The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

E book เขตทางทะเล และการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kotophopunk, 2022-04-22 01:00:25

E book เขตทางทะเล และการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

E book เขตทางทะเล และการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

รูปที่ 1 หอกลัน่

องคป์ ระกอบของนา้ มันดิบจา้ พวกไฮโดรคารบ์ อนที่มีสถานะเป็นกา๊ ซและก๊าซชนิดตา่ งๆทผ่ี สมอยใู่ น
น้ามนั ดิบจะถกู กล่นั โดยจะลอยตัวออกจากด้านบนของหอกลั่นรวมเรยี กวา่ “กา๊ ซปิโตรเลียม” ซึง่ ประกอบดว้ ย
ส่วนผสมของกา๊ ซไฮโดรคาร์บอนที่มีคาร์บอน 1 อะตอมถึง 4 อะตอมและมีกา๊ ซไฮโดรเจนซลั ไฟด์ (H2S),
คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2), ไนโตรเจน (N2), ไฮโดรเจน (H2) และอื่น ๆ ปนอยู่ จา้ เปน็ ต้องกา้ จดั หรอื แยกออกโดย
นา้ ก๊าซปิโตรเลียมผา่ นเขา้ หน่วยแยกก๊าซ LPG (Gas Recovery Unit) และขบวนการตามขั้นตอนของผ้เู จรญิ แล้ว
ด้วยเทคโนโลยซี ง่ึ ขอละไว้ทนี่ ้ี ท้ังน้ีเพราะว่าการออกแบบกระบวนการกลั่นนนั้ มีด้วยกนั หลากหลายขึน้ อยู่กับ
เทคนคิ และคา่ ใชจ้ ่ายของกระบวนการกล่นั เพอื่ แยกเอาโปรเปนและบวิ แทน (ซ่ึงต่อไปจะเป็น LPG) ออกมา
หลงั จากน้นั LPG จะถูกส่งไปเกบ็ ในถังเก็บและมสี ภาพเปน็ ของเหลวภายใต้ความดัน

รูปที่ 2 กระบวนการกล่นั ทางด้านปรโิ ตรเคมจี ากน้ามนั ดบิ

กา๊ ซ LPG ทไ่ี ด้จากส่วนนเี้ ป็นผลพลอยไดจ้ ากการกลั่นน้ามันดิบ โดยปรมิ าณผลิตผลพลอยได้ (by
product) ประมาณ 2 % ของผลิตภณั ฑ์ท่กี ล่นั ได้

1.2. ได้จากกระบวนการแยกก๊าซธรรมชาติ โดยผ่านโรงแยกก๊าซธรรมชาติ สา้ หรับประเทศไทย
แหล่งขดุ เจาะกา๊ ซธรรมชาติส่วนใหญอ่ ยู่ในบรเิ วณอา่ วไทย หลังจากสามารถส้ารวจและขุดเจาะพบก๊าซธรรมชาติ
กา๊ ซธรรมชาตกิ ็จะถูกอัดสง่ ผ่านระบบท่อความดันสงู จากแท่นขุดเจาะ เดนิ ระบบท่อบนพ้ืนทะเลอ่าวไทยขึ้นบริเวณ
ชายฝั่ง ซ่งึ เป็นทีต่ ัง้ ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติเพ่อื ทา้ การแยกก๊าซแตกละชนดิ ออกมาลกั ษณะของกา๊ ซ LPG ท่ผี า่ น
โรงแยกกา๊ ซธรรมชาติจะไม่มีสี ไม่มรี สและไมม่ ีกลิ่น ผู้ดแู ลกจิ การเจ้าใหญ่สุดในสว่ นนี้ หนไี มพ่ น้ ปตท. ซ่งึ ยัง งงง
อยูว่ า่ เปน็ บริษทั มหาชนหรือเป็นรัฐวิสาหกจิ

โดยทว่ั ไปองคป์ ระกอบของกา๊ ซธรรมชาติ (Natural Gas) จะมีองคป์ ระกอบตามรปู ที่ 3

รปู ที่ 3 Constituents of Natural Gas
รูปท่ี 4 Natural Gas Valve Chain

รปู ที่ 5 องค์ประกอบของกา๊ ซ และของเหลวปิโตรเลยี ม

ตารางท่ี 1 องค์ประกอบของกา๊ ซธรรมชาติ (Natural Gas)
เมอ่ื น้าก๊าซธรรมชาติขนึ้ มาจากแหล่งขดุ เจาะจากแหล่งธรรมชาตแิ ล้วขนสง่ ทางท่อเขา้ สโู่ รงแยกกา๊ ซ
(Gas Separation Plant) เพ่ือทา้ การแยกเอาสารไฮโดรคาร์บอนทีม่ ีอยู่ในกา๊ ซธรรมชาติออกเป็นผลติ ภัณฑ์ชนิด
ต่าง ๆ คือ มีเทน (Methane) อเี ทน (Ethane) โปรเปน (Propane ) บวิ เทน (Butane ) และก๊าซอ่นื ๆ
กระบวนการแยกกา๊ ซธรรมชาติ (ดูรูปที่ 6) เร่ิมต้นด้วยการก้าจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และน้าท่เี จือปน

อยู่ในก๊าซธรรมชาติออกกอ่ น โดยกระบวนการ Benfield ซ่ึงใช้โปตสั เซยี มคาร์บอเนต ( K2CO3 ) เป็นตัวจบั ก๊าซ
คารบ์ อนไดออกไซด์ และกระบวนการดูดซับ (Absorption Process) โดยใชส้ ารจ้าพวก Molecular Sieve ซง่ึ มี
ลกั ษณะเป็นรพู รุน ทา้ หนา้ ท่ีดดู ซบั น้า กา๊ ซธรรมชาติที่แหง้ จากหนว่ ยน้ีจะผา่ นเข้าไปใน Turbo-expander เพือ่
ลดอณุ หภูมิจาก 250 K เปน็ 170 K และลดความดันลงจาก 43 บาร์ เปน็ 16 บาร์ กอ่ นแล้วจึงเข้าสู่หอแยก
มเี ทน (De-methanizer) มีเทนจะถูกกลน่ั แยกออกไป และสว่ นทเี่ หลอื คือส่วนผสมของ ก๊าซไฮโดรคาร์บอนท่มี ี
คารบ์ อนตั้งแต่ 2 อะตอมขนึ้ ไป ( ethane plus stream ) ซ่งึ อยใู่ นสถานะของเหลวและจะออกทางสว่ นลา่ งของ
หอแยก จากนนั้ ผลติ ภัณฑ์ของเหลวดงั กลา่ วจะถูกตอ่ ไปยงั หอแยกอีเทน (De-ethanizer ) และหอแยกโปรเปน
(De-propanizer) เพอื่ แยกอีเทนและโปรเปนออกตามลา้ ดับต่อไป ในหอแยกโปรเปนนี้เองตวั โปรเปนจะถูกแยก
ออกทางด้านบนของหอ สว่ น LPG ซ่ึงเป็นส่วนผสมของโปรเปนและบิวเทนจะถูกแยกออกมาจากส่วนกลางของหอ
และสว่ นผลติ ภณั ฑท์ ี่ออกจากหอทางดา้ นล่างคือ กา๊ ซโซลีนธรรมชาติ (Natural Gasoline) ท้ังนีอ้ ย่าสบั สนกับ
กา๊ ซธรรมชาติเหลว (NGL; Natural Gas Liquid) ซึ่งเปน็ ช่ือเรยี กรวมของผลติ ภัณฑ์ดงั ในรูปท่ี 4 และในรปู ที่ 5

รปู ที่ 6 ขน้ั ตอนการแยกกา๊ ซธรรมชาติ
ส้าหรับ LPG ซึง่ ผลผลติ ท่ีได้จากการแยกกา๊ ซธรรมชาติจะมีกา๊ ซโปรเปนและบวิ เทนในก๊าซธรรมชาติ
ประมาณ 6-10%

รูปท่ี 7 ขนั้ ตอนการแยกก๊าซธรรมชาติ

ลักษณะของก๊าซ LPG ท่ไี ด้จากโรงแยกก๊าซธรรมชาติจะมีคุณสมบตั คิ ล้ายกับคุณสมบตั ิของก๊าซท่ผี ่านโรง
กลั่นน้ามนั เชน่ เดยี วกัน คือ จะไม่มีสี ไม่มีรส (ไม่เคยชม้ิ เช่นกัน) และไมม่ ีกล่นิ ด้วยเหตนุ ี้ในการใช้งานก๊าซ LPG
ทงั้ ในรปู การจัดเกบ็ ภายในถงั ความดนั สูงหรือเพอ่ื การขนสง่ จึงต้องเติมสารมกี ลิ่นซ่ึงค่อนข้างมีกลิ่นเหมน็ ลงไป
เรียกวา่ “Mercaptan–เมอร์แคปแตน” เพอื่ ประโยชน์หากมกี ารรัว่ ไหลออกจากถงั บรรจุจะท้าให้เราไดก้ ลิน่ ก่อน
ล่วงหนา้ และสามารถแกป้ ญั หาได้ทันการณ์

นอกจากนีใ้ นกรณีทป่ี ระเทศไมส่ ามารถขุดเจาะกา๊ ซธรรมชาติ (Natural Gas) ไดเ้ อง การผลิต LPG
(มาถงึ จดุ นจ้ี ะมบี างคนเริ่มมนึ อะไรคือ LPG หรอื เปลา่ หากมนึ ก็ขอใหก้ ลับไปอา่ นนยิ ามในยอ่ หนา้ แรกสดุ ของ
บทความน่ะขอรับ !) จึงอยู่ในรปู ของการน้าเขา้ NGL (Natural Gas Liquid) เพราะไมส่ ามารถน้าเขา้ กา๊ ซธรรมชาติ
(Natural Gas) ได้เนื่องจากปริมาณการขนสง่ ดว้ ยเรือไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจยกเว้นสามารถขนส่งดว้ ยระบบท่อ
การน้าเข้าผลติ ภัณฑใ์ นรปู ของ NGL (Natural Gas) จึงมีความคุม้ คา่ มากกวา่ ดังนนั้ เมื่อนา้ เขา้ มาแล้วก็ตอ้ งน้า
NGL เข้ากระบวนการแยกก๊าซเช่นเดยี วกนั โดยมีขนั้ ตอนดังในรูปท่ี 8 ในบางประเทศหรือบางบริษัทฯอาจมี

ข้นั ตอนท่ีแตกต่างจากรปู ท่ี 8 กไ็ ด้ข้นึ อยู่กับเทคโนโลยีทใี่ ช้ ในท่ีนยี้ กรูปมาเพื่อความสนุกและความมนั ครบั เอาให้
มึนกันไปขา้ งหนงึ่ แตท่ ี่แน่ๆ ผมมนึ ก่อน

รปู ที่ 8 ข้ันตอนการแยกก๊าซ NGL เพ่อื ใหไ้ ด้ก๊าซ LPG
รูปท่ี 9 แหล่งผลติ หลักใหไ้ ด้กา๊ ซ LPG

ก๊าซปโิ ตรเลียมเหลวท่ีได้มาจากกระบวนการแยกกา๊ ซธรรมชาตจิ ะประกอบดว้ ยโปรเปน (propane) เป็น
ส่วนใหญ่ทง้ั นจี้ ะได้ผลิตภณั ฑ์ใดมากน้อยเพยี งใดหรอื จะมีสัดสว่ นของ C3 และ C4 เท่าใดข้ึนอยู่กับแหลง่ ของกา๊ ซ
ธรรมชาติ ส่วนในกระบวนการกลนั่ นา้ มันดบิ ของโรงกลนั่ น้ามนั นั้นจะได้บวิ เทน (butane) เปน็ สว่ นใหญ่แตอ่ าจมี
การผสมของผลิตภัณฑ์ C3 และ C4 ในรูปของไฮโดรคารบ์ อนไมอ่ ่ิมตวั (Un-saturated Hydrocarbon) ซึง่ มกั
ประกอบด้วยโปรปลิ ีน (Propylene) นอรม์ ลั บวิ ทิลนี ( n-butylene) ไอโซบวิ ทลิ ีน (iso-butylene) และ
butylene-2 เอาละ่ ชื่อเรียกผลิตภณั ฑ์ปิโตรเลยี มเรมิ่ ปวดหวั แลว้ แต่ตอ้ งค่อยๆ เรยี นรูก้ ันตอ่ ไปว่ามนั คืออะไร

รปู ที่ 10 Liquefied Petroleum Gas Specifications and Test Methods, Gas Processors
Association, GPA Standard 2140-97

2. คุณสมบตั ทิ างเคมี
เนือ่ งจากมกี ารใช้ค้าวา่ LPG กนั หลากหลายสถาบัน Gas Processors Association (GPA) จึงได้ก้าหนด

มาตรฐานของ LPG ข้นึ มาพร้อมวธิ ีการตรวจสอบช่อื มาตรฐานวา่ GPA Standard 2140-97 Liquefied
Petroleum Gas Specifications and Test Methods ดงั ในรปู ท่ี 10 และรปู ที่ 11 ซง่ึ ย่อยข้อมูลลงมาในบางมิติ
ซ่ึงพอจะแบ่งออกเปน็ 4 กลุ่มคือ

1. Commercial Propane : องค์ประกอบหลักคือ โปรเปน และ/หรอื โปรปิลิน

2. Commercial Butane : องค์ประกอบหลกั คือ บวิ เตน และ/หรือ บวิ ทลิ ีน

3. Commercial B-P Mixture : องคป์ ระกอบหลักเป็นส่วนผสมระหวา่ ง คือ โปรเปน และ/หรอื โปรปิ

ลนิ กับบิวเตน และ/หรือ บวิ ทลิ ีน

4. Propane HD-5 : ประกอบด้วยโปรเปนไมน่ ้อยกว่า 90% โดยปรมิ าตร กับโปรปิลินไม่

เกนิ 5 % โดยปริมาตร

รปู ที่ 11 GPA 2140-97 LPG Specification (ย่อ)

จากรูปแบบส่วนผสมหรือองค์ประกอบของ LPG ในทางพวกตะวันตก 4 รูปแบบแล้วประเทศไทยเราก็
เป็นอย่างไรละครับ เมื่อไปดู “ประกาศกระทรวงพลังงาน เร่ือง หลักเกณฑ์ และวิธีการในการเก็บรักษา การ
ก้าหนดบุคลากรท่ีรับผิดชอบ และการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ส้าหรับ
สถานที่ใช้ก๊าซปิโตรเลยี มเหลว ทีก่ รมธรุ กจิ พลังงานรบั ผดิ ชอบ พ.ศ. 2554” ได้นยิ ามกา๊ ซปโิ ตรเลยี มเหลวไวว้ า่

“ก๊าซปิโตรเลียมเหลว” หมายความว่า ก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ประกอบด้วยโพรเพน โพรพิลีน นอร์แมลบิ
วเทน ไอโซบิวเทน หรอื บิวทิลีน อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างผสมกันเป็นส่วนใหญ่ซึ่งบรรจุลงในถังก๊าซหุงต้ม
หรอื ถังเก็บและจ่ายกา๊ ซ

เรามาดูข้อมูลจากกรมธุรกิจพลังงานได้มีประกาศกรมฯ ที่มีชื่อว่า “ประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เร่ือง
ก้าหนดลักษณะและคุณภาพของก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. 2547” โดยก๊าซปิโตรเลียมเหลวท่ีใช้เป็นเช้ือเพลิง
ภายในประเทศไทยต้องมีลักษณะและคุณภาพตามรายละเอียดแนบท้ายประกาศกรมธุรกิจพลังงาน ดัง ตาราง
ด้านลา่ ง ท้ังน้ี วธิ ีทดสอบอาจใชว้ ิธีอ่ืนทีเ่ ทยี บเท่ากไ็ ด้ แตใ่ นกรณีทม่ี ขี ้อโต้แยง้ ใหใ้ ช้วิธที กี่ ้าหนดในรายละเอียดนี้

รายละเอยี ดแนบทา้ ยประกาศกรมธรุ กจิ พลงั งาน
เรอ่ื ง กา้ หนดลกั ษณะและคุณภาพของก๊าซปโิ ตรเลยี มเหลว พ.ศ. 2547

รายการ ขอ้ ก้าหนด อัตราสูงตา้่ วิธที ดสอบ
ASTM D 1267
1. ความดนั ไอ ณ อณุ หภูมิ 37.8 oซ. กโิ ลปาสคาล ไม่สงู กว่า 1,380 ASTM D 1837

(Vapour Pressure @ 37.8 o C, kPa) ASTM D 2163

2. การกลน่ั oซ. ไม่สูงกวา่ 2.2 ASTM D 1838
ASTM D 2784
(Distillation, o C ) ASTM D 2158

อุณหภูมขิ องจุดเดือด เมือ่ กา๊ ซปิโตรเลียมเหลวระเหยไปใน ตรวจพนิ ิจดว้ ยสายตา
ตรวจด้วย
อตั ราส่วนรอ้ ยละ 95 โดยปริมาตร (95% Evaporated ) วิธีดมกลนิ่

3. ปริมาณเพนเทนและสารอ่ืนท่มี ีนา้ หนกั โมเลกลุ มากกว่าเพนเท ไม่สงู กวา่ 2.0

นต่อกา๊ ซปิโตรเลียมเหลวโดยปรมิ าตรรอ้ ยละโดยปรมิ าตร

(Pentane and Composition Content, % vol.)

