The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

E book เขตทางทะเล และการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kotophopunk, 2022-04-22 01:00:25

E book เขตทางทะเล และการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

E book เขตทางทะเล และการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

28

พฒั นาเฉพาะในสว่ นของพน้ื ดนิ หรอื พนื้ นา้ อย่างใดอย่างหนง่ึ ควรจะได้รับการนามาปรับเสยี ใหม่ให้
มี ประสทิ ธภิ าพเพอื่ ใช้สาหรับบรเิ วณส่วนต่อระหว่างพนื้ ดินและทะเล

2.) นา้ เปน็ แรงธรรมชาตสิ าคัญที่สอดประสานระบบ
ทรพั ยากร ชายฝั่งตา่ ง ๆ เข้าดว้ ยกัน การจัดการและวางแผนทุก ๆ ดา้ นเกี่ยวกับชายฝั่งทะเลทีม่ ี
ความเกย่ี วขอ้ งกบั น้าในทางใดทางหนงึ่ ย่อมตอ้ งการการจัดระเบียบดาเนนิ การเปน็ พิเศษ และมคี วาม
ซับซ้อน

3.) พ้ืนทที่ ั้งสว่ นท่ีเปน็ ดินและนา้ ของพ้นื ที่ชายฝ่ังทะเล
จะตอ้ งนามาวางแผนและจัดการร่วมกนั เสมอ กระบวนการจดั การและวางแผนพัฒนาทรพั ยากร
ชายฝง่ั ทะเล ถือว่าบริเวณที่เป็นดิน นา้ และบรเิ วณท่อี ยู่ระหวา่ งระดบั น้าขึน้ และนา้ ลง (intertidal
areas) ของชายฝง่ั ทะเล เป็นบริเวณทมี่ ีความต่อเนอ่ื งกนั และแบ่งแยกไม่ได้ บรเิ วณนี้ตั้งอยู่
ระหวา่ งพน้ื ดินสว่ นแห้งทอ่ี ยสู่ ูงขนึ้ ไป และบรเิ วณทะเลลึกลงไป

4.) การพฒั นาทรพั ยากรชายฝ่ังทะเลอยา่ งต่อเนื่องและถาวร คอื จุดประสงค์
หลกั ของการจัดการและวางแผนพฒั นาพ้ืนทชี่ ายฝงั่ ทะเล สิ่งสาคัญกค็ อื ทรัพยากรที่สามารถฟน้ื ฟู
ไดค้ วรจะไดร้ ับการจดั การเพ่อื ใหเ้ กิดประโยชน์ต่อสงั คมและเศรษฐกิจในระดับที่ดีทสี่ ุด (optimum)
เพอ่ื ใหท้ รพั ยากรนนั้ คงอยแู่ ละยงั ประโยชนไ์ ด้อย่างตอ่ เน่ืองและยาวนานตอ่ ไป

5.) การจัดการและวางแผนพัฒนาทรัพยากรชายฝงั่ ทะเล เน้นการใช้
ประโยชน์หลายด้านจากทรพั ยากรทส่ี ามารถฟื้นฟไู ดเ้ ปน็ สาคญั การใช้ประโยชนจ์ าก
ทรพั ยากรชายฝง่ั ทะเลประเภทใด ๆ เพอื่ การใดการหน่งึ โดยเฉพาะ จึงเปน็ สงิ่ ทแ่ี นวความคิดดา้ น
การจัดการและวางแผนพฒั นาทรัพยากรชายฝัง่ ทะเลท่ใี ช้ในคู่มอื ฉบบั นี้ไมใ่ หก้ ารสนบั สนุนแต่
สนบั สนุนการใชป้ ระโยชน์โดยรวม ซ่งึ สามารถประสานจุดประสงคด์ ้านอนรุ ักษ์และดา้ นพัฒนาเขา้
ด้วยกนั ได้ดว้ ย

6.) จดุ รวมความสนใจของการจัดการและวางแผนพฒั นาชายฝัง่ ทะเลอยู่ท่ี
ทรพั ยากรซงึ่ เป็นสมบตั ขิ องสว่ นรวม ขณะทกี่ ลยทุ ธการวางแผนและจัดการอาจจะมีความ
จาเปน็ ต้องสรา้ ง
มาตรการควบคมุ กิจกรรมและการใชป้ ระโยชน์จากทรัพยส์ ินของเอกชน จุดประสงค์หลักของการ
จัดการและวางแผนพฒั นาชายฝง่ั ทะเลโดยท่ัวไปจะเปน็ ไปเพื่อดแู ลรักษาทรพั ยากรซึง่ เปน็ ทรัพย์สนิ
ของส่วนรวม

7.) การประสานผลประโยชนข์ องหลาย ๆ ฝ่ายทเี่ กยี่ วขอ้ งเป็นสงิ่ สาคญั
สาหรบั การจดั การและวางแผนพัฒนาชายฝัง่ ทะเล จดุ ประสงค์หลกั ของการจัดการและวางแผน
พัฒนาชายฝงั่ ทะเลคอื การประสานความพยายามในการพัฒนาภาคเศรษฐกิจต่างๆ ในพืน้ ท่ี โดย

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบนั บัณฑิต พัฒนบรหิ ารศาสตรแ์ ละวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่งิ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล
2/ คณะสิ่งแวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

29

คานงึ ถึงผลประโยชนต์ อบแทนทางสังคมและเศรษฐกจิ ในระดบั ทีเ่ หมาะสมและในระยะยาว รวมท้งั
ประสานขอ้ ขัดแยง้ ในการใช้ประโยชน์ตา่ งๆ ดว้ ย

8.) หน่วยงานของรัฐทุกระดับจะต้องมีส่วนเกยี่ วข้องกบั การจัดการและวางแผน
พฒั นาชายฝง่ั ทะเล การบริหารงานเกย่ี วกับการพัฒนาพ้นื ทีช่ ายฝง่ั ทะเลและทรพั ยากรชายฝั่งทะเล
มกั จะเปน็ งานท่ีซบั ซ้อน เนือ่ งจากขอบข่ายความรบั ผิดชอบของหน่วยงานตา่ ง ๆ ท่ีมีต่อพน้ื ทใี่ ดพน้ื ที่
หนงึ่ มตี ่างกัน ซ่งึ บางครงั้ จะกอ่ ใหเ้ กิดความขัดแย้งกนั ในการดาเนนิ งาน นอกจากนั้น ปริมาณของ
ทรพั ยากรซึง่ หนว่ ยงานต่างๆ ต้องรับผิดชอบร่วมกนั มีมากมายด้วยกัน ดงั นั้น การจัดการและ
วางแผนพัฒนาทรัพยากรชายฝง่ั ทะเลจงึ ต้องการความร่วมมอื กัน จากหนว่ ยงานท่ีเก่ียวขอ้ งทุกระดบั
ต้ังแต่ระดับชาติลงมาจนถึงระดับหมบู่ า้ น

9.) ขอบเขตพน้ื ที่ซง่ึ จะดาเนินการจัดการและวางแผนพฒั นาชายฝงั่ ทะเล จะถกู
กาหนดโดยเรือ่ งท่จี ะทาการจัดการและวางแผน ไม่มีคาหนง่ึ คาใดโดยเฉพาะทส่ี ามารถจอธิบายคาว่า
"พน้ื ทีช่ ายฝั่งทะเล (coastal area)" หรอื "เขตชายฝัง่ ทะเล (coastal zone)" ในความหมายที่ใช้
ตามกระบวนการจัดการและวางแผนพฒั นาชายฝ่ังทะเลในคูม่ อื ฉบับน้ี ทงั้ น้เี น่อื งจากกระบวนการน้ี
ถอื วา่ ขอบเขตพื้นที่ชายฝัง่ ทะเลตั้งอย่บู นพืน้ ฐานของปัญหาที่จะตอ้ งมุ่งแก้ไขในแตล่ ะเรื่อง และ
ขอบเขตพืน้ ท่จี ะตอ้ งสามารถปรบั ได้ เพ่อื ใหส้ อดคลอ้ งกับววิ ัฒนาการของกระบวนการวางแผน

10.)โครงสรา้ งของการจัดการและวางแผนพัฒนาชายฝง่ั ทะเล สรา้ งข้นึ เพ่อื ให้
การปฏบิ ัตงิ านสามารถทาได้อยา่ งค่อยเปน็ คอ่ ยไปเปน็ ขั้นเปน็ ตอน ในขณะทก่ี ารจดั การและ
วางแผนพฒั นาทรพั ยากรชายฝั่งทะเล (CMP) จัดทาขึ้นในระดับชาติ และครอบคลมุ เน้อื หาหลาย
ดา้ น (comprehensive) เรายังสามารถนาหลักการในการจดั การและวางแผนพฒั นาพ้นื ท่ดี งั กล่าวไป
ใชป้ ฏิบัตไิ ด้ ทง้ั ในการวางแผนเปน็ พ้ืนท่ี ๆ ไป (region by region) หรอื วางแผนพัฒนาทรัพยากร
แตล่ ะประเภท

11.) การจดั การและวางแผนพฒั นาชายฝง่ั ทะเล เน้นความสาคัญของการ
พฒั นาทีก่ ลมกลนื กับธรรมชาติ วธิ ีการที่ประหยดั ทีส่ ุดในการพัฒนาชายฝงั่ ทะเลคือ การยอมรับ
ความย่ิงใหญข่ องพลงั ธรรมชาตทิ ีม่ อี ยใู่ นบริเวณชายฝ่งั ทะเล และออกแบบโครงการตา่ งๆ เพอ่ื ใช้
ประโยชนจ์ ากพลงั ธรรมชาติ หรือปรับลักษณะของโครงการใหเ้ ขา้ กับพลังธรรมชาตเิ หล่าน้ี

12.)การจัดการและวางแผนพัฒนาชายฝง่ั ทะเล เน้นความสาคญั ของการ
วเิ คราะหป์ ระเมนิ ค่าทางสภาพแวดล้อม การนีต้ ้องการการวเิ คราะหว์ ิจัยทางกลวธิ ีต้งั แตเ่ รมิ่ ตน้
วางแผน และมุ่งเน้นทีค่ วามสามารถของระบบสภาพแวดล้อม ( environmental system)
ทจี่ ะค้าจุนการพัฒนาประเภทตา่ งๆ และระดบั ตา่ งๆ และตอบสนองการจัดการในรปู แบบตา่ งๆ การ
จัดการและวางแผนพฒั นาทรพั ยากรชายฝั่งทะเล (CMP) แตกต่างจากการศึกษาผลกระทบ
สิง่ แวดลอ้ ม (EIA) ตรงทก่ี ารจัดการและวางแผนพฒั นาทรพั ยากรชายฝั่งทะเล ต้งั ปญั หาถามวา่

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบันบณั ฑิต พฒั นบริหารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสง่ิ แวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
2/ คณะสิ่งแวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล

30

ระบบสภาพแวดลอ้ มจะไดร้ ับการสนบั สนนุ อยา่ งไร ในขณะท่ีการศกึ ษาผลกระทบสิ่งแวดลอ้ มตง้ั
ปญั หาถามว่า ทาอยา่ งไรจงึ จะลดผลกระทบของการพฒั นาตอ่ สงิ่ แวดล้อมลงได้ เราจงึ อาจจะนา
การศกึ ษาผลกระทบส่ิงแวดลอ้ มมาใชป้ ระโยชนใ์ นระยะหลงั ของข้นั ตอนการวางแผนได้ และ
นอกจากน้ีควรจะนาข้อมูลจากรายงานการศึกษาส่ิงแวดลอ้ ม (EA) ซ่งึ ครอบคลมุ เน้อื หากวา้ งขวางกวา่
มาใช้ประกอบดว้ ยเพือ่ ให้เกิดประโยชนย์ ่งิ ขนึ้

13.) รปู แบบเฉพาะของการประเมนิ คา่ ทางเศรษฐกจิ และสังคม เปน็ สงิ่ จาเป็น
สาหรับการจดั การและวางแผนพัฒนาชายฝ่งั ทะเล เนือ่ งจาก การพฒั นาทรัพยากรทส่ี ามารถฟืน้ ฟู
ไดม้ ีความซบั ซ้อน จงึ ต้องการวธิ กี ารพเิ ศษเพื่อทีจ่ ะช่วยแก้ข้อข้องใจเกีย่ วกบั ทางเลือกต่างๆ ในการ
พัฒนา ตลอดจนเกย่ี วกบั ตน้ ทนุ ท่ีจะต้องจา่ ยไปและกาไรทจี่ ะไดม้ าจากทางเลือกในการพฒั นาตา่ งๆ
กันเหล่านด้ี ้วย

6.2 การจดั การทรพั ยากรธรรมชาตชิ ายทะเล
การจดั การทรัพยากรธรรมชาตชิ ายทะเลน้ัน นอกจากต้องมกี ารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ชายทะเลเฉพาะอยา่ ง ควรคานงึ ถงึ ระบบการจดั การรวมด้วย เพือ่ ลดผลกระทบตอ่ ทรัพยากรอ่ืน
Snedaker และ Getter (1985) ไดใ้ หข้ ้อแนะนากอ่ นเริม่ กจิ กรรมการพฒั นา ดังนี้

1)แผนและการศกึ ษาสาหรบั กจิ กรรมการพัฒนาตา่ งๆ ตอ้ งคานงึ ผลกระทบทีค่ าดว่าจะ
เกดิ ขน้ึ กับทรัพยากรชายฝง่ั ทะเลทีส่ ามารถฟ้ืนฟไู ด้ ตลอดจนมมี าตรการการปอ้ งกัน

2)ถ้ากิจกรรมการพัฒนาอย่ใู นบรเิ วณลุ่มน้าตอนบนแลว้ ตอ้ งมกี ารพจิ ารณาถงึ ผลกระทบ
ที่เกิดข้นึ กบั ทรัพยากรชายฝัง่ ทะเลทอ่ี ยู่ตอนล่าง (อันเนอ่ื งมาจากการเปลยี่ นแปลงของคณุ ภาพน้า
หรอื ทางนา้ ไหล)

3)ตอ้ งพจิ ารณาเพ่ือป้องกนั การรักษาพืน้ ทีท่ ่มี คี วามสาคัญทางนเิ วศวทิ ยา เชน่ ที่ลมุ่
(wetlands) แหล่งหญา้ ทะเล (sea grass beds) และปะการัง ซ่งึ เป็นแหลง่ อาศยั ของสัตว์น้า
ตา่ งๆ

4) ต้องมกี ารปอ้ งกนั ล่วงหนา้ ท่ีเหมาะสมทจ่ี ะมใิ ห้มกี ารปลอ่ ยสารพษิ สารอาหารและส่ิง
ปฏิกลู ท่มี ากเกินไปลงสู่แหล่งน้าชายฝ่งั ทะเล เช่น นา้ เสียจากการอตุ สาหกรรม น้าเสยี จากชุมชน
และสารเคมีจากพื้นท่เี กษตรกรรม เป็นต้น

5) ควรมีความเอาใจใสอ่ ยา่ งเพยี งพอต่อ
- ความเค็มของน้าในแหล่งน้า
- อุณหภมู ขิ องนา้ ในแหลง่ น้า
- การขึ้นลงของนา้ ในแหล่งนา้
- การไหลของน้าและการหมุนเวียนของน้า
- ความโปรง่ ใสของน้าทีเ่ ป็นอยเู่ ดิม

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบนั บัณฑติ พฒั นบริหารศาสตรแ์ ละวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสง่ิ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
2/ คณะส่ิงแวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล

31

แนวทางในการจดั การของแตล่ ะ ทรัพยากรจะมีความแตกต่างกนั ไป จึงขอแยกกลมุ่ ในแต่ละ
กิจกรรมโดยสงั เขป ดงั นี้

6.2.1 การเกษตรกรรม พ้นื ทช่ี ายฝ่งั ทะเลทงั้ ที่เป็นที่ลุ่มและทด่ี อน และเหมาะท่ีจะ
นามาใช้ทางเกษตรกรรม ในส่วนของพน้ื ทีล่ มุ่ อาจมนี ้ากร่อยหรือนา้ ทะเลขนึ้ ถึงใช้ปลกู ข้าวทสี่ ามารถ
ทนความเค็มปานกลางไดห้ รือยกร่องปลูกไมผ้ ลและพืชผกั อื่นๆ ได้ สว่ นบริเวณท่ีดอนใช้ปลกู ไมผ้ ล
ยางพาราและพืชอตุ สาหกรรมตา่ งๆ

มีแนวทางในการจัดการ ดังนี
1) ควรมกี ารพฒั นาพนั ธพุ์ ืชทนเค็ม
2) มมี าตรการในการควบคมุ น้าและการระบายน้า โดยดาเนินการ 4 ประการ ดงั นี้
ก. ควบคมุ นาทว่ ม
ข. ควบคุมการรกุ ลาของนาเคม็
ค. ควบคุมระดบั นา
ง. ควบคุมมลพิษทางนา
3) ใช้ปุ๋ยและสารเคมีอยา่ งระมัดระวัง หรือใช้สารเคมีท่ีย่อยสลายได้ เพ่ือลดการสูญเสีย
และไหลลงสบู่ ริเวณชายฝ่ังทะเล
4) ไม่พฒั นาดินทมี่ สี ภาพเปน็ กรด ควรปลอ่ ยไวใ้ ห้เป็นพืน้ ที่ป่าชายเลน
5) พิจารณาใช้ท่ดี ิน เพอื่ การเกษตรเฉพาะท่อี ยเู่ หนือระดบั น้าทะเลเทา่ นั้น เพ่ือหลกี เลยี่ ง
ปญั หาดินเค็มและดนิ กรด
6) สนบั สนนุ ให้มกี ารจดั การที่ดีเก่ียวกับระบบชลประทาน เพื่อช่วยสนับสนนุ การ
เกษตรกรรมและปอ้ งกนั การรกุ ล้าของน้าเค็ม

6.2.2 การทาเหมืองแร่ ปจั จบุ ันในประเทศไทย พบว่า มีการทาเหมอื งอยู่ 2
ประเภทคอื เหมืองแรบ่ กและเหมืองแรใ่ นทะเล ผลของการทาเหมอื งก่อใหเ้ กิดผลกระทบอย่าง
รนุ แรงตอ่ พน้ื ท่ชี ายทะเล เน่อื งจากตะกอนนา้ ท้งิ จากเหมอื ง และโลหะหนักบางชนดิ ทาให้เกดิ ความ
ขนุ่ ขน้ ซ่ึงเกิดจากตะกอนแขวนลอยของอนุภาคดนิ และเกดิ การทบั ถมของตะกอนดินบรเิ วณแนว
หญ้าทะเล แนวปะการงั และสญู เสยี ทศั นียภาพของพ้นื ที่บรเิ วณที่ทาเหมอื งควรมกี ารจัดการ ดังน้ี

1) การทาเหมอื งในทะเล ควรอยใู่ นบริเวณนา้ ลกึ มีระยะห่างจากฝ่งั แนวปะการังและ
แนวหญา้ ทะเล

2) ห้ามปล่อยน้าท้งิ ทมี่ โี คลนและแรโ่ ลหะหนักลงสทู่ ะเลโดยตรง ควรให้มพี ื้นท่ปี ล่อยทงิ้ ใน
เขตพนื้ ท่ีทก่ี าหนดไว้และตอ้ งกระทบกระเทอื นต่อระบบนเิ วศนอ้ ยที่สุด

3) ควรมีการศกึ ษาและกาหนดเขตใหส้ มั ปทาน โดยทาการศึกษาสภาพแวดลอ้ มและ
ผลกระทบที่จะเกดิ ขึ้น รวมท้งั แนวทางการแก้ไขด้วย

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบนั บณั ฑิต พฒั นบรหิ ารศาสตร์และวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่งิ แวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล
2/ คณะส่งิ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล

32

6.2.3 ปา่ ไมช้ ายเลน ปัญหาท่เี กิดข้ึนกบั บริเวณทเ่ี ปน็ ป่าชายเลนทท่ี าให้
กระทบกระเทือนต่อระบบนเิ วศ ได้แก่ การใชป้ ระโยชน์จากป่ามากเกนิ ไป เช่น มกี ารตดั ฟนั ไม้มาก
ทาใหพ้ นั ธุไ์ ม้และพันธุ์สัตว์บางชนดิ สูญพนั ธไ์ุ ป นอกจากน้พี ้ืนทปี่ ่าชายเลนยงั ถกู บุกรกุ และ
เปลย่ี นแปลงพ้นื ทเ่ี พอื่ กจิ กรรมตา่ งๆ เช่น การเพาะเลีย้ งสัตว์น้า การทาบ่อปลา-ก้งุ โรงงาน
อตุ สาหกรรม ท่าเรอื และพฒั นาเป็นชมุ ชนที่อยูอ่ าศัย ด้วยเหตุดังกลา่ วนี้ทาให้ ระบบนิเวศบริเวณ
ปา่ ชายเลนเปลย่ี นแปลงไปเปน็ ผลกระทบต่อปรมิ าณไมป้ ่าชายเลนและสตั ว์ต่างๆ ในบรเิ วณน้อี ย่มู าก
แนวทางการจัดการบริเวณน้ีพอแยกกลา่ วโดยสังเขป ดังน้ี

1) ควรมกี ารศกึ ษาข้อมูลพน้ื ฐานของป่าชายเลนและมแี ผนเกยี่ วกับการจัดการอยา่ งเปน็ ระบบ
2) เพื่อเปน็ การหยุดยั้งการทาลายปา่ ยชายเลน จึงควรห้ามมีกิจกรรมใด ๆ ท่ีจะนาไปสู่

การเปลยี่ นแปลงสภาพปา่ ชายเลนได้
3)เรง่ ดาเนนิ การปลูกป่าชายเลน ซ่อมแซมในพ้นื ทที่ ีย่ งั คงไมเ่ ส่ือมโทรมและพน้ื ท่ชี ายทะเล

ทง่ี อกข้นึ ใหม่
4)ดาเนนิ การใช้ประโยชน์ทดี่ ินป่าชายเลนให้เป็นไปตามเขตท่กี รมปา่ ไม้ไดก้ าหนดไวอ้ ย่าง

เคร่งครัด
6.2.4 การพัฒนาเมืองและชุมชน ชมุ ชนไดแ้ พร่ขยายลงไปอยู่ในบริเวณชายฝั่งทะเล

มากข้นึ ซงึ่ มแี นวโน้มท่ีจะทาลายทรัพยากรธรรมชาตชิ ายทะเลมากขึน้ สง่ ผลกระทบต่อระบบนิเวศ
ชายฝั่งทะเลด้วยการกระทบกระเทอื นจะยงิ่ มากขน้ึ ด้วยสาเหตใุ หญ่ 4 ประการคอื ชุมชนมักนิยมอยู่
ใกลแ้ หลง่ นา้ มรี ะดบั การพัฒนาเพ่มิ ขึน้ การขยายหรอื เปลีย่ นแปลงสภาพแนวชายฝง่ั และความ
อ่อนไหวของระบบนิเวศชายฝัง่ ผลกระทบของการพัฒนาเมอื งและชมุ เช่น การสร้างถนน การ
สร้างระบบระบายน้าและระบบกาจัดของเสยี และสงิ่ ปฏิกูลตา่ งๆ เปน็ ต้น

แนวทางการจดั การดาเนินการ ดังน้ี
1) กาหนดเขตใหห้ ่างจากฝัง่ ทะเลทจ่ี ะไม่ยอมใหม้ ีส่งิ ก่อสรา้ งใดๆ เขา้ ไปในบริเวณนั้น
2) ควรมีการบาบัดของเสียและสง่ิ ปฏิกูลต่างๆ ก่อนที่จะปล่อยลงสแู่ หล่งนา้ ธรรมชาติ
3) กาหนดแหลง่ ชมุ ชนให้ไกลจากบรเิ วณป่าชายเลน ปากแม่น้าและบริเวณท่ีมีความอ่อนไหว
ต่อระบบนเิ วศ

4) อยา่ เปลยี่ นแปลงหรอื ทาลายทรพั ยากรธรรมชาตโิ ดยขาดการพจิ ารณา เช่น เนนิ
ทรายหรือสนั ทราย เปน็ เสมอื นกาแพงธรรมชาติท่เี ป็นแนวปะทะคลืน่ และลมทะเลทีพ่ ัดเขา้ สู่ฝง่ั

6.3 การจัดการทีด่ นิ เพ่ือการเกษตรกรรม
การจดั การทดี่ นิ เพอื่ การเกษตรกรรมตามกลุ่มดินท่ีมปี ัญหาดังได้กลา่ วมาแล้วข้างตน้ ถงึ ปัญหา
และแนวทางการจดั การทั่วๆ ไป ทางดา้ นการเกษตรกรรมในพ้ืนที่ชายทะเล เน่อื งจากทรัพยากรดิน
ในบริเวณนไี้ ดถ้ ูกจดั จาแนกเปน็ กลมุ่ ดนิ ต่างๆ รวม 14 กลมุ่ ดนิ ในกลุม่ ดนิ ตา่ งๆ เหล่าน้มี ีกล่มุ ดินท่ี

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบนั บณั ฑิต พฒั นบริหารศาสตรแ์ ละวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล
2/ คณะส่ิงแวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล

33

จดั ไวเ้ ปน็ กลมุ่ ดนิ ท่มี ปี ญั หาได้ 4 กลุ่มดิน ได้แก่ กลุ่มดนิ เค็มบรเิ วณท่ีราบลุ่มชายฝั่งทะเล กลมุ่
ดนิ กรดกามะถัน กลุม่ ดินทราย และกล่มุ ดนิ อนิ ทรยี ์ ในแต่ละกลุม่ ดินย่อมมสี ภาพของปัญหาและแนว
ทางการใชป้ ระโยชนต์ า่ งกนั ไป ดังน้นั จึงขอนามาแยกกล่าวถึงสภาพของปญั หาและแนวทางการใช้
ประโยชน์ เนน้ เฉพาะเพือ่ การเกษตรกรรม ไดด้ งั นี้

6.3.1 กล่มุ ดนิ เค็มชายทะเล และดนิ เคม็ ชายทะเลกรดแฝง (Coastal saline-
potential acid soil ) พบบริเวณ ท่ีราบลมุ่ ชายฝงั่ ทะเล (Tidal flat) ปจั จุบนั ยังคงได้รบั
อิทธพิ ลจากการขึ้น-ลงของน้าทะเล ซึ่งไดแ้ ก่พนื้ ทีป่ า่ ไมช้ ายเลน บางบริเวณถูกนามาใชป้ ระโยชนแ์ ละ
พัฒนามาใชเ้ พอื่ เพาะเล้ียงกุง้ ทะเล สตั วน์ ้าอน่ื ๆ และนาเกลือ ดินกลมุ่ นถ้ี กู จัดในกลุม่ ดนิ ท่ี 12 และ
13 ซง่ึ ประกอบไปด้วยชุดดิน ทา่ จนี (Tha Chin series) และบางปะกง (Bang Pakong
series) และตะก่ัวทุ่ง (Tha Kua Thung series)

ดนิ ชดุ ทา่ จนี เปน็ ดินเคม็ ชายทะเลที่มีเนือ้ ดนิ เปน็ ดนิ เหนียว หรือดนิ เหนียวปนทราย
แป้ง มีลกั ษณะเป็นดินเลนตลอดช้นั ดนิ ดนิ บนมสี ีดาปนเทา มีจุดประสีนา้ ตาลเลก็ นอ้ ย ส่วนดนิ ล่าง
เปน็ ดนิ เลนสเี ทาแก่ หรือสเี ทาปนเขยี ว ดนิ ลึกมกี ารระบายน้าเลวมาก เปน็ ดนิ เคม็ จดั ทป่ี ฏกิ ริ ยิ าดนิ
เปน็ กลางถึงเป็นดา่ ง (pH 7.0-8.0)

ดนิ ชดุ บางปะกงและดินชดุ ตะกว่ั ทุ่ง มลี กั ษณะดินและสภาพแวดลอ้ มคล้ายดนิ ทา่ จีน
แต่เปน็ ดินทีม่ สี ารประกอบกามะถันปนอยู่มาก ซงึ่ ตามปกตเิ มอื่ ดนิ เปยี กดินจะเป็นกลางหรือเป็นด่าง
เม่อื มีการระบายนา้ ออกหรือทาใหด้ นิ แห้งสารประกอบกามะถันจะแปรสภาพปลดปลอ่ ยกรดกามะถัน
ออกมาทาให้ดินเปน็ กรดจัดมาก และยงั เกดิ สารพิษบางอยา่ งถ้าไม่มกี ารจัดการที่เหมาะสมจะส่งผล
กระทบต่อการเพาะปลกู และการเพาะเลยี้ งสัตว์น้า

1) สภาพของปัญหา สภาพของปญั หาทีพ่ บบริเวณท่ีราบลุ่มชายทะเล
โดยเฉพาะในกลมุ่ ดิน Hydraquents สรุปโดยสังเขปดังนี้

