ธรณีวิทยาของอ่าวไทยและอนั ดามัน รศ. ดร. เสรีวัฒน์ สมนิ ทร์ปัญญา
ภาพ 3.1 การเคลอ่ื นตัวของแผ่นเปลือกโลกและรอยเล่อื น ทท่ี ้าใหเ้ กดิ แอง่ สะสมตวั ของตะกอนยคุ เทอร์เชยี รี หรอื
แอง่ เทอร์เชยี รี ในอ่าวไทยและทะเลอนั ดามัน (Polachan, 1988)
5
ธรณีวทิ ยาของอ่าวไทยและอันดามัน รศ. ดร. เสรีวัฒน์ สมินทร์ปัญญา
ภาพ 3.2 ก) แผนภาพอย่างง่ายแสดงโครงสรา้ งแบบฮอสต์และกราเบน (Horsts and Grabens) ท่ีเกิดบรเิ วนรอย
เลอ่ื นปกติ (Normal faults) https://en.wikipedia.org/wiki/Half-graben) ข) ภาพตัดขวางแนวตะวันตก -
ตะวนั ออก ของอ่าวไทย ผ่านแอ่งนคร แนวสันกระ และแอ่งปัตตานี (Paul and Lian, 1975; กรมทรัพยากรธรณี,
2550)
6
ธรณีวิทยาของอ่าวไทยและอนั ดามัน รศ. ดร. เสรีวฒั น์ สมนิ ทร์ปัญญา
ภาพ 3.3 แอ่งเทอร์เชียรีในอา่ วไทยและทะเลอนั ดามนั (กรมทรัพยากรธรณี, 2550)
3.1.2 ช้นั หนิ ท่ีสาคญั ในอา่ วไทย
ก่อนเกิดอ่าวไทยข้ึนน้ันแผ่นเปลือกโลกบริเวณน้ีประกอบด้วยหินที่มีอายุแก่กว่ายุคเทอร์เชียรี จากการศึกษา
ของนักธรณีวิทยาด้วยเทคนิคต่างๆ เช่น การส้ารวจทางธรณีฟิสิกส์ การเจาะส้ารวจ เป็นต้น พบว่าใต้พ้ืนทะเลลึก
ลงไปในเปลือกโลกประกอบด้วยหินฐาน (Basement) ที่มีอายุแก่กว่ายุคเทอร์เชียรีหลายชนิดเกิดข้ึนในหลายช่วง
อายุต่างกันไปในแต่ละพ้ืนท่ี เช่น หินปูนยุคเพอร์เมียน หินแกรนิตยุคครีเทเชียส หินคาร์บอเนตมหายุคมีโซโซอิก
หินเมตาคลาสติกมหายคุ พาลโี อโซอิก หินเหลา่ น้ีพบวางตัวอยู่ใต้หินตะกอนยุคเทอร์เชยี รี
หินยุคเทอร์เชียรี ที่แอ่งชุมพรหนา 4,000-5,000 เมตร ที่แอ่งปัตตานีหนาถึง 8,000 เมตร ในภาพรวมพบว่า
ประกอบด้วยชนั้ หนิ ตะกอนประเภทตา่ งๆ หลายชนิด ได้แก่ หนิ โคลน หินโคลนเน้ือปูน หินโคลนแทรกสลับกับถ่าน
หนิ หนิ ดนิ ดานหลากสี หนิ ดินดานมีสารอนิ ทรยี ์สงู หินดินดานสลับกับหนิ ทราย ถา่ นหนิ หินกรวดมน หนิ ทรายปน
โคลน ทรายสีแดง หินทรายแป้ง หินปูน และหินโดโลไมต์ ซึ่งลักษณะหินเหล่าน้ีบ่งบอกถึงสภาพแวดล้อม
การก้าเนิดในช่วงแรกต้ังแต่สมัยโอลิโกซีนจนถึงสมัยไมโอซีนตอนกลางเป็นการตกทับถมของตะกอนในน้าจืด
ในสภาพแวดล้อมของที่ราบน้าพัดพา ในแม่น้า ท่ีราบน้าท่วมถึง ทะเลสาบน้าจดื ต่อมาเป็นช่วงปลายสมัยไมโอซนี
7
ธรณีวทิ ยาของอ่าวไทยและอันดามัน รศ. ดร. เสรีวฒั น์ สมนิ ทร์ปัญญา
จนถึงปัจจุบันสภาพแวดล้อมค่อยๆ เปล่ียนไปเป็น ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้า ท่ีราบน้าขัง ป่าชายเลน บริเวณ
น้าขึ้นน้าลง ทะเลสาบน้าเค็ม (ทะเลปิด) ป่าชายเลน ทะเลน้าตื้น และในทะเล (ดูรายละเอียดใน กรมทรัพยากร
ธรณี, 2550 หน้า 286-287) จากข้อมูลทางธรณีฟิสิกส์ และการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์หลายท่าน
( เ ช่ น Woodland and Haw, 1976; Lian and Bradley, 1986; Chinbunchorn et al., 1989; Polchan et
al., 1991) รวมท้ังข้อมูลจากบริษัท ยูโนแคล จ้ากัด สรุปได้ว่าในยุคเทอร์เชียรีตอนต้น (สมัยโอลิโกซีน-สมัยไมโอ
ซีน) แผ่นดินบริเวณอ่าวไทยเป็นพื้นท่ีที่ได้รับอิทธิพลของน้าจืดเป็นส่วนมาก ซ่ึงช่วงนั้นพ้ืนที่อ่าวไทยเกิดแรงดึง
รอยเลอ่ื น และการทรดุ ตวั มาก และตอ่ มาหยดุ ลง จากนัน้ กเ็ รม่ิ มีการรกุ เขา้ มาของนา้ ทะเลทางทิศใต้และตะวันออก
เฉียงใต้ต้ังแต่สมัยไมโอซีนตอนกลางและท่วมเป็นทะเลปิดที่มีคล่ืนลมสงบ จนปลายสมัยไมโอซีนตอนกลาง
มีการทรุดตัวลงอีกเร่ือยๆ ถึงปัจจุบันจนกลายเป็นทะเลเปิดต้ืนๆ และเป็นแหล่งสะสมของตะกอนใกล้ชายฝ่ัง
ซึ่งมีดินเคลย์ทะเล (Marine clay) และทรายแทรกสลับ (ดูการเรียกช่ือของตะกอนตามขนาดของเม็ดตะกอนใน
ตาราง 3.2)
ตาราง 3.1 การเรยี กชอื่ ของตะกอนตามขนาดของเมด็ ตะกอนทีใ่ ชใ้ นหัวข้อธรณวี ทิ ยาของอา่ วไทยและอันดามนั
ขนาดของเม็ดตะกอน (มิลลเิ มตร) การเรยี กชอ่ื
กรวด (Gravel)
>2 ทราย (Sand)
−—1216156
2 1 ทรายแป้ง (Silt)
1 256
เคลย์ / ดินเคลย์ / ดินเหนียว (Clay)
16
<
โดยท่ัวไปหินตะกอนที่เกิดในทะเลสาบน้าจืดมีสมบัติที่เป็นหินต้นก้าเนิดน้ามันดิบ ส่วนหินตะกอนที่เกิดจาก
การตกตะกอนของทางน้าและตะกอนปากแม่น้ามีสมบัติที่เป็นหินต้นก้าเนิดก๊าซธรรมชาติ อย่างไรก็ตามเน่ืองจาก
น้ามันและก๊าซธรรมชาติเป็นของไหลประกอบกับแรงกระท้าในเปลื อกโลกท้า ให้น้ามันและก๊าซธรรมช าติ
เคล่ือนย้ายไปและถูกเก็บกักในหินชนิดอื่น เช่น หินทรายในแอ่งปัตตานี และหินปูนยุคเพอร์เมียนในแอ่งชุมพร
นอกจากน้ันยังมีหินดินดานและหินโคลนรวมท้ังรอยเลื่อน โครงสร้างโค้งงอ และโครงสร้างอื่นๆ ท้าหน้าท่ีปิดก้ัน
มิให้น้ามันหรือก๊าซธรรมชาติเคลื่อนย้ายต่อไปอีก อ่าวไทยเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติและก๊าซธรรมชาติเหลวเป็น
ส่วนใหญ่ แหล่งส้าคัญ เช่น แหล่งเอราวัณ บงกช บรรพต สตูล ปลาทอง ปลาแดง กะพง ไพลิน ส่วนแหล่งน้ามัน
เช่น แหล่งจสั มิน เบญจมาส นางนวล เป็นต้น
(หมายเหตุ ลักษณะของหนิ แตล่ ะชนิด สามารถศึกษาไดจ้ ากหนงั สือ โลกและหนิ โดย เสรีวฒั น์ สมินทรป์ ญั ญา,
2543)
8
ธรณีวทิ ยาของอ่าวไทยและอันดามัน รศ. ดร. เสรีวัฒน์ สมินทร์ปัญญา
3.1.3 วิวัฒนาการการเกิดแอง่ ในอา่ วไทย
ลา้ ดบั การววิ ฒั นาการการเกดิ แอง่ ต่างๆ ในอ่าวไทย สามารถสรปุ เปน็ แผนภูมิดังแสดงในภาพ 3.4
ภาพ 3.4 ลา้ ดบั การวิวัฒนาการการเกดิ แอ่งในอ่าวไทย (ปรับปรุงจาก กรมทรัพยากรธรณี, 2550)
3.2 ธรณีวทิ ยาของทะเลอันดามนั
ทะเลอันดามันต้ังอยู่บนเขตไหล่ทวีปทางทิศตะวันตกของแหลมไทย-มลายู ประมาณละติจูดที่ 8-17 องศา
เหนือ และลองตจิ ดู ท่ี 94-98 องศาตะวันออก มอี าณาเขตทางทศิ เหนือตดิ ต่อกับประเทศเมยี นมาร์ ทิศตะวนั ตกติด
กับหมู่เกาะอันดามัน-นิโคบาร์ของอินเดีย ซ่ึงหมู่เกาะน้ีเป็นสันเขากลางมหาสมุทรท่ีเกิดสัมพันธ์กับแนวการมุดตัว
ของแผ่นเปลือกโลกอินเดยี ลงใต้แผน่ เปลือกโลกยูเรเชียซ่ึงเป็นแนวต่อเน่ืองข้ึนมาจากทางฝั่งตะวันตกของเกาะชวา
และเกาะสุมาตรา ทางทิศใต้ตดิ กบั ประเทศมาเลเซยี และอินโดนเี ซีย เรียกแนวนี้วา่ รอ่ งลกึ ซนุ ดา (Sunda Trench)
หรือรอ่ งลึกชวา (Java Trench) ซ่ึงเปน็ หลกั ฐานของการชนกนั และแนวมุดตวั ใตท้ ะเลของแผ่นเปลือกโลกดังกล่าว
และเป็นสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหวและคล่ืนสึนามิ เช่น เม่ือวันท่ี 26 ธันวาคม 2547 (สามารถดูแนวร่องลึก
ซุนดาได้จากภาพถ่ายดาวเทียมในแอพลิเคช่ันต่างๆ เช่น Google Earth หรือ Maps ในสมาร์ทโฟน
หรือในคอมพวิ เตอร์)
9
ธรณีวทิ ยาของอ่าวไทยและอนั ดามัน รศ. ดร. เสรีวฒั น์ สมินทร์ปัญญา
ทะเลอันดามันเป็นแอ่งท่ีเกิดจากการเคลื่อนไหวของแผ่นเปลือกโลกที่ต่อมาจากดินดอนสามเหล่ียมปากแม่น้า
อิรวดีในประเทศเมียนมาร์ แผ่กว้างออกไปประมาณ 1,200 กิโลเมตร ลงมาทางใต้จนถึงตอนเหนือของ
เกาะสุมาตราและช่องแคบมะละกา ความกว้างของทะเลอันดามันต้ังแต่ชายฝั่งทะเลของแหลมไทยไปถึงหมู่เกาะ
อันดามัน-นิโคบาร์ ประมาณ 650 กิโลเมตร พ้ืนท้องทะเลมีลักษณะแตกต่างจากอ่าวไทย กล่าวคือเป็นลานตะพัก
หรือเป็นระดับลดหลน่ั กันไปจากชายฝ่ังจนถึงกลางแอ่ง และมีความลึกของน้าทะเลบางแห่งถึง 2,000 เมตร ทะเล
อันดามนั ในสว่ นที่เปน็ อาณาเขตน่านน้าของไทยมีเพยี งประมาณ 114,000 ตารางกิโลเมตร (ภาพ 3.5)
ภาพ 3.5 แสดงทต่ี ง้ั และระดับความลึกเปน็ เมตร จากผวิ น้าทะเลของท้องทะเลอันดามนั (กรมทรัพยากรธรณี,
2550)
10
ธรณีวิทยาของอ่าวไทยและอนั ดามัน รศ. ดร. เสรีวัฒน์ สมนิ ทร์ปัญญา
3.2.1 ธรณวี ทิ ยาโครงสรา้ งของทะเลอนั ดามนั
บริเวณทะเลอันดามันเป็นส่วนนอกของฝั่งตะวันตกของประเทศเมียนมาร์ ไทย และมาเลเซีย ต่อเข้าไปใน
มหาสมุทรอินเดียเข้าหาแอ่งทะเลอันดามัน และส้ินสุดท่ีหมู่เกาะอันดามัน-นิโคบาร์ซ่ึงเป็นสันเขาใต้น้าที่แบ่งเขต
ระหว่างอ่าวเบงกอลออกจากทะเลอันดามัน ทางทิศใต้เป็นฝั่งสุมาตราเหนือ และช่องแคบมะละกา บริเวณทะเล
อนั ดามนั ของไทยครอบคลุมพ้ืนทเี่ พยี งขอบตะวนั ออกของแอ่งทะเลอันดามันเท่านั้น
ทะเลอันดามันมีโครงสร้างทางธรณีประกอบด้วยแอ่งสะสมตัวของตะกอนยุคเทอร์เชียรี หรือแอ่งเทอร์เชียรี
ขนาดใหญ่ใต้ทะเล 2 แอ่ง ได้แก่ แอ่งอันดามัน และแอ่งเมอร์กุย (ภาพ 3.1) แอ่งที่อยู่ในอาณาเขตน่านน้าไทย
คือ แอ่งเมอร์กุย (ภาพ 3.3) และพ้ืนท่ีเล็กน้อยของแอ่งอันดามันซึ่งมีความลึกมากจึงยากต่อการส้ารวจ
นอกจากน้ันยังมีแนวสันต่างๆ เช่น แนวสันเมอร์กุย และแนวสันระนอง เป็นต้น แอ่งเมอร์กุยยังแบ่งออก
เป็นแอ่งย่อย 3 แอ่ง คือ 1) แอ่งเมอร์กุยตอนเหนือ 2) แอ่งเมอร์กุยตะวันออก และ 3) แอ่งเมอร์กุยตะวันตก
โดยมีสันกลางกั้นอยู่ระหว่างสองแอ่งหลัง นอกจากนั้นยังมีสันและแอ่งย่อยอื่นๆ เช่น แนวสันระนอง แอ่งระนอง
และแอ่งสิมิลัน เป็นต้น แอ่งต่างๆ เหล่าน้ีเกิดขึ้นต้ังแต่ช่วงต้นยุคเทอร์เชียรี ซ่ึงตะกอนที่อยู่ในแอ่งเมอร์กุย
ในเขตน่านน้าไทยหนามากกว่า 8,000 เมตร ส้าหรับหินฐานที่อยู่ใต้หินตะกอนยุคเทอร์เชียรี ซึ่งเป็น หินแกรนิต
หนิ ภูเขาไฟ และหนิ แปรเกรดตา่้ ยคุ ครเี ทเชียสตอนปลาย ถงึ สมัยอีโอซนี ตอนปลาย (กรมทรัพยากรธรณี, 2550)
แอง่ เมอรก์ ยุ
แอ่งเมอร์กุยได้รับอิทธิพลจากการยกตัวของแผ่นเปลือกโลกพ้ืนทวีปรวมทั้งจากกลุ่มรอยเล่ือนระนอง
และคลองมะรุ่ย (ภาพ 3.6) ลักษณะของแอ่งเป็นแบบกึ่งกราเบนวางตัวในแนวเหนือ-ใต้ (Polachan, 1988)
ครอบคลุมพืน้ ท่ี 50,000 ตารางกิโลเมตร ตะกอนในแอ่งสว่ นทีห่ นาท่ีสดุ หนาถึง 8,000 เมตร เป็นตะกอนท่ีเกิดจาก
สภาพแวดลอ้ มท่ีสะสมตัวในนา้ ทะเลลกึ และพบเพียงแอง่ เดยี วในประเทศไทย
รอยเล่ือน (Faults) ส้าคัญท่ีตัดผ่านแอ่งเมอร์กุย เช่น เขตรอยเล่ือนเมอร์กุย และเขตรอยเล่ือนระนอง-คลอง
มะรุ่ย และยังพบรอยเล่ือนปกติอื่นๆ ส่วนแนวคดโค้ง (Folds) ของช้ันหิน มี 2 แนว ได้แก่ แนวคดโค้งที่วางตัว
ตะวันตกเฉียงเหนือ-ตะวันออกเฉียงใต้ และแนวคดโค้งของชั้นหินข้างรอยเล่ือนท่ีมีทิศทางการวางตัว
ในแนวเหนอื -ใต้
11
ธรณีวิทยาของอ่าวไทยและอนั ดามัน รศ. ดร. เสรีวฒั น์ สมินทร์ปัญญา
ภาพ 3.6 ธรณีโครงสร้างในทะเลอนั ดามนั (กรมทรัพยากรธรณี, 2550)
12
ธรณีวิทยาของอ่าวไทยและอนั ดามัน รศ. ดร. เสรีวฒั น์ สมนิ ทร์ปัญญา
1) ชนั้ หินทส่ี าคัญของแอ่งเมอร์กยุ
หนิ ก่อนยคุ เทอรเ์ ชียรีท่ีวางตวั อยู่ใต้หินยุคเทอร์เชียรี มลี กั ษณะแตกต่างกันไปในแต่ละพ้นื ที่ ส่วนใหญ่
เป็นหินแปร และหนิ อัคนี เชน่ หนิ ชนวน หินคลอไรต์ หนิ ชสี ต์ หนิ ควอร์ตไซต์ หนิ แกรนติ หินมอนโซไนต์
หนิ ยุคเทอร์เชยี รี ประกอบด้วยหนิ ตะกอน เชน่ หนิ ทราย หินทรายแปง้ หนิ กรวดมน หินทรายเน้อื ปูน
หินทรายเนื้อไมกา หินทรายที่มีแร่กลอโคไนต์ หินทรายเนื้อถ่าน หินดินดานสเี ทา-ด้า หินดินดานที่มีแร่กลอโคไนต์
หินปูน หินปูนที่เกิดจากเศษหิน หินโดโลไมต์ หินแอนไฮไดรต์ หินปูนท่ีเป็นพืดหินปะการังผสมสาหร่าย ถ่านหิน
และซากดึกด้าบรรพ์ฟอแรมินิเฟอรา (Foraminifera) ลกั ษณะของหนิ บง่ บอกถึงสภาพแวดล้อมของการตกตะกอน
ในแอ่งเมอร์กุยในยุคเทอร์เชียรีอย่างหลากหลาย ตะกอนที่เกิดจากอิทธิพลของน้าจืดในช่วงแรก (อาทิ
สภาพแวดล้อมที่ราบตะกอนน้าพา) และเม่ือน้าทะเลเข้าท่วมจึงเกิดสภาพแวดล้อมการตกตะกอนในน้าเค็ม เช่น
สภาพแวดล้อมแบบทะเลน้าต้ืนตามขอบแอ่ง (อาทิ ดินดอนสามเหลี่ยม สันดอนนอกชายฝั่ง) การตกตะกอนแบบ
ทะเลน้าลึก ทะเลน้าลึกระดับลาดทวีป การถล่มใต้ทะเล การทับถมของตะกอนบนแนวสันต่างๆ (พืดหินปะการัง
ร่วมกับตะกอนท่ีสะสมแบบทะเลตื้น) และสภาพแวดล้อมแบบตะกอนรูปพัดใต้ทะเล เป็นต้น มีการแบ่งช้ันหิน
ในแอ่งเมอร์กยุ ตามสภาพแวดล้อมการตกตะกอนและอายตุ า่ งๆ ออกเปน็ 9 หมวดหนิ ซึ่งจะไมก่ ล่าวรายละเอียดไว้
ในท่นี ้ี
(หมายเหตุ ประเภทของหิน และลักษณะของหินแต่ละชนิด สามารถศึกษาไดจ้ ากหนงั สือ โลกและหนิ โดย
เสรวี ฒั น์ สมินทรป์ ญั ญา, 2543)
2) วิวัฒนาการของแอ่งเมอร์กยุ
แอ่งเมอร์กุยเป็นแอ่งกึ่งกราเบนอายุเทอร์เชียรี วางตัวแนวเหนือ-ใต้ เกิดจากรอยเล่ือนเหล่ือมด้านข้าง
(Lateral fault) และรอยเล่ือนปกติ (Normal fault) บนเปลือกโลก การเกิดรอยเล่ือนและแอ่งเป็นผลจาก
แผ่นเปลือกโลกอินเดียเคล่ือนไปทางทิศเหนือค่อนมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเล็กน้อย แล้วชนกับ
แผ่นเปลือกโลกยูเรเชยี โดยแผน่ เปลอื กโลกอนิ เดยี มดุ ตวั ลงใต้ขอบแผ่นเปลือกโลกยูเรเชยี ในบริเวณทะเลอินโดนีเชีย
อินเดีย และเมียนมาร์ ส่งผลให้เกิดรอยเล่ือนหลายแนว อาทิ รอยเล่ือนสุมาตรา รอยเล่ือนเมอร์กุย-สะแกง
รอยเลื่อนอนั ดามันตะวันออกและตะวนั ตก รอยเล่ือนระนอง-คลองมะรุย่ ขณะทแ่ี ผน่ เปลือกโลกอินเดียยังเคลื่อนท่ี
ไปทางทศิ เหนือเรือ่ ยๆ ยงิ่ ดึงรอยเลื่อนเหล่านใ้ี หฉ้ กี ขาดมากขนึ้ และเรม่ิ มกี ารคลายและทรุดตวั ของแผน่ เปลือกโลก
กลายเป็นแอ่งอันดามัน และแอง่ เมอรก์ ุยข้นึ ในสมยั อโี อซนี ตอนกลาง-โอลิโกซนี ตอนตน้
ในสมัยโอลิโกซีนตอนปลาย-ไมโอซีนตอนต้น ในช่วงแรกแอ่งต่างๆ ได้รับตะกอนท่ีเกิดจากการกัดเซาะ
และถูกพัดพามาจากบนคาบสมุทรไทย-มาเลเซีย โดยตะกอนได้สะสมตัวกันในสภาพแวดล้อมแบบดินดอน
สามเหลี่ยมปากแม่น้า (เช่น พวกตะกอนทราย) จากนั้นน้าทะเลเริ่มรุกเข้ามาจนได้ตะกอนสะสมและกลาย
เป็นหินดินดานและหินท่ีเกิดจากการถล่มใต้ทะเล น้าทะเลเริ่มลุกเข้าไปทางทิศเหนือมากข้ึนท้าให้ความลึกของ
น้าทะเลเพิ่มมากขึน้
ในสมัยไมโอซีนตอนต้น-ไมโอซีนตอนกลาง แอ่งเมอร์กุยตะวันตก ตะวันออก และแอ่งระนอง รวมตัวกัน
เป็นแอ่งใหญ่ และทรุดตัวลงอย่างต่อเน่ือง และเร่ิมมีการสะสมตัวกันของตะกอนทะเลน้าลึกตรงกลางแอ่ง
แต่ตะกอนทะเลน้าตน้ื ยังคงตกสะสมกนั บรเิ วณขอบแอ่ง สว่ นบรเิ วณแนวสนั มีการสะสมตวั ของพืดปะการังหนิ ปนู
ในสมัยไมโอซีนตอนปลาย-ปัจจุบัน การเปล่ียนแปลงในแอ่งเมอร์กุยชะลอตัวลงแต่ก็ยังมีการทรุดตัวลง
เรื่อยๆ และรอยเลือ่ นในแอ่งเมอร์กุยยงั คงเคลื่อนท่ี และมีการสะสมของตะกอนหนิ ดนิ ดานในแอง่ อย่างตอ่ เน่ือง
13
ธรณีวทิ ยาของอ่าวไทยและอันดามัน รศ. ดร. เสรีวฒั น์ สมนิ ทร์ปัญญา
3.3 ธรณวี ิทยาและธรณีสัณฐาณวทิ ยาชายฝ่ังทะเลของไทย
ลักษณะของชายฝ่ังของไทยซึ่งเป็นแผ่นดินที่เช่ือมต่อกับทะเล และได้รับอิทธิพลจากท้ังแผ่นดินและทะเล
โดยภาพรวมแบง่ เปน็ 2 แบบ คือ
1) ชายฝ่ังทะเลยกตัว (Emerged shoreline) ซ่ึงเป็นชายฝ่ังด้านอ่าวไทย ท่ีมีลักษณะเป็นแนวทะเล
ค่อนข้างตรงเป็นแนวยาว มีที่ราบชายฝั่งกว้าง ทะเลต้ืนและค่อยๆ ลาดลงไป บริเวณที่อยู่ถัดเข้าไปในแผ่นดิน
มรี ่องรอยของตะพกั ทะเลระดับต้า่ (Low marine terrace) ชายหาดเดมิ ที่ล่มุ หลงั หาด และท่ลี ุม่ ชนื้ แฉะ
2) ชายฝั่งทะเลยุบจม (Submerged shoreline) ซึ่งเป็นชายฝ่ังด้านทะเลอันดามัน อันมีลักษณะ
เว้าแหว่ง มีเกาะจ้านวนมาก และเป็นทะเลค่อนข้างลึกเมื่อเทียบกับชายฝ่ังทะเลยกตัว ชายฝ่ังมีลักษณะแคบ
ความลาดเอยี งคอ่ นข้างชัน
ธรณีวิทยาของชายฝ่ังจะครอบคลุมถึงลักษณะธรณีสัณฐาน โครงสร้างทางธรณีวิทยา ตะกอน หิน รวมท้ัง
ช่วงอายขุ องตะกอนและหินท่ปี รากฏใหเ้ ห็นบริเวณชายฝั่ง รวมทั้งเกาะต่างๆ ทอ่ี ยูใ่ กลช้ ายฝัง่
หมายเหตุ การเรียนรู้เนื้อหาในหัวข้อต่อไปนี้ควรใช้แผนท่ีธรณีวิทยาประเทศไทย มาตราส่วน 1:1,000,000
พ.ศ. 2542 (กรมทรัพยากรธรณี, 2542) หรือ สมุดแผนที่ธรณีวิทยาประเทศไทย มาตราส่วน 1:1,000,000
(กรมทรพั ยากรธรณ,ี 2553) และหนงั สอื ธรณวี ทิ ยาประเทศไทย (กรมทรัพยากรธรณี, 2550) ประกอบ
3.3.1 ธรณวี ทิ ยาและธรณีสัณฐาณวิทยาชายฝง่ั อา่ วไทย
1) ชายฝ่ังอ่าวไทยภาคกลาง ในทางธรณีวิทยาก้าหนดให้ชายฝั่งทะเลภาคกลางเริ่มจากชายฝ่ัง
ตั้งแต่แนวรอยเล่ือนเจดีย์สามองค์ที่ตัดกับชายฝั่งของจังหวัดเพชรบุรี เลียบมาตามชายฝั่งจังหวัดสมุทรสงคราม
สมุทรสาคร กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา โดยสิ้นสุดที่ปากแม่น้าบางปะกง บริเวณน้ี
เป็นบริเวณปากแม่น้า และเป็นส่วนหน่ึงของท่ีราบลุ่มภาคกลางตอนล่าง หรือบางทีเรียกที่ราบลุ่มเจ้าพระยา
หรือแอ่งเจ้าพระยาซึ่งมีโครงสร้างเป็นแอ่งกราเบน ประกอบไปด้วยช้ันตะกอนที่ยังไม่แข็งตัว (Unconsolidated
sediments) ท่ีได้รับอิทธิพลของทางน้า สายหลัก 4 สาย ได้แก่ แม่น้าแม่กลอง ท่าจีน เจ้าพระยา และบางปะกง
รวมทั้งอทิ ธิพลของนา้ ทะเล (ภาพ 3.7)
ภาพ 3.7 ชายฝงั่ ทะเลภาคกลาง สขี าวขนุ่ ในทะเลใกลป้ ากแม่น้าคือตะกอนท่ีไหลลงมาจากแม่นา้ สายตา่ งๆ
(Google.com/maps, 2020)
14
ธรณีวทิ ยาของอ่าวไทยและอนั ดามัน รศ. ดร. เสรีวัฒน์ สมนิ ทร์ปัญญา
พื้นที่ตั้งแต่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาลงมาจนถึงกรุงเทพมหานครสูงกว่าระดับน้าทะเลปานกลางเฉล่ีย
ประมาณ 1.5 เมตร บริเวณใกล้แม่น้าเจ้าพระยามีร่องรอยการเคลื่อนท่ีของทางน้าแบบโค้งตวัด (Meander scar)
และทะเลสาบรูปแอก (Oxbow lake) พื้นทโี่ ดยท่ัวไปมลี กั ษณะเกือบแบนราบแผ่กระจายไปในบริเวณกวา้ ง คอ่ ยๆ
ลาดเอียงลงไปทางทะเล เกิดจากการไหลท่วมเข้ามา (Transgression) แล้วถอยร่น (Regression) ออกไปของ
