The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

2109สุภาพร แผนเทอม1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 109 สุภาพร, 2024-01-11 06:47:19

2109สุภาพร แผนเทอม1

2109สุภาพร แผนเทอม1

47 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมตามขั้นตอนที่กำหนดในกิจกรรม และบันทึกผลในแบบฝึกหัด หน่วยการ เรียนรู้ที่ 2 กิจกรรมที่ 2.2 ขั้นที่ 3 อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (30 นาที) 1.ครูสุ่มนักเรียนนำเสนอผลการทำกิจกรรม และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 2.นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์อภิปราย และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการทำกิจกรรมและ สรุปผล โดยร่วมกันตอบคำถามหลังทำกิจกรรม 3.นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรม และบันทึกคำตอบลงในแบบฝึกหัด 4.ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายคำตอบของคำถามท้ายกิจกรรม และร่วมกันสรุปผลการทำกิจกรรมว่า หน่วยที่กำหนดลักษณะทางพันธุกรรม ทำให้สิ่งมีชีวิตแสดงลักษณะต่างๆออกมา การที่สิ่งมีชีวิตมีหน่วยที่กำหนด ลักษณะทางพันธุกรรมแตกต่างกัน มีผลทำให้สิ่งมีชีวิตมีลักษณะแตกต่างกัน ขั้นที่ 4 ขยายความรู้ (Elaboration) ( 10นาที) 1.ครูอธิบายเพิ่มเติมประกอบกับ Power point เรื่อง หน่วยกำหนดลักษณะทางพันธุกรรม ว่าหน่วยที่ กำหนดลักษณะทางพันธุรรม เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ยีน” ทำหน้าที่กำหนดหรือควบคุมลักษณะต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต 2.ครูใช้คำถาม “ยีน” สัมพันธ์กับโครโมโซมและดีเอ็นเออย่างไร ให้นักเรียนร่วมกันหาคำตอบโดยสังเกต ภาพที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างโครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีนใน Power point เรื่อง หน่วยกำหนดลักษณะทาง พันธุกรรม แล้วสุ่มให้นักเรียนอภิปรายตามความเข้าใจก่อน จากนั้นใช้คำถาม ดังนี้ - จากภาพนักเรียนคิดว่า โครโมโซม ดีเอ็นเอ และ ยืน สัมพันธ์กันอย่างไร (แนวคำตอบ : โครโมโซม ประกอบด้วยดีเอ็นเอซึ่งพัน รอบโปรตีน ส่วนยีนคือช่วงของดีเอ็นเอ) - มีดีเอ็นเอตลอดทั้งสายเป็นยีนทั้งหมดหรือไม่ (แนวคำตอบ : ไม่ทั้งหมด ยีนอยู่เป็นช่วง ๆ บนสายดี เอ็นเอ) - โครโมโซมแท่งหนึ่ง ๆ จะประกอบด้วยดีเอ็นเอที่ยาวมาก นักเรียนคิดว่าใครโมโซมแต่ละแท่งจะมี จำนวนยีนเป็น อย่างไร (แนวคำตอบ : มียีนเป็นจำนวนมาก) 3.ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า หน่วยที่กำหนดลักษณะทางพันธุกรรมหรือยีนทำ หน้าที่กำหนดลักษณะต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต โครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีนมีความสัมพันธ์กัน โครโมโซมประกอบด้วยดี เอ็นเอ บางช่วงของดีเอ็นเอเป็นยีน ดีเอ็นเอประกอบด้วยยีนจำนวนมาก ดังนั้นโครโมโซมจึงมียีนอยู่เป็นจำนวน มากๆ


48 ขั้นที่ 5 ประเมิน (Evaluation) ( 15 นาที) 1.สังเกตการทำกิจกรรม และการตอบคำถาม ความกระตือรือร้นในการหาความรู้ สังเกต พฤติกรรม ลักษณะอันพึงประสงค์ ความมีวินัยใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน 7. สื่อการเรียนรู้ 1. แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 กิจกรรมที่ 2.2 หน่วยกำหนดลักษณะทางพันธุกรรม 2. power point เรื่อง หน่วยกำหนดลักษณะทางพันธุกรรม 8. การวัดและการประเมิน ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์ที่ใช้ในการ ประเมิน ด้านความรู้ ความเข้าใจ (K) 1.นักเรียนสามารถอธิบายหน้าที่ของ หน่วยที่กำหนดลักษณะทาง พันธุกรรมหรือยีนได้ 2.นักเรียนสามารถอธิบาย ความสัมพันธ์ของโครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีนได้ ตรวจแบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 เกณฑ์ร้อยละ 70 % ผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1.นักเรียนใช้ทักษะการตีความหมาย ข้อมูลและลงข้อสรุปโดยนำข้อมูล รหัสภาพที่แทนแบบจำลองของ หน่วยกำหนดลักษณะทางพันธุกรรม ที่สุ่มได้มาเปรียบเทียบกับตารางแปล รหัสภาพและสรุปลักษณะของสุนัข สังเกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม แบบประเมินทักษะการ ปฏิบัติกิจกรรม ระดับคุณภาพ ดี/ พอใช้/ปรับปรุง ผ่านระดับดีขึ้นไป


49 ด้านเจตคติ (A) 1.นักเรียนมีความอยากรู้อยากเห็น มี ความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรม เพื่อศึกษาหน่วยกำหนดลักษณะทาง พันธุกรรมที่ส่งผลต่อลักษณะของ สิ่งมีชีวิต 2.มีวินัย 3.ใฝ่เรียนรู้ 4.มุ่งมั่นในการทำงาน สังเกตความ ร่วมมือในการทำ กิจกรรมของ นักเรียน แบบประเมินด้าน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์รายบุคคล ระดับคุณภาพ ดี/ พอใช้/ปรับปรุง ผ่านระดับดีขึ้นไป


50


51


52


53 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาวิทยาศาสตร์ 5 รหัสวิชา ว23101 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เวลาเรียนรวม 15 ชั่วโมง เรื่อง การศึกษาพันธุศาสตร์ของเมลเดล เวลา 2 ชั่วโมง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1/2566 ผู้สอน นางสาวสุภาพร พื้นขุนทด วันที่…..เดือน……พ.ศ…….. 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิต รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วัด ม.3/2 อธิบายการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากการผสมโดยพิจารณาลักษณะเดียวที่แอลลี ลเด่นข่มแอลลีลด้อยอย่างสมบูรณ์ ม.3/3 อธิบายการเกิดจีโนไทป์ และฟีโนไทป์ของลูก และคำนวณอัตราส่วนการเกิดจีโนไทป์ และฟีโนไทป์ของรุ่นลูก 2. สาระสำคัญ เกรเกอร์ เมลเดล พบว่า ลักษณะที่ปรากฏในลูกเป็นผลมาจากการถ่ายทอดหน่วยที่ควบคุมลักษณะต่าง ๆ ซึ่งได้รับจากการถ่ายทอดหน่วยที่ควบคุมลักษณะต่างๆ ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งพันธุศาสตร์ เมลเดลได้ ศึกษาลักษณะภายนอกของถั่วลันเตา 7 ลักษณะ คือ รูปร่างของเมล็ด สีของเมล็ด รูปร่างของฝัก สีของฝัก ตำแหน่ง ของดอก สีของดอก และความสูงของลำตัน ลักษณะของสิ่งมีชีวิตถูกควบคุมด้วยยีน บนโครโมโซม ซึ่งประกอบด้วย 2 แอลลีน ซึ่งอาจมีรูปแบบ เหมือนกันหรือต่างกันก็ได้ ยีนที่มีแอลลีนที่ต่างกันนี้แอลลีนหนึ่งอาจข่มอีก แอลลีนหนึ่งไม่ให้แสดงลักษณะออกมา เรียกแอลลีนนี้ว่า แอลลีลเด่น ส่วนแอลลีนที่ถูกข่มและไม่สามารถแสดงลักษณะออกมา ได้ เรียกว่า แอลลีลด้อย การข่มลักษณะนี้ เรียกว่า การข่มอย่างสมบูรณ์ สิ่งมีชีวิตที่มีโครโมโซมเป็นคู่ แต่ละคู่จะ มีรูปร่างลักษณะเหมือนกัน ความยาวเท่ากันและมียีนที่ควบคุม ลักษณะเดียวกันอยู่ที่ตำแหน่งเดียวกันบนโครโมโซมที่เป็นคู่กันเรียกโครโมโซมที่เป็นคู่กันนี้ว่า ฮอมอโลกัส โครโมโซมเมื่อมีการปฏิสนธิ แอลลีนบนฮอมอโลกัสโครโมโซมในเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อและแม่จะมาเข้าคู่กัน รูปแบบ


