The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เเผนการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ 4 ว30204 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sutthasangarii, 2022-08-20 03:33:48

เเผนการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ 4 ว30204

เเผนการจัดการเรียนรู้ ฟิสิกส์ 4 ว30204 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564

356
ฉลากหมายเลข

12345

6789

เครือ่ งถา่ ยเอกสาร (photocopier) หมาย35เ7ลข
1

ใช้ประโยชน์จากแรงระหว่างประจุไฟฟ้าในการทำให้ผงหมึกยึดติดกับกระดาษ

โดยอุปกรณ์สำคัญ คือ ดรัม (drum) ที่มีรูปทรงกระบอกและที่ผิวด้านนอกฉาบด้วยวัสดุ

ตวั นำไวแสง (ดังรปู )

รปู ขั้นตอนการทำงานของเครอ่ื งถ่ายเอกสาร

การทำงานของเคร่ืองถา่ ยเอกสาร (photocopier) ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก ดังน้ี

1. เมื่อกดสวิตซ์ให้เครื่องทำงาน แหล่งกำเนิดแสงจะฉายแสงไปทั่วเอกสารต้นฉบับขณะเดียวกนั
ดรัมจะถกู ทำให้มีประจไุ ฟฟา้ ชนิดหนึ่งไปท่วั ผิวของดรัม

2. แสงท่ฉี ายไปที่เอกสารต้นฉบบั จะสะทอ้ นไปตกลงบนผิวของดรมั โดยบรเิ วณท่มี สี ีดำบนต้นฉบบั
แสงจะสะท้อนได้น้อยผิวของดรัมจึงมีประจุชนิดเดิมอยู่ ส่วนบริเวณที่มีสีขาวแสงจะสะท้อน
มาตกกระทบได้มาก ผิวของดรัมจงึ มีสภาพเปน็ กลางทางไฟฟ้า

3. ดรัมจะหมุนต่อไปจนส่วนที่มีประจุไฟฟ้าไปพบกับอุปกรณ์ปล่อยผงหมึกที่มีประจุตรงข้ามอยู่
แรงดึงดูดทางไฟฟ้าระหว่างประจุตรงข้ามทำให้ผงหมึกติดกับบริเวณที่มีประจุไฟฟ้าบน ดรัม
ซึ่งมรี ปู แบบและลวดลายเหมือนกับลายเส้นบนเอกสารต้นฉบับ

4. ดรัมจะหมุนต่อไป จนส่วนของดรมั ทีม่ ีผงหมึกติดอยู่ไปพบกับแผน่ กระดาษเปล่าท่ีเคลื่อนที่มา
ตามสายพานโดยแผ่นกระดาษเปล่านี้ ได้ถูกทำให้มีประจุชนิดเดียวกับที่อยู่บนดรัม แต่มีปริมาณ
มากกว่าจึงทำให้ผงหมึกที่อยู่บนดรัมถูกดึงดูดด้วยแรงไฟฟ้าที่มากกว่าให้ไปติดอยู่บนแผ่นกระดาษ
เปล่า

5. แผ่นกระดาษที่มผี งหมึกจะเคลื่อนที่ผ่านลกู กล้ิงที่ให้ความรอ้ นและแรงกด ทำให้ผงหมึกยดึ ติด
กบั เน้ือกระดาษไดแ้ นน่ ไมห่ ลุดออกมาได้ง่าย

เครอื่ งพมิ พเ์ ลเซอร์สี (color laser printer) หมายเลข 358
2

ขั้นตอนการทำงานหลักจะคล้ายกับเครื่องถ่ายเอกสาร แต่จะใช้แหล่งกำเนิดแสงเป็นแสง
เลเซอร์ และจะฉายแสงเลเซอร์ผ่านปริซึมไปตกลงที่ผิวของดรัม ดังรูป โดยดรัมที่ผ่านการ
ฉายแสงเลเซอรจ์ ะมีประจไุ ฟฟา้ ในรูปแบบและลวดลายทสี่ อดคล้องกบั ไฟลต์ ้นฉบับในหน้าจอ
คอมพิวเตอร์

การเคลอื บสีฝุ่นดว้ ยไฟฟา้ สถิต (electrostatic powder coating) หมายเลข
3

เป็นการเคลือบสีด้วยผงหรือละอองสีที่มีประจุไฟฟ้าชนิดตรงข้ามกับที่อยู่บนชิ้นงาน

เพื่อให้สีเกาะติดชิ้นงานได้ดีกว่าการพร่นูปแขบัน้ บตธอรนรกมาดา และช่วยให้ประหยัดปริมาณสีที่ใช้ใน

การพ่น เนื่องจากละอองสีไม่ฟุ้งกระจายมาก โดยเครื่องพ่นสีฝุ่นจะทำให้ผงหรือละอองสี

กลายเป็นอนุภาคท่ีมีประจุไฟฟรท้าำเงมานื่อขถอูกงพเค่นรอ่ือองพกิมจพา์เกลเเคซรอื่อร์ง ส่วนชิ้นงานจะถูกทำให้มีประจุ
ไฟฟ้าชนดิ ตรงขา้ มกบั ผงหรือละอองสีพ่น (ดงั รูป ก.) ทำใหแ้ รงไฟฟา้ ดงึ ดูดผงหรอื ละอองสีให้

ยดึ กบั ผิวช้ินงาน

รปู ก. เคร่ืองพ่นสฝี ่นุ พน่ ละอองสที มี่ ีประจไุ ฟฟา้ ลบไปยังชิน้ งานทีม่ ปี ระจุไฟฟา้ บวก
ข. การพน่ สีช้ินงานท่เี ปน็ โลหะ

359

เครอ่ื งฟอกอากาศ (air purifier) หมายเลข
4

เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยลดไรฝุน่ เชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย และกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ในอากาศ การ

ทำงานของเครอ่ื งฟอกอากาศสว่ นใหญใ่ ชห้ ลายวธิ ีร่วมกนั เช่น การใชแ้ ผ่นกรองดกั จบั อนภุ าค

ฝุ่นและมลพิษ การใช้รังสีอัตราไวโอเลตในการกำจัดไวรัสและแบคทีเรีย รวมทั้งการทำให้

อนุภาคมลพิษมีประจุไฟฟ้าเพื่อการดักจับไว้ด้วยแผ่นกรองที่มีประจุไฟฟ้าชนิดตรงข้าม (ดัง

รูป)

เครือ่ งตกตะกอนไฟฟ้าสถติ (electrostatic precipitator) หมายเลข
5
ใชห้ ลักการเดยี วกับเคร่ืองฟอกอากาศ (ดังรปู ) โดยมกี ารนำมาประยุกตใ์ ช้ในการควบคุม

มลพิษอย่างแพร่หลายในโรงงานอุตสาหกรรม โรงโม่หนิ การทำปนู ซเี มนต์ เขม่าควันจากไอเสีย

ของเครือ่ งยนต์ หรือ จากปรากฏการณธ์ รรมชาติ เชน่ ไฟป่า เป็นต้น

รูป ก. เครอ่ื งฟอกอากาศ

ข. กระบวนการฟอกอากาศของเครื่องฟอกอากาศ

รปู ขัน้ ตอนการทำใหอ้ ากาศสะอาดของเครอ่ื งตกตะกอนไฟฟา้ สถิต

360

การอธิบายปรากฏการณฟ์ า้ ผา่ (lightning) และฟา้ แลบ (flash) หมายเลข
6

เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการเสียดสีกันระหว่างโมเลกุลของน้ำและ
อากาศ ที่เคลื่อนที่ในก้อนเมฆ เมื่อก้อนเมฆมีประจุไฟมากพอจะถ่ายโอนประจุไฟฟ้าไปยงั
บริเวณอ่ืน ทำให้ประจุจำนวนมากเคล่ือนที่ด้วยอัตราเรว็ สูงผา่ นอากาศ เกิดความร้อนและ
แสงสว่างตามเส้นทางที่ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ ซึ่งถ้าเป็นการถ่ายโอนประจุระหว่างก้อนเมฆ
กับพื้นดิน จะเรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า ฟ้าผ่า ถ้าเป็นการถ่ายโอนประจุระหว่างก้อน
เมฆกับกอ้ นเมฆ จะเรียกวา่ ฟ้าแลบ

รูปปรากฏการณ์ฟ้าผ่า

361

สายล่อฟ้า (lightning rod) หมายเลข
7

เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า ซึ่งจะติดตั้งบริเวณยอดของตึกหรือ
สิ่งก่อสร้างที่มีความสูงกว่าบรเิ วณรอบ ๆ โดยจะมีสายไฟโยงจากสายล่อฟ้าไปยังพื้นดิน เมื่อมี
ประจุไฟฟ้าจำนวนมากในก้อนเมฆที่ลอยอยู่ใกล้ ๆ ตึกหรือสิ่งก่อสร้าง การถ่ายโอนประจุจาก
ก้อนเมฆมายังพ้ืนดินจะเป็นการถ่ายโอนผ่านสายล่อฟ้า เป็นการลดประจุไฟฟ้าในบรรยากาศ
รอบๆ ทำใหไ้ ม่เกดิ ฟา้ ผ่าอาคารทม่ี สี ายล่อฟา้ (ดงั รปู )

รปู สายล่อฟา้ บนตึงสูงช่วยใหป้ ระจุจากฟา้ ผา่ เคลอ่ื นทีล่ งไปยังพนื้ ดิน

การใชส้ ายรัดข้อมือของช่างอเิ ล็กทรอนกิ ส์ หมาย36เ2ลข
8

ในการทำงานกับชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความไวต่อไฟฟ้าสถิตสูง
อย่างเช่น อุปกรณ์ของเครื่องคอมพวิ เตอร์ การถ่ายโอนประจุไฟฟ้าเพียงเล็กน้อย สามารถ
ทำให้เกดิ ความเสียหายกบั อปุ กรณเ์ หล่านีไ้ ด้ จึงตอ้ งมีการป้องกนั ด้วยการใชส้ ายรัดข้อมือท่ี
ต่อกับพื้น (ดังรูป) เพื่อให้ประจุไฟฟ้าสถิตที่เกิดจากการเคลื่อนที่หรือเสียดสีของร่างกาย
ถา่ ยโอนไปท่พี นื้ แทนที่จะไปที่อปุ กรณ์

รปู การใช้สายรัดขอ้ มือปอ้ งกันอันตรายจากไฟฟา้ สถิต

การเติมนำ้ มัน หมาย36เ3ลข
9

ในการเติมน้ำมันยานพาหนะบางครั้ง ผู้ขับขี่อาจมีโอกาสได้สัมผัสกับหัวจ่ายน้ำมัน
(ดังรูป ก.) ถา้ ผู้ขบั ข่ีใส่เส้อื ผา้ ทท่ี ำให้เกดิ การสะสมประจไุ ฟฟา้ ได้ง่ายจากการเสียดสีกับเบาะรถ
หรือจากวสั ดอุ ื่นๆ และเม่ือผู้ขบั ขไ่ี ดส้ ัมผัสกับส่วนของหัวจา่ ยน้ำมันที่เป็นโลหะอาจทำให้มีการ
ถ่ายโอนประจุอย่างรวดเร็ว จนเกดิ เป็นประกายไฟที่ทำใหไ้ อนำ้ มันที่ระเหยออกมาลกุ ตดิ ไฟและ
เกิดอันตรายได้ ดังนั้น ถ้าต้องมีการเติมน้ำมันควรระวังไม่สัมผัสกับหัวจ่ายน้ำมันหรือถ้า
จำเป็นต้องสัมผัสใหถ้ า่ ยโอนประจุไฟฟา้ ออกจากรา่ งกายใหเ้ หลอื นอ้ ยลงกอ่ น โดยอาจใช้ส่วนท่ี
เป็นโลหะของกญุ แจแตะกบั สว่ นทเ่ี ปน็ โลหะของรถบริเวณห่างจากหวั จ่ายนำ้ มัน (ดงั รปู ข.)