ทะเลโบราณ ลักษณะตะกอนและหลักฐานทางธรณีวิทยาโดยภาพรวมของท่ีราบน้ีประกอบไปด้วย ท่ีลุ่มช้ืนแฉะ
(Marsh) ดินดอนสามเหล่ียม (Delta) ที่ลุ่มราบน้าข้ึนถึง (Tidal flat) หาดทราย (Beach) และสันดอนทราย
(Sand bar) ซ่ึงพบเหน็ ไดช้ ดั บริเวณจงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา และกรงุ เทพมหานคร
ชายฝั่งทะเลภาคกลางประกอบด้วยตะกอนท่ีเกิดข้ึนในสมัยไพลสโตซีนที่เกิดจากการสะสมตัวส่วนใหญ่
โดยทางน้าบนบก ทั้งตะกอนธารน้าพา ตะกอนตะพักลุ่มน้า ที่ถูกพัดพามาตามร่องน้า และตะกอนท่ีไหลมาตาม
ความลาดชันของพื้นที่ ตะกอนส่วนใหญ่เป็นทรายขนาดต่างๆ และดินเคลย์ (ดินเหนียว) ซึ่งสะสมตัวเป็นชั้น
เป็นแนว และเป็นเลนส์ บางบริเวณพบซากดึกด้าบรรพห์ อยทะเลจ้านวนมากแสดงว่าเคยมีน้าทะเลไหลเข้ามาเป็น
ระยะเวลาสั้นๆ ช้ันบนของตะกอนเหล่าน้ีเป็นดินเคลย์เนื้อแน่น (Stiff clay) และแข็ง บางบริเวณเป็นลูกรัง
หรือศิลาแลง ซ่ึงแสดงถึงสมัยไพสโตซีนเคยมีสภาพที่เปิดโล่ง ปัจจุบันตะกอนกลุ่มน้ีอยู่ใต้ผิวดินระดับลึกประมาณ
10-20 เมตรจากระดับนา้ ทะเลโดยถูกปดิ ทบั ด้วยตะกอนสมัยโฮโลซนี
ตะกอนสมัยปัจจุบัน (โฮโลซีน) ในบริเวณชายฝ่ังทะเลภาคกลางเป็นตะกอนท่ีได้รับอิทธิพลจากการขึ้นลง
ของนา้ ทะเลเป็นหลักหรือในสภาพแวดล้อมแบบทล่ี มุ่ ราบน้าขึ้นถึง (Tidal flat) ท้าให้เกดิ ตะกอนทแ่ี ผก่ ว้างออกไป
เรื่อยๆ การตกสะสมตัวของตะกอนมีท้ังในแนวดิ่ง และแนวราบ ตะกอนท่ีทับถมกันเป็นตะกอนขนาดดินเคล์
ทรายแป้ง มีสีเทา สีเทาเขียว เนื้อนุ่ม และเนียน บางแห่งพบซากพืชผุ ชั้นพีท (Peat) และเปลือกหอยปะปนด้วย
ตะกอนกลุ่มน้ีเรียกว่าดินเคลย์ทะเล (Marine clay) ในแผนท่ีธรณีวิทยาประเทศไทย มาตราส่วน 1:1,000,000
พ.ศ. 2542 ใช้สัญลักษณ์เป็น Qmc (Q = Quaternary, mc = marine clay) บางครั้งเรียกดินเคลย์กรุงเทพฯ
(Bangkok clay) (ภาพ 3.8) ส้าหรับบริเวณปากแม่น้ายังมีตะกอนท่ีเกิดจากการท่ีน้าในแม่น้าสายหลักไหลลงมา
ปะทะกับน้าทะเลส่งผลให้ความเร็วของกระแสน้าลดลง เช่น ท่ีปากแม่น้าเจ้าพระยาซึ่งมักเรียกตะกอนท่ีเกิดขึ้น
บรเิ วณนว้ี า่ ดนิ ดอนสามเหลย่ี มปากแม่น้าเจา้ ะพระยา อยา่ งไรก็ตามตะกอนทะเลเหลา่ นี้ต่างก็ถูกตะกอน (ทีไ่ หลมา
กับน้าจืด) ชนิดเคลย์ที่เกิดจากการผุพังของดินเคลย์ทะเลเดิม และดินเคลย์ปนทราย รวมท้ังทรายแป้งที่เกิดจาก
กระแสน้าหลากของแมน่ า้ ในปัจจบุ ันไหลมาปิดทับอยตู่ อนบนสุด หนาประมาณ 2-4 เมตร ตะกอนกลุม่ นี้มสี นี า้ ตาล
ออ่ น มจี ุดประสเี หลืองฟางขา้ ว มสี ภาพเป็นกรด หรือทีเ่ รียกกันว่าดนิ เปรีย้ ว
15
ธรณีวิทยาของอ่าวไทยและอนั ดามัน รศ. ดร. เสรีวัฒน์ สมินทร์ปัญญา
ภาพ 3.8 แผนท่ธี รณีวิทยาภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ของไทย มาตราสว่ น 1:1,000,000 (กรม
ทรพั ยากรธรณี, 2542)
2) ชายฝั่งอ่าวไทยภาคตะวันออก เริ่มตั้งแต่ปากแม่น้าบางปะกงจังหวัดฉะเชงิ เทรา ต่อลงมาตามชายฝัง่ ของ
จังหวดั ชลบรุ ี ระยอง จันทบุรี และตราด (สิ้นสุดทอี่ า้ เภอคลองใหญ่) ชายฝ่งั บริเวณน้ีสว่ นใหญ่ประกอบด้วย ชายฝง่ั
หน้าผา (Cliff coast) สลบั กับหาดสันดอนขนาดเล็ก เช่น ในเขตอา้ เภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี นอกจากน้ันยังพบ
ทลี่ ่มุ ราบนา้ ขึน้ ถงึ (Tidal flat) และท่ลี ุ่มน้าขังป่าชายเลนในบรเิ วณปากแม่น้าสายใหญ่ๆ เชน่ ปากแม่นา้ บางปะกง
ปากแม่น้าประแสร์ ปากแม่น้าจันทบุรี ปากแม่น้าเวฬุ และปากแม่น้าตราด ซึ่งปากแม่น้าเหล่านี้บางแห่ง
16
ธรณีวทิ ยาของอ่าวไทยและอันดามัน รศ. ดร. เสรีวัฒน์ สมินทร์ปัญญา
เป็นชะวากทะเล (Estuary) บริเวณนอกชายฝ่ังยังพบเกาะต่างๆ เช่น เกาะสีชัง เกาะไผ่ เกาะล้าน เกาะครามใหญ่
เกาะแสมสาร เกาะจวง เกาะเสม็ด เกาะมันใน เกาะช้าง เกาะหมาก และเกาะกูด ชายหาดมีท้ังท่ีเป็นหาดโคลน
(Muddy shore) เชน่ แนวตอนบนของจังหวัดชลบรุ ีซ่ึงเป็นทีล่ ุ่มราบน้าข้ึนถึง หรือตะกอนชายฝั่งทะเลโดยอิทธิพล
ของน้าขึ้นน้าลงบริเวณปากแม่น้าบางปะกงต่อเนื่องลงถึงสะพานชลมารควิถีโดยประมาณ หาดทราย (Sandy
shore) ซ่ึงพบบรเิ วณแหลง่ ท่องเที่ยวสว่ นใหญ่ เช่น ที่บางแสน พัทยา และอีกหลายแหง่ ของจังหวกั ระยอง จันทบรุ ี
และตราด และหาดหิน (Rocky shore) เช่น ที่เขาสามมุขจังหวัดชลบุรี อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้าจังหวัด
ระยอง ลักษณะทางธรณีสัณฐานวิทยาท่ีน่าสนใจอ่ืนๆ เช่น อ่าวพัทยา อ่าวคุ้งกระเบนซ่ึงมีสันดอนเช่ือมเกาะ
(Tombolo) ช่วยปิดปากอ่าว (ภาพ 3.9) นอกจากนั้นยังมีแนวรอยเล่ือนวางตัวแนวทิศตะวันตกเฉียงเหนือ-
ตะวันออกเฉียงใตต้ ดั ผ่านบรเิ วณชายฝ่ังบริเวณนี้ดว้ ย จากหลกั ฐานทางธรณีวทิ ยาบ่งบอกวา่ เม่ือประมาณ 6,000 ปี
ท่ีผ่านมาน้าทะเลเคยท่วมเข้าไปในชายฝั่งไกลท่ีสุด 3-5 กิโลเมตรจากแนวชายฝั่งปัจจุบัน จากน้ันน้าทะเลได้
ลดระดับลงเรื่อยๆ จนถงึ ปจั จุบนั
ลักษณะทางธรณีวิทยาของชายฝ่ังทะเลอ่าวไทยภาคตะวันออก ประกอบด้วย ตะกอนชายฝ่ังทะเล โดย
อิทธิพลของคล่ืน (Coastal wave-dominated deposits) ซึ่งในแผนท่ีธรณีวิทยาประเทศไทย มาตราส่วน
1:1,000,000 ใหส้ ญั ลกั ษณเ์ ปน็ Qms , (กรมทรัพยากรธรณี, 2542) และตะกอนชายฝ่ังทะเลโดยอิทธิพลของน้าข้ึน
น้าลง (Coastal tide-dominated deposits) เป็นส่วนใหญ่ รองลงไปได้แก่ ตะกอนท่ีราบน้าท่วมถึง (Flood
plain deposits, Qa) ตะกอนหินท่ีผุอยู่กับที่ (Residual deposits) ตะกอนเศษหินเชิงเขา (Colluvial deposits,
Qc) ซง่ึ ตะกอนเหล่านี้มอี ายุในมหายคุ ซีโนโซอิก นอกจากนนั้ ยงั พบหินแข็ง (Rocks) หลายชนดิ
2.1) ตะกอนชายฝ่ังทะเลโดยอิทธิพลของคลื่น (Qms) พืน้ ทชี่ ายฝ่ังทะเลภาคตะวันออกส่วนใหญ่ถูกทับถม
ด้วยตะกอนชายฝั่งทะเลโดยอิทธิพลของคล่ืน เช่น บริเวณจังหวัดชลบุรี และระยอง ซึ่งมีสัณฐานแบบชายฝั่ง
หน้าผา สลับกับหาดสันดอน สันทราย และเนินทราย เช่น บริเวณอ้าเภอบางละมุง อ่าวพัทยา หาดแม่ร้าพึง
หาดสวนสน หาดแหลมแม่พิมพ์ เป็นต้น ตะกอนประกอบด้วยชั้นทรายร่วนของหาดสันดอน สันทราย
และเนินทราย เป็นส่วนใหญ่ มักพบเศษเปลือกหอยปะปน สันทรายและเนินทรายบางแห่งเช่นท่ีจังหวัดระยอง
มีเปอร์เซ็นต์ของสารซิลิกาสูงจึงเรียกว่าทรายแก้วซึ่งสามารถน้าไปใช้ในอุตสาหกรรมได้ ในส่วนที่เป็นลากูน
(Lagoon) อาจพบซากพืชผุพังปะปนในช้ันทรายด้วย ตะกอนชุดนี้ถูกคลื่นทะเลพัดพามาสะสมในสมัยโฮโลซีน
ตอนต้น และถอยออกไปในสมัยโฮโลซีนตอนกลางถึงปัจจุบัน ช้ันตะกอนวางตัวอยู่บนตะกอนท่ีราบน้าท่วมถึงที่มี
อายุแก่กวา่
2.2) ตะกอนชายฝงั่ ทะเลโดยอทิ ธิพลของน้าข้นึ น้าลง (Qmc) พบในบรเิ วณทร่ี าบนา้ ทะเลข้นึ ถึง ปากแม่นา้
ชะวากทะเล และท่ีลุ่มน้าขัง และป่าชายเลน ของจังหวัดชลบุรี จันทบุรี และตราด ตะกอนประกอบด้วยช้ันเคลย์
(ดนิ เหนียว) ทะเลเนอ้ื นม่ิ และช้ันดนิ เคลยส์ ลบั ทรายแปง้ ทรายละเอียด พบซากพืชและเปลือกหอยปะปนอยู่ท่ัวไป
ชน้ั ตะกอนนป้ี ดิ ทับอยูบ่ นตะกอนทม่ี ีอายุแก่กว่า
2.3) ตะกอนท่ีราบน้าท่วมถึง (Qff) โดยท่ัวไปพบบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้าสายต่างๆ ท่ีไหลจากเทือกเขา
ทางทิศตอนเหนือลงสู่ชายฝั่งทะเลทางตอนใต้ ชั้นตะกอนประกอบด้วย กรวด ทราย สลับกับช้ันทรายและเอียด
ทรายแป้ง ปนดินเคลย์ ตะกอนเหล่านี้เกิดจากทางน้าพัดพามาตกทับถมกันซ่ึงลักษณะตะกอนย่อมสัมพันธ์
กับหนิ ต้นก้าเนิดบรเิ วณตน้ นา้ ตะกอนชดุ นี้สว่ นใหญ่รองรับอยใู่ ต้ตะกอนทีม่ ีอายุออ่ นกวา่ (ข้อ 2.1) และ ขอ้ 2.2))
2.4) ตะกอนเศษหินเชิงเขา ตะกอนหินที่ผุอยู่กับที่ แม่รัง และเศษหิน (Qc) พบบริเวณหน้าผาริมทะเล
ตะกอนประกอบด้วย ชั้นกรวดและทราย ปนดินเคลย์ ปิดทับอยู่บนหินอัคนี ช้ันทรายแป้งปนทราย ปิดทับบนหิน
แปรหรือหินชั้น เม็ดตะกอนมีรูปร่างค่อนข้างเหล่ียม อาจพบช้ันแม่รังแทรกระหว่างชั้น การเกิดตะกอนเหล่านี้
ได้รับอิทธิพลของคลื่นทะเลกัดกร่อนในช่วงปลายสมัยไพลสโตซีนถึงโฮโลซีนตอนต้น รวมท้ังตะกอนท่ีเกิด
17
ธรณีวทิ ยาของอ่าวไทยและอันดามัน รศ. ดร. เสรีวัฒน์ สมนิ ทร์ปัญญา
จากหินแข็งผุพังแลว้ ร่วงหล่นเคลือ่ นตัวด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกและน้าผิวดิน ไปสะสมบริเวณเชงิ เขาต่างๆ ปิดทับ
บนหินแข็งหรือตะกอนหินผุอยูก่ ับที่
2.5) หินแข็ง หินในมหายุคพรีแคมเบรียน (PЄ) มีอายุเก่าแก่ที่สุดพบบริเวณจังหวัดระยองซึ่งโผล่ใหเ้ ห็น
บริเวณชายฝั่งทะเลที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า และบริเวณเกาะเสม็ด เกาะกุฎี และเกาะอื่นในบริเวณ
ใกล้เคียง ลักษณะของหินเป็นประเภทหินแปร ชนิดหินไนส์ หินชีสต์ หินแอมฟิโบไลต์ชีสต์ หินควอร์ตไซต์
หินแคล์ก-ซลิ ิเกต หนิ อ่อน และหินไบโอไทต์มาร์เบิล หนิ ในกลมุ่ นีเ้ รยี กอีกอย่างหน่ึงว่า หินไนสล์ านสาง
หินในมหายุคพาลีโอโซอิก เช่น หินในยุคไซลูเลียน-ดีโวเนียน (SD) พบบ้างเล็กน้อยโผล่ให้เห็น
บรเิ วณชายฝัง่ ทางตอนใต้ เช่น บริเวณแหลมตาล เกาะมนั ใน เกาะมนั กลาง และเกาะมนั นอก เป็นต้น ลักษณะของ
หินเปน็ ประเภทหนิ แปร ชนดิ หนิ ฟิลไลต์ หนิ ฟิลไลตเ์ นือ้ คาร์บอน และหินฟลิ ไลตเ์ นื้อควอตซ์
หินยุคคาร์บอนิเฟอรัส-เพอร์เมียน (CP) พบโผล่ให้เห็นอย่างโดดเด่นทางตะวันตกของชายฝ่ังภาค
ตะวันออกของไทย ตั้งแต่ในเขตอ้าเภอศรีราชา ลงมาถึงอ้าเภอสัตหีบ รวมท้ังบริเวณเกาะต่างๆ ได้แก่ เกาะสีชัง
เกาะไผ่ เกาะล้าน เกาะคราม เกาะแสมสาร เกาะจวง และเกาะอ่ืนๆ ในเขตเดียวกัน ลักษณะของหินเป็นประเภท
หินตะกอน ชนดิ หนิ ทราย หนิ ปูนเนอ้ื ดิน หนิ ดนิ ดาน และหินเชริ ต์
หินในมหายุคมีโซโซอิก พบอยู่ทางทิศตะวันออกของชายฝั่งและเกาะทางด้านใต้ของพ้ืนที่ พบหิน
อัคนีพุหรือหินภูเขาไฟบริเวณเกาะช้างมีอายุอยู่ในยุคเพอร์เมียน-ไทรแอสซิก (TR v) ซึ่งประกอบด้วยหินไรโอไลต์
หนิ แอนดีไซต์ หินเถา้ ธุลีภเู ขาไฟหลาก หนิ กรวดเหลี่ยมภเู ขาไฟ หนิ ทฟั ฟเ์ นอ้ื ไรโอไลต์ และหนิ ทฟั ฟเ์ น้ือแอนดีไซต์
หินอัคนีระดับลึกชนิดแกรนิตอายุไทรแอสซิก (TR gr) ส่วนใหญ่พบห่างจากฝั่งทะเลไปในแผ่นดิน
แต่ท่ีโผล่ให้เห็นใกล้ชายฝ่ัง เช่น ท่ีเขาบางทราย อ่างศิลา แหลมแท่น จังหวัดชลบุรี บ้านฉาง จังหวัดระยอง
และอทุ ยานแห่งชาติน้าตกพลิว้ จังหวดั จนั ทบุรี
นอกจากนั้น ยังพบหินที่เทียบเคียงได้กับกลุ่มหินโคราชเฉพาะช่วงท่ีเกิดในยุคจูแรสซิก-ครีเทเชียส
(JK รวมท้ัง JKpw และ Jpk) ซ่ึงเป็นหินทราย หินกรวดมน หินทรายแป้ง และหินเคลย์ (หินโคลน) พบท่ี แนวเขา
ปากอ่าวและโดยรอบอ่าวคุ้งกระเบน (เช่น หาดคุ้งวิมาน เนินนางพญา และแหลมเสด็จ) จังหวัดจันทบุรี บริเวณ
เกาะกูด และบรเิ วณชายแดนไทย-กัมพูชา ในเขตอา้ เภอคลองใหญ่จงั หวดั ตราด เป็นตน้
หินในมหายุคซีโนโซอิก นอกจากเป็นพวกตะกอนต่างๆ ดังได้กล่าวไปแล้ว ยังพบหินอัคนีชนิดบะ
ซอลต์ (bs) ยุคควอเทอร์นารี ที่ให้แร่อัญมณีคอรันดัม (ทับทิม และแซปไฟร์) นิล (Spinel and Pyroxene)
การเ์ นต (โกเมน) และเพทาย พบในเขตอ้าเภอทา่ ใหม่ อา้ เภอขลงุ จงั หวัดจันทบรุ ี และลกึ เขา้ ไปในแผน่ ดนิ ทอี่ ้าเภอ
บ่อไร่ จังหวัดตราด (Saminpanya, 2000; Saminpanya, 2001; Saminpanya, et. al., 2003; Saminpanya
and Sutherland, 2011)
18
ธรณีวทิ ยาของอ่าวไทยและอันดามัน รศ. ดร. เสรีวัฒน์ สมินทร์ปัญญา
อา่ วคุ้งกระเบน
สนั ดอนเชื่อมเกาะ
ภาพ 3.9 ชายฝัง่ ทะเลภาคตะวนั ออก และอ่าวคงุ้ กระเบน (Google.com/maps, 2020)
3) ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยภาคใต้ เริ่มต้ังแต่จังหวัดเพชรบุรีต่อเน่ืองลงมาทางใต้เป็นจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ชมุ พร สรุ าษฎรธ์ านี นครศรีธรรมราช สงขลา ปตั ตานี และสุดชายแดนไทย-มาเลเซียที่จังหวัดนราธวิ าส มลี กั ษณะ
ทางธรณีสัณฐานเป็น 1) ชุดสันทรายขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก 2) พ้ืนที่ราบลุ่มน้าขังถึงและดินดอนสามเหลี่ยม
ปากแม่น้า บริเวณจังหวัดเพชรบุรี สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช 3) พื้นท่ีชายฝ่ังหน้าผาสลับอ่าวขนาดเล็ก
ที่ประกอบด้วยสันทรายขนาดเล็กสลับกับลากูน (Lagoon) พบบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร
และ 4) เกาะต่างๆ ในเขตจังหวัดชุมพร และสุราษฎร์ธานี เกาะส้าคัญ เช่น เกาะสมุย เกาะพงัน หมู่เกาะอ่างทอง
เกาะเตา่ เป็นต้น (ภาพ 3.10)
19
ธรณีวทิ ยาของอ่าวไทยและอันดามัน รศ. ดร. เสรีวัฒน์ สมินทร์ปัญญา
สนั ดอนจะงอย สนั ดอนจะงอย
สันดอนปากอ่าว
สันดอนจะงอย
ภาพ 3.10 สันทรายขนาดใหญ่ที่เกิดจากกระแสน้าและคล่ืนพัดพาเอาทรายมาตกทับถมมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป
ตามลักษณะรูปร่าง เช่น สันดอนจะงอย (Hook spit or curved spit) และ สันดอนปากอ่าว (Baymouth bar)
(Google.com/maps, 2020)
พื้นที่ตอนกลางของภาคใต้เป็นภูเขาดังน้ันตะกอนท่ีสะสมตัวกันโดยทั่วไปเกิดจากกระบวนการทางน้าบน
แผ่นดินกับตะกอนที่สะสมตัวโดยน้าทะเล โดยตะกอนบนบกท่ีได้รับอิทธิพลจากแรงโนม้ ถ่วงของโลกหรือน้าผิวดิน
จะไหลมาสะสมตัวอยู่ระหว่างหินแข็งกับตะกอนยุคควอเทอร์นารีชายฝั่ง (เช่น นิรันดร์ ชัยมณี และคณะ, 2529;
สมชาย นาคะผดุงรัตน์ และคณะ, 2531; เลิศสิน รักษาสกุลวงศ์ และคณะ, 2532) ในยุคควอเทอร์นารี
มีกระบวนการกร่อน (Erosion) การน้าพา (Transportation) และการทับถม (Deposition) ของตะกอนเกิดข้ึน
อย่างต่อเน่ืองในบริเวณชายฝ่ังทะเลภาคใต้ อากาศของโลกในปลายสมัยไพลสโตซีนถึงต้นสมัยโฮโลซีนร้อนขึ้น
ท้าให้น้าแข็งขั้วโลกละลายส่งผลให้น้าทะเลสูงข้ึนและรุกเข้ามาในแผ่นดินสูงประมาณ 5 เมตรจากระดับน้าทะเล
ปัจจุบัน ในช่วง 13,000-7,900 ปีกอ่ นปจั จบุ นั (Sinsakul, 1992) ต่อมาเมื่อประมาณ 5,000 ปที แ่ี ลว้ น้าทะเลไดร้ ุก
เข้ามาตลอดแนวในชายฝั่งถึงประมาณ 40 กิโลเมตรห่างจากแนวน้าทะเลปัจจุบัน จากน้ันก็ถอยร่นออกไปเรื่อย ๆ
จนถึงระดับที่เห็นในปัจจุบัน (Chaimanee, 1987) ในช่วงท่ีน้าทะเลท่วมถึงได้มีการสะสมตัวของตะกอนทะเล
ดังทพ่ี บเหน็ อยู่
20
ธรณีวิทยาของอ่าวไทยและอันดามัน รศ. ดร. เสรีวฒั น์ สมินทร์ปัญญา
องค์ประกอบทางธรณีวิทยาบริเวณชายฝั่งส่วนใหญ่เป็น ตะกอนท่ีสะสมตัวโดยน้าทะเล (ได้แก่ ตะกอน
ชายฝั่งทะเลโดยอิทธิพลของคล่ืน และตะกอนชายฝ่ังทะเลโดยอิทธิพลของน้าขึ้นน้าลง) รองลงไปเป็นตะกอน
ท่ีสะสมตัวกันบนบก (ได้แก่ ตะกอนเศษหินเชิงเขา ตะกอนตะพักล้าน้า และตะกอนน้าพา) ตะกอนเหล่านี้มีอายุ
ในมหายคุ ซโี นโซอกิ และหินแข็งในมหายุคอืน่
3.1) ตะกอนชายฝ่ังทะเลโดยอิทธิพลของคล่ืน (Qms) คลื่นและกระแสน้าทะเลท่ีเคล่ือนตัวเข้าหาแผ่นดิน
ตา่ งก็นา้ พาเอาตะกอนมาสะสมตวั กันเป็นสันทรายแบบต่างๆ พบหลายบริเวณ เชน่ จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ ชมุ พร
ชายฝ่ังหน้าผาสลับหาดสันดอนบริเวณสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช สันทรายและชายหาดขนาดใหญ่จังหวัด
สงขลา ปตั ตานี และนราธิวาส (ภาพ 3.8) ยังพบสันทรายขนาดเล็กเช่ือมเกาะหรือสนั ดอนเชื่อมเกาะ (Tombolo)
ซึ่งโผล่พ้นน้าช่วงเวลาน้าลงและเรียกโดยท่ัวไปว่า ทะเลแหวก เช่น ทะเลแหวกบางสะพาน ทะเลแหวกเกาะม้า-
พงัน เป็นต้น ตะกอนประกอบด้วย ช้ันทรายร่วนเป็นส่วนมาก มักพบเศษเปลือกหอยปน นอกจากนั้นยังพบพืชผุ
ปะปนในตะกอนทรายในลากูนที่อยู่หลังสันดอนหรืออยู่ระหว่างสันทราย บางบริเวณพบพรุขนาดใหญ่เกิดอยู่ใน
ท่ีลุ่มหลังหาดซ่ึงมีชน้ั พีตหนากวา่ 5 เมตร เชน่ ในเขตจังหวัดปตั ตานี และนราธวิ าส ชั้นทรายบริเวณสันทรายขนาด
ใหญ่อาจหนากว่า 4 เมตร และบางแห่งเป็นทรายแก้ว (Silica sand) ตะกอนชุดนี้สะสมตัวกันเมื่อน้าทะเลรุกเข้า
มาบนแผ่นดินสมัยโฮโลซีนตอนต้นและถอยออกไปสมัยโฮโลซีนตอนกลางถึงปัจจุบัน ตะกอนชุดนี้วางตัวอยู่บน
ตะกอนทีส่ ะสมตวั บนบกอายไุ พลสโตซีน
3.2) ตะกอนชายฝั่งทะเลโดยอิทธิพลของน้าข้ึนน้าลง (Qmc) ตะกอนชุดน้ีพบสะสมกันบริเวณที่ราบลุ่มราบ
น้าข้ึนถึง และดินดอนสามเหล่ยี มปากแม่น้าของจงั หวดั เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ประกอบด้วย
ตะกอนดินเคลย์ทะเลเนื้อน่ิม และช้ันดินเคลย์สลับทรายแป้ง พบเปลือกหอยและซากพืชปะปนอยู่ท่ัวไป
บางบริเวณพบแนวสันทรายขนาดเล็กท่ีมีซากเปลือกหอยปนมากแทรกสลับหรือปิดทับอยู่บนชั้นตะกอนดินเคลย์
ทะเล ซ่งึ บ่งบอกวา่ ได้รบั อทิ ธิพลจากน้าข้นึ น้าลงในขณะท่ีน้าทะเลถอยรน่ ออกไป ตะกอนชดุ นี้วางตัวอยู่บนตะกอน
ทส่ี ะสมตวั บนบก
3.3) ตะกอนเศษหินเชิงผา (Colluvial deposits, Qc) เป็นตะกอนท่ีเกิดจากการผุพังอยู่กับที่ของหินแข็ง
และตะกอนที่สะสมตัวตามเชิงเขา พบตามเชิงเขาทั้งบนชายฝ่ังและตามเกาะต่างๆ ลักษณะตะกอนประกอบด้วย
ชนั้ ทรายทีม่ ดี นิ เคลย์ (ดินเหนียว) ปน ขน้ึ กบั องคป์ ระกอบของหินตน้ ก้าเนดิ เชน่ พบดินสแี ดงบริเวณใกลเ้ ขาหนิ ปูน
เรียกว่าดนิ แทรร์ ารอสซา (Terra rossa)
3.4) ตะกอนตะพักล้าน้า (Terrace deposits, Qt) พบในแอ่งสะสมตัวลุ่มน้าตาปี จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เกิดจากการสะสมตัวของตะกอนทางน้าในอดีต ปัจจุบันถูกยกตัวขึ้นในระดับความสูง 20 -40 เมตร