4. การกัดกรอ่ น ไม่สงู กว่า หมายเลข 1
(Corrosion) ไมส่ งู กวา่ 140

5. ปริมาณกา้ มะถัน สว่ นในลา้ นสว่ นโดยนา้ หนัก

(Sulphur Content, ppm by wt.)

6. ปรมิ าณกากหลงั การระเหยของก๊าซปิโตรเลยี มเหลว 100 มล. ไม่สงู กวา่ 0.05

มลิ ลลิ ิตร

(Residue , ml)

7. ปริมาณน้า ไมม่ ี
(Water Content) มี

8. สารที่ใหก้ ลน่ิ ซงึ่ ไวต่อความรู้สกึ
(Odorant)

ด้วยเหตุนี้ LPG ในประเทศไทยจึงเป็น LPG ท่ีครอบคลุมท้ัง 4 รูปแบบตามที่ GPA Standard 2140-97
Liquefied Petroleum Gas Specifications and Test Methods ก้าหนด น้ันคือย้าใหญ่ครับ โดยมี
องค์ประกอบหลักเป็นส่วนผสมตามท่ีนิยามครับ “LPG ประกอบด้วยโพรเพน โพรพิลีน นอร์แมลบิวเทน ไอโซบิ
วเทน หรอื บิวทิลีน อยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง หรอื หลายอยา่ ง ผสมกนั เป็นส่วนใหญ่” ด้วยเหตุน้ี LPG (ในประเทศไทย)
จึงเป็นส่วนผสมของสารไฮโดรคาร์บอนที่มีความหลากหลายและปริมาณสัดส่วนอาจแตกต่างกันบ้าง แต่โดยภาย
รวมแล้วสว่ นประกอบหลักของก๊าซ LPG จะมดี ว้ ยกัน 4 ตวั หลกั ๆ ทเ่ี ราควรท้าความรจู้ กั คือ

1. โปรเปน (Propane; C3H8) ในหน้าร้อนของประเทศไทยจะมคี วามดนั อยูท่ ่ีประมาณ 175 - 200 Psi
(ท่อี ณุ หภมู ิ 15 C จะมีความดัน 6.5 bar)

2. โปรปลิ ิน (Propylene; C3H6)

3. บิวเตน (Butane; C4H10 ) จากข้อมูลเบ้ืองต้นโดยประมาณ เราพบว่าบิวเตนในหน้าร้อนของ
ประเทศไทยจะมคี วามดนั อยูท่ ป่ี ระมาณ 80 - 100 Psi (ทอ่ี ุณหภูมิ 15 C จะมีความดนั 1.0 bar)

4. บิวทิลีน (Butylene; C4H8) ซึ่งรวมถึงนอร์มัลบิวทิลีน (n-butylene; nC4H8) และไอโซบิวเตน
(iC4H8)

ท้ังจากองค์ประกอบข้างบนเราจึงพอสรุปโดยหลักการเพื่อใช้ท้างานในทางปฏิบัติว่าก๊าซ LPG
ประกอบด้วยไฮโดรคาร์บอนซ่ึงใน 1 โมเลกุลจะมีส่วนประกอบของคาร์บอน (C) 3 อะตอม และคาร์บอน (C) 4
อะตอม หรือ C3+ C4 ( ไม่ใช่ข้าราชการ ซี 3 กับซี 4 น่ะครับ อันนี้ระบบน้ียกเลิกไปแล้วครับ) นอกจากนี้ก๊าซ
LPG ยงั คงมีองคป์ ระกอบสารไฮโดรคาร์บอนอ่นื ๆอกี

คราวนี้วกกลับมาเร่ืองงานช่ังตวงวัดตามข้อก้าหนดของกฎหมาย (Legal Metrology) ในการร่าง
ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เร่ืองมาตรวัดปริมาตรของเหลวนั้น เราได้ร่างก้าหนดนิยามของค้าว่า “ของเหลว”
โดยให้ครอบคลุมถึงน้ามันเชื้อเพลิง แล้วปรับใช้นิยามของ “น้ามันเชื้อเพลิง” ตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ามัน
เช้ือเพลงิ (ฉบับ 2) พ.ศ. 2550 มาตรา 4 และพระราชบญั ญตั กิ ารคา้ นา้ มนั เชือ้ เพลิง พ.ศ. 2543 มาตรา 4 มาใช้ซึ่ง
นิยามของน้ามันเชื้อเพลิงดังกล่าวครอบคลุมถึงก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) แต่ถูกตัดออกไปในคณะกรรมการช่ัง
ตวงวัดฯ ท้าให้การเช่ือมโยงถักทอพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 เข้ากับ พระราชบัญญัติควบคุม
น้ามันเชอ้ื เพลงิ พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญตั กิ ารคา้ น้ามันเชอื้ เพลิง พ.ศ. 2543 เพอ่ื ให้ราบเรียบเข้าด้วยกันเกิด
รอยตะเข็บขนึ้ มา

นา้ มนั เชือเพลงิ หมายความวา่
(1) ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซปิโตรเลียม น้ามันดิบ น้ามันเบนซิน น้ามันเชือเพลิงส้าหรับเครื่องบิน น้ามันก๊าด
นา้ มนั ดีเซล นา้ มนั เตา และ น้ามนั หลอ่ ลื่น
(2) สิ่งอ่ืนที่ใช้หรืออาจใช้เป็นวัตถุดิบในการกลั่นหรือผลิตเพ่ือให้ได้มาซ่ึงผลิตภัณฑ์ท่ีใช้หรืออาจใช้เป็น
นา้ มนั เชือเพลงิ หรือเป็นสงิ่ หล่อลื่น หรือสิ่งอ่ืนทีใ่ ชห้ รืออาจใชเ้ ปน็ เชือเพลิงหรือเป็นส่ิงหลอ่ ล่นื
ซึ่งได้ตัด “ก๊าซธรรมชาติ” ออกไปเน่ืองจากในร่างประกาศกระทรวงงฯ ดังกล่าวตีกรอบเฉพาะของเหลว
สถานะเดียวเท่านั้น ดังนั้นหากช่ังตวงวัดเราในวันหนึ่งวันใดเกิดมึนๆว่าน้ามันเชื้อเพลิงคืออะไร ก็ขอให้กลับไปดู
นิยาม “น้ามันเชื้อเพลิง” จากพระราชบัญญัติควบคุมน้ามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติการค้า
น้ามนั เชือ้ เพลิง พ.ศ. 2543 แลว้ ปรบั ใช้ใหด้ ีเพราะงานช่งั ตวงวัดตามข้อก้าหนดของกฎหมายนั้นกรอบจ้ากัดเฉพาะ
Trading (การคา้ ) คือ Products และ Services ซึง่ กค็ อื การคา้ น้ามันเชอื้ เพลิง จึงจ้าเป็นอย่างย่ิงที่ต้องหันไปมอง
พระราชบญั ญตั ฯิ ทง้ั 2 อยู่เสมอและหากต้องออกกฎระเบยี บใดก็ขอให้ถักถอเน้ือหาให้เข้ากับพระราชบัญญัติฯ ท้ัง
สองดังกล่าวดว้ ย

สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนท่ีปรากฏอยู่ในสว่ นผสมของกา๊ ซปโิ ตรเลียมเหลว อาจแบ่งเป็น 2 กล่มุ ใหญ่ คือ
พวกไฮโครคารบ์ อนอ่ิมตวั (Saturated Hydrocarbon) และไฮโดรคาร์บอนไม่อ่ิมตวั (Unsaturated
Hydrocarbon)

กลุม่ ไฮโดรคาร์บอนอ่ิมตวั (Saturated Hydrocarbon) ได้แก่ โปรเปน (Propane) นอร์มัลบวิ เทน (n-
butane หรอื Normal Butane; nC4) และ ไอโซบิวเทน (iso-butane หรอื Isobutane; iC4) เพราะมีพันธะเคมี
จับตัวกันระหว่าง C และ H เป็นพนั ธะเดียว

รปู ที่ 12 พนั ธเคมขี องกลุ่มไฮโดรคาร์บอนอ่ิมตัว (Saturated Hydrocarbon)
กลมุ่ ไฮโครคารบ์ อนไมอ่ ม่ิ ตัว (Unsaturated Hydrocarbon) ไดแ้ ก่ โปรปิลนี (Propylene), นอร์มลั บิว
ทลิ นี (n-butylene) และ ไอโซบวิ ทลิ นี (iso-butylene)

รูปท่ี 13 พันธเคมีของกลุ่มไฮโดรคาร์บอนไม่อ่ิมตวั (Unsaturated Hydrocarbon)
3. คุณสมบัติทางกายภาพ กา๊ ซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่ใชก้ ันอยูม่ ี 2 สถานะ คือ ของเหลวและกา๊ ซ ดงั นัน้
จ้าเป็นตอ้ งทราบถึงคณุ สมบัติทางกายภาพของก๊าซปิโตรเลียมเหลวท้ังสองสถานะ ดังนี้

3.1. ก๊าซปิโตรเลยี มเหลวเมื่ออยู่ในสถานะเปน็ ของเหลว
(ก.) จุดเดอื ด และสภาวะวิกฤติ LPG มจี ุดเดือดต้่ามาก คอื โปรเปนมีจดุ เดอื ดเทา่ กับ –42 C,

นอร์มัลบิวเทนมจี ุดเดือดเทา่ กับ -0.5 C, ไอโซบวิ เทนมีจดุ เดอื ดเทา่ กับ –11.7 C ดงั น้ัน LPG มสี ถานะเป็นกา๊ ซ
ที่อณุ หภมู ิปกติและความดันบรรยากาศเวน้ เสียแต่จะถูกอัดดว้ ยความดนั หรอื ทา้ ให้ LPG มีอุณหภูมิลดลงต้่ากว่าจุด
เดือด คา่ ความดนั ท่ที ้าให้ LPG เปน็ ของเหลวตอ่ เมื่อเพ่มิ ความดันให้สงู กวา่ ค่าความดนั ไอของ LPG (Vapor
Pressure) ตวั อยา่ งเชน่ ท่ีอุณหภูมิของโปรเปนเท่ากับ 15 C จะมคี ่าความดนั ไอของโปรเปนเทา่ กับ 7.3 เท่าความ
ดนั บรรยากาศ และหากอุณหภูมิของโปรเปนสงู ขึ้นแลว้ ค่าความดันไอของโปรเปนก็จะสงู ขึ้นตามไปด้วยเชน่ กัน
ตัวอยา่ งเชน่ เมื่อโปรเปนมอี ุณหภมู ิ 96.67 C ความดันทต่ี ้องใช้อัดโปรเปนอย่างน้อยต้องมากกว่า 41.94 เทา่ ความ
ดนั บรรยากาศจึงจะท้าให้โปรเปนมีสถานะเป็นของเหลว แต่เราพบว่าเม่ืออุณหภมู ิสูงกว่านี้โปรเปนจะไม่เปน็
ของเหลวแม้ว่าจะอดั ด้วยความดันมากกวา่ 41.94 บรรยากาศกต็ าม ด้วยเหตนุ ีเ้ ราจึงเรยี กสภาวะที่อุณหภูมิ 96.67
C และความดัน 41.94 เทา่ ความดันบรรยากาศของโปรเปนวา่ “สภาวะวกิ ฤติ (Critical Point)” ของ โปรเปน

รปู ท่ี 12 สภาวะวกิ ฤติ (Critical Point)

ส่วนประกอบ จุดเดือด ( F )

C2H4 เอทธีลนี (อีธีน) -155

C2H6 อเี ทน -128

C3H6 โปรปีลีน -54

C3H8 โปรเปน -44

iC4H10 ไอโซบวิ เตน 11

C4H8 บิวตีลีน (บวิ ตนี ) 13-39
nC4H10 บวิ เตน 31

iC5H12 ไอโซเพนเตน 82

nC5H12 เพนเตน 97

 โปรเปน เปน็ ส่วนประกอบของก๊าซ LPG ในตลาดปจั จบุ ัน

ตารางท่ี 2 องค์ประกอบกา๊ ซ LPG

ตารางที่ 3 คุณสมบัติของกา๊ ซชนิดตา่ งๆ

(ข.) ความหนาแน่น ปรมิ าตรจา้ เพาะและความถ่วงจา้ เพาะ ความหนาแน่น คือ อตั ราส่วนของ
น้าหนักตอ่ หนงึ่ หนว่ ยปริมาตร เชน่ ที่อุณหภูมิ 15.5 C ความหนาแน่นของโปรเปนมีค่าเท่ากับ 507 กิโลกรมั ต่อ

ลูกบาศก์เมตร สา้ หรับส่วนกลบั ของความหนาแน่นก็คือ “ปรมิ าตรจา้ เพาะ” นั้นเอง โปรเปนมีค่าปริมาตร
จา้ เพาะเท่ากับ 2 ลูกบาศก์เมตรตอ่ ตนั ส้าหรบั ค่าความถว่ งจ้าเพาะจะแสดงถึงอัตราส่วนของความหนาแนน่
ระหว่างก๊าซปโิ ตรเลียมเหลวที่อุณหภูมิใดอณุ หภูมหิ น่ึงเทียบกบั นา้ ท่ีอณุ หภมู ิ 4 C ตวั อย่างเชน่ ค่าความ
ถว่ งจา้ เพาะของโปรเปนเหลวทีอ่ ุณหภูมิ 15 C มีค่าเท่ากบั 0.5077 สว่ นนอร์มัลบิวเทนและไอโซบวิ เทนจะมีคา่
ความถ่วงจา้ เพาะเท่ากับ 0.5844 และ 0.5631 ตามล้าดบั

รปู ที่ 15 ASTM D1657-89 Standard Test Method for Density or Relative Density of Light
Hydrocarbons by Pressure Thermohydrometer, ASTM
ดงั นน้ั จากคุณสมบัตขิ องก๊าซปิโตรเลยี มเหลว (LPG) ในสถานะทเี่ ป็นของเหลวซึ่งมคี ่าความหนาแน่นน้อย
กว่า 1,000 กโิ ลกรมั ต่อลกู บาศก์เมตร (ความหนาแน่นของนา้ โดยประมาณ) LPG จึงเบากว่าน้าและถา้ หากเกดิ มี
LPG ร่ัวขนึ้ ในสภาวะแวดลอ้ มปกติ LPG บางส่วนจะกลายเป็นไอกระจายไปโดยรอบบริเวณ บางสว่ นท่ีกลายเปน็
ไอไมท่ ันทย่ี งั คงสภาพเป็นของเหลวอยู่ก็จะไหลลงสู่ทอ่ รางระบาย และหากมีนา้ อยู่ในท่อรางระบาย LPG กจ็ ะลอย
บนผวิ หน้าของนา้ ไปจนกว่าระเหยกลายเปน็ ไอ

หาก LPG มสี ัดสว่ นผสมระหวา่ งโปรเปน และ Butane พบว่าในฤดูร้อนจะให้ โปรเปน มีเปอร์เซนต์
สดั ส่วนผสมสูงขน้ึ และลดสดั ส่วน Butane เพราะโปรเปน เบากว่า Butane ในทางกลับกนั เมอ่ื ถึงฤดูหนาวที่มี
อุณหภูมติ ดิ ลบจะบรรจุให้ Butane มเี ปอรเ์ ซ็นต์สดั สว่ นผสมสงู ขึ้นและลดสัดสว่ นโปรเปนลงเพราะ Butane มี
ความดนั ไอสูงกวา่ และมีจดุ เดือดท่ีสูงกวา่ เม่ือเทยี บกับคุณสมบตั ิของโปรเปน เพ่อื ให้สามารถจดุ ไฟติด

(ค.) ความหนดื คอื ความสามารถในการตา้ นทานการไหลของของไหล (ของเหลวหรอื ก๊าซ) ที่มตี ่อ
ภาชนะหรือท่อ ของไหลตา่ งชนิดกนั จะมีความหนืดแตกต่างกนั กา๊ ซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในสภาพของเหลว
จะมคี วามหนดื นอ้ ยมาก (ความหนืดของนา้ เท่ากบั 1 เซนติพอยส)์ จากคุณสมบตั ิอนั นี้ ท้าให้ก๊าซเหลวรว่ั ซมึ ได้งา่ ย
กว่าของเหลวชนดิ อน่ื นอกจากน้กี า๊ ซปิโตรเลยี มเหลวไม่มีคุณสมบัตใิ นการหลอ่ ลนื่ เนื่องจากมคี วามหนดื ต้่า
ดงั นน้ั อุปกรณ์ทเี่ กยี่ วขอ้ ง เช่น ปั๊มทใ่ี ช้งานกับ LPG จึงเกดิ การสึกหรอสงู มากเมื่อเทยี บกับปมั๊ ทีใ่ ช้กับนา้ มนั
ปิโตรเลยี มเพราะฉะนัน้ อปุ กรณท์ เี่ กย่ี วข้องกบั ก๊าซปิโตรเลยี มเหลวจึงต้องออกแบบใหเ้ หมาะสมทนทานตอ่ การสึก
หรอและแรงดนั สงู ได้ อน่งึ อณุ หภูมจิ ะมผี ลตอ่ ความหนืดของของไหล กล่าวคือ ของไหลทมี่ สี ถานะเป็นของเหลว
เม่ืออุณหภูมสูงข้ึนค่าความหนืดจะลดลง แตถ่ า้ เปน็ กา๊ ซ เม่ืออุณหภมู สิ ูงขึน้ ค่าความหนดื กส็ ูงข้นึ ดว้ ย

