1
เขตทางทะเลและเขตแดนทางทะเลของไทย
กลา่ วนา
เขตทางทะเลและเขตแดนทางทะเล เป็นเรื่องที่มีความสาคัญและมีความจาเป็นสาหรับทุกๆหน่วยงาน
และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทะเล เช่นหน่วยงานที่เก่ียวข้องกับการบังคับใช้กฎหมาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ
การบริหารจัดการพ้ืนที่ทางทะเล และผู้ที่มีส่วนในการใช้ประโยชน์จากทะเลในกิจกรรมต่างๆ จาเป็นจะต้องทราบ
เป็นเบื้องต้นให้เกิดความเข้าใจในขอบเขตของพื้นท่ีพร้อมด้วยหลักการทางกฎหมายท่ีเก่ียวข้องให้ถูกต้องตรงกัน
ในการท่ีจะเข้าใจทะเลในรายละเอียดและในภาพกว้าง การเรียนรู้เร่ืองเขตทางทะเลและเขตแดนทางทะเล
จึงเปรียบเสมือนลู่ทางที่เป็นประตูท่ีเปิดเข้าสู่น่านน้าไทยหรือทะเลในส่วนที่ประเทศไทยมีเขตอานาจ ให้เห็นถึง
ความชดั เจนในขอบเขตของน่านนา้ ท้ังในส่วนทป่ี ระเทศไทยมีอานาจอธิปไตยเช่นเดียวกับผืนแผ่นดินและนานน้าใน
ส่วนที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยในการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรท้ังที่มีชีวิตและทรัพยากรท่ีไม่มีชีวิต
ในขณะเดียวกันผู้ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับทะเลจาเป็นต้องรับทราบร่วมกันว่าทุกคนต่างมีภาระหน้าท่ีท่ีจะต้อง
ดูแลและปกป้องคุ้มครองให้ทะเลในเขตอานาจของประเทศไทยให้มีการใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้
ทะเลไทยมกี ารพัฒนาไปสู่ ความม่ันคง มง่ั คง่ั และย่ังยืนเพ่ือประโยชน์ของประชาชนในรุ่นตอ่ ๆไป
1. ขอบเขตของทะเล (Limit of the Sea) ในสว่ นทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับนา่ นน้าไทย
โดยทาเลทีต่ ้งั ในทางภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศไทยท่มี ีน่านน้าอยูท่ ้ังสองด้านคือ ด้านตะวันออกของประเทศ
มีพื้นท่ีน่านน้าอยู่ในอ่าวไทย และด้านตะวันตกของประเทศมีน่านน้าบางส่วนอยู่ในทะเลอันดามันและในช่องแคบ
มะละกา ซึ่งในพ้ืนที่ทะเลดังที่กล่าวมามิได้เปน็ น่านน้าในเขตอานาจของประเทศใดประเทศหนึ่งเพียงประเทศเดยี ว
ซึ่งทะเลในท่ีอ่ืนๆท่ัวโลกก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน การท่ีจะทราบว่ามีประเทศใดบ้างมีพ้ืนท่ีทางทะเลอยู่ในเขต
ทะเลท่ีกลา่ วมา เพอ่ื ให้เกิดความเข้าใจในขอบเขตทะเลที่ตรงกันและเป็นท่ยี อมรบั ในบรรดารัฐชายฝง่ั องค์การอุทก
ศาสตร์สากลกาหนดขอบเขตของมหาสมุทรและทะเลทั่วโลกไว้ใน บรรณสารหมายเลข S-23 (Limit of The
Ocean and Sea) ซึ่งเอกสารดังกล่าวได้กาหนดขอบเขตของทะเลในทุกๆพ้ืนที่ของโลกเพ่ือให้ประเทศต่างๆ
สามารถนามาใช้อ้างอิงไดต้ รงกัน ในส่วนของพนื้ ที่ทางทะเลท่เี กี่ยวข้องกับประเทศไทยนั้น ประเทศไทยมีอาณาเขต
ติดทะเลทั้ง 2 ด้านได้แก่ ด้านอ่าวไทย และด้านตะวันตกของประเทศไทยในส่วนท่ีเป็นทะเลอันดามัน
และช่องมะละกา การศึกษาเร่ืองเขตทางทะเลและเขตแดนทางทะเลจึงต้องทราบขอบเขตของ อ่าวไทย ทะเล
อันดามนั และชอ่ งแคบมะละกาโดยมรี ายละเอียดของขอบเขตการกาหนดท่เี ป็นสากลดงั นี้
1.1 ขอบเขตของอ่าวไทย ได้แก่ บริเวณพ้ืนท่ีทางเหนือของเส้นตรงท่ีลากเชื่อมระหว่างปลายแหลม
ด้านตะวันตกของแหลมกาเมา (สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) กับจุดท่ีอยู่ปลายแหลมด้านเหนือฝ่ังตะวันออก
ของปากแมน่ ้ากลนั ตนั (Kalantan River) ในมาเลเซียตามรูปที่แสดง
2
ภาพที่ 1 แสดงขอบเขตของอ่าวไทย ( ทีม่ า: คมู่ อื การสรา้ งแผนที่เดินเรอื กรมอทุ กศาสตร์)
1.2 ขอบเขตของทะเลอนั ดามัน ได้แก่ พ้ืนท่รี ะหวา่ งฝ่งั ตะวันตกของประเทศไทยและฝั่งด้านใต้ของ
ประเทศพม่าโดยมขี อบเขต ดังน้ี
- ดา้ นเหนอื ครอบคลมุ ชายฝงั่ ตอนใต้ของประเทศเมียนมา (สหภาพพม่า)
- ดา้ นใต้ เร่ิมจากเสน้ ทล่ี ากเชื่อมระหว่างปลายแหลมพรหมเทพ จังหวดั ภูเก็ต ไปยังแหลม
Pedropunt ทางเหนือของเกาะสมุ าตรา ประเทศอินโดนีเซีย
- ดา้ นตะวันออก ครอบคลุมชายฝงั่ ทางใต้และตะวนั ออกของประเทศเมียนมา ชายฝงั่ ด้านตะวนั ตก
ของประเทศไทยจนถงึ บรเิ วณปลายแหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเกต็
- ด้านตะวันตก จากปลายแหลม Pedropunt ลากเส้นเช่อื มผา่ นหมเู่ กาะ Nicobar แหลม Sandy
point ที่หม่เู กาะ Little Andaman ผ่านเกาะใหญ่ของหมู่เกาะ Andaman ตรงไปยงั ปลายแหลม Negrais
บนฝั่งในประเทศเมยี นมา
1.3 ขอบเขตของชอ่ งแคบมะละกา ได้แก่ พืน้ ที่ท่ีอยู่ระหว่างฝ่งั ตะวันตกของแหลมมลายู และฝั่งตะวันตก
ของประเทศไทยกับฝ่ังตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะสุมาตราโดยมีขอบเขตดงั นี้
- ดา้ นเหนือ จากปลายแหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเกต็ ไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ตามแนวชายฝงั่ ของ
ประเทศไทย ไปตลอดแนวชายฝ่ังของแหลมมลายู จนถงึ แหลม Piai
- ด้านใต้ เริ่มจากทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือของปลายแหลม Kedabu ไปตามชายฝัง่ เกาะสุมาตราจนถึง
ปลายแหลม Pedropunt
- ดา้ นตะวันออก เรม่ิ จากเส้นตรงท่ลี ากจากทศิ ตะวนั ตกเฉยี งใต้ของแหลม Piai ไปยังเกาะ Iyu Kecil
และลากเสน้ ต่อไปยังด้านเหนือของเกาะ Kalimun kecil และลากเสน้ ต่อออกไปยงั ดา้ นทิศใต้จนถึงแหลม
Kedabu
- ด้านตะวันตก เริม่ จากเสน้ ตรงท่ีลากจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแหลม Pedropunt ไปจนถงึ
บริเวณปลายแหลมพรหมเทพ จงั หวัดภเู ก็ต
3
ภาพท่ี 2 ขอบเขตของทะเลอันดามัน (Andaman Sea) และช่องแคบมะละกา ( Malacca Strait)
( ทม่ี า : ค่มู ือการสรา้ งแผนที่เดินเรือ กรมอทุ กศาสตร์)
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นจะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีน่านน้าทางทะเลเพียงส่วนหนึ่งในอ่าวไทยเท่านั้น
อ่าวไทยเป็นพ้ืนท่ีที่มีรัฐชายฝั่งอยู่รายเรียงตลอดแนวอ่าวไทยถึง 4 ประเทศได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา ไทย และ
มาเลเซียในลักษณะที่มีน่านน้าอยู่ประชิดและอยู่ตรงข้าม กับประเทศไทย ซึ่งบรรดาประเทศต่างๆเหล่าน้ีต่างก็
อ้างสิทธิฝ่ายเดียว (Unilateral claim) ในการประกาศเขตทางทะเลของตนเองเป็นต้นเหตุของการเกิดพื้นท่ีที่อ้าง
สทิ ธิทับซอ้ นทางทะเลในอ่าวไทยที่มขี นาดพืน้ ที่ถึง 34,000 ตารางกิโลเมตร
ในส่วนของน่านนา้ ทางด้านตะวันตกของประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ไทยมีน่านน้าท่ีมีพื้นท่ีส่วนใหญ่ (ประมาณ
65% ของพื้นที่ทะเลทางด้านตะวันตก ) ตั้งแต่ จ.ระนอง-จ.ภูเก็ต อยู่ในเขตของทะเลอันดามัน และมีพ้ืนที่อีกส่วน
หน่ึง (ประมาณ 35% ของพ้ืนที่ทะเลทางด้านตะวันตก) ต้ังแต่ จ.กระบี่-จ.สตูล อยู่ในเขตของช่องแคบมะละกา
ซึ่งพื้นท่ีทางทะเลของไทยทางด้านตะวันตกของประเทศไทยนี้ก็แวดล้อมไปด้วยประเทศต่างๆที่มีอาณาเขตอยู่
ประชิดกันและตรงข้ามกันกัประเทศไทยได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย และเมียนมา ซ่ึงการที่ประเทศไทย
มีที่ต้ังทางภูมิศาสตร์เช่นน้ีจงึ เป็นเรื่องจาเป็นท่ีจะต้องให้ความสนใจในเรือ่ งของเขตทางทะเลและเขตแดนทางทะเล
และสถานะของการประกาศเขตและการเจรจาเขตแดนท่ีเปน็ อยูใ่ นปัจจุบนั ซึง่ จะได้กล่าวถงึ ในลาดบั ต่อไป
2. เขตทางทะเล (Maritime Zones) และ เขตแดนทางทะเล(Maritime Boundary)
2.1 ความหมายของเขตทางทะเลและเขตแดนทางทะเล
เขตทางทะเล (Maritime Zones) เป็นระบอบของแนวความคิดในความเก่ียวพันของรัฐชายฝั่ง
และพื้นที่ทางทะเลท่ีอยู่ต่อเนื่องออกไปจากชายฝั่งทะเลของรฐั ระบอบแนวคิดน้ีได้เกิดขึ้นจากการพัฒนาหลกั การ
ของกฎหมายทะเลมาตั้งแต่สมัยยุคโรมันในยุคแรกที่กฎหมายทะเลยังเป็นกฎหมายจารีตประเพณีท่ียอมรับกัน
4
โดยไมม่ กี ารบญั ญตั เิ ป็นลายลักษณอ์ ักษรต่อมาจงึ พฒั นามาเปน็ กฎหมายทม่ี ีบทบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้ง
แรกในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958 โดยในขณะนั้บระบอบของเขตทางทะเลมี
เพียงน่านน้าภายใน ทะเลอาณาเขตและเขตต่อเน่ืองและทะเลหลวง และในเวลาต่อมาได้มีการพัฒนาการกาหนด
เขตทางทะเลออกเป็นเขตต่างๆตามท่ีปรากฏในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982
เช่น น่านน้าภายใน ทะเลอาณาเขต เขตต่อเน่ือง เขตเศรษฐกิจจาเพาะ ไหล่ทวีป ทะเลหลวง และ บริเวณพื้นท่ี
ตามลาดับ เขตต่างๆเหล่าน้ีมีมาตรฐานในการกาหนดท่ีเป็นสากลและใช้บังคับสาหรับรัฐชายฝ่ังทั้งปวงท่ีเป็นภาคี
อนุสัญญาฯ มีการกาหนดให้รัฐชายฝั่งใช้อานาจรัฐท่ีลดหลั่นกันไปในแต่ละเขตทางทะเล กล่าวคือในเขตน่านน้า
ภายในและทะเลอาณาเขตรัฐมีอานาจอธิปไตยเหนือพ้ืนที่ดังกล่าว ในเขตต่อเน่ือง และเขตเศรษฐกิจจาเพาะ
และไหล่ทวีป รัฐมีเพียงสิทธิอธิปไตยในการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรเท่านั้น อย่างไรก็ตามรัฐก็มีพันธะกรณีที่
จะต้องดูแลการใช้ทะเลให้เกิดความย่ังยืนด้วยเช่นกัน ในส่วนของ เขตแดนทางทะเล( Maritime Boundary)
น้ันคือเส้นที่กาหนดขึ้นจากข้อตกลงระหว่างรัฐชายฝ่ังที่มีพ้ืนที่ทางทะเลประชิดหรือตรงข้ามกันตามหลักการ
ของกฎหมายทะเลเพ่ือแบ่งแยกการใช้เขตอานาจของรัฐชายฝั่งให้เกิความชัดเจนซึ่งโดยหลักการแล้วไม่ควรมีพื้นที่
ทางทะเลใดๆที่รัฐใช้เขตอานาจทับซ้อนกัน ไม่ว่าจะเป็นเขตอานาจอธิปไตยหรือเขตที่รัฐมีสิทธิอธิปไตย ดังนั้น
ถ้ารัฐชายฝ่ังมีพื้นที่ทะเลอาณาเขต หรือมี เขตเศรษฐกิจจาเพาะอยู่ประชิดติดกันหรือตรงข้ามกันก็จะต้อง
มกี ารเจรจาแบ่งเขตแดนระหว่างกันให้ได้ข้อยุติ เส้นทกี่ าหนดข้ึนน้ีจะเรยี กวา่ เขตแดนทางทะเล
การทร่ี ฐั ชายฝ่งั จะกาหนดขอบเขตนอกสุดของแต่ละเขตทางทะเล (Outer limit of Maritime Zone)
ทีไ่ ดก้ ล่าวมาข้างตน้ ได้น้นั รฐั ชายฝง่ั จะพิจารณากาหนดเส้นฐานของตนขึ้นก่อนเพ่ือใช้เป็นเสน้ อ้างอิงเริ่มตน้ ที่จะใช้
วดั ความกวา้ งของเขตทางทะเลทกุ ๆเขตทจ่ี ะประกาศในขนั้ ตอ่ ไป
2.2 เสน้ ฐาน (Base Lines) ทใ่ี ชก้ าหนดความกว้างของเขตทางทะเล
เส้นฐาน (Base line) คือ เส้นที่ใช้เป็นจุดเร่ิมต้นในการวัดขอบเขตของทะเลอาณาเขตและเขตทางทะเล
อ่ืน ๆ ท่ีอยู่ถัดออกไปทั้งหมด ดังนั้น จึงมีความจาเป็นจะต้องทาความเข้าใจถึงประเภทของเส้นฐานก่อนเป็นอันดับแรก
เ ส้ น เ กณฑ์ท่ีใช้ อ้ า ง อิ ง ใน กา ร กา ห น ด เ ส้น ฐา น ตา มป กติ แ ล้ว กา หน ด ให้ใช้ เส้ น ฐา น ปกติ ที่อ้ า ง อิ ง จ า กแ น วน้าลด
ตามแนวชายฝ่ังท่ีปรากฏบนแผนที่มาตราส่วนใหญ่ (Large Scale Chart) ของรัฐชายฝ่ัง ในการนี้ก่อนท่ีจะกาหนด
ว่าเส้นฐานปกติอยู่ ณ ตาแหนง่ ใดของแผนที่ เจา้ หนา้ ที่อุทกศาสตรจ์ าเปน็ ตอ้ งมพี ื้นฐานความเข้าใจเบ้ืองตน้ ในนิยาม
ของเส้นอ้างอิงที่เกี่ยวข้องซ่ึงรัฐชายฝั่งต่าง ๆ เลือกใช้ เช่น เส้นแนวน้าลด ( Low-Water Line) หรือพ้ืนท่ีท่ีอยู่
เหนือระดับน้าขณะนา้ ลด ( Low-Tide Elevation) เป็นต้น เส้นแนวนาลดชายฝ่ัง (Low - Water Line) บางครั้ง
อาจใช้คาว่า รอยน้าลด ( Low Water Mark ) แทนได้ เส้นดังกล่าวน้ีหมายถึง แนวซ่ึงเป็นที่บรรจบกันระหว่าง
