอนรุ กั ษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยัง่ ยนื

ในการทามาหากิน ท้ังยังมีความศรัทธาต่อ พระครูสุวรรณธรรมรังสี อดีตเจ้าอาวาสวัดควนยาว (วัดเขมา
ราม) และอดีตเจ้าคณะอาเภอชะอวดท่ีมรณภาพไปแล้ว โดยชาวบ้านมักไปบนบานสานกล่าวเม่ือได้รับ
ความเดือดร้อนหรือมีความปรารถนาต่อส่ิงใดๆ แล้วผลท่ีได้มักเป็นไปตามท่ีขอหรืออธิษฐาน แต่ปัจจุบัน
ความเชอื่ ไดเ้ ลือนรางไป

นอกจากน้ี กลุ่มคนในตาบลเคร็งยังมีประเพณีและการละเลน่ ประเพณีลากพระทางน้า เดือน 12
เป็นประเพณีลากพระของวัดควนยาว จะใช้เรือลากไปตามควนชิง ควนเคร็ง โดยเอาเรือ 2 ลา มาต่อกัน
ทาเป็นแพแล้ว เอาเรือลากไปประมาณ 10 ลา แต่ละลาจะมีคนพายเรืออยู่ประมาณ 10 คน จะมีพระนั่ง
ไปกับเรือด้วย ประมาณ 2-3 รูป เม่ือถึงเวลาจาวัดพระก็จะนอนในเรือ พระบกจะลากช่วงออกพรรษา
ประมาณ 15 ค่า เดือน 11 แต่พระน้า จะลากช่วงเดือน 12 ร้องเพลงบอก ในช่วงเดือน 5 ก่อนสงกรานต์
คนร้อง เพลงบอกจะมาร้องชมเจา้ บา้ น ใหพ้ รและอวยพร จะไปรอ้ งเวลาใดกไ็ ด้หรือช่วงตกค่า หลงั จากทา
นาเสร็จก็ไปร้องเพลงบอกตามบ้านต่าง ๆ รวมตัวกันไป 6-10 คน ในแต่ละหมู่บ้านมีประมาณ 1-2 กลุ่ม
ชวนกนั มาเลน่ สนกุ ๆ ส่งเสรมิ ใหช้ าวบ้านสามัคคี ไมท่ ะเลาะกนั ความเชอ่ื สมัยก่อน ผูช้ ายตอ้ งลกั ขโมยวัว
ควายเป็นถึงจะไปขอผู้หญิงแต่งงานได้ ต้องเป็นนักเลงเพ่ือจะดูแลผู้หญิงได้ ส่วนใหญ่แล้วจะนิยมขโมยวัว
มากกว่าควาย เพราะววั ไมด่ ุเท่าควายชาว อาเภอหวั ไทรและอาเภอเชียรใหญ่กับตาบลเคร็งมักจะแต่งงาน
กัน เพราะเป็นการเกื้อหนุนกันเร่ืองอาหาร แบ่งปันกัน แลกเปลี่ยน หมาก พลู สะตอ ข้าว ปลา ตาม
ประเพณีเมื่อแต่งงานแล้วต้องมาอยู่บ้านผหู้ ญิงส่วนสนิ สอด คือการให้เงินและสรา้ งบ้าน ต้องสร้างบ้านให้
1 หลัง ตรงชานบา้ นตอ้ งทาจากไมเ้ ยยี่ ม 12 แผ่น เพอ่ื แสดงฐานะและความพยายามของฝา่ ยเจา้ บา่ ว

ภูมปิ ัญญาการใชท้ รพั ยากรของชุมชนในพนื้ ท่พี รคุ วนเครง็
คาว่า “ภูมิปัญญา” ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554

(ราชบัณฑิตยสถาน, 2554, 872) หมายถึง พ้ืนความรู้ความสามารถ ทว่า ภูมิปัญญาท่ีกล่าวถึงกันมัก
หมายถึง ภูมปิ ญั ญาชาวบ้านหรือภูมิปัญญาของชุมชนหรือท้องถิน่ ซ่ึง สธุ ิวงศ์ พงษไ์ พบูลย์ (2542, 5755-
5768) อธิบายว่า ภูมิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง วิธีการจัดการ วิธีการช้ีนา และการริเร่ิมเสริมต่อของ
นักปราชญ์ในทอ้ งถ่ินหรือในกลุ่มชน ภูมปิ ัญญาชาวบ้านลว้ นส่ังสมงอกงามข้นึ จากรากฐานของความรอบรู้
ประสบการณ์ ผนวกด้วยความเฉียบแหลมคมในการหย่ังเห็นหยั่งรู้ท่ีลุ่มลึกกว่าวิสัยทัศน์) โดยภูมิปัญญา
ย่อมมีขึ้นเพื่อการปรับเปล่ียนสภาพทรัพยากร และองค์ความรู้ท่ีมีอยู่เดิมให้เพิ่มพูนคุณค่าข้ึนอย่างสอด
ประสานและเหมาะสมกับบริบทต่าง ๆ ของสังคมหรือชุมชนของตน ท้ังด้านระบบนิเวศ
ทรพั ยากรธรรมชาติ ทรัพยากรบคุ คล และทรพั ยากรวัฒนธรรม รวมทงั้ ปัจจัยและข้อจากดั ท้ังมวลท่ีเผชิญ
อยู่ เช่น ภูมิปัญญาการปรับเปล่ียนวิธียังชีพจากเพียงเพื่ออยู่รอดไปสู่ภาวะมีกินมีอยู่มีใช้อย่างเพียงพอไม่
ตอ้ งเส่ียงตอ่ การเผชิญกับภาวะการขาดแคลน เหน็ ไดช้ ัดว่า ทรัพยากรธรรมชาติหรอื ความหลากหลายทาง
ชวี ภาพมคี วามเชอ่ื มโยงกบั วิถีการดารงชวี ติ การต้ังถิน่ ฐาน และภมู ปิ ญั ญาท้องถิน่ ซึง่ สธุ ิวงศ์ พงษไ์ พบูลย์
(2544, 35) ได้อธิบายในประเด็นน้ีที่อ้างถึงผลการวิเคราะห์จากหลักฐานทางโบราณคดีต่าง ๆ ที่มีการ
ค้นพบท่ีอธิบายได้ว่า ความหลากหลายทางชีวภาพมีความสัมพันธ์กับการต้ังถ่ินฐานและการสะสมภูมิ
ปัญญา การสืบทอดและการแพร่กระจายขององค์ความรู้ซ่ึงมีบรรพบุรุษนับแต่ดึกดาบรรพ์เป็น “หนู
ทดลอง” ได้ผลิตซ้าและพิสูจน์ซ้าจนพฤติกรรมเกิดเป็นคติและระบบสืบทอดต่อ ๆ กันมา ผ่านทั้ง
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และประวัตศิ าสตรม์ าสู่คตชิ นหรอื วัฒนธรรมทอ้ งถิน่

รายงานสรุปสาหรับผูบ้ รหิ าร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเครง็ วถิ ีคนและปา่ | 183

ท้ังน้ี หทัยรัตน์ บุณโยปัษภัมภ์ (2561) อธิบายถึงลักษณะของภูมิปัญญาท้องถ่ินซึ่งมี 2 ลักษณะ
คือ 1) ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เป็นนามธรรม ได้แก่ มโนทัศน์การตระหนักรู้ วิธีคิด ความเชื่อ ปรัชญา ในการ
ดาเนินชวี ติ ของผู้คน เช่น การบูชาแมโ่ พสพ ทีม่ คี วามเช่ือว่าหากใครปฏิบัตดิ ีต่อต้นข้าว เมลด็ ข้าวจะส่งผล
ให้เกิดความม่ังค่ังและสุขสมบูรณ์ หากใครปฏิบัติไม่ดีก็จะเกิดความอดอยากตามมา และ 2) ภูมิปัญญา
ท้องถ่ินที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ เทคโนโลยีการทามาหากิน การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม
แพทย์พื้นบ้านและการดูแลสขุ ภาพ การเกษตร ศิลปะ หัตถกรรม ฯลฯ เช่นผ้าทอเกาะยอ เป็นหัตถกรรม
พ้ืนบ้านท่ีมีเอกลักษณ์โดดเด่นของจังหวัดสงขลา ขณะที่ ประเวศ วะสี (2536 อ้างถึงใน หทัยรัตน์ บุณ
โยปัษภมั ภ์, 2561) ไดอ้ ธิบายลกั ษณะสาคัญของภูมปิ ัญญาท้องถนิ่ 3 ประการ กล่าวคอื 1) มคี วามจาเพาะ
กับท้องถิ่น บ่งบอกต้นกาเนิดของภูมิปัญญาที่มาจากประสบการณ์หรอื ความเจนจัดจากชีวิตและสังคมใน
ท้องถิ่นหน่ึง ๆ จึงมีความสอดคล้องกับเร่ืองของท้องถ่ินนั้นมากกว่าภูมิปัญญาที่มาจากข้างนอก แต่อาจ
นาไปใช้ในท้องถิ่นอ่ืนๆท่ีแตกต่างกันไม่ได้หรือได้ไม่ดี 2) มีความเชื่อมโยงหรือบูรณาการสูง แสดงถึง
ความสัมพันธ์ระหว่างชีวิต (กายและใจ) สังคม และส่ิงแวดล้อม เป็นการนาส่ิงแวดล้อมหรือธรรมชาติมา
ตีความเป็นนามธรรมเพื่อสื่อไปถึงจิตใจของคนและนาไปสู่อัตถประโยชน์ กล่าวอีกนัยหนึง่ คือ การสอนให้
คนเคารพธรรมชาติ ถ้าคนเราเคารพอะไรย่อมไม่ทาลายสิ่งน้ัน เช่น การทาขวญั ชา้ งเป็นการทาขวัญสัตว์ท่ี
มีความสัมพันธ์ในฐานะมีคุณประโยชน์ต่อคนและส่วนรวม โดยมีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเช่ือม่ัน
ราลึกถึงบุญคุณและเป็นสิริมงคลแก่ช้าง และ 3) มีความเคารพผู้อาวุโส เพราะภูมิปัญญาท้องถิ่นให้
ความสาคัญแก่ประสบการณ์ จึงมคี วามเคารพตอ่ ผูอ้ าวุโสซงึ่ มีประสบการณม์ ากกว่านน่ั เอง

ทานองเดียวกัน ชุมชนรายรอบพรุควนเคร็งก็มีภูมิปัญญาของท้องถิ่นท่ีสอดคล้องกับบริบทของ
ท้องถิ่นและมีการปรับเปลี่ยนวิธีการยังชีพไปตามกาลเวลาหรือเงื่อนไขของสังคมในแต่ละยุคสมัยหรือ
ภาวะการบีบค้ันทางเศรษฐกิจท่ีชุมชนต้องเผชิญ เช่น การปรับเปลี่ยนวิธีการถอนกระจูด เป็นการตัด
กระจูด การทานาเป็นการทานายาง นาปาล์มน้ามัน เป็นต้น ภูมิปัญญาของชุมชนรายรอบพรุควนเคร็ง
ย่อมมีวิถีเชื่อมโยงกับป่าพรุควนเคร็งอันหมายถึงมีความสมั พันธ์เชื่อมโยงกับความหลากหลายทางชีวภาพ
มีการส่ังสมภูมิปัญญาสืบต่อกันมาหลายช่ัวคน ภูมิปัญญาท้องถ่ินของชุมชนรายรอบพรุควนเคร็งท่ีผ่าน
กระบวนการทดลองสืบต่อกันมานั้นมีหลากหลายด้านท่ีสามารถพัฒนาต่อยอดเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิต
ของคนในชุมชนให้ดีข้ึนได้ทั้งในมิติเศรษฐกิจชุมชนซึ่งหมายถึงการพัฒนาที่เป็นการสร้างรายได้เพ่ือการ
เลี้ยงชีพของแต่ละครัวเรือนในชมุ ชน มิติทางด้านวัฒนธรรมท่ีสะท้อนคุณค่าและเอกลักษณ์ของชุมชน ซึ่ง
สอดคล้องตามลักษณะของภูมิปญั ญาท้องถิน่ ท่ีกล่าวมาขา้ งต้น

