106
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน
107
บนั ทกึ หลังการสอน
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 12 เร่ือง เสียง ใ
แผนการสอนท่ี 5 เรอ่ื ง การแทรกสอดของเสียง .
ใ เดือน พ.ศ. ใ
วนั ที่
ผลการจดั การเรียนรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปญั หา / อุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกป้ ัญหา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงชื่อ............................................ครผู ู้สอน ลงชอ่ื .............................................หวั หน้ากลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสงั ข์) (นางสาวอรอมุ า ไชยชนะ)
ลงช่ือ............................................. รองฯ กลมุ่ บริหารวชิ าการ
(นายบพติ ร เหลา่ กอ)
ลงชือ่ ............................................ผู้อำนวยการโรงเรยี น
(นายสรุ ยิ น สายสนองยศ)
…………../…………../………..
108
ใบกจิ กรรม เรอื่ ง การแทรกสอดของเสยี ง
1. รายชอื่ สมาชิกท่ี …………………………………………………….. ช้นั …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
2. จุดประสงค์การทำกิจกรรม
ศึกษาความสัมพันธข์ องการแทรกสอดของเสยี งกบั ตำแหนง่
3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 เคร่อื ง
1) เครื่องกำเนิดสญั ญาณเสยี ง 2 ตัว
2) ลำโพง 4 เสน้
3) สายไฟ
4. วธิ ที ำกจิ กรรม
1) ต่อเครอ่ื งกำเนิดสญั ญาณเสยี งกับลำโพง 2 ตวั หมนุ ปุม่ เลือกความถีไ่ ปท่ี 3 กโิ ลเฮริ ตซ์ และปรับความดงั ของเสียงให้
ดังพอสมควร
2) วางลำโพงไวท้ ่ขี อบโตะ๊ จัดหนา้ ลำโพงหนั ออกนอกโตะ๊ ดงั รปู
3) ฟงั เสียงทางด้านหน้าลำโพง ณ ตำแหนง่ ตา่ งๆ กันในแนวขนานกับขอบโตะ๊ เปรียบเทียบความดังของเสียง
ณ ตำแหนง่ ตา่ งๆ ตามแนวทฟ่ี งั เสียง
109
5. ผลการทำการทดลอง ฒ
เสียงที่ไดย้ นิ จากลำโพง 2 ตัว ต่อพว่ งกนั พบว่า บางตำแหน่งจะไดย้ นิ เสยี งดงั บางตำแหน่งจะไดย้ นิ เสยี งคอ่ ย
b
ตำแหนง่ ทไ่ี ด้ยนิ เสยี งค่อยเกิดจากการรวมกนั แบบหักล้างเขตน้ำลึกและเขตน้ำตนื้ ถ้า หน้าคลืน่ ตกกระทบทำ
6. คำถามท้ายการทดลอง มกี าร
1) ความถขี่ องเสียงจากลำโพงท้งั สองตัวแตกตา่ งกันหรอื ไม่ อย่างไร
ตอบ ไมแ่ ตกต่างกนั เพราะเป็นเสียงจากเคร่ืองกำเนิดสญั ญาณเสียงเดยี วกัน
2) ความดงั ของเสยี งท่ีได้ยนิ ณ ตำแหนง่ ต่าง ๆ เม่ือใช้ลำโพง 2 ตวั เปน็ อยา่ งไร และจะอธิบายไดอ้ ยา่ งไร
ตอบ บางตำแหนง่ ไดย้ นิ เสยี งดงั บางตำแหนง่ ไดย้ นิ เสียงคอ่ ย ตำแหนง่ ทีไ่ ด้ยินเสยี งดงั เกดิ จากการรวมกนั แบบเสริม และ
ตำแหน่งทไ่ี ด้ยนิ เสียงคอ่ ยเกดิ จากการรวมกนั แบบหกั ล้างเขตนำ้ ลึกและเขตนำ้ ตน้ื ถา้ หน้าคลื่นตกกระทบทำ
ตำแหนง่ ท่ไี ด้ยนิ เสียงค่อยเกดิ จากการรวมกนั แบบหกั ลา้ งเขตนำ้ ลกึ และเขตน้ำตนื้ ถา้ หน้าคล่นื ตกกระทบทำ
7. สรุปผลการทดลอง
จากการทำการทดลอง พบว่า เม่ือใชล้ ำโพง 2 ตัว ต่อพ่วงกนั จะมีความถ่ีเทา่ กันเพราะเป็นเสียงที่มาจากเครื่อ
กำเนิดสัญญาณเสียงเดียวกัน ในการยินฟังเสียง ณ บางตำแหน่งจะได้ยินเสียงดัง ที่บางตำแหน่งจะได้ยินเสียงค่อย
เน่ืองจากตำแหนง่ ทีไ่ ด้ยินเสียงดังเกิดจากการรวมกนั แบบเสริมกันของคล่นื เสียง และตำแหนง่ ทีไ่ ด้ยินเสียงค่อย เกิดจาก
b จากการทำการทดลอง พบว่า เมื่อใช้ลำโพง 2 ตัว ต่อพ่วงกัน จะมีความถี่เทา่ กนั เพราะเป็นเสียงที่มาจาก
เครื่อกำเนิดสัญญาณเสียงเดียวกัน ในการยินฟังเสียง ณ บางตำแหน่งจะได้ยินเสียงดัง ที่บางตำแหน่งจะได้ยินเสียงค่อย
เนอ่ื งจากตำแหนง่ ทไี่ ด้ยินเสียงดงั เกิดจากการรวมกนั แบบเสริมกนั ของคลน่ื เสียง และตำแหนง่ ทไ่ี ดย้ ินเสียงค่อย เกิดจาก
จากการทำการทดลอง พบว่า เมื่อใช้ลำโพง 2 ตัว ต่อพ่วงกัน จะมีความถี่เท่ากันเพราะเป็นเสียงที่มาจากเครื่อกำเนิด
สัญญาณเสียงเดียวกัน ในการยินฟังเสียง ณ บางตำแหน่งจะได้ยินเสียงดัง ที่บางตำแหน่งจะได้ยินเสียงค่อย เนื่องจาก
ตำแหน่งท่ีได้ยินเสียงดังเกิดจากการรวมกันแบบเสริมกันของคลื่นเสียง และตำแหน่งที่ได้ยินเสียงค่อย เกิดจาก
จากการทำการทดลอง พบว่า เมื่อใช้ลำโพง 2 ตัว ต่อพ่วงกัน จะมีความถี่เท่ากันเพราะเป็นเสียงที่มาจากเครื่อกำเนิด
สญั ญาณเสียงเดยี วกัน ในการยนิ ฟังเสยี ง ณ บางตำแหนง่ จะไดย้ นิ เสยี งดัง ที่บางตำแหนง่ จะไดย้ ินเสยี งค่อย เนือ่ งจา
110
เฉลยใบกิจกรรม เร่ือง การแทรกสอดของเสียง
1. รายช่ือสมาชิกที่ …………………………………………………….. ช้นั …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
2. จดุ ประสงค์การทำกิจกรรม
ศึกษาความสัมพันธ์ของการแทรกสอดของเสยี งกบั ตำแหน่ง
3. วัสด-ุ อปุ กรณ์ 1 เครอื่ ง
1) เครอื่ งกำเนิดสญั ญาณเสียง 2 ตวั
2) ลำโพง 4 เส้น
3) สายไฟ
4. วิธีทำกิจกรรม
1) ตอ่ เครอื่ งกำเนิดสัญญาณเสยี งกับลำโพง 2 ตัว หมุนปมุ่ เลอื กความถไ่ี ปที่ 3 กิโลเฮริ ตซ์ และปรบั ความดงั ของเสียงให้
ดังพอสมควร
2) วางลำโพงไว้ที่ขอบโตะ๊ จัดหน้าลำโพงหนั ออกนอกโตะ๊ ดังรปู
3) ฟงั เสยี งทางดา้ นหนา้ ลำโพง ณ ตำแหน่งต่างๆ กนั ในแนวขนานกบั ขอบโต๊ะ เปรียบเทยี บความดังของเสยี ง
ณ ตำแหน่งต่างๆ ตามแนวทฟ่ี งั เสยี ง
5. ผลการทำการทดลอง 111
เสยี งทไี่ ดย้ ินจากลำโพง 2 ตัว ตอ่ พ่วงกนั พบวา่ บางตำแหน่งจะได้ยินเสยี งดงั บางตำแหนง่ จะได้ยนิ เสียงค่อย
ฒ
b
6. คำถามท้ายการทดลอง มกี าร
1) ความถี่ของเสยี งจากลำโพงทงั้ สองตวั แตกต่างกันหรือไม่ อยา่ งไร
ตอบ ไม่แตกต่างกัน เพราะเป็นเสยี งจากเครอ่ื งกำเนิดสญั ญาณเสยี งเดียวกัน
2) ความดังของเสียงที่ได้ยิน ณ ตำแหนง่ ตา่ ง ๆ เม่ือใช้ลำโพง 2 ตวั เป็นอยา่ งไร และจะอธิบายไดอ้ ยา่ งไร
ตอบ บางตำแหนง่ ไดย้ ินเสียงดัง บางตำแหนง่ ได้ยนิ เสียงคอ่ ย ตำแหนง่ ท่ไี ดย้ นิ เสยี งดังเกดิ จากการรวมกนั แบบเสรมิ และ
ตำแหนง่ ท่ีไดย้ นิ เสยี งคอ่ ยเกดิ จากการรวมกันแบบหกั ลา้ งเขตน้ำลึกและเขตนำ้ ต้ืน ถ้า หนา้ คลื่นตกกระทบทำ
7. สรปุ ผลการทดลอง
จากการทำการทดลอง พบวา่ เมื่อใชล้ ำโพง 2 ตัว ตอ่ พว่ งกนั จะมคี วามถเ่ี ทา่ กันเพราะเป็นเสียงท่ีมาจากเครื่อ
กำเนิดสัญญาณเสียงเดียวกัน ในการยินฟังเสียง ณ บางตำแหน่งจะได้ยินเสียงดัง ที่บางตำแหน่งจะได้ยินเสียงค่อย
เน่ืองจากตำแหน่งท่ีได้ยินเสียงดังเกดิ จากการรวมกนั แบบเสริมกันของคล่ืนเสียง และตำแหนง่ ท่ไี ด้ยินเสียงค่อย เกิดจาก
การรวมกันแบบหกั ลา้ งกันของคลืน่ เสียง ดงั น้ันสามารถสรุปได้ว่า เสยี งมกี ารแทรกสอดเชน่ เดียวกบั คล่นื อืน่ ๆะ
b
b
b
b
112
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 6
เร่ือง ความเขม้ เสียง ระดับเสียงความถเี่ สียงกับการไดย้ ิน และคณุ ภาพเสยี ง
รายวิชา ฟิสิกส์ 4 รหสั วิชา ว30204 เวลา 2 ช่ัวโมง
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 12 ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ เสียง รวม 26 ชัว่ โมง
กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นท่ี 2
บรู ณาการ
ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง อาเซียน STEM PLC
สวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น มาตรฐานสากล ขา้ มกลมุ่ สาระ
1. สาระฟิสกิ ส์
2. เขา้ ใจการเคลอ่ื นท่แี บบฮาร์มอนิกอย่างง่าย ธรรมชาติของคลน่ื เสยี งและการได้ยิน ปรากฏการณ์ท่ี
เกี่ยวขอ้ งกบั เสยี ง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวขอ้ งกับแสงรวมทงั้ นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
2. ผลการเรียนรู้
2. อธิบายความเข้มเสียง ระดับเสียง องค์ประกอบของการได้ยิน คุณภาพเสียง และมลพิษทางเสียงรวมทง้ั
คำนวณปริมาณต่าง ๆ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง
3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) อธิบายความเขม้ เสียงได้
2) อธิบายระดับเสยี งความสัมพนั ธ์ระหว่างระดับเสียงและความเข้มเสยี งได้
3) อธิบายระดบั เสียงและความถีท่ ม่ี ีผลตอ่ การไดย้ นิ
4) อธิบายระดับสงู ต่ำของเสียงและคณุ ภาพเสียง
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) คำนวณหาปรมิ าณต่างๆ ทโี่ จทย์กำหนด
3.3 ด้านคุณลกั ษณะ(A)
1) เป็นผ้มู คี วามรบั ผดิ ชอบและเปน็ ผู้มีความมุง่ ม่นั ในการทำงาน
4. สาระสำคัญ
พลงั งานเสียงทีส่ ง่ ออกจากแหล่งกำเนดิ เสยี งในหนึง่ หน่วยเวลา เรียกวา่ กำลงั เสยี ง (power of a sound)
กำลังเสยี งทีแ่ หลง่ กำเนดิ เสยี งส่งออกไปตอ่ หน่วยพืน้ ที่ทตี่ ้งั ฉากกบั ทิศทางการเคลอ่ื นทีข่ องคลนื่ เสียง เรียกว่า ความ
เข้มเสยี ง (sound intensity) ซ่งึ หาได้จาก = ในกรณแี หล่งกำเนิดเสยี งเป็นจดุ =
4 2
ในการบอกความดังของเสียงพิจารณาจากสเกลลอการิทึม เรียกว่า ระดับเสียง (sound level)
ตามสมการ = 10
0
เสียงจากแหล่งกำเนิดเสียงต่าง ๆ มีระดับสูงต่ำของเสียงและคุณภาพเสียงทีต่ ่างกัน ระดับสูงต่ำของเสียง
(pitch)สมั พันธ์กบั ความถีข่ องเสียง เสียงทม่ี ีความถ่สี งู เรยี กว่า เสียงสูงหรอื เสียงแหลม เสยี งที่มีความถ่ตี ำ่ เรียกว่า
113
เสียงตำ่ หรือเสยี งทุม้ ส่วนคุณภาพเสยี ง (quality of sound)เปน็ ลักษณะเฉพาะของเสยี งทท่ี ำให้ผ้ฟู ังจำแนกเสียง
น้นั ๆ เสียงทมี่ คี ณุ ภาพเสยี งต่างกนั มีรปู แบบของเสยี งแตกต่างกนั ท้งั น้ีเพราะเสยี งแตล่ ะรปู แบบเกดิ จากผลรวมของ
หลายฮาร์มอนิกและแอมพลิจดู แตล่ ะฮาร์มอนกิ ทแ่ี ตกต่างกัน
เสียงรบกวนเป็นเสียงที่ดังหรือมีระดับเสียงสูง และก่อให้เกิดความรำคาญ ถือว่าเป็นมลพิษทางเสียง
(noise pollution) อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและจิตใจ การลดหรือควบคุมระดับเสียง อาจทำได้ 3 วิธีคือ
การควบคมุ ท่ีแหล่งกำนดิ เสียง การควบคมุ ทางผ่านของเสยี ง และการควบคุมท่ผี รู้ ับฟังเสยี ง
5. สาระการเรียนรู้
5.1 ความรู้
1) ความเข้มเสียงเสียงเกิดจากการสั่นของแหล่งกำเนิดเสียงและเกิดการถ่ายโอนพลังงานไปยัง
อนุภาคอากาศที่อยู่รอบๆจนกระทั่งถึงหเู ราทำให้เราได้ยินเสียงเสียงที่หไู ด้ยินอาจจะดังหรือค่อยขึ้นอย่กู ับ
พลังงานของคลื่นเสียงโดยพลังงานของคลื่นเสียงจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับแอมพลิจูดของคลื่นเสี ยงน้นั
ทั้งนี้แอมพลิจูดของคลื่นเสียงขึ้นอยู่กับแอมพลิจูดการสั่นของแหลง่ กำเนิดเสียงหรือขึ้นอยูก่ บั พลังงานของ
แหล่งกำเนิดเสียงรูป12.8แสดงการเปรียบเทียบเสียงที่มีคว ามยาวคลื่นท่ากันแต่มีแอมพลิจูดต่าง กัน
จะเห็นว่าเสียงที่มีแอมพลิจูดมากกว่า (รูป 12.8ก.) จะมีความดันอากาศที่เปลี่ยนไปมากกว่า(อนุภาคของ
ตัวกลางเบียดเข้าใกล้กันได้ชิดมากกว่า หรือความสูงของรูปคลื่นสูงกว่า)เมื่อเทียบกับเสียงที่มีแอมพลิจูด
น้อยกว่า (รูป12.8 ข.) ซ่งึ มคี วามดันอากาศท่ีเปล่ียนไปน้อยกว่า(อนุภาคของตัวกลางเบียดเข้าใกล้กันได้ชิด
นอ้ ยกว่าหรอื ความสงู ของรูปคลื่นต่ำกว่า)
รปู 12.8 การเปรยี บเทียบเสยี งที่มีมาก (ก.) กบั เสียงที่มแี อมพลจิ ดู นอ้ ย (ข.)