54 ของคู่แอลลีนนี้เรียกว่า จีโนไทป์ จะกำหนดลักษณะที่สิ่งมีชีวิตแสดงออกมาหรือปรากฏออกมาให้เห็น ลักษณะที่ ปรากฏหรือลักษณะที่แสดงออกมาของสิ่งมีชีวิต เรียกว่า ฟีโนไทป์ ซึ่งจีโนไทป์ที่ประกอบด้วยคู่ของแอลลีนที่ เหมือนกัน เรียกว่า ฮอมอไซกัส จีโนไทป์หรือพันธุ์แท้ส่วนจีโนไทป์ที่ประกอบด้วยคู่ของแอลลีนที่แตกต่างกัน เรียกว่า เฮทเทอโรไซกัส จีโนไทป์หรือพันธุ์ทาง 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้ ความเข้าใจ (K) 1.นักเรียนสามารถอธิบายการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากการผสมโดยพิจารณาลักษณะ เดียวที่แอลลีนเด่นข่มแอลลีนด้อยอย่างสมบูรณ์ 2.นักเรียนสามารถอธิบายสมมติฐานของเมนเดลความสัมพันธ์ยีนและแอลลีน 3.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) 1.นักเรียนสามารถจำลองสถานการณ์การเข้าคู่กันของแอลลีลได้ 2.เขียนแผนภาพ และคำนวณอัตราส่วนการเกิดจีโนไทป์ และฟีโนไทป์ของรุ่นลูกได้ 3.3 ด้านคุณลักษณะ เจตคติ ค่านิยม (A) 1.มีวินัย 2.ใฝ่เรียนรู้ 3.มุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระการเรียนรู้ 1) การศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล 2) อัตราส่วนของลักษณะเด่นและลักษณะด้อยในรุ่นลูก 5. สมรรถนะสำคัญ 1.มีความสามารถในการสื่อสาร 2.มีความสามารถในการคิด 3.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. กิจกรรมการเรียนรู้ (ใช้การสืบเสาะหาความรู้(5E)) ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ (Engement) (10 นาที) 1.ครูทบทวนความรู้เดิม ให้นักเรียนยกตัวอย่างลักษณะของตนเองที่เหมือนพ่อหรือแม่ และใช้คำถาม


55 - นักเรียนมีลักษณะใดบ้างที่เหมือนพ่อหรือเหมือนแม่ หรือเหมือนทั้งพ่อและแม่ (แนวคำตอบ : ตอบตามสิ่งที่นักเรียนสังเกตได้ เช่น ลักษณะสันจมูก (สันจมูก โด่ง/แบน) โครงร่างของใบหน้า (สี่เหลี่ยม รูปไข่ กลม) ความสูง (สูง/เตี้ย) สีผิว (แทน/ขาว) และติ่งหู (มี/ไม่มีติ่งหู) ) - ลักษณะที่สามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปยังลูกได้นั้น เรียกว่าอะไร (แนวคำตอบ : ลักษณะทาง พันธุกรรม) ขั้นที่ 2 สำรวจและค้นหา (Exploration) (50 นาที) 1.ให้นักเรียนดูภาพต้นถั่วลันเตา จากนั้นครูใช้คำถาม - พืชในภาพคือพืชชนิดใด (แนวคำตอบ : ถั่วลันเตา) - จากภาพถ้าเราจะศึกษาลักษณะทางพันธุกรรมของถั่วลันเตา ศึกษาลักษณะใดบ้าง (แนวคำตอบ : นักเรียนตอบตามความสนใจ เช่น สีของดอก ลักษณะของฝัก) 2.นักเรียนศึกษาเนื้อหาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ 3 เล่ม 1 เรื่อง พันธุศาสตร์ของเมนเดล จากนั้นร่วมกัน อภิปราย ครูใช้คำถาม ดังนี้ - ลักษณะของถั่วลันเตาที่เมนเดลศึกษามีกี่ลักษณะอะไรบ้าง เหมือนหรือแตกต่างจากที่นักเรียน สนใจหรือไม่ อย่างไร (แนวคำตอบ : เมนเดลศึกษาถั่วลันเตา 7 ลักษณะ ได้แก่ รูปร่างของเมล็ด สีของเมล็ด สีของ ดอก รูปร่างของฝัก สีของฝัก ตำแหน่งของดอก และความสูงของลำต้น ลักษณะที่เมนเดลศึกษาอาจเหมือนหรือไม่ เหมือนกับลักษณะที่นักเรียนสนใจ) - ลักษณะทางพันธุกรรมภายนอกของถั่วลันเตามีเป็นจำนวนมาก นักเรียนคิดว่าเมนเดลเลือก ศึกษาถั่วลันเตาเพียง 7 ลักษณะด้วยเหตุผลอะไร (แนวคำตอบ : เพราะลักษณะที่เลือกศึกษานั้นมีความแตกต่างกัน ชัดเจน เช่น ต้นสูง ต้นเตี้ย เมล็ดกลม เมล็ดขรุขระ ดอกสีม่วง ดอกสีขาว) - การผสมโดยพิจารณาลักษณะเดียว คืออะไร (แนวคำตอบ : การผสมพันธุ์โดยศึกษาลักษณะที่ แตกต่างกันอย่างชัดเจนเพียง 1 ลักษณะ) - จากผลการทดลองของเมนเดลลักษณะที่ปรากฏในรุ่นลูกF1 และในรุ่นหลานF2 มี 2 ลักษณะ จากการศึกษาการทดลองของเมนเดลนักเรียนคิดว่า 2 ลักษณะนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร และเรียกว่าอะไร


56 (แนวคำตอบ : ลักษณะในรุ่นลูกF1 มีเพียงลักษณะเดียว เช่น ฝักอวบ ต้นสูง เรียกว่า ลักษณะเด่น ส่วนในรุ่นหลาน F2 จะมีลักษณะ 2 ลักษณะ คือลักษณะเด่นและลักษณะที่ไม่ปรากฏในรุ่นF1 เช่น เมล็ดขรุขระ ฝักแฟบ ต้นเตี้ย เรียกว่า ลักษณะด้อย ) 3.นักเรียนแบ่งกลุ่มกลุ่มละ 5-6 คน อ่านขั้นตอนการทำกิจกรรมในแบบฝึกหัดหน้าที่ 28-29 เรื่อง จีโนไทป์ และฟีโนไทป์ของสัตว์ประหลาด 4.นักเรียนทำกิจกรรมตามขั้นตอน และบันทึกผลลงในแบบฝึกหัด ขั้นที่ 3 อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (20 นาที) 1.แต่ละกลุ่มนำเสนอผลการทำกิจกรรมโดยใช้สื่อและวิธีการที่เหมาะสม เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับ เพื่อนในขั้นเรียน 2.ครูใช้คำถามให้แต่ละกลุ่มร่วมกันคิดว่า ถ้าแต่ละกลุ่มโดยนเหรียญแล้วได้ผลต่างกันจะส่งผลอย่างไรต่อจี โนไทป์และฟีโนไทป์ของสัตว์ประหลาด (แนวคำตอบ : ส่งผลให้สัตว์ประหลาดมีจีโนไทป์และฟีโนไทป์แตกต่างกัน) 3.ให้นักเรียนตอบคำถามท้ายกิจกรรมและบันทึกคำตอบในแบบฝึกหัด ขั้นที่ 4 ขยายความรู้ (Elaboration) ( 30 นาที) 1.ครูอธิบายเพิ่มเติมประกอบกับ Power point เรื่อง อัตราส่วนของลักษณะเด่น และลักษณะด้อย ในรุ่นลูก มีประเด็นสำคัญดังนี้ จีโนไทป์ (genotype) คือรูปแบบของคู่แอลลีน ฟีโนไทป์(phenotype) คือลักษณะที่แต่ละจีโนไทป์ แสดงหรือปรากกฏออกมา จีโนไทป์ประกอบด้วยคู่ของแอลลีนที่เหมือนกัน เรียกว่า ฮอมอไซกัส จีโนไทป์ (Homosygous genotype) หรือพันธุ์แท้ ส่วนจีโนไทป์ที่ประกอบด้วยคู่แอลลีนที่แตกต่างกัน เรียกว่า เฮทเทอโร ไซกัส จีโนไทป์(Heterosygous genotype) หรือพันทาง ขั้นที่ 5 ประเมิน (Evaluation) ( 10 นาที) 1.สังเกตการทำกิจกรรม และการตอบคำถาม ความกระตือรือร้นในการหาความรู้ สังเกตพฤติกรรม ลักษณะอันพึงประสงค์ ความมีวินัยใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน 2. ให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดในหนังสือแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์หน้าที่ 30-31 เพื่อทดสอบความเข้าใจเรื่อง โครโมโซมและการค้นพบของเมนเดล 7. สื่อการเรียนรู้ 1.หนังสือวิทยาศาสตร์ ม.3


