ท่ีย่อยสลายอย่างช้า ๆ กลายเป็นดินพีท (peat) หรือดินอินทรีย์ที่มีลักษณะหยุ่นยวบเหมือนฟองน้า
มีความหนาแน่นน้อย อุ้มน้าได้มาก อีกทั้งพบว่ายังมีการสะสมระหว่างดินพีทกับดินตะกอนทะเลสลับชั้นกัน
2-3 ช้ัน ทงั้ น้ี เพราะนา้ ทะเลเคยมีระดับสงู ขน้ึ จนท่วมป่าพรุ ทาใหเ้ กิดการสะสมของตะกอน เม่ือน้าทะเลถูกขัง
อยดู่ ้านใน และพนั ธุ์ไม้ในปา่ พรตุ ายไป กเ็ กดิ ป่าชายเลนขึน้ มาแทนท่ี ครน้ั ระดับน้าทะเลลดลงและมีฝนตกลงมา
สะสม ได้ชะล้างความเค็มจากน้าท่ีขังไปทีละน้อย ค่อย ๆ กลายเป็นน้าจืด และก่อเกิดเป็นป่าพรุข้ึนอีกครั้ง
ซ่ึงดินพรุชั้นล่างนั้นมีอายุถึง 6,000-7,000 ปี ส่วนดินพรุช้ันบนอยู่ระหว่าง 700-1,000 ปี (วิทย์ ธารชลานุกิจ
และคณะ, 2533)
22
เอกสำรอ้ำงองิ
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝงั่ . 2556. ค่มู อื ควำมหลำกหลำยของสงิ่ มชี ีวติ ทำงทะเลและชำยฝัง่ เกำะเต่ำ
สุรำษฎร์ธำนี. กองอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม.
กรุงเทพมหานคร.
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง. 2556. รำยงำนฉบับสมบูรณ์ โครงกำรศึกษำจัดทำแผนหลัก และ
ออกแบบเบื้องต้นในกำรแก้ไขปัญหำกำรกดั เซำะชำยฝ่ังอ่ำวไทยตอนล่ำงตั้งแต่แหลมตะลุมพุก ถึง
ปำกน้ำทะเลสำบสงขลำ. จดั ทาโดย สถาบันวจิ ัยและใหค้ าปรกึ ษาแหง่ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.
กรมทรพั ยากรทางทะเลและชายฝัง่ . 2557. สถำนกำรณ์ชำยฝ่ังและกำรจัดกำรปญั หำกำรกัดเซำะชำยฝัง่
จำกอดีตถึงปัจจุบัน: โครงกำรเสริมสร้ำงองค์ควำมรู้เพื่อพัฒนำศักยภำพกลุ่มเป้ำหมำยในกำร
ป้องกันและแก้ไขปัญหำกำรกัดเซำะชำยฝั่งทะเล 23 จังหวัด. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ
สิง่ แวดล้อม. กรุงเทพมหานคร.
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง. 2560. โครงกำรดำเนินงำนศึกษำวิจัยระบบหำดและแนวทำงแก้ไข
ปญั หำกำรกดั เซำะชำยฝ่ัง. มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ.
กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง. 2563. งำนจ้ำงศึกษำ วิเครำะห์กำรใช้ประโยชน์พื้นที่ชำยฝ่ังเพ่ือกำร
บริหำรจัดกำรและกำหนดแนวทำงกำรดำเนินกิจกรรมบริเวณพื้นที่ชำยฝ่ังทะเล 23 จังหวัด.
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม. กรุงเทพมหานคร.
ชวลิต วทิ ยานนท.์ 2545. พรรณปลำป่ำในพ้นื ทพ่ี รุของประเทศไทย. สานักนโยบายและแผนสง่ิ แวดลอ้ ม.
กรุงเทพฯ. 136. หน้า นนท์ ผาณติ วงศ.์ 2546. การเลย้ี งปลาจากปา่ พรุ.
วทิ ย์ ธารชลานกุ จิ , ประจติ ร วงศร์ ตั น์, สุขมุ เร้าใจ, ประทกั ษ์ ตาบทพิ ย์วรรณ และลดั ดา วงศร์ ัตน์. 2533.
กำรศกึ ษำ คุณภำพน้ำและทรัพยำกรสตั วน์ ำ้ ในพ้นื ที่พรโุ ต๊ะแดง จังหวัดนรำธิวำส. คณะประมง,
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์.
ศูนย์วจิ ัยและศึกษาธรรมชาติปา่ พรสุ ิรินธร. 2537. คูม่ ือกำรเดนิ ศึกษำธรรมชำติป่ำพรุ. งานปา่ ไม้, โครงการ
ศนู ย์การศึกษา การพัฒนาพิกุลทอง. 24 หน้า ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกลุ ทอง อันเนื่องมาจากพระราช
ดาริ. http://www.doae.go.th/biography/biog_22.htm.
สงา่ สรรพศรี, สนิท อกั ษรแก้ว, จิตต์คง แสงไชย, ประจิม สกุ สี เหลอื ง, เพ็ญ ธรรมโชติ, โสภณ หะวานนทแ์ ละ
นรศิ ธรรมโชต.ิ 2530. รำยงำนกำรวจิ ัยกำรศกึ ษำสงั คมป่ำชำยเลน ในประเทศไทยโดยวิธกี ำรจดั
หมวดหมู่และกำรวเิ ครำะห์ ศักยภำพ. สานกั งาน คณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ,กรงุ เทพฯ.
Castro, P. and Huber, M. 2008. Marine Biology. 4th ed. St Louis, MO: McGraw-Hill Education.
Kathiresan, K. and Bingham, B.L., 2013. Biology of Mangroves and Mangrove Ecosystems.
Advances in Marine Biology. VOL 40: 81-251.
Prasetya, G. , 2006. The role of coastal forest and trees in protecting against coastal
erosion: Chapter 4 protecting from coastal erosion, The regional technical
workshop on Coastal protection in the aftermath of the Indian Ocean tsunami:
What role for forests and trees? was organized by the Food and Agriculture
Organization of the United Nations (FAO) under the auspices of the FAO Forestry
Programme for Early Rehabilitation in Asian Tsunami Affected Countries, funded by
the Government of Finland, 28 to 31 August 2006, in Khao Lak, Thailand.
23
Robertson, A.I. and Alongi, D.M. (1995). Role of riverine mangrove forests in organic
carbon export to the tropical coastal ocean; a preliminary mass balance for the
Fly Delta (Papua New Guinea). Geo-Marine Letters 15 (3-4), 134-139.
Stoner, A.W. (1991). Diel variation in the catch of fishes and penaeid shrimps in a
tropical estuary. Estuarine, Coastal and Shelf Science 33, 57-69.
Watson, J.G., 1928. Mangrove forests of the Malay Peninsula. Malayan Forest Records No.
6. Forest Department, Federated Malay States, Kuala Lumpur.
24
ศกั ยภาพพลงั งานจากทะเลของประเทศไทย
การพัฒนาพลงั งานทดแทนได้รับความสาคัญอย่างมากในปัจจุบัน ประเทศไทยได้มีการใชพ้ ลังงานทดแทน
จากแหล่งพลังงานตา่ ง ๆ เพิ่มขึ้นเป็นจานวนมาก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลงั งานลม พลังงานจากชีวมวล เป็นต้น
การพัฒนาแหล่งพลังงานทดแทนแหลง่ อ่ืน ๆ ที่เพิ่มขึ้นนี้ ทาให้สามารถลดการพึ่งพาแหลง่ พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลลง
และทาให้เกิดความม่ันคงทางพลังงานเพ่ิมข้ึน พลังงานจากทะเลเป็นอีกแหล่งพลังงานหน่ึงท่ียังขาดการพัฒนาศักยภาพ
ในการนามาใช้เป็นพลังงานทดแทน
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานได้ว่าจ้าง บริษัท เอส.เค.บี. เอ็นจิเนียร่ิง จากัด
เป็นท่ีปรึกษาในการดาเนนิ โครงการศึกษาศักยภาพพลังงานรูปแบบใหม่ของประเทศ ในปี 2556 โดยมีวัตถุประสงค์หลัก
2 ข้อ คือ 1) เพื่อให้ได้ผลการศึกษาด้านศักยภาพพลังงานรูปแบบใหม่ของประเทศ เช่น พลังงานความร้อนใต้พิภพ
และพลังงานจากทะเล 2) เพ่ือให้ได้ผลการศึกษาด้านเทคโนโลยีและการประยุกต์ใช้พลังงานรูปแบบใหม่
ท่ีเหมาะสมกับศกั ยภาพของประเทศ โดยผลการศกึ ษาศกั ยภาพพลงั งานฯ สามารถสรุปได้ ดังนี้
ประเทศไทยมีชายฝ่ัง 2 ด้าน คือฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน โดยอ่าวไทยมีลักษณะเป็นชายฝ่ังน้าตื้น
เริ่มต้ังแต่จังหวัดตราดไปจนถึงปากน้าสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส ส่วนฝ่ังอันดามันมีลักษณะเป็นทะเลลึก
เริ่มต้งั แต่จงั หวดั ระนองจนถงึ จงั หวัดสตลู
รูปแบบของแหล่งพลังงานทดแทนในทะเลท่ีเหมาะสมกับประเทศไทยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
ได้แก่ 1) น้าข้ึนน้าลง (Ocean Tide) อาศัยหลักการพื้นฐานของพลังงานศักย์และพลังงานจลน์ ใช้ความต่างระดับ
ของน้าขึ้นและน้าลงในแต่ละวันเพ่ือเพิ่มศักยภาพของกาลังงาน โดยจะสร้างเขื่อนที่ปากแม่น้า หรือปากอ่าว
ท่ีมีพื้นที่เก็บน้าได้มาก โดยเมื่อน้าข้ึนน้าจะไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้า และเมื่อน้าลง น้าจะไหลออกจากอ่างเก็บน้า
การไหลเขา้ และออกจากอ่างเกบ็ น้าสามารถนาไปใช้ผลิตกาลงั ไฟฟา้ เชน่ เดยี วกับการผลิตกาลงั ไฟฟ้าพลงั น้า
2) คลื่นทะเล (Ocean Wave) นามาใช้ประโยชน์ไดโ้ ดยการใช้อุปกรณ์ดักจับพลังงานท่เี กิดจากระดับความสูงต่า
ของยอดคลน่ื และทอ้ งคลนื่
3) กระแสน้า (Marine Current) พลังงานจลน์ทเ่ี กยี่ วข้องกับนา้ ข้ึนน้าลงหรือกระแสน้าทะเลสามารถนามาใช้
ประโยชนไ์ ด้โดยใช้อุปกรณ์ท่ีมลี ักษณะการทางานเหมือนกบั กงั หนั ลม
จากการประเมินศักยภาพและความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของพลังงานทางทะเล จะพบว่าพลังงานท่ีมี
ศักยภาพสูงสุดแต่ยังไม่คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ คือ พลังงานน้าข้ึนน้าลงแบบเข่ือนก้ัน รองลงมาคือพลังงานคล่ืน
ส่วนพลังงานน้าข้ึนน้าลงแบบกระแสน้ามีศักยภาพต่าสุด ในประเทศไทย ฝ่ังทะเลอันดามันบริเวณจังหวัดระนอง
พงั งา และภูเก็ตมีศักยภาพของพลงั งานคลืน่ สงู ที่สดุ มีคา่ พลังงานคล่ืนระหว่าง 4 ถึง 7 kW/m รองลงมาคือจงั หวัด
กระบ่ี ตรัง และสตูล มีค่าพลังงานคล่ืนระหว่าง 2 ถึง 4 kW/m ทางฝ่ังอ่าวไทยจะมีศักยภาพของพลังงานคลื่นใน
จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี และนราธิวาส มีค่าพลังงานคล่ืนระหว่าง 2 ถึง 4 kW/m โดยมีแผนท่ี
แสดงศกั ยภาพพลงั งานคลื่นเฉล่ยี รายปีของประเทศไทย ดงั รูปท่ี 1
ในปัจจุบันพลังงานทางทะเลของประเทศไทยยังไม่ได้ถูกนามาใช้ประโยชน์เพื่อการผลิตพลังงานเลย
