97 ภาคผนวก
98 จุดประสงค์…………………………………………………………………………………………………………………………………..…………… ………………………………………………………………………………………………………………………… สมมติฐาน………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… วัสดุอุปกรณ์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการทำกิจกรรม ตาราง ผลการสังเกตทิศทางการเคลื่อนที่ของริบบิ้นและทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นเมื่อสะบัดสปริง การด าเนินกิจกรรม ทศิทางการเคลอื่นทขี่องริบบนิ้ทศิทางการเคลอื่นทขี่องคลนื่ ใบกิจกรรมที่ 2.1 เรื่อง คลื่นในลวดสปริง
99 1. เมื่อสะบัดปลายสปริงด้าน A มีพลังงานส่งผ่านไปยังปลายสปริงด้าน B หรือไม่ ทราบได้อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… 2. คลื่นในสปริงเกิดขึ้นได้อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… 3. เมื่อสะบัดปลายสปริงด้าน A คลื่นที่เกิดขึ้นมีการเคลื่อนที่ไปในทิศทางใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ขณะที่เกิดคลื่นในสปริง ริบบิ้นซึ่งเป็นตัวแทนอนุภาคของสปริงมีการเคลื่อนที่ไปกับคลื่นหรือไม่ อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… 5. เมื่อสะบัดปลายสปริงในแนวซ้ายและขวา ทิศทางการเคลื่อนที่ของริบบิ้นและทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… 6. เมื่อสะบัดปลายสปริงให้ยืดออกและหดเข้า ทิศทางการเคลื่อนที่ของริบบิ้นและทิศทางการเคลื่อนที่ของ คลื่นเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… 7. จากกิจกรรม สรุปได้ว่าอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… คำถามท้ายกิจกรรม
100 จุดประสงค์ 1. สร้างแบบจำลองและอธิบายการเกิดคลื่นในสปริง 2. เปรียบเทียบลักษณะของคลื่นในสปริงตามทิศทางการเคลื่อนที่ของอนุภาคของสปริงและทิศ ทางการเคลื่อนที่ของคลื่น สมมติฐาน นักเรียนเขียนตามความคิดของนักเรียนเอง วัสดุอุปกรณ์ สปริง 1 ตัว ริบบิ้นหรือเชือกฟาง 1 เส้น ผลการทำกิจกรรม ตาราง ผลการสังเกตทิศทางการเคลื่อนที่ของริบบิ้นและทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นเมื่อสะบัดสปริง การด าเนินกิจกรรม ทศิทางการเคลอื่นทขี่องริบบนิ้ทศิทางการเคลอื่นทขี่องคลนื่ สะบัดปลายด้าน A ของ สปริง ไปทางซ้าย และขวา 1 ครั้ง เคลื่อนที่ในแนวซ้ายและขวา 1 ครั้ง จากด้าน A ไปด้าน B สะบัดปลายด้าน A ของ สปริงไปทางซ้ายและขวา อย่างต่อเนื่อง เคลื่อนที่ในแนวซ้ายและขวาอย่างต่อเนื่อง จากด้าน A ไปด้าน B สะบัดปลายด้าน A ให้ยืด ออกและหดเข้าอย่าง ต่อเนื่อง เคลื่อนที่ในแนวกลับไปมาขนานกับแนวการวางตัวของ สปริงอย่างต่อเนื่อง จากด้าน A ไปด้าน B เฉลยใบกิจกรรมที่ 2.1 เรื่อง คลื่นในลวดสปริง
101 1. เมื่อสะบัดปลายสปริงด้าน A มีพลังงานส่งผ่านไปยังปลายสปริงด้าน B หรือไม่ ทราบได้อย่างไร แนวคำตอบ เมื่อสะบัดปลายสปริงด้าน A มีพลังงานส่งผ่านไปยังปลายสปริงด้าน B สังเกตได้จากสปริงที่ ปลายด้าน B มีการสั่น 2. คลื่นในสปริงเกิดขึ้นได้อย่างไร แนวคำตอบ คลื่นในสปริงเกิดขึ้นเมื่อออกแรงสะบัดที่ปลายด้าน A ของสปริงแล้วมีการส่งผ่านพลังงานให้ อนุภาคของสปริงสั่นอย่างต่อเนื่องกันไปจนเกิดเป็นคลื่น 3. เมื่อสะบัดปลายสปริงด้าน A คลื่นที่เกิดขึ้นมีการเคลื่อนที่ไปในทิศทางใด แนวคำตอบ คลื่นในสปริงมีการเคลื่อนที่จากด้าน A ไปด้าน B 4. ขณะที่เกิดคลื่นในสปริง ริบบิ้นซึ่งเป็นตัวแทนอนุภาคของสปริงมีการเคลื่อนที่ไปกับคลื่นหรือไม่ อย่างไร แนวคำตอบ ขณะที่เกิดคลื่นในสปริง ริบบิ้นไม่ได้เคลื่อนที่ไปกับคลื่น แต่ริบบิ้นจะเคลื่อนที่กลับไปมารอบ ๆตำแหน่งเดิม 5. เมื่อสะบัดปลายสปริงในแนวซ้ายและขวา ทิศทางการเคลื่อนที่ของริบบิ้นและทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร แนวคำตอบ เมื่อสะบัดปลายสปริงในแนวซ้ายและขวา ทิศทางการเคลื่อนที่ของริบบิ้นจะแตกต่างจากทิศ ทางการเคลื่อนที่ของคลื่น โดยริบบิ้นจะเคลื่อนที่ไปทางซ้าย-ขวาซึ่งตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น 6. เมื่อสะบัดปลายสปริงให้ยืดออกและหดเข้า ทิศทางการเคลื่อนที่ของริบบิ้นและทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร แนวคำตอบ เมื่อสะบัดปลายสปริงให้ยืดออกและหดเข้า ทิศทางการเคลื่อนที่ของริบบิ้นจะเหมือนกับแนว การเคลื่อนที่ของคลื่น