ระดับน้าลดกับแผ่นดิน คือแนวชายฝ่ังหรือชายหาดขณะน้าลด โดยปกติแนวน้าลดจะแสดงไว้ในแผนที่เดินเรือ
มาตราสว่ นใหญ่ แต่ในกรณแี ผนที่เดินเรือมีมาตราส่วนเลก็ มากจนทาให้ไม่สามารถสร้างแผนที่แสดงบรเิ วณแนวน้า
ขึน้ หรอื แนวน้าลดได้ หรอื บริเวณแนวชายฝ่งั ที่ไม่มีการเปลีย่ นแปลง (เชน่ ส่วนที่เป็นหนา้ ผาชัน) ก็ใหถ้ อื วา่ แนวน้าขึ้น
และแนวน้าลดเป็นเส้นเดียวกันได้ เว้นแต่มีหลักเกณฑ์พิเศษอ่ืน ๆกาหนดไว้ให้ เส้นฐานท่ีใช้สาหรับเป็นจุดเริ่ม
ในการกาหนดเขตทางทะเลของรัฐ โดยปกติแล้วกาหนดขึ้นจากแนวน้าลดตลอดชายฝ่ังตามที่ได้หมายไว้ในแผนที่
ซ่ึงใช้มาตราส่วนขนาดใหญท่ เ่ี ป็นทางการของรัฐชายฝัง่ นนั้
5
Charted
Height
Benchmark
Highest Astronomical Tide HAT
Mean High Water Springs MHWS
Mean High Water Neaps MHWN
Leveled Height Mean Sea Level MSL
Difference Mean Tide Level MTL
Tidal Mean Low Water Neaps MLWN
Heights Mean Low Water Springs MLWS
Charted Depths Lowest Astronomical Tide LAT
ภาพที่ 3 การกาหนดเส้นเกณฑ์แผนทสี่ าหรับใช้อา้ งอิงระดับนา้ ลงต่าสุดทีแ่ ตกต่างกนั แสดงให้เหน็ วา่ หากใชเ้ สน้
เกณฑ์ทีต่ ่าท่สี ุดเปน็ เกณฑใ์ นการกาหนดเส้นฐานปกตแิ ลว้ ย่อมส่งผลใหม้ ีอาณาเขตทางทะเลท่กี ว้างข้ึน
(ท่มี า : TALOS)
ในกรณีท่ีพื้นที่เหนือน้าขณะน้าลดท้ังหมดหรือบางส่วนต้ังอยู่ในระยะห่างจากผืนแผ่นดินหรือเกาะไม่เกิน
ความกว้างของทะเลอาณาเขต (12 ไมล์ทะเล) อาจใช้เส้นแนวน้าลดของพื้นท่ีเหนือน้าน้ันเป็นเส้นฐานสาหรับวัด
ความกว้างของทะเลอาณาเขตได้ แต่กรณีพื้นที่เหนือน้าขณะน้าลดทั้งหมดตั้งอยู่ในระยะห่างจากแผ่นดินเกินกว่า
ความกวา้ งของทะเลอาณาเขต พ้ืนทีเ่ หนอื นา้ นัน้ จะไม่มที ะเลอาณาเขตของตนเอง สาหรบั ทะเลอาณาเขตนน้ั มีระยะ
12 ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน ซึ่งภายในระยะดังกลา่ วหากมีพื้นที่เหนือน้าขณะนา้ ลดปรากฏกย็ ่อมทาให้ทะเลอาณาเขต
มีความกว้างเพ่ิมขึ้น ดังอธิบายตามภาพข้างล่างให้เห็นว่าในบริเวณท่ี 1 และ 2 ซึ่งอยู่ภายในระยะ 12 ไมล์
จากแนวน้าลดจะมีผลในการกาหนดเส้นทะเลอาณาเขตเพ่ิมข้ึนตามเส้นสีน้าเงินส่วนที่โป่งออกไป ส่วนพ้ืนท่ีเหนือ
นา้ ขณะน้าลด ในบรเิ วณ 3 ซ่ึงอยนู่ อกระยะ 12 ไมล์ไม่มผี ลใหไ้ ดอ้ าณาเขตทางทะเลเพ่ิมข้ึน
ภาพท่ี 4 แสดงใหเ้ ห็นถึงพ้ืนทเ่ี หนอื นา้ ขณะน้าลด (Low Tide Elevation)ที่มีผลต่อการกาหนด
ขอบนอกของทะเลอาณาเขต (ทม่ี า: TALOS)
6
เส้นฐานในการกาหนดเขตทางทะเลนั้นถูกกาหนดข้นึ ตามลักษณะของภูมปิ ระเทศ โดยสามารถแบ่ง
ได้เป็น 2 ประเภท คือ เส้นฐานปกติ (Normal Baseline) และ เส้นฐานตรง (Straight Baseline) ซ่ึงการกาหนด
เส้นฐานแตล่ ะประเภทมีรายละเอยี ดดงั นี้
2.2.1 เส้นฐานปกติ (Normal Baseline) เส้นฐานชนิดนี้เป็นเส้นฐานท่ีใช้กันทั่วไป สาหรับ
วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต เส้นฐานปกติได้แก่แนวน้าลดตลอดชายฝั่งตามท่ีได้หมายไว้ในแผนท่ีมาตราส่วน
ใหญท่ ีร่ ัฐชายฝัง่ ยอมรับนบั ถือเป็นทางการ อยา่ งไรก็ตามใน อนสุ ัญญาฯ ค.ศ.1982 ยังมีขอ้ บทส่วนอืน่ ๆ ที่เกีย่ วข้อง
กบั การกาหนดเส้นฐานปกตดิ ว้ ยได้แก่ ข้อ 6 บัญญัติเกีย่ วกบั โขดหิน ข้อ 11 บญั ญตั เิ กย่ี วกับท่าเรือและสิง่ ปลูกสร้าง
ตา่ งๆ ตามแนวชายฝงั่ และนอกฝ่ัง และ ขอ้ 13 ทเสบ่ี ญั น้ ญฐัตาเิ กนี่ยวปกบักพตนื้ ิท่ีเหนอื นา้ ขณะน้าลด
ภาพที่ 5 เส้นประท่ีแสดงในแผนท่ีคอื เส้นแนวน้าลดท่ชี ายฝั่งทะเลและใช้เปน็ เส้นฐานปกติ
( ที่มา : กรมอุทกศาสตร์)
2.2.2 เส้นฐานตรง (Straight Baselines) กรณีที่แนวชายฝั่งเว้าแหว่งเข้าไปลึก หรือท่ีซึ่งมีเกาะ
เรียงรายตามฝ่ังทะเลในบริเวณใกล้ชิดติดกับฝ่ังทะเลน้ัน ฝั่งทะเลตอนนั้นต้องมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ผิดกว่า
ธรรมดา กล่าวคือ ชายฝ่ังมีลักษณะเว้าแหว่ง หรือตัดลึกเข้าไปในแผ่นดินมาก และมีลักษณะซับซ้อนพอสมควร
หรือมีเกาะเรียงรายอยู่ชิดฝ่ังเป็นจานวนมาก หรือมีลักษณะฝ่ังและเกาะในลักษณะดังกล่าวประกอบกัน จนเป็น
ชายฝ่ังท่ีมีลักษณะพิเศษผิดกว่าชายฝ่ังธรรมดาทั่วไปรัฐชายฝ่ังอาจใช้เส้นฐานตรงได้โดยการกาหนดจุดที่เหมาะสม
อาจเป็นน้อยจุดหรือมากจุดก็ได้ แล้วลากเส้นตรงเชื่อมจุดเหล่านั้น เส้นตรงที่ลากขึ้นดังกล่าวนี้ คือ เส้นฐานตรง
ซ่ึงใช้เป็นเส้นฐานในการกาหนดเขตทางทะเล เช่นเดียวกับเส้นฐานปกติ โดยหลักท่ัวไปแล้วเส้นฐานตรงต้อง
ไม่หักเหไปจากทิศทางโดยทั่วไปของชายฝั่ง และบริเวณทะเลท่ีอยู่ภายในเส้นฐานเหล่าน้ันต้องมีความสัมพันธ์กับ
ผืนแผ่นดินอย่างใกล้ชิด รัฐชายฝ่ังซ่ึงใช้เส้นฐานตรงต้องแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งในแผนที่ของตนหรือประกาศ
รายการพิกัดทางภูมิศาสตร์ของจุดดังกล่าว โดยปกติแล้วการกาหนดเส้นฐานตรงนั้นต้องมีเง่ือนไขต่าง ๆ ตามท่ี
กฎหมายระหว่างประเทศได้วางหลักเกณฑ์ไว้ ตามข้อ 4 ของอนุสัญญาว่าด้วยทะเลอาณาเขตและเขตต่อเน่ือง
ค.ศ. 1958 (พ.ศ. 2501) หรือขอ้ 7 ของอนสุ ญั ญา ฯค.ศ. 1982 (พ.ศ. 2525)
7
ภาพท่ี 6 การกาหนดเสน้ ฐานตรงเมือ่ ชายฝงั่ มลี ักษณะเว้าแหวง่ หรือมเี กาะเรยี งรายที่แนวชายฝ่ัง
( ทม่ี า: TALOS )
เส้นฐานอา่ วประวัติศาสตร์ ( Historic Bay )
อ่าวประวัติศาสตร์ คือ อ่าวซ่ึงรัฐชายฝ่ังกล่าวอ้างอานาจอธิปไตยของตนเหนืออ่าวนั้น อ่าวชนิดนี้ไม่ได้
คานึงถึงสภาพทางภูมิศาสตรว์ ่าปากอ่าวมีความกวา้ งเท่าใด และไม่คานึงถึงหลักเกณฑ์ตามท่ีบัญญัติไว้ในอนุสัญญา
กฎหมายทางทะเลแต่อย่างใด กล่าวคืออ่าวประวัติศาสตร์ไม่ได้ถูกกาหนดข้ึนโดยกฎของคร่ึงวงกลม และ
การลากเสน้ ปดิ 24 ไมล์ทะเล ตามหลักเกณฑร์ ะหว่างประเทศเกยี่ วกับการอ้างอา่ วประวัติศาสตร์ รฐั ทอี่ า้ งสิทธินน้ั
ต้องทาการโดยเปดิ เผย อยา่ งมีประสิทธิภาพเปน็ เวลายาวนาน และมกี ารใช้อานาจเหนืออ่าวดงั กลา่ วอย่างต่อเน่ือง
โดยต้องไมม่ ีการคดั คา้ นการใช้อานาจเชน่ วา่ นั้นจากรฐั อื่น ๆ
อย่างไรก็ตามไม่มีกฎเกณฑ์บัญญัติไว้ว่าการครอบครองน่านน้าน้ันต้องเป็นระยะเวลาก่ีปี ทั้งน้ีข้ึนกับ
พฤติการณ์แต่ละกรณีเป็นเรื่อง ๆ ไป อ่าวประวัติศาสตร์ที่สาคัญ ๆ เช่นในฝร่ังเศส อ่าวกองกาเล ( Cancale )
และอ่าวกรองวีลย์ ( Granville ) มีความกว้าง 17 ไมล์ ในสหรัฐ อ่าวเซซาพีค ( Chesapeake ) กว้าง 12 ไมล์
อ่าวเดลาแวร์( Delaware) กว้าง 10 ไมล์ และอ่าวซานตา โมนิกา ( Santa Monica ) กว้าง 24 ไมล์ ในรัสเซีย
อ่าวปเี ตอร์ เดอ เกรท ( Peter the Great ) กว้าง 200 ไมล์ และในพม่า อา่ วเมาะตะมะ กว้าง 203 ไมล์ เปน็ ตน้
ประเทศไทยมีน่านน้าในอ่าวไทยเป็นอ่าวประวัติศาสตร์ตามประกาศสานักนายกรัฐมนต รีเร่ืองอ่าวไทย
ตอนใน ลงวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2502 กาหนดว่าอ่าวไทยตอนในเหนือเส้นฐานจากจุด ณ แหลมบ้านช่อง
แสมสาร ละติจูด 123545 เหนือ ลองจิจูด 100 5745 ตะวันออก ตามเส้นขนานละติจูดไปทางทิศ
ตะวันตก ถึงจุด ณ ฝั่งทะเลตรงข้าม ละติจูด 123545 เหนือ ลองจิจูด 995730 ตะวันออก เป็นอ่าว
ประวตั ศิ าสตรแ์ ละน่านน้าภายในเส้นฐานดังกลา่ วนนั้ เปน็ นา่ นน้าภายในประเทศไทย
8
ลกั ษณะทางธรรมชาตทิ ี่มผี ลตอ่ การกาหนดเสน้ ฐาน
1. แนวชายฝ่งั ท่ีมลี ักษณะไม่คงท่ี (Unstable Coastlines) แนวชายฝง่ั ทม่ี กี ารเปลย่ี นแปลงตลอดเวลา
ตามธรรมชาติ เช่น ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้า (Deltas) เส้นฐานตรงอาจกาหนดข้ึนโดยให้เช่ือมระหว่างจุดที่
เหมาะสมของเส้นแนวน้าลด แม้ว่าต่อมาภายหลังแนวชายฝ่ังถูกเซาะหายไปหรืองอกออกมา เส้นฐานตรงเหล่านี้
ยังคงมีผลตอ่ ไป จนกว่ารัฐชายฝ่ังจะทาการเปลี่ยนแปลง เช่นการกาหนดเสน้ ฐานท่ชี ายฝัง่ ของบงั คลาเทศเปน็ ต้น
2. ชายฝง่ั เว้าแหว่ง (Indent Coast) ลกั ษณะของขอบฝง่ั ทเ่ี วา้ แหว่งมกั เป็นอปุ สรรคในการสร้างเส้นฐาน
ดังน้ันในอนุสัญญาฯ ค.ศ.1982 ได้ระบุวิธีการสร้างเส้นฐานขึ้นโดยกาหนดหลักการว่า หากบริเวณที่ต้องการสร้าง
เส้นฐานนั้นมีลักษณะเว้าแหว่ง หรือมีเกาะเรียงรายตามฝั่งทะเล ให้นาวิธีการลากเส้นฐานตรงเชื่อมจุดที่เหมาะสม
มาใช้ในการกาหนดเส้นฐานสาหรบั เป็นเสน้ เร่ิมต้นในการกาหนดเขตทางทะเล
3. หินโสโครก (Reefs) เสน้ แนวนา้ ลดของหนิ โสโครกอาจนามาใช้เปน็ เสน้ ฐานของหมู่เกาะที่ต้ังอยู่บนหิน
ปะการงั หรือของเกาะท่ีมีชายขอบเปน็ แนวโขดหิน
ภาพท่ี 7 หินโสโครกท่ใี ช้เปน็ จุดฐานในการกาหนดเสน้ ฐานตรงได้
(ทมี่ า : คู่มือเทคนิคกฎหมายทะเลสาหรับนายทหารอุทกศาสตร์ )
4. ส่ิงก่อสร้างของเขตท่า (Habour Works) ส่ิงก่อสร้างถาวรตอนนอกสุดของเขตท่า ซ่ึงเป็น
ส่วนประกอบหนึ่งของระบบท่าเรือเท่านน้ั ให้ถือว่าเป็นส่วนของฝั่งทะเลในการกาหนดเส้นฐาน สิ่งก่อสร้างของเขต
ท่า เช่น ท่าเรือ เข่ือนกันคลื่น และส่วนป้องกันการสึกกร่อนของชายฝั่ง เป็นต้น ซึ่งสร้างขึ้นตามแนวชายฝ่ังบริเวณ
อา่ ว หรอื แมน่ ้า เพื่อใช้ป้องกันหรอื เพื่อล้อมรอบพน้ื ท่จี อดเรือ หรือเป็นท่กี าบงั คลืน่ ลม
9
ภาพท่ี 8 ส่งิ ก่อสร้างนอกสุดของเขตทา่ สามารถใช้เป็นจุดฐานในการกาหนดเขตทางทะเลได้
(ทม่ี า : คู่มือเทคนิคกฎหมายทะเลสาหรบั นายทหารอุทกศาสตร์ )
5. เกาะ โขดหิน และพืนที่ที่อยู่เหนือนาขณะนาลด (Islands, Rocks and Low Tide Elevations)
เกาะแต่ละเกาะต่างมีทะเลอาณาเขตของตน และมีเส้นฐานสาหรบั วดั เช่นเดียวกับแผน่ ดิน เกาะคือ บริเวณแผ่นดนิ
ท่ีเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ล้อมรอบด้วยน้าซึ่งอยู่เหนือน้าขณะน้าข้ึน หินโสโครกเป็นพื้นท่ีทีค่ นไม่สามารถอาศัยหรือ
ยังชีพอยู่ได้ หากหินโสโครกยังคงอยู่เหนือน้าขณะน้าขึ้นสูงสุด ก็จะมีทะเลอาณาเขตเช่นเดียวกัน ส่วนหินที่ซึ่ง
พ้ืนท่ีท่ีอยเู่ หนอื ระดับนา้ ขณะน้าลด ทอี่ ยภู่ ายนอกทะเลอาณาเขตทัง้ หมด จะไม่มที ะเลอาณาเขตของตนเอง
ภาพที่ 9 เกาะ หินโสโครก และพน้ื ท่ีทอ่ี ยเู่ หนือระดับนา้ ขณะนา้ ลด
(ทม่ี า : คูม่ ือเทคนิคกฎหมายทะเลสาหรบั นายทหารอทุ กศาสตร์ )
10
6. เกาะเทยี มและส่ิงตดิ ตงั นอกชายฝง่ั (Artificial islands and Offshore installations) เกาะเทยี มและ
สงิ่ ติดตั้งนอกชายฝงั่ ไม่มที ะเลอาณาเขตของตนเอง
7. ทีจ่ อดเรอื (Roadsteads) ท่ีจอดเรือตามปกตใิ ช้สาหรบั ขนสนิ คา้ ขนึ้ -ลงเรือ และทอดสมอเรือ ซ่งึ แมว้ ่า
ท่ีจอดเรือทั้งหมดหรอื บางสว่ นจะตั้งอยภู่ ายนอกขอบเขตด้านนอกของทะเลอาณาเขต ใหร้ วมอย่ใู นทะเลอาณาเขต
ด้วย ทจ่ี อดเรือต้องกาหนดและแสดงไว้อย่างชัดเจนในแผนทซ่ี ่ึงรัฐชายฝัง่ นนั้ จัดทาข้ึน
ปญํ หาพืนฐานโดยทวั่ ไปของเส้นฐานปกตแิ ละเส้นฐานตรง
1. ข้อมูลแนวน้าลดตลอดแนวชายฝั่งต้องได้มาจากตรวจระดับน้าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร
รวมท้ังมีการสารวจหย่ังน้าทาแผนท่ีโดยหน่วยงานอุทกศาสตร์ของรัฐชายฝ่ัง เพื่อให้ได้แนวของน้าลงต่าสุดท่ี
รัฐชายฝั่งนั้น ยึดถือหรือยอมรับใช้อย่างเป็นทางการ ซึ่งการดาเนินการดังกล่าวนี้มักเป็นปัญหาของบางรัฐชายฝั่งที่
ยงั ไม่มขี ดี ความสามารถในการสารวจทางอุทกศาสตร์ดว้ ยตนเอง