(ง.) ความดันไอ (Vapor Pressure) กา๊ ซปโิ ตรเลยี มเหลว (LPG) เมือ่ ถกู บรรจุอยู่ในภาชนะปิด
ภายใตค้ วามดันจะมีสถานะเป็นของเหลว LPG เหลวจะระเหยเปน็ ไอเต็มช่องว่างที่อยเู่ หนือระดับส่วนที่เปน็
ของเหลวจนกระท่ังถงึ จุดอ่ิมตัว (Saturation Point) จงึ จะหยดุ ระเหย คา่ ความดันของก๊าซ LPG ที่จุดอ่มิ ตวั น้ี
เรยี กวา่ “คา่ ความดนั ไออ่ิมตวั ” คา่ ความดนั ไออิม่ ตวั เปน็ ตวั บง่ บอกคุณสมบัติการระเหย (Volatility ) ของสาร
น้ันๆ กลา่ วคอื ถ้าสารใดมีความดนั ไอสงู แสดงว่าสารนนั้ สามารถระเหยได้เรว็ นอกจากน้ีคา่ ความดันไอ LPG ยงั
เปน็ ค่าท่ขี นึ้ กับอุณหภมู ิ LPG ณ ขณะน้นั โดยตรง กลา่ วคือ ถ้าอุณหภูมสิ ูงคา่ ความดันไออ่ิมตัวกส็ ูงขนึ้ ดว้ ย
ตัวอยา่ งในรูปท่ี 16 ทีอ่ ณุ หภมู ขิ องโปรเปน 0 C มีคา่ ความดนั เท่ากับ 4.5 bar แต่เมื่ออุณหภมู สิ ูงข้ึนเปน็ 38 C
จะมีคา่ ความดนั สูงขึน้ เป็น 14.5 bar

รปู ท่ี 16 คุณสมบตั ิบางประการของ Propane และ Butane

(จ.) ความรอ้ นแฝงในการระเหย ความรอ้ นแฝงในการระเหย คือ ปรมิ าณความร้อนที่ต้องใช้ในการ
ระเหยตอ่ หน่วยน้าหนกั ของสารเพอื่ เปลย่ี นสถานะจากของเหลวเปน็ กา๊ ซทจ่ี ุดเดือดปกติ (ณ ความดนั บรรยากาศ)
หรือปรมิ าณความรอ้ นท่ีต้องถูกดึงออกตอ่ หน่วยน้าหนกั ของสารเพ่อื ให้ไดก้ ลน่ั ตวั เปน็ ของเหลวทีค่ วามดนั

บรรยากาศ ท้ังนคี้ ่าความร้อนแฝงดงั กล่าวจะมคี า่ ลดลงเม่ืออุณหภมู เิ พิ่มสงู ขน้ึ ซ่งึ กา๊ ซปิโตรเลยี มเหลวมีค่าความ
รอ้ นแฝงนอ้ ยมากเมือ่ เทยี บกับความรอ้ นแฝงของน้าดังนน้ั เม่ือ LPG ถกู ปลอ่ ยออกจากภาชนะเกบ็ LPG จะระเหย
ทนั ที่ การท่ี LPG ระเหยไดต้ ้องได้รับความร้อนหรอื ดึงความร้อนจากบรเิ วณใกลเ้ คยี งซ่งึ จะท้าใหบ้ รเิ วณท่ีถูกดึง
ความรอ้ นไปจะมคี วามเยน็ จดั เพราะฉะนัน้ ถ้า LPG รวั่ ไหลออกมาถูกผิวหนงั เราหรือสว่ นหนง่ึ ส่วนใดของร่างกายจะ
ท้าใหผ้ วิ หนังหรอื ส่วนนัน้ ๆของร่างกายนั้นได้รับความเยน็ จัดจนถงึ กับเนื้อเย่ือตาย

(ฉ.) ความร้อนจา้ เพาะ ค่าความร้อนจา้ เพาะ คือปริมาณความรอ้ นท่ีทา้ ใหว้ ตั ถุหนงึ่ หน่วยน้าหนักมี
อุณหภูมิสงู ขึน้ หน่ึงองศา มีหนว่ ยเป็นกโิ ลแคลอร่ี / กโิ ลกรัม / C หรือ บที ียู/ปอนด์/F เชน่ เมือ่ อยใู่ นสถานะ
ของเหลว ความดนั คงที่ 1 บรรยากาศ อุณหภูมิ 25 C ค่าความรอ้ นจา้ เพาะของโปรเปนมคี ่าเทา่ กบั 0.6023
ส่วนนอร์มัลบิวเทน, ไอโซบิวเทน, commercial propane และ commercial butane จะมีค่าความร้อน
จา้ เพาะเท่ากับ 0.5748, 0.5824, 0.60 และ 0.57 ตามลา้ ดับ

(ช.) อุณหภูมขิ องจดุ ติดไฟ (Ignition Temperature) เมื่อค่อย ๆ เพิ่มอุณหภมู ิใหก้ ับเชอื้ เพลิงจน
เลยอณุ หภมู ิคา่ หนึ่งแล้ว เชอื้ เพลงิ กจ็ ะเรม่ิ ลุกไหม้เองแม้จะไม่มปี ระกายไฟหรือสาเหตุของการตดิ ไฟ อุณหภมู ิ
ต้่าสดุ ทเ่ี รมิ่ เกิดการลุกไหม้ตามธรรมชาตนิ ้ีเรยี กว่า “อุณหภมู ิของจดุ ติดไฟ (Ignition Temperature)” เน่อื งจาก
อณุ หภูมิจดุ ตดิ ไฟของโปรเปน คือ 460 - 580 C และของบิวเทนคอื 410 - 550 C ดงั น้นั ก๊าซปิโตรเลียมเหลว
จึงติดไฟได้ยากกวา่ เมอ่ื เทยี บกบั นา้ มันเบนซินซงึ่ มจี ดุ ติดไฟ 280 - 430 C และนา้ มนั ดเี ชล 250 - 340 C เมื่อ
มองดูในเทอมนนี้ น้ั เราพบวา่ ก๊าซปิโตรเลยี มเหลวค่อนขา้ งมีความปลอดภัยสงู กว่าเมอื่ เทยี บกบั น้ามันเบนซิลแตข่ อ
แนะนา้ อยา่ ไปลองทดสอบเองน่ะครับ อาจทา้ ใหช้ นิ้ สว่ นของร่างกายขาดหายไดห้ วาดเสียวน่า

(ซ.) สัมประสิทธ์กิ ารขยายตัว ก๊าซปโิ ตรเลยี มเหลวมีสัมประสิทธกิ์ ารขยายตัวที่ 15 C ประมาณ
0.300/C ส้าหรับโปรเปน และ 0.002/C สา้ หรับบิวเทน พบวา่ อุณหภิมู ยิ ง่ิ สงู การขยายตวั ยิ่งมาก ตัวเลขน้ี
จ้าเป็นอยา่ งยงิ่ ใชใ้ นการคา้ นวณปรมิ าตรสูงสดุ ทสี่ ามารถจะบรรจุกา๊ ซลงภาชนะหรือถงั เก็บได้ในสภาพอณุ หภมู ิต่าง
ๆ กัน ดังน้นั การบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวลงในถงั จะต้องเหลอื ที่วา่ งเหนือกา๊ ซเหลวไว้ โดยในส่วนของช่องวา่ งนี้
จะมีไอก๊าซอยู่ทงั้ น้เี พื่อป้องกันไม่ใหเ้ กดิ ความดันที่เกดิ การขยายตัวของของเหลวในกรณีที่กา๊ ซไดร้ ับความร้อน
ผิดปกติ นอกจากนี้ระบบท่อส่งต่าง ๆ ท่สี ง่ กา๊ ซปิโตรเลยี มเหลวจา้ เปน็ ต้องมีกลไกอปุ กรณ์นริ ภัยแบบระบาย
ความดัน เชน่ Pressure Relief Valve เปน็ ตน้

3.2. คณุ สมบตั ิทางกายภาพของก๊าซปโิ ตรเลียมเหลว เมื่ออยู่ในสถานะเป็นก๊าซ
(ก.) ความหนาแนน่ ปริมาตรจา้ เพาะและความถ่วงจา้ เพาะ ค่าความถว่ งจา้ เพาะของกา๊ ซ

ปิโตรเลียมเหลวเม่ือเปน็ ก๊าซจะแสดงถึงอัตราส่วนของความหนาแน่นระหว่างก๊าซกับอากาศท่ีอุณหภูมแิ ละความดนั
เดียวกัน หรือกลา่ วอีกนยั หน่งึ ว่าเปน็ ตวั เลขท่ชี ้ีใหเ้ ห็นวา่ ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเม่อื เป็นก๊าซจะหนักเป็นกเ่ี ทา่ ของ
อากาศ (เมื่อความหนาแน่นของ อากาศ = 1)

ทอี่ ณุ หภมู ิ 15.5 C (60 F) ณ ความดันบรรยากาศ
โปรเปน มคี า่ ความถ่วงจา้ เพาะเมื่อเป็นก๊าซ เท่ากับ 1.5
บิวเทน มีคา่ ความถว่ งจ้าเพาะเมอ่ื เปน็ กา๊ ซ เท่ากับ 2.0

ดงั นน้ั กา๊ ซปิโตรเลยี มเหลวในสถานะทเี่ ป็นกา๊ ซจะหนกั กว่าอากาศเม่ือเกิดการรว่ั ไหลขน้ึ ก๊าซจะไปรวมตัวอยู่ใน
บรเิ วณทตี่ า้่ และถ้าบรเิ วณท่ีต้่านัน้ เปน็ รางระบายนา้ หรือคูคลอง กา๊ ซอาจจะไหลตามนา้ ไปทา้ ใหเ้ กดิ อุบตั เิ หตุไฟ
ไหม้ ณ จดุ ซงึ่ หา่ งไกลจากบริเวณทีก่ า๊ ซร่ัวได้ นอกจากนี้ค่าความหนดื ก๊าซปโิ ตรเลยี มเหลวในสถานะของก๊าซจะมี
ความหนืดสงู ขนึ้ เมื่ออุณหภมู ิสงู ขนึ้

(ข.) ความสามารถในการอัดตัวของกา๊ ซ LPG (Compressibility factor) ส้าหรบั กา๊ ซอดุ มคติ
(ldeal Gas) ความสัมพันธ์ของอุณหภูมิ ความดันและปริมาตร สามารถแสดงโดยสมการสภาวะ (Equation of
State) คอื

PV = nRT
เมอื่ P = ความดัน ,

V = ปริมาตร ,
n = จ้านวนโมล,
R = Gas Constant,
T = อณุ หภูมิ
แตส่ ้าหรับกา๊ ซ LPG จะมลี กั ษณะเบ่ยี งเบนไปจากก๊าซอุดมคติ ดังนน้ั เพื่อให้สามารถใช้สมการสภาวะได้จึง
จ้าเป็นต้องเพิม่ คา่ ความสามารถในการอดั ตวั ของก๊าซ (Compressibility factor, Z) เข้าไปในสมการคือ PV =
ZnRT ส้าหรบั ก๊าซไม่อุดมคติ โดยที่ Z จะมคี ่าน้อยกว่า 1 คือท่ีอุณหภูมิ 15 C ณ ความดันบรรยากาศ โปรเปน
นอรม์ ัลบวิ เทน และไอโซบิวเทน มีค่า Z = 0.984 , 0.969 และ 0.971 ตามล้าดับ
(ค.) ชว่ งการลุกไหม้ (Flammability Limits in Air) กา๊ ซท่ีสันดาปได้จะมีช่วงสว่ นผสมกบั อากาศ
เพียงชว่ งเดียวทจี่ ดุ ไฟแล้วลุกไหมไ้ ด้เพราะมอี ากาศผสมอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ ชว่ งการลกุ ไหม้ไดจ้ ะแสดงค่า
เป็นอตั ราสว่ นรอ้ ยละ ( % ) ปริมาตรก๊าซต่ออากาศ ค่าทางดา้ นความเข้มขน้ สูงของช่วงการลุกไหม้ เรยี กว่า
“อตั ราสว่ น Higher Explosion Limit (U.E.L)” สว่ นทางดา้ นความเข้มข้นตา้่ ของชว่ งการลุกไหม้เรยี กว่า
“อัตราสว่ น Lower Explosion Limit (L.E.L)” กา๊ ซ LPG จะสามารถลุกไหม้หรือติดไฟได้กต็ อ่ เมื่อมกี า๊ ซผสมอยู่
ในอากาศ 2-9% คือถ้ามีกา๊ ซ LPG ต้่ากว่า 2 สว่ นหรอื มากกวา่ 9 ส่วนในส่วนผสมของกา๊ ซกับอากาศกบั อากาศ
100 ส่วน สว่ นผสมน้ันกจ็ ะไม่ติดไฟ ซง่ึ คอ่ ยอา่ นในเน้ือต่อไป
(ง.) อณุ หภมู ขิ องเปลวไฟ (Flame temperature) อุณหภูมิของเปลวไฟทไ่ี ดจ้ ากการเผาไหม้ของ
LPG สูงมากพอที่จะหลอมโลหะต่าง ๆ ได้ เชน่ หลอมเหลก็ ทองเหลือง อลูมเิ ลียม และแกว้ เปน็ ต้น โดยโปรเปน มี

อณุ หภมู ิของเปลวไฟในอากาศ 1,930 C และบวิ เทน 1,900 C ดงั นั้นจึงเหมาะส้าหรับงานอตุ สาหกรรมหลอม
โลหะ นอกจากนย้ี ังสามารถน้าไปใชใ้ นการอบเครอ่ื งเคลอื บดินเผาอบสี ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ

(จ.) คา่ ออ๊ กเทน (Octane Number) LPG ในสถานะก๊าซท่ีใช้สา้ หรับยานพาหนะนั้นจะมีคา่ อ๊อก
เทน (Octane No.) สูงประมาณ 95-110 ซงึ่ สงู กวา่ ค่าอ๊อกเทนของนา้ มนั เบนซินจึงเหมาะกบั การใช้เป็นเชื้อเพลงิ
ของรถยนตม์ าก แต่จะมปี ัญหาในเร่ืองอุณหภูมิของเปลวไฟของ LPG เมอื่ มกี ารระเบิดในกระบอกสูบซึ่งจะมี
อุณหภมู ิสูงกวา่ นา้ มนั เบนซลิ ทา้ ให้เครื่องรอ้ นมากกวา่ ต้องแลกเอาครบั

(ฉ.) อัตราสว่ นปริมาตรของเหลว/ก๊าซ (Liquid/Vapor Volume Ratio) LPG เหลวเมอ่ื ระเหย
และเปล่ยี นสถานะไปเป็นก๊าซ พบวา่ ปรมิ าตรจะเปลย่ี นแปลงไปอย่างมากกล่าวคือท่ีอุณหภมู ิ 15.5 C (60 F) โป
รเปนเหลว 1 หนว่ ยปริมาตร เม่อื กลายเป็นก๊าซจะมีปริมาตรเป็น 274 หนว่ ยหรือพดู งา่ ยๆ คอื ขยายตัวไป 274
เท่าตวั ส่วนบวิ เทนเหลว 1 หน่วยปริมาตร เมือ่ กลายเปน็ ก๊าซจะมีปริมาตรเปน็ 233 หน่วย

ดงั น้นั LPG ในสถานะท่ีเปน็ ของเหลว ถา้ รัว่ ออกมาจะมอี ันตรายมากกว่าทีเ่ ป็นก๊าซเพราะปรมิ าณ LPG
สถานะของเหลวทร่ี ั่วไหลออกมาเมือ่ กลายเป็นสถานะก๊าซจะเพ่ิมปรมิ าตรมากขน้ึ 274 เท่าตวั การขยายตวั แพร่
ตวั โอกาสทีไ่ ปพบประกายไฟ โอกาสการระเบดิ ก็ย่งิ มาก อันตรายก็ยิง่ หายหว่ งมีกหี่ ว่ งก็หายครับ จะอะไรเสยี อกี
ครบั ก็มนั จะรุนแรงสิครับ

(ช.) ปริมาณอากาศท่ใี ช้ในการเผาไหม้ (Air Requirement) ก๊าซออกซิเจนเปน็ ก๊าซท่ีมีส่วนผสม
อยู่ในอากาศ 21 % โดยปรมิ าตรและเปน็ ปจั จยั สา้ คญั ที่ช่วยใหเ้ กิดการเผาไหม้ ดังนัน้ ปริมาณอากาศทปี่ ้อนเขา้ ไป
ในหอ้ งเผาไหม้จะต้องมปี ริมาณท่ีแนน่ อนในกรณีท่ีก๊าซ LPG เผาไหม้อยา่ งสมบรู ณ์ทัง้ หมดกจ็ ะกลายเปน็ กา๊ ซ
คารบ์ อนไดออกไซด์และน้าและการเปลย่ี นแปลงน้ีเขียนเป็นสมการเคมีได้ดงั ตอ่ ไปน้ี