โดยริบบิ้นจะเคลื่อนที่กลับไปมาในแนวเดียวกับทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น 7. จากกิจกรรม สรุปได้ว่าอย่างไร แนวคำตอบ คลื่นในสปริงเกิดขึ้นเมื่อเราออกแรงสะบัดปลายด้าน A ของสปริงทำให้อนุภาคของสปริงสั่น อย่างต่อเนื่อง เกิดคลื่นเคลื่อนที่จากปลายด้าน A ไปด้าน B โดยที่อนุภาคของสปริงไม่เคลื่อนที่ไปกับคลื่นนั้น สังเกต ได้จากการเคลื่อนที่ของริบบิ้น ถ้าพิจารณาทิศทางการเคลื่อนที่ของริบบิ้นกับทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่นในสปริง จะสามารถแบ่งคลื่นได้เป็น 2 ลักษณะ คือ คลื่นในสปริงที่มีแนวการเคลื่อนที่ของริบบิ้นตั้งฉากกับทิศทางการ เคลื่อนที่ของคลื่น และคลื่นในสปริงที่มีแนวการเคลื่อนที่ของริบบิ้นอยู่ในแนวเดียวกันกับทิศทางการเคลื่อนที่ของ คลื่น คำถามท้ายกิจกรรม
102 คำชี้แจง : ตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. การจำแนกคลื่นกลเป็นคลื่นตามยาวและคลื่นตามขวางเป็นการจำแนกโดยใช้อะไรเป็นเกณฑ์ ............................................................................................................................. .............................................. ........................................................................................................................................ 2. คลื่นดลกับคลื่นต่อเนื่องต่างกันอย่างไร ............................................................................................................................. .............................................. ............................................................................................................................. .................................................... ................................................................................................................... 3. องค์ประกอบของคลื่น มีอะไรบ้าง ............................................................................................................................. .......................... ........................................................................................................ ............................................... 4. เมื่อเกิดคลื่นในตัวกลางหนึ่ง ๆ อนุภาคของตัวกลางจะเป็นอย่างไร ............................................................................................................................. .......................... ........................................................................................................ ............................................... 5. จากภาพของคลื่นบนเส้นเชือกที่มีอัตราเร็วคลื่น 0.80 เมตรต่อวินาที จงหาแอมพลิจูด ความยาวคลื่น คาบ และ ความถี่ของคลื่น .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... ใบงานที่ 2.1 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับคลื่น -10 การกระจัด (เซนติเมตร) ตำแหน่ง (เซนติเมตร) 5 10 -5 0 10 20 30 40 50 60 70 80 90
103 คำชี้แจง : ตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. การจำแนกคลื่นกลเป็นคลื่นตามยาวและคลื่นตามขวางเป็นการจำแนกโดยใช้อะไรเป็นเกณฑ์ ............................................................................................................................. .......................... ........................................................................................................ ............................................... 2. คลื่นดลกับคลื่นต่อเนื่องต่างกันอย่างไร ....................................................................................................................... ................................ ............................................................................................................................. .......................... ....................................................................................................................................................... 