จากรายงานผลการศึกษาองค์ความรู้ท้องถ่ินที่เก่ียวข้องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าพรุเพ่ือการ
พัฒนาอาชีพในพื้นท่ีป่าพรุควนเคร็ง ตาบลเคร็ง ป่าพรุสวนสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ตาบลชะอวด ป่าพรุ
ควนเงนิ ตาบลบา้ นตูล อาเภอชะอวด จงั หวดั นครศรีธรรมราช โดย วรฤทธิ์ บรุ นิ ทร์กลุ (2562) ไดก้ ล่าวถึง
ภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนพรุควนเคร็งไว้ท้ังในแง่การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่าพรุ เช่น การทา
หัตถกรรมจักสานจากพืชกระจูด โดยแฝงไว้ด้วยภูมิปัญญาการเก็บเกี่ยวพืชกระจูดท่ีใช้วิธีการถอน ซึ่ง
สะท้อนถึงการเก็บเกี่ยวที่อยู่บนพื้นฐานพอเพียง กระนั้นยังเป็นแนวทางการใช้ประโยชน์โดยคานึงถึง
ปัญหาไฟป่าอีกด้วย การทาประมงโดยการใช้เคร่ืองมืออันเป็นภูมิปัญญาท้องถ่ินท่ีสืบทอดต่อกันมาและ
ยังคงดารงอยู่จวบจนปัจจุบัน (ปี พ.ศ. 2562) เช่น การทาไซดักปลา ซึ่งคนในชุมชนยังคงทาเคร่ืองมือ
ประมงน้ีใช้ในการจับสตั ว์น้า การหาน้าผ้ึงป่าทั้งด้วยการหาน้าผึ้งจากรังผ้ึงธรรมชาตแิ ละการใช้ภูมิปัญญา

184 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุเพื่อเพิม่ ความสามารถในการกักเกบ็ คาร์บอน
และอนรุ ักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งย่งั ยนื

การเล้ียงผ้ึงโพรงที่เป็นการสร้างโพรงหรือที่อยู่ให้ฝูงผึ้ง ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย การสืบทอด
ศิลปะการแสดงมโนราห์และพิธีกรรมโนราโรงครู ซึ่งมีรายละเอียดแต่ละภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนพรคุ วน
เคร็งดงั น้ี

“จูด” ต้องถอน การถอนกระจูดเป็นภูมิปัญญาการเก็บเกี่ยววัตถุดิบที่ใช้พืชกระจูดในหัตถกรรม
จักสาน ซ่ึงเป็นอีกภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วคน (ภาพท่ี 1.32) การถอนกระจูดเป็น
วธิ กี ารเกบ็ เกี่ยวที่สะท้อนถงึ การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของชุมชนอยา่ งย่ังยืน น่นั คือ การใชบ้ นพ้ืนฐาน
การผลิตแบบพอเพียง ผลิตเพ่ือใช้ เหลือจึงขาย แม้ปัจจุบันนี้รูปแบบการผลิตเพื่อตลาดทาให้วิธีการเก็บ
เก่ียววัตถุดิบเปลี่ยนจากการถอนเป็นการตัดกระจูด (ภาพท่ี 1.33) ซึ่งทาให้มีรากกระจูดหลงเหลืออยู่ใน
พืน้ ทป่ี ่าพรุและกลายเป็นอนิ ทรีย์วตั ถุในพรทุ ี่เปน็ การเพ่ิมปริมาณเชื้อเพลิงในปา่ พรุ ที่ทาให้การเกิดไฟไหม้
ปา่ ในช่วงหน้าแลง้ มีความรนุ แรงข้นึ พืชกระจดู ทขี่ ้นึ

ภาพที่ 1.32 ชาวบา้ น ขณะกาลงั ถอนกระจูด
ทมี่ า: สถาบนั ทกั ษณิ คดศี ึกษา (2529, 10)

รายงานสรุปสาหรับผู้บรหิ าร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเครง็ วถิ ีคนและป่า | 185

ภาพที่ 1.33 ชาวบ้านในพืน้ ที่ตาบลเครง็ ขณะกาลงั ถอนกระจดู แยกขนาด และกระจดู ทม่ี ีการตัดปลายแล้ว
ทมี่ า: บันทึกภาพโดยนันทวรรณ อุ่นจางวาง เม่ือ พ.ศ. 2562

รู้จกั “จูด” หรอื กระจูด เปน็ พชื ในปา่ พรุมีช่ือท้องถิน่ วีจุ๊ (มลายู-นราธิวาส) กือจุ๊ ช่อื วทิ ยาศาสตร์
Lepironia articulate (Retz.) Domin ช่ือวงศ์ Cyperaceae กระจูด ในภาษาถ่ินใต้เรียกว่า “จูด”
เป็นพืชพวกกก มีเหง้าใต้ดิน ข้ึนเป็นกอใหญ่ทั่วไปในพ้ืนท่ีพรุ ลาต้นตรงกลม ตามภาคตัดขวางเรียวยาว
50-200 เซนติเมตร หนา 2-7 มิลลิเมตร ภายในกลวง มีแผ่นบางก้ันเป็นระยะ โคนลาหุ้มด้วยกาบ 2-3
กาบ มีเมล็ด 4-5 เมล็ด ดอกออกใกล้ปลายยอดหรือท่ียอด รูปรี รูปไข่ หรือรูปขอบขนาน สีน้าตาลหรือ
ม่วงเมื่อแก่จัด ยาว 10-35 มิลลิเมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 3-7 มิลลิเมตร ใบประดับรูปเรียว กลม ปลาย
แหลมคล้ายลาประดับด้านบนของช่อต่อจากลา กาบรองดอกเล็ก รปู ไข่ มหี ลายอนั เรียงสลับเกยกันแน่น
ลาต้นของกระจูดนามาใช้ทาเสื่อและกระเป๋าถือ เผาไฟเอาข้ีเถ้าละลายน้ามันงา ทาแก้เลือดออทางสะดือ
ของทารกหลงั ตัดสะดอื แลว้ ถ้ามีเลือดออกมากหรอื ผดิ ปกติ (ชวลิต นิยมธรรม และพิทยา บษุ รารตั น์, อา้ ง
ถึงในมูลนธิ ิสารานุกรมวฒั นธรรมไทย ภาคใต้, 2542, 33-34)

ถอน คลุกโคลน ตากแดด รีด เป็นกระบวนการเตรียมกระจูดก่อนท่ีจะนาเส้นกระจูดไปสานเส่ือ
หรอื แปรรปู ทาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ โดยเรมิ่ ตัง้ แต่การถอนกระจดู ทโี่ ตได้ขนาดเหมาะสมในใช้งานแปรรูปเป็น
ผลผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้ นั่นคือ ลาต้นมีความยาวไม่ต่ากว่า 1 เมตร เม่ือถอนได้แล้วจึงจัดแบ่งกระจูด
ออกเป็นมัด โดยแต่ละกลุ่มจะมีความยาวพอ ๆ กัน นามาตัดหัวตัดปลายให้เรียบร้อย จากน้ันนากระจูด
ไปคลุกกับดินโคลนที่เตรียมไว้ (ดินโคลนดังกล่าว เป็นดินโคลนสีขาวขุ่น เนื้อดินละเอียด) สาเหตุที่ต้อง
เคลือบผิวกระจูดด้วยดินโคลนเป็นวิธีการแบบพ้ืนบ้านเพ่ือถนอมกระจูดให้คงทนได้นาน ป้องกันมิให้เส้น
กระจูดแตก แล้วนากระจดู ทค่ี ลุกดนิ แล้วไปตากแดดให้แหง้ 1-2 วัน โดยตากบนลานดินทส่ี ะอาด หรือบน
พ้นื กระดานจนกว่าจะแหง้ สนิท หากไมแ่ ห้งอาจจะมรี าขึ้นได้ แล้วจงึ นากระจูดที่ตากแห้งแล้ว ทาการลอก
กาบที่บริเวณโคนลาต้นออกให้หมด แล้วรวบกระจูดทาเป็นมัดหรือเป็นกา แต่ละมัด/กา จะมีความยาว
เท่า ๆ กัน กระจูด 1 มัด/กา จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 – 6 น้ิว (กระจูด 1 มัด/กา สามารถสาน
เสื่อขนาดกว้าง 1.20 เมตร ยาว 2 เมตร ได้ 1 ผืน สุดท้ายคือ การรีดกระจูดให้แบน เป็นข้ันตอนทา
กระจดู ให้แบนเรยี บสมา่ เสมอตลอดท้ังเสน้ โดยวธิ ดี งั้ เดมิ ท่ีใช้แรงงานคน ทเี่ รยี กว่า การกลง้ิ จดู โดยการใช้

186 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุเพ่ือเพิม่ ความสามารถในการกกั เก็บคาร์บอน
และอนุรักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอย่างย่ังยืน

เครื่องบดลูกกลิ้ง (“ลูกกล้ิง” มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก ทาด้วยคอนกรีตมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
14–16 นวิ้ ยาวประมาณ 3 ฟุต) เมื่อกล้ิงกระจูดเรยี บพอสมควรแล้ว ก็ทาการตาด้วยสากไม้ โดยใชค้ นตา
2 คน หันหน้าเข้าหากัน คนหน่ึงเดินหน้า และอีกคนหนึ่งถอยหลังสลับกันตา หลังจากตาด้านหนึ่งไปแลว้
1 – 2 เที่ยว จึงพลิกกลับอีกด้านหนึ่งทาการตาจนท่ัวตลอดท้ังเส้น จนกว่าจะได้เส้นกระจูดที่แบนเรียบ
สม่าเสมอหรือการรีดจูดโดยใช้เครื่องทุ่นแรง นั่นคือ เครื่องรีดจูด ท่ีช่วยลดเวลาในข้ันตอนการทาเส้นจูด
ให้เรียบแบนพร้อมนาไปแปรรูปเป็นผลิตภณั ฑ์ต่าง ๆ หรือส่งเส้นจูดขายให้แก่ชุมชนอื่น ๆ ได้รวดเร็วและ
ปริมาณมากข้ึน โดยเฉพาะชุมชนทะเลน้อย ตาบลพนางตุง อาเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง (ภาพที่ 1.34-
1.35)

ภาพท่ี 1.34 มดั กระจูดทถ่ี อดได้ และการลาเลยี งกระจดู จากปา่ พรุไปยังหมู่บ้าน
ทม่ี า: บนั ทกึ ภาพโดย นันทวรรณ อนุ่ จางวาง เม่ือ พ.ศ. 2562

ภาพท่ี 1.35 ชาวบา้ นในตาบลเคร็ง ขณะกาลังนากระจูดคลุกโคลน กระจดู ตากแดดให้แห้ง และนาเข้าเครอ่ื งรดี ให้เรียบ
แบบพร้อมใช้งานในการจักสานตอ่ ไป
ท่มี า: บันทึกภาพโดย นันทวรรณ อนุ่ จางวาง เม่ือ พ.ศ. 2562

อน่ึง จากข้อมูลการเตรียมกระจูดที่ปรากฏในสารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ (2529, 10-11)(ภาพ
ที่ 1.36-1.37) ได้อธบิ ายการเตรียมกระจูดซึง่ เร่มิ ตัง้ แต่คัดเลือกหรือแยกกระจูดตามความยาวจนถึง การ
ทากระจูดให้แบนพร้อมท่ีจะนามาสานได้ ซ่ึงแต่ละท้องถ่ินมีข้ันตอนที่แตกต่างกันไม่มากนัก เช่น การ
เตรียมกระจูดของชาวทะเลน้อยมีข้ันตอนที่เมื่อได้กระจูดมาจากแหล่งแล้ว นากระจูดมาเข้าท่ีสาหรับ
คัดเลือกหรือแยกความส้ันยาว โดยนากระจูดมาจับทีละกาป่า หรืออาจจุมากน้อยกว่าเล็กน้อยมาวาง
ในแนวตั้ง แล้วดึงต้นกระจูดที่ยาวกว่าออกไปรวมไว้อีกแห่งหนึ่ง เรียกการคัดกระจูดโดยวิธีนี้ว่า
“โซะกระจูด” จากน้ันใช้มีดตัดส่วนที่ไม่ต้องการออก นากระจูดที่ไปคัดเลือกแล้วมาคลุกน้าโคลนดินสอ

รายงานสรุปสาหรบั ผู้บริหาร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วถิ ีคนและป่า | 187