ดังจะเหน็ ไดจ้ ากสมการเหล่าน้ี ปริมาณออกซเิ จนทีจ่ ้าเปน็ ต่อการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์จะเป็น 5 เท่าใน
กรณขี องโปรเปน และ 6.5 เทา่ ในกรณีของบวิ เทน เน่อื งจากปริมาณออกซิเจนในอากาศมีประมาณ 21% ฉะนนั้
ในการเผาไหม้โปรเปนอย่างสมบูรณ์ 1 ลกู บาศกเ์ มตรจะต้องใชอ้ ากาศ 24 ลูกบาศก์เมตร สว่ นบิวเทน 1 ลกู บาศก์
เมตรจะใช้อากาศ 31 ลกู บาศก์เมตรดังน้ันเมอื่ เปรียบเทียบกับน้ามันเบนซินแลว้ LPG ตอ้ งการปริมาณอากาศ
มากกวา่ เล็กนอ้ ย

(ซ.) ค่าความร้อนของการเผาไหม้ (heat of combustion) คา่ ความร้อนของการเผาไหมข้ องกา๊ ซ
LPG หมายถึงคา่ ปริมาณความรอ้ นทเ่ี กิดข้ึนจากการน้าเอากา๊ ซ LPG หน่งึ หนว่ ยนา้ หนกั หรือหนึ่งหน่วยปรมิ าตร
มาเผาไหม้ทคี่ วามดนั บรรยากาศและอณุ หภูมปิ กติ (25 C) คา่ ความร้อนของการเผาไหม้เปน็ คา่ ท่ีบ่งบอกถงึ
คุณสมบตั ิของเชื้อเพลิง และใช้ในการคา้ นวณหาประสทิ ธิภาพเชงิ ความร้อนของเคร่ืองจักร

(ฌ.) สี กลน่ิ และการละลาย LPG บรสิ ุทธ์ ไมม่ ีสี ไม่มีกลิ่น ดังน้ัน บรษิ ัท ผผู้ ลิตกา๊ ซ LPG จึงต้อง
เติมสารประกอบท่ีมกี ลน่ิ เหม็นลงไปดว้ ย เพื่อใหผ้ ู้ใชร้ ้ตู วั เมื่อก๊าซ LPG เกดิ รั่ว หรอื ผใู้ ช้ลืมปดิ วาล์วใชก้ ๊าซ
สารประกอบท่ีเติมลงไปเพอื่ ท้าใหก้ ๊าซ LPG มกี ล่ินเหมน็ เป็นสารพวกเมอรแ์ คบแทน (Mercaptan) นอกจากน้ี
กา๊ ซ LPG มคี ุณสมบตั เิ ปน็ ตัวทา้ ละลาย (Solvent) เช่นเดยี วกับพวกน้ามนั ระเหยจึงสามารถละลายหรอื ท้าให้
อปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ท่ีท้ามาจากยางธรรมชาติเสียคุณสมบัติได้ เช่น ปะเก็นหรือซลี ต่าง ๆ ดังนั้นอปุ กรณ์ทีน่ ้ามาใชก้ บั ถัง
ท่บี รรจุกา๊ ซ LPG ควรใช้วัสดอุ น่ื ที่ไม่ได้ท้ามาจากยาง ธรรมชาติ เชน่ ยางสงั เคราะห์ เปน็ ต้น

รูปที่ 17 คณุ สมบตั ิ LPG จาก NFPA 58 Liquefied Petroleum Gas Code, 2004 Edition

4. การจดั เก็บก๊าซ LPG
จะมีอยู่ดว้ ยกัน 3 รปู แบบท่ีนิยมกันคอื
4.1. Pressurized Gas Tankers จดั เก็บก๊าซ LPG ภายในภาชนะภายใตค้ วามดันสงู ประมาณ 80-

190 Psi (6 – 13 barg) ในการออกแบบถังความดนั จึงตอ้ งออกแบบใหส้ ามารถรองรับความดนั ไมน่ ้อยกว่าท่ี
ประมาณ 18 barg โดยสามารถรองรบั อุณหภูมิสงู สุดที่ทนได้ในการขนยา้ ย LPG เข้าออกถังสา้ รองท่ี 45 C
ส่งผลใหข้ นาดถังส้ารองรปู แบบน้ีที่ไดร้ บั การออกแบบส้าหรับการขนส่งจงึ มีขนาดไม่เกนิ 1,000 m3 ซึง่ เรามกั พบ
เหน็ ในการขนส่งทางบกดว้ ยรถยนต์

รปู ที่ 18 ถงั ส้ารองแบบเกบ็ ดว้ ยความดนั
4.2. Semi-Refrigerated /Semi-Pressurized Gas Carriers จดั เกบ็ ก๊าซ LPG ไว้ภายใต้อุณหภมู ิ
ต้่ากว่าจดุ เดือดของก๊าซ LPG ซง่ึ จดุ เดือดของกา๊ ซ LPG อยู่ทป่ี ระมาณ -50 C ดังน้ันความดันภายในถงั จะเหลือ
เพียง 2.8 - 7.0 barg ขนาดถงั ทไี่ ด้รับการออกแบบสา้ หรับการขนส่งจึงมีขนาดไมเ่ กิน 12,000 m3 โดยประมาณ
4.3. Fully Refrigerated Gas Carriers เปน็ การจดั เก็บก๊าซด้วยสภาวะภายในถังจัดเกบ็ ท่ีมีความดัน
เท่ากบั หรือใกล้เคียงความดนั บรรยากาศ โดยควบคมุ อณุ หภมู ิภายในถังสา้ รองให้เทา่ กับหรือใกลเ้ คียงอุณหภมู จิ ดุ
เดอื ดของก๊าซนัน้ ๆ สา้ หรบั การจัดเก็บกา๊ ซโปรเปนจะควบคมุ อุณหภูมภิ ายในถังสา้ รองแบบนี้เทา่ กับอุณหภมู จิ ดุ
เดอื ดของกา๊ ซโปรเปนซง่ึ อยทู่ ี่ -42 C หรือต้า่ กว่าเล็กน้อยเช่นท่ี -45 C ส่วน Butane จดั เก็บท่ีอณุ หภมู ิ -2 C
ดงั นั้นด้วยระบบจัดเก็บก๊าซวิธนี ี้จงึ มกี ารจดั เก็บทอ่ี ุณหภูมติ ่้าสดุ ของถังส้ารองอยู่ท่ี -50 C และมคี วามดนั ภายในถัง
ขณะใช้งาน (Working Pressure) ประมาณ 250 millibar (ดูรูปที่ 19) ขนาดถังท่ไี ดร้ บั การออกแบบส้าหรับการ
ขนสง่ จงึ มขี นาดระหวา่ ง 5,000 - 75,000 m3

รปู ที่ 19 Fully Refrigerated Storage Tanks หรอื Cold Storage Tanks หรอื Cryogenic Storage
Tanks 3 รปู แบบตาม BS 7777 Part1-1993

รูปท่ี 20 Fully Refrigerated Storage Tanks
ด้วยเหตุนเี้ ราจึงไม่เหน็ การขนสง่ ด้วยวิธีการจัดเกบ็ ด้วยวิธีการนี้กับการขนส่งทางบกแตจ่ ะพบเหน็ ในการ
ขนสง่ ทางเรือเดนิ ทางข้ามมหาสมทุ รเน่ืองจากสามารถจัดเก็บไดป้ ริมาณมาก ยกตวั อย่างในกรณีที่ ปตท. ท้าการ
ซ่อมแซมโรงแยกก๊าซธรรมชาติประจา้ ปี ทา้ ให้ก้าลงั การผลิตก๊าซลดต้่าลงส่งผลใหป้ ริมาณกา๊ ซ LPG มีไม่พอใช้
ภายในประเทศ ปตท.ก็จะสัง่ น้าเขา้ ก๊าซโปรเปน และ/หรือ ก๊าซ Butane และ/หรือก๊าซ LPG (ส่วนผสมของกา๊ ซ
โปรเปนกบั กา๊ ซ Butane) จากตา่ งประเทศเปน็ ลา้ เรอื ใหญ่ๆ ซ่ึงขนส่งด้วยวธิ ีการจดั เก็บแบบ Fully Refrigerated
Gas Carriers นะ่ ครบั

รูปที่ 21 Fully Refrigerated Gas Carriers

5. โทษของก๊าซ LPG
เน่ืองจากอุตสหกรรมทางดา้ นปิโตรเลียมนั้น ความเสียหายจากการระเบิดของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมในแต่

ละครง้ั นั้นสรา้ งความเสยี หายใหก้ ับผ้ปู ระกอบการอยา่ งรนุ่ แรงทัง้ ในรูปของชวี ติ และทรัพยส์ นิ รวมทงั้ ความเสียหาย
ทางด้านธุรกิจ รวมไปจนถึงสภาวะแวดล้อมบริเวณโดยรอบพื้นท่ีอีกแล้ว ยังมีความเสียหายต่างๆท้ังทางตรงและ
ทางออ้ ม ท้งั ในระยะสน้ั แลระยะยาว ทา้ ให้มีการศึกษาในเรื่องการระเบิดของผลิตภัณฑ์กันอย่างจริงจัง ก่อนอ่ืน
เราต้องทา้ ความเขา้ ใจในเรอื่ งองคป์ ระกอบของการจุดติดไฟหรือการระเบิดเสียก่อน ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ
คือ

1. สารไวไฟ (Flammable Gas or Material) หรือสว่ นท่เี ปน็ ไอระเหยผสมอยใู่ นอากาศ
2. กา๊ ซออกซเิ จนในปริมาณท่ีเหมาะสมและเพียงพอ
3. แหล่งจุดไฟ (Ignition Source) มีพลังงานความร้อนท่ีเพียงพอ เช่น เปลวไฟ การเกิดประกายไฟ

หรือการถา่ ยเทประจไุ ฟฟ้าสถติ ประกายไฟจากการลัดวงจรไฟฟ้าหรือจากหน้าสัมผัสสวิตซ์ไฟ เป็น
ตน้

รปู ท่ี 22 องคป์ ระกอบของการจดุ ตดิ ไฟหรือการระเบดิ
แตก่ น็ น้ั แหละไมใ่ ช่ออยู่ๆ หากมีองค์ประกอบครบทง้ั 3 ประการแล้วจะเกิดการติดไฟหรือระเบิดไปเสียทุก
ครั้ง ยังต้องค้านึงถึงชนิดสารไวไฟน้ันๆว่ามีคุณสมบัติอย่างไรเมื่อผสมเจือปนเข้ากับอากาศแล้วก่อให้เกิดสภาพจุด
ติดไฟ (Explosive Atmosphere) มารูจ้ กั นิยามการระเบิดเสยี กอ่ น
การระเบิด คือ ปฏิกิริยาเคมีของสารไวไฟกับออกซิเจนและปลดปล่อยพลังงานความร้อนสูงมาก หรือ
ความดันสูงมาก หรือท้ังความร้อนและความดันสูงมากร่วมกัน ท้ังน้ีสารไวไฟอาจอยู่ในรูปของแก๊ส (Gas) หรือไอ
ระเหย (Vapor)
สารแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการจุดติดไฟต่างกัน ดังน้ันแม้ครบองค์ประกอบการจุดติดไฟหรือการระเบิด
(สารไวไฟ ออกซิเจนและประกายไฟ) สารบ้างชนิดจะเกิดการติดไฟหรือระเบิด แต่สารบางชนิดอาจจะไม่ท้าให้

เกิดการระเบิดหรือไฟไหม้ข้ึนได้ เราจึงต้องมาดูคุณสมบัติที่ส้าคัญของสารไวไฟที่ปนเปื้อนในอากาศและท้าให้เกิด
สภาพบรรยากาศท่จี ดุ ตดิ ไฟได้ (Explosive Atmosphere) มี 5 ประการ คือ

1. Lower Explosive Limit (LEL) คือ ปริมาณเปอร์เซ็นต์ของสารไวไฟ (Flammable Gas or
Material) หรือส่วนที่เป็นไอระเหยขั้นต้่าผสมอยู่ในอากาศ จนมีส่วนผสมท่ีเหมาะสมท้าให้เกิดสภาพจุดติดไฟหรือ
ระเบิดได้ (Explosive mixture) หากมีปริมาณเปอร์เซ็นต์ของสารไวไฟหรือส่วนที่เป็นไอระเหยเจือปนในอากาศ
เข้มขน้ หรอื ปริมาณต่้ากวา่ ค่านี้ กจ็ ะไมก่ อ่ ใหเ้ กดิ การจุดติดไฟหรือระเบิด

รูปท่ี 23 ขอบเขตการการจุดติดไฟของสารไวไฟ (Explosive Limits)

รปู ที่ 24 ความเข้มข้นของไอสารไวไฟในเทอมของปริมาณเปอร์เซ็นต์ของสารไวไฟหรือส่วนท่ีเป็นไอ
ระเหยผสมอยู่ในอากาศ

2. Upper Explosive Limit (UEL) คือ ปริมาณเปอร์เซ็นต์ของสารไวไฟ (Flammable Gas or
Material) หรือส่วนท่ีเป็นไอระเหยมากท่ีสุดผสมอยู่ในอากาศ จนมีส่วนผสมที่เหมาะสมท้าให้เกิดสภาพจุดติดไฟ
หรือระเบิดได้ (Explosive Mixture) หากมีปริมาณเปอร์เซ็นต์ของสารไวไฟหรือส่วนที่เป็นไอระเหยเจือปนใน
อากาศเข้มข้นหรือปรมิ าณสูงกวา่ ค่าน้ี ก็จะไม่กอ่ ใหเ้ กดิ การจุดติดไฟหรือระเบิด

ด้วยเหตุนี้การจุดติดไฟ หรือระเบิดจะเกิดข้ึนได้ต้องอยู่ในสภาพตั้งแต่ Lower Explosive Limit (LEL)
จนถงึ Upper Explosive Limit (UEL) ดูรูปที่ 25 ทงั้ นข้ี อบเขตการจุดติดไฟของสารไวไฟต้ังแต่ LEL จนถึง UEL

ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของสารไวไฟแต่ละชนิด ยกตัวอย่างเช่น ก๊าซ Methane จะมี LEL เท่ากับ 5% และ UEL
17% โดยปรมิ าตรของอากาศ นนั้ หมายความว่าหากในอากาศที่มีอัตราส่วนผสมของก๊าซ Methane ต่ออากาศอยู่
ระหว่าง 5 : 95 จนถึง 17 : 83 แล้วหากเกิดประกายไฟขึ้นโอกาสการระเบิดจะสามารถเกิดข้ึนได้สูงทันที แต่ถ้า
หากอตั ราส่วนผสมของก๊าซ Methane ตอ่ อากาศนอ้ ยกวา่ นี้ 5 : 95 หรือมากกว่า 17 : 83 หากเกิดประกายไฟข้ึน
โอกาสจะเกดิ การระเบิดเปน็ ไปไดย้ าก (ดูรปู ที่ 26)

รปู ท่ี 25 ขอบเขตการการจุดตดิ ไฟของสารไวไฟ

รูปท่ี 26 ตัวอย่างขอบเขตการการจดุ ติดไฟของกา๊ ซ Methane
3. Flash Point คือ ค่าอุณหภูมิต่้าสุดท่ีท้าให้สารไวไฟท่ีมีสถานะเป็นของเหลวเกิดการระเหยกลายเป็น
ไอจากน้ันผสมอยู่ในอากาศในสัดส่วนท่ีเหมาะสมก่อในจุดติดไฟได้บริเวณเหนือของเหลวชนิดน้ัน เราเรียก
ของเหลวประเภทนี้ว่า “Flammable Liquid” ซ่ึงจะมี Flash point ต่้ากว่า 100 F (37.78 C) ส้าหรับ
ของเหลวทมี่ ี Flash point สงู กว่า 100 F (37.78 C) เรยี กวา่ “Combustible Liquid” จากคุณสมบัติดังกล่าว
เราสามารถน้าไปใช้ประโยชน์ในการรักษาและจัดเก็บสารไวไฟให้อยู่ในสภาวะอุณหภูมิต้่ากว่า Flash point ไม่ท้า
ใหเ้ กดิ สภาพของพืน้ ที่อนั ตรายขนึ้ ได้ กจ็ ะปลอดภยั

รปู ที่ 27 ตัวอยา่ งขอบเขตการจุดตดิ ไฟของสารไวไฟ

4. Auto-Ignition Temperature คือ อุณหภูมิต้่าท่ีสุดท่ีท้าให้แก๊ส หรือไอระเหยของสารไวไฟซึ่งผสม
อยู่ในบรรยากาศจะเกิดการลุกติดไฟได้เองโดยไม่จ้าเป็นต้องมีประกายไฟในพ้ืนท่ีท่ีมีการร่ัวไหลของแก๊สหรือไอ
ระเหยของสารไวไฟถา้ มกี ารใช้งานเครอ่ื งจกั รกลหรอื อปุ กรณ์ไฟฟ้าซ่งึ ท้าใหเ้ กิดความร้อนสูงที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง (Hot
Spot) โดยความร้อนท่ีเกิดขึ้นน้ีมีอุณหภูมิสูงกว่า ค่า Auto-Ignition Temperature ของแก๊สหรือไอระเหยน้ันๆ
อาจจะทา้ ใหส้ ารไวไฟในบรรยากาศเกิดการลุกติดไฟขึ้นเองได้