จากระดับน้าทะเล ตะกอนส่วนใหญ่ประกอบดว้ ยชนั้ กรวดทรายหยาบสลับกบั ชนั้ ทรายปนดินเคลย์
3.5) ตะกอนธารน้าพา (Fluvial deposits, Qa) พบบรเิ วณที่ราบลุ่มแมน่ า้ สายตา่ งๆ ทไ่ี หลมาจากเทอื กเขา
ทางตอนกลางของพื้นที่ลงสู่อ่าวไทยทางทิศตะวันออก ตะกอนประกอบด้วยช้ันกรวด ทราย สลับกับชั้นทราย
ละเอียด หรือทรายแป้งปนดนิ เคลย์
3.6) หินแข็ง บริเวณชายฝ่ังทะเลอ่าวไทยภาคใต้ พบหินท่ีมีอายุแก่ท่ีสุดจนถึงอ่อนท่ีสุดที่ส้าคัญเรียง
ตามล้าดับได้ ดงั ตอ่ ไปนี้
หินมหายคุ พรีแคมเบรียน (PЄ) ประกอบด้วยหินประเภทหินแปรท่ีผา่ นการแปรสภาพรุนแรง เชน่
หินแอมฟโิ บไลต์ หินชีสต์ หนิ ไนส์ หินอ่อน หินแคลก์ซลิ ิเกต และหินไนสร์ ูปตา พบมากบรเิ วณเทือกเขาดาดฟา้
เขาเพชร เขาพรา้ ว และเขาไผด่ ้า ในเขตอา้ เภอสิชลและอ้าเภอขนอม จงั หวัดนครศรธี รรมราช นอกจากนัน้ ยังพบ
บรเิ วณชายฝ่งั ระหว่างอา้ เภอหวั หินกบั อ้าเภอปราณบุรี จงั หวัดประจวบครี ีขนั ธ์
21
ธรณีวทิ ยาของอ่าวไทยและอนั ดามัน รศ. ดร. เสรีวฒั น์ สมินทร์ปัญญา
หนิ มหายุคพาลโี อโซอิกตอนล่าง ไดแ้ ก่
หนิ ยุคแคมเบรียน (Є) ซงึ่ เป็นหินควอรต์ ไซต์ หินทรายเป็นช้นั และหินดินดานเนอื้ ปูน พบโผล่ให้เห็น
เลก็ นอ้ ย เช่น ท่ีอา้ เภอปราณบรุ ี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และอ้าเภอขนอม จงั หวัดนครศรธี รรมราช
หินยุคออร์โดวิเชียน (O) หรือกลุ่มหินทุ่งสง เป็นหินปูนเนื้อดิน หินปูนสีเทาและสีชมพู หินปูนเนื้อ
โดโลไมต์ และหินอ่อน มีช้ันหินดินดานเน้ือปูน และหินดินดานเนื้อทรายแทรกสลับ แถบชายฝ่ังอ่าวไทยพบมาก
ในเขตอ้าเภอขนอม และอ้าเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช พบซากดึกด้าบรรพ์ เช่น ฟองน้า นอติลอยด์
แกสโทรพอด และแบรคิโอพอด ที่เขาไชยสนในเขตอ้าเภอขนอม
(หมายเหตุ ลักษณะของซากดึกดา้ บรรพช์ นดิ ตา่ งๆ สามารถคน้ ควา้ ไดจ้ าก Internet)
หินยุคไซลูเลียน-ดีโวเนียน (SDCtp) หรือกลุ่มหินทองผาภูมิ พบน้อยมากในเขตชายฝั่งทะเลอ่าวไทย
ของภาคใต้ โดยพบทางเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะสมุย และเกาะแตน ประกอบด้วยดินมาร์ลเน้ือทราย
หินดินดานสีด้า หินเชิร์ต หินทรายแป้งปนปูนสีเทาเข้ม หินปูนชั้นบางและเป็นก้อน บางแห่งพบซากดึกด้าบรรพ์
ของแกรปโตไลต์ แทนทาคไู ลต์ นอตลิ อยด์ ไทรโลไบต์ และแบรคโิ อพอด
หินมหายคุ พาลโี อโซอิกตอนบน ประกอบดว้ ย
หินยุคคาร์บอนิเฟอรัส (Cy) ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหินดินดานปนซิลิกา หินเชิร์ต หินดินดาน
หินดินดานสีเทาแกมเขียว หินทราย และหินกรวดมน พบโผล่ให้เห็นมากบริเวณอ้าเภอปากพยูน จังหวัดพัทลุง
(เกาะหมาก เกาะนางคา้ ) เกาะยอและชายฝั่งจังหวดั สงขลา และอา้ เภอหนองจกิ จงั หวดั ปตั ตานี
หินยุคคารบ์ อนิเฟอรัส-เพอรเ์ มียน (CPk รวมทัง้ CPk-1 และ CPk-2) หรือกลุ่มหินแก่งกระจาน
ประกอบดว้ ยหนิ ดินดานมีหนิ ทรายและหินทรายแป้งแทรก หินดินดานสลบั ชนั้ กับหินทราย หนิ โคลน หนิ ทรายเนือ้
เฟลด์สปาร์ หินทรายปนทัฟฟ์ หินทรายเนอื้ ควอตซ์ หนิ ดนิ ดานปนกรวด และหนิ โคลนปนกรวด สีเทาเขม้ สีเทาแกม
เขียว สีน้าตาล อาจพบซากดกึ ดา้ บรรพ์แบรคโิ อพอด หนิ ยคุ น้ีพบแผ่กระจายเป็นพ้นื ที่เล็กๆ ทั่วไปบรเิ วณชายฝง่ั
เช่น ทางทศิ เหนือของหาดชะอ้า ทางทิศเหนือของอ้าเภอเมืองประจวบคีรีขนั ธ์ ในเขตอา้ เภอบางสะพานและอา้ เภอ
หลังสวน จงั หวัดชมุ พร เกาะพะลวย เกาะส้ม เกาะเชอื ก เกาะตะเภา ชายฝ่งั อา้ เภอดอนสกั จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี
และชายฝัง่ อา้ เภอสิชล จงั หวดั นครศรีธรรมราช
หนิ ยคุ เพอรเ์ มียน (Pr) หรือกลมุ่ หนิ ราชบรุ ี ประกอบดว้ ยหินปูน หินปนู เนอ้ื โดโลไมต์ มหี ินเชิร์ต
เปน็ โนดลู ล์ (กอ้ นทรงมน) และเป็นชนั้ หินโดโลไมต์ พบซากดกึ ด้าบรรพเ์ ป็นจ้านวนมาก เช่น ไครนอยด์ (พลับพลึง
ทะเล) ปะการงั ฟิวซลู นิ ดิ เปน็ ต้น หนิ ปนู ยคุ เพอร์เมียนบริเวณชายฝง่ั ทะเลอา่ วไทยมักพบเปน็ เขาโดด
(Monadnock) เช่นที่ อ้าเภอเมือง และอา้ เภอชะอ้า จังหวดั เพชรบุรี ทางทิศเหนือของอ้าเภอกุยบุรี และอา้ เภอ
เมือง จังหวัดประจวบครี ีขนั ธ์ อา้ เภอปะทิว อ้าเภอหลงั สวน จังหวดั ชมุ พร เกาะอา่ งทอง ทางตะวนั ออกของเกาะ
พะลวย อ้าเภอไชยา อา้ เภอกาญจนดษิ ฐ์ อ้าเภอดอนสัก จงั หวดั สุราษฎร์ธานี
หนิ มหายุคมโี ซโซอิก
หินยุคไทรแอสซิก (TRl) หรือกลุ่มหินล้าปาง ประกอบด้วยหินโคลน หินปูน หินทราย หินทราย
แป้ง หินกรวดมน และพบหอยสองฝา สกุล Halobia, Daonella, และ Claraia บริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย
ภาคใต้พบทอ่ี ้าเภอเทพา จงั หวัดสงขลา
หินยุคจูแรสซิก-ครีเทเชียส (JK รวมท้ัง JKl) ประกอบด้วย หินอาร์โคสสีขาว หินกรวดมน
หนิ ดินดานแทรกสลับ ในหมวดหนิ ลา้ ทบั (JKl) อาจพบหนิ โคลน หนิ ทรายแปง้ และซากดึกด้าบรรพ์หอยสองฝาน้า
จืดและน้ากร่อย หินยุคน้ีพบบริเวณวนอุทยานแม่ร้าพึง เกาะทะลุ อ้าเภอบางสะพาน อ้าเภอปะทิว อ้าเภอเมือง
อา้ เภอหลงั สวน และอ้าเภอละแม จังหวัดชมุ พร อ้าเภอท่าชนะ และอา้ เภอไชยา จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี
นอกจากน้ัน ยังพบหินอัคนีระดับลึกขนิดแกรนิตสองยุค ได้แก่ หินแกรนิตยุคครีเทเชียส (Kgr)
และหินแกรนิตยุคไทรแอสซิก (TRgr) หินแกรนิตยุคครีเทเชียสส่วนใหญ่พบทางเขาด้านตะวันตกของภาคใต้ มี
22
ธรณีวิทยาของอ่าวไทยและอนั ดามัน รศ. ดร. เสรีวฒั น์ สมนิ ทร์ปัญญา
บางสว่ นโผล่ให้เหน็ ใกลช้ ายฝงั่ ของอา้ เภอชะอา้ จงั หวัดเพชรบรุ ตี ่อลงมาจนถึงอา้ เภอหัวหิน จงั หวดั ประจวบคีรีขันธ์
ส้าหรับแกรนิตยุคไทรแอสซิก พบเป็นพื้นที่กว้างบริเวณเกาะเต่า เกาะสมุย ต่อเนื่องลงมาในเขตจังหวัด
นครศรีธรรมราช ส่วนที่พบเพียงพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น ชายหาดอ้าเภอเมืองสงขลา อ้าเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี
และอา้ เภอเมอื ง จงั หวดั นราธิวาส
3.3.2 ธรณวี ิทยาและธรณีสณั ฐาณวิทยาชายฝัง่ ทะเลอันดามนั ของไทย
ชายฝั่งทะเลอันดามันของไทยอยู่ในเขตจังหวัดระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล เป็นชายฝ่ัง
ท่ีมีธรณีสัณฐานเว้าแหว่ง มีหาดทรายที่ส้ันและค่อนข้างแคบ มีเกาะ/หมู่เกาะจ้านวนมาก เช่น หมู่เกาะสุรินทร์
หมู่เกาะสิมิลัน เกาะภูเก็ต เกาะยาวใหญ่ หมู่เกาะพีพี เกาะลันตา เกาะไหง เกาะมุก เกาะกระดาน เกาะลิบง
เกาะสกุ ร เกาะตะรเุ ตา เกาะระวี และเกาะอาดงั เปน็ ตน้ บรเิ วณนีม้ ที างนา้ ทไ่ี หลลงส่ทู ะเลตามเขตรอยเลื่อนส้าคัญ
สองเขต ได้แก่ แม่น้ากระบุรีไหลตามเขตรอยเล่ือนระนอง และคลองมะรุ่ยไหลตามเขตรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย
นอกจากนัน้ บรเิ วณอ่าวพังงายงั เป็นชะวากทะเลที่อยตู่ ามเขตรอยเลอ่ื นคลองมะรุ่ย
ส่วนประกอบทางธรณีวิทยาชายฝั่งทะเลอันดามันในด้าน ตะกอนอายุควอเทอร์นารีและหินแข็ง
ส่วนใหญ่คล้ายกับของทางชายฝ่ังทะเลอ่าวไทยภาคใต้ แต่มีรายละเอียดแตกต่างกันบ้าง ชายฝ่ังทะเลอันดามัน
มีลักษณะไม่ราบเรียบ ส่วนมากสั้นและแคบ ประกอบด้วยชายฝ่ังท่ีเป็นหิน ชายฝั่งหน้าผา หาดทราย และที่ลุ่ม
ราบน้าข้ึนถึง (Tidal flat) โดยเฉพาะตะกอนชายฝ่ังทะเลโดยอิทธิพลของคลื่น (Qms) ซึ่งประกอบด้วยทรายร่วน
บริเวณทรายหาดหรือสันทรายมีการสะสมตัวน้อยกว่าจึงได้ชายหาดแคบและสั้นกว่า ส่วนตะกอนชายฝ่ังทะเล
โดยอิทธิพลของน้าข้ึนน้าลง (Qmc) ซึ่งประกอบด้วยดินเคลย์ทะเลเนื้อนิ่ม และชั้นดินเคลย์สลับทรายแป้ง
พบเปลือกหอยและซากพืชปะปน ครอบคลุมพ้ืนท่ีมากกว่าโดยเฉพาะบริเวณปากแม่น้า/คลองต่างๆ และดิน
ดอนสามเหลยี่ มปากแมน่ ้า
1) ตะกอนชายฝ่ังทะเลโดยอิทธิพลของคลื่น (Qms) ตะกอน Qms ส่วนใหญ่เป็นทรายร่วน พบเป็นพื้นท่ี
ขนาดใหญ่บริเวณชายฝั่งตั้งแต่เขาหน้ายักษ์ จังหวัดพังงา ต่อเน่ืองลงมาทางทิศใต้จนถึงชายฝั่งทางตะวันตกของ
เกาะภูเก็ต บางบริเวณท่ีอยู่ในเขตของจังหวัดภูเก็ตถูกก้ันด้วยชายฝ่ังท่ีเป็นหน้าผาของภูเขา นอกจากน้ันยังพบ
ตะกอน Qms มากขึ้นทางตอนใต้ของพนื้ ที่ เชน่ บริเวณอทุ ยานแห่งชาตหิ าดเจ้าไหม หาดหยงหลิง ต่อเนอ่ื งลงมาถึง
แหลมตะเสะ จังหวัดตรัง ตะกอน Qms ที่สะสมตัวเป็นสันทรายท่ีเรียกว่า สันดอนเชื่อมเกาะ (Tombolo)
ขนาดเล็ก มองเห็นได้ในขณะท่ีน้าลงและเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น ทะเลแหวกหนวดมังกร อ้าเภอคุระบุรี
จงั หวัดพงั งา ทะเลแหวก อ่าวนาง จังหวดั กระบี่ สนั หลงั มงั กร (ทะเลแหวก) จงั หวดั สตลู เปน็ ต้น
2) ตะกอนชายฝั่งทะเลโดยอิทธิพลของน้าข้ึนน้าลง (Qmc) ตะกอน Qmc ส่วนใหญ่เห็นดินเคลย์
พบสะสมตัวเป็นพื้นท่ีกว้างโดยเฉพาะบริเวณปากแม่น้าและปากคลองต่างๆ ต้ังแต่ชายฝ่ังอ้าเภอเมืองจังหวัด
ระนอง ปากคลองอันดามัน และคลองกะเปอร์ ต่อเน่ืองลงมาถึงเกาะพระทอง และปากคลองเกาะเสม็ด จังหวัด
พังงา บริเวณปากคลองต่างๆ ที่ไหลลงอ่าวพังงาหรือชายฝั่งโดยรอบอ่าวพังงา เช่น บางส่วนของชายฝั่งทางทิศ
เหนือและตะวันออกของเกาะภูเก็ต นอกจากนั้นยังพบบริเวณชายฝั่งอ้าเภอเมืองจงั หวัดกระบี่ ตอนกลางของเกาะ
ลนั ตา ต่อเนือ่ งลงมาจนถึงสดุ เขตแดนไทย-มาเลเซยี ท่จี ังหวดั สตลู
3) ตะกอนธารน้าพา (Fluvial deposits, Qa) พบบริเวณท่ีราบลุ่มแม่น้าสายต่างๆ ท่ีน้าไหลมาจาก
เทอื กเขาทางตอนกลางของพน้ื ทีล่ งสู่ทะเลอนั ดามนั ทางทิศตะวนั ตก ตะกอนประกอบด้วยชัน้ กรวด ทราย สลบั กับ
ชั้นทรายละเอียด หรือทรายแป้งปนดินเคลย์ พบลึกเข้าไปในแผ่นดิน เช่น ในเขตอ้าเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา
เขตอ้าเภอเมอื งจงั หวดั ตรัง เปน็ ตน้ ตะกอนธารน้าพาทีว่ ตั ถุตน้ กา้ เนดิ เปน็ หนิ แกรนติ บริเวณนม้ี ักมีการสะสมของแร่
ดบี กุ ซึ่งพบในแหลง่ จงั หวดั ระนอง พังงา และภูเก็ต
4) ตะกอนเศษหินเชิงเขา ตะกอนหินที่ผุอยู่กับท่ี แม่รัง และเศษหิน (Qc) ตะกอนประกอบด้วย ช้ัน
กรวดและทราย ปนดินเคลย์ ปิดทับอยู่บนหินอัคนี ช้ันทรายแป้งปนทราย ปิดทับบนหินแปรหรือหินช้ัน เม็ด
23
ธรณีวิทยาของอ่าวไทยและอนั ดามัน รศ. ดร. เสรีวัฒน์ สมนิ ทร์ปัญญา
ตะกอนมีรูปร่างค่อนข้างเหล่ียม อาจพบช้ันแม่รังแทรกระหว่างชั้น การเกิดตะกอนเหล่าน้ีได้รับอิทธิพลของคลื่น
ทะเลกัดกร่อนในช่วงปลายสมัยไพลสโตซีนถึงโฮโลซีนตอนต้น รวมทั้งตะกอนท่ีเกิดจากหินแข็งผุพังแล้วร่วงหล่น
เคลื่อนตัวด้วยแรงโน้มถ่วงของโลกและน้าผิวดิน ไปสะสมบริเวณเชิงเขาต่างๆ ปิดทับบนหินแข็งหรือตะกอนหินผุ
อยู่กับที่ ส่วนใหญ่พบบริเวณหน้าผาริมทะเล และบริเวณต่อจากตะกอน Qmc ลึกเข้าไปในแผ่นดินเกือบตลอดแนว
ชายฝง่ั
5) หนิ แข็ง หินมหายุคพาลโี อโซอกิ ตอนล่าง ไดแ้ ก่
หินยุคแคมเบรียน (Єt) หรือเรียกว่ากลุ่มหินตะรุเตา ประกอบด้วย หินควอร์ตไซต์ หินทรายเป็นชัน้
และหินดินดานเน้ือปูน อาจพบซากดึกด้าบรรพ์ไทรโลไบต์ และแบรคิโอพอด พบโผล่ให้เห็นบริเวณตะวันตกของ
เกาะตะรุเตา จงั หวัดสตูล
หินยุคออร์โดวิเชียน (O) หรือกลุ่มหินทุ่งสง เป็นหินปูนเน้ือดิน หินปูนสีเทาและสีชมพู หินปูนเนื้อ
โดโลม์ และหินอ่อน มีช้ันหินดินดานเนื้อปูน และหินดินดานเนื้อทรายแทรกสลับ พบซากดึกด้าบรรพ์แกรปไลต์
พบทางตะวันออกของเกาะตะรุเตา แถบชายฝั่งทะเลอันดามันพบในเขต อ้าเภอละงู อ้าเภอทุ่งหว้า และท่ีแนว
ชายแดนไทย-มาเลเซียอ้าเภอเมืองจังหวดั สตลู
หนิ ยคุ ไซลูเลียน-ดโี วเนียน (SDCtp) หรือกลมุ่ หินทองผาภูมิ พบน้อยมากในเขตชายฝั่งทะเลอันดามัน
โดยพบในเขตอ้าเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล ประกอบด้วยดินมาร์ลเนื้อทราย หินดินดานสีด้า หินเชิร์ต หินทรายแป้ง
ปนปูนสีเทาเข้ม หินปูนชั้นบางและเป็นก้อน บางแห่งพบซากดึกด้าบรรพ์ของแกรปโตไลต์ แทนทาคูไลต์
นอติลอยด์ ไทรโลไบต์ และแบรคิโอพอด
หินมหายุคพาลีโอโซอกิ ตอนบน ประกอบด้วย
หินยุคคาร์บอนิเฟอรัส (Ck) หรือหมวดหินควนกลางประกอบด้วยหินดินดานสีน้าตาลถึงน้าตาล
แดงและสขี าวถงึ เทาอ่อน พบซากดกึ ด้าบรรพ์หอยสองฝา แบรคโิ อพอด และเศษของไทรโลไบต์ นอกจากนน้ั ยังพบ
หนิ ทราย หนิ ทรายแปง้ และหินเชิรต์ วางตัวดา้ นล่าง หนิ หมวดนี้โผล่ใหเ้ หน็ ในเขตอ้าเภอเมอื ง จงั หวดั สตูล
หินยุคคาร์บอนิเฟอรัส-เพอร์เมียน (CPk) หรือกลุ่มหินแก่งกระจาน ประกอบด้วยหินดินดานมี
หินทรายและหินทรายแป้งแทรก หินดินดานสลับช้ันกับหินทราย หินโคลน หินทรายเนื้อเฟลด์สปาร์ หินทราย
ปนทัฟฟ์ หินทรายเน้ือควอตซ์ หินดินดานปนกรวด และหินโคลนปนกรวด สีเทาเข้ม สีเทาแกมเขียว สีน้าตาล
พบแผ่กระจายอยู่จ้านวนมาก โดยเฉพาะบริเวณเกาะต่างๆ เช่น เกาะช้าง เกาะพะยาม เกาะก้าใหญ่ เกาะก้าหนยุ้
เกาะระ เกาะคอเขา เกาะลันตา และ เกาะลิบง เป็นต้น รวมทงั้ บนบก เชน่ ในเขตจงั หวดั พงั งา และกระบี่ เป็นตน้
หินยุคเพอร์เมียน (Pr) หรือกลุ่มหินราชบุรี ประกอบด้วยหินปูน หินปูนเนื้อโดโลไมต์ มีหินเชิร์ต
เป็นโนดูลล์ (ก้อนทรงมน) และเป็นชั้น หินโดโลไมต์ พบซากดึกด้าบรรพ์จ้านวนมาก เช่น ไครนอยด์ (พลับพลึง
ทะเล) ปะการัง ฟิวซูลินิด เป็นต้น หินปูนยุคเพอร์เมียนบริเวณชายฝ่ังทะเลอันดามันมักพบเป็นเขาโดด
(Monadnock) เช่นท่ีอ่าวพังงา ท่ีมีช่ือเสียงคือ เขาตะปู เขาพิงกัน เกาะ ปันหย๋ี บริเวณเกาะอ่ืนๆ เช่น เกาะพีพี
ดอน เกาะพีพีเล เกาะมุก เป็นต้น บนฝั่งพบมาก ในเขตอ้าเภอทับปุด จังงหวัดพังงา และอ้าเภออ่าวลึก
จังหวัดกระบี่
หนิ มหายุคมีโซโซอกิ
หินยุคจูแรสซิก-ครีเทเชียส (JKl) หรือเรียกว่า หมวดหินล้าทับ เป็นหินตะกอนชนิด หินทราย
หินโคลน หินทรายแป้ง สีน้าตาลแดง อาจพบหินกรวดมนแทรกสลับกับหินทราย พบซากดึกด้าบรรพ์หอยสองฝา
น้าจืดและน้ากร่อยหลายชนิด หินหมวดน้ีโผล่ให้เห็นเป็นบริเวณกว้างในชายฝั่งแถบนี้ เช่น ท่ีเกาะยาวใหญ่
ในเขตอ้าเภอกนั ตัง จงั หวดั ตรัง
24
ธรณีวิทยาของอ่าวไทยและอนั ดามัน รศ. ดร. เสรีวฒั น์ สมนิ ทร์ปัญญา
นอกจากน้ี ยงั พบหินอคั นีระดับลึกชนดิ แกรนิตยุคครเี ทเชียส (Kgr) โผลใ่ หเ้ ห็นท่ีเกาะสุรนิ ทร์ และ
พบทั่วไปในแผ่นดินบริเวณใกล้ชายฝั่งต่อจากตะกอน Qc ภุเขาหินแกรนิตวางตัวเป็นแนวยาวประมาณเหนือ-ใต้
ต้ังแต่อ้าเภอเมือง อ้าเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง ต่อลงไปถึงเกาะภูเก็ต หินแกรนิตเป็นแหล่งก้าเนิดแร่ดีบุกซึ่ง
เม่ือแกรนิตสลายตัวแล้วแร่ดบี ุกยงั คงทนและไหลไปสะสมอยใู่ นตะกอนท้งั บนบกและในทะเล
หินมหายุคซโี นโซอิก
หินยุคเทอร์เชียรี (Tkb) ท่ีครอบคลุมพื้นท่ีขนาดใหญ่ใกล้ชายฝ่ังทะเลอันดามันของไทย ท่ีส้าคัญ
คือบริเวณแอ่งกระบี่ และแหลมโพธิ์ จังหวัดกระบี่ ซึ่งประกอบด้วยหินกรวดมน หินทรายสีแดง และ
เทา หินดินดานปนทราย หินโคลน หินปูน และชั้นถ่านหิน ที่แหลมโพธิ์พบสุสานหอยน้าจืดท่ีมีอายุประมาณ
20-40 ล้านปีที่ผ่านมา (กรมทรัพยากรธรณี, 2550) ส้าหรับตะกอนยุคควอเทอร์นารีได้กล่าวไว้แล้วในหัวข้อ
1) – 4)
25
ธรณีวิทยาของอ่าวไทยและอันดามัน รศ. ดร. เสรีวฒั น์ สมนิ ทร์ปัญญา
เอกสารอา้ งองิ
กรมทรัพยากรธรณี, 2542. แผนทธ่ี รณีวิทยาประเทศไทย Geological Map of Thailand. มาตราสว่ น
1:1,000,000, กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ ม. กรุงเทพฯ.
กรมทรัพยากรธรณี, 2550. ธรณีวิทยาประเทศไทย Geology of Thailand. กรมทรัพยากรธรณี กระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม. พิมพ์ครง้ั ท่ี 2 ฉบบั ปรับปรุง กรงุ เทพฯ. 598 หน้า.
กรมทรัพยากรธรณี, 2553. สมดุ แผนที่ธรณีวิทยาประเทศไทย Geological Atlas of Thailand. มาตราสว่ น
1:1,000,000, กรมทรพั ยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ ม. กรุงเทพฯ. 68 หน้า.
นริ ันดร์ ชยั มณี, เสริมศกั ดิ์ ตยี พนั ธ์, นราเมศวร์ ธรี ะรงั สกิ ุล, 2529. ธรณีวิทยาควอเทอร์นารี ระวางอาเภอระโนด
และระวางอาเภอชะอวด, กองธรณวี ิทยา กรมทรพั ยากรธรณี, 46 หน้า.
ราชบณั ฑติ ยสถาน, 2544. พจนานุกรมศัพทธ์ รณีวทิ ยา ฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน. กรงุ เทพฯ: อรุณการพิมพ์, 374
หนา้ .
เลิศสนิ รักษาสกลุ วงศ์, นราเมศวร์ ธรี ะรงั สิกลุ , คมสัน ทันพิสทิ ธ์ิ, 2532. ธรณีวิทยาระวางอาเภอทงุ่ ใหญ่ ระวาง
บ้านทางหลวง และระวางบ้านเหนอื คลอง. รายงานการส้ารวจธรณีวทิ ยา กองธรณีวิทยา กรมทรัพยากรธรณี,
57 หนา้ .
สมชาย นาคะผดงุ รัตน์, นรรัตน์ บุญกนั ภัย, อภชิ าต จีนกุล, สุวัฒน์ ตยิ ะไพรตั น์, เดชา มณีนยั , 2531. ธรณีวทิ ยา
ระวางอาเภอสะบา้ ย้อย, รายงานการส้ารวจธรณวี ทิ ยา กองธรณีวทิ ยา กรมทรัพยากรธรณี, 47 หน้า.
เสรีวฒั น์ สมนิ ทรป์ ญั ญา, 2543. โลกและหนิ . กรงุ เทพฯ: สุวริ ิยาสาสน์ . 267 หนา้ .
Chaimanee, N., 1987. The transgression-regression event in Songkhla Lake Basin, Southern
Thailand. In: Wezel, F.W., Rau, J.L., eds., Progress in Quaternary Geology of East and
Southeast Asia, CCOP, Bangkok, Thailand, p. 141-167.