รางน้าที่เตรียมไว้ เมื่อได้ท่ีแล้วนามาตากแห้งประมาณ 2-3 วัน แล้วเก็บเข้าที่ท้ิงไว้ 4-5 วัน เพ่ือให้ต้น
กระจูดคลายตัว เม่ือจะใช้ก็เอากระจูดไปตากน้าค้าง 1 คืน เพ่ือให้ต้นกระจูดล่ืนสะดวกในการท่ิม จากนั้น
นาไปทม่ิ หรอื ทกุ ทีละมัด โดยนาไปวางบนแทง่ ไม้สีเ่ หล่ยี มท่ิมหรือทุบให้แบนด้วยสากตาข้าวหวั ตัด การท่ิม
จะทม่ิ คนเดียวหรือสองคนกไ็ ดแ้ ล้วแตส่ ะดวก โดยใช้เท้าทง้ั สองเหยยี บมัดกระจูดไว้ เดนิ หน้า ถอยหลงั ท่มิ
จนกระจูดแบนตามต้องการ จากนั้นแก้มัดออกปอกกาบโคนของลาต้นทิ้ง แล้วเก็บเข้าท่ีเพื่อไว้สานต่อไป
หากต้องการย้อมสีให้นากระจูดท่ีท่ิมและตากน้าค้าง 1 คืน แล้วนามาทับด้วยลูกกลิ้งน้าหนักประมาณ
100 กโิ ลกรมั จนแบนตามต้องการแล้วนาไปแช่น้าไว้ ตน้ น้าใหเ้ ดือดเอาสีใส่ในน้าคนให้สลี ะลายดีแลว้ นา
กระจูดที่จะย้อมมาพักจุ่มลงไปในน้าสีแช่ไว้ประมาณ 2-3 นาที จึงนาขึ้นไปผ่ึงแดดประมาณ 2-3 ช่ัวโมง
แล้วนาไปเก็บไว้ในที่ร่ม ข้อควรระวังในการย้อมคือ ระยะเวลาของการย้อมต้องกาหนดให้เท่า ๆ กันทุก
ครัง้ มิฉะน้ันจะไดก้ ระจูดทม่ี สี ไี ม่เสมอกนั การยอ้ มสกี ระจูดจะทาให้ลายจกั สานเด่นข้ึนกวา่ ปกติ

ภาพท่ี 1.36 การตากกระจูดในอดีตมีทั้งการตกแบบคลี่แผ่นกระจาย และการตากในลักษณะคล้ายพัดโดยยังไม่แกะ
เชือกทมี่ ัดรวบไว้เพอื่ สะดวกในการเก็บ
ท่ีมา: สถาบันทกั ษิณคดีศึกษา (2529, 11)

ภาพท่ี 1.37 การย้อมกระจูดด้วยน้าโคลนดินสอ หรือ “ดินทรายน้า” การทากระจุดให้แบนด้วยการบดทับ (กล้ิงจูด)
การทิ่ม (ใชแ้ รงคนเดียว) หรืออาจใชว้ ิธีการท่มิ ซอ (การใชแ้ รงคนสองคนขน้ึ ไป) (อดตี )
ทมี่ า: สถาบันทักษณิ คดีศึกษา (2529, 10-11)

ปัจจุบัน การเตรียมกระจูดได้มีการนาเครื่องมืออานวยความสะดวกมาใช้ในการรดี เส้นกระจูดให้
แบนก่อนนาไปสานเป็นกระเป๋าในรูปแบบต่าง ๆ ท่ีหลากหลายมากข้ึน สาด(เส่ือ) ส่ิงของเคร่ืองใช้ต่าง ๆ

188 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจดั การระบบนเิ วศป่าพรุเพอ่ื เพ่ิมความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน
และอนุรกั ษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอย่างยง่ั ยืน

ตามคาส่ังซ้ือที่ลูกค้า อย่างไรก็ตาม การกล้ิงจูดแบบดั้งเดิมโดยใช้แท่งซีเมนต์มีลักษณะกลมยังคงมีใช้ใน
บางครัวเรือน (ภาพที่ 1.38) จะเห็นได้ว่า วิถีกระจูดและคนในชุมชนในพ้ืนท่ีภูมิทัศน์พรุควนเคร็งยังคง
เป็นวิถีการดารงชีพที่เชื่อมโยงชุมชนและป่าพรุไว้ด้วยกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน ความรู้ภูมิปัญญา
ท้องถ่ินถ่ายทอดสืบต่อกันมาจวบจนปัจจุบัน และจะยังคงสืบทอดต่อไปยังคนรุ่นใหม่ ท่ีกล่าวเช่นน้ีก็
เพราะวา่ ชมุ ชนในพ้นื ท่พี รคุ วนเคร็งยงั คงมชี าวบ้านประกอบอาชีพการทากระจดู ในแตล่ ะขัน้ ตอนและมีคน
หลายช่วงวยั ทัง้ เดก็ วัยรนุ่ และคนสงู วัย รวมถงึ ท้ังผูห้ ญิงและผชู้ าย มกี ารผลิตชิ้นงานจากเส้นกระจดู อย่าง
ต่อเน่ืองและมีการพัฒนารูปแบบที่ทันสมัย ขายออกไปยังสังคมภายนอกทั้งในประเทศและต่างประเทศ
(ภาพที่ 1.39)

ภาพที่ 1.38 การทาเส้นจูดให้เรียบแบบในปัจจุบัน โดยการกลิ้งจูดซ่ึงเป็นวิธีการดั้งเดิมท่ียังคงสืบทอดต่อกันมาจน
ปจั จุบนั และการใชเ้ ครอื่ งทุ่นแรงในการรดี จูดซึ่งลดเวลาในการเตรียมวัตถุดบิ งานจกั สาน
ทม่ี า::บนั ทกึ ภาพโดย สวรนิ ทร์ เบญ็ เดม็ อะหลี เมื่อ พ.ศ. 2562

ภาพที่ 1.39 ชาวบ้านตาบลเคร็งกบั การเริ่มต้นทางานยามเช้าท้ังการสาน การตดั แตง่ ช้ินงาน ซง่ึ ชว่ ยกนั ท้งั ครอบครัวทุก
เพศและวยั
ท่ีมา: บนั ทึกภาพโดยสวรินทร์ เบญ็ เดม็ อะหลี เม่อื พ.ศ. 2562

สาดจูด ต้อง “สาดชะอวด” สาดหรอื เสื่อ คาว่าสาดเปน็ ภาษาถ่นิ ใต้ที่ใช้เรยี กเสือ่ ทั้งนี้ การสาน
เสื่อ เปน็ หตั ถกรรมพ้นื บ้านอยา่ งหนึ่งท่เี ป็นผลิตภัณฑ์พนื้ ฐานของชมุ ชนในสังคมไทยท่ีแตกตา่ งกันตามการ
ใช้วัตถุดิบที่มีอยู่ในชมุ ชน บ้างใช้เตยปาหนนั บ้างใช้กระจุด เฉกเช่นเดียวกับชุมชนรายรอบพรุควนเคร็งที่
มีวัตถุดิบสาคัญคือกระจูด จึงมีการนากระจูดมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน ภูมิปัญญาการสานสาดจูด

รายงานสรปุ สาหรับผบู้ ริหาร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วิถคี นและป่า | 189

จึงมีการสบื ทอดตอ่ กันมา และสร้างรายได้ใหแ้ กค่ นในชมุ ชนไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ทา่ มกลางสภาวะเศรษฐกิจท่ีผัน
แปร แต่ชุมชนรายรอบพรุควนเคร็งกลับมีโอกาสท่ีดีที่มีทรัพยากรที่พ่ึงพิงได้ให้คนในชุมชนสามารถดารง
ชีพอยู่ได้ด้วยการแปรรูปพืชกระจูดเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในหลากหลายรูปแบบและเป็นที่นิยมของตลาด
มากขึ้น

ชุมชนรายรอบป่าพรุควนเคร็งใช้ประโยชน์จากพืชกระจูดโดยนากระจูดมาสานเป็นเส่ือเพ่ือใช้
ปูนอน ปูน่ัง หรือใช้ประโยชน์อย่างอ่ืน จึงทาให้ผลิตภัณฑ์จากพืชกระจูดกลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง
ของอาเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ทม่ี ีชือ่ เสยี งและเรยี กกันตดิ ปากกันมาตงั้ แต่บรรพบุรุษวา่ ถ้าจะ
ซ้ือเสื่อ หรือสาด ต้องซ้ือ “สาดชะอวด” (ชาวบ้านชะอวดเรียกเสื่อว่าสาด เป็นคาภาษาถิ่นภาคใต้) (ภาพที่
1.40) จากคาบอกเล่าของนางปราณี แก้วทอง อายุ 67 ปี อยู่บ้านเลขที่ 29 หมู่ท่ี 3 ตาบลควนเคร็ง
อาเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ซ่ึงเป็นผู้สืบทอดงานสานกระจูดเล่าให้ฟังว่า การสานกระจูดเป็น
ภมู ิปญั ญาดั้งเดมิ ของชาวบ้านในท้องถ่นิ มาเปน็ เวลา 3 ช่วั อายคุ นแลว้ สืบทอดกันมาจนถงึ ปัจจุบนั เร่ิมต้น
มีการสานเส่ือกระจูดเพ่ือไว้ใช้ในครอบครัว ต่อมามีคนมารับไปขาย จึงทาให้มีรายได้หลังจากการทานา
ทาสวน ด้วยเหตุผลท่ีหมู่บ้านอยู่ใกลก้ ับป่าพรุควนเคร็ง ที่มีกระจูดข้ึนอยู่ตามธรรมชาติในพื้นท่ีป่านับแสน
ไร่ และต่อมาได้มีการสานกระจูดออกแบบผลิตภัณฑ์ท่ีมีความหลากหลายมากข้ึนเพ่ือสร้างความสนใจ
ให้กับลูกค้าท่ีหลากหลายข้ึน เช่น กระเป๋า วัสดุอุปกรณ์สาหรับโต๊ะอาหาร และสามารถรับทาผลิตภัณฑ์
ตามสั่งของลูกคา้ ตามแบบขนาดทต่ี ้องการ

ภาพที่ 1.40 เสื่อกระจูด หรอื สาดจูด ทพี่ รอ้ มนาไปขาย
ท่มี า: วรฤทธิ์ บรุ ินทรก์ ลุ (2562)

การสานกระจูด จากข้อมูลท่ีปรากฏในสารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ เล่มท่ี 1 (สถาบันทักษิณคดี
ศึกษา, 2529, 12-13) ได้บันทึกเรอื่ งราวงานหตั ถกรรมพืน้ บา้ นการสานกระจูดไว้วา่ การสานกระจูด การ
ตกแต่ง และประเภทของผลิตภัณฑ์ รวมถึงประโยชน์ใช้สอยจากผลิตภัณฑ์กระจูด ตลอดจนคุณค่าทาง
วัฒนธรรม โดยระบุว่า ชาวบ้านจะใช้สถานท่ีภายในบ้านเรือนหรือชานเรือน หรือลานบ้านที่มีพ้ืนเรียบ
เป็นสถานที่สาน ถ้าไม่ค่อยเรียบมักจะใช้เสื่อที่สานเสร็จแล้วรองอีกช้ันหนึ่ง วิธีการสาน นาต้นกระจูดที่
เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วมาสานเป็นลายต่าง ๆ ตามความสามารถและความต้องการของผู้สานโดยปกติจะ
สานดว้ ยลายสอง ถ้าสานเป็นเส่ือจะเร่ิมต้นจากริม คือต้ังต้นจากปลายตอกด้านใดด้านหนง่ึ ไปจนสุดปลาย
ตอกอีกด้านหน่ึง แต่ถ้าเป็นถาชนะ เช่น กระสอบนั่ง จะเร่ิมต้นจากกึ่งกลางของตอก ท่าน่ังสานท่ีสะดวก
คอื น่ังขัดสมาธิและนั่งชันเข่าขา้ งเดียว เมื่อสานตอ้ งให้ปลายต้นกบั โคนตน้ สลับกนั มิฉะนนั้ จะทาให้เสียรูป
ได้ เพราะขนาดต้นกระจูดส่วนโคนต้นจะโตกว่าส่วนปลาย เทคนิควิธีสานจะแตกต่างกันตามรูปแบบและ
ชนิดของผลิตภัณฑ์และถนัดของผู้สานโดยเฉพาะเสื่อ มีผู้ศึกษาพบว่าท่ีหมู่บ้านทะเลน้อยน้ีมีสานเป็นลาย

190 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศปา่ พรุเพอ่ื เพมิ่ ความสามารถในการกกั เกบ็ คาร์บอน
และอนรุ ักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอย่างยง่ั ยนื

ต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 20 ลาย เช่น ลายสอง ลายสาม ลายส่ี ลายดอกจันทน์ ลายก้านต่อดอก ลายดาวล้อม
เดือน ลายพดั ลายดอกจนั ทน์แขก ลายดอกพกิ ุล ลายกา้ งปลา ลายพมา่ ราขวาน ลายขนมปงั ลายดอกไม้
ลายตีนสุนัข ลายยายชิงเมือง ลายใยแมงมุม ลายสี่หน่วยใน ลายลูกแก้ว ลายกระดานหมาก และลาย
ประดิษฐ์อื่น ๆ เช่น ลายตัวหนังสือ ลายที่นิยมสานกันมากที่สุด คือ ลายสอง นอกจากสานเป็นลายเสื่อ
และยงั สานเป็นภาชนะต่าง ๆ หมู่บา้ นท่ีมกี ารประกอบการกนั อย่างกว้างขวาง เชน่ ทบ่ี า้ นทะเลน้อย ผสู้ าน
จะมีต้ังแต่วัยเด็กอายุ 7 ขวบ ถึงคนชราอายุ 60 - 70 ปี ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง ผู้ชานาญการจะสาน
เส่อื ได้วนั ละ 3 - 4 ผนื