อัตราการถ่ายโอนพลงั งานเสียงของแหล่งกำเนิดมีค่าเทา่ กบั พลังงานเสียงทอี่ อกจากแหล่งกำเนิดต่อ
หนว่ ยเวลา ซ่ึงเรยี กวา่ กำลงั เสียง (power of a sound) ผ้ฟู ังจะไดย้ นิ เสยี งจากแหลง่ กำเนดิ เสียงที่มกี ำลัง
เสียงมากดงั กว่าเสยี งจากแหลง่ กำนดิ เสยี งทมี่ กี ำลังเสียงน้อย เม่อื อยู่หา่ งจากแหลง่ กำเนิดเสยี งเท่ากัน
กำลังเสียงที่แหล่งกำเนิดเสียงส่งออกไปต่อหน่วยพื้นที่ที่ตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น
เสยี ง เรยี กว่าความเข้มเสยี ง (sound intensity)
114
เมอื่ มีหนว่ ยวตั ตต์ ่อตารางเมตร
= มหี นว่ ยวัตต์
คือ ความเข้มเสยี ง มหี น่วยตารางเมตร
คือ กำลงั เสยี งของแหล่งกำเนิดเสยี ง
คือ พน้ื ทีท่ ่เี สียงเคลอ่ื นทีผ่ า่ นในทิศตัง้ ฉาก
โดยความเข้มเสียงมีค่าลดลงเมอ่ื ระยะหา่ งจากแหลง่ กำเนิดเสียงมากขน้ึ สำหรับแหลง่ กำเนิดเสียงท่ี
เป็นจุดจะแผ่คลื่นเสียงออกมาทุกทิศทางโดยมีลักษณะเป็นพื้นผิวทรงกลมที่มีแหล่งกำเนิดเสียงอยู่ท่ี
ศูนย์กลางของทรงกลมความเขม้ สียงจากแหล่งกำเนิด ณตำแหนง่ ที่อยหู่ า่ งจากแหลง่ กำเนดิ เสยี งเป็นระยะ r
มคี า่
= 4 2
นั่นคือความเข้มเสียงแปรผกผันกับกำลังสองของระยะห่างจากแหล่งกำเนิดเสียงเช่นที่ระยะห่ าง
จากแหล่งกำเนิดเสียง (ท่ีเป็นจุด) เป็นระยะ r, 2r และ 3r มีความเข้มเสียงเป็น , /4 และ /9
ตามลำดับ ดังรูป 12.9
รปู 12.9 การเปรียบเทียบความเขม้ เสียงท่ีตำแหน่งหา่ งจากแหล่งกำเนิดเสยี งเปน็ ระยะตา่ งๆ
2) ระดับเสียงและความถี่เสียงกับการเริ่มได้ยินการได้ยินของคนปกติพบว่า ความเข้มเสียงท่ี
มนุษยส์ ามารถได้ยนิ อยูใ่ นช่วงทีก่ วา้ งมาก เชน่ ท่คี วามถเ่ี สยี ง 100 เฮิรตซเ์ สียงที่เบาสดุ มนุษย์สามารถได้ยินมี
ความเข้ม 10-12 วัตต์ต่อตารางเมตรและเสียงที่ดังที่สุดที่ไม่เป็นอันตรายต่อแก้วหูมีความเข้ม 1 วัตต์ต่อ
ตารางเมตร เพื่อลดช่วงที่กว้างมากจึงพิจารณาการได้ยินจากปริมาณที่ใช้สเกลลอการิทึม (logarihmic
scale) และเรยี กปรมิ าณน้วี ่า ระดบั เสียง (soundlevel) ดังนี้
= 10 0
เม่อื คือ ระดบั เสยี ง มหี นว่ ย เดซิเบล (dB)
คือ ความเขม้ เสยี งที่พจิ ารณา มหี นว่ ยวัตต์ตอ่ ตารางเมตร (W/m2)
0 คือ ความเขม้ เสียงอา้ งองิ มคี ่าเทา่ กบั (1.0 x 10-12 W/m2)
115
ตาราง 12.2 ระดับเสียงจากแหล่งกำเนดิ ตา่ งๆ
แหล่งกำเนดิ ระดบั เสียง ผลการรับฟัง
(เดซเิ บล : dB)
การหายใจปกติ 10 แทบจะไม่ไดย้ ิน
การกระซิบแผว่ เบา 30 เงียบมาก
สำนักงานที่เงียบ 50 เงียบ
การพูดคยุ ธรรมดา 60 ปานกลาง
เครอื่ งดูดฝนุ่ 75 ดงั
โรงงานทัว่ ไป, ถนนทม่ี ีการจราจรหนาแน่น 80 ดัง
เครอื่ งเสยี งสเตอรโิ อในหอ้ ง 90 รับฟังบ่อยๆ
เคร่ืองเจาะถนนแบบอัดลม 90 การไดย้ ิน
เคร่อื งตดั หญ้า 100 จะเส่ือม
ดสิ โก้เธค, การแสดงดนตรปี ระเภทร็อก 120 อย่างถาวร
ฟ้าผ่าระยะใกล้ 130 ไม่สบายหู
เครอ่ื งบนิ ไอพน่ ขน้ึ ระยะใกล้ 150 เจบ็ ปวดในหู
เคร่อื งยนตจ์ รวดขนาดใหญ่ในระยะใกล้ 180 แกว้ หูชำรดุ ทันที
สำหรับเสียงที่มีความถี่ 100 เอิรตช์ระดับเสียงที่มนุษย์ได้ยินจะอยู่ในช่วง 0 จนถึง 120 เดซิเบล
หากเสยี งมีความถ่ีเปลี่ยนไประดับเสียงทไี่ ด้ยนิ ก็จะเปล่ียนไปด้วย เชน่ เสยี งความถ่ี 100 เฮริ ตช์ระดับเสียงที่
เบาที่สุดที่มนุษยไ์ ด้ยินมคี ่าประมาณ 35 เดซิเบล ดังรูป 12.10 ซึ่งแสดงความสมั พันธ์ระหว่างระดับเสียงที่
ความถี่ต่าง ๆ จะเห็นว่า การที่เราจะได้ยินเสียงที่มีความถี่ต่ำนั้นเสียงนั้นจะต้องมีระดับเสียงสูงกว่า
การได้ยินเสียงที่มีความถี่สูงกว่านอกจากนี้จะเห็นว่า ขีดเริ่มเปลี่ยนของการได้ยิน (threshold of
hearingและขีดเรมิ่ เปลี่ยนของการเจ็บปวด (threshold of pain) สำหรับเสียงแต่ละความถี่น้ันมีค่าไม่
เท่ากัน
รูป 12.10 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งระดบั เสยี งทม่ี นษุ ย์ได้ยินท่ีความถีต่ ่างๆ
116
มนุษยไ์ ด้ยินเสยี งในช่วงความถห่ี นึ่ง สำหรับสัตว์อนื่ ๆจะได้ยนิ เสียงในช่วงความถห่ี นึง่ ๆเชน่ กัน
และต่างกส็ ามารถให้เสียงที่มีช่วงความถี่ตา่ งๆกนั ดว้ ยซ่ึงพิจารณาไดจ้ ากรูป 12.11
รูป 12.11 แผนภาพแสดงช่วงความถี่เสยี งท่ีสัตว์-มนุษยผ์ ลิตและช่วงความถเี่ สียงทมี่ นษุ ย์-สตั วไ์ ด้ยนิ
3) ระดับสงู ต่ำของเสียงและคุณภาพเสยี ง เสียงเป็นสง่ิ สำคญั ที่มีผลต่อความรู้สึกและอารมณ์ของ
ผู้ฟังอย่างมากได้ยินเสียง เราจะบอกได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงสูงหรือเสียงต่ำนอกจากน้ีเรายังจำแนกเสียง
ต่างๆว่าเป็นเสียงจากแหล่งกำเนดิ ใดได้
3.1) ระดับสูงต่ำของเสียง เมื่อเราได้ยินเสียงพูด เสียงดนตรีหรือเสียงร้องเพลงบางคน
อาจบอกว่าเสยี งนี้เปน็ เสียงสูงหรือเสียงต่ำการระบุว่าเปน็ เสยี งสูงเสยี งต่ำ เสยี งแหลมเสียงทมุ้ น้ีเป็นการบอก
ถึงระดับสงู ต่ำของเสียง (pitcha) ซึ่งเป็นการบอกในเชงิ คณุ ภาพ ขึ้นอยูก่ บั ผู้ฟังแต่ละคนบางคนอาจบอก
ว่าเสยี งน้สี งู มาก ในขณะท่อี ีกคนหน่ึงบอกวา่ เป็นเสียงสูงธรรมดา ปริมาณที่สัมพันธก์ ับระดับสูงต่ำของเสียง
คือความถ่ีของเสียง ซ่ึงเปน็ การบอกในเชงิ ปรมิ าณสามารวัดค่าเปน็ ตัวเลขเพอ่ื ใช้เปรียบเทียบกันได้โดยตรง
โดยทว่ั ไป เมื่อกล่าวถึงเสียงสูง (high pitch) หรือเสียงแหลม (treble) หมายถงึ เสยี งทีม่ คี วามถ่ีสูงและ
เสียงตำ่ (lowpitch) หรอื เสยี งทมุ้ (bass) หมายถึง เสยี งท่ีมีความถี่ต่ำ
รปู 12.12 การเปรยี บเทยี บเสยี งท่มี ีความถ่ีสูง (ก.) กับเสียงท่มี ีความถ่ีตำ่ (ข.)