57 2.แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 หน้าที่ 28-29 เรื่อง จีโนไทป์และฟีโนไทป์ของสัตว์ประหลาด 3. power point เรื่อง อัตราส่วนของลักษณะเด่น และลักษณะด้อย 8. การวัดและการประเมิน ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์ที่ใช้ในการ ประเมิน ด้านความรู้ ความเข้าใจ (K) 1.นักเรียนสามารถอธิบายการ ถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจาก การผสมโดยพิจารณาลักษณะเดียวที่ แอลลีนเด่นข่มแอลลีนด้อยอย่าง สมบูรณ์ 2.นักเรียนสามารถอธิบายสมมติฐาน ของเมนเดลความสัมพันธ์ยีนและแอ ลลีน ตรวจแบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 เกณฑ์ร้อยละ 70 % ผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1.นักเรียนสามารถจำลอง สถานการณ์การเข้าคู่กันของแอลลีล ได้ 2.เขียนแผนภาพ และคำนวณ อัตราส่วนการเกิดจีโนไทป์ และ ฟีโนไทป์ของรุ่นลูกได้ - ตรวจ แบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 - สังเกต พฤติกรรมการ ทำงานกลุ่ม - แบบประเมินทักษะการ ปฏิบัติกิจกรรม - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 ระดับคุณภาพ ดี/ พอใช้/ปรับปรุง ผ่านระดับดีขึ้นไป


58 ด้านเจตคติ (A) 1.มีวินัย 2.ใฝ่เรียนรู้ 3.มุ่งมั่นในการทำงาน สังเกตความ ร่วมมือในการทำ กิจกรรมของ นักเรียน แบบประเมินด้าน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์รายบุคคล ระดับคุณภาพ ดี/ พอใช้/ปรับปรุง ผ่านระดับดีขึ้นไป


59


60


61


62 แผนการจัดการเรียนรู้ที่6 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาวิทยาศาสตร์ 5 รหัสวิชา ว 23101 หน่วยการเรียนที่ 2 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เวลาเรียนรวม 15 ชั่วโมง เรื่อง โครโมโซมของมนุษย์และการแบ่งเซลล์ เวลา 3 ชั่วโมง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1/2566 ผู้สอน นางสาวสุภาพร พื้นขุนทด วันที่.......เดือน..................พ.ศ……. 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิต รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ตัวชี้วัด ม.3/4 อธิบายความแตกต่างของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส และไมโอซิส 2. สาระสำคัญ โดยทั่วไปสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกันจะมี จํานวนโครโมโซมต่างกัน แต่สิ่งมีชีวิตชนิด เดียวกันจะมีจํานวน โครโมโซมเท่ากันและ คงที่เสมอ มนุษย์มีจำนวนโครโมโซม 23 คู่ เป็นออโตโซม 22 คู่ และโครโมโซมเพศ 1 คู่ เพศ หญิงมีโครโมโซมเพศเป็น XX เพศชายมี โครโมโซมเพศเป็น XY การแบ่งเซลล์มี 2 แบบ ได้แก่ การแบ่ง เชลล์แบบ ไมโทชิสและไมโอซิส ไมโทซิสเป็น การแบ่งเซลล์เพื่อเพิ่มจํานวนเซลล์ร่างกาย ผลจากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ 2 เชลล์ที่มี ลักษณะและจํานวนโครโมโซมเหมือนเซลล์ ตั้งต้น ส่วนไมโอซิสเป็นการแบ่งเซลล์เพื่อ สร้างเซลล์สืบพันธุ์ ผลจากการแบ่งจะได้ เชลล์ใหม่ 4 เชลล์ที่มีจำนวนโครโมโซมเป็น ครึ่งหนึ่งของเซลล์ตั้งต้น ดังนั้นในการปฏิสนธิ ระหว่างอสุจิและเซลล์ไข่ที่มี โครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์ร่างกาย ลูกจะได้รับการถ่ายทอดโครโมโซมชุดหนึ่ง จากพ่อและอีกชุดหนึ่งจากแม่ จึงเป็นผลให้ รุ่นลูกมีจํานวนโครโมโซมเท่ากับรุ่นพ่อแม่ และจะคงที่ในทุกๆ รุ่น 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ (K) 3.1 ด้านความรู้ ความเข้าใจ (K) 1. นักเรียนสามารถอธิบายจำนวนโครโมโซมในสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันและสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกัน 2. นักเรียนสามารถเปรียบเทียบลักษณะโครโมโซมของมนุษย์เพศชายและเพศหญิงได้ 3. นักเรียนสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส และไมโอซิสได้ 3.2 ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) 1. นักเรียนสามารถเขียนผังความคิดเรื่องการแบ่งเซลล์ได้


63 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 4. สาระการเรียนรู้ 1. กระบวนการแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิตมี 2 แบบคือ ไมโทซิส และไมโอซิส 5. สมรรถนะสำคัญ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. กิจกรรมการเรียนรู้ (ใช้การสืบเสาะหาความรู้ (5E)) ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ (Engement) (10นาที) 1. ครูทบทวนความรู้เดิม โดยใช้คำถามดังต่อไปนี้ - ลักษณะสำคัญอะไรที่บ่งบอกได้ว่าเป็นโครโมโซม (แนวคำตอบ : มีลักษณะเป็นท่อนและเป็นแท่ง และจะสังเกตเห็นระยะการแบ่งเซลล์) - โครงสร้างใดของเซลล์ที่พบโครโมโซม (แนวคำตอบ : นิวเคลียส) 2. ครูใช้คำถามเชื่อมโยงเรื่อง จำนวนโครโมโซมของสิ่งมีชีวิต - นักเรียนคิดว่ามนุษย์มีจำนวนโครโมโซมกี่แท่งหรือกี่คู่ (แนวคำตอบ : มนุษย์มีจำนวนโครโมโซม 46 แท่ง หรือ23 คู่ ) ขั้นที่ 2 สำรวจและค้นหา (Exploration) (50 นาที) 1. นักเรียนศึกษาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 เรื่อง โครโมโซมของมนุษย์และการแบ่งเซลล์ 2. นักเรียนทำกิจกรรมในแบบฝึกหัดหน้าที่ 33-34 เรื่อง การแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิต 3. ครูเปิดวีดีทัศน์เกี่ยวกับการแบ่งเซลล์ไมโทซิส และไมโอซิสให้นักเรียนศึกษา 4.นักเรียนแบ่งกลุ่มกลุ่มละ 5-6 คน ทำใบงานผังความคิดเรื่องการแบ่งเซลล์ โดยสามารถสืบค้นข้อมูล จากอินเตอร์เน็ตได้