หากมีการบูรณาการท่ีดี พลังงานทางทะเลก็จะเป็นอีกหน่ึงทางเลือกสาหรับการพั ฒนาพลังงานทดแทน
สาหรบั ประเทศไทย
รปู ที่ 1 แผนท่แี สดงศักยภาพพลงั งานคลื่นเฉลย่ี รายปี
รปู ท่ี 2 ตวั อย่างอปุ กรณ์ดกั จับพลังงานคลื่นแบบต่าง ๆ
55
หนว่ ยท่ี 3
ปโิ ตรเลยี ม
___________________________________________________________
สาระสาคญั
ปโิ ตรเลียม (Petroleum) คือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนเกิดข้ึนเองโดยธรรมชาติจาก
ซากพืชและซากสัตว์ที่ทับถมกันหลายแสนหลายล้านปี มักพบอยู่ในชั้นหินตะกอน (Sedimentray
Rocks) ทั้งในสภาพของแข็ง ของเหลว และก๊าซ มีคุณสมบัติไวไฟเมื่อนามากลั่น หรือผ่าน
กระบวนการแยกก๊าซ จะได้ผลิตภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ เช่น ก๊าซหุงต้ม น้ามันเบนซิน น้ามันก๊าด น้ามันดีเซล
น้ามันเตา ยางมะตอย และยังสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเคมีภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น น้ามันหล่อลื่น
จาระบี ปยุ๋ เคมี พลาสตกิ และยางสงั เคราะหเ์ ปน็ ต้น
สาระการเรียนรู้
1. ความหมายของปโิ ตรเลยี ม
2. การกาเนดิ ปิโตรเลยี ม
3. การสารวจปิโตรเลียม
4. การผลติ ปิโตรเลียม
5. แหล่งผลิตปิโตรเลยี มในประเทศไทย
6. การกลั่นปิโตรเลียม
7. การขนส่งปโิ ตรเลียม
จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม
1. อธบิ ายความหมายและคุณสมบตั ิของปโิ ตรเลียมได้
2. อธบิ ายการกาเนิดปโิ ตรเลียมได้
3. อธิบายการสารวจหาแหล่งปโิ ตรเลียมได้
4. อธบิ ายแหลง่ การผลิตปิโตรเลียมที่สาคญั ของโลกได้
5. อธบิ ายแหลง่ ผลติ ปโิ ตรเลียมท่สี าคญั ในประเทศไทยได้
6. อธิบายถงึ กระบวนการกลั่นและผลิตภณั ฑ์ท่ีได้จากการกล่ันปโิ ตรเลียมได้
7. อธิบายการขนส่งลาเลยี งน้ามันดบิ และเชื้อเพลงิ กา๊ ซได้
8. มกี ารพฒั นาคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์
หนว่ ยท่ี 3 ปโิ ตรเลยี ม 56
3.1 ความหมายของปโิ ตรเลยี ม
3.1.1 ความหมายของปโิ ตรเลียม
ปิโตรเลียมมาจากคา ในภาษาละติน 2 คา คือ เพตรา (Petra) ซึ่งแปลว่า หิน และ
โอเลียม (Oleum) ซึ่งแปลว่า น้ามัน เมื่อรวมความแล้ว หมายถึง น้ามันที่ได้จากหิน ปิโตรเลียม
สามารถแบง่ ตามสถานะที่สาคญั ได้ 2 ชนิด คือ นา้ มันดบิ และ ก๊าซธรรมชาติ
3.1.2 คุณสมบัติของปิโตรเลียม
คุณสมบัติน้ามันดิบโดยท่ัวไปจะมีสีดา หรือสีน้าตาล และมีสารผสมอื่น ๆ ปนอยู่ด้วยด้วย
เช่น กล่ินกามะถัน และกลิ่นไฮโดรเจน ซัลไฟด์หรือก๊าซไข่เน่า เป็นต้น ความหนืดของน้ามันดิบอาจ
แตกต่างกันไปบ้างตั้งแต่เป็นของเหลวเหมือนน้า จนกระท่ังมีความหนืดมากคล้ายกับยางมะตอย
ความถ่วงจาเพาะประมาณ 0.80 – 0.97 ท่ี 15.6 0C ซึ่งมีน้าหนักเบากว่าน้า ดังน้ันเมื่อน้ามันดิบ
รวมอยู่กับน้า น้ามันดิบจึงลอยอยู่เหนือน้า สาหรับก๊าซธรรมชาติแห้งจะไม่มีสีและกล่ิน ในขณะท่ีก๊าซ
ธรรมชาติเหลว หรอื อาจเรยี กว่า“คอนเดนเสท” โดยจะมีลกั ษณะคล้ายกับน้ามันเบนซิน ซึ่งก๊าซธรรมชาติ
แตล่ ะแหลง่ อาจมีคุณสมบัติแตกตา่ งกันออกไปเช่นเดยี วกับ นา้ มันดิบ
3.2 การกาเนิดปิโตรเลยี ม
3.2.1 การกาเนิดปิโตรเลียม
นักโบราณคดีเชื่อว่าประมาณ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล พวกชนเผ่าบาบิโลเนียน
(Babylonian) เร่ิมใช้น้ามัน (ปิโตรเลียม) เป็นเช้ือเพลิงแทนไม้และเม่ือประมาณ 1,000 ปีก่อน
คริสตกาลชาวจีนเป็นชาติแรกที่ทาเหมืองถ่านหิน และขุดเจาะบ่อก๊าซธรรมชาติลึกเป็นร้อยเมตรได้
ก่อนใคร
ปิโตรเลียมเกิดจากการแปรเปลี่ยนสภาพของซากพืช และ ซากสัตว์ท่ีตายทับถมกันใต้
พ้ืนผิวโลก เม่ือส่ิงมีชีวิตเหล่าน้ีตายลง และตกตะกอน พร้อมทั้งถูกทับถมด้วยชั้นกรวด หิน ดินทราย
และโคลนตมที่แม่น้าลาคลองพัดพามาทับถมเป็นชั้น ๆ สลับกันตลอดเวลา สารอินทรีย์เหล่าน้ี
จะได้รับอิทธพิ ลของความร้อน และความกดดันภายใต้พ้ืนผิวโลกทา ให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลง
สารอินทรีย์ จาก กรดฟุลวิค เป็นฮิวมนิ เป็น คโี รเจน และ เป็นปิโตรเลยี ม ในท่ีสุด
ปิโตรเลียม เกิดจากการทับถมและแปรสภาพของซากส่ิงมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ยุคก่อน
ประวัติศาสตร์นบั หลายล้านปี ท่ตี กตะกอนหรือถกู กระแสน้าพัดพามาจมลง ณ บริเวณท่ีเป็นทะเลหรือ
ทะเลสาบในขณะน้ัน ถูกทับถมด้วยชั้นกรวด ทราย และโคลนสลับกันเป็นช้ัน ๆ เกิดน้าหนักกดทับ
กลายเป็นช้ันหนิ ตา่ ง ๆ ผนวกกับความรอ้ นใต้พิภพและการสลายตัวของอินทรีย์สารตามธรรมชาติ ทา
ให้ซากพืชและซากสัตว์กลายเป็นน้ามันดิบและก๊าซธรรมชาติ หรือที่เราเรียกว่า “ปิโตรเลียม” ดังน้ัน
เราจงึ เรยี กปิโตรเลียมไดอ้ ีกชือ่ หน่งึ วา่ “เชื้อเพลิงฟอสซลิ ”
เม่อื หลายลา้ นปี ทะเละเต็มไปดว้ ยสตั ว์ และพืชเล็ก ๆ จาพวกจุลินทรีย์เม่ือสิ่งมีชีวิตตาย
ลงจานวนมหาศาล กจ็ ะตกลงสู่กน้ ทะเล และถูกทับถมดว้ ยโคลน และทราย
หน่วยท่ี 3 ปโิ ตรเลียม 57
ภาพที่ 3.1 แสดงสัตว์ และพืชเลก็ ๆ ตกลงสู่กน้ ทะเล และถูกทับถมด้วยโคลน และทราย
(ท่ีมา : http://www.mne.eng.psu.ac.th)
แมน่ ้าจะพัดพากรวดทราย และโคลนสู่ทะเล ปลี ะหลายแสนตนั ซงึ่ กรวด ทราย และโคลน
จะทับถมสัตว์ และพชื สลบั ทับซ้อนกนั เปน็ ช้ัน ๆ อยูต่ ลอดเวลา นับเป็นล้านปี
ภาพที่ 3.2 แสดงกรวด ทราย และโคลน จะทบั ถมสตั ว์ และพชื สลับทับซ้อนกันเป็นชนั้ ๆ
(ทม่ี า : http://www.mne.eng.psu.ac.th)
การทับถมของชั้นตะกอนต่าง ๆ มากขึ้น จะหนานับร้อยฟุต ทาให้เพิ่มน้าหนักความกด
และบีบอัด จนทาให้ทราย และชั้นโคลน กลายเป็นหินทราย และหินดินดาน ตลอดจนเกิดกลั่น
สลายตัวของสัตว์ และพชื ทะเล เป็นน้ามันดบิ และกา๊ ซธรรมชาติ
หนว่ ยท่ี 3 ปโิ ตรเลยี ม 58
ภาพท่ี 3.3 แสดงกรวด ทราย และโคลน ถกู กดและบบี อัดกลายเป็นหนิ ทรายและหนิ ดนิ ดาน
(ท่ีมา : http://www.mne.eng.psu.ac.th)
น้ามันดิบ และก๊าซธรรมชาติ มีความเบา จะเคล่ือนย้าย ไปกักเก็บอยู่ในช้ันหินเนื้อพรุน
เฉพาะบรเิ วณทส่ี งู ของโครงสร้างแต่ละแหง่ และจะถูกกกั ไวด้ ว้ ยชนั้ หนิ เนอ้ื แนน่ ทีป่ ดิ ทบั อยู่
ภาพที่ 3.4 แสดงนา้ มนั ดิบ และก๊าซธรรมชาติเคลอ่ื นยา้ ย ไปกักเกบ็ อย่ใู นชน้ั หินเนื้อพรุน
(ท่ีมา : http://www.mne.eng.psu.ac.th)
ภาพท่ี 3.5 แสดงการแปรสภาพของซากสง่ิ มีชวี ิตทง้ั พชื และสตั ว์กลายเปน็ นา้ มันปโิ ตรเลยี ม
(ทม่ี า : http://www.vcharkarn.com)
หนว่ ยท่ี 3 ปิโตรเลยี ม 59
3.2.2 แหลง่ กาเนดิ ปิโตรเลยี ม
แหล่งปิโตรเลียมท่ีใหญ่ และสาคญั ของโลกสว่ นมากจะอยู่ในกลมุ่ ประเทศแถบตะวันออก
กลาง ได้แก่ ประเทศซาอดุ ีอาระเบยี อริ กั อหิ รา่ น คเู วต สหพนั ธ์รฐั อาหรับเอมเิ รตส์ และกาตาร์ กลมุ่
ประเทศแถบทะเลแคริบเบียน ซง่ึ ไดแ้ ก่ ประเทศโคลัมเบีย เมก็ ซโิ ก เวเนซูเอลา และตรนิ ิแดด รวมทงั้
เอกวาดอรใ์ นอเมรกิ าใต้ สว่ นแหล่งปโิ ตรเลียมใหม่ ๆ ที่มีขนาดใหญ่ และสาคัญได้แก่ แหลง่ ปิโตรเลยี ม
ในทะเลเหนือซึ่งอยู่ในทวีปยโุ รป และแหล่งปโิ ตรเลยี มในประเทศออสเตรเลีย อนิ โดนีเซยี และมาเลเซีย
ภาพท่ี 3.6 แสดงแหลง่ กาเนิดปิโตรเลียมในกลมุ่ ประเทศตะวนั ออกกลาง
(ท่มี า : http://www.vcharkarn.com)
ภาพที่ 3.7 แสดงแหล่งกาเนิดปโิ ตรเลยี มในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(ท่ีมา : http://www.vcharkarn.com)
หนว่ ยท่ี 3 ปิโตรเลยี ม 60
ภาพท่ี 3.8 แสดงแหล่งกาเนิดปโิ ตรเลียมในกลุม่ ประเทศแอฟริกาเหนอื
(ที่มา : http://www.vcharkarn.com)
3.2.2.1 โอเปก (Organization of the Petroleum Exporting Countries : OPEC)
กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ามันของโลก หรือ “โอเปก” เป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างรัฐบาลของ
ประเทศสมาชิก โดยมีกลุ่มประเทศผู้ร่วมจัดต้ัง 5 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน อิรัก คูเวต
และเวเนซูเอลา ซ่ึงในปีต่อ ๆ มาประเทศผู้ส่งออกน้ามันได้เข้าร่วนในกลุ่มโอเปกอีก 8 ประเทศ คือ
กาตาร์ อินโดนีเซีย ลิเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อัลจิเรีย ไนจีเรีย เอกวาดอร์ และการ์บอง
วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกลุ่มโอเปก คือ เพ่ือประสานและสร้างเอกภาพในด้านนโยบายปิโตรเลียม
ระหวา่ งประเทศสมาชิก โดยมงุ่ รักษาเสถียรภาพราคาของปิโตรเลียมสาหรับประเทศผู้ผลิต และจัดหา
ปิโตรเลียมเพื่อป้อนให้กับประเทศผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพและสม่าเสมอรวมถึงเพ่ือรักษา
ผลตอบแทนทเี่ ป็นธรรมใหแ้ กผ่ ูล้ งทุนในธุรกจิ ปโิ ตรเลียม
3.2.2.2 แหล่งปิโตรเลียมของประเทศไทย มีการสารวจค้นพบแหล่งปิโตรเลียมของ
ประเทศรวมแลว้ 79 แหล่ง โดยเปน็ แหลง่ ท่ไี ด้ทา การผลิตอยู่ 41 แหลง่ โดยแบ่งเปน็