2. แผนท่ีซ่ึงใช้ในการกาหนดเส้นฐานท้ังเส้นฐานปกติ และเส้นฐานตรงทุกประเภท ต้องเป็นชนิดมาตรา
ส่วนใหญ่ (Large Scale Chart) ที่ให้รายละเอียดเขตที่น้าขึ้นลงชัดเจน และมีระวางครอบคลุมบริเวณชายฝั่ง
ทงั้ หมดอย่างครบถว้ น
3. วิธีการกาหนดเส้นฐานประเภทตา่ ง ๆ ให้เป็นไปอย่างถกู ตอ้ งตามเงือ่ นไขที่กฎหมายทะเลกาหนด
4. ความถูกต้องของตาบลที่ในการประกาศเส้นฐาน เช่น การกาหนดพิกัดของจุดนอกสุดที่ชายฝั่งโดยค่า
ตวั เลขพกิ ดั ทีป่ ระกาศ ควรระบุท่มี าของการหาค่า ทั้งวธิ กี ารทไ่ี ด้มา และการอ้างองิ ขนาดของโลกและมูลฐานทใี่ ช้
5. การปรับปรุงความถูกต้องตาบลท่ีของเส้นฐานท่ีเคยประกาศไว้ เมื่อภายหลังมีข้อมูลท่ีถูกต้องและมี
คณุ ภาพของข้อมลู ดีกว่าเดิม เช่น เม่ือมีการสารวจแผนที่ขยายใหม่ท่ีใชส้ ัณฐานและขนาดของโลกในระบบ ที่อ้างอิง
จากจุดศนู ยก์ ลางของมวลโลก (World Geodetic System - WGS 84) เป็นต้น
สรุป เส้นฐานแต่ละประเภทตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่รัฐชายฝ่ังใช้สาหรับการวัด
ระยะความกว้างเขตทางทะเลของตนออกไป การกาหนดเขตทางทะเลทุกๆเขตใช้การวัดระยะจากเส้นฐานท้ังส้ิน
ดังน้ันเส้นฐานจึงมีความสาคัญเป็นอันดับแรกที่ควรให้ความสนใจ พร้อมทั้งมีการตรวจสอบความถูกต้องและ
ดาเนินการที่สอดคล้องกบั กฎเกณฑ์ตามทอ่ี นสุ ญั ญาสหประชาชาตวิ า่ ด้วยกฎหมายทะเลกาหนดไว้
2.3 การประกาศอ้างสิทธฝิ า่ ยเดยี ว (Unilateral Claimed) ในเขตทางทะเล
การประกาศอ้างสิทธิฝ่ายเดียว (Unilateral Claimed) ถือเป็นข้ันตอนเร่ิมต้นของเขตทางทะเลของ
รัฐชายฝัง่ ตัวอยา่ ง ของการประกาศอ้างสิทธฝิ ่ายเดียวของรัฐเชน่ การประกาศเสน้ ฐานตรงในแต่ละบริเวณ เปน็ ส่งิ
ท่ีจาเป็นถ้ารัฐไม่ประกาศอย่างเป็นทางการก็จะไม่ได้สทิ ธิในเขตทางทะเลตามที่กฎหมายทะเลกาหนด นั่นคือ ถ้ารัฐ
ไม่ประกาศเส้นฐานตรงการวัดเขตทางทะเลก็จะต้องใช้เส้นฐานปกติคือแนวน้าลดท่ีชายฝ่ัง เป็นขอบเขตเริ่มต้น
ในการวัด ก็จะส่งผลให้ได้พื้นท่ีทางทะเลน้อยกว่าการประกาศอ้างสิทธิที่ชัดเจน ส่วนการประกาศความกว้างของ
ทะเลอาณาเขตแมว้ ่ารฐั ชายฝ่ังจะประกาศหรือไม่ประกาศรัฐย่อมมีสิทธิในทะเลอาณาเขตของตนอยู่แล้วในลักษณะ
ที่เปน็ ไปตามหลักการของกฎหมายในสว่ นที่เป็นหลักการของจารตี ประเพณีท่ยี ึดถือกนั มา แตก่ ารประกาศขอบเขต
ท่ีชัดเจนลงในแผนที่เป็นการแสดงเจตนาของรฐั ชายฝัง่ ให้เป็นที่ปรากฎชดั เจน จะเห็นได้ว่าในบางเขตทางทะเลเช่น
เขตไหล่ทวีปแม้จะเป็นสิทธิตามธรรมชาติท่ีรัฐจะมีเขตไหล่ทวีปของตนเองได้ ตามธรรมชาติของไหล่ทวีป ไม่ว่า
จะประกาศอ้างสิทธิหรือไม่ก็ตาม แต่รัฐส่วนใหญ่ก็นิยมท่ีจะประกาศอ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปของตน เพ่ือแสดง
ขอบเขตการอ้างสิทธิของตนเองให้เป็นท่ีประจักษ์ แม้ว่าการอ้างสิทธิฝ่ายเดียวไม่มีผลผูกพันให้ประเทศเพ่ือนบ้าน
โดยรอบต้องยอมรับการอ้างสิทธิน้ันๆ ก็ตาม แต่ประโยชน์ของการอ้างสิทธิฝ่ายเดียวจะเป็นพื้นฐานให้ประเทศที่มี
11
อาณาเขตติดกันใช้เป็นกรอบของขอบเขตพื้นที่ท่ีจะต้องมีการเจรจาร่วมกันให้ได้ข้อยุติต่อไปตามท่ีกฎหมายทะเล
กาหนดแนวทางไว้ ปัญหาท่ีเกิดข้ึนจากการอา้ งสิทธิฝ่ายเดียวอาจสง่ ผลเสยี ได้หากการอ้างสิทธินนั้ เป็นการอ้างสิทธิ
ที่เกินเลยและไม่อยู่บนพื้นฐานของหลักกฎหมาย เช่นการอ้างสิทธิฝ่ายเดียวในไหล่ทวีปของกัมพูชาเป็นต้น
ในขณะเดียวกันในบางพ้ืนที่ที่รัฐคู่กรณีมิได้มีการอ้างสิทธฝิ ่ายเดียว การเจรจาให้ได้ข้อยุติก็จะเป็นไปได้ง่ายกวา่ เช่น
การแบ่งเขตทางทะเลในพ้ืนที่ทางด้านฝั่งตะวันตกของประเทศไทยในปจจุบันสามารถตกลงกันได้ข้อยุติเกือบ
ท้งั หมดยังมที ่คี งคา้ ง บริเวณเหนือเกาะสุรินทร์ไปจนถงึ บรเิ วณปากน้าระนองทย่ี งั ไม่มีการเจรจาระหวา่ งกัน
3. ระบอบของเขตทางทะเลตามอนุสัญญาสหประชาชาตวิ ่าดว้ ยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982
3.1 ประเภทของเขตทางทะเล (Maritime Zones) ตามหลักกฎหมายทะเล
อนุสัญญาสหประชาชาตวิ า่ ดว้ ยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 (1982 United Nations Convention on
the Law of the Sea: 1982 UNCLOS) เป็นอนุสัญญาท่ีประมวลกฎหมาย จารีตประเพณีทางทะเลเป็น
ลายลักษณ์อักษร พร้อมท้ังกาหนดหลักเกณฑ์ให้ครอบคลุมกิจกรรมทางทะเล ในทุกด้าน อาทิ การใช้ประโยชน์
จากทรพั ยากรทางทะเล การอนรุ ักษ์ และการจดั การทรัพยากรในทะเล การคมุ้ ครองสงิ แวดล้อมทางทะเล ่ การวจิ ยั
และวิทยาศาสตร์ทางทะเล การระงับข้อพิพาท ซึ่งประเทศไทยได้ให้สัตยาบันและมีสิทธิและหน้าท่ีเกี่ยวข้อง
กับทะเลตามอนุสัญญาฯ ตั้งแต่วันที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๔ อนุสัญญาฯ ได้กาหนดเขตทางทะเล และกาหนด
อานาจ สทิ ธแิ ละหน้าท่ขี องรฐั ภาคี ไวด้ ังนี้
3.1.1 น่านน้าภายใน (Internal Waters) คือ น่านน้าทางด้านแผ่นดินหลัง เส้นฐาน (Baselines)
ซ่ึงรัฐชายฝั่งมี อานาจอธิปไตย (Sovereignty) เสมือนอานาจอธิปไตยเหนือดินแดน (Territory) ทั้งน้ี เส้นฐาน
แบ่งเป็นเส้นฐานปกติ (Normal Baseline) คือ แนวน้าลดตลอดชายฝ่ังทะเล ตามที่รัฐชายฝ่ังกาหนดไว้ในแผนที่
ของตน ซ่ึงโดยอนุโลมคือเส้นแนวน้าลึก ศูนย์เมตรท่ีอยู่ในแผนที่เดินเรือ ส่วนเส้นฐานตรง (Straight Baseline)
กาหนดข้ึน ในกรณีท่ีชายฝั่งมีความเว้าแหว่งมาก หรือมีเกาะเรียงรายใกล้ชิดไปกับแนวชายฝั่ง จนไม่สามารถหา
แนวน้าลดได้ ใหร้ ัฐชายฝงั่ สามารถกาหนดการเช่ือมต่อจุดท่เี หมาะสมบริเวณชายฝ่งั เข้าดว้ ยกันเป็นเสน้ ฐานตรงได้
3.1.2 ทะเลอาณาเขต (Territorial Sea) มีพ้ืนท่ีไม่เกิน 12 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 22 กิโลเมตร
โดยวัดจากเส้นฐาน (Baselines) โดยรัฐชายฝ่ั งมีอานาจอธิปไตยเหนือทะเล อาณาเขต ซึ่งหมายความรวมถึง
อานาจอธิปไตย ในห้วงอากาศ (Air space) เหนือทะเลอาณาเขต และอานาจอธิปไตยเหนือพื้นดินท้องทะเล
(Seabed) และดินใต้ผิวดิน (Subsoil) ของทะเล อาณาเขตด้วย แต่ให้สิทธิในการผ่านโดยสุจริต (Right of
innocent passage) ของเรอื ตา่ งชาติ
3.1.3 เขตต่อเนือ่ ง (Contiguous Zone) มีพืน้ ที่ไมเ่ กิน 24 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 44 กโิ ลเมตร
โดยวัดจากเส้นฐาน (Baselines) ซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต ซึ่งรัฐชายฝั่งอาจใช้สิทธิประกาศเป็นเขต
ตอ่ เนื่องเพ่อื ดาเนินการควบคุมที่จาเป็น เพื่อป้องกนั การฝา่ ฝนื กฎหมายและข้อบังคับเกย่ี วกบั ศุลกากร (Customs)
การคลงั (Fiscal) การเข้าเมือง (Immigration) หรือการสขุ าภิบาล (Sanitary)
3.1.4 เขตเศรษฐกิจจาเพาะ (Exclusive Economic Zone) คือ บริเวณที่อยู่ถัดไปและประชิด
กับทะเลอาณาเขต โดยเขตเศรษฐกิจจาเพาะ จะต้องไม่ขยายออกไปเกิน 200 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 370
กิโลเมตร จากเส้นฐาน ซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต โดยรัฐชายฝั่งมีสิทธอิ ธิปไตย เพ่ือความมุ่งประสงค์
ในการสารวจ (Exploration) การแสวงประโยชน์ (Exploitation) การอนุรักษ์ (Conservation) และการจัดการ
(management) ทรัพยากรธรรมชาติท้ังที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตในน้า เหนือพื้นดินท้องทะเล (Water superjacent
to the seabed) และในพื้นดินท้องทะเล (Seabed) กับดินใต้ผิวดิน (Subsoil) ของ พ้ืนดินท้องทะเลนัน
12
และมีสทิ ธอิ ธิปไตยในส่วนทเี่ กี่ยวกบั กิจกรรมอืน่ ๆ เพือ่ การแสวงประโยชน์ และการสารวจทางเศรษฐกจิ แตร่ ฐั อื่น
มีเสรีภาพ ในการเดินเรือ (Freedom of navigation) เสรีภาพในการบินผ่าน (Freedom of over flight)
การว างสายเคเบิลและท่อใต้ทะเล ( Freedom of the laying of submarine cables and pipelines)
และยังรวมไปถึงการใช้ประโยชน์จากพ้ืนที่ไหล่ทวีป (Continental Shelf) และทะเลหลวงหรือน่านน้าสากล
(High Seas)
3.1.5 ไหล่ทวีป (Continental Shelf) หมายถึง พื้นดินท้องทะเล (Seabed) และดินใต้ผิวดิน
(Subsoil) ของบริเวณใต้ทะเล ซึ่งขยายเลยทะเลอาณาเขตของรัฐ ตลอดส่วนต่อออกไปตามธรรมชาติ (Natural
Prolongation) ของดนิ แดนทางบกจนถึงรมิ นอกของขอบทวปี (Continental Margin) หรอื จนถึงระยะ 200 ไมล์
ทะเล จากเส้นฐาน ซึ่งใช้วัดความกว้างของทะเลอาณาเขต แต่อาจมีบางกรณีท่ีสามารถขยายเขตไหล่ทวีปได้
ถงึ 350 ไมล์ทะเล หรอื ประมาณ 648 กโิ ลเมตร ทงั นี้ หลกั เกณฑเ์ ปน็ ไปตามทกี่ ฎหมายกาหนด
3.1.6 ทะเลหลวงหรือน่านน้าสากล (High Seas) คือ ทุกส่วนของทะเลซ่ึงไม่ได้รวมอยู่ ในเขต
เศรษฐกิจจาเพาะ (Exclusive economic zone) ในทะเลอาณาเขต (Territorial sea) หรือ ในน่านน้าภายใน
(Internal waters) ของรัฐหรือในน่านน้าหมู่เกาะ (Archipelagic waters) ของรัฐหมู่เกาะเสรีภาพแห่งทะเล
หลวง ใช้ได้ภายใต้เง่ือนไขที่กาหนดไว้โดยอนุสัญญาฯ และหลักเกณฑ์อ่ืน ๆ ของกฎหมายระหว่างประเทศ อาทิ
เสรีภาพในการเดินเรือ (Freedom of navigation) เสรีภาพในการบินผ่าน (Freedom of over flight) เสรีภาพ
ในการทาประมง (Freedom of fishing) โดยหน้าท่ีประการสาคัญของรัฐต่าง ๆ ที่ทาการประมงในทะเลหลวง
คอื ตอ้ งร่วมมอื กันเพ่อื กาหนดมาตรการ ในการอนรุ ักษ์ และจัดการทรัพยากรทม่ี ชี ีวติ ในทอ้ งทะเล
3.1.7 บรเิ วณพื้นท่ี (The Area) หมายถึง พ้ืนดนิ ท้องทะเลและพนื้ มหาสมุทรและดินใตผ้ ิวดินท่ีอยู่
พ้นเขตอานาจของรัฐ ดังน้ัน รัฐใด ๆ จึงมิอาจอ้างหรือ ใช้อานาจอธิปไตยหรือสิทธิอธิปไตยเหนือส่วนใดส่วนหนึ่ง
ของบริเวณพ้ืนท่ีและทรัพยากรในบริเวณพ้ืนท่ี เพราะถือเป็นมรดกร่วมของมนุษยชาติ โดยมีองค์กรท่ีเรียกว่า
International Seabed Authority (ISA) ทาหน้าที่บริหารจัดการทรัพยากรในบริเวณพ้ืนท่ีเพื่อประโยชน์ร่วมกัน
ของรฐั ต่าง ๆ สว่ นหว้ งน้าและห้วงอากาศ ท่ีอยู่เหนือบริเวณพ้นื ท่ีรัฐทุกรัฐยงั คงมสี ิทธิเสรีภาพในระบอบทะเลหลวง
ดังระบุแลว้ ขา้ งตน้
13
ภาพที่ 10 ภาพตัดขวางแสดงใหเ้ หน็ เขตทางทะเล ทส่ี ัมพนั ธ์กับ ห้วงอากาศ มวลนา้ ผิวดนิ และใต้ผิวดนิ กน้ ทะเล
(ท่ีมา : กรมอุทกศาสตร์)
ประเทศไทยเป็นรัฐชายฝ่ัง (Coastal State) ต้ังอยู่บนคาบมหาสมุทรอินโดจีน มีแผ่นดินติดกับทะเล 2
ด้าน คือ อ่าวไทยทางทิศตะวันออก และทะเลอันดามันกับช่องแคบมะละกาทางทิศตะวันตก ประเทศไทยมีพื้นที่
ประมาณ 514,000 ตารางกิโลเมตร มีชายฝั่งทะเลยาวประมาณ 3,193.44 กิโลเมตร ตลอดแนว 23 จังหวัด
ชายทะเล มีเส้นทางเข้าออกทะเล 2 มหาสมุทร (มหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย) มีอาณาเขตทางทะเล
คิดเปน็ พืน้ ทท่ี ีแ่ ตกต่างกนั ตามระบอบของเขตทางทะเลดังนี้
1. เขตนา่ นน้าภายใน (Internal Waters) : พนื้ ทร่ี วม 61,954.04 ตารางกิโลเมตร
2. ทะเลอาณาเขต (Territorial Sea) : พน้ื ทร่ี วม 53,068.23 ตารางกโิ ลเมตร
3. เขตต่อเน่ือง (Contiguous Zone) : พ้ืนทร่ี วม 37,513.22 ตารางกิโลเมตร
4. เขตเศรษฐกจิ จาเพาะ (Exclusive Economic Zone – EEZ) : พนื้ ท่ีรวม 201,340.83
ตารางกโิ ลเมตร ( ไมรวมพื้นท่ีพฒั นาร่วม ไทย-มาเลเซีย)