รูป 13.51 ก. หวั จา่ ยน้ำมนั ในสถานีบรกิ ารน้ำมัน
ข. การใช้กญุ แจแตะตัวถังรถเพ่ือลดประจไุ ฟฟา้ ทส่ี ะสมในรา่ งกาย

สำหรับรถขนส่งน้ำมันที่เดนิ ทางระยะไกล น้ำมันเชื้อเพลงิ ภายในถังจะมีการเสียดสีกับ
ถังเป็นเวลานานทำให้มีประจุไฟฟ้าสถิตสะสมบนถังเป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถทำให้เกิด
ประกายไฟได้ในขั้นตอนการถ่ายเทน้ำมันจากรถไปยังที่เก็บซึ่งอาจทำให้เกิดการลุกไหม้ได้
ดังนั้นในกระบวนการถ่ายเทน้ำมันจึงต้องมีการต่อตัวนำระหว่าง ถังเก็บของรถขนส่งน้ำมันกั บ
จุดต่อลงดิน (ดงั รปู ) เพือ่ ใหม้ กี ารถา่ ยโอนประจุไฟฟา้ ออกจากรถลงสพู่ ืน้ ดนิ

รูปการตอ่ ตัวนำระหวา่ งถังเกบ็ นำ้ มันของรถขนสง่ น้ำมันกบั จดุ ต่อลงดิน

364

แผนการจัดการเรยี นรู้
บทที่ 14

เรือ่ ง ไฟฟา้ กระแส

365

แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 29

เรือ่ ง กระแสไฟฟา้

รายวิชา ฟสิ กิ ส์ 4 รหสั วิชา ว30204 เวลา 2 ชั่วโมง

หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 14 ช่อื หนว่ ยการเรียนรู้ ไฟฟ้ากระแส รวม 24 ชวั่ โมง

กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 2

บรู ณาการ

 ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง  อาเซียน  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น  มาตรฐานสากล  ขา้ มกลุม่ สาระ

1. สาระฟสิ ิกส์
3. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟา้ ศกั ยไ์ ฟฟา้ ความจไุ ฟฟ้ากระแสไฟฟ้าและกฎของโอห์ม

วงจรไฟฟา้ กระแสตรง พลังงานไฟฟ้าและกำลังไฟฟ้า การเปล่ยี นพลงั งานทดแทนเปน็ พลังงานไฟฟา้ สนามแมเ่ หล็ก
แรงแม่เหลก็ ท่ีกระทำกบั ประจไุ ฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าและกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้า
กระแสสลับ คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ และการสื่อสาร รวมท้ังนำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์

2. ผลการเรยี นรู้
10. อธิบายการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนอิสระและกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ ความสัมพันธ์ระหว่าง

กระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ กับความเร็วลอยเลื่อนของอิเล็กตรอนอิสระ ความหนาแน่นของอิเล็กตรอนในลวดตัวนำ
และพน้ื ทห่ี น้าตัดของลวดตัวนำ และคำนวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกยี่ วข้อง

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) อธบิ ายกระแสไฟฟา้ ในตัวนำได้
2) อธิบายการเคลื่อนทขี่ องอิเลก็ ตรอนอิสระและกระแสไฟฟ้าในลวดตวั นำได้
3) อธบิ ายความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ กบั ความเร็วลอยเล่อื นของอิเลก็ ตรอนอสิ ระ
ความหนาแน่นของอิเลก็ ตรอนในลวดตวั นำ และพื้นทีห่ น้าตดั ของลวดตัวนำได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) คำนวณปรมิ าณต่าง ๆ ทีเ่ กย่ี วขอ้ งได้
3.3 ดา้ นคุณลกั ษณะ (A)
1) เปน็ ผ้มู คี วามรบั ผิดชอบและเปน็ ผมู้ ีความมุ่งมั่นในการทำงาน

4. สาระสำคัญ
เมื่อมีกระแสไฟฟ้าในตัวกลางเรียกว่ามี การนำไฟฟ้า (electrical conduction) ในตัวกลางนั้นและเรียก

ตวั กลางนัน้ ว่า ตัวนำไฟฟา้ (electrical conductor) หรือ เรยี กสั้น ๆ ว่า ตัวนำ
เมือ่ มปี ระจไุ ฟฟ้าลพั ธเ์ คลอ่ื นที่ผ่านตำแหน่งใดตำแหน่งหน่ึงในตัวนำไฟฟา้ เรียกวา่ มกี ระแสไฟฟ้า (electric

current) ในตัวนำนน้ั ในกรณีท่ีตวั นำไฟฟ้าเปน็ โลหะ ในสภาวะปกติ อิเลก็ ตรอนอสิ ระในตัวนำโลหะจะเคลอื่ นที่อย่าง
ไร้ระเบียบโดยมีความเรว็ เฉลยี่ เปน็ ศนู ย์ แต่เม่ือมีสนามไฟฟ้าภายในตวั นำ โลหะจะทำให้อเิ ลก็ ตรอนอิสระเคล่ือนท่ีด้วย

366

ความเรว็ เฉลี่ยไมเ่ ปน็ ศนู ย์ ซึง่ เรียกว่า ความเรว็ ลอยเลอ่ื น (drift velocity) ทำใหเ้ กดิ กระแสอเิ ล็กตรอน (electron
current) และมีประจุไฟฟ้าลัพธ์เคลื่อนที่ผ่านตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในตัวนำโลหะ ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าใน
ทศิ ทางตรงข้ามกับทิศทางของกระแสอิเลก็ ตรอน

ค่าของกระแสไฟฟ้าพิจารณาได้จากประจุไฟฟ้าที่ผ่านพื้นที่หน้าตัดของตัวนำ ในหนึ่งหน่วยเวลา เขียนเป็น
สมการได้เป็น = = เมื่อ เป็นจำนวนอนุภาคที่มีประจุ เคลื่อนที่ผ่านพื้นที่หน้าตัดของตัวนำใน

∆ ∆

เวลา ∆
กระแสไฟฟ้าในตัวนำมีทิศทางเดยี วกับทิศทางของสนามไฟฟ้า หรอื มีทศิ ทางจากตำแหนง่ ที่มีศักย์ไฟฟ้าสูงไป

ยังตำแหน่งทมี่ ีศกั ยไ์ ฟฟ้าตำ่ กว่า
กระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำมีค่าขึ้นกับจำนวนอิเล็กตรอนต่อหนึ่งหน่วยปริมาตร ความเร็วลอยเลื่อน

ของอเิ ลก็ ตรอนอสิ ระ และขนาดพน้ื ที่หน้าตดั ของลวดตัวนำ รวมท้งั ประจขุ องอเิ ล็กตรอน เขียนแทนด้วยสมการ
ได้วา่ =

5. สาระการเรยี นรู้
5.1 ความรู้
กระแสไฟฟ้า เมื่อใช้สายไฟต่อเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้ากับแหล่งกำเนิดไฟฟ้าให้ครบวงจร จะทำให้
เครื่องใช้ไฟฟ้าสามารถทำงานได้ เช่น เมื่อใช้สายไฟต่อกับหลอดไฟและแบตเตอรี่ให้ครบวงจร จะทำให้
หลอดไฟสว่างดังรูป 14.1 แสดงว่ามี กระแสไฟฟ้า (electric current) ผ่านหลอดไฟ จึงทำให้มีการ
ถ่ายโอนพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ไปยังหลอดไฟซึ่งทำหนา้ ทีเ่ ปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานแสงและ
ความร้อน

รปู 14.1 การตอ่ หลอดไฟเขา้ กับแบตเตอรใ่ี ห้ครบวงจร

กระแสไฟฟ้าในตัวนำ เมื่อมีกระแสไฟฟ้าในตัวกลางใด เรากล่าวมีการนำไฟฟ้า (electrical
conduction) ตัวกลางนั้น และเรียกตัวกลางที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ว่า ตัวนำไฟฟ้า (electrical
conductor) ส้นั ๆ วา่ ตัวนำ ตัวอยา่ งของตัวนำไฟฟ้า เช่น โลหะ อิเลก็ โทรไลต์ แก็สภายใต้บางสภาวะ ซ่ึง
เกี่ยวข้องกับชวี ติ ประจำวันเรามากที่สุดคือ ตัวนำที่เป็นโลหะ เพราะเป็นวัสดุที่ใช้เป็นตัวนำในสายไฟตาม
บา้ นและในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของเคร่ืองใช้ไฟฟา้ ตา่ ง ๆ

ในตวั นำทเี่ ป็นโลหะอเิ ล็กตรอนบางสว่ นไม่ไดถ้ กู ยดึ เคลือ่ นทไ่ี ด้อย่างอสิ ระ เรียกว่าอิเลก็ ตรอนอิสระ
(free electron) โดยปกติอิเล็กตรอนอิสระจะเคลื่อนที่ไปทั่วภายในตัวนำและชนกับอะตอมที่อยู่รอบๆ
ทำให้ทิศทางการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนเหล่านี้ไม่แน่นอน ดังรูป 14.2 ดังนั้น ความเร็วเฉลี่ยของ
อิเล็กตรอนจึงเป็นศูนย์ ( av = 0) กล่าวคือ ไม่มีประจุไฟฟ้าลัพธ์เคลื่อนที่ผ่านในทิศทางใดที่แน่นอน
หรอื ไมม่ ีกระแสไฟฟ้าในตัวนำ

367

รปู 14.2 การเคลอ่ื นท่ีของอิเล็กตรอนอิสระในสภาวะปกติไมม่ ที ิศทางแน่นอน
การท่ีจะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าในตัวนำ อเิ ล็กตรอนอิสระต้องมกี ารเคลื่อนท่ีโดยเฉล่ียไปในทิศทาง
ใดทิศทางหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีแรงไฟฟ้ากระทำต่ออิเล็กตรอน ทั้งนี้ แรงไฟฟ้าเกิดขึ้นเมื่อมี
สนามไฟฟ้า และสนามไฟฟ้าเกิดขึ้นได้ก็ต่อเม่ือมีความต่างศักย์ระหว่างจุสองจุด ดังนั้น การจะทำให้
อิเล็กตรอนอิสระในตัวนำมีการเคลื่อนที่โดยเฉลี่ยไปในทิศทางเดียวกันได้นั้น จะต้องมีแหล่งพลังงานท่ี
สามารถทำให้เกิดความต่างศักย์ระหว่างจุดสองจุดในตัวนำได้ แหล่งพลังงานที่ทำให้เกิดความต่างศักย์
ระหวา่ งจุดสองจุดในตวั นำอย่างตอ่ เน่ืองเรยี กวา่ แหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้า (electrical energy source)
ตวั อย่างของแหลง่ กำเนิดไฟฟ้า เชน่ แบตเตอร่ี เซลล์สุรยิ ะ เครอื่ งกำเนดิ ไฟฟา้ ซง่ึ เปน็ การทำความ
เขา้ ใจเบ้ืองตันเกีย่ วกบั กระแสไฟฟ้า จะยกตัวอย่างในกรณที ่ใี ชแ้ บตเตอรเ่ี ปน็ แหลง่ กำเนิดไฟฟา้ เปน็ ส่วนใหญ่
เน่ืองจากแบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์ท่ีมีใช้กนั ทั่วไปและให้กระแสไฟฟ้าท่ีเปน็ ไฟฟ้ากระแสตรง ซ่ึงง่ายต่อการทำ
ความเข้าใจ
เมอื่ นำแบตเตอรม่ี าตอ่ เข้ากบั ตัวนำโลหะดังรูป 14.3 จะทำให้เกิดความต่างศกั ย์ระหว่างจุดสองจุด
ในตัวนำ โดยจดุ ท่ีอยู่ดา้ นขั้วบวกจะมีศกั ย์ไฟฟ้าสงู กว่าจุดทอ่ี ยู่ด้านขวั้ ลบ สง่ ผลใหเ้ กิดสนามไฟฟา้ ( ⃑ ) และ
แรงไฟฟ้ากระทำต่ออิเล็กตรอนอิสระ ( ) ทำใหอ้ เิ ลก็ ตรอนอิสระเคลื่อนทดี่ ้วยความเร็วเฉล่ียท่ีไม่เป็นศูนย์
( av ≠ 0) ไปในทิศทางตรงข้ามกับสนามไฟฟ้า (เนื่องจากอิเล็กตรอนมีการชนกับอะตอมอื่น ๆ ที่อยู่
รอบ ๆ ระหว่างเส้นทางการเคลือ่ นที่ จึงมีทศิ ทางตลอดเส้นทางการเคลื่อนท่ีไม่เป็นแนวตรง) ทำให้มีประจุ
ไฟฟ้าลัพธ์ผา่ นตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในตัวนำ น่นั คอื ทำให้เกดิ กระแสไฟฟา้ ในตวั นำโลหะ

รูป 14.3 ภาพจำลองการเคลือ่ นที่ของอเิ ลก็ ตรอนอสิ ระในตวั นำโลหะเม่ือมสี นามไฟฟา้
เพื่อการงา่ ยตอ่ การทำความเข้าใจการเขียนสญั ลักษณ์แทนการเคลือ่ นท่ขี องอิเล็กตรอนหรอื อนุภาคท่ี
มปี ระจุไฟฟ้าในตวั นำเม่ือมสี นามไฟฟา้ จึงระบุดว้ ยเวกเตอร์ของความเร็วเฉล่ีย ดังรูป 14.4

368

รูป 14.4 การแสดงทิศทางการเคลื่อนทข่ี องอเิ ล็กตรอนอิสระในตัวนำด้วยเวกเตอร์
ความเร็วเฉลยี่

สำหรับตัวนำไฟฟ้าชนิดอื่น เช่น แก๊สที่อยู่ภายใต้สภาวะความดันต่ำและสนามไฟฟ้าที่มี
ค่าสูง โมเลกลุ ของแกส็ จะแตกตัวได้ง่าย ทำให้มอี เิ ลก็ ตรอนอิสระและไอออนบวกของแก๊สเคล่ือนที่ไปในทิศ
ทางตรงข้ามกัน แต่ไอออนบวกจะเคลื่อนท่ีช้ามาก จึงส่งผลให้มีประจุไฟฟ้าลัพธ์ผ่านตำแหน่งใดตำแหน่ง
หนง่ึ ในแกส๊ จึงทำใหเ้ กิดกระแสไฟฟ้าในแก๊ส ดังรูป 14.5 ก. ส่วนในตัวนำไฟฟา้ อย่างอิเล็กโทรไลต์ ไอออน
ลบและบวกที่เกดิ จากการแตกตัวของกรด เบส หรอื เกลือ จะเคลื่อนที่เข้าหาแผ่นตัวนำโลหะท่ีมีศักย์ไฟฟ้า
ตา่ งกัน ดังรปู 14.5 ข. ทำให้มีประจุไฟฟ้าลัพธ์ผ่านตำแหนง่ ใดตำแหน่งหน่ึงในอิเล็กโทรไลต์ จงึ ส่งผลให้เกิด
กระแสไฟฟ้าเช่นเดียวกัน

รปู 14.5 ก. การเคลอ่ื นท่ขี องอนภุ าคท่มี ปี ระจลุ บและประจบุ วกในแก็ส
ข. การเคลอื่ นที่ของไอออนบวกและไอออนลบในอเิ ลก็ โทรไลต์