(1.) ลักษณะดนิ ปา่ ชายเลน มสี ภาพเปยี กอย่เู สมอ เพราะได้รบั
อทิ ธพิ ลของน้าทะเลท่วมถงึ (tidal flat) จึงมีนา้ แชข่ ังอยตู่ ลอดเวลาหรือเกอื บตลอดเวลา เป็นดิน
ใหม่อายนุ ้อย การพฒั นาช้ันของดนิ นอ้ ยการเปล่ยี นแปลงของวตั ถุหรือสารประกอบต่างๆ ในดนิ นอ้ ย
จงึ มดี นิ เพยี ง 2 ชนั้ คอื A และ C มลี กั ษณะยงั ไม่เปน็ ดนิ สุก (Ripening) โดยวัดจากค่า N-
value บางแหง่ จะพบสารประกอบไพไรท์ (FeS2) อยใู่ นดนิ ลกึ 30-100 ซม. เม่อื ดนิ บริเวณน้ี
ถกู เปลย่ี นแปลงสภาพเป็นนาก้งุ หรอื กิจกรรมอนื่ ๆ ดนิ มีสภาพแห้งและสมั ผัสกับอากาศ ดินจะมี
ปฏิกริยาเปน็ กรดจดั ธาตุ ตา่ งๆเช่น อลูมินั่ม เหล็ก ทเี่ ป็นพิษจะถูกปลดปลอ่ ยออกมา ทาใหไ้ ม่
สามารถปลูกพชื หรอื ใช้เล้ียงสตั ว์นา้ ได้ นอกจากน้ีเมื่อดินปา่ ชายเลนถูกเปล่ียนใหอ้ ยใู่ นสภาพดนิ สุก
แลว้ เนอื้ ดินจะแหง้ และแข็งซ่ึงเป็นสมบัตทิ างกายภาพของดนิ ท่ีไม่เหมาะสมกับป่าชายเลน การจะ
ปรบั ปรุงเปลี่ยนแปลง ใหม้ ีสภาพปา่ ชายเลนเช่นเดิมกระทาไดไ้ มง่ ่ายนัก

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบันบัณฑติ พัฒนบรหิ ารศาสตร์และวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสง่ิ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล
2/ คณะสง่ิ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล

34

(2) ขอ้ จากดั ของดนิ ชายฝง่ั ทะเลซึ่งสว่ นใหญเ่ ปน็ ดนิ เค็ม ไม่เหมาะสมกับ
การเกษตร ถึงแมว้ ่าดินเคม็ ชายทะเลจะเปน็ ดนิ ทมี่ ีความอุดมสมบูรณ์สงู ซง่ึ ความอดุ มสมบูรณ์นนั้
ประเมนิ ได้จากค่า cation exchange capacity (CEC) หรอื ปรมิ าณประจบุ วกของธาตุต่างๆ ท่ดี ูด
ซบั กบั อนุภาพของดนิ ซงึ่ ดินเค็มชายทะเลจะมคี ่า CEC ประมาณ 20-40 me ต่อดิน 100 กรัม
แตก่ ม็ สี าเหตทุ ี่ทาให้ไมเ่ หมาะสมกับการเกษตรดงั นี้

(2.1) เป็นดนิ ที่มีนา้ ทะเลทว่ มถงึ ตลอดปี นา้ เค็ม ซ่งึ อยู่ระดบั เกือบถงึ ผวิ
ดิน ดินบรเิ วณนี้จงึ อม่ิ ตวั ดว้ ยนา้ การปลกู พชื จึงกระทาไมไ่ ด้

(2.2) เน้อื ดนิ เปน็ ดินเหนยี ว การระบายนา้ เลวและเป็นดนิ เลน ทาใหไ้ ม่
สามารถใชเ้ ครอื่ งจกั รกลขนาดหนักต่างๆ ได้จงึ ทาให้ยากแก่การปรับปรงุ

(2.3) มคี วามเคม็ ของดินสูง พชื เศรษฐกจิ บางชนิดไม่สามารถ
เจริญเติบโตให้ผลผลิตได้ การปลกู พืชต้องลา้ งดนิ เสยี ก่อน จงึ เปน็ ขอ้ จากัดในการหาแหลง่ นา้ จืดเพ่อื
นามาล้างดิน

(2.4 ) ดินบางแห่งมสี ารประกอบไพไรท์ เมือ่ แห้งโดยหรอื เม่ือไดร้ บั การ
ระบายนา้ และสัมผัสกบั อากาศจะแปรสภาพเป็นดนิ กรดจัด ซง่ึ ต้องปรับปรงุ แกไ้ ขจึงจะสามารถปลูก
พชื ได้

(2.5 ) บริเวณพืน้ ท่ีดนิ เค็มโดยท่วั ไปมกั ขาดนา้ จืด เพอื่ ใช้ในการลา้ งดนิ
และใชใ้ นการเพาะปลูก

(2.6 ) ที่ดนิ บรเิ วณชายทะเลมีราคาสงู การนาทีด่ นิ มาทาการเกษตรมักไม่
ค่อยคุ้มทุน ยกเวน้ การเกษตรทใี่ ห้ผลตอบแทนสูง

(3) การแพร่กระจายของดินเคม็ นา้ จากบ่อกุ้งกุลาดาและคลองระบายนา้ ซึง่
เปน็ น้าเค็มได้ซมึ ไปยังพนื้ ทกี่ ารเกษตร ในบรเิ วณใกลเ้ คียงทาให้บริเวณนั้นมี
น้าใตด้ ินสงู และเค็ม ดนิ บริเวณน้ันจะมสี ภาพเค็ม ไม่เหมาะสมกับ
การเกษตรอกี ตอ่ ไป เกษตรกรจานวนมากได้หยดุ ทาการเพาะปลูกและ
ปลอ่ ยทดี่ นิ ร้างโดยมไิ ดใ้ ช้ประโยชน์
(4) ปัญหาคณุ ภาพของนา้ การเลีย้ งกุ้งกลุ าดาโดยเฉพาะอย่างย่งิ การ

เลยี้ งแบบพฒั นา เมือ่ ระบายน้าออกจากบ่อก้งุ สแู่ หล่งนา้ ธรรมชาตแิ ล้ว จะก่อใหเ้ กิดปัญหาต่อ
สภาพแวดลอ้ ม เนือ่ งจากคุณภาพของนา้ ไดแ้ ก่ความเค็ม ปริมาณสารเคมี ตา่ งๆ จะมีปรมิ าณสงู
ปรมิ าณออกซิเจนต่า เศษของเหลือที่ย่อยสลายไม่หมดท่อี ยกู่ ้นบอ่ อีกเป็นจานวนมาก รวมท้งั โรค
ระบาดของกงุ้ ซึ่งเป็นการเพม่ิ มลพษิ ทางนา้ ทาให้คุณภาพของน้าไม่เหมาะสมกับสัตวน์ า้ และการ
เพาะปลูก

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบนั บัณฑติ พฒั นบริหารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสงิ่ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล
2/ คณะสิง่ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล

35

2 ) แนวทางแก้ไขปัญหา การนาดนิ กล่มุ Hydraquents มาใช้ในการเกษตรกรรมมี
แนวทางการดาเนนิ การโดยสงั เขปดงั น้ี

(1) ตอ้ งกาหนดเขตการใชป้ ระโยชน์ท่ีดินใหเ้ หมาะสม ในปัจจบุ นั ยังไม่มี
การกาหนดเขตการใชป้ ระโยชน์ท่ีดินในบรเิ วณชายฝัง่ ทะเล อยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม การนาทดี่ ิน
บางประเภทมาใช้ประโยชนอ์ ย่างไมเ่ หมาะสม จึงกอ่ ให้เกิดการเปล่ียนแปลงทางสงั คม และเศรษฐกจิ
ซง่ึ สง่ ผลกระทบระบบนิเวศและสิง่ แวดล้อมของพน้ื ที่

(2) การจัดระบบชลประทานอยา่ งเหมาะสม เปน็ การป้องกนั ไมใ่ หน้ ้าเสยี ท่ี
ถูกระบายทิง้ ถูกนากลบั มาใช้อีก กอ่ นท่ีจะมกี ารกาจดั มลภาวะตา่ งๆ ซ่งึ จะเปน็ การตดั ปญั หาการ
ระบาดของโรคสัตวน์ ้า ในบ่อกุ้งและเป็นการป้องกันไม่ใหเ้ กิดการแพร่กระจายของนา้ เค็ม เขา้ ไปใน
บริเวณพนื้ ทท่ี ีไ่ มต่ ้องการ

(3) ทาความเข้าใจกบั เกษตรผู้เล้ียงกุ้งและปลูกพืช ให้มกี ารใช้ประโยชน์
ที่ดนิ ตามเขตการใช้ประโยชน์ที่ดนิ ใหถ้ กู ต้องและเหมาะสม พร้อมทงั้ แนะนาถึงข้อดแี ละขอ้ เสยี ของ
การใช้ทดี่ นิ ท่ไี มเ่ หมาะสมและอาจนามาตรการทางกฎหมายมาใชร้ ่วมดว้ ยอยา่ งเหมาะสม เพอ่ื ให้เกิด
ประสิทธภิ าพสงู สดุ ในการแกป้ ัญหา

(4) การนาเทคโนโลยีการปรบั ปรุงดนิ มาปรับใชอ้ ย่างเหมาะสม เชน่
การใชว้ ัสดปุ รับปรุงดินเปร้ยี วและดนิ เคม็ การใชว้ ัสดปุ รับปรงุ สมบัตทิ างเคมีและกายภาพของดนิ
การเลอื กเลี้ยงสตั ว์และปลกู พชื ทเี่ หมาะสมตามการศกั ยภาพของที่ดนิ ทง้ั นีเ้ พือ่ ใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุด
ต่อการใช้ประโยชนท์ ่ีดิน

(5) การรักษาดลุ ยธ์ รรมชาติ จากการศึกษาพืน้ ที่ที่มกี ารเลีย้ งกุ้งกุลาดา
โดยศกึ ษาผลกระทบจากการเลีย้ งกุง้ ต่อคณุ ภาพนา้ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซงึ่ ผลกระทบพอสรุปไดว้ ่า
ป่าชายเลนจะเป็นแหล่งช่วยกรองของเสยี ทรี่ ะบายออกจากนากงุ้ และชว่ ยรกั ษาสภาพแวดล้อม
เนื่องจากนา้ ทีร่ ะบายออกจากนากุง้ ประกอบดว้ ยธาตุอาหารพืช ซง่ึ การมปี ่าชายเลน จะทาให้มีการนา
ธาตุอาหารพชื ไปใช้ประโยชน์ได้ และในขณะเดยี วกนั ทาให้คุณภาพของน้าดขี ้นึ ดงั นน้ั การเลย้ี งกงุ้
ทะเลจาเปน็ ตอ้ งมปี า่ ชายเลนควบคูไ่ ปดว้ ย ซ่ึงอตั ราส่วนของป่าชายเลนต่อพนื้ ทีน่ ากุ้ง ควรมีแนวปา่
ชายเลนกว้างมากกวา่ 25 เมตร เมื่อมีการทานากงุ้ ในแนวกวา้ ง 75 เมตร จากชายฝง่ั ทะเลสว่ นใน
อ่าวหรอื คุ้งนา้ คณุ ภาพน้าไม่ได้อยทู่ คี่ วามกว้างของแนวป่าชายเลนเพียงอยา่ งเดียว แตอ่ ยทู่ ก่ี าร
จัดการน้าให้มกี ารหมนุ เวียนในอา่ ว ซึ่งอาจตอ้ งมมี าตรการทางวิศวกรรมตา่ งๆ มาเสรมิ ดว้ ย เช่น
ระยะห่างของทอ่ หรือคลองนา้ ทงิ้ จากการนาน้าทะเลและน้าจดื เขา้ มายังพนื้ ที่ตามระยะเวลาของ
ฤดกู าลต่างๆ เป็นตน้

(6) ในบริเวณพ้นื ท่ที ่ีเคยใช้ประโยชนเ์ ป็นนากงุ้ กุลาดาและถกู ปล่อยให้ทิง้
รา้ ง เนือ่ งจากประสบกบั การขาดทุน ซ่ึงเป็นผลมาจากปัญหาคุณภาพของน้า ดนิ โรคระบาดและ

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบนั บัณฑิต พฒั นบรหิ ารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล
2/ คณะสิง่ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล

36

สิ่งแวดล้อมอ่ืนๆ พนื้ ท่นี ากุง้ ทถี่ ูกทงิ้ ร้างเหล่านไ้ี ดเ้ พิ่มปรมิ าณขึ้นทุกปี เมือ่ บรเิ วณพนื้ ทีเ่ ดมิ ใช้
ประโยชน์ไมไ่ ด้ เกษตรกรได้ยา้ ยไปทาการเลี้ยงกุ้งบริเวณใหม่เปน็ เช่นนีต้ อ่ ไปเร่อื ยๆ ปัญหาทีเ่ กดิ ข้ึน
จะทาให้บริเวณพ้ืนท่ีทใี่ ช้เล้ยี งก้งุ กุลาดานน้ั เกดิ สภาพดินเค็มและน้าเคม็ และเป็นบอ่ นา้ ไมส่ ามารถทา
การเพาะปลูกพืชไดอ้ ีกต่อไป แนวทางการแกไ้ ขปญั หาเพ่อื ใช้ประโยชน์พ้ืนทีบ่ รเิ วณเหล่านี้ นอกจาก
การปรับปรุงพื้นท่ี และล้างเกลอื ออกไป เพือ่ ใหด้ ินมีสภาพเหมาะสมกับการปลกู พชื ซงึ่ จะต้องใช้
งบประมาณลงทนุ ซึ่งสูงมาก และใชร้ ะยะเวลาดาเนนิ การทีค่ ่อนข้างนาน วธิ ีการท่เี หมาะสม
สถานการณ์ในปัจจบุ นั คอื ดดั แปลงพ้ืนที่ใหเ้ หมาะสมกับสภาพแวดลอ้ ม เช่น การเล้ยี งปลา ปลาน้า
กรอ่ ย คอื ปลากระพง ปลานวลจันทร์ เป็นต้น หรือปลาน้าจดื ที่ค่อนข้างทนเคม็ เชน่ ปลาหมอเทศ
และในบรเิ วณที่มีน้าเค็มเล็กน้อยการเล้ียงปลานิลกส็ ามารถกระทาได้ ซง่ึ วิธกี ารน้ีเป็นวธิ ีการทไี่ มต่ ้อง
ลงทุนสงู ในการปรับปรุงพ้ืนที่ และเมื่อมีการเลีย้ งปลาต่อเนอ่ื งกันระยะหนง่ึ พน้ื ทีเ่ หล่าน้ีจะลดระดับ
ความเคม็ ลงไปโดยธรรมชาติ หรอื อาจเล้ียงรว่ มกับการเลีย้ งไก่ขังกรง โดยสร้างโรงเรอื นเหนอื บ่อ
หรอื นากุ้งเก่า ท้งั นีต้ อ้ งมีระบบการจดั การทดี่ ี

(7) พิจารณาความเหมาะสมของพนื้ ท่ที จ่ี ะเข้าไปพฒั นาเพอื่ กจิ การ
ตา่ งๆ ทางดา้ นอตุ สาหกรรม และท่าเรือ ซ่ึงตอ้ งมีระบบการจัดการเรื่องมลพษิ และส่ิงแวดลอ้ มท่ีดี

(8) การใชส้ ารเคมี เชน่ ปยุ๋ และยาปราบศตั รพู ชื ควรใช้อย่าง
ระมดั ระวงั และเลือกยาปราบศัตรูพชื ชนิดยอ่ ยสลายไดง้ า่ ย

(9) การปรับปรุงดนิ เคม็ ชายทะเล ดนิ เคม็ ชายทะเลโดยท่ัวไปไม่
สามารถปลกู พชื เศรษฐกิจได้ แมว้ ่าจะมศี กั ยภาพทอี่ ดุ มสมบรู ณก์ ็ตาม การปรบั ปรุงใหส้ ามารถทาการ
เกษตรกรรม
อยา่ งถาวรนัน้ กระทาไดแ้ ต่ตอ้ งคานงึ ความเหมาะสมของพืน้ ที่ สภาพเศรษฐกิจและสงั คม ตลอดจน
สภาพสิง่ แวดล้อมต่างๆ ในลักษณะทคี่ ุม้ และไมก่ ระทบต่อระบบนิเวศ ซึง่ ปจั จัยเหลา่ นไ้ี ดน้ ามา
พิจารณาวา่ ควรดาเนนิ การปรับปรงุ พ้นื ทดี่ นิ เค็มชายทะเลต่อไปไดด้ ังน้ี

(9.1) ปรับปรงุ เพอ่ื การเกษตรกรรม การปรบั ปรงุ แก้ไขดนิ เค็มชายทะเล
เพ่ือการเพาะปลกู โดยปกติจะใช้เวลานานและลงทุนสูงซึ่งควรพิจารณาถงึ ผลตอบแทนซึ่งการ
ปรบั ปรงุ กระทาไดด้ งั น้ี

(9.1.1) สรา้ งคนั ดินกนั นาทะเล พรอ้ มประตูระบายนา การสร้างคันดนิ
เปน็ การป้องกนั น้าทะเลซึ่งมคี วามเค็มทีจ่ ะเข้ามาสะสมเกลอื ในดิน คันดินทสี่ ร้างตอ้ งให้สงู พ้น
ระดับนา้ ทะเลทขี่ นึ้ สูง (spring tide) และแขง็ แรงพอท่จี ะป้องกันการรว่ั ซึมของนา้ ทีจ่ ะไหลเขา้ มาใน
บรเิ วณทจี่ ะล้างดิน

(9.1.2) ขุดคลองระบายนาใหเ้ พยี งพอตามความจาเป็น การขดุ คลอง
ระบายนา้ มคี วามจาเป็นสาหรับการล้างเกลอื ออกจากดนิ เพ่อื ใหน้ า้ จืดหรอื นา้ ฝนล้างดนิ แล้ว ตอ้ ง

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบันบัณฑติ พัฒนบรหิ ารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสิง่ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล
2/ คณะส่งิ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล

37

ระบายออกเพือ่ ลดระดับความเค็มของดนิ ความลึกของคลองระบาย 1.50 เมตร ก็พอเพยี งสาหรบั
ไมย้ ืนต้น และระยะห่างของคลองระบายสายย่อยใช้ระยะ 20 เมตร ความลึก 0.50 เมตร เหมาะ
สาหรบั การล้างดนิ เค็มชายทะเล

(9.1.3) การดาเนินการลา้ งดนิ การล้างดนิ ใชน้ ้าชลประทานที่มีคณุ ภาพ
ดีหรือนา้ ฝน ดว้ ยการสง่ น้าจดื เขา้ มาชะดิน เกลอื จะถูกลา้ งออกไปจากดิน จากน้นั ก็จะถกู ระบายออก
หรือสูบออกจากบริเวณท่ีล้างดิน ปริมาณของเกลือในดินจะลดลงทุกปี การชะลา้ งในดินบนจะเกดิ
กอ่ นและมมี ากทสี่ ดุ และจะคอ่ ยๆ ลดลงตามความลกึ การใช้สารเคมีชว่ ยในการปรบั ปรงุ แก้ไข วิธี
นี้ ใชก้ ับดินเค็มและดนิ โซดิกที่มเี กลอื โซเดยี มอย่สู ูง การล้างด้วยนา้ จดื เพียงอยา่ งเดียวจะไมเ่ พยี งพอ
ต้องใช้แคลเซ่ยี มเข้าไปแทนท่ีโซเดยี ม เพอื่ ขบั เกลือออกไปจากดินโดยใชย้ ิปซ่มั (CaSO4) หรือ
กามะถนั ผงใสล่ งไปในดิน เพอ่ื เปลยี่ น NaCl และ Na2 CO3 ใหเ้ ปน็ Na2 SO4 ซ่งึ จะเปน็ พิษแกพ่ ืช
นอ้ ยกวา่ NaCl และ NaCO3 ทาให้ดนิ ลดความแน่นทบึ และซะเกลอื Na2 SO4 ดว้ ยน้าได้ง่าย

นอกจากน้ีแล้ว การใชอ้ นิ ทรยี ว์ ตั ถชุ ่วยในการปรับปรุงดินเค็มเป็นวิธกี าร
หนง่ึ ทจี่ ะปรบั ปรุงสภาพทางกายภาพของดิน ทาใหด้ ินไม่แน่นทึบ ทาให้ดนิ ไมส่ ูญเสียความชืน้ ลด
การระเหยของน้า ซงึ่
จะทาให้ไม่มีการพาเกลือจากดนิ ชน้ั ล่างมาสะสมบนผวิ หน้าดนิ และยงั เป็นการเพ่มิ ปรมิ าณ
อินทรยี วัตถุ และความอดุ มสมบรู ณ์แก่ดนิ ด้วย

(9.1.4) ลดระดับนาใต้ดิน การลดระดับน้าใตด้ ินลงไป โดยวธิ รี ะบายออก
หรอื สบู ออกซึง่ จะทาให้ดินแห้งและสกุ ซึ่งเปน็ สว่ นของการล้างดนิ เพราะเมอ่ื ดนิ แห้งจะแตกเปน็ รอ่ ง
ลกึ ลงไป ทาให้น้าซมึ ผา่ นไปไดเ้ รว็ ขึน้

(9.1.5) ปลกู หรอื รกั ษาพืชพรรณท่ีขึนอย่ใู นบรเิ วณท่ีล้างดนิ เค็ม เพ่อื ให้ปก
คลมุ และปรบั ปรงุ โครงสรา้ งของดนิ และระบบรากของพชื จะทาใหด้ นิ มีรูทาใหก้ ารระบายน้าของดินดี
ขึ้น การลา้ งดินเค็มจะเปน็ ไปไดเ้ รว็ ข้นึ

(9.1.6) การคัดเลอื กพนั ธพุ์ ืชทนเคม็ มาปลูก พืชแต่ละชนิดมกี ารทนเค็ม
ไมเ่ หมอื นกัน แม้แต่พืชชนิดเดยี วกนั ก็ยงั มคี วามแตกตา่ งในด้านความทนทานตอ่ ความเค็ม การ
คัดเลือกพนั ธุพ์ ชื ทนเคม็ มาปลูกกเ็ ป็นวิธกี ารหนึง่ ทม่ี ีความสาคญั เน่อื งจากการลา้ งดินเคม็ ต้องใช้ระยะ
เวลานาน จึงต้องคัดเลือกหาพนั ธ์พุ ืชท่เี หมาะสมและทนทานตอ่ ความเค็มไดด้ ี และให้ผลตอบแทนท่ีดี
จะทาใหม้ ีรายได้

จากการศึกษาโดยถอื เกณฑม์ าตรฐานความสามารถในการทนเคม็ ซงึ่ พจิ ารณาจาก
ระดับความเค็มท่ีทาให้ผลผลิตของพชื ลดลงไป 50 เปอรเ์ ซ็นต์ ในระดับตา่ งๆ มดี ังนี้

(1) พืชผักที่สามารถทนต่อความเค็ม ระดับ 2-4 ds/m ซึ่งเป็นพชื ผักที่ไว
ต่อความเค็ม ไดแ้ กถ่ ่ัวฝักยาว ผักกาดหอมใบ ค่ืนฉ่าย แตงร้าน แตงไทย

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบนั บัณฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่งิ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
2/ คณะสิ่งแวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล

38

(2) ทีร่ ะดับ 4-8 ds/m ซ่ึงเป็นพืชผักที่ทนเค็มปานกลางได้แก่ บวบ พรกิ
ยกั ษ์ ถ่วั ลันเตา น้าเตา้ หอมใหญ่ ข้าวโพด ผกั กาด หัวปลี ผกั กวางตงุ้ และกะหลา่ ปลี

(3) ทีร่ ะดับความเค็ม 8-12 ds/m ซึง่ เปน็ พชื ผักทนเค็มมาก ได้แก่ ผัก
โขม ผักกาดหวั มะเขอื เทศ คะน้า ถว่ั พมุ่ และผักบงุ้ จนี

(4) ที่ระดับความเคม็ 12-16 ds/m ซ่ึงเปน็ พืชผักทนเค็มจดั ได้แก่
หนอ่ ไม้ฝร่ัง กระเพรา และ ชะอม

(9.2) ปรบั ปรุงใหส้ อดคล้องกับสภาพธรรมชาติ เนือ่ งจากพน้ื ทบ่ี างแห่ง
ไมเ่ หมาะสมทจ่ี ะนามาปรับปรุงแก้ไขสาหรับการเกษตรกรรม จงึ ควรพิจารณาใช้ประโยชนส์ งู สดุ
สาหรบั พื้นทบี่ ริเวณนน้ั ๆ ซึ่งพอนามากลา่ วตามประเภทการใชป้ ระโยชน์ดังน้ี

(9.2,1) ปา่ ชายเลน ปา่ ชายเลนเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาตหิ ลากหลาย
เปน็ ระบบนิเวศวิทยาชายฝ่ังทะเลท่ีสาคญั ย่ิง ปจั จบุ นั ป่าไมช้ ายเลนไดถ้ กู บุกรุกทาลายลงไปมาก
สาเหตุหนงึ่ ท่ีสาคัญ คอื การบกุ รกุ เขา้ ทานากุ้ง จนเปน็ ทน่ี า่ วติ กว่า กาลังจะหมดไปและจะทาสภาพ
ดุลย์ธรรมชาตเิ สยี ไป ควรต้องดาเนินการเพมิ่ จานวนพนื้ ทป่ี ่าไมช้ ายเลน

(9.2.2) นาเกลือ พื้นท่ชี ายทะเลบางแห่งเป็นบรเิ วณฝนตกน้อยหรือ
บรเิ วณอับฝน ไม่มีนา้ จดื เพยี งพอเพอ่ื การเพาะปลูก และพน้ื ทีบ่ ริเวณนนั้ เหมาะสมอย่างอ่นื สาหรบั
การทานาเกลือ ควรจดั ให้เป็นพน้ื ทส่ี าหรับการทานาเกลอื เชน่ สมทุ รสงคราม เพชรบรุ ีฯ

(9.2.3) ปลกู ป่าไมโ้ ตเร็ว เป็นการปลูกไม้ทนเค็มบางชนิด เช่น ไม้สนฯ
เพือ่ ใชป้ ระโยชน์จากไม้ทาเสาเขม็ หรอื ทา เย่อื กระดาษเปน็ ต้น

(9.2.4) เป็นแหลง่ ท่องเท่ยี วพกั ผ่อน หรอื เพอ่ื กจิ กรรมทางสันทนาการต่างๆ
พนื้ ทบ่ี างแหง่ เหมาะสมสาหรับพัฒนาเปน็ สถานท่ีทอ่ งเท่ยี วพกั ผ่อนหรือทากจิ กรรมทางสันทนาการ
ตา่ งๆ เช่น สวนป่าชายเลนทมี่ ที างเดินใหล้ งไปศกึ ษาชนดิ พรรณไม้และธรรมชาตศิ ึกษา

(9.2.5) นากุง้ การเลย้ี งกงุ้ ทะเล ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในพนื้ ท่รี าบ
ลุ่มชายฝงั่ ทะเล การเพาะเล้ียงกงุ้ ทะเลมีหลายวธิ ี ซง่ึ แตล่ ะวธิ กี เ็ หมาะสมกบั สภาพพืน้ ท่ีตา่ งกนั ไป
ทงั้ นี้ ก็ขึน้ อยูก่ บั สภาพแวดลอ้ มด้วย การเล้ียงกุง้ ทะเลจะมวี ธิ ีการเลีย้ ง 3 แบบรายละเอยี ดโดยสังเขป
ดังนี้

การเลียงแบบธรรมชาติ (traditional farming) เปน็ การทานากงุ้ โดยอาศัย ลกู กงุ้ ทะเล
ทม่ี ากับนา้ ทะเลตามธรรมชาติ เม่ือสูบนา้ ทะเลเข้ามากกั ไว้ในนากงุ้ ลกู ก้งุ จะติดมาด้วย เม่อื ไดก้ าหนด
จะปลอ่ ยนา้ ออกเพอื่ จบั กงุ้ ซ่ึงการทานากุง้ แบบนน้ี ้าออกเพ่อื จับกุ้ง ซงึ่ การทานากงุ้ แบบนน้ี ้าทป่ี ลอ่ ย
ออกมาจะมคี ณุ ภาพเหมอื นนา้ ทะเล ซง่ึ จะไมม่ ผี ลกระทบต่อสง่ิ แวดล้อม

การเลยี งแบบก่ึงพฒั นา (Semi-intensive farming) เป็นการทานากงุ้ คลา้ ยกับการ
เล้ียงแบบธรรมชาติ แตก่ ารปล่อยลูกก้งุ ทไ่ี ด้จากการเพาะฟกั ลงไปเสรมิ กบั ลูกก้งุ ตามธรรมชาติ และ

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบนั บัณฑติ พฒั นบริหารศาสตรแ์ ละวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสิง่ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
2/ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล

39

มกี ารให้อาหารเสรมิ เชน่ ปลาเปด็ ราขา้ ว หรืออาหารผสม ซง่ึ การเลี้ยงแบบถงึ พัฒนาน้ี ลกู กงุ้ ที่เลี้ยง
ในแตล่ ะบ่อไมม่ ีความหนาแน่นมากนกั ประมาณ 5 ตวั /ตารางเมตร การเลี้ยงยังต้องอาศัยธรรมชาติ
นา้ ทีร่ ะบายออกไมม่ ผี ลกระทบตอ่ สิง่ แวดลอ้ ม