5. เขตไหลท่ วปี (Continental Shelf Zone) มีขอบเขตพ้นื ทเี่ ชน่ เดยี วกับเขตเศรษฐกจิ
จาเพาะ
รวมน่านน้าไทยมีพ้ืนที่ท้ังหมดประมาณ 323,488.32 ตารางกิโลเมตร โดยฝั่งอ่าวไทยมีพ้ืนที่ประมาณ
202,676.20 ตารางกิโลเมตร และฝ่ังทะเลอันดามันมีพ้ืนที่ประมาณ 120,812.12 ตารางกิโลเมตรคิดเป็น 0.63
เท่าของพ้ืนท่ีบนบกของประเทศ พื้นที่ทางทะเลดังกล่าวประเทศไทยมีอานาจอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยท่ีทาให้
เกิดผลประโยชน์ของชาติทางทะเลอย่างมหาศาล เช่น เป็นแหล่งทรัพยากรท้ังมีชีวิตและไม่มีชีวิต แหล่งพลังงาน
การขนส่งทางทะเล การท่องเที่ยว และกิจกรรมเนื่องอันเกิดจากการใช้ประโยชน์จากทะเล นอกจากน้ียังใช้สิทธิ
ในการแสวงหาผลประโยชนใ์ นเขตทะเลหลวง และพ้นื ท่ที างทะเลได้อีกดว้ ย
14
ภาพที่ 11 แผนท่เี ขตทางทะเล (Maritime Zone Chart) ของไทย
(จัดทาโดย กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ)
3.2 การประกาศเขตทางทะเลของประเทศไทย
ประเทศไทยได้ลงนามรับรองกฎหมายทะเลในอนุสัญญาเจนีวา ปี ค.ศ.1958 (พ.ศ.2501) และให้
สัตยาบัน เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2501 และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทย ในวันท่ี 1 สิงหาคม พ.ศ.2512
และอนุสัญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ปี ค.ศ.1982 (พ.ศ.2525) ซึ่งประเทศไทยได้ให้สัตยาบัน
แล้วเมื่อปี พ.ศ. 2554 ในห้วงเวลาถึง 5 ทศวรรษท่ีผ่านมาประเทศไทยได้ใช้สิทธิในการประกาศ เส้นฐานตรง
และประกาศความกว้างของเขตทางทะเลต่างๆท้งั ด้านอ่าวไทยและดา้ นฝั่งทะเลด้านตะวันตกของประเทศไทยโดยมี
รายละเอียดสรุปได้ดงั น้ี
3.2.1 ประกาศอ่าวประวตั ศิ าสตร์
รัฐบาลไทยประกาศให้เส้นฐานตรงเช่ือมบริเวณอ่าวไทย 2 จุด เพ่ือให้พื้นที่จากเส้นฐาน
ตรงดงั กล่าวถึงชายฝัง่ เปน็ พนื้ ท่ขี องอ่าวประวัติศาสตรไ์ ทย ดงั น้ี
1) แหลมบา้ งช่อง แสมสาร อาเภอสัตหีบ จงั หวัดชลบรุ ี พกิ ัด
ละตจิ ดู 12 35 ๔๕ เหนือ
ลองจิจูด 100 57 45 ตะวันออก
2) ชายฝ่ังทะเลตรงบา้ นบอ่ ฝ้าย อาเภอชะอา จังหวัดเพชรบุรี พิกดั
ละตจิ ดู 12 35 45 เหนอื
ลองจจิ ูด 99 57 30 ตะวนั ออก
ทั้งน้ี ต้ังแต่วันที่ 22 กันยายน พ.ศ.2502 ตามราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่ม 76 ตอนที่ 91 หน้า 1 วันท่ี 26
กันยายน พ.ศ.2502
3.2.2 ประกาศความกวา้ งของทะเลอาณาเขต
กาหนดความกว้างของทะเลอาณาเขตของประเทศไทย ระยะ 12 ไมล์ทะเล นับจากเส้น
ฐาน ท้ังนี้ ตัง้ แตว่ นั ท่ี 6 ตุลาคม พ.ศ.2509 ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 83 ตอนท่ี 92 วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ.2509
15
3.2.3 รัฐบาลไทยไดป้ ระกาศเสน้ ฐานตรง 2 คร้งั คอื
1) ครังท่ี 1 ได้ประกาศเส้นฐานตรงรวม 3 บริเวณ เม่ือวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2513
ตามราชกิจจานเุ บกษา ฉบับพเิ ศษ เล่ม 87 ตอนท่ี 52 หนา้ 4-7 วันท่ี 12 มถิ นุ ายน พ.ศ.2513 มี 3 บรเิ วณ ดงั น้ี
1.1) บริเวณที่ 1 เริ่มต้นท่ีบริเวณแหลมลิง อาเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรีทางฝั่ง
ตะวันออกของอ่าวไทยโอบรอบหมู่เกาะต่าง ๆ เช่น เกาะช้าง เกาะกูด เข้าบรรจบฝั่งที่หลักเขตเขตแดนไทย –
กัมพชู า ท่ีสดุ เขตแดนไทย - กัมพชู า อาเภอคลองใหญ่ จังหวดั ตราด
1.2) บริเวณท่ี 2 ทางฝ่ังตะวันตกของไทย เริ่มต้นท่ีแหลมใหญ่อาเภอประทิว จังหวัด
ชมุ พร โอบรอบหม่เู กาะพะงันและเกาะอ่ืน ๆ บรเิ วณนนั้ ไปจนถึง อาเภอขนอม จงั หวัดนครศรธี รรมราช
1.3) บริเวณที่ 3 ทางฝ่ังทะเลอันดามัน ต้ังแต่ อาเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ลงไปจนถึง
เกาะตะรุเตาและเขา้ บรรจบฝั่งทห่ี ลักเขตแดนไทย – มาเลเซีย ทีจ่ ังหวัดสตลู ตอ่ มาในปี พ.ศ.2535
2) ครังที่ 2 เม่ือวันที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2535 ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 109 ตอนท่ี 89
หน้า 1 วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ.2535 ได้ประกาศเส้นฐานตรงและน่านน้าภายในบริเวณท่ี 4 ทางด้านอ่าวไทย
ฝ่ังตะวันตกต้ังแต่เกาะกงออก อาเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกาะกระ เกาะโลซิน เข้าบรรจบฝ่ังที่หลักเขต
แดนไทย – มาเลเซีย บรเิ วณปากนา้ โกลก อาเภอตากใบจงั หวดั นราธิวาส
ภาพที่ 12 การประกาศเส้นฐานตรงของประเทศไทยทั้ง 4 บรเิ วณ (พน้ื ทส่ี เี หลือง)
บรเิ วณท่ี ๑-๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ และบริเวณท่ี ๔ ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ (ที่มา: กรมอุทกศาสตร์)
16
3.2.4. ประกาศเขตไหล่ทวีปด้านอา่ วไทย
เน่ืองจากปัญหาทะเลอาณาเขตและเขตไหล่ทวีประหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา
และเวียดนาม ในอดีตไม่อาจประชุมตกลงกันได้ ประเทศท้ังสองได้ประกาศเขตไหล่ทวีปของตนฝ่ายเดียวข้ึน
ถ้าประเทศไทยไม่ประกาศบ้าง ก็จะเสียเปรียบประเทศทั้งสอง ในการให้สัมประทานการขุดเจาะสารวจหาแหล่ง
นา้ มนั และกา๊ ซธรรมชาติ ดงั นั้น ในวันท่ี 18 พฤษภาคม พ.ศ.2516 ประเทศไทยได้ประกาศเขตไหล่ทวปี ในอา่ วไทย
จานวน 18 จุด ติดต่อกบั ประเทศกัมพชู า เวียดนาม และมาเลเซยี ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 90 ตอนท่ี 60 หน้า
1-2 วันท่ี 1 มถิ นุ ายน พ.ศ.2516 การทตี่ ่างฝา่ ยต่างประกาศน้ีทาให้เขตไหลท่ วีปซ้อนทับกนั ปัจจุบันประเทศไทยได้
ทาความตกลงกับมาเลเซีย และเวยี ดนามได้ คงเหลือจดุ ร่วมสามประเทศ คือ ไทย - เวียดนาม - มาเลเซยี และไทย
- เวยี ดนาม - กัมพูชา และเขตไหล่ทวีป ระหว่างไทย - กัมพูชา ท่รี ฐั บาลทั้งสองยงั เจรจากันอยู่ ฉะนั้น ตามประกาศ
ของไทยฉบับน้ียงั คงมผี ลบงั คับใช้เพยี ง 9 จุด คือ ตั้งแต่ จุดที่ 1-9
ภาพที่ 13 การประกาศเขตไหล่ทวีปดา้ นอา่ วไทยจานวน 18 จดุ เมอ่ื 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2516
(ทีม่ า: กรมอทุ กศาสตร์ )
17
3.2.5. ประกาศเขตเศรษฐกจิ จาเพาะระยะ 200 ไมลท์ ะเล
ประเทศไทยประกาศเขตเศรษฐกิจจาเพาะ ระยะ 200 ไมล์ทะเล นับต้ังแต่เส้นฐาน
เมอ่ื วันที่ 22 กมุ ภาพันธ์ ตามราชกจิ จานุเบกษา เล่ม 89 ตอนที่ 30 หน้า 9 วนั ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2524
3.2.6 ประกาศ เขตเศรษฐกิจจาเพาะดา้ นทะเลอนั ดามนั
เป็นการประกาศเพิ่มเติมจากที่ประกาศไปแล้ว เม่ือ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2524
แต่การประกาศคร้ังนีเ้ ป็นการประกาศโดยกาหนดคา่ พิกดั ของจุดต่าง ๆ รวม 27 จุด เมื่อพิจารณาแล้ว ค่าพกิ ัดของ
จุดทั้ง 27 จดุ ก็คอื เขตไหลท่ วปี และเขตกน้ ทะเล (Sea bed) ระหว่างประเทศไทยกบั ประเทศมาเลเซยี อินโดนเี ซีย
อินเดีย และพม่า ให้เป็นเขตเศรษฐกิจจาเพาะด้วย ประกาศเมื่อวันท่ี 18 กรกฎาคม พ.ศ.2531 ตามราชกิจจา
นเุ บกษา เลม่ 105 ตอนที่ 20 หน้า 231 - 233 วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ.2531
ภาพที่ 14 การประกาศ เขตเศรษฐกิจจาเพาะด้านทะเลอันดามนั จานวน 27 จดุ เม่ือวันที่ 18 กรกฎาคม 2531
(ทีม่ า: กรมอทุ กศาสตร์ )
3.2.7. ประกาศเขตเศรษฐกจิ จาเพาะดา้ นอา่ วไทย
ในวันท่ี 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2531 รัฐบาลไทยได้ประกาศเขตเศรษฐกิจจาเพาะ รวม 8 จดุ
ระหว่างไทย - มาเลเซีย ซึ่งท้ัง 8 จุด ก็คือเขตไหล่ทวีปและพ้ืนที่แสวงประโยชน์ร่วมที่ตกลงกับมาเลเซียแลว้ น่ันเอง
ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 105 ตอนท่ี 27 หน้า 51 – 52 วนั ที่ 18 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ.2531
ส่วนเขตเศรษฐกิจจาเพาะระหว่างไทย - เวียดนาม น้ัน เม่ือครั้งตกลงเรื่องเขตไหล่ทวีปได้
ก็ตกลงให้เป็นเขตเศรษฐกิจจาเพาะด้วยตามความตกลงระหว่างไทยกับเวียดนาม ลงวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1997
(พ.ศ.2540)
18
3.2.8 ประกาศเขตต่อเน่ือง
ประเทศไทยได้ประกาศเขตต่อเนื่องถัดจากทะเลอาณาเขต โดยใช้ระยะ 24 ไมล์ทะเล
นับจากเส้นฐาน เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2538 ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 112 ตอนท่ี 69 หน้า 1 ลงวันท่ี 29
สิงหาคม พ.ศ.2538 ท้ังน้ีเพ่ือป้องกันการละเมิดกฎหมาย และระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการศุลกากร การคลัง
การเข้าเมือง การสาธารณสุข ที่จะกระทาภายในราชอาณาจักร หรอื ทะเลอาณาเขตของราชอาณาจักรไทย รวมท้ัง
ดาเนนิ การลงโทษผู้ละเมิด
4. เขตแดนทางทะเลของไทยกบั ประเทศเพอ่ื นบา้ นโดยรอบ
เน่ืองจากท่ีต้ังในทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยมีอาณาเขตทางทะเลติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ
เขตแดนทางทะเลทางด้านอ่าวไทยประเทศไทยมีพ้ืนที่ทางทะเลที่อย่ปู ระชิดและอยู่ตรงข้ามกับกัมพูชา อยู่ตรงข้าม
กับเวยี ดนาม และอยู่ประชิดกบั มาเลเซยี และบรรดาประเทศต่างๆท่ีมีพ้นื ท่ีทางทะเลในอ่าวไทยต่างก็มีการประกาศ
อ้างสิทธิฝ่ายเดียวในเขตไหล่ทวีปจึงเป็นเหตุให้การประกาศอ้างสิทธเิ กิดการทับซ้อนกันในลกั ษณะการทับซ้อนสอง
ฝ่าย และการทับซ้อนสามฝ่าย ต้ังแต่ ปี 2513 เป็นต้นมาได้มีความพยายามที่จะเจรจาแบ่งเขตระหว่างกัน
จนกระท่ังปัจจุบันไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในอ่าวไทยสามารถเจรจาจนได้ข้อยุติไปแล้วเช่น ระหว่างไทยและ
มาเลเซีย ระหว่างไทยและเวียดนาม ส่วนของพ้ืนท่ีท่ียังคงเป็นปัญหาคงค้างในปัจจุบันคือพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน
กลางอ่าวไทยระหว่างไทย-กัมพูชาเป็นพื้นที่ประมาณ 26,000 ตร.กม. ในส่วนของเขตแดนทางทะเลทางด้านฝ่ัง
ตะวันตกของประเทศไทยนั้นมีลักษณะท่ีแตกต่างจากด้านอ่าวไทยกล่าวคือบรรดาประเทศต่างๆมิได้มีการประกาศ
อ้างสิทธิฝ่ายเดียวในเขตไหล่ทวีปของตน การเจรจาจึงเป็นการหารือลากเส้นเขตแดนทางทะเลร่วมกันในห้วงเวลา
ประมาณเกือบ 25 ปี ก็สามารถบรรลุข้อตกลงในการแบ่งเขตแดนระหว่างกันได้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนที่ยังคงเป็น
ปัญหาคงคา้ งในปัจจุบันคือเขตแดนทางทะเลระหวา่ งไทยและเมียนมา ตัง้ แต่ เหนอื เกาะสุรนิ ทร์ข้ึนไปจนถงึ ปากน้า
กระบุรี จ.ระนองรวมไปถึงปัญหาการอ้างกรรมสิทธ์ิในเกาะหลาม เกาะคัน และเกาะขี้นก สาหรับความตกลง
ระหวา่ งไทยกบั ประเทศเพื่อนบา้ นทีส่ ามารถเจรจาได้ข้อยุตแิ ละมีการจัดทาข้อตกลงร่วมกนั ได้แล้วมีดังน้ี
4.1 เขตแดนทางทะเลด้านอา่ วไทย
4.1.1 ความตกลงเก่ียวกับเขตทะเลอาณาเขตระหว่างไทย - มาเลเซีย ตกลงเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม
ค.ศ.1979 (พ.ศ.2522) จากจดุ ทป่ี ากแมน่ ้าโก - ลก อาเภอตากใบ จงั หวดั นราธิวาส คือ จดุ ที่ 18 ไปถงึ จดุ ที่ 17
4.1.2 ความตกลงเก่ียวกับเขตไหล่ทวีประหว่างไทย - มาเลเซีย ตกลงเม่ือวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.