3.2) คุณภาพเสียง
เครื่องดนตรีสองชนิดเช่นเปียโน และ ขลุ่ยเล่นตัวโน้ตตัวเดียวกันที่มีความถ่ี
เทา่ กนั แตเ่ รากส็ ามารถแยกไดว้ า่ เสยี งใดเปน็ เสยี งจากเปยี โนเสยี งใดเป็นเสียงจากขล่ยุ ในวชิ าฟิสิกส์
เราบอกว่าเสียงจากเครื่องดนตรีทั้งสองนี้มีคุณภาพเสียง (quality ofsound)แตกต่างกัน
คุณภาพเสยี งในวิชาฟิสกิ ส์จึงไม่ใชก่ ารระบวุ า่ เสยี งจากเครือ่ งตนตรีชนิดใดดีกว่ากันหรอื ไพเราะกว่า
กันแต่เป็นการบอกถึงรูปแบบของเสียงที่มีความเฉพาะตัวของเครื่องดนตรีแต่ละชนิดคล้ายกับ
ลายนิว้ มอื ของแตล่ ะคน
117
เม่ือเครอ่ื งคนตรีเลน่ โน้ตตัวหนึ่ง เคร่อื งดนตรีจะผลติ เสยี งทมี่ คี วามถ่ีหลายค่าออกมาพรอ้ ม
กันเรียกว่า อาร์มอนิก (harmonics)เสียงที่มีความถี่ต่ำสุดเรียกว่าฮาร์มอนิกที่หนึ่ง (first
harmonic) หรือความถี่มูลฐาน(fundamental frequency)เสียงที่เหลือจะมีความถี่เป็น
จำนวนเต็มเท่าของความถี่มูลฐานฮอร์มอนิกที่สองมีความถี่เป็นสองเท่าของความถี่มูลฐาน
ฮาร์มอนิกที่สามมีความถี่เป็นสามเท่าของความถี่มูลฐานเป็นต้น หรือเขียนแทนด้วย
= 1 โดย คือความถี่ของฮาร์มอนิกท่ี1หรือ ความถี่มูลฐาน ซึ่งเป็นความถี่ต่ำสุดของ
การส่นั ฮารม์ อนิกเหลา่ นจ้ี ะรวมกันเปน็ สียงทเ่ี ราได้ยินดังตวั อยา่ งในรูป 12.13
รปู 12.13 การรวมฮารม์ อนกิ ต่างๆ ท่มี ีแอมพลจิ ูดตา่ งกัน
ทำนองเดียวกันขณะที่แหล่งกำเนิดเสียงต่างๆสั่นจะให้เสียงซึ่งมีฮษร์มอนิกต่างๆ จะ
ออกมาพร้อมกันเสมอแต่จำนวนฮาร์มอนิกและแอมพลิจูดของแต่ละฮาร์มอนิกจะแตกต่างกันไป
เมื่อมารวมกันทำให้ลักษณะของคล่ืนเสียงทีอ่ อกมาแตกต่างกันสำหรับแหล่งกำเนิดเสียงที่ต่างกัน
โดยจะมีลักษณะเฉพาะตัว หรือที่เรียกว่ามีคุณภาพเสียงต่างกัน คุณภาพเสียงช่วยให้เราสามารถ
แยกประเภทของแหลง่ กำเนิดเสียงได้ ดังรูป 12.14
รูป 12.14 คุณภาพเสยี งจากขลยุ่ และทรมั เปตที่เล่นโนต้ เดยี วกนั
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสื่อสาร(อา่ น ฟัง พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด(สงั เกต วิเคราะห์ จัดกลุม่ สรุป)
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา(ศกึ ษาหรอื รับรขู้ ้อมูลมองเหน็ และเข้าใจปัญหาสำคัญท่เี กดิ ขึน้ ได้)
4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต(ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสืบค้นผา่ นคอมพิวเตอร)์
5.3 คณุ ลักษณะและค่านิยม
เป็นผู้มีความรับผดิ ชอบและเป็นผ้มู ีความมุ่งม่ันในการทำงาน
118
6. การอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขยี น
ตัวชี้วัดท่ี 1 สามารถคัดสรรสื่อที่ต้องการอ่านเพื่อหาข้อมูลสารสนเทศได้ตามวัตถุประสงค์ สามารถสร้างความ
เข้าใจและประยุกต์ใช้ความรจู้ ากการอา่ น
ตวั ช้ีวัดท่ี 2 สามารถจับประเด็นสำคญั และประเดน็ สนบั สนนุ โตแ้ ย้ง
ตัวชี้วัดที่ 3 สามารถวิเคราะห์ วิจารณ์ ความสมเหตุสมผลความน่าเชื่อถือลำดับความและความเป็นไปได้ของ
เรอ่ื งท่อี ่าน
ตวั ชว้ี ดั ที่ 4 สามารถสรุปคณุ คา่ แนวคิด แง่คิดท่ไี ดจ้ ากการอา่ น
ตัวช้วี ัดที่ 5 สามารถสรุป อภิปราย ขยายความ แสดงความคดิ เหน็ โต้แยง้ สนับสนุน โนม้ น้าว
โดยการเขยี นสอื่ สารใน รปู แบบต่าง ๆ เช่น ผงั ความคดิ เป็นต้น
7. บรู ณาการ
6.1 บูรณาการ PLC นักเรียนแต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้เล่าสู่กันฟังถึงความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม และ
ปัญหาที่เกดิ ขนึ้ ระหวา่ งการทำกิจกรรม
8. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ข้ันที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรู้เดิม เร่ือง พฤติกรรมของเสียง
1.2 ครถู ามนกั เรยี นว่าเสยี งเกดิ ข้ึนได้อย่างไรและเสยี งมาถงึ ผฟู้ ังไดอ้ ยา่ งไร (แนวการตอบ เสยี งเกิด
จากการสนั่ ของแหลง่ กำเนิดเสียง และถ่ายโอนพลงั งานให้อนภุ าคของอากาศท่อี ยู่รอบๆ แลว้ ถา่ ยโอนต่อกัน
เป็นทอดๆ มาถงึ ผูฟ้ งั แลว้ ได้ยินเสียง)
1.3 ครตู ั้งคำถามเพอื่ นำเข้าสู่การทำกจิ กรรม
1) ถ้าเปิดวิทยุไว้กลางสนาม แล้วเดนิ หา่ งจากวิทยุออกไปเร่ือยๆ เสียงท่ไี ด้ยินจากวิทยุจะ
เป็นอยา่ งไร (แนวการตอบ เสียงจะดงั คอ่ ยลงเร่ือยๆ ตามระยะทีเ่ พิม่ ขึน้ )
2) ครชู ใ้ี หน้ กั เรยี นเห็นว่าผฟู้ ังจะได้ยนิ เสยี งจากแหล่งกำเนดิ เสียงนนั้ มอี งค์ประกอบหลาย
ประการ โดยความเข้มเสียงเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการไดย้ นิ
3) นักเรียนคิดวา่ คำวา่ “ระดบั เสียง” หมายความว่าอย่างไร
4) นกั เรียนคดิ ว่า คำว่า “ความถีเ่ สยี งกบั การไดย้ ิน” หมายความว่าอย่างไร
5) นักเรยี นคิดวา่ คำวา่ “คุณภาพเสยี ง” หมายความว่าอยา่ งไร
ข้ันท่ี 2 ข้ันสำรวจและค้นหา
2.1 จดั กลมุ่ นักเรียน กลมุ่ ละประมาณ 8 คน โดยใหส้ มาชิกแต่ละกลุม่ มีความร้คู วามสามารถท่ีคละ
กันกลุ่มนีจ้ ะเปน็ กล่มุ ประจำ
2.2 ครจู ัดแบ่งเนอื้ หาท่จี ะเรยี นเป็นเนอื้ หายอ่ ย ๆ เท่ากับจำนวนสมาชกิ ในกลมุ่ ของนักเรียนอาจ
จัดทำเปน็ บทเรียนหน้าเดียวกไ็ ด้
2.3 ให้สมาชิกในแต่ละกลุ่มจับฉลากหมายเลขของเนื้อหา คนละ 1 ฉลาก เพื่อรับผิดชอบใน
การศึกษาหัวข้อยอ่ ยของเน้อื หา คนละ 1 หวั ข้อ
119
2.4 ให้นกั เรียนแต่ละคนศึกษาและทำความเขา้ ใจเน้ือหาตามหมายเลขที่ตัวเองได้ ซ่ึงครูติดเน้ือหา
บนโตะ๊
2.5 นักเรยี นแต่ละคนท่ีศึกษาและทำความเข้าใจเน้อื หา (ใช้เวลา 15 นาท)ี ใหก้ ลบั ไปยงั กลมุ่ ตนเอง
แล้วอธิบายความรทู้ ีไ่ ด้จากการศกึ ษาและทำความเข้าใจในเนือ้ หาทีไ่ ดร้ บั มอบหมายให้เพ่ือนฟัง
2.6 นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ช่วยกนั สรุปความรู้ท่ีไดใ้ นการศกึ ษาลงในกระดาษปรู๊ฟ (นำ้ ตาล)
ขัน้ ท่ี 3 ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป
3.1 ครูสุ่มนักเรียน 2 กลุ่ม ออกมานำเสนอผลการสืบค้นของกลุ่มตนเองหน้าชั้นเรียน
(https://random.thaiware.com/) หรือ โปรแกรม Super Soomm And Goomm
3.2 ครูนำนกั เรียนอภิปรายเพอ่ื นำไปส่กู ารสรปุ โดยใชค้ ำถามตอ่ ไปนี้
1) การที่เราได้ยินเสียงดังเสียง-ค่อย ขึ้นอยู่กับพลังงานของเสียงที่ส่งมาถึงหูอย่างไร
(แนวการตอบ การได้ยินเสียงดังค่อยขึ้นกับพลังงานของคลื่นเสียง โดยพลังงานของคลื่นเสียงขึ้นกับ
แอมพลิจดู ของคลนื่ เสยี ง)
2) คำว่า “ความเขม้ เสยี ง” หมายความวา่ อย่างไร (แนวการกำลังเสียงท่แี หล่งกำเนิดเสียง
ส่งออกไปตอ่ หน่วยพน้ื ทท่ี ีต่ งั้ ฉากกบั ทิศทางการเคลื่อนทขี่ องคล่นื เสยี งสว่ นพลังงานเสียงเปน็ ผลคูณระหว่าง
กำลัง เสยี งที่แหลง่ กำเนิดเสยี งสง่ ออกไปกับเวลา)
3) เดซิเบลเป็นหน่วยของค่าใด (แนวการตอบ ระดบั เสียง)
4) การได้ยินเสียงนอกจากจะขึ้นอยู่กับระดับเสียงแล้วยังขึ้นอยู่กับค่าใด (แนวการตอบ
ความถี่เสยี ง)
5) ความเข้มเสียงมีผลต่อการได้ยินเสียงดงั -ค่อยอยา่ งไร (แนวการตอบ ความเข้มเสียงมี
ผลต่อความดงั ของเสียงทไี่ ดย้ ิน โดยความเข้มเสียงมากได้ยินเสียงดังกวา่ ขณะความเขม้ เสยี งนอ้ ย)
6) เสียงเบาทส่ี ุดที่คนปกติสามารถไดย้ ินมีความเข้มเสียงต่างกัน ขน้ึ อยู่กับค่าใด (แนวการ
ตอบ ความถี่เสียง)
7) ที่ความถี่ 1000 เฮิรตซ์เสียงเบาที่สุดที่มนุษย์สามารถได้ยิน มีความเข้มเสียงเท่าใด
(แนวการตอบ 10-12 W/m2)
8) ที่ความถี่ 1000 เฮิรตซ์เสียงดังที่สุดท่ีไม่เปน็ อันตรายต่อแก้วหู มีความเข้มเสียงเท่าใด
(แนวการตอบ 1 W/m2)
9) สำหรับเสยี งความถี่ 1000 เฮริ ตซ์ทีม่ นษุ ยไ์ ด้ยินและไม่เป็นอันตรายตอ่ หอู ยู่ในชว่ งกี่เดซิ
เบล (แนวการตอบ อย่ใู นชว่ ง 0-120 เดซเิ บล)
10) สัตว์แต่ละชนิดจะได้ยินเสียงในช่วงความถ่ีเหมือนหรือแตกต่างกัน (แนวการตอบ
แตกตา่ งกัน)
11) มนุษย์สามารถได้ยินเสียงที่มีระดับเสียงต่ำกวา่ 0 เดซิเบล ได้หรือไม่ (แนวการตอบ
ได้ข้ึนอยกู่ บั ความถ่ขี องเสยี ง เช่น เสยี งความถ่ีประมาณ 1800-5300 เฮริ ตซ)์
12) มนุษย์สามารถได้ยินเสียงที่มีระดับเสียงเกินกว่า 120 เดซิเบล โดยไม่เจ็บปวด
ไดห้ รือไม่ (แนวการตอบ ไดข้ ้ึนอย่กู ับความถ่ขี องเสยี ง เช่น เสยี งความถี่ประมาณ 20-720 เฮริ ตซแ์ ละ เสียง
ความถี่สูงกว่าประมาณ 10000 เฮริ ตซ์)
120
13) การที่มนุษย์ได้ยินเสียงสูงเสียงต่ำ ขึ้นอยู่กับสิ่งใดของเสียง (แนวการตอบ ความถี่
เสยี ง)
14) มนุษย์สามารถจำแนกเสียงทีไ่ ดย้ นิ จากแหล่งกำเนิดเสยี งที่ต่างกนั ไดอ้ ย่างไร (แนวการ
ตอบ ได้ขึ้นอยู่กับความถี่ของเสียง เช่น เสียงความถี่ประมาณ 20-720 เฮิรตซ์และ เสียงความถี่สูงกว่า
ประมาณ 10000 เฮิรตซ์)
15) เสียงที่มีความถสี่ ูงมรี ะดับสงู ต่ำของเสียงสงู เรยี กวา่ อกี อย่างว่า (แนวการตอบ เสียงสงู
หรือเสยี งแหลม)
16 )เสียงทม่ี ีความถ่ีต่ำ มรี ะดบั สงู ต่ำของเสียงต่ำ เรียกวา่ อกี อย่างวา่ (แนวการตอบ เสียง
ต่ำ หรอื เสยี งทุ้ม)
17) ขลุ่ย แคน ซอ โดยเล่นโน้ตตัวเดียวกัน ทำไมเสียงจากเครื่องดนตรีตา่ งชนิดกนั จึงให้
เสียงทแี่ ตกตา่ งกนั (แนวการตอบ เพราะเครอ่ื งดนตรีแตล่ ะชนดิ มีคุณภาพเสยี งแตกตา่ ง)
18) เสียงที่ได้ยินมีลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างกันเรียกว่า (แนวการตอบ มีคุณภาพเสียง
แตกตา่ งกนั )
3.3 นักเรียนและครรู ่วมกนั อภิปรายและสรปุ การศกึ ษาค้นควา้ จนไดข้ ้อสรุป เรื่อง ความเข้มเสยี ง
ระดับเสียง ความถ่ีเสยี งกับการไดย้ ิน และคณุ ภาพเสยี ง
ขนั้ ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้
4.1 ครูอธิบายใหค้ วามรู้เพ่ิมเตมิ เกี่ยวกบั สมการและตวั แปรท่เี กย่ี วขอ้ ง
4.2 ครูอธิบายให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเครื่องวัดระดับเสียง (sound level meter) ในหนังสือ
เรยี น หน้า 25
4.3 ครอู ธบิ ายใหค้ วามรู้เพมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั หนว่ ยฟอน ในหนงั สือเรยี น หน้า 37
4.4 ครูอธิบายตัวอยา่ งโจทยป์ ัญหา ในหนังสือเรียน หน้า 23 และ 25
4.5 ครูให้นักเรียนแต่ละคนเล่าสู่กันฟังถึงความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม และปัญหาที่เกิดข้ึน
ระหวา่ งการทำกจิ กรรม
ขน้ั ท่ี 5 ขน้ั ประเมินผล
5.1 นักเรยี นส่งกระดาษปรฟู๊ (น้ำตาล) ของแต่ละกลุ่มทไี่ ดจ้ ากการศกึ ษาคน้ คว้า
5.2 นกั เรยี นทำแบบฝกึ หัด 12.2 ในหนงั สอื เรียน หนา้ 34 ขอ้ 1. – 5.