Chinbunchorn, N., Pradidtan, S., Sattayarak, N., 1989. Petroleum potential of Tertiary
intermontane basins in Thailand. In: Thanasuthipitak, T., Ounchanum, P., eds., Proceedings
of the International Symposium on the intermontane Basins, Geology and Resources,
Department of Geological Sciences, Chiang Mai University, Chiang Mai, Thailand, p. 29-42.
Google.com/maps, 2020 (เขา้ ถึงวันท่ี 14 พฤศจิกายน 2563)
Hall, R., Morley, C.K., 2002. Sundaland basins. In: Clift, P., Kuhnt, W., Wang P., Hayes, D., eds.,
Geophysical Monograph Series. p. 1-30.
https://en.wikipedia.org/wiki/Half-graben (เข้าถงึ วนั ท่ี 10 พฤศจิกายน 2563).
Lian, H.M., Bradley, K., 1986. Exploration and development of natural gas, Pattani Basin,
Gulf of Thailand. In: The Forth Circum-Pacific Energy and Mineral Resources, Singapore.
Metcalfe, I., 2011. Tectonic framework and Phanerozoic evolution of Sundaland. Gondwana
Research 19, 3-21.
Paul, D.D., Lian, H.M., 1975. Offshore Tertiary Basins of Southeast, Bay of Bengal to South
China Sea. In: the 9th World Petroleum Congress, Japan, 15 p.
Polachan, S., 1988. The geological evolution of the Mergui Basin, SE Andaman Sea,
Thailand: Royal Holloway and Bedford New Collage, University of London, unpublished
Ph.D. thesis, 218 p.
26
ธรณีวทิ ยาของอ่าวไทยและอันดามัน รศ. ดร. เสรีวัฒน์ สมินทร์ปัญญา
Polachan, S., Pradidtan, S., Tongtaow, C., Janmaha, S., Intarawijitr, K., Saengsuwan, C., 1991.
Development of Cenozoic basins in Thailand. Marine and Petroleum Geology 8, 84-97.
Pradidtan, S., Dook, E., 1992. Petroleum geology of the northern part of the gulf of
Thailand. In: Piancharoen, C. ed-in-chief. Proceedings of the National Conference on
Geologic Resources of Thailand: Potential for Future Development. Department of Mineral
Resources, Bangkok Thailand, p. 235-246.
Pubellier, M., Morley, C.K., 2014. The basins of Sundaland (SE Asia): Evolution and boundary
conditions. Marine and Petroleum Geology 58, 555-578.
Saminpanya, S., 2000. Mineralogy and origin of gem corundum associated with basalt in
Thailand. (PhD Thesis University of Manchester), 395 pp.
Saminpanya, S., 2001. Ti-Fe mineral inclusions in star sapphires from Thailand. Australian
Gemmologist 21, 125–128.
Saminpanya, S., Manning, D.A.C., Droop, G.T.R., Henderson, C.M.B., 2003. Trace elements in
Thai gem corundums. The Journal of Gemmology 28, 399–415.
Saminpanya, S., Sutherland, F.L., 2011. Different origins of Thai area sapphire and ruby,
derived from mineral inclusions and co-existing minerals. European Journal of
Mineralogy 23, 683–694.
Sinsakul, S., 1992. Evidences of sea level changes in the coastal area of Thailand: A review.
Journal of Southeast Asian Earth Sciences 7, 23-37.
Woodlands, M.A., Haw, D., 1976. Tertiary stratigraphy and sedimentation in the Gulf of
Thailand. In: the SEAPEX Offshore South East Asia Conference, Singapore, p. 1-22.
----------------------
27
สถานการณ์ ปญั หาและแนวทางการจดั การทรัพยากรท่ดี นิ ชายทะเล1/
โดย ชาลี นาวานเุ คราะห์2/
1. คานา
ทรัพยากรชายฝ่งั ทะเล ( coastal resources) เปน็ แหล่งรวมของทรพั ยากรธรรมชาตทิ ี่มคี ่า
และคณุ ประโยชนต์ ่อมวลมนษุ ย์ และสิง่ มชี วี ติ ต่าง ๆ ท้ังทางดา้ นเศรษฐกิจ และการดารงชพี
ทรัพยากร ดังกลา่ วน้ี ไดแ้ ก่ ป่าไมช้ ายเลน แร่ ก๊าซธรรมชาติ น้ามนั ดิน และสัตวต์ ่างๆ ทรพั ยากร
เหล่านีม้ ีทง้ั ทรัพยากรทีส่ ามารถฟน้ื ฟไู ด้ และไม่สามารถฟน้ื ฟูได้ ( renewable and non-renewable
resources) ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศของทรพั ยากรชายฝง่ั ทะเล และมีความเก่ียวขอ้ งเชอื่ มโยง
กัน การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติใดอย่างขาดความรอบร้สู ง่ ผลระทบตอ่ ระบบนิเวศตอ่
ทรพั ยากรขา้ งเคยี ง และระบบนเิ วศรวมของชายทะเล ทดี่ ินชายทะเลจัดเป็นทรัพยากรหน่งึ ในเขต
พ้ืนทีช่ ายทะเล การใช้ประโยชน์ที่ดนิ ชายทะเล เพอ่ื กิจกรรมใดยอ่ มส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝ่งั
ทะเลไม่มากก็นอ้ ยอยา่ งหลีกเลี่ยงมไิ ด้ นอกจากนยี้ งั เกิดปญั หาขัดแยง้ อยเู่ สมอในด้านการใช้ และการ
จดั การทรพั ยากร เน่ืองจากพนื้ ท่ีชายทะเลมรี ะบบนิเวศที่ละเอยี ดอ่อนเปราะบาง ซง่ึ อาจจะถูกทาลาย
ได้ง่ายโดยภัยธรรมชาติ และการกระทาของมนุษย์จึงจาเป็นอย่างยิง่ ทีผ่ ปู้ ฏบิ ัตงิ านหรอื ผู้ทเี่ ก่ียวข้องกบั
การใช้ทรพั ยากรชายทะเล ต้องทราบถงึ ขอบเขตและองคป์ ระกอบของทีด่ นิ ชายทะเล เพื่อให้ทราบถึง
แนวทางในการใช้ทรัพยากรชายฝ่ังทะเลให้เกิดประโยชนส์ ูงสุด และเพ่ือลดการขดั แย้งอกี ทง้ั
กระทบกระเทอื นต่อระบบนเิ วศน้อยท่สี ดุ
2. คาจากัดความ
การวางแผนพฒั นาและจัดการเขตชายฝ่ังทะเล นับเปน็ งานคอ่ นขา้ งใหม่ ในปัจจุบนั ไดม้ ีผูเ้ ริม่
บัญญตั ิศัพทต์ ่าง ๆ ขน้ึ มาเพอ่ื ใชใ้ นงานน้โี ดยเฉพาะ แมก้ ระนน้ั คาจากัดความ ตลอดจนคาศพั ท์ต่างๆ
ซงึ่ ใช้กันในเอกสารทางวชิ าการต่างๆ หรอื ใช้ในงานน้ี โดยทวั่ ไปก็ยงั ไมเ่ ป็นท่ตี กลงแนน่ อนด้วยเหตุผล
ดงั กลา่ ว เราจงึ ขอเสนอคาจากดั ความของคาศพั ท์ตา่ งๆ ทีจ่ ะใช้โดยตลอดตอ่ ไปในคู่มือฉบับน้ีเป็น
ลาดับแรก เพื่อผอู้ า่ นจะไดเ้ ขา้ ใจอยา่ งถกู ตอ้ งตรงกัน จงึ ขออธิบายคาจากัดความต่างๆ โดยสงั เขปดังน.้ี
1)เขตชายฝัง่ ทะเล ( Coastal Zone) - หมายถึงพ้นื ท่ีผวิ ของโลก ซ่ึงประกอบดว้ ยสว่ นที่
เปน็ ดินและนา้ รวมกนั ก่อให้เกิดเป็นสภาพภมู ปิ ระเทศและระบบนเิ วศ ( ecological system) ซึ่งมี
ลักษณะเฉพาะ คาว่าเขต (Zone) ในทีน่ ้ีครอบคลมุ ทงั้ บรเิ วณพนื้ ดินและพน้ื น้าทะเล ได้แก่ สว่ น
พนื้ ดนิ ทไี่ ด้รับอทิ ธพิ ลจากน้าทะเล และสว่ นพ้ืนนา้ ซ่ึงพน้ื ดนิ สามารถส่งผลกระทบทางดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม
มาถึง ตัวอย่างเช่น นา้ จืด และตะกอนดินจากบริเวณท่ีสงู จะไหลลงสู่ชายฝ่งั และลงสู่ทะเล อิทธิพลสิ่ง
เหล่าน้จี ะช่วยลดความเคม็ ของน้าทะเล และนาแรธ่ าตุอาหารมาสทู่ ะเล ซ่ึงชว่ ยใหโ้ ซ่อาหาร (food
chain) ในเขตชายฝงั่ ทะเลสามารถดารงอยไู่ ด้ อทิ ธพิ ลจากน้าทะเลสามารถพบไดใ้ นบรเิ วณพื้นดนิ
ตวั อยา่ ง เชน่ น้าทะเลไหลเข้าสบู่ ริเวณปากแมน่ ้า และแมน่ า้ กระแสน้าทะเลทีก่ ัดเซาะพน้ื ที่ชายฝัง่ ทา
ใหด้ ินมคี วามเค็ม อทิ ธิพลจากน้าทะเล และจากฝัง่ รวมกันทาให้เกิดสงิ่ มชี ีวิตท้ังพืชและสัตว์ ทม่ี ี
2
ลกั ษณะเฉพาะและไมอ่ าจพบได้ทว่ั ไปในบรเิ วณท่ีเป็นพน้ื ดนิ หรือพน้ื น้าทะเลลว้ นๆ ตัวอยา่ งสอง
ประเภทของส่งิ มีชวี ิตเหล่าน้ี ไดแ้ ก่ ป่าชายเลน และแนวปะการงั เป็นต้น
2) ระบบนิเวศชายฝงั่ (Coastal Ecosystem) - นักนเิ วศวทิ ยาใช้ศพั ท์ระบบนิเวศ
(ecosystem) เพอ่ื อธบิ ายถึงพชื หรอื สัตว์ทอี่ ยรู่ ่วมกับส่งิ แวดล้อมที่ไมม่ ชี วี ิต (น้า ดิน แรธ่ าตุอาหาร
ฯลฯ) ซง่ึ ต่างก็พงึ่ พาอาศยั ซึ่งกันและกนั ในบริเวณหน่ึงบริเวณใด การอยู่รว่ มกันและสมั พันธ์กัน
ระหวา่ งพืช สัตว์ และสิง่ แวดลอ้ ม ท่ีไม่มีชีวิต ท่แี ตกตา่ งกนั จะเปน็ ตัวจาแนกความแตกตา่ งระหวา่ ง
ระบบนิเวศท่ตี ่างกนั เชน่ สระนา้ จืด และปา่ ชายเลน ตา่ งก็เปน็ ระบบนิเวศทแ่ี ตกต่างกนั มาก การ
ผสมผสานกันของสภาพฝง่ั ทะเลในเขตรอ้ น เป็นการผสมผสานกันทม่ี ีลกั ษณะเฉพาะ และก่อให้เกิด
ระบบนิเวศ ซ่ึงไมอ่ าจพบได้ในบริเวณอน่ื ใด ทรัพยากรป่าชายเลนและแนวปะการงั อาจจะเป็นระบบ
นเิ วศชายฝั่ง ซงึ่ มลี ักษณะพเิ ศษที่สุดในดา้ นความสาคัญทางเศรษฐกิจและสภาพแวดลอ้ ม
3) ระบบทรพั ยากร (Resource System) - ระบบทรพั ยากรอธิบายถงึ ความสัมพันธ์ซ่งึ
กนั และกนั ระหว่างการใช้ประโยชนจ์ ากสิง่ แวดลอ้ มในตวั ของมันเอง บ่อเล้ียงปลา เป็นระบบทรพั ยากร
อันหน่ึง ลักษณะของส่ิงแวดล้อมชายฝง่ั ทะเล และระบบนิเวศใดระบบนิเวศหน่งึ เชน่ ปา่ ชายเลน ก็คือ
ระบบนเิ วศหนงึ่ ทสี่ ามารถเอือ้ อานวยการใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรได้หลายประการต่างๆ กนั ถา้ มี
การใช้ประโยชนจ์ ากระบบนเิ วศเพือ่ การใดการหนึ่งโดยเฉพาะ ถอื ไดว้ ่าระบบนเิ วศนนั้ เปน็ ระบบ
ทรัพยากรอันหนึ่ง กล่าวอีกอยา่ งหนึง่ กค็ อื การใช้ประโยชนเ์ พ่ือการหน่ึงการใดทุกประเภท ไม่วา่ จะ
โดยทางตรงหรอื ทางอ้อมจากทรพั ยากรป่าชายเลน อาจจะนามารวมกันเข้าเพอื่ ใชอ้ ธิบายถงึ ระบบ
ทรพั ยากรท่ีกวา้ งขึ้น จดุ นเี้ ป็นจุดสาคัญทีจ่ ะต้องระลึกถงึ เสมอ เน่ืองจากกลวิธใี นการวางแผนเพื่อการ
พัฒนาระบบนเิ วศชายฝ่งั เพ่อื ใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุด จะตอ้ งคานึงถึงระบบทรพั ยากรต่างๆ จานวน
มากมาย แตล่ ะระบบซึง่ ต่างก็ต้องอาศัยโครงสร้าง และหน้าท่ีของระบบนิเวศเป็นเครือ่ งค้าจนุ
บ่อยครงั้ ทเ่ี รามุง่ ใชป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากรใดทรัพยากรหนง่ึ ใหไ้ ดส้ งู สดุ และละเลยโอกาสท่ีจะใช้
ทรัพยากรอื่น ๆและ/หรอื ทาใหโ้ อกาสทีจ่ ะไดร้ ับประโยชนจ์ ากทรัพยากรอนื่ ๆ ลดลงกว่าทีค่ วร
4) การจดั การ (Management) การจดั การเป็นกิจกรรมอนั หนง่ึ ทม่ี งุ่ จะควบคุมปัจจยั ต่าง
ๆ ท่ีมอี ิทธิพลตอ่ สิง่ แวดลอ้ ม ซ่งึ จะนาไปสู่วัตถุประสงค์ท่ีตอ้ งการ ตัวอยา่ งการจัดการดา้ นสิง่ แวดลอ้ ม
เช่น เมือ่ เราพยายามจัดการใด ๆ ใหห้ ยดุ การทาลายปา่ ในบรเิ วณต้นนา้ ลาธาร เพื่อทีจ่ ะลดการ
พังทลายของหน้าดิน เน่ืองจากถกู นา้ กัดเซาะ และเพ่ือปอ้ งกันไมใ่ ห้เกิดการทับถมของตะกอนดิน ซึง่
ถกู นา้ พดั พาไปในแหลง่ น้าที่ใช้ในการชลประทาน เป็นตน้
5) การพัฒนา ( Development) - ความหมายของการพฒั นาในคู่มอื ฉบบั นีต้ ง้ั อยบู่ น
พ้นื ฐานแนวความคิดท่ีว่า การใชป้ ระโยชนจ์ ากทรัพยากรควรเปน็ ไปอยา่ งต่อเนือ่ งและยาวนาน
(sustainable use) การใช้ทรพั ยากรอย่างตอ่ เนอื่ งและยาวนานยอ่ มหมายถงึ การใช้ทรัพยากรโดย
คานึงถงึ ความสมดลุ ย์ระหว่างความคมุ้ ค่าทางเศรษฐกจิ และความเปน็ ธรรมทางสังคม ซึง่ ความ
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบันบณั ฑติ พัฒนบริหารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสง่ิ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล
2/ คณะส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล
3
สมดลุ ยอ์ ันนจี้ ะเปล่ียนแปลงได้ตลอดเวลา นอกจากน้ี การพฒั นาตามความหมายทใ่ี ชใ้ นค่มู อื ฉบับนย้ี ัง
เนน้ ความสาคญั ของการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และพยายามหลกี เลย่ี งการทาลายทรัพยากรให้มาก
ทสี่ ดุ เท่าที่จะสามารถทาได้
6) การวางแผน (Planning) - ในคู่มือฉบับนี้หมายถงึ กระบวนการซงึ่ หน่วยงานต่าง ๆ
ดาเนนิ การเพอื่ ผลติ แผนพัฒนาและเลือกโครงการพฒั นาตา่ ง ๆ
7) แผน (Plan) - คือเอกสารซึ่งเปน็ ผลจากการวางแผน ซง่ึ สาเร็จลลุ ่วงแลว้ ในแผนจะ
ประกอบด้วยการวเิ คราะห์สถานการณ์ และแนวโน้มการเปลยี่ นแปลงของสถานการณ์ เปา้ หมายและ
วัตถุประสงค์ท่กี าหนด คาอธิบายโครงการ และรายการท่จี ะตอ้ งปฏบิ ัตเิ พ่ือใหบ้ รรลุเป้าหมาย หรือ
วตั ถุประสงคท์ ตี่ ้งั ไว้ รวมทั้งระบวุ ิธที จ่ี ะใช้ดาเนนิ การ ผทู้ ี่มหี น้าทรี่ ับผดิ ชอบในการดาเนินการ
ตลอดจนระยะเวลา วิธีการ และบุคคลที่จะต้องนาแผนไปปฏบิ ัติ
การวางแผนพฒั นาและจดั การทรัพยากรชายฝง่ั ทะเล หมายถึง การจัดการทรพั ยากรชายฝั่ง
ทะเล (รวมทัง้ ระบบนเิ วศ) และการจดั ระเบยี บกระบวนการพฒั นาผ่านทางการวางแผน เพอ่ื ใหเ้ กิด
การพฒั นามากท่ีสุด แตใ่ นขณะเดยี วกัน การพัฒนานั้นยงั อยภู่ ายในขีดจากดั ทสี่ ภาพแวดลอ้ มยัง
สามารถอานวยความให้มกี ารพฒั นาต่อไปไดอ้ ย่างตอ่ เน่ืองและยาวนาน ลักษณะะสาคัญของแนวทางน้ี
คือการพฒั นาทรพั ยากรชายฝ่งั ทะเล เพอ่ื ให้สามารถสนองการใช้ประโยชน์และวตั ถปุ ระสงคไ์ ดใ้ น
หลายรูปแบบ
8) ทีด่ ินชายทะเล (Coastal Land) เป็นพนื้ ทที่ ่มี โี อกาสในการพัฒนาอย่างหลากหลาย
จึงมีการใชป้ ระโยชนก์ นั อย่างเข้มข้นจนเกดิ ปญั หาความขัดแยง้ และเสื่อมโทรมของทรพั ยากรดิน และ
กอ่ ใหเ้ กิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือการสูญเสยี ระบบนิเวศท่มี ีความสาคญั การจดั การพื้นที่
ชายทะเลจงึ มคี วาม และความจาเป็นเร่งด่วน การกาหนดขอบเขตทด่ี นิ ชายทะเล เพือ่ กาหนด
มาตรการการใช้ประโยชนใ์ ห้เหมาะสมตามศักยภาพ และระบบนเิ วศท่มี คี วามสัมพันธ์กนั จงึ มี
ความสาคัญเป็นอันดบั แรกในการพฒั นาทีด่ นิ ชายทะเล
ทดี่ นิ ชายทะเล คืออะไร และอยทู่ ไี่ หน ท่ดี ินชายทะเล “ คือบริเวณท่ตี อ่ เนอื่ งกบั ฝ่ังทะเล
และไดร้ ับอทิ ธพิ ลของทะเลในพนื้ ท่ี บก และบรเิ วณที่ไดร้ บั อิทธิพลของบกในพนื้ ท่ี ทะเล” นีค้ อื คา
จากดั ความหรอื นิยามอย่างกวา้ ง ๆ แต่มีความหมายครอบคลมุ พน้ื ทีช่ ายทะเลทั้งหมด และเป็นท่ี
ยอมรบั ของนักวทิ ยาศาสตรท์ ่ีเก่ียวข้อง แต่ในทางปฏบิ ัตจิ ะเกดิ ความยืดหย่นุ ของคาว่า"อทิ ธพิ ล"
เพราะอย่ทู ่วี ่าจะใหค้ รอบคลุมเนอ้ื หาอะไรบา้ ง มิฉะนั้นแลว้ เขตอิทธพิ ลคงจะกวา้ งใหญ่ และครอบคลุม
พนื้ ทโี่ ลกท้งั หมด ถึงแม้ยงั มีความกากวมและยังไมม่ ีการกาหนดหลักเกณฑเ์ ปน็ สากล เนือ่ งจากว่าท่ี
ผ่านมาการจดั การพ้ืนที่ชายทะเลจะเป็นการจดั การเฉพาะแห่ง จึงมแี ต่ขอบเขตโครงการเทา่ นัน้
3. การกาหนดเขตทดี่ นิ ชายทะเล
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบันบัณฑิต พัฒนบรหิ ารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสง่ิ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
2/ คณะสงิ่ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล
4
การจัดการพนื้ ท่ชี ายทะเลจึงต้องดาเนินการในพนื้ ที่ “อิทธิพล” ทัง้ หมดแตร่ ะดบั ความ
ละเอียดจะมากน้อยเพยี งใดข้นึ กบั ชนดิ ของระบบนิเวศ สังคมพืชและสัตว์ ศักยภาพของที่ดิน ความ
ต้องการและความจาเปน็ ในการใชพ้ ้ืนท่ี เพ่ือใหเ้ กิดประสทิ ธภิ าพในการจัดการทรัพยากรที่ดนิ
ชายทะเลจงึ สมควรทจ่ี ะมีการกาหนดขอบเขตทด่ี ินชายทะเลเปน็ 2 ระดับ
3.1 เขตท่ีดินชายทะเล (Coastal Land Boundary) หมายถงึ เขตอิทธิพล “บก-
ทะเล” ทั้งหมด คือพ้ืนท่ีจากแนวสันปนั น้าถึงแนวไหล่ทวปี เขตทด่ี นิ ชายทะเลของจงั หวดั ท่มี พี ื้นที่ติด
ทะเลจะมีขอบเขตดังนี้ (รูปที่ 1)
1) เขตบก ถา้ แนวสนั ปนั น้าไม่ยาวต่อเน่อื งกันท้งั จงั หวัดหรือไมม่ สี นั ปนั น้าในเขตจังหวดั
ใหใ้ ช้เขตจงั หวดั เปน็ เสน้ แสดงเขตบก
2) เขตทะเล ใชแ้ นวไหลท่ วีป
3.2 เขตพฒั นาทีด่ นิ ชายทะเล (Coastal Land Development Boundary) คอื
การกาหนดเขตที่ดินชายทะเลท่ีมีศักยภาพในการพฒั นาในด้านต่างๆ สูงเพ่ือใหเ้ กดิ ความเดน่ ชดั ใน
การเลอื กพนื้ ท่เี พ่อื ทาแผนขัน้ ปฏบิ ตั กิ ารโดยจะนาเขตท่ีดินชายทะเลในส่วนของแผ่นดนิ (Terrestrial)
จาแนกตามความรุนแรงของอทิ ธพิ ลจากทะเลและควาเขม้ ข้นของการใช้ทดี่ ินซง่ึ จาแนกไดเ้ ป็น 2
ส่วนดังนี้ (รูปท่ี 2)
1) เขตอทิ ธิพลชัน้ นอก (Outer zone) เป็นเขตท่ีมีความสาคญั ในแง่การการจดั การ
เชงิ สงวนและอนรุ ักษม์ ากกว่าเชิงพฒั นา การจาแนกเขตยอ่ ยยงั คงเป็นแค่เขตสงวน
เขตอนรุ กั ษ์ และเขตพัฒนาเทา่ นั้น พืน้ ทีส่ ว่ นใหญอ่ ยูใ่ นเขตอิทธิพลของนา้ จืดแต่
ผลกระทบนอกพื้นท่ี (off-site impacts) ยงั คงมอี ิทธิพลตอ่ พ้นื ทที่ ี่อยตู่ ่า
กว่า เช่นการทับถมของตะกอนบรเิ วณทรี่ าบลุ่มหรอื ชายฝั่งเนอ่ื งจากการเกษตรหรือการทาเหมอื งแร่
ในบริเวณพ้นื ทีส่ งู
เขตพนื้ ทบี่ ก แนวสนั ปนั นำ้ หรอื เขตจงั หวดั
เขตพ้ืนทท่ี ะเล แนวฝงั่ ทะเล
รปู ที่ 1 ขอบเขตที่ดินชายทะเลไขหอลงท่จังวหปี วดั โดยสังเขป
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบันบณั ฑติ พัฒนบรหิ ารศาสตรแ์ ละวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่งิ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล
2/ คณะสิง่ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล
5
2) เขตอทิ ธิพลชน้ั ใน (Inner Zone) เปน็ เขตท่มี ีพน้ื ทตี่ ่อเนอ่ื งกบั ทะเลเป็นพื้นที่
ทไี่ ดร้ บั อิทธพิ ลของทะเลเดน่ ชดั เช่น ดนิ มีความเค็ม มีพืชพรรณท่ีทนเคม็ เป็นต้น และรวมถึงพน้ื ท่ี
ทะเลจรดแนวไหล่ทวีปดว้ ย เขตอิทธิพลชัน้ ในนม้ี ีความสาคัญมาก มีความหลากหลายของระบบ
นิเวศทีส่ าคัญ มคี ุณค่าทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การอตุ สาหกรรม การกสกิ รรม การประมง
การเพาะเลย้ี งชายฝ่ัง ทอ่ี ยอู่ าศยั และชมุ ชน การสันทนาการ ดังนนั้ จึงเกิดความขัดแยง้ ในการใช้