การตกแต่ง งานสานเส่อื กระจดู เป็นงานทีเ่ กือบจะพูดได้วา่ ทาเสร็จเรยี บรอ้ ยแลว้ ในคราวเดยี ว มี
การตกแต่งต่อเติมน้อย คือ มีการเก็บริมหรือพับริม อย่างที่ชาวทะเลน้อยเรียกว่า "เม้ม " และการตัด
หนวด คือปลายตอกที่เหลือออกเท่าน้ัน การเกบ็ รมิ หรอื การพบั ริมพบวา่ มี 2 แบบ คือ แบบพบั กลับ คือ
การพับปลายตอกเข้าหาผืนเสื่อสานตามลายสานเดมิ ประมาณ 3 - 4 นิ้ว แลว้ ตัดส่วนทเี่ หลือออก แบบช่อ
ริม คอื การพบั ปลายตอกทเี่ หลอื ใหค้ มุ กันเองคล้ายกับการถักแลว้ ตดั ส่วนทีเหลือออก

การเก็บรักษา เส่ือท่ีสานเสร็จเรยี บร้อยแลว้ จะถูกเก็บไวใ้ นที่ร่มไม่ให้ถูกน้า เพราะถ้าถูกน้าฝนจะ
ทาใหเ้ กิดเช้ือราและเสยี หายเรว็ วธิ เี กบ็ มี 2 แบบ คอื ม้วนเกบ็ และซอ้ นเก็บ

คุณค่าทางวัฒนธรรม หัตถกรรมกระจูดในภาคใต้ นอกจากจะให้คุณค่าด้านประโยชน์ใช้สอยใน
ลักษณะต่าง ๆ ตามประเภทและชนิดของผลิตภัณฑ์แล้ว ยังให้คุณค่าทางด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อ
ชุมชนผู้ประกอบการและบ้านเมืองอีกด้วย การประกอบการท้ังส่วนท่ีจัดหาวัสดุคือต้นกระจูด ส่วนผลิต
คือ สาน และส่วนจัดจาหน่าย ช่วยให้ผู้ประกอบการเหล่าน้ันมีรายได้เพิ่มขึ้นจากอาชีพหลักทาง
เกษตรกรรมอ่ืน ๆ เช่น ทานา ทาประมง ฯลฯ ทาให้มีการแบ่งงานกันทาอย่างทั่วถึงในหมู่สมาชิกของ
ครอบครัว ช่วยลดปัญหาการว่างงานในหมู่บ้าน และสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน ช่วยฝึกเด็กและ
เยาวชนให้รู้จักงานศิลปะ ป้องกันการเที่ยวเตร่และประพฤติเหลวไหลในกลุ่มหนุ่มสาวได้ส่วนหนึ่ง จึงนับ
ได้วา่ หตั ถกรรมประเภทนี้มคี ุณคา่ ทั้งในตวั มนั เองและผเู้ ข้าไปเกยี่ วข้อง

ท้ังนี้ วรฤทธิ์ บุรินทร์กุล (2562) ยังสะท้อนมุมมองว่า ภูมิปัญญาไทยหรือภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็น
ส่ิงที่มลี ักษณะของการสะสม เรยี นรู้ สบื สาน สืบทอด และตอ่ เนอื่ งจากอดีตถึงปจั จุบันจากบรรพบุรุษสู่ชน
รุ่นหลังกันมาอย่างยาวนานและมีความสัมพันธ์กันและสอดคล้องกับวิถีชีวิตด้ังเดิมของชาวบ้าน จนไม่
สามารถแยกออกจากกันได้และการพัฒนาประเทศจะไม่คานึงถึงความรู้ ทักษะ วิถีชีวิตของชุมชนเป็น
ไม่ได้ การนาภูมิปัญญาไทยสู่การศึกษาตลอดชีวิตจะส่งผลให้คนใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสันติสุข ช่วยสร้ าง
สมดุลระหว่างคนกับธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ทั้งช่วยให้คนดารงตนและปรับเปลี่ยนให้ทันต่อความ
เปล่ยี นแปลงจากผลกระทบท่เี กดิ จากสงั คมภายนอก ตลอดท้งั ช่วยสง่ เสรมิ การพฒั นาอาชีพของประชาชน
ให้มีรายได้เล้ียงครอบครัว ซึ่งชุมชนเข้มแข็งได้ด้วยภูมิปัญญา ภูมิปัญญาท้องถิ่นมีความสาคัญต่อการ
พัฒนาชุมชนและกฎหมายการศึกษาแห่งชาติได้กาหนดให้สถานศึกษาร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน
องค์กรชุมชน ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนโดยการจัดกระบวนการการเรียนรู้ภายในชุมชน เพ่ือให้
ชุมชนมีการจัดการศึกษาและร้จู ักเลือกสรรภูมิปญั ญาและวิทยาการต่าง ๆ เพอื่ บรู ณาการใหส้ อดคล้องกับ
สภาพปัญหาและความต้องการ รวมท้ังหาวิธีการสนับสนุนให้มีการแลกเปล่ียนประสบการณ์พัฒนา
ระหว่างชุมชนอันแสดงถึงความยั่งยืนในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและสร้างความมั่นคงให้กับสังคม
และประเทศชาติต่อไป ภูมิปัญญาการจักสานกระจูดมีบทบาทต่อชุมชนและสังคมในการจัดการ

รายงานสรปุ สาหรบั ผูบ้ ริหาร ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบาย และพรคุ วนเคร็ง วถิ คี นและป่า | 191

ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชน เนื่องจากชาวบ้านที่ทาการจักสานกระจูด มีกฎกติการ่วมกันว่าจะต้องใช้
วิธีการในการถอนกระจูดที่ถูกต้องเหมาะสมเพ่ือช่วยให้กระจูดขยายพันธ์ุต่อได้และไม่ให้กระจูดสูญพันธุ์
สิ่งนี้ถอื เป็นสิง่ ท่ีมีความสาคญั และมคี ุณค่าอย่างย่ิง เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่มองวา่ บรเิ วณพรคุ วนเคร็งเป็น
แหล่งทรัพยากรที่ชาวบ้านใช้ร่วมกัน จึงสาคัญอย่างยิ่งท่ีทุกคนจะต้องช่วยดูแล เพื่อให้คนพรุควนเคร็งอยู่
รว่ มกันกับปา่ พรสุ ู่รุ่นลกู รนุ่ หลานตราบนานเท่านาน

ตีผึ้งให้ตีเดือนมืด การตีผ้ึงเพ่ือหาน้าผึ้งป่าเพื่อใช้เป็นน้าหวานในการบริโภคท้ังในแง่การเป็น
อาหาร และเป็นยารักษาโรค และเป็นสินค้าชุมชนท่ีสร้างรายได้เล้ียงชีพให้แก่คนในชุมชนได้เป็นอย่างดี
การหาน้าผง้ึ เป็นวิถกี ารดารงชีพอยา่ งหน่งึ ของคนในชุมชนที่มวี ถิ ีพึ่งพิงผืนป่า การตผี ้งึ เป็นวธิ ีการเก็บเกี่ยว
ผลผลิตจากป่าที่ผู้ยึดอาชีพนี้ต้องอาศัยความชานาญและมีพิธีกรรมตามความเชื่อของชุมชนท้องถิ่นท่ีมี
ลักษณะคล้าย ๆ กันในหลาย ๆ พ้ืนที่ ผู้มีอาชีพตีผ้ึง เรียกกันว่า พรานผึ้ง สาหรับพรานตีผึ้งในชุมชนพรุ
ควนเคร็ง คือ นายยงยุทธ สุขสวัสดิ์ ชาวบ้านหมู่ที่ 11 บ้านไสขนุน ตาบลเคร็ง อาเภอชะอวด ทั้งน้ีในการ
หาผ้ึงจากรังผ้ึงธรรมชาติจะใช้ภูมิปัญญาการตีผึ้งที่สืบทอดต่อกันมาโดยแฝงไว้ด้วยพิธีกรรมที่เลือกตีผ้ึง
ในช่วงเดอื นมดื (ข้างแรม) ห้ามตีผง้ึ ในชว่ งเดือนแจ้งเพราะถึงจะมารุมต่อย มพี ิธกี รรม คอื การเชน่ บอกเจ้า
ที่ วันองั คาร หรอื วันเสาร์ (เพราะ เชอ่ื ว่าเปน็ วนั แขง็ ) ของเซน่ ไหวเ้ ดอื น 6 (เพอื่ ใหผ้ ้งึ มาทารัง) จะมพี ธิ เี ซ่น
ไหวช้ ว่ งเดือน 6 วันอังคาร หรือวันเสาร์ ไก่ตัวผู้ 1 ตัว เหลา้ 1 ขวด ขา้ วสุก 1 ถว้ ย ปลาแห้งมหี วั มีหาง 1
ตัว ไข่เป็ด 1 ลูก หมากพลู ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม คาบนบาน เพื่อบอกกล่าวให้ผ้ึงมา ถ้ามาครบตาม
จานวนก็จะแก้บนในชว่ งเดือน 9 (ให้บอกดว้ ยวา่ จะถวายอะไร) ของเซน่ ไหวเ้ ดือน 9 (ตผี งึ้ ) จะเปน็ ของเซ่น
เหมือนเดมิ แต่เปล่ียนจากไก่เป็นหัวหมู ทาพธิ ตี อ้ งไมเ่ กนิ เวลาเที่ยง ยวน คือ รงั หรือส่งิ ท่ีอยตู่ ามต้นไม้ใหญ่
โดยจะห้อยติดอยู่ตามกิ่งไม้เป็นจานวนมาก ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ต้นยางนา บางยวนจะมีรังผึ้งมากถึง 200-
300 รัง

ไซดักปลา ภูมิปัญญาการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน การทาไซดักปลาคือวิถีการใช้ทรัพยากร
อย่างยั่งยืนของชุมชน เป็นภูมิปัญญาท้องถ่ินที่ใช้วัสดุที่มีในชุมชนทาเคร่ืองมือดักจับสัตว์น้าเพ่ือเล้ียงชีพ
จากข้อมูลท่ีบันทึกในสารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ เล่มที่ 3 (สถาบันทักษิณคดีศึกษา, 2529, 1104) ระบุ
ว่า “ไซ” เปน็ เคร่อื งมือดักสัตว์น้า มหี ลายรูปแบบ แตล่ ะแบบมีวตั ถุประสงค์และวิธีใช้ต่างกันไป ได้แก่ ไซ
ยก ไซใหญ่ เป็นไซนอนขนาดใหญ่สาหรับวางประจาตามน้าลึก หรือสายน้าใหญ่ ซ่ึงเป็นทางเดินของปลา
ไซหัวหมู ขนาดปานกลาง ปากกว้างท้ายเรียว ตรงส่วนปากมีงา ใช้ดักสัตว์น้าขนาดกลางและขนาดเล็ก
ส่วนไซนาง มขี นาดปานกลาง คล้ายชนาง ใช้ดกั ปลาขนาดเล็ก ไซนหู รอื ไซธนู เปน็ รูปแบบทช่ี าวไทยอีสาน
ใช้ดักจับสัตว์น้าขนาดเล็ก มีสลักปิดเปิดโดยมีคันบังคับให้ปิดเม่ือสัตว์น้าเข้ามา และไซอื่น ๆ อีกหลาย
รปู แบบ เชน่ ไซลาว ไซนา้ เต้า ไซรา ไซนั่ง สาหรับในพ้ืนท่ีชมุ ชนพรุควนเคร็งมีการใช้เครื่องมือดักจับสัตว์
นา้ ท่ีหลากหลายเชน่ กนั รวมถึงไซ ทั้งนี้ วรฤทธ์ิ บรุ ินทรก์ ุล (2562) ไดส้ ะทอ้ นขอ้ มลู วถิ ีคนพรุควนเคร็งใน
อีกแงม่ มุ หนง่ึ ของการใช้ประโยชนจ์ ากป่าพรุว่า ในอดีตวถิ ชี วี ติ ของชาวบ้าน เมอ่ื เสรจ็ จากฤดูเก็บเกี่ยวข้าว
นาปีแล้ว ชาวบ้านมักมีเวลาว่างจากการทานา จึงใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์โดยการประกอบอาชีพต่าง
ๆ เพื่อเสริมรายได้ของพวกเขา เช่น ทาไร่ทาสวนและการหาปลา โดยออกหาปลาตาม ห้วย หนอง คลอง
บงึ มีการใช้เครอ่ื งมือดักปลา

192 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจัดการระบบนิเวศป่าพรุเพ่อื เพิม่ ความสามารถในการกกั เก็บคาร์บอน
และอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยง่ั ยนื