64 ขั้นที่ 3 อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (60 นาที) 1. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอใบงานผังความคิดเรื่อง การแบ่งเซลล์ 2. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและหาข้อสรุปจากใบงานโดยใช้แนวคำถามต่อไปนี้ - เพราะเหตุใดจำนวนโครโมโซมของเซลล์ใหม่ที่ได้จากการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสจึงเท่ากับเซลล์ ตั้งต้น (แนวคำตอบ : เพราะโครมาทินมีการจำลองตัวเองเป็นโครโมโซมที่มี 2 โครมาทิด จากนั้นโครโมโซมจะมา เรียงตัวบริเวณกึ่งกลางเชลล์แต่ละโครมาทิดแยกไปอยู่ในเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ ซึ่งจะมีจำนวน โครโมโซมเท่ากับเซลล์ตั้ง ต้น) - เพราะเหตุใดจํานวนโครโมโซมของเซลล์ใหม่ที่ได้จากการ แบ่งเซลล์แบบไมโอซิสจึงเป็นครึ่งหนึ่ง ของเซลล์ตั้งต้น (แนวคำตอบ : เพราะไมโอซิสมีการแบ่งเซลล์2 ครั้ง การแบ่งเซลล์ครั้งแรก โครมาทินมีการจําลอง ตัวเองเป็นโครโมโซมที่มี 2 โครมาทิด มี การเข้าคู่ของฮอมอโลกัสโครโมโซม และมาเรียงตัวใน แนวกึ่งกลางเซลล์ มี การแยกกันของฮอมอโลกัสโครโมโซมไปอยู่ ในเชลสใหม่ 2 เชลล์ จากนั้นเซลล์ใหม่ที่ได้จะมีการแบ่งเซลล์อีก 1 ครั้ง โดยแต่ละโครมาทิดที่ติดกันบริเวณเซนโทรเมียร์ของเชลล์ ใหม่แต่ละเซลล์จะแยกกันไปอยู่ในเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ ได้ เชลล์ใหม่ รวมทั้งหมดเป็น 4 เซลล์ ซึ่งจะมีจำนวนโครโมโซมเป็นครึ่งหนึ่งของเซลล์ตั้งต้น) 3.ครูให้นักเรียนร่วมกันเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการแบ่ง เซลล์แบบไมโท สและไมโอซิส และเขียนลงในแผนภาพเวนน์ ในใบงานที่ 3 การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิสเหมือนและ แตกต่างกัน อย่างไร ขั้นที่ 4 ขยายความรู้ (Elaboration) (50 นาที) 1.ครูอธิบายเพิ่มเติมประกอบกับ Powerpoint เรื่อง โครโมโซมของมนุษย์และการ แบ่งเซลล์ ขั้นที่ 5 ประเมิน (Evaluation) (10 นาที) 1.สังเกตการทำกิจกรรม และการตอบคำถาม ความกระตือรือร้นในการหาความรู้ สังเกตพฤติกรรม ลักษณะอันพึงประสงค์ ความมีวินัยใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นในการทำงาน 7. สื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ 1. Powerpoint เรื่อง โครโมโซมของมนุษย์และการแบ่งเซลล์ 2. หนังสือวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 เรื่อง โครโมโซมของมนุษย์และการแบ่งเซลล์ 3. ใบงานผังความคิดเรื่องการแบ่งเซลล์ 4. วีดีทัศน์เรื่อง การแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส และไมโอซิส


65 8. การวัดและประเมินผล ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ วิธีการวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์ที่ใช้ในการ ประเมิน ด้านความรู้ ความเข้าใจ (K) 1. นักเรียนสามารถอธิบาย จำนวนโครโมโซมในสิ่งมีชีวิต ชนิดเดียวกันและสิ่งมีชีวิต ต่างชนิดกัน 2. นักเรียนสามารถ เปรียบเทียบลักษณะ โครโมโซมของมนุษย์เพศ ชายและเพศหญิงได้ 3. นักเรียนสามารถ เปรียบเทียบความแตกต่าง ของการแบ่งเซลล์แบบไมโท ซิส และไมโอซิสได้ - ตรวจแบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 -การตอบคำถาม - แบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 - ใบงานเรื่อง การแบ่งเซลล์ เกณฑ์ร้อยละ 70 % ผ่านเกณฑ์ ด้านกระบวนการ (P) 1. นักเรียนสามารถเขียนผัง ความคิดเรื่องการแบ่งเซลล์ ได้ - ตรวจใบงาน - สังเกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม - แบบประเมิน ทักษะการ ปฏิบัติ กิจกรรม - ใบงานเรื่อง การแบ่งเซลล์ ระดับคุณภาพ ดี/ พอใช้/ปรับปรุง ผ่านระดับดีขึ้นไป ด้านเจตคติ (A) 1.มีวินัย 2.ใฝ่เรียนรู้ 3.มุ่งมั่นในการทำงาน สังเกตความร่วมมือ ในการทำกิจกรรม ของนักเรียน แบบประเมินด้าน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์รายบุคคล ระดับคุณภาพ ดี/ พอใช้/ปรับปรุง ผ่านระดับดีขึ้นไป


66


67


68


69 แผนการจัดการเรียนรู้ที่7 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาวิทยาศาสตร์ 5 รหัสวิชา ว 23101 หน่วยการเรียนที่ 2 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เวลาเรียนรวม 15 ชั่วโมง เรื่อง โรคทางพันธุกรรม เวลา 2 ชั่วโมง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1/2566 ผู้สอน นางสาวสุภาพร พื้นขุนทด วันที่.......เดือน..................พ.ศ……. 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 1.3 ม.3/5 บอกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซมอาจทำให้เกิดโรคทางพันธุกรรม พร้อมทั้งยกตัวอย่างโรคทางพันธุกรรม ว 1.3 ม.3/6 ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้เรื่องโรคทางพันธุกรรม โดยรู้ว่าก่อนแต่งงาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยงของลูกที่อาจเกิดโรคทางพันธุกรรม 2. สาระสำคัญ โรคทางพันธุกรรม คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของยีนหรือโครโมโซม ซึ่งส่งผลให้เกิดความผิดปกติ ของร่างกาย โดยความผิดปกติของโครโมโซมนั้นอาจเกิดจากจำนวนโครโมโซมเปลี่ยนแปลงไปจากปกติหรือเกิด จากการขาดหายไปบางส่วนของโครโมโซมบางแท่ง ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งในออโตโซมและโครโมโซมเพศ และความ ผิดปกติของยีนนั้นก็อาจเกิดขึ้นได้ทั้งยีนที่อยู่บนออโตโซมและยีนที่อยู่บนโครโมโซมเพศ โดยลักษณะอาการของโรค ทางพันธุกรรมแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน โรคทางพันธุกรรมสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกได้ ดังนั้น ก่อนแต่งงานและมีบุตรจึงควรป้องกัน โดยการตรวจและวินิจฉัยภาวะเสี่ยงจากการถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรม 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1. อธิบายโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของยีนได้ 2. อธิบายโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมได้ 3.2 ทักษะ/กระบวนการ (P) 1. ทักษะในการวางแผนทำงานกลุ่ม 2. มีความกระตือรือร้นในการหาความรู้ 3. มีความมั่นใจในการกล้าแสดงออก


70 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 4. สมรรถนะสำคัญ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 5. สาระการเรียนรู้ 1. โรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของยีน 2. โรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม 6. กิจกรรมการเรียนรู้ (ใช้การสืบเสาะหาความรู้ (5E)) ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ (Engement) (10นาที) 1. ครูนำรูปตัวอย่างของคนที่มีความผิดปกติของโรคทางพันธุกรรม แล้วให้นักเรียนตอบคำถามตาม ประเด็นที่กำหนด ดังนี้