เนื่องจาก กระแสไฟฟ้าเกิดจากการมีประจุไฟฟ้าลัพธ์เคลื่อนที่ผ่านตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งใน
ช่วงเวลาหนึ่ง จึงได้มีการกำหนดว่า กระแสไฟฟ้าในตัวนำใดๆ คือปริมาณประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ผ่าน
พื้นที่หน้าตัดของตวั นำน้นั ในหนึ่งหนว่ ยเวลา

ถ้าพิจารณาตัวนำที่มีอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ผ่านพื้นที่หน้าตัด ดังรูป 14.6 สมมติใน
เวลา ∆ อนภุ าคท่มี ปี ระจุไฟฟ้าจำนวน ตัว เคลอื่ นที่ผา่ นพืน้ ทห่ี น้าตดั ของตัวนำ ถ้าอนุภาคแต่ละตัวมี
ประจุไฟฟ้า ดังน้นั ประจไุ ฟฟ้าทัง้ หมด ทผี่ า่ นพื้นทีห่ น้าตดั จะเท่ากบั และจะไดว้ า่ กระแสไฟฟ้า
มคี ่า ดังน้ี = =

∆ ∆

จากสมการ จะไดว้ ่าหน่วยของกระแสไฟฟ้า คอื คลู อมบต์ อ่ วนิ าที หรอื แอมแปร์ (ampere) แทน
ด้วยสญั ลกั ษณ์

รูป 14.6 การเคลื่อนท่ีของอนภุ าคท่ีมปี ระจุไฟฟา้ ผ่านพน้ื ทีห่ นา้ ตัดของตัวนำชนิดหนึ่ง

ในการกำหนดทิศทางของกระแสไฟฟ้า ได้มีการกำหนดให้ กระแสไฟฟ้าในตัวนำมีทิศทาง
เดียวกับสนามไฟฟ้า ซ่ึงเป็นทศิ ทางตรงขา้ มกับการเคล่อื นทข่ี องอเิ ล็กตรอน ทง้ั นี้เนื่องจากในอดตี ช่วงที่
เร่ิมมีการศึกษาเกีย่ วกับกระแสไฟฟ้า นักวิทยาศาสตร์ไดก้ ำหนดให้กระแสไฟฟา้ มีทิศทางจากตำแหน่งท่ีมี
ศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังตำแหน่งที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำ ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟ้าบวก

369

หรือ ทิศทางเดียวกบั สนามไฟฟ้า ถงึ แม้วา่ ภายหลังจะพบว่า กระแสไฟฟ้าในตัวนำโลหะจะเกิดขน้ึ จากการ
เคลือ่ นที่ของอนภุ าคท่ีมปี ระจไุ ฟฟ้าลบ แต่การกำหนดทิศทางของกระแสไฟฟ้าดังกล่าวยังคงยึดตามแบบที่
กำหนดไว้เดิม

กระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ ในกรณีท่ีตัวนำไฟฟ้าเปน็ โลหะและมีลกั ษณะเป็นเส้นทรงกระบอกยาว
เรียกตัวนำดังกลา่ ววา่ ลวดตัวนำ เชน่ ลวดทองแดงในสายไฟท่ีใช้ในวงจรไฟฟ้าตามอาคารบ้านเรือน การ
เกิดกระแสไฟฟ้าและการหาค่าของกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ พิจารณาไดด้ งั นี้

เมื่อนำสายไฟที่ภายในมีลวดตัวนำมาต่อเข้ากับแบตเตอรี่และหลอดไฟ ดังรูป 14.7 จะทำให้เกิด
ความต่างศักย์ (∆ ) ระหว่างปลายของลวดตัวนำด้านที่ต่อกับข้ัวบวก กับปลายท่ีต่อกับขั้วลบของ
แบตเตอรี่ กำหนดให้เป็นจุด A และ B ตามลำดับ ความต่างศักย์ระหว่างปลายทั้งสอง ทำให้เกิด
สนามไฟฟ้า ⃑ ภายในลวดตัวนำ ทำให้มีแรงไฟฟ้ากระทำต่ออิเล็กตรอน ในทิศทางตรงข้ามกับ
สนามไฟฟ้า และทำให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเฉลี่ย av ไม่เป็นศูนย์จาก B ไป A เกิดเป็น
กระแสอิเลก็ ตรอน (electron current) ดงั รูป 14.7 ซง่ึ มีทศิ ทางการเคล่อื นท่ีตรงขา้ มกับทิศทางของ
กระแสไฟฟ้าในลวดตวั นำ

รปู 14.7 กระแสอเิ ลก็ ตรอนและกระแสไฟฟา้ ในตวั นำ
ความเร็วเฉลี่ยของอิเล็กตรอนอิสระ ( av ) ที่เคลื่อนที่ในลวดตัวนำเนื่องจาก
สนามไฟฟ้า ⃑ (หรือความเร็วเฉลี่ยของอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ในตัวนำไฟฟ้าเนื่องจาก
สนามไฟฟา้ ) มชี ่ือเรียกเฉพาะว่า ความเร็วลอยเลอื่ น (drift velocity) แทนดว้ ยสัญลักษณ์ ดังน้ัน
จากรูป 14.8 ในชว่ งเวลา ∆ สามารถพจิ ารณาได้ว่าแต่ละอิเล็กตรอนเคล่ือนท่ไี ด้เป็น ∆

รปู 14.8 อิเลก็ ตรอนิสระเคลอ่ื นทีผ่ ่านพ้นื ทหี่ น้าตัดของลวดตัวนำ
เนื่องจากอิเลก็ ตรอนแตล่ ะตัวมีประจุ ดงั นัน้ ประจไุ ฟฟ้าทง้ั หมด ท่ผี า่ นพื้นท่ีหนา้ ตัด
ในชว่ งเวลาดงั กล่าวจึงเท่ากับ

= ( ∆ )

370

= ∆ =


นั่นคอื กระแสไฟฟา้ ในลวดตัวนำ ข้นึ กับความหนาแนน่ ของอเิ ลก็ ตรอนอิสระในตัวนำ ( )

ประจไุ ฟฟ้าของอเิ ล็กตรอน ( ) ความเร็วลอยเล่ือนของอิเล็กตรอน ( ) และพ้ืนท่ีหนตัดของลวดตัวนำ
( )

5.2 กระบวนการ

1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟงั พดู เขียน)

2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วเิ คราะห์ จัดกลุ่ม สรปุ )

3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (ศกึ ษาหรอื รับรู้ขอ้ มูลมองเห็นและเขา้ ใจปัญหาสำคญั ทีเ่ กิดข้นึ ได้)

4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ (ความรับผดิ ชอบ)

5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสืบคน้ ผ่านคอมพิวเตอร)์

5.3 คณุ ลักษณะและคา่ นยิ ม
เปน็ ผู้มีความรบั ผดิ ชอบและเปน็ ผมู้ คี วามมุง่ มน่ั ในการทำงาน

6. บรู ณาการ
6.1 บูรณาการ PLC นักเรียนแต่ละคนแลกเปลี่ยนเรียนรู้เล่าสู่กันฟังถึงความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม และ

ปัญหาท่ีเกดิ ขนึ้ ระหว่างการทำกิจกรรม

7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ข้นั ที่ 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ
1.1 ครสู าธติ การเคล่ือนท่ขี องประจไุ ฟฟ้า โดยใชอ้ ิเล็กโทรสโคปแผน่ โลหะสองชดุ ตามหนังสือเรียน
(ดังรปู ) แลว้ ให้นกั เรยี นสงั เกตการเปล่ยี นแปลงของแผน่ โลหะบางในอเิ ล็กโทรสโคป

1.2 ครูตัง้ ประเด็นคำถามใหน้ ักเรยี นตอบ
ครู : จากรปู ก. ทำไมแผ่นโลหะบางในชุดแรกจงึ กาง แตอ่ กี ชดุ หน่งึ ไม่กาง (แนวการตอบ

เพราะแผน่ โลหะบางชดุ แรกมีประจุไฟฟ้า และแผ่นโลหะบางอกี ชุดมสี ภาพเปน็ กลาง)

371

ครู : จากรูป ข. เมอื่ ครพู าดโลหะลงบนแผ่นโลหะด้านบน นกั เรยี นสงั เกตเห็นการ
เปล่ียนแปลงของแผน่ โลหะบางอยา่ งไร (แนวการตอบ แผ่นโลหะบางชุดแรกหบุ ลง และแผน่ โลหะบางชุดที่
สองกางออก)

ครู : จากรูป ข. แผ่นโลหะบางชดุ แรกหบุ ลง และแผ่นโลหะบางชุดทส่ี องกางออก นักเรียน
คดิ ว่าเกิดอะไรข้ึนถึงเป็นเช่นนน้ั (ทิง้ ในนักเรียนหาคำตอบ)

1.3 ครูตง้ั คำถามเพ่อื นำเขา้ สู่การทำกิจกรรม
1) ประจุไฟฟ้าเคล่อื นท่ีได้อย่างไร และมีความสมั พันธก์ ับพลงั งานไฟฟ้าอยา่ งไร (โดยเปิด

โอกาสให้นกั เรียนตอบอภิปรายอย่างอสิ ระ ไม่คาดหวงั คำตอบที่ถูกตอ้ ง)
2) อิเล็กตรอนอิสระในตัวนำที่เป็นโลหะ เคลื่อนที่ได้อย่างไร (โดยเปิดโอกาสให้นักเรียน

ตอบอภิปรายอย่างอสิ ระ ไมค่ าดหวงั คำตอบทีถ่ ูกตอ้ ง)
1.4 ครยู กตวั อยา่ งการไหลของน้ำในสายยางท่ีมีน้ำอยูเ่ ตม็ ตลอดสาย แตถ่ า้ มีการยกปลายสายยาง

ด้านหน่งึ ใหย้ กสงู ขึ้น (ดังรูป) ทำให้ปลายทงั้ สองมีพลังงานศกั ย์โน้มถ่วงต่างกนั น้ำจะไหลจากปลายด้านท่ีมี
พลังงานศักย์สูงกว่าไปยังปลายที่มีพลังงานศักย์ต่ำกว่า แล้วครูถามนักเรียนว่าถ้าเปรียบเทียบน้ำไหล
ดังกล่าวกับศักย์ไฟฟ้าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร (โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนตอบอภิปรายอย่างอิสระ
ไมค่ าดหวังคำตอบทีถ่ ูกตอ้ ง)

ข้นั ที่ 2 ข้นั สำรวจและคน้ หา
2.1 นักเรียนทกุ คนศึกษาคน้ คว้าและทำความเข้าใจเนอื้ หา เรื่อง กระแสไฟฟ้า ในหนงั สอื เรยี น

หนา้ 170-177
2.2 นกั เรยี นทำกจิ กรรม เรอ่ื ง กระแสไฟฟา้ ลงในใบกิจกรรมทคี่ รแู จกให้

ขนั้ ท่ี 3 ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครูนำนกั เรยี นอภิปรายเพ่อื นำไปสู่การสรุปโดยใช้คำถามต่อไปน้ี
1) จงอธิบายความหมายของกระแสไฟฟ้า (electric current) (แนวการตอบ เป็นการ

เคลอ่ื นท่ขี องของอนภุ าคท่ีมปี ระจุไฟฟ้า ซึ่งนำพลังงานไฟฟา้ ไปถ่ายโอนใหก้ บั เครือ่ งใชห้ รอื อปุ กรณ์ไฟฟ้า)
2) ตัวกลางที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่าน เรียกว่า (แนวการตอบ ตัวนำไฟฟ้า (electrical

conductor))
3) ตัวนำที่เป็นโลหะอิเล็กตรอนบางส่วนไม่ได้ถูกยึดเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ เรียกว่า

(แนวการตอบ อเิ ล็กตรอนอสิ ระ (free electron))
4) ความเรว็ เฉล่ียของอิเล็กตรอนอิสระเคล่ือนท่ีไปท่ัวภายในตัวนำ มีทศิ ทางการเคล่ือนท่ี

ไมแ่ นน่ อนมคี า่ เท่าใด (แนวการตอบ ความเรว็ เฉล่ียของอเิ ล็กตรอนมคี ่าเป็นศูนย์)
5) จงอธิบายความหมายกระแสไฟฟ้าในตัวกลางใดๆ (แนวการตอบ ประจุไฟฟ้าที่ผ่าน

ภาคตัดขวางของตัวกลางนน้ั ในหนงึ่ หน่วยเวลา)

372

6) ถ้ามีแรงไฟฟ้ากระทำต่ออิเลก็ ตรอนอสิ ระ ( ) ทำให้อิเล็กตรอนอสิ ระเคลื่อนท่ีอย่างไร
และมีความเรว็ เฉล่ียเท่าใด (แนวการตอบ อิเล็กตรอนอิสระเคลือ่ นท่ีด้วยความเรว็ เฉล่ียท่ีไม่เป็นศูนย์ ไปใน
ทศิ ทางตรงขา้ มกับสนามไฟฟ้า)

7) ทิศทางของกระแสไฟฟ้าในตัวนำ มีลักษณะการเคลื่อนท่ีเป็นอย่างไร (แนวการตอบ
กระแสไฟฟ้าในตัวนำมที ิศทางเดียวกบั สนามไฟฟ้า ซึ่งเป็นทศิ ทางตรงข้ามกบั การเคลือ่ นทีข่ องอิเล็กตรอน)

8) ถ้าภายในลวดตัวนำมีแรงไฟฟ้ากระทำต่ออิเล็กตรอน ( ) ในทิศทางตรงข้ามกับ
สนามไฟฟ้า จะทำให้อิเล็กตรอนเคลื่อนที่อย่างไร และมีความเร็วเฉลี่ยเท่าใด (แนวการตอบ อิเล็กตรอน
เคลื่อนที่ดว้ ยความเรว็ เฉลย่ี ที่ไมเ่ ป็นศนู ย์ มีทิศทางการเคล่ือนที่ตรงข้ามกบั ทิศทางของกระแสไฟฟ้าในลวด
ตวั นำ)