“ไซ” เป็นเคร่ืองมือดักสัตว์น้า โดยมากดักปลาในกลุ่มปลาเล็กปลาน้อย ใช้งานในแหล่งน้าไมล่ กึ
มักเป็นแหล่งน้าไหลและเป็นการเปิดช่องระบายน้าเข้าออกตามบ้ิงนาคันนา ไซมีหลายรูปทรง ตั้งช่ือตาม
รูปทรง เช่น ไซปากแตร สานเป็นรูปกรวย ปากไซบานออกเป็นรูปปากแตร ไซท่อ สานคล้ายท่อดักปลา
หรืออาจตั้งชื่อตามวัตถุประสงค์ เช่น ไซสองหน้า มีช่อง 2 ด้าน ไซลอย ใช้วางลอยในช่วงน้าต้ืน ๆ แหวก
กอข้าวหรือกอหญ้า วางแช่น้าไว้ ไซปลากระด่ี ใช้ดักปลากระด่ี ไซกบ สานเป็นลายขัดตาส่ีเหลี่ยมรูป
ทรงกระบอก ใช้ดักกบ ไซโป้ง สานก้นโป่งเล็กน้อย แม้ว่าจะมีรูปลักษณ์ท่ีต่างกัน แต่มีลักษณะร่วมกันคือ
สานเป็นทรงกระบอกและทาปากทางเข้าเป็นงาแซง (ซี่ไม้เส้ียมปลายแปลม รูปทรงคล้ายกรวยที่บีบแบน
ๆ ทาให้ปลาเข้าได้ แต่ว่ายสวนความคมของปลายไม้ออกมาไม่ได้) ไซต่าง ๆ มักไม่ต้องใช้เหย่ือเพราะจะ
ดักปลาท่ีต้องไหลในกระแสน้า เว้นแต่ไซกบท่ีต้องมีเหย่ืออย่างลูกปลา ลูกปู ชาวบ้านควนเคร็ง ใช้ไซใน
การดักปลามาตั้งแต่อดีต แต่วัสดุอุปกรณ์ท่ีใช้ในการทาไซ ในอดีตกับปัจจุบันมีแตกต่างกันบ้าง สมัยก่อน
ไซโครง จะใช้ไม้ทาทั้งลูกซึ่งต้องเหลาเป็นซ่ีเล็กๆ และนามาผู้เป็นซ่ี ๆ ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรในการทา
ไซได้ 1 หลัง ต่อมาชาวบ้านนิยมนาอวนตาถ่ีมาใช้ในการดักปลา เน่ืองจากระยะเวลาในการทาไซดักปลา
แบบโครง 1 อัน ใช้เวลาไม่มาก สะดวกรวดเร็วและทนทานกว่าไม้ไผ่ ชาวบ้านจึงนิยมนาอวนตาข่ายมาใช้
ในการทาไซดกั ปลามากกว่าใชไ้ มผ้ ่าทงั้ หมด

จากการให้ข้อมูลของนายจิตร มีรอด อายุ 85 ปี ชาวบ้านตาบลเคร็ง อาเภอชะอวด จังหวัด
นครศรีธรรมราช ที่อธิบายเกี่ยวกับการสานไซว่า อุปกรณ์ท่ีใช้ในการสานไซ ไม้ไผ่ซี่ สายไฟเคเบ้ิล อวนตา
ถ่ี โดยท่ีอวนน้าหนัก 1 กิโลกรัม ทาไซได้ 5 ลูก ส่วนวิธีการสานไซ ผู้ทามักเหลาเส้นตอกให้เล็กเป็นเส้น
กลมยาวอย่างนอ้ ย 2 ปลอ้ งไมไ้ ผ่ เมือ่ ไดเ้ ส้นตอกตามจานวนท่ีต้องการแล้วนามามดั ปลายด้านหน่ึงรวมกัน
ก่อนจะพับให้กลับไปด้านหลัง แล้วใช้เส้นตอกอีกส่วนหน่ึงสานขวางสลับกันไปต้ังแต่ด้านบนถึงด้านล่าง
การสานนิยมสานเป็น “ลายขวางไพห้า” ระหว่างสานผู้ทาต้องบังคับให้รูปทรงป่องแคบตามลักษณะของ
งาน ส่วนบริเวณตรงกลางหรือกลางค่อนไปทางปลายจะมีการเจาะใส่งาอีกด้านละช่อง เพ่ือให้เป็นส่วนท่ี
ปลาวง่ิ เขา้ และนาออก (ภาพที่ 1.41)

ภาพท่ี 1.41 ลุงจิตร มีรอด ขณะทาไซดกั ปลา
ที่มา: วรฤทธ์ิ บุรนิ ทร์กุล (2562)

ไซ เป็นเครือ่ งมือดักปลา ที่มคี วามสาคัญกบั ชาวบา้ นควนเครง็ ในช่วงหน้าน้า เพราะสามารถจับปลา
ไวก้ นิ ในครวั เรือน และหากไดจ้ านวนมากกส็ ามารถจับขายได้ จากการถ่ายทอดข้อมลู ของ นายจิตร มีรอด
อายุ 85 ปี อยู่บ้านเลขท่ี 221 หมู่ที่ 11 ตาบลควนเคร็ง อาเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช เล่าว่า

รายงานสรุปสาหรับผู้บรหิ าร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเครง็ วถิ ีคนและปา่ | 193

เมอ่ื ก่อนช่วงที่สุขภาพยังแข็งแรงสามารถทาไซได้วันละส่ีถึงหา้ ลูก แตป่ ัจจบุ ันน้ไี ดแ้ คว่ ันละลูก ไซท่ีได้ก็เอา
แจกจ่ายให้ลกู หลานเอาไปใช้ในการดักปลาชว่ งหนา้ น้า แต่หากมีคนสนใจซื้อก็จะแบง่ ขายใหใ้ นราคาลูกละ
120 บาท ซ่ึงลงุ จิตร มรี อด บอกวา่ ราคาท่ีขายคานวณแลว้ ไม่คุ้มค่าแรงทีล่ งทุนไปเท่าไร แต่เหตผุ ลท่ีทาไซ
เพราะให้ลกู หลานเอาไปใช้มากกวา่ จะขาย

ประโยชน์ของไซดักปลา มีคณุ ค่าต่อวิถีชวี ิตของคนพรุควนเคร็งต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจบุ ัน ทกุ บ้านจะ
ทาไซไว้ใช้เองโดยจะนาไซไปดักไว้ตามคลองท่ีน้าไหลผ่าน ซึ่งสถานที่ดักก็จะมีอยู่ท่ัวไปตามไร่ตามนา ใน
ฤดูฝนมีน้าหลาก ชาวบ้านออกไปทาไร่ ทานา ก็จะนาไซไปดักทิ้งไว้ด้วย ก็จะได้ปู ปลาต่าง ๆ มากมาย
บางครั้งอาจยกไซไม่ได้เน่ืองจากหนักเพราะดักปลาได้เกือบเต็มไซ ปลาท่ีได้ก็จะนาไปประกอบอาหาร
สาหรบั ทกุ คนในครอบครัว แบง่ ปันใหเ้ พือ่ นบ้านบา้ ง โดยไม่ตอ้ งซือ้ ขายกนั ทเ่ี หลือก็จะนามาถนอมอาหาร
เช่น ทาปลาส้มปลาเค็ม ปลาย่าง เก็บไว้กินยามฤดูแล้ง ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรในพ้ืนที่พรุควน
เคร็ง ท่ีสามารถหาปลากินได้อย่างเหลือเฟือ เป็นทม่ี าของความเช่ือในเรื่องโชคราง ชาวบา้ นมคี วามเช่ือว่า
ไซ เป็นเครื่องรางที่จะช่วยดักเงินทอง โชคลาภได้ จึงมักจะนาไซไปแขวนไว้ตามหน้าร้านค้า ประตูบ้าน
หรอื ใชผ้ ูกเสาเอกในพิธีลงเสาเอกบา้ นเรอื น เพือ่ ความเป็นสริ มิ งคลแสดงให้เห็นว่าไซ เปน็ เครอ่ื งมอื ดักปลา
ทีม่ ีคณุ ค่าต่อชมุ ชนและสังคมตงั้ แต่อดีตจนถงึ ปจั จบุ ัน

การทาไซดักปลาแบบโครงในพนื้ ที่ควนเครง็ ตามคาบอกเลา่ ของคุณลุงจิตร มรี อด เล่าวา่ ปจั จุบัน
การทาไซแบบโครงเร่ิมลดน้อยลง เนื่องจากคนคนที่ทาไซเป็นมีอายุมากและไม่สามารถทาไซได้แล้ว และ
คนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้สนใจที่จะเรียนรู้ในการทาไซ ทาให้การทาไซแบบโครงได้รับความนิยมนอ้ ยลง ประกอบ
กับปัจจุบันมีเครื่องมือจับปลาท่ีทันสมัยมากข้ึนและมีเทคโนโลยีท่ีทันสมัยสะดวกรวดเร็วมากข้ึน
ประชาชนในพื้นที่เลยให้ความสนใจการทาไซดักปลาแบบโครงน้อยลงและคนรุ่นใหม่ก็ไม่ค่อยสนใจทาไซ
ดักปลากันแล้ว และคาดว่าการใช้ไซดักปลาอาจจะสูญหายไปในอนาคต และอาจมีเคร่ืองมือดักปลาท่ี
ทันสมัยมาแทนที่มากข้ึน และประชาชนในพ้ืนท่ีบางส่วนออกไปทางานเล้ียงชีพต่างพ้ืนที่จึงสะดวกในการ
ซื้อปลาและสัตว์น้าท่ีจะนามาทาอาหารมากกว่าที่จะต้องไปหาปลาเอง ฟังจากคาบอกเล่าของลุงจิตร มี
รอด คาดว่าการทาไซดักปลาแบบโครง ถึงแม้จะไม่ได้รับความนิยมเหมือนแต่ก่อน ทว่าการทาไซดักปลา
ยงั เป็นสิ่งท่ีแสดงถงึ เอกลกั ษณ์ของชาวบา้ นควนเคร็งและเปน็ สง่ิ ท่ีมีคุณคา่ ต่อชวี ติ ชาวควนเครง็

บันทึกกฤษณา สูตรยา ดูดวง ดูฤกษ์ ภูมิปัญญาด้านการแพทย์แผนไทยหรือหมอพ้ืนบ้านเป็น
อีกหน่ึงภมู ิปญั ญาที่อยู่คูช่ ุมชนตา่ ง ๆ และยงั คงดารงอย่ใู นสงั คมไทยจวบจนทุกวันน้ี ซง่ึ ในยคุ สมัยปัจจุบัน
ที่ศาสตร์การแพทย์กระแสหลักมีความก้าวหน้าไปอย่างมาก ทาให้การรักษาพยาบาลช่วยในการสร้าง
คุณภาพชีวิตท่ีดีข้ึนแก่ประชาชน ถึงกระน้ันก็ตาม แพทย์แผนไทยหรือการแพทย์แผนโบราณไม่ว่าจะ
ศาสตรท์ างด้านแผนไทยหรือจนี หรือแม้กระท่งั การใช้พิธีกรรมความเชื่อรว่ มในกระบวนการรักษาเยียวยา
จิตใจให้เกิดความเช่ือม่ันในกระบวนการรักษา เหล่านี้ยังคงดารงอยู่ควบคู่สังคมไทยจนถึงปัจจุบันเช่นกนั
และมกั เรียกการแพทย์แผนโบราณเหล่าน้ีว่า การรกั ษาการแพทย์ทางเลอื ก ชุมชนคนพรคุ วนเคร็ง เปน็ อีก
ชุมชนรายรอบผืนป่าที่อดีตอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง การรักษาพยาบาลจึงพ่ึงพาหมอชาวบ้านท่ีเคารพนับ
ถือ และมีผ้สู ืบทอดจนถึงทุกวนั นี้เช่นกัน จากการลงพ้ืนทีส่ ารวจชุมชนของ วรฤทธิ์ บุรินทร์กุล (2562) ได้
ระบถุ งึ ภมู ปิ ัญญาด้านการแพทย์แผนไทยที่มีอย่ใู นชุมชนหรือท่เี รียกวา่ หมอพ้ืนบา้ นซ่ึงเปน็ ทีร่ ู้จักและยังคง
ปรงุ ยารกั ษาโรคใหแ้ ก่คนในชุมชน นั่นคือ นายละออง ไชยพลบาล อายุ 62 ปี ชาวบา้ นในพนื้ ท่ตี าบลบ้าน
ตูล อาเภอชะอวด จังหวัดนครศรีธรรมราช ซง่ึ เปน็ ผทู้ มี่ ีชื่อเสยี งในการปรุงยาสตู รรักษาอาการปวดบั้นเอว

194 | โครงการเสริมศกั ยภาพการจดั การระบบนเิ วศป่าพรุเพอ่ื เพ่ิมความสามารถในการกกั เก็บคาร์บอน
และอนรุ ักษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยัง่ ยืน