การเลียงแบบพัฒนา (intensive farming) การทานากุ้งแบบพฒั นาจะเลีย้ งในบ่อขนาด
พืน้ ท่ี 2-4 ไร่ แต่ละบ่อมีความลกึ ประมาณ 1.5-2.0 เมตร ปริมาณลูกกุ้งท่ีปลอ่ ยลงบอ่ เพ่อื เลีย้ งน้ัน
จะหนาแน่นมาก ประมาณ 25-40 ตัว/ตารางเมตร แล้วแตค่ วามตอ้ งการของเกษตรกร มีการให้
อาหารอยา่ งเต็มท่ี มีอปุ กรณแ์ ละเทคนิคในการจัดการเลี้ยงท่ีทันสมัยมีเคร่อื งตนี า้ หรอื พน่ อากาศ เพ่ือ
เพ่ิมออ๊ กซิเจนในนา้ ใชส้ ารเคมีชนิดต่างๆ ทงั้ รูปสารอินทรียแ์ ละอนินทรยี ์ ซงึ่ เกษตรกรเชอ่ื วา่ จะช่วย
ใหก้ ารปรบั ปรงุ คณุ ภาพของน้า นอกจากนยี้ งั มีการใช้ยาและสารเคมตี ่างๆ เพ่อื ปอ้ งกนั และรกั ษาโรค
รวมท้งั ใหอ้ าหารเสรมิ การเล้ียงกุง้ แบบพฒั นานี้ เมือ่ ระบายนา้ ออกจากนาก้งุ สแู่ หลง่ น้าธรรมชาติ
แล้ว จะก่อให้เกิดปญั หาต่อสภาพแวดล้อมเนอ่ื งจากคุณภาพแตกต่างจากแหลง่ นา้ ธรรมชาตมิ ากซงึ่
ได้แก่ ความเค็ม ปริมาณสารเคมี และยาต่างๆ มปี รมิ าณสูง ออกซเิ จนในนา้ ตา่ และของเหลอื ที่
ยอ่ ยสลายไม่หมดจาพวกเศษอาหารทีต่ กค้างและอืน่ ๆ บางส่วนจะอยทู่ ี่ก้นบ่ออกี เปน็ จานวนมาก

6.3.2 กลุ่มดินเปรีย้ วจัดหรือกลมุ่ ดนิ กรดกามะถัน (Acid sulfate soils) ดินกลุ่ม
น้พี บบรเิ วณท่ีราบลมุ่ ชายทะเลเขา้ ไปตอนในแผ่นดิน ซึ่งเปน็ บริเวณท่ีน้าทะเลเคยท่วมถึงมาก่อน
(Former tidal flat) กลมุ่ ดินนี้ได้จาแนกตามระดับความลกึ ของชนั้ ท่ีพบสารประกอบของกามะถัน
ท่เี รียกว่า สารจาโรไซต์ (Jarasite) ไดแ้ ก่ดนิ ชุด องครักษ์ (Ongka rak series) ดินชดุ มโู นะ
(Muno series) ดนิ ชุดเชียรใหญ่ (Chianyai series) และดนิ ชดุ รังสิต ประเภทท่กี รดจดั มาก
(Rangsit strongly acid phase) ดนิ กล่มุ น้มี ีเนื้อดินเป็นพวกดินเหนยี ว ดินบนมสี ีดาหรอื สเี ทาแก่
ดินลา่ งมสี ีเทา ทีม่ ีการระบายนา้ เลว ดนิ มจี ุดประสีน้าตาลปนเหลอื ง หรอื แดง และพบจดุ ประสี
เหลืองฟางข้างของสารจาโรไซต์ ภายในระดบั 40 เซนตเิ มตร จากผิวดนิ จงึ ทาให้ดินเปน็ กรดจัดมาก
(pH น้อยกวา่ 4.5 ) กลุม่ ดนิ นม้ี ักขาดธาตุอาหารพชื พวกไนโตรเจนและฟอสฟอรัส ในขณะเดยี วกัน
มสี ารละลายพวกอลมู นิ มั และเหลก็ เปน็ ปริมาณมากจนเปน็ พษิ ต่อการปลกู พชื ดนิ ในกลุม่ ที่ 11 ดินมี
ลกั ษณะโดยท่วั ไปเช่นเดียวกับดนิ ในกลมุ่ ที่ 10 ตา่ งกนั ทีช่ ั้นของความลึกทีพ่ บสารจาโรไซตข์ องดิน
กลุ่มน้ีพบท่รี ะดบั ความลึกต้งั แต่ 50 ถงึ 100 เซนติเมตร จากผวิ ดนิ ดินกลมุ่ นี้สามารยกร่องปลูก
พืชตา่ งๆ ได้ดพี อสมควรแตต่ อ้ งมีมาตรการการจัดการทีด่ ี ดนิ กลุ่มน้ีไดแ้ ก่ ดนิ ชุด รงั สติ (Rangsit
series) ดินชุดเสนา (Sena series) ดินชุดธญั ญบุรี (Tanya Buri series) และดินชุดดินดอนเมอื ง (
Don Muang series) เป็นต้น

กลุม่ ดนิ ที่พบบรเิ วณทรี่ าบลุ่มต่าชายฝั่งทะเล หรือบรเิ วณพ้ืนทแี่ อ่งลุม่ ตา่ หรอื พรุ
(Swamp) เป็นดินเหนยี วลกึ มกี ารระบายน้าเลว ดนิ บนมีสดี าหรือสีเทาปนดา ซงึ่ มีปริมาณ

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบนั บัณฑิต พฒั นบริหารศาสตร์และวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล
2/ คณะสิง่ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล

40

อนิ ทรยี ์วตั ถุสงู ดนิ ล่างมสี เี ทา มจี ุดประสีเหลอื ง และสนี า้ ตาลปะปนเล็กน้อย ดนิ ล่างช่วงความลกึ
กว่า 80 เซนตเิ มตร มลี กั ษณะเปน็ ดินเลนสเี ทาปนเขียวท่มี สี ารประกอบกามะถันปนอยมู่ าก
ปฏิกิริยาดินเปน็ กรดจัดมาก (pH นอ้ ยกวา่ 4.5) ดนิ กลุ่มนีไ้ ด้แก่ดนิ ชุด ระแงะ (Rangea series)
และต้นไทร (Tonsai series) เปน็ ต้น

สาเหตุที่ดินเปร้ยี วจัดไม่เหมาะสมกบั การปลกู พืช เป็นทที่ ราบโดยท่วั ไปวา่ ดนิ เปร้ียวจดั ไม่
เหมาะสมกับการปลกู พืช จากการทดลองพบว่าระดับความเปน็ กรดหรือปรมิ าณความเข้มขน้ ของ (H+)
ในดินไม่มีผลโดยตรงตอ่ การเจริญเติบโตของพืช แตเ่ หตุทก่ี ารปลูกพชื ในบรเิ วณพน้ื ทด่ี ินเปรยี้ วไม่
ไดผ้ ล เน่อื งจากสภาพทางเคมี และชีวภาพของดินถูกเปล่ยี นไปในทางที่ไมเ่ หมาะสมกบั พืชมากกวา่

สาเหตุเหลา่ น้พี อจะแบ่งออกไดเ้ ปน็
1) การขาดธาตอุ าหาร ระดบั ของธาตุอาหารพืชในดินจะมคี วามสัมพนั ธ์อุ ยา่ ง
ใกล้ชดิ กับความเป็นกรดในดิน ดินที่เปน็ กรดจัด ธาตุอาหารพืชบางชนดิ จะเปล่ยี นไปอยู่ในรูปทพี่ ืชไม่
สามารถจะใชป้ ระโยชนไ์ ด้ หรอื อาจจะมีบางธาตุที่ละลายออกมากในปรมิ าณท่ีมาก จนถึงระดับทเี่ ป็น
พษิ ต่อพืช โดยมีรายละเอียดโดยสงั เขปดังนี้
1.1) ระดบั ของไนโตรเจนและกามะถนั ระดบั ความเปน็ กรดหรอื pH ของดินไม่
มผี ลโดยตรงตอ่ ความเปน็ ประโยชนต์ ่อพชื ของธาตุ ไนโตรเจนและกามะถนั แต่มีความเกยี่ วพนั ใน
ทางอ้อม กล่าวคอื ระดับปฏิกิริยาของดินจะเก่ยี วขอ้ งกับกจิ กรรมของจลุ ินทรยี ภ์ ายในดินเปน็ อยา่ ง
มาก จุลนิ ทรีย์ดินโดยเฉพาะอยา่ งยิ่งพวกแบคทีเรีย จะทางานเตม็ ประสิทธภิ าพเม่ือปฏกิ ิรยิ าของดิน
ใกลๆ้ เปน็ กลาง เมอ่ื ดนิ เป็นกรดจะทางานไดช้ ้าลงตามลาดับ ส่วนจลุ นิ ทรียด์ นิ พวก fungi จะ
ทางานไดด้ ีกวา่ พวกแบคทีเรยี เมอ่ื ปฏกิ ริ ิยาดนิ เป็นกรด แมป้ ฏกิ ริ ิยาของดินจะเป็นด่าง fungi จะ
ทางานได้ดเี หมือนกัน แต่ส้พู วกแบคทีเรยี ไมไ่ ด้ กจิ กรรมของพวกจุลินทรยี ใ์ นดินจะควบคมุ ระดบั
ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั และกามะถันทีพ่ ชื ใช้เป็นประโยชน์ได้ในดนิ เมอ่ื กิจกรรมของจุลนิ ทรีย์ดาเนิน
ไปได้ดีปรมิ าณของ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และกามะถัน ในดินท่ีเป็นประโยชนต์ ่อพืชกจ็ ะสูงตามไป
ดว้ ย นอกจากน้นั ขบวนการตรงึ ไนโตรเจนจากอากาศโดยจุลนิ ทรีย์บางชนิดจะดาเนินไปได้ดีเมื่อ
ปฏิกิรยิ าของดนิ อยู่ระหวา่ งเปน็ กลางและเป็นกรดอย่างอ่อน ดังน้นั จงึ เปน็ เหตผุ ลว่าทาไมเราจึงตอ้ งใช้
ปนู ใส่ลงไปในดินทเ่ี ปน็ กรดและยกระดับของปฏกิ ิรยิ าดินให้สงู เปน็ 6.5-7.0 เสียกอ่ นจึงจะปลกู พืช
ตระกลู ถวั่ ไดผ้ ลดี
1.2) ระดับฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ ปฏกิ ิรยิ าของดินมอี ิทธิพลต่อฟอสเฟตท่ี
พชื จะเอาไปใชเ้ ป็นประโยชนไ์ ด้อย่างเหน็ ได้ชัดเมอื่ ดนิ เป็นกรดมากๆ จะทาให้เกดิ การตรงึ ฟอสเฟตให้
อยู่ในรูปของเหลก็ และอลมู นิ มั่ ฟอสเฟต ซึง่ ยากแก่พชื ทจี่ ะนาไปใชเ้ ป็นประโยชน์ได้ ทัง้ นีเ้ นื่องจาก
เม่อื ปฏกิ ิริยาดนิ ตา่ กว่า 5 จะมเี หลก็ และอลมู นิ มั่ ที่อยูใ่ นสภาพท่ีละลายน้าไดม้ ากขนึ้ เม่ือใส่ปยุ๋
ฟอสเฟตลงไปในดนิ ปุย๋ สว่ นใหญ่จะไปทาปฏกิ ิรยิ าดนิ กับเหล็กและอลมู ินั่มทาให้เหลอื ส่วนทพ่ี ืชจะ

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบันบณั ฑิต พฒั นบริหารศาสตรแ์ ละวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่งิ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
2/ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล

41

นาไปใช้ประโยชนไ์ ดเ้ พียงเลก็ นอ้ ย ปฏิกิริยาประมาณ 6-7 นบั ว่าเปน็ ระดับทค่ี อ่ นข้างเหมาะสมท่ีสุด
สาหรบั ฟอสเฟตในดนิ ทีพ่ ชื สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ได้ เพราะฟอสเฟตในดินจะถกู ตรึงนอ้ ยทส่ี ุด ถา้
ปฏกิ ริ ยิ าดินของดินสูงกวา่ น้นั ฟอสเฟตท่ีพชื ใช้เปน็ ประโยชนไ์ ดใ้ นดินกจ็ ะ

ถูกตรงึ อีกโดย แคลเซ่ียม และ แมกนีเซี่ยม ธาตุท้งั สอง ทาใหป้ รมิ าณทใี่ ชเ้ ป็นประโยชนไ์ ด้ของ
ฟอสเฟตลดลงอกี ด้วย

1.3) ระดับของแคลเซยี่ ม แมกนีเซียม และโปแตสเซยี ม ดินทีเ่ ปน็ กรดมี แค
ลเซยี่ ม และแมกนีเซยี ม คอ่ นข้างต่า ทงั้ นอี้ าจจะรวมถงึ โปแตสเซียม (K) ด้วย ดินทีเ่ ปน็ กรดประจุ
บวกของไฮโดรเจน จะเข้าไปไลท่ ีธ่ าตุอาหารพวกนซ้ี ่ึงถูกดดู ซับอยู่ในดินทาใหถ้ กู ชะล้างออกไปจาก
ดนิ ไดง้ า่ ย โดยทว่ั ไปดินท่ีมีปฏิกริ ิยาดนิ ระหว่าง 4.5-8.5 จะมีระดับ แคลเซยี ม และ แมกนีเซยี ม
อย่างเพยี งพอ ถา้ ต่าหรอื สูงกว่านพี้ ชื ก็อาจแสดงอาการขาดธาตอุ าหารท้ังสองให้ปรากฎได้สาหรับดิน
ท่มี ปี ฏิกิรยิ าดิน สงู กว่า 8.5 มกั จะมีระดบั แคลเซียม ต่า ทง้ั นี้เนอ่ื งจากดนิ ท่ีมีปฏกิ ริ ิยาดิน ใน
ระดบั น้ี ประจบุ วก (cation) ที่แลกเปลีย่ นได้ในดนิ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกโซเดียม ซึง่ ถ้าดนิ มโี ซเดยี ม
ท่ีแลกเปลี่ยนได้ มากกว่า 40-50% แล้ว ปญั หาพชื ขาด แคลเซียม แมกนีเซยี ม อาจเกิดข้นึ ได้

1.4) ระดับของเหล็ก (Fe) ธาตุเหล็กจะอยู่ในรปู ทลี่ ะลายนา้ ไดง้ า่ ยและมอี ยู่ใน
สารละลายดนิ (soil solution) เปน็ จานวนมากท่รี ะดับ pH ตา่ ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ เมือ่ pH
ต่ากว่า 5.0 ปริมาณของเหล็กท่ีละลายน้าไดใ้ นดินจะลดลงตามลาดับ เมอ่ื สูงข้ึนจนถงึ ระดับปาน
กลางในดินเปรย้ี วมกั ไมม่ ีปัญหาเกยี่ วกับการขาดธาตุเหลก็ การขาดธาตเุ หล็กอาจเกดิ ขึ้นไดใ้ นดนิ ที่มี
pH สูง ๆ เช่น ในดินเหนยี วลพบรุ ี แถวนคิ มสร้างตนเองพระพทุ ธบาท ซ่งึ มี pH ประมาณ 7.2
โดยเฉพาะอย่างย่ิงในพชื พวก ถัว่ ลสิ ง ขนุน กลว้ ย และ องุน่ เป็นต้น

1.5) ระดบั ของแมงกานิส (Mn) ระดับของแมงกานิสกเ็ ชน่ เดยี วกับเหล็ก
เมือ่ ดินเปน็ กรดมากๆ Mn อย่ใู นสภาพสารละลายได้มากจนเป็นพิษกับพืชท่ีปลกู ได้ Mn ในดนิ
ละลายนา้ ได้ยากขึ้นเมือ่ ระดบั สงู ขึ้นตามลาดับ เมื่อ Mn มมี ากจนถงึ ข้นั เปน็ พิษตอ่ พืชอาจจะแสดง
อาการออกไดส้ องทางคือ แสดงอาการขาดธาตุเหลก็ และแสดงอาการเนอื่ งจากพษิ โดยตรงของธาตุ
Mn ในดนิ เปรีย้ วโดยท่ัวไปพชื จะแสดงออกในรปู ของการเปน็ พษิ ของธาตุ Mn กล่าวคอื รากจะมสี ี
น้าตาล ใบแกจ่ ะเป็นรอยดา่ งเนื่องจากการสะสมของธาตุ Mn เป็นแห่งๆ ขอบใบจะมสี ขี าวซีด
(chlorosis) พชื บางชนิดอาจจะมสี ขี าว ระหวา่ งเส้นใบไม้ (veins) อาการจะรนุ แรงในสภาพท่ีพืชมี
การเจรญิ เติบโตได้ดี ซ่งึ ตรงกันขา้ มกบั การเป็นพษิ ของธาตุอลมู ินัม่ ซ่งึ อาการเสยี หายที่รุนแรงอาจ
บรรเทาได้โดยการเรง่ การเจรญิ เติบโต

1.6) ระดบั ของโบร่อน (B) ธาตโุ บรอ่ นละลายนา้ ไดย้ ากขึ้นเม่อื ดนิ เป็น
กลางหรอื ดา่ ง เมื่อใสป่ ูนลงไปในดินเพ่อื แกค้ วามเปน็ กรดของดินมกั จะทาใหร้ ะดับโบร่อนที่เปน็

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบันบณั ฑิต พัฒนบริหารศาสตร์และวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสงิ่ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล
2/ คณะสง่ิ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล

42

ประโยชน์ตอ่ พืชลดลงดว้ ย นอกจากน้ันในการใสป่ นู จะเป็นการยกระดับของ Ca ในดินใหส้ งู ข้ึน เมือ่
พชื ดดู ดงึ Ca เขา้ ไปมาก จะทาใหร้ ะดับความตอ้ งการโบร่อนของพชื สงู ตามไปด้วยซงึ่ แต่เดิมโบรอ่ น
ในดนิ อาจจะเพียงพออยู่แล้วเม่ือก่อนท่ีจะใส่ปูนลงไป พชื ท่มี ีสีจะมสี ดั ส่วนวกิ ฤตระหวา่ งโบรอ่ นและ
แคลเซียม (critical boron calcium ratio) อยู่ราว: 1:1500 ดังนั้นเมือ่ เราเพิม่ แคลเซียมลงไปใน
ดินบางคร้ังจงึ อาจก่อให้เกิดการขาดธาตโุ บรอ่ นข้นึ ได้

1.7) ระดับของสงั กะสี (Zn) สังกะสี (Zn) จะอย่ใู นสภาพทล่ี ะลายน้าไดง้ า่ ยเมอื่
ดินเปน็ กรดโดยเฉพาะเมือ่ มี pH ประมาณ 5-6.5 เมื่อ pH เลย 7 ขน้ึ ไปสังกะสจี ะเปลี่ยนสภาพ
จาก cation มาเปน็ anion ไดค้ ือกลายเป็น zincate ซึง่ ละลายนา้ ได้ยากและพืชก็เอาไปใช้
ประโยชนไ์ ด้ยาก แตถ่ ้าดินที่เปน็ ดา่ งนั้นมีโซเดยี ม อยูม่ ากสังกะสจี ะอย่ใู นรูปของ sodium zincate
ซ่งึ ละลายนา้ ได้งา่ ย และจะกลบั เป็นประโยชน์ต่อพชื ง่ายข้ึน

1.8) ระดับของทองแดง (Cu) ทองแดงละลายน้าไดง้ า่ ยขึน้ เมอื่ ดนิ มปี ฏิกริ ิยาเปน็
กรดหรือเปน็ กลางมากกวา่ เปน็ ดา่ ง แตธ่ าตุน้ีไม่ค่อยเกยี่ วข้องกบั pH ของดินมากนัก ดินท่ีขาด
ธาตทุ องแดงมกั จะเปน็ ดนิ ท่มี ธี าตทุ องแดงนอ้ ยเป็นทุนเดิมอย่แู ล้ว ในดนิ ท่ีมีทองแดงอยู่มาก แม้ pH
ของดินจะเป็นกลางหรือด่างกไ็ ม่มอี ิทธิพลมากพอท่จี ะทาใหพ้ ชื ขาดธาตุทองแดงได้

1.9) ระดับของโมลบิ ดินมั่ (Mo)
1.9.1) โมลิบดินั่ม อยูใ่ นดนิ ในรูปของ anion พชื จะดงึ ดดู Mo ขน้ึ ไปใช้ใน

รปู ของ molybdate ธาตุ Mo จะละลายนา้ ไดด้ ีขนึ้ เมื่อ pH ของดินสงู ข้นึ ซง่ึ ผดิ กับพวก Fe, Mn
และ Zn ธาตุ Mo เป็นปัจจยั สาคัญสาหรับจุลนิ ทรีย์ดินในการตรึงไนโตรเจนจากอากาศ ดงั น้ันการ

ปลูกพชื ตระกูลถว่ั ในดนิ เปรย้ี วที่มี Mo ตา่ มกั จะแสดงอาการขาดธาตุไนโตรเจนเนือ่ งจาก
การขาดประสิทธิภาพในการตรึงไนโตรเจน

1.9.2) การเป็นพษิ ของธาตุบางอยา่ ง นอกจาก เหล็ก และ มังกานีส ดงั ได้
กล่าวแล้ว ความเป็นกรดจดั ในดนิ จะทาให้ Al ละลายออกมาอยู่ใน สารละลายดนิ ซงึ่ นอกจากจะไป
ทาปฏกิ ิริยากับฟอสฟอรัส ทาใหฟ้ อสฟอรัสเปลีย่ นไปอยูใ่ นรูปท่พี ืชใช้ประโยชนไ์ ม่ไดแ้ ลว้ Al ยงั เป็น
พษิ ต่อพืชโดยตรงโดย Al จะไปรวมตัวกับ nucleic acid ซง่ึ มผี ลโดยตรงตอ่ การสงั เคราะหโ์ ปรตนี ทา
ให้เกดิ การยบั ยั้งการแบ่ง cell นอกจากน้ี Al ยงั อาจกอ่ ให้เกิดการตกตะกอนของ ฟอสฟอรัส ภายใน
พืช ขัดขวางการเคลอ่ื นยา้ ย ฟอสฟอรัส ทาใหพ้ ืชแสดงอาการขาด P อยา่ งเหน็ ได้ชัด

1.9.3) ดินที่เปน็ กรดจดั ทาใหจ้ ุลินทรีย์หลายชนดิ ไมส่ ามารถจะเจริญเติบโต
และดาเนินกจิ กรรมได้ตามปกติ ขบวนการหลายชนิดเชน่ ตรงึ ไนโตรเจน การเปลย่ี นรูปของ
อินทรยี ว์ ัตถุ Mineralization of Organic Matter ลว้ นแตต่ อ้ งอาศยั จลุ ินทรยี ์ดนิ ซง่ึ จะมีผลกระทบ
โดยตรงจากปฏิกิรยิ าของดินทง้ั ส้นิ

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบนั บณั ฑิต พฒั นบริหารศาสตรแ์ ละวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสงิ่ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล
2/ คณะสิง่ แวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล

43

1.9.4) ดินเปร้ยี วจัดมักมีคุณสมบัติทางกายภาพไม่ดีเนอ่ื งจากเนื้อดินเป็นดนิ
เหนียวถงึ เหนียวจดั มีความอดั ตัวแน่น ถา่ ยเทอากาศและระบายนา้ ได้ยากหรือไม่ไดเ้ ลย ดนิ จะแข็ง
มากเม่ือแหง้ และเป็นโคลนเหนียวเมือ่ เปยี กไมส่ ะดวกในการเตรียมดนิ เพื่อการเพาะปลูก โดยใช้
เครอ่ื งมือท่นุ แรงต่างๆ
ดินเปรย้ี วจดั มีความอดุ มสมบูรณต์ า่ มธี าตุอาหารปนู เช่น แคลเซยี ม แมกนีเซียม อยนู่ ้อยมากมี
ไนโตรเจน อย่บู า้ งแต่เป็นปรมิ าณท่นี ้อย และฟอสฟอรัสในดินกอ็ ยใู่ นรปู ท่ีพชื ไมส่ ามารถจะนาไปใช้
ประโยชนไ์ ด้

7.ข้อเสนอแนะ
7.1 การจัดการเพือ่ การทาเหมอื งแร่

บริเวณชายฝัง่ ทะเลโดยปกติแล้วมีการดาเนนิ การทาเหมอื งอยู่ 2 ชนดิ คอื
เหมอื งแรด่ บี กุ และเหมอื งทราย จงึ ขอสรปุ แนวทางปฏิบัติแยกตามชนดิ ได้ดังนี้

7.1.1 การทาเหมืองแรด่ ีบกุ จาแนกไดเ้ ป็น 2 บริเวณดงั นี้
1.) ชนดิ ของการทาเหมืองแรด่ ีบุก
1.1) เหมืองแร่ดีบกุ บนบก จาแนกวธิ กี ารได้ 2 วธิ กี ารใหญๆ่ คอื การใชเ้ รอื

ขุด และการเหมอื งสบู ท้ัง 2 วิธีนี้
1.2) เหมอื งแร่ในทะเล โดยใชเ้ รอื ขุดแรบ่ ริเวณชายฝัง่ ทะเลจากระดบั ความ

ลึกต้ังแต่ 1 ถึง 25 เมตร ห่างจากชายฝัง่ ตัง้ แต่ 1 ถงึ 6 กิโลเมตร การทาเหมืองท้งั สองประเภทน้ีส่งผล
กระทบระบบนเิ วศของพืน้ ท่ีกลา่ วคือตะกอนนา้ ท้งิ ทม่ี ีตะกอนดินปน เป็นผลกระทบต่อส่ิงมีชีวติ บริเวณ
นน้ั โดยเฉพาะคุณภาพนา้ เสือ่ มโทรมลงและมีตะกอนดนิ และโลหะหนกั บางชนิดมตี ะกอนดินปนเปื้อน
สูง

2.) แนวทางการจดั การ
เพอ่ื เปน็ การรกั ษาสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศบริเวณข้างเคียง การทาเหมอื งแร่
ดีบุกควรมีมาตรการและแนวทางการจัดการดังนี้

2.1) บรเิ วณเหมืองแรบ่ นบกควรมีการไถและกองหนา้ ดนิ ไว้บรเิ วณที่
กาหนดหรือขอบเหมอื งในการเปิดหน้าเหมอื งและนาหนา้ ดนิ นไี้ ถกลบเม่ือเลิกดาเนนิ การแลว้

2.2) ควรมพี ื้นท่สี ารองเพ่ือรองรบั โคลนและเศษแรห่ รือบอ่ ตกตะกอน ก่อน
ปล่อยนา้ จากเหมอื งลงสู่แหลง่ น้าธรรมชาติ

2.3) ควรมแี ผนการติดตามตรวจสอบคุณภาพสง่ิ แวดลอ้ มให้สอดคล้องกับ
คณุ ภาพสง่ิ แวดล้อมทีก่ าหนดไว้

2.4) หลงั จากการทาเหมอื งแล้วต้องรบี ปรบั ปรุงฟน้ื ฟูโดยเร่งด่วน

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบนั บัณฑิต พัฒนบรหิ ารศาสตรแ์ ละวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
2/ คณะสงิ่ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล

44

2.5) การกาหนดเขตการให้สัมปทานเหมอื งแร่ควรอนุญาตเฉพาะในบรเิ วณ
ทีไ่ ด้มกี ารศึกษาระบบนเิ วศและส่ิงแวดลอ้ มนอ้ ย

2.6) การทาเหมืองแร่ในทะเลควรกาหนดเปน็ เขตทอี่ ยู่ห่างจากฝง่ั พอสมควร
ที่จะไมส่ ง่ ผลกระทบตอ่ บรเิ วณทีเ่ ปน็ ที่อยู่อาศยั ของสตั ว์น้าปะการังและแหล่งพชื นา้

2.7) ตอ้ งกาหนดเขตของโรงแยกและแต่งแรใ่ ห้ชดั เจนเพอื่ สามารถจดั การ
ในการควบคุมมลพษิ ไม่ควรใหอ้ ยใู่ กล้แหลง่ น้าและชมุ ชนและต้องมมี าตรการควบคมุ ในการจดั การที่ดี

7.1.2 การทาเหมืองทราย
การทาเหมืองแรท่ รายประกอบด้วยขัน้ ตอน 2 ขัน้ ตอนคอื การขดุ ทรายการ
แยกแรอ่ น่ื ออกจากควอทซแ์ ละการกาจัดแร่ควอทซท์ งิ้ การทาเหมืองทรายทาให้เกดิ ตะกอนดนิ ลงสู่
ทะเล การพงั ทะลายของชายหาด การสูญเสยี ภมู ิทัศน์ของบริเวณชายฝั่งทะเลและกระทบต่อพืชและ
สัตวน์ า้ ทีอ่ าศยั อยูใ่ นบรเิ วณนัน้
แนวทางการจดั การ
1.) กาหนดเขตห้ามการทาเหมอื งทราย เชน่ หา่ งจากแนวปะการงั และหญ้าทะเลใน
รัศมี 100 เมตร หรอื ไม่ใหท้ าเหมืองทรายบริเวณหาดทรายท่ียังคงมนี ้าทะเลท่วมถึงประจา
2.) ไมส่ ่งเสริมการทาเหมอื งทรายบรเิ วณชายหาด
3.) การทาเหมืองทรายในทะเลตอ้ งมมี าตรการในการดูดและขนถา่ ยที่รดั กมุ เพ่อื
ไมใ่ ห้เกิดตะกอนปนเปอื้ นนา้ ทะเลอันจะสง่ ผลกระทบต่อสัตว์นา้ ปะการงั และพืชในบริเวณใกลเ้ คยี ง
7.2 การจดั การเพอ่ื การป่าไมช้ ายเลน
ปา่ ชายเลนมักถูกมองวา่ เปน็ ทีไ่ ร้ประโยชน์ มคี า่ ทางเศรษฐกิจน้อย จงึ มกั ถูกบกุ รกุ
ติดพันเพือ่ นาไปใช้ในกิจการอน่ื ๆ ท่ใี ห้ผลทางเศรษฐกจิ มากกวา่ แตใ่ นดา้ นนิเวศวิทยาและสงิ่ แวดล้อม
แลว้ บรเิ วณพ้นื ทีป่ ่าไม้ชายเลนมีความสาคญั ต่อระบบนิเวศและความเป็นอยูข่ องมนุษย์ชาติอยา่ ง
มากมายนอกจากจะเป็นพ้นื ที่ทมี่ ตี น้ ไมช้ ายเลนหลายชนดิ ป่าดงั กล่าวยงั ให้ผลผลติ มากมาย ท้ังจาก
ผลิตภัณฑ์จากไม้แล้วยงั ให้ผลโดยตรงและทางอ้อมต่อการดารงชพี ของมนษุ ย์ในด้านเปน็ แหล่งปอ้ ง
กาบังภยั จากลมและพายจุ ากทะเล และเป็นแหล่งอาหารและยารกั ษาโรคของมนษุ ย์ทีส่ าคญั ดงั นัน้
การอนุรกั ษแ์ ละฟืน้ ฟูพื้นท่ปี า่ ไม้ชายเลนจึงนบั วา่ มีความสาคญั อย่างยงิ่ โดยมแี นวทางและวธิ กี าร
จดั การดงั นี้
แนวทางการจัดการพ้ืนที่ป่าไมช้ ายเลน
1.) เพ่ือเป็นการหยดุ ยั้งการแผ่ขยายการทาลายป่าชายเลนจึงตอ้ งหา้ มมี
กิจกรรมใดๆ ทจี่ ะนาไปสกู่ ารเปลยี่ นสภาพป่าชายเลนได้ โดยควรกนั พืน้ ท่รี มิ ฝงั่ ชายทะเลไว้ เชน่ เขต
ป่าไม้ชายเลน กลา่ วคือห่างจากฝงั่ ทะเล 100 เมตร และห่างจากแนวชายคลอง 25 เมตร