ก) แหลง่ ปิโตรเลียมบนบก 21 แหล่ง ทาการผลติ อยู่ 20 แหลง่
ข) แหล่งปโิ ตรเลียมในทะเล 58 แหลง่ ทาการผลิตอยู่ 21 แหล่ง
ในปี พ.ศ. 2545 ประเทศไทยมีการสารวจปริมาณสารองของปิโตรเลียม (Proved
Reserves) ซ่ึงสารวจพบจากแหล่งปิโตรเลียมในประเทศทั้งส้ิน 2,937 ล้านบาร์เรล (โดยคิดเทียบเท่า
กับปริมาณของน้ามันดิบ) โดยในส่วนน้ีแบ่งเป็นน้ามันดิบ 313.2 ล้านบาร์เรล ก๊าซธรรมชาติ 12.8
ล้านลา้ นลูกบาศก์ฟตุ และก๊าซธรรมชาติเหลว (หรืออาจเรียกว่าคอนเดนเสท) 297.5 ลา้ นบารเ์ รล
3.3 การสารวจปิโตรเลยี ม
3.3.1 การสารวจหาแหลง่ ปโิ ตรเลียม
3.3.1.1 การสารวจทางธรณีวิทยา การสารวจทางธรณีวิทยาเป็นการสารวจเพื่อค้นหา
ว่ามีแหล่งกักเกบ็ ปโิ ตรเลียมหรอื ไม่ โดยสารวจจากหินต้นกาเนิด หินกักเก็บ และช้ันหินท่ีเป็นแหล่งกัก
หนว่ ยที่ 3 ปิโตรเลยี ม 61
เก็บปิโตรเลียมว่ามีอยู่ท่ีใดบ้าง โดยการสารวจจะเริ่มต้นด้วยการจัดทา แผนท่ีของบริเวณที่ต้องการ
สารวจ โดยอาศัยภาพถ่ายทางอากาศ (Aerial Photograph) ภาพถ่ายจากดาวเทียม หรืออ่านจาก
แผนที่ซ่ึงจะช่วยในการคาดคะเนโครงสร้างของช้ันหินใต้พื้นดินได้อย่างคร่าว ๆ ซึ่งผลจากการสารวจ
ทางธรณีวิทยาน้ันยังไม่สามารถใช้เป็นข้อมูลยืนยันที่แท้จริงได้ ดังน้ันจึงต้องมีการสารวจทางธรณี
ฟสิ ิกส์อกี ชัน้ หน่งึ เพ่ือให้ไดข้ อ้ มูลทแี่ นน่ อนกอ่ นทีจ่ ะทาการเจาะสารวจรู
ภาพที่ 3.9 แสดงการสารวจทางธรณีวทิ ยา โดยอาศยั ภาพถา่ ยทางดาวเทยี ม
(ท่มี า : http://www.tourdoi.com)
ภาพท่ี 3.10 แสดงการสารวจทางธรณวี ิทยา โดยอาศยั ภาพถ่ายทางอากาศ
(ท่ีมา : http://www.vcharkarn.com)
หนว่ ยที่ 3 ปิโตรเลยี ม 62
3.3.1.2 การสารวจทางธรณีฟิสิกส์ วิธีการทางธรณีฟิสิกส์ที่นิยมใช้กันมีหลายวิธี แต่ท่ี
นยิ มกันมากมี 3 วธิ ี คอื
ก) การวัดค่าความไหวสะเทือน (Seismic Survey) เป็นการส่งคลื่น
ส่ันสะเทือนลงไปใต้ผิวดิน เม่ือคล่ืนสั่นสะเทือนกระทบช้ันหินใต้ดินจะสะท้อนกลับมาบนผิวโลกเข้าท่ี
ตัวรับคลื่นเสียง (Geophone หรือ Hydrophone) ซึ่งหินแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการให้คลื่น
สนั่ สะเทือนผ่านไดต้ ่างกัน ข้อมลู ทีไ่ ด้จะสามารถนามาคานวณหาความหนาของช้ันหิน และนามาเขียน
เป็นแผนท่ีแสดงถึงตาแหน่ง และรูปลักษณะโครงสร้างของช้ันหินเบื้องล่างออกมาเป็นภาพในรูปแบบ
ตัดขวาง 2 มติ ิ และ 3 มติ ไิ ด้
ข) การวัดค่าความเข้มสนามแม่เหล็ก (Electromagnetic Survey) เป็นการ
วัดค่าความแตกต่างของสนามแม่เหล็กโลกซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง หรือ
ความสามารถในการดูดซึมแม่เหล็กของหินที่อยู่ใต้ผิวโลก ทาให้ทราบถึงลักษณะโครงสร้างของหิน
รากฐาน (Besement) โดยใช้เครื่องมือวัดค่าสนามแม่เหล็ก (Magnetometer) ทาให้เห็นโครงสร้าง
และขนาดของแหลง่ กาเนิดปิโตรเลียมในข้นั ต้น
ค) การวัดค่าแรงดึงดูดของโลก (Gravity Survey) เป็นการวัดค่าความ
แตกต่างแรงโน้มถว่ งของโลกอันเน่ืองมากจากลักษณะและชนิดของ หินใต้พ้ืนโลก หินต่างชนิดกันจะมี
ความหนาแน่นต่างกัน หินที่มีความหนาแน่นมากกว่าจะมีลักษณะโค้งขึ้นเป็นรูปประทุนคว่า ค่าของ
แรงดึงดูดโลกตรงจุดที่อยู่เหนือแกนของประทุนจะมากกว่าบริเวณริมโครงสร้างวิธีวัดคลื่นความ
สัน่ สะเทือน (Seismic Survey)
ภาพท่ี 3.11 แสดงการสารวจปโิ ตรเลียมทางธรณีฟสิ ิกส์
(ทม่ี า : http://www.vcharkarn.com)
หน่วยท่ี 3 ปิโตรเลียม 63
3.3.2 วิธีการสารวจหาแหล่งปโิ ตรเลียม
3.3.2.1 การสารวจวดั คล่นื ไหวสะเทอื น (Seismic Exploration)
ก) การเก็บข้อมูล (Data Acquisition) เป็นข้ันตอนการเก็บข้อมูลดิบใน
ภาคสนาม ในการสารวจบนบกนิยมใช้ระเบิด หรือรถส่ันสะเทือน (Vibroseis) เป็นตัวกาเนิดคล่ืน
สาหรับในประเทศไทยน้ัน นิยมใช้ระเบิดขนาด 1-3 ปอนด์ต่อหลุม ขึ้นกับความลึกของหลุม หรือ
ระยะหา่ งจากส่ิงก่อสร้างที่อาจเป็นอันตรายจากแรงระเบิด เนื่องจากพื้นท่ีสารวจส่วนใหญ่จะเป็นทุ่งนา
ไม่มีถนนที่แข็งแรงเชื่อมโยงกันอย่างทั่วถึง การสารวจในทะเลน้ัน ใช้แรงระเบิดจากอากาศ ท่ีอัดด้วย
ความดันสงู ในกระบอกโลหะ (Air Gun) เปน็ ตวั กาเนดิ คลืน่
ข) การแปรข้อมูล (Data Processing) เป็นขั้นตอนการเปล่ียนข้อมูลดิบให้
อยู่ในรูปท่ีนักธรณีฟิสิกส์ หรือนักธรณีวิทยาสามารถนาไปแปลความหมาย เพื่อหาโครงสร้าง หรือ
ลักษณะทางธรณีวิทยา ที่น่าจะเป็นแหล่งกักเก็บปิโตรเลียม หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือการเปลี่ยนแปลง
ข้อมูลดิบ ให้อยู่ในรูปภาพตัดขวางไหวสะเทือน (Seismic section) น้ันเองกระบวนการต่าง ๆ ของ
ขั้นตอนน้ี ค่อนข้างจะยุ่งยากสลบั ซบั ซอ้ นบางอย่างตอ้ งใชค้ ณิตศาสตรช์ ัน้ สูง และใช้คอมพิวเตอร์ขนาด
ใหญ่ และมีขีดความสามารถสูงตวั อย่างของขั้นตอนการแปรข้อมูลโดยคอมพิวเตอร์
ภาพท่ี 3.12 แสดงภาพตัดขวางทไี่ ดจ้ ากการสารวจคล่ืนไหวสะเทือน (Seismic Cross Section)
ก่อนแปลความหมาย
(ท่มี า : http://www.mne.eng.psu.ac.th)
ค) การแปลความหมายข้อมูล (Data Interpretation) เป็นการหาลักษณะ
และโครงสร้างทางธรณีวิทยารวมถึงข้อมูลท่ีสาคัญอ่ืน ๆ เช่น สภาวะการสะสมตัวของตะกอน และ
ชนิดของหนิ จากภาพตัดขวางไหวสะเทือน ผูแ้ ปลความหมายข้อมลู ควรจะมีความรู้เกี่ยวกับธรณีวิทยา
และธรณีฟิสิกส์เป็นอย่างดียิ่งถ้ามีความรู้เกี่ยวกับธรณีวิทยาพื้นผิวในบริเวณใกล้เคียงก็ยิ่งเป็น
ประโยชน์มากขนึ้ คุณสมบัติท่สี าคญั อกี ประการหน่ึงของนกั แปลข้อมูล คือ ต้องมีจิตนาการท่ีกว้างไกล
แตจ่ ติ นาการทีส่ ร้างขึน้ น้จี ะตอ้ งไมผ่ ดิ หลกั วิชาธรณีวิทยาและธรณีฟิสิกส์กล่าวคือนักแปลข้อมูลจะต้อง
เป็นผู้ท่ีมีความสามารถรวบรวมข้อมูลและความรู้ต่าง ๆ สร้างเป็นภาพตัดขวางธรณีวิทยาใต้ผิวดิน ที่
ใกล้เคียงกบั ความเป็นจรงิ ใหม้ ากทส่ี ดุ ท้ัง ๆ ทไี่ มส่ ามารถเหน็ สิ่งเหล่าน้นั ด้วยตาได้
หน่วยท่ี 3 ปโิ ตรเลียม 64
ภาพท่ี 3.13 แสดงภาพตดั ขวางทไ่ี ดจ้ ากการสารวจคลื่นไหวสะเทอื น (Seismic Cross Section)
หลังแปลความหมาย
(ทมี่ า : http://www.mne.eng.psu.ac.th)
3.3.2.2 การสารวจคลื่นไหวสะเทือนบนพ้ืนดิน แหล่งกาเนิดคล่ืน ท่ีใช้ในการสารวจที่
อยู่บนผิวดินมี 2 ชนิด คือ ใช้ดินระเบิดและรถส่ันสะเทือน (Vibroseis) ซึ่งแต่ละชนิด มีความ
เหมาะสมกับการใช้งานต่าง ๆ กัน การใช้ Vibroseis เหมาะสมกับการสารวจตามริมถนนซึ่งสามารถ
จากัด Noise ซึง่ เกดิ จากการวิง่ ของยานพาหนะตา่ ง ๆ ได้ การดาเนินงานสารวจมี 3 ขน้ั ตอน คือ
ก) การรังวัดแนวสารวจ (Line survey) การดาเนินงานสารวจมี 3 ขั้นตอน
คือการรังวัดแนวสารวจตามแนวท่ีกาหนดไว้ในแผนท่ี โดยใช้กล้องสารวจ Theodolite และ
Lectrical Distance Meter (สาหรับวัดระยะทาง) เพื่อหาตาแหน่ง และค่าระดับของหมุดแสดง
ตาแหน่ง กับหมายเลขของสถานีรับคล่ืน (Geophone Station) และจุดกาเนิดคลื่น (Shot Point)
ซึ่งมรี ะยะหา่ งระหวา่ งจดุ กาเนดิ คล่ืนประมาณ 40-80 เมตร
ข) การเจาะ ( Drilling ) เจาะหลุมกาเนิดคลื่นตามแนวสารวจท่ีรังวัดไว้ โดย
ใช้แรงคนเจาะ หรือเครื่องเจาะขนาดเล็กหลุมเจาะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้ว ความลึก
ประมาณ 3 - 4.5 เมตร โดยเจาะจานวน 3 หลุมตอ่ จดุ กาเนิดคลืน่ ข้ึนกบั ความยากงา่ ยในการเจาะ
ค) การบันทึกสัญญาณคล่ืน ( Recording ) สถานีรับคลื่นแต่ละสถานี จะมี
ตัวรับคล่ืน (Geophone) พ่วงกันประมาณ 12 - 24 ตัว (Geophone Array) วางตามแนวสารวจ
แตล่ ะตวั หา่ งกนั ประมาณ 1 - 5 เมตร คล่ืนสญั ญาณ จะถูกส่งไปตามสายเคเบิล และถูกบันทึกบนเทป
แม่เหล็ก โดยเคร่ืองมืออิเล็กทรอนิกส์ครั้งละ 48 - 120 สถานี ในช่วงเวลาประมาณ 5 วินาที การ
บันทึกสญั ญาณคล่ืนนี้ จะต้องไม่มคี ลื่นเสยี ง หรือคลืน่ ส่นั สะเทือนชนิดอ่ืน เช่น จากคนเดิน จากลมพัด
หรือจากรถบรรทกุ เปน็ ตน้ เปน็ ตัวรบกวนทาใหส้ ญั ญาณทบี่ ันทึกมีคณุ ภาพไม่ดี เน่ืองจากตัวรับคลื่นนี้มี
ความไวต่อความสะเทือนมาก
หน่วยท่ี 3 ปิโตรเลียม 65
ภาพท่ี 3.14 แสดงการสารวจคลืน่ ไหวสะเทือนบนพืน้ ดนิ
(ที่มา : http://www.mne.eng.psu.ac.th)
ภาพที่ 3.15 แสดงการบันทึกสัญญาณคล่นื
(ทม่ี า : http://www.mne.eng.psu.ac.th)
3.3.2.3 การสารวจคลืน่ ไหวสะเทือนในทะเล อุปกรณท์ ่ีใชใ้ นการสารวจไดแ้ ก่
ก) เรือสารวจ พร้อมอุปกรณ์การสารวจ และระบบสื่อสารที่ทันสมัย
เรอื สารวจมคี วามยาวประมาณ 50 - 80 เมตร กว้าง 15- 20 เมตร Tonnage Gross ประมาณ 3,000
- 6,000 ตนั
ข) อุปกรณ์ต้นกาเนิดสัญญาณคลื่น (Air Gun) เป็นรูปทรงกระบอก ใช้อัด
อากาศให้มีความดัน ประมาณ 2,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว แล้วปล่อยอากาศออกมา ทาให้เกิด
สัญญาณคลนื่
ค) อุปกรณ์รับสัญญาณคลื่น (Hydrophone) อยู่ลึกจากผิวน้า 5 - 8 เมตร