ประยกุ ตแ์ ละตอบแทนสังคม
ครใู หน้ กั เรียนแต่ละคนนำความร้ทู ี่เรียนไปคน้ คว้าเพ่ิมเติมที่หอ้ งสมุด หรือเวบ็ ไซต์ แล้วนำเสนอใน
ชัน้ เรยี น
9. สื่อการเรียนรู้/แหลง่ เรยี นรู้
9.1 หนังสือเรียนรายวิชาเพมิ่ เตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟสิ ิกส)์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 เลม่ 4 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560)
9.2 หอ้ งสมุด
121
9.3 อินเทอร์เน็ต
10. การวัดและประเมินผล
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด เคร่อื งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
ดา้ นความรู้ (K) 1) นกั เรียนสามารถ
สรปุ เน้อื หาที่ศกึ ษา
1) อธบิ ายความเข้มเสียงได้ 1) ตรวจกระดาษ 1) แบบประเมนิ การ และทำความเข้าใจได้
ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
2) อธบิ ายระดับเสยี งความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง ปรู๊ฟ (นำ้ ตาล)ของแต่ ทำกจิ กรรม
1) นกั เรยี นสามารถ
ระดับเสียงและความเข้มเสียงได้ ละกลมุ่ ทไี่ ดจ้ าก ทำแบบฝกึ หัดได้
ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
3) อธิบายระดับเสยี งและความถี่ทม่ี ีผลตอ่ การ การศึกษาค้นคว้า
1) นักเรียนทำภาระ
ได้ยิน งานทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย
ได้ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
4) อธบิ ายระดบั สงู ต่ำของเสียงและคณุ ภาพ
เสียง
ด้านกระบวนการ (P)
1) คำนวณหาปริมาณต่างๆ ทโ่ี จทยก์ ำหนดได้ 1) ตรวจแบบฝกึ หัด 1) แบบประเมินการ
ทำกิจกรรม
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A) 1) ตรวจใบกจิ กรรม 1) แบบประเมนิ การ
1) เป็นผมู้ ีความรับผดิ ชอบและ เรอ่ื ง การสะท้อนของ ทำกจิ กรรม
เป็นผ้มู ีความมงุ่ ม่นั ในการทำงาน เสียง
2) ตรวจแบบฝึกหดั
11. เกณฑ์การประเมนิ ผลงานนกั เรยี น
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรื่อง ความเข้มเสียง ระดบั เสียง ความถเี่ สยี งกับการไดย้ ิน
และคุณภาพเสียง
ประเดน็ การ คา่ น้ำหนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมิน คะแนน
ดา้ นความรู้ 3 สรุปเน้ือหาที่ศกึ ษาและทำความเข้าใจได้ถูกต้องครบถ้วน
(K) 2 สรปุ เน้อื หาท่ีศกึ ษาและทำความเขา้ ใจได้คอ่ นข้างถกู ต้องครบถ้วน
1 สรปุ เนอ้ื หาที่ศึกษาและทำความเขา้ ใจได้ แต่ไมค่ รบถว้ น
ดา้ น 3 ทำแบบฝึกหัดได้ถูกต้องครบถ้วนทกุ ขอ้
กระบวนการ 2 ทำแบบฝกึ หัดไดถ้ ูกต้องครบถว้ น 3-4 ข้อ
(P) 1 ทำแบบฝกึ หดั ได้ถูกต้องครบถ้วน 1-2 ข้อ
ด้าน 3 ทำภาระงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด และเรยี บรอ้ ยถูกตอ้ งครบถว้ น
คุณลกั ษณะ 2 ทำภาระงานที่ไดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กำหนด แตง่ านยงั ผิดพลาดบางสว่ น
(A) 1 ทำภาระงานทีไ่ ดร้ บั มอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ช้า และเกดิ ข้อผิดพลาดบางส่วน
122
ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดับพอใช้
คะแนน
เกณฑก์ ารประเมนิ ความสามารถในการอา่ น คิดวิเคราะห์ และเขียน
ในแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรอ่ื ง ความเขม้ เสียง ระดบั เสยี งความถีเ่ สียงกบั การได้ยิน และคุณภาพเสียง
ประเด็นการประเมิน ดเี ย่ียม (3) ระดบั คณุ ภาพ
ดี (2) ผ่าน (1) ไม่ผ่าน (0)
ความสามารถในการอ่าน เพื่อหาข้อมูล บอกขอ้ มูลทีไ่ ด้ บอกขอ้ มูลที่ บอกข้อมูลที่ บอกข้อมลู
สารสนเทศได้ตาม วัตถุประสงค์ สามารถสร้าง ถกู ต้อง ครบถว้ น ได้ถกู ต้อง ได้ถูกต้อง ไมไ่ ด้
ความเขา้ ใจและประยกุ ตใ์ ช้ ความรู้จากการ รวดเร็ว ตรง ครบถ้วน
อ่าน (ตวั ชี้วัด อ่าน คดิ วิเคราะห์ ข้อท่ี 1) ประเดน็ รวดเรว็
ความสามารถในการจบั ประเด็น สำคญั จับประเด็นสำคัญ จบั ประเด็น จับประเดน็ จับประเด็น
(ตวั ชว้ี ดั อ่าน คิด วิเคราะหข์ อ้ ที่ 2) จากเรอ่ื งทีอ่ ่านได้ สำคัญจาก สำคญั จาก สำคญั จาก
ถกู ตอ้ งและ เร่อื งท่ีอ่าน เรอ่ื งทอ่ี ่าน เรอื่ งทอ่ี า่ น
ครบถว้ น ไดถ้ ูกต้อง ไดบ้ างเรือ่ ง ไม่ได้
ความสามารถในการวิเคราะห์ เนอ้ื หาสาระของ เนอื้ หาสาระ เนอื้ หาสาระ เนื้อหาสาระ
ความสมเหตุสมผล ลำดับความ และความ ชิน้ งาน ของชนิ้ งาน ของช้ินงาน ของช้ินงาน
เปน็ ไปไดข้ องเรอ่ื งท่ีอา่ น สมเหตุสมผล สมเหตุสมผล ถูกต้องเป็น ไมถ่ กู ต้อง
(ตัวช้วี ดั อ่าน คิด วิเคราะห์ข้อท่ี 3) ถูกตอ้ ง ครบถว้ น ถกู ตอ้ ง บางประเด็น
สามารถในการสรปุ คณุ ค่า แนวคิด แงค่ ดิ ท่ีได้ สรปุ แงค่ ิดทไี่ ด้ สรุปแง่คิดท่ี สรุปแง่คิดท่ี ไมส่ ามารถ
จากการอา่ น (ตวั ช้วี ัด อา่ น คิดวเิ คราะห์ขอ้ ที่ 4) จากการอา่ นได้ ไดจ้ ากการ ได้จากการ สรุปแงค่ ิดท่ี
ถกู ตอ้ ง ครบถว้ น อา่ นได้ อ่านไดบ้ าง ไดจ้ ากการ
สามารถในการสรปุ อภปิ ราย ขยายความ ถูกตอ้ ง เรอื่ ง อ่าน
แสดงความ โดย การเขียนสือ่ สารในรูปแบบ เขยี นถ่ายทอด เขียน เขยี น ไมส่ ามารถ
ตา่ ง ๆ ผลงานมี (ตวั ช้ีวัด อา่ น คิดวเิ คราะห์ ความเข้าใจเร่ืองท่ี ถา่ ยทอด ถา่ ยทอด เขยี น
ขอ้ ท่ี 5) ความคิดสร้างสรรค์ เช่น ผัง ความคดิ อ่านดว้ ยรปู แบบ ความเข้าใจ ความเข้าใจ ถา่ ยทอด
เป็นต้น ผงั ความคิด เรื่องทอ่ี า่ น เรอ่ื งทีอ่ า่ น ความเขา้ ใจ
เน้ือหาถูกตอ้ ง ดว้ ยรูปแบบ ดว้ ยรปู แบบ เร่อื งทอ่ี ่าน
ครบถ้วน และ ผังความคิด ผังความคดิ ด้วยรูปแบบ
ผลงานมคี วามคิด เน้อื หา เนือ้ หา ผังความคดิ
สรา้ งสรรค์ ถกู ต้อง ถูกตอ้ ง ได้
ครบถว้ น
123
การประเมินการทำกิจกรรม เรื่อง ความเขม้ เสียง ระดับเสียงความถี่เสยี งกบั การไดย้ ิน และคณุ ภาพเสยี ง
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ท่ี ช่อื - นามสกลุ ดา้ นความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลกั ษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
124
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน
125
บันทึกหลงั การสอน
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 12 เรื่อง เสียง ท
แผนการสอนท่ี
6 เร่ือง ความเขม้ เสียง ระดับเสียง ความถ่ีเสียงกบั การไดย้ ิน และคณุ ภาพเสยี ง.
ใ
เดือน พ.ศ.ใอออออออออออออออ
วันท่ี
ผลการจัดการเรียนรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปัญหา / อุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกป้ ญั หา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงชื่อ............................................ครผู ู้สอน ลงชื่อ.............................................หวั หน้ากลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสังข์) (นางสาวอรอมุ า ไชยชนะ)
ลงชอื่ ............................................. รองฯ กลุม่ บริหารวชิ าการ
(นายบพิตร เหลา่ กอ)
ลงชือ่ ............................................ผอู้ ำนวยการโรงเรียน
(นายสรุ ยิ น สายสนองยศ)
…………../…………../………..
126
ฉลากหมายเลข
12345
678
ความเข้มเสยี ง(sound intensity) หมายเลข
1
ความเขม้ เสียงเสียงเกิดจากการสน่ั ของแหลง่ กำเนิดเสียงและเกิดการถ่ายโอนพลังงาน
ไปยังอนุภาคอากาศทีอ่ ยู่รอบๆจนกระท่ังถึงหูเราทำให้เราได้ยนิ เสียงเสยี งท่ีหูได้ยินอาจจะดัง
หรือค่อยขึ้นอยู่กับพลังงานของคลื่นเสียงโดยพลังงานของคลื่นเสียงจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่
กับแอมพลิจูดของคลื่นเสี ยงนั้นทั้งนี้แอมพลิจูดของคลื่นเสียงขึ้นอยู่กับ
แอมพลิจูดการสั่นของแหล่งกำเนิดเสียงหรือขึ้นอยู่กับพลังงานของแหล่งกำเนิดเสียง
รูป12.8แสดงการเปรียบเทียบเสียงที่มีความยาวคลื่นท่ากันแต่มีแอมพลจิ ูดต่างกันจะเห็นวา่
เสียงที่มีแอมพลิจูดมากกว่า (รูป 12.8ก.) จะมีความดันอากาศที่เปลี่ยนไปมากกว่า(อนุภาค
ของตัวกลางเบียดเข้าใกล้กันได้ชิดมากกว่า หรือความสูงของรูปคลื่นสูงกว่า)เมื่อเทียบกับ
เสียงที่มีแอมพลิจูดน้อยกว่า (รูป12.8 ข.) ซึ่งมีความดันอากาศที่เปลี่ยนไปนอ้ ยกวา่ (อนุภาค
ของตวั กลางเบียดเขา้ ใกลก้ ันไดช้ ิดนอ้ ยกว่าหรือความสงู ของรปู คล่ืนตำ่ กวา่ )
รูป 12.8 การเปรียบเทียบเสียงท่ีมีมาก (ก.) กบั เสยี งท่ีมีแอมพลจิ ูดน้อย (ข.)