9) ความเร็วเฉลย่ี ของอนภุ าคทีม่ ีประจุไฟฟ้าท่เี คล่ือนที่ในตัวนำไฟฟ้าเน่อื งจากสนามไฟฟ้า
เรยี กวา่ (แนวการตอบ ความเร็วลอยเล่อื น (drift velocity))

10) ค่ากระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำมีค่ามากหรอื น้อยขึน้ กับค่าใดบ้าง (แนวการตอบ ความ
หนาแน่นของอิเล็กตรอนอิสระในตัวนำ ( ) ประจุไฟฟ้าของอิเล็กตรอน ( ) ความเร็วลอยเลื่อนของ
อเิ ล็กตรอน ( ) และพ้ืนที่หนตัดของลวดตวั นำ ( ))

ข้ันท่ี 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครูอธิบายให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าตรง

(direct current หรือ DC) ซึ่งมีทิศทางเดิมตลอดวงจรแตกต่างจากกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านเรือนท่ัวไปท่ี
เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (alternating current หรือ AC) ซึ่งมีทิศทางของกระแสไฟฟ้ากลับไปกลับมา และ
เป็นกระแสไฟฟ้าที่ได้จากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ดังนั้น ในบทน้ีเมื่อกล่าวถึงวงจรไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า จึง
หมายถึง วงจรไฟฟา้ กระแสตรง (direct-current circuit) และกระแสไฟฟา้ ทีเ่ ปน็ ไฟฟ้ากระแสตรงเท่าน้นั

4.2 ครูอธิบายใหค้ วามรเู้ พมิ่ เติมเกีย่ วกบั การนำไฟฟ้าในตวั กลางต่าง ๆ
4.3 ครอู ธิบายตวั อยา่ ง 14.1 และ 14.2 ในหนงั สือเรยี น

ขน้ั ท่ี 5 ขั้นประเมินผล
5.1 นักเรยี นสง่ ใบกจิ กรรม เร่อื ง กระแสไฟฟา้
5.2 นกั เรียนทำแบบฝึกหัด 14.1 ขอ้ 1. – 3.

ประยุกตแ์ ละตอบแทนสงั คม
-

8. สอ่ื การเรยี นรู้/แหล่งเรียนรู้
8.1 หนงั สือเรยี นรายวิชาเพมิ่ เติมวทิ ยาศาสตร์ (ฟิสกิ ส)์ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 เลม่ 4 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 หอ้ งสมดุ
8.3 อินเทอรเ์ น็ต

373

9. การวัดและประเมินผล

จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธกี ารวัด เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมนิ

ดา้ นความรู้ (K)

1) อธบิ ายกระแสไฟฟา้ ในตัวนำได้ 1) ตรวจใบกจิ กรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรยี นสามารถ
ทำกจิ กรรม ตอบคำถามได้ระดบั
2) อธบิ ายการเคลอื่ นท่ขี องอิเล็กตรอนอิสระ เรือ่ ง กระแสไฟฟ้า 2) ใบกิจกรรม เร่ือง ดี ผ่านเกณฑ์
กระแสไฟฟา้
และกระแสไฟฟ้าในลวดตวั นำได้

3) อธิบายความสมั พันธร์ ะหวา่ งกระแสไฟฟ้า

ในลวดตวั นำ กบั ความเร็วลอยเลอื่ นของ

อเิ ลก็ ตรอนอสิ ระความหนาแนน่ ของ

อิเลก็ ตรอนในลวดตัวนำ และพื้นที่หนา้ ตัด

ของลวดตวั นำได้

ดา้ นกระบวนการ (P)

1) คำนวณปริมาณตา่ ง ๆท่ีเก่ียวข้องได้ 1) ตรวจแบบฝกึ หดั 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรียนสามารถ

14.1 ขอ้ 1. – 3. ทำกิจกรรม ทำแบบฝึกหัดได้

ระดับดี ผา่ นเกณฑ์

ดา้ นคณุ ลักษณะ (A) 1) ตรวจใบกจิ กรรม 1) แบบประเมนิ การ 1) นกั เรียนทำภาระ
1) เปน็ ผมู้ คี วามรับผิดชอบและ เรื่อง กระแสไฟฟ้า
เปน็ ผ้มู ีความม่งุ ม่ันในการทำงาน 2) ตรวจแบบฝกึ หดั ทำกจิ กรรม งานท่ีไดร้ บั มอบหมาย
14.1 ข้อ 1. – 3.
ได้ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์

374

10. เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนกั เรยี น

เกณฑก์ ารประเมินแบบ Rubrics ของการทำกจิ กรรม เร่ือง กระแสไฟฟ้า

ประเดน็ การ คา่ น้ำหนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน

ดา้ นความรู้ 3 ตอบคำถามได้ถูกตอ้ งครบถ้วนทุกข้อ
(K) 2 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถว้ น 6-9 ข้อ
1 ตอบคำถามไดถ้ ูกตอ้ งครบถว้ น 0-5 ขอ้

ด้าน 3 ทำแบบฝกึ หัดได้ถกู ตอ้ งครบถว้ นทุกขอ้

กระบวนการ 2 ทำแบบฝึกหดั ได้ถูกตอ้ งครบถว้ น 2 ข้อ

(P) 1 ทำแบบฝกึ หัดได้ถกู ต้องครบถ้วน 1 ขอ้

ด้าน 3 ทำภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กำหนด และเรยี บรอ้ ยถูกตอ้ งครบถ้วน

คณุ ลกั ษณะ 2 ทำภาระงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด แตง่ านยังผิดพลาดบางสว่ น

(A) 1 ทำภาระงานที่ไดร้ ับมอบหมายเสรจ็ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผดิ พลาดบางสว่ น

ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน

375

การประเมนิ การทำกิจกรรม เรื่อง กระแสไฟฟ้า

จุดประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชอื่ - นามสกุล ด้านความรู้ ดา้ น ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

376

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชอ่ื - นามสกลุ ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

ระดบั คุณภาพ 9 หมายถึง ระดับดมี าก
คะแนน 7-8 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรบั ปรงุ
คะแนน

377

บันทกึ หลงั การสอน

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 14 เรือ่ ง ไฟฟา้ กระแส พ.ศ. ท
แผนการสอนท่ี 29 เร่อื ง กระแสไฟฟ้า .

ใ เดือน ใ

วนั ท่ี

ผลการจดั การเรียนรู้

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปัญหา / อุปสรรค

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ลงชื่อ............................................ครผู ู้สอน ลงชอ่ื .............................................หัวหนา้ กลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสงั ข์) (นางสาวอรอมุ า ไชยชนะ)

ลงชอ่ื ............................................. รองฯ กลุม่ บริหารวิชาการ
(นายบพิตร เหล่ากอ)

ลงชือ่ ............................................ผ้อู ำนวยการโรงเรยี น
(นายสรุ ิยน สายสนองยศ)
…………../…………../………..

378
ช่ือ ช้นั เลขท่ี



ใบกจิ กรรม เรื่อง กระแสไฟฟา้

1. จงตอบคำถามให้ถกู ตอ้ งสมบรู ณ์
1. จงอธิบายความหมายของกระแสไฟฟ้า (electric current)
ตอบ เปน็ การเคลอื่ นท่ีของของอนภุ าคท่ีมีประจุไฟฟ้า ซึ่งนำพลงั งานไฟฟ้าไปถ่ายโอนให้กบั เครอ่ื งใชห้ รืออปุ กรณ์
ไฟฟา้ ,
2. ตัวกลางท่ใี หก้ ระแสไฟฟา้ ผ่าน เรยี กว่า

ตอบ ตวั นำไฟฟ้า (electrical conductor) v
3. ตวั นำท่เี ปน็ โลหะอิเล็กตรอนบางสว่ นไม่ได้ถูกยดึ เคล่อื นท่ไี ดอ้ ยา่ งอสิ ระ เรียกว่า

ตอบ อิเล็กตรอนอิสระ (free electron) v
4. ความเรว็ เฉล่ยี ของอเิ ล็กตรอนอิสระเคลอ่ื นท่ไี ปท่ัวภายในตัวนำ มีทิศทางการเคล่ือนทไ่ี มแ่ นน่ อนมคี า่ เท่าใด

ตอบ ความเร็วเฉลี่ยของอิเลก็ ตรอนมคี า่ เป็นศนู ย์ v
5. จงอธบิ ายความหมายกระแสไฟฟ้าในตวั กลางใดๆ

ตอบ ประจไุ ฟฟ้าท่ผี ่านภาคตัดขวางของตัวกลางน้ันในหนง่ึ หนว่ ยเวลา v

6. ถ้ามีแรงไฟฟ้ากระทำต่ออเิ ล็กตรอนอสิ ระ ( ) ทำให้อิเลก็ ตรอนอสิ ระเคล่อื นท่ีอย่างไร และมคี วามเรว็ เฉลย่ี เทา่ ใด

ตอบ อิเลก็ ตรอนอิสระเคลือ่ นท่ีดว้ ยความเรว็ เฉลี่ยที่ไมเ่ ป็นศนู ย์ ไปในทิศทางตรงข้ามกับสนามไฟฟา้ .

ไฟฟ้า ,

7. ทศิ ทางของกระแสไฟฟ้าในตวั นำ มีลกั ษณะการเคลื่อนที่เปน็ อยา่ งไร

ตอบ มกี ระแสไฟฟ้าในตวั นำมีทศิ ทางเดยี วกบั สนามไฟฟ้า ซ่ึงเปน็ ทิศทางตรงข้ามกับการเคล่อื นที่ของอิเลก็ ตรอน

ไฟฟ้า ,

8. ถ้าภายในลวดตัวนำมแี รงไฟฟ้ากระทำตอ่ อิเลก็ ตรอน ( ) ในทศิ ทางตรงข้ามกับสนามไฟฟ้า จะทำให้อิเลก็ ตรอน
เคลอื่ นทอ่ี ย่างไร และมคี วามเรว็ เฉลย่ี เท่าใด

ตอบ อิเล็กตรอนเคล่อื นท่ีด้วยความเรว็ เ ฉล่ี ยที่ไม่เป็นศนู ย์ มีทศิ ทางการเคลอ่ื นท่ีตรงข้ามกบั ทิศทางของ

กระแสไฟฟ้าในลวดตวั นำ v

9. ความเร็วเฉลี่ยของอนภุ าคท่มี ีประจุไฟฟ้าทีเ่ คลื่อนทใี่ นตวั นำไฟฟ้าเนอ่ื งจากสนามไฟฟ้า

ตอบ ความเร็วลอยเลือ่ น (drift velocity) ไฟฟ้า

10. ค่ากระแสไฟฟา้ ในลวดตัวนำมคี า่ มากหรือนอ้ ยขึน้ กับคา่ ใดบา้ ง

ตอบ ความหนาแนน่ ของอิเลก็ ตรอนอิสระในตวั นำ ( ) ประจไุ ฟฟา้ ของอิเลก็ ตรอน ( ) ความเร็วลอยเลื่อนของ

อเิ ล็กตรอน ( ) และพื้นทีห่ นตดั ของลวดตัวนำ ( ) ไฟฟา้

ชอ่ื ชั้น เลขท่ี ‘ 379

เฉลยใบกิจกรรม เร่ือง กระแสไฟฟา้

จงตอบคำถามใหถ้ ูกต้องสมบรู ณ์
1. จงอธิบายความหมายของกระแสไฟฟ้า (electric current)

ตอบ เปน็ การเคล่อื นที่ของของอนุภาคท่ีมปี ระจุไฟฟ้า ซึ่งนำพลังงานไฟฟา้ ไปถา่ ยโอนใหก้ ับเคร่อื งใชห้ รอื อปุ กรณ์
ไฟฟา้ ,
2. ตวั กลางทีใ่ ห้กระแสไฟฟ้าผ่าน เรยี กวา่

ตอบ ตวั นำไฟฟ้า (electrical conductor) v
3. ตวั นำทเ่ี ป็นโลหะอเิ ล็กตรอนบางสว่ นไมไ่ ดถ้ ูกยดึ เคลือ่ นที่ได้อยา่ งอิสระ เรยี กวา่

ตอบ อิเล็กตรอนอิสระ (free electron) v
4. ความเร็วเฉล่ียของอิเลก็ ตรอนอิสระเคลอ่ื นทไ่ี ปทั่วภายในตัวนำ มีทิศทางการเคลอื่ นท่ไี มแ่ น่นอนมคี ่าเท่าใด

ตอบ ความเรว็ เฉลย่ี ของอิเลก็ ตรอนมคี ่าเปน็ ศูนย์ v
5. จงอธบิ ายความหมายกระแสไฟฟา้ ในตวั กลางใดๆ

ตอบ ประจุไฟฟ้าทผ่ี า่ นภาคตัดขวางของตัวกลางนน้ั ในหนง่ึ หน่วยเวลา v

6. ถา้ มีแรงไฟฟา้ กระทำต่ออิเลก็ ตรอนอิสระ ( ) ทำใหอ้ เิ ลก็ ตรอนอิสระเคล่ือนที่อยา่ งไร และมคี วามเร็วเฉลย่ี เทา่ ใด

ตอบ อิเล็กตรอนอิสระเคลอ่ื นที่ด้วยความเร็วเฉลี่ยท่ีไมเ่ ป็นศนู ย์ ไปในทิศทางตรงข้ามกบั สนามไฟฟา้ .