ต่อพ่วงกัน ยาวประมาณ 3,000 เมตร มีจานวน 1 สาย หรือมากกว่า ดังน้ันจึงจาเป็นต้องเคลื่อนย้าย
สงิ่ กีดขวา้ งต่าง ๆ ออกจากแนวสารวจ
หนว่ ยที่ 3 ปิโตรเลียม 66
ภาพที่ 3.16 แสดงการสง่ สัญญาณสารวจคล่นื ไหวสะเทือนในทะเล
(ที่มา : http://www.mne.eng.psu.ac.th)
การสารวจคลืน่ ไหวสะเทอื นในทะเล มีข้นั ตอนการสารวจดงั น้ี
ก) ก่อนเร่ิมการสารวจประมาณ 3 - 5 วัน จะต้องเคล่ือนย้ายส่ิงกีดขวาง และ
อุปกรณป์ ระมงตา่ ง ๆ ออกจากแนวสารวจ รวมท้ัง ติดต่อกับเรืออื่น ๆ ไม่ให้แล่นตัดเข้ามาในแนวของ
เรือสารวจ ในช่วงดาเนินการ อุปกรณ์ประมง รวมทั้งสิ่งกีดขวางที่ถูกเคล่ือนย้าย จะมีการจดบันทึก
รายละเอยี ด หมายเลข รหสั ตาแหนง่ พกิ ัด ไว้เป็นหลักฐานหาก มีความเสียหาย ก็จะได้รับการชดเชย
ค่าเสียหาย ตามความเป็นจรงิ ตอ่ ไป
ข) กาหนดตาแหน่งเรือสารวจตามแนวที่วางไว้ในแผนท่ี โดยอาศัยเครื่องมือ
บอกตาแหน่ง DGPS ซึ่งจะส่งสัญญาณจากดาวเทียม และสถานีภาคพื้นดินเป็นตัวเปรียบเทียบ เพื่อ
บอกตาแหน่งทีแ่ น่นอนของเรือสารวจ
ค) เรือสารวจแล่นด้วยความเร็วคงท่ีตามแนวที่กาหนดไว้ (ส่วนใหญ่จะอยู่ใน
แนวทิศตะวันออก - ตะวันตก และทิศเหนือ - ใต้) อุปกรณ์ต้นกาเนิดคลื่นเสียงจะส่งสัญญาณคลื่นทุก
5 - 10 วนิ าที ผา่ นน้าทะเลลงไปสชู่ ั้นดนิ - หนิ ใตพ้ ้นื ทะเล และสะทอ้ นกลับมา สูต่ วั รับสญั ญาณ
ง) สัญญาณที่ได้จะถูกบันทึกลงบนแถบแม่เหล็ก ซึ่งจะต้องประมวลผลด้วย
คอมพวิ เตอร์ เพื่อแสดงภาพตดั ขวางใต้ผวิ ดิน แสดงลกั ษณะโครงสร้างทางธรณี และการวางตัวของช้ัน
หิน
จ) ข้อมูลการสารวจท่ีผ่านการประมวลผลทางคอมพิวเตอร์ จะถูกนาไปแปล
ความหมายโดยนักธรณีฟสิ กิ ส์ เพื่อตรวจสอบลักษณะการวางตัว โครงสร้างของชั้นหิน และเป็นข้อมูล
สาคัญในการพิจารณากาหนดตาแหนง่ หลมุ เจาะสารวจ หรือหลุมพัฒนาตอ่ ไป
หน่วยท่ี 3 ปโิ ตรเลียม 67
ภาพท่ี 3.17 แสดงการสารวจคลนื่ ไหวสะเทือนในทะเล
(ทีม่ า : http://www.offshore-sea.org)
ระยะเวลาการสารวจ โดยทั่วไปใช้เวลาสารวจประมาณ 1 - 3 เดือน ทั้งนี้ขึ้นกับขนาด
พ้นื ท่ี ระยะทางรวม (กม.) ของแนวสารวจทง้ั หมด และสภาพอากาศ แนวสารวจอาจมีความยาวตั้งแต่
5 กิโลเมตร ถึง มากกว่า 100 กิโลเมตร ตามขนาดของพื้นที่สารวจ แนวสารวจจะวางตัวขนานกัน
ตลอดความยาว ระยะห่างระหว่างแนวประมาณ 10 เมตร ถึงมากกว่า 5 กิโลเมตร ขึ้นกับความ
ละเอยี ดของขอ้ มูลท่ตี ้องการ
ภาพท่ี 3.18 แสดงเรอื สารวจ Geco Shaphire
(ท่มี า : http://www.mne.eng.psu.ac.th)
หนว่ ยที่ 3 ปิโตรเลยี ม 68
ภาพท่ี 3.19 แสดงเรอื สารวจ Seismic ขณะกาลงั ปฏบิ ัติการลากสาย Geophone
(ท่ีมา : http://www.mne.eng.psu.ac.th)
3.3.3 การเจาะสารวจ
3.3.3.1 ขน้ั ตอนการเจาะสารวจ (Exploratory Welt) เป็นการเจาะสารวจหลุมแรกบน
โครงสรา้ งที่คาดวา่ อาจเปน็ แหลง่ ปโิ ตรเลยี มแต่ละแห่ง
3.3.3.2 ข้ันตอนการเจาะหาขอบเขต (Appraisal Welt) เป็นการเจาะสารวจเพิ่มเติมใน
โครงสรา้ งท่ีเจาะพบร่องรอยของปิโตรเลียมจากหลุมสารวจ เพ่ือหาขอบเขตพ้ืนท่ีของโครงสร้างแหล่ง
กักเกบ็ ปโิ ตรเลียมแต่ละแห่งวา่ จะมีปโิ ตรเลยี มครอบคลมุ เน้ือทีเ่ ท่าใด
ภาพท่ี 3.20 แสดงการเจาะสารวจปโิ ตรเลยี ม
(ทีม่ า : http://www.vcharkarn.com)
หนว่ ยท่ี 3 ปิโตรเลยี ม 69
3.3.4 อุปกรณ์การเจาะปิโตรเลยี ม
3.3.4.1 แท่นเจาะ (Drilling Rig)
ก) การเจาะบนบก มีแทน่ เจาะทีใ่ ชอ้ ยู่ 3 ชนิด คือ
Conventional Drilling Rig เป็นแท่นเจาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
อุปกรณแ์ ละสว่ นประกอบมขี นาดใหญ่ และสามารถเจาะไดล้ กึ มาก อาจถงึ 35,000 ฟุต
ภาพที่ 3.21 แสดงแท่นเจาะบนบกแบบ Conventional Drilling Rig
(ทีม่ า : http://www.vcharkarn.com)
Portable Rig เปน็ แทน่ เจาะท่ีมโี ครงสร้างหอคอย (Derrick) ติดอยูบ่ น
รถบรรทุกขนาดใหญ่ สามารถเคล่ือนย้ายแทน่ เจาะไดโ้ ดยสะดวก เพราะโครงสรา้ งหอคอยพับให้เอนราบได้
ภาพที่ 3.22 แสดงแท่นเจาะบนบกแบบ Portable Rig
(ท่ีมา : http://www.vcharkarn.com)
หน่วยที่ 3 ปิโตรเลียม 70
Standard Rig เป็นแท่นเจาะแบบเก่าแก่ท่ีสุด โครงสร้างหอคอย
(Derrick) จะถูกสร้างคร่อมปากบ่อบริเวณท่ีจะทาการเจาะ และเมื่อการขุดเจาะแล้วเสร็จ ก็อาจจะ
ถอดแยกหอคอยออกเปน็ ชิน้ เพอ่ื นาไปประกอบยังตาแหน่งใหม่หรืออาจทิ้งไว้ในสภาพเดิมหลังจากเร่ิม
มีการผลติ ปิโตรเลยี ม
ภาพท่ี 3.23 แสดงแทน่ เจาะบนบกแบบ Standard Rig
(ทมี่ า : http://www.vcharkarn.com)
ข) แท่นเจาะในทะเล สาหรับแท่นเจาะในทะเลน้ันอาจแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ
คือ แบบท่ีมสี ว่ นของแทน่ เจาะหยัง่ ลงในพนื้ ทะเล และแบบที่ลอยตัว โดยยึดตดิ กับพน้ื ทะเลดว้ ยสมอ
แทน่ เจาะชนิดหยง่ั ตดิ พนื้ ทะเล ไดแ้ ก่
แทน่ เจาะแบบ Jack Up ตัวแทน่ ประกอบด้วยขา 3 - 5 ขา แต่ละขา
ยาวประมาณ 300 - 500 ฟุต ช่วยค้าจุนตัวแท่นติดกับพื้นทะเล สามารถเจาะได้ในน้าลึกต้ังแต่ 13 -
350 ฟตุ ทั้งน้ีขน้ึ กบั สภาพภมู อิ ากาศดว้ ย
ภาพท่ี 3.24 แสดงแท่นเจาะในทะเลแบบ Standard Rig
(ทม่ี า : http://www.bloggang.com)
หนว่ ยที่ 3 ปโิ ตรเลยี ม 71
แท่นเจาะแบบ Fixed Platform มี 2 แบบคือ แบบ Piled Steel มี
โครงสรา้ งโลหะคล้ายหอคอยที่หยั่งติดพื้นทะเล และแบบ Gravity Structure สร้างด้วยคอนกรีตเป็น
ตัวถ่วงน้าหนัก มีความ ม่ันคง แท่นเจาะทั้งสองแบบนี้มักสร้างเป็นแท่นถาวรตั้งอยู่กลางทะเล ใช้เป็น
แทน่ สาหรบั การผลิตหลังจากเจาะหลมุ เสร็จสิน้ แลว้
ภาพท่ี 3.25 แสดงแท่นเจาะในทะเลแบบ Fixed Platform
(ทม่ี า : http://www.dmf.go.th)
แทน่ เจาะชนิดแท่นลอย และยดึ ตดิ กับพืน้ ทะเลดว้ ยสมอ ไดแ้ ก่
แท่นเจาะแบบ Barge มีลักษณะเป็นเรือท้องแบน อุปกรณ์การเจาะ
ติดต้ังอยู่บนตัวเรือ เดิมพัฒนาเพื่อใช้ในการเจาะบริเวณชายฝั่ง น้าตื้น และบริเวณทะเลสาบ โดยนา
เรอื เข้าไปยังตาแหนง่ แล้วไขนา้ เข้าใหเ้ ต็มหอ้ งอับเฉาเพื่อให้เรือจมลงจนท้องเรือติดกับพื้นน้า เม่ือเสร็จ
งานก็สูบนา้ ออกเพอ่ื ให้เรอื ลอยขึ้นและลากจงู ไปยังที่อ่ืน ๆ ต่อมาได้มีการพัฒนาและนาไปใช้เจาะนอก
ชายฝ่งั ทไ่ี กลออกไป โดยใชต้ ัวเรอื เปน็ ท่ีพักอาศัย และเก็บอุปกรณ์การเจาะ แต่ย้ายตัวหอคอยข้ึนไปไว้
ยงั แท่นเจาะกลางทะเล แบบนเี้ รยี กวา่ Barge – Tender
ภาพท่ี 3.26 แสดงแท่นเจาะในทะเลแบบ Barge
(ทีม่ า : http://forum.khonkaenlink.info)
หนว่ ยที่ 3 ปิโตรเลยี ม 72
แท่นเจาะแบบ Semi-submersible ลักษณะตัวแท่นและส่วนท่ีพัก
อาศัยวางตัวอยู่บนทุ่น/ถังท่ีสามารถสูบน้าเข้าออกได้เพ่ือให้ตัวแท่นลอยหรือจมตัวลง ใช้เจาะได้ใน
บริเวณที่น้าทะเลลึกตั้งแต่ 600 - 1,500 ฟุต เม่ือจะทาการเจาะก็จะลงสมอเพื่อโยงยึดไม่ให้แท่น
เคลอ่ื นท่ี การเคลื่อนยา้ ยจาเป็นต้องอาศัยเรือลากจงู ไป
ภาพท่ี 3.27 แสดงแท่นเจาะในทะเลแบบ Semi-submersible
(ทม่ี า : http://forum.khonkaenlink.info)
แท่นเจาะแบบ Drillship เป็นเรือเจาะที่มีอุปกรณ์ทุกอย่างอยู่บนตัว
เรือ สามารถเคลื่อนที่ได้เอง การยึดตัวเรือให้อยู่กับที่ เดิมใช้สมอเรือ แต่ปัจจุบันได้ประยุกต์ใช้ใบพัด
ปรับระดบั ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ในการปรับตาแหน่ง ข้อเด่นของ Drillship คือ สามารถเจาะได้ใน
บรเิ วณทน่ี ้าทะเลลึก (อาจลกึ มากกวา่ 1,000 เมตร)
ภาพที่ 3.28 แสดงแท่นเจาะในทะเลแบบ Drillship
(ที่มา : http://forum.khonkaenlink.info)
หนว่ ยท่ี 3 ปโิ ตรเลยี ม 73
3.3.5.2 เครื่องขุดเจาะ (Drill String) เครื่องขุดเจาะจะทาหน้าที่เจาะและขุดลงไปใต้
พน้ื ดิน ซงึ่ มลี กั ษณะการทางานเหมือนกับการเจาะด้วยสว่าน โดยมีส่วนประกอบท่ีสาคัญ คือ หัวเจาะ
และกา้ นเจาะ
น้าโคลนถูกสบู อัดลง น้าโคลนช่วยในการ
ในกา้ นเจาะ หล่อล่ืนหัวเจาะ และ
ลา เลยี งเศษดนิ หิน
ทรายข้ึนมายังปากหลมุ
ภาพที่ 3.29 แสดงหวั เจาะ และก้านเจาะปโิ ตรเลยี ม
(ทีม่ า : http://www.vcharkarn.com)
ภาพที่ 3.30 แสดงลกั ษณะหัวเจาะปโิ ตรเลียม
(ท่ีมา : http://www.vcharkarn.com)
3.3.5.3 น้าโคลน (Drilling Mud) น้าโคลนท่ีใช้ในการเจาะสารวจประกอบด้วยน้า
ธรรมดา สารเคมี และแร่บางชนิด ซึ่งผสมกันจนมีน้าหนัก และความหนืดตามต้องการ ความหนืด
ของน้าโคลนนั้นจะทาหน้าที่ยึดเหน่ียวเศษดิน เศษหินให้ลอยตัวอยู่ก่อนท่ีจะถูกดันข้ึนมายังปากหลุม
พร้อมกับน้าโคลน โดยผ่านช่องว่างระหว่างก้านเจาะกับผนังหลุมน้าโคลนนอกจากจะใช้ลาเลียงเศษ
ดิน เศษหินให้ขึ้นมาปากหลุมแล้วยังทาหน้าท่ีเป็นวัสดุหล่อล่ืนให้กับหัวเจาะ และด้วยน้าหนักของตัว
มนั เองยังช่วยตา้ นทานแรงดันทีเ่ กิดจากช้ันหนิ ในหลมุ ได้อกี ด้วย
หนว่ ยที่ 3 ปิโตรเลียม 74
3.3.5.4 การหยั่งธรณีหลุมเจาะ (Well Logging) การหยั่งธรณีหลุมเจาะ คือ การ
ทดสอบว่าชั้นหินต่าง ๆ ที่เราทาการเจาะผ่านไปน้ันมีปิโตรเลียมแทรกสะสมตัวอยู่หรือไม่ ส่วนใหญ่