3. องค์ประกอบของคลื่น มีอะไรบ้าง ............................................................................................................................. .......................... 4. เมื่อเกิดคลื่นในตัวกลางหนึ่ง ๆ อนุภาคของตัวกลางจะเป็นอย่างไร ............................................................................................................................. .......................... 5. จากภาพของคลื่นบนเส้นเชือกที่มีอัตราเร็วคลื่น 0.80 เมตรต่อวินาที จงหาแอมพลิจูด ความยาวคลื่น คาบ และ ความถี่ของคลื่น .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................. เฉลยใบงานที่ 2.1 เรื่อง ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับคลื่น -10 การกระจัด (เซนติเมตร) ตำแหน่ง (เซนติเมตร) 5 10 -5 0 10 20 30 40 50 60 70 80 90 • แอมพลิจูดของคลื่นมีค่า 10 เซนติเมตร หรือ 0.10 เมตร • ความยาวของคลื่นมีค่า 40 เซนติเมตร หรือ 0.40 เมตร • คาบของคลื่นมีค่า 0.50 วินาที • ความถี่ของคลื่นมีค่า 2.0 เฮิรตซ์ ใช้ทิศการสั่นของอนุภาคตัวกลางเป็นเกณฑ์ คลื่นดลเป็นคลื่นที่เกิดจากแหล่งกำเนิดคลื่นที่สั่นในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เช่น คลื่นผิวน้ำที่เกิดจากการ ใช้นิ้วแตะผิวน้ำ ส่วนคลื่นต่อเนื่องเป็นคลื่นที่เกิดจากการสั่นอย่างต่อเนื่องของแหล่งกำเนิดคลื่น เช่น คลื่นในทะเล สันคลื่น ท้องคลื่น แอมพลิจูด ความยาวคลื่น ความถี่ คาบ และหน้าคลื่น อนุภาคของตัวกลางเคลื่อนที่ขึ้น-ลง หรือไปทางซ้ายและขวา แต่ไม่เคลื่อนที่ตามคลื่นไปด้วย
104 แผนการจัดการเรียนรู้ที่10 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาวิทยาศาสตร์ 5 รหัสวิชา ว 23101 หน่วยการเรียนที่ 3 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เวลาเรียนรวม 5 ชั่วโมง เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เวลา 2 ชั่วโมง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1/2566 ผู้สอน นางสาวสุภาพร พื้นขุนทด วันที่.......เดือน..................พ.ศ……. 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด ว 2.3 ม.3/11 อธิบายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากข้อมูลที่รวบรวมได้ ว 2.3 ม.3/12 ตระหนักถึงประโยชน์และอันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าโดยนำเสนอการใช้ประโยชน์ใน ด้านต่าง ๆ และอันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน 2. สาระสำคัญ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic waves) เป็นคลื่นตามขวาง ประกอบด้วยสนามไฟฟ้าและ สนามแม่เหล็กที่มีการสั่นในแนวตั้งฉากกันและอยู่บนระนาบตั้งฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น โดยที่คลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าเกิดจากการรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้าโดยการทำให้สนามไฟฟ้า หรือสนามแม่เหล็กมีการ เปลี่ยนแปลง เมื่อสนามไฟฟ้ามีการเปลี่ยนแปลงจะเหนี่ยวนำให้เกิดสนามแม่เหล็ก หรือถ้าสนามแม่เหล็กมีการ เปลี่ยนแปลงก็จะเหนี่ยวนำทำให้เกิดสนามไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีด้วยกันอยู่หลายชนิด ซึ่งแบ่งตามความถี่ของคลื่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกช่วงที่มี ความถี่ที่ต่อเนื่องกัน เรียกว่า สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic spectrum) โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ช่วงความถี่ต่าง ๆ มีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้แตกต่างกัน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น คลื่นไมโครเวฟนำมาใช้ในการสื่อสารผ่านดาวเทียม ใช้ในการรักษาโรคด้วยความร้อน ด้านการแพทย์มีการนำเลเซอร์มาใช้ผ่าตัดหรือรักษาอาการผิดปกติที่บริเวณตา ด้าน อุตสาหกรรม ใช้เลเซอร์ในการเชื่อมโลหะเข้าด้วยกัน นอกจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะนำมาใช้ประโยชน์แล้ว ยังมีโทษต่อ มนุษย์ด้วย เช่น คลื่นจากโทรศัพท์มือถือส่งผลต่อการทำงานของสมอง เกิดการอักเสบของสมอง รังสีเอกซ์และรังสี แกมมา เมื่อร่างกายได้รับรังสีเข้าไปอาจทำเซลล์เสื่อมสภาพส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพหรือไม่ สามารถทำงานได้ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1. อธิบายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ 2. อธิบายและยกตัวอย่างประโยชน์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