โดยปรุงจากพืชสมุนไพรท่ีปลูกเอง ใช้สูตรการปรุงยาที่รับสืบทอดมาจากตารายาโบราณ ท่ีเรียกว่า
“บันทึกกฤษณา ” ซ่ึงสืบทอดมากว่า 200 ปี โดยตารามีบันทึกทั้งสตู รยา วิธีการดูดวงและการดูฤกษย์ าม
(ภาพที่ 1.42)

ภาพท่ี 1.42 ตาราโบราณ “บนั ทกึ กฤษณา ” สบื ทอดมากวา่ 200 ปี
ที่มา: วรฤทธ์ิ บรุ ินทร์กลุ (2562)

สูตรยารักษาบั้นเอวชาวพรุควนเคร็ง ประกอบด้วยสมุนไพรสาคัญ ได้แก่ ยาหนูต้น หมากหมก
ลาเจยี ก ผกั หนาม รากหญา้ ครุน ขเี้ หล็กทงั้ 5 ย่านางทง้ั 2 (ใบ ราก) ใบเงาะ เข็มแดง แกนไม้ทาเสา โดย
มีวิธีการปรุงยาคือ นาเคร่ืองยาทั้งหมดมาล้างให้สะอาด ใส่ลงในหม้อ แล้วต้มให้เดือดใช้เวลาประมาณ
ครง่ึ ชวั่ โมง พรอ้ มรับประทาน ทัง้ นี้ ดื่มได้ไม่เกิน 5 วัน ตอ่ การต้มยา 1 หม้อ และควรรบั ประทานไม่เกนิ 3
หม้อ หากไม่หาย ควรหยดุ รบั ประทาน เพราะยาอาจไมถ่ กู กนั

โนราห์ มโนราห์ แห่งพรุควนเคร็ง ข้อมูลจากสารานุกรวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ เล่มที่ 8 ได้
อธิบายถึง โนรา หรือมโนราห์ ว่า คาน้ีอาจเขียนเป็นมโนราและมโนราห์กีมี เป็นการละเล่นพื้นเมืองท่ีสืบ
ทอดกันมานานนิยกันอย่างแพร่หลายในภาคใต้ เป็นการละเล่นที่มีทั้งการร้อง การา บางส่วนก็เล่นเป็น
เร่ือง และบางโอกาสมีบางส่วนแสดงตามคติความเช่ือที่เป็นพิธีกรรม (มูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย,
2542, 3871) ส่วนโนราลงครู เป็นการแสดงมโนราเพ่ือเชิญวิญญาณบรรพบุรุษที่เป็นโนรา ซึ่งเรียกว่า ตา
ยายโนรา หรือ “ตาหลวง” มาเข้าทรงลูกหลานที่เป็นคนทรง เพื่อแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษเพื่อ
ความมีสวัสดิมงคลแก่ชีวิตครอบครัว หรือเพื่อแก้บนตามที่ได้บนบานไว้ การจัดให้มีโนราลงครูมักทาเป็น
ประจา อาจเป็นปละครั้ง ปีเว้นปี 3 ปีต่อครั้ง หรือห่างกว่าน้ัน ท้ังนี้ย่อมแล้วแต่ความสะดวกและ
ความสามารถของผู้เป็นเจ้าภาพ และแล้วแต่ความยินยอมผ่อนผันของ “ตาหลวง” ท่ีมาเข้าทรงในครั้ง
ก่อนน้ัน แต่จะเลิกจัดราโนราลงครูตลอดไปย่อมไม่ได้ เพราะตายายโนราจะให้โทษ ทาให้เจ็บไข้ได้ป่วย
ต่าง ๆ นานา ไปรักษาหมอหลวงก็ไม่หาย เจ้าภาพอาจเลือกเวลาแต่เหมาะ ๆ ดินฟ้าอากาศปลอดโปร่ง
เชน่ เดอื น 5 เดือน 6 และเดือน 9 สว่ นโรงโนราทีใ่ ช้ลงครูทาเหมือนโรงโนราธรรมดา ซีกทโี่ นราปล่อยโล่ง
ไม่ต้องมีฉากกั้น ด้านทิศตะวันออกมีเครื่องเซ่น เคร่ืองบูชา ประกอบด้วยบายศรีและดอกไม้ธปู เทียน ตรง
จั่วด้านทิศตะวันออกทาเป็นพาไลสาหรับตั้งศาสวางเครื่องบูชาและเคร่ืองสังเวย ได้แก่ หัวหมู ไก่ เหล้า
หมากพลู บุหร่ี ธูป เทียน ข้าวตอก ดอกไม้ ของหวาน ของคาว และมะพร้าวอ่อน รวมแล้วต้องครบ 12
อย่ง ซงึ่ เมื่อตาหลวงเขา้ ทรงแล้วจะต้องข้ึนสารวจเคร่ืองบชู าเหล่าน้ี โรงโนราดา้ นทิศตะวนั ออกจึงต้องคาด

รายงานสรปุ สาหรับผ้บู รหิ าร ขอ้ เสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรคุ วนเครง็ วถิ ีคนและปา่ | 195

ไม้แทนบันไดขึ้นตรงซีกซ้ายมือ ส่วนซีกขวามืมีเทริด หน้าพราน แฃะเคร่ืองแต่งตัวโนราแขวนไว้ เป็น
เครอ่ื งบชู า

สาหรับพรุควนเคร็งมีการสืบสานการละเล่นพื้นบ้านน้ีไว้เช่นกัน โดยมโนราห์หรือโนราห์ที่มี
ช่ือเสียงคือ โนราห์เสน่ห์น้อยดาวรุ่ง หรือนายสเน่ห์ นรสิงห์ ซึ่งมีนางมโนราห์ประจาวงคือ นางสาววริยา
บุญจร ซึ่งให้ข้อมูลท่ีน่าสนใจว่า การแสดงมโนราห์ โดยเฉพาะมโนราห์โรงครูในพื้นที่อาเภอชะอวดยังคง
ไม่สูญหาย เน่ืองจากยังคงมีชาวบ้านยังเคารพศรัทธาในครูหมอโนราห์ เพียงแค่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจ
น้อยลง แต่สาหรับครอบครวั ทีน่ ับถือครูหมอโนราห์จะยังคงนับถือและสืบต่อครูหมอโนราห์ต่อไป สาหรบั
คณะมโนราห์เสน่ห์น้อยดาวรุ่ง ในปัจจุบันไม่ได้รับงานการแสดงทั่วไปมากนัก แต่จะรับงานการแสดง
มโนราห์โรงครูเป็นหลกั ในช่วงเดอื นส่แี ละเดอื นหก และมีการจองคิวไว้จานวนมาก นัน่ เป็นการสะท้อนให้
เหน็ ว่า ถงึ แมเ้ วลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่ความเช่ือความศรัทธาในครูหมอโนราหจ์ ะไม่สูญหายไป ถึงแม้จะ
ได้รับความสนใจน้อยลงก็ตาม และมีการถ่ายทอดท่ารามโนห์ราให้เยาวชนรุ่นหลังท่ีสนใจ และเพื่อไม่ใช้
สญู หาย (ภาพท่ี 1.43-1.44)

ภาพที่ 1.43 นายสเนห่ ์ นรสงิ ห์ หรือโนราเสน่หน์ อ้ ยดาวรุ่ง อดตี โนราผ้มู ชี ื่อเสยี งและนางสาววริยา บญุ จร รวมถงึ คณะ
ลกู ศิษย์
ทม่ี า: วรฤทธ์ิ บุรินทรก์ ลุ (2562)

ภาพท่ี 1.44 การถา่ ยทอดการนามโนราห์ใหแ้ ก่เดก็ และเยาวชนในชุมชน เพือ่ สบื ทอดภูมปิ ัญญาตอ่ ไป
ท่มี า: วรฤทธิ์ บรุ นิ ทร์กุล (2562)

เห็นได้ว่า ภูมิปัญญาท้องถ่ินมีบทบาทสาคัญต่อคนในชุมชนซ่ึงครอบคลุมทุกมิติของการดาเนิน
ชีวิตทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และส่ิงแวดล้อม เป็นวัฒนธรรมชุมชนท่ีเป็นแบบแผนการดาเนินชีวิตให้กับ

196 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจดั การระบบนิเวศปา่ พรุเพื่อเพม่ิ ความสามารถในการกกั เก็บคาร์บอน
และอนรุ กั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งย่งั ยืน

คนในชุมชนเหล่านน้ั และสรา้ งการเรยี นรู้ผ่านการปฏบิ ัติ ทาให้ดู ลองทาตาม ส่ังสมประสบการณ์ สบื ทอด
ชุดความรู้ต่อ ๆ กันมาจากรุ่นสู่รุ่น น่ีจึงเรียกได้ว่า ภูมิปัญญา ปัญญาเชิงปฏิบัติที่สอดคล้องไปตามบริบท
ของภูมิศาสตร์ที่ตั้งแหล่งท่ีอยู่อาศัย จากข้อมูลเกี่ยวกับภูมิปัญญาของชุมชนชาวพรุควนเคร็งที่กล่าวมา
ข้างต้น เห็นได้ว่าไม่ได้แตกต่างจากชุมชนอ่ืน ๆ ในภาคใต้มากนัก และมีความเช่ือมโยงกับการใช้
ทรัพยากรธรรมชาติทีม่ ีอย่ใู นชมุ ชน อีกทั้งหลายภมู ิปัญญาของชมุ ชนก็กาลงั อยใู่ นสภาวะการขาดผู้สืบทอด
เน่ืองด้วยคนรุ่นใหม่ไม่มีความสนใจหรือการท่ีคนรุ่นใหม่เลือกทางานต่างพ้ืนที่ และมีวิถีชีวิตในสังคม
สมัยใหม่ เมื่อเป็นเช่นน้ี ผู้ท่ีเก่ียวข้องซ่ึงอยู่ในบทบาทการเป็นผู้นาชุมชนควรส่งเสริมและพัฒนาต่อยอด
เพื่อให้ภูมิปัญญาอันเป็นชุดความรู้ด้ังเดิมที่เก่ียวพันกับการดาเนินชีวิตของคนในชุมชนให้ยังคงมีอยู่ต่อไป
และพัฒนาให้กลายเป็นสินค้าทางวัฒนธรรมที่สามารถสร้างรายได้หนุนเสริมเศรษฐกิจ สังคม และ
สิ่งแวดลอ้ มของชมุ ชน

ประเพณีสาคัญของชุมชน ประเพณีของชุมชนในพ้ืนที่ภูมิทัศน์พรุควนเคร็งไม่ต่างจากประเพณี
ในพ้ืนท่ีอื่น ๆ ของชุมชนในภาคใต้มากนัก เช่น ประเพณีชักพระ ประเพณีทาบุญสารทเดือนสิบซึ่งคนใน
พื้นทภี่ มู ทิ ศั น์พรุควนเคร็งให้ความสาคัญเป็นอย่างมาก เปน็ วันรวมญาติของแต่ละครอบครัวที่ลูกหลานซ่ึง
ทางานในต่างพื้นที่ต้องกลับมาบ้านและมีการทาบญุ อุทิศส่วนกุศลใหแ้ ก่บรรพบุรุษ นอกจากนี้ยังมีการจดั
ประเพณีท่ีสะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชนท่ีเป็นการส่ือสารให้สังคมภายนอกได้รู้จักชุมชนมากขึ้นเพ่ือการ
พัฒนาชุมชนทั้งในด้านผลผลิตทางการเกษตร สินค้างานหัตถกรรมพื้นบ้านท่ีทาจากกระจูด และการ
ส่งเสริมการท่องเท่ียวของชุมชน นั่นคือ การจัดประเพณี “ดอกจูดบาน” (ภาพที่ 1.45) ท้ังนี้งานดอกจูด
บานเร่ิมมีแนวคิดตั้งแต่ พ.ศ. 2524 ถึงปัจจุบัน และการเปิดงานวันดอกจูดบานในช่วงเริ่มต้น ชุมชนมี
แนวคิดในการสานเสื่อกระจูดท่ียาวที่สุดในโลกซึ่งเป็นพลังความร่วมมือร่วมใจของคนเคร็ง คาว่า “ดอก
จูด” (ภาพที่ 1.46) หมายถึง สัญลักษณ์ที่ต้องการส่ือถึงผลผลิตทางการเกษตรที่มีในพ้ืนท่ีอาเภอชะ
อวด ส่วนคาวา่ “บาน” หมายถึง เผยออกอยา่ งแช่มชน่ื เชน่ น้ี การใชค้ าวา่ “ดอกจดู บาน” จงึ หมายถึง
ผลผลิตทางด้านการเกษตรในอาเภอชะอวดเพิ่มมากข้ึนหรือแช่มชื่นข้ึน หรือเผยออกให้เห็นผลผลิต
ทางด้านการเกษตรในอาเภอชะอวด (สถาบันพฒั นาองคก์ รชุมชน, 2562)