71 - นักเรียนเคยเห็นผู้ป่วยที่มีลักษณะเหมือนในรูปนี้หรือไม่ - มีลักษณะใดบ้างที่สังเกตเห็นภายนอกได้ว่าแตกต่างจากคนปกติ - ลักษณะที่ปรากฏดังกล่าวน่าจะเกิดจากความผิดปกติของสิ่งใดในร่างกาย 2. นักเรียนร่วมกันตอบคำถามและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำตอบของคำถาม เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้เรื่อง โรคทางพันธุกรรม ขั้นที่ 2 สำรวจและค้นหา (Exploration) (50 นาที) 1. นักเรียนศึกษาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 เรื่อง โรคทางพันธุกรรม 2. นักเรียนทำใบงานที่ 1.7 เรื่อง โรคทางพันธุกรรม ขั้นที่ 3 อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (20 นาที) 1. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและหาข้อสรุปจากการทำกิจกิจกรรม โดยใช้แนวคำถามต่อไปนี้ - โครโมโซมเป็นที่อยู่ของยีนจำนวนมาก ถ้าโครโมโซมมีความผิดปกติไป ย่อมมีผลต่อลักษณะของ สิ่งมีชีวิต เช่นผู้ป่วยในกลุ่มดาวน์ และความผิดปกติทางพันธุกรรมบางอย่างเกิดขึ้นในระดับยีน เช่น โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เป็นลักษณะย่อย เกิดจากความผิดปกติของยีนสำหรับสังเคราะห์โปรตีนที่เป็นส่วนประกอบ ของฮีโมโกลบิน ผู้ป่วยมีอาการซีด ตามเหลือง และโรคตาบอดสี ผู้ป่วยมีความบกพร่องในการมองเห็นสีบางชนิด เช่น สีแดง สีเขียว สีน้ำเงินที่แตกต่างไปจากปกติ ภาวะตาบอดสีส่วนใหญ่เป็นผลมาจากความผิดปกติของยีนบน โครโมโซมเพศ ขั้นที่ 4 ขยายความรู้ (Elaboration) (30 นาที) 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมประกอบกับ Powerpoint เรื่อง โรคทางพันธุกรรม ดังนี้ภาพผู้ป่วยจากโรค พันธุกรรมที่เกิดจากความผิดปกติของยีนและโครโมโซม กลุ่มดาวน์มีความสัมพันธ์กับอายุมารดา พบว่าลูกที่เกิดมา จากมารดาที่มีอายุมาก (ตั้งแต่ 35 ปี ขึ้นไป) มีโอกาสเป็นโรคนี้มาก เนื่องจากไข่ของแม่มักจะผิดปกติ โดยเซลล์ไข่มี จำนวนโครโมโซมที่ 21 เกินมา เมื่อผสมกับอสุจิที่มีจำนวนโครโมโซมปกติ จะทำให้ลูกได้รับโครโมโซมเกินมา 1 โครโมโซม 2. นักเรียนแบ่งกลุ่มเป็น 5 กลุ่ม ครูชี้แจงการทำกิจกรรม เรื่อง โรคพันธุกรรม ดังต่อไปนี้ - ให้ตัวแทนกลุ่มจับฉลากรูปภาพโรคพันธุกรรม เมื่อได้รูปภาพเสร็จแล้ว ให้ศึกษาโรคทาง พันธุกรรมนั้น แล้วสร้างแบบจำลองของโครโมโซมของโรคนั้น และบอกลักษณะที่ปรากฎของโรค พร้อมทั้งมี ภาพประกอบ 3. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและหาข้อสรุปจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใช้แนวคำถามต่อไปนี้ - ยกตัวอย่างสาเหตุและปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดโรคทางพันธุกรรม (สาเหตุและปัจจัยที่สนับสนุน ให้เกิดโรคทางพันธุกรรม เช่น 1. การแต่งงานระหว่างเครือญาติ 2. การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อาจทำให้ร่างกายได้รับ สารเคมีที่จะไปกระตุ้นให้เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม)


72 - ถ้าสามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมียทั้งคู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการมีลูกเป็นโรคนี้ สามี ภรรยาคู่นี้ควรปฏิบัติตนอย่างไร (สามีภรรยาคู่นี้ควรไปพบแพทย์เพื่อขอรับคำปรึกษาจากแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์ เพราะแพทย์เมื่อทราบว่าพ่อและแม่เป็นพาหะของโรค ลูกที่คลอดออกมาย่อมมีโอกาสที่จะเป็นโรค แพทย์จะได้ช่วย แนะนำในการตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ได้อย่างทันท่วงที) ขั้นที่ 5 ประเมิน (Evaluation) (10 นาที) ครูประเมินผลของนักเรียนตามแบบประเมินดังนี้ 1. สังเกตพฤติกรรมการร่วมกิจกรรมของนักเรียน มีความกระตือรือร้นในการหาความรู้ มีความมั่นใจ และกล้าแสดงออก และสังเกตพฤติกรรมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของแต่ละบุคคลมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นใน การทำงาน 2. ตรวจคะแนนจากใบกิจกรรมที่ 1.6 เรื่อง โรคทางพันธุกรรม 7. สื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 2. Powerpoint เรื่อง โรคทางพันธุกรรม 3. ใบงานที่ 1.7 เรื่อง โรคทางพันธุกรรม 4. DLTV เรื่อง โรคทางพันธุกรรม 8. ภาระงานและชิ้นงาน - ใบงานที่ 1.7 เรื่อง โรคทางพันธุกรรม - แบบจำลองโครโมโซมของโรคพันธุกรรม 9. การวัดและประเมินผล ประเด็นการประเมิน วิธีการ เครื่องมือ การวัดประเมินผล ด้านความรู้ (K) 1. อธิบายโรคทาง พันธุกรรมที่เกิดจากความ ผิดปกติของยีนได้ 2. อธิบายโรคทาง พันธุกรรมที่เกิดจากความ ผิดปกติของโครโมโซมได้ ตรวจคะแนนจาก - ใบงานที่ 1.7 โรคทางพันธุกรรม ใบงาน เรื่อง โรคทางพันธุกรรม ทำได้ร้อยละ 70 ขึ้นไป


73 ด้านทักษะ (P) 1. ทักษะในการวางแผน ทำงานกลุ่ม 2. มีความกระตือรือร้นใน การหาความรู้ 3. มีความมั่นใจในการกล้า แสดงออก - สังเกตพฤติกรรม ในชั้นเรียน - แบบจำลอง โครโมโซมของโรค พันธุกรรม แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ระดับคุณภาพ ดี/พอใช้/ ปรับปรุง ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป ด้านคุณลักษณะ (A) 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน สังเกตพฤติกรรมการ ทำงานกลุ่ม แบบประเมินทักษะ การทำงานกลุ่ม ระดับคุณภาพ ดี/พอใช้/ ปรับปรุง ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป


74


75


76


77 ภาคผนวก


78 ให้นักเรียนเติมคำหรือข้อความลงในช่องว่างให้ถูกต้อง ใบงานที่ 1.7 เรื่อง โรคทางพันธุกรรม 1. โรคพันธุกรรมมีสาเหตุมาจาก……………………………………………………………………………………………….. 2. การกลายหรือมิวเทชัน หมายถึง …………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 3. จงยกตัวอย่างลักษณะทางพันธุกรรมหรือโรคทางพันธุกรรม 2 ชนิดที่เกิดจากความผิดปกติของยีน ต่อไปนี้ 1) ยีนบนออโตโซม ……………………………………………………………………………….................................... 2) ยีนบนโครโมโซม …………………………………………………………………………………………........................ 4. โครโมโซมในเซลล์ไข่ของเพศหญิงที่เป็นโรคในกลุ่มอาการดาวน์ คือ ……………………………………………............................................................................................................... 5. ผู้ป่วยที่มีลักษณะต่อไปนี้เกิดจากความผิดปกติของยีนหรือโครโมโซมชนิดใด 1) ปากแหว่ง เพดานโหว่ ปัญญาอ่อนอย่างแรง อายุสั้น …………………………………………………………… 2) ขาดโปรตีนที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด เมื่อเกิดบาดแผลเลือดจะออกง่ายและหยุดไหลช้า ………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 3) ลักษณะตัวเตี้ย ที่คอมีพังผืดกางเป็นปีก เป็นหมัน ………………………………………………………………. 6. โครโมโซมเพศของผู้ป่วยในกลุ่มอาการเอ็กซ์วายวายซินโดรมต่างจากไคลน์เฟลเตอร์ดังนี้ …………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 7. ผู้ป่วยที่มีอาการโลหิตจาง อ่อนเพลีย ปัสสาวะเป็นสีดำ และแพ้ถั่วปากอ้า เป็นโรคพันธุกรรมที่ เรียกว่า ……………………………………………………ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของ ………………………..…………… 8. การตรวจความผิดปกติของโครโมโซมในตัวอ่อนในครรภ์มารดา มีวิธีการดังนี้ ……………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………..