105 3.2 ทักษะ/กระบวนการ (P) 1. นำเสนอการใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ และอันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน 2. มีความกระตือรือร้นในการหาความรู้ 3. มีความมั่นใจในการกล้าแสดงออก 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 4. สมรรถนะสำคัญ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 5. สาระการเรียนรู้ 1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 6. กิจกรรมการเรียนรู้ (ใช้การสืบเสาะหาความรู้ (5E)) ชั่วโมงที่ 1 ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ (Engement) (20นาที) 1. ครูทบทวนความรู้เดิมของนักเรียนเกี่ยวกับเรื่อง การเกิดคลื่น ชนิดของคลื่น และส่วนประกอบของ คลื่น จากนั้นครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ 2. ครูตั้งประเด็นคำถามกระตุ้นความสนใจนักเรียนว่า “คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร และ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะมีคุณสมบัติต่าง ๆ เหมือนกับคลื่นน้ำที่นักเรียนเรียนผ่านมาหรือไม่ อย่างไร” โดยให้นักเรียน แต่ละคนร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระโดยไม่มีการเฉลยว่าถูกหรือผิด (แนวคำตอบ : คำตอบขึ้นอยู่ กับดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นที่ 2 สำรวจและค้นหา (Exploration) (40 นาที) 1. นักเรียนศึกษาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 2. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน จากนั้นร่วมกันทำใบกิจกรรมที่ 2.2 เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คืออะไร ศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง การค้นพบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และสเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จาก หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.3 เล่ม 1 หรือแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น อินเทอร์เน็ต 3. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายเรื่องที่ได้ศึกษา จากนั้นร่วมกันสรุปความรู้ที่ได้จากการศึกษาลง ในกระดาษชาร์ต
106 ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 3 อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (30 นาที) 1. นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลจากการศึกษาหน้าชั้นเรียน ในระหว่างที่นักเรียนนำเสนอ ครูคอยให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจถูกต้อง 2. ครูตั้งประเด็นคำถามกระตุ้นความคิดนักเรียน โดยให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายแสดง ความคิดเห็นเพื่อหาคำตอบ ดังนี้ - คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร (แนวตอบ : การปลดปล่อยพลังงาน หรือการแผ่รังสีออกมา ในรูปของคลื่น) - คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดใดที่มีความยาวคลื่นยาวที่สุด (แนวตอบ : คลื่นวิทยุ) - คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดใดที่มีความยาวคลื่นสั้นที่สุด (แนวตอบ : แกมมา) - คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดใดที่มีช่วงความถี่มากที่สุด (แนวตอบ : รังสีแกมมา) - คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดใดที่มีช่วงความถี่สั้นที่สุด (แนวตอบ : คลื่นวิทยุ) - รีโมตโทรทัศน์มีการทำงานโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดใด (แนวตอบ : รังสีอินฟราเรด) 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับการค้นพบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าว่า “เจมส์คลาร์ก แมกซ์ เวลล์ ได้เสนอทฤษฎีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าว่า มีคลื่นที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก และสามารถเคลื่อนที่ผ่านสุญญากาได้โดยไม่อาศัยตัวกลางใน