5. Vapor Density คือ ความหนาแน่นของแก๊สหรือไอระเหยของสารไวไฟเม่ือเทียบกับอากาศ ถ้าค่า
ความหนาแน่นของแกส๊ หรอื ไอมากกว่า 1.0 แสดงวา่ แกส๊ หรือไอนี้หนกั กว่าอากาศเม่อื เกิดมีการรั่วไหล แก๊สหรือไอ
นี้จะลอยอยู่ในระดับต้่า แต่ถ้าค่าความหนาแน่นของแก๊สหรือไอน้อยกว่า 1.0 แสดงว่าแก๊สหรือไอชนิดนี้เบากว่า
อากาศ เมือ่ เกดิ มกี ารรัว่ ไหลแกส๊ หรอื ไอนี้จะลอยขึ้นสงู

อุตสาหกรรมทางด้านปิโตรเลียมได้ท้าการศึกษา Explosion Limits ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมพอสรุปได้
บางชนิดดงั ตารางท่ี 4 ดังนน้ั หากมีองค์ประกอบครบ 3 ประการและอตั ราสว่ นของของเหลวปิโตรเลียมกับอากาศ
อยู่ในระหว่าง Lower Explosion Limit (L.E.L) กับ Higher Explosion Limit (U.E.L) การจุดติดไฟหรือระเบิด
จะเกิดข้นึ ได้ (ดูรปู ที่ 28) ยกตัวอยา่ งเชน่ ก๊าซ โปรเปน จะมี L.E.L เท่ากบั 2.1 และ U.E.L 9.4 นั้นหมายความว่า
หากในอากาศมีอัตราส่วนผสมของก๊าซ โปรเปน ต่ออากาศอยู่ระหว่าง 2.1 : 97.9 จนถึง 9.4 : 90.6 แล้วเกิด
ประกายไฟขนึ้ จะมโี อกาสเกิดการระเบิดข้ึนได้สูงแต่ถ้าหากอัตราส่วนผสมของก๊าซ โปรเปน ต่ออากาศน้อยกว่านี้
2.1 : 97.9 หรือมากกว่า 9.4 : 90.6 หากเกิดประกายไฟข้นึ การระเบิดกเ็ กิดขนึ้ ได้ยาก

ตารางท่ี 4 Explosion Limits ของผลติ ภณั ฑ์ปิโตรเลยี ม

หากเกิดปัญหาหน้างานและกลัวการระเบิดก็ควรหาอุปกรณ์ตัวที่สามารถวัดค่าอัตราส่วน Lower
Explosion Limit (L.E.L) กับ Higher Explosion Limit (U.E.L) แต่ถ้าสามารถหาได้ก็หาเอาพวกอุปกรณ์ชนิด
Gas Detector (กอ่ นใช้งานกต็ รวจสอบกับไฟแช็คแก๊สท่ีใช้สูบบุหรี่โดยเปิดวาล์วแก๊สไฟแช็ค แต่ไม่ต้องสะกิดถ่าน
ให้ไฟติดล่ะ) แทนก็ยังดีหรือหลีกเล่ียงการกระท้าใดที่อาจก่อให้มีองค์ประกอบครบ 3 ประการคือ เชื้อเพลิง
อากาศ และประกายไฟ ซ่ึงหากตดั ปจั จัยหนงึ่ ปัจจัยใดออกไปได้ การระเบิดจะไม่เกดิ ขนึ้ ละ่ ครับ

รปู ที่ 28 ตวั อยา่ ง Lower Explosion Limit กบั Higher Explosion Limit การจดุ ตดิ ไฟหรอื ระเบดิ จะเกดิ ขึ้นได้

ตารางที่ 5 LEL& UEL Sources: Data extracted from Gas Data Book, 7th edition,
copyright 2001 by Matheson Gas Products, and from Bulletin 627, Flammability Characteristics
of Combustible Gases and Vapors, copyright 1965 by U.S. Department of the Interior, Bureau of
Mines.

หากก๊าซ LPG โดนผิวหนังของเรา ผิวหนังจะไหม้เหมือนโดนถูกไฟลวกท้ังน้ีก็เพราะเวลาที่ก๊าซ LPG
เปล่ียนสถานะจากของเหลวทีม่ ีความดันสูงกลายเป็นไอจะดูดความร้อนแฝงจากส่ิงแวดล้อมซ่ึงในที่น้ีก็คือ ความช้ืน
ภายในผวิ หนงั เรานั้นเอง

นอกจากน้ีก๊าซ LPG ยังมีน้าหนักมากกว่าอากาศโดยทั่วไป ดังนั้นหากมีการรั่วไหลออกจากถังบรรจุก๊าซ
LPG จะไปแทนที่อากาศ ซ่ึงรวมถึงก๊าซออกซิเจนท่ีเราใช้หายใจท่ีมีอยู่ในอากาศประมาณ 17 % ของอากาศ

ทั้งหมดสง่ ผลใหห้ ากมใี ครอยู่บริเวณนั้นจะขาดออกซิเจนและตายลงได้เช่นเดียวกัน ถ้าไม่สามารถเคล่ือนย้ายออก
นอกพื้นที่ไดท้ นั เวลา

หากก๊าซ LPG มีการรั่วไหล ออกจากภาชนะถังบรรจุความดัน ก๊าซ LPG จะสามารถขยายตัวได้
ประมาณ 270 เท่าเลยทเี ดียว
6. การจัดวางถงั บรรจุก๊าซความดันสา้ หรบั บรรจุก๊าซเหลว LPG

ตามข้อก้าหนด NFPA 58 มาตรฐานความปลอดภัยได้ก้าหนดการจัดวางถังบรรจุก๊าซความดันส้าหรับ
จัดเก็บก๊าซ LPG ดังเช่นในรูปที่ 29 และรูปท่ี 30 แต่อย่างไรก็ตามหากต้องการจัดวางถังจริงๆ ต้องไปปรึกษา
กรมโยธาธิการดีกวา่ ครบั เพราะข้อมลู ทันสมยั กวา่ และท่สี ้าคญั ถูกต้องตามกฎหมาย

(ก)

(ข)

(ค)
รูปท่ี 29 ข้อกา้ หนด NFPA 58 – 2004 มาตรฐานความปลอดภัยไดก้ ้าหนดการจดั วางถังบรรจุกา๊ ซความดนั

รปู ท่ี 30 ขอ้ มลู ท่ัวไปของ LPG

ก่อนจบขอตั้งคา้ ถามท้ิงไวส้ กั ขอ้ ว่า มีบรษิ ัทหนึ่งถามว่า “มาตรวัดปริมาตรของเหลวของบรษิ ทั ใช้วัดซอื้
ขายโปรปลิ ีน (Propylene) มาตรวัดปรมิ าตรของเหลวดงั กล่าวต้องได้รับการตรวจสอบใหค้ ้ารบั รองหรือเปล่า ?”
ถา้ ตอบได้ น่าจะแสดงวา่ อ่านบทความแลว้ เขา้ ใจ ถ้ายงั มนึ ก็กลบั ไปอา่ นอกี รอบเถอะ ...... สาธุ

แหล่งข้อมูลอา้ อิง
1. http://www.doeb.go.th/v3/knowledge/knowledge_article_Natural1.htm
2. http://www.doeb.go.th/knowledge/knowledge_article_Natural2.htm
3. GPA Standard 2140-97, Liquefied Petroleum Gas Specifications and Test Methods, Gas
Processors Association, 1997
4. Natural Gas Conversion Guide, 2012, International Gas Union (IGU)
5. Report No: 2006/268-Issue 1, REVIEW OF LPG FLOW MEASUREMENT TECHNOLOGIES AND
MEASUREMENT ISSUES, Nov 2006, A Report for National Measurement System
Programme Unit, Department of Trade & Industry, NEL
6. Handbook of Petroleum Processing, DAVID S. J. “STAN” JONES, PETER R. PUJAD´O, 2006
Springer
7. ENGINEERING DATA BOOK, FPS VERSION, Volumes I & II, 12 Edition, 2004, Gas Processors
Suppliers Association
8. สารานกุ รม เปดิ โลกปโิ ตรเคมี Petrochemical Encyclopedia, บรษิ ทั ปตท. จา้ กดั (มหาชน), 2554
9. NFPA 58 Liquefied Petroleum Gas Code, 2004 Edition, National Fire Protection
Association
10. ประกาศกระทรวงพลังงาน เร่ือง หลกั เกณฑ์ และวธิ ีการในการเก็บรักษา การกา้ หนดบุคลากรท่รี บั ผดิ ชอบ
และการยกเว้นไมต่ ้องปฏบิ ตั ติ ามพระราชบญั ญตั ิวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ส้าหรับสถานทใ่ี ช้ก๊าซ
ปิโตรเลยี มเหลว ทก่ี รมธุรกิจพลงั งานรบั ผิดชอบ พ.ศ. 2554
11. Handbook of Natural Gas Transmission and Processing, Principles and Practices, 3rd
Edition, Saeid Mokhatab, William A. Poe, John Y. Mak, 2015, Elsevier Inc & Gulf
Professional Publishing

1

ประชากรและการต้งั ถ่นิ ฐานจงั หวดั ชายทะเล

1. ประชากร

ประชากรและพน้ื ที่กลมุ่ จังหวัดชายทะเลอา่ วไทยฝง่ั ตะวันออก

ลาดบั ท่ี จงั หวดั พ้นื ที่ ( ตร.กม) ประชากร ( คน)
1 ระยอง 9,200 734,753
2 จันทบรุ ี 6,338 536,496
3 ตราด 2,819 229,958

ประชากรและพ้นื ท่ีกลมุ่ จงั หวัดชายทะเลอ่าวไทยตอนใน

ลาดบั ที่ จังหวดั พนื้ ที่ ( ตร.กม) ประชากร ( คน)
1 เพชรบรุ ี 6,225 484,294
2 สมุทรสงคราม 1,079 193,305
3 สมทุ รสาคร 873 584,703
4 กรุงเทพมหานคร 1,569 10,820,921

5 สมุทรปราการ 1,004 1,344,875
6 ฉะเชิงเทรา 5,351 720,113
7 ชลบรุ ี 4,363 1,558,301

ประชากรและพื้นท่ีกลมุ่ จงั หวัดชายทะเลอ่าวไทยตอนบน

ลาดบั ท่ี จังหวัด พ้ืนท่ี ( ตร.กม) ประชากร ( คน)
1 ประจวบคีรีขันธ์ 6,367 548,815
2 ชมุ พร 6,011 510,963
3 สรุ าษฎรธ์ านี 12,891 1,064,000
4 นครศรีธรรมราช 9,943 1,561,927

ประชากรและพน้ื ที่กล่มุ จังหวัดชายทะเลอ่าวไทยตอนล่าง

ลาดบั ท่ี จงั หวัด พน้ื ที่ ( ตร.กม) ประชากร ( คน)
1 สงขลา 7,394 1,435,968
2 ปัตตานี 1,940 725,104
3 ยะลา 4,521 536,330
4 นราธิวาส 4,475 808,020

ประชากรและพื้นที่กลุ่มจงั หวัดชายทะเลฝ่งั ตะวนั ตกตอนบน 2

ลาดับท่ี จงั หวัด พ้ืนที่ ( ตร.กม) ประชากร ( คน)
1 ระนอง 3,298 191,868
2 พังงา 4,170 268,240
3 ภเู ก็ต 570 416,582

ประชากรและพื้นที่กลุม่ จังหวัดชายทะเลฝง่ั ตะวันตกตอนล่าง ประชากร ( คน)
473,738
ลาดบั ท่ี จังหวดั พ้ืนท่ี ( ตร.กม) 643,116
4 กระบ่ี 4,709 323,586
5 ตรัง 4,941
6 สตูล 2,479

3

2. ลกั ษณะและรูปแบบการตั้งถิ่นฐานของบ้านเรอื นประชาชน

การต้ังถ่นิ ฐานรมิ นา้ การต้งั ถนิ่ ฐานตามลาน้า

การตงั้ ถ่นิ ฐานเชิงเขา ลักษณะบา้ นชาวประมงพน้ื บ้านชายทะเล

บา้ นชาวประมงพืน้ บ้านรมิ ทะเล การต้ังถนิ่ ฐานปากแม่น้าชายทะเล

4

การป้องกนั การกัดเซาะชายฝ่งั การปอ้ งกันการกัดเซาะชายฝ่ัง

การตงั้ บ้านเรอื นริมแม่นา้ การต้งั บ้านเรือนรมิ แมน่ ้าและปากแม่น้าชายฝั่งทะเล

ลกั ษณะของบ้านเรือน รมิ ปากแม่นา้ ปากอ่าว ลกั ษณะของบ้านเรือน ริมปากแมน่ ้า ปากอ่าว

1

ระบบสาธารณสุขชุมชนชายฝ่งั ทะเล
(Seacoast Community of public Health system)

รศ.ดร.ณรงคศ์ ักดิ์ หนสู อน และ รศ.ดร.สุชาติ นวกวงษ์

หวั ข้อเนื้อหา

1. ปัญหาสขุ ภาพของประชาชนในชมุ ชนชายฝง่ั ทะเล
2. ระบบสาธารณสขุ
3. ระบบการจัดบริการ (Service delivery)
4. การมสี ว่ นรว่ มของชุมชนด้านสุขภาพ (Participation) ของอาสาสมคั รสาธารณสุขชายฝั่งทะเล

ปญั หาสุขภาพของประชาชนในชมุ ชนชายฝั่งทะเล

พ้ืนท่ีชายฝั่งทะเล เกาะและแหล่งท่องเท่ียวทางทะเล เป็นที่อยู่อาศัยของประชาชน และเป็นพื้นท่ี
เหมาะสาหรบั การพักผ่อนและนันทนาการ ทาให้มีนกั ทอ่ งเทีย่ วท้ังชาวไทยและชาวต่างประเทศเป็นจานวนมาก
ซง่ึ จะมปี ัญหาทเ่ี กิดขน้ึ กบั ประชาชนและนักท่องเท่ยี วท้ังเรื่องอุบัติเหตแุ ละการเจบ็ ป่วยตา่ งๆ ไดแ้ ก่

การสัมผัสพิษจากแมงกะพรุนมีทั้งที่ระคายเคืองน้อยจนถึงมากและเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
ในประเทศไทย มีรายงานพบผู้ป่วยเสียชีวิตจากกระเปาะพิษของแมงกะพรุนกล่อง (Box Jellyfish) รายแรก
เป็นนักท่องเท่ียวจากประเทศอังกฤษ อายุ 26 ปี เล่นน้าท่ีหาดเฉวง เกาะสมุย จังหวัด สุราษฎร์ธานี และมี
รายงาน ระหว่างวันที่ 27 มกราคม – 4 เมษายน 2551 โดยสานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวง
สาธารณสุข พบผู้ป่วยชาวต่างชาติได้รับบาดเจ็บจากการสัมผัสแมงกะพรุนพิษในเขตชายฝ่ังทะเลจังหวัดตราด
และจงั หวัดกระบ่ี จงั หวดั ละ 1 ราย เสียชีวติ 1 ราย ซง่ึ สานกั ระบาดวิทยาร่วมกบั สานักงานสาธารณสุขจังหวัด
ตราด สานักงานสาธารณสุขจังหวัดกระบี่และสถาบันวิจัยและพัฒนาทรพั ยากรทางทะเล ชายฝ่ังทะเล และป่า
ชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้สอบสวนเหตุการณ์ในวันที่ 10-13 มีนาคม 2551 ที่จังหวัด
ตราดและวันที่ 2-4 กรกฎาคม 2551 ที่จังหวัดกระบี่ พบผู้ป่วยจากการสัมผัสแมงกะพรุนพิษท้ังหมด 54 ราย
เป็นผูป้ ว่ ยในพืน้ ที่จงั หวดั ตราด 9 ราย และเปน็ ผู้ปว่ ยในพืน้ ท่ีจังหวัดกระบ่ี 45 ราย แบง่ เป็นผู้ป่วยนอก 43 ราย
(ร้อยละ 79.63) ผู้ป่วยใน 10 ราย (ร้อยละ 18.52) เสียชีวิต 1 ราย (ร้อยละ 1.85) ผู้ป่วยเป็นชาวไทยจานวน
39 ราย อัตราการได้รับบาดเจบ็ จากแมงกะพรุนพิษในกล่มุ นกั ท่องเท่ียวคิดเปน็ 0.54 รายต่อนักท่องเที่ยวหนึ่ง
ลา้ นคน อาการท่พี บมากท่สี ุดได้แก่ ปวดแสบปวดรอ้ น (ร้อยละ 36.73) ปวดตามร่างกาย (รอ้ ยละ 26.53) และ
แน่นหนา้ อก (รอ้ ยละ 18.37) (สรุ ยิ า โปร่งน้าใจ, 2562)

สถานการณ์ของชายหาดบางแสน จังหวัดชลบุรี ซ่ึงเป็นชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก จากการเก็บข้อมูล
นกั ท่องเท่ียว บริเวณชายหาดทสี่ ัมผัสกระเปาะพิษแมงกะพรุนและมีอาการผ่นื แดง แสบรอ้ น ท่เี ข้ารบั การรักษา
ทีโ่ รงพยาบาลมหาวิทยาลยั บรู พา (สรุ ยิ า โปร่งนา้ ใจ, 2562) ดังนี้