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบนั บัณฑติ พัฒนบรหิ ารศาสตรแ์ ละวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสงิ่ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล
2/ คณะส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล

45

2.) พน้ื ท่ีป่าชายเลนตอ้ งได้รับการจัดการในรูปแบบของการจัดการทรพั ยากร
ที่เกดิ การทดแทนไดใ้ นระบบหมุนเวียน เพ่อื ใหม้ กี ารใช้ประโยชนท์ างตรงและทางออ้ ม โดยไมส่ ่งผล
กระทบต่อระบบนิเวศและสง่ิ แวดล้อม

3.) กาหนดเขตพ้ืนทอ่ี ยา่ งเด่นชัดเพือ่ ให้เป็นเขตสงวน (perservation)
อนุรักษ์ (conservation) และเขตพัฒนา (development) และควรมีกฎหมายและระเบยี บการ
จดั การท่ีเปน็ แบบผสมผสานจากหนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ ง

4.) พฒั นาพื้นที่เลนงอกใหม่ใหเ้ ป็นพืน้ ทปี่ ลูกปา่ ไมช้ ายเลน และพจิ ารณาฟื้นฟู
พ้ืนท่ีปา่ ชายเลนเสอื่ มโทรมโดยเร่งด่วน

5.) กิจกรรมใดๆ บริเวณพ้ืนท่ีใกล้เคยี งกบั ป่าชายเลนตอ้ งมีมาตรการการ
จดั การ และควบคุมมลพษิ ต่างๆ ทส่ี ามารถส่งผลกระทบสพู่ ื้นท่ีปา่ ชายเลนได้ เชน่ การควบคุมคุณภาพ
นา้ เสยี และสิ่งปฏกิ ลู ต่างๆ ก่อนปล่อยลงสแู่ หล่งน้าธรรมชาติ

6.) ควรมกี ารปรับปรงุ ฐานข้อมูลป่าชายเลนใหท้ นั สมัยอยเู่ สมอเพ่อื สามารถ
ตดิ ตามการเปลย่ี นแปลงและวางแผนการพฒั นาและการจดั การพน้ื ท่ปี ่าไมช้ ายเลน

7.3 การจัดการเพอื่ การเพาะเล้ยี งสัตว์นา้
ปัจจบุ นั พื้นทรี่ าบชายฝั่งทะเลไดน้ าพนื้ ทพี่ ัฒนามาเปน็ พ้นื ทเี่ พอ่ื การเพาะเล้ียงสัตว์น้า

ทะเล โดยเฉพาะกุง้ กุลาดา เป็นทท่ี ราบดแี ลว้ ว่าปัจจบุ นั พื้นที่ดังกลา่ วได้ถกู ทง้ิ ร้าง เนือ่ งจากการ
เพาะเลี้ยงไมป่ ระสบผลสาเร็จ ซึ่งมสี าเหตุมาจาก น้าที่ใชเ้ พาะเล้ยี งมคี ณุ ภาพไม่ดีมีโรคในกุ้งแพร่
ระบาดอย่างรวดเร็ว ผลผลิตตอ่ ไร่ตา่ จนไม่คมุ้ การลงทนุ

แนวทางการจดั การ
1.) ควรส่งเสรมิ กิจการเพาะเล้ียงสตั วน์ า้ (mariculture) โดยใช้กระชังเลี้ยงใน
บรเิ วณทะเลมากกว่าที่จะส่งเสริมการเลีย้ งแบบเก่า ซึ่งใช้ระบบบ่อในบริเวณปา่ ชายเลน ท่ีต้ังบ่อเล้ียง
ควรจะอยูใ่ นตาแหนง่ ทเี่ ชอ่ื ได้วา่ จะสามารถให้ผลผลิตได้อย่างตอ่ เนอื่ งและยาวนาน
2.) การยินยอมให้กระทาและการพัฒนากจิ กรรมการเพาะเลีย้ งสตั วน์ า้ ควรจะตง้ั อยู่
บนพ้นื ฐานของแผนพฒั นาระดับชาตแิ ละระดับภาค ทีม่ ีการจัดการทีด่ ี ซึ่งคานงึ ถงึ การใชป้ ระโยชน์ใน
ปจั จุบัน และศักยภาพในการใช้ประโยชนจ์ ากทรพั ยากรประเภทอื่นๆ ทง้ั หมด
3.) เมื่อจาเป็นตอ้ งเลกิ กิจการระบบบอ่ เลยี้ งสัตว์น้า ควรจะทารอยแตกหรือช่องใน
คันกนั้ น้าเพือ่ ให้บริเวณบอ่ เล้ียงไดก้ ลับคนื สูส่ ภาพธรรมชาติตามที่เคยเปน็ อยู่ก่อนอกี ครงั้ หน่งึ
4.) กอ่ นการอนญุ าตใหท้ ากิจการบอ่ เลีย้ งสตั วน์ า้ ในชั้นตน้ ควรจะได้มีการตกลงกัน
ด้านมาตรการตา่ งๆ ท่ีจะป้องกนั สภาพแวดลอ้ มธรรมชาติโดยรอบบ่อเลยี้ งโดยเฉพาะอย่างย่ิง การไหล
ของน้าบนผวิ ดินตามธรรมชาติ ไม่ควรจะถกู กีดขวาง

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบันบณั ฑิต พฒั นบรหิ ารศาสตร์และวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
2/ คณะสิง่ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล

46

5.) ในพนื้ ท่ีทมี่ ีป่าชายเลน บอ่ เลยี้ งสัตว์นา้ ควรจะตั้งอยใู่ นพื้นที่สว่ นห่างออกมาจาก
ป่าชายเลน ในที่ซึ่งมีนาเกลือ บรเิ วณแอง่ เกลอื ควรจะเป็นสถานทีท่ ีเ่ ลอื กใช้เปน็ บอ่ เพาะเลีย้ งสัตวน์ ้า
จากประสบการณ์ทผี่ ่านมา ผลผลิตทีไ่ ดจ้ ากบ่อเลี้ยงสตั วน์ า้ ในบรเิ วณเหล่านจี้ ะสงู กว่าจากบ่อเล้ยี งใน
บรเิ วณปา่ ชายเลน

6.) ในระบบบอ่ เลยี้ งสัตวน์ ้าท่ีมกี ารจดั การ โดยปกตกิ ารเพม่ิ จานวนลูกสัตว์เพ่อื เล้ียง
ใหโ้ ตเปน็ สิ่งท่ีเปน็ ไปได้ ในกรณที มี่ ีการควบคมุ คณุ ภาพนา้ และการให้อาหารเสรมิ ผลผลิตสงู สุดเป็นสิ่ง
ทค่ี าดหวงั ได้

7.) จดั รวมกลุ่มผู้เพาะเล้ยี งเพื่อการจดั การเรือ่ งชลประทานนา้ เค็ม การระบายนา้
และการปรบั ปรงุ คุณภาพนา้ ก่อนปล่อย

8.) พฒั นาการเพาะเลี้ยงใหเ้ ป็นระบบปิดแบบครบวงจรเพอ่ื หลกี เล่ียงการ
แพรก่ ระจายของโรคระบาด

9.) หน่วยงานที่เกย่ี วข้องต้องเรง่ จดั ทาแผนและกาหนดพนื้ ที่ทม่ี ศี ักยภาพใน
การเพาะเลี้ยงทง้ั ในบริเวณพืน้ ท่ดี ินชายทะเล และการเลย้ี งในกระชังในบรเิ วณทะเลตื้น

10.) สง่ เสรมิ ใหม้ กี ารค้นคว้าวิจัยในดา้ นการจัดการการเพาะเลี้ยงสัตวน์ า้ อื่นๆ
นอกจากกงุ้ ทะเล รวมไปถึงการจดั การพฒั นาการป้องกันการระบาดของโรคและการปรับปรุงคุณภาพ
นา้

7.4 การจดั การเพ่อื พฒั นาเมอื ง/ชมุ ชน/อตุ สาหกรรม
เป็นทท่ี ราบกนั ดีอยแู่ ลว้ วา่ การตั้งถน่ิ ฐานของมนษุ ยน์ ยิ มตง้ั อยใู่ นท่รี าบใกล้แหลง่ น้า

และบรเิ วณชายฝงั่ ทะเล ท้งั นี้เพราะบรเิ วณดังกล่าวน้ีเป็นบรเิ วณทมี่ อี าหารอุดมสมบูรณ์และ
สะดวกสบายในด้านการคมนาคม การพัฒนาเมืองและชมุ ชนในบริเวณชายฝงั่ ทะเลจึงเป็นไปอยา่ ง
รวดเร็ว ของเสียจากชมุ ชนถูกระบายถ่ายเทลงสู่พื้นทชี่ ายทะเลข้างเคยี ง การก่อสรา้ งสิ่งก่อสรา้ งตา่ งๆ
โดยขาดความรู้ ส่งผลกระทบตอ่ ระบบนิเวศของพน้ื ทอ่ี ยา่ งหลกี เลีย่ งไมไ่ ด้ ทาให้เกดิ การเส่อื มโทรม
ของพ้ืนทีช่ ายทะเลจนยากทฟ่ี ้นื ฟไู ด้ เพ่ือหลกี เลย่ี งปัญหาดงั กล่าวควรมมี าตรการและแนวทางการ
จดั การทีด่ เี พ่อื ให้มีการพัฒนาเมืองและชุมชนเปน็ ไปโดยส่งผลกระทบต่อพน้ื ท่นี ้อยทส่ี ดุ

แนวทางการจัดการ
เพอื่ เปน็ การรกั ษาสภาพแวดลอ้ มและระบบนิเวศของพ้ืนทชี่ ายทะเลจากการพัฒนา
เมือง ชมุ ชน และอตุ สาหกรรมต้องมแี นวทางในการจดั การดังนี้
1) กาหนดเขตพฒั นาเมอื งและชมุ ชน ตามศกั ยภาพของพนื้ ท่ี
2) กาหนดมาตรการการจัดการ สิ่งปฏิกูลและบาบัดนา้ เสยี จากชุมชน กอ่ นปล่อยลง
สพู่ น้ื ที่และแหลง่ นา้ ธรรมชาติ

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบันบณั ฑิต พฒั นบริหารศาสตร์และวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสิง่ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล
2/ คณะส่งิ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล

47
3) ห้ามมิให้เปลี่ยนแปลงภูมิทศั น์ท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติ เช่น เนินทราย โขดหนิ หาด
ทราย และทางน้าธรรมชาติต่างๆ เป็นต้น
4) การเลือกที่ตงั้ โรงงานอุตสาหกรรม ควรต้องพจิ ารณาตามหลกั ทางนเิ วศพฒั นา
(eco-development) ส่วนการตดั สินใจด้านการพัฒนาอตุ สาหกรรมนน้ั ควรต้องคานงึ ถงึ เหตผุ ลทาง
เศรษฐศาสตรแ์ ละนิเวศวิทยา
5) การออกแบบโรงงานอุตสาหกรรม ควรต้องออกแบบใหม้ ีที่ดนิ เป็นกนั ชน
ธรรมชาติเปน็ ระยะมากพอระหวา่ งแนวรมิ ฝัง่ ทะเลกับตัวโรงงาน ยกเวน้ ในกรณีที่ต้องสรา้ งสะพานยนื่
ลงทะเล หรือสรา้ งถนนเพ่ือเปน็ ทางสูแ่ หลง่ น้าหรือนาน้ามาใช้
6) การเลือกที่ตัง้ โรงงานอตุ สาหกรรม ควรเลอื กที่ตงั้ ซงึ่ มีแหล่งทีอ่ ยู่อาศัยของสตั วท์ มี่ ี
ค่าหรอื มีความสาคัญน้อยทสี่ ุด
7) ควรหา้ มโรงงานอุตสาหกรรมทมี่ กี ารปลอ่ ยสารมลพิษในปรมิ าณสงู มาตง้ั ในเขต
ชายฝ่ังทะเล
8) ควรให้ความสนใจรปู แบบธรรมชาติของทางนา้ ผวิ ดินและอุทกภัยเสียต้ังแตใ่ น
ระยะของการออกแบบก่อสร้างกอ่ นทจ่ี ะเรม่ิ สรา้ ง
9) ควรมกี ารสร้างระบบกาจดั ของเสยี ของโรงงาน
10) โรงงานอตุ สาหกรรมบางประเภทท่ีไมส่ ามารถหลกี เล่ยี งการทง้ิ น้าร้อนหรือนา้ ที่
มีอณุ หภูมสิ งู ได้ ในกรณเี ชน่ น้จี ะต้องพยายามหาทางลดผลกระทบสงิ่ แวดลอ้ มท่ีจะเกดิ ขน้ึ ใหเ้ หลอื น้อย
ที่สุด

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์และวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสิง่ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล
2/ คณะสิ่งแวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล

48

บรรณานกุ รม
1. กรมพัฒนาที่ดนิ . 2525. โครงการพัฒนาทดี่ นิ เคม็ ดินเปรย้ี วภาคใต้ตามแผนพฒั นาชนบทยากจน

(2525-2529) ฝ่ายเผยแพรป่ ระชาสัมพันธ์ สานกั งานเลขานุการกรม 179 หนา้ .
2. คารณ ไทรฟัก. 2537. ทดี่ ินชายทะเล. สานักงานพัฒนาท่ีดินชายทะเล. กรมพัฒนาทดี่ นิ .
กระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์. เอกสารโรเนยี ว. 9 หนา้ .
3. ชาลี นาวานุเคราะห์. 2536. องค์ประกอบและขอบเขตของที่ดินชายท่ีดินชายทะเล. เอกสาร
ประกอบการบรรยายในการประชุมสัมมนาเรื่อง บทบาทของกรมพฒั นาที่ดนิ กบั การพัฒนาท่ีดนิ
ชายทะเล. 16-18 ม.ิ ย. 2536 ชะอา เพชรบรุ ี. สานักงานพฒั นาทดี่ นิ ชายทะเล. 12 หน้า.
4. บญุ ชนะ กลิ่นคาสอนและ ธงชัย จารุพพัฒน์ 2530. รายงานผลการจาแนกเขตการใช้ประโยชน์
ทด่ี ินในพื้นทปี่ า่ ชายเลนประเทศไทย กองจดั การป่าไม้ กรมป่าไม้
5. ประมขุ แก้วเนยี ม และ Ilyas Baker. 2529. ค่มู อื การวางแผนพฒั นาและการจัดการชายฝ่งั ทะเล
สาหรบั ประเทศไทย. สถาบันวิจยั วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีแห่งประเทศ ไทย สนับสนนุ โดย
Unesco MAB และ COMAR Programs 169 หนา้ .
6. พสิ ุทธิ์ วจิ ารสรณ์ 2528. ดนิ ป่าเลนและแนวทางในการพฒั นารายงานการสมั มนาระบบ
นิเวศวิทยาปา่ ชายเลน คร้ังที่ 5 สานกั งานคณะกรรมการวิจยั แหง่ ชาติ
7. มหาวทิ ยาลยั วลัยลักษณ์. 2539. การศกึ ษาและจดั ทาข้อมูลการจดั การทรพั ยากรดินเพือ่ การเกษตร
เพอ่ื ปลกู พืชเศรษฐกิจหลกั ตามกลุม่ ชุดดิน และการเชือ่ มโยงข้อมลู กับระบบขอ้ มูลดนิ ของกรมพัฒนา
ท่ีดนิ . กรมพฒั นาที่ดนิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ . พฤศจกิ ายน.124 -142 หนา้ .
8. รงั สรรค์ อม่ิ เอิบ และ สมศรี อรณุ ินท์ 2536. ดินเค็มชายทะเล เอกสารคมู่ อื เจ้าหน้าทีข่ องรัฐ
กรมพัฒนาท่ีดนิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
9. สมศรี อรณุ ินท์ และ รังสรรค์ อิ่มเอิบ 2539. ผลกระทบการใชพ้ ้นื ท่เี พือ่ การเกษตรในการเล้ยี ง
กงุ้ กลุ าดา : กรณศี กึ ษา, จังหวัดฉะเชงิ เทราและปราจีนบรุ ี เอกสารคมู่ ือเจ้าหนา้ ท่ีของรฐั เรอื่ งดินเคม็
กรมพัฒนาทด่ี นิ .
10. สถิตกิ ารประมงแหง่ ประเทศไทย 2537. ผา่ ยสถิติการประมง กองนโยบายและการประมง.กรม
ประมง.
11. สานักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดลอ้ ม. 2537. รายงานสถานะการณค์ ุณส่ิงแวดล้อม.
กระทรวงวทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลยีและสง่ิ แวดลอ้ ม. 307 หนา้ .
12. Ayers R.S. and Wescot D.W. 1985. Water Quality for Agriculture. F.A.O. Irrigation
and Drainage Paper. 29. Rw. 1. Food and Agriculture Organization of the United
Nations. Rome

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบนั บณั ฑิต พัฒนบรหิ ารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล
2/ คณะสิ่งแวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล

49
13. Pons, L. J. and Zorrneveld I.S. 1965. Soil Ripening and soil classification. Initial
soil formation in alluvial deposits and a Classification of the resulting soils. Int. Inst.
Land Reclamation and Improvement. Publication. no. 13 , Wagemingen, The
Netherlands.
14. Jean C. Sorensen, S.T. McCreary and M J. Hershman. 1984. Institutional
Arrangements for Coastal Resource. Research Planning Institute, Inc. Columbia, South
Carolina. 165p.
15. Samuel C. Snedaker and Charles D. Getter. 1985. Coastal Resources Management

guidelines. research Planning Institute, Ince. Columbia. South Carolina. 205 p.

1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบนั บัณฑิต พฒั นบริหารศาสตร์และวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสง่ิ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล
2/ คณะสงิ่ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล

1

ภูมิลกั ษณช์ ายฝ่ังทะเลไทย

ผศ. ดร. กวี วรกวนิ

1. ชายฝ่ัง - ชายทะเล - ชายฝั่งทะเล
ภูมิลักษณ์ชายฝ่ังทะเลไทย เป็นการกล่าวถึง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางกายภาพทางธรรมชาติ

ลักษณะของประชากรในฐานะผู้เข้ามาใช้ธรรมชาติ และลักษณะทางวัฒนธรรมซึ่งเป็นผลการปฏิสัมพันธ์
ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ในท้องถ่ินชายฝั่งทะเลของแต่ละพื้นที่ในท้องถิ่นชายฝ่ังทะเลของแต่ละพื้นที่
ตลอดความยาวของชายฝ่ังทะเลประเทศไทย

ลักษณะทางกายภาพ จะรวมถึง ลักษณะของชายฝ่ัง (Coastal Shore) ในส่วนที่เป็นแผ่นดิน และ
ส่วนที่เป็นชายทะเล (Sea Shore) คือส่วนที่เป็นน้าทะเลปกคลุม เน่ืองจากแนวสัมผัสระหว่างน้าทะเล (Sea)
กับแผ่นดิน (Land) มีการเคล่ือนที่ปรับแนวไปตามระดับน้าทะเลท่ีมีการขึ้นลง จึงท้าให้มีส่วนที่โผล่น้าและ
ส่วนท่ีจมน้าเป็นบางเวลาตามการข้ึนลงของระดับน้าทะเล เช่น ชายหาด (Beach) เวลาน้าลงจะอยู่ชายฝั่ง
เพราะโผล่น้า เวลาน้าขนึ้ จะอยู่ชายทะเลเพราะจมน้า ดังนน้ั ส่วนทีเ่ ปน็ ชายฝ่งั ทะเล (Shore) จริง ๆ กค็ ือสว่ นที่
อยทู่ งั้ บนบกและในน้าทะเลได้

ในภาพรวมจริง ๆ ในการพูดถึงภูมิลักษณ์ชายฝั่งทะเล จะพูดถึงบริเวณพ้ืนที่ซ่ึงได้รับอิทธิพลจาก
นา้ ทะเลเข้าไปถึงด้วย เช่นการรกุ ลา้ ของนา้ ทะเลเข้าไปในปากน้า แลว้ ดันน้าในแม่น้าให้ถอยร่นข้นึ ไปทางต้นน้า
บริเวณท่เี ป็นแนวปะทะของน้าจืดน้าเคม็ จนเป็นน้ากร่อยเกดิ อยใู่ นเขตอิทธพิ ลของชายฝง่ั ทะเลด้วย

2. ชายฝงั่ ทะเลในฐานแนวปะทะ
กระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดบริเวณชายฝั่งทะเลที่ส้าคัญคือ การเกิดแนวปะทะ ซ่ึงมีสองลักษณะ

ส้าคญั คือ แนวปะทะระหว่างน้าทะเลกับชายฝั่งทเ่ี ป็นพ้นื ดนิ กับแนวปะทะระหว่างน้าทะเลกบั น้าจืด
ผลจากการปะทะทั้งสองลักษณะ ท้าให้เกิดภูมิประเทศหลากหลายบริเวณชายฝั่งทะเล และเกิด

บริเวณน้ากร่อยในร่องน้าชายฝ่ัง และบริเวณปากน้า นอกจากน้ียังมีแนวปะทะผสมกันระหว่างประชากรและ
วัฒนธรรมที่เคล่ือนยา้ ยกันไปมาระหว่างท้องถิ่นและระหวา่ งประเทศ ท้าให้เกิดลักษณะประชากรและลักษณะ
วฒั นธรรมบริเวณชายฝ่งั ทะเลใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดบริเวณ ซึ่งจะเป็นผลทา้ ให้ภูมลิ กั ษณ์ชายฝ่งั ทะเลเปล่ยี นไป

ลักษณะประชากรชายฝั่งหมายถึง ผู้คนท่ีมาตั้งถ่ินฐานท้ามาหากินบริเวณชายฝ่ังทะเล และมีอาชีพ
เก่ียวพันกับการใช้ทรัพยากรชายฝั่งทะเล ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพชาวประมงในรูปแบบต่าง ๆ ที่ปรับตัว
ไปตามลักษณะกายภาพของแนวชายฝ่ังทะเลนั้น ๆ ซ่ึงจะกล่าวถึงในภูมิลักษณ์ของแต่ละชายฝ่ังทะเล
การอพยพเคลื่อนย้ายประชากร ผ่านชายฝ่ังทะเลถือว่าเป็นแนวปะทะทางด้านประชากรที่ท้าให้เกิดการต้ัง
ถิ่นฐานใหม่ เกิดชุมชนใหม่ เกิดเช้ือชาติลูกผสมใหม่ ซ่ึงชายฝ่ังทะเลมีบทบาทส้าคัญในการเป็นประตูท้าให้เกดิ
การเดนิ ทางเคลอ่ื นย้ายเกิดผสมผสาน เกิดภมู ลิ กั ษณแ์ ถบชายฝัง่ ทะเลใหม่

ลักษณะวัฒนธรรม หมายถงึ ผลที่ได้จากการปฏสิ มั พันธ์ระหวา่ งธรรมชาตขิ องชายฝง่ั ทะเลกับประชากร
ที่อาศัยอยู่ ซึ่งท้าให้เกิดการสร้างสรรค์ส่ิงใหม่ ๆ ในรูปเครื่องมือ เคร่ืองใช้ ประเพณี วัฒนธรรม สืบต่อกันมา
อย่างยาวนาน เช่น หมู่บ้านปากน้า อาชีพประมง อาชีพค้าขาย ลักษณะเรือชนิดต่าง ๆ เครื่องมือจับปลา
ชนิดต่าง ๆ วิธีจับปลาแบบต่าง ๆ ประเพณีแข่งเรือ ฯลฯ การเล่ือนไหลทางวัฒนธรรม ระหว่างท้องถ่ินและ
ระหว่างประเทศ มักเกิดบริเวณชายฝ่ังทะเล ก่อนท้องที่อื่น ๆ ลักษณะทางวัฒนธรรม เป็นปัจจัยหนึ่งที่ท้าให้
เกิดภูมิลักษณ์ของชายฝ่ังทะเลใหม่ ๆ ขึ้น เช่น คาบสมุทรไทย เป็นแนวปะทะระหว่างวัฒนธรรมอินเดีย จีน
และไทย เป็นตน้

2

ในการกล่าวถึงภูมิลักษณ์ชายฝ่ังทะเลไทย แต่ละชายฝ่ังจะได้กล่าวถึงลกั ษณะทางกายภาพ ประชากร
ลักษณะอาชีพ ลักษณะวัฒนธรรมไปพร้อม ๆ กัน ซ่ึงเป็นลักษณะของการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ภูมิประเทศ
วถิ ชี วี ติ และวัฒนธรรมของแตล่ ะเขตชายฝง่ั ทะเล

อนึ่งเขตภูมิลักษณ์ชายฝ่ังทะเล ท่ีแบ่งเขตข้ึนน้ีเป็นการแบ่งเขตตามหลัก บูรณาการ ตามหลักลักษณะ
ทางกายภาพ วิธีชวี ติ และวัฒนธรรม ซ่งึ เปน็ อัตลักษณ์เดน่ ของเขตน้นั ๆ

3. ภมู ิลกั ษณช์ ายฝัง่ ทะเลอา่ วไทยฝงั่ ตะวนั ออก
ชายฝ่ังด้านน่ีคือชายฝั่งตั้งแต่บางส่วนของฉะเชิงเทราผ่านจ.ชลบุรี, จ.ระยอง, จันทบุรี, ถึงชายแดน

ตราด มคี วามยาวประมาณ 500 ก.ม. ประกอบด้วยภมู ิลักษณ์ชายฝ่ังดังต่อไปน้ี
3.1 ชายฝ่ังทะเลจตุมุข ได้แก่ ชายฝั่งทะเลนับจาก อ.เมืองชลบุรี ถึง อ.สัตหีบ ในเขตจ.ชลบุรี

ความยาวประมาณ 100 ก.ม. เป็นชายฝ่ังท่ีมีรูปร่างเปน็ แนวตรง วางตวั แนวเหนือ-ใต้ มภี ูมปิ ระเทศเปน็ แหลมที่
ยื่นสู่ทะเลประมาณ 4 แหลมใหญ่คือ แหลมแท่น, แหลมฉบัง, แหลมเขาพระต้าหนัก และแหลมสัตหีบ
ทั้ง 4 แหลมท้าให้เกิดอ่าวใหญ่ 4 อ่าวคือ อ่าวชลบุรี, อ่าวบางแสน, อ่าวบางละมุง, อ่าวบางสะเหร่ ความยาว
เฉล่ียอา่ วละประมาณ 20 ก.ม. ความกว้างของแหลมประมาณแหลมละ 5 ก.ม. โดยเฉลย่ี และตรงขา้ มหวั แหลม
ยน่ื ไปในทะเล มักมีเกาะอยู่ไม่ห่างไกล เช่น แหลมฉบังมเี กาะสชี ัง แหลมเขาพระต้าหนักมเี กาะลา้ นและเกาะไผ่
แหลมทพั เรือสัตหีบมีเกาะครามใหญ่ ฯลฯ

จากภูมิประเทศดังกล่าว ท้าให้ชายฝ่ังทะเลช่วงนี้เป็นลักษณะแหลมสลับอ่าวใหญ่ ดูเสมือนมุง หรือ
ระเบยี งแผน่ ดินย่นื ไปในทะเล 4 ระเบยี ง จึงเรยี กวา่ “ชายฝ่ังจตุมุข” เป็นลกั ษณะพิเศษท่ีดูชัดเจน เปน็ ชายฝ่ัง
ทะเลท่ีมีความส้าคัญทางเศรษฐกิจของ จ.ชลบุรี และของประเทศ เนื่องจากชายฝ่ังทะเลที่เป็นแหล่งท่องเท่ียว
สา้ คญั ของประเทศโดยมหี าดพทั ยาและหาดบางแสนเป็นหาดหลกั เพื่อการท่องเที่ยว