ไฟฟา้ ,

7. ทศิ ทางของกระแสไฟฟ้าในตัวนำ มีลักษณะการเคล่ือนที่เป็นอยา่ งไร

ตอบ มกี ระแสไฟฟ้าในตวั นำมที ิศทางเดียวกับสนามไฟฟา้ ซ่ึงเป็นทิศทางตรงขา้ มกับการเคลื่อนท่ีของอเิ ล็กตรอน
ไฟฟ้า ,

8. ถา้ ภายในลวดตัวนำมแี รงไฟฟา้ กระทำต่ออิเลก็ ตรอน ( ) ในทิศทางตรงขา้ มกับสนามไฟฟา้ จะทำให้อเิ ลก็ ตรอน
เคลือ่ นทอ่ี ย่างไร และมคี วามเร็วเฉล่ียเท่าใด

ตอบ อิเล็กตรอนเคล่อื นทดี่ ้วยความเร็วเฉลีย่ ท่ไี ม่เป็นศนู ย์ มที ศิ ทางการเคลอื่ นที่ตรงขา้ มกบั ทิศทางของ

กระแสไฟฟ้าในลวดตวั นำ v

9. ความเร็วเฉลย่ี ของอนุภาคทมี่ ปี ระจุไฟฟา้ ท่ีเคลื่อนที่ในตัวนำไฟฟ้าเนอ่ื งจากสนามไฟฟ้า

ตอบ ความเร็วลอยเล่อื น (drift velocity) ไฟฟ้า

10. คา่ กระแสไฟฟ้าในลวดตวั นำมีค่ามากหรือนอ้ ยข้ึนกบั ค่าใดบา้ ง

ตอบ ความหนาแน่นของอิเลก็ ตรอนอสิ ระในตวั นำ ( ) ประจไุ ฟฟา้ ของอเิ ล็กตรอน ( ) ความเรว็ ลอยเลื่อนของ

อเิ ลก็ ตรอน ( ) และพน้ื ทหี่ นตดั ของลวดตวั นำ ( ) ไฟฟ้า

380

แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 30

เรอื่ ง กฎของโอห์ม

รายวิชา ฟิสิกส์ 4 รหสั วิชา ว30204 เวลา 2 ช่ัวโมง

หน่วยการเรียนรู้ที่ 14 ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ ไฟฟ้ากระแส รวม 24 ชวั่ โมง

กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนท่ี 2

บรู ณาการ

 ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง  อาเซยี น  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น  มาตรฐานสากล  ขา้ มกลมุ่ สาระ

1. สาระฟสิ กิ ส์
3. เขา้ ใจแรงไฟฟา้ และกฎของคลู อมบ์ สนามไฟฟ้า ศกั ยไ์ ฟฟ้า ความจุไฟฟ้ากระแสไฟฟา้ และกฎของโอห์ม

วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงานไฟฟา้ และกำลงั ไฟฟ้า การเปลีย่ นพลังงานทดแทนเป็นพลงั งานไฟฟา้ สนามแมเ่ หล็ก
แรงแมเ่ หลก็ ทก่ี ระทำกับประจไุ ฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า การเหนยี่ วนำแมเ่ หล็กไฟฟ้าและกฎของฟาราเดย์ ไฟฟา้
กระแสสลับ คลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมทง้ั นำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
11. ทดลองและอธิบายกฎของโอหม์ อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความต้านทานกับความยาวพืน้ ที่หน้าตัด

และสภาพต้านทานของตัวนำ โลหะที่อุณหภูมิคงตัว และคำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอธิบายและ
คำนวณความต้านทานสมมลู เมอื่ นำ ตัวตา้ นทานมาตอ่ กนั แบบอนกุ รมและแบบขนาน

3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) อธบิ ายความสัมพันธร์ ะหวา่ งกระแสไฟฟ้าท่ผี ่านลวดตัวนำกบั ความต่างศกั ยร์ ะหว่างปลายของลวด
ตวั นำได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) ทดลองเพือ่ อภิปรายและสรุปกฎของโอห์มได้
2) นำความเข้าใจเก่ยี วกบั กฎของโอห์มไปคำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ที่เก่ยี วขอ้ งได้
3.3 ด้านคุณลักษณะ (A)
1) เปน็ ผมู้ คี วามรบั ผดิ ชอบและเปน็ ผู้มีความมงุ่ ม่นั ในการทำงาน

4. สาระสำคญั
กฎของโอห์ม (Ohm’s law) มีใจความว่า ถ้าอุณหภูมิคงตัว กระแสไฟฟ้าในตัวนำ โลหะจะแปรผันตรงกับ

ความต่างศักย์ระหว่างปลายของตัวนำนั้น เขียนในรูปสมการได้เป็น = (1)∆ เมื่อ เป็นค่าคงตัวซึ่งเป็น



ความต้านทานไฟฟ้า (หรือความต้านทาน) ของลวดตัวนำนั้น ทั้งน้ีจากการศึกษาเพ่ิมเติมพบว่า กฎของโอห์มเป็นจริง
สำหรับตวั นำและอุปกรณ์บางชนิดเท่าน้ัน

381

5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
ความสมั พันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟา้ กับความตา่ งศกั ย์ สำหรบั วงจรไฟฟา้ กระแสตรงที่มีแบตเตอร่ี
ต่ออยกู่ ับหลอดไฟ เมือ่ เพ่ิมหรอื ลดจำนวนแบตเตอรี่ เช่น เพิม่ จำนวนแบตเตอรีจ่ าก 2 เป็น 3 ก้อน หรือ ลด
จำนวนแบตเตอรี่จาก 2 เป็น 3 ก้อน พบว่า หลอดไฟให้ความสว่างแตกต่างไปจากเดิม แสดงว่า
กระแสไฟฟ้าที่ผ่านสายไฟและหลอดไฟมีการเปลี่ยนแปลง นอกจากน้ีถ้าลองเปลี่ยนจากการใช้สายไฟต่อ
ระหว่างหลอดไฟกับแบตเตอรี่เป็นวัสดุต่างๆ เช่น อะลูมิเนียม ทองแดง เหล็ก หรือ สังกะสี จะพบว่า
กระแสไฟฟ้าท่ผี า่ นหลอดไฟแตกต่างไปจากเดมิ เช่นกัน
กฎของโอห์มและความต้านทาน แบตเตอรี่เป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่ทำให้เกิดความต่างศักย์
ระหว่างปลายของลวดตัวนำในสายไฟ

5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสือ่ สาร (อ่าน ฟงั พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วเิ คราะห์ จัดกลุ่ม สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (ศึกษาหรือรับรขู้ ้อมลู มองเห็นและเขา้ ใจปญั หาสำคญั ทีเ่ กิดขน้ึ ได้)
4) ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ (ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบคน้ ผา่ นคอมพิวเตอร์)

5.3 คุณลกั ษณะและคา่ นยิ ม
เป็นผ้มู ีความรบั ผดิ ชอบและเปน็ ผมู้ คี วามมุ่งมน่ั ในการทำงาน

6. บรู ณาการ
6.1 บูรณาการ PLC นักเรียนแต่ละคนแลกเปลี่ยนเรียนรู้เล่าสู่กันฟังถึงความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม และ

ปญั หาที่เกดิ ขน้ึ ระหว่างการทำกิจกรรม

7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ขั้นท่ี 1 ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 ครทู บทวนความร้เู ดมิ เรอื่ ง กระแสไฟฟ้า ความตา่ งศักย์ ดังนี้
ความต่างศักยม์ ผี ลทำใหป้ ระจุไฟฟ้าเคลือ่ นท่ี เกดิ เป็นกระแสไฟฟา้ ในตัวนำ ดงั นน้ั ความ
ตา่ งศกั ยแ์ ละกระแสไฟฟา้ มีความสมั พนั ธ์กัน
1.2 ครูตัง้ คำถามเพือ่ นำเข้าสู่การทำกจิ กรรม
1) การเพิ่มหรือลดจำนวนแบตเตอรี่ในวงจรไฟฟ้าทำให้ความต่างศักย์ระหว่างปลายของ
ลวดตัวนำเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงนี้มีความสัมพันธ์กับกระแสไฟฟ้าที่ผ่านลวดตัวนำอย่างไร (โดยเปิด
โอกาสให้นกั เรยี นตอบอภิปรายอยา่ งอิสระ ไมค่ าดหวังคำตอบทถ่ี กู ตอ้ ง)
2) นักเรยี นคดิ ว่ากระแสไฟฟา้ กบั ความตา่ งศักยม์ ีความสัมพันธ์กนั อยา่ งไร (โดยเปิดโอกาส
ใหน้ ักเรยี นตอบอภิปรายอย่างอสิ ระ ไม่คาดหวังคำตอบทถี่ กู ตอ้ ง)

382

ขั้นท่ี 2 ข้นั สำรวจและคน้ หา
2.1 นกั เรียนแบง่ กลุ่มๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ศึกษาใบกิจกรรม 14.1 การทดลองเร่ืองกฎของโอห์ม
2.3 ครูแจ้งจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ อุปกรณ์ และข้ันตอนการทดลองอย่างละเอยี ด
2.4 นกั เรยี นรบั อุปกรณ์การทดลอง พร้อมติดตงั้ อุปกรณ์
2.5 ครูอธบิ ายการใช้มัลติมิเตอร์ และวิธีการทดลอง
2.6 นกั เรียนแต่ละกลุ่มทำการทดลอง สังเกตและบันทึกผลการทดลอง

ขั้นที่ 3 ขนั้ อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครนู ำนกั เรยี นอภปิ รายเพอ่ื นำไปสกู่ ารสรุปโดยใช้คำถามต่อไปน้ี
1) นักเรียนแต่ละกลุ่มได้ผลการทำกิจกรรมเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (แนวการตอบ

ไดผ้ ลเหมือนกัน)
2) นักเรียนสามารถหาค่าความต่างศักย์ได้อย่างไร (แนวการตอบ ถา่ น 1 กอ้ น มีคา่ ความต่าง

ศักย์เท่ากับ 1.5 V, ถา่ น 2 ก้อน มีค่าความต่างศกั ย์เทา่ กับ 3 V, ถ่าน 3 ก้อน มีค่าความตา่ งศักย์เท่ากับ 4.5
V)

3) จากการทดลอง เมื่อเพิ่มถ่านไฟฉาย จาก 1 ก้อน เป็น 2 ก้อน ค่าของกระแสไฟฟ้าเป็น
อยา่ งไร (แนวการตอบ ค่าของกระแสไฟฟ้ามีคา่ เพ่ิมขึน้ )

4) กราฟระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์มีลักษณะอย่างไร (แนวการตอบ เป็นกราฟ
เส้นตรงผ่านจดุ กำเนิด)

5) จากการทดลอง เมื่อเพิ่มถ่านไฟฉาย จาก 2 ก้อน เป็น 3 ก้อน ค่าของกระแสไฟฟ้าเป็น
อย่างไร (แนวการตอบ คา่ ของกระแสไฟฟา้ มีค่าเพิ่มขน้ึ )

6) กราฟระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่างศักย์มีลักษณะอย่างไร (แนวการตอบ เป็นกราฟ
เสน้ ตรงผา่ นจุดกำเนิด)

7) จากการทดลอง นักเรียนคิดวา่ กระแสไฟฟ้าและความตา่ งศักย์มคี วามสมั พันธก์ นั อยา่ งไร
(แนวการตอบ กระแสไฟฟ้าแปรผันตรงกับความต่างศักย)์
เขตนำ้ ต้ืน 3.2 นกั เรียนและครรู ่วมกันอภปิ รายและสรปุ ผลการทำการทดลอง จนสรุปได้ ดังน้ี

จากการทำการทดลอง พบว่า เมอ่ื เพิ่มจำนวนถา่ นไฟฉาย หรือเพ่มิ ค่าความต่างศกั ย์ จะทำให้
อา่ นคา่ กระแสไฟฟ้าไดเ้ พิ่มมากขึน้ แสดงว่าความสัมพันธร์ ะหว่างกระแสไฟฟ้าและกบั ความตา่ งศักยแ์ ปรผัน
ตรงกนั ซึ่งเป็นไปตามกฎของโอห์ม

ขน้ั ที่ 4 ข้นั ขยายความรู้
4.1 ครูอธิบายเพิ่มเติมจากการทดลอง ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและกับความต่างศักย์

แปรผันตรงกนั ซึ่งเป็นไปตามกฎของโอห์ม กล่าวว่า “ถ้าอุณหภูมคิ งตัว กระแสไฟฟา้ ทีไ่ หลผา่ นตัวนำจะ
แปรผันตรงกับความต่างศักย์ระหว่างปลายของตัวนำนั้น” เขียนความสัมพันธ์จะได้ว่า α ∆ แล้ว

383

= ∆ จะได้ = (1)∆ เมื่อ (1) เป็นค่าคงทีเ่ รียกว่าค่าความต้านทาน ใช้สัญลักษณ์ใหมเ่ ป็น



R ดงั นน้ั เขียนในรปู สมการจะไดเ้ ป็น V = IR
4.2 ครูอธิบายให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับกระแสไฟฟ้าตรง

(direct current หรือ DC) ซึ่งมีทิศทางเดิมตลอดวงจรแตกต่างจากกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในบ้านเรือนท่ัวไปท่ี
เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (alternating current หรือ AC) ซึ่งมีทิศทางของกระแสไฟฟ้ากลับไปกลับมา และ
เป็นกระแสไฟฟ้าที่ได้จากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ดังนั้น ในบทน้ีเมื่อกล่าวถึงวงจรไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า จึง
หมายถงึ วงจรไฟฟ้ากระแสตรง (direct-current circuit) และกระแสไฟฟ้าท่ีเปน็ ไฟฟ้ากระแสตรงเท่านั้น

4.3 ครูอธิบายใหค้ วามรเู้ พม่ิ เตมิ เกย่ี วกบั การนำไฟฟา้ ในตวั กลางตา่ ง ๆ
4.4 ครอู ธิบายตัวอยา่ ง 14.3 ในหนังสือเรียน

ข้ันท่ี 5 ขนั้ ประเมินผล
5.1 นักเรียนสง่ ใบกจิ กรรม 14.1 การทดลองเร่อื งกฎของโอหม์
5.2 นกั เรียนทำแบบฝกึ หัด 14.2 ข้อ 1.- 2.