2

ตวั อย่าง จานวนนกั ท่องเทย่ี วท่บี าดเจบ็ จากการสัมผัสแมงกะพรุนพษิ บรเิ วณชายหาดบางแสน จังหวัด
ชลบรุ ี (สรุ ิยา โปรง่ นา้ ใจ, 2562)

เดอื น ปี ท่ีเกดิ เหตุ รวม
2558 2559 2560
มกราคม 10
กมุ ภาพันธ์ 019 2
มีนาคม 011 16
เมษายน 277 67
พฤษภาคม 8 50 9 21
มิถนุ ายน 4 15 2 19
กรกฎาคม 388 80
สิงหาคม 0 13 67 81
กนั ยายน 2 72 7 105
ตุลาคม 8 65 32 142
พฤศจิกายน 8 47 87 47
ธนั วาคม 5 34 8 31
1 11 19

อุบตั ิเหตทุ างน้า สถติ ิอุบตั ิเหตทุ างนา้ ของประเทศไทย ระหว่างปี 2545-57 พบว่าอุบัติเหตุสว่ นมากเกิด
บริเวณชายฝ่ังในประเทศ จานวน 202 ครัง้ (49.8% ของจานวนอบุ ตั ิเหตุท้งั หมด) และบริเวณลาน้าในประเทศ
จานวน 182 ครง้ั (44.8%) รองลงมาเป็นอุบตั เิ หตุในทะเลระหว่างประเทศ (1.2%) และลาน้าระหว่างประเทศ
(0.5%) (วิทยา ยามว่ ง, 2559)

ปี ชายฝงั่ ใน ทะเลระหวา่ ง ลานา้ ใน ลาน้าระหวา่ ง พื้นที่ รวม

ประเทศ ประเทศ ประเทศ ประเทศ อนื่ ๆ 36
43
2545 21 2 11 0 2 50
22
2546 15 2 22 0 4 6
7
2547 24 0 26 0 0 36
40
2548 12 0 10 0 0 36
25
2549 0 06 00 26
20
2550 0 07 00 59

2551 24 1 10 1 0

2552 27 0 12 0 1

2553 15 0 19 0 2

2554 13 0 12 0 0

2555 8 0 13 1 4

2556 11 0 9 00

2557 32 0 25 0 2

3

อาหารเป็นพิษ ปัจจุบันอาหารทะเลได้รับความนิยมมากขึ้น และเป็นแหล่งโปรตีนที่สาคัญ ผู้บริโภค
นิยมรับประทานอาหารทะเลทั้งแบบดิบ เช่น กุ้ง หอยนางรม เป็นต้น และผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป เช่น
กะปิ กุ้งแช่แข็ง กุ้งแห้ง ปลาเค็ม เป็นต้น และจากการตรวจสอบทางเคมีและด้านจุลินทรีย์ พบว่าผลิตภัณฑ์
อาหารทะเลแห้งและแปรรูป มีการปนเปื้อนด้วยแบคทีเรียก่อโรคและสารเคมีสังเคราะห์เพ่ิมขึ้น ซ่ึงส่งผล
กระทบตอ่ สุขภาพของผูบ้ รโิ ภค (สบุ ัณฑิต นม่ิ รัตน์และวีรพงศ์ วฒุ ิพันธช์ุ ัย, 2557) ขอ้ มูลจากสานักระบาดวทิ ยา
กรมควบคมุ โรค ตัง้ แต่วันท่ี 1 มกราคม–23 ธนั วาคม 2562 พบผูป้ ว่ ยโรคอุจจาระร่วง จานวน 1,031,998 ราย
เสียชีวิต 8 ราย โดยกลุ่มอายุท่ีปว่ ยมากทสี่ ุด คือ อายมุ ากกวา่ 65 ปี รองลงมา คือ อายุ 15–24 ปี และ 25–34
ปี ตามลาดับ ส่วนโรคอาหารเป็นพิษ 105,672 ราย เสียชีวิต 1 ราย โดยกลุ่มอายุที่ป่วยมากท่ีสุด คือ อายุ
15–24 ปี รองลงมา คือ อายุมากกว่า 65 ปี และ 25–34 ปี ตามลาดับ ซึ่งอยู่ในกลุ่มวัยทางานและวัยผู้สูงอายุ
สาหรับอาหารท่ีมีความเส่ียงต่อการเกิดโรคติดต่อทางอาหารและน้าท่ีประชาชนควรเพิ่มความระมัดระวัง
เป็นพิเศษ 10 เมนูในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ ได้แก่ 1) จ่อม/ลาบ/ก้อยดิบ 2) อาหารทะเล 3) อาหาร
ประเภทยา 4) ส้มตา 5)ข้าวมันไก่ 6) ข้าวผัด/ข้าวผัดโรยเน้ือปู 7) อาหารหรือขนมที่มีส่วนประกอบของกะทิ
สด 8) ขนมจนี 9) สลดั ผกั และ 10) น้าแขง็ ทีผ่ ลติ ไม่ได้มาตรฐาน (กรมควบคมุ โรค, 2562)

ระบบสาธารณสุข
ระบบสาธารณสุข เป็นองค์ประกอบย่อย (Element) หรือระบบย่อย (Subsystem) หน่ึงใน

หลายๆ ระบบย่อยของระบบสังคม ระบบสาธารณสุขน้ีมีปฏิสัมพันธ์กับระบบย่อยอื่นๆ ท่ีจะทาให้เกิดการ
เปล่ียนแปลงสถานะทางสุขภาพตามเป้าประสงค์ของสังคมที่กาหนดขึ้น หรือระบบสาธารณสุข คือ กลไกทาง
สังคมซ่ึงแปรรูปทรัพยากรหรือปัจจัยนาเข้าให้เป็นผลผลิตในรูปบริการทางสุขภาพ โดยมุ่งแก้ปัญหาสุขภาพ
อนามยั ทม่ี ีอยู่ในสังคม ดังนั้น ระบบสาธารณสุขเปน็ ระบบท่ีประกอบข้ึนจากหลายๆ สว่ นทก่ี ารดาเนินงานแต่ละ
สว่ นมอี ิทธิพลต่อกันและกนั โดยมีเปา้ หมายทีส่ ขุ ภาพของมนุษย์

องค์การอนามัยโลก (WHO, 2007) ได้พัฒนาระบบสุขภาพและเสนอแนะเป็นแนวปฏิบัติที่สาคัญกับ
ทุกประเทศเรียกว่า หกบล็อกสาหรับการสร้างระบบสุขภาพ (six building blocks) ที่พึงประสงค์
ประกอบด้วย การมีภาวะผู้นาและการมีธรรมาภิบาลของรัฐบาล (leadership/ governance) กาลังคน
ด้านสุขภาพ (health workforce) สารสนเทศสุขภาพ (health information) อุปกรณ์การแพทย์และ
เทคโนโลยี (medical product & technologies) การเงินการคลังด้านสุขภาพ (health finance) และ
การจัดบริการสุขภาพ (service delivery) ท่ีส่งผลลัพธ์ต่อสุขภาพในภาพรวม คือ สุขภาพที่พัฒนา (improve
health) การตอบสนอง (responsiveness) ผ้รู บั บรกิ าร การปกปอ้ งความเสี่ยงทางสงั คมและการเงินการคลัง
(social and finance risk protection) และประสิทธภิ าพท่พี ัฒนา (improve efficiency) ในการจดั บริการ
สุขภาพ โดยผ่านกระบวนการการเพ่ิมความครอบคลุมการเข้าถึงบริการสุขภาพ (access coverage) และ
การสร้างคุณภาพการจัดบริการสุขภาพและความปลอดภัย (quality & safety) ของการจัดบริการสุขภาพ
สาหรับประชาชน

Six building ครอบคลุมการเขา้ ถึง 4
บริการ
การจดั บริการสุขภาพ Overall
(Service delivery) คุณภาพและความ
ปลอดภยั สุขภาพท่ีพฒั นา
กาลงั คนดา้ นสุขภาพ (Improve health)
(Health workforce)
การตอบสนอง
สารสนเทศสุขภาพ (Responsiveness) ผรู้ ับบริการ
(Health information)
อปุ กรณ์การแพทยแ์ ละเทคโนโลยี ปกป้ องความเสี่ยงทางสงั คมและการเงิน
(Medical product & technologies) การคลงั (social and finance risk protection)
การเงินการคลงั ดา้ นสุขภาพ
ประสิทธิภาพท่ีพฒั นา
(Health finance) (Improve efficiency)

ภาวะผนู้ าและธรรมาภิบาลของ
รัฐบาล

The six building blocks of a health system: aims and desirable attributes
(WHO, 2007)

องค์การอนามัยโลก (WHO, 2007) ได้ระบุถึงการสร้างระบบสุขภาพท่ีดีต้องประกอบด้วย
องคป์ ระกอบยอ่ ยทั้ง 6 ด้านประกอบด้วยด้านการมีภาวะผู้นาและการมีธรรมาภบิ าลของรฐั บาล ด้านกาลังคน
ด้านสุขภาพ ด้านสารสนเทศสุขภาพ ด้านอุปกรณ์การแพทย์และเทคโนโลยี ด้านการเงินการคลังด้านสุขภาพ
และการจัดบริการสุขภาพ (service delivery) โดยในแต่ละด้านต้องสามารถนามาปฏิบัติได้ในระบบสุขภาพ
ของทุกประเทศ โดยในแตล่ ะด้านมรี ายละเอียดดงั นี้

1) ด้านการมีภาวะผู้นาและการมีธรรมาภิบาล องค์การอนามัยโลกระบุว่าประเทศใดผู้นาขาด
ภาวะผู้นาและขาดการมีธรรมาภิบาลย่อมส่งผลต่อระบบสุขภาพเพราะว่าผู้นาท่ีขาดการมีธรรมาภิบาลย่อมไม่
สามารถตอบสนองการจัดบริการท่ีดีได้เนื่องจากจะทาให้ขาดความฉลาดในการใช้แหล่งทรัพยากรและ
การกระจายทรัพยากรอย่างมีประสทิ ธภิ าพ ด้วยระบบสขุ ภาพที่ดีและเกิดข้ึนได้จริง ส่วนใหญ่เกิดจากอิทธิพล
การพลกั ดันของผู้นาประเทศที่จะกาหนดและตัดสนิ ใจเลือกใชน้ โยบายสุขภาพให้เกิดขึ้นจริง นอกจากน้ผี ้นู าท่ีมี
ธรรมาภิบาลยังสามารถสร้างนโยบายท่ีมีประสิทธิภาพท่ีก่อให้เกิดความเสมอภาคและเป็นธรรมด้านสุขภาพ
ใหแ้ กป่ ระชาชนได้

2) ด้านสารสนเทศสุขภาพ องค์การอนามัยโลกได้ระบุว่า รัฐบาลท่ีดีต้องมีสารสนเทศทาง
สุขภาพท่ีดเี พ่ือใช้ท้าทายในการสร้างระบบสุขภาพที่ดี การมีสารสนเทศที่ดีรัฐบาลสามารถทาได้ คือ มรี ะบบ
การเก็บข้อมูล มกี ารพฒั นาระบบขอ้ มลู มกี ารพัฒนาระบบข้อมูลดา้ นสุขภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่องและ
มีความทันสมยั ขอ้ มูลทเ่ี กย่ี วข้องท่รี ฐั บาลแต่ละประเทศต้องมี คอื ขอ้ มูลพ้ืนฐานดา้ นสขุ ภาพและการระบาด
ของโรคโดยมีความครอบคลุมตั้งแต่หน่วยที่เล็กท่ีสุด คือ ต้ังแต่สารสนเทศระดับปัจเจกบุคคลจนถึงระดับ

5

องค์กรสุขภาพและประเทศ นอกจากน้ีรัฐบาลต้องกล้าลงทุนกับการพัฒนาระบบสารสนเทศทางด้านสุขภาพ
และมีระบบติดตาม ประเมินผลอย่างต่อเน่ืองเพื่อตรวจสอบคุณภาพสารสนเทศและการเข้าถึงสารสนเทศ
สขุ ภาพทเี่ ป็นสากล

3) ด้านระบบการเงินและการคลัง ระบบการเงินและการคลังถือเป็นหัวใจสาคัญที่จะพัฒนา
ระบบสุขภาพท่ีดีส่งผลให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีลดความไม่เป็นธรรมของการจัดบริการสุขภาพ และเพิ่ม
การเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชนในระดับพื้นฐานได้อย่างครอบคลุม นอกจากนี้ระบบการเงินและ
การคลังยังเป็นปัจจัยสาคัญท่ีจะทาให้ทุกประเทศสามารถสร้างระบบสุขภาพเป็นจริงจนได้ผลลัพธ์สุขภาพ
(health outcomes) ของประชาชนตามเปา้ หมาย

4) ด้านทรัพยากรสุขภาพ ในระบบสุขภาพที่เป็นจริง ทรัพยากรสุขภาพด้านกาลังคน ถือเป็น
สิ่งจาเป็นและสาคัญท่ีจะทาให้การจัดบริการสขุ ภาพเกิดความสาเร็จ กาลังคนสุขภาพ ในระบบสุขภาพที่ดีต้อง
มีท้ังสององค์ประกอบ คือ องค์ประกอบด้านปริมาณกาลงั คนท่ีเพียงพอและด้านคุณภาพกาลังคนที่มีทักษะทดี่ ี
ตามมาตรฐานการจดั บริการทีส่ ามารถตอบสนองบรกิ ารสุขภาพของผูร้ ับบริการได้

5) ด้านอุปกรณ์การแพทย์และเทคโนโลยี ระบบสุขภาพที่ดีต้องมีอุปกรณ์การแพทย์และ
เทคโนโลยี ท่ีสามารถนามาใช้ในการจัดบริการสุขภาพให้ครอบคลุมท้ังกิจกรรมบริการสุขภาพต่าง ๆ ที่จัดข้ึน
เพื่อเป็นการดูแลสุขภาพทั้งด้านการสร้างเสริมสุขภาพ การควบคุมป้องกันโรค การรักษาพยาบาล
และการฟ้ืนฟูสมรรถภาพที่เป็นแบบผสมผสาน ดังน้ันทุกประเทศจึงควรมีการผลิตหรือมีอุปทาน (supply)
เก่ียวกับอุปกรณ์การแพทย์และเทคโนโลยีให้มีการกระจายอย่างเพียงพอกับทุกกลุ่มของประชากร โดยเฉพาะ
กลุ่มท่ีไม่เข้าถึงบริการ ผู้บริหารต้องหาวิธีจัดการบริหารอุปกรณ์การแพทย์และเทคโนโลยีให้ได้อย่างมี
ความสอดคลอ้ งกับมาตรฐานการรักษา

6) ดา้ นการจัดบริการสขุ ภาพ ระบบสขุ ภาพท่ีมปี ระสิทธิภาพตอ้ งสามารถนามาจัดบรกิ ารสุขภาพ
กบั ผูร้ ับบริการไดจ้ ริงทง้ั ในภาวะสุขภาพดีและมีวิกฤติดา้ นสุขภาพการจดั บริการสุขภาพต้องครอบคลุมท้งั ระดับ
ปฐมภูมิท่ีมีเครือข่ายใกล้ชิดประชาชน ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับมหาภาคหรือระดับประเทศ นอกจากน้ี
การจัดบริการสุขภาพต้องมีการจัดบริการพ้ืนฐานบริการสุขภาพที่มีมาตรฐาน มีความปลอดภัย มีคุณภาพ
มีประสิทธิภาพ มีความต่อเน่ืองในการดูแลสุขภาพ และต้องมีกลไกในการตรวจสอบการเข้าถึงการบริการ
สุขภาพ อะเดย์และแอนเดอร์สัน (Aday & Andersen) ได้อธิบายหลักเกณฑ์การเข้าถึงบริการจากการใช้
บริการใน 2 ลักษณะ คือ การเข้าถึงเชิงองค์กรและเชิงสังคม (socio-organizational) และการเข้าถึงเชิง
ภูมิศาสตร์ (geographic) การเข้าถึงองค์กรและเชิงสังคมจะรวมถึงคุณลักษณะของแหล่งทรัพยากรท่ีสะดวก
หรือกัดขวางคนไข้จากการเข้าถึงการดูแลด้วย (เช่น เพศของผู้ซื้อ ค่าบริการ และผู้ให้บริการ) การเข้าถึง
บรกิ ารด้านภูมศิ าสตร์รวมถึงทางดา้ นเวลาและลกั ษณะภายภาพของการเดนิ ทาง

ระบบการจัดบริการ (Service delivery)

การจดั บรกิ ารสขุ ภาพโดยท่วั ไปแบง่ ตามระดับการให้บรกิ าร (Level of Care) โดยจดั แบ่งเป็น 5 ระดับ
คือ

1. การดูแลสุขภาพด้วยตนเองในระดับครอบครัว (Self Care Level) หมายถึง การพัฒนาศักยภาพ
ให้ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพด้วยตนเอง รวมถึงการตัดสินใจเลือกปฏิบัติในเรื่องท่ีเก่ียวข้องกับสุขภาพ
อนามัย แนวโน้มประชาชนมีความตระหนักในการดูแลตนเองด้านสุขภาพมากขึ้น เชน่ การลดการสูบบุหรี่หรือ
มีการออกกาลังกาย แต่ขณะเดียวกันการดูแลสุขภาพตนเองเม่ือ เจ็บป่วยน้อยลง โดยไปใช้บริการ
จากสถานพยาบาลท้ังของรัฐและเอกชนมากข้ึน