แหลมและอ่าวเป็นลักษณะภูมิประเทศชายฝั่งทะเล ท่ีสรา้ งอัตลักษณ์ในชายฝั่งทะเลช่วงนี้ เมลด็ ทราย
จากหินแกรนิตไนส์ ที่อยู่ในดินแดนเบื้องหลังชายฝั่งทะเลช่วงน้ี มีส่วนช่วยสร้างหาดทรายท่ีใช้เป็นหาดทราย
เพ่ือการท่องเทยี่ วได้

กิจกรรมท่ีเกิดข้ึนตามแนวชายฝั่งทะเลจตุมุข ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมการท่องเท่ียว ดังน้ันวิถีชีวิตของ
ผ้คู นทอี่ ยชู่ ายฝงั่ จึงเป็นอาชพี การคา้ และกจิ กรรมเก่ยี วกบั การบริการทอ่ งเทยี่ ว สามารถเรียกชายฝั่งจตุมุขได้ว่า
เปน็ ชายฝ่ังแหง่ การท่องเทีย่ ว

กิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ มีกิจกรรมประมงชายฝ่ังบ้างแต่เป็นกิจกรรมขนาดเล็ก ๆ เพราะไม่มี
ปากน้าขนาดใหญท่ ่ีจะเป็นท่าเรือประมง มที า่ เรือแหลมฉบังท่ีมขี นาดใหญ่ เปน็ กจิ กรรมการค้าระหว่างประเทศ
เปน็ เร่อื งการขนสง่ ทางเรอื และเป็นท่าเรอื การคา้ ส้าคัญเพียงแหง่ เดยี วของประเทศ

ดังน้ันภูมิลักษณ์ของชายฝ่ังทะเลจตุมุขที่เป็นลักษณะโดดเด่นคือ เป็นชายฝ่ังทะเลแห่งการท่องเที่ยว
และการคา้ วถิ ีชวี ติ และวฒั นธรรมเปน็ เรอื่ งธุรกจิ การค้าและการเดนิ ทาง

3.2 ชายฝ่ังทะเลอุตสาหะ ได้แก่ ชายฝั่งทะเลต่อจากแหลมแสมสาร ไปถึงแหลมตาลในเขต อ.แกลง
จ.ระยอง ชายฝั่งทะเลส่วนใหญ่อยู่ในเขตจ.ระยอง ทั้งหมดมีความยาวประมาณ 100 ก.ม. วางแนวตะวันออก-
ตะวันตกประกอบด้วยหาดส้าคัญคือหาดระยอง, หาดเพ, หาดแม่พิมพ์, ท่ีเรียกว่าหาด (Beach) เพราะเป็น
ชายหาดค่อนข้างตรง ไม่เป็นรูปโค้งเหมือนอ่าวแถวชลบุรี มีหาดระยองยาวประมาณ 50 ก.ม. ที่มองเป็นอ่าว
โดยมีแหลมแสมสารและแหลมหญ้าเป็นหัวท้ายของอ่าว เกาะแสมสารและเกาะเสม็ดเป็นเกาะปิดหัวท้าย
อ่าวระยอง หาดเพ และหาดแม่พิมพ์ ค่อนข้างตรง ถูกแบ่งด้วยภูมิประเทศที่เป็นหัวแหลมคือ แหลมวังแก้ว
และแหลมตาล

3

ท่ีเรียกว่าเป็นชายฝ่ังทะเลอุตสาหะเป็นเพราะกิจกรรมหลักของชายฝั่งทะเลหาดระยอง รองรับพ้ืนท่ี
นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และท่าเรือมาบตาพุด ที่ต้ังอยู่ชายฝั่งหาดระยองเป็นท่ีรองรับเขตอุตสาหกรรม
ต่าง ๆ ใน จ.ระยอง นิคมอุตสาหกรรมกระจายตัวอยู่มากมายทั้งในเขต อ.บ้านฉาง อ.นิคมพัฒนา อ.บ้านค่าย
และ อ.ปลวกแดง มีถนนสายหลกั จากทุกนคิ มมงุ่ สชู่ ายฝ่งั มาบตาพุด และแหลมฉบงั

ส้าหรับหาดเพและหาดแม่พิมพ์ เป็นหาดท่ีอยู่ถัดจากหาดระยองท้ังสองหาดเป็นหาดที่รองรับ
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจ.ระยองอย่างแท้จริง มีเกาะเสม็ดและเกาะมันนอก เกาะมันในและเกาะมัน
กลาง สนับสนุนการท่องเที่ยว ส่วนใหญ่อยู่ในเขต อ.แกลง ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรมอยู่เบื้องหลัง ในอนาคต
ตามแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจระเบียงตะวันออกซ่ึงมีจ.ระยองอยู่ในโครงการด้วย นิคมอุตสาหกรรมอาจ
ขยายตัวเข้ามาในเขต อ.วังจันทร์ และ อ.แกลงได้ ชายฝ่ังทะเลจ.ระยอง ก็อาจเป็นชายฝ่ังท่ีรองรับคนในเขต
อุตสาหกรรมทัง้ จ.ระยองและชลบรุ ี

จากลักษณะดังกล่าวที่อธิบายน้ัน ชายฝ่ังทะเล จ.ระยอง จะรองรับอุตสาหกรรมหนักอยู่ทางตะวันตก
และรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอยู่ทางตะวันออก ชายฝั่งทะเลช่วงนี้จึงเรียกได้ว่า “เป็นชายฝ่ังทะเล
อตุ สาหะ” คอื เป็นชายฝัง่ ทะเลอุตสาหกรรมซง่ึ เป็นชายฝง่ั ทะเลในเชงิ เศรษฐกิจท่ีสา้ คัญไม่แพช้ ายฝั่งทะเลจตุมุข

3.3 ชายฝ่ังทะเลฉ่าวารี ในเขตชายฝั่งทะเลของอ่าวไทยฝั่งตะวันออก นับจากปากน้าประแสร์ ซึ่งอยู่
ทางตะวนั ออกของ จ.ระยอง ไปทางจังหวัดจันทบุรแี ละจ.ตราด จะมีลมุ่ นา้ สา้ คัญที่ไหลจากเหนือลงใต้สชู่ ายฝั่ง
ทะเลอ่าวไทย และเนื่องจากเขตนี้เป็นเขตฝนชุกในช่วงฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ จึงมีฝนตกหนักและเป็น
ช่วงระยะเวลายาวเช่นเดียวกับภาคใต้ฝั่งตะวันตก การท่ีฝนชุกจึงท้าให้มีการพัดพาเอาดินโคลน ตมลงมาสู่
ปากนา้ ชายฝ่ังทะเล ของจังหวัดจนั ทบุรี และ จ.ตราด ทา้ ใหบ้ ริเวณปากน้าและบริเวณใกลเ้ คียงเป็นพื้นที่ชุ่มน้า
และมสี ภาพเป็นปา่ ชายเลนมากกวา่ ในเขตจงั หวัดชลบรุ ีและระยอง

สายน้าส้าคัญท่ีน้าโคลนตมลงมาทับถมบริเวณปากน้าในเขตใช้ฝ่ังทะเลฉ่้าวารี คือ ล้าน้าปะแสร์ ล้านา้
พงั ราด ล้าน้าวงั โตนด ลา้ นา้ จันทบรุ ี ล้าน้าเวฬุ และลา้ น้าตราด

ปากน้าของลา้ น้า และคลองขนาดเลก็ ท่ีอยูร่ ะหว่างปากน้าเหล่านี้ สร้างพ้ืนทีช่ ุ่มนา้ หลงั ชายฝัง่ หลงั สนั
ทราย (Sand dune) ท้าให้เกิดแหล่งน้าหลังสันทราย (Back Swamp) คุ้งน้าท่ีคดเค้ียง มักจะเป็นท่ีราบลุ่มชุ่ม
น้าท่ีส้าคัญทุกสายน้า ลักษณะกายภาพดังกล่าว ท้าให้ชายฝั่งทะเลช่วงจากปากน้าประแสร์ถึงปากน้าล้าน้า
ตราด เป็นปา่ ชายเลนเป็นพน้ื ท่ีชุม่ น้าสา้ คัญแห่งหน่งึ ของประเทศไทย

จากลักษณะทางธรรมชาติดังกล่าว จึงท้าให้ชายฝ่ังทะเลฉ่้าวารี เป็นชายฝ่ังท่ีประชาชนมีวิถีชีวิตแบบ
ชาวประมง ท้ังประมงน้าลึก ประมงน้าตื้น และประมงชายฝั่ง การท้าฟาร์มบอกุ้ง บ่อปลา การเลี้ยงปลา ใน
กระชงั มีมากทกุ ปากน้าทน่ี า้ กร่อยเข้าไปถงึ

วัฒนธรรมการอยู่อาศัยชุมชนปากน้ามีทุปากน้า วัฒนธรรมการแปรรูป และถนอมอาหารจาก
ทรัพยากรจากทะเลในรปู ท้าเค็ม ดองเค็ม เปน็ เรื่องเฉพาะของชาวจังหวดั จนั ทบรุ แี ละตราด

อน่ึงแนวชายฝั่งทะเลฉ้่าวารี ตลอดปากน้าปะแสร์ จนถึงหาดคลองเล็กชายแดนจังหวัดตราดเป็น
ชายฝั่งเว้า ๆ แหว่ง ๆ คดไปตามหัวแหลมและคุ้งอ่าวต่าง ๆ ยาวประมาณ 280 ก.ม. จากปากน้าเวฬุ
ถึงชายแดนและคลองเล็ก ยาวประมาณ180 ก.ม. ช่วงจากปากน้าเวฬุไปถึงชายแดนเป็นแนวชายฝ่ังในเขต
จังหวัดตลาด ซ่ึงมีลักษณะพิเศษต่างจากจังหวัดจันทบุรีคือ มีกลุ่มเกาะช้าง กลุ่มเกาะหมาก และกลุ่มเกาะกูด
วางตัวขนานกับแนวชายฝั่งเป็นระยะทางประมาณ 80 ก.ม. กลุ่มเกาะเหล่านี้ท้าให้ชายฝั่งทะเลจังหวัดตราด
มีทรัพยากรการท่องเท่ียวทางทะเลเพิ่มขึ้นเป็นจุดเด่นท่ีสุดในการท่องเที่ยวทางทะเล ของชายฝั่งทะเล
ภาคตะวนั ออก

4

วิถีชีวิตของประชากรที่อยู่ตามแนวชายฝั่งทะเลฉ้่าวารี จึงเป็นวิถีชีวิตเกี่ยวกับการประมง และ
การท่องเท่ียวเป็นส้าคัญ โดยจังหวัดจันทบุรีและตราด เป็นจังหวัดท่ีมีจ้านวนครัวเรือนชาวประมงมากกว่า
จังหวดั อ่นื ๆ อยา่ งเหน็ เด่นชัด จนั ทบุรมี ปี ระมาณ 4,243 ครัวเรอื น จงั หวัดตราดมี 3,296 ครวั เรือน

จากที่กล่าวมาทั้งหมดชายฝ่ังทะเลตะวันออกของอ่าวไทย ชายฝ่ังทะเลภาคตะวันออกท่ีแบ่งตาม
ลกั ษณะภูมลิ กั ษณจ์ ะมอี ตั ลกั ณ์ของภูมลิ ักษณ์คอื

- ชายฝั่งทะเลจตุมขุ : มภี มู ิลกั ษณ์ เชิง การคา้ และการท่องเทยี่ ว
- ชายฝ่งั ทะเลอุตสาหะ : มภี ูมิลักษณ์ เชงิ อตุ สาหกรรมและการท่องเท่ียว
- ชายฝ่ังทะเลฉ่้าวารี : มีภมู ิลักษณ์ เชงิ ประมงและการทอ่ งเทย่ี ว

4. ภูมิลักษณฝ์ ่งั ทะเลอา่ วไทยฝ่ังตะวันตก
ชายฝั่งทะเลไทยในสว่ นทีเ่ ปน็ อ่าวไทยฝง่ั ตะวันตก จะนบั รวมชายฝ่ังต้งั แต่ชายฝั่งก้นอ่าวไทยเป็นต้นมา

จนไปถึงชายแดนติดกับประเทศมาเลเซีย มีความยาวประมาณ 1700 ก.ม. โดยสามารถพิจารณาลักษณะ
ภูมิลักษณ์ได้ 4 ภูมลิ ักษณ์ คอื

4.1 ชายฝ่ังทะเลสามสมุทร หมายถึง ชายฝ่ังทะเลที่อยู่ติดก้นอ่าวไทย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตจังหวัด
สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, สมุทรสงคราม ทั้งน้ีได้รวมเอาชายฝั่งของกรุงเทพและของฉะเชิงเทราในส่วน
อ้าเภอบางปะกงไว้ด้วย ซ่ึงเป็นส่วนเล็กน้อย มีความยาวประมาณ 140 ก.ม. ชายฝั่งสามสมุทรถือเป็นชายฝ่ัง
ด้านเหนือของจัตุรัสก้นอ่าวไทย โดยมีชายฝ่ังจตุมุขอยู่ด้านตะวันออก ชายฝ่ังเพชรสมุทรอยู่ด้านตะวันตก
สว่ นดา้ นใต้ของจตั รุ สั กน้ อา่ ว คือ แนวในทะเลจาก อ.สัตหบี ถึง อ.หัวหนิ

ชายฝั่งสามสมทุ ร จงึ เปน็ ชายฝ่งั ทะเลทอ่ี ยูต่ ิดเมืองหลวงกรุงเทพฯมากทสี่ ดุ เป็นชายฝั่งท่ีมแี มน่ ้าส้าคัญ
5 สายมาออกทะเลร่วมกันนะชายฝั่งสามสมุทรน้ี คือ แม่น้าบางปะกง, แม่น้าเจ้าพระยา, แม่น้าท่าจีน, แม่น้า
แม่กลอง, และแม่น้าเพชรบุรี

ลักษณะทางกายภาพของชายฝั่งสามสมุทรจึงมีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากชายฝ่ังทะเลอื่น คือ
เป็นชายฝ่ังทะเลแห่งโคลนและเป็นตม เป็นชายฝั่งทะเลท่ีเป็นป่าชายเลน ป่าโกงกาง เป็นชายฝั่งทะเล
ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของปากแม่น้าใหญ่ เป็นชายฝ่ังทะเลที่มีพื้นท่ีเบื้องหลังเป็นที่ราบใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ท่ีสุดของ
ประเทศไทย

ผลจากการมีลักษณะกายภาพดังกล่าว จึงกลายเป็นถ่ินท่ีอยู่อาศัยของประชากรหนาแน่นทุกปากน้า
และท้ังสองฟากฝ่ังบริเวณใกล้ปากแม่น้า เป็นชายฝ่ังท่ีมีเส้นทางการคมนาคมทางน้าที่หนาแน่นท่ีสุด
เปน็ เส้นทางการเดนิ เรือขนส่งสนิ คา้ และวตั ถุดิบ

จากลักษณะการเป็นก้นอ่าวไทย และเป็นพ้ืนที่ปากน้าต่อเน่ืองกันจึงท้าให้ชายฝั่งทะเลสามสมุทร
เป็นที่ชุมนุมของตะกอนแม่น้าที่เป็นแร่ธาตุอาหารพืชอย่างอุดมสมบูรณ์ เน่ืองจากเป็นเขตทะเลตื้น เป็นพ้ืนท่ี
ปา่ ชายเลนจึงเป็นทชี่ มุ นุมของแพลงตอนซ่งึ เปน็ ธาตุอาหารสตั ว์ จึงทา้ ให้ชายฝั่งทะเลสามสมทุ รเป็นท่ีชุมนุมของ
บรรดาทรัพยากรทะเลประเภท กุ้ง หอย ปู ปลา

จากลักษณะการเป็นพื้นท่ีชุมน้าของแม่น้าใหญ่ทั้ง 5 สาย ท้าให้มีพื้นที่ชายฝ่ังเป็นที่ลุ่มน้าขัง และมีท้ัง
น้าเค็มและน้ากร่อย จึงท้าให้เบื้องหลังชายฝั่งทะเลสามสมุทรมีพื้นที่ท้าประมงชายฝ่ังโดยเป็นแหล่งท้าฟาร์ม
บอ่ กงุ้ บอ่ ปลา หอ้ ย และปู ที่สา้ คญั

และจากการท่เี ปน็ บรเิ วณทมี่ ีสายน้าจดื มากมายมาปะทะกบั น้าเคม็ ท่ีปากน้าทั้งหลาย ทา้ ใหเ้ กิดบรเิ วณ
นา้ กร่อย และบรเิ วณที่นา้ กร่อยเข้าถงึ นั้นเป็นสาเหตุที่ท้าให้มแี ร่ธาตุอาหารจากทะเลข้ึนมาถึงบริเวณสวนผลไม้
เป็นช่วงเวลาตามฤดูกาล จึงท้าให้เกิดพ้ืนที่สวนผลไม้ท่ีอุดมสมบูรณ์อยู่เบ้ืองหลังชายฝ่ังทะเลสามสมุทร
เป็นแนวยาวต่อเน่ืองกันจาก อัมพวา บางคนที ด้าเนินสะดวก บ้านแผ้ว สามพราน นนทบุรี บางมด

5

บางขุนเทียน บางคอแหลม จนถึงบางคล้า เป็นแนวยาวขนานกับชายฝั่งสามสมุทรโดยทุกแหล่งอยู่ห่างจาก
ปากนา้ ในระยที่น้ากร่อยเข้าถงึ ของทุกสายนา้

จากเหตุผลทางพ้ืนท่ีความหนาแนน่ ของประชากร วถิ ชี ีวิตของบุคคลแถบชายฝัง่ ทะเลสามสมทุ ร จึงหนี
ไม่พ้นอาชีพประมง อาชีพเกษตร อาชีพการค้าขาย ท้ังในระดับท้องถิ่นและระดับค้าขายต่างประเทศ
วัฒนธรรมการค้าขาย วัฒนธรรมการสื่อสารติดต่อในเชิงธุรกิจ วัฒนธรรมการบ่มเพาะเชิงเกษตรและ
การประมง วัฒนธรรมการผลิตในเชิงโรงงาน วัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่มีลักษณะผสมซับซ้อน เกิดขึ้นบนพ้ืนที่
เบื้องหลงั ชายฝั่งทะเลสามสมุทรทั้งส้ิน ภมู ิลักษณฝ์ ่ังทะเลสามสมุทร จงึ เปน็ เรอ่ื งของประมง การเกษตร การคา้
และการทอ่ งเท่ยี ว

4.2 ชายฝ่ังทะเลเพชรชุมพร หมายถึง ชายฝั่งทะเลตอนบนของชายฝั่งอ่าวไทยฝ่ังตะวันตก
มีความยาวประมาณ 580 ก.ม. คลุมพ้ืนท่ีชายฝ่ังทะเลจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์และชุมพร แนวชายฝ่ัง
โดยรวมมองในภาพกว้างเป็นแนวตรงจากเพชรบุรีนับจากแหลมหลวง จ.เพชรบุรี ลงใต้ผ่านชะอ้า หัวหิน
สามรอ้ ยยอด ประจวบครี ขี นั ธ์ บางสะพาน ปะทิว ชมุ พร หลังสวน ละแม

ลักษณะภูมิประเทศของชายฝ่ังเพชรชุมพรช่วงดังกล่าวมี ภูมิประเทศชายฝั่งที่ส้าคัญเรียงรายสลับ
กันไปคอื หวั แหลม(cape) สลับกบั อ่าว (bay) บางชว่ งเป็นภูมิประเทศสันทรายเช่อื มเกาะ (Tombolo) ซง่ึ ท้าให้
เกิดอ่าว (bay) เป็นช่วง ๆ ในอ่าวจะมีหาดทราย (sand beach) เป็นส่วนใหญ่ หาดโคลน (mud beach)
มักจะมีบริเวณปากแม่น้า หาดหิน (Rock beach) มักจะมีบริเวณหัวแหลม มีภูมิประเทศปากแม่น้า (Estuary)
สลับเปน็ ชว่ ง ๆ เพราะตลอดชายฝ่งั ทะเลชว่ งนจี้ ะมลี า้ น้าสายสน้ั ๆ ไหลจากแนวเขาทางตะวนั ตก มาออกทะเล
ทางตะวันออกตลอดแนวชายฝง่ั ทะเลเพชรชุมพร

ภูมิประเทศที่ขนานไปกับชายฝั่งทะเลพบเสมอคือ สันทราย (sand burn) บางพ้ืนที่มีหลายสันสลับ
กันไป สันทรายมกั จะมีทล่ี ุ่มน้าขงั (Back swamp) เกิดขน้ึ อยหู่ ลงั สันทราย

จากภูมิประเทศดังกล่าว การใช้ประโยชน์วิถีชีวิตผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝ่ังเพชรชุมพรคือ
การประกอบอาชีพประมงบริเวณปากน้าที่มีท่าจอดเรือ ประกอบอาชีพเก่ียวข้องกับการบริการการท่องเท่ียว
ประกอบอาชีพท้าสวนมะพร้าวบนสันทราย บางพ้ืนท่ีท้าบ่อกุ้ง บ่อปลา ในที่ลุ่มหลังสันทรายซ่ึงเป็นเร่ืองของ
การประมงชายฝ่ัง

จากลักษณะภูมิประเทศและการประกอบอาชีพของประชากรในเขตชายฝ่ังทะเลเพชรชุมพร ท้าให้
ภูมิลักษณ์ชายฝ่ังทะเลแถบนี้ จึงเป็นภูมิลักษณ์ การประมงหลากหลาย ทั้งประมงน้าต้ืน น้าลึกและการประมง
ชายฝ่ัง การทา้ การเกษตรส่วนมะพร้าวและกิจกรรมเก่ยี วข้องกับการท่องเท่ียว

4.3 ชายฝ่ังทะเลอ่าวใหญ่สุราษฎร์ – นครศรี หมายถึง ชายฝั่งทะเลช่วงจังหวัดสุราษฎร์ธานีและ
จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มีอ่าวบ้านดอน และอ่าวปากพนัง – ปากนคร เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย การที่
อ่าวใหญ่ท้ังสองเป็นแหล่งเศรษฐกิจส้าคัญของชายฝั่งทะเลอ่าวไทยฝง่ั ตะวันตก จึงเป็นลักษณะชายฝ่ังทะเลทีม่ ี
ลักษณะพเิ ศษ เพาระอา่ วท้ังสองประกบอยู่กับหัวแหลมขนอม – ดอนสักท่มี ีกลมุ่ เกาะสา้ คญั ยน่ื ข้ึนไปทางเหนือ
2 แนว คอื กล่มุ เกาะสมุย – พงัน และกลุ่มเกาะพะลวย – อ่างทอง กลุ่มเกาะท้ัง 2 แนวมจี า้ นวนเกาะประมาณ
117 เกาะ และเป็นเกาะที่มีความส้าคัญในเชิงเศรษฐกิจทางทะเลด้วย ลักษณะดังกล่าวเป็นลักษณะพิเศษ
ไม่เหมอื นทใี่ ดในอ่าวไทย จึงจัดเป็นกลุ่มเมท่อรวม 2 อา่ วใหมเ่ ขา้ ดว้ ยกนั ภูมลิ ักษณ์ชายฝั่งทะเลในเชิงเศรษฐกิจ
ทส่ี มควรกลา่ วถงึ คอื เปน็ ฐานทัพกองเรอื ประมงท่ใี หญท่ ีส่ ุดในอ่าวไทย

อ่าวบ้านดอนเป็นทะเลน้าต้ืนที่กว้างใหญ่ท่ีสุดคือมีความยาวของอ่าวจากหัวแหลมท่าทองถึงสันทราย
จะงอยท่ีพุมเรียนประมาณ 30 ก.ม. มีความกว้างจากปากน้าตาปีออกไปไหนประมาณ 15 ก.ม. คลุมพ้ืนที่
ชายฝั่งทะเล อ.ดอนสัก อ.กาญจนดิษฐ์ อ.เมืองสุราษฎร์ อ.ท่าฉาง และอ.ไชยา เป็นบริเวณพ้ืนท่ีทะเลตื้นท่ีท้า
ฟาร์มเล้ียง หอย ปู ปลา ที่ใหญ่ท่ีสุดของประเทศเป็นท่ีรวมปากน้าของสายน้าส้าคัญคือ แม่น้าตาปีและสาขา

6

รวมถึง คลองพูนพิน คลองท่าเคย คลองท่าฉาง คลองท่าปูน คลองไชยา คลองกระแตะ คลองท่าทอง
คลองดอนสกั เปน็ ต้น รว่ มความยาวชายฝั่งทเ่ี ปน็ โคลนตมมากกว่า 100 ก.ม.

อ่าวปากพนัง เป็นอ่าวท่ีต่อเชื่อมกับอ่าวปากนคร ครอบข้ึนพ้ืนที่ชายฝ่ังทะเลในเขตอ้าเภอปากพนัง
อ.เมืองนครศรีธรรมราชและบางส่วนของ อ.ท่าศาลา วัดความกว้างจากปลายแหลมตะลุมพุก ถึงชายฝั่งปาก
พญาประมาณ 8 ก.ม. มคี วามยาวของอา่ วจากปากแมน่ า้ ปากพนังถึงปลายจะงอยแหลมตะลุมพกุ ประมาณ 15
ก.ม. เป็นที่รวมของสายน้าปากพนัง คลองท่าซัก คลองไม้เลียบ คลองท่าแพ คลองท่าสูง คลองปากพยิง คลอง
กลาย คลองบ่อนนท์ ฯลฯ เป็นอา่ วทะเลตืน้ ทีส่ า้ คญั ในเชงิ เศรษฐกจิ ทางทะเลของจังหวดั นครศรีธรรมราช

แนวกลุ่มเกาะสมุย - พงัน เป็นแนวกลุ่มเกาะที่เป็นหินแกรนติ ส้าคัญที่เป็นแนวเดียวกับเทือกเขาหลวง
จ.นครศรีธรรมราช วางตัวพาดผ่านมาทาง อ.สิชล และ อ.ขนอม หินแกรนิตจากเทือกเขาเป็นแหล่งก้าเนิด
เมด็ ทรายท่ีมาสร้างหาดทรายที่ขาวสะอาดและเปน็ แหล่งท่องเทีย่ วท่สี ้าคญั

แนวกลุ่มเกาะอ่างทอง เกาะพะรวย เกาะเชือก เกาะนก เป็นแนวเทือกเขาหินปูนที่โผล่น้า หมู่เกาะ
อ่างทองมีโครงสร้างทางธรณีหินปูนที่โดดเด่นสวยงาม เป็นอัตลักษณ์หินปูนที่ไม่มีที่ใดเหมือน จึงเป็น
แหล่งท่องเที่ยวส้าคัญของจังหวดั สรุ าษฎร์ธานี

โดยสรปุ กล่มุ ท้งั สองแนวเปน็ กล่มุ ท่ีมาเพิม่ ศกั ยภาพทางพน้ื ทีใ่ ห้กับชายฝัง่ ทะเลของพ้ืนท่ีดงั กล่าว ให้มี
คณุ คา่ เพมิ่ ขน้ึ สองอ่าวใหญ่ สองกลุ่มเกาะ เป็นภมู ลิ ักษณช์ ายฝ่ังทะเลท่ีเป็นฐานกา้ เนิดเศรษฐกิจและวัฒนธรรม
ให้กับจังหวดั สรุ าษฎร์ธานแี ละจงั หวดั นครศรีธรรมราช เปน็ จงั หวัดแหง่ การประมง การเกษตร แหล่งวัฒนธรรม
และการท่องเที่ยว

4.4 ชายฝั่งทะเลสงขลา – นราธิวาส หมายถึง ชายฝั่งทะเลใต้สุดของอ่าวไทย ช่วงจังหวัดสงขลา
ปัตตานี และนราธิวาส มีความยาวประมาณ 355 ก.ม. ลักษณะภูมิประเทศของชายฝั่งทะเลช่วงนี้ มีลักษณะ
ส้าคัญตรงท่ีมีทะเลสาบภายในชายฝ่ังทะเลยาวประมาณ 100 ก.ม. ได้แก่ทะเลสาบสงขลา ซึ่งเกิดข้ึนจาก
การมีสันทรายชายฝั่งมากปิดกั้นทางน้าเป็นระยะทางยาว 100 ก.ม. เกิดจากอิทธิพลของลมมรสุม
ตะวนั ออกเฉียงเหนือมสี ่วนช่วยสร้างสนั ทรายชายฝ่ังในแนวเหนือใต้ ทา้ ให้เกดิ มรี ่องน้าหลังสันทรายเป็นชว่ ง ๆ
ตลอดแนวชายฝัง่ ตั้งแตแ่ หลมตะลุมพุก สงขลา ปตั ตานีและนราธิวาส บางทีอาจมีสนั ทรายซ้อนกันหลาย ๆ สนั
ท้าใหเ้ กิดมีรอ่ งน้าขงั ระหว่างสันทรายท้าใหเ้ กิดพืน้ ท่ีดนิ พรรุ ะหวา่ งสันทรายมากมายตลอดแนวของชายฝง่ั ทะเล
ช่วงน้ี