การเคลื่อนที่(จึงไม่ใช่คลื่นกล) เรียกว่า คลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า และต่อมาเฮิร์ตซ์ ได้ทดลองพิสูจน์ทฤษฎีของแมกซ์เวลล์ แล้วพบว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีอยู่จริงใน ธรรมชาติ โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เฮิรตซ์ค้นพบในครั้งนั้น คือ คลื่นวิทยุส่วนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกย่านความถี่ รวมกัน เรียกว่า สเปกตรัมคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า” ขั้นที่ 4 ขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที) 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมประกอบกับ Powerpoint เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 2. ครูถามคำถามนักเรียนว่า “สิ่งใดบ้างที่จัดเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก่อให้เกิด โทษต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมหรือไม่ อย่างไร” 3. นักเรียนทำใบงานที่ 2.2 เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ขั้นที่ 5 ประเมิน (Evaluation) (10 นาที) ครูประเมินผลของนักเรียนตามแบบประเมินดังนี้ 1. สังเกตพฤติกรรมการร่วมกิจกรรมของนักเรียน มีความกระตือรือร้นในการหาความรู้ มีความมั่นใจ และกล้าแสดงออก และสังเกตพฤติกรรมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของแต่ละบุคคล มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น ในการทำงาน
107 2. นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 7. สื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 2. Powerpoint เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 3. ใบงานที่ 2.2 เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 4. ใบกิจกรรมที่ 2.2 เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคืออะไร 5. DLTV เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 6. แบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 9. การวัดและประเมินผล ประเด็นการประเมิน วิธีการ เครื่องมือ การวัดประเมินผล ด้านความรู้ (K) 1. อธิบายคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า และ สเปกตรัมของคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าได้ 2. อธิบายและยกตัวอย่าง ประโยชน์ของคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าได้ ตรวจคะแนนจาก ใบงานที่ 2.2 เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ใบงานที่ 2.2 เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำได้ร้อยละ 70 ขึ้นไป ด้านทักษะ (P) 1. นำเสนอการใช้ ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ และอันตรายจากคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าใน ชีวิตประจำวัน 2. มีความกระตือรือร้นใน การหาความรู้ 3. มีความมั่นใจในการกล้า แสดงออก - สังเกตพฤติกรรม ในชั้นเรียน - ใบกิจกรรมที่ 2.2 เรื่องคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าคือ อะไร - แบบสังเกต พฤติกรรม การทำงานกลุ่ม - ใบกิจกรรมที่ 2.2 เรื่องคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าคืออะไร ระดับคุณภาพ ดี/พอใช้/ ปรับปรุง ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป
108 ด้านคุณลักษณะ (A) 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน สังเกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม - แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ระดับคุณภาพ ดี/พอใช้/ ปรับปรุง ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป
109
110
111
112 ภาคผนวก
113 จุดประสงค์…………………………………………………………………………………………………………………………………..…………… ………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการทำกิจกรรม (นักเรียนสรุปผลการสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูลลงในกรอบที่กำหนดไว้ให้) ใบกิจกรรมที่ 2.2 เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคืออะไร
114 1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคืออะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… 2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแตกต่างจากคลื่นกลหรือไม่ อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… 3. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีประโยชน์และอันตรายอย่างไรบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… 4. จากกิจกรรม สรุปได้ว่าอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… คำถามท้ายกิจกรรม
115 จุดประสงค์ 1. รวบรวมข้อมูลและบอกความหมายของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสเปกตรัมของคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า 2. รวบรวมข้อมูลและนำเสนอการใช้ประโยชน์และอันตรายจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ผลการทำกิจกรรม (นักเรียนสรุปผลการสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูลลงในกรอบที่กำหนดไว้ให้) ผลการสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูล - คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คือ คลื่นประเภทหนึ่งที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการส่งผ่านพลังงาน แต่จะส่งผ่าน พลังงานโดยการเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าต่อเนื่องกันไปเป็นทอด ๆ - สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คือ ช่วงความถี่ต่าง ๆ ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจาก แหล่งกำเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น ดวงอาทิตย์ โดยแต่ละช่วงมีชื่อเรียกต่างกัน ได้แก่ คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรดแสง อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์และรังสีแกมมา - ความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแปรผกผันกับความยาวคลื่น - พลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแปรผันตามความถี่ โดยคลื่นที่มีความถี่สูงจะมีพลังงานมาก - ประโยชน์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น การใช้คลื่นวิทยุส่งสัญญาณวิทยุ การใช้คลื่นไมโครเวฟสำหรับ การสื่อสารโทรทัศน์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ และยังสามารถใช้อุ่นอาหารหรือทำให้อาหารสุกได้อีกด้วย การใช้ แสงเลเซอร์สำหรับส่งสารสนเทศผ่านเส้นใยนำแสง การใช้รังสีเอกซ์ในการศึกษาโครงสร้างกระดูกภายใน ร่างกายมนุษย์ เป็นต้น - อันตรายของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น รังสีอัลตราไวโอเลตอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง รังสีแกมมาอาจ ทำลายเนื้อเยื่อหรืออาจทำให้เสียชีวิตได้หากได้รับรังสีแกมมาในปริมาณสูง เฉลยใบกิจกรรมที่ 2.2 เรื่อง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคืออะไร
116 1. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคืออะไร แนวคำตอบ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคือคลื่นประเภทหนึ่งที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการส่งผ่านพลังงาน แต่จะส่งผ่าน พลังงานโดยการเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าต่อเนื่องกันไป สเปกตรัมของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคือช่วงความถี่ต่าง ๆ ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยแต่ละช่วงมีชื่อเรียก ต่างกันได้แก่ คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสง อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ และรังสีแกมมา 2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแตกต่างจากคลื่นกลหรือไม่ อย่างไร แนวคำตอบ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแตกต่างจากคลื่นกล โดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่งผ่านพลังงานโดยไม่อาศัยตัวกลาง ส่วนคลื่นกลส่งผ่านพลังงานโดยอาศัยตัวกลาง 3. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีประโยชน์และอันตรายอย่างไรบ้าง แนวคำตอบ ประโยชน์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น การใช้คลื่นวิทยุส่งสัญญาณวิทยุ การใช้คลื่นไมโครเวฟ สำหรับการสื่อสารโทรทัศน์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ และยังสามารถใช้อุ่นอาหารหรือทำให้อาหารสุกได้อีกด้วยการใช้ แสงเลเซอร์สำหรับส่งสารสนเทศผ่านเส้นใยนำแสง การใช้รังสีเอกซ์ในการศึกษาโครงสร้างกระดูกภายในร่างกาย มนุษย์ เป็นต้น อันตรายของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น รังสีอัลตราไวโอเลตอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง รังสีแกมมาอาจ ทำลายเซลล์หรือเนื้อเยื่อ หรืออาจทำให้เสียชีวิตได้ถ้าได้รับรังสีแกมมาในปริมาณสูง 4. จากกิจกรรม สรุปได้ว่าอย่างไร แนวคำตอบ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าคือคลื่นประเภทหนึ่งที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการส่งผ่านพลังงาน แต่จะ ส่งผ่านพลังงานโดยการเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าต่อเนื่องกันไปเป็นทอด ๆ สเปกตรัมของคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าคือช่วงความถี่ต่าง ๆ ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจากแหล่งกำเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น ดวงอาทิตย์ โดยแต่ละช่วงมีชื่อเรียกต่างกัน ได้แก่ คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสง อัลตราไวโอเลต รังสีเอกซ์ และรังสีแกมมา มนุษย์นำคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาใช้ประโยชน์มากมาย แต่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็เป็นอันตรายต่อ มนุษย์ได้ถ้าได้รับในปริมาณสูง คำถามท้ายกิจกรรม
117 แผนการจัดการเรียนรู้ที่11 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาวิทยาศาสตร์ 5 รหัสวิชา ว 23101 หน่วยการเรียนที่4 แสง เวลาเรียนรวม 16 ชั่วโมง เรื่อง การสะท้อนแสงและการเกิดภาพของกระจกเงาราบ เวลา 3 ชั่วโมง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1/2566 ผู้สอน นางสาวสุภาพร พื้นขุนทด วันที่.......เดือน..................พ.ศ……. 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด ว 2.3 ม.3/13 ออกแบบการทดลองและดำเนินการทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสมในการอธิบาย กฎการสะท้อนของแสง ว 2.3 ม.3/14 เขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของแสง แสดงการเกิดภาพจากกระจกเงา 2. สาระสำคัญ การสะท้อนของแสง เกิดจากแสงเดินทางไปตกกระทบกับผิวของวัตถุที่แสงไม่สามารถเดินทางผ่านได้ ทำ ให้แสงที่ตกกระทบผิวของวัตถุนั้น ๆ เกิดการสะท้อนกลับหมดลักษณะการสะท้อนของแสงจะสะท้อนกลับมากหรือ น้อย จะขึ้นอยู่กับลักษณะของผิวของวัตถุที่แสงตกกระทบ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1. อธิบายการเกิดการสะท้อนของแสง แนวรังสีตกกระทบ และแนวรังสีสะท้อนได้ 2. อธิบายลักษณะของภาพที่เกิดจากการสะท้อนแสงของกระจกเงาราบได้ 3.2 ทักษะ/กระบวนการ (P) 1. นักเรียนสามารถสังเกตและบอกลักษณะของภาพที่เกิดจากแผ่นสะท้อนแสงของกระจกเงาราบได้ 2. มีความกระตือรือร้นในการหาความรู้ 3. มีความมั่นใจในการกล้าแสดงออก 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 4. สมรรถนะสำคัญ 1. ความสามารถในการสื่อสาร
118 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 5. สาระการเรียนรู้ 1. การสะท้อนแสงที่ผิวของกระจกเงาราบ 2. การเกิดภาพของกระจกเงาราบ 6. กิจกรรมการเรียนรู้ (ใช้การสืบเสาะหาความรู้ (5E)) ชั่วโมงที่ 1 ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ (Engement) (20นาที) 1. ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ จากนั้นครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การสะท้อนของแสง 2. ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียน โดยใช้คำถาม เช่น การที่เรามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ แหล่งกำเนิดแสงได้ จะต้องมีแสงตกกระทบที่วัตถุนั้นแล้วสะท้อนออกจากผิววัตถุนั้น ๆ เข้าสู่ตา ซึ่งการสะท้อนจะ เป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสงเสมอ แล้วการที่เราส่องกระจกเงาราบแล้วมองเห็นภาพสะท้อนของตัวเราเองใน กระจกเงาราบนั้นเป็นไปตามกฎการสะท้อนของแสงหรือไม่ อย่างไร (นักเรียนตอบตามความคิดเห็นของตนเอง) 3. จากนั้นครูเชื่อมโยงเข้าสู่กิจกรรม ภาพที่เกิดจากแผ่นสะท้อนแสงผิวราบมีลักษณะอย่างไร ขั้นที่ 2 สำรวจและค้นหา (Exploration) (40 นาที) 1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 จากนั้นนักเรียนส่งตัวแทนรับใบกิจกรรมที่ 3.1 เรื่อง การสะท้อน แสงของกระจกเงาราบ 