1979 (พ.ศ.2522) กาหนดเขตไหล่ทวีปไว้ 3 จุด คือ จุดที่ 17, 16 และ 15 ตามประกาศเขตไหล่ทวีปของไทย ในปี
พ.ศ.2516
4.1.3 เน่ืองจากระหว่างจุดท่ี 15 ถึง 14 ตามประกาศเขตไหล่ทวีปของไทยในปี พ.ศ.2516 น้ัน
เป็นพื้นท่ีซึ่งเป็นแหล่งน้ามันและก๊าซธรรมชาติแหล่งเดียวกันกับพื้นที่ของมาเลเซีย ถ้ามีการขุดเจาะแล้วปริมาณ
นา้ มันและกา๊ ซธรรมชาติจะถ่ายเทไปมาระหวา่ งหลุมเจาะทั้งสองฝ่าย ซ่งึ จะเป็นกรณพี พิ าทกนั ภายหลัง ประกอบกับ
บริเวณดังกล่าวทางฝ่ังไทยมเี กาะโลซิน ซงึ่ เป็นเกาะเลก็ ๆ คล้ายหินโผล่พน้ น้า ถ้าฝา่ ยไทยเอาเกาะโลซินมาใช้อ้างอิง
แล้ว แนวเส้นเขตไหล่ทวีปจากจุดท่ี 15 ไปจุดที่ 14 จะเบนไปทางใต้เข้าเขตมาเลเซีย ดังน้ัน มาเลเซียจึงไม่ยอมรับ
สภาพว่าเกาะโลซินมีลักษณะเป็นเกาะ ฉะน้ัน เพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว รัฐบาลทั้งสองจึงตกลงต้ังองค์กรร่วม
เพื่อแสวงประโยชน์จากทรัพยากรใต้ทะเล และใต้พื้นดิน ในบริเวณไหล่ทวีปของประเทศทั้งสอง มีกาหนด 50 ปี
โดยกาหนดจากจุดท่ี 15 ให้เป็นจุด A และจุดอื่น ๆ อีก 6 จุด รวมเป็น 7 จุด ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1979
(พ.ศ.2522)
19
4.1.4 ความตกลงเก่ียวกับเขตไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจจาเพาะ ไทย - เวียดนาม ตามความตก
ลงวา่ ด้วยการแบ่งเขตทางทะเลในอา่ วไทย ลงวันท่ี 9 สงิ หาคม ค.ศ.1997 (พ.ศ.2540) โดยกาหนดไว้เพียง 2 จดุ คือ
จดุ C ตามความตกลงแสวงประโยชน์ร่วมกนั ระหว่างไทย - มาเลเซีย ไปยงั จุด K
4.2 เขตแดนทางดา้ นฝ่งั ทะเลด้านตะวันตกของประเทศไทย (ทะเลอนั ดามนั และชอ่ งแคบมะละกา)
4.2.1 เขตไหล่ทวีประหว่างไทย – อินโดนีเซีย ตามความตกลงเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ.1971
(พ.ศ.2514) ให้สัตยาบัน วนั ท่ี 7 เมษายน พ.ศ.2516
2 วันท่ี 21 ธันวาคม ค.ศ.1971 (พ.ศ.2514) รัฐบาลไทย - มาเลเซีย - อินโดนีเซีย ได้ร่วมกัน
ทาความตกลงกาหนดจุดรว่ มสามประเทศของเขตไหล่ทวีป
3 เนื่องจากพื้นทะเลที่ต่อจากเขตไหล่ทวีปไทย - อินโดนีเซีย ระดับทะเลลึกเกิน 200 เมตร
รฐั บาลทัง้ สองจึงตกลงกาหนดเขตกน้ ทะเล (Sea bed) ข้นึ ในวันที่ 11 ธนั วาคม ค.ศ.1975 (พ.ศ.2518) ให้สัตยาบัน
วันที่ 18 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ.2521
4 การกาหนดจุดร่วม 3 ประเทศ ในเขตก้นทะเล ระหว่างไทย - อินโดนีเซีย - อินเดีย ในวันที่
22 มิถุนายน ค.ศ.1978 (พ.ศ.2521) ให้สัตยาบัน วันท่ี 2 มนี าคม พ.ศ.2522
5 การกาหนดเขตก้นทะเลระหว่างไทย - อินเดีย ในวันท่ี 22 มิถุนายน ค.ศ.1978/พ.ศ.2521
ใหส้ ตั ยาบนั วนั ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2521
6 การกาหนดทะเลอาณาเขตระหว่างไทย - มาเลเซีย ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.1979
(พ.ศ.2522)
7 การกาหนดเขตไหล่ทวีประหว่างไทย - มาเลเซีย ในวันท่ี 24 ตุลาคม ค.ศ.1979 (พ.ศ.2522)
8 การกาหนดเขตทะเลอาณาเขต เขตไหล่ทวปี และเขตเศรษฐกจิ จาเพาะ ในวนั ที่ 25 กรกฎาคม
ค.ศ.1980 (พ.ศ.2523) ระหว่างไทย - พม่า ใหส้ ตั ยาบนั 12 เมษายน พ.ศ.2525
9 การกาหนดจุดรว่ ม 3 ประเทศไทย - พมา่ - อนิ เดยี วันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ.1993 (พ.ศ.2536)
ให้สตั ยาบนั วันท่ี 24 พฤษภาคม พ.ศ.2538
20
ภาพท่ี 15 แสดงแนวเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยและประเทศเพ่ือนบ้านโดยรอบทางฝ่ังทะเลดา้ นตะวนั ตก
ของประเทศไทยที่สามารถตกลงกนั ได้ข้อยุติแลว้ ยงั คงมบี างส่วนบรเิ วณจงั หวดั ระนองทยี่ ังไม่มีการกาหนด
เสน้ เขตแดนระหว่างกนั (ที่มา: กรมอุทกศาสตร์ )
5. เขตทางทะเลของไทยและกฎหมายภายในท่เี ก่ียวข้อง
เพื่อให้การควบคุมพฤติกรรมของผู้ใช้ ทะเล และสนับสนุนให้มีการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์
จากมหาสมุทรและทรพั ยากรทางทะเลอย่างยงั ยนื ่ และเป็นพันธกรณีที่รัฐต้องออกกฎหมาย ภายในของตนรองรบั
(อนุวัติการ) กฎหมาย ระหว่างประเทศตามท่ีได้กล่าวข้างต้น ท้ั งน้ี เพื่อให้มีสภาพบังคับแก่ประชาชนภายในรัฐนั้น
ๆ และ ทั้งบุคคลที่ตกอยู่ในเขตอานาจประเทศไทย จึงมีการตรากฎหมายท่ีเก่ียวข้องทังท่ีเกี่ยวข้องโดยตรง
และเกี่ยวข้องเพียงบางส่วน จานวน ประมาณ 73 ฉบับ โดยมีกฎหมายท่ีสาคัญเก่ียวข้องกับการใช้ทะเลในกิจกรรม
ด้านต่างๆดงั นี้
5.1 ดา้ นประมงและทรัพยากร
• พระราชบญั ญัตสิ ่งเสริมการบริหารจัดการทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ ง พ.ศ. 2558
• พระราชกาหนดการประมง พ.ศ. 2558 และพระราชกาหนดการประมง (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2560
• พระราชบัญญัติสทิ ธิการประมงในเขตการประมงไทย พ.ศ. 2482
• พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
• พระราชบญั ญตั จิ ัดระเบยี บกิจการแพปลา พ.ศ. 2496
• พระราชบญั ญัติโรคระบาดสตั ว์ พ.ศ. 2499
• พระราชบญั ญัติกักพชื พ.ศ. 2507
21
5.2 ด้านการขนสง่ และพาณิชยนาวี
• พระราชบัญญตั กิ ารเดินเรือในนา่ นนา้ ไทย พ.ศ. 2456 และพระราชบญั ญัติการเดินเรือ ในน่านนา้ ไทย
(ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2560
• พระราชบัญญัติการเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ความเสียหาย จากมลพิษ
นา้ มันอันเกดิ จากเรือ พ.ศ. 2560
• พระราชบัญญตั คิ วามรบั ผิดทางแพ่งตอ่ ความเสยี หายจากมลพษิ นา้ มันอันเกดิ จากเรือ พ.ศ. 2560
• พระราชบญั ญัตกิ กั เรอื พ.ศ. 2534
• พระราชบัญญตั ปิ ้องกันเรือโดนกนั พ.ศ. 2522
• พระราชบญั ญตั ิป้องกันการกระทาบางอย่างในการขนส่งสินคา้ ออกทางเรือ พ.ศ. 2511
• พระราชบญั ญัติเพิ่มอานาจตารวจในการปอ้ งกันและปราบปรามการกระทาผดิ ทางนา้ พ.ศ. 2496
• พระราชบัญญตั ิให้อานาจทหารเรือปราบปรามการกระทาผิดบางอยา่ งทางทะเล พ.ศ. 2490
• พระราชบัญญตั วิ ่าด้วยการส่งออกและนาเขา้ มาในราชอาณาจักรซ่ึงสินค้า พ.ศ. 2522
• พระราชบญั ญตั ศิ ุลกากร พ.ศ. 2560 • พระราชบัญญตั ิภาษสี รรพสามติ พ.ศ. 2527
• พระราชกาหนดควบคมุ สินค้าตามชายแดน พ.ศ. 2534
• พระราชบัญญตั ิการขนสง่ ต่อเนือ่ งหลายรูปแบบ พ.ศ. 2548
• พระราชบัญญัติเรือไทย พ.ศ. 2481 และพระราชกาหนดแก้ไขเพิมเติมพระราชบัญญัติเรือไทย
พ.ศ. 2481 พ.ศ. 2561
5.3 ด้านการท่องเทีย่ วและนันทนาการทางทะเล
• พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสริมและรกั ษาคณุ ภาพส่ิ งแวดล้อม พ.ศ. 2535
• พระราชบัญญตั ริ ักษาความสะอาดและความเปน็ ระเบียบเรียบร้อย ของบา้ นเมอื ง พ.ศ. 2535
• พระราชบญั ญตั ิการสาธารณสุข พ.ศ. 2535
5.4 ดา้ นพลงั งาน
• พระราชบญั ญตั ิการปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
• พระราชบญั ญัตคิ วามผิดเกี่ยวกบั สถานที่ผลิตปิโตรเลียม พ.ศ. 2530
5.5 ด้านอน่ื ๆ
• พระราชบญั ญตั ิวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535
• พระราชบัญญตั โิ รงงาน พ.ศ. 2512
• พระราชบญั ญัตกิ ารนคิ มอุตสาหกรรม พ.ศ. 2522
• พระราชบญั ญตั ิควบคมุ โภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495
• พระราชบญั ญตั ิควบคมุ ยทุ ธภัณฑ์ พ.ศ. 2530
• พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซ่ึงอาวุธ ยุทธภัณฑ์ และสิ่งท่ีใช้ในการสงคราม
พ.ศ. 2495
• พระราชบญั ญัตกิ กั พชื พ.ศ. 2507
• พระราชบญั ญัตเิ ขตปลอดภยั ในราชการทหาร พ.ศ. 2478
• พระราชบัญญตั ปิ ระกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544
• พระราชบัญญตั ิความม่ั นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551
• พระราชบญั ญัติป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนษุ ย์ พ.ศ. 2551
22
• พระราชบญั ญตั ิมาตรการในการปอ้ งกนั และปราบปรามการค้าหญิง และเด็ก พ.ศ. 2540
• พระราชบัญญัตกิ ารสอบสวนคดพี ิเศษ พ.ศ. 2547
• พระราชบัญญตั โิ รคติดตอ่ พ.ศ. 2523
• พระราชบญั ญตั ิควบคมุ นา้ มนั เชือ้ เพลิง พ.ศ. 2542
• พระราชบญั ญตั ิน้ามันเช้ือเพลิง พ.ศ. 2521
• พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ แรด่ บี ุก พ.ศ. 2514
• พระราชบญั ญัตคิ มุ้ ครองพันธุพ์ ชื พ.ศ. 2542
• พระราชบัญญตั ิป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539
• พระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยธุรกรรมทางอิเลก็ ทรอนกิ ส์ พ.ศ. 2544
• พระราชบญั ญัตวิ า่ ด้วยการกระทาผิดเก่ียวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
• พระราชบญั ญตั ิว่าด้วยการกระทาผดิ เกย่ี วกบั คอมพวิ เตอร์ (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2560
• พระราชบัญญัติว่าดว้ ยวิทยคุ มนาคม พ.ศ. 2498
• พระราชบัญญัติอากรรงั นกอีแอน่ พ.ศ. 2540
• พระราชบัญญตั ิอาวุธปืน เครือ่ งกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้ไฟ สงิ เทยี มอาวุธปนื พ.ศ. 2490 ่
• พระราชบัญญตั ิแร่ พ.ศ. 2510
• พระราชบัญญัตคิ นเข้าเมอื ง พ.ศ. 2522
• พระราชบญั ญัติปอ้ งกันและปราบปรามยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. 2545
• พระราชบัญญัติยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. 2545
• พระราชกาหนดปอ้ งกนั การใชส้ ารระเหย พ.ศ. 2533
• พระราชบญั ญัติวตั ถุทอ่ี อกฤทธิต่อจติ ประสาท พ.ศ. 2518 ์
• พระราชบัญญตั ิมาตรการในการป้องกันและปราบปรามผกู้ ระทาผิดเก่ียวกับยาเสพติด พ.ศ. 2535
• พระราชบัญญัตปิ ้องกนั และปราบปรามการกระทาอันเปน็ โจรสลัด พ.ศ. 2534
• พระราชบญั ญัตโิ บราณสถาน โบราณวตั ถุ และพพิ ิธภัณฑส์ ถานแหง่ ชาติ พ.ศ. 2504
• พระราชบัญญตั ิปา่ ไม้ พ.ศ. 2484
• พระราชบัญญตั ิปา่ สงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507
• พระราชบัญญัตอิ ทุ ยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504
• พระราชบญั ญัติสงวนและค้มุ ครองพันธส์ุ ตั ว์ปา่ พ.ศ. 2534
• พระราชบญั ญัตเิ ลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ. 2545
• พระราชกาหนดการบริหารจดั การการทางานของคนตา่ งด้าว พ.ศ. 2560
• พระราชบญั ญัตเิ งนิ ทดแทน พ.ศ. 2537
• พระราชบญั ญตั กิ ารชว่ ยเหลอื กูภ้ ยั ทางทะเล พ.ศ. 2550
• พระราชบญั ญตั ิใหบ้ าเหนจ็ ในการปราบปรามผกู้ ระทาความผิด พ.ศ. 2489
• พระราชบญั ญตั กิ ารค้าข้าว พ.ศ. 2489
• พระราชบญั ญัตกิ าหนดเขตจังหวดั ในอา่ วไทยตอนใน พ.ศ. 2502
• พระราชบัญญตั ปิ อ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั พ.ศ. 2550
• พระราชบญั ญตั ิองค์กรรว่ มไทย-มาเลเซยี พ.ศ. 2533
23
• พระราชบัญญัติการเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพ่ือชดใช้ความเสียหาย จากมลพิษ
น้ามันอันเกดิ จากเรือ พ.ศ. 2560
• พระราชบญั ญัตคิ วามรับผดิ ทางแพ่งต่อความเสยี หายจากมลพิษน้ามันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. 2560
6. องค์กรและหนว่ ยงานรับผิดชอบ ในการรกั ษาผลประโยชนข์ องชาตทิ างทะเล
6.1 หนว่ ยงานหลกั