กำลงั เสียง (power of a sound) 127
หมายเลข
2
อัตราการถ่ายโอนพลังงานเสียงของแหล่งกำเนิด มีค่าเท่ากับพลังงานเสียงที่ออกจาก
แหล่งกำเนิดต่อหน่วยเวลา ซึ่งเรียกว่า กำลังเสียง (power of a sound) ผู้ฟังจะได้ยิน
เสียงจากแหลง่ กำเนิดเสียงท่ีมีกำลังเสียงมาก ดงั กวา่ เสียงจากแหล่งกำนิดเสียงท่ีมีกำลังเสียง
นอ้ ย เม่ืออยหู่ ่างจากแหล่งกำเนดิ เสยี งเทา่ กนั
กำลังเสียงที่แหล่งกำเนิดเสียงส่งออกไปต่อหน่วยพื้นที่ที่ตั้งฉากกับทิศทางการ
เคลอ่ื นท่ขี องคลนื่ เสยี ง เรียกวา่ ความเข้มเสยี ง (sound intensity)
128
สมการความเข้มเสียงและกำลังเสียง หมายเลข
3
= เมอ่ื คือ ความเข้มเสียง มีหนว่ ยวัตต์ต่อตารางเมตร
คอื กำลงั เสยี งของแหลง่ กำเนดิ เสียง มีหน่วยวัตต์
คอื พื้นทท่ี ่ีเสยี งเคลอ่ื นทผี่ ่านในทศิ ตัง้ ฉาก มหี น่วยตารางเมตร
โดยความเข้มเสียงมีค่าลดลงเม่ือระยะห่างจากแหล่งกำเนิดเสียงมากขึ้น สำหรับ
แหล่งกำเนดิ เสียงทเ่ี ปน็ จดุ จะแผค่ ลืน่ เสียงออกมาทุกทิศทางโดยมลี ักษณะเป็นพ้ืนผวิ ทรงกลม
ท่ีมีแหลง่ กำเนิดเสียงอยทู่ ่ีศนู ย์กลางของทรงกลมความเขม้ สียงจากแหล่งกำเนิด ณตำแหน่งที่
อยูห่ ่างจากแหลง่ กำเนดิ เสยี งเป็นระยะ r มีคา่
= 4 2
นั่นคือความเข้มเสียงแปรผกผันกบั กำลังสองของระยะห่างจากแหลง่ กำเนิดเสียงเชน่
ที่ระยะห่างจากแหล่งกำเนิดเสียง (ที่เป็นจุด) เป็นระยะ r, 2r และ 3r มีความเข้มเสียงเป็น
, /4 และ /9 ตามลำดบั ดังรูป 12.9
รูป 12.9 การเปรยี บเทยี บความเขม้ เสียงทต่ี ำแหน่งห่างจากแหลง่ กำเนดิ เสยี งเปน็ ระยะต่างๆ
ระดับเสียง (sound level) หมายเลข 129
4
การได้ยินของคนปกติ พบว่า ความเข้มเสียงที่มนุษย์สามารถได้ยินอยู่ในช่วงที่กว้าง
มาก เช่น ที่ความถี่เสียง 100 เฮิรตซ์ เสียงที่เบาสุดมนุษย์สามารถได้ยินมีความเข้ม 10-12
วัตต์ต่อตารางเมตร และเสียงที่ดังที่สุดที่ไม่เป็นอันตรายต่อแก้วหู มีความเข้ม 1 วัตต์ต่อ
ตารางเมตร เพื่อลดช่วงที่กว้างมาก จึงพิจารณาการได้ยินจากปริมาณที่ใช้สเกลลอการิทึม
(logarihmic scale) และเรยี กปรมิ าณน้วี า่ ระดับเสียง (sound level)ดังนี้
เมือ่ คือ ระดับเสยี ง มีหนว่ ย เดซิเบล (dB)
= 10 0
คอื ความเขม้ เสยี งท่ีพจิ ารณา มีหน่วยวตั ต์ตอ่ ตารางเมตร (W/m2)
0 คือ ความเข้มเสยี งอ้างองิ มีคา่ เท่ากบั (1.0 x 10-12 W/m2)
ตาราง 12.2 ระดับเสยี งจากแหล่งกำเนิดต่างๆ
แหล่งกำเนดิ ระดับเสยี ง ผลการรบั ฟัง
(เดซิเบล: dB)
การหายใจปกติ 10 แทบจะไม่ไดย้ ิน
การกระซบิ แผว่ เบา 30 เงียบมาก
สำนกั งานทเ่ี งียบ 50 เงียบ
การพูดคุยธรรมดา 60 ปานกลาง
เครอื่ งดูดฝ่นุ 75 ดงั
โรงงานท่ัวไป, ถนนที่มีการจราจรหนาแนน่ 80 ดงั
เคร่อื งเสยี งสเตอริโอในห้อง 90 รบั ฟงั บ่อยๆ
เครื่องเจาะถนนแบบอดั ลม 90 การได้ยิน
เครื่องตดั หญา้ 100 จะเสื่อม
ดสิ โกเ้ ธค, การแสดงดนตรีประเภทร็อก 120 อยา่ งถาวร
ฟ้าผา่ ระยะใกล้ 130 ไมส่ บายหู
เครอื่ งบินไอพน่ ขน้ึ ระยะใกล้ 150 เจบ็ ปวดในหู
เครื่องยนต์จรวดขนาดใหญใ่ นระยะใกล้ 180 แก้วหชู ำรดุ ทนั ที
เรอื่ ง ความถเี่ สยี งกบั การเรมิ่ ได้ยนิ หมาย13เ0ลข
5
สำหรับเสียงที่มีความถี่ 100 เอิรตช์ระดับเสียงที่มนุษย์ได้ยินจะอยู่ในช่วง 0 จนถึง 120
เดซเิ บลหากเสียงมคี วามถี่เปล่ียนไประดับเสียงทไ่ี ด้ยินกจ็ ะเปลย่ี นไปดว้ ย เช่นเสยี งความถี่ 100
เฮิรตช์ ระดับเสียงที่เบาที่สุดที่มนุษย์ได้ยินมีค่าประมาณ 35 เดซิเบล ดังรูป 12.10
ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างระดับเสียงที่ความถี่ต่าง ๆจะเห็นว่า การที่เราจะได้ยินเสียงที่มี
ความถี่ต่ำน้ันเสียงนั้นจะต้องมีระดับเสียงสูงกว่าการได้ยินเสียงท่ีมีความถี่สงู กว่านอกจากน้จี ะ
เห็นว่า ขีดเริ่มเปลี่ยนของการได้ยิน (threshold of hearing) และขีดเริ่มเปลี่ยนของการ
เจ็บปวด(threshold of pain) สำหรับเสยี งแตล่ ะความถีน่ นั้ มคี ่าไม่เทา่ กัน
รูป 12.10 ความสมั พนั ธ์ระหว่างระดบั เสยี งทมี่ นุษยไ์ ด้ยินที่ความถต่ี า่ งๆ
ชว่ งความถเี่ สียงทสี่ ัตว-์ มนษุ ยผ์ ลติ 131
และชว่ งความถ่เี สยี งท่ีมนุษย์-สัตวไ์ ดย้ ิน
หมายเลข
6
มนุษย์ได้ยินเสียงในช่วงความถี่หนึ่ง สำหรับสัตว์อ่ืนๆจะได้ยินเสียงในช่วงความถี่หนึ่ง ๆ
เชน่ กนั และตา่ งก็สามารถให้เสยี งท่ีมีช่วงความถต่ี ่างๆกันดว้ ยซง่ึ พิจารณาไดจ้ ากรูป 12.11
รูป 12.11 แผนภาพแสดงชว่ งความถเ่ี สียงทส่ี ัตว์-มนษุ ยผ์ ลติ
และชว่ งความถเี่ สยี งท่ีมนุษย์-สัตวไ์ ด้ยนิ
132
ระดบั สงู ต่ำของเสยี ง หมายเลข
7
ระดับสงู ตำ่ ของเสียงเมื่อเราได้ยินเสยี งพูด เสียงดนตรีหรอื เสยี งรอ้ งเพลงบางคนอาจ
บอกว่าเสียงนี้เป็นเสียงสูงหรือเสียงต่ำการระบุว่าเป็นเสียงสูงเสียงต่ำ เสียงแหลมเสียงทุ้มน้ี
เปน็ การบอกถึงระดับสูงตำ่ ของเสยี ง (pitcha)ซง่ึ เป็นการบอกในเชิงคุณภาพ ขึน้ อยกู่ บั ผู้ฟัง
แต่ละคนบางคนอาจบอกว่าเสียงนี้สูงมาก ในขณะที่อีกคนหนึ่งบอกว่าเป็นเสียงสูงธรรมดา
ปริมาณทส่ี มั พนั ธ์กับระดับสูงต่ำของเสียงคอื ความถขี่ องเสียง ซง่ึ เป็นการบอกในเชิงปริมาณ
สามารวัดค่าเป็นตัวเลขเพื่อใช้เปรียบเทียบกันได้โดยตรง โดยทั่วไป เมื่อกล่าวถึงเสียงสูง
(high pitch) หรือเสียงแหลม (treble) หมายถึงเสียงที่มีความถี่สูงและเสียงต่ำ (low
pitch) หรือเสียงทุ้ม (bass) หมายถึงเสียงทมี่ คี วามถ่ตี ่ำ
รปู 12.12 การเปรยี บเทยี บเสียงท่มี ีความถีส่ งู (ก.) กับเสียงทีม่ คี วามถต่ี ่ำ (ข.)
คณุ ภาพเสียง (quality of sound) 133
หมายเลข
8
เครื่องดนตรีสองชนิดเช่นเปียโน และ ขลุ่ยเล่นตัวโน้ตตัวเดียวกันที่มีความถี่เท่ากัน
แตเ่ ราก็สามารถแยกได้ว่าเสียงใดเป็นเสียงจากเปยี โนเสียงใดเป็นเสียงจากขลุ่ยในวิชาฟิสิกส์
เราบอกว่าเสียงจากเคร่อื งดนตรีท้งั สองน้ีมีคุณภาพเสียง (quality of sound)แตกต่างกัน
คุณภาพเสียงในวิชาฟิสิกส์จึงไม่ใช่การระบุว่าเสียงจากเครื่องตนตรีชนิดใดดี กว่ากันหรือ
ไพเราะกว่ากันแต่เป็นการบอกถึงรูปแบบของเสียงท่ีมีความเฉพาะตัวของเคร่ืองดนตรีแต่ละ
ชนิดคลา้ ยกบั ลายนิว้ มือของแตล่ ะคน
เมื่อเคร่ืองคนตรีเล่นโนต้ ตัวหน่ึง เครื่องดนตรีจะผลิตเสียงทม่ี ีความถี่หลายค่าออกมา
พร้อมกันเรียกว่าอาร์มอนิก (harmonics)เสียงที่มีความถี่ต่ำสุดเรียกว่าฮาร์มอนิกที่หน่ึง
(first harmonic) หรือความถี่มูลฐาน(fundamental frequency)เสียงที่เหลือจะมี
ความถี่เป็นจำนวนเต็มเท่าของความถี่มูลฐานฮอร์มอนิกท่ีสองมีความถี่เป็นสองเท่าของ
ความถ่ีมูลฐานฮาร์มอนิกที่สามมีความถี่เป็นสามเท่าของความถี่มูลฐานเป็นต้น หรือเขียน
แทนด้วย = 1โดย คือความถี่ของฮาร์มอนิกท่ี1หรือ ความถี่มูลฐาน ซึ่งเป็น
ความถี่ต่ำสุดของการสั่นฮาร์มอนิกเหล่านี้จะรวมกันเป็นสียงที่เราได้ยินดังตัวอย่างในรูป
12.13
รปู 12.13 การรวมฮารม์ อนกิ ตา่ งๆ ท่ีมีแอมพลิจดู ต่างกัน
134
แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 7
เร่อื ง มลพิษทางเสียงและการปอ้ งกัน
รายวชิ าฟิสกิ ส์ 4 รหัสวิชา ว30204 เวลา 2 ชั่วโมง
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 12 ชอื่ หนว่ ยการเรียนรู้ เสยี ง รวม 26 ชั่วโมง
กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 2
บูรณาการ
ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง อาเซียน STEM PLC
สวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ
1. สาระฟิสิกส์
2. เข้าใจการเคลื่อนท่แี บบฮารม์ อนกิ อยา่ งง่าย ธรรมชาตขิ องคลื่น เสยี งและการได้ยิน ปรากฏการณ์ท่ี
เก่ยี วขอ้ งกับเสยี ง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับแสงรวมท้งั นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
2. ผลการเรยี นรู้
2. อธิบายความเข้มเสียง ระดับเสียง องค์ประกอบของการได้ยนิ คุณภาพเสียง และมลพิษทางเสียง รวมทั้ง
คำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) อธิบายมลพษิ ทางเสียงท่มี ตี ่อสขุ ภาพและการป้องกัน
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นกั เรยี นสามารถจัดกระทำและสอ่ื ความหมายของข้อมลู ทศ่ี ึกษาคน้ คว้าได้
3.3 ด้านคณุ ลักษณะ (A)
1) เป็นผ้มู ีความรบั ผดิ ชอบและเป็นผมู้ คี วามมุ่งม่ันในการทำงาน
4. สาระสำคัญ
พลังงานเสียงทส่ี ง่ ออกจากแหลง่ กำเนดิ เสยี งในหนงึ่ หนว่ ยเวลา เรยี กว่า กำลงั เสียง (power of a sound)
กำลงั เสยี งทแ่ี หล่งกำเนดิ เสยี งสง่ ออกไปตอ่ หน่วยพน้ื ท่ีทีต่ ั้งฉากกบั ทิศทางการเคลอื่ นที่ของคลื่นเสียง เรียกว่า ความ
เขม้ เสยี ง (sound intensity) ซ่ึงหาไดจ้ าก = ในกรณีแหล่งกำเนิดเสยี งเป็นจุด =
4 2
ในการบอกความดังของเสียงพิจารณาจากสเกลลอการิทึม เรียกว่า ระดับเสียง (sound level)
ตาม สมการ = 10
0
เสียงจากแหล่งกำเนิดเสียงต่าง ๆ มีระดับสูงต่ำของเสียงและคุณภาพเสียงที่ต่างกัน ระดับสูงต่ำของเสียง
(pitch) สัมพนั ธก์ บั ความถข่ี องเสยี ง เสยี งท่ีมีความถสี่ ูง เรยี กว่า เสยี งสูงหรือเสียงแหลม เสียงที่มคี วามถ่ีตำ่ เรียกว่า
เสียงต่ำหรือเสียงทุ้ม ส่วนคุณภาพเสียง (quality of sound) เป็นลักษณะเฉพาะของเสียงที่ทำให้ผู้ฟังจำแนก
เสยี งนนั้ ๆ เสยี งทม่ี ีคณุ ภาพเสยี งตา่ งกนั มีรปู แบบของเสียงแตกตา่ งกัน ท้งั น้ีเพราะเสยี งแตล่ ะรปู แบบเกิดจากผลรวม
ของหลายฮารม์ อนกิ และแอมพลิจูดแตล่ ะฮารม์ อนกิ ท่ีแตกตา่ งกัน
135
เสียงรบกวนเป็นเสียงที่ดังหรือมีระดับเสียงสูง และก่อให้เกิดความรำคาญ ถือว่าเป็นมลพิษทางเสียง
(noise pollution) อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและจิตใจ การลดหรือควบคุมระดับเสียง อาจทำได้ 3 วิธี คือ
การควบคุมทแี่ หลง่ กำนดิ เสียง การควบคมุ ทางผา่ นของเสียง และการควบคุมทผ่ี ู้รบั ฟงั เสยี ง
5. สาระการเรยี นรู้
5.1 ความรู้
เมื่อเราไปอยู่ใกล้ๆ บริเวณที่กำลังมีการตอกเสาเข็มหรือมีการขุดเจาะถนนด้วยเครื่องเจาะหรือ
บริเวณโรงานอตุ สาหกรรมที่ใชเ้ คร่อื งจักรขนาดใหญ่ หรือในบรเิ วณสนามบิน เสยี งทเี่ กดิ ขน้ึ ในบรเิ วณเหล่านี้
มรี ะดบั เสยี งสูง นอกจากนี้ยังมีเสียงทกี่ ่อใหเ้ กดิ ความรำคาญ เสยี งดังกลา่ วจัดวา่ เปน็ เสียงรบกวน (noise)
หากฟังเป็นเวลานานอาจเป็นอนั ตรายตอ่ สขุ ภาพและจติ ใจ
เสียงรบกวนที่ดังและมีระดับเสียงสูงและก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้ฟังเป็น มลพิษทางเสียง
(noise pollution) ซึง่ อาจเปน็ อันตรายต่อผฟู้ งั ได้
องค์การอนามัยโลก (World Health Organization; WHO) ได้ให้ข้อแนะนำเกี่ยวกับระดับ
เสยี งของเสียงรบกวนในชุมชนและเสียงรบกวนในสถานประกอบการทีไ่ ม่กอ่ ใหเ้ กิดอนั รายดงั น้ี
ㆍ เสยี งรบกวนในชุมชนทม่ี รี ะดบั เสยี งเฉลยี่ ไมเ่ กิน 70 เดซิเบล จะไม่เปน็ อันตรายตอ่ การไดย้ นิ
ㆍ เสียงรบกวนในสถานประกอบการ องค์การอนามัยโลกได้กำหนดระดับเสียงและช่วงเวลา
ทำงานสงู สุดไวท้ ี่ 85 เดซิเบล วันละ8ช่วั โมง ค่าจำกดั นจี้ ะป้องกันไมใหผ้ ู้ปฏิบัตงิ านสญู เสียการ
ได้ยินอย่างถาวรได้ แต่ถ้าได้รับเสียงรบกวนเกิน 85 เดซิเบล มากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน
จะก่อให้เกิดอันตรายได้ และถ้าได้รับเสียงรบกวนเกนิ 90 เดชิเบล มากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวนั
จะสญู เสยี การได้ยนิ ชัว่ คราว
ในประเทศไทยได้กำหนดมาตรฐานระดับเสยี งต่างๆ เพื่อควบคุมระดบั เสียงใหอ้ ยใู่ นระดบั ทไี่ ม่เป็น
อนั ตรายตอ่ ร่างกายและจิตใจอนั เป็นการแกไ้ ขปญั หามลพษิ ทางเสียงไดท้ างหนึ่ง เชน่
มาตรฐานระดบั เสยี งทเี่ กีย่ วข้องกับสถานประกอบการดังนี้
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องความปลอดภยั ในการทำงานเกี่ยวกบั ภาวะแวดล้อม กำหนด
ใหภ้ ายในสถานประกอบการทีม่ ลี ูกจ้างคนใดคนหนึง่ ทำงานดงั ต่อไปนี้
ㆍไม่เกินวนั ละ 7 ช่ัวโมง จะตอ้ งมีระดบั เสยี งท่ีลูกจ้างไดร้ ับตดิ ต่อกันไม่เกนิ 91 เดซเิ บล
ㆍเกินวนั ละ 7 ชั่วโมง แตไ่ มเ่ กิน 8 ชัว่ โมง จะตอ้ งมรี ะดบั เสียงทีล่ ูกจ้างได้รบั ตดิ ต่อกันไม่เกนิ
90 เดซิเบล
ㆍเกนิ วันละ 8 ชั่วโมง จะต้องมรี ะดับเสยี งท่ีลกู จ้างไดร้ ับติดต่อกันไม่เกนิ 80 เดซิเบล
ㆍนายจ้างจะให้ลูกจ้างทำงานในท่ีมีระดับเสยี งเกนิ กวา่ 140 เดซเิ บล ไม่ได้
นอกจากนี้ยงั มีพระราชบญั ญัติและประกาศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการควบคมุ เสียงรบกวนอีกหลาย
ฉบบั มลพิษทางเสียงเปน็ ปัญหาสำคญั อยา่ งหน่งึ นอกจากการบงั คบั ใชก้ ฎหมายขา้ งต้นแลว้ สามารถชว่ ยลด
มลพษิ ทางเสยี งได้เชน่ กัน
136
แนวทางการลดมลพิษทางเสยี ง อาจทำได้ 3 วธิ ี
1. การควบคุมที่แหล่งกำเนิดเสียง เช่น ใช้วัสดุดูดซับเสียงบริเวณที่มีการสั่นสะเทือน ใช้การปิด
ครอบ ใช้น้ำมันหลอ่ ลนื่ ช่วยลดการเสยี ดสรี ะหว่างช้นิ สว่ นของเครอื่ งจกั ร เปน็ ต้น
2. การควบคุมทางผ่านของเสียง อาจทำได้ 2 ลักษณะ คือ การเพิ่มระยะทางระหว่างแหล่งกำเนิด
เสียงกบั ผู้ปฏบิ ัติงานหรือประชาชน และการใชว้ ัสดุดูดกลนื เสียง ก้นั เสียงหรอื เบย่ี งเบนทิศทางของเสียง เช่น
กำแพงแนวต้นไม้
3. การควบคุมที่ผูร้ บั ฟังเสียง อาจทำได้ 2 วิธี คือ การกำหนดเวลาทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐาน
ระดบั เสยี งที่กำหนดไว้ และการใช้เครอื่ งป้องกนั อันตรายต่อหูเพอื่ ลดระดับเสยี งซง่ึ มี 2 แบบ คือ เครอื่ งอุดหู
(ear plugs) สามารถลดระดับเสยี งได้ 15-25 เดซเิ บล และเครอ่ื งครอบหู (ear muffs) สามารถลดระดับ
เสียงได้ 30-40 เดซิเบล
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอ่ื สาร (อ่าน ฟงั พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วเิ คราะห์ จดั กล่มุ สรุป)
3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา (ศึกษาหรอื รับร้ขู อ้ มลู มองเห็นและเขา้ ใจปัญหาสำคัญทเ่ี กิดขึ้นได้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต (ความรับผิดชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสบื คน้ ผ่านคอมพวิ เตอร์)
5.3 คุณลักษณะและคา่ นิยม
เป็นผมู้ คี วามรับผิดชอบและเป็นผมู้ ีความมงุ่ มัน่ ในการทำงาน
6. บูรณาการ
6.1 บูรณาการ PLC นักเรียนแต่ละคนแลกเปลี่ยนเรียนรู้เล่าสู่กันฟังถึงความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม และ
ปญั หาทเี่ กิดข้ึนระหว่างการทำกจิ กรรม
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ขนั้ ที่ 1 ขัน้ สร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรเู้ ดิม เรอ่ื ง ความเขม้ ระดบั เสยี ง ความถ่ีเสยี ง และคุณภาพเสยี ง
1.2 ครตู ้ังคำถามเพื่อนำเขา้ สู่การทำกจิ กรรม
1) เสียงประเภทใดที่เป็นเสียงทีน่ กั เรียนไม่ตอ้ งการไดย้ ิน และเสยี งนัน้ ๆ มผี ลต่อนักเรียน
อย่างไร (โดยเปดิ โอกาสใหน้ กั เรียนตอบอภปิ รายอยา่ งอิสระ ไม่คาดหวังคำตอบท่ถี ูกตอ้ ง)
2) นักเรียนรู้จกั คำว่า “มลพิษทางเสียง” หรือไม่ และนิยามหมายความวา่ อยา่ งไร (โดย
เปดิ โอกาสให้นักเรยี นตอบอภิปรายอยา่ งอิสระ ไม่คาดหวงั คำตอบท่ีถูกต้อง)
3) หากนักเรียนได้ยินเสียงดังมากๆ นักเรียนมีวิธีการป้องกันและให้ได้ยินเสียงลดลงได้
อยา่ งไร (โดยเปดิ โอกาสให้นกั เรียนตอบอภิปรายอยา่ งอิสระ ไม่คาดหวังคำตอบทถี่ ูกต้อง)
ขนั้ ท่ี 2 ขัน้ สำรวจและคน้ หา
2.1 นักเรยี นทกุ คนศึกษาคน้ คว้าและทำความเข้าใจเน้ือหา เรอ่ื ง มลพษิ ทางเสยี งและการปอ้ งกัน
ในหนังสอื เรยี น หน้า 31-32 แล้วสรุปองค์ความรูจ้ ากการศึกษาคน้ คว้าลงใน กระดาษ A4 ท่คี รูแจกให้
137
ขน้ั ที่ 3 ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครสู ุม่ นักเรยี น 1 คน ออกมานำเสนอผลงานของตนเองหนา้ ชั้นเรียน
3.2 ครูนำนกั เรียนอภปิ รายเพอ่ื นำไปสู่การสรปุ โดยใช้คำถามต่อไปน้ี
1) เสยี งประเภทใดทเ่ี ป็นเสยี งทีน่ กั เรียนไม่ตอ้ งการได้ยิน และเสียงนัน้ ๆ มผี ลต่อนักเรียน
อย่างไร (แนวการตอบ เสียงทมี่ ีระดบั เสียงสูงและเสียงทีก่ อ่ ให้เกิดความรำคาญ)
2) คำว่า “เสียงรบกวน (noise)” หมายความว่าอย่างไร (แนวการตอบ มีระดับเสียงสูง
นอกจากนี้ยงั มเี สียงทกี่ ่อใหเ้ กิดความรำคาญ)
3) คำว่า “มลพิษทางเสียง” หมายความวา่ อยา่ งไร (แนวการตอบ เสียงรบกวนทีม่ ีระดับ
เสียงสูง และเสียงรบกวนที่ก่อให้เกิดความรำคาญหรือเสียงที่ไม่ต้องการ อาจเป็นอันตรายต่อผู้ฟัง
ทัง้ อันตรายต่อการไดย้ ิน และอันตรายตอ่ สขุ ภาพและจิตใจ)
4) เสียงที่มีความถี่สูง จัดเป็นมลพิษทางเสียงหรือไม่ เพราะเหตุใด (แนวการตอบ
เป็น เพราะเสยี งทีม่ คี วามถ่ีสงู ที่หไู ด้ยินเป็นเวลานาน จะก่อใหเ้ กดิ ความรำคาญและนอกจากนี้ยังมีพลังงาน
สงู จงึ สง่ ผลตอ่ เนื้อเยอ่ื ของอวัยวะท่ีไดร้ ับพลังงานเสยี ง ทำใหเ้ กดิ ความเสยี หายไดแ้ ต่ท้งั น้ขี ึ้นอยู่กบั ระดับเสียง
และระยะเวลาทีไ่ ดย้ ินเสยี งน้ัน)
4) เสียงที่มีความถี่สูง จัดเป็นมลพิษทางเสียงหรือไม่ เพราะเหตุใด (แนวการตอบ
เปน็ เพราะเสียงท่มี ีความถ่ีสูงที่หูได้ยินเปน็ เวลานาน จะก่อใหเ้ กดิ ความรำคาญและนอกจากน้ียังมีพลังงาน
สูงจงึ สง่ ผลตอ่ เนื้อเย่ือของอวัยวะที่ได้รับพลังงานเสยี ง ทำให้เกิดความเสียหายไดแ้ ต่ท้งั น้ขี ้นึ อยกู่ ับระดบั เสียง
และระยะเวลาทีไ่ ด้ยินเสยี งนั้น)
5) เสียงรบกวนในชุมชนที่มีระดับเสียงไม่เกินกี่เดซิเบล จะไม่เป็นอันตรายต่อการได้ยิน
(แนวการตอบ ไม่เกนิ 70 เดซิเบล)
6) คำวา่ “WHO” คือ (แนวการตอบ องค์การอนามัยโลก (World Health
Organization ; WHO)
7) แนวทางการลดมลพิษทางเสียงมีกี่วิธี อะไรบ้าง (แนวการตอบ 3 วิธี 1.การควบคุมที่
แหล่งกำเนิดเสยี ง 2.การควบคุมทางผ่านของเสยี ง และ 3.การควบคุมท่ผี รู้ บั ฟังเสียง)
3.3 นกั เรยี นและครูร่วมกันอภิปรายและสรุปการศึกษาคน้ คว้าจนไดข้ อ้ สรุป เร่ือง มลพษิ ทางเสียง
และการป้องกัน
ขัน้ ที่ 4 ขัน้ ขยายความรู้
4.1 ครูอธิบายใหค้ วามรู้เพิม่ เติมเก่ียวกับคลืน่ ใต้เสียงกับมลพษิ ทางเสยี ง
4.2 ครูให้นักเรียนแต่ละคนเล่าสู่กันฟังถึงความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม และปัญหาที่เกิดข้ึน
ระหวา่ งการทำกจิ กรรม
ข้นั ที่ 5 ขน้ั ประเมนิ ผล
5.1 นกั เรยี นสง่ สรุปองค์ความร้จู ากการศกึ ษาค้นคว้า
ประยุกต์และตอบแทนสงั คม
-
138
8. สอ่ื การเรียนร/ู้ แหลง่ เรยี นรู้
8.1 หนงั สอื เรียนรายวชิ าเพ่ิมเตมิ วทิ ยาศาสตร์ (ฟสิ ิกส)์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 เลม่ 4 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 หอ้ งสมุด
8.3 อนิ เทอร์เน็ต
9. การวดั และประเมินผล
จุดประสงค์การเรยี นรู้ วธิ ีการวดั เคร่ืองมอื เกณฑ์การประเมิน
ดา้ นความรู้ (K)
1) อธิบายมลพิษทางเสียงทม่ี ตี ่อสขุ ภาพและ 1) ตรวจใบสรุปองค์ 1) แบบประเมนิ การ 1) นกั เรียนสามารถ
ทำกจิ กรรม สรุปเน้ือหาที่ศึกษา
การป้องกนั ความรู้จากการศึกษา และทำความเขา้ ใจได้
ระดับดี ผา่ นเกณฑ์
ค้นควา้
ดา้ นกระบวนการ (P) 1) ตรวจใบสรุปองค์ 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
1) นกั เรยี นสามารถจดั กระทำและสื่อ ความร้จู ากการศกึ ษา ทำกจิ กรรม สรปุ เน้อื หาที่ศกึ ษา
ความหมายของขอ้ มลู ทีศ่ กึ ษาคน้ ควา้ ได้ ค้นคว้า และทำความเขา้ ใจได้
ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
ดา้ นคุณลกั ษณะ (A) 1) ตรวจใบสรปุ องค์ 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรยี นทำภาระ
1) เป็นผู้มคี วามรับผดิ ชอบและ ความรจู้ ากการศกึ ษา
เป็นผู้มคี วามมุ่งม่นั ในการทำงาน ค้นคว้า ทำกจิ กรรม งานท่ีไดร้ บั มอบหมาย
ได้ระดับดี ผา่ นเกณฑ์
10. เกณฑก์ ารประเมินผลงานนกั เรียน
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เร่ือง มลพิษทางเสยี งและการปอ้ งกนั
ประเด็นการ ค่านำ้ หนกั แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
ด้านความรู้ 3 สรปุ เนือ้ หาท่ีศึกษาและทำความเข้าใจไดถ้ ูกตอ้ งครบถ้วน
(K) 2 สรปุ เนอ้ื หาที่ศึกษาและทำความเขา้ ใจไดค้ ่อนข้างถกู ต้องครบถ้วน
1 สรปุ เน้อื หาท่ีศกึ ษาและทำความเข้าใจได้ แต่ไม่ครบถ้วน
3 จดั กระทำและสอ่ื ความหมายของขอ้ มูลท่ศี ึกษาค้นคว้าไดถ้ กู ต้องครบถ้วน สะอาดและ
สวยงาม
ด้าน 2 จัดกระทำและสื่อความหมายของข้อมูลที่ศึกษาค้นควา้ คอ่ นขา้ งถกู ตอ้ งครบถว้ น สะอาด
กระบวนการ และสวยงาม
(P) จัดกระทำและส่ือความหมายของข้อมูลที่ศกึ ษาค้นคว้าได้ค่อนข้างถกู ต้องครบถว้ น
1 สะอาดและสวยงาม
ดา้ น 139
คุณลกั ษณะ
3 ทำภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรยี บร้อยถกู ตอ้ งครบถ้วน
(A) 2 ทำภาระงานที่ไดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กำหนด แต่งานยงั ผดิ พลาดบางส่วน
1 ทำภาระงานท่ไี ด้รบั มอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดขอ้ ผดิ พลาดบางสว่ น
ระดบั คะแนน
คะแนน 3 หมายถงึ ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
140
การประเมนิ การทำกิจกรรม เรอ่ื ง มลพษิ ทางเสียงและการป้องกัน
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ท่ี ชือ่ - นามสกลุ ด้านความรู้ ดา้ น ด้าน รวม ระดบั
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
141
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน
142
บนั ทึกหลังการสอน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 12 เรอื่ ง เสยี ง ใ
แผนการสอนท่ี 7 เรื่อง มลพิษทางเสียงและการป้องกนั .
ใ เดือน พ.ศ. ใ
วนั ที่
ผลการจัดการเรยี นรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปัญหา / อุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงชอื่ ............................................ครผู ้สู อน ลงชือ่ .............................................หวั หน้ากลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสงั ข์) (นางสาวอรอมุ า ไชยชนะ)
ลงช่อื ............................................. รองฯ กลุ่มบรหิ ารวิชาการ
(นายบพติ ร เหล่ากอ)
ลงช่ือ............................................ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี น
(นายสรุ ยิ น สายสนองยศ)
…………../…………../………..