79 ให้นักเรียนเติมคำหรือข้อความลงในช่องว่างให้ถูกต้อง 1. โรคพันธุกรรมมีสาเหตุมาจาก ความผิดปกติของยีนและโครโมโซม 2. การกลายหรือมิวเทชัน หมายถึง ความผิดปกติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงยีนไปจากเดิม ส่งผลให้ ลักษณะทางพันธุกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม 3. จงยกตัวอย่างลักษณะทางพันธุกรรมหรือโรคทางพันธุกรรม 2 ชนิดที่เกิดจากความผิดปกติของยีน ต่อไปนี้ 1) ยีนบนออโตโซม ลักษณะผิวเผือก โรคธาลัสซีเมีย โรคซิกเคิลเซลล์ 2) ยีนบนโครโมโซม ลักษณะตาบอดสี โรคฮีโมฟีเลีย โรคภาวะพร่องเอนไซม์ G-6-PD 4. โครโมโซมในเซลล์ไข่ของเพศหญิงที่เป็นโรคในกลุ่มอาการดาวน์ คือ 22 + X และ 23 + X 5. ผู้ป่วยที่มีลักษณะต่อไปนี้เกิดจากความผิดปกติของยีนหรือโครโมโซมชนิดใด 1) ปากแหว่ง เพดานโหว่ ปัญญาอ่อนอย่างแรง อายุสั้น ออโตโซม 2) ขาดโปรตีนที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด เมื่อเกิดบาดแผลเลือดจะออกง่ายและหยุดไหลช้า …… ยีนบนโครโมโซมเพศ 3) ลักษณะตัวเตี้ย ที่คอมีพังผืดกางเป็นปีก เป็นหมัน โครโมโซมเพศ 6. โครโมโซมเพศของผู้ป่วยในกลุ่มอาการเอ็กซ์วายวายซินโดรมต่างจากไคลน์เฟลเตอร์ดังนี้ กลุ่มอาการ เอ็กซ์วายวายซินโดรมจะมีโครโมโซม Y เกินจากปกติ แต่ไคลน์เฟลเตอร์จะมีโครโมโซม X เกินจากปกติ 7. ผู้ป่วยที่มีอาการโลหิตจาง อ่อนเพลีย ปัสสาวะเป็นสีดำ และแพ้ถั่วปากอ้า เป็นโรคพันธุกรรมที่ เรียกว่า โรคภาวะพร่องเอนไซม์ G-6-PD ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของ ยีนบนโครโมโซมเพศ 8. การตรวจความผิดปกติของโครโมโซมในตัวอ่อนในครรภ์มารดา มีวิธีการดังนี้ จะเอาน้ำคร่ำซึ่งมีเซลล์ ของตัวอ่อนหลุดปะปนอยู่ออกมาตรวจดูโครโมโซม เฉลยใบงานที่ 1.7 เรื่อง โรคทางพันธุกรรม


80 แผนการจัดการเรียนรู้ที่8 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาวิทยาศาสตร์ 5 รหัสวิชา ว 23101 หน่วยการเรียนที่ 2 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เวลาเรียนรวม 15 ชั่วโมง เรื่องสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม เวลา 3 ชั่วโมง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1/2566 ผู้สอน นางสาวสุภาพร พื้นขุนทด วันที่.......เดือน..................พ.ศ……. 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 1.3 ม.3/7 อธิบายการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม และผลกระทบที่อาจมีต่อ มนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้ ว1.3 ม.3/8 ตระหนักถึงประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่อาจมีต่อ มนุษย์และสิ่งแวดล้อม โดยการเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการโต้แย้งทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมีข้อมูลสนับสนุน 2. สาระสำคัญ มนุษย์เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ เพื่อให้ได้สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะตามต้องการเรียก สิ่งมีชีวิตนี้ว่า สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมในปัจจุบัน มนุษย์มีการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมเป็น จำนวนมาก เช่น การผลิตอาหาร การผลิตยารักษาโรค การเกษตร อย่างไรก็ดี สังคมยังมีความกังวลเกี่ยวกับ ผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1. บอกความหมายของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมได้ 2. อธิบายการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมและผลกระทบที่อาจมีต่อมนุษย์และ สิ่งแวดล้อม โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้ 3.2 ทักษะ/กระบวนการ (P) 1. ปฏิบัติกิจกรรมการใช้ประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม 2. มีความกระตือรือร้นในการหาความรู้ 3. มีความมั่นใจในการกล้าแสดงออก 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน


81 4. สมรรถนะสำคัญ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 5. สาระการเรียนรู้ 1. การใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม 2. ผลกระทบที่อาจมีต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม 6. กิจกรรมการเรียนรู้ (ใช้การสืบเสาะหาความรู้ (5E)) ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ (Engement) (10นาที) 1.นักเรียนร่วมกันสังเกตภาพพืชธรรมชาติเปรียบเทียบกับพืชที่ดัดแปรพันธุกรรม และภาพสัตว์ ธรรมชาติเปรียบเทียบกับสัตว์ที่ดัดแปรพันธุกรรม แล้วร่วมกันสนทนา และเข้าสู่บทเรียนเกี่ยวกับพันธุกรรมและ ประโยชน์ของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม โดยร่วมกันตอบคำถามสำคัญกระตุ้นความคิด ดังนี้ 1.1 การใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมมีผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม หรือไม่ อย่างไร (ตัวอย่างคำตอบ มี ผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่อาจมีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม เช่น สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมอาจสร้างสารที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพเปลี่ยนแปลง และทำให้ระบบนิเวศเสียสมดุล) ฝ้ายธรรมชาติ เปรียบเทียบกับฝ้ายดัดแปรพันธุกรรม ปลาแซมอนธรรมชาติ(ด้านหน้า) เปรียบเทียบกับปลาแซมอนดัดแปรพันธุกรรม (ด้านหลัง) ฝ้ายธรรมชาติ ฝ้ายบีที


82 ขั้นที่ 2 สำรวจและค้นหา (Exploration) (50 นาที) 1. นักเรียนร่วมกันอย่างรวมพลังศึกษา อ่านเนื้อหา สืบสอบและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพันธุกรรม และประโยชน์ของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม จากหนังสือเรียนและแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย พร้อมทั้ง ออกแบบการนำเสนอผลการสืบสอบในแบบที่น่าสนใจ 2. นักเรียนบันทึกผลการศึกษาค้นคว้าในรูปผังกราฟิกแบบต่าง ๆ ตามความเหมาะสมของข้อมูล และ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน 3.นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน โดยแต่ละกลุ่มร่วมกันอย่างรวมพลังศึกษาวิธีทำและ ปฏิบัติกิจกรรมที่ 2.6 เรื่อง การใช้ประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม 4.นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันแสดงความคิดเห็นก่อนทำกิจกรรม โดยร่วมกันตอบคำถาม ก่อนทำกิจกรรม ดังนี้ 4.1 ปัญหาของการทำกิจกรรมนี้คืออะไร (การใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม มีผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมหรือไม่ อย่างไร) 4.2 นักเรียนคิดว่าสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมมีประโยชน์ต่อมนุษย์ด้านใดบ้าง อย่างไร (ตัวอย่าง คำตอบ สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมมีประโยชน์หลายด้าน เช่น ด้านอาหาร ใช้ผลิตอาหาร ด้านการแพทย์ ใช้ผลิตยารักษาโรคชนิดต่าง ๆ) 4.3 นักเรียนคิดว่าการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมมีผลต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม หรือไม่ อย่างไร (ตัวอย่างคำตอบ สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม อาจสร้างสารที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ทำให้ความ หลากหลายทางชีวภาพเปลี่ยนแปลง และการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมเข้าสู่ระบบนิเวศ อาจทำ ให้ระบบนิเวศเสียสมดุล) ขั้นที่ 3 อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (20 นาที) 1.นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ อภิปราย และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการทำกิจกรรม โดยร่วมกันตอบคำถามหลังทำกิจกรรม ดังนี้ 1.1 พืชดัดแปรพันธุกรรมคืออะไร (พืชดัดแปรพันธุกรรม เป็นพืชที่ทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศที่มีความสามารถต้านทานแมลงศัตรูพืช และยากำจัดวัชพืช มีสารอาหารทางโภชนาการหรือสารชีวโมเลกุลบางชนิดที่เพิ่มขึ้นเช่น มะเขือเทศ มะละกอ สตรอว์เบอร์รี) 1.2 สัตว์ดัดแปรพันธุกรรมคืออะไร (สัตว์ดัดแปรพันธุกรรม เป็นสัตว์ที่ถูกดัดแปรพันธุกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิต เช่น ปลาแซลมอนดัดแปร พันธุกรรมให้เจริญเติบโตเพิ่มขนาดเร็วขึ้นกว่าปลาแซมอนในธรรมชาติ)