หน่วยงานที่มีการปฏิบัติการหลัก ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ทางทะเล ได้แก่ กองทัพเรือ
(ทร.) กองบังคับการตารวจน้า (บก.รน.) กรมศุลกากร (ศก.) กรมเจ้าท่า (จท.) กรมประมง (กปม.) และกรม
ทรัพยากร ทางทะเลและชายฝ่ัง (ทช.) รวม 6 หน่วยงาน นอกจากนี้ ยังมีศูนย์ อานวยการรักษาผลประโยชน์ของ
ชาติ ทางทะเล (ศรชล.) ซึ่งตั้งข้นึ ตาม พระราชบัญญตั กิ ารรกั ษาผลประโยชน์ ของชาติทางทะเล พ.ศ. 2562
6.2 หนว่ ยงานรว่ ม
ประกอบด้วยหน่วยงาน ที่เก่ียวข้องด้านทะเล ในการ ร่วมกันกาหนดนโยบายและ ยุทธศาสตร์ทาง
ทะเล เพ่ือนา ไปสู่การบริหารจัดการผลประโยชน์ ของชาติทางทะเล ทั้ งหน่วยงาน ราชการ รัฐวิสาหกิจ และ
ภาคเอกชน ประมาณ 36 หนว่ ยงาน อาทิ
6.2.1 สานักนายกรัฐมนตรี มีหน่วยงานย่อยทาหน้าท่ี กาหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ การจัดการ
ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่เก่ียวข้อง เพื่อบริหารจัดการผลประโยชน์จากการใช้
ทรัพยากร ธรรมชาตทิ างทะเลอยา่ งคุ้มค้า และเหมาะสม อาทิ สานักงาน สภาความม่ันคงแห่งชาติ และ สานักข่าว
กรองแห่งชาติ
6.2.2 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องโดยตรงในการจัดการ
ทรัพยากรมีชีวิตและทรัพยากรไม่มีชีวิตทางทะเล มีหน้าที่กากับดูแลการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ศึกษาวิจัย และบริหาร
จดั การการใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลและชายฝง่ั อาทิ กรมควบคมุ มลพิษกรมทรพั ยากรธรณี
6.2.3 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหนว่ ยงานทเ่ี กีย่ วขอ้ ง กบั การจดั การทรัพยากรทางทะเล ได้แก่
กรมประมง ทาหน้าที่ จัดการทรัพยากรประมง ควบคุม ป้องกัน และปราบปรามการทาประมงท่ีผิดกฎหมาย และ
ผลิตสัตวน์ า้ ให้มีมาตรฐานทีท่ ว่ั โลกยอมรับ
6.2.4 กระทรวงคมนาคม มีหน่วยงานย่อยท่ีเกี่ยวข้อง กับการขนส่งทางน้า การจัดการท่าเรือ
มีหน้าท่ีดาเนินการตามกฎหมาย ว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้าไทย บริหารและพัฒนาท่าเรือให้เป็น โครงสร้าง
พนื้ ฐานเพ่ือสรา้ งความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศได้อย่าง ยังยนื อาทิ กรมเจา้ ท่า
6.2.5 กระทรวงอุตสาหกรรม มีหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการและดูแลธุรกิจ
อุตสาหกรรม ด้านวัตถุอันตราย การผลิ ตและความปลอดภัย เพ่ือให้เป็นไปตามกฎหมายและข้อตกลงระหว่าง
ประเทศ อาทิ กรมสง่ เสรมิ อตุ สาหกรรม
6.2.6 กระทรวงพลังงาน มีหน่วยงานท่ีทาหน้าที่วิจัยและพัฒนาด้านพลังงาน การจัดหา พลังงาน
การอนุรักษ์พลังงาน และบรหิ ารจดั การการใช้พลังงานอยา่ งยังยนื อาทิ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต
แหง่ ประเทศไทย
6.2.7 กระทรวงกลาโหม ซึ่งประกอบดว้ ยหน่วยเฉพาะกจิ และหน่วยขึน้ ตรงกับกองทพั เรือ ทาหน้าท่ี
รักษาและคุ้มครองผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรในทะเล ติดตามและตรวจวัด ปัจจัยทางสมุทรศาสตร์
อทุ กศาสตร์ และ อตุ ุนิยมวิทยาทางทะเล
24
6.2.8 กระทรวงมหาดไทย มีหน่วยงานย่อยที่ทาหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อย ป้องกัน
และปราบปรามอาชญากรรม ตามประมวลกฎหมายอันเกี่ยวกับความผิดทางอาญาท็งหลายในน่านน้าไทย อาทิ
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาธิการ และผงั เมอื ง
6.2.9 กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจยั และนวตั กรรม มีหน่วยงานยอ่ ยที่ดาเนินการ เกี่ยวกับ
การบรู ณาการองคค์ วามร้ทู างทะเล ศึกษาวจิ ยั และพัฒนา วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีทรัพยากรธรรมชาตทิ างทะเล
เพ่ือนามาประยุกต์ สู่การจัดการทรัพยากรได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม อาทิ สานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ
และภมู สิ ารสนเทศ (องคก์ ารมหาชน)
6.2.10 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ทาหน้าท่ีควบคุมดูแล สารวจ วางแผน ดาเนินการส่งเสริม
การท่องเที่ยวทางทะเล ตลอดจนส่งเสริมการอนุรักษ์ฟื้นฟูและพัฒนาสถานท่ีท่องเท่ียวทางทะเลทรัพยากร
ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง อาทิ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมการท่องเท่ียว
แห่ง ประเทศไทย
6.2.11 กระทรวงการต่างประเทศ เป็นหน่วยงานท่ีมีภารกิจด้านการต่างประเทศ ส่งเสริม
ความสัมพันธ์ ความเข้าใจ และความร่วมมือระหว่างประเทศ และอานวยความสะดวกในการติดต่อประสานกับ
ต่างประเทศ และคุ้มครองผลประโยชน์ของไทยในต่างประเทศ รวมไปถึงการดาเนินการเพ่ือเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา
หรือความตกลงระหว่างประเทศต่าง ๆ ซึ่งมี หน่วยงานระดับกรมท่ีดาเนินภารกิจ ดังกล่าว อาทิ กรมภูมิภาค
ทีเ่ กี่ยวขอ้ ง กรมองคก์ ารระหวา่ งประเทศ กรมอาเซยี น กรมสนธสิ ัญญาและกฎหมาย
กฎหมายและหน่วยงานทางทะเลดังกล่าวข้างต้น จะเป็นเครื่องมือในการควบคุมความประพฤติ
ของบุคคลให้ต้องปฏิบัติตาม รวมท้ัง ส่งเสริมให้สภาพความเป็นอยู่ในสังคมมีความ ผาสุก และประเทศชาติ
มีความเจริญรุ่งเรือง ม่ันคง มั่งคั่ง และย่ังยืน ท้ังในระดับชาติและภูมิภาค ทั้งน้ี เพื่อให้ผู้ใช้ทะเลได้มีความรู้
ความเข้าใจ เคารพ และปฏิบัติตามกฎหมายทางทะเล ทั้งที่เป็นกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมาย
ภายในประเทศ ได้ทราบและนาไปใช้ในการปฏิบตั ิและเผยแพร่ความร้ใู ห้กบั ผทู้ ี่เก่ียวขอ้ งต่อไป
..............................................................................
1
การแบง่ เขตการปกครองของจงั หวดั ทางทะเล
1. ความเปน็ มาของการกาหนดเขตจังหวัดทางทะเล
ปัจจุบันยังไม่มีบทบัญญัติในกฎหมายของประเทศไทยที่ระบุถึงวิธีการท่ีจะนามาใช้ในการแบ่งเขตรับผิดชอบ
ของแต่ละจังหวัดซึ่งเขตดังกล่าวอาจจะพิจารณาให้เป็นเขตการปกครอง และเขตในการบริหารจัดการพื้นที่ทาง
ทะเลของจังหวัดชายทะเล อย่างไรก็ตามเม่ือพิจารณา ถึงบรรดากฎหมายท่ีกระทรวงมหาดไทยมีอยู่เช่น พรบ.
ลักษณะการปกครองท้องท่ี พ.ศ ๒๔๕๖ และ พรบ.บริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๐ มิได้มีการกาหนดไว้ให้
จังหวัดมีเขตการปกครองท่ีขยายออกไปจนถึงขอบนอกสุดของทะเลอาณาเขต ท้ังๆที่พื้นที่ทะเลดังกล่าวอยู่ในเขต
อานาจอธิปไตยของไทย จะมีอยู่บ้างก็เป็นการแบ่งเขตทางทะเลในเขตน่านน้าภายในของอ่าวไทยตอนใน
ตามพรบ.กาหนดเขตจงั หวัดในพื้นที่อ่าวไทยตอนใน พ.ศ. 2502 เท่าน้นั ซ่ึงการไมม่ เี ขตจังหวัดในทะเลในพื้นท่ีของ
ทะเลอาณาเขตตลอดแนวชายฝ่ังทะเลที่ชัดเจนเป็นปัญหาในทางการดาเนินการบังคับใช้กฎหมายของหน่วยงาน
ในระดับท้องถิ่นและยังเป็นปัญหาในด้านความม่ันคงของชาติในภาพรวม ซ่ึงหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องได้ตระหนักถึง
ความสาคัญในเรื่องดังกล่าวดังจะเห็นได้จากการจัดทายุทธศาสตร์ความม่ันคงของชาติทางทะเล พ.ศ. ๒๕๕๘-
๒๕๖๔ ข้อ ๓.๗ กาหนดให้กระทรวงมหาดไทยดาเนินการกาหนดเขตจังหวัดทางทะเล เน่ืองจากในปัจจุบันได้มี
กฎหมายภาคทะเลที่ยกร่างและประกาศใช้ หลังปี พ.ศ.๒๕๕๐ ได้มีพัฒนาการไปในแนวทางเดียวกันคือ มีลักษณะ
กระจายอานาจ และให้บทบาทกับจังหวัดชายทะเล มีหน้าท่ีบริหารจัดการพื้นท่ีทางทะเลให้เกิด ความมั่น มั่งค่ัง
ยั่งยืน ในรูปของคณะกรรมการจังหวัดโดยมี ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน กฎหมายหลายฉบับได้ระบุให้มี
การแต่งตง้ั คณะกรรมการจังหวดั อาทิ
- พ.ร.บ.ปอ้ งกันและบรรเทาสาธารณภยั พ.ศ.2550
- พ.ร.บ.สง่ เสรมิ การบรหิ ารจดั การทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง พ.ศ.2558
- พ.ร.ก.การประมง พ.ศ.2558
- พ.ร.บ.การรักษาผลประโยชนข์ องชาตทิ างทะเล พ.ศ. 2562
พรบ.ดังกล่าวข้างต้นกาหนดให้แต่ละจังหวัดมีการจัดต้ังคณะกรรมการระดับจังหวัดเช่น คณะกรรมการ
ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด คณะกรรมการประมงจังหวัด คณะกรรมการส่งเสริมการบริหารจัดการ
ทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังจังหวัด คณะกรรมการผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัด (ศรชล.จังหวัด)
แต่ปัญหาและอุปสรรคที่สาคัญในการดาเนินการตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้นคือ คณะกรรมการต่างๆ ของจังหวัด
ชายทะเลไม่สามารถระบุได้ว่าขอบเขตความรับผิดชอบที่ชัดเจนของพ้ืนท่ีทางทะเลของจังหวัดของตนมีขอบเขตอยู่
ท่ีใดในทะเล แนวทางที่ สนง.กฤษฎีกาเคยให้คาแนะนาในการกาหนดเขตบริหารจัดการ/ เขตรับผิดชอบพื้นท่ีทาง
ทะเล ของแต่ละจังหวัดชายทะเล สามารถใช้มาตรการทางการบริหารได้ เช่น ออกเป็น มติ ครม. ให้จังหวัด
ชายทะเลมีเขตรับผิดชอบ ในการบริหารจัดการพื้นที่ ทางทะเลท่ีอยู่ต่อเน่ืองกับชายฝ่ังของแต่ละจังหวัด แต่ปัญหา
คือ มติ ครม.ไมม่ ีฐานะเปน็ กฎหมาย
การแบ่งเขตรับผิดชอบทางทะเลออกไปจนถึงทะเลอาณาเขตนอกจากจะเปน็ การบริหารจัดการเขตอานาจ
อธิปไตยภายในของไทยตามกฎหมายภายในแล้ว ยังเป็นการปฏิบัติตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมาย
ทะเล ค.ศ.1982 ท่ีไทยได้ให้สัตยาบันแล้ว โดยท่ีรัฐชายฝั่งมีอานาจอธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขตอีกส่วนหนึ่งด้วย
โดยที่พนื้ ทด่ี ังกล่าวอยู่ในเขตอานาจอธิปไตยท่ีประเทศไทยควรมีความชัดเจนในเขตอานาจการปกครอง เขตอานาจ
ศาล และเขตอานาจในการบริหารจัดการพ้ืนที่ทะเลท่ีสอดคล้องกับหลักการของกฎหมายทะเล ให้เกิดความม่ันคง
ม่ังคั่งและ ยงั่ ยนื ตามทรี่ ฐั บาลกาหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ
2
การดาเนินการของกระทรวงมหาดไทยในการแบ่งเขตการปกครองของจังหวัดทางทะเลนั้น กระทรวง
มหาดไทยได้พิจารณาถึงกฎหมายที่เก่ียวข้องในด้านการปกครองท่ีมีอยู่เดิมเช่น พรบ.ลักษณะการปกครองท้องท่ี
พ.ศ.๒๔๕๖ พรบ.บรหิ ารราชการแผนดิน พ.ศ. ๒๕๔๐ พรบ.กาหนดเขตจังหวัดในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ.๒๕๐๒ และ
กฎหมายอนื่ ๆทเ่ี กี่ยวข้อง และไดม้ ีการลงคาส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการกาหนดและปรับปรงุ พ้ืนทเ่ี ขตการปกครองของ
จังหวัดทางทะเลโดยมี ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน เม่ือเดือน มิ.ย.๒๕๖๑ และประธานคณะกรรมการฯ
ไดล้ งนามแต่งตั้งคณะอนกุ รรมการ และคณะทางาน เพอ่ื กาหนดเขตจังหวัดทางทะเล ดังนี้
- คณะอนุกรรมการกาหนดแนวทางการปรับปรุงพ้ืนทีเ่ ขตการปกครองของจงั หวัดทางทะเล (มีหน้าท่ี
ดาเนินการแบ่งเขต กาหนดเสน้ แนวเขต และจัดทาแผนที่)
- คณะอนุกรรมการกาหนดและปรับปรุงพื้นที่เขตการปกครองระดับจังหวัดและกรุงเทพมหานคร
(มีหน้าที่ตรวจสอบแนวเสน้ เขตของแตล่ ะคจู่ ังหวัดเพ่อื ให้ไดข้ ้อยตุ ิรว่ มกนั )
- คณะทางานรา่ งกฎหมายกาหนดและปรบั ปรงุ พ้ืนท่เี ขตการปกครองของจังหวดั ทางทะเล
(มหี น้าทยี่ กร่าง พรบ.กาหนดและปรบั ปรุงพื้นทเี่ ขตการปกครองของจงั หวัดทางทะเล พ.ศ.....)