ประโยชน์ทด่ี นิ อยูเ่ สมอ เพ่ือให้เกดิ ประโยชน์สูงสุดเขตน้ีจึงได้รับความสนใจและให้ความสาคัญเป็น
พเิ ศษหรอื เรยี กว่า “เขตพฒั นาท่ีดินชายทะเล” ในเขตนจ้ี ะมกี ารจาแนกเขตยอ่ ยของเขตสงวน เขต
อนุรักษ์ และเขตพฒั นาออกไปอกี โดยเฉพาะในเขตพฒั นาจะมีการจาแนกละเอยี ดในกิจกรรม แต่ละ
ดา้ นด้วย
สนั ปนั นำ้ หรอื เขตจงั หวดั
เขตอทิ ธพิ ลชนั้ นอก
เขตอทิ ธพิ ลชนั้ ใน
แนวชำยฝง่ั ทะเล
เขตทด่ี นิ เขตพฒั นำ
ชำยทะเล ทดี่ นิ
ชำยทะเล
ไหลท่ วปี
รูปท่ี 2.แสดงขอบเขตพื้นทีพ่ ัฒนาท่ดี นิ ชายทะเลของจงั หวัด ไหล่
ท3.ว3ปี มาตรการในการกาหนดเขตพัฒนาทด่ี นิ ชายทะเล
การกาหนดเขตพฒั นาที่ดนิ ชายทะเล ซ่งึ จาแนกได้เป็น 2 เขต คอื เขตทเี่ ปน็ พ้นื ท่ี
บก และเขตท่เี ปน็ พนื้ ท่ีนา้ หรอื เขตทะเล โดยใช้คุณสมบตั ิทางกายภาพของทดี่ นิ และขอบเขตการ
ปกครอง เป็นบันทดั ฐานในการกาหนดเขตดังมรี ายละเอียดโดยสงั เขปดังน้ี
3.3.1 เขตบก จาแนก โดยอาศยั คุณสมบตั ทิ างกายภาพของที่ดินและขอบเขตการ
ปกครอง ดงั น้ี
1) ขอบเขตทางกายภาพ ใช้คุณสมบัติของท่ีดินท่ีไดร้ ับอิทธพิ ลจากทะเลที่มีผลโดยตรง
ตอ่ การใชป้ ระโยชนท์ ี่ดนิ สังคมพืชและสัตว์ และเป็นคณุ สมบตั ิท่มี ีความคงทนสามารถตรวจสอบใน
สนามไดโ้ ดยง่าย คุณสมบัติท่ีนามาใช้ประกอบด้วย
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบันบัณฑติ พฒั นบริหารศาสตร์และวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล
2/ คณะสิ่งแวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล
6
(1) ดนิ (Soil) ท่มี กี าเนิดมาจากอทิ ธพิ ลของทะเล และยงั คงแสดงผลหรือมี
ปฏกิ ริยาทางเคมแี ละกายภาพอยู่ เชน่ ความเค็ม ความเป็นกรด สารประกอบกามะถัน ตมทะเล
ทรายทะเล เป็นตน้
(2) ภูมสิ ณั ฐาน (Landform) ใชภ้ ูมิสัณฐานที่ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากทะเล เช่น ทร่ี าบลุ่ม
ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่นา้ ชวากทะเล เปน็ ตน้
(3) สงั คมพชื และสตั ว์ (Biodiversities) ที่อาศัยอทิ ธิพลของทะเลในการดารงชพี
(4) อทิ ธพิ ลน้าทะเลทว่ มถงึ เปน็ เขตอทิ ธิพลท้งั ในอดตี และปัจจบุ ันทไ่ี ดร้ บั จากการ
ทว่ มถงึ ของนา้ ทะเลมากอ่ นหรือยังคงไดร้ บั อยู่
2) ขอบเขตการปกครอง เน่ืองจากว่าการกาหนดเขตพัฒนาที่ดินชายทะเลข้นึ น้นั เพ่ือใหม้ ี
การจัดการใช้ทรัพยากรท่ีดนิ ชายทะเลใหถ้ ูกตอ้ งตามศักยภาพและความจาเปน็ ซง่ึ จะตอ้ งมีการ
ดาเนินการต่อเนอ่ื งจนถึงการนาแผนไปปฏบิ ัตใิ นพน้ื ท่ี โดยมกี ารทาแผนปฏิบัตกิ ารรว่ มกนั ระหวา่ ง
สานกั งานพฒั นาที่ดินชายทะเล สถานพี ฒั นาทดี่ ินจังหวัด และหน่วยงานระดบั จังหวัด อาเภอ
ตาบลที่เกี่ยวขอ้ ง การใชข้ อบเขตการปกครองจะทาให้การนาแผนไปปฏิบตั ิมคี วามสะดวกและทราบ
ว่าพ้นื ทเี่ ป้าหมายอยู่บริเวณไหน ตลอดจนสามารถนาข้อมลู ทตุ ยิ ภูมิมาใชไ้ ด้สะดวกเพราะขอ้ มลู จะอยู่
ในรปู ของ หม่ทู ่ี ตาบล อาเภอ และจังหวดั อยู่แลว้ ดงั นัน้ การทาแผนปฏิบัตจิ ึงจะเกดิ ประสทิ ธิภาพ
ในการกาหนดเขตพัฒนาท่ีดนิ ชายทะเลนั้นจึงใช้ขอบเขตตาบลเป็นเกณฑ์โดยที่ตาบล
น้ันๆ จะตอ้ งมีคุณสมบัติทางกายภาพข้อใดขอ้ หน่ึงดังกลา่ วข้างตน้ และไมจ่ าเปน็ ต้องครอบคลมุ พ้ืนท่ี
ทง้ั ตาบลเพยี งมพี ้นื ที่ใดพน้ื ที่หน่ึงสามารถลงขอบเขตบนแผนท่ีมาตราส่วน 1:50,000 ได้จะทาให้
ตาบลเป็นตาบลที่อยใู่ นเขตพฒั นา
ทด่ี นิ ชายทะเลทั้งหมดด้วยเพอ่ื ความเข้าใจทงี่ า่ ยขึ้นจงึ ขอสรุปดังน้ี.-
(1) จงั หวัดชายทะเล หมายถึงจังหวัดที่มชี ายฝัง่ ทะเล หรือมีส่วนของพ้นื ดินตดิ
กบั ทะเลและให้รวมถึงจงั หวดั ท่ถี ูกปดิ ล้อมด้วยจงั หวัดท่ีมชี ายฝัง่ ทะเล หรอื จังหวดั ทีไ่ ด้อทิ ธพิ ลจากการ
ขน้ึ ถงึ ของน้าทะเลในปจั จบุ ัน จงั หวัดชายทะเลมีทัง้ ส้ิน 26 จังหวดั ท่มี ชี ายฝงั่ ทะเล 25 จังหวัด และ
จงั หวัดท่ีถกู ปิดลอ้ มโดยจงั หวัดชายทะเลอีกหนง่ึ จังหวัดดังน้ี.-
(1.1) จังหวดั ทม่ี ฝี ัง่ ทะเลและจงั หวดั ที่นา้ ทะเลทว่ มถงึ ไดแ้ ก่
(1) จงั หวัดตราด (2) จังหวดั จันทบรุ ี (3) จงั หวัดระยอง (4) จงั หวดั ชลบุรี (5)
จงั หวดั ฉะเชงิ เทรา (6) จังหวัดสมุทรปราการ (7) กรุงเทพมหานคร (8) จงั หวัดสมุทรสาคร (9)
จังหวดั ราชบรุ ี (10) จังหวัดสมุทรสงคราม (11) จงั หวดั เพชรบุรี (12) จังหวัดประจวบครี ีขันธ์ (13)
จังหวัดชมุ พร (14) จังหวดั ระนอง (15) จงั หวัดสุราษฎร์ธานี (16) จังหวดั นครศรธี รรมราช (17)
จังหวัดพังงา (18) จังหวัดกระบ่ี (19) จังหวดั ภูเก็ต
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบันบัณฑิต พัฒนบรหิ ารศาสตร์และวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสงิ่ แวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล
2/ คณะสง่ิ แวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
7
(20) จังหวดั ตรัง (21) จังหวัดสตูล (22) จงั หวัดสงขลา (23) จงั หวัดพัทลงุ (24) จงั หวัดปตั ตานี
(25) จงั หวัดนราธวิ าส
(1.2) จงั หวดั ที่ถูกปดิ ลอ้ มโดยจังหวัดชายทะเล คือ จงั หวัดยะลา
(2) อาเภอชายทะเล หมายถงึ อาเภอท่ีมชี ายฝงั่ ทะเล หรอื มสี ่วนของพนื้ ดินติดกับทะเล
ในประเทศไทยมที ั้งสิน้ 154 อาเภอ
(3) ตาบลทอ่ี ย่ใู นเขตพัฒนาทดี่ ินชายทะเล หมายถึงตาบลทมี่ ีคุณสมบัติทางกายภาพ
และระบบนเิ วศท่ไี ด้รบั อิทธพิ ลจากทะเล มีท้ังสิ้น 1,000 ตาบล
3.3.2 เขตทะเล ใชแ้ นวไหล่ทวปี ในทะเลเปน็ แนวเขต
4.องค์ประกอบของท่ดี ินชายทะเล
เขตชายฝง่ั ทะเล (Coastal zone) หมายถึง พ้ืนท่ีผวิ ของโลก ซ่ึงประกอบดว้ ยส่วนที่
เป็นดินและนา้ รวมกนั กอ่ ให้เกดิ เปน็ สภาพภมู ปิ ระเทศและระบบนเิ วศ ซ่งึ มลี กั ษณะเฉพาะสว่ นทเ่ี ป็น
พนื้ ที่ดนิ ได้รบั อิทธพิ ลจากน้าทะเลและสว่ นทเ่ี ปน็ พ้นื ทีน่ ้า ซ่งึ พ้นื ดนิ สามารถส่งผลกระทบทางด้าน
ส่งิ แวดล้อมมาถึง กลา่ วคอื น้าจืดและตะกอนดินจากบรเิ วณท่ีสงู จะไหลลงสชู่ ายฝัง่ และลงสทู่ ะเล
อิทธพิ ลของสิ่งเหล่านจ้ี ะชว่ ยลดความเค็มของน้าทะเล นาแร่ธาตอุ าหารมาสู่ทะเล ซง่ึ ช่วยให้โซ่
อาหาร ( food chain ) ในเขตชายฝ่ังทะเลสามารถดารงอยู่ได้ อิทธิพลของน้าทะเลสามารถพบใน
บรเิ วณพน้ื ดนิ มกี ารกัดเซาะพ้นื ทีช่ ายฝ่ังทาให้ดนิ มคี วามเคม็ มีแร่ธาตุ (minerals) ต่าง ๆ ปนอยู่
ในปริมาณสงู อทิ ธพิ ลจากนา้ ทะเลและจากพืน้ ทล่ี ุม่ นา้ ทางตอนบนมารวมกนั ทาให้เกิดสังคมของ
สง่ิ มีชีวติ ของพชื และสตั วท์ ่ีมลี ักษณะเฉพาะและไมอ่ าจพบไดท้ ว่ั ๆ ไป ในบรเิ วณทเี่ ปน็ พน้ื ดนิ หรือพ้ืน
นา้ ทะเลล้วน ๆเขตชายฝัง่ ทะเล นับว่าเป็นแหล่งของทรัพยากรธรรมชาติทีม่ ีคุณค่าทางเศรษฐกจิ และ
สงั คมของมวลมนษุ ย์อย่างยง่ิ ซ่ึงเป็นท้งั แหล่งอาหารและแหลง่ ทรพั ยากรพลงั งานท่ีมีคณุ ค่ายง่ิ สงั คม
ของสง่ิ ที่มชี ีวติ ในบรเิ วณนมี้ ีการดารงชีพท่ีมคี วามสมั พนั ธ์กนั อยา่ งเปน็ ระบบเปน็ การผสมผสานกันที่มี
ลักษณะเฉพาะ และกอ่ ให้เกดิ ระบบนเิ วศ ซ่ึงไมอ่ าจพบในบรเิ วณทีอ่ ื่นใดและมรี ะบบนิเวศที่
เปราะบาง การใช้ทรัพยากรชนิดหนง่ึ โดยขาดความรอบรอู้ าจส่งผลกระทบต่อระบบนเิ วศของ
ทรัพยากรเฉพาะอยา่ ง หรอื ทัง้ ระบบในเขตชายฝั่งทะเลได้ เพ่ือเป็นแนวทางในการศึกษาพน้ื ที่
ชายทะเลควรทราบถึงองค์ประกอบของท่ีดินชายทะเล ซง่ึ จาแนกออกไดด้ ังน.้ี -
4.1 ทรัพยากรชายทะเล
ดงั ไดก้ ลา่ วมาแล้วขา้ งต้น พน้ื ท่ีชายฝ่ังทะเล ประกอบด้วย ดนิ และนา้ รวมกนั ในดินและ
บนผวิ ดนิ ประกอบไปด้วย แร่ธาตุ, กา๊ ซ,น้ามนั ,พืชและสตั ว์ ในนา้ ประกอบไปดว้ ย แร่ธาตุ สัตว์
และพืชนา้ ทรัพยากรต่าง ๆ เหล่านีม้ ีคุณค่าทางด้านเศรษฐกิจอยา่ งมากแกม่ นุษย์ ในขณะเดยี วกนั
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบนั บัณฑติ พฒั นบริหารศาสตรแ์ ละวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสง่ิ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
2/ คณะสิง่ แวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล
8
ทรพั ยากรเหลา่ นเ้ี ก้ือกลู ซงึ่ กนั และกันระหว่างสงั คมพืชและสตั ว์ในบริเวณณชายทะเลด้วย ทรัพยากร
ต่าง ๆ เหล่าน้ี สามารถจัดเป็นกลุม่ ได้ พอกลา่ วโดยสงั เขป ดังน.ี้ -
4.1.1 ทรพั ยากรนา้ นา้ เป็นทรัพยากรทีม่ ปี รมิ าณและพน้ื ทีม่ ากในเขตชายฝ่งั ทะเล ซ่ึง
แยกออกได้เปน็ 2 ส่วน คอื ส่วนท่เี ป็นน้าทะเล (marine water ) และน้ากร่อย (brackish
water) กล่าวคอื น้าทะเลพบเป็นบรเิ วณกว้างขวางตงั้ แต่ริมฝงั่ ทะเลออกไปในพ้ืนทท่ี ะเลจนถงึ เขต
ไหล่ทวปี ซง่ึ มีสารละลายของแร่ธาตุต่าง ๆ ปนอยูถ่ งึ 73 ธาตุ ธาตุทพ่ี บเปน็ ปริมาณมากได้แก่
คลอรีน (Cl) โซเดียม( Na) โปแตสเซยี ม (K) แมกนีเซียม (Mg) กามะถนั (S) คารบ์ อน (C) บาง
ธาตุมอี ยเู่ ล็กนอ้ ย เชน่ ไอโอดนี โปรมีน แบเรยี ม โคบอลต์ ทองแดง ตะกัว่ ฯลฯ และพบวา่ เกลอื
โซเดียมคลอไรด์ (Nacl) มีประมาณรอ้ ยละ 90 ของเกลอื ในนา้ ทะเล สว่ นน้ากร่อยพบในบรเิ วณ
สามเหลยี่ มปากแม่นา้ (delta) ชวากทะเล (estuarine) และบรเิ วณป่าชายเลน (mangrove
area) บริเวณนเี้ ป็นบรเิ วณทน่ี ้าจืดท่ไี หลมาจากลุ่มน้าตอนบนผสมกับนา้ ทะเล ตะกอนดนิ แรธ่ าตุอ
นินทรียแ์ ละอนิ ทรียต์ า่ ง ๆ ถูกพัดพามากับนา้ จดื ผสมกบั นา้ ทะเล จงึ ทาให้บรเิ วณสามเหลย่ี มปาก
แมน่ า้ ชวากทะเลและป่าชายเลนอุดมสมบูรณ์ไปดว้ ยธาตอุ าหารท้ังอนิ ทรีย์และอนนิ ทรียส์ าร ทาให้
ชกุ ชมุ ไปด้วยสัตว์น้าและพนั ธ์ุไมต้ ่าง ๆ
4.1.2. ทรัพยากรดิน แนวชายฝัง่ ทะเลของประเทศเป็นท่ีราบลุ่ม ตลอดจนสองฝากฝง่ั
ของคลองบรเิ วณปากแมน่ า้ มีน้าเป็นน้ากร่อยและน้าทะเล ตะกอนดินท่ที บั ถมในบรเิ วณดังกลา่ วน้ี
ได้รับอิทธิพลจากน้ากร่อยและนา้ ทะเล
จากการศกึ ษาดนิ ที่ได้รับอิทธิพลจากทะเลพบว่าจาแนกไว้ใน 4 Orders 5 Suborders 11
Subgroups และ 34 ชุดดนิ (series) จากชดุ ดินเหล่านีส้ ามารถนามารวมกลุ่มกันตามศกั ยภาพ
การใชท้ ีด่ ินด้านเกษตรกรรมอยา่ งกว้าง ๆ ได้ 14 กล่มุ ดนิ ดงั ตารางท่ี 1
ตารางที่1.แสดงชุดดนิ ต่างๆทีพ่ บในทดี่ ินชายทะเล
ชุดดนิ (Series) กลุ่มดนิ ยอ่ ย(Subgroup) อนั ดับดนิ ย่อย(Suborder) อนั ดับ(Order)
Bpg Typic Sulfaquents Aquents Entisols
Tkt Typic Hydraquents
Tc
Ra,Ts Sulfic Fluvaquents
Wp Typic Tropaquents
Bc,Hh,Mik,Py,R Quartzipsamments Psamments
y
Ay,Bn,Bp,Ma Typic Tropaquepts Aquepts Inceptisol
Bk,Cc,Don,Bph,
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบนั บัณฑิต พัฒนบริหารศาสตรแ์ ละวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสง่ิ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล
2/ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
9
Ptg,Koy,Sm,Ta
Tb,Sso,Tq
Ca,Ok,Rs,Se, Aeric Tropaquepts
Tan Sulfic Tropaquepts
Bh Typic Tropohumods Humods Spodosol
Kd Terric Tropofribrists Fribrists Histosols
Nw Typic Tropofribrisrs
34 11 54
ท่ีมา:คณะกรรมการกาหนดมาตรการฯ กรมพฒั นาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และสามารถจาแนกออกได้โดยมรี ายละเอียดโดยสังเขปดังนี้.-
.1) ดินเคม็ (Saline soils) ดินพวกนเี้ ปน็ ดนิ ทม่ี ีสารละลายของเกลือที่ละลาย
ไดง้ า่ ย มคี า่ การนาไฟฟ้า (electrical conductivity) มากกวา่ 2 มิลลโิ มห์/ซม. มีโซเดยี มท่ี
แลกเปล่ยี นไดน้ ้อยกว่าร้อยละ 15 และปฏิกิริยาดินต่ากวา่ 8.5 (pH) พบในท่ีราบลุ่ม ดินมักอ่ิมตัว
ดว้ ยนา้ และระบายนา้ เลวเปน็ ดินเลนและมนี ้าแช่ขัง จัดเปน็ ดนิ เค็มประเภทหน่งึ ท่ีมไี มช้ ายเลน
(mangrove) ขึ้นอยทู่ ว่ั ไป
2) ดินเค็มโซดิก (Saline-Sodic soils) ดนิ พวกนคี้ ล้ายกบั ดนิ เคม็ แตม่ ปี ริมาณ
ของโซเดียมท่ีแลกเปลี่ยนไดส้ ูงกว่ารอ้ ยละ 15 ปฏกิ ริ ิยาดิน (pH) ตา่ กว่า 8.5 ถ้ามกี ารชะล้างเกลือ
ออกไปจากดนิ น้เี มอื่ ใด จะทาให้ดินมเี กลือโซเดียมคารโ์ บเนต (Na2 CO3 ) และปฏกิ ิรยิ าดินสงู ขน้ึ
ขณะเดยี วกนั การท่ดี ินมีโซเดยี มท่แี ลกเปลี่ยนไดส้ งู ทาใหอ้ นุภาคละเอียดของดินอยใู่ นภาวะกระจายได้
ดีมาก ดนิ จงึ แนน่ ทึบ การซาบซมึ ของน้ากเ็ กิดขน้ึ ไดย้ ากและไถพรวนไม่สะดวก
3) ดินเค็มกรดแฝง (Saline-potential acid sulfate soils) พบในบรเิ วณที่
ลุ่มต่าชายทะเล เป็นดนิ เคม็ ท่ีมีสารประกอบกามะถัน (พวกซัลไฟดข์ องเหล็ก) สงู ดินบรเิ วณนี้ถา้ มี
การระบายน้าและมกี ารถา่ ยเทอากาศทีด่ ีสารประกอบกามะถันเหล่านี้จะถูกเติมออกซิเจน
(oxidized) เกิดสารประกอบใหม่ท่มี ีฤทธิเ์ ปน็ กรดทาให้ดินมีปฏกิ ริ ิยาดนิ (pH) ลดลง สารประกอบ
น้ีเหน็ เปน็ จุดประ (mottles) สีเหลืองฟางขา้ วในหน้าตดั ดินและมคี ราบเกลอื บนผวิ ดนิ
4) ดนิ กรดกามะถนั หรอื ดินเปรยี้ ว (Acid-sulfate soils) พบในบรเิ วณท่ีราบ
ลุ่มตอนในเข้าไปในแผน่ ดินเป็นบริเวณที่นา้ ทะเลเคยทว่ มถงึ (former tidal flat)มาก่อนปัจจุบนั
ได้รบั อทิ ธพิ ลจากตะกอนนา้ จดื และ/หรือน้ากร่อย มเี นือ้ ดินเป็นดินเหนยี ว ดินชน้ั ล่าง
ตอนบนเป็นดินท่เี กดิ จากการทับถมของตะกอนดินน้ากร่อยท่มี ีสารประกอบกามะถันปนอยสู่ ูง ดิน
บริเวณนเี้ มือ่ มีการระบายน้าและมีการถ่ายเทอากาศท่ดี ี สารประกอบกามะถันเหล่านจี้ ะถูกเติม
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบนั บณั ฑติ พัฒนบรหิ ารศาสตรแ์ ละวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสิ่งแวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล
2/ คณะส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล
10
ออกซิเจนจะทาให้เกดิ กรด ทาใหด้ นิ มีปฏิกริ ิยาดินลดลง (pH ตา่ ) พบชนั้ ดินท่ีมีจดุ ประสีเหลอื งฟาง
ข้าวจากหน้าดินลงไป ดนิ กรดกามะถนั น้ีจดั เป็นดนิ ทมี่ ีปัญหา เนื่องจากดนิ มีปฏิกิริยาเป็นกรดจดั ทา
ใหเ้ กดิ การตรึงของธาตุอาหารบางชนิด เชน่ ฟอสฟอรัส พืชไมส่ ามารถนาธาตอุ าหารดงั กลา่ วไป
ใชไ้ ด้ นอกจากนธ้ี าตุอาหารพชื บางชนิดถกู ปลดปล่อยมากจนเปน็ อันตรายตอ่ พืช เช่น ธาตุ
อลมู ิเนยี ม เป็นต้น การบรรเทาปญั หานอ้ี าจทาไดโ้ ดยการใส่ปูนขาว หินปนู ฝ่นุ ปนู มารล์
ควบคูไ่ ปกบั การลา้ งดินและควบคุมระดับนา้ ใต้ดนิ ก็สามารถปลกู พชื เศรษฐกจิ บางชนิดไดด้ ี
5) ดนิ อินทรีย์ (Organic soils) พบในบรเิ วณทีล่ ุม่ ต่าหลังสันทราย ( Sand
dune) หรือหาดทราย (beach) ซึง่ หนา้ ตัดดนิ มชี ัน้ สะสมของอนิ ทรียว์ ัตถหุ นามากกวา่ 40
เซนติเมตร สลับด้วยช้นั ดนิ ทรายหรือดนิ เหนยี ว อนิ ทรีย์วตั ถุเป็นเศษซากพชื หรือสัตว์ทที่ บั ถมกนั ซงึ่
บางชน้ิ ส่วนสามารถจาแนกไดว้ า่ เป็นสว่ นไหนของพืชหรือสลายตัวไปบา้ งแลว้ ดนิ อินทรยี ์ชนดิ นพี้ บ
มากบรเิ วณที่ลมุ่ นา้ ขังหรอื พรุ ( swamp ) ในจงั หวดั นราธวิ าส ชุมพร และจันทบุรี
เน่ืองจากดินมีสารประกอบพวกกามะถนั ปนอยู่สูง เม่อื มกี ารระบายน้าออกจากพ้ืนทท่ี ี่พบดนิ นี้จะทา
ใหช้ นั้ อนิ ทรยี ์วัตถุยบุ ตวั และกามะถนั ในช้ันดนิ จะทาปฏกิ ริ ิยากับออกซิเจนทาใหด้ นิ เกิดเปน็ ดนิ กรดข้ึน
ได้ การบรรเทาปัญหาท่ีเกิดจากนาดินอนิ ทรียท์ ่ีกลายเปน็ ดนิ กรดจดั สามารถดาเนินการได้
เช่นเดียวกบั ดนิ กรดกามะถนั พ้ืนทท่ี ่เี ป็นดนิ อินทรีย์ที่ยงั ไมถ่ กู บกุ รกุ หรอื แผว้ ถางควรสงวนไวใ้ หเ้ ป็น
แหล่งป่าพรุธรรมชาติ เพอ่ื คงสภาพไว้เปน็ ปา่ ธรรมชาติ เปน็ ทอี่ ยูอ่ าศัยของสัตว์บกและสัตวน์ า้ นานา
ชนิด และรักษาไว้ ซง่ึ ระบบนเิ วศของพืน้ ทพ่ี รทุ ่ไี มส่ ามารถพฒั นากลับคืนมาได้
6) ดินทราย ( Sandy soils) ดินทรายพบทัว่ ไปบริเวณชายฝง่ั ทะเล ซ่ึงเกิดจาก
การทับถมของตะกอนดนิ ทรายจากวตั ถุตน้ กาเนิดดินที่มีเน้อื หยาบ พวกหนิ แกรนติ และหนิ ทราย
โดนไดร้ บั อทิ ธพิ ลของคลื่นและลมทะเลเกิดเป็นหาดทรายขนานไปกบั ชายฝ่งั ทะเล โดยทัว่ ไปดนิ เปน็
ดนิ ทรายจัด การระบายน้าของดินดีมากเกนิ ไปมธี าตุอาหารพชื ตามธรรมชาตติ ่ามาก อาจมเี ศษซาก
หอยปนอยใู่ นช้ันดนิ นอกจากนี้ ในบริเวณสนั ทรายเก่า (old sand dune) อาจพบดินทรายท่ีมีชั้น
ดานอินทรยี เ์ ช่ือมแขง็ หนา 20-40 เซนติเมตร สนี า้ ตาลหรือสดี า ซงึ่ เป็นข้อจากัดในการชอนไชของ
รากพืช
4.1.3 ทรพั ยากรพืช ปา่ ชายเลนเปน็ ท่ีรวมของสังคมพชื สัตวบ์ กและสัตว์น้าหลายชนิด
ปา่ ชายเลนเหน็ ได้ตามชายฝั่งทะเล ปากแม่น้า ลาคลอง และบริเวณรอบๆ เกาะ เราไดใ้ ชป้ ระโยชน์
จากทรพั ยากรปา่ เลนโดยตรงท้งั ทางด้านปา่ ไมแ้ ละด้านประมง ในดา้ นป่าไม้นั้นไมจ้ ากปา่ ชายเลน
โดยเฉพาะไมโ้ กงกางได้นามาเผาถ่าน ซึง่ ถอื วา่ เป็นถ่านทมี่ คี ุณภาพดี นอกจากนไ้ี มจ้ ากปา่ ชายเลน
หลายชนิดยังนามาใช้ทาฟนื สรา้ งบา้ นเรือน ทาเฟอรน์ ิเจอร์ อตุ สาหกรรมในการกลน่ั (กรดน้าสม้
นา้ มันดิน และเมทธลิ แอลกอฮอล์) และสกัดไม้ (แทนนนิ ) ไม้ป่าชายเลนท่ีสาคัญ ไดแ้ ก่ โกงกาง ลาพู
ไมถ้ ัว่ ไม้โปรง ไม้ฝาด ไม้ตะบนู ไมต้ ะบนั ตีนเปด็ ทะเล ไมถ้ ว่ั ไมต้ าต่มุ ไมแ้ ปง้ และแสม เป็นตน้ ไมช้ าย
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบนั บัณฑติ พฒั นบริหารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่งิ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล
2/ คณะส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล
11
เลนดังกลา่ วสามารถข้ึนไดใ้ นสภาพต่างกัน เช่น ไมแ้ สม ลาพู ชอบข้ึนริมน้าในพ้นื ดนิ ท่ดี ินเลนมีทราย
ผสม น้าทะเลทว่ มเป็นประจา ไม้โกงกางใบเล็กและใบใหญ่ชอบขน้ึ รมิ นา้ บรเิ วณดินเลนหนานา้ ทะเล
ท่วมเปน็ ประจาและไมถ้ ว่ั ไม้โปรงชอบขน้ึ ในดินเลนคอ่ นข้างแขง็ นา้ ทะเลท่วมถึง เปน็ ต้น นอกจากน้ี
ในบริเวณที่ป่าถกู ทาลายอาจจะพบปรงทะเลขน้ึ อยูห่ นาแน่น หรือถูกพฒั นาเป็นพน้ื ทีเ่ กษตร ถ้ามีการ
จดั การเรอื่ งน้าที่ดีกส็ ามารถปลูกข้าว มะพรา้ ว พชื ผกั พืชไรแ่ ละพชื อาหารสัตวบ์ างชนดิ ได้แก่
(ผักบุ้งจนี ชะอม คะน้า หน่อไม้ฝรั่ง สบั ปะรด มนั เทศ ถ่วั ข้าวโพด หญ้ากินนี เป็นตน้ ) นอกจากไม้ป่า
ชายเลนแล้ว บรเิ วณท่ลี าดไหล่ทวปี ไปจนถงึ ริมฝั่งทะเล พบวา่ เปน็ แนวของหญ้าทะเล ซึง่ สตั วน์ า้ หลาย
ชนดิ อาศยั เปน็ ทว่ี างไข่ หาอาหารและเจรญิ พนั ธ์ุ
4.1.4 ทรัพยากรสัตว์ บริเวณชายทะเล โดยเฉพาะป่าชายเลนนอกจากจะอดุ มสมบรู ณไ์ ป
ดว้ ยพชื พรรณไมท้ ี่มีคุณค่าทางเศรษฐกจิ แล้ว ป่าชายเลนยังเป็นแหลง่ อาหารที่สาคญั ของสตั ว์บกและ
สัตวน์ ้านานา ชนดิ บรเิ วณนอี้ ุดมสมบูรณไ์ ปด้วยสารอาหารพวกอนิ ทรยี ์ และอนนิ ทรยี ์ทถ่ี กู พดั พามา
จากพน้ื ท่ลี มุ่ น้าตอนบน และจากเศษพชื ของตน้ ไมบ้ รเิ วณป่าเลน จงึ ทาให้บรเิ วณดงั กลา่ วน้เี ป็นแหล่ง
วางไขแ่ ละเจรญิ พนั ธ์ขุ องสตั ว์น้าในวัยออ่ น การเนา่ เปอื่ ยของอนิ ทรีย์สารเป็นอาหารของสัตว์ใหธ้ าตุ
อาหารแก่สาหร่าย และแพลงค์ตอนพืชเป็นอาหารของสตั วฺนา้ พวกกินพืช สตั ว์น้าดังกลา่ วน้กี ลายเป็น
อาหารของสตั ว์ท่ีใหญก่ วา่ เกิดเปน็ วงจรของโซ่อาหาร (food chain) ขึน้ ดังน้นั บรเิ วณชายทะเล
โดยเฉพาะบริเวณป่าชายเลนจงึ เป็นท่ีอยอู่ าศัยของสตั วน์ า้ วัยอ่อน เช่น ก้งุ กลุ าดา กงุ้ แชบว๊ ย ปลา
กะพง ปลากระบอก ปลานวลจนั ทรท์ ะเล ปแู ละหอยหลายชนดิ สตั ว์เหลา่ นเ้ี มื่อเจริญเติบโตแข็งแรง
พอแลว้ จะออกสู่ทะเลลึกต่อไป นอกจากน้ี มนษุ ยย์ งั ได้อาศยั ความมน่ั คงและอุดมสมบรู ณ์ ในดา้ น
อาหารทางธรรมชาติในบรเิ วณชายทะเล โดยเฉพาะบรเิ วณป่าชายเลนเพาะเลยี้ งสัตวน์ ้าหลายชนิดได้ดี
เช่น กงุ้ กลุ าดา ปลาเกา๋ ปลากะพงและหอยตา่ ง ๆ นอกจากสัตวน์ ้าต่าง ๆ แลว้ บรเิ วณปา่ ชายเลน
ยังอุดมไปดว้ ยสตั วแ์ ละแมลงต่าง ๆ อีกหลายชนิด เช่น ลงิ แสม เสือปลา นาก จระเข้ งู ผ้ึง ฯลฯ เป็น
ตน้
4.1.5 ทรพั ยากรแร่ ทรพั ยากรแรใ่ นบริเวณชายทะเล ไดแ้ ก่ แร่ หนิ ดิน ทราย
เพอ่ื อุตสาหกรรม นา้ บาดาล ปโิ ตเล่ียม นา้ พรุร้อน และอัญมณตี ่าง ๆ แรท่ ่ีสาคญั และได้รับสัมปทาน
แลว้ ไดแ้ ก่ ดบี กุ ทราย กา๊ ซและนา้ มนั ธรรมชาติ ปัจจุบนั มกี ารทาเหมอื งแรด่ บี กุ ในบรเิ วณป่า
ชายเลนของจังหวดั ระนอง พงั งา และภเู ก็ต สว่ นในจังหวดั ตรัง สตลู และกระบี่ มกี ารสารวจแลว้ แต่ยัง
ไม่ได้มีการทาเหมือง นอกจากน้ีมีการทาเหมอื งทราย และการร่อนแร่ดีบุก บริเวณหาดทราย ของ
จงั หวัดระยอง น้ามนั และก๊าซธรรมชาตมิ ีการดาเนินการแลว้ ในทะเลอา่ วไทย
4.2 ระบบนิเวศวิทยาชายฝ่ังทะเล
ระบบนิเวศชายฝ่งั ทะเล เป็นระบบนิเวศทมี่ คี วามเปราะบางและซบั ซอ้ น มีความสัมพันธก์ ัน
อย่างหลีกเลยี่ งไมไ่ ด้ ทรัพยากรธรรมชาติชายทะเลมีศักยภาพสูงที่สามารถพัฒนานามาใช้ใหเ้ กิด
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสิ่งแวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล
2/ คณะส่ิงแวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล
12
ประโยชน์ แตก่ ารใช้ทรพั ยากรตา่ ง ๆ นัน้ จะตอ้ งมีแผนและกลวิธีการใชท้ รพั ยากรให้เกิดประโยชน์
และกระทบกระเทือนต่อระบบนิเวศน้อยทสี่ ดุ ระบบนิเวศชายฝ่ังทะเลท่ีสาคัญพอแยกกล่าวโดยสงั เขป
ดังน.ี้ -
1) เกาะ เกาะเกิดขน้ึ ด้วยขบวนการทางธรณีวิทยา โดยการเปลีย่ นแปลงระดบั ของนา้ ทะเล
หรอื เกิดจากการระเบิดของภเู ขาไฟ เกาะเปน็ ทอ่ี ยู่อาศยั ของสง่ิ มชี ีวติ ท้ังสัตวป์ กี สตั ว์บกและสตั ว์น้า
หลายๆ ชนิด เป็นท่หี ลบภัย พายุ ลม ของสตั วน์ านา ชนิด เป็นแหลง่ อาหารทอี่ าศัยชองนกทะเล
หลายชนดิ และเปน็ ท่วี างไข่ของสตั ว์น้าหลายยชนิด เชน่ เต่า จระเข้ ฯลฯ เปน็ ตน้
2) ปา่ ชายเลน มรี ะบบนิเวศทซ่ี บั ซอ้ นและเปราะบาง ประกอบไปดว้ ย สงั คมพชื และสตั ว์
ท้ังสตั ว์บกและสัตว์นา้ หลายชนดิ มนี ้าทะเลและน้ากรอ่ ยทว่ มถึงสมา่ เสมอตลอดปี เป็นแหล่งอาหาร
ของสตั ว์น้าในวยั อ่อน เนอื่ งจากบรเิ วณนอ้ี ุดมไปด้วยสารอินทรยี ท์ ่เี กิดจากการเน่าเปื่อยของเศษใบและ
ตน้ ของไมใ้ นป่าเลน และสารอินทรียท์ ีถ่ ูกพฒั นามาปนกบั ตะกอนจากพื้นที่ลมุ่ น้าตอนบน นอกจากน้ี
ป่าเลนยงั เปรียบเสมือนแนวปา่ กนั บงั ลมป้องกันการกัดเซาะของชายฝั่งทีเ่ กิดจากกระแสคล่ืนและลม
และเป็นตะแกรงดกั ส่ิงปฏิกูล และตะกอนดินทจ่ี ะพดั พาลงสูแ่ นวหญ้าทะเลและปะการัง
3) ที่ราบนา้ ทว่ มถงึ และแหล่งหญา้ ทะเล ที่ราบนา้ ทว่ มถึงเกดิ โดยขบวนการของกระแสนา้
ขึน้ และลงกวาดท้องทะเล ส่วนทีต่ ้ืนจนมลี ักษณะราบเรยี บ ทีร่ าบนี้จะโผล่ขึ้นเม่อื นา้ ทะเลลดลงตา่
และจะจมเมอ่ื น้าทะเลขึ้นสงู บรเิ วณน้เี ราเรียกว่า หาดเลน (mud flats) หญ้าทะเลเปน็ พชื น้าเค็มท่ี
เกดิ ในนา้ ต้นื ในเขตอบอุ่นและเขตรอ้ น เปน็ พชื ใต้ทะเลซ่งึ ใบและเศษของใบเปน็ อาหารปลา กงุ้ ปู
และสัตวน์ ้าอ่ืน ๆ ทอ่ี าศยั อยกู่ ้นทะเล นอกจากนห้ี ญา้ ทะเลยังเป็นทด่ี กั ตะกอนดินและยึดตะกอนดิน
เข้าด้วยกัน ซึ่งเปน็ การตอ่ ตา้ นการกดั เซาะของน้าต่อผิวดินใต้ทอ้ งนา้ ดว้ ย เป็นแนวกาบงั คลน่ื และเป็น
ที่อยู่อาศยั ของสัตวน์ ้าในบรเิ วณใกล้ชายฝ่ัง
4) ปากแมน่ า้ และบรเิ วณสามเหลีย่ มปากแมน่ า้ เป็นบรเิ วณทนี่ ้าจืดและนา้ เค็มมารวมกนั
ตะกอนดนิ จากพน้ื ที่ลมุ่ นา้ ตอนบนจะเรม่ิ รวมตวั กนั ตกตะกอน อินทรียส์ ารและอนินทรีย์สารต่าง ๆ
ถกู พัดพามาทาให้เกดิ วงจรโซอ่ าหารท่ีสมบูรณ์ จึงเปน็ แหลง่ ทม่ี สี ัตวน์ ้าชุกชมุ ท้งั ในธรรมชาติเองหรือ
สามารถทาการเพาะเล้ียงไดด้ ี
5) ชายหาด เกดิ ขนึ้ จากการสะสมของตะกอนทไ่ี ม่อัดตวั กันแนน่ ตะกอนเหล่านถี้ กู พดั พา
มาสู่ฝงั่ รวมตัวกนั เป็นรูปรา่ งที่มลี กั ษณะของหาดต่างกัน ท้ังนขี้ ึน้ อยู่กบั แรงคลนื่ และการเคล่อื นไหว
ของนา้ ตะกอนเหล่าน้ีมีขนาดตา่ งกัน ตัง้ แต่เศษหินจนถงึ ทรายเมด็ ละเอยี ดและโคลน ชายหาดไม่ใช่สิ่ง
ทเี่ กดิ ขนึ้ ถาวรแตเ่ ปน็ สภาพภูมปิ ระเทศ ซง่ึ มีการเปลี่ยนแปลงอย่เู สมอและมีการกัดเซาะและ/หรอื งอก
อยู่ตลอดเวลา เปน็ แหลง่ อาศัยและท่ีวางไข่ของสตั วบ์ างชนิด เช่น เตา่ ทะเล แย้ ฯลฯ เป็นต้น
นอกจากน้ียังเปน็ แหลง่ แรแ่ ละโลหะหนักบางชนดิ กิจกรรมบางอย่างอาจทาให้เกิดการกดั เซาะของ
ชายหาดเรว็ ขึน้ เชน่ การทาเหมอื งบนสันทราย การกอ่ สร้างสะพานปลา เขอื่ นกน้ั นา้ เคม็ อยา่ งไมถ่ ูก
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบันบัณฑิต พัฒนบริหารศาสตรแ์ ละวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่ิงแวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล
2/ คณะส่งิ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
13
วิธี มผี ลทาให้กระแสนา้ ตามแนวชายฝง่ั และแรงของคลืน่ เปลยี่ นไป และนาไปสกู่ ารกัดเซาะหรอื การ
งอกของพน้ื ทีท่ ่ีไม่พงึ ปรารถนา
6) ปะการงั ปะการังเป็นกลุ่มของสัตว์ขนาดเล็กเกดิ ขึ้นตามแนวชายฝั่งทะเลตืน้ บรเิ วณ
ไหลท่ วีปและรอบ ๆ เกาะในเขตร้อน ท่ซี ง่ึ มนี ้าใส อบอุน่ ปราศจากตะกอนแขวนลอย และมีปริมาณ
ออกซิเจนในน้าสงู มีพชื พวกเห็ดรา ( algae ) ซง่ึ สามารถสังเคราะหแ์ สงได้ ปะการังสามารถดารงชวี ติ
อยูไ่ ดจ้ ากผลผลติ ชั้นปฐมภมู ิ ซึง่ เกิดขนึ้ บนแนวปะการังน้ันและจากอินทรยี ์สาร ซ่งึ กระแสน้าพดั พา
มายังแนวปะการงั อยตู่ ลอดเวลา ดงั น้นั แนวปะการงั จงึ เป็นทอี่ ยู่อาศยั และมีอาหารอันอุดมสมบรู ณ์แก่
สตั วน์ ้า นอกจากนี้ แนวปะการงั ยงั ทาหนา้ ท่ีรับแรงกระแทกของคลนื่ จงึ ช่วยลดการกัดเซาะและ
อันตรายจากคลนื่ ที่จะเกิดขนึ้ กบั บรเิ วณชายฝัง่ ทะเลดา้ นหลังแนวปะการัง เช่น แผ่นดิน เกาะ และ
ชายหาด เปน็ ต้น
5.ปญั หาและการใช้ทรพั ยากรท่ีดนิ ชายทะเล
เป็นท่ีทราบกนั เปน็ อย่างดแี ล้ววา่ ทรัพยากรชายฝ่งั ทะเลมอี ยู่อยา่ งอุดมสมบูรณ์ จึง
เปน็ เหตใุ ห้มกี ารตง้ั ถ่นิ ฐานของชุมชนและประกอบกิจกรรมต่างๆ อย่างมากมายบริเวณชายฝ่ังทะเล
ทรพั ยากรชายทะเลหลายชนิดได้ถกู นามาใชอ้ ย่างมากมายจนทาใหเ้ กิดปญั หาในการใชท้ รัยพากรและ
กระทบกระเทอื นต่อระบบนเิ วศของพนื้ ท่ี นอกจากนีย้ งั เกดิ ความขัดแย้งตา่ งๆ ในการใชท้ รัพยากร
ชายฝั่งทะเลร่วมกนั ทาใหข้ าดการผสมผสานในการใช้และจดั การทรัพยากรรว่ มกนั อนั สง่ ผลไปสกู่ าร
ถดถอยและเสอื่ มโทรมของทรพั ยากรและระบบนิเวศ การทราบถงึ ปัญหาและการใชท้ รพั ยากรทด่ี ิน
ชายทะเลจะช่วยเป็นแนวทางในการใชแ้ ละการจัดการทรพั ยากรให้เกิดผลสูงสดุ และใช้ให้ยาวนาน
ยิง่ ขน้ึ ปญั หาและการใช้ทรัพยากรท่ีดนิ ชายทะเลจาแนกแสดงแต่ละกิจกรรมหลกั โดยมีรายละเอยี ด
โดยสงั เขปดงั น้ี
5.1 ปัญหาและการใชท้ รัพยากรปา่ ไม้ ตามแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบบั
ที่ 6 (พ.ศ. 2530-2534) และนโยบายการปา่ ไม้แห่งชาติ พ.ศ. 2528 ไดใ้ หค้ วามสาคัญตอ่ ทรัพยากรป่า
ไม้เป็นอย่างมาก โดยกาหนดเปา้ หมายให้มพี ้ืนท่ีป่าไม้ไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 40 ของพืน้ ทป่ี ระเทศ โดยให้
เป็นปา่ อนรุ กั ษร์ อ้ ยละ 15 และป่าเศรษฐกจิ ร้อยละ 25 แต่ข้อเท็จจรงิ ปรากฎว่าพน้ื ทปี่ ่าไม้ที่เหลอื อยู่
ในปจั จุบันตา่ กว่าเปา้ หมายท่วี างไว้เปน็ อยา่ งมากและยังมีแนวโน้มลดลงเรอื่ ยๆ
ป่าชายเลนตามแนวชายฝง่ั ของประเทศโดยทัว่ ไปกถ็ ูกบุกรุกอยา่ งรนุ แรงเช่นเดยี วกัน ป่าชาย
เลนซึ่งมบี ทบาทสาคญั ในการรกั ษากาลังการผลติ ของการประมง ท้งั ประมงชายฝัง่ และประมงทะเล
นอกจากปา่ ชายเลนเปน็ แหล่งอาหารทสี่ าคัญของสัตว์นา้ เปน็ ทอ่ี ยูอ่ าศัย แหลง่ อนุบาลและหลบซอ่ น
ของสัตวน์ า้ ในวยั อ่อนแล้ว ยังช่วยป้องกันการพงั ทะลายของฝั่งอกี ด้วย ปัจจบุ นั การทาลายพน้ื ท่ีป่าชาย
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบนั บัณฑิต พฒั นบริหารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสิ่งแวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล
2/ คณะส่งิ แวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล
14
เลนมแี นวโน้มเพม่ิ ข้นึ เน่ืองจากการเพิม่ ของจานวนประชากรในพ้นื ท่ีบริเวณชายฝั่งและปา่ ชายเลนจะ
ถกู มองว่าเปน็ ท่ีวา่ งเปลา่ ไร้ประโยชน์ มคี ่าน้อย จึงมีการพฒั นาพนื้ ท่ปี า่ ชายเลนเพอ่ื กจิ การต่างๆ เช่น
การทาเหมอื งแร่ การขยายตวั ของชมุ ชน การสรา้ งท่าเทียบเรอื โรงงานอุตสาหกรรม การทาถนน และ
ทาการเกษตร โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงการทานาก้งุ เปน็ ผลให้พื้นท่ปี า่ ชายเลนลดลงโดยลาดับ กล่าวคอื ใน
ปี พ.ศ. 2504 มพี น้ื ที่ปา่ ชายเลนเหลอื อยปู่ ระมาณ 2.3 ล้านไร่ แต่ใน ปี พ.ศ. 2539 พบว่ามีพ้ืนท่ปี า่
ชายเลนอย่เู พยี ง 1.05 ลา้ นไร่ (ตารางท่ี 2 )
สตั วป์ า่ ซง่ึ เป็นองคป์ ระกอบสาคัญของระบบนิเวศนป์ า่ ไม้ ปัจจบุ ันมกี ารลกั ลอบนามา
เปน็ สนิ คา้ และลา่ เกินขอบเขต ทาให้จานวนประชากรของสตั วป์ ่าลดลงอย่างรวดเรว็ ในขณะเดยี วกัน
การสญู เสยี ปา่ ไม้ทอ่ี ุดมสมบรูณ์ซงึ่ เป็นแหลง่ ท่ีอยอู่ าศัยของสัตวป์ ่ามีส่วนทาใหจ้ านวนสัตว์ป่าลดลง
และเปน็ การนาไปสกู่ ารสูญพันธขุ์ องสัตวต์ ่างๆ ซ่ึงสัตวป์ ่าบางชนิดได้สูญพันธุ์ไปแล้ว เชน่ สตั วเ์ ลย้ี งลูก
ด้วยนม 4 ชนดิ และนก 9 ชนดิ เป็นตน้ และในปี
พ.ศ. 2536 จากรายงานของกรมปา่ ไม้ พบวา่ ทัว่ ประเทศมีสัตว์เล้ยี งลกู ดว้ ยนมเหลอื อยู่เพยี ง 285
ชนดิ นก 923 ชนิด สัตวเ์ ล้ือยคลาน 313 ชนิด สัตว์สะเทนิ นา้ สะเทินบก 106 ชนดิ
ตารางที่ 2 พนื้ ท่ีป่าชายเลนในชว่ ง พ.ศ. 2504 - 2539
พ.ศ. เน้อื ที่ (ไร)่ ลดลงจากปกี ่อน (ไร)่
2504 2,299,375
2515 1,954,375 345,000
2522 1,795,675 158,700
2529 1,227,674 568,001
2532 1,128,750 98,924
2534 1,112,694 16,056
2535 1,096,169 16,525
2536 1,054,266 41,903
2539 1,047,390
6,876
ท่ีมา กรมป่าไมัและกรมพฒั นาท่ดี ิน 2542.
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบันบัณฑิต พัฒนบรหิ ารศาสตรแ์ ละวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่งิ แวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล
2/ คณะส่งิ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล
15
ดงั น้นั การเสอื่ มโทรมของทรพั ยากรป่าไม้ จงึ เปน็ ผลสืบเนอ่ื งมาจากการเพ่ิมข้ึนของ
จานวนประชากรของประเทศ ความต้องการใช้ประโยชนจ์ ากทรัพยากรป่าไมท้ ่สี ูงข้ึน การ
ร้เู ท่าไม่ถึงการ และความไมจ่ ักคุณคา่ ของทรพั ยากรป่าไมแ้ ละความสาคญั ของระบบนิเวศวทิ ยา เชน่
1.) การใช้ประโยชนจ์ ากผลผลิตของป่าทีม่ ากเกนิ ไป จนเกนิ ขีด
ความสามารถของปา่ ท่ีจะใหผ้ ลผลิตทถี่ าวรได้ ซึ่งล้วนกอ่ ใหผ้ ลกระทบต่อปา่ ไมโ้ ดยตรงในแง่ของการ
ให้ผลผลิตและการมสี ว่ นช่วยเฝ้ารักษาธรรมชาตแิ วดลอ้ มในระบบนเิ วศน์
2.) การขยายพื้นท่ีทางการเกษตร เนอ่ื งจากการเพม่ิ ขน้ึ ของประชากร ทาให้ความ
ตอ้ งการพนื้ ท่เี กษตรขยายตัวเพม่ิ ขนึ้ ตามไปด้วย เกษตรกรในทอ้ งถน่ิ ชนบททอี่ าศัยอยบู่ ริเวณติดกบั ปา่
จะขยายพนื้ ท่เี กษตรของตนเอง โดยการแผว้ ถา้ งทาลายป่าบริเวณทอี่ ยู่ขา้ งเคียงเพอ่ื ถือครอง
นอกจากน้ีราษฎรทไ่ี มม่ ที ี่ดินทากินเป็นของตนเองก็มกั จะบกุ รุกพืน้ ที่ป่าเพ่ือจับจองเป็นพน้ื ทีท่ ากนิ ของ
ตนเองเช่นกนั
3.) อุตสาหกรรมบางชนิดทใ่ี ช้ไม้เป็นเชื้อเพลงิ ในกระบวนการผลติ บางชนดิ มี
ส่วนทาให้มีการลกั ลอบตัดไม้ทาลายป่า เช่นอุตสาหกรรมการเผาอฐิ การทาเครอ่ื งป้ันดนิ เผา การทา
ปูนขาว การทาเสน้ กว๋ ยเตีย๋ ว ฯลฯ. ซ่ึงแต่ละปีมีการใชไ้ มเ้ ปน็ เชื้อเพลิงในปรมิ าณมาก ปจั จบุ นั น้ียังมิได้
มกี ารปลกู ป่าเพ่อื อุตสาหกรรมประเภทนี้โดยตรง นอกจากน้ีประชาชนโดยเฉพาะในเขตชนบทยงั คงใช้
ไมฟ้ นื และถ่านเปน็ เชอื้ เพลงิ ในการหงุ ตม้ และบางครั้งกเ็ ปน็ การใชอ้ ยา่ งไม่ประหยัด ซง่ึ แต่ละปีคาดว่า
ประเทศไทยตอ้ งใชไ้ ม้เพือ่ การน้ไี มน่ ้อยกวา่ 30 ลา้ นลกู บาศก์เมตร
4.) การลกั ลอบตัดไม้เพื่อแปรรปู เน่อื งจากราคาไม้ในท้องตลาดมี
แนวโน้มสูงข้ึน เป็นเหตุจงู ใจให้มกี ารลักลอบตัดไม้เพือ่ แปรรูปขายในทอ้ งตลาดกันอยา่ งกว้างขวาง
สรา้ งความเสียหายและเสือ่ มโทรมแก่ปา่ ไม้โดยทว่ั ไป
5.) การบกุ รกุ พืน้ ที่ป่าของนายทนุ เพ่อื หวังผลกาไรจากการใช้พืน้ ที่ในอนาคต
โดยเฉพาะจากการท่องเท่ยี ว จะเห็นไดจ้ ากการบกุ รุกสร้างสถานทีพ่ ักผอ่ น และสนามกอลฟ์ กันอย่าง
มากมาย ซึง่ นายทนุ เหล่านม้ี ีวธิ ีการเลี่ยงกฎหมายเพ่อื ใหไ้ ด้มาซึ่งกรรมสทิ ธิ์ในการครอบครอง
6.) การขยายตัวของธรุ กจิ การเกษตรบางชนดิ ส่งผลกระทบต่อพน้ื ทป่ี า่ ใน
ระยะ 10 ปีทีผ่ ่านมา มกี ารบกุ รุกพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อเล้ยี งก้งุ กนั อย่างกว้างขวาง เพราะเป็นธรุ กิจที่ให้
ผลตอบแทนสูง ทาความเสยี หายให้แกป่ ่าชายเลนของประเทศเป็นอย่างมาก แหลง่ อนบุ าลตาม
ธรรมชาติของสตั ว์ทะเล ไดแ้ ก่ กุง้ หอย ปู ปลา ถูกทาลายเสียหายเกนิ วิสยั ท่จี ะฟน้ื ฟใู ห้กลบั คืนสภาพ
เดมิ ได้ สรา้ งมลพิษและทาใหน้ า้ ทะเลบริเวณทม่ี กี ารเลี้ยงกุ้งเสือ่ มโทรมจนสตั วท์ ะเลไม่สามารถทจ่ี ะ
เจรญิ พันธหุ์ รอื เจรญิ เตบิ โตได้
7.) โครงการพฒั นาของรัฐบาลและเอกชนบางโครงการ ก่อให้เกดิ ความ
เสยี หายและความเสือ่ มโทรมตอ่ ทรัพยากรปา่ ไม้ เชน่ โครงการสรา้ งเขอ่ื น การตัดถนนและการเดนิ
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบันบัณฑติ พัฒนบรหิ ารศาสตรแ์ ละวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
2/ คณะสง่ิ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล
16
สายไฟแรงสงู ผ่านบรเิ วณปา่ การสร้างท่าเรอื ในบริเวณปา่ ชายเลน เป็นตน้ ทาให้ต้องมีการตัดไมแ้ ละ
แผ้วถางป่าเปน็ บรเิ วณกว้าง ก่อใหเ้ กิดผลกระทบต่อทรัพยากรปา่ ไม้ดว้ ยเช่นกัน
5.2 ปัญหาและการใช้ทรัพยากรนา้
5.2.1 นา้ ฝน จากสถิติปรมิ าณนา้ ฝนในแถบพนื้ ท่ีชายทะเล ตามภูมภิ าคตา่ งๆ ของประเทศ
ไทย เฉล่ียตั้งแต่ พ.ศ.2503 จนถึง พ.ศ. 2536 มีปรมิ าณฝนตกเฉล่ีย ภาคใต้ฝ่งั ตะวันตกมากท่ีสุด
2,760 มิลลเิ มตร รองลงมา ภาคตะวันออก 2,011 มลิ ลเิ มตร ภาคใต้ฝั่งตะวนั ออก 1,764 มิลลิเมตร
และภาคกลางซง่ึ มฝี นตกน้อยทส่ี ุด 1,226 มิลลิเมตรตามลาดบั (ตารางท่ี3) ปรมิ าณนา้ ฝนที่ตกมี
แนวโนม้ ลดลงทกุ ปี ประมาณรอ้ ยละ 0.42 ตอ่ ปี (สานกั นโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม, 2538)
ตารางท่ี 3 ปรมิ าณฝนในพน้ื ที่ชายทะเล (รายภาค) พ.ศ. 2535-36
หน่วย : มิลลิเมตร
ปริมาณฝน ความแตกต่างจากปริมาณฝนเฉลีย่
พ.ศ. 2535 พ.ศ.2536
พนื้ ท่ี (2503-2536) พ.ศ.2535 พ.ศ.