ประยกุ ตแ์ ละตอบแทนสงั คม
-

8. สอ่ื การเรียนร/ู้ แหลง่ เรยี นรู้
8.1 หนงั สอื เรียนรายวชิ าเพิ่มเติมวทิ ยาศาสตร์ (ฟิสกิ ส์) ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 5 เล่ม 4 (ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560)
8.2 ใบกิจกรรม 14.1 การทดลองเรอื่ งกฎของโอหม์
8.3 ห้องสมดุ
8.4 อนิ เทอร์เน็ต

9. การวดั และประเมนิ ผล วธิ กี ารวดั เคร่ืองมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรยี นสามารถ
ดา้ นความรู้ (K) 14.1 การทดลองเรอ่ื ง ทำกจิ กรรม สรุปผลการทดลองได้
1) อธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง กฎของโอห์ม 2) ใบกจิ กรรม 14.1 ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
กระแสไฟฟ้าท่ผี ่านลวดตัวนำกบั ความต่าง การทดลองเรื่องกฎ
ศกั ย์ระหว่างปลายของลวดตวั นำได้ ของโอห์ม

ดา้ นกระบวนการ (P) 1) ตรวจใบกจิ กรรม 1) แบบประเมนิ การ 1) นักเรยี นสามารถ
1) ทดลองเพ่ืออภปิ รายและสรปุ กฎของ 14.1 การทดลองเรอ่ื ง ทำกิจกรรม บนั ทึกผลกิจกรรมได้
โอหม์ ได้ กฎของโอหม์ ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
2) นำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎของโอห์มไป 2) ตรวจแบบฝกึ หัด
คำนวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ท่เี กย่ี วขอ้ งได้ 14.2 ข้อ 1. – 2.

384

2) นกั เรยี นสามารถ
ทำแบบฝกึ หดั ได้
ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์

ดา้ นคุณลกั ษณะ (A) 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมนิ การ 1) นักเรียนทำภาระ
1) เป็นผมู้ ีความรบั ผิดชอบและ
เปน็ ผูม้ ีความม่งุ มั่นในการทำงาน 14.1 การทดลองเร่อื ง ทำกจิ กรรม งานทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย

กฎของโอห์ม ได้ระดับดี ผ่านเกณฑ์

10. เกณฑก์ ารประเมินผลงานนกั เรียน
เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกจิ กรรม เร่อื ง กฎของโอห์ม

ประเด็นการ ค่าน้ำหนกั แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน

ด้านความรู้ 3 สรุปผลการทดลองไดถ้ กู ตอ้ งครบถว้ น
(K) 2 สรปุ ผลการทดลองได้คอ่ นข้างถูกตอ้ งครบถ้วน
1 สรปุ ผลการทดลองได้คอ่ นขา้ งถกู ตอ้ ง

3 ทำแบบฝึกหดั ได้ถกู ตอ้ งครบถ้วนทุกข้อ

ดา้ น 2 ทำแบบฝกึ หัดไดถ้ กู ต้องครบถว้ น 1 ข้อ
กระบวนการ 1 ทำแบบฝกึ หัดไม่ถูกต้อง
3 บันทึกผลการทดลองไดถ้ ูกตอ้ งครบถว้ น
(P) 2 บนั ทึกผลการทดลองได้ค่อนข้างถูกต้องครบถว้ น

ด้าน 1 บันทกึ ผลการทดลองได้ค่อนข้างถกู ต้อง
คุณลกั ษณะ 3 ทำภาระงานที่ไดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กำหนด และเรียบร้อยถกู ตอ้ งครบถ้วน
2 ทำภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกำหนด แตง่ านยังผิดพลาดบางสว่ น
(A) 1 ทำภาระงานท่ีได้รบั มอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกดิ ข้อผดิ พลาดบางส่วน

ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน

* หมายเหตุ คะแนนดา้ นกระบวนการ ให้หาค่าเฉล่ียของคะแนน แล้วนำคะแนนลงในแบบประเมินการทำกิจกรรม

385

การประเมินการทำกจิ กรรม เรื่อง กฎของโอห์ม

จุดประสงค์การเรียนรู้

ท่ี ชอื่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดบั
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

28

386

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน

387

บันทึกหลังการสอน

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 14 เรื่อง ไฟฟา้ กระแส พ.ศ. ท
แผนการสอนท่ี 30 เรื่อง กฎของโอห์ม .

ใ เดอื น ใ

วนั ที่

ผลการจัดการเรียนรู้

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปญั หา / อปุ สรรค

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ลงชือ่ ............................................ครผู ้สู อน ลงชอ่ื .............................................หัวหน้ากลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสังข์) (นางสาวอรอมุ า ไชยชนะ)

ลงชอ่ื ............................................. รองฯ กลุ่มบริหารวิชาการ
(นายบพิตร เหลา่ กอ)

ลงช่ือ............................................ผ้อู ำนวยการโรงเรยี น
(นายสุรยิ น สายสนองยศ)
…………../…………../………..

388

ใบกิจกรรม 14.1 การทดลองเรื่องกฎของโอห์ม

1. รายชอื่ สมาชกิ ที่ …………………………………………………….. ชนั้ …………………………………

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จุดประสงค์การทำกจิ กรรม
ศกึ ษาความสมั พันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟา้ ท่ผี ่านลวดตวั นำกับความตา่ งศักยร์ ะหว่างปลายของลวดตัวนำ

3. วัสด-ุ อปุ กรณ์ 1 ชดุ
1) แบตเตอร่ีขนาด 1.5 V 4 กอ้ น พรอ้ มกระบะ 1 เครอ่ื ง
2) แอมมเิ ตอร์ 4 เสน้
3) สายไฟพรอ้ มปากหนีบ 1 เครื่อง
4) โวลต์มิเตอร์ 1 เสน้
5) ลวดนิโครมยาวประมาณ 50 เซนติเมตร
(หรอื ตัวต้านทานขนาด 8-15 โอหม์ )

4. วธิ ีทำกิจกรรม
1) จัดให้แผ่นโลหะในกระบะแบตเตอรอ่ี ยใู่ นตำแหนง่ ของ
แบตเตอร่ี 1 ก้อน จากนน้ั ตอ่ แบตเตอร่ี 1 ก้อนกบั ลวดนโิ ครม
ดังวงจรในรูป ก. ซึง่ แสดงการตอ่ อปุ กรณไ์ ด้ดังรูป ข.
2) ตอ่ แอมมเิ ตอรเ์ ขา้ กบั วงจร เพ่ือวัดกระแสไฟฟ้าในวงจร ดังวงจรในรูป ค. ซง่ึ แสดงการตอ่ อปุ กรณ์ไดด้ ังรูป ง. อา่ นและ
บนั ทึกกระแสไฟฟ้า จากน้ันปลดแอมมิเตอร์แลว้ ต่อโวลต์มิเตอร์ เพ่ือวัดความต่างศกั ย์ระหว่างปลายของลวดนิโครม ดังวงจรใน
รปู จ. ซึง่ แสดงการตอ่ อปุ กรณไ์ ดด้ ังรปู ฉ. อา่ นและบนั ทกึ ความตา่ งศกั ย์

389

3) ทดลองซ้ำข้อ 1. และ 2. โดยเปลี่ยนตำแหน่งแผ่นโลหะในกระบะไปที่ตำแหน่งของแบตเตอร่ี 2, 3 และ 4 ก้อน
ตามลำดบั
4) นำขอ้ มูลท่ีไดไ้ ปเขยี นกราฟ โดยใหก้ ระแสไฟฟา้ อยูบ่ นแกนตงั้ และความตา่ งศักยอ์ ยู่บนแกนนอน

5. ผลการทำการทดลอง ความต่างศักย์ (V) กระแสไฟฟ้า (A)
จำนวนแบตเตอรี่
1 กอ้ น
2 ก้อน
3 กอ้ น
4 ก้อน

กระแสไฟฟ้า (A)

0.5

0.4

0.3

0.2

0.1 ความตา่ งศกั ย์ (V)
5.0
0 0.5 1.0 1.5 2.0 2.5 3.0 3.5 4.0 4.5
กราฟระหวา่ งกระแสไฟฟ้าและความต่างศกั ย์จากผลการทดลอง

6. คำถามทา้ ยการทดลอง
1) กราฟระหว่างกระแสไฟฟ้ากับความต่างศกั ย์มีลักษณะอยา่ งไร

ตอบ เป็นกราฟเส้นตรงผ่านจุดกำเนดิ มีการ

2) จากกราฟท่ไี ด้กระแสไฟฟา้ และความตา่ งศักยม์ ีความสัมพนั ธก์ ันอยา่ งไร หนา้
ตอบ กระแสไฟฟา้ แปรผนั ตรงกบั ความตา่ งศักย์ระหว่างปลายของลวดตัวนำเขตนำ้ ลกึ และเขตนำ้ ตน้ื ถ้า

7. สรปุ ผลการทดลอง

เมื่อเพิ่มจำนวนถ่านไฟฉาย หรือเพิ่มค่าความต่างศักย์ จะทำให้อ่านค่ากระแสไฟฟ้าได้เพิ่มมากขึ้น แสดงว่า

ความสัมพนั ธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและกบั ความต่างศักยแ์ ปรผันตรงกนั ซง่ึ เปน็ ไปตามกฎของโอห์ม

เฉลยใบกจิ กรรม 14.1 การทดลองเร่อื งกฎของโอหม์ 390

1. รายชอ่ื สมาชิกที่ …………………………………………………….. ชั้น …………………………………

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จุดประสงค์การทำกิจกรรม
ศึกษาความสัมพันธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟา้ ทีผ่ า่ นลวดตัวนำกบั ความตา่ งศักย์ระหว่างปลายของลวดตัวนำ

3. วัสด-ุ อปุ กรณ์ 1 ชดุ
1) แบตเตอรี่ขนาด 1.5 V 4 ก้อน พร้อมกระบะ 1 เคร่อื ง
2) แอมมิเตอร์ 4 เส้น
3) สายไฟพรอ้ มปากหนีบ 1 เครือ่ ง
4) โวลตม์ เิ ตอร์ 1 เส้น
5) ลวดนโิ ครมยาวประมาณ 50 เซนติเมตร
(หรอื ตัวตา้ นทานขนาด 8-15 โอห์ม)

4. วธิ ีทำกจิ กรรม
1) จัดให้แผ่นโลหะในกระบะแบตเตอร่ีอยใู่ นตำแหนง่ ของ
แบตเตอรี่ 1 ก้อน จากนั้นต่อแบตเตอรี่ 1 กอ้ นกบั ลวดนิโครม
ดังวงจรในรูป ก. ซ่ึงแสดงการตอ่ อปุ กรณไ์ ดด้ งั รูป ข.
2) ตอ่ แอมมิเตอร์เขา้ กับวงจร เพอ่ื วดั กระแสไฟฟ้าในวงจร ดงั วงจรในรปู ค. ซึ่งแสดงการตอ่ อุปกรณ์ไดด้ งั รปู ง. อา่ นและ
บันทกึ กระแสไฟฟ้า จากนน้ั ปลดแอมมเิ ตอรแ์ ล้วต่อโวลตม์ ิเตอร์ เพื่อวัดความต่างศักยร์ ะหว่างปลายของลวดนิโครม ดังวงจรใน
รปู จ. ซงึ่ แสดงการต่ออุปกรณ์ไดด้ งั รปู ฉ. อ่านและบันทึกความต่างศักย์

391

3) ทดลองซ้ำข้อ 1. และ 2. โดยเปลี่ยนตำแหน่งแผ่นโลหะในกระบะไปที่ตำแหน่งของแบตเตอร่ี 2, 3 และ 4 ก้อน
ตามลำดบั
4) นำขอ้ มลู ทไี่ ด้ไปเขยี นกราฟ โดยใหก้ ระแสไฟฟา้ อยบู่ นแกนตงั้ และความตา่ งศักยอ์ ย่บู นแกนนอน

5. ผลการทำการทดลอง ความตา่ งศักย์ (V) กระแสไฟฟา้ (A)
จำนวนแบตเตอร่ี 1.1 0.12
1 ก้อน
2.2 0.24
2 กอ้ น 3.0 0.33
3 กอ้ น 4.0 0.44
4 กอ้ น

กราฟระหว่างกระแสไฟฟ้าและความตา่ งศกั ย์จากผลการทดลอง มกี าร

6. คำถามทา้ ยการทดลอง
1) กราฟระหวา่ งกระแสไฟฟ้ากับความตา่ งศักยม์ ีลักษณะอย่างไร

ตอบ เปน็ กราฟเสน้ ตรงผา่ นจุดกำเนดิ

2) จากกราฟที่ได้กระแสไฟฟา้ และความตา่ งศกั ยม์ ีความสมั พันธก์ นั อยา่ งไร หน้า
ตอบ กระแสไฟฟา้ แปรผนั ตรงกบั ความตา่ งศักย์ระหวา่ งปลายของลวดตัวนำเขตนำ้ ลึกและเขตนำ้ ต้นื ถา้

7. สรปุ ผลการทดลอง

จากการทำการทดลอง พบว่า กราฟระหว่างกระแสไฟฟ้าในลวดนิโครมกับความต่างศักย์ระหว่างปลายของ