ภาพที่ 1 การกาหนด Roadmap ในการทางานของคณะกรรมการฯ คณะอนุกรรมการฯ
และคณะทางานฯ ท่ีกระทรวงมหาดไทยแต่งตง้ั ในการกาหนดและปรบั ปรงุ พื้นทเี่ ขตการปกครองของ
จังหวดั ทางทะเล (ที่มา: กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย )
ปจั จบุ นั ไดม้ กี ารกาหนดเขตจังหวัดทางทะเลครบทุกจังหวัด มีการจัดทาแผนท่ีแนวเขตจังหวดั ทางทะเล และ
คู่จังหวัดทางทะเลท่ีอยู่ติดกันได้ร่วมกันพิจารณาจนได้ข้อยุติร่วมกันแล้ว ท้ัง 23 จังหวัดชายทะเล ปัจจุบันอยู่ใน
ขั้นตอนของการยกร่างกฎหมายเพ่ือใช้บังคับเพื่อให้จังหวัดชายทะเลมีเขตการปกครองของจังหวัดออกไปในทะเล
ตามขอบเขตทไ่ี ด้กาหนดไว้
3
2. แนวทางในการกาหนดเขตจงั หวัดทางทะเล
เนื่องจากประเทศไทยไม่มีหลักกฎหมายภายในท่ีระบุหลักการแนวทางการปฏิบัติในการแบ่งเขตจังหวัดทาง
ทะเลไว้เป็นการเฉพาะ คณะอนุกรรมการกาหนดแนวทางการปรับปรุงพ้ืนท่ีเขตการปกครองของจังหวัดทางทะเล
จึงได้พิจารณาแนวทางในการกาหนดการแบ่งเขตจังหวัดทางทะเลให้เป็นไปตามหลักการท่ีเป็นสากลและเป็นที่
ยอมรับของนานาประเทศเช่น หลักการท่ีกาหนดไว้ในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1958
และฉบับ ค.ศ.1982 รวมทั้งในคู่มือท่ีองค์การระหว่างประเทศท่ีเกี่ยวข้องกาหนดโดยสามารถสรุปแนวทาง
การกาหนดเขตทางทะเลที่เป็นหลักสากลนามาประยุกต์ใช้ในการแบ่งเขตจังหวัดทางทะเลของแต่ละคู่จังหวัดท่ีมี
เขตอยู่ประชิดกนั หรืออยตู่ รงขา้ มกันได้ ดังน้ี
1) ตามพนั ธะกรณอี ันสืบเนอื่ งมาจากข้อตกลงทที่ าไวเ้ ดมิ
2) กาหนดตามหลักกฎหมายทะเลปี ค.ศ.1958 เชน่
- หลักการของเส้นมัธยะ (หลักระยะห่างเท่ากัน Principle of Equidistance เป็นหลักการพ้ืนฐาน
ทีส่ ามารถนามาใชก้ ับทะเลอาณาเขต)
- สภาวะแวดลอ้ มพเิ ศษ Special Circumstance
3) กาหนดตามหลักกฎหมายทะเลปี ค.ศ.1982 เช่นหลักของความเท่ียงธรรม(Principle of Equitable)
และหลักการ แนวคิด ทฤษฎีของนักกฎหมายทะเลท่ีสนับสนุนหลักการของความเที่ยงธรรม รวมทั้ง การศึกษา
แนวทางการตัดสินของศาลโลกในคดีท่เี กี่ยวขอ้ งกับเขตทางทะเล
จากหลักการท่ีกล่าวแล้วข้างต้นสามารถนามาประยุกต์ใช้ในการแบ่งเขตจังหวัดทางทะเลข องประเทศไทยได้
โดยมรี ายละเอียดของแตล่ ะแนวทางพอสรปุ ไดด้ ังน้ี
2.1 การแบ่งเขตจังหวัดทางทะเลโดยพิจารณาถึงบรรดากฎหมายท่ีเก่ียวข้องที่มีผลใช้บังคับมากระท่ังถึง
ปัจจุบัน เช่น ข้อตกลงระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบท่ีมีมาแต่เดิมในรูปแบบของ สนธิสัญญาระหว่าง
ไทยกับเพื่อนบ้านในอดีต ทมี่ ผี ลกาหนดแบ่งเขตในทะเลใกล้ชายฝั่งไวแ้ ล้วบางสว่ นในแนวเส้นเขตแดน นอกจากนั้น
ก็มีกฎหมายภายในของไทยที่มีการกาหนดเขตทางทะเลไว้บางพื้นท่ีแล้วเช่น พรบ.การกาหนดเขตของจังหวัด
ในอ่าวไทยตอนใน พ.ศ.2502 ประกาศของกระทรวงมหาดไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกาหนดจุดพิกัดเริ่มต้น
ที่จรดริมทะเล และการกาหนดเส้นแบ่งแนวเกาะในทะเลบางพื้นท่ีของจังหวัดชายทะเล ประกาศของกระทรวง
เกษตรและสหกรณ์ในส่วนที่เคยแบ่งเขตพื้นท่ีประมงพ้ืนบ้านในแต่ละรายจังหวัดชายทะเล สามารถนามาใช้
ประกอบในการกาหนดเสน้ แบง่ เขตของเขตจงั หวัดทางทะเลได้
2.2 สาหรับการแบ่งเขตจังหวัดทางทะเลในพ้ืนท่ีอื่นๆท่ีมิได้เคยมีกฎหมายกาหนดไว้ตามข้อ 7.1
การกาหนดเสน้ แบ่งเขตจงั หวดั คณะอนุกรรมการฯ ได้พจิ ารณาใช้หลักการของเส้นมัธยะซ่งึ เป็นหลักการทเี่ ป็นสากล
ที่กาหนดไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ อาทิ อนุสัญญากฎหมายทะเล ค.ศ.1958 (ข้อ 12 ของ UNCLOS 1958)
อนุสัญญากฎหมายทะเล ค.ศ.1982 (ข้อ 15 ของ UNCLOS 1982) ในกรณีที่เขตจังหวัดอยู่ประชิดกันหรืออยู่ตรง
ขา้ มกันจะแบ่งเขตระหวา่ งกนั โดยหลักของเสน้ มัธยะดังภาพที่แสดง
4
ภาพที่ 2 การลากเสน้ มัธยะกรณรี ฐั ตรงขา้ ม และ เส้นมัธยะกรณรี ฐั ประชิด ( ท่มี า :TALOS)
ภาพที่ 3 การสรา้ งเสน้ มธั ยะลงในภาพถา่ ย หรอื ลงในแผนทเ่ี ดินเรือ
การแบ่งเขตโดยใช้หลักการของเส้นมัธยะตามภาพจะเห็นเส้นปรากฏเป็นเส้นท่ีหักไปมาตามสภาพภูมิ
ประเทศ อย่างไรก็ตาม มักปรากฏเสมอว่าในการเจรจาเกี่ยวกับเส้นเขตแดนทางทะเล เส้นท่ีตกลงกันจะมี
การปรับแต่งไปจากเส้นมัธยะแบบเคร่งครัด (Strict Equidistance Line) เรียกว่า เส้นมัธยะปรับแต่ง (Modified
Equidistance Line) ซึง่ เกิดข้ึนโดยมคี วามมุ่งหมาย 2 ประการ คือ
- เพ่ือลดความคดเค้ียวที่ก่อให้เกิดความสลับซับซ้อนของเส้นเขตแดน จึงต้องมี การปรับแต่ง
เสน้ มัธยะให้ใกลเ้ คยี งกบั เส้นตรง ท้ังน้สี องฝ่ายหรอื ฝา่ ยใดฝ่ายหนึง่ ตอ้ งยอมลดพืน้ ทล่ี ง
- เพื่อความมุ่งประสงคใ์ หเ้ กิดความเท่ียงธรรม โดยคานงึ ถงึ สภาพแวดลอ้ มอ่ืน ๆ
2.3 การประยุกต์ใช้หลักการของความเท่ียงธรรมเม่ือคานึงถึงสภาพแวดล้อมอ่ืนๆ ที่เม่ือใช้หลักการของ
เส้นมัธยะหรือเส้นระยะห่างเท่ากันแล้วไม่เหมาะสมหรอื ไม่ได้ผลลพั ท์ท่ีเท่าเทียมกัน ก็สามารถนา หลักที่เก่ียวข้อง
กับความเที่ยงธรรมมาประยุกต์ใช้ได้เช่น หลักความได้สัดส่วน(Proportionality) การใช้เส้นแบ่งเขตคร่ึงมุม (Bi-
Sector) การกาหนดเส้นต้ังฉากกับเส้นทิศทางท่ัวไปของชายฝั่ง (General Direction of the Coast) หรือ
การให้ผลบางส่วนกับเกาะ (Partial Effect) โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้ พิจารณาเลือกใช้วิธีท่ีกล่าวมาในข้อ
1) – 3) ผสมผสานกันในแต่ละพื้นที่และบางจังหวัด ท่ีแนวเขตมีความซับซ้อน รวมทั้งมีการช้ีแจงและรับฟัง
ความเห็นในร่างแผนทจ่ี ากภาคสว่ นต่างๆทมี่ สี ว่ นได้ส่วนเสยี ในแต่ละคู่จงั หวดั เพือ่ ให้ไดข้ ้อยุติทีเ่ หมาะสมรว่ มกนั
5
3. แผนที่และบัญชคี ่าพกิ ดั รายจังหวัดชายทะเล
เพ่ือความสะดวกในการกาหนดเส้นเขตทางทะเลระหว่างจังหวัด การลงพื้นท่ีรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนได้
เสียในพื้นท่ีจึงได้กาหนดแบ่งกลุ่มจังหวัดชายทะเลทั้ง 23 จังหวัด ออกเป็น 6 กลุ่มจังหวัด ตามสภาพภูมิศาสตร์
และพน้ื ฐานของกิจกรรมทางทะเลทีส่ ่งผลกระทบระหว่างกันได้ ดังนี้
(1) กลุ่มจังหวัดอ่าวไทยตะวันออก ประกอบด้วยจังหวัดชายทะเล 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ตราด จ.จันทบุรี
และ จ.ระยอง
(2) กลุ่มจังหวัดอ่าวไทยตอนใน ประกอบด้วยจังหวัดชายทะเล 7 จังหวัด ได้แก่ จ.ชลบุรี จ.ฉะเชิงเทรา
จ.สมุทรปราการ จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรสงคราม จ.เพชรบรุ ี และ กรุงเทพมหานคร
(3) กลุ่มจังหวัดอ่าวไทยตอนบน ประกอบด้วยจังหวัดชายทะเล 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ประจวบคีรีขันธ์
จ.ชุมพร และ จ.สุราษฏร์ธานี
(4) กลุ่มจังหวัดอ่าวไทยตอนล่าง ประกอบด้วยจังหวัดชายทะเล 4 จังหวัด ได้แก่ จ.นครศรีธรรมราช
จ.สงขลา จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส
(5) กลุ่มจังหวัดฝ่ังตะวันตกตอนบน ประกอบด้วยจังหวัดชายทะเล 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ระนอง จ.พังงา
และ จ.ภเู ก็ต
(6) กลุ่มจังหวัดฝ่ังตะวันตกตอนล่าง ประกอบด้วยจังหวัดชายทะเล 3 จังหวัด ได้แก่ จ.กระบี่ จ.ตรัง
และ จ.สตลู
แผนทแี่ ละบัญชีคา่ พกิ ัดท่กี าหนดได้แสดงประกอบไว้ในแผนท่ขี องแต่ละกลุ่มจงั หวดั ดงั น้ี
3.1 แผนที่แสดงเขตจังหวัดในกลุ่มจังหวัดอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ประกอบด้วย จังหวัดตราด จังหวัด
จันทบรุ ีและจังหวัดชลบรุ ี
เขตจังหวัดทางทะเล ของ จังหวัดตราด
6
เขตจังหวัดทางทะเล ของ จังหวัดจนั ทบุรี
เขตจงั หวัดทางทะเล ของ จงั หวดั ระยอง
7
3.2 แผนที่แสดงเขตจงั หวัดในกลมุ่ จงั หวดั อ่าวไทยตอนใน ประกอบดว้ ยจังหวัดต่างๆรวม 7 จงั หวัด
ไดแ้ ก่ จ.ชลบุรี จ.ฉะเชิงเทรา จ.สมทุ รปราการ จ.กรุงเทพมหานคร จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรสงคราม และ จ.เพชรบุรี
เขตจังหวัดทางทะเล ของ จังหวดั ชลบรุ ี
เขตจงั หวัดทางทะเล ของ จังหวัดฉะเชงิ เทรา
8
เขตจังหวดั ทางทะเล ของ จงั หวัดสมทุ รปราการ
เขตจงั หวดั ทางทะเล ของ กรุงเทพมหานคร
9
เขตจงั หวัดทางทะเล ของ จงั หวดั สมุทรสาคร
เขตจงั หวัดทางทะเล ของ จงั หวัดสมุทรสงคราม
10
เขตจังหวัดทางทะเล ของ จังหวัดเพชรบุรี
3.3 แผนที่เขตจังหวดั ในกลมุ่ จงั หวดั อา่ วไทยตอนบน ประกอบด้วยจังหวัดตา่ งๆ รวม 3 จงั หวัด
ได้แก่ จังหวัด ประจวบคีรขี ันธ์ จงั หวัดชมุ พร และจงั หวัดสรุ าษฎรธ์ านี
เขตจงั หวดั ทางทะเล ของ จังหวัดประจวบครี ขี นั ธ์
11
เขตจงั หวดั ทางทะเล ของ จงั หวดั ชมุ พร
เขตจังหวดั ทางทะเล ของ จงั หวัดตราดสรุ าษฎร์ธานี
12
3.4 แผนท่ีเขตจังหวัดในกลุ่มจังหวัดอ่าวไทยตอนล่าง ประกอบด้วย จังหวัดต่างๆรวม 4 จังหวัด ได้แก่
จงั หวดั นครศรีธรรมราช จงั หวัดสงขลา จังหวดั ปตั ตานี และ จังหวัดนราธิวาส
เขตจังหวัดทางทะเล ของ จังหวดั นครศรีธรรมราช
เขตจงั หวดั ทางทะเล ของ จังหวัดสงขลา
13
เขตจงั หวดั ทางทะเล ของ จังหวดั ปตั ตานี
เขตจังหวัดทางทะเล ของ จงั หวดั นราธวิ าส
14
3.5 แผนท่เี ขตจังหวัดในกลุ่มจงั หวัดฝัง่ ตะวันตกตอนบน ประกอบด้วยจังหวัดตา่ งๆรวม 3 จงั หวดั ไดแ้ ก่
จงั หวัดระนอง จังหวัดพังงา และ จังหวัดภูเก็ต
เขตจงั หวัดทางทะเล ของ จงั หวดั ระนอง
เขตทางทะเลของจงั หวดั พงั งา เขตทางทะเลของจงั หวดั ภูเกต็
15
3.6 แผนทีเ่ ขตจงั หวัดในกลุ่มจังหวดั ฝง่ั ตะวันตกตอนล่าง ประกอบด้วยจังหวัดตา่ งๆรวม 3 จงั หวดั ไดแ้ ก่
จงั หวดั กระบี่ จังหวดั ตรัง และ จงั หวดั สตูล
เขตจงั หวดั ทางทะเล ของ จงั หวัดกระบี่
เขตทางทะเลของจงั หวดั ตรงั
16
เขตทางทะเลของจังหวดั สตูล
17
แผนทแ่ี สดงภาพรวมการแบ่งเขตจงั หวดั ทางทะเลทง้ั 23 จังหวัดชายทะเล
18
4. มิตทิ างพ้นื ทขี่ องนา่ นน้าไทยและจงั หวัดชายทะเลท่คี วรทราบ
4.1 พื้นทขี่ องนา่ นน้าไทยแบ่งตามเขตทางทะเล (ที่มา: กรมอุทกศาสตร์)
เขตทางทะเล พน้ื ที่ (ตารางกิโลเมตร) พืน้ ท่ี (ตารางไมลท์ ะเล)
1. น่านนา้ ภายใน (พืน้ ที่รวมท้ัง 3 ฝง่ั ) 61,954.039 18,062.903
- อ่าวประวตั ิศาสตร์(อา่ วรูปตวั ก) 10,190.021 2,790.934
- อ่าวไทยฝง่ั ตะวนั ออก (บรเิ วณที่1) 3,288.044 958.639
- อา่ วไทยฝง่ั ตะวนั ตก (บรเิ วณท่ี2) 11,340.871 3,306.468
- อ่าวไทยฝงั่ ตะวันตก (บรเิ วณท่ี4) 29,284.530 8,538.002
- ฝัง่ ตะวันตกของประเทศไทย(บรเิ วณที่ 3) 7,850.573 2,288.860
2. ทะเลอาณาเขต (พื้นท่รี วมท้ัง 3 ฝง่ั ) 53,068.226 15,472.218
- ด้านอา่ วไทย(พน้ื ทรี่ วม) 29,344.363 8,555.447
- ด้านตะวนั ตกของประเทศไทย 23,723.863 6,916.771
3. เขตต่อเนอื่ ง (พืน้ ทรี่ วมท้ัง3 ฝง่ั ) 37,513.223 10,937.104
- ดา้ นอ่าวไทย 23,909.182 6,970.801
- ดา้ นตะวันตกของประเทศไทย 13,604.041 3,966.303
4. เขตเศรษฐกจิ จาเพาะ (คดิ รวมเขตต่อเนอ่ื งแลว้ ) 201,340.828 58,701.591
- ดา้ นอา่ วไทย 112,103.144 32,684.046
- ดา้ นตะวันตกของประเทศไทย 89,237.684 26,017.545
5. พืน้ ท่พี ฒั นารว่ มไทย-มาเลเซีย 7,125.226 2,077.383
พื้นท่ีนา่ นนา้ ไทยรวม 323,488.324 94,314.104
- ดา้ นอ่าวไทย 202,676.204 59,090.926
- ด้านฝง่ั ตะวนั ตกของประเทศไทย 120,812.120 35,233.178
19
ภาพที่ 4 แสดงพน้ื ทที่ างทะเลในเขตทางทะเลของไทย ( ท่ีมา: กรมอุทกศาสตร์)
20
4.2 พื้นท่ขี องนา่ นน้าไทยแบ่งตามเขตอานาจของรัฐ (ทีม่ า: กรมอุทกศาสตร์ )
เขตอานาจรัฐ พ้นื ทีท่ างทะเล (ตารางกโิ ลเมตร)
202,676.199
พน้ื ที่นา่ นน้าด้านอ่าวไทย 83,447.829
- น่านนา้ ในเขตอานาจอธปิ ไตย (นา่ นน้าภายในและทะเลอาณาเขต) 112,103.144
- นา่ นนา้ ในเขตสิทธิอธปิ ไตย (เขตเศรษฐกิจจาเพาะ) 7,125.226
- พนื้ ท่พี ัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย 120,812.121
31,574.437
พน้ื ท่ีน่านน้าดา้ นฝั่งตะวนั ตกของประเทศไทย 89,237.684
- น่านน้าในเขตอานาจอธปิ ไตย (น่านน้าภายในและทะเลอาณาเขต)
- เขตสทิ ธิอธปิ ไตย ( เขตเศรษฐกิจจาเพาะ) 115,022.266
208,466.054
สรปุ 323,488.320
- ประเทศไทยมีพ้นื ที่น่านนา้ ในเขตอานาจอธิปไตย
- ประเทศไทยมพี นื้ ท่ีนา่ นน้าในเขตสทิ ธิอธปิ ไตย
พ้นื ท่ีน่านนา้ รวมท้ังสน้ิ
ภาพที่ 5 แสดงพน้ื ท่ีทางทะเลในเขตอานาจอธิปไตย และพื้นที่ในเขตสทิ ธิอธิปไตยของนา่ นนา้ ไทย
(ทีม่ า: กรมอทุ กศาสตร์ )
21
4.3 ขนาดของพ้ืนทแ่ี ละความยาวชายฝงั่ ทะเลรายจงั หวัด (ท่ีมา: กรมอทุ กศาสตร์ )
ลาดบั ท่ี จังหวดั ความยาว ขนาดพ้นื ทที่ างทะเล
(กโิ ลเมตร) (ตารางกิโลเมตร)
1 ตราด 187.95 5,847.99
2 จนั ทบุรี 101.50 2,064.70
3 ระยอง 117.99 2,440.16
4 ชลบรุ ี 188.34 5,423.81
5 ฉะเชิงเทรา 15.77
6 สมุทรปราการ 49.54 187.73
7 กรุงเทพมหานคร 1,204.41
8 สมทุ รสาคร 6.51
9 สมทุ รสงคราม 45.26 76.33
10 เพชรบรุ ี 26.20 964.25
11 ประจวบคีรขี ันธ์ 96.55 226.38
12 ชุมพร 254.57 3,050.77
13 สุราษฎรธ์ านี 252.60 5,759.93
14 นครศรธี รรมราช 179.38 7,441.42
15 สงขลา 246.66 9,058.02
16 ปตั ตานี 158.78 12,375.31
17 นราธิวาส 144.04 9,690.30
18 ระนอง 57.20 12,866.74
19 พงั งา 106.85 2,362.51
20 กระบี่ 254.18 2,381.87
21 ภูเก็ต 203.55 12,264.61
22 ตรัง 219.07 4,657.22
23 สตูล 140.74 3,660.04
140.21 3,008.52
รวม 3,193.44 5,328.82
112,341.84
หมายเหตุ – ขนาดพื้นที่ในเขตอานาจอธิปไตยของแต่ละรายจังหวัดชายทะเลตามท่ีแสดงในตารางข้างต้นคิด
เป็นพื้นที่รวมทั้งสิ้น 112,341.84 ตร.กม. ซ่ึงไม่รวมพ้ืนที่เกาะต่างในน่านน้าไทยอีกประมาณ 2,680.43 ตร.กม.