-90 -301
2536 -477 -279
-307 +25
ภาคกลาง 1,232 1,142 931 -672 +103
ภาคตะวนั ออก 2,011 1,534 1,732
ภาคใต้ฝงั่ ตะวนั ออก 1,768 1,457 1,789
ภาคใต้ฝั่งตะวันตก 2,760 2,088 2,863
ทมี่ า กรมชลประทาน
5.2.2 นา้ ทา่ ปรมิ าณฝนที่ตกรอ้ ยละ 25 ของปรมิ าณฝนท่ตี กทงั้ หมดในประเทศ จะไหลลงสู่
แม่นา้ ลาธารไปเปน็ นา้ ท่า และปรมิ าณนา้ ทา่ จานวนดังกล่าวในพ้นื ทชี่ ายทะเล จะพบมากทสี่ ดุ ในเขต
ภาคใต้ ประมาณ 49,700 ลา้ นลกู บาศกเ์ มตรตอ่ ปี รองมา ได้แก่ ภาคกลางและภาคตะวนั ตกซึง่ มี
ปรมิ าณรวมกัน ประมาณ 25,900 ล้านลกู บาศก์เมตรต่อปี และภาคตะวนั ออกซง่ึ มปี รมิ าณน้อยท่ีสดุ
ประมาณ 22,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และจะเหน็ ได้ว่าในปัจจุบันปรมิ าณน้าทา่ ทีไ่ หลลงสูล่ านา้
สายสาคญั หลายสายมแี นวโนม้ ลดลง ท้งั นีเ้ นือ่ งจากสาเหตุทสี่ าคัญก็คอื ปา่ ไมซ้ ่งึ เปน็ แหล่งต้นนา้ ลาธาร
ได้ถกู บกุ รุกทาลายอยา่ งรวดเรว็ ทาใหพ้ ้ืนทร่ี องรบั น้าฝนตามธรรมชาติลดลง ส่งผลกระทบใหเ้ กิด
ปญั หาการขาดแคลนน้าตามมา (สานักงานนโยบายและแผนสงิ่ แวดล้อม,2537)
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบนั บัณฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสง่ิ แวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล
2/ คณะสงิ่ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล
17
5.2.3. นา้ ใตด้ ิน ปจั จบุ นั มกี ารพัฒนาน้าบาดาลข้ึนมาใช้ประโยชน์ในการพฒั นามาใช้
ประโยชนใ์ นการพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมของประเทศ มีความสาคญั เพมิ่ ข้นึ เป็นลาดับ และแหลง่ น้า
บาดาลน้ีโดยทั่วไป ปรมิ าณนา้ ข้นึ อยูก่ ับลกั ษณะทางกายภาพของชัน้ ดินในแต่ละพืน้ ที่ ซง่ึ สามารถ
จาแนกเป็นภาคต่างๆ ในเขตพ้นื ท่ีชายทะเล ดงั น้ี
1.) แหล่งน้าบาดาลภาคกลาง บริเวณทร่ี าบลมุ่ น้าเจ้าพระยาตอนล่างเปน็ แหล่งนา้ บาดาล
ขนาดใหญ่ท่ีสุด และให้น้ามากท่ีมากทส่ี ุดของประเทศ น้าบาดาลบางบ่อสามารถใหน้ า้ ไดส้ งู เฉลย่ี 100
- 300 ลกู บาศก์เมตรตอ่ ช่วั โมง
2.) แหล่งน้าบาดาลภาคตะวันตก บรเิ วณท่ีราบลมุ่ นา้ แมก่ ลอง บางพน้ื ท่ีอาจ
ใหน้ ้าได้สงู ถึง 150 ลูกบาศก์เมตรตอ่ ช่วั โมง
3.) แหลง่ น้าบาดาลในภาคตะวนั ออก ต้ังแต่จังหวดั ชลบรุ ี ระยอง และจันทบุรี ลกั ษณะ
ธรณวี ทิ ยาในพื้นทส่ี ่วนใหญ่เปน็ หนิ แขง็ ไม่ค่อยพบรอยแตกร้าว จงึ เปน็ บริเวณทีใ่ ห้น้านอ้ ย โดยเฉล่ีย
ให้นา้ ได้ไมเ่ กิน 5 ลูกบาศกเ์ มตรตอ่ ช่วั โมง เว้นแต่บางบรเิ วณลุม่ น้าบางปะกง ซึ่งอาจใหน้ า้ ไดส้ ูงถงึ
50 ลูกบาศก์เมตรต่อชว่ั โมง
4.) แหล่งน้าบาดาลภาคใต้ พืน้ ท่ชี ายฝ่ังทะเลทิศตะวันออก มชี นั้ กรวดทรายท่สี ามารถให้
น้าได้มากถึง 200 ลูกบาศก์เมตรตอ่ ช่ัวโมง และมีช้นั หินปูนบรเิ วณจังหวดั พัทลงุ ตรงั ซง่ึ สามารถให้นา้
ได้มากถึง 200 ลกู บาศก์เมตรต่อชั่วโมง สว่ นบริเวณอ่นื กจ็ ะมนี า้ บ้างแตไ่ มม่ ากนกั
จากสถานการณ์ของทรัพยากรนา้ ทีผ่ ่านมานัน้ ประสบกับปัญหาความไม่สมดลุ ระหว่าง
ปรมิ าณน้าในฤดูแล้งมคี วามแหง้ แล้งรุนแรงขาดแคลนน้าในการอุปโภคบรโิ ภค น้าใชใ้ นการเกษตร
และกิจการอน่ื ๆ ทส่ี าคญั สว่ นในฤดฝู นนน้ั มีนา้ มากเกนิ พอก่อให้เกิดอทุ กภัยและความเสียหาย และ
นอกจากนค้ี ณุ ภาพนา้ ในแมน่ า้ สายหลัก โดยเฉพาะตามบรเิ วณปากแมน่ า้ ซ่ึงมีกระแสน้าไหลช้า มี
คุณภาพที่เสอ่ื มโทรมลงเรอ่ื ยๆ จากรายงานของสานักคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแหง่ ชาติ (2535) ได้
รายงานว่าคณุ ภาพนาในแมน่ าเจ้าพระยา แมน่ าท่าจนี และแมน่ าบางปะกง ในช่วง 10 ปที ผ่ี ่านมา
(พ.ศ. 2524-2533) มคี ณุ ภาพท่ีเส่อื มโทรมลง เนื่องจากมกี ารปล่อยนาเสยี จากแหล่งชุมชนลงสแู่ มน่ า
และมกี ารขยายตัวของชุมชนทีเ่ ป็นไปอยา่ งรวดเร็ว โดยยังไมม่ ีมาตรการที่เข้มงวดและรัดกุมมากเพียง
พอท่ีจะควบคุมนาทงิ จากชมุ ชนดังกล่าว
นบั ตงั้ แต่ พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา เกิดภาวะการขาดแคลนนา้ อย่างต่อเน่ืองเรื่อยมาและมี
ความรุนแรงเพม่ิ ขึน้ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในเขตพ้นื ทีช่ ายทะเลของภาคกลาง ภาคตะวันออก และ
ภาคใต้บางจงั หวดั ทาให้เกิดปัญหาหลายประการท่ีนาไปสวู่ กิ ฤตการณก์ ารขาดแคลนนา้ ในทส่ี ุด สรุป
ไดด้ งั น้ี
1.) ความตอ้ งการน้าใช้ในกิจการตา่ งๆ เพิ่มสูงขน้ึ รวมทั้งการอปุ โภคบรโิ ภคทาให้การ
แบง่ สรรปนั ส่วนปรมิ าณน้าทม่ี อี ยู่ไมท่ ว่ั ถึง
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบนั บัณฑิต พฒั นบริหารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสิง่ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล
2/ คณะสง่ิ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล
18
2.) ความไมส่ มดุลของทรัพยากรนา้ ในช่วงฤดแู ล้งมีปรมิ าณนา้ นอ้ ยไมเ่ พียงพอแกค่ วาม
ต้องการที่มีอยู่ เกิดภาวะการขาดแคลนน้า แตใ่ นช่วงฤดูฝนมีน้ามากจนเกินความตอ้ งการ เกดิ ภาวะนา้
ทว่ ม
3.) การใชน้ ้าในกิจการต่างๆ นัน้ ขาดแผนการใชท้ ่ีรดั กุมและเหมาะสม รวมทัง้ องคก์ รใน
ระดบั ชาตทิ ีต่ ง้ั โดยมติ คณะรัฐมนตรี ท่มี าบริหารการจัดการน้ายังไม่มนี โบายและควบคุมการจัดสรร
น้าใหเ้ หมาะสมและชดั เจน
4.) แหลง่ นา้ ที่มีอยปู่ ัจจุบันมสี ภาพเสื่อมโทรม คณุ ภาพนา้ ในแหลง่ น้าตา่ งๆ เนา่ เสยี ตลอดจน
พ้ืนทีช่ ุม่ นา้ ต่างๆหลายแห่งในพ้นื ที่ชายทะเลถูกบุกรกุ ทาลาย เนอ่ื งจากการขยายของหม่บู ้านจดั สรร
โรงงานอุตสาหกรรมรมิ ลาน้า และการทาการเกษตร ตลอดจนนโยบายทีจ่ ะใช้พื้นที่ชายทะเลเปน็ เขต
การผลติ โดยตรง
5.) ผู้ใช้น้าในกิจกรรมต่างมคี วามขดั แยง้ ในการใช้นา้ ร่วมกัน และยังไมใ่ ห้ความสนใจทจี่ ะ
ร่วมมอื กนั เองระหว่างกลุ่มและรว่ มมือกบั ทางราชการเพ่ือประโยชน์ในการใชท้ รพั ยากรนา้ อยา่ งมี
ประสิทธภิ าพ
6.) การเปล่ียนแปลงการใชท้ ี่ดนิ เพอื่ กิจกรรมอน่ื นอกเหนอื จากการกสิกรรม หรอื การประมง
แบบยังชีพ เช่นการใช้ทด่ี ินทานากงุ้ นาปลา และนิคมอุตสาหกรรม ฯลฯ ผลให้ผู้ใชน้ า้ อ่ืนๆ ไดร้ ับนา้
ผดิ จากการวางแผน
7.) ขาดการควบคมุ ดแู ล ปรบั ปรุงรักษาแหลง่ นา้ ต่างๆ รวมท้ังการใชน้ า้ ในกิจกรรมตา่ งๆ ท่ีมี
ประสิทธิภาพ
5.3 ปัญหาการใช้ที่ดนิ เพ่อื กจิ การเหมอื งแร่ ทรพั ยากรแรธ่ าตุนบั วา่ เป็น
ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ม่ี คี วามสาคัญตอ่ การพฒั นาเศรษฐกิจของชาติ ถงึ แม้วา่ ปัจจุบนั แร่ดบี กุ ซ่งึ เคย
เปน็ รายได้หลกั ของประเทศจะประสบภาวะราคาแร่ตกตา่ แตก่ ็มีการผลิตแรช่ นิดใหม่ๆ ขน้ึ มาทดแทน
อีกหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแร่ปโิ ตรเลียมและลกิ ไนต์ ซ่ึงสามารถทดแทนการนาเขา้ เชื้อเพลิง
ธรรมชาติปหี นึ่งๆ หลายหม่ืนลา้ นบาท นอกจากน้ันไดม้ ีการผลติ แรเ่ พอ่ื เป็นวัตถดุ บิ สาหรับ
อุตสาหกรรมภายในประเทศเพม่ิ มากขน้ึ ทาให้มีการขยายตวั ทางด้านอตุ สาหกรรมอย่างรวดเร็ว เช่น
การผลิตแรเ่ พือ่ เปน็ วตั ถุดิบในอตุ สาหกรรมซเี มนต์ และซีรามิก เปน็ ต้น
เน่อื งจากแรธ่ าตุเปน็ ทรพั ยากรธรรมชาติประเภทหมดเปลอื ง ไมส่ ามารถเกิดทดแทนขึ้นได้ใน
ระยะเวลาส้นั ๆ การบริหารการจดั การทรัพยากรแรธ่ าตใุ หเ้ กิดประโยชน์สูงสดุ แก่ประเทศ และ
เหมาะสมกบั เวลาจึงเป็นเรอื่ งสาคัญ นอกจากนน้ั การพฒั นาข้นึ มาใชป้ ระโยชน์โดยไมม่ มี าตราการ
ปอ้ งกนั ท่ดี ยี ังก่อใหเ้ กดิ ความเสยี หายแกท่ รพั ยากรธรรมชาติอ่ืนๆ ทอ่ี ยู่ในบรเิ วณเดยี วกัน เช่น ปา่ ไม้
แหล่งน้า แหลง่ ธรรมชาตอิ นั ควรอนรุ ักษ์ต่างๆ เป็นต้น ฉะนนั้ การพฒั นาทรัพยากรแร่อย่างมี
ประสทิ ธภิ าพจงึ จาเปน็ ต้องคานึงถงึ การอนรุ ักษส์ ่ิงแวดล้อมควบคู่กนั ไป
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบันบณั ฑิต พัฒนบริหารศาสตรแ์ ละวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสิง่ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
2/ คณะสง่ิ แวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล
19
นอกจากปัญหาอนั มผี ลกระทบตอ่ สิ่งแวดลอ้ มแล้ว ยังพบปัญหาและอปุ สรรคของการฟ้นื ฟู
ที่ดินท่ีผา่ นการทาเหมอื งแล้ว เช่น
1.) การบกุ รกุ เข้าถอื ครองพนื้ ทที่ ี่ผา่ นการทาเหมืองแล้วของประชาชนในทอ้ งถิน่ ทาให้ยาก
ตอ่ การเข้าไปดาเนนิ การ และมปี ัญหาเกยี่ วกับกรรมสิทธท์ิ ด่ี ิน
2.) ในการขออนุญาตเข้าทาเหมืองในพื้นท่ีป่าไม้ กรมป่าไมไ้ ดม้ รี ะเบยี บการเรยี กเก็บเงนิ
ประกันการฟน้ื ฟูปา่ ไมไ้ รล่ ะ 2,820 บาท นอกเหนอื จากคา่ ธรรมเนยี มอนื่ ๆ โดยให้เจ้าของสัมปทาน
ฝากเงินไวใ้ นธนาคารในรปู ของเงนิ ประกันหรอื จะมอบใหก้ รมปา่ ไมเ้ ก็บไวก้ ไ็ ด้ และเม่ือส้นิ สดุ สัมปทาน
จะตอ้ งนาเงินจานวนนี้มาฟืน้ ฟูสภาพป่า แตส่ ภาพข้อเท็จจรงิ ปัจจุบนั พบวา่ เงินท่เี จ้าของสมั ปทานเก็บ
สว่ นใหญ่ยังไมไ่ ดน้ ามาดาเนนิ การใดๆ ส่วนท่ีกรมป่าไมเ้ รยี กเกบ็ นัน้ ไดม้ ีการนาออกมาใช้บ้างในพ้ืนที่
นอกบรเิ วณเหมอื ง เน่ืองจากผูร้ บั สมั ปทานไม่ปฎบิ ัติตามเงอ่ื นไขที่ตอ้ งปรบั ปรงุ พน้ื ท่ีก่อนท่ีกรมป่าไม้
จะเข้าไปดาเนินการ
3.) สถานการณ์เศรษฐกิจแร่ตกตา่ คา่ ใชจ้ ่ายในการทาเหมอื งสงู ขึ้น ราคาแร่ต่าลง การแข่งขัน
ของตลาดแรม่ มี ากขนึ้ ทาให้ผปู้ ระกอบการทาเหมืองส่วนใหญต่ อ้ งพยายามลดคา่ ใช้จ่ายในการทา
เหมืองเพ่ือความอยรู่ อดเป็นผลใหข้ ดี ความสามารถในการอนรุ กั ษ์สงิ่ แวดล้อมย่งิ มนี อ้ ยลงไป
4.) แผนผงั โครงการทาเหมืองไม่แน่นอน อาจต้องมกี ารทาเหมืองซ้ากลับไปกลบั มา เนอ่ื งจาก
ไมท่ ราบลักษณะแหล่งแร่ท่แี นช่ ัด จงึ ไมส่ ามารถทาการฟืน้ ฟทู ค่ี วบคู่ไปกบั การทาเหมอื ง ค่าใชจ้ า่ ยใน
การฟน้ื ฟูจงึ สงู กวา่ ความจาเป็นไปมากจนไมส่ ามารถดาเนนิ การฟ้นื ฟพู นื้ ท่ีทผ่ี ่านการทาเหมืองแล้ว
5.) อายุสัมปทานสว่ นมากยาวนานกวา่ 10 ปี มาตรการที่จะดาเนินการฟ้ืนฟไู ม่ชัดเจนและ
ไม่มกี าหนดระยะเวลาทแี่ น่นอน ยากตอ่ การตดิ ตามตรวจสอบและควบคมุ
6.) ผู้ประกอบการไม่ทราบถึงเทคนคิ วิธกี ารปรับปรงุ และดแู ลรักษา รวมท้ังขาดกลา้ ไม้ที่
เหมาะสม
5.4 ปญั หาการใชท้ ด่ี นิ ในด้านเกษตรกรรม
5.4.1 ปัญหาการใช้ทดี่ ินเพอ่ื การประมง
1) ปัญหาทรพั ยากรประมงทะเลและการเพาะเลย้ี งชายฝงั่
จากรายงานสถานการณค์ ุณภาพส่ิงแวดล้อม พ.ศ. 2535 - 2536 ของสานกั งาน
นโยบายและแผนสงิ่ แวดล้อม (2537) กลา่ ววา่ ผลผลิตทรัพยากรประมงของไทยสว่ นใหญม่ าจากการ
ทาประมงทะเล โดยอาศยั ข้อมูลสถติ กิ ารประมงใน พ.ศ. 2535 ผลผลิตสัตวน์ ้าทะเลถงึ 2,479,000 ตนั
จากเปา้ หมายการผลิตทรัพยากรประมงในนา่ นนา้ ไทยกาหนดไว้ 1.7 ลา้ นตนั ตอ่ ปี และตงั้ แต่ปี พ.ศ.
2515 เป็นต้นมาผลผลิตก็เร่มิ ลดลงเร่ือยๆ สตั วน์ า้ ทะเลจาพวกปลาหน้าดินเรม่ิ เสอ่ื มโทรม และมอี ัตรา
การจับปลาหน้าดนิ ลดลง สาเหตุสาคญั ประการหนึ่งมาจากจานวนเรือประมงเพิม่ ขนึ้ อยา่ งไม่มี
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบนั บณั ฑิต พฒั นบริหารศาสตรแ์ ละวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสงิ่ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล
2/ คณะสิง่ แวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
20
ขดี จากดั มกี ารทาการประมงทไ่ี มส่ ามารถควบคมุ ได้ และความเสอ่ื มโทรมของสภาวะแวดลอ้ มที่
เกิดข้นึ บริเวณชายฝ่ังทะเลและบรเิ วณปากแม่น้าต่างๆ
ใน พ.ศ. 2528 เรือประมงได้เพิม่ ขน้ึ ประมาณ 10,000 ลา ทาให้การประมงทะเล
ประสบกบั สภาวะการไมค่ มุ้ ทนุ โดยจากการสารวจของเรือสารวจกรมประมงพบวา่ ผลการจับปลา
หน้าดนิ ในปี พ.ศ. 2506 ซ่ึงมีถึง 231 กโิ ลกรมั ตอ่ ช่วั โมง ลดลงเหลอื 40 กิโลกรมั ต่อชัว่ โมง ใน พ.ศ.
2528 และเหลือเพียง 25 กโิ ลกรมั ต่อช่วั โมง ใน พ.ศ. 2532 และยงั ไมม่ ีรายงานว่าผลการจบั เพิม่ ขึ้น
แต่อย่างใดจนถึงปจั จบุ ัน สตั วน์ า้ หนา้ ดินทีจ่ ับได้มีขนาดลดลงอย่างมากไมส่ ามารถใช้บริโภคโดยตรงได้
ซึง่ เรียกว่าปลาเปด็ ใชเ้ ป็นอาหารสตั วห์ รอื ปลาปน่ นอกจากนีจ้ านวนชนิดของปลาหน้าดนิ ทีส่ าคัญทาง
เศรษฐกิจลดลงเหลอื เพียง 9 ชนดิ เทา่ นนั้ จากอดตี ที่มีเคยมถี งึ 40 ชนดิ
บรเิ วณชายฝัง่ ทะเลเชน่ กนั ในอดตี เคยมีสัตว์นา้ ต่างๆ ทีอ่ ุดมสมบรูณ์ จงึ มกี ารทาการ
ประมงทง้ั ในระดับพื้นบ้านและเชิงพาณชิ ย์ นอกจากนบี้ างพืน้ ที่ยังมลี ักษณะธรรมชาติท่ีมคี วาม
เหมาะสมทางดา้ นกายภาพทจ่ี ะทาการเพาะเล้ยี งสตั วน์ ้าไดห้ ลายชนดิ โดยเฉพาะกุ้งทะเลนั้นมีการ
นยิ มเล้ียงกงุ้ กุลาดาและกุง้ แชบว๊ ย กันอยา่ งกวา้ งขวาง ซึ่งในบางครงั้ มีการจัดการท่ไี ม่ถูกตอ้ งทาใหเ้ กดิ
ความเสอ่ื มโทรมขึน้ ได้ ต้งั แต่ พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา พ้นื ทบี่ ริเวณกน้ อา่ วไทยแถบจังหวัด
สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมทุ รสงคราม ไดม้ กี ารลดพื้นทีก่ ารเลี้ยงกงุ้ ทะเล เน่อื งจากสภาวะ
แวดล้อมเปล่ยี นไปและไม่เหมาะสมต่อการเลีย้ งกุง้ ในเชิงธรุ กิจพาณิชย์อีกแล้ว ส่วนปลาทนี่ ยิ มเล้ียง มี
ปลากะพงขาว ปลากะพงแดง ปลากะรงั และหอยทนี่ ยิ มเลีย้ ง มี หอยแครง หอยนางรม (หอย
ตะโกรม) และหอยแมลงภู่ เปน็ ต้น
แนวปะการงั ซงึ่ เปน็ เสมอื นแนวปราการธรรมชาตใิ นระบบนเิ วศในทะเล และเปน็ ท่ี
รวมของสังคมสงิ่ มชี วี ิตนอ้ ยใหญ่อาศยั รวมกัน จนเปน็ แหลง่ ทีม่ คี วามหลากหลายทางชวี ภาพสูงสดุ ใน
ทะเล ซ่งึ มีความ
สาคญั และคุณประโยชนต์ ่อมนษุ ย์ พืช และสัตว์ทะเล และปัจจุบันกาลังไดร้ ับความนิยมอยา่ งมากท่ีจะ
เปน็ แหล่งทอ่ งเทีย่ ว นันทนาการ เพือ่ การพักผ่อนหย่อนใจ เช่นการดาน้าและถ่ายภาพใต้นา้ ตาม
บรเิ วณแนวปะการงั แนวปะการงั ดังกล่าวในหลายบริเวณถกู ทาลายหรอื เสือ่ มโทรม ทงั้ โดยธรรมชาติ
และโดยกจิ กรรมของมนุษย์
ปจั จยั ที่เป็นสาเหตทุ ี่สาคญั ซึ่งเป็นปญั หาตอ่ การเสือ่ มโทรมของทรพั ยากรธรรมชาติ
เหล่านั้น มดี งั นี้
(1.) ปริมาณเรอื ประมงโดยเฉพาะเรืออวนลากหนา้ ดินมีมากเกินไป ทาให้
อัตราการลงแรงประมงมากเกินกวา่ สภาวะที่เหมาะสม
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบันบณั ฑติ พัฒนบริหารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสิ่งแวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล
2/ คณะส่งิ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล
21
(2.) มกี ารทาการประมงโดยวิธีการซ่ึงสามารถทาลายพันธุ์สตั วน์ า้ ไดแ้ ละยัง
เป็นวิธกี ารผิดกฎหมาย รวมท้งั ปญั หาขอ้ ขัดแยง้ จากการทาการประมงสัตวน์ ้าบางชนดิ อันก่อให้เกดิ
การทาลายพันธ์ุสตั วน์ ้าชนิดอนื่ ๆ เช่นการทาการประมงปลากะตัก
(3.) สภาวะแวดลอ้ มบรเิ วณชายฝงั่ ทะเลเสอื่ มโทรม เป็นสาเหตุทาใหส้ ูญเสยี
แหลง่ เล้ียงตัวของสัตว์นา้ วัยออ่ น
(4.) มกี ารทาลายแหล่งทรัพยากรชายฝ่ัง เช่น แหล่งปะการัง แหลง่ หญ้า
ทะเล เปน็ เหตสุ ูญเสียแหลง่ ทีอ่ ยูอ่ าศัยและเลี้ยงตวั ของสัตวน์ า้
(5.) การขุดรอ่ งนา้ การถมและการกอ่ สรา้ ง ส่งิ กอ่ สร้างย่ืนล้าชายหาด ทาให้
ปะการงั หกั พังโดยตรงมลู ทรายและตะกอนถกู พัดพาๆไปทบั ถมบนแนวปะการงั ทาใหป้ ะการงั เสียหาย
(6.) การทาเหมืองแร่หรือเปดิ หน้าดนิ เพ่อื สร้างถนน การกอ่ สร้างอาคารริม
ทะเล ทาใหเ้ ศษก้อนหิน ดนิ ทราย ท่เี กิดจากการขดุ การลา้ งแร่ และการกอ่ สร้างไหลลงส่แู หล่งน้า
และกลายเป็นตะกอนท่ีถกู น้าชะลงไปยังชายฝ่งั ทะเล และแนวปะการงั
(7.) การเดนิ ยนื รวมถงึ การเกบ็ ปะการังของนกั ทอ่ งเท่ียว การท้งิ สมอเรือ
การมคี ่านิยมของนกั ท่องเท่ียวในซื้อปะการงั หอย เพื่อเป็นของท่ีระลกึ ต่างๆ ล้วนเปน็ การช่วยทาลาย
ให้ทรพั ยากรเหล่าน้ีเสือ่ มโทรม
(8.) การท้ิงของเสยี สงิ่ ปฎกิ ูลลงในนา้ ทาให้คุณภาพของน้าทะเลเสอ่ื มโทรม
และระบบนเิ วศขาดสมดลุ ไม่เหมาะสม ซง่ี เกิดทงั้ ตามหมบู่ ้านชาวประมงและบริเวณที่ทอ่ งเทย่ี ว
(9.) โดยธรรมชาติ เชน่ พายทุ ี่รนุ แรง (รายงานของสานกั นโยบายและ
สิ่งแวดลอ้ ม พ.ศ. 2538 พายไุ ตฝ้ นุ่ เกย์ พ.ศ. 2532 ทาให้ปะการังในแนวทางท่พี ายพุ ัดผา่ นเกาะเต่า
เสียหาย) นอกจากนยี้ ังมีการทาลายโดยการเจาะไชของส่งิ มีชวี ิตอน่ื ๆ เชน่ หอยบางชนิด แมเ่ พรียง
เปน็ ตน้ หรอื การกดั แทะเปน็ อาหารของพวก หอยเม่น ปลานกแก้ว ปลาดาวหนาม เปน็ ต้น
5.4.2 ปัญหาการใชท้ ี่ดินเพือ่ การกสิกรรม พื้นทช่ี ายฝงั่ ทะเลทั้งบนท่ีลุ่มและท่ีดอน ใช้
สาหรับการเกษตรสองชนิดในพนื้ ท่ลี ุ่มใช้ปลูกขา้ วเนือ่ งจากมกั มนี า้ แชข่ ังและขา้ วบางชนดิ ทนความเค็ม
ระดบั ปานกลางได้ พื้นดอนและพน้ื ที่ลุ่มยกรอ่ งสามารถปลกู พชื ยืนต้น ไมผ้ ล ผัก หรอื พืช
อุตสาหกรรมบางชนดิ ได้ การดาเนินกจิ กรรมทางดา้ นการกสกิ รรมมกั ประสบปัญหาอยา่ งมากมาย
เนือ่ งจากท้ังในนา้ และดินมเี กลอื ปนอยู่สูง อีกท้งั ชนิดของพชื เศรษฐกิจทนความเคม็ มจี ากดั
นอกจากนก้ี ารใช้ท่ีดนิ เพื่อการกสกิ รรมยังอาจสง่ ผลกระทบสรู่ ะบบนเิ วศของพืน้ ทีข่ ้างเคียงด้วย
ปัญหาการใชท้ ี่ดินเพอ่ื การกสิกรรมสรุปโดยสงั เขปดังนี้
1.) การแปรสภาพพน้ื ทช่ี ายฝ่งั ทะเลเพ่ือการเกษตรกรรม ทาให้ทางน้าใหลของน้า
ผิวดินผิดไปจากเดิม ซึง่ จะมผี ลกระทบตอ่ สภาพการเจรญิ เติบโตของทรัพยากรธรรมชาติโดยรอบ ย่ิง
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบันบัณฑิต พฒั นบรหิ ารศาสตรแ์ ละวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่งิ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล
2/ คณะสิ่งแวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล
22
ไปกวา่ นน้ั การพื้นท่ีดินชายทะเลเพอ่ื การเกษตรกรรมยังไม่ค่อยประสบผลสาเร็จ เนอื่ งจากอาจเกิด
ปญั หาน้าท่วม และการรกุ ล้าของน้าเค็ม นอกจากนนั้ หากเป็นการแปรสภาพปา่ ชายเลนเพ่อื
การเกษตรก็อาจเกดิ ปญั หาต่างๆ เช่น สภาพดนิ ท่เี ปน็ กรด การแพรก่ ระจายของเกลอื และความเคม็
การสะสมของโลหะหนักในป่าชายเลนแตเ่ ดิม อาจก่อให้เกดิ ปญั หาสารพิษในผลติ ผลทางการเกษตร
การเกดิ โรค และความเสยี หายท่ีเกิดจากแมลง เปน็ ต้น
2.) การเกษตรในทด่ี อน การวดิ น้าหรือเปลยี่ นทางนา้ ผวิ ดนิ เพือ่ ใช้ในการเกษตรจะ
มีผลโดยตรงที่ทาให้ปริมาณสารวตั ถุดิบท่จี ะเปน็ ประโยชน์ต่อสิ่งมีชวี ติ ในบริเวณชายฝ่งั ทะเลลดลง ทา
ใหเ้ กิดปญั หาต่างๆ ตามมา เชน่ ผลผลิตทางการประมงลดลง ความเค็มของน้าทะเลเพ่ิมข้นึ และ
การทม่ี ีทางนา้ ไหลของนา้ ผวิ ดินเพิ่มมากข้ึน รวมทง้ั การขุดรอ่ งนา้ กจ็ ะสามารถทาใหส้ ภาพอทุ กวิทยา