ภาพที่ 1.45 เส่ือกระจูดท่ียาวทีส่ ุดในโลก คอื ความร่วมแรงร่วมใจของคนเครง็ และงานดอกจดู บานที่จัดอย่างต่อเนอื่ ง
ทมี่ า: สถาบันพัฒนาองคก์ รชุมชน (2562)

รายงานสรุปสาหรบั ผบู้ ริหาร ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และพรุควนเคร็ง วถิ ีคนและปา่ | 197

ภาพท่ี 1.46 ดอกจดู บาน ในป่าพรคุ วนเครง็
ที่มา: บันทึกภาพโดย นนั ทวรรณ อนุ่ จางวาง เมือ่ ปี พ.ศ. 2562

ชุมชนกับการใชป้ ระโยชน์ในพน้ื ท่ีภูมทิ ศั น์ปา่ พรคุ วนเคร็ง
ป่าพรุควนเคร็งเป็นพ้ืนท่ีเปรียบเสมือนตู้เย็นของคนในชุมชนดังท่ีคนในชมุ ชนได้กล่าวไว้ในหลาย

ๆ เวทีการประชุมปฏิบัติการหรือการเสวนาต่าง ๆ ที่มีคนในชุมชนเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการ สะท้อน
ถึงการตระหนักถึงความสาคัญของผืนป่าที่มีต่อชุมชนที่มีวิถีพ่ึงพาทรัพยากรธรรมชาติทีมีในชุมชนจากรุ่น
สู่รุ่น ทั้งนี้จากผลการศึกษาของ นฤมล ขุนวีช่วย (2558) ที่การศึกษาในประเด็นพลวัตการใช้ประโยชน์
ทรัพยากรป่าพรุควนเคร็ง ซึ่งสะท้อนวิถีการชุมชนกับการใช้ประโยชน์จากป่าในยุคต่าง ๆ ที่ข้ึนอยู่กับ
ปัจจัยหลายประการ และสิทธิการเข้าถึงทรัพยากรในป่าพรุของคนแต่ละกลุ่มท่ีแตกต่างกัน ทั้งน้ีผล
การศึกษาสะท้อนให้เห็นว่า “พรุควนเคร็ง” มีบทบาทสาคัญในการเป็นแหล่งทรัพยากรของชุมชนสองลุม่
น้า น่ันคือ ลุ่มน้าทะเลสาบสงขลาและลุ่มน้าปากพนัง ซึ่งใช้ประโยชน์จากผืนป่าพรุร่วมกันมาต้ังแต่อดีต
จนถึงปัจจุบัน โดยรูปแบบการใช้ประโยชน์ของคนในชุมชนในสมัยก่อนนนั้ มกั เป็นการใช้ไม้และหาของป่า
ทั้งพชื และสัตว์ เช่น เหด็ พชื สมุนไพรต่าง ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิง่ กระจูดซ่งึ เปน็ พชื ในปา่ พรุท่ีนามาแปร
รูปเป็นข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจาวันได้หลากหลายรูปแบบ เช่น เสื่อ กระเป๋า อีกท้ังพรุควนเคร็งยัง
เป็นแหล่งพันธุ์ปลาที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงปลาดุกลาพัน นอกจากนี้ยังมีการทานา สวนยางพารา
และปาลม์ น้ามนั ทงั้ น้ีจาแนกการใชป้ ระโยชน์ทรัพยากรป่าพรคุ วนเคร็ง ออกเป็น 3 ยุค คอื ยคุ ที่ 1 ยุคป่า
เขียว (ก่อนพ.ศ. 2505) ยุคหลังวาตภัย (พ.ศ. 2505-2539) และยุคเกษตรเชิงพาณิชย์ (พ.ศ. 2540-
ปัจจุบัน) โดยที่ลักษณะการใช้ประโยชน์ท่ีแตกต่างกันในแต่ละยุคข้ึนอยู่กับ 2 ปัจจัย คือ 1) ปัจจัยภายใน
ชุมชน ไดแ้ ก่ ฐานทรพั ยากรป่าพรุ และกระบวนการเรยี นรู้ของชุมชน 2) ปจั จัยภายนอกชุมชน ได้แก่ การ
เปล่ียนแปลงจากนโยบายของภาครัฐ และการเข้ามาขององค์กรและหน่วยงานภายนอก ส่วนสิทธิในการ
เข้าถึงทรัพยากรป่าพรุควนเคร็งจาแนกได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มท่ีหากินกับทรัพยากรในป่าพรุอย่างยั่งยืน
เช่น กลุ่มหาของป่า จับสัตว์น้า ถอนกระจูด กลุ่มที่สองเป็นกลุ่มท่ีหากินกับการทาลายทรัพยากร ได้แก่

198 | โครงการเสรมิ ศกั ยภาพการจดั การระบบนเิ วศป่าพรุเพอ่ื เพมิ่ ความสามารถในการกักเก็บคาร์บอน
และอนุรักษค์ วามหลากหลายทางชีวภาพอย่างยง่ั ยืน

กลุ่มท่ีเข้าไปตัดไม้ในป่าออกมาใช้ประโยชน์และค้าขาย และกลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มท่ีไม่สนใจหากินกับ
ทรัพยากรแต่ต้องการครอบครอง ได้แก่ กลุ่มท่ีเข้าไปครอบครองท่ีดินป่าพรุเพื่อการเกษตร หรือเพื่อ
ผลประโยชน์อ่ืน ๆ ดังน้ันกลุ่มคนท้ัง 3 กลุ่ม จึงมีความสัมพันธ์เก่ียวโยงซึ่งกันและกัน โดยความสัมพันธ์
เป็นไปทั้งในรูปแบบของการพึ่งพาอาศัย และความขัดแย้ง ซ่ึงในความสัมพันธ์ดังกล่าวได้นาไปสู่
กระบวนการปรับตัวของชุมชน เป็นการปรับตัวเพ่ือแสวงหาทางออกให้กับตนเองให้มีชีวิตอยู่รอดได้
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นโดยอยู่บนฐานการผลิตที่ต้องอาศัยทรัพยากรป่าพรุ และการ
สนับสนุนจากหนว่ ยงานท่ีเกยี่ วขอ้ ง

กระจดู ฐานเศรษฐกจิ ร้อยวิถชี มุ ชน
กระจูด พืชเศรษฐกิจชุมชนเคร็ง ซ่ึงเป็นชุมชนเก่าแก่กว่า 200 ปี มีสภาพพื้นที่ 3

ลักษณะคือ น้าท่วมขังหรือป่าพรุ พื้นที่ราบน้าไม่ท่วม และพ้ืนท่ีเนินควน ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้ังบ้านเรือน
อยบู่ นเนินควนเรียงรายกันไปรายรอบควน เปน็ กลมุ่ ๆ ตามหมูเ่ ครือญาติ การเรียกชอื่ บา้ นสว่ นใหญ่จึงมัก
มีคาว่าควนนาหน้า เช่น บา้ นควนป้อม บา้ นควนยาว บ้านควนเคร็ง บ้านควนชิง เปน็ ต้น มบี ้านบางหย่อม
ขนาดเล็กตั้งบ้านเรือนริมคลอง คนกลุ่มแกๆ ที่เข้ามาตั้งถ่ินฐานประกอบด้วยคน 3 กลุ่ม กล่าวคือ กลุ่ม
แรกเป็นชาวเคร็งด้ังเดิมท่ีผู้สูงอายุในชุมชนหลายคนเช่ือว่าได้ต้ังถิ่นฐานมาต้ังแต่รัชสมัย พระบาทสมเด็จ
พระพุทธเลิศหล้านภาลยั กลมุ่ ที่สองเปน็ พวกทีเ่ ข้ามาอยู่อาศยั หลงั จากกลมุ่ แรกในชว่ งสมัยรัชกาลท่ี 5 คน
กลุ่มน้ีส่วนใหญ่เป็นพวกท่ีหลบหนีคดีความมาจากท้องท่ีอ่ืน ๆ ทั้งจากเขตจังหวัดพัทลุง จังหวัดสงขลา
และจังหวัดนครศรีธรรมราช และกลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มที่อพยพเข้ามาสมทบภายหลังสุด เป็นกลุ่มคนท่ีมา
จากชุมชนด้านทิศตะวนั ออกและด้านทิศตะวันตกของทะเลสาบสงขลา กลุ่มหลังนี้เข้ามาเพ่ือจับจองที่ดิน
สาหรับต้ังบ้านเรือนและทานาปลูกข้าว ซ่ึงต่อมาก็ได้ชักขวนญาติมิตรเข้ามาอยู่เพ่ิมมากขึ้น ในอดีตการ
เดินทางเป็นไปด้วยความลาบากต้องใช้เรือพายหรือเรือหางยาวขนาดเล็ก ราวปลายปี 2510 ได้มีการ
พัฒนาเสน้ ทางบก โดยชาวบ้านช่วยกันขดุ ลอกคลองดินขึ้นมาถมเปน็ ถนน เมื่อถงึ ฤดฝู นต้องกลับมาใช้เรือ
เช่นเดมิ กระทงั่ ราวปี 2520 ถนนหนทางไดร้ บั การพัฒนามากขึ้นทาใหก้ ารเดินทางสะดวกจนถึงปัจจุบนั

กระจูดเป็นพืชเศรษฐกิจของชมุ ชนเคร็ง แบ่งเป็น 3 ยุค กล่าวคือ 1) กระจูดยุคใช้สอย อยู่ในช่วง
ก่อนปลายปี 2500 เป็นยุคท่ีชาวบ้านมีอาชีพทานา มีการจับจองท่ีนารายรอบควน เป็นการทานาเพ่ือ
บริโภค บ้างก็จับจองทานาในป่าพรุ เรียกกันว่า “นาฟางลอย” นั่นคือ รากของต้นข้าวยึดติดกับดินในพรุ
หรือบ้างก็ยึดติดกับต้นไม้ กอหญ้าในป่าพรุ พันธุ์ข้าวเป็นพันธ์ุเฉพาะของท้องถิ่น เรียกว่า ข้าวพันธ์ุฟาง
ลอย อย่างไรก็ตามกระจูดก็ถือเป็นพืชท่ีชาวบ้านนามาแปรรูปใช้สอยเป็นข้าวของเคร่ืองใช้ในบ้าน เช่น
เส่อื กระจูด กระบุงใสข่ ้าว การถือครองสทิ ธกิ ารเก็บเก่ียวและใช้ประโยชน์จะยดึ ตามปลายนาทา้ ยบ้านของ
เจ้าของบ้าน เป็นข้อตกลงแบบจารีตที่รับรู้กันในชุมชน หากใครไม่มีที่ดินหรือท่ีนาที่ติดกับพรุก็จะเข้าไป
จับจองแบบชั่วคราวโดยการปักกาเพ่ือแสดงความเป็นเจ้าของให้คนอื่นได้รับรู้ การเก็บเกี่ยวในยุคน้ี
ชาวบ้านใช้วิธีการถอนซ่ึงเป็นแนวทางการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ที่ส่งผลดีต่อป่าพรุ น่ันคือไม่หลงเหลือ
รากเน่าหรือรากกลายเป็นเช้ือไฟในยามเกิดไฟป่าหน้าแล้ง 2) กระจูดในยุคสินค้าพ้ืนเมือง อยู่ในช่วงปี
2510 กระจูดได้รับการพัฒนาแปรรูป เปล่ียนจากการผลติ เพอ่ื ใชส้ อยมาเปน็ ผลิตเพอื่ ขายมากขึ้น มกี ารส่ง
ขายนอกชุมชน ขยายตลาดเพ่ิมขึ้น มีคนนอกพ้ืนที่เข้ามารับซ้ือผลิตภัณฑ์ทั้งกระจูดสดและกระจูดพร้อม
จักสาน รวมถึงผลิตภัณฑ์ กระจูดสร้างรายได้แก่คนในชุมชนเป็นอย่างดี ทาให้คนในชุมชนยึดอาชีพท่ี

รายงานสรปุ สาหรบั ผ้บู รหิ าร ข้อเสนอแนะเชงิ นโยบาย และพรุควนเคร็ง วถิ คี นและป่า | 199