ชายฝ่ังทะเลชว่ ง จ.สงขลา และจ.นราธิวาส เป็นชายฝง่ั ทะเลท่ีเปน็ แนวตรงมีสันทรายขนานกับชายฝั่ง
เป็นภูมิประเทศที่ส้าคัญแต่ตรงหัวแหลมปัตตานี จะเป็นชายฝั่งท่ีมีสันทรายจะงอย (spit) มีความยาวประมาณ
มากกว่า 15 ก.ม. ยื่นตามชายฝ่ังไปทางเหนือท้าให้เกิดอ่าวภายในขึ้นมีลักษณะคล้ายกับอ่าวปากพนังท่ี
จ.นครศรีธรรมราช อ่าวมีก้นอ่าวอยู่ที่ปากน้ายะหร่ิง ปากอ่าวอยู่ที่ปลายจะงอยสันทรายตรงข้ามเมืองปัตตานี
มีความกว้างประมาณ 4 ก.ม. ระหวา่ งปรายจะงอยสนั ทรายกบั หัวแหลมปตั ตานี

ดังน้ันภูมิประเทศส้าคัญของชายฝ่ังทะเลด้านน่คี ือ สันทรายชายฝั่ง แหล่งน้าภายในท่ีอยู่หลังสันทราย
ซ่ึงบางส่วนพัฒนาเป็นพื้นที่ดินพรุ พื้นท่ีสันทรายเป็นท่ีต้ังชุมชน หมู่บ้าน เป็นสันทรายปลูกมะพร้าว พ้ืนท่ีลุ่ม
ชายฝง่ั จะเปน็ พ้ืนท่ที ้าประมงชายฝ่งั และเป็นทา่ เรอื ประมงขนาดเลก็

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเขตชายฝั่งทะเลด้านนี้ เป็นชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นวิถีชีวิตส่วนใหญ่จะเป็น
ชาวประมง และท้าเกษตรกรรมชายฝ่ัง ภูมิลักษณ์ชายฝั่งด้านน้ีจึงเป็น สันทราย สลับท่ีลุ่มหลังสันทราย
ชาวมุสลิม การประมงและเกษตรกรรม

5. ภมู ิลกั ษณ์ชายฝั่งทะเลอันดามัน
ชายฝั่งทะเลอันดามันมีความยาวประมาณ 1,110 ก.ม. เป็นชายฝ่ังทะเลด้านมหาสมุทรอินเดีย ท้าให้

ประเทศไทยเปน็ รฐั ชายฝัง่ ของ 2 มหาสมทุ รคอื มหาสมทุ รแปซฟิ ิกแล้วมหาสมุทรอนิ เดยี

7

ทะเลด้านมหาสมุทรอินเดียนั้น ความเป็นจริงประเทศไทยมีชายฝั่งทะเลติดกับ 2 ทะเล คือ ทะเล
อันดามนั และทะเลมะละกา ทงั้ นเ้ี พราะองค์กรระหว่างประเทศดา้ นมหาสมุทรและทะเลระหว่างชาติได้ก้าหนด
ทะเลในช่องแคบมะละกาไว้ ด้วยเส้นแบ่งที่ลากจากแหลมพรหมเทพ จังหวัดภูเก็ตไปถึงปลายเกาะสุมาตาใน
รฐั อาเจะ๊ แยกทะเลมะลากาออกมาจากทะเลอนั ดามนั

ดังนั้นประเทศไทยจึงเป็นรัฐชายฝ่ังที่อยู่ติดกับ 2 มหาสมุทร และ 3 ทะเล ประกอบด้วย ทะเลจีนใต้
ทะเลอนั ดามัน และทะเลมะลากา

ในการจา้ แนกเขตภูมลิ ักษณด์ ้านมหาสมุทรอนิ เดียครั้งนจ้ี ึงจ้าแนกชายฝ่ังทะเลเปน็ 2 ชายฝ่ังทะเล คอื
ช่วงบนจากระนองถึงภูเก็ต เป็นชายฝ่ังทะเลอันดามันและช่วงล่างจากพังงาถึงสตูลเป็นชายฝั่งทะเลมาละกา
โดยมีรายละเอยี ดดงั น้ี

5.1 ชายฝ่ังทะเลอิทธิพลหินแกรนิต ระนอง – ภูเก็ต เป็นลักษณะชายฝ่ังทะเลท่ีอยู่ด้านทะเลอันดา
มนั มีทวิ เขาภเู ก็ตซงึ่ เปน็ สนั เขาอยู่เบ้ืองหลงั ชายฝง่ั ทะเลดา้ นนี้ เป็นลักษณะชายฝ่งั ทะเลลึกและแคบ มหี วั แหลม
และอ่าวเว้าเข้ามาเป็นช่วง ๆ บริเวณที่มีร่องน้าไหลออก ปากแม่น้าจะเป็นโคลนตมและเป็นป่าชายเลน บาง
ช่วงเป็นหาดทรายซ่งึ ทรายท้งั หมดไดม้ าจากแร่ควอตซใ์ นหินแกรนติ จากเทือกเขาชายฝัง่ นนั้

ทะเลด้านนม้ี ีเกาะแก่งที่อย่ทู ่ีชิดชายฝ่ังทะเลมากมายมีแนวหินแกรนิตอยู่แนวนอกชายฝั่งห่างประมาณ
50 ก.ม. ไดแ้ ก่ หมเู่ กาะสรุ ินทร์ หมู่เกาะสิมิลนั เกาะตาชยั เกาะบอน ฯลฯ

จากลักษณะภูมิประเทศของชายฝั่งทะเลแนวจังหวัดระนอง - ภูเก็ต ส่งผลให้คนย่านนี้มีอาชีพประมง
เป็นหลกั นอกจากมีอา่ ว มีคลองสายสั้น ๆ เปน็ ที่จอดเรือหลบลมมรสมุ แล้ว การเลย้ี งปลากระชัง การทา้ ฟาร์ม
บ่อกุ้ง บ่อปลาบ้างเป็นลักษณะประมงชายฝั่ง ตลอดชายฝั่งจังหวัดระนองจาก อ.เมือง อ.กะเปอร์ และ
อ.สุขส้าราญ จะมีพื้นท่ีชุ่มน้าตลอดชายฝ่ังจังหวัดพังงาจะกว้างขวางที่ อ.คุระบุรี อ.ตะกั่วป่า อ.ตะกั่วทุ่ง และ
อ.เมอื งพังงา

อนึ่งท้ังเกาะภูเก็ต และหมู่เกาะรอบเกาะภูเก็ต เกาะต่าง ๆ ในอ่าวพังงา หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะ
สุรินทร์ เป็นหมู่เกาะที่เป็นแหล่งท่องเท่ียวระดับนานาชาติ ดังน้ันกิจกรรมการท่องเที่ยวจึงเป็นอาชีพหลักของ
ชายฝั่งทะเลด้านทะเลอนั ดามนั

5.2 ชายฝ่ังทะเลอิทธิพลหินปูนพังงา – สตูล ได้แก่ ชายฝ่ังทะเลช่วงจากอ่าวพังงา ลงไปกระบ่ี ตรัง
และสุดแดนที่จังหวัดสตูล ซ่ึงเป็นชายฝั่งทะเลที่ติดทะเลมะละกา เป็นชายฝ่ังทะเลท่ีมีลักษณะพิเศษในเชิง
ท่องเท่ียวทางทะเลโดยเฉพาะเป็นชายทะเลที่มีภูเขาหินปูน มีหินปูนเป็นองค์ประกอบหลักและเป็นฉากให้
ชายฝั่งแนวน้ีมีภูมิประเทศที่สวยงาม มีภูมิประเทศท่ีชะวากทะเล (Estuary) มากมายในทุกจังหวัดจนถึง
ชายแดนประเทศมาเลเซีย ป่าชายเลนชนิดต่าง ๆ ประกอบเป็นปากน้าสีเขียวตลอดทั้งปี นอกจากน้ี ยังมี
เกาะแกง่ ประกอบเป็นกลุ่มเกาะหินโดดทา้ ให้ดสู วยงาม

จากภูมิประเทศท่ีกล่าวมา ท้าให้ผู้คนท่ีอาศัยอยู่แถบชายฝ่ังทะเลหินปูนมีพ้ืนฐานด้านการประมง
ทั้งประมงน้าลึก น้าตื้น และประมงชายฝ่ัง แต่เนื่องจากสภาพแวดล้อมมีภูมิทัศน์เพื่อการท่องเท่ียวมากมาย
ประชากรชายฝ่ังสว่ นหน่งึ จึงหันมาประกอบอาชีพการบริการการท่องเท่ียว จากพืน้ ฐานของพืน้ ที่ ซึง่ มีศักยภาพ
ทางการท่องเที่ยวท่ีสูง ท้าให้ประชากรในพื้นที่ชายฝ่ังทะเลพังงา – สตูลหันมาท้ากิจกรรมเชิงเศรษฐกิจ
การทอ่ งเท่ียวมากขึ้น ทั้งโรงแรมทีพ่ ัก รีสอท ร้านอาหาร การขนสง่ ผู้โดยสาร ร้านขายของที่ระลกึ ฯลฯ

จากท่ีกล่าวภูมิลักษณ์ชายฝ่ังทะเลไทยท้ังหมด จะเห็นว่าชายฝั่งทะเลไทยมีลักษณะทางกายภาพ
แตกตา่ งกนั ไป มีอตั ลักษณ์เฉพาะถ่ิน และมีการใชป้ ระโยชน์เต็มศักยภาพ มีการสรา้ งสรรค์วัฒนธรรมเฉพาะถ่ิน
ทุกชายฝ่ังทะเลของประเทศไทยมีความโดดเด่นทางด้านการประมง การท่องเที่ยว และการบริการ ท้าให้
ชายฝัง่ ทะเลไทยเป็นชายฝ่งั ทะเลทมี่ ีชวี ติ และมกี ารเจริญงามทางการทอ่ งเท่ียวมากย่งิ ขนึ้ .

------------------------------------------

นเิ วศบกทีส่ ำคัญในพืน้ ที่ชำยฝงั่ ของประเทศไทย

กติ ตพิ จน์ เพมิ่ พลู ; ปร.ด.
และสาธกิ า บญุ แก้ววรรณ
มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์

1. ควำมสำคญั ของนเิ วศบกในพนื้ ทีช่ ำยฝัง่
พื้นที่ชายฝั่งทะเลเป็นพ้ืนที่ที่เกิดการเปล่ียนแปลงมากที่สุดแห่งหน่ึง สามารถพบเห็นไปท่ัวไป

ตามชายขอบของแผ่นดินทั่วโลก คิดเป็นระยะทางรวมถึง 1.6 ล้านกิโลเมตรใน 123 ประเทศ รวมถึงเป็นพ้ืนที่
ที่มนุษย์มีกิจกรรมมากที่สุดพื้นท่ีหนึ่ง เนื่องจากเป็นพ้ืนท่ีรอยต่อของระบบธรรมชาติสามระบบด้วยกัน
คือ แผ่นดิน อากาศและมหาสมุทร ซ่ึงการมีปฏิสัมพันธ์ของ 3 องค์ประกอบนี้ ทาให้ตลอดแนวชายฝั่งทะเล
มลี ักษณะภูมทิ ศั น์และระบบนิเวศทีแ่ ตกต่างกนั ออกไปตามอิทธพิ ลทางธรรมชาติ

พื้นท่ีชายฝั่งทะเล (Coastal Zone) หมายถึง พ้ืนท่ีที่เป็นรอยต่อของแผ่นดิน น้าและอากาศ
ได้รับอิทธิพลจากความเป็นชายฝั่งทะเล ซึ่งอาจส่งผลเข้าไปยังแผ่นดินในระยะไม่ก่ีร้อยเมตรไปจนถึงหลาย
ร้อยกิโลเมตร พ้ืนที่ชายฝั่งทะเลสามารถแบ่งตามระบบนิเวศที่เห็นได้ชัดเจนเป็นสองส่วนด้วยกัน คือ พ้ืนท่ี
ทะเล (Maritime Zone) หรอื นอกชายฝัง่ (Offshore) หมายถึง บรเิ วณทเี่ ป็นอาณาเขตท้องนา้ และใต้น้าลงไป
และบริเวณชายฝั่ง (Intertidal Zone) หมายถึง ส่วนชายฝ่ังท่ีได้รับอิทธิพลของคลื่น การข้ึนลงของน้าทะเล
มีพืชพรรณและสัตว์บก โดยหัวข้อนิเวศบกในพื้นที่ชายฝ่ังทะเล ประกอบด้วย ระบบนิเวศป่าชายเลน
ป่าชายหาด หาดทราย หาดโคลนและปา่ พรุ โดยมีเนอ้ื หาดงั ตอ่ ไปนี้

1.1 ระบบนิเวศป่ำชำยเลน (Mangrove Ecosystem)
1.1.1 ขอ้ มลู ทั่วไปของปำ่ ชำยเลน
ป่าชายเลน คือ ระบบนิเวศที่ประกอบไปด้วยพันธ์ุพืช พันธุ์สัตว์ หลายชนิด ดารงชีวิตร่วมกัน

ในสภาพแวดล้อมท่ีเป็นดินเลน นา้ กร่อย และมนี า้ ทะเลท่วมถึงอย่างสม่าเสมอ ดงั นัน้ จงึ พบป่าชายเลนปรากฏ
อยู่ทั่วไปตามบริเวณที่เป็นชายฝั่งทะเล ปากแม่น้า ทะเลสาบ และรอบเกาะแก่งต่างๆ ในพ้ืนที่ชายฝ่ังทะเล
พันธุ์ไม้ท่ีมีมากและมีบทบาทสาคัญท่ีสุดในป่าชายเลน คือ ไม้โกงกาง ป่าชายเลนจึงมีช่ือเรียกอีกอย่างว่า
ป่าโกงกาง ในระบบนิเวศ (รูปท่ี 1) ป่าชายเลนประกอบด้วยส่ิงมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ส่ิงไม่มีชีวิต ประกอบไป
ด้วย พวกธาตุอาหาร เกลือแร่ น้า พวกซาก-พืช ซากสัตว์ ยังรวมไปถึงสภาพภูมิอากาศ เช่น อุณหภูมิ แสง ฝน
ความช้ืน เป็นต้น และ ส่ิงมีชีวิต ประกอบด้วย ผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย ผู้ผลิตในท่ีนี้หมายถึงส่ิงมีชีวติ
ที่ สามารถสังเคราะห์แสงเองได้ ได้แก่ พืชพันธ์ุไม้ต่างๆ ในป่าชายเลน รวมไปถึง ไดอะตอม แพลงก์ตอนพืช
และสาหร่าย ผู้บริโภค คือ สิ่งมีชวี ติ ทไ่ี ม่สามารถสร้างอาหารเองได้ตอ้ งพ่ึงพาอาศยั พวกอ่นื ได้แก่ พวกสตั ว์หน้า
ดินขนาดเล็ก เช่น แพลงก์ตอนสัตว์ ปู ไส้เดือนทะเล และสัตว์น้าชนิดอื่นๆ เช่น ปลา กุ้ง ปู รวมไปถึง นก
สัตวเ์ ลือ้ ยคลาน และสัตวเ์ ลี้ยงลูกด้วยนม ซึง่ บางชนดิ เป็นพวกกินอนิ ทรีย์สารบางชนิดเป็นพวกกินพืช บางชนิด
เปน็ พวกกนิ สัตว์และบางชนิดเปน็ พวกท่ีกินทั้งพชื และสัตว์ ส่วนประกอบของสิ่งมชี วี ิตท่ีสาคัญในระบบนิเวศป่า

ชายเลนอีกอยา่ ง คือ ผูย้ อ่ ยสลาย ซ่งึ หมายถงึ พวกจลุ ินทรยี ท์ ้ังหลายที่ช่วยในการทาลายหรอื ย่อยสลายซากพืช
และซากสัตว์ให้เน่าเปื่อย ผุพัง จน ในที่สุดจะสลายตัวเป็นธาตุอาหารและปุ๋ย ซึ่งสะสมเป็นแหล่งอาหารในดิน
เพ่ือเป็นประโยชน์ต่อ ผู้ผลิตต่อไป ซ่ึงได้แก่ รา แบคทีเรีย ในป่าชายเลนผู้ย่อยสลายยังรวมถึง ปูและหอย
บางชนิดด้วย

ในระบบนิเวศปา่ ชายเลน สง่ิ ไม่มีชวี ติ และสงิ่ มชี วี ติ ในปา่ ชายเลนเหลา่ นี้จะมีความสัมพันธร์ ะหว่างกัน
อย่างซับซ้อน ทั้งในแง่การหมุนเวียนของธาตุอาหารและการถ่ายทอดพลังงาน แต่สามารถอธิบายง่ายๆ ได้ว่า
เมื่อผ้ผู ลิต คือ พนั ธพ์ุ ชื เจรญิ เตบิ โตจากสงั เคราะหแ์ สง ส่วนของตน้ ไม้ โดยเฉพาะใบไม้ ก่งิ ไม้และเศษไม้ จะร่วง
หล่นทับถมในนา้ และดิน และถูกยอ่ ยสลายโดยผู้ยอ่ ย สลายกลายเปน็ อนิ ทรียวัตถุ ในทส่ี ดุ ก็จะกลายเป็นแร่ธาตุ
อาหารของผู้บริโภคพวกกินอินทรีย์สาร พวกกินอินทรีย์สารนี้จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วกลายเป็นแหล่ง
อาหารโปรตีนอันอุดมสมบูรณ์แก่ สัตว์น้าเล็กๆ และสัตว์เล็กๆ เหล่าน้ีจะเจริญเติบโตข้ึนกลายเป็นอาหาร
ของพวกกุ้ง ปู และปลา ขนาดใหญ่ข้ึนไปเร่ือยๆ ตามลาดับ หรือบางส่วนก็จะตายและผุพังสลายตัวเป็นธาตุ
อาหารสะสมอยู่ในป่านั่นเอง ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นน้ีจะถูกปรับให้เป็นไปอย่างสมดุลภายในระบบ ถ้าไม่ถูก
รบกวนจากภายนอก

ภำพโดย: อรยิ า เอยี่ มเผ่าจินดา (2563)
รปู ท่ี 1 ระบบนิเวศป่าชายเลน

1.1.2 ชนิดและกำรแพร่กระจำยของปำ่ ชำยเลน
ป่าชายเลนประกอบด้วยชนิดพรรณไม้หลายชนิด และเป็นไม้ไม่ผลัดใบ (evergreen species)
มีการปรับตัวของลักษณะทางสรีรวิทยาเพื่อสามารถเจริญอยู่ได้ในน้าเค็ม ลักษณะคล้ายพืชทะเลทราย
เน่อื งจากไม่สามารถดูดนา้ น้ันไปใช้ไดส้ ะดวกอยา่ งน้าจดื จึงต้องเก็บกักน้าที่ดูดขนึ้ ไปได้ไวใ้ นลาต้นให้ได้มากที่สุด
เห็นไดจ้ ากลักษณะของใบซ่ึงมักมีควิ ตนิ เคลอื บหนา มปี ากใบแบบจมเพื่อลดการคายน้า และมกั มีขนปกคลุมผิว
ใบทั้งนี้เพ่ือป้องกันการระเหยของน้าออกจากใบ บางชนิดมีการเก็บกักน้าไว้ในเซลล์พิเศษของใบ ซึ่งทาให้ใบมี
ลักษณะอวบน้า นอกจากนี้เซลล์ของพืชในป่า ชายเลนยังมีความเข้มข้นของเกลือแร่สูงกว่าเซลล์ปกติท่ัวไป
รวมทง้ั มีตอ่ มขบั เกลอื ทาหนา้ ที่ควบคมุ ความเขม้ ข้นของเกลือแร่ในเซลล์ใบให้อยใู่ นระดับปกติอีกดว้ ย เนื่องจาก
ในป่าชายเลนมีการขึ้นลงของน้าทะเลสม่าเสมอ ดังน้ันดินในป่าชายเลนจึงมีน้าท่วมขังอยู่เป็นประจา ทาให้
ออกซิเจนในอากาศไม่สามารถแพร่กระจายลงสู่ดินได้ ซึ่งรากของต้นไม้ป่าชายเลนต้องการออกซิเจนเพื่อใช้
ในการดารงชีวิตและการเจริญเติบโต ดังน้ันต้นไม้จึงต้องพัฒนาวิธีการเพื่อที่รากของมันจะได้รับออกซิเจน

ต้นไม้ป่าชายเลนส่วนมากจึงมีรากอากาศ (pneumatophores) โผล่พ้นเหนือดินทาให้ออกซิเจนจึงสามารถ
ผ่านลงทางรากอากาศสู่รากท่ีอยู่ใต้ดินได้ ไม้ป่าชายเลนส่วนใหญ่ประกอบด้วยไม้สกุลโกงกาง
(Rhizophora spp.) เป็นไม้เดน่ และพันธ์ไุ มช้ นิดอ่ืนอีกกว่า 78 ชนดิ

Kathiresan (2013) ไดอ้ ธิบายรูปแบบโครงสรา้ งของปา่ ชายเลน โดยแบ่งได้อย่างกว้างๆ 6 แบบ ได้แก่
1. Overwash forests เป็นลักษณะป่าชายเลนที่ขึ้นบนที่ราบน้าทะเลท่วมถึง เมื่อน้าท่วมมีลักษณะ
คลา้ ยเกาะ และไดร้ ับอทิ ธิพลจากกระแสน้าขึ้นลงอย่างสมา่ เสมอ
2. Fringe forests เป็นลักษณะของป่าชายเลนที่อยู่บนชายฝั่งที่มีความลาดชันน้อย พบทั่วไปบริเวณ
ชายฝ่ังของแผ่นดินใหญ่และเกาะใหญ่ๆ มักพบป่าประเภทนี้อยู่บริเวณท่ีเป็นอ่าวเปิด และได้รับอิทธิพลจาก
คลืน่ ลมไมแ่ รง ปา่ ชายเลนประเภทนีถ้ ้าพบบนเกาะจะอยู่เหนอื ระดับนา้ ทะเลสูงสดุ
3. Riverine forests เป็นลักษณะปา่ ชายเลนทขี่ ึ้นบนร่องนา้ หรือทางน้าจืดทไ่ี หลลงส่ทู ะเล
4. Basin forests เป็นลักษณะป่าชายเลนท่ีเป็นพ้ืนท่ีต่า น้าท่วมและขังอยู่ มักพบขึ้นอยู่บนฝ่ังท่ีตดิ ป่า
บก สัมผัสกับน้าจดื จากบนบก และนา้ กร่อยนานกวา่ ป่าชายเลนที่อย่ตู ามชายฝ่ัง ป่าชายเลนประเภทนี้มีพืชอิง-
อาศัยขนึ้ อยมู่ าก เช่น กล้วยไม้
5. Scrub/Dwarf forests เป็นลักษณะป่าชายเลนที่ขึ้นบนบริเวณที่มีปัจจัยจากัดการเจริญเติบโต
โดยท่วั ไปจะเป็นไม้พุม่ เตีย้ ๆ ประมาณ 2 เมตร มกั พบในบริเวณที่แห้งแล้งกวา่ บรเิ วณอืน่
6. Hammock forests เป็นป่าชายเลนที่มีลักษณะคล้าย Basin forests แต่ระดับความสูงของพ้ืนที่
ป่าประเภทนี้จะมากกว่าปา่ ชายเลนประเภทอนื่ ๆ

โครงสรา้ งของปา่ ชายเลนท้งั 6 แบบ ดังแสดงในรปู ที่ 2

ทมี่ ำ: Kathiresan (2013)
รปู ท่ี 2 โครงสรา้ งของป่าชายเลน

1.1.3 กำรแบ่งเขตของชนดิ ของไม้ปำ่ ชำยเลน (species zonation) ในปำ่ ชำยเลน
Watson (1928) ได้จดั แบ่งเขตไมป้ า่ ชายเลนในพืน้ ทท่ี างดา้ นตะวนั ตกของประเทศมาเลเซียออกได้
5 บริเวณ โดยมีความถ่ขี องน้าทะเลท่วมถงึ เปน็ ปัจจัยสาคัญในการแบง่ เขตไมป้ า่ ชายเลน ดังนี้
1. พน้ื ทท่ี ม่ี นี ้าทะเลทว่ มถงึ ทกุ ครงั้ บริเวณน้ีไม่มีไมป้ า่ ชายเลนชนดิ ใดขนึ้ ได้ในสภาวะเชน่ น้ี ยกเวน้
โกงกางใบใหญ่
2. พ้ืนที่ที่มีนา้ ทะเลท่วมถึงในขณะที่มนี า้ ขน้ึ สงู ปานกลาง ไมป้ า่ ชายเลนทีข่ ึ้นบริเวณน้เี ป็นพวกแสม
ขาว แสมทะเล ลาพทู ะเลและโกงกางใบใหญ่

3. พืน้ ทที่ ี่มีนา้ ทะเลท่วมถงึ ในขณะท่ีมนี ้าข้ึนสูงตามปกติ บริเวณน้มี ีไมป้ ่าชายเลนเจริญเติบโต ไดด้ ี
โดยเฉพาะโกงกางจะขึน้ หนาแน่นมากกวา่ ชนดิ อนื่ ที่พบในบรเิ วณนี้ นอกจากนี้ยังพบพวกโปรงแดง ตะบูนและ
ถ่วั ดา เป็นต้น

4. พ้นื ที่ที่มนี า้ ทะเลท่วมถึงเมื่อนา้ ขึ้นสงู สดุ เท่าน้ัน บรเิ วณนี้จะมสี ภาพที่แห้งเกนิ ไปสาหรับไม้โกงกาง
จะขึ้นได้ แตจ่ ะเหมาะสมกับพวกไม้ถ่ัว ตะบนู และตาตุ่ม

5. พ้ืนทีท่ ่มี นี า้ ทะเลท่วมถึงเม่ือนา้ ขน้ึ สงู สุดเปน็ พิเศษเทา่ นั้น ไม้ป่าชายเลนทข่ี นึ้ บริเวณนี้เป็นพวก
พงั กาหัวสมุ หลุมพอทะเล หงอนไกท่ ะเล ตาตมุ่ และจาก เป็นตน้

1.1.4 กำรแพรก่ ระจำยตวั ของป่ำชำยเลน
ป่าชายเลนของประเทศไทยข้ึนอยู่กระจัดกระจายตามชายฝ่ังทะเลภาคตะวันออก ภาคกลาง และ
ภาคใต้ โดยจะพบท้ังทางด้านฝ่ังอ่าวไทย และฝ่ังด้านทะเลอันดามัน ฝั่งอ่าวไทยในภาคกลางพบป่าชายเลน
กระจายตัวบริเวณท่ีติดกับชายฝั่งทะเลของจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพฯ สมุทรสาคร สมุทรสงครา ม
เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ และในภาคตะวันออกพบป่าชายเลนขึ้นแพร่กระจายอยู่ตามชายฝั่งทะเลของ
จังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และฉะเชิงเทรา ส่วนชายฝั่งภาคใต้ด้านตะวนั ออก จะพบตามปากน้าและ
ลาน้าใหญ่ๆ ในจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และปัตตานี ในด้านทะเลอันดามันพบ
แนวปา่ ชายเลนยาวตดิ ต่อกันต้ังแตเ่ ขตจังหวัดระนอง พังงา ภูเกต็ กระบ่ี ตรัง และสตลู จังหวดั ท่มี พี ้ืนท่ีป่าชาย
เลนมากทีส่ ดุ ของประเทศไทย ได้แก่ จงั หวัดพงั งา สตลู กระบี่ และตรัง

การจาแนกประเภทของป่าชายเลนในประเทศไทยตามโครงสร้างของป่าชายเลนได้ดังนี้
1. ป่ำชำยเลนท่ีอยู่บรเิ วณปำกแมน่ ำ้ หรือนำ้ กร่อย
ป่าชายเลนประเภทนพ้ี บขึ้นอยตู่ ามริมแมน่ ้าและร่องน้าทไี่ ด้รับอิทธพิ ลจากนา้ จืดมาก โดยพื้นทีป่ ่า

ชายเลนดา้ นที่ตดิ กับทะเล จะมีต้นไม้ขึ้นอยหู่ นาแน่น และมีจานวนชนดิ ต้นไมม้ ากกว่าบรเิ วณที่หา่ งจากทะเล
ขึ้นไป หรอื อยู่ทางดา้ นต้นน้าจืด ได้แก่ ปา่ ชายเลนในอ่าวปากพนงั จงั หวดั นครศรีธรรมราช เปน็ ปา่ ชายเลนที่
ข้นึ อยู่รมิ แมน่ า้ ใหญ่ คือ แมน่ ้าปากพนัง คลองบางจากและคลองปากนคร ปา่ ชายเลนปากแม่นา้ กันตงั และ
แมน่ ้าปะเหลยี น จังหวดั ตรัง ปา่ ชายเลนในจงั หวัดระนอง และจังหวัดพังงา เป็นต้น

2. ปำ่ ชำยเลนท่อี ยู่รมิ ทะเล
ป่าชายเลนประเภทน้ีจะพบตามบริเวณชายฝ่ังหรือปากแม่น้าสายเล็กๆ ซ่ึงได้รับอิทธิพลจากน้าจืด
น้อย หรือมีน้าจืดไหลลงสู่บริเวณป่าชายเลนในปริมาณน้อย น้าในป่าชายเลนประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเป็นน้า
ทะเล พ้ืนท่ีป่าชายเลนประเภทนี้ ได้แก่ ป่าชายเลนท่ีพบข้ึนตามเกาะต่างๆ ซึ่งมีบริเวณขนาดเล็ก สง่าและ
คณะ (2530) ได้ทาการแบง่ เขตชนิดไมป้ า่ ชายเลนในประเทศไทยในแตล่ ะพน้ื ที่ ดังน้ี
2.1 จังหวัดชุมพร มีกลุ่มชนิดไม้ป่าชายเลนข้ึนจากชายฝ่ังน้าลึกเข้าในป่าด้านในติดป่าดอน สรุปได้
ดังนี้ บริเวณดา้ นนอกตดิ กับริมน้าเปน็ กลุ่มไมล้ าพ-ู แสม ถดั ไปเปน็ กลุ่มโกงกางใบใหญแ่ ละตามดว้ ยกลุ่มโกงกาง
ใบเล็ก-ถั่ว หลังไม้กลุ่มน้ีจะเป็นกลุ่มไม้โปรง-ตะบูน หลังจากกลุ่มไม้โปรง-ตะบูนจะเป็นกลุ่มไม้ตาตุ่มและเป้ง
ตามลาดบั