เป็นเครอื่ งมอื ไฟฟ้า เคร่อื งรับส่งกมั มนั ตภาพรงั สีและคล่ืนเสียง เพื่อวัดค่าคุณสมบัติของช้ันหิน และส่ิง
ทเ่ี จือปนอยภู่ ายในชอ่ งวา่ งของช้นั หนิ
3.3.5.5 การป้องกันหลุมเจาะพัง (Casing) เครื่องมือสาคัญที่ใช้ป้องกันอุบัติเหตุที่เกิด
จากแรงดันภายในหลุมประกอบด้วยวาล์ว และท่อหลายตอน ซ่ึงจะทาหน้าท่ีปิดปากหลุมเพื่อป้องกัน
แรงดันท่ีอาจพุ่งขึ้นมา ทาให้เกิดการระเบิด (Blow-out) และไฟลุกไหม้เป็นอันตรายได้ เมื่อทาการ
เจาะหลุมลึกพอสมควรแล้ว ต้องมีมาตรการป้องกันหลุมถล่ม ซึ่งสามารถทาได้โดยการส่งท่อกรุลงไป
ตามความลกึ ของหลมุ แลว้ ลงซเี มนต์ยึดทอ่ กรุเหล็กตดิ กบั ผนงั หลมุ อีกทหี นึง่ เพ่อื ป้องกันหลมุ เจาะพงั
3.4 การผลิตปโิ ตรเลยี ม
3.4.1 ขบวนการผลติ ปิโตรเลียม
ปโิ ตรเลียมท่ผี ลิตได้จากหลุมผลิต ก่อนที่จะถกู นามาใชป้ ระโยชน์ในรูปของก๊าซธรรมชาติ
กา๊ ซธรรมชาตเิ หลว และน้ามนั ดิบได้นัน้ จะตอ้ งนามาผ่านขบวนการผลิตต่าง ๆ เพ่ือให้ได้ปิโตรเลียมที่
มีคณุ สมบัตติ รงตามความต้องการเสยี ก่อน ขบวนการผลิตปิโตรเลยี มโดยทั่วไปตามแหล่งต่าง ๆ ทั้งบน
บกและในทะเลจะประกอบดว้ ยระบบตา่ ง ๆ ดงั นคี้ อื
3.4.1.1 ระบบแยกสถานะ (Gas/Liquid Separator)
3.4.1.2 ระบบเพ่ิมแรงดนั ก๊าซ (Gas Compression )
3.4.1.3 ระบบดดู ความชน้ื กา๊ ซ (Gas Dehydration)
3.4.1.4 ระบบคงสภาพก๊าซธรรมชาติเหลว (Condensate Stabilizer)
3.4.1.5 ระบบคงสภาพและกักเกบ็ น้ามนั ดบิ (Crude/oil Tank System)
3.4.1.6 ระบบบาบดั น้าท้ิง (Water Treatment & Disposal System)
3.4.1.7 ระบบมาตรวัด (Metering)
ปิโตรเลียมจากหลุมผลิตถูกส่งไปแยกสถานะที่ระบบแยกสถานะเพื่อทาการแยกก๊ าซ
ก๊าซธรรมชาตเิ หลว น้ามันและนา้ ออกจากกัน ก๊าซที่ได้จะถูกส่งไปเพิ่มแรงดันและดูดความช้ืนท่ีระบบ
เพิ่มแรงดันก๊าซและระบบดูดความช้ืนก๊าซตามลาดับ ก่อนที่จะทาการซ้ือขายโดยผ่านระบบมาตรวัด
ก๊าซ สว่ นก๊าซธรรมชาติเหลวหรือนา้ มนั ท่ไี ด้จากระบบแยกสถานะจะถูกส่งไปยังระบบคงสภาพ ก่อนที่
จะส่งไปกักเก็บเพ่ือรอการขนถ่าย น้าท่ีผลิตได้ท้ังหมดจากขบวนการผลิตจะถูกส่งไปบาบัดเพื่อให้ได้
มาตรฐานน้าทิ้งก่อนปล่อยลงสู่ทะเล หรืออัดกลับลงไปในหลุมเพ่ือให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย
ทส่ี ดุ
หนว่ ยที่ 3 ปโิ ตรเลียม 75
ภาพที่ 3.31 แสดงขบวนการผลติ กา๊ ซธรรมชาติในประเทศไทย
(ทมี่ า : http://www.vcharkarn.com)
3.4.2 แทน่ อปุ กรณก์ ารผลติ
3.4.2.1 แท่นหลุมผลิต (Wellhead Platform, WP) เป็นแท่นท่ีใช้สาหรับขุดเจาะหลุม
ผลิตปิโตรเลียม ภายในแท่นจะประกอบด้วยหลุมผลิตจานวน 9-12 หลุมหรือมากกว่า และมีอุปกรณ์
การผลติ เบ้ืองต้น เชน่ อปุ กรณ์แยกสถานะ เพือ่ ทดสอบหาอตั ราการผลิต ปโิ ตรเลยี มท่ีถูกผลิตข้ึนมาจะ
ผา่ นอุปกรณก์ ารผลิตเบ้ืองตน้ ที่แทน่ หลุมผลิตนี้ ก่อนสง่ ไปผา่ นขบวนการผลติ ยังแท่นผลิตตอ่ ไป
ภาพที่ 3.32 แสดงแท่นหลุมผลิตปโิ ตรเลียม
(ทมี่ า : http://www.skyscrapercity.com)
3.4.2.2 แท่นผลิต (Processing Platform, PP) เป็นแท่นท่ีประกอบด้วยอุปกรณ์การ
ผลติ ต่าง ๆ เช่น ระบบแยกสถานนะ ระบบเพมิ่ แรงดันก๊าซ ระบบดดู ความชื้น มาตรวัด เป็นต้น
หน่วยที่ 3 ปิโตรเลยี ม 76
ภาพท่ี 3.33 แสดงแทน่ ผลิตปโิ ตรเลยี ม
(ทีม่ า : http://www.skyscrapercity.com)
3.4.2.3 แทน่ อุปกรณ์เพมิ่ แรงดัน (Compression Platform, CP) เป็นแท่นท่ีใช้อัดก๊าซ
ธรรมชาตใิ หม้ ีแรงดันเพม่ิ มากขึน้ เนือ่ งจากก๊าซทผ่ี า่ นขบวนการผลติ ยงั มแี รงดนั ไม่เพยี งพอ
3.4.2.4 แทน่ ผลติ กลาง (Central Processing Platform , CPP) ทาหน้าทเ่ี หมือนแท่น
ผลติ แตม่ ีขนาดใหญก่ วา่
3.4.2.5 แท่นที่พักอาศัย (Living Quarter Platform, LQ) เป็นแท่นที่ใช้สาหรับ
พักผ่อน โดยมีอุปกรณอ์ านวยความสะดวกตา่ ง ๆ
3.4.2.6 แท่นชุมทางท่อ (Riser Platform, RP) เป็นแท่นท่ีรับก๊าซจากแหล่งผลิตต่าง ๆ
กอ่ นสง่ ข้ึนฝงั่
3.4.2.7 เรือผลิตและกักเก็บ (Floating Processing Storage and Off-Loading,
FPSO) เป็นเรือที่ประกอบด้วยอุปกรณ์การผลิตต่าง ๆ และสามารถทาการกักเก็บก๊าซธรรมชาติเหลว
และน้ามันเพอ่ื รอการขนถ่าย
ภาพท่ี 3.34 แสดงเรอื ผลิตและกกั เกบ็ ปิโตรเลียม
(ทม่ี า : http://www.skyscrapercity.com)
หน่วยที่ 3 ปโิ ตรเลยี ม 77
3.5 แหลง่ ผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย
การผลติ ปโิ ตรเลยี มในประเทศไทยเร่ิมเมื่อปี พ.ศ. 2524 โดยบรษิ ัทยโู นแคล ไทยแลนด์
จากัด ผลติ กา๊ ซธรรมชาตจิ ากแหลง่ เอราวณั กลางอ่าวไทย สง่ ขึ้นฝั่งทมี่ าบตาพุดจงั หวดั ระยอง ปจั จุบนั
มีผู้รับสัมปทานทาการผลิตปิโตรเลียมทั้งบนบกและในทะเลรวม 11 บริษัทผู้รับสัมปทาน โดยพบ
แหล่งผลิตปิโตรเลียมทง้ั ท่ีหยุดการผลิตแลว้ และกาลังทาการผลติ อยู่รวมทัง้ สิน้ 38 แหลง่ อยใู่ นอ่าวไทย
21 แหล่ง และบนบก 17 แหล่ง
ตารางท่ี 3-1 แสดงแหล่งผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทย
แหล่งผลิตปิโตรเลยี ม ผดู้ าเนนิ การ ชนดิ ปิโตรเลยี ม
แหล่งสริ กิ ติ แ์ิ ละและใกลเ้ คียง ปตท.สผ.สยาม น้ามนั และกา๊ ซ
แปลง S1
ปตท.สผ.อนิ เตอร์ น้ามนั
แหลง่ กาแพงแสน,อู่ทอง
แปลง PTTEP1 ชิโน ยูเอส นา้ มัน
แหล่งบงึ มว่ ง,บงึ หญา้ แปซฟิ กิ ไทเกอร์ น้ามนั
แปลง NC
เอก็ ซอนโมบลิ ฯ กา๊ ซธรรมชาติ
แหลง่ วิเชียรบรุ ,ี ศรเี ทพและนาสนนุ่ เชฟรอนประเทศไทย
แปลง SW1 นา้ มนั และก๊าซ
สารวจและผลิต ก๊าซธรรมชาตแิ ละ
แหล่งนา้ พอง ปตท.สผ ก๊าซธรรมชาตเิ หลว
แปลง E5 น้ามันและกา๊ ซ
เชพรอนออฟชอรฯ์
แหลง่ เอราวณั และแหล่งใกลเ้ คียง นา้ มัน
แปลง B10,11,12,13 ปตท.สผ.สยาม นา้ มนั
กรมพลงั งานทหาร น้ามัน
แหลง่ บงกช
แปลง B15,16,17 เพริ ์ล ออยล์ นา้ มนั
แหลง่ ทานตะวนั และเบญจมาศ ซเี อ็นพซี ีเอชเค
แปลง B8/32
แหลง่ นางนวล
แปลง B 6/27
แหล่งฝาง
แหล่งจสั มนิ
แปลง B5/27
แหล่งบงึ หญ้าตะวันตกและหนองสระ
แปลง L21/43
ท่ีมา : กรมเชอ้ื เพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน
หน่วยท่ี 3 ปโิ ตรเลียม 78
ภาพที่ 3.35 แผนที่แสดงแหลง่ ผลติ ปโิ ตรเลยี มในประเทศไทย
(ทม่ี า : http://www.vcharkarn.com)
หนว่ ยท่ี 3 ปโิ ตรเลียม 79
3.6 การกล่ันปโิ ตรเลียม
3.6.1 กระบวนการกล่ันปโิ ตรเลียม
กระบวนการกลั่นน้ามัน คือ กระบวนการแปรเปล่ียนสภาพน้ามันดิบให้เป็นผลิตภัณฑ์
สาเร็จรปู ชนดิ ต่าง ๆ เชน่ ก๊าซหงุ ต้ม นา้ มันเบนซิน น้ามันเคร่ืองบิน น้ามันก๊าด น้ามันดีเซล น้ามันเตา
และยางมะตอย ตามความต้องการของตลาดที่แตกต่างกันตามประเภทของการนาไปใช้ประโยชน์
นอกจากนั้นกระบวนการกลั่นน้ามันยังได้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบสาหรับการผลิตน้ามันหล่อล่ืน
และจาระบี รวมทัง้ เคมีภณั ฑต์ า่ ง ๆ ได้อกี ดว้ ย
กระบวนการกล่ันน้ามันของแต่ละโรงกลั่นน้ามัน อาจจะแตกต่างกันไปแต่โดยท่ัวไปแล้ว
กระบวนการกล่นั จะประกอบดว้ ยกรรมวธิ ยี ่อยทส่ี าคัญดังต่อไปน้ี
3.6.1.1 การแยก (Separation) กรรมวิธีการแยกน้ามันดิบ คือ การแยกส่วนประกอบ
ทางกายภาพของนา้ มนั ดบิ ซึ่งส่วนมากจะแยกน้ามันดิบโดยใชว้ ธิ กี ารกลนั่ ลาดบั สว่ น
ภาพท่ี 3.36 แสดงโรงกลนั่ น้ามันปิโตรเลยี ม
(ทมี่ า : http://www.vcharkarn.com)
หนว่ ยที่ 3 ปิโตรเลียม 80
ภาพท่ี 3.37 แสดงแผนผังโรงกล่ันน้ามนั ปิโตรเลียมพ้ืนฐาน
(ทมี่ า : http://www.vcharkarn.com)
3.6.1.2 การเปลยี่ นแปลงโครงสรา้ งทางเคมี (Conversion) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
ทางเคมี คือ การเปล่ียนแปลงโมเลกุล หรือโครงสร้างทางเคมี เพ่ือให้คุณภาพของน้ามันเหมาะสมกับ
ความตอ้ งการในการนาไปใชป้ ระโยชน์
3.6.1.3 การปรับปรุงคุณภาพ (Treating) ผลิตภัณฑ์ท่ีได้จากการกลั่นลาดับส่วน และ
ได้ผา่ นกระบวนการเปล่ยี นโครงสร้างทางเคมีส่วนใหญ่แล้ว ยังมีคุณภาพไม่เหมาะสมกับความต้องการ
และสภาพการใช้งาน เนื่องจากอาจจะยังมีส่ิงท่ีไม่พึงประสงค์เจือปนอยู่ ซ่ึงส่ิงต่าง ๆ เหล่านี้อาจเจือ
ปนมาตั้งแต่ในน้ามันดิบหรืออาจเป็นผลมาจากกรรมวิธีทั้งสองดังกล่าวข้างต้น เช่น กามะถันและ
สารเจือปนอนื่ ๆ ซึ่งจาเปน็ ต้องขจัดออกดว้ ยกรรมวธิ ีการปรับปรุงคณุ ภาพเสียกอ่ น
หน่วยที่ 3 ปิโตรเลียม 81
ภาพท่ี 3.38 แสดงโรงกลน่ั นา้ มนั ปโิ ตรเลยี มของบางจาก
(ทมี่ า : http://www.vcharkarn.com)
3.6.2 ผลิตภัณฑท์ ่ีได้จากกระบวนการกลั่นปโิ ตรเลียม
3.6.2.1 กา๊ ซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas; LPG) ก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สามารถใช้เปน็ เชอ้ื เพลิงได้เป็นอย่างดี และขณะท่ีเผาไหม้จะให้ความร้อนสูงและมีเปลวไฟที่สะอาดไม่
มีเขม่า ซึ่งโดยปกติแลว้ กา๊ ซปโิ ตรเลยี มจะไม่มสี แี ละกลิ่นแตผ่ ู้ผลิตได้ใส่กลิ่นเพ่ือให้สังเกตได้ง่ายในกรณี