ลวดนีโครม มีลัษณะเป็นสน้ ตรงผา่ นจุดกำเนิด จึงสรุปได้ว่า กระแสไฟฟา้ ที่ผ่านลวดนิโครมแปรผันตรงกับความต่างศกั ย์

ระหวา่ งปลายของลวดนโิ ครมะ f

392

แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 31

เรื่อง สภาพตา้ นทานไฟฟา้ และสภาพนำไฟฟ้า

รายวชิ า ฟสิ กิ ส์ 4 รหัสวชิ า ว30204 เวลา 2 ชั่วโมง

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 14 ชื่อหน่วยการเรียนรู้ ไฟฟ้ากระแส รวม 24 ชัว่ โมง

กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นท่ี 2

บรู ณาการ

 ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง  อาเซียน  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น  มาตรฐานสากล  ข้ามกล่มุ สาระ

1. สาระฟิสกิ ส์
3. เขา้ ใจแรงไฟฟา้ และกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟา้ ศกั ย์ไฟฟ้า ความจุไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ และกฎของโอห์ม

วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงานไฟฟ้าและกำลงั ไฟฟา้ การเปลยี่ นพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า สนามแมเ่ หลก็
แรงแม่เหล็ก ท่กี ระทำกับประจุไฟฟา้ และกระแสไฟฟา้ การเหนย่ี วนำแม่เหลก็ ไฟฟ้าและกฎของฟาราเดย์ ไฟฟา้
กระแสสลบั คล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ และการส่ือสาร รวมทัง้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
11. ทดลองและอธิบายกฎของโอห์ม อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความต้านทานกับความยาวพื้นที่หน้าตัด

และสภาพต้านทานของตัวนำ โลหะที่อุณหภูมิคงตัว และคำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอธิบายและ
คำนวณความต้านทานสมมลู เม่ือนำ ตัวต้านทานมาตอ่ กันแบบอนกุ รมและแบบขนาน

3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) อธบิ ายความหมายของสภาพตา้ นทานได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) สามารถคำนวณหาปรมิ าณต่าง ๆ ท่ีเกีย่ วข้องได้
3.3 ดา้ นคณุ ลักษณะ (A)
1) เป็นผ้มู คี วามรับผดิ ชอบและเปน็ ผู้มคี วามมุ่งมั่นในการทำงาน

4. สาระสำคญั
ความต้านทาน (resistance) แทนด้วยสัญลกั ษณ์ โดยความต้านทานของวัตถุขึ้นอยู่กับชนิดและรูปรา่ ง

ของวัตถุ สำหรบั ลวดตัวนำยาว พนื้ ทีห่ นา้ ตัด ทอี่ ุณหภูมิคงตวั ความตา้ นทานของลวดตัวนำเปน็ ไปตามสมการ
= ( ) เมอื่ เป็นสภาพตา้ นทานไฟฟ้า (electrical resistivity)



ส่วนกลับของสภาพต้านทานไฟฟ้า เรียกว่า สภาพนำไฟฟ้า (electrical conductivity) แทนด้วย
สัญลักษณ์ σ

393

ตัวต้านทาน (resistor) เป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สำหรับควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้าและ

ความต่างศักย์ในวงจรไฟฟ้าให้พอเหมาะกับการใช้งานต่าง ๆ โดยตัวต้านทานที่ใช้ทั่วไปในวงจรไฟฟ้า ส่วนใหญ่เปน็

ชนดิ ที่เรยี กวา่ ตัวตา้ นทานค่าคงตัว (fixed resistor)

การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม (series combination) ตัว จะได้ความต้านทานสมมูล (equivalent

resistance) มคี ่าเพิม่ ข้นึ ตามสมการ = 1 + 2 + 3 + ⋯ +
การต่อตัวต้านทานแบบขนาน (parallel combination) ตัว จะได้ความตา้ นทานสมมูล มีค่าลดลง

ตามสมการ 1 = 1 + 1 + 1 + ⋯ + 1
1 2 3

5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
สภาพต้านทานไฟฟ้าและสภาพนำไฟฟ้า เมื่อนำลวดตัวนำที่ทำจากโลหะชนิดเดียวกันและมี
พ้นื ท่หี นา้ ตดั เท่ากันแต่มีความยาวตา่ งกัน มาตอ่ กบั แบตเตอร่ีแล้ววัดกระแสไฟฟ้าท่ีผ่านลวดตัวนำทีละเส้น

พบว่า กระแสไฟฟ้า ทวี่ ัดไดจ้ ะย่ิงมีค่าน้อย เมือ่ ลวดตัวนำมคี วามยาว เขียนเป็นความสัมพนั ธ์ได้ว่า
1



จากสมการที่ใช้ในการหากระแสไฟฟ้าในลวดตัวนำ = เราสามารถเขียนเป็น
ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งกระแสไฟฟ้ากับพ้ืนทหี่ น้าตดั ของลวดตวั นำไดว้ า่



จงึ ได้ ∝
จากกฎของโอหม์

∝ ∆

ดงั นัน้ ∝ ∆



ถา้ ให้ค่าคงตวั ของการแปรผันน้ีเป็น

จะไดว้ า่ = ∆

จากความสัมพนั ธ์ข้างตัน ถาเปล่ียนชนิดของลวดตวั นำเป็นลวดตวั นำที่ทำจากสารชนิดอื่น โดยท่ีให้

ปรมิ าณอืน่ ๆ ยังมีค่าคงตัว พบว่ากระแสไฟฟา้ ทีผ่ ่านลวดตัวนำจะมคี ่าเปล่ียนไป กลา่ วคอื สำหรับตัวนำที่ทำ

จากสารต่างกัน จะมีค่าต่างกัน กล่าวคือ เป็นสมบัติเฉพาะของสารชนิดต่างๆ ค่าคงตัว นี้เรียกวา่

สภาพนำไฟฟ้า (electrical conductivity) มีหน่วย (โอห์ม เมตร)-1 หรือ (Ω m)-1

ความสมั พนั ธ์ระหว่างสภาพตา้ นทานและความตา้ นทาน ได้สมการ คือ =



ค่าคงตัว ที่เป็นส่วนกลับของสภาพนำไฟฟ้านี้เรียกว่า สภาพต้านทานไฟฟ้า (electrical
resistivity) มีหน่วยโอห์ม เมตร หรือ Ω m ซึ่งเป็นสมบัติเฉพาะของสารชนิดต่างๆ เช่นเดียวกัน ตาราง
14.2 แสดงสภาพตา้ นทานไฟฟ้าของสารบางชนิด

ตาราง 14.2 สภาพต้นทานไฟฟ้าของสารบางชนิด

394

สาร สภาพตา้ นทานไฟฟา้ (Ω m)
ทีอ่ ณุ หภมู ิ 20 oC

เงนิ 1.59 x 10-8

ทองแดง 1.72 x 10-8

ทอง 2.44 x 10-8

อะลมู เิ นยี ม 2.65 x 10-8

เหล็ก 9.71 x 10-8

ตะกั่ว 2.20 x 10-7

ดังนั้น จากความสัมพนั ธร์ ะหว่างสภาพตา้ นทานและความตา้ นทานตามสมการ = จึง



กลา่ วได้ว่า สำหรบั ลวดตวั นำที่ทำจากสารชนิดเดยี วกัน สภาพต้านทานของลวดตวั นำจะมีค่าเท่ากัน แต่

ความต้านทานอาจมคี ่าแตกตา่ งกันได้ ข้ึนอยู่กบั ความยาวและพนื้ ทห่ี น้าตัดของลวดตวั นำน้นั

5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอื่ สาร (อ่าน ฟัง พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วเิ คราะห์ จดั กลุ่ม สรุป)
3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา (แก้สมการ)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ (ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสบื คน้ ผ่านคอมพวิ เตอร์)

5.3 คุณลกั ษณะและค่านยิ ม
เปน็ ผู้มคี วามรบั ผดิ ชอบและเป็นผู้มคี วามมงุ่ มนั่ ในการทำงาน

6. บรู ณาการ
-

7. กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นที่ 1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ
1.1 ครทู บทวนความรูเ้ ก่ยี วกบั ความตา้ นทานของลวดนิโครม ว่ามคี วามต้านทานคงตวั และเปน็ ไป
ตามกฎของโอหม์
1.2 ครตู ้งั คำถามเพือ่ นำเขา้ สู่การทำกจิ กรรม
1) หากพิจารณาลวดนิโครมที่มีกระแสไฟฟ้าผ่าน ถ้าเปลี่ยนความยาวและพื้นที่หน้าตัด
ของลวดนิโครม กระแสไฟฟ้าจะมีค่าแตกต่างออกไปหรือไม่ อย่างไร (โดยเปิดโอกาสให้นักเรียนตอบ
อภปิ รายอย่างอสิ ระ ไม่คาดหวงั คำตอบที่ถูกตอ้ ง)

395

ข้ันท่ี 2 ขั้นสำรวจและคน้ หา
2.1 ครูสาธิตโดยนำลวดนิโครมที่มีความยาวและพื้นที่หน้าตัดแตกต่างกันมาต่อเป็นวงจรกับ

แบตเตอร่ี แล้วแสดงใหน้ ักเรยี นเห็นวา่ ความยาวและขนาดเสน้ ลวดตวั นำมผี ลตอ่ กระแสไฟฟ้าในวงจร
2.2 ครูนำอภิปรายความหายของสภาพนำไฟฟ้า และสภาพต้านทานไฟฟ้า และข้อสรุปว่า ความ

ต้านทาน ( ) ของลวดตัวนำที่ทำจากโลหะชนิดหนึ่ง ๆ จะแปรผันตรงกับความยาวของลวดตัวนำ และ
แปรผกผนั กบั พืน้ ทต่ี ัดขวาง (A) ของลวดตวั นำนน้ั ตามรายละเอียดในหนงั สอื เรียน โดยครคู วรเน้นวา่ สภาพ
ต้านทานไฟฟ้าของสารชนิดเดียวกันมีค่าเท่ากัน แต่ความต้านทานของสารชนิดเดียวกัน อาจแตกต่างกัน
ทัง้ น้ีขึ้นอยู่กับความยาวและพ้ืนทหี่ นา้ ตดั ของสารนั้น

2.3 ครูให้นักเรียนศึกษาตาราง 14.2 เพื่อหาคำตอบท่ีได้ถามไว้ในช่วงเริ่มตน้ เกี่ยวกับการเปลี่ยน
สายไฟที่ต่อระหว่างแบตเตอรี่กับหลอดไฟเป็นตัวนำโลหะชนิดอื่น มีผลอย่างไรกับกระแสไฟฟ้าที่ผ่าน
หลอดไฟ และสามารถอธบิ ายไดอ้ ย่างไร

2.4 นกั เรียนศกึ ษาตัวอย่าง 14.4 โดยครูแนะนำ
2.5 นกั เรียนทำแบบฝกึ หัด 14.2 เรอื่ ง ข้อ 3. – 4.
2.6 นกั เรียนตอบคำถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 14.2 ขอ้ 2

ขัน้ ท่ี 3 ข้นั อธิบายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครแู ละนักเรียนร่วมกนั อภปิ รายจนไดข้ ้อสรุปเรื่อง สภาพต้านทานไฟฟา้ และสภาพตัวนำไฟฟ้า

ขั้นท่ี 4 ขัน้ ขยายความรู้
4.1 ครูอธิบายเพ่มิ เตมิ
ในการระบขุ นาดของลวดตวั นำ มีการใช้มาตรฐาน 2 มาตรฐาน คอื AWG กบั SWG ซ่ึงย่อ
มาจาก American Wire Gauge กับ Standard Wire Gauge ตามลำ ดับ โดยลวดตัวนำที่เบอร์
ตามมาตรฐาน AWG หรอื SWG มาก แสดงว่า ลวดนน้ั ย่ิงมขี นาดเลก็ และมคี วามต้านทานมากดัง
ตัวอยา่ งในตารางด้านลา่ ง

396

ขัน้ ที่ 5 ขน้ั ประเมินผล
5.1 นักเรียนทำแบบฝกึ หัด 14.2 เรอ่ื ง ขอ้ 3. – 4.
5.2 นักเรยี นตอบคำถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 14.2 ข้อ 2.