2.2 จังหวัดสุราษฎร์ธานี จากริมน้าเป็นกลุ่มไม้โกงกาง-แสม ตามด้วยกลุ่มไม้โปรง-ตะบูน ถัดจากนี้
จะเปน็ กล่มุ ไม้ตาตุ่มและกลุ่มไม้ฝาด

2.3 จังหวดั นครศรธี รรมราช จากรมิ น้าเป็นกลุ่มไมโ้ กงกางใบเล็ก ถัดไปเปน็ กลุ่มไม้โปรง-ตะบูน และ
ตามด้วยกลมุ่ ไมฝ้ าด และสุดท้ายจะเป็นกลมุ่ ไมโ้ ปรง

2.4 จังหวัดปัตตานี จากริมน้าเป็นกลุ่มไม้โกงกางใบเล็ก ตามด้วยกลุ่มไม้โกงกางใบเล็ก-ถ่ัว และถัด
เข้าไปจะเป็นกลมุ่ ไม้ตะบนู -ปรงทะเล

2.5 จังหวัดระนอง จากริมน้าเป็นกลุ่มเล็บมือนาง-รังกะแท้ และถัดเข้าไปจะเป็นกลุ่มไม้ลาพู-แสม
ตามด้วยกลุ่มไม้โกงกาง-ถ่ัว และถัดจากกลุ่มนี้เข้าไปจะเป็นกลุ่มไม้โปรง-ตะบูนและกลุ่มไม้แสม และใน
เขตสดุ ทา้ ยจะเปน็ กลุ่มไม้ฝาด และกลมุ่ ไม้เปง้ ตามลาดบั

2.6 จังหวัดพังงา จากริมน้าเป็นกลุ่มไม้ลาพู-แสม และกลุ่มไม้โกงกางใบใหญ่ ตามด้วยกลุ่มไม้
โกงกางใบเล็ก-ถั่ว ถัดจากกลุ่มน้ีไปเป็นกลุ่มไม้โปรง และกลุ่มไม้โปรง-ตะบูน สาหรับเขตสุดท้ายจะเป็นกลุ่มไม้
ตาตมุ่ -เป้ง

2.7 จังหวัดกระบี่ จากริมนา้ เปน็ กลุม่ ไมโ้ กงกางใบใหญแ่ ละโกงกางใบเลก็ ตามดว้ ยกลมุ่ ไมโ้ ปรง และ
ถดั ไปเปน็ กลุ่มไมโ้ ปรง-ตะบูน ส่วนเขตสุดท้ายจะเป็นกลุ่มไมฝ้ าดและเป้ง

2.8 จังหวัดตรงั จากรมิ นา้ เปน็ กลมุ่ ไมล้ าพู-แสม และตามด้วยกลมุ่ ไม้โกงกางและกลุม่ ไม้โปรง-ตะบูน
จะขึน้ แนวหลังสดุ ของปา่ ชายเลน

2.9 จงั หวัดสตูล จากรมิ น้าเป็นกลมุ่ ไม้ลาพู-แสม ถดั ไปเปน็ กลุ่มไม้โกงกางและตามด้วยกลุ่มไม้โปรง-
ตะบูน และกลุ่มไม้ฝาด ส่วนเขตสุดท้ายอยู่ติดกับป่าดอน เป็นกลุ่มไม้เสม็ดและบริเวณท่ีป่าถูกทาลายจะมีปรง
ทะเลขน้ึ อยู่อยา่ งหนาแนน่

สง่าและคณะ (2530) ได้สรุปไว้ว่า การขึ้นอยู่ของกลุ่มไม้ในสังคมป่าชายเลนมีความสัมพันธ์กับ
สภาพพื้นท่ีและปัจจัยส่ิงแวดล้อมอย่างชัดเจน กล่าวคือ พวกไม้ลาพู-แสม จะเป็นไม้เบิกนาที่ชอบข้ึนอยู่ริม
แม่น้า ลักษณะเป็นดินเลนมีทรายผสมและมีน้าท่วมถึงเป็นประจา ไม้โกงกางใบใหญ่และโกงกางใบเล็กจะชอบ
ข้ึนอยู่ตามริมแม่นา้ ซ่งึ เป็นดินเลนหนา เป็นพน้ื ท่นี ้าทะเลท่วมถึงเปน็ ประจา เช่นเดยี วกับพวกแสม-ลาพู พวกไม้
ถั่วและไม้โปรงชอบข้ึนอยู่ในท่ีดินเลนค่อนข้างแข็งมีน้าทะเลท่วมถึงสาหรับไม้ฝาดและตะบูนชอบข้ึนในที่ดิน
เลนแข็ง และพ้ืนที่ระดับค่อนข้างสูงเล็กน้อย ส่วนพวกที่ชอบข้ึนอยู่บนพื้นที่เลนแข็งและมีน้าทะเลท่วมถึง
บางครัง้ ในรอบเดือน ไดแ้ ก่ กล่มุ ไม้-ตาตุ่ม ไมเ้ สม็ด ไม้เป้ง สาหรบั บริเวณทีป่ า่ ชายเลนถูกถางและทาลายจะพบ
พวกปรงทะเลข้ึนอย่อู ยา่ งหนาแน่น

1.1.5 ชนิดพนั ธุไ์ ม้ปำ่ ชำยเลน
ป่าชายเลน เป็นสังคมพืชที่ข้ึนอยู่บริเวณริมชายฝ่ังทะเลที่มีกระแสน้าขึ้นลงอยู่เสมอ และน้ามีความ
เค็มสูง ในบางพื้นที่ยังมีลมพัดแรงและแสงแดดจัด พันธ์ุไม้ท่ีข้ึนอยู่ในป่าประเภทน้ีจึงเป็นไม้ที่เจริญเติบโต
ภายใตส้ ภาวะแวดล้อมท่ีแตกต่างไปจากสังคมพืชชนดิ อ่ืน ดังนน้ั จึงจาเปน็ ท่ีต้องมีการปรับตัวและเปลีย่ นแปลง
ลักษณะบางประการของระบบราก ลาต้น ใบ ดอก และ ผลทั้งลักษณะภายในและภายนอกให้เหมาะสมกับ
สภาพพ้นื ที่

1.1.6 กำรปรบั ตัวของส่ิงมชี ีวติ ในป่ำชำยเลน
ป่าชายเลนประกอบด้วยพืชท้ังท่ีเป็นไม้ยืนต้น เอบิไฟท์ เถาวัลย์ และสาหร่าย ไม้ยืนต้นข้ึนอยู่ป่าน้ี
จะมีลักษณะแตกต่างกับไม้ในป่าชนิดอื่นๆ คือ สามารถข้ึนอยู่ได้ในดินเลนและที่มีน้าทะเลท่วมถึงเป็นประจา
หรือเป็นคร้ังคราวได้ ดังน้ัน เพื่อการเติบโต ความอยู่รอด และแพร่กระจายพันธุ์ต่อไปอย่างต่อเนื่อง พันธ์ุไม้
จาเป็นต้องมีการปรับตัว (adaptation) และเปล่ียนแปลงลักษณะทั้งภายนอกและภายในบางประการของ
ระบบราก ลาต้น ใบ ดอก และผล ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นท่ีท่ีพันธ์ุไม้แต่ละชนิดขึ้นอยู่ ซึ่งตัวอย่างของ
การปรับตัวของพชื ได้แก่

(1) มีต่อมขับเกลือ (salt glands) ซึ่งทาหน้าที่ควบคุมระดับความเข้มข้นของเกลือในพืช พบอยู่
ทัว่ ไปในส่วนของใบ เช่น ใบเล็บมอื นาง แสม ลาพู ลาแพน และเหงอื กปลาหมอ

(2) เซลล์ผิวใบ มีผนังหนาเป็นแผ่นมันและมีปากใบ (stomate) ที่ผิวใบด้านล่าง มีหน้าท่ีสาคัญ
สาหรบั ป้องกนั การระเหยของนา้ จากสว่ นของใบ

(3) ใบมลี กั ษณะอวบน้า (succulent leaves) โดยเฉพาะพวกไม้โกงกาง ลาพู ลาแพน จะเห็นได้ชัด
กว่าไมอ้ ่นื ใบอวบนา้ เหล่าน้มี ีหน้าทีช่ ่วยเกบ็ รกั ษาปริมาณน้า

(4) ระบบรากท่ีแผ่กว้างและโผล่พ้นระดับผิวดิน มีหน้าท่ีช่วยยืดและค้าจุนลาต้นให้ต้ังอยู่ในบริเวณ
ดินเลนได้ เรียกว่า รากค้าจุน เช่น รากของไม้โกงกาง เหงือกปลาหมอหรือรากค้าจุนที่เป็นพูพอนของไม้โปรง
และไม้ตะบูน และช่วยรับก๊าซออกซิเจนจากบรรยากาศโดยตรงเพ่ือใช้ในขบวนการเผาผลาญอาหารของพืช
เรียกว่า รากหายใจ เช่น รากของไม้แสม ลาพู ลาแพน หรือรากท่ีมีลักษณะคล้ายเข่าของต้นพังกาหัวสุม โปรง
และฝาด นอกจากนี้ รากของไม้โกงกางและแสมทเี่ ติบโตไม่ถึงพนื้ ดินที่ เรียกว่า รากอากาศ ก็ช่วยในการหายใจ
ของพชื ดว้ ย (รูปที่ 3)

(5) ผลท่ีงอกขณะท่ียังอยู่บนต้น เรียกว่า ฝัก ผลเหล่านี้หลังจากที่หลุดจากต้นแม่น้าลงสู่พื้นดินแล้ว
จะสามารถเติบโตทางดา้ นความสงู อยา่ งรวดเรว็

(6) ต้นออ่ นหรือผลแกส่ ามารถลอยตัวในน้า ทาใหม้ ีการแพรก่ ระจายพนั ธโ์ุ ดยทางน้าได้
(7) ระดับแทนนิน ในเน้ือเย่ือมีปริมาณค่อนข้างสูง แต่จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละชนิด
การปรับตวั ลกั ษณะนจ้ี ะเกิดขน้ึ เพ่อื ป้องกันอันตรายจากพวกเชื้อราต่าง ๆ
(8) สามารถทนทานอยู่ได้ในสภาวะที่มีระดับความเข้มข้นของเกลือโซเดียมคลอไรด์ในใบสูง ทั้งนี้
เพอื่ ความอยรู่ อดภายใตส้ ภาพความเคม็ ของน้าทะเลได้

ที่มำ: สงา่ และคณะ (2530)

รูปที่ 3 ระบบรากของพชื ในป่าชายเลน
1.1.7 สตั ว์ในป่ำชำยเลน
ในป่าชายเลนมีสัตว์ต่างๆ อาศัยอยู่หลากหลายชนิด ทั้งสัตว์น้า สัตว์ครึ่งบกคร่ึงน้า นก แมลง สัตว์
หน้าดิน เป็นต้น จากการรายงานพบกุ้งในป่าชายเลนหรือกุ้งที่อาศัยน้ากร่อยมี 15 ชนิด กุ้งที่สาคัญและมีค่า
ทางเศรษฐกิจสูง คือ กุ้งกุลาดา และก้งุ แชบว๊ ย เปน็ ต้น นอกจากนยี้ ังมีกุ้งบางชนิดที่ว่ายน้าจากบริเวณน้าจืดไป
วางไข่บริเวณน้ากร่อยที่สาคัญ ได้แก่ กุ้งก้ามกราม ปลาชนิดต่างๆ ท่ีอาศัยอยู่บริเวณป่าชายเลน มีรายงานว่า
มีปลาชนิดต่างๆ รวมกันประมาณ 72 ชนิด ปูที่พบในป่าชายเลนมีอยู่หลายชนิด มีรายงานว่ามีอยู่ประมาณ
30 ชนิด ปูในป่าชายเลนส่วนใหญ่ ได้แก่ พวกปูแสม และปูก้ามดาบ สาหรับปูท่ีนิยมรับประทานเป็นอาหาร
และมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ คือ ปูทะเล หอยที่สารวจพบในป่าชายเลนมีทั้งหอยฝาเดียวและหอยสองฝา โดย
ส่วนใหญ่จะเป็นหอยฝาเดียวประมาณ 22 ชนิด ส่วนหอยสองฝาที่พบมีประมาณ 4 ชนิด ชนิดท่ีสาคัญและ
มคี ณุ คา่ ทางเศรษฐกิจ คอื พวกหอยนางรม สตั วช์ นิดอื่นๆในป่าชายเลน นกในปา่ ชาเลนมีท้งั ประเภทอพยพและ
นกท้องถ่ิน ซึ่งจากการสารวจ พบว่ามีถึง 88 ชนิด โดยส่วนใหญ่เป็นนกยาง นกหัวโต นกแอ่น นกกระจิบ
เป็นต้น สาหรับสัตว์ท่ีเลี้ยงลูกด้วยนมมีประมาณ 35 ชนิด และที่พบอยู่ทั่วไป ได้แก่ ลิง นาก แมวป่า
และ ค้างคาว เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสัตว์เลื้อยคลานอีกประมาณ 25 ชนิด ซึ่งรวมท้ังงูชนิดต่างๆ กิ้งก่า เต่า

จระเข้ และในป่าชายเลนยังมแี มลงอาศยั อยเู่ ปน็ จานวนมาก สัตวต์ า่ งๆ ทีพ่ บในระบบนเิ วศป่าชายเลน ดังแสดง
ในรปู ที่ 4

ท่ีมำ: กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (2563)
รูปที่ 4 สตั ว์ในป่าชายเลน

1.1.8 บทบำทและควำมสำคัญของป่ำชำยเลน
ป่ า ช า ย เ ล น เ ป็ น ร ะ บ บ นิ เ ว ศ ที่ มี คุ ณ ค่ า ม ห า ศ า ล แ ล ะ มี ค ว า ม ส า คั ญ ต่ อ ม นุ ษ ย์ ห ล า ย รู ป แ บ บ
คุณประโยชน์ท่ีเห็นได้ชัดเจนคือ การใช้ประโยชน์จากไม้ชายเลนเพื่อเผาถ่าน เนื่องจากต้นไม้ป่าชายเลนปลูก
ง่ายและโตเร็ว จึงมีรอบการตัดเร็วกว่าป่าบกหลายเท่า ไม้ในป่าชายเลนนอกจากใช้เผาถ่านแล้ว ยังสามารถใช้
ประโยชน์ในรูปแบบอ่ืนๆ คือ ใช้เป็นไม้ฟืน ไม้เสาเข็ม ไม้ค้ายัน ไม้ก่อสร้าง ทาแพปลา อุปกรณ์ประมง และ
เฟอร์นิเจอร์
ป่าชายเลนยังเป็นแหล่งทามาหากินของคนท่ีอาศัยบริเวณชายฝ่ังทะเล โดยอานวยปัจจัยการดารง
ชีพหลายประการ เช่น ไม้สาหรับใช้กับอุปกรณ์จับสัตว์น้า เปลือกไม้บางชนิดใช้ย้อมแหอวนเพิ่มความทนทาน
นา้ ผง้ึ จากรงั ผึง้ ในปา่ ชายเลน ผลของตน้ จากกนิ เปน็ ของหวาน ใบจากใชม้ วนยาสูบและมงุ หลงั คา พชื หลายชนดิ

ใช้เป็นยารักษาโรค เช่น เหงือกปลาหมอ ตาตุ่มทะเล นอกจากน้ีชาวบ้านยังประกอบอาชีพการประมงชายฝ่ัง
โดยการจับสัตว์น้าในป่าชายเลนอีกด้วย นอกจากนี้ ป่าชายเลนยังทาหน้าท่ีเสมือนเข่ือนป้องกันคล่ืนลมจาก
ทะเลท่ีสามารถซ่อมแซม ตัวเองได้ เม่ือได้รับความเสียหายจากพายุ ป่าชายเลนช่วยลดความรุนแรงจากพายุ
ไม่ให้บ้านเรือนชายฝ่ังต้องเสียหาย คนท่ีอาศัยอยู่ตามชายฝ่ังทะเลจึงมักปลูกไม้ชายเลนไว้เป็นแนวหนาทึบ
เพ่ือช่วย บรรเทาความรุนแรงจากคลื่นลม ในขณะเดียวกันป่าชายเลนยังทาหน้าท่ีดักกรองส่ิงปฎิกูล และ
สารก่อมลพิษต่างๆ ที่ไหลปนมากับน้าไม่ให้ลงสู่ทะเล ตะกอนต่างๆ จะถูกซับไว้รวมถึงคราบน้ามันจาก
เครื่องยนต์เรือและท่ีร่ัวไหลก็จะถูกดูดซับไว้เช่นกัน และป่าชายเลนยังเป็นแหล่งท่ีอยู่อาศัย วางไข่ หาอาหาร
และเจริญเติบโตของสัตว์น้าวัยอ่อนหลายชนิด โดยเฉพาะสัตว์น้าเศรษฐกิจ เช่น กุ้ง ปูทะเล หอยนางรม
ปลากระบอก ปลากะรัง นอกจากนยี้ ังเป็นต้นกาเนิดของหว่ งโซ่อาหารของท้องทะเลและเปน็ แหล่งผลติ อาหาร

1.1.9 สถำนภำพปำ่ ชำยเลนและป่ำชำยเลนตำมมตคิ ณะรฐั มนตรี
จากการสารวจพื้นท่ีป่าชายเลนในปี พ.ศ. 2557 พบว่ามีพื้นท่ีท่ัวประเทศไทยทั้งหมด 1,534,584
ไร่ โดยจังหวัดที่มีป่าชายเลนมากสุด 3 จังหวัด คือ จังหวัดพังงา มีพ้ืนที่ป่าชายเลน 274,401 ไร่ รองลงมา
จังหวัดสตูล มีพื้นที่ 225,889 ไร่ และจังหวัดกระบ่ี มีพ้ืนท่ี 213,646 ไร่ และจังหวัดที่มีป่าชายเลนน้อยท่ีสุด
3 อันดับแรก คือ จังหวัดนราธิวาส มีพ้ืนที่ป่าชายเลน 75 ไร่ จังหวัดพัทลุง มีพื้นที่ป่าชายเลน 446 ไร่ และ
จังหวดั ประจวบคีรขี นั ธ์ มีพ้นื ทีป่ า่ ชายเลน 1,507 ไร่
ท้ังนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาการลดลงของพื้นท่ีและความเสื่อมโทรมของป่าชายเลน และรักษาไว้ซึ่งระบบ
นิเวศของป่าชายเลน ควรมีการบริหารจัดการตามหลักวิชาการป่าไม้ ดูแลรักษาและติดตามตรวจสอบการบุก
รุกอย่างต่อเนื่อง นานโยบายของรัฐด้านต่างๆ มาเป็นแนวทางในการตัดสินใจและปฏิบัติงานให้เหมาะสมกับ
สภาพพ้ืนที่ โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนในการร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน และ
พัฒนาการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรป่าชายเลนอย่างถูกต้อง ยั่งยืน และเป็นธรรม โดยใช้หลักกฎหมายและ
ระเบียบวิธีปฏิบัติที่เก่ียวข้องแนวปะการัง ในปัจจุบันได้มีการจัดการพื้นท่ีป่าชายเลนที่สาคัญ โดยเน้นไปที่
การกาหนดเขตการใช้ประโยชนเ์ พื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกป่าชายเลน และการปลูกป่าเพอื่ ทดแทนปา่ ชายเลนที่
เสือ่ มโทรม
จากการท่ีพื้นท่ีป่าชายเลนลดลงอย่างรวดเร็ว คือลดลงเกือบครึ่งหน่ึงในระหว่าง ปี พ.ศ.2504 –
2529 ทั้งน้ีเน่ืองมาจากการเข้าทาประโยชน์ในพื้นที่ทั้งโดยการบุกรุกเพื่อทากิจกรรมต่างๆ และลักลอบตัดไม้
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวคณะรัฐมนตรีได้มีมติ ในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ.2530 เพื่อจาแนกเขตและกาหนด
มาตรการการใช้ประโยชนท์ ดี่ นิ ปา่ ชายเลนไว้ ดงั น้ี
เขตอนุรักษ์ หมายถึง พื้นท่ีป่าชายเลนท่ีหวงห้ามไม่ให้มีการเปล่ียนแปลงใดๆ นอกจากจะปล่อยให้
เป็นไปตามธรรมชาติ เพือ่ รักษาไว้ซึ่งสภาพแวดลอ้ มและระบบนเิ วศ ได้แก่ พนื้ ทีแ่ หล่งรกั ษาพนั ธพุ์ ืชและสัตว์น้า
ที่มีค่าทางเศรษฐกิจ พื้นที่แหล่งเพาะพันธุ์และสัตว์น้า พ้ืนที่ท่ีง่ายต่อการถูกทาลายและการพังทลายของดิน
พื้นท่ีท่ีมีความสาคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี สถานที่ท่ีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของท้องถิ่น เขตอุทยาน
แห่งชาติ เขตวนอุทยาน เขตแหล่งท่องเท่ียว เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าและเขตห้ามล่า พ้ืนที่ป่าท่ีสมควรสงวนไว้
เพ่ือเป็นแนวป้องกันลม พ้ืนที่ป่าท่ีมีความเหมาะสมต่อการสงวนไว้เพื่อเป็นสถานที่ศึกษา วิจัย และ รักษา

สภาพแวดล้อมและระบบนิเวศ พื้นท่ีท่ีอยู่ห่างไม่น้อยกว่า 20 เมตร จากริมฝั่งแม่น้าลาคลองธรรมชาติและ
ไมน่ อ้ ยกว่า 75 เมตรจากชายฝ่งั ทะเล

ส่วนเขตเศรษฐกิจจาเพาะ แบ่งได้เป็น 1. เขตเศรษฐกิจ ก. หมายถึง พ้ืนท่ีป่าชายเลนท่ียอมให้มี
การใช้ประโยชน์เฉพาะในกิจการด้านป่าไม้ ได้แก่ พ้ืนท่ีป่าสัมปทาน พ้ืนท่ีป่าชายเลนนอกสัมปทานที่เหมาะสม
แกก่ ารอนรุ กั ษ์ไว้เป็นป่าชุมชน พ้นื ท่สี วนป่าเพ่อื ผลผลติ ดา้ นปา่ ไมข้ องรัฐบาลและเอกชน

2. เขตเศรษฐกิจ ข. หมายถึง พ้ืนท่ีป่าชายเลนท่ียอมให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินและการพัฒนา
ด้านอ่นื ๆ ได้ แต่ตอ้ งคานงึ ถงึ ผลดีและผลเสยี ทางด้านสิ่งแวดล้อมดว้ ย ไดแ้ ก่ พ้ืนที่เกษตรกรรมเพื่อการกสิกรรม
การเลี้ยงสัตว์ การประมง การทานาเกลือ พื้นท่ีอุตสาหกรรม การทาเหมืองแร่ การสร้างโรงงานอุตสาหกรรม
พื้นที่ที่เป็นแหล่งชุมชน แหล่งการค้า ท่าเทียบเรือ และอ่ืนๆ จากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ทาให้ประเทศไทย
มีพ้ืนท่ีท่ีถูกกาหนดเป็นเขตป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรีถึง 4,368.06 ตารางกิโลเมตร ส่วนในปี พ.ศ.2545
มีการใช้ที่ดนิ ประเภทต่างๆ ดงั แสดงในรูปท่ี 5

ท่มี ำ: กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่งั (2556)
รูปท่ี 5 แผนท่ีแสดงการจาแนกเขตการใชป้ ระโยชนท์ ี่ดนิ พื้นท่ปี ่าชายเลนตามมติคณะรฐั มนตรี ปี พ.ศ. 2545

2.2 ระบบนเิ วศป่ำชำยหำด (Beach Forest Ecosystem)

ป่าชายหาดหรอื สงั คมพืชป่าชายหาด พบตามชายฝ่ังทะเลทเ่ี ปน็ หาดทรายพชื พรรณไม้ เปน็ แนวแคบ
ๆ หรือกระจัดกระจายเป็นหย่อม ๆ เป็นป่าท่ีปกคลุมอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลที่ดินเป็นดินทรายน้าทะเลท่วม
ไม่ถึงหรือบริเวณหาดทรายเก่าที่ยกตัวสูงข้ึน หรือบริเวณที่หินชิดฝ่ังทะเล ดินค่อนข้างเค็มและที่สาคัญ คือ
มีไอเค็ม (salt spray) จากทะเลพัดเข้าถึง พรรณพืชส่วนใหญ่ของปา่ ชนิดนี้เปน็ พืชทนเค็ม (halophytes) และ
ลาต้นคดงอด้วยแรงลม ส่วนสังคมพืชบนหน้าผา (cliff community) ท่ีอยู่ริมทะเลมักเป็นพืชที่ทนความแห้ง
แล้ง (xerophytes) ไม่ถือเป็นสังคมพืชป่าชายหาดแม้ว่ามีพืชทนเค็มปรากฏปะปนอยู่บ้าง (Stoner, 1991)
ด้วยเหตุน้ีป่าชายหาดจึงจากัดอยู่เฉพาะบริเวณหาดทรายต้ังแต่แนวต้นไม้ซ่ึงคล่ืนพัดข้ึนมาท่วมไม่ถึง ลึกเข้าไป
จนหมดอทิ ธพิ ลของไอเค็มจากทะเลการกระจายตวั

ป่าชายหาดปรากฏอยู่ท่ัวไปตามชายทะเลท่ีเป็นหาดทราย ท้ังชายฝ่ังภาคตะวันออกต้ังแต่จังหวัด
ชลบุรีลงไปถึงจังหวัดตราด และทางภาคใต้แถบฝั่งทะเลอ่าวไทยจากจังหวัดเพชรบุรีลงไปจนถึงจังหวัด
นราธิวาส รวมถงึ เกาะต่าง ๆ ในอา่ วไทย ทางฝงั่ ตะวนั ตกพบตง้ั แต่จงั หวัดระนองลงไปจนถึงจังหวดั สตูล รวมทั้ง
เกาะตา่ ง ๆ ในทะเลอนั ดามันดว้ ย โดยเฉพาะเกาะตะรเุ ตามปี ่าชายหาดทส่ี วยงามค่อนข้างสมบรู ณ์มากแห่งหนึ่ง
ปา่ ชนดิ นี้อยชู่ ดิ ทะเลจึงมักถูกทาลายและแปรสภาพเป็นแหลง่ ท่องเท่ียว บ้านเมืองและชมุ ชนเปน็ จานวนไม่น้อย
ปา่ ชายหาดจึงคงเหลือใหเ้ หน็ เป็นหยอ่ มเลก็ ๆ ที่มสี ภาพเส่ือมโทรมเป็นส่วนใหญ่

2.2.1 พรรณไม้ในปำ่ ชำยหำด
ป่าชายหาดมีองค์ประกอบของพันธุ์ไม้และโครงสร้างป่าที่มีการผันแปรไปตามสิ่งแวดล้อมแต่ละ
ทอ้ งท่ี พนื้ ที่ที่เปน็ หาดทรายเกดิ ใหม่พบสังคมของสนทะเลซ่งึ มไี ม้สนทะเลเด่นนาเพยี งชนดิ เดียว พน้ื ทปี่ ่ามักโล่ง
เตยี น เน่อื งจากดนิ เป็นดินทราย และถูกปกคลมุ ดว้ ยใบสนหนา ทง้ั นหี้ ากพ้ืนทเ่ี ป็นหาดเกา่ พอควรอาจพบไม้พุ่ม
ข้ึนอยู่ เชน่ รักทะเลและครามป่า เป็นต้น พบในพ้นื ที่ชายฝัง่ ทะเลทางภาคใตต้ อนล่างทมี่ ชี ายฝั่งทะเล ทีเ่ ป็นหิน
โดยเฉพาะเกาะต่าง ๆ เป็นสังคมของรังกะแท้ ตะบูน โพกริ่ง หลุมพอทะเล กระหนาย โพทะเล และกระทิง
เป็นต้น ต้นไม้เหล่านี้มีความสูงไม่มากและมีลาต้นคดงอด้วยแรงลมแต่มีเรือนยอดท่ีต่อเน่ืองกันโดยตลอดและ
แน่นทึบจนจรดดิน บริเวณที่ห่างขึ้นฝ่ังมาเล็กน้อยและดินได้พัฒนามากข้ึน พบโครงสร้างป่ามีความสูงพอควร
และอาจแบ่งได้เป็น ๓ ช้ันเรือนยอด ชั้นบนสุดมีความสูงประมาณ 15 – 20 เมตร ประกอบด้วยพันธ์ุไม้หลัก
ได้แก่ ทองบ้ึง มะเกลือ เกด กุ๊ก มะเกลือเลือด และกระทิง เป็นต้น ไม้ชั้นรองได้แก่ ตีนนก กระเบากลัก ข่อย
มะค่าลิง เป็นต้น ในชั้นไม้พุ่มค่อนข้างมีความหลากหลายมาก ไม้สาคัญในชั้นนี้ได้แก่ พลองข้ีควาย พลองขี้นก
แก้ว มะนาวผี และสลัดบ้าน เป็นต้น ทั้งนี้พื้นป่ายังปกคลุมไปด้วยไม้พุ่มหนามหลายชนิด เช่น หนามเค็ด เกี๋ยง
ป่า หนามข้ีแรด หนามคนฑา และกาจาย เป็นต้น ส่วนเถาวัลย์ที่สาคัญได้แก่ มันคันขาว กาลังควายถึก และ
เขีย้ วงู เป็นต้น ในสังคมพืชปา่ ชายหาดน้ี ยังมกี ลว้ ยไมท้ ีม่ ีดอกสวยงามและไมเ้ กาะติดอน่ื ๆ หลายชนดิ โดยเฉพาะ
กล้วยไม้ในสกุล Sarcanthus,Rananthera,Vanda,Pomatocalpa, Rhyncostylis แ ล ะ Dendrobuim
ส่วนไม้เกาะติดท่ีสาคัญ ได้แก่ Hoya spp., Dischidia spp. และ Hydrophytum spp. เป็นต้น (Robertson
and Alongi, 1995) ส่วนบริเวณที่เป็นท่ีลุ่มดินทรายหรือดินตะกอน ท่ีมีน้าทะเลท่วมถึงเป็นครั้งคราว ดิน