143
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 8
เร่อื ง คล่นื นงิ่ ของเสยี ง
รายวชิ า ฟิสิกส์ 4 รหัสวิชา ว30204 เวลา 2 ชั่วโมง
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 12 ชอ่ื หนว่ ยการเรยี นรู้ เสียง รวม 26 ชั่วโมง
กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นที่ 2
บรู ณาการ
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง อาเซียน STEM PLC
สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลมุ่ สาระ
1. สาระฟสิ ิกส์
2. เขา้ ใจการเคลื่อนท่แี บบฮารม์ อนิกอยา่ งงา่ ย ธรรมชาตขิ องคลืน่ เสียงและการไดย้ ิน ปรากฏการณ์ท่ี
เกย่ี วข้องกับเสียง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับแสงรวมท้งั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
2. ผลการเรียนรู้
3. ทดลอง และอธบิ ายการเกิดการส่นั พ้องของอากาศในทอ่ ปลายเปิดหนงึ่ ด้าน รวมทัง้ สังเกตและอธิบายการ
เกิดบีต คลื่นนิ่ง ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ คลื่นกระแทกของเสียง คำนวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และ
นำความรู้เรอ่ื งเสยี งไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) อธบิ ายการเกิดคลนื่ นงิ่ ของเสียง
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) ทดลองการเกิดคลื่นน่งิ ของเสยี งได้
3.3 ดา้ นคณุ ลักษณะ (A)
1) เปน็ ผู้มีความรบั ผิดชอบและเป็นผมู้ ีความมุง่ มน่ั ในการทำงาน
4. สาระสำคญั
ปรากฏการณ์ทางเสียง ไดแ้ ก่ คล่ืนนิง่ การส่นั พอ้ ง บีต (beats) ปรากฏการณด์ อปเพลอร์ (Doppler effect)
คลื่นนิ่งของเสียงเกิดจากการแทรกสอดของคลื่นเสียงอาพันธ์สองขบวนเคลื่อนที่สวนทางกัน ทำให้ได้ยิน
เสียงดัง-ค่อยตลอดเวลา ตามตำแหน่งปฏิบัพความดัน-บัพความดัน ตามลำดับ โดยสองตำแหน่งที่มีเสียงดังถดั กนั
หรือมีเสียงค่อยถดั กัน มีระยะหา่ งเทา่ กับครง่ึ หนง่ึ ของความยาวคล่นื
การสั่นพ้องของเสยี งเกิดจากลำอากาศในทอ่ ถูกทำให้ส่นั ดว้ ยเสียงทม่ี คี วามถ่เี ท่ากับความถี่ธรรมชาติ ของลำ
อากาศในท่อลำอากาศจะสั่นมากที่สุด และได้ยินเสียงดังที่สุด ความถี่ที่ทำให้เกิดการสั่นพ้อง เรียกว่า ความถี่ส่ัน
พ้อง หรือ ความถี่เรโซแนนซ์ (resonant frequency) สำหรับท่อปลายปิดหนึ่งด้าน ความถี่สั่นพ้องมี
ความสัมพนั ธก์ ับความยาวของลำอากาศในทอ่ ตามสมการ
บีตของเสียงเกิดจากการรวมกันของคลื่นเสียงจากแหล่งกำเนิดเสียง 2 แหล่งที่มีความถี่ต่างกัน เล็กน้อย
ใหไ้ ดย้ ินเสยี งดังค่อยสลับกนั ไปเปน็ จงั หวะคงตัว โดยหูจะได้ยนิ เสยี งของการบีต เมื่อเสยี งทั้งสองมีความถี่ต่างกันไม่
144
เกิน 7 เฮิรตซ์ จำนวนครั้งที่ได้ยินเสียงดังในหนึ่งวินาทีเรียกว่า ความถี่บีต (beat frequency) ซึ่งหาได้จาก
n =
4
ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ของเสียงเป็นปรากฏการณ์ที่ผู้ฟังได้ยินเสียงมีความถี่เปลี่ยนไปจากความถี่ ของ
แหลง่ กำเนิดเสียง ซงึ่ เกิดจากแหลง่ กำเนิดเสียงหรือผ้ฟู ังเคลอื่ นทสี่ ัมพทั ธก์ นั
เมื่อแหลง่ กำเนดิ คลน่ื เสียงมอี ัตราเร็วมากกวา่ อัตราเร็วเสยี ง ทำใหห้ น้าคลนื่ เสยี งอัดตัวกนั เกิดคลน่ื กระแทก
(shock wave) และเรียกหน้าคลื่นว่า หน้าคลื่นกระแทก โดยหน้าคลื่นกระแทกมีพลังงานสูง ทำให้ผู้ที่อยู่
ณ ตำแหน่งขณะหนา้ คลนื่ กระแทกเคล่อื นท่ีผา่ นได้ยินเสียงดังมาก เรียกวา่ ซอนกิ บมู (sonic boom) โดยแนวหน้า
คลน่ื กระแทกทำมมุ กับแนวการเคลอ่ื นทข่ี องแหล่งกำเนิด เรยี กวา่ มมุ มัค (Mach angle)
ความรู้เกีย่ วกบั เสียงนำ ไปอธิบายและประยุกต์ใช้ในด้านตา่ ง ๆ เช่น การเปล่งเสยี งของมนุษย์ การทำงาน
ของเครอื่ งดนตรี การปรับเทียบเสียงเคร่อื งดนตรี การประมง การแพทยธ์ รณวี ทิ ยา อตุ สาหกรรม
5. สาระการเรยี นรู้
5.1 ความรู้
เมื่อคลื่น 2 ขบวนที่มีแอมพลิจูด ความถ่ี และความยาวคลื่น เท่ากัน เคลื่อนที่ในทิศสวนทางกัน
คลน่ื ลพั ธ์หาไดจ้ ากหลกั การซ้อนทับ
จากรูป 12.16 (ก) ณ เวลา t = 0 คลื่นทั้งสองขบวนมีเฟสตรงกัน คลื่นลัพธ์จะมีความถี่และ
ความยาวคลืน่ เท่าเดมิ แต่จะมีแอมพลิจูดเป็น 2 เท่าของแอมพลิจูดเดิม เมื่อเวลาผ่านไป ณ เวลา t = T/4
หรือหนึ่งส่วนสี่ของคาบการเคลื่อนที่ของคลื่น รูป 12.16 (ข) ขณะนั้นคลื่นทั้งสองจะมีเฟสตรงข้ามกัน
แอมพลจิ ูดของคลื่นลัพธ์จึงเป็นศูนย์ และเม่ือเวลาผ่านไป ณ เวลา t = T/2 รปู 12.16 (ค) คลืน่ ท้ังสองจะมี
เฟสตรงกนั อีกคร้ัง ทำใหค้ ล่ืนลพั ธม์ ีแอมพลิจูดเปน็ 2 เทา่ ของแอมพลิจดู เดิม แต่คลนื่ ลพั ธ์จะมีเฟสตรงข้าม
กับคลื่นลัพธ์ที่เวลา t = 0 เมื่อเวลาผ่านไป ณ เวลา t = 3T/4 รูป 12.16 (ง) คลื่นทั้งสองจะมีเฟสตรงข้าม
กนั อีกครง้ั หนงึ่ และมีแอมพลจิ ูดของคลืน่ ลพั ธ์เป็นศูนย์ เช่นเดยี วกบั รูป 12.16 (ข) แต่มลี ักษณะของรูปคลื่น
145
ตรงข้ามกับรูป 12.6 (ข) และเมื่อเวลาผ่านไปครบ 1 คาบ รูป 12.16 (จ) ก็จะมีรูปคลื่นเช่นเดียวกับ
รูป 12.16 (ก) และเป็นเชน่ เดียวกับชว่ งคาบแรกท่ีผ่านมาและเกดิ เชน่ น้ีซำ้ ไปเรอ่ื ยๆ
ตำแหน่งซึ่งการกระจัดของอนุภาคของตัวกลางเป็นศูนย์ตลอดเวลา เรียกว่า บัพ เป็นตำแหน่งที่
อนุภาคของตัวกลางอยู่นิง่ และตำแหน่งซึ่งการกระจัดของอนุภาคของตัวกลางมีค่าสูงสุด เรียกว่า ปฏิบัพ
เปน็ ตำแหน่งอนุภาคของตัวกลางเคลือ่ นทไ่ี ปจากตำแหนง่ สมดลุ มากที่สุดซึ่งอนุภาคทตี่ ำแหน่งน้ีจะสั่นไปมา
ด้วยแอมพลิจูดสูงสุด โดยระยะระหว่างบัพหรือระยะระหว่างปฏิบัพที่อยู่ถัดกันมีค่าเป็นครึ่งหนึ่งของ
ความยาวคล่นื ( ) และระยะระหว่างบัพกับปฏิบพั ที่อยู่ถดั กันมีค่าเป็นหนึ่งในส่เี ทา่ ของความยาวคลน่ื ( )
24
เนื่องจากคลื่นลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะมีตำแหน่งที่อยู่นิ่งตลอดเวลา (บัพ) และตำแหน่งที่เปลี่ยนแปลง
แอมพลิจูดตลอดเวลา (ปฏิบัพ) โดยมีบัพและปฏิบัพอยู่กับที่ คลื่นลัพธ์นี้จึงไม่มีการเคลื่อนที่ไปตามการ
เคลือ่ นที่ของคลื่นทัง้ สอง ลักษณะของคล่ืนลัพธท์ เี่ กดิ ขึ้นน้ี เรยี กวา่ คลืน่ น่ิง
เราสามารถสังเกตการเกดิ คล่นื น่ิงของคล่ืนตามขวางในเสน้ เชือกได้ง่ายกว่าการเกิดคลื่นน่ิงในเสียง
โดยการลนั่ เสน้ เชอื กทข่ี ึงตรึงทั้งสองปลายดว้ ยความถี่การสั่นทีเ่ หมาะสมดงั รูป 12.17
เมื่อเสียงจากลำโพงเคลื่อนที่ไปกระทบพื้นโต๊ะจะสะท้อน และเสียงที่สะท้อนจากพื้นโต๊ะนี้จะ
ซ้อนทับกับเสียงที่ออกจากลำโพงโดยตรง ทำให้เกิดการแทรกสอดทีม่ ลี ักษณะเปน็ คลืน่ นิง่ ได้ ดังรูป 12.18
โดยเราจะได้ยินเสียงดังและค่อยสลับกันไป เมื่อได้ยินเสียง ณ ตำแหน่งต่างๆ ระหว่างลำโพงกับพื้นโต๊ะ
ตำแหนง่ ทไ่ี ด้ยินเสียงดงั แสดงวา่ มีการเปลี่ยนแปลงความดันตลอดเวลา (ปฏิบัพความดนั ) ส่วนตำแหน่งที่
ได้ยนิ เสยี งค่อย แสดงว่า ความดนั ปกตติ ลอดเวลา (บัพความดัน)
146
5.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสือ่ สาร (อ่าน ฟัง พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จดั กลุ่ม สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แกป้ ญั หาเฉพาะหน้า)
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต (ทำงานกลุ่ม และความรบั ผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพวิ เตอร์)
5.3 คุณลกั ษณะและคา่ นิยม
เปน็ ผมู้ ีความรับผดิ ชอบและเปน็ ผู้มีความมงุ่ ม่นั ในการทำงาน
6. บูรณาการ
6.1 บูรณาการ PLC นักเรียนแต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้เล่าสู่กันฟังถึงความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม และ
ปญั หาทเี่ กดิ ขึ้นระหวา่ งการทำกิจกรรม
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ข้นั ที่ 1 ขัน้ สร้างความสนใจ
1.1 ครใู ห้ตวั อย่างการเกิดคลืน่ น่งิ ของคลืน่ ในเสน้ เชือก โดยใช้รูป 12.17 ในหนังสอื เรียน ครูเน้นว่า
ณ ตำแหน่งบัพการกระจัดของคลื่นนิ่งในเส้นเชือก อนุภาคเส้นเชือกจะอยู่นิ่ง ส่วน ณ ตำแหน่งปฏิบัพ
การกระจัด อนุภาคเชือกจะสนั่ ดว้ ยแอมพลิจดู มากท่สี ดุ และคลื่นนง่ิ ไม่มกี ารเคล่ือนที่
1.2 ครูอภิปรายการซ้อนทับของคลื่นสองขบวนที่มแี อมพลิจูด ความถี่ และความยาวคลื่นเท่ากัน
เคลื่อนที่ในทิศสวนทางกัน ตามรายละเอียดในหนังสือเรียน โดยใช้รูป 12.16 ประกอบจนสรุปได้ว่า
ณ ตำแหนง่ บัพการกระจดั ของคลื่นลัพธ์ อนุภาคตัวกลางอยนู่ ิง่ และ ณ ตำแหน่งปฏบิ พั การกระจดั อนุภาค
ตัวกลางส่นั ไปมาด้วยแอมพลิจดู สูงสดุ เน่ืองจากคลนื่ ลพั ธ์ที่เกดิ ขน้ึ มตี ำแหนง่ บัพและตำแหน่งปฏบิ ัพอยู่กับท่ี
คลนื่ ลัพธน์ จี้ ึงไมม่ ีการเคล่ือนที่ไปตามการเคลอ่ื นทข่ี องคลื่นทัง้ สอง และเรียกวา่ คลืน่ น่งิ
1.3 ครูตั้งคำถามเพ่ือนำเขา้ สู่การทำกิจกรรม
1) คลื่นนิ่งของเสียงสามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับคลื่นนิ่งในเส้นเชือกหรือไม่ และจะ
สังเกตได้อย่างไร
ขัน้ ท่ี 2 ขั้นสำรวจและค้นหา
2.1 นักเรยี นแบง่ กลมุ่ ๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นักเรียนแตล่ ะกลุ่มศกึ ษาใบกิจกรรมเร่อื ง คล่ืนน่งิ ของเสียง
2.3 ครูแจ้งจดุ ประสงค์การเรียนรู้ อปุ กรณ์ และข้ันตอนการทดลองอย่างละเอียด
2.4 นักเรียนรบั อปุ กรณ์การทดลอง พร้อมตดิ ตั้งอุปกรณ์
2.5 นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ทำการทดลอง สงั เกตและบนั ทึกผลการทดลอง
ข้นั ที่ 3 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครสู ่มุ นักเรยี น 2 คน ออกมานำเสนอสรุปท่ีได้จากการศึกษาหนา้ ช้ันเรียน
(https://random.thaiware.com/) หรือ โปรแกรม Super Soomm And Goomm
147