6

2. การบริการสาธารณสุขมูลฐาน (Primary Health of Care Level : PHC) หมายถึง การบริการ
สาธารณสุขที่ ดาเนินการโดยประชาชนด้วยกันเองและสามารถจะทาได้ในระดับชุมชน เป็นงานสาธารณสุข
แบบผสมผสานทัง้ การส่งเสริมสุขภาพ การปอ้ งกนั โรค การรักษาพยาบาลและการฟ้ืนฟูสภาพ ใช้วทิ ยาการทาง
การแพทย์และการสาธารณสุขท่ีใช้ไม่สูงมากนัก ซ่ึงจะเหมาะสมและสอดคล้องกับขนบธรรมเนียมและ
ความตอ้ งการของชุมชน การบริการสาธารณสขุ ในระดบั น้ี ผ้ใู หบ้ ริการคือ ประชาชนดว้ ยกนั เองและอาสาสมัคร
สาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) หรืออาสาสมัครประเภทอ่ืนท่ีเป็นประชาชนด้วยกันเองไม่ใช่เจ้าหน้าท่ีของ
รัฐ การบริการระดับนี้ จึงใกล้ชดิ กบั การดแู ลรกั ษาตนเองและบรกิ ารสาธารณสุขระดบั ต้นเป็นอยา่ งมาก

3. การจัดบริการสุขภาพระดับต้น (Primary Care Level หรือ Primary Medical Care : PMC)
เป็นการจัดบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่ดาเนินการโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประเภทต่างๆ และ
แพทย์ทั่วไป ลักษณะของระบบบริการสุขภาพระดับต้นของไทย นอกจากในระดับโรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพ
ตาบลและโรงพยาบาลชุมชน จะเป็นลักษณะที่ไม่มีพ้ืนที่รับผิดชอบที่ชัดเจน และทั้งหมดยังไม่มีลักษณะของ
การดูแลให้บริการแบบองค์รวมในระดับครัวเรือน นโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า จึงมุ่งเน้นการพัฒนา
ระบบบรกิ ารระดับตน้ ท่ีดแู ลแบบองคร์ วมทุกครัวเรือน ในอนาคตอนั ใกล้คงจะไดเ้ หน็ บริการระดับตน้ ท่เี ป็นองค์
รวมและเขม้ แข็งขน้ึ บรกิ ารสขุ ภาพระดับตน้ ในจังหวัดสงขลา ประกอบด้วยหน่วยบริการดงั น้ี คือ

• โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล (รพสต.) เป็นหน่วยบริการสุขภาพระดับตาบลหรือระดับ
หมู่บ้านท่ัวไป ท่ีอยู่ใกล้ชิดชุมชนมากที่สุด (First Line Health Service) ครอบคลุมประชากรประมาณ 1,000
– 5,000 คน มีเจ้าหน้าท่ีปฏิบัติประจา คือพนักงานอนามัย ผดุงครรภ์ พยาบาลเทคนิค ปัจจุบันบางแห่ง
มที นั ตาภิบาล พยาบาลวิชาชพี และนักวชิ าการสาธารณสขุ บรรจุเขา้ ทางานในสถานอี นามัยดว้ ย การใหบ้ รกิ าร
จะเน้นการ ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และรักษาพยาบาล ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ดาเนินการจะอยู่ภายใต้
การกาหนดมาตรฐานการนเิ ทศงาน และการสนบั สนนุ ทางวิชาการจากโรงพยาบาลชุมชน

• ศูนย์บริการสาธารณสุขของเทศบาล แผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลต่างๆ ท้ังของรัฐและ
เอกชนทุกระดับ รวมถึงการดาเนินการลักษณะเป็นคลินิกเวชปฏิบัติครอบครัว คลินิกชุมชน ศูนย์แพทย์ชุมชน
ศูนยส์ ุขภาพชมุ ชนตามโครงการหลกั ประกนั สุขภาพถ้วนหนา้ ตลอดจนคลนิ ิกเอกชน เปน็ การ
บริการผู้ป่วยนอกท่ัวไป โดยแพทย์และบคุ ลากรระดบั วิชาชีพ

• ร้านขายยา จัดเป็นบริการระดับต้นอย่างหนึ่ง ซึ่งดาเนินการโดยเภสัชกรหรือผู้ได้รับการอบรม
ความร้ดู า้ นยา

4. การจดั บริการสุขภาพในระดับกลาง (Secondary Care Level หรอื Secondary Medical Care
: SMC) เป็นการจัดบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ดาเนินการโดยแพทย์ท่ีมีความชานาญสูงปานกลาง
ประกอบดว้ ยหน่วยบริการทั่วไปและแพทยเ์ ฉพาะทางสาขาหลกั ดังนี้

• โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) เป็นหน่วยบริการสขุ ภาพท่ีให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสขุ
ระดับอาเภอ มีเตียงสาหรับผู้ป่วยต้ังแต่ 10 เตียง ไปจนถึง 150 เตียง ครอบคลุมประชากรต้ังแต่ 10,000 คน
ขึ้นไป มีแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอื่นๆปฏิบัติงานประจา การให้บริการจะเน้นหนักในด้านการ
รักษาพยาบาลมากกว่าสถานบริการในระดบั ตน้

• โรงพยาบาลท่ัวไปหรือโรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลขนาดใหญ่อ่ืนๆของรัฐ โรงพยาบาล
ท่วั ไปเปน็ โรงพยาบาลท่ตี ั้งอยูใ่ นระดับจงั หวัดหรืออาเภอขนาดใหญ่ มขี นาดและจานวนเตียงผปู้ ่วยตั้งแต่ 200 –
500 เตียง โรงพยาบาลศูนย์ คือโรงพยาบาลในระดับจังหวัดที่มีขนาดเกิน 500 เตียงข้ึนไปและมีแพทย์เฉพาะ
ทางสาขาตา่ งๆ ครบถว้ น

7

• โรงพยาบาลเอกชน ท่ีดาเนินการโดยไม่มุ่งกาไรหรือดาเนินการแบบธุรกิจ มีแพทย์ปฏิบัติงาน
ประจาหรือมาทานอกเวลาทางาน ประชาชนต้องเสยี ค่าบริการ

5. การจัดบริการสุขภาพระดับสูง (Tertiary Care หรือ Tertiary Medical Care : TMC) เป็นการ
จัดบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขอ่ืนๆ ท่ีต้องปฏิบัติงานโดยผู้เช่ียวชาญพิเศษ ประกอบด้วยหน่วย
บริการ ดงั นี้ คือ

• โรงพยาบาลศูนย์
• โรงพยาบาลทว่ั ไป
• โรงพยาบาลมหาวิทยาลยั และโรงพยาบาลใหญ่ของรฐั ในสงั กัดกระทรวงอน่ื ๆ
• โรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ ซึ่งมีแพทย์เฉพาะทางสาขาต่างๆ ครบถ้วน ส่วนมาก
เปน็ โรงพยาบาลเอกชนขนาดมากกว่า 100 เตียง

การมสี ่วนรว่ มของชมุ ชนด้านสขุ ภาพ (Participation) อาสาสมคั รสาธารณสขุ ชายฝงั่ ทะเล

กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายท่ีจะให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสขุ อย่างท่ัวถึง ตลอดจนมีสว่ น
ร่วมในการดาเนินงาน และพัฒนาสาธารณสุข ได้ใช้การสาธารณสุขมูลฐานมาเป็นกลวิธีหลักในการพัฒนา
ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (2520-2524) เป็นต้นมา โดยสนับสนุนให้มี
การดาเนินงานสาธารณสุขมูลฐานครอบคลุมพื้นท่ีทั่วประเทศ และส่งเสริมให้ชุมชนตระหนักในความจาเป็นท่ี
จะต้องแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของชุมชนเอง ซึ่งมีตัวจักรสาคัญในการดาเนินงาน คือ ผู้ส่ือข่าวสาธารณสุข
(ผสส.) และอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) ต่อมาในปี 2535 ได้มีการยกระดับอาสาสมัคร
สาธารณสขุ ให้มีเพียงระดับเดียวคือ อสม. ทีต่ ่างก็เสยี สละแรงกายแรงใจ เวลา และทุนทรัพย์ในการดาเนินงาน
พัฒนาหมู่บ้านให้สามารถพึ่งตนเองได้ โดยมิได้รับค่าตอบแทนใด ๆ ท้ังส้ิน บทบาทหน้าที่ของอาสาสมัคร
สาธารณสขุ ประจาหมูบ่ ้าน

การปฏิบัติงานสาธารณสุขมูลฐาน ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้านเป็นพฤติกรรมการทา
กิจกรรมท่ีเก่ียวข้องกับกิจกรรมตามขอบเขตที่วางไว้ ซ่ึงอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน มีสถานะภาพ
การเปน็ ผ้นู าด้านสุขภาพในชุมชน ทั้งมบี ทบาทในการเป็นผู้นาการดาเนนิ งานงานด้านสาธารณสขุ การเปน็ ผู้นา
ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ การเป็นนักวิเคราะห์ภาวะสุขภาพของชุมชน และการส่งเสริมสุขภาพ
ของประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน และมีหน้าท่ีสาคัญในการส่ือสารข้อมูลด้านสุขภาพระหว่างงานด้านสุขภาพ
และประชาชน โดยมีสโลแกนการทางานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้านท่ีพูดกั นติดปาก
ในการปฏิบัติงานที่สาคัญได้แก่ การแก้ข่าวร้าย กระจายข่าวดี ช้ีบริการ ประสานงานสาธารณสขุ บาบัดทุกข์
ประชาชน ทาตนเปน็ ตวั อยา่ งทด่ี ี โดยมีรายละเอยี ดหน้าที่ความรบั ผดิ ชอบดงั นี้

1. เป็นผู้สื่อข่าวสารสาธารณสุขเป็นการสื่อสารข้อมูลสาคัญด้านสาธารณสุข เพ่ือนาข้อมูล
การเปล่ียนแปลง การปฏิบตั ิ การแก้ไขปัญหาสาธารณสขุ ระหวา่ งเจ้าหนา้ ทที่ ่หี น่วยงานบรกิ ารสาธารณสุขและ
ประชาชนในหมู่บ้าน การนัดหมายกลุ่มเป้าหมายของกิจกรรมต่างๆมารับบริการ การแจ้งข่าวสาร
ด้านการระบาดของโรคติดต่อ เช่น โรคไข้เลือดออก โรคเลปโตสไปโรซีส โรคท้องร่วง รวมถึงการสื่อสารด้าน
ข้อมูลและผลการปฏิบัติงานไปแจ้งแก่ผู้นาและประชาชนในการงานเร่งด่วนด้านสุขภาพอื่นๆที่ได้รับการ
ประสานงานจากเจ้าหนา้ ทสี่ าธารณสุข

2. เป็นผู้ให้คาแนะนาถ่ายทอดความรู้ข้อมูลด้านสาธารณสุข เป็นหน้าท่ีสาคัญของ อสม.ที่จะแนะนา
เพ่ือนบ้าน และประชาชนใหม้ ีความร้ใู นการดูแลสขุ ภาพของตนเอง การปรับเปล่ียนพฤติกรรม เพื่อป้องกันโรค

8

ไม่ติดตอ่ เร้ือรัง เบาหวาน ความดนั โลหิตสงู โรคท่เี กดิ จากพฤติกรรม การให้มีความรว่ มมือรว่ มใจในการป้องกัน
ควบคุมโรคติดต่อติดต่อ เช่นโรคไข้เลือดออก การดูแลส่ิงแวดล้อม และการสุขาภิบาลส่ิงแวดล้อม สุขาภิบาล
อาหารใหม้ คี วามสะอาด การใช้ยาสามญั ประจาบ้าน การใช้ยาสมุนไพร การอนามัยแมแ่ ละเด็ก แกนนาสขุ ภาพ
ประจาครอบครัว การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค การสุขาภิบาลส่ิงแวดล้อมและการจัดหาน้าสะอาดโภชนาการ
วางแผนครอบครัว การดูแลรักษาและป้องกันสุขภาพเหงือกและฟัน การดูแลและส่งเสริมสุขภาพจิต
การป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ การป้องกันการแพร่กระจายของโรควณั โรคการป้องกันและควบคุมอุบัตเิ หตุ
อุบัติภัย การป้องกันและแก้ไขมลภาวะและส่ิงแวดลอ้ มท่ีเป็นพิษเปน็ ภัย การคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุข
ฯลฯ

3. เป็นผู้ให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชน ได้แก่เป็นการให้บริการในศูนย์สุขภาพชุมชน การชั่ง
น้าหนัก วัดส่วนสูง การคัดกรองผู้ป่วยเบาหวานความดันโลหิตสูง การกระจายเกลือไอโอดีน การควบคุม
ป้องกันโรคตดิ ต่อ เช่น การรณรงคค์ วบคุมป้องกันโรคไข้เลือดออก การส่งต่อผ้ปู ่วยและการติดตามดูแลผู้ป่วยที่
ได้รับการส่งต่อมาจากสถานบริการ การจ่ายถุงยางอนามัย การปฐมพยาบาลเบ้ืองต้น บาดแผล กระดูกหัก
ขอ้ เคลื่อน ฯลฯ การรกั ษาพยาบาลเบอ้ื งต้นตามอาการ

4. หมนุ เวียนกันปฏิบัติงานที่ศนู ย์สาธารณสุมูลฐานชมุ ชน โดยมีกจิ กรรมที่ควรดาเนนิ การ ได้แก่ จัดทา
ศูนย์ขอ้ มลู ข่าวสารของหมู่บา้ น ถา่ ยทอดความรู้และจัดกิจกรรมตามปัญหาของชุมชน การตรวจคัดกรองผู้ป่วย
เร้ือรัง การให้คาปรึกษาใหบ้ รกิ ารท่ีจาเปน็ ใน 14 กิจกรรมสาธารณสุขมูลฐาน

5. เฝ้าระวังและป้องกันปัญหาสาธารณสุขในหมู่บ้าน เช่น การเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรค
ไข้เลือดออกการแก้ไขปัญหาโภชนาการโดยการชั่งน้าหนักเด็กและร่วมแก้ไขปัญหาเด็กขาดสารอาหาร
การกระจายเกลือไอโอดีนเพ่ือป้องกันโรคคอพอก การแก้ไขปัญหาการใช้สารพิษในเกษตรกร การสารวจและ
ค้นหาปัญหาของชุมชน เฝ้าระวังด้านอนามัยแม่และเด็ก โดยการติดตามเยี่ยมบ้านเพื่อให้คาแนะนาแก่หญิง
มีครรภ์ให้มาฝากท้องและตรวจครรภ์ตามกาหนด การติดตามดูแลผู้พิการ การติดตามดูแลผู้มีปัญหา
ด้านสุขภาพจิต เฝ้าระวังด้านสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค โดยการติดตามให้มารดานาเด็กไปรับวัคซีนตามกาหนด
เปน็ ต้น

6. เป็นผู้นาในการบริหารจัดการวางแผนแก้ปัญหาและพัฒนาชุมชน เป็นการจัดทาแผนเพื่อแก้ไข
ปัญหาด้านสาธารณสุขในชุมชน โดยเริ่มจากการสารวจข้อมูลพ้ืนฐานของชุมชน เช่น จปฐ. (ความจาเป็น
พื้นฐาน) การวิเคราะห์ปัญหาสาธารณสุขชุมชน และนาข้อมูลมาจัดทาแผนเพื่อแก้ไขปัญหา ร่วมกับหน่วยงาน
อ่ืนในพื้นที่ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณใน หมวดอุดหนุนทั่วไปท่ีได้รับจากกระทรวงสาธารณสุข
โอนผา่ นองคก์ รปกครองส่วนท้องถ่นิ และหน่วยงานอน่ื ๆ

7. เป็นผู้นาในการชักชวนเพื่อนบ้านและคนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมกิจกรรมการพัฒนางาน
สาธารณสุขของชุมชน การปฏบิ ตั งิ านดา้ นสาธารณสุข เพ่ือแกไ้ ขปัญหาเพ่ือให้เกิดการพัฒนาทีย่ ั่งยืน จะต้องให้
ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาต่างๆในพื้นท่ีให้มากท่ีสุดโดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม
ในทุกๆขน้ั ตอนของการแก้ไขปญั หา เพอ่ื ใหป้ ระชาชนรู้สึกเป็นเจ้าของปัญหาและรว่ มกนั แก้ไขปัญหาของชุมชน
เอง

8. การสร้างแรงจูงใจในการทางานด้านสาธารณสุข งานด้านสาธารณสุขเปน็ งานที่ต้องแก้ไขปัญหาอยู่
ตลอดเวลา เม่ือแก้ไขปัญหาสิ้นสุดแล้ว ปัญหาเดิมอาจจะเกิดขึ้นอีกได้บ่อยๆเพราะเป็นปัญหาที่เกิดข้ึนจากคน
พาหะนาโรค และส่ิงแวดล้อม รวมท้ังพฤติกรรมของบุคคล จึงอาจทาให้รู้สึกเบื่อหน่ายได้ การสร้างแรงจูงใจ
จึงเป็นสิ่งสาคัญในการปฏิบัติงานด้านสาธารณสุข ทั้งในบทบาทของการเป็น อาสาสมัครสาธารณสุขประจา
หมู่บ้าน และบทบาทของการเป็นประชาชนในชุมชนน้ัน เพื่อให้มีขวัญกาลังใจ และเป็นส่ิงกระตุ้นให้ทางาน

9

และให้การทางานนน้ั ประสบผลสาเรจ็ และมคี วามย่ังยืนในการทาหนา้ ทใ่ี นบทบาท ของ อาสาสมัครสาธารณสุข
ประจาหมบู่ า้ นต่อไป

9. ดูแลสิทธิประโยชน์ด้านสาธารณสุขของประชาชนในหมู่บ้าน โดยการทาหน้าท่ีในการดูแล
ผลประโยชน์ของคนในชุมชนในเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการให้มากท่ีสุด ท้ังสิทธิใน
เรอื่ งการประกันสุขภาพสิทธิในการเข้าถงึ การบริการด้านอนามัยแม่และเด็กวัยเรียน วยั ร่นุ วยั ทางาน ผสู้ ูงอายุ
ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ โดยการสารวจ การประสานงานกับเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุข การให้คาปรึกษาคาแนะนา
และการช้ีแจงทาความเขา้ ใจในสทิ ธิประโยชนข์ ้นั พน้ื ฐานต่อไป

เอกสารอา้ งองิ

กองบรหิ ารงานสาธารณสขุ สานักงานปลดั กระทรวงสาธารณสขุ . (2560). การขับเคล่อื นแผนพัฒนาสขุ ภาพ
(service 2560-2564). กรุงเทพฯ โรงพิมพ์ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทยจากดั .

กองยุทธศาสตรแ์ ละแผนงาน สานกั งานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. (online). แนวทางการดาเนินงาน
สาธารณสขุ ทางทะเล: Maritime Public Health. นนทบรุ ี กระทรวงสาธารณสขุ .

กรมควบคุมโรค. (2562). กรมควบคมุ โรค แนะประชาชนยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” ป้องกัน 2 โรคตดิ ตอ่ ทาง
อาหารและน้าในช่วงเทศกาลปีใหม่. สืบคน้ จาก
HTTPS://DDC.MOPH.GO.TH/BRC/NEWS.PHP?NEWS เมอ่ื 24 ธนั วาคม 2563.

กรมสนบั สนุนบรกิ ารสขุ ภาพ. (2554). คมู่ อื อสม.ยุคใหม่. นนทบุรี กระทรวงสาธารณสุข.
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ. (2562). คมู่ ือ อสม.หมอประจาบ้าน. นนทบุรี กระทรวงสาธารณสุข.
วพิ ุธ พลู วเิ จริญและคณะ. (2557). ระบบสุขภาพและการบริการ. นนทบุรี สานักพมิ พ์ มหาวิทยาลยั สุโขทัย

ธรรมธิราช.
วิทยา ยาม่วง. (2559). การศึกษาแผนแมบ่ ทความปลอดภัยในการเดนิ เรือแมน่ า้ เจ้าพระยา และแมน่ า้ ป่าสัก

บริเวณจงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา. สานกั งานเจา้ ท่าภูมิภาคที่ 2.
สบุ ัณฑติ นม่ิ รตั นแ์ ละวรี พงศ์ วุฒพิ นั ธุ์ชัย. (2557). สารต้านจลุ ชีพชนิดใหม่จากแบคทเี รยี โพรไบโอติกเพ่อื ใชใ้ น

การควบคุมมาตรฐานทางแบคทีเรยี ในผลติ ภัณฑ์อาหารทะเลและแปรรูปในจังหวดั ชลบุร.ี คณะ
วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั บูรพา.
สุริยา โปร่งน้าใจ. (2562). การบาดเจ็บจากการสัมผัสแมงกะพรนุ พิษในเขตชายหาดบางแสน จังหวดั ชลบุรี :
อาการทางคลินิกและมาตรการป้องกัน. คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา.
WHO. (2007). Strengthening health systems to improve health outcomes Geneva: WHO

Document Production Services.
WHO.(2016). Handbook for management of public health events on board ships. cited 2020

Dec 11, Available from: file:///C:/Users/Asus/Downloads/9789241549462_eng.pdf.

1

แนวทางการจดั การทรัพยากรชายฝั่งทะเลแบบองคร์ วม (แบบบูรณาการ)

โดย รศ. ดร.สวุ ลักษณ์ สาธุมนัสพนั ธุ์

ชายฝ่ังทะเลเป็นบริเวณท่ีมีทรัพยากรต่างๆ อยู่เป็นจานวนมาก ซึ่งมนุษย์ได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชายฝั่ง
ทะเล ท้ังในด้านของการเป็นแหล่งอาหาร แหล่งที่อยู่อาศัย และการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ เช่น อุตสาหกรรม
การคมนาคม และการท่องเที่ยว เป็นต้น การใช้ประโยชน์โดยขาดการจัดการที่เหมาะสมนอกจากจะทาให้
ทรัพยากรชายฝ่ังทะเลอยู่ในสภาพที่เสื่อมโทรมแล้วยังทาให้เกิดความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์อีกด้วย อย่างไร
ก็ตามการจัดการทรัพยากรชายฝั่งทะเลมีการพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเรียนรู้จากประสบการณ์
ในการจัดการชายฝั่งในอดีตทั้งที่ประสบความล้มเหลวและประสบผลสาเร็จ มีการปรับปรุงรูปแบบของการจัดการ
ใหด้ ีหรอื เหมาะสมมากย่ิงขึน้ จนมาถงึ ในปัจจุบันซ่ึงการจัดการทรพั ยากรชายฝ่ังทะเลมลี ักษณะเป็นการจัดการแบบ
เป็นองค์รวมหรอื แบบบรู ณาการ

เมอ่ื เรยี นจบเน้อื หาในหัวขอ้ นี้แล้ว ผเู้ รยี นจะ
 สามารถอภปิ รายความหมายและแนวคดิ ของการจดั การทรัพยากรชายฝัง่ อย่างยัง่ ยนื ได้
 สามารถอธิบายองค์ประกอบของหลักการบูรณาการได้ มีความเข้าใจในกระบวนการจัดการชายฝ่ัง
และเข้าใจถงึ ผลลัพธ์ที่เกดิ ข้ึนจากการจัดการทรัพยากรชายฝ่งั ทะเลแบบบรู ณาการ
 สามารถนาหลกั การบูรณาการไปประยกุ ต์ใชใ้ นการวางแผนการจดั การได้

สาหรบั เน้ือหาสาระของแนวทางการจัดการทรัพยากรชายฝงั่ ทะเลแบบบูรณาการมีดังนี้

1. ความหมายและแนวคิดของการจดั การทรพั ยากรชายฝ่ังทะเลแบบบรู ณาการ
เปน็ การอธบิ ายความหมายของการจดั การฯ และนาแนวคดิ ของการพฒั นาอยา่ งย่ังยืนมาใชใ้ นการจดั การฯ

โดยการจัดการชายฝ่ังหมายถึง การควบคุมหรือการดาเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมาย วัตถุประสงค์ แผนหรือ
นโยบายการจัดการชายฝ่ังที่วางไว้ ซ่ึงก็คือ การแก้ไขปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรชายฝั่ง มีการจัดการการ
ใช้ประโยชน์และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ส่วนการบูรณาการ
ได้แก่ การรวมเป็นกันหน่ึงเดียว การผสมผสานให้เป็นหนึ่ง หรือองค์รวม ดังน้ันการจัดการทรัพยากรชายฝั่งอย่าง
บูรณาการจึงหมายถึง “กระบวนการจัดการท่ีมีการผสมผสานกันระหว่างหน่วยงานและแผนงานต่างๆ ที่เก่ียวข้อง
กลุ่มผู้ใช้ประโยชน์หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย องค์ความรู้ต่างๆ ท้ังทางวิทยาศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรม และ
เศรษฐกิจ เพื่อนามาวางแผนการพัฒนา และการนาไปปฏิบัติ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน”
โดยเป้าหมายหลกั ของของการใชป้ ระโยชน์อย่างยั่งยืนมี 3 ประการ คือ

1.1 การคงอยขู่ องระบบนเิ วศ (Ecosystem Integrity) หมายถึง การพัฒนาหรือกจิ กรรมใดๆ ของมนุษย์
ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศจนทาให้โครงสร้าง และการทาหน้าที่ของ
ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงไป ซ่ึงการพัฒนานั้นต้องไม่ทาลายแหล่งที่อยู่อาศัย และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อ
การดารงชีวิตของส่ิงมีชีวิต ต้องปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ และต้องไม่ทาให้ความสามารถในการฟื้น
ตัวเองของสิ่งมชี วี ติ สญู เสียไป

2

1.2 การพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ (Economic Efficiency) หมายถึง การพัฒนา
เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น โดยมีการใชท้ รัพยากรท่ีใชแ้ ล้วหมดไปให้น้อยลง แต่มีการใช้ทรัพยากรท่ีสามารถ
เกิดขึ้นใหม่มากข้ึน ต้องมีการใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสมโดยพิจารณาถึงความจาเป็นด้านพื้นฐานหรือสอดคล้อง
กับการดารงชวี ิต ไมค่ วรนาทรัพยากรมาใช้มากเกินความจาเป็น

1.3 ความเท่าเทียมกัน (Equity) ในท่ีนี้หมายถึงความเท่าเทียมกัน หรือความเป็นธรรมในสิทธิต่างๆ เช่น
การใช้ประโยชน์จากทรัพยากร หรือการพัฒนา เป็นต้น โดยเป็นความเท่าเทียมกันของคนในสังคมเดียวกันหรือ
ประเทศเดียวกัน และต่างสังคมกัน หรือระหว่างประเทศ (Social Equity หรือ Intra-generation Equity) และ
ความเท่าเทยี มกันของคนท่ีอยู่ในปัจจุบัน และในอนาคต (Inter-generation equity)

2. หลักการของการบูรณาการ ในการจดั การทรพั ยากรชายฝ่งั ทะเล
เป็นการอธบิ ายเก่ยี วกับหลกั การของการบรู ณาการในการจดั การทรัพยากรชายฝ่งั ทะเล ท่ีประกอบด้วย
2.1 การบูรณาการพ้ืนที่ (Spatial Integration) เนื่องจากชายฝ่ังได้รับอิทธิพลหรือผลกระทบจากบนแผ่นดิน

ต้ังแต่ท่รี าบลมุ่ ชายฝง่ั ไปจนถึงแผน่ ดนิ ตอนบน และอิทธพิ ลจากทะเลตั้งแตเ่ ขตทะเลลึกเข้ามาจนถึงน่านน้าชายฝ่ัง ดงั น้ัน
การจดั การชายฝ่ังอย่างบรู ณาการจึงไม่สามารถแบ่งแยกการจัดการออกจากกนั ได้

2.2 การบูรณาการผู้ท่ีเกี่ยวข้องหรือหน่วยงานทุกระดับ (Intergovernmental Integration) พ้ืนท่ีชายฝั่ง
มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ กลุ่มผู้ใช้ประโยชน์ ประชาชนทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกชาติ ซึ่งมี
ความเกี่ยวข้องกับการจัดการชายฝั่งมากน้อยแตกต่างกันไป ควรส่งเสริมให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วม
ในการจัดการ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นที่ยอมรับ โดยเฉพาะในระดับท้องถ่ิน โดยต้องอาศัยกลไกต่างๆ
ในการประสานงานและความร่วมมอื

2.3 การบูรณาการทรัพยากร (Sectoral Integration) ทรัพยากรชายฝั่งมีหลากหลายประเภท และมีการใช้
ประโยชน์จากชายฝั่งท้ังในด้านการผลิตและการบริการอย่างหลากหลาย ซี่งการจัดการการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร
ประเภทใดประเภทหนึ่ง อาจส่งผลกระทบต่อทรัพยากรประเภทอ่ืนที่มีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นการจัดการจาเป็นต้อง
ตระหนกั ถึงทรัพยากรสาขาอ่ืนๆ ที่เก่ยี วข้องดวั ย หรอื เป็นการจัดการที่ครอบคลุมทุกประเภทของทรัพยากร

2.4 การบูรณาการความรู้ (Science Integration) พื้นที่ชายฝ่ังมีปัญหาที่ซับซ้อนมาก ดังน้ันในการจัดการ
ชายฝงั่ จาเป็นต้องใช้องค์ความรู้จากหลายสาขาวชิ า เชน่ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ สังคม และวฒั นธรรม เปน็ ต้น

3. กระบวนการจดั การทรพั ยากรชายฝั่งทะเลอย่างบรู ณาการ
เป็นการนาเสนอกระบวนการจัดการฯ ท่ีมีลักษณะการดาเนินงานเป็นขั้นตอนต่อเน่ืองกันเป็นวงจร หรือ

เรียกว่า “วงจรการจัดการชายฝ่ัง (Coastal Management Cycle)” ซ่ึงประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ การริเร่ิม
โครงการ การจัดทาแผน การยอมรับแผน การปฏิบัติตามแผน และการประเมินผล การดาเนินการตามวงจรการ
จัดการชายฝั่ง ต้ังแต่ขั้นที่ 1 จนถึงขั้นที่ 5 หรือจนครบทุกข้ันตอนอาจใช้เวลาค่อนข้างนานคือประมาณ 8-15 ปี
การดาเนินการจนครบทุกข้ันตอนนี้สามารถเรียกได้ว่าเป็นวงรอบหรือรุ่น แผนการจัดการในวงรอบหรือรุ่นต่อไป
จะเป็นการขยายผลให้แผนงานกว้างขวางมากยิ่งข้ึน โดยอาจเป็นการขยายขอบเขตของพ้ืนที่ให้กว้างขวางมากข้ึน
หรือเปน็ การเพิม่ ประเด็นในการจัดการใหม้ ากข้นึ

3

การ การรเิ ร่ิม
ประเมนิ ผล โครงการ

การนาแผน การ
ไปปฏิบตั ิ วางแผน
การจัดการ

การยอมรบั
แผนการ
จดั การ

4. เครอ่ื งมอื ในการจดั การทรัพยากรชายฝ่งั ทะเลอย่างบรู ณาการ
เปน็ การนาเสนอเคร่ืองมือ เทคนิค หรอื วิธีการตา่ งๆ ที่ควรนามาใช้ในการจดั การฯ เช่น การมสี ่วนร่วมของ

ประชาชน การแบง่ เขตการใช้ประโยชน์พ้ืนท่ี การศกึ ษาผลกระทบส่งิ แวดล้อม กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การสอื่ สาร
และการประชาสัมพนั ธ์ เป็นต้น

5. ผลลัพธข์ องการจดั การทรพั ยากรชายฝั่งทะเลอยา่ งบูรณาการ
เป็นการอธิบายถึงผลลัพธ์ที่เกิดข้ึนจากการดาเนินการตามกระบวนการจัดการฯ จากการดาเนินการตาม

วงจรการจัดการชายฝ่ัง ต้ังแต่ขั้นที่ 1 จนถึงขั้นที่ 5 หรือจนครบทุกขั้นตอนของโครงการจัดการชายฝ่ัง คือ
การพัฒนาอย่างยั่งยืน มีความสมดุลระหว่างการพัฒนาและการอนุรักษ์ ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของชุมชนท่ีอยู่ใน
พน้ื ที่ชายฝง่ั และระบบนิเวศชายฝัง่ มีความย่ังยนื

ลาดบั ของผลลพั ธ์ตามวงจรการจดั การชายฝง่ั แบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ
ผลลัพธ์ลาดบั ท่ี 1 สภาพท่ีเอ้ืออานวยต่อการจัดการชายฝ่ัง เช่น มีหน่วยงานท่ีรับผิดชอบโดยตรงใน

การจัดการ มีทรัพยากร อย่างเหมาะสมและเพียงพอ (บุคลากรและงบประมาณ)
มีการวางแผนการจัดการชายฝั่งอย่างเป็นระบบ มีการยอมรับแผน การจัดสรร
งบประมาณ การนาแผนไปปฏิบัติ การติดตามตรวจสอบ การประเมินผลและ
การปรบั ปรงุ แผน
ผลลัพธ์ลาดบั ท่ี 2 เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย โดยเกิดความร่วมมือ
จากหน่วยงานที่เก่ียวข้อง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมในการจัดการ ปัญหาความ
ขัดแย้งลดลง มีการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ในการพัฒนาหรือการลงทุน
โดยตระหนักถึงความสาคัญของทรัพยากรชายฝ่ังมากขึ้น มีการ สร้างระบบ
สาธารณปู โภคที่จาเป็น หรือนาเทคโนโลยที ่เี หมาะสมมาใชใ้ นการแก้ไขปญั หา
ผลลพั ธล์ าดบั ที่ 3 การบรรลุเป้าหมายของการจัดการ โดยทาให้ทรัพยากรชายฝั่งได้รับการดูแล ฟ้ืนฟู
หรอื ปรับปรุงใหด้ ีข้ึน และสถานภาพด้านเศรษฐกจิ สังคมดขี ้ึน
ผลลพั ธ์ลาดับที่ 4 เกดิ การพฒั นาอยา่ งยงั่ ยืน โดยมีความสมดลุ ระหวา่ งการพัฒนาและการอนุรกั ษ์


Click to View FlipBook Version