83 1.3 อนาคต ทิศทางการนำสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมมาใช้ประโยชน์ในประเทศไทยจะเป็น อย่างไร (ตัวอย่างคำตอบ ในอนาคตประเทศไทยมีทิศทางการนำสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมมาใช้ ประโยชน์มากขึ้น มีการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคนิคทางด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อพัฒนาและสร้างคุณภาพชีวิต ที่ดีขึ้น) 1.4 สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมมีประโยชน์ต่อมนุษย์ด้านใดบ้าง อย่างไร (ตัวอย่างคำตอบ ปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมหลายด้าน ดังนี้ 1. ด้านอาหาร ทำให้พืช ผัก ผลไม้ มีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มมากขึ้น 2. ด้านการแพทย์ผลิตยารักษาโรค และการผลิตวัคซีนป้องกันโรค 3. ด้านการเกษตร เกิดพืชที่มีความต้านทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศ และแมลงศัตรูพืช 4. ด้านอุตสาหกรรม ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำ เนื่องจากลดการใช้สารเคมี) 1.5 การใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมมีผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมหรือไม่ อย่างไร (ตัวอย่างคำตอบ มีผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่อาจมีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมเช่น สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมอาจสร้างสารที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพเปลี่ยนแปลงและ ทำให้ระบบนิเวศเสียสมดุล) 1.6 สรุปผลการทำกิจกรรมนี้ได้อย่างไร (มนุษย์เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ เพื่อให้ได้สิ่งมีชิวตที่มีลักษณะตามต้องการ เรียกสิ่งมีชีวิตนั้นว่า สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ในปัจจุบันมนุษย์มีการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม เป็นจำนวนมาก และยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม) 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสรุปผลการทำกิจกรรมและสรุปสิ่งที่เข้าใจเป็นความรู้ร่วมกันเกี่ยวกับ การใช้ประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมว่า มนุษย์เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตตาม ธรรมชาติ เพื่อให้ได้สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะตามต้องการ เรียกสิ่งมีชีวิตนี้ว่า สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ในปัจจุบัน มนุษย์มีการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมเป็นจำนวนมากและยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของ สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ขั้นที่ 4 ขยายความรู้ (Elaboration) (30 นาที) 1. นักเรียนร่วมกันสรุปสิ่งที่เข้าใจเป็นความรู้ร่วมกัน ดังนี้ • มนุษย์เปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ เพื่อให้ได้สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะตามต้องการ เรียก สิ่งมีชีวิตนี้ว่า สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม


84 • ในปัจจุบัน มนุษย์มีการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมเป็นจำนวนมาก เช่น การผลิตอาหาร การผลิตยารักษาโรค การเกษตร อย่างไรก็ดี สังคมยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปร พันธุกรรมที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ซึ่งยังทำการติดตามศึกษาผลกระทบดังกล่าว 2.ครูอธิบายเพิ่มเติมประกอบกับ Powerpoint เรื่อง สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ขั้นที่ 5 ประเมิน (Evaluation) (10 นาที) ครูประเมินผลของนักเรียนตามแบบประเมินดังนี้ 1. สังเกตพฤติกรรมการร่วมกิจกรรมของนักเรียน มีความกระตือรือร้นในการหาความรู้ มีความมั่นใจ และกล้าแสดงออก และสังเกตพฤติกรรมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของแต่ละบุคคล มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และ มุ่งมั่นในการทำงาน 2. ตรวจคะแนนจากใบกิจกรรมที่ 2.6 เรื่อง การใช้ประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปร พันธุกรรม 7. สื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 2. Powerpoint เรื่อง สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม 3. ใบกิจกรรมที่ 2.6 เรื่อง การใช้ประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม 8. ภาระงานและชิ้นงาน - ใบกิจกรรมที่ 2.6 เรื่อง การใช้ประโยชน์และผลกระทบของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม 9. การวัดและประเมินผล ประเด็นการประเมิน วิธีการ เครื่องมือ การวัดประเมินผล ด้านความรู้ (K) 1. บอกความหมายของ สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ได้ 2. อธิบายการใช้ประโยชน์ จากสิ่งมีชีวิตดัดแปร พันธุกรรมและผลกระทบ ที่อาจมีต่อมนุษย์และ สิ่งแวดล้อม โดยใช้ข้อมูล ที่รวบรวมได้ ตรวจคะแนนจาก - ใบกิจกรรมที่ 2.6 เรื่อง การใช้ ประโยชน์และ ผลกระทบของ สิ่งมีชีวิตดัดแปร พันธุกรรม ใบกิจกรรม เรื่อง การ ใช้ประโยชน์และ ผลกระทบของสิ่งมีชีวิต ดัดแปรพันธุกรรม ทำได้ร้อยละ 70 ขึ้นไป


85 ด้านทักษะ (P) 1. ปฏิบัติกิจกรรมการใช้ ประโยชน์และผลกระทบ ของสิ่งมีชีวิตดัดแปร พันธุกรรม 2. มีความกระตือรือร้นใน การหาความรู้ 3. มีความมั่นใจในการกล้า แสดงออก - สังเกตพฤติกรรม ในชั้นเรียน แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ระดับคุณภาพ ดี/พอใช้/ ปรับปรุง ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป ด้านคุณลักษณะ (A) 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน สังเกตพฤติกรรมการ ทำงานกลุ่ม แบบประเมินทักษะ การทำงานกลุ่ม ระดับคุณภาพ ดี/พอใช้/ ปรับปรุง ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป


86


87


88


89 แผนการจัดการเรียนรู้ที่9 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาวิทยาศาสตร์ 5 รหัสวิชา ว 23101 หน่วยการเรียนที่ 3 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เวลาเรียนรวม 5 ชั่วโมง เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับคลื่น เวลา 3 ชั่วโมง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1/2566 ผู้สอน นางสาวสุภาพร พื้นขุนทด วันที่.......เดือน..................พ.ศ……. 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 2.3 ม.3/1 สร้างแบบจำลองที่อธิบายการเกิดคลื่นและบรรยายส่วนประกอบของคลื่น 2. สาระสำคัญ คลื่น (wave) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการรบกวนแหล่งกำเนิด หรือตัวกลางเกิดการสั่นสะเทือนทำให้ มีการแผ่หรือถ่ายโอนพลังงานจากการสั่นสะเทือนไปยังจุดอื่น ๆ โดยที่ตัวกลางนั้นไม่มีการเคลื่อนที่ไปกับคลื่น การ เกิดคลื่นน้ำเป็นการถ่ายโอนพลังงานโดยผ่านโมเลกุลของน้ำ ซึ่งโมเลกุลของน้ำจะไม่เคลื่อนที่ไปกับคลื่น 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความยาวคลื่น ความถี่ และแอมพลิจูดได้ 2. อธิบายการเกิดคลื่นกลและบรรยายส่วนประกอบของคลื่นได้ 3.2 ทักษะ/กระบวนการ (P) 1. คำนวณหาปริมาณที่เกี่ยวข้องกับอัตราเร็ว ความยาวคลื่น ความถี่ และแอมพลิจูดได้ 2. ปฏิบัติกิจกรรมคลื่นในลวดสปริงได้อย่างถูกต้องและเป็นลำดับขั้นตอน 3. มีทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 4. สมรรถนะสำคัญ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี


90 5. สาระการเรียนรู้ 1. องค์ประกอบของคลื่น 2. สมบัติบางประการของคลื่น 6. กิจกรรมการเรียนรู้ (ใช้การสืบเสาะหาความรู้ (5E)) ชั่วโมงที่ 1 ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ (Engement) (20นาที) 1. นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 2. ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียนโดยใช้สถานการณ์และภาพ จากนั้นนักเรียนอภิปราย ตามแนว คำถาม ดังนี้ - เมื่อปล่อยก้อนหินลงในน้ำนิ่ง นักเรียนสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของน้ำอย่างไร (ผิวน้ำ กระเพื่อม เกิดคลื่น) - ถ้าปล่อยก้อนหินลงในน้ำนิ่งจากระดับความสูงที่ต่างกัน การเปลี่ยนแปลงของน้ำที่เกิดขึ้น เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (นักเรียนตอบตามความเข้าใจ เช่น ถ้าปล่อยก้อนหินลงในน้ำนิ่งจากระดับความสูง มากขึ้น น้ำจะกระเพื่อมสูงขึ้นเพราะมีพลังงานมากขึ้น) ขั้นที่ 2 สำรวจและค้นหา (Exploration) (40 นาที) 1. นักเรียนศึกษาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับคลื่น 2. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน ทำกิจกรรมที่ 2.1 เรื่อง คลื่นในลวดสปริง 3. ครูชี้แจงกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ครูตรวจสอบความเข้าใจโดยใช้คำถาม ดังต่อไปนี้ - กิจกรรมนี้เรียนเกี่ยวกับเรื่องอะไร (การเกิดคลื่นกลและลักษณะของคลื่นกล) - กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อะไร (สร้างแบบจำลองและอธิบายการเกิดคลื่นในสปริง และ เปรียบเทียบลักษณะของคลื่นในสปริงจากแนวการเคลื่อนที่ของอนุภาคของสปริงและทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น)


91 - วิธีดำเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (ยืดสปริงที่วางบนพื้นราบ ผูกริบบิ้นไว้กับสปริง จากนั้นสะบัดปลายด้านหนึ่งของสปริงในรูปแบบต่าง ๆ สังเกตการเคลื่อนที่ของริบบิ้นและการเปลี่ยนแปลงของ สปริง) - นักเรียนต้องสังเกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (ทิศทางการเคลื่อนที่ของริบบิ้นและทิศทางการ เคลื่อนที่ของคลื่น) 4. ขณะที่นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรม ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียน ในแต่ละกลุ่มและ ให้คำแนะนำถ้านักเรียนมีข้อสงสัยในประเด็นต่าง ๆ เช่น - เรื่อง ทิศทางการสะบัดมือ - เรื่อง ทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นในสปริง - เรื่อง วิธีการสังเกตการ - เรื่อง การสร้างคลื่นในสปริงจากด้าน A ไปด้าน B จะทำให้เกิดคลื่นสะท้อนกลับจากปลายด้าน B ซึ่งอาจส่งผลต่อลักษณะของคลื่นที่เกิดขึ้นหรืออาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน ครูแนะนำให้นักเรียนสังเกต เฉพาะคลื่นที่เคลื่อนที่จากด้าน A ไปด้าน B - ครูแนะนำให้นักเรียนบันทึกผลการทำกิจกรรมโดยการวาดภาพคลื่นในสปริงหรืออาจใช้การถ่าย ภาพนิ่งหรือภาพเคลื่อนไหวโดยใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 3 อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (60 นาที) 1. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปกิจกรรมว่า คลื่นในสปริงเกิดขึ้นเมื่อเราออกแรงสะบัด ปลายด้าน A ของสปริง โดยคลื่นจะเคลื่อนที่จากปลายด้าน A ไปด้าน B และขณะที่คลื่นเคลื่อนที่ไปนั้นริบบิ้นไม่ เคลื่อนที่ไปตามคลื่นแต่จะเคลื่อนที่แบบสั่นกลับไปมา ถ้าพิจารณาทิศทางการเคลื่อนที่ของริบบิ้นกับทิศทางการ เคลื่อนที่ของคลื่นในสปริงจะสามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ การเคลื่อนที่ของริบบิ้นที่มีทิศทางตั้งฉากกับทิศ ทางการเคลื่อนที่ของคลื่นกับการเคลื่อนที่ของริบบิ้นที่มีทิศทางอยู่ในแนวเดียวกับทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น ชั่วโมงที่ 3 ขั้นที่ 4 ขยายความรู้ (Elaboration) (30 นาที) 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมประกอบกับ Powerpoint เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับคลื่น 2. นักเรียนแต่ละคนศึกษาค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง ส่วนประกอบของคลื่น อัตราเร็วของ คลื่น และตัวอย่างการคำนวณหาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราเร็วของคลื่น ความยาวคลื่น และความถี่ จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 ครูอาจแนะนำให้นักเรียนทำตามขั้นตอนการ แก้โจทย์ปัญหา ดังนี้ - ขั้นที่ 1 ทำความเข้าใจโจทย์ปัญหา


92 - ขั้นที่ 2 วางแผนการแก้โจทย์ปัญหา เช่น สิ่งที่โจทย์ต้องการถามหา และจะหาสิ่งที่โจทย์ต้องการ ต้องทำอย่างไร - ขั้นที่ 3 ดำเนินการแก้โจทย์ปัญหา - ขั้นที่ 4 ตรวจสอบคำตอบ ขั้นที่ 5 ประเมิน (Evaluation) (30 นาที) ครูประเมินผลของนักเรียนตามแบบประเมินดังนี้ 1. สังเกตพฤติกรรมการร่วมกิจกรรมของนักเรียน มีความกระตือรือร้นในการหาความรู้ มีความมั่นใจ และกล้าแสดงออก และสังเกตพฤติกรรมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของแต่ละบุคคล มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นใน การทำงาน 2. นักเรียนทำใบงานที่ 2.1 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับคลื่น 7. สื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 2. Powerpoint เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับคลื่น 3. ใบงานที่ 2.1 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับคลื่น 4. ใบกิจกรรมที่ 2.1 เรื่อง คลื่นในลวดสปริง 5. DLTV เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับคลื่น 8. การวัดและประเมินผล ประเด็นการประเมิน วิธีการ เครื่องมือ การวัดประเมินผล ด้านความรู้ (K) 1. อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างความยาวคลื่น ความถี่ และแอมพลิจูดได้ 2. อธิบายการเกิดคลื่นกล และบรรยาย ส่วนประกอบของคลื่นได้ ตรวจคะแนนจาก - ใบงานที่ 2.1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ คลื่น ใบงาน 2.1 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ คลื่น ทำได้ร้อยละ 70 ขึ้นไป ด้านทักษะ (P) 1. คำนวณหาปริมาณที่ เกี่ยวข้องกับอัตราเร็ว ความยาวคลื่น ความถี่ และแอมพลิจูดได้ - สังเกตพฤติกรรม ในชั้นเรียน - แบบสังเกต พฤติกรรม การทำงานกลุ่ม ระดับคุณภาพ ดี/พอใช้/ ปรับปรุง


93 2. ปฏิบัติกิจกรรมคลื่นใน ลวดสปริงได้อย่างถูกต้อง และเป็นลำดับขั้นตอน 3. มีทักษะการทำงาน เป็นกลุ่ม - ใบกิจกรรมที่ 2.1 เรื่อง คลื่นในลวด สปริง ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป ด้านคุณลักษณะ (A) 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน สังเกตพฤติกรรมการ ทำงานกลุ่ม - แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ระดับคุณภาพ ดี/พอใช้/ ปรับปรุง ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป


94


95


96


Click to View FlipBook Version