3.2 ครูนำนักเรยี นอภปิ รายเพอื่ นำไปสกู่ ารสรุปโดยใช้คำถามต่อไปน้ี
1) นกั เรยี นแต่ละกล่มุ ได้ผลการทำกิจกรรมเหมือนหรอื แตกต่างกนั อย่างไร (แนวการตอบ
ไดผ้ ลเหมือนกนั )
2) เสยี งที่ได้ยินจากการรบั ฟังเสียง ณ ตำแหนง่ ตา่ ง ๆ ระหว่างลำโพงกบั พื้นโตะ๊ มีความดัง
เท่ากันหรือไม่ อย่างไร (แนวการตอบ เสยี งท่ีได้ยนิ มคี วามดังไม่เทา่ กัน โดยได้ยินเสียงดังและค่อย
สลับกนั ไป)
3) เสยี งดงั และเสียงคอ่ ยทต่ี ำแหน่งตา่ งๆ ระหวา่ งพืน้ โตะ๊ กบั ลำโพงนั้นเกิดจากหลักการใด
(แนวการตอบ หลกั การการซ้อนทับของเสยี ง)
4) เสียงที่ออกจากลำโพงกบั เสียงที่สะท้อนจากพื้นโต๊ะ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใด และมี
ลักษณะอย่างไร (แนวการตอบ ปรากฏการณก์ ารแทรกสอด มลี กั ษณะเป็นคลื่นนิ่ง)
3.3 นกั เรยี นและครูรว่ มกันอภปิ รายและสรุปผลการทำการทดลอง จนสรุปได้ ดังน้ี
1. เสยี งดังและเสยี งค่อยทต่ี ำแหน่งต่างๆ ระหว่างพื้นโตะ๊ กับลำโพงนน้ั เกิดจากการซอ้ นทับ
ของเสียงที่ออกจากลำโพงกับเสียงที่สะท้อนจากพื้นโต๊ะ ทำให้เกิดปรากฏการณ์แทรกสอด
มลี ักษณะเปน็ คลน่ื นิง่
2. ตำแหน่งที่ได้ยินเสียงดังมีการแทรกสอดแบบเสริมและตำแหน่งน้ันจะเป็นปฏิบัพของ
ความดัน สว่ นตำแหนง่ ที่เสียงค่อยจะมีการแทรกสอดแบบหกั ล้างและตำแหน่งน้นั จะเป็น บัพของ
ความดนั
3. ขณะท่ีเกดิ คลน่ื น่งิ ของเสยี ง ระยะระหว่างบพั ของความดนั คูห่ น่ึงท่ีอยถู่ ดั กันมีค่าเท่ากับ
คร่งึ หนง่ึ ของความยาวคลืน่ เสียง
ขั้นที่ 4 ขนั้ ขยายความรู้
4.1 ครอู ธิบายใหค้ วามรู้ชวนคิด
1) ขณะที่เกดิ คล่ืนนง่ิ ของเสียง ระยะระหวา่ งบัพความดันคู่หนึง่ ที่อยถู่ ดั กนั มีคา่ เท่าใด
เมอ่ื เทียบกบั ความยาวคล่ืนของคล่ืนเสียง (ขณะท่เี กิดคลื่นนง่ิ ของเสยี ง ระยะระหวา่ งบัพความดันคู่
หนงึ่ ทีอ่ ยู่ถัดกันมคี า่ เป็นครึง่ หน่ึงของความยาวคลื่นเสียง เช่นเดยี วกับการเกดิ คลืน่ นิง่ ทัว่ ไป)
2) วางลำโพงหันหน้าเข้าหากำแพง ขณะที่ลำโพงให้เสียงออกมาอย่างต่อเนื่องและ
สม่ำเสมอผู้ที่เดินในแนวระหว่างลำโพงกับกำแพงจะได้ยินเสียงที่มีความดังไม่สม่ำเสมอ
ปรากฏการณ์นี้เกิดจากพฤติกรรมใดของเสียง (การแทรกสอดของเสียงระหว่างคลื่นที่ออกจาก
ลำโพง และคลนื่ ท่สี ะทอ้ นจากกำแพง)
ข้ันท่ี 5 ขั้นประเมินผล
5.1 นักเรยี นส่งใบกจิ กรรม เร่อื ง คลื่นนิง่ ของเสียง
ประยกุ ตแ์ ละตอบแทนสงั คม
ครูให้นักเรยี นแต่ละคนนำความร้ทู ี่เรียนไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่ห้องสมุด หรอื เวบ็ ไซต์ แลว้ นำเสนอใน
ชั้นเรยี น
148
8. ส่อื การเรยี นรู้/แหล่งเรยี นรู้
8.1 ใบกจิ กรรม เร่ือง คลื่นน่งิ ของเสียง
8.2 หนังสอื เรียนรายวชิ าเพมิ่ เตมิ วิทยาศาสตร์ (ฟสิ ิกส)์ ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 เล่ม 4 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)
8.3 ห้องสมุด
8.4 อนิ เทอรเ์ น็ต
8.5 ชุดอุปกรณ์การทดลอง เรอ่ื ง คลืน่ นงิ่ ของเสยี ง
9. การวัดและประเมินผล วิธกี ารวดั เครอ่ื งมอื เกณฑก์ ารประเมิน
จุดประสงค์การเรยี นรู้
1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมนิ การ 1) นกั เรยี นสามารถ
ด้านความรู้ (K) เร่อื ง คลน่ื น่ิงของเสียง ทำกิจกรรม สรุปผลการทดลองได้
1) อธิบายการเกิดคลน่ื นิง่ ของเสยี ง 2) ใบกิจกรรม ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
เรอ่ื ง คล่นื น่ิงของ
ด้านกระบวนการ (P) เสยี ง
1) ทดลองการเกดิ คล่ืนน่ิงของเสียงได้
1) ตรวจใบกจิ กรรม 1) แบบประเมินการ 1) นักเรียนสามารถ
ด้านคุณลักษณะ (A) เรอื่ ง คลน่ื นิ่งของเสยี ง ทำกจิ กรรม บันทึกผลการทำ
1) เปน็ ผู้มีความรบั ผดิ ชอบและ 2) ใบกิจกรรม กจิ กรรมไดร้ ะดบั ดี
เป็นผ้มู ีความม่งุ มนั่ ในการทำงาน เร่อื ง คลืน่ นิ่งของ ผ่านเกณฑ์
เสยี ง
1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมินการ 1) นกั เรยี นทำภาระ
เรอ่ื ง คลน่ื นง่ิ ของเสยี ง ทำกิจกรรม งานท่ไี ด้รับมอบหมาย
ได้ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
149
10. เกณฑ์การประเมนิ ผลงานนักเรยี น
เกณฑก์ ารประเมินแบบ Rubrics ของการทำกิจกรรม เรอื่ ง คลน่ื น่งิ ของเสียง
ประเดน็ การ คา่ น้ำหนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมิน คะแนน
ดา้ นความรู้ 3 สรปุ ผลการทดลองไดถ้ กู ตอ้ งครบถว้ น
(K) 2 สรุปผลการทดลองค่อนขา้ งถกู ตอ้ งครบถว้ น
1 สรุปผลการทดลองได้คอ่ นขา้ งถกู ตอ้ ง
ดา้ น 3 บนั ทกึ ผลกิจกรรมไดถ้ ูกต้องครบถ้วน
กระบวนการ 2 บันทกึ ผลกจิ กรรมค่อนขา้ งถูกตอ้ ง
(P) 1 บันทกึ ผลกจิ กรรมได้คอ่ นขา้ งถกู ต้อง
ดา้ น 3 ทำภาระงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กำหนด และเรยี บรอ้ ยถูกต้องครบถ้วน
คณุ ลกั ษณะ 2 ทำภาระงานท่ีไดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกำหนด แตง่ านยงั ผดิ พลาดบางสว่ น
1 ทำภาระงานท่ีไดร้ บั มอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ช้า และเกิดข้อผดิ พลาดบางส่วน
(A)
ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดับพอใช้
คะแนน
150
การประเมินการทำกจิ กรรม เรอ่ื ง คลืน่ นง่ิ ของเสยี ง
จุดประสงค์การเรียนรู้
ท่ี ชอื่ - นามสกลุ ดา้ นความรู้ ด้าน ด้าน รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คุณลักษณะ คะแนน คุณภาพ
(P) (A)
3 3 39
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
151
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
ท่ี ชือ่ - นามสกุล ดา้ นความรู้ ด้าน ดา้ น รวม ระดับ
(K) กระบวนการ คณุ ลักษณะ คะแนน คณุ ภาพ
(P) (A)
3 3 39
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
ระดบั คณุ ภาพ 9 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 7-8 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 5-6 หมายถึง ระดบั ปานกลาง
คะแนน 3-4 หมายถึง ระดบั ปรบั ปรงุ
คะแนน
152
บันทกึ หลังการสอน
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 12 เรอ่ื ง เสยี ง พ.ศ. ใ
แผนการสอนท่ี 8 เรอื่ ง คลื่นน่ิงของเสียง .
ใ เดอื น ใ
วนั ท่ี
ผลการจดั การเรยี นรู้
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ปญั หา / อุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกป้ ัญหา
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………...
ลงช่ือ............................................ครผู สู้ อน ลงชอ่ื .............................................หัวหนา้ กลมุ่ สาระ
(นางสาวขจรศรี สุทธสังข์) (นางสาวอรอุมา ไชยชนะ)
ลงช่อื ............................................. รองฯ กลมุ่ บรหิ ารวชิ าการ
(นายบพติ ร เหลา่ กอ)
ลงชื่อ............................................ผู้อำนวยการโรงเรียน
(นายสรุ ิยน สายสนองยศ)
…………../…………../………..
153
ใบกิจกรรม เรอื่ ง คลื่นนิ่งของเสียง
1. รายชอ่ื สมาชิกท่ี …………………………………………………….. ชน้ั …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
2. จุดประสงค์การทำกจิ กรรม
ศึกษาคล่ืนนิ่งของเสยี ง
3. วสั ด-ุ อุปกรณ์ 1 เครื่อง
1) เครื่องกำเนดิ สญั ญาณเสียง 1 ชุด
2) ชดุ ขาตั้งพร้อมตัวยดึ 1 ชดุ
3) ชุดท่อรับฟังเสียง 1 ตวั
4) ลำโพง 4 เส้น
3) สายไฟ
4. วธิ ีทำกิจกรรม
1) ตอ่ สายไฟจากเคร่อื งกำเนดิ สัญญาณเสียงกับลำโพงทำใหเ้ กิดเสยี งความถ่ี 3 กิโลเฮริ ตซ์ ปรบั ความดงั ของเสียงให้ดงั
ชดั เจน
2) ยดึ ลำโพงกบั ขาตง้ั โดยปรบั ให้ลำโพงอย่เู หนอื พนื้ โตะ๊ ประมาณ 60 เซนติเมตร ดังรูป
3) จากน้ันใช้ชุดทอ่ รับฟงั เสียงสงั เกตเสยี ง ณ ตำแหนง่ ตา่ งๆ ในแนวดง่ิ ระหวา่ งลำโพงกับพน้ื โตะ๊
154
5. ผลการทำการทดลอง
ผลการได้ยินเสียง ณ ตำแหน่งต่างๆ ระหว่างลำโพงกับพื้นโตะ๊ ดังรูป เสียงที่ได้ยินมีความดังไม่เท่ากนั โดยได้ยินเสียงดงั
และคอ่ ยสลับกนั ไป .
6. คำถามท้ายการทดลอง
1) เสยี งท่ีไดย้ ิน จากการรบั ฟงั เสยี ง ณ ตำแหน่งตา่ ง ๆ ระหว่างลำโพงกบั พ้ืนโต๊ะมีความดังเท่ากนั หรอื ไม่ อยา่ งไร
ตอบ เสยี งทไี่ ด้ยินมคี วามดังไมเ่ ท่ากนั โดยได้ยนิ เสียงดงั และคอ่ ยสลับกนั ไป มีการ
7. สรปุ ผลการทดลอง
จากการทดลองพบว่า เสยี งดังและเสียงค่อยที่ตำแหน่งต่างๆ ระหว่างพ้ืนโตะ๊ กับลำโพงนั้นเกดิ จากการซ้อนทับ
ของเสียงที่ออกจากลำโพงกับเสียงที่สะท้อนจากพื้นโต๊ะ ทำให้เกิดปรากฏการณ์แทรกสอด มีลักษณะเป็นคลื่นน่ิง
ตำแหนง่ ท่ไี ด้ยนิ เสียงดงั มกี ารแทรกสอดแบบเสรมิ และตำแหน่งนัน้ จะเปน็ ปฏบิ ัพของความดนั ส่วนตำแหน่งทเ่ี สียงค่อยจะ
มีการแทรกสอดแบบหักล้างและตำแหน่งน้ันจะเปน็ บัพของความดัน และขณะทีเ่ กิดคลื่นนิง่ ของเสียง ระยะระหว่างบัพ
ของความดันคู่หนงึ่ ท่อี ยู่ถัดกันมีคา่ เทา่ กับ ครง่ึ หน่ึงของความยาวคล่ืนเสยี ง b
b
b
b
155
เฉลยใบกจิ กรรม เร่ือง คล่ืนน่งิ ของเสียง
1. รายชื่อสมาชิกที่ …………………………………………………….. ชั้น …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
2. จุดประสงค์การทำกิจกรรม
ศกึ ษาคลื่นนิง่ ของเสยี ง
3. วัสด-ุ อปุ กรณ์ 1 เคร่อื ง
1) เครอ่ื งกำเนดิ สญั ญาณเสยี ง 1 ชดุ
2) ชดุ ขาตัง้ พร้อมตัวยึด 1 ชดุ
3) ชุดทอ่ รับฟงั เสยี ง 1 ตัว
4) ลำโพง 4 เสน้
3) สายไฟ
4. วิธที ำกิจกรรม
1) ต่อสายไฟจากเครื่องกำเนดิ สัญญาณเสยี งกบั ลำโพงทำใหเ้ กิดเสียงความถี่ 3 กิโลเฮิรตซ์ ปรับความดงั ของเสยี งใหด้ งั
ชัดเจน
2) ยดึ ลำโพงกบั ขาตง้ั โดยปรับให้ลำโพงอยเู่ หนือพ้นื โต๊ะประมาณ 60 เซนติเมตร ดงั รปู
3) จากน้ันใช้ชุดทอ่ รบั ฟงั เสยี งสงั เกตเสียง ณ ตำแหน่งต่างๆ ในแนวด่งิ ระหว่างลำโพงกบั พน้ื โตะ๊