ที่เกดิ มกี ารรั่วของก๊าซ ซึง่ อาจจะก่อให้เกดิ อนั ตรายข้ึนได้
ภาพที่ 3.39 แสดงถงั บรรจุก๊าซปิโตรเลยี มเหลว
(ทม่ี า : http://www.kendiky.com)
หน่วยท่ี 3 ปโิ ตรเลยี ม 82
3.6.2.2 นา้ มนั เบนซนิ (Gasoline) น้ามนั เบนซิน หรอื นา้ มันเช้ือเพลิงทใี่ ช้กบั เครื่องยนต์
เบนซนิ
ภาพที่ 3.40 แสดงนา้ มนั เบนซนิ และนา้ มนั แกส๊ โซฮอล์
(ทีม่ า : http://online.eqplusmag.com)
3.6.2.3 น้ามันเชื้อเพลิงเคร่ืองบินใบพัด (Aviation Gasoline) น้ามันเชื้อเพลิงสาหรับ
เครอ่ื งบินใบพัดมีคณุ สมบัตคิ ล้าย ๆ กับน้ามันเบนซนิ สาหรับรถยนต์ แตไ่ ดป้ รงุ แต่งคณุ ภาพให้มีค่าออก
แทนสงู ข้นึ เพอื่ ใหเ้ หมาะสมกบั เครอ่ื งยนต์ของเครอ่ื งบนิ ที่ตอ้ งใชก้ าลงั ขบั ดันมาก ๆ
ภาพท่ี 3.41 แสดงเครอื่ งบินใบพดั ท่ีใช้น้ามนั เบนซนิ เปน็ เช้ือเพลงิ
(ทมี่ า : http://www.vcharkarn.com)
3.6.2.4 นา้ มันเช้ือเพลิงเคร่ืองบินไอพ่น (Jet Fuel) จากการท่ีนาเคร่ืองยนต์ไอพ่นมาใช้
ในครง้ั แรกน้นั ไดใ้ ช้น้ามนั กา๊ ดท่มี จี าหนา่ ยท่วั ไปมาใช้เป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากมีลักษณะของการระเหย
ตัวตา่ ซ่ึงเป็นคณุ สมบัตทิ ส่ี าคัญของเช้ือเพลิงไอพ่น ในปัจจุบันเครื่องบินไอพ่นของสายการบินพาณิชย์
ส่วนใหญ่ ก็ยังนิยมใช้เช้ือเพลิงที่มีช่วงจุดเดือด เช่นเดียวกับน้ามันก๊าด แต่จะต้องมีความสะอาดบริสุทธิ์
และมคี ุณสมบัตบิ างอย่างท่ีดกี ว่าน้ามนั กา๊ ดทว่ั ไป
หน่วยที่ 3 ปโิ ตรเลียม 83
ภาพท่ี 3.42 แสดงเครื่องบนิ ไอพ่นท่ใี ชน้ า้ มันก๊าดเปน็ เช้ือเพลิง
(ที่มา : http://www.bangkokflying.com)
3.6.2.5 น้ามันก๊าด (Kerosene) ประเทศไทยเริ่มรู้จักและใช้ประโยชน์น้ามันก๊าด
มาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมหาราช โดยนามาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการ
จุดตะเกยี งให้แสงสว่างแทนน้ามันมะพร้าว ในสมัยรัชกาลที่ 5 เรียกน้ามันก๊าดว่า “น้ามันปิโตรเลียม”
จึงนบั ได้ว่านา้ มันก๊าดเปน็ ผลติ ภณั ฑ์ปโิ ตรเลียมชนดิ แรกท่ีมีการใชใ้ นประเทศไทย
ภาพที่ 3.43 แสดงตะเกียงที่ใช้น้ามันก๊าดเปน็ เช้ือเพลิง
(ท่มี า : http://www.weloveshopping.com)
3.6.2.6 นา้ มันดเี ซล (Diesel Fuel) ในปัจจุบันไดม้ ีการพฒั นาเครอื่ งยนต์ดเี ซลมาใช้เป็น
เคร่ืองต้นกาลังของเครื่องมือ และอุปกรณ์หลายชนิดที่มีความสาคัญทางเศรษฐกิจ เช่น รถโดยสาร
รถบรรทกุ รถแทรกเตอร์ หวั จักรรถไฟ และเรอื ประมง เป็นตน้ นา้ มนั เช้อื เพลงิ ท่ีใช้กบั เครื่องยนต์ดีเซล
เหล่านี้จะต้องได้รับการปรับปรุงคุณภาพให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ท่ีใช้ในงานน้ัน ๆ ด้วย สาหรับ
น้ามันดีเซลที่ใช้ในประเทศไทยมี 2 ประเภท คือ น้ามันเชื้อเพลิงสาหรับเคร่ืองยนต์ดีเซลหมุนเร็ว
(Automotive Diesel Oil) และนา้ มันเชื้อเพลิงสาหรบั เคร่ืองยนต์ดีเซลหมุนช้า (Industrial Diesel Oil)
หนว่ ยที่ 3 ปโิ ตรเลยี ม 84
ภาพท่ี 3.44 แสดงเคร่ืองยนต์ท่ใี ช้นา้ มนั ดีเซลเปน็ เช้ือเพลิง
(ท่ีมา : http://www.minsen.co.th)
3.6.2.7 น้ามันเตา (Fuel Oil) น้ามันเตาเป็นเชื้อเพลิงที่ใช้สาหรับเตาต้มหม้อน้า
นอกจากน้ันยังใช้เป็นเช้ือเพลิงเตาเผาหรือเตาหลอมที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เครื่องกาเนิดไฟฟ้า
ขนาดใหญ่ เครอ่ื งยนต์เรอื เดนิ สมทุ รและอ่นื ๆ
3.6.2.8 ยางมะตอย (Asphalt) ยางมะตอยเป็นผลิตภัณฑ์ส่วนที่เหลือจากการกลั่น
น้ามันดิบ ประโยชน์ของยางมะตอยท่ีสาคัญและพบเห็นทั่วไป คือ ใช้เป็นวัสดุราดผิวถนน รวมถึงผิว
ทางเทา้ ทางวง่ิ เครื่องบนิ และลานจอดรถ นอกจากน้ันยังใช้ทาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น เป็นวัสดุสาหรับ
ปูพ้ืนมุงหลังคา เป็นน้ายากันสนิมทาใต้ทอ้ งรถยนต์ และเป็นนา้ ยาทาเคลือบท่อเพ่อื ป้องกนั สนิม
ภาพท่ี 3.45 แสดงถนนทใี่ ช้ยางมะตอยราดผิวหนา้
(ทมี่ า : http://www.oknation.net)
หน่วยที่ 3 ปโิ ตรเลยี ม 85
3.6.3 ผลติ ภัณฑท์ ไี่ ดจ้ ากอุตสาหกรรมต่อเนอื่ งการกล่นั ปโิ ตรเลียม
ในท่ีน้ีจะขอกล่าวถึงเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกล่ันน้ามันดิบ ได้แก่ อุตสาหกรรมการ
ผลิตน้ามันหล่อลื่น และจาระบีเท่าน้นั โดยจะไม่รวมถึงผลติ ภัณฑท์ ไี่ ด้จากอตุ สาหกรรมปิโตรเคมี
3.6.3.1 น้ามันหล่อลื่น (Lubricating Oils) น้ามันหล่อล่ืนหรือบางครั้งอาจเรียกว่า
นา้ มันเครื่องซง่ึ มีมากมายหลายชนิด ประโยชนแ์ ละการใช้งานของนา้ มันหล่อลน่ื จะกล่าวในบทตอ่ ไป
ภาพที่ 3.46 แสดงผลิตภัณฑ์น้ามนั หล่อล่ืน
(ทมี่ า : http://www.oknation.net)
3.6.3.2 จาระบี (Greases) จาระบีเป็นผลิตภัณฑ์หล่อลื่นประเภทหน่ึงท่ีใช้กับการ
หลอ่ ลื่น ในกรณที น่ี ้ามันหลอ่ ลืน่ ไมส่ ามารถเข้าไปทาหน้าท่ีหล่อลื่นได้ เช่น ในตลับลูกปืน การใช้น้ามัน
หล่อล่ืนในลักษณะนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการรั่วไหล ทาให้การหล่อลื่นไม่ได้ผลและยังทาให้
เกิดความเสียหายแก่เครื่องจักรกลได้ ซึ่งในกรณีน้ีจาระบีจะช่วยในการหล่อลื่น และจะจับยึดกับ
ช้ินส่วนท่ีต้องการหล่อล่ืนไม่ให้ไหลหลุดออก นอกจากน้ันยังป้องกันมิให้ฝุ่นผงเข้าไปอยู่ในระหว่างผิว
ของโลหะได้
ภาพท่ี 3.47 แสดงผลติ ภัณฑ์จารบี
(ที่มา : http://www.oknation.net)
หนว่ ยที่ 3 ปิโตรเลียม 86
3.7 การขนส่งปิโตรเลยี ม
3.7.1 การขนส่งลาเลียงปิโตรเลยี ม
ในระยะเร่ิมแรกนั้นการขนส่งน้ามันและก๊าซธรรมชาติทาได้ครั้งละเป็นปริมาณไม่มากนัก
ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการบรรจุในภาชนะขนาดเล็กก่อน แล้วจึงทาการขนส่งลาเลียงต่อด้วยรถยนต์ เรือ
หรือรถไฟ ซึ่งเหมือนกับการบรรทุกสินค้าโดยทั่วไป ต่อมาด้วยวิวัฒนาการทางด้านการคมนาคม
ประกอบกับความต้องการใชน้ ้ามัน และกา๊ ซธรรมชาติท่ีเพิม่ สูงขน้ึ
Natural Gas
ถงั เก็บ ทอ่ สง่ ก๊าซ
(GaGs aPsipeline)
ภาพท่ี 3.48 แสดงทอ่ ทางลาเลยี งส่งกา๊ ซจากแหล่งผลติ มายังถังเกบ็
(ที่มา : http://www.vcharkarn.com)
การขนส่งน้ามันและก๊าซธรรมชาติผ่านทางท่อซ่ึงโดยปกติแล้วท่อที่ใช้จะเป็นท่อเหล็ก
นับว่าเป็นวิธีการขนส่งที่สะดวกที่สุด ปัจจุบันได้มีการใช้เคร่ืองอัดแรงดัน เพ่ือเพิ่มแรงดันภายในท่อ
ทาใหส้ ามารถลาเลียงนา้ มันผ่านทอ่ ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว และได้ระยะทางทไี่ กลข้ึน
ภาพท่ี 3.49 แสดงการลาเลยี งส่งกา๊ ซและน้ามนั จากแหลง่ ผลติ มายงั ผู้บริโภค
(ท่มี า : http://www.vcharkarn.com)
หน่วยที่ 3 ปโิ ตรเลียม 87
3.7.1.1 การขนสง่ ลาเลยี งทางทอ่ การขนส่งลาเลียงก๊าซ จะต้องใช้ภาชนะ หรือพาหนะ
ในการขนส่งลาเลียงท่ีมีขนาดใหญ่เป็น 270 เท่าของการขนส่งลาเลียงน้ามันดิบ ดังนั้นการขนส่ง
ลาเลียงจะต้องเปล่ียนสถานะก๊าซให้เป็นของเหลวเสียก่อน โดยการเพิ่มความดันหรือลดอุณหภูมิของ
ก๊าซ ซ่ึงการกระทาเช่นนี้จะทา ให้เสียค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และลาเลียงก๊าซมากกว่าการขนส่ง
ลาเลียงนา้ มนั ถงึ ประมาณ 4 เทา่ ตัว
ภาพท่ี 3.50 แสดงท่อทางลาเลียงก๊าซ
(ทมี่ า : http://www.blueskychannel.tv)
ภาพที่ 3.51 แสดงแนวทอ่ ส่งก๊าซและน้ามนั ในประเทศไทย
(ทมี่ า : http://www.vcharkarn.com)
หน่วยท่ี 3 ปิโตรเลยี ม 88
3.7.1.2 การขนส่งลาเลยี งโดยเรอื บรรทุก (Tanker & Barge) การขนส่งลาเลียงทางเรือ
เป็นวธิ กี ารขนส่งลาเลยี งนา้ มัน และก๊าซได้ในปริมาณครั้งละมาก ๆ ทา ให้ค่าใช้จ่ายในการขนส่งเฉลี่ย
ต่อคร้ังถูกลง เรือบรรทุกน้ามันและก๊าซ สามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทต่าง ๆ ซึ่งจะมีตั้งแต่ขนาด
เล็กท่ีใช้ขนส่งในแม่น้าลาคลอง (Barge) จนถึงเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ (Tanker) ที่สามารถขนส่งน้า
มนั และกา๊ ซได้ในปรมิ าณคร้ังละมาก กว่า 500 ล้านลิตรข้นึ ไป
ภาพที่ 3.52 แสดงการขนส่งลาเลียงผลิตภณั ฑ์ปโิ ตรเลียมทางเรือ
(ทม่ี า : http://www.marinerthai.com)
3.7.1.3 การขนสง่ ลาเลียงน้ามันทางรถไฟ (Tank Car) การขนส่งน้ามันทางรถไฟมักจะ
ใช้ในการขนส่งลาเลียงผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสาเร็จรูปในระยะทางที่อยู่ไกล ๆ ท่ีไม่สามารถขนส่งลา
เลียงโดยทางเรือได้ สาหรับถังบรรจุน้ามันในปัจจุบันจะเป็นถังเหล็กทรงกระบอก หรือรูปไข่ วางนอน
บนแคร่รถไฟ ลักษณะภายในถังยังแบ่งออกเป็นช่อง ๆ ตามแนวขวาง เพื่อเพ่ิมความแข็งแรงให้กับถัง
และลดการกระแทก อันเกดิ จากการกระฉอกของนา้ มันในระหว่างการขนส่งลาเลยี ง
หนว่ ยที่ 3 ปโิ ตรเลยี ม 89
ภาพที่ 3.53 แสดงการขนสง่ ลาเลียงผลิตภัณฑป์ โิ ตรเลียมทางรถไฟ
(ทม่ี า : http://www.rotlaithai.com)
3.7.1.4 การขนส่งลาเลียงโดยรถบรรทุก (Tank Truck) การใช้รถบรรทุกขนส่งลาเลียง