เชื่อมโยงกับกระจูดในแต่ละขั้นตอนการผลิตมากข้ึน การเก็บเก่ียวเร่ิมมีการตัดกระจูดแทนการถอนแบบ
ดั้งเดิม การครอบครองพื้นท่ีกระจูดในพ้ืนท่ีสาธารณะเริ่มแสดงสิทธิการครอบครองแบบถาวรโดยการจับ
จองจากดงกระจูดและดูแลเป็นแปลงกระจูดส่วนบุคคล และบ้างก็มีการปลูกกระจูดในท่ีนาของตนเอง 3)
กระจูดในยุคสินค้าโอทอป อยู่ในช่วงปลายปี 2530 กระจูดในแหล่งธรรมชาติถูกใช้งานมาก ปริมาณ
กระจดู ท่ีงอกทดแทนเจริญเติบโตไม่ทันต่อความต้องการ เน่อื งจากตลาดมีความต้องการผลิตภัณฑ์กระจูด
เป็นจานวนมาก ยุคน้ีมีการปลูกกระจูดเพ่ิม หว่านปุ๋ยลงในแปลงกระจูดเพื่อเร่งการเจริญเติบโต แทบทุก
ครัวเรือนในชุมชนเครง็ มีความเชอื่ มโยงกับกระจูด มีการดูแลแปลงกระจูดกันอย่างจริงจัง ส่วนการเขา้ จับ
จองเพ่ือครอบครองแปลงกระจูดในพ้ืนที่สาธารณะในแบบปักกาเร่ิมเกิดปัญหาการละเมิดกฎของชมุ ชนที่
ยึดถือกันมาแต่เดิม มีการลักลอบตัดกระจูดในแปลงส่วนบุคคล การเก็บเกี่ยวให้ทันต่อความต้องการของ
ลูกคา้ และความตอ้ งการรายไดเ้ ปลยี่ นมาเป็นการตดั แทนการถอน ทาใหส้ ่งผลกระทบต่อปา่ พรุ โดยเฉพาะ
อย่างยง่ิ ในชว่ งฤดูแล้งที่มักเกิดไฟป่า รากกระจดู กลายเป็นเชื้อไฟอย่างดี ในยคุ น้ชี าวบ้านเร่ิมรับรู้แนวโน้ม
กระจูดมีน้อยลง และเมื่อเกิดไฟป่าย่ิงส่งผลกระทบต่อกระจูดท่ีมีในพรุ (ศุกลภัทร รักษ์ทอง และคณะ,
2554, 367-408)

จากรายงานการวิจัยของบรรจง นะแส และคณะ (2546, 32-78) ซึ่งได้ทาการศึกษาไว้เมื่อปี
2546 นั่นคือ ราว 16 ปีที่ผ่านมาได้ระบุข้อมูลความสาคัญของกระจูดท่ีมีต่อวิถีชีวิตของคนในชมุ ชนทั้งใน
ด้านการแปรรูปเพ่ือใช้สอยในกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจาวัน เช่น เส่ือ กระบุง และกระสอบสากรับใส่
ข้าว กะปิ และถ่าน ส่วนในด้านเศรษฐกิจชุมชนที่สร้างรายได้ในการจุนเจือครอบครัว ชาวบ้านส่วนใหญ่
ยึดอาชีพจักสานโดยใช้กระจูดเป็นวสั ดุอันเป็นผลผลิตจากพรุควนเคร็ง ซึ่งในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2504 พื้นที่
พรุควนเคร็งมีความอุดมสมบูรณ์ของกระจูดเป็นอย่างมาก การเปล่ียนแปลงของกระจูดในพ้ืนท่ีพรุควน
เคร็งในสมัยก่อนเกิดจากภัยธรรมชาติ คือ ไฟไหม้ป่าเป็นหลัก ซ่ึงเกิดข้ึนหลายคร้ังแต่ไม่รุนแรงมากนัก
เน่ืองจากในพรุมีน้าขังตลอดเวลา ไฟจึงไหม้เฉพาะต้นกระจูดแต่ยังคงเหลือรากเหง้าในดินอยู่ ทาให้การ
ฟ้ืนฟูกระจูดกลับคืนสภาพเดิมโดยธรรมชาติเป็นไปได้ง่าย แต่ปัจจุบันการเกิดไฟป่ามีสาเหตุหลักมาจาก
การกระทาของมนุษย์ เพื่อสนองความต้องการของตนเองและตลาด ประกอบกับสภาพพื้นท่ีของพรุควน
เคร็งเร่ิมตื้นเขินมากขึ้นชาวบ้านกล่าวว่า สมัยก่อนการเดินลงลงไปในพรุจะยากลาบากเพราะสภาพพรุมี
ลักษณะเป็น “ยล” (ซากพืชซากสัตว์ท่ีทับถมกันเป็นเวลานาน) ซึ่งจะยุบตัวในขณะที่เดิน แต่ปัจจุบันการ
เดินลงพรุเหมือนเดินในแปลงนา พืน้ ทบ่ี างแหง่ ซ่ึงเคยมีน้าท่วมขังตลอดปี กลับมรี ะดบั นา้ ลดลง กระจูดซึ่ง
มีอยู่ในพื้นท่ีพรุควนเคร็งจึงได้รับผลกระทบไปด้วย ชาวบ้านยังสะท้อนข้อมูลการรับรู้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับ
ระบบนิเวศน์ของป่า นั่นคือ หากมีน้าในพรุกระจูดจะสมบูรณ์ แต่ถ้าขาดน้าแม้จะพยายามฟ้ืนฟูอย่างไรก็
ไมม่ ที างกลับมาเหมอื นเดิมได้

การเกดิ ไฟไหม้ป่าพรุครัง้ ใหญ่ในปี พ.ศ. 2506 ทาใหท้ รัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม ชาวบา้ นเร่ิม
มีการจับจองที่ดินเพื่อทานามากขึ้น ทรัพยากรที่ใช้ประโยชน์ได้เริ่มลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะกระจูด
หลังจากนั้นได้เกิดไฟไหม้ป่าติดต่อกันอีกหลายคร้ัง ทาให้ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติมีมาก
ข้ึน นอกจากนีโ้ ครงการพัฒนาต่างๆในด้านโครงสรา้ งพื้นฐาน เช่น ถนน กดี ขวางการไหลของนา้

การขุดคูคลองทาให้ปริมาณน้าในพรุลดลง เนื่องจากสามารถระบายน้าได้เร็วข้ึน อีกทั้งจาก
ปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์จักสานเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้ชาวบ้านบางส่วนตัดกระจูดแทนการถอน
กระจูด เพราะการถอนกระจูดจะได้กระจูดในปริมาณน้อย ดังสะท้อนได้จากการให้ข้อมูลของผู้นาชุมชน

200 | โครงการเสริมศักยภาพการจดั การระบบนเิ วศป่าพรุเพือ่ เพม่ิ ความสามารถในการกกั เกบ็ คาร์บอน
และอนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพอยา่ งยั่งยนื

เมื่อปี 2545 ระบุว่า เดิมกระจูดในพื้นท่ี 1 ไร่ ตัดได้ 300 กาเล็ก ( 1 กาเล็ก สามารถสานเสื่อได้ 1 ผืน )
ใช้เวลาตัด 4 ช่ัวโมง และใช้แรงงานเพียง 2 คน แต่ในปี 2546 กระจูดในแปลงเดิมจานวนพื้นท่ี 1 ไร่ ตัด
ได้ 150 กาเล็ก ใช้เวลาและแรงงานคนเท่าเดิม ผลกระทบจากการตัดกระจูดท่ีตามมาคือ กระจูดตาย
เพราะน้าเข้าไปในปล้องกระจูด หน่ออ่อนของต้น กระจูดเป่ือย การงอกทด แทนช้าลง ซึ่งมีการประมาณ
ว่าปริมาณการงอกทดแทนในพื้นท่ีของกระจูดที่มีการตัดเพียง 50% ของปริมาณกระจูดก่อนมีการตัด
สาเหตุมาจากหญา้ จะมีมีการเจริญเติบโตเร็วกว่าตน้ กระจดู และหน่อกระจูดบางสว่ นเนา่ ไม่สามารถงอกได้
ทาให้ปริมาณกระจูดท่ีเก็บเกี่ยวได้ลดลงอย่างชัดเจน ขณะนี้กระจูดเป็นทรพั ยากรที่เร่ิมขาดแคลนในพน้ื ท่ี
ตาบลเคร็ง อาเภอชะอวด จังหวดั นครศรธี รรมราช และบ้านหัวป่าเขยี ว ตาบลทะเลนอ้ ย อาเภอควนขนุน
จงั หวัดพทั ลงุ ซ่งึ เป็นแหลง่ กระจูดขนาดใหญใ่ นอดตี

การใช้ประโยชน์จากกระจูดนอกจากชุมชนในพ้ืนท่ีจังหวัดนครศรีธรรมราชแลว้ ยังมีชุมชนทะเล
น้อย ในเขตอาเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง จากงานวิจัยของ ศิริจิต ทุ่งหว้า และคณะ (2544, 66-68) ซ่ึง
ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชุมชนชาวประมง(บริเวณ) ทะเลน้อย
อาเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง สะท้อนข้อมูลท่ีน่าสนใจเกี่ยวกับอาชีพการเกษตรของราษฎรในชุมชน
ประมงทะเลน้อย เกิดข้นึ อย่างสมั พันธ์กันกบั ลักษณะของทรัพยากรธรรมชาติ แหลง่ ทอ่ี ยอู่ าศัย และความ
อดุ มสมบรู ณแ์ ละความเหมาะสมของพื้นที่ซง่ึ สามารถอธิบายแบง่ แยกอาชีพ การทานากระจูด ออกเปน็ 4
ช่วงดังนี้

ช่วงก่อนพ.ศ. 2500 พ้ืนท่ีที่ใช้ในการทานากระจูดคือบริเวณแนวเขตติดต่อของทะเลน้อยและ
บริเวณพื้นดินท่ีมีน้าท่วมถึง ประมาณ 6-7 เดือนขึ้นไป พื้นท่ีเหล่าน้ีอยู่ด้านทิศเหนือและทิศใต้ของท่ีตั้ง
ชุมชนชาวประมงทะเลน้อย ต้นกระจูดที่ได้จะนามาใชเ้ ป็นวสั ดุในการจักสานเส่ือกระจูด ซึ่งเปน็ ผลิตภัณฑ์
ที่ทากันมากว่า 100 ปี ต้นกระจูดสดท่ีได้จะนามาตากแดดไว้ 1-2 วัน ต่อจากน้ันจะนากระจูดที่แห้งแล้ว
ไปผา่ นเครื่องรดี ในช่วงน้ีจะใชก้ ้อนหินกลมขนาดใหญ่ทมี่ นี ้าหนักมาก กลิง้ ทับไปบนกระจดู หลายๆรอบจน
กระจดู แบนแล้วจงึ นากระจูดดังกล่าวมาใชส้ านเสอื่ ในขั้นตอ่ ไป

ชว่ งพ.ศ. 2500 -2515 ในชว่ งน้กี ารทานากระจดู มีการขยายตวั เพ่ิมมากขนึ้ เนื่องจากผลผลิตท่ีได้
จากผลิตภัณฑ์กระจูด โดยเฉพาะเสื่อ เป็นท่ีต้องการของตลาดมากข้ึน ทาให้ต้นกระจูดที่มีอยู่ไม่เพียงพอ
กบั ความตอ้ งการ นอกจากนใ้ี นการทานากระจูดมักจะได้รับความเสียหายจากนกนา้ เข้าทาลาย โดยในชว่ ง
ที่กระจูดแตกหัวอ่อนนกน้าจะเข้าขุดหัวของกระจูดนามาเป็นอาหาร ซ่ึงส่งผลเสียหายให้กับเกษตรกร ท่ี
ทานากระจูดเป็นจานวนมาก มีเกษตรกรบางรายเลิกทานากระจูดหันมาซื้อต้นกระจูดจากเกษตรกรราย
อื่นแทน กระจดู ส่วนหนึง่ ที่ใชใ้ นการทาผลติ ภัณฑ์กระจูดนี้ ต้องนามาจากพื้นที่บริเวณพรคุ วนเคร็ง อาเภอ
ชะอวด จังหวดั นครศรีธรรมราช

ช่วงพ.ศ. 2516 -2530 ช่วงนี้อาชีพการทานากระจูดยังคงดาเนินการในพ้ืนที่เดิมแต่ลดจานวน
พ้ืนท่ีลงและไม่มีการแพร่ขยายไปยังพื้นที่ใหม่ แม้ว่าความต้องการกระจูดจะมีเพิ่มมากขึ้นเร่ือยๆ สาเหตุ
สาคญั เน่ืองจากมักเกดิ ความเสยี หายของนากระจูดอันเกดิ จากนกน้าเขา้ ทาลาย และสาเหตอุ กี ประการคือ
มีการนากระจูดจากพรุควนเคร็งในจังหวัดนครศรีธรรมราชเข้ามาทดแทนจานวนมาก และยังคงมีวัสดุ
กระจดู เพยี งพอสาหรับใช้ทาเส่ือ และผลติ ภัณฑ์รูปแบบอน่ื ท่ีได้มีการพัฒนาขึ้นมา เชน่ ชดุ ทร่ี องจาน ถ้วย
กาแฟ และพดั กระจูดเป็นต้น


Click to View FlipBook Version