ชายฝงั่ ทะเลเปลี่ยนไป ความเคม็ ของน้าทะเลจะลดลงเปน็ ผลใหร้ ะบบนิเวศทม่ี ีความเปราะบางตอ่ การ
เปล่ียนแปลงของความเคม็ เสือ่ มโทรมลงได้ นอกจากน้ีการนาน้าใตด้ ินมาใช้เพื่อการกสกิ รรมมาก
เกินไปอาจทาให้เกดิ การรุกล้าของน้าทะเลเขา้ ไปในช้นั นา้ ใต้ดินธรรมชาตไิ ด้
3.) ปัญหาอน่ื ๆ ท่เี กิดจากการเกษตรในที่ดอน เช่น การใช้สารเคมีกาจดั ศัตรูพืช
และจะมสี ารเคมีท่ตี กค้างอยูถ่ กู ชะล้างลงสรู่ ะบบนเิ วศชายฝง่ั ทะเลได้ ซ่ึงสารเคมีนี้จะเขา้ สู่วงจรลูกโซ่
อาหารทะเล เมอ่ื มนษุ ยก์ นิ อาหารทะเลจากบรเิ วณนนั้ เขา้ ไปกอ็ าจเกดิ อนั ตรายไดใ้ นท่ีสุด
นอกจากนัน้ การพงั ทลายของดินหลังการเกบ็ เกี่ยวแล้ว หรอื จากการไถคราด ตากทิง้ เอาไว้ ก็อาจ
กอ่ นใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลงหรอื เสียหายต่อแหล่งทอ่ี ยู่อาศัยของสง่ิ มีชีวิตบางชนิดทไ่ี วตอ่ การ
เปลีย่ นแปลงอนั เน่ืองมาจากความขุน่ ข้นของตะกอนดนิ อยา่ งเช่น ปะการัง เป็นต้น การตัดไม้
ทาลายป่า การทส่ี ตั วก์ ินหญ้าทเ่ี ป็นพืชคลมุ ดินมากเกินไป หรอื การทานาบนไหลเ่ ขาที่สงู ชนั เกินไป
ล้วนเป็นสาเหตุท่ที าใหเ้ กดิ การทบั ถมของตะกอนดนิ ทั้งสน้ิ
5.4.3 ปญั หาการใช้ทด่ี นิ เพือ่ การพัฒนา เมือง/ชมุ ชน/อตุ สาหกรรม/การท่องเทยี่ ว
5.4.3.1 การพฒั นาเมอื ง และชุมชน การต้งั ถ่ินฐานมนุษย์ในประเทศไทยมรี ะดบั
ตา่ งๆ กันตั้งแต่ เมืองหลกั กรุงเทพมหานคร ศนู ยก์ ลางความเจรญิ เติบโตของเขตเมอื ง และเมือง
รอง ไปจนถึงเมอื งเล็ก ๆ และชมุ ชนชายฝง่ั ทะเล รวม ทัง้ ตาบลและหมูบ่ ้าน ผู้คนมกั จะเข้ามา
อยู่ในบรเิ วณชายฝ่งั กเ็ พราะลกั ษณะท่ดี ตี า่ งๆ ท่ีอยู่ในบรเิ วณชายฝ่งั นนั่ เอง แต่ชมุ ชนชายฝั่ง
หนาแนน่ กม็ กั มแี นวโนม้ ทจี่ ะทาลายหรือทาให้ลกั ษณะท่ดี เี หลา่ นี้เสอื่ มโทรมลง และส่งผลกระทบต่อ
ระบบนิเวศชายฝ่ังดว้ ย การกระทบกระเทือนนจ้ี ะย่ิงมีมากข้นึ ด้วยสาเหตใุ หญ่ 4 ประการ คอื การ
ที่ระดับการพฒั นาเพ่มิ ข้ึน การทชี่ มุ ชนมบี รเิ วณอย่ใู กล้กบั น้า การขยายหรือเปลี่ยนแปลงสภาพแนว
ชายฝัง่ และความอ่อนไหวของระบบนิเวศชายฝ่งั การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของการพฒั นา
เมือง จะต้องพิจารณาถงึ ผลกระทบจากการพฒั นาต่างๆ เชน่ การสร้างถนน การสร้างระบบระบาย
นา้ และระบบกาจัดของเสยี เปน็ ตน้
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบนั บณั ฑิต พัฒนบริหารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสงิ่ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
2/ คณะส่ิงแวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
23
ปัญหาตา่ งๆ ทเ่ี กดิ จากการพฒั นาเมือง และชมุ ชน สรปุ ไดโ้ ดยสงั เขปดังนี.-
(1) สารอาหารในน้าท้งิ จากเมอื งและชมุ ชนอาจช่วยกระตุ้นการเจรญิ เติบโตของพชื
ทะเล และเป็นสาเหตุท่ีทาให้ปรมิ าณของสัตวน์ ้าเค็มและสตั ว์น้ากร่อยบางพันธเุ์ ปล่ียนไปได้
(2) ของเสียจากมนษุ ย์จะประกอบด้วยเชอ้ื โรคต่างๆ อยดู่ ว้ ย ซ่งึ จะไปสะสมในหอย
ทาให้หอยเปน็ ตวั นาโรคได้
(3) ป่ายชายเลนอาจถูกแปรสภาพเปน็ ท่ีดินเพ่ือการก่อสร้างเป็นทีอ่ ยอู่ าศัย ท่าเรือ
หรือ สถานทพ่ี ักผอ่ นต่างๆ จงึ ทาใหม้ กี ารบกุ รุกพนื้ ทป่ี า่ มากข้ึน
(4) สิ่งกอ่ สร้างต่างๆ ทอี่ ยูใ่ กลแ้ นวชายฝัง่ มากเกินไป ทาให้เกิดการพังทลาย หรือ
อาจปดิ ทางสาธารณะที่ลงไปสู่ชายหาดได้
ปญั หาการใชท้ ่ีดนิ จาก การพฒั นาอตุ สาหกรรม
การตัง้ โรงงานอุตสาหกรรมในเขตชายฝัง่ ทะเล กอ่ ใหเ้ กิดปญั หามลพษิ ทางนา้ ได้
หลายประการกลา่ วคอื เป็นตัวทาใหเ้ กิดการทิง้ สารมลพษิ โดยตรง และยงั ทาให้เกิดมลพษิ ทางน้าใน
ทางอ้อมไดถ้ ้าโรงงานที่สรา้ งข้ึนนนั้ ทาให้ธรรมชาตขิ องนา้ ผวิ ดินต้องเสยี ไป หลังจากทโี่ รงงาน
อตุ สาหกรรมใช้นา้ เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ ดงั กลา่ วแล้ว ก็จะถา่ ยเทนา้ ท้งิ ลงในบรเิ วณชายฝงั่ ใกล้ ๆ
น้ัน ปญั หาที่เกิดจากการทงิ้ นา้ เสียก็คอื ทาให้นา้ ในบริเวณนน้ั เน่า ซ่งึ จะสง่ ผลเสยี อย่างรนุ แรงตอ่
ระบบนเิ วศชายฝ่ัง น้าเสยี จากโรงงานอาจมีสารพิษปะปนอยู่ เชน่ โลหะหนกั คลอรีน นา้ มัน เปน็
ต้น และสารเหลา่ นี้จะเปน็ อนั ตรายต่อพชื และสัตว์ท่ีอาศยั อยูใ่ นบรเิ วณชายฝ่ังทะเล และ บรเิ วณ
ใกลเ้ คยี ง การปล่อยน้าท้งิ ที่มอี ุณหภูมสิ ูงลงสู่ทะเล อาจจะทาใหส้ ิ่งมชี ีวติ ในทะเลหลายชนดิ ไม่
สามารถจะทนอยู่ได้ นอกจากน้ีอาจเกดิ การสะสมของสารพษิ และโลหะหนกั ตา่ งๆ ในดนิ ท่เี กิดจาก
การทง้ิ สารพิษสารเคมีต่าง ๆ และมสี งิ่ ปฏกิ ูลในบริเวณท่ีมไิ ด้ออกแบบไวเ้ ป็นทเี่ ก็บสารต่างๆ ดงั กลา่ ว
ซึ่งอาจแบ่งกระจายไปส่แู หลง่ นา้ ธรรมชาติทง้ั ผิวดินและน้าใตด้ นิ ได้ ปัญหาต่างๆสามารถจาแนกตาม
ประเภทของอตุ สาหกรรมดังนี้
(1) บรเิ วณที่ตง้ั อุตสาหกรรมทัว่ ไป เขตชายฝง่ั ทะเลในประเทศไทยมักจะถูกมอง
วา่ เปน็ ทาเลเหมาะสมมากสาหรบั ใช้เปน็ ท่ตี ้งั โรงงานอุตสาหกรรม เพราะสามารถออกส่ทู ะเล ซ่งึ
สะดวกในการขนสง่ ทางเรอื และยังเช่ือมโยงกับการขนส่งทางบกไดด้ ้วย ด้วยเหตนุ ีจ้ งึ ปรากฎวา่ มี
อุตสาหกรรมหลายชนิดเกิดข้ึนใกล้ทา่ เรอื เพือ่ ความสะดวกในการขนถ่ายสินคา้ และดว้ ยเหตผุ ลทาง
ภูมิศาสตรแ์ ละทางเศรษฐศาสตร์ โรงงานอุตสาหกรรมจานวนมากจาเป็นต้องใช้น้าปรมิ าณมหาศาล
ในการระบายความร้อน หรือในการทาความสะอาดโรงงาน หรอื ในการเจือจางของเสียก่อนทจ่ี ะ
ปล่อยทงิ้
(2) อุตสาหกรรมนาเกลือ
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบันบณั ฑติ พัฒนบริหารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสิง่ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล
2/ คณะสิ่งแวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
24
เกลอื (โซเดียมคลอไรด์) เป็นสารที่จาเปน็ ต่อรา่ งกายของมนุษย์ และมีประโยชนใ์ ช้
สอยมากมายหลายทาง รวมทง้ั การใชเ้ ปน็ ตัวชว่ ยในการถนอมอาหาร และเปน็ อาหารเสริมสาหรบั
สตั ว์เล้ยี งดว้ ย
การทานาเกลือในประเทศไทยมีเนือ้ ทรี่ วม ประมาณ 119,000 ไร่ ซึ่งประมาณ
ครึง่ หนง่ึ เป็นบริเวณท่ลี ุม่ น้าท่วมถึงในเขตจงั หวัดสมทุ รสงคราม สมุทรสาคร และเพชรบรุ ี ส่วนที่
เหลือกระจายอยตู่ ามจงั หวัดสมทุ รปราการ ชลบรุ ี ระยอง และฉะเชิงเทรา นาเกลอื ส่วนมากเป็น
ดนิ ที่ระบายนา้ เลว และมคี นั นากั้นเป็นบอ่ ๆ ตอ่ กันไป นาเกลือมักจะอยู่ใกลท้ ะเลท่ีสามารถเปิดให้
นา้ ทะเลเข้ามาได้งา่ ย โดยทว่ั ไป การทานาเกลอื จะทากนั ในชว่ งเดือนพฤศจกิ ายน/ธันวาคมไปจนถึง
เดอื นเมษายน ซ่ึงเป็นชว่ งเวลาท่ีอากาศแห้ง
น้าทะเลซ่ึงมโี ซเดยี มคลอไรด์น้นั จะมสี ่วนผสมของตะกอนต่างๆ อนิ ทรยี ว์ ตั ถแุ ละ
เกลอื แรอ่ ่นื ๆ ซง่ึ จะตอ้ งขจัดออก ก่อนทจ่ี ะได้เกลอื บรสิ ทุ ธ์ิ จะต้องผ่านขนั้ ตอนตา่ งๆ อยตู่ าม
ขน้ั ตอนด้วยกนั คอื การจบั ตัว การตกตะกอน (precipitation) และการจับผลึก ในขน้ั แรกเม่อื น้า
เร่ิมระเหย และเกลอื เริม่ จับตัว จะทาให้ตะกอนและของชิน้ ใหญห่ ลุดออกไป จากนนั้ เกลอื ที่ได้จะมี
ความบรสิ ุทธมิ์ ากข้ึน หลังจากปล่อยให้นา้ ระเหยอยู่
นาน ในชว่ งน้ี สว่ นประกอบอน่ื ๆ ของน้าทะเล เช่น คารบ์ อเนตต่างๆ จะหลดุ ไปดว้ ยการ
ตกตะกอน (precipitation) ของเกลอื ในระยะสดุ ทา้ ย นา้ จะระเหยตอ่ ไปจนเกลอื ตกผลกึ เม่ือแห้ง
แล้วก็จะไดเ้ กลอื บรสิ ทุ ธ์ิ
การผลติ เกลอื ยงั ทาไดจ้ ากบริเวณปา่ ชายเลนดว้ ย เมอ่ื เรม่ิ ฤดูรอ้ น พ้ืนท่ีปา่ ชายเลน
จานวนมากจะถกู ถางและเอาหน้าดินทอี่ ุดมสมบรู ณอ์ อกไป จากน้ันกจ็ ะพลิกดินชน้ั ลึกลงไป ซง่ึ เปน็
ดินเค็มจัดขึ้นมาตากทงิ้ ไว้ เมอื่ แห้งก็จะได้เกลืออยูบ่ นผิวดิน
ปัญหาตา่ งๆ ทเ่ี กดิ จากการทานาเกลอื สรปุ ได้โดยสงั เขปดงั นี
1) การแปรสภาพท่ีอยู่อาศยั ของสัตวน์ า้ ชายฝ่งั ไปโดยไมอ่ าจแก้ใหก้ ลบั คนื ได้ นั่นคือ
การเปล่ยี นจากสภาพแวดลอ้ ม แบบชายเลนมาเป็นบอ่ นาเกลอื การผลติ เกลือจะทาไดด้ ีท่ีสดุ ใน
สภาพ
แวดลอ้ มทแ่ี ห้งแล้งและไมม่ ีปา่ ไม้ชายฝั่ง การเลอื กท่ีทานาเกลอื ท่ไี มค่ านึงถงึ การทางานตามธรรมชาติ
ของระบบนิเวศ หรอื คุณค่าของสิ่งเหล่าน้ี จะทาใหเ้ กดิ การแปรสภาพที่มีผลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม
อย่างมาก
2) การแพร่กระจายของเกลอื การทานาเกลอื ไมไ่ ดจ้ ากัดอย่เู ฉพาะบรเิ วณชายฝัง่
ทะเลเท่าน้ัน ปจั จุบันไดม้ ีการขยายพืน้ ท่ีเข้าไปในพ้ืนท่ีเกษตรกรรมตอนในของแผ่นดนิ เน่ืองจาก
ราคาของเกลือค่อนข้างสูงจึงเป็นสิ่งลอ่ ใจใหเ้ กษตรกรเปลีย่ นพืน้ ทีป่ ลูกข้าวมาทานาเกลือ ทง้ั นมี้ ีการ
สูบหรอื ใช้วิธกี ารต่างๆ นานา้ ทะเลเข้ามายงั พืน้ ทีเ่ พอ่ื ทาเกลอื จึงทาใหเ้ กิดปัญหาการแพรก่ ระจาย
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรพั ยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบันบณั ฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตรแ์ ละวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่งิ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
2/ คณะส่งิ แวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
25
ของเกลอื ไปยงั บรเิ วณขา้ งเคียง และแหล่งนา้ จดื บางบรเิ วณซงึ่ เปน็ ผลกระทบต่อพน้ื ทท่ี ท่ี าการกสิกรรม
อยูเ่ ดิม
5.4.3.2 ปญั หาการใช้ทีด่ ินจากการท่องเท่ียว ปัจจุบันการทอ่ งเทย่ี วเป็นภาคเศรษฐกจิ ที่
สาคญั ภาคหนึง่ ซึ่งนาเงนิ ตราตา่ งประเทศเขา้ สู่ประเทศไทย ไดเ้ ปน็ อันดบั ท่สี ่ีในบรรดากิจกรรม
ท้งั หมด ในภาคอุตสาหกรรมและสาหรบั อตุ สาหกรรมการท่องเทยี่ วในประเทศไทยทกุ วนั น้ี
สถานท่ีพักตากอากาศชายฝงั่ ทะเลกาลงั เป็นสิง่ ดึงดูดใจนกั ท่องเทยี่ วท่ีทวคี วามสาคญั ขึ้นทกุ ขณะ
โดยเฉพาะบรเิ วณท่มี ีหาดทราย เกาะ และปะการัง
ปญั หาตา่ ง ๆ ทีเ่ กดิ จากการพฒั นาการทอ่ งเทีย่ ว สรปุ ไดโ้ ดยสงั เขปดงั นี.-
(1) นา้ เสียซ่ึงเกิดจากมลพิษในน้าท่รี ะบายออกจากอาคารบ้านเรือน
(2) เกิดจากการรุกล้าของอาคารบ้านเรอื นเข้าไปในบริเวณหาดทราย
- เกดิ ทิวทศั นท์ ี่ไมน่ า่ มองของกลุ่มอาคาร
- เกดิ การบดบงั ทวิ ทัศนท์ ี่สวยงามของหาดทราย ทาให้ลักษณะภูมิทศั น์
ตามธรรมชาติเสยี ไป
- สร้างความแออดั ในบรเิ วณหาดทราย และกดี ขวางเส้นทางคมนาคม
- มลพษิ ในนา้ ซงึ่ เกิดจากของเสยี จากอาคารบา้ นเรือนตา่ ง ๆ
- ปริมาณของขยะมูลฝอยที่เพ่มิ ขึน้
(3) ปญั หาเกย่ี วกบั ขยะมูลฝอย และสง่ิ ปฏิกลู ต่าง ๆ ในเรือ่ งของกลิ่น โรค
สตั วแ์ ละแมลงตา่ ง ๆ
(4) ปญั หาเกิดจากการเกบ็ ปะการังและการทาลายแนวปะการงั
(5) เกดิ การทาลายและเปลีย่ นแปลงระบบนเิ วศของพนื้ ที่
5.5 ปัญหาการใชท้ ีด่ นิ เพ่อื การคมนาคมขนสง่ โดยทั่วไปการคมนาคมทสี่ าคญั บรเิ วณชายฝั่ง
ทะเลทไี่ ม่มขี อบเขตจากัดมีเพียง 2 ประเภท คอื การคมนาคมทางน้า และบก ส่วนการคมนาคม
ทางอากาศนน้ั มักมขี อบเขตของสถานทีท่ ี่แนน่ อนในเรอื่ งของสถานที่ต้ัง และขอบเขตของสถานที่
และมกั มีระบบการจดั การพืน้ ท่ี และอน่ื ๆ ที่ดีสามารถควบคมุ ไดด้ ีกวา่ การคมนาคมทางน้า และทาง
บก ซึ่งปัญหาการใช้ทีด่ ินของการคมนาคมทางนา้ และทางบกสามารถจาแนกสรุปโดยสงั เขปดังนี้.-
5.5.1การคมนาคมทางนา้ ท่าเรอื และการขนสง่ ทางเรอื มีบทบาทสาคัญทัง้ ทางดา้ น
การคมนาคมและขนสง่ สนิ ค้าทางน้าในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน ทา่ เรอื และท่ีจอดเรอื ส่วนมาก
ตัง้ อยู่ในภูมิภาค ซึง่ อยู่ตามแนวชายฝง่ั ทะเล มที ่าเรอื 23 ทา่ ในภาคใต้ของประเทศไทย ซงึ่ หลาย
ท่าในจานวนนเ้ี ป็นทา่ เรือหาปลาขนาดเล็กมากจงึ ไม่มบี ทบาทในดา้ นการขนสง่ สินค้าอย่างแท้จริง
ท่าเรอื หกทา่ ได้แก่ ทีบ่ ้านดอน ปากพนงั สงขลา ปตั ตานี ภูเก็ต และกันตงั มปี รมิ าณสนิ ค้าท่ีผา่ น
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจดั การทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบนั บณั ฑิต พฒั นบริหารศาสตร์และวชิ า
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะสง่ิ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหิดล
2/ คณะส่งิ แวดลอ้ มและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
26
ท่าเป็นจานวนรวมทงั้ ส้ินถงึ ร้อยละ 92 ของปรมิ าณสินค้าทงั้ หมดที่ผา่ นทา่ เรือในภาคใตข้ องประเทศ
ไทย ทา่ เรือเหล่านยี้ งั เป็นท่าเรือประมงด้วยไม่มากกน็ อ้ ย ทา่ เรือขนสง่ สินค้าอ่ืน ๆ ท่มี คี วามสาคัญ
นอ้ ย ไดแ้ ก่ ท่าเรือเกาะสมยุ นครศรธี รรมราช และนราธวิ าส ซง่ึ มปี ริมาณสนิ ค้าทีผ่ ่านท่ารวมกนั
ประมาณร้อยละ 5 ของปรมิ าณสินคา้ ทงั้ หมดทข่ี นสง่ ทางเรือ ทา่ เรือห้าทา่ ได้แก่ ทา่ เรือสงขลา
ปตั ตานี นราธิวาส กนั ตัง และภูเกต็ เปน็ ทา่ เรือที่มคี วามสาคญั ต่อการขนส่งสินค้าไปยงั ตา่ งประเทศ
สินค้าขาออกท่สี าคัญจากเมอื งท่าเหล่าน้ี ไดแ้ ก่ ยางพารา สนิ ค้าขาออกประเภทอน่ื รวมถึงซเี มนต์
ซ่งึ ผา่ นทางทา่ เรอื กนั ตงั และดบี กุ ซึง่ ผ่านทางท่าเรอื ภูเก็ต
ปญั หาต่าง ๆ
แม้ว่าทา่ เรือและที่จอดเรือจะมีประโยชนใ์ นด้านการคมนาคมขนส่ง ในขณะเดยี วกนั
กม็ ีผลกระทบทางลบตอ่ ระบบนิเวศชายฝงั่ ทะเลหลายประการ คอื
1.) การขดุ ลอกและการถมท่ีเกยี่ วกับการสรา้ งท่าเรือและที่จอดเรอื
อาจจะมีผลทาให้น้าในบริเวณน้ันมีคุณภาพเลวลง และทาให้เกิดการเปลยี่ นแปลงของการไหลเวยี น
ของน้า และสภาพภูมิศาสตรข์ องทอ้ งทะเล การเปลย่ี นแปลงของระดบั ความเค็มของน้าทะเล
ตลอดจนความเสยี หายท่ีเกิดจากการขนุ่ ขน้ ของนา้ และการทบั ถมของตะกอน ซึง่ อาจสง่ ผลกระทบตอ่
หญ้าทะเล ปะการัง และสตั ว์น้าบางชนดิ ได้
2.) การรว่ั ไหลของนา้ มนั ทเ่ี กิดจากทอ่ แตกท่ีท่าเรือ สามารถกอ่ ให้เกิด
ผล
กระทบกระเทอื นอยา่ งรา้ ยแรงต่อทรพั ยากรชายฝั่งทะเล เช่น แหล่งประมง และชวี ติ ของสตั วอ์ ่ืน ๆ
ทีอ่ าศยั อยู่ตามธรรมชาติ
3.) การเดินเรือทเ่ี พ่ิมมากขนึ้ อาจจะเปน็ ท่มี าของการแพรม่ ลพิษทางน้า
และขยะมูลฝอย เช่น ของเสียที่ท้ังออกจากท้องเรอื และน้าทงิ้ ท่ีได้จากการล้างเรือบรรทกุ นา้ มนั
การสัญจรไปมาของเรอื บรรทุกผโู้ ดยสารและสินค้า เปน็ ผลให้เกิดการสะสมของขยะในทอ้ งทะเล
5.5.2 ปญั หาการใชท้ ด่ี นิ เพอื่ การสร้างถนนและทางรถไฟ การพัฒนาอตุ สาหกรรม
พาณชิ ยกรรม และท่พี ักอาศัยในบริเวณชายฝง่ั ทะเล ซงึ่ เป็นพ้ืนทที่ ่ีมรี ะดับตา่ ยอ่ มตอ้ งการสงิ่
อานวยความสะดวกดา้ นการคมนาคมขนสง่ เช่น ถนน ทางรถไฟ และสะพาน ซ่งึ บ่อยครั้งจะตอ้ ง
สรา้ งขา้ มพ้นื ท่ที ่ีเปน็ นา้ โครงขา่ ยคมนาคมจะเชอ่ื มบรเิ วณทม่ี ีการพัฒนาเข้ากับบริเวณภาคพ้นื ดินและ
ทา่ เรือ และทจ่ี อดเรือของท้องถน่ิ
ปญั หาท่ีเกิดจากการสร้างถนนและทางรถไฟสรปุ ได้โดยสงั เขปดงั นี.-
1) ปัญหาเก่ียวกับถนนและทางรถไฟในสภาพแวดลอ้ มชายฝงั่ ทะเลก็คอื
พื้นที่ธรรมชาติ ซ่งึ ตามปกติจะดารงอยไู่ ดโ้ ดยการทว่ มของกระแสนา้ และการไหลเวียนของน้าบน
พ้นื ผิว จะถูกเปล่ียนแปลง
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สถาบนั บัณฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตร์และวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่งิ แวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
2/ คณะส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล
27
เนอ่ื งจากถนนหรอื ทางรถไฟปดิ ล้อมเป็นบางสว่ นหรอื ปิดล้อมท้ังหมด เปน็ เหตใุ ห้ระบบนิเวศในพนื้ ที่
ชายทะเลบางแหง่ เปลย่ี นแปลงไป
2) วัสดทุ ีใ่ ช้ถมท่ีเพือ่ การก่อสร้าง มีความสมั พนั ธเ์ กีย่ วกบั ปญั หาเฉพาะสอง
ประการ ประการแรกเกี่ยวกบั แหล่งทีม่ าของวัสดุ และประการที่สองเก่ยี วกับการกระเซน็ ของวัสดทุ ่ี
เกิดข้ึนขณะทเี่ ทวัสดุลงบนพืน้ ทที่ ี่ต้องการถม ไม่วา่ แหลง่ ที่มาของวัสดุจะเปน็ อะไรกต็ าม การขนยา้ ย
วสั ดอุ อกจากแหลง่ ย่อมจะก่อใหเ้ กดิ ผลกระทบต่อสิง่ แวดลอ้ ม นอกจากนี้วัสดุทใี่ ชถ้ มพ้ืนทเี่ พอ่ื ทาการ
กอ่ สร้างฐานรากของถนนและทางรถไฟอาจจะประกอบดว้ ยวสั ดุท่ีไดจ้ ากการขุดลอก ซ่ึงมีมลพษิ ซึ่งได้
ถูกสะสม และยงั คงหลงเหลืออยใู่ นทางนา้ ผสมอยู่มาก
3.) ปัญหาหนึง่ ซงึ่ มผี ลกระทบทางด้านเศรษฐกจิ เกดิ ข้นึ เมอ่ื การออกแบบ
โครงสรา้ งของเส้นทางคมนาคมขนส่ง และการเลือกใชว้ สั ดไุ ม่เพยี งพอที่จะใช้กบั พืน้ โคลนที่ออ่ นนิ่ม
ในกรณีเช่นนี้ การยุบตัวและทรดุ ตัวของโครงสร้างมกั จะเกิดขึน้ ปัญหาความเสยี หายที่เกิดขน้ึ กบั
โครงสร้างเชน่ น้ี มกั จะเนอื่ งมาจากการขาดประสบการณข์ องผูอ้ อกแบบและวิศวกรรมทางทะเล ซง่ึ มี
ความยุ่งยากทางดา้ นเทคนิค
6.แนวทางและวธิ ีการจดั การการใช้พืน้ ทีด่ ินชายทะเล
6.1 หลักการเบอ้ื งต้นในการจัดการและวางแผนพฒั นาทรพั ยากรชายฝั่งทะเล
เม่ือนาหลกั การของ John Clark ( 1978 ) มาเรียบเรยี งเพ่อื ใหส้ อดคล้องกบั สภาพและ
สถานะของทรัพยากรชายทะเลของประเทศไทย เรยี กหลกั การน้ีว่า "การจดั การและวางแผนพัฒนา
ทรพั ยากรชายฝัง่ ทะเล ( Coastal Resources Management and Planning : CMP) ซึง่ เป็น
วธิ กี ารหนึง่ ทีจ่ ะพฒั นา จดั ระเบยี บ และควบคุมการใชป้ ระโยชน์ทรพั ยากรชายฝง่ั ทะเล เพ่อื ใหบ้ รรลุ
เป้าหมาย วตั ถปุ ระสงค์ และความต้องการในระดับชาติทก่ี าหนดไว้ เขตชายฝง่ั ทะเลประกอบดว้ ย
สิ่งแวดลอ้ มหลายประเภททีม่ ีค่าในการเป็นแหลง่ ผลติ ส่ิงมชี ีวติ หลายชนดิ ขน้ึ บนผวิ โลก ศกั ยภาพใน
การพัฒนาทรพั ยากรสิ่งแวดลอ้ มเหล่าน้ีมีสูงมาก อยา่ งไรกต็ ามลักษณะ และความเขม้ ในการใช้
ประโยชน์แตล่ ะประเภทดงั กลา่ วเปน็ สิง่ ทตี่ ้องมีการจดั การอย่างระมดั ระวงั เพอื่ รกั ษาศักยภาพของ
ทรพั ยากรทส่ี ามารถฟ้นื ฟไู ด้( renewable resources ) ให้อยใู่ นระดับทสี่ งู สุด และเพ่อื ให้
ผลตอบแทนที่ไดจ้ ากการพัฒนามคี วามต่อเน่ืองและยาวนาน
หลกั การสาคัญ ๆ ท่ีใชใ้ นการจัดการและวางแผนพฒั นาสภาพแวดลอ้ มและ
ทรพั ยากรชายฝงั่ ทะเล อาจจะแสดงไดด้ ังรายการตอ่ ไปนี้.-
1.) เขตชายฝ่ังทะเลมีลกั ษณะพิเศษเฉพาะตวั และต้องการการจัดการ
และวางแผนพัฒนาทมี่ ีลักษณะเฉพาะตวั ด้วย ลกั ษณะการจัดการและวางแผนทีม่ มี าแตเ่ ดิม ซ่ึงมุง่
1/ เอกสารประกอบการบรรยายวิชาจส. 741 การจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝ่ัง สถาบันบัณฑติ พฒั นบรหิ ารศาสตรแ์ ละวิชา
ENTM537 Coastal Zone and Resource Management. คณะส่ิงแวดล้อมและทรพั ยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
2/ คณะสงิ่ แวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหดิ ล