- ขนาดของน่านน้าในเขตอานาจอธิปไตยเมื่อวัดพ้ืนที่ในแผนที่มาตราส่วนเล็กท่ีรวมเกาะในทะเล
ด้วยแลว้ จะมีเนอื้ ที่ 115,022.27 ตร.กม.
22
4.4 รายชอื่ อาเภอของจงั หวดั ชายทะเลในส่วนท่ีมีอาณาเขตติดกบั ทะเล
จงั หวัดชายทะเล จานวนอาเภอ รายชอ่ื อาเภอท่ีตดิ ชายทะเล
ที่ตดิ ทะเล
ฝง่ั ตะวันออกของอ่าวไทย
สมทุ รปราการ 3 อ.พระสมุทรเจดยี ์ อ.เมือง อ.บางบ่อ
ฉะเชิงเทรา 1 อ.บางปะกง
ชลบุรี 4 อ.เมือง อ.ศรรี าชา อ.บางละมุง อ.สตั หีบ
ระยอง 3 อ.บา้ นฉาง อ.เมือง อ.แกลง
จันทบรุ ี 4 อ.นายายอาม อ.ท่าใหม่ อ.แหลมสิงห์ อ.ขลงุ
ตราด 5 อ.แหลมงอบ อ.เมือง อ.คลองใหญ่ อ.เกาะชา้ ง อ.เกาะกูด
ฝงั่ ตะวันตกของอา่ วไทย 1 เขตบางขนุ เทยี น
กรุงเทพมหานคร 1 อ.เมอื ง
สมทุ รสาคร 1 อ.เมอื ง
สมทุ รสงคราม 3 อ.พระสมุทรเจดีย์ อ.เมือง อ.บางบ่อ
สมุทรปราการ 4 อ.บา้ นแหลม อ.เมอื ง อ.ทา่ ยาง อ.ชะอา
เพชรบุรี 8 อ.หวั หนิ อ.ปราณบุรี อ.สามร้อยยอด อ.กุยบุรี อ.เมอื ง
ประจวบครี ขี นั ธ์
อ.ทับสะแก อ.บางสะพาน อ.บางสะพานนอ้ ย
ชุมพร 6 อ.ปะทวิ อ.เมือง อ.สวี อ.ทุ่งตะโก อ.หลงั สวน อ.ละแม
สรุ าษฎร์ธานี 9 อ.ทา่ ชนะ อ.ไชยา อ.ทา่ ฉาง อ.เมอื ง อ.กาญจนดิษฐ์ อ.ดอนสกั
นครศรธี รรมราช อ.พนุ พนิ อ.เกาะสมัย อ.เกาะพงัน
6 อ.ขนอม อ.สชิ ล อ.ทา่ ศาลา อ.เมอื ง อ.ปากพนงั อ.ทา่ ศาลา
สงขลา
ปัตตานี อ.หวั ไทร
นราธวิ าส 6 อ.ระโนด อ.สทิงพระ อ.สงิ หนคร อ.เมอื ง อ.จะนะ อ.เทพา
ฝ่งั ตะวนั ตกของประเทศ 6 อ.หนองจกิ อ.เมือง อ.ยะหริ่ง อ.ปานาเระ อ.สายบุรี อ.ไมแ้ ก่น
ไทย 2 อ.เมือง อ.ตากใบ
ระนอง
พงั งา 3 อ.เมือง อ.กระเปอร์ อ.สขุ สาราญ
ภเู ก็ต 5 อ.ครุ ะบรุ ี อ.ตะกวั่ ป่า อ.ทา้ ยเหมอื ง อ.ตะก่ัวทงุ่ อ.เกาะยาว
กระบ่ี 3 อ.ถลาง อ.กระทู้ อ.เมือง
ตรัง 5 อ.อา่ วลึก อ.เมือง อ.เหนือคลอง อ.คลองท่อม อ.เกาะลนั ตา
สตลู 4 อ.สิเกา อ.กันตงั อ.หาดสาราญ อ.ปะเหลยี น
4 อ.ทุ่งหวา้ อ.ละงู อ.ท่าแพ อ.เมอื งสตูล
------------------------------------------------
ธรณีวิทยาของอ่าวไทยและอันดามัน รศ. ดร. เสรีวัฒน์ สมินทร์ปัญญา
ธรณีวิทยาและธรณีสัณฐานวิทยาของอา่ วไทยและอนั ดามัน
รศ.ดร. เสรีวัฒน์ สมินทรป์ ัญญา
สารบัญ หนา้
3.1 ธรณีวิทยาของอ่าวไทย 3
3
3.1.1 ธรณวี ทิ ยาโครงสรา้ งของอา่ วไทย 8
3.1.2 ชั้นหนิ ทสี่ าคญั ในอ่าวไทย 10
3.1.3 วิวัฒนาการการเกิดแอ่งในอ่าวไทย 11
3.2 ธรณีวิทยาของทะเลอันดามัน 12
3.2.1 ธรณีวทิ ยาโครงสร้างของทะเลอนั ดามนั 13
แอง่ เมอรก์ ุย
15
1) ช้นั หินทส่ี าคญั ของแอ่งเมอร์กยุ 15
2) วิวัฒนาการของแอ่งเมอร์กยุ 16
3.3 ธรณวี ทิ ยาและธรณสี ัณฐาณวิทยาชายฝั่งทะเลของไทย 17
3.3.1 ธรณวี ทิ ยาและธรณสี ัณฐาณวทิ ยาชายฝงั่ อา่ วไทย 17
1) ชายฝั่งอา่ วไทยภาคกลาง 20
2) ชายฝงั่ อ่าวไทยภาคตะวนั ออก 21
22
2.1) ตะกอนชายฝั่งทะเลโดยอทิ ธิพลของคล่นื (Qms) 22
2.2) ตะกอนชายฝั่งทะเลโดยอิทธพิ ลของนา้ ข้ึนน้าลง (Qmc) 22
2.3) ตะกอนทร่ี าบนา้ ทว่ มถึง (Qff) 23
2.4) ตะกอนเศษหินเชงิ เขา ตะกอนหินทีผ่ ุอยู่กับท่ี แมร่ ัง และเศษหิน (Qc) 25
2.5) หินแข็ง 26
3) ชายฝัง่ ทะเลอ่าวไทยภาคใต้ 28
3.1) ตะกอนชายฝง่ั ทะเลโดยอิทธิพลของคล่นื (Qms) 27
3.2) ตะกอนชายฝั่งทะเลโดยอทิ ธพิ ลของน้าขึน้ นา้ ลง (Qmc) 27
3.3) ตะกอนเศษหินเชิงผา (Colluvial deposits, Qc) 27
3.4) ตะกอนตะพักลา้ นา้ (Terrace deposits, Qt) 27
3.5) ตะกอนธารนา้ พา (Fluvial deposits, Qa) 30
3.6) หนิ แขง็ 31
3.3.2 ธรณวี ิทยาและธรณีสัณฐาณวทิ ยาชายฝั่งทะเลอนั ดามันของไทย 31
1) ตะกอนชายฝง่ั ทะเลโดยอิทธิพลของคลนื่ (Qms) 31
2) ตะกอนชายฝั่งทะเลโดยอิทธิพลของน้าขนึ้ นา้ ลง (Qmc) 31
3) ตะกอนธารน้าพา (Fluvial deposits, Qa) 32
4) ตะกอนเศษหนิ เชิงเขา ตะกอนหินท่ผี ุอยู่กับท่ี แม่รงั และเศษหนิ (Qc) 34
5) หนิ แข็ง
เอกสารอา้ งอิง
1
ธรณีวิทยาของอ่าวไทยและอันดามัน รศ. ดร. เสรีวัฒน์ สมินทร์ปัญญา
ธรณีวิทยาและธรณีสัณฐานวทิ ยาของอา่ วไทยและอันดามัน
3.1 ธรณีวทิ ยาของอ่าวไทย
อ่าวไทยเป็นบริเวณทะเลด้านตะวันออกของประเทศไทย ที่เปิดไปสู่ทะเลจีนใต้ ตอนเหนือของอ่าวไทยเป็น
ดินดอนสามเหลีย่ มปากแม่นา้ เจ้าพระยาท่ีต่อจากที่ราบลมุ่ ภาคกลาง และชายฝัง่ ภาคตะวนั ออก ทศิ ตะวันตกติดกับ
ชายฝัง่ ทะเลภาคใต้ ทศิ ตะวันออกและทศิ ใต้ติดกับน่านน้าของประเทศกัมพชู า เวียดนาม และมาเลเซยี
ภูมิประเทศใต้ทะเลของอ่าวไทยไม่ราบเรียบ มีสัน (Ridge) และแอ่ง (Basin) จ้านวนมาก แนวยาวของสัน
และแอ่งเหล่าน้ีวางตัวในแนว เหนือ-ใต้ (Pradidtan and Dook, 1992) มีการแบ่งท้องทะเลอ่าวไทยออกเป็นสอง
ด้าน คือดา้ นตะวันตกและด้านตะวนั ออก โดยอาศัยแนวสนั บรเิ วณเกาะกระ และจงั หวัดนราธวิ าสเปน็ แนวแบ่ง
3.1.1 ธรณีวิทยาโครงสรา้ งของอ่าวไทย
อ่าวไทยเป็นส่วนหนึ่งของไหล่ทวีปซุนดา (Sunda shelf: ไหล่ทวีปส่วนขยายออกไปทางตะวันออกเฉียงใต้
ของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นแผ่นดนิ ครอบคลุม แหลมมลายู หมู่เกาะ สุมาตรา บอร์เนียว ชวา มาดูรา
บาหลี และเกาะขนาดเล็ก รวมทั้งบริเวณโดยรอบของเกาะเหล่าน้ี ซ่ึงกินพ้ืนที่รวมประมาณ 1.85 ล้านตาราง
กิโลเมตร ในอดีตเป็นบริเวณท่ีโผล่พ้นน้า โดยแหลมมลายูเป็นแผ่นดินเชื่อมต่อกับประเทศอินโดนีเซียและ
ฟิลิปปินส์) ไหล่ทวีปซุนดาต้ังอยู่ขอบตะวันตกเฉียงใต้ของแผ่นเปลือกโลกยูเรเชีย (Eurasian craton)
ซึ่งบริเวณน้ีได้รับอิทธิพลจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก อินเดีย ออสเตรเลีย และแปซิฟิก (Hall and
Morley, 2002; Pubellier and Morley, 2014)
สืบเน่ืองจากอิทธิพลของการชนกันของแผ่นเปลือกโลกอินเดียกับแผ่นเปลือกโลกยูเรเชียมาต้ังแต่มหายุคมี
โซโซอิก (Metcalfe, 2011) (ดูช่วงอายุในตารางธรณีกาล ตาราง 3.1) ท้าให้เกิดการคลายและทรุดตัว (Rifting
extension) ของแผ่นเปลือกโลก ต่อมาในช่วงยุคเทอร์เชียรี (สมัยอีโอซีนตอนปลาย-โอลิโกซีน) อ่าวไทย
จึงถือก้าเนิดขึ้นโดยเริ่มจากการแยกตัวหรือแตกปริแยกออกจากกันของแผ่นเปลือกโลก (Continental rifting)
(Pollachan et al., 1991) โดยมีรอยแตกอยู่ในแนวเหนือ-ใต้โดยประมาณ การแยกกันดังกล่าวขยายตัวมากข้ึน
อยา่ งคอ่ ยเป็นค่อยไป
การเปล่ียนแปลงของแผ่นเปลือกโลกข้างต้นส่งผลให้ธรณีโครงสร้างทางตอนเหนือของอ่าวไทยถูกตัดผ่าน
โดยรอยเล่ือน (Fault) ใหญ่สองแนว ได้แก่ รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ (Three Pagoda Fault) ซ่ึงวางตัวใน
แนวตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ และรอยเลื่อนระนอง-คลองมะรุ่ย (Ranong-Klong Marui Fault)
ซึ่งวางตัวในแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันตกเฉียงใต้ (ภาพ 3.1) รอยเลื่อนท้ังสองน้ีมีการเคลื่อนที่ตามแนว
ระดับ (Strike-slip fault) นอกจากรอยเล่ือนขนาดใหญ่แล้วยังมีกลุ่มรอยเล่ือนขนาดเล็กจ้านวนมาก
ซ่ึงเคล่ือนท่ีแบบรอยเล่ือนปกติ (Normal fault) ซ่ึงแผ่นเปลือกโลกเลื่อนผ่านกันในแนวดิ่ง/แนวเอียง ก่อให้เกิด
โครงสร้างใต้ท้องทะเลในอ่าวไทยเป็นแบบฮอสต์และกราเบน (Horsts and Grabens) จ้านวนมาก ส่วนที่เป็น
ฮอสต์คือบล็อกที่เลื่อนข้ึนหรือยกตัวขึ้นซ่ึงบางแห่งกลายเป็นสันในอ่าวไทย ส่วนบล็อกที่ทรุดตัวลงเรียกว่า
แอ่งกราเบน (Graben) และแอ่งกึ่งกราเบนหรือกราเบนคร่ึงด้าน (Half graben) โดยแอ่งท้ังสองแบบในทาง
ธรณีวิทยาถือเป็นแอ่งสะสมตัวของตะกอน (ภาพ 3.2) อ่าวไทยด้านตะวันตกประกอบด้วยแอ่งฯ ย่อย 10
แอ่ง ได้แก่) แอ่งสาคร แอ่งปากน้า แอ่งหัวหิน แอ่งประจวบ แอ่งตะวันตก แอ่งตะวันตกเหนอื แอ่งกระ แอ่งชุมพร
แอ่งนคร และแอ่งสงขลา ส่วนอ่าวไทยด้านตะวันออกประกอบด้วยแอ่งขนาดใหญ่สองแอ่ง ได้แก่ แอ่งปัตตานี
และแอ่งมาเลย์ การสะสมตัวของตะกอนในแอ่งต่างๆ เริ่มต้ังแต่ยุคเทอร์เชียรีมาจนถึงปัจจุบัน แต่ปริมาณตะกอน
2
ธรณีวทิ ยาของอ่าวไทยและอันดามัน รศ. ดร. เสรีวฒั น์ สมินทร์ปัญญา
ในแอ่งส่วนใหญ่เป็นตะกอนอายุเทอร์เชียรีซึ่งท่ีหนามาก บางแห่งหนาถึง 8,000 เมตร จึงเรียกช่ือโดยท่ัวไปเป็น
แอ่งเทอรเ์ ชยี รี (ภาพ 3.3)
3
ธรณีวิทยาของอ่าวไทยและอันดามัน รศ. ดร. เสรีวฒั น์ สมนิ ทร์ปัญญา
ตาราง 3.1 ตารางธรณกี าล (ราชบณั ฑิตยสถาน, 2544)
4