น้ามันและก๊าซ เป็นวิธีการที่ใช้ในการขนส่งลา เลียงผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสาเร็จรูปไปสู่ผู้ใช้ ลักษณะ
โดยทว่ั ไปของถงั บรรจุน้ามันและกา๊ ซของรถบรรทกุ ขนส่งจะคล้าย ๆ กับถงั ท่ีใช้ในการขนส่งลาเลียงน้า
มนั โดยทางรถไฟภายในถังจะแบ่งเป็นช่อง ๆ ตามแนวขวาง ซ่ึงเป็นการเพิ่มความแข็งแรงของถัง และ
ลดแรงกระแทกของน้ามันในถังแล้วยังจะช่วยให้สามารถขนส่งลาเลียงน้ามันได้หลายชนิดในรถคัน
เดียวกนั โดยไมป่ ะปนกนั ด้วย
หนว่ ยท่ี 3 ปโิ ตรเลยี ม 90
ภาพท่ี 3.54 แสดงการขนสง่ ลาเลยี งผลติ ภณั ฑ์ปโิ ตรเลยี มทางรถบรรทุก
(ท่มี า : http://www.vcharkarn.com)
3.7.2 ความปลอดภยั ในการขนสง่ และลาเลยี งผลติ ภัณฑ์
3.7.2.1 การขนส่งน้ามันทางท่อ การขนส่งน้ามันทางท่อนับได้ว่าเป็นวิธีการขนส่งท่ี
ประหยัด และปลอดภัย ในระบบการขนส่งน้ามันทางท่อเหล่าน้ีต้องมีมาตรการด้านการป้องกัน และ
รกั ษาความปลอดภยั อยา่ งเครง่ ครดั ซงึ่ สามารถอธิบายไดด้ งั น้ี
ก) แนวการวางท่อตอ้ งเป็นเสน้ ทางท่หี า่ งจากไกลชมุ ชน
ข) ท่อส่งน้ามันทาจากวัสดุเหล็กเหนียวตามมาตรฐานสากล คือ มีความหนา
ประมาณ 1.5 เซนติเมตร สามารถทนแรงดันได้ 2,000 ปอนด์ต่อตารางนว้ิ (Psi)
ค) จุดเช่ือมต่าง ๆ ของท่อส่งน้ามันต้องผ่านการเอ็กซเรย์ 100% และทดสอบ
แรงดันอยา่ งนอ้ ยได้ 110% ของแรงดันทใ่ี ช้งานสูงสุด
ง) ความลึกของท่อท่ีฝังใต้พื้นดินต้องมีความลึกประมาณ 1.5 เมตร และมีป้าย
บอกตาแหน่งแนวท่ออย่างชดั เจนไปตลอดทาง
จ) ระบบควบคมุ ทอ่ ดว้ ย SCADA ซึ่งเป็นระบบควบคุมตรวจสอบ และรายงาน
การทางานทุกส่วนของระบบท่อ และส่งตรงมายังศูนย์ควบคุม ในกรณีท่ีมีการร่ัวไหล ของน้ามันหรือ
ท่อแตกท่ีจุดใดจุดหน่ึง ระบบ SCADA นี้จะส่ังการไปยังวาล์วควบคุม หรือ Emergency Shutdown
Valve ซ่ึงเปน็ ระบบอัตโนมัตทิ มี่ ี Block Valve ควบคุมการรัว่ ไหลของน้ามันทุก ๆ ระยะห่างประมาณ
16 กิโลเมตร วาล์วน้ีจะทาการปิดกั้นการไหลของน้ามันโดยอัตโนมัติและแยกส่วนท่ีเป็นปัญหาออก
จากระบบ พร้อมทงั้ ส่งสญั ญาณแจ้งจดุ ทเี่ กิดเหตไุ ปยงั ศูนย์กลางควบคุม
หน่วยท่ี 3 ปโิ ตรเลยี ม 91
ฉ) มีการเตรียมพร้อม และมีมาตรการฉุกเฉินกรณีเกิดอุบัติเหตุ โดย
ประสานงานกบั หนว่ ยราชการทอ้ งถน่ิ และมีการฝกึ ซอ้ มดบั เพลิงอยา่ งสม่าเสมอ
ช) มเี จ้าหน้าท่ที ่ีทาหน้าท่ีตรวจตราตลอดแนวท่อ เพ่ือดูแลความเรียบร้อยและ
ใหค้ วามรู้ ความเขา้ ใจกับชมุ ชนทอ่ี ยใู่ นบรเิ วณแนวทอ่
มาตรการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในการพัฒนาโครงการท่อส่งน้ามัน ได้
คานงึ ถึงการป้องผลกระทบที่เกดิ ตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม ดงั นี้
ก) ใช้พื้นที่ร่วมกับพื้นที่ของรัฐที่มีการใช้ประโยชน์ไปแล้ว เช่น พื้นที่ของเขต
ทางรถไฟหรอื เขตทางของถนนทางหลวง
ข) ควรหลกี เล่ียงการรบกวนที่ดินและส่ิงปลูกสรา้ งตา่ ง ๆ ของประชาชน
ค) หลกี เลยี่ งการผ่านวดั มสั ยดิ และศาสนสถานอ่ืน ๆ
ง) หลีกเล่ยี งการรบกวนพนื้ ทเ่ี กษตรกรรม และชมุ ชนขนาดใหญ่ ๆ
จ) มมี าตรการในการป้องกันการพังทลายของดนิ
ฉ) มมี าตรการป้องกัน และลดผลกระทบต่อคุณภาพของนา้
ช) ปลูกต้นไมท้ ดแทนบรเิ วณริมทางถนน หรอื ทางรถไฟ
3.7.2.2 การขนส่งโดยรถบรรทุกน้ามัน การขนส่งน้ามันจากคลังเก็บน้ามันไปยังสถานี
บริการน้ามันส่วนใหญ่ จะใช้รถบรรทุกน้ามันที่มีขนาดบรรจุผลิตภัณฑ์น้ามันต่างกัน ตั้งแต่ 5,000 ลิตร
ถงึ 30,000 ลติ ร ซึง่ จะมีมาตรการระบบการบรหิ ารความปลอดภัย ดงั นี้
ก) การเติมจ่ายแบบอัตโนมัติ พนักงานขับรถสามารถนาบัตรมารูดระบบ
คอมพิวเตอร์ เพอ่ื กาหนดปริมาณนา้ มันทรี่ ถแตล่ ะคนั สามารถบรรจุได้ไปยังหวั จา่ ยอยา่ งแม่นยา
ข) ระบบการเติมจ่ายน้ามันจากด้านล่าง ซึ่งในปัจจุบันเป็นท่ีนิยมใช้กันใน
คลังน้ามันทาให้เกิดความปลอดภัยต่อสุขภาพและส่ิงแวดล้อม เพราะจะช่วยลดปริมาณไอน้ามันที่จะ
ระเหยออกสู่บรรยากาศภายนอกไดด้ ว้ ยอุปกรณ์เกบ็ ไอน้ามัน (Vapor Recovery Unit) ท่ีสามารถเก็บ
ไอนา้ มันเขา้ สู่ระบบ โดยควบคมุ การไหลไปตามแนวท่อทเ่ี ช่ือมต่อกับระบบควบคุมหลักทอี่ ย่ภู ายนอก
ค) การปิดผนึกฝาถังน้ามันรถ ซึ่งเป็นระบบนิรภัยข้ันสุดท้ายก่อนที่รถบรรทุก
นา้ มันจะออกจากคลังเก็บน้ามัน
ง) ติดต้ังอุปกรณน์ ิรภัยไว้ในบรเิ วณลานจา่ ยนา้ มัน
จ) ตดิ ปา้ ยเตือน และข้อควรปฏิบัติตา่ ง ๆ ท่วั บรเิ วณพ้ืนทีข่ องลานจา่ ยน้ามัน
ฉ) ดูแลความปลอดภัยส่วนบคุ คลของผูป้ ฏบิ ตั หิ น้าทอ่ี ยา่ งเครง่ ครดั
หน่วยที่ 3 ปโิ ตรเลียม 92
สรุปสาระสาคญั
พลังงานจากซากดึกดาบรรพ์เกดิ จากซากพืช ซากสัตว์ท่ีเสียชีวิตและตะกอนท่ีมากับการ
พัดพาของน้าเกิดการทับถมทับซ้อนกันเป็นชั้น ๆ อยู่ตลอดเวลานับเป็นล้านปีจนแปรสภาพเป็น
เชื้อเพลิงในที่สุดเป็นสารประกอบสถานะต่าง ๆ ที่มีไฮโดรคาร์บอนเป็นตัวประกอบหลัก ได้แก่
น้ามันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซธรรมชาติเหลว (Condensate) นอกจากนี้ก็มีสารอินทรีย์ที่มี
กามะถนั ออกซเิ จนและไนโตรเจนเปน็ องคป์ ระกอบอกี หลายชนิด ท้ังนี้ น้ามันดิบจะมีคุณลักษณะและ
คุณสมบัติแตกต่างกันไปตามสัดส่วนของไฮโดรคาร์บอนประเภทต่าง ๆ ท่ีมีอยู่ ซ่ึงจะผิดแผกไปตาม
ทมี่ า ซ่งึ ถือเปน็ เร่อื งสาคัญในการกาหนดคุณค่าของน้ามัน การกาหนดวิธีการและกระบวนการผลิตท่ี
เหมาะสมในการกลนั่
ปิโตรเลยี มกาเนิดมาจากส่ิงท่มี ชี ีวติ ทีด่ ารงชวี ิตอยู่เม่ือหลายร้อยล้านปีก่อน ซ่ึงอยู่กระจัด
กระจายท่วั ไป ทัง้ บนบก และในทะเลเม่อื สง่ิ ท่มี ีชีวิตเหล่านี้ตายลงจะเน่าเปื่อยผุพัง และย่อยสลายโดย
มีบางส่วนสะสมรวมตัวอยู่กับตะกอนดินเลนในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เมื่อผิวโลกเกิดการ
เปลี่ยนแปลงในเวลาต่อมาส่วนของช้ันตะกอนน้ีจะจมตัวลงเร่ือย ๆ พร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลง
สารอินทรีย์จากกรดฟลุ วิค ไปเปน็ ฮิวมนิ เปน็ คีโรเจน และเปน็ ปโิ ตรเลยี มในท้ายท่ีสุด
ผลที่ไดจ้ ากการสารวจธรณฟี สิ ิกส์ คือ โครงสร้างท่ีคาดว่าจะเป็นแหล่งกักเก็บปิโตรเลียม
ในการเจาะสารวจขั้นแรก เป็นการเจาะสารวจเพื่อหาข้อมูลธรณี การลาดับชั้นหิน ยืนยันโครงสร้าง
ธรณี และพิสูจน์ว่ามีปิโตรเลียมภายในโครงสร้างนั้นหรือไม่ ถ้าพิสูจน์ได้ว่ามีปิโตรเลียม จะมีการเก็บ
ข้อมลู อน่ื ๆ ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั แหลง่ และคุณภาพปิโตรเลียมไปพร้อม ๆ กัน เช่น อายุของชั้นกักเก็บ ชนิด
ของหิน ความพรุน และคุณสมบัติของหินที่ยอมให้ของไหลผ่านช่องว่างที่ติดต่อกันภายในชั้นหินได้
(Permeability) ตลอดจนชนิดและคุณภาพของปิโตรเลียมที่พบ เมื่อพบปิโตรเลียมในหลุมแรกที่เจาะ
แล้ว จะมีการเจาะสารวจเพิ่มเติมเพื่อหาข้อมูลในรายละเอียด เช่น ขอบเขตที่แน่นอนของแหล่ง
ปริมาณการไหลของปิโตรเลียม เรียกข้ันตอนนี้ว่า การเจาะขั้นประเมินผล ผลการเจาะประเมินผลน้ี
จะทาใหท้ ราบถึงปริมาณสารองปิโตรเลียมของแหลง่ กกั เกบ็ นน้ั หลังจากนั้นบริษัทผู้ประกอบการจะทา
การประเมินคุณค่าทางเศรษฐกจิ ของ การเจาะปโิ ตรเลยี ม
หนว่ ยที่ 3 ปิโตรเลยี ม 93
แบบฝกึ หดั หน่วยที่ 3
เรือ่ ง ปิโตรเลยี ม
ตอนที่ 1 จงเตมิ คาหรือข้อความท่ถี ูกต้องลงในช่องวา่ งให้สมบูรณ์
1. ปิโตรเลียมคืออะไร
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
2. ปิโตรเลยี มมคี ุณสมบตั ิอย่างไร
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
3. ปิโตรเลยี มเกิดขึ้นได้อยา่ งไร
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
4. องคป์ ระกอบสาคัญที่จะกอ่ ใหเ้ กิดแหลง่ กักเกบ็ และสะสมตวั ปิโตรเลียมคอื
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
5. แหลง่ ปโิ ตรเลียมที่สาคัญของโลกมที ่ีใดบา้ ง
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
6. การสารวจและผลติ ปิโตรเลียม มขี ั้นตอนหลัก ๆ อย่างไรบ้าง
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
7. นา้ โคลนทใ่ี ช้ในการเจาะสารวจปโิ ตรเลยี มมปี ระโยชน์อย่างไร
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
8. จงอธิบายการสารวจโดยวิธกี ารวัดคา่ ความไหวสะเทือนว่ามีหลักการและวิธกี ารวดั อย่างไร
...................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
9. จงอธิบายการสารวจโดยวิธกี ารวัดคา่ ความเข้มสนามแม่เหล็กว่ามหี ลักการ และวธิ ีการวัด
อยา่ งไร
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
..................................................................................................................................................................................................................