13

คอ่ นขา้ งเค็มจนไมใ้ หญ่ไม่สามารถข้ึนได้ เป็นสงั คมของหญ้าและพชื ล้มลุก ท่ที นเกลือปกคลุมหนาแนน่ ทสี่ าคัญ

ได้แก่ แห้วทรงกระเทียม จูดหนู กกสามเหลี่ยม และชะคราม เป็นต้น บางบริเวณอาจพบขลู่ ซ่ึงเป็นไม้พุ่ม

ขนาดเลก็ ข้ึนหนาแนน่

2.2.2 สถำนภำพป่ำชำยหำด
ป่าชายหาดเป็นป่าพื้นที่แคบๆ อยู่ชายฝั่งทะเล สัตว์ท่ีอาศัยอยู่ส่วนใหญ่จึงมีการเคล่ือนย้าย
ตลอดเวลา ป่าชายหาดในประเทศไทยส่วนใหญถ่ ูกทาลายจนเหลือเป็นผืนเล็กน้อย เนอ่ื งจากไม่ค่อยได้รับความ
สนใจในการอนุรักษ์ เนื่องมาจากมีพันธุ์ไมท้ ี่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจน้อย และพ้นื ท่ปี ่าสว่ นใหญ่อยู่ใกลท้ ะเลจึงถูก
นาไปใชป้ ระโยชน์ด้านอื่น เช่น เป็นท่ีอยอู่ าศัย ทา่ เทียบเรอื สถานท่ที อ่ งเทยี่ ว เป็นต้น
ป่าชายหาดปรากฏอยู่ท่ัวไปตามชายทะเลในบริเวณชายฝั่งภาคตะวันออก ต้ังแต่จังหวัดชลบุรีไป
จนถงึ จงั หวดั ตราด และทางภาคใต้แถบฝั่งทะเลอา่ วไทยจากจงั หวดั เพชรบรุ ีลงไปจนถึงจังหวดั นราธิวาส รวมถงึ
เกาะต่างๆ ในอ่าวไทย ส่วนทางฝ่ังตะวันตกของประเทศพบตั้งแต่จังหวัดระนองลงไปจนถึงจังหวัดสตูล รวมทั้ง
เกาะตา่ งๆ ในทะเลอนั ดามนั โดยเฉพาะเกาะตะรุเตามีป่าชายหาดที่สวยงามค่อนข้างสมบรู ณ์มากแหง่ หนึ่งของ
ประเทศ จากการสารวจของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ังพบพื้นท่ีที่ยังคงสภาพป่าชายหาดจานวน
23,688 ไร่ ใน 13 จังหวดั ชายฝั่งทะเลดงั ตำรำงที่ 2 และป่าชายหาดพน้ื ทชี่ ายฝั่งทะเลอา่ วไทยและชายฝัง่ ทะเล
อนั ดามนั ดงั แสดงในรปู ที่ 6

ตำรำงท่ี 2 พ้ืนท่ปี ่าชายหาดท่ียงั คงสภาพ (หนว่ ย : ไร่)

ลำดบั ที่ จงั หวดั พื้นทที่ ่มี ีสภำพปำ่ ชำยหำด
6
1 ตราด 413
18
2 เพชรบุรี 52
41
3 ประจวบคีรขี นั ธ์ 848
140
4 ชุมพร 424
14
5 สุราษฎรธ์ านี
2,740
6 นครศรธี รรมราช 4,177
57
7 สงขลา 13,699
1,059
8 ปตั ตานี 23,688

9 สตูล

10 ตรัง

11 กระบ่ี

12 ภูเกต็

13 พังงา

14 ระนอง

รวม

ทม่ี ำ: สานกั อนรุ กั ษ์ทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝงั่ (2560)

14

ท่ีมำ: กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่งั (2558)
รูปท่ี 6 ปา่ ชายหาดพนื้ ท่ชี ายฝ่งั ทะเลอ่าวไทยและชายฝง่ั ทะเลอนั ดามนั

15

2.3 ระบบนเิ วศหำดทรำย (Sandy Beach Ecosystem)
หาดทราย หมายถึง พื้นท่ีระหว่างขอบฝ่ังกับแนวน้าลงต่าสุด พ้ืนที่น้ีโดยทั่วไปเรียกว่าฝั่งทะเลหรือ

ชายทะเล มีลักษณะเป็นพืน้ ราบเรยี บไม่มีแหล่งหลบซ่อนกาบังตวั และจัดเปน็ บริเวณท่ีไดร้ บั อทิ ธิพลของคลื่นลม
ที่รุนแรงมากบริเวณหน่ึง ขนาดเม็ดทรายและความลาดชันของชายหาดมีความแตกต่างกันตามสถานที่ขึ้นอยู่
กับลักษณะทางภูมิศาสตร์และฤดูกาล หาดทรายเกิดจากการผุพังสกึ กร่อนตามธรรมชาติของหินโดยเฉพาะหิน
ทรายและหินแกรนิตจนกลายเป็นทรายและดินถูกพัดพาลงสู่ทะเล ตะกอนดินทรายจะถูกแยกจากกัน
โดยเกลยี วคลืน่ สว่ นทเี่ ป็นดนิ จะตกทับถมเปน็ โคลนตมอยู่บริเวณใกล้ปากแม่นา้ และงอกเป็นผืนแผ่นดิน สว่ นที่
เป็นทรายซึ่งหนักและทนทานต่อการผุกกร่อนกว่าจะจมลงและสะสมเป็นพ้ื นทรายใต้ท้องทะเลโดยมีบางส่วน
ถกู พดั พาเขา้ สฝู่ ่ังสะสมจนเปน็ แนวหาดทรายยาวตามชายฝงั่ (คมู่ ือความหลากหลายของส่ิงมชี ีวิตทางทะเลและ
ชายฝ่ังเกาะเตา่ สุราษฎร์ธานี, 2556)

หาดทรายโดยทว่ั ไปจะพบขนาดของเม็ดทรายท่ีแตกต่างกัน บรเิ วณสว่ นบนของหาดจะประกอบด้วย
ทรายหยาบ ขณะทสี่ ว่ นลา่ งของหาดจะพบทรายละเอียดหรือโคลนหาดทราย มลี ักษณะของพ้ืนที่ที่แตกต่างกัน
โดยมีปัจจัยหลักที่เป็นตัวกาหนดรูปแบบของหาดทราย คือ น้าข้ึนน้าลง แนวของน้าข้ึนน้าลงจะเป็นตัวแบ่ง
ความแตกต่างของลักษณะพื้นท่ี ซึ่งจะแบ่งเป็น เขตเหนือแนวระดับน้าข้ึนสูงสุด (Supratidal zone) เขตน้า
ขึ้น-น้าลง (Intertidal zone) และเขตต่ากว่าแนวระดับน้าลงต่าสุด (Subtidal zone) ส่ิงมีชีวิตท่ีอาศัยใน
บริเวณต่างๆ ของหาดทราย ก็จะมีความแตกต่างกัน เช่น สัตว์ท่ีต้องอาศัยในบริเวณเขตน้าข้ึน -น้าลง
ต้องปรับตวั ใหส้ ามารถทนทานความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ ในชว่ งเวลาท่นี ้าลง พวกทีอ่ ยูเ่ หนือเขตนา้ ขึ้นสูงสุด
ก็ต้องสามารถเคล่อื นทไี่ ดเ้ พอื่ หลบแสงอาทิตย์ หรือขุดรูเพือ่ หนจี ากผลู้ า่

2.3.1 กำรแบ่งโซนระบบนิเวศหำดทรำย
เขตเหนอื แนวระดับนำ้ ข้ึนสงู สุด (Supratidal zone) เป็นพน้ื ทท่ี ่ีอยูเ่ หนือจากระดับน้าเมื่อนา้ ขึ้น
สงู สุด อยู่ทางด้านในตอ่ เนื่องกับแผ่นดนิ บรเิ วณนี้จะได้รับผลกระทบจากไอเค็มของทะเล แตจ่ ะไมม่ ีช่วงท่จี มใต้
นา้
เขตน้ำข้ึน-น้ำลง (Intertidal zone) เป็นบริเวณที่อยู่ระหว่างช่วงน้าข้ึนสูงสุดและน้าลงต่าสุด
เมื่อน้าลงบริเวณนี้จะเปิดสู่อากาศเมื่อน้าข้ึนจะจมอยู่ใต้น้า บริเวณน้ีจึงเป็นบริเวณที่มีการเปล่ียนแปลง
ตลอดเวลา สิ่งมีชีวิตที่อาศัยบริเวณนี้จึงต้องมีการปรับตัวอย่างมาก เช่น การฝังตัวใต้พื้นทรายหรือสร้างท่อ
มเี ปลือกแข็งเพื่อป้องกันการเสียดสีจากทรายทเ่ี กดิ จากการทีค่ ล่ืนซัดเข้าออกจากฝ่ัง และในช่วงท่นี า้ ลดร่างกาย
จะแห้ง จึงต้องมีเหงือกท่ีมีความชุ่มชื้นตลอดเวลาท้ังนี้เกิดจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงข้ึนจากแสงแดดท่ีส่อง
ในชว่ งเวลากลางวัน
เขตต่ำกว่ำแนวระดับน้ำลงต่ำสุด (Subtidal zone) เป็นพื้นท่ีท่ีอยู่นอกสุดของแนวหาดทราย
และในช่วงท่ีน้าลงต่าสุดส่วนน้ีจะจมอยู่ได้ระดับน้า หรืออาจจะโผล่พ้นน้าได้บ้างบางส่วน ตะกอนส่วนมาก
เป็นทรายละเอียดปนดินเหนียว หรือดินเหนียวปนทรายแป้ง เน่ืองจากได้รับอิทธิพลของคลื่นจากทะเลด้าน
นอก ดังน้ันจึงทาให้สัตว์ที่อาศัยอยู่ตามหาดทรายบริเวณน้ีมีความสามารถพิเศษในการฝังตัว เช่น ปูหนุมาน
มีขาที่แบนเป็นใบพาย ช่วยในการว่ายน้าและพุ้ยทรายฝังตัวเอง ไส้เดือนทะเล มีการสร้างหินปูน หรือพวกท่ีมี
ลาตัวอ่อนนุ่มจะมีอวัยวะช่วยในการขุดรู หอยเสียบจะมีเท้าขนาดใหญ่ช่วยในการฝังตัว หอยตลับจะมีเปลือก
หอยหนาแขง็ แรง และจะยนื่ ทอ่ น้าเข้าน้าออกเหนอื พ้ืนทรายในชว่ งเวลาน้าข้นึ นา้ ลง ดังแสดงในรูปท่ี 7

16

ท่มี ำ : Castro and Huber (2008)
รูปท่ี 7 การแบง่ โซนระบบนิเวศหาดทราย

2.3.2 พชื และสตั วท์ ่ีอำศยั ในบรเิ วณหำดทรำย
มีการปรับตัวได้หลายด้าน เช่น การปรับตัวด้านรูปร่างสัณฐาน พฤติกรรม สรีรวิทยา และการผสม
พันธุ์ ซ่ึงการปรับตัวจะทาให้สัตว์มีชีวิตรอดได้ในช่วงที่น้าลดลง พืชและสัตว์ท่ีอาศัยอยู่บริเวณชายฝ่ังจึงต้อง
มีสภาพร่างกายทท่ี นต่อสภาวะแวดลอ้ มทร่ี ุนแรง ไม่ว่าจะเป็นการต้องเจอแสงแดดเปน็ เวลานานๆ หรืออณุ หภูมิ
และความเค็มท่ีเพ่ิมสูงขึ้น ดังน้ันพืชและสัตว์จึงต้องมีการปรับสรีระของร่างกายให้ต่อสู้กับเง่ือนไขของ
สิ่งแวดล้อมได้ เช่น สัตว์ที่อยู่ในเขตน้าข้ึนน้าลงจะปรับตัวทางด้านพฤติกรรม โดยการอาศัยในรูเพื่อหลบจาก
แสงแดดในตอนกลางวัน และออกหากินในเวลากลางคืน การปรับตัวทางด้านร่างกาย เชน่ การมขี นปกคลุมตัว
เพื่อดูดซับน้าเอาไว้ทาให้ร่างกายชุ่มช้ืนตลอดเวลา ไม่ทาให้ร่างกายแห้ง หรือการมีเปลือกหุ้มภายนอกที่ค่อน
ข้างหน้า เพื่อต่อต้านการบดของเม็ดกรวดทราย การปรับตัวทางด้านวงจรชีวิตคือ เม่ือถึงฤดูวางไข่มันจะกลับ
ลงสทู่ ะเล โดยจะเปน็ ไปตามการขน้ึ ลงของน้า นอกจากนี้สัตวท์ ่ีอาศัยอยูต่ ามหาดทรายจะมีความสามารถพิเศษ
ในการฝังตัว เช่น ปูหนุมานมีขาท่ีแบนเป็นใบพาย ช่วยในการว่ายน้าและพุ้ยทรายฝังตัวเอง ไส้เดือนทะเล
มีการสร้างหินปูน หรือพวกท่ีมีลาตัวอ่อนนุ่มจะมีอวัยวะที่ช่วยในการขุดรู หอยเสียจะมีเท้าขนาดใหญ่ช่วย
ในการฝังตัว หอยตลับจะมีเปลือกหนาแข็งแรง และจะยื่นท่อน้าเข้าน้าออกเหนือพื้นทรายในช่วงเวลาน้าขึ้น
เป็นต้น ทงั้ นส้ี ตั ว์ทอ่ี าศยั อยูบ่ ริเวณหาดทรายดังแสดงในรูปท่ี 8

17

ชำยหำดหนำ้ โรงพยำบำลปำกนำ้ หลังสวน จ.ชมุ พร ปูลม

ปทู หำร ดำวมงกฎุ หนำม

ปูปนั้ ทรำย เหรยี ญทะเล

รปู ท่ี 8 สตั ว์ที่อาศยั ในบริเวณหาดทราย

18

2.4 ระบบนเิ วศหำดโคลนหรอื ทีร่ ำบนำ้ ขึน้ ถึง (Tidal Flat Ecosystem)
ท่ีราบน้าข้ึนถึงมีสภาพแวดล้อมค่อนข้างสงบ โดยน้าขึ้นน้าลง เป็นตัวการหลักท่ีทาให้เกิดการสะสม

ตัวของตะกอนเกิดเป็นที่ราบ โดยส่วนมากอยู่ในเวิ้งอ่าวมีหัวแหลมเป็นท่ีกาบังลมท้ังสองด้าน และมีแม่น้าไหล
ต่อเนื่องจากแผ่นดินออกสู่ทะเล ตะกอนถูกพัดพามากับทางน้าในช่วงน้าข้ึน โดยน้าทะเลไหลบ่าเข้ามา
ตามลาคลองและท่วมท้นตล่ิงและพื้นที่โดยรอบ เม่ือน้าลงตะกอนตกสะสมตัวทับถมกันเป็นที่ราบท้ังในบริเวณ
ริมตลิ่งและชายทะเลด้านนอก ตะกอนงอกพอกพูนข้ึนในทิศทางท่ีกระแสน้าไหลออกทะเล ตะกอนในที่ราบนา้
ข้ึนถึง ประกอบด้วยดินเหนยี วหรือดินเคลย์ทะเล มีทรายแป้งและทรายละเอียดแทรกสลบั บ้าง จึงเรียกบริเวณ
นว้ี า่ หำดเลน หรอื เรยี กอกี ชอ่ื หน่งึ วา่ หำดโคลน

โดยที่ราบน้าขึ้นถึงในปัจจุบันมีการเปล่ียนแปลงอย่างมาก ทั้งเป็นท่ีอยู่อาศัยในรูปของชุมชน เมือง
พ้ืนที่เกษตรกรรม และพ้ืนท่ีเพาะเล้ียงสัตว์น้า พ้ืนที่ที่สามารถพบชายฝั่งเลนได้ในประเทศไทย สามารถพบได้
ท้ังชายฝ่ังทะเลอันดามันและอ่าวไทย ในชายฝั่งทะเลอันดามัน สามารถพบได้ในพ้ืนท่ีจังหวัดระนอง พังงา
กระบ่ี ตรัง สตูล และภูเก็ต ส่วนชายฝ่ังอ่าวไทยพบมากในบริเวณอ่าวไทยตอนบน ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา
สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี และบริเวณอ่ืนๆ ได้แก่ บริเวณภาคตะวันออก
ในจังหวดั ระยอง และจันทบุรี บริเวณภาคใต้ฝง่ั อา่ วไทย ในจงั หวดั สุราษฎรธ์ านี และนครศรีธรรมราช ทร่ี าบน้า
ขึ้นถึงสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) ท่ีราบน้าขึ้นถึงเดิม (2) ที่ราบน้าข้ึนถึงปัจจุบัน และ (3) ท่ีราบใต้
ระดับน้าลง (กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง, 2557) สามารถจัดเป็นชายฝ่ัง "ไม่แข็งแรง" (Prasetya,
2006) ลักษณะของทีร่ าบนา้ ข้ึนถึงแสดงดังรูปที่ 9

ชำยฝ่ังเลน (ศนู ยก์ ำรเรียนรู้บ้ำนแหลมทรำย อ.ไชยำ ชำยฝัง่ เลนเสื่อมสภำพ ขำ้ งครัวบ้ำนพอด
จ.สรุ ำษฎร์ธำน)ี (อ.ดอนสกั จ.สุรำษฎรธ์ ำน)ี

รปู ที่ 9 ลกั ษณะหาดโคลนหรือทรี่ าบน้าขนึ้ ถึง

19

2.5 ป่ำพรุ (Swamp Forest Ecosystem)
ป่าพรจุ ัดเปน็ พนื้ ท่ีลุ่มต่าหรือพ้ืนท่ีชมุ่ นา้ บริเวณชายฝ่งั ทะเล อาจอยตู่ ดิ กับแผ่นดินหรืออยดู่ ้านหลังที่

กาบัง ไม่ปะทะกับทะเลโดยตรง มลี กั ษณะเป็นแอ่งมีน้าขัง ยุบตวั ง่าย และชื้นแฉะ ในอดีตเคยมีทางน้าไหลลงสู่
ทะเล ต่อมาเม่ือมีการสะสมตะกอนมากข้ึน ทางน้าเหล่านั้นถูกปิดเกิดเป็นแอ่ง ที่ลุ่มต่า การจาแนกป่าพรุ
ส่วนมากจะแบ่งตามความเคม็ ของน้าและชนิดของพันธุ์ไมท้ เ่ี จริญเตบิ โตในป่าพรุ สามารถพบป่าพรไุ ด้มากตั้งแต่
จังหวัดนครศรีธรรมราชจนถึงจังหวัดนราธิวาส นอกจากน้ันยังสามารถพบได้ในพื้นท่ีชายฝั่งของจังหวัด
ประจวบคีรขี นั ธ์ จนั ทบุรี และตราด อยา่ งไรก็ตามพ้นื ทป่ี ่าพรุในปจั จุบนั ถกู แปรสภาพไป จากสภาพท่ีเปลี่ยนไป
อาจถูกจัดรวมไว้กับบริเวณท่ีราบน้าขึ้นถึงเดิม (กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง, 2557) ชายฝ่ังชนิดนี้
มีลักษณะเป็นตะกอนละเอียด ตะกอนสว่ นใหญเ่ ปน็ ดินเหนียวท่ีมาจากแม่น้าสามารถจัดเปน็ ชายฝ่ัง ไม่แข็งแรง
มีความลาดชันของทะเลท่ีกว้างและค่อนข้างราบ การกัดเซาะส่วนใหญ่เกิดจากการเปล่ียนแปลงการใช้ท่ีดิน
ด้วยการทาลายป่าบริเวณพ้ืนท่ีเหล่านั้น และเกิดจากการสร้างเข่ือนที่ทาให้ปริมาณตะกอนลดลง (Prasetya,
2006) ลกั ษณะปา่ พรุขนาดใหญใ่ นประเทศไทยทม่ี คี วามอุดมสมบูรณ์ ดงั แสดงในรปู ที่ 10

ป่ำพรุโต๊ะแดง จ.นรำธิวำส

ป่ำพรุควนเคร็ง จ.นครศรีธรรมรำช

ท่ีมำ: ศูนย์วิจยั และศึกษาธรรมชาตปิ า่ พรุสิรินธร (2537)
รูปท่ี 10 ป่าพรุขนาดใหญ่ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ในประเทศไทย

.5.1 สภำพภูมอิ ำกำศบริเวณปำ่ พรุ
ป่าพรุมีสภาพภูมิอากาศแบบคาบสมุทร มีฝนชุกตลอดทั้งปี แต่ช่วงเวลาท่ีเหมาะสมสาหรับ
การท่องเท่ียวป่าพรุ คือระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน เพราะเป็นช่วงที่ฝนตกน้อยที่สุด ทาให้สามารถเดิน
ชมปา่ พรุได้สะดวกสบายกว่าชว่ งเวลาอนื่ ขอ้ ควรระวงั สิ่งท่ีตอ้ งใหค้ วามระมัดระวังในปา่ พรุ กค็ อื ยุงดา อันเป็น
พาหะนาโรคเท้าช้าง ซึ่งมีอยู่ชุกชุมและมักออกหากินในช่วงพลบค่า และไม่ควรสูบบุหรี่ภายในป่าพรุ เพราะ

20

อาจเกิดไฟป่าขนึ้ ได้ หากมีใครเผลอทง้ิ กน้ บุหรลี่ งไป ท่สี าคัญเม่ือปา่ พรเุ กิดไฟป่าแลว้ จะดับยากมากกวา่ ปา่ ชนิด
อื่น เพราะเชื้อเพลิงไม่ได้มีแค่ต้นไม้ในป่าเท่านั้น หากยังรวมไปถึงซากไม้และต้นไม้ที่ทับถมกันในชั้นดินพรุ ไฟ
จึงสามารถลุกลามลงไปใต้ดิน ทาให้การควบคุมเพลิงหรือดับไฟนั้นทาได้ลาบาก ไฟจะคุกรุ่นกินเวลานานนับ
เดือน ต้องรอจนกวา่ จะมฝี นตกชกุ จนเกดิ นา้ ท่วมผิวดนิ ไฟจงึ จะดบั สนทิ

2.5.2 ระบบนิเวศป่ำพรุ
ระบบนเิ วศของปา่ พรคุ ือความน่าทงึ่ ของธรรมชาติ โดยจะพบไม้ยืนตน้ ทม่ี รี ะบบรากแขนงแข็งแรงแผ่
ออกไปเกาะเก่ียวกัน เพ่อื จะได้ช่วยพยุงลาต้นของกันและกนั ให้ทรงตวั อยู่ได้ และนีเ่ องทที่ าให้ต้นไม้ในป่าพรุอยู่
รวมกันเป็นกลุ่ม หากต้นใดล้ม ต้นอื่นจะล้มตามไปด้วย ทั้งน้ี พันธ์ุไม้ที่พบในป่าพรุน้ัน มีกว่า 400 ชนิด
บางอย่างนามารับประทานได้ เช่น หลุมพี ซ่ึงเป็นไม้ในตระกูลปาล์ม มีลักษณะต้นและใบคล้ายปาล์ม
แตม่ ีหนามแหลมอยู่ตลอดก้าน ผลมีลักษณะคล้ายระกา แต่เลก็ กวา่ รสชาติออกเปรี้ยว ชาวบา้ นนามาดองและ
ส่งขายไปยังประเทศมาเลเซยี โดยฤดเู กบ็ ลูกหลมุ พีจะอยูใ่ นชว่ งเดือนพฤศจกิ ายน-มนี าคม หากนอกฤดูกาลแล้ว
จะหายากและมีราคาสูง ขณะเดียวกันไม้บางอย่างก็เป็นพืชพรรณในเขตมาเลเซีย เช่น หมากแดง ซ่ึงมีลาต้นสี
แดง เป็นปาล์มชั้นดี ขายได้ราคางาม และมีผู้นิยมนาไปเพาะเพ่ือประดับสวน เนื่องจากความสวยของกาบ ใบ
และลาต้นท่ีมีสีแดงดังชื่อ นอกจากนี้ในป่าพรุยังมีพืชอีกหลายชนิดที่น่าสนใจ เช่น ปาหนันช้าง อันเป็นพืช
ในวงศก์ ระดงั งาทม่ี ีดอกใหญ่ และกล้วยไม้กบั พชื เลก็ ๆ

2.5.3 สตั ว์ประจำถนิ่ ในป่ำพรุ
สตั วป์ ่าทพ่ี บในป่าพรุมีจานวนกว่า 200 ชนดิ เชน่ คา่ ง ชะมด หมูปา่ หมีขอ แมวป่าหวั แบน อันเป็น
สัตว์คุ้มครองท่ีหายากชนิดหน่ึงของไทย หนูสิงคโปร์ ท่ีพบค่อนข้างยากในคาบสมุทรมลายู แต่กลับมีชุกชุมบน
เกาะสิงคโปร์ สาหรับประเทศไทยพบในปา่ พรโุ ต๊ะแดงนี้เท่าน้นั และหากปา่ พรุถูกทาลาย หนูเหลา่ นอี้ าจออกไป
ทาลายผลิตผลของเกษตรกรในพ้ืนทโี่ ดยรอบได้ ส่วนพนั ธ์ุปลาท่พี บ ไดแ้ ก่ ปลาปากย่ืน ที่เป็นปลาชนิดใหม่ของ
โลกซึ่งพบท่ีป่าพรุสริ ินธรนี้เท่าน้ัน ปลาดุกราพัน ท่ีมีรูปร่างคล้ายงู ซึ่งอาจพัฒนาเป็นปลาเศรษฐกิจท่ีใช้เลี้ยงใน
แหล่งที่มีปัญหาน้าเปร้ียวได้ ปลากะแมะ รูปร่างประหลาดมีหัวแบน ๆ กว้าง ๆ และลาตัวค่อย ๆ ยาวเรียวไป
จนถึงหาง มีเง่ียงพิษอยู่ที่ครีบหลัง ปลาเหล่านี้จะอาศัยป่าพรุเป็นพ้ืนที่หลบภัยและวางไข่ ก่อนแพร่ลูกหลาน
ออกไปให้ชาวบ้านใช้ยังชีพ สวรรค์นักดูนก นกในป่าพรุน้ันมีหลายชนิด แต่ชนิดที่เด่น ๆ ได้แก่ นกกางเขนดง
หางแดง พบมากในเกาะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว และมาเลเซีย ในประเทศไทยพบครั้งแรกที่น่ี เม่ือปี พ.ศ.
2530 นกจับแมลงสีฟ้ามาเลเซีย ซ่ึงในประเทศไทยจะพบท่ีป่าพรุสิรินธรเพียงแห่งเดียวเท่าน้ัน และปัจจุบัน
นกทง้ั สองชนิดอยู่ในภาวะลอ่ แหลม เสยี่ งต่อการสญู พนั ธุ์ ฤดูกาลเหมาะสม (ชวลิต วิทยานนท์, 2545)

2.5.4 ปำ่ พรุทสี่ ำคญั ของประเทศไทย
ป่าพรุโต๊ะแดงได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้าลาดับท่ี 1102 ของประเทศไทย เม่ือวันที่ 5
กรกฎาคม พ.ศ. 2544 โดยครอบคลุมพ้ืนท่ี 3 อาเภอ คือ อาเภอตากใบ อาเภอสุไหงโกลก และอาเภอสุไหงปา
ดี มีพ้ืนท่ีประมาณ 120,000 ไร่ แต่ว่าส่วนท่ีสมบูรณ์นั้นเหลือเพียง 50,000 ไร่ ป่าพรุโต๊ะแดงเป็นป่าที่มีความ
อุดมสมบูรณไ์ ปด้วยสัตวป์ า่ และพรรณไม้ โดยมลี านา้ สาคญั หลายสายไหลผ่าน ได้แก่ คลองสุไหงปาดี แม่นา้ บาง
นรา และคลองโต๊ะแดง อันเป็นที่มาของชื่อป่านั่นเอง กาเนิด "ป่าพรุ" ป่าพรุ หรือ peat swamp forest นั้น
เกิดจากแอง่ นา้ จดื ขังติดต่อกนั ชวั่ นาตาปี และมกี ารสะสมของชน้ั ดนิ อินทรียวัตถุ ไดแ้ ก่ ซากพืช ซากต้นไม้ ใบไม้

21


Click to View FlipBook Version