ประยกุ ต์และตอบแทนสงั คม
-

8. สือ่ การเรียนร/ู้ แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนังสอื เรียนรายวชิ าเพิ่มเตมิ วทิ ยาศาสตร์ (ฟสิ กิ ส)์ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5 เลม่ 4 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอรเ์ น็ต

9. การวดั และประเมินผล

จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วธิ ีการวัด เครอื่ งมือ เกณฑ์การประเมนิ

ด้านความรู้ (K)

1) อธบิ ายความหมายของสภาพต้านทานได้ 1) ตรวจสมุดของ 1) แบบประเมิน 1) นักเรยี นสามารถ
กิจกรรม ตอบคำถามไดร้ ะดับ
นักเรียน 2) คำถาม 1 ขอ้ ดี ผา่ นเกณฑ์

ด้านกระบวนการ (P) 1) ตรวจสมดุ ของ 1) แบบประเมิน 1) นักเรียนสามารถ
1) สามารถคำนวณหาปริมาณต่าง ๆ ท่ี นักเรียน
เก่ียวข้องได้ กจิ กรรม ทำแบบฝกึ หดั ได้

2) แบบฝกึ หดั จำนวน ระดับดี ผ่านเกณฑ์

2 ข้อ

ด้านคุณลักษณะ (A) 1) ตรวจการส่งสมุด 1) แบบประเมนิ การ 1) นกั เรยี นทำภาระ
1) เปน็ ผมู้ ีความรบั ผดิ ชอบและ ของนกั เรยี น
เป็นผู้มคี วามมุ่งมนั่ ในการทำงาน ทำกจิ กรรม งานทไี่ ดร้ บั มอบหมาย

ได้ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์

397

10. เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรยี น
เกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เร่อื ง สภาพต้านทานไฟฟ้าและสภาพนำไฟฟา้

ประเดน็ การ คา่ น้ำหนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
ด้านความรู้ ตอบคำถามได้ถกู ต้องครบถว้ น
(K) 3 ตอบคำถามไดแ้ ตไ่ ม่ครบถว้ น
2 ตอบคำถามไมถ่ ูกต้อง
ด้าน 1 ทำแบบฝกึ หดั ได้ถกู ตอ้ งครบถ้วนทุกข้อ
กระบวนการ 3 ทำแบบฝึกหดั ไดถ้ ูกต้องครบถว้ น 1 ขอ้
2 ทำแบบฝึกหัดไม่ถูกต้อง
(P) 1 ทำภาระงานทไี่ ด้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรยี บร้อยถกู ตอ้ งครบถว้ น
ด้าน 3 ทำภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกำหนด แต่งานยังผิดพลาดบางสว่ น
คุณลกั ษณะ 2 ทำภาระงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ช้า และเกิดขอ้ ผดิ พลาดบางส่วน
(A) 1

ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดบั พอใช้
คะแนน

398

การประเมินการทำกจิ กรรม เร่ือง สภาพตา้ นทานไฟฟา้ และสภาพนำไฟฟ้า

จดุ ประสงค์การเรียนรู้

ท่ี ชื่อ - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลกั ษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

19

20

21

22

23

24

25

26

27

399

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

ท่ี ชอ่ื - นามสกลุ ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ

(P) (A)

3 3 39

28

29

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

ระดบั คุณภาพ 9 หมายถึง ระดับดมี าก
คะแนน 7-8 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดับปรบั ปรงุ
คะแนน

400

บันทกึ หลังการสอน

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 14 เรือ่ ง ไฟฟ้ากระแส ท
แผนการสอนท่ี 31 เร่อื ง สภาพต้านทานไฟฟา้ และสภาพนำไฟฟา้ .

ใ เดอื น พ.ศ. ใ

วันที่

ผลการจดั การเรยี นรู้

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ปัญหา / อุปสรรค

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกป้ ัญหา

……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...

ลงชื่อ............................................ครผู ู้สอน ลงชือ่ .............................................หัวหนา้ กลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสงั ข์) (นางสาวอรอมุ า ไชยชนะ)

ลงชื่อ............................................. รองฯ กลุ่มบริหารวิชาการ
(นายบพิตร เหลา่ กอ)

ลงช่อื ............................................ผู้อำนวยการโรงเรยี น
(นายสรุ ยิ น สายสนองยศ)
…………../…………../………..

401

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 32

เรื่อง ความต้านทาน

รายวชิ า ฟิสิกส์ 4 รหสั วชิ า ว30204 เวลา 2 ช่ัวโมง

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 14 ช่ือหน่วยการเรียนรู้ ไฟฟ้ากระแส รวม 24 ช่ัวโมง

กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรียนที่ 2

บูรณาการ

 ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง  อาเซยี น  STEM  PLC

 สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน  มาตรฐานสากล  ข้ามกลุม่ สาระ

1. สาระฟิสกิ ส์
3. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคลู อมบ์ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟา้ ความจไุ ฟฟ้ากระแสไฟฟ้าและกฎของโอหม์

วงจรไฟฟา้ กระแสตรง พลังงานไฟฟา้ และกำลงั ไฟฟา้ การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเปน็ พลงั งานไฟฟ้า สนามแมเ่ หล็ก
แรงแม่เหลก็ ทก่ี ระทำกับประจุไฟฟา้ และกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนำแม่เหลก็ ไฟฟ้าและกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้า
กระแสสลบั คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าและการส่ือสาร รวมท้ังนำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์

2. ผลการเรียนรู้
11. ทดลองและอธิบายกฎของโอหม์ อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความต้านทานกับความยาวพืน้ ที่หน้าตดั

และสภาพต้านทานของตัวนำ โลหะที่อุณหภูมิคงตัว และคำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอธิบายและ
คำนวณความต้านทานสมมลู เมอื่ นำ ตวั ตา้ นทานมาต่อกนั แบบอนุกรมและแบบขนาน

3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) อธิบายความหมายของความตา้ นทานได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) สามารถอ่านค่าของความตา้ นทานจากแถบสีบนตัวต้านทานได้
3.3 ด้านคณุ ลักษณะ (A)
1) เปน็ ผู้มีความรับผดิ ชอบและเป็นผมู้ คี วามมุ่งม่ันในการทำงาน

4. สาระสำคัญ
ความต้านทาน (resistance) แทนด้วยสัญลักษณ์ โดยความต้านทานของวัตถุขึ้นอยู่กับชนิดและรูปรา่ ง

ของวตั ถุ สำหรับลวดตวั นำยาว พ้ืนทีห่ น้าตดั ท่ีอุณหภมู ิคงตวั ความตา้ นทานของลวดตวั นำเปน็ ไปตามสมการ
= ( ) เมื่อ เป็นสภาพตา้ นทานไฟฟา้ (electrical resistivity)



ส่วนกลับของสภาพต้านทานไฟฟ้า เรียกว่า สภาพนำไฟฟ้า (electrical conductivity) แทนด้วย
สัญลกั ษณ์ σ

402

ตัวต้านทาน (resistor) เป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สำหรับควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้าและ

ความต่างศักย์ในวงจรไฟฟ้าให้พอเหมาะกับการใช้งานต่าง ๆ โดยตัวต้านทานที่ใช้ทั่วไปในวงจรไฟฟา้ ส่วนใหญ่เปน็

ชนิดทเี่ รียกวา่ ตัวตา้ นทานคา่ คงตวั (fixed resistor)

การต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม (series combination) ตัว จะได้ความต้านทานสมมูล (equivalent

resistance) มีค่าเพิม่ ข้นึ ตามสมการ = 1 + 2 + 3 + ⋯ +
การต่อตัวต้านทานแบบขนาน (parallel combination) ตัว จะได้ความต้านทานสมมลู มีค่าลดลง

ตามสมการ 1 = 1 + 1 + 1 + ⋯ + 1
1 2 3

5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
ตัวต้านทาน ในออกแบบและพัฒนาวงจรไฟฟ้าทำ ได้มีการประดิษฐ์ขึ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มี
ความต้านทาน (resistor) เพื่อควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ในวงจรไฟฟ้าใหพ้ อเหมาะ
กับการใช้งานตา่ งๆ โดยตวั ต้านทานที่ใช้ในวงจรส่วนใหญ่ เปน็ ชนิดท่ีเรียกว่า ตัวต้านทานค่าคงตัว (fixed
resistor) ซง่ึ มักทำมาจากฟิลม์ คารบ์ อน ฟลิ ม์ โลหะ หรอื ฟิลม์ ออกไซดข์ องโลหะ พนั เอาไว้เปน็ เกลียว และ
หมุ้ ดว้ ยฉนวนไฟฟ้าอีกช้ันหนง่ึ ตัวอยา่ งตัวต้านทานค่าคงตวั ขนาดต่าง ๆ ดงั รูป 14.10 ก. ซ่ึงเมื่อขูดผิวออก
ภายในจะมลี ักษณะดงั รปู 14.10 ข.

รูป 14.10 ก.ตวั อย่างตวั ตา้ นทานค่าคงตวั ขนาดตา่ งๆ ข ลกั ษณะภายในของตวั ตา้ นทานคา่ คงตวั
ในวงจรไฟฟ้า ตัวต้านทานแทนดว้ ยสญั ลกั ษณ์ ดงั รูป 14.11 ก. หรอื 14.11 ข.

รปู 14.11 สญั ลักษณต์ วั ตา้ นทานในวงจรไฟฟา้
ในการบอกความต้นทานของตัวต้านทานค่าคงตวั จะบอกโดยการอ่านแถบสที อี่ ยู่บนตัวตา้ นทานซ่ึง
ส่วนใหญ่ จะมีแถบสี 4 แถบ ดังรูป 14.12
วิธีการอ่านความต้นทานให้อ่านจากรหัสสีดังตาราง 14.3 โดยแถบสีที่ 1 และแถบสีที่ 2 บอก
ตัวเลขที่หนึ่งและตัวเลขที่สอง แคบสีที่ 3 บอกตัวเลขพหุคูณ และแถบสีที่ 4 เป็นแถบแสดงความ
คลาดเคลื่อนเป็นร้อยละ อาจแสดงเป็นสมการได้ดังน้ี

ความตา้ นทาน =[(เลขแถบสีท่ี 1 เลขแถบสที ่ี 2) x 10เลขแถบสที ี่ 3] + เลขแถบสที ี่ 4

403

รปู 14.12 ความหมายของแถบสบี นตวั ต้านทานค่าคงตวั

5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พดู เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์ จัดกลุ่ม สรุป)
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แก้สมการ)
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต (ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสืบคน้ ผา่ นคอมพิวเตอร์)

5.3 คณุ ลกั ษณะและคา่ นยิ ม
เป็นผมู้ คี วามรบั ผดิ ชอบและเป็นผมู้ ีความม่งุ ม่นั ในการทำงาน

6. บูรณาการ
-

7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ข้นั ท่ี 1 ข้ันสร้างความสนใจ
1.1 ครทู บทวนความร้เู ดมิ เกย่ี วกบั กฎของโอหม์

ข้ันที่ 2 ขน้ั สำรวจและค้นหา
2.1 ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการอ่านค่าของความต้านทานจากแถบสีบนตัวต้านทานค่าคงตัว

ตามในหนงั สอื เรยี น

ขัน้ ที่ 3 ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครูยกตัวอยา่ งการอา่ นคา่ ความต้านทานไฟฟ้า
3.2 ครอู ธิบายตวั อย่าง 14.5 ในหนังสอื เรียน
3.3 ครูและนกั เรียนรว่ มกันสรปุ เน้อื หา เร่อื ง ความต้านทาน และการอา่ นค่าของความต้านทาน

จากแถบสีบนตวั ตา้ นทานค่าคงตัว

ข้ันท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้
4.1 ครูอธิบายให้ความรูเ้ พิ่มเติม การอ่านค่าแถบสีตัวต้านทานชนิดท่ีมีแถบสี 5 แถบ ตามหนังสอื

เรยี น หน้า 191
4.2 ครอู ธิบายใหค้ วามรู้ชวนคิด หน้า 119

ขั้นท่ี 5 ขั้นประเมินผล
5.1 ใหน้ ักเรยี นตอบคำถามเพอื่ ตรวจสอบความเข้าใจ 14.2 ข้อ 3. – 4.

404

5.2 ให้นกั เรียนทำแบบฝกึ หดั 14.2 ข้อ 5.

ประยุกต์และตอบแทนสังคม
-

8. สอื่ การเรยี นร/ู้ แหลง่ เรยี นรู้
8.1 หนังสือเรียนรายวชิ าเพม่ิ เตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟสิ ิกส์) ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 เลม่ 4 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอรเ์ น็ต

9. การวัดและประเมนิ ผล วิธีการวดั เครื่องมอื เกณฑ์การประเมนิ
จุดประสงค์การเรียนรู้
1) ตรวจสมดุ ของ 1) แบบประเมิน 1) นกั เรียนสามารถ
ด้านความรู้ (K) นกั เรียน กิจกรรม ตอบคำถามไดร้ ะดับ
1) อธิบายความหมายของความตา้ นทานได้ 2) คำถาม 2 ขอ้ ดี ผ่านเกณฑ์

ดา้ นกระบวนการ (P) 1) ตรวจสมุดของ 1) แบบประเมนิ 1) นกั เรยี นสามารถ
1) สามารถอ่านค่าของความตา้ นทานจาก นกั เรียน
แถบสีบนตวั ต้านทานได้ กิจกรรม ทำแบบฝึกหดั ได้

2) แบบฝึกหัดจำนวน ระดับดี ผา่ นเกณฑ์

1 ขอ้

ดา้ นคณุ ลักษณะ (A) 1) ตรวจการส่งสมุด 1) แบบประเมนิ การ 1) นักเรยี นทำภาระ
1) เป็นผู้มคี วามรับผิดชอบและ ของนกั เรยี น
เปน็ ผูม้ คี วามมงุ่ ม่นั ในการทำงาน ทำกจิ กรรม งานทีไ่ ด้รับมอบหมาย

ได้ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์

405

10. เกณฑ์การประเมนิ ผลงานนกั เรียน
เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทำกจิ กรรม เร่อื ง ความต้านทาน

ประเดน็ การ ค่านำ้ หนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
ดา้ นความรู้ ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถว้ นทกุ ขอ้
(K) 3 ตอบคำถามได้ถูกต้องครบถ้วน 1 ขอ้
2 ตอบคำถามไมถ่ กู ต้อง
ด้าน 1 ทำแบบฝึกหัดไดถ้ ูกต้องครบถว้ นทกุ ข้อ
กระบวนการ 3 ทำแบบฝกึ หดั ได้แต่ไม่ถกู ตอ้ งครบถ้วน
2 ทำแบบฝึกหดั ไม่ถกู ต้อง
(P) 1 ทำภาระงานท่ไี ดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกำหนด และเรียบร้อยถกู ตอ้ งครบถ้วน
ดา้ น 3 ทำภาระงานท่ีได้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด แต่งานยงั ผิดพลาดบางสว่ น
คุณลักษณะ 2 ทำภาระงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ช้า และเกิดข้อผดิ พลาดบางส่วน
(A) 1

ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน


Click to View FlipBook Version