หน่วยที่ 3 ปิโตรเลียม 94
10. อปุ กรณ์การเจาะสารวจ ประกอบด้วย
......................... ............................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
11. จงจาแนกลกั ษณะชนดิ ของแทน่ เจาะปโิ ตรเลียม
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
12. ขบวนการผลิตปโิ ตรเลยี มโดยท่ัวไปตามแหลง่ ต่าง ๆ ทั้งบนบกและในทะเลจะประกอบด้วย
ระบบต่าง ๆ คือ
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
13. แหลง่ ผลิตปิโตรเลยี มในประเทศไทยที่สาคัญคอื
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
14. เม่ือกลน่ั นา้ มนั ดิบ แล้วจะได้ผลิตภณั ฑ์อะไรบา้ ง
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
15. จงอธบิ ายความหมายของผลติ ภัณฑ์โดยตรง
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
16. กระบวนการในการขนส่งลาเลยี งปิโตรเลยี มสามารถแบ่งออกได้เปน็ กีป่ ระเภท คือ
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
17. การขนสง่ ลาเลียงก๊าซมขี ั้นตอนและวิธกี ารขนส่งอยา่ งไร
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
18. การขนสง่ โดยรถบรรทุกน้ามนั สามารถมขี นาดบรรจุผลิตภัณฑน์ ้ามนั ตา่ งกนั ตง้ั แต่เทา่ ใด
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
19. จงอธบิ ายความปลอดภยั ในการขนส่งและลาเรียงผลิตภณั ฑ์ทางท่อ
...................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
....................................................................................................................................................................................................................
หน่วยท่ี 3 ปโิ ตรเลยี ม 95
20. มาตรการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมีอะไรบ้าง
.......................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................................................
”
ตอนท่ี 2 จงเตมิ ช่ือผลิตภัณฑท์ ่ีไดจ้ ากขบวนการกลน่ั ตามรูป
…………………………………………..
..............................................
..
..............................................
..
........................................
........
................................................
..............................................
..
.........................
.........................
...........
..............................................
..
หน่วยที่ 3 ปิโตรเลยี ม 96
กจิ กรรมท้ายบทเรยี น
หนว่ ยที่ 3 ปโิ ตรเลียม
ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มละ 3 – 5 คน และทากจิ กรรมดงั นี้
1. นาเสนอเก่ียวกับปิโตรเลียม ได้แก่ ความหมายของปิโตรเลียม การกาเนิดปิโตรเลียม
การสารวจปิโตรเลียม การผลติ ปโิ ตรเลียม แหล่งผลติ ปิโตรเลยี มในประเทศไทย การกล่นั ปิโตรเลียม
และการขนส่งปโิ ตรเลียม
2. นาเสนอหน้าชนั้ เรยี นกลุ่มละ 5-10 นาที
******************************************
หนว่ ยท่ี 3 ปิโตรเลียม 97
แบบประเมนิ ผลกิจกรรมท้ายบทเรียน
หน่วยท่ี 3 ปิโตรเลียม
หัวขอ้ กจิ กรรม 1. . 2. ?
ชือ่ กล่มุ 3. . 4. ?
สมาชิกกลุ่ม 5. . 6. .
.
.
ลาดับที่ รายการประเมิน คะแนนเตม็ ผลคะแนน หมายเหตุ
1 การแบ่งหน้าท่ี 10 ผลคะแนน
2 การทางานเปน็ ทีม 10 ดี = 9 – 10
3 ความรับผดิ ชอบ 10 ปานกลาง = 7 – 8
4 ความถูกต้องเหมาะสมของกจิ กรรม 10 พอใช้ = 4 – 6
5 การแสดงความคิดเห็น 10 ปรบั ปรุง = 1 – 3
6 ความพร้อมในการนาเสนอ 10
7 บุคลกิ ในการนาเสนอ 10 คะแนนเต็ม
8 ความชดั เจนในการนาเสนอ 10
9 การตอบข้อซกั ถาม 10 รวม 100 คะแนน
10 การสรปุ ประเดน็ สาคญั 10
รวมคะแนนท่ีได้
ลงช่อื ผปู้ ระเมิน
( )
?/ //
/
หน่วยที่ 3 ปโิ ตรเลียม 98
บรรณานกุ รม
ประเสริฐ เทียนนิมิต และคณะ. เชื้อเพลิงและสารหล่อลื่น. กรุงเทพ ฯ : บริษัท ซีเอ็ดยูเคช่ัน จากัด
(มหาชน), 2547.
อนุรักษ์ รักอ่อน. เชื้อเพลิงและสารหล่อล่ืน. กรุงเทพ ฯ : บริษัท พัฒนาวิชาการ (2535) จากัด,
2552.
วรี ะศกั ดิ์ มะโนนอ้ ม. เชอ้ื เพลิงและวัสดุหล่อลน่ื . กรุงเทพ ฯ :บริษทั สานักพมิ พเ์ อมพันธ์ จากัด, 2547.
ธารง โชตะมังสะ และคณะ . เชือ้ เพลิงและวสั ดุหล่อลื่น. กรุงเทพ ฯ : มณีรัตน์การพมิ พ์, 2536.
อาพล ซื่อตรง และคณะ. เชอ้ื เพลิงและวัสดุหล่อลืน่ . กรงุ เทพ ฯ : สานกั พิมพ์ศนู ย์สง่ เสริมวิชาการ,
2545.
ธารง โชตะมังสะ และคณะ. เช้อื เพลงิ และวสั ดุหล่อลนื่ . กรุงเทพ ฯ : เมด็ ทรายพริ๊นต้งิ , 2547.
วิทยา ดีวุน่ . เชอ้ื เพลิงและวสั ดุหลอ่ ล่นื . กรุงเทพ ฯ : ศูนยส์ ่งเสริมอาชีวะ, 2546.
http://www.mne.eng.psu.ac.th
http://www.vcharkarn.com
http://www.tourdoi.com
http://www.offshore-sea.org
http://www.bloggang.com
http://www.dmf.go.th
http://forum.khonkaenlink.info
http://www.skyscrapercity.com
http://www.kendiky.com
http://online.eqplusmag.com
http://www.bangkokflying.com
http://www.weloveshopping.com
http://www.minsen.co.th
http://www.oknation.net
http://www.marinerthai.com
http://www.rotlaithai.com
ก๊าซปโิ ตรเลียมเหลว
(Liquefied Petroleum Gas)
กา๊ ซปโิ ตรเลียมเหลว หมายถึง “ก๊าซไฮโดรคารบ์ อนเหลว คอื โปรเปน, โปรปลิ ีน, นอร์มลั บวิ เทน,
ไอโซบิวเทน หรือบิวทีลนี อยา่ งใดอย่างหน่ึง หรอื หลายอย่าง ผสมกนั เป็นส่วนใหญ่” โดยท่ัวไปเรามกั เรียก
ก๊าซปโิ ตรเลยี มเหลวนีว้ ่า ก๊าซ, แก๊ส, แก๊สเหลว หรือแกส๊ หุงตม้ ส่วนในวงการค้าและอตุ สาหกรรม ช่อื ที่เรารู้จักกนั
ดี คือ แอล พี แกส๊ (LP GAS) หรอื แอล พี จี (LPG) ซ่งึ เปน็ อกั ษรย่อ มาจาก Liquefied Petroleum Gas
ดงั นั้นเพ่ือความสะดวกต่อไปนี้เราจะเรยี กวา่ “LPG” หรือ “ก๊าซปิโตรเลยี มเหลว”
กา๊ ซปโิ ตรเลยี มเหลวโดยท่วั ไปมสี ภาพเป็นก๊าซทีอ่ ุณหภมู ิห้องและความดันบรรยากาศ โดยมีน้าหนัก
ประมาณ 1.5 - 2 เท่าของอากาศท้ังนี้ขึน้ อย่กู บั องค์ประกอบของ LPG การทีไ่ ดช้ อ่ื ว่าปิโตรเลียมเหลวกเ็ พราะกา๊ ซ
จะถูกอัดให้อยใู่ นสภาพของเหลวภายใตค้ วามดันจนมีสถานะเปน็ ของเหลวทงั้ น้ีก็เพื่อสะดวกต่อการเกบ็ และการ
ขนสง่ แตเ่ มอื่ ลดความดันก๊าซเหลวน้ีจะกลายเป็นไอเพ่อื สามารถนา้ มาใช้งานได้ กา๊ ซปิโตรเลียมเหลวถกู จัดเป็น
เชอ้ื เพลิงท่ีมคี วามส้าคญั ในปัจจุบัน และมีใชก้ นั อยา่ งแพร่หลาย ทง้ั ในครัวเรอื น ร้านอาหาร ภัตตาคาร
โรงพยาบาล ร้านอาหารประเภท Fast Food ในห้างสรรพสนิ คา้ ที่พกั อาศัยประเภทคอนมีเนยี ม ตลอดจนพาณิช
ยกรรมและอุตสาหกรรมตา่ งๆ รวมท้งั ภาคขนสง่ ในรถยนต์รบั จา้ งและรถยนตส์ ว่ นบคุ คลซึ่งถอื เปน็ เปน็ พลังงาน
ทางเลือกอีกชนิดหนง่ึ เม่ือราคาน้ามันเชื้อเพลิงมรี าคาสงู เน่ืองจากเป็นเชอ้ื เพลิงทใี่ ชง้ านง่าย ราคาไม่แพงเมื่อเทียบ
กบั แหลง่ เช้ือเพลงิ ชนดิ อืน่ ๆ สามารถขนสง่ สะดวกไม่เปลืองท่ีเกบ็ ท้าใหม้ ปี ริมาณเหมาะสมตอ่ รอบปริมาณใช้งาน
และท่ีสา้ คัญคือ เผาไหม้แล้วเกิดเขม่าน้อยกวา่ เชอื้ เพลิงชนิดอื่น
1. แหลง่ ท่ีมาของกา๊ ซปโิ ตรเลยี มเหลว แหลง่ ที่มาของก๊าซมี 2 แหล่งใหญ่ๆ ได้แก่
1.1. ได้จากกระบวนการกล่ันน้ามันดบิ ในโรงกล่นั น้ามัน ซง่ึ จะได้ก๊าซโปรเปนและบวิ เทนประมาณ 1-
2% แตก่ อ่ นที่จะน้านา้ มันดิบเขา้ กลน่ั ต้องแยกน้าและเกลอื แร่ท่ปี นอยอู่ อกเสียกอ่ น หลังจากนั้นนา้ น้ามนั ดิบมา
ให้ความรอ้ นจนมีอุณหภมู ปิ ระมาณ 340 - 400 C จากนัน้ จะถูกสง่ เขา้ สหู่ อกลั่น ซึ่งภายในประกอบด้วยถาด
(tray) เป็นชน้ั ๆ หลายสิบชนั้ ไอร้อนท่ีลอยข้นึ ไป เมื่อเย็นตัวลงจะกล่ันตวั เป็นของเหลวบนถาดตามชั้นตา่ ง ๆ
และจะอย่ชู ัน้ ใดขนึ้ อยูก่ ับชว่ งจุดเดือด องคป์ ระกอบในน้ามนั ทมี่ ีชว่ งจดุ เดือดตา้่ (เปน็ ไอไดง้ า่ ย) จะลอยข้ึนสู่เบือ้ ง
บนของหอกลัน่ ได้แก่ พวกไฮโดรคาร์บอนที่มสี ถานะเป็นก๊าซ (LPG รวมอยใู่ นส่วนนี้ดว้ ย) ส่วนไฮโดรคารบ์ อนที่มี
ชว่ งจุดเดอื ดปานกลางและสูงกจ็ ะแยกตวั ออกและลอยตัวข้ึนไปจนถึงตอนกลางและตอนลา่ งของหอกลั่นตามลา้ ดบั
ซง่ึ ไดแ้ ก่ องค์ประกอบน้ามันดิบจาพวกแนพทา (Naphtha ), นา้ มนั กา๊ ด, น้ามันดเี ซล และนา้ มันเตา ตามล้าดับ