2. ครูอธิบายการทดลองให้นักเรียนฟัง นักเรียนแต่ละกลุ่มรับอุปกรณ์การทดลอง 3. ขณะที่นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรม ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียนใน แต่ละกลุ่มและ ให้คำแนะนำถ้านักเรียนมีข้อสงสัยในประเด็นต่าง ๆ เช่น - นักเรียนควรทำความเข้าใจองค์ประกอบต่าง ๆ ที่จะใช้ศึกษาเกี่ยวกับการสะท้อนของแสง ได้แก่ รังสีตกกระทบ รังสีสะท้อน เส้นแนวฉาก มุมตกกระทบ และมุมสะท้อนก่อนให้นักเรียนออกแบบการทดลอง - นักเรียนควรทบทวนวิธีวัดมุมโดยใช้ไม้บรรทัดวัดมุมและให้ฝึกวัดมุมต่าง ๆ ก่อนทำกิจกรรม - นักเรียนใช้แหล่งกำเนิดแสงเลเซอร์ในการทำกิจกรรม โดยให้ฉายแสงเลเซอร์ให้ไปกระทบตั้งฉาก ผิวหน้าของกระจกเงาราบ แล้วสังเกตผลการทดลองบันทึกแนวลำแสงที่พุ่งออกจากเลเซอร์ และแนวลำแสงที่พุ่ง ออกจากกระจกเงาราบบนกระดาษขาว
119 ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 3 อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (60 นาที) 1. นักเรียนนำเสนอผลการทำกิจกรรม ตอบคำถามท้ายกิจกรรม และร่วมกันอภิปรายโดยใช้คำถาม ท้ายกิจกรรมเป็นแนวทางเพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า - เมื่อแสงตกกระทบกระจกเงาราบจะเกิดการสะท้อนของแสงที่ผิวของกระจกเงาราบนั้น - ถ้าขนาดของมุมตกกระทบเพิ่มขึ้น ขนาดของมุมสะท้อนก็จะเพิ่มขึ้นด้วย โดยขนาดของมุมตก กระทบจะเท่ากับขนาดของมุมสะท้อนเสมอ 2. นักเรียนศึกษาจากหนังสือวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 เรื่อง การสะท้อนของแสง 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมประกอบกับ Powerpoint เรื่อง การสะท้อนของแสง ชั่วโมงที่ 3 ขั้นที่ 4 ขยายความรู้ (Elaboration) (30 นาที) 1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน จากนั้นร่วมกันทำใบกิจกรรมที่ 3.2 เรื่อง ภาพจากการสะท้อน แสงของวัตถุ 2. ครูอธิบายการทดลองให้นักเรียนฟัง โดยวิธีดำเนินกิจกรรมมีขั้นตอนดังนี้ (วางเข็มหมุดบนตาราง ของชุดศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างระยะวัตถุกับระยะภาพด้านใดด้านหนึ่ง และวางเข็มหมุดตัวที่ 2 ด้านหลังแผ่น พลาสติกสะท้อนแสงผิวราบ โดยให้เข็มหมุดตัวที่ 2 ซ้อนทับกับภาพของเข็มหมุดตัวที่ 1 ในแผ่นพลาสติก วัด ระยะห่างจากแผ่นพลาสติกสะท้อนแสงผิวราบถึงเข็มหมุดตัวที่ 1 และเข็มหมุดตัวที่ 2) จากนั้นนักเรียนต้องสังเกต และบันทึกผลการทดลอง 3. ขณะที่นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรม ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียนในแต่ละกลุ่มและ ให้คำแนะนำถ้านักเรียนมีข้อสงสัยในประเด็นต่าง ๆ เช่น - การตรวจสอบการวางตำแหน่งเข็มหมุดตัวที่ 2 ให้ซ้อนทับกับภาพของเข็มหมุดตัวที่ 1 ในแผ่น พลาสติกสะท้อนแสงผิวราบ - การวัดระยะวัตถุและระยะภาพ
120 - ใช้ดินน้ำมันที่ปักเข็มหมุดเป็นก้อนละสีและปั้นให้มีขนาดเท่า ๆ กันเพื่อให้ง่ายต่อการสังเกต - การตรวจสอบว่าตำแหน่งของภาพในแผ่นสะท้อนแสงซ้อนทับกับตำแหน่งของวัตถุหลังแผ่น สะท้อนแสงหรือไม่ ทำได้โดยเปลี่ยนมุมมองของผู้สังเกตไปทางซ้าย-ขวาเล็กน้อยแล้วสังเกตว่าภาพในแผ่นสะท้อน แสงแยกออกจากตำแหน่งของวัตถุหลังแผ่นสะท้อนแสงหรือไม่ ถ้าไม่แยกออกจากกันแสดงว่าซ้อนทับกันพอดี 4. นักเรียนนำเสนอผลการทำกิจกรรม ตอบคำถามท้ายกิจกรรม และร่วมกันอภิปรายโดยใช้คำถาม ท้ายกิจกรรมเป็นแนวทางเพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า เมื่อวางวัตถุไว้หน้าแผ่นพลาสติกสะท้อนแสงผิวราบจะ เกิดภาพในแผ่นพลาสติกสะท้อนแสงผิวราบนั้น โดยเมื่อเปลี่ยนตำแหน่งของวัตถุหน้าแผ่นพลาสติกสะท้อนแสงผิว ราบ ตำแหน่งของภาพก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยระยะภาพจะเท่ากับระยะวัตถุ และภาพที่เกิดจากการสะท้อนแสง ของแผ่นพลาสติกสะท้อนแสงผิวราบจะมีขนาดของภาพเท่ากับขนาดของวัตถุเสมอ ขั้นที่ 5 ประเมิน (Evaluation) (30 นาที) ครูประเมินผลของนักเรียนตามแบบประเมินดังนี้ 1. สังเกตพฤติกรรมการร่วมกิจกรรมของนักเรียน มีความกระตือรือร้นในการหาความรู้ มีความมั่นใจ และกล้าแสดงออก และสังเกตพฤติกรรมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของแต่ละบุคคล มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และ มุ่งมั่นในการทำงาน 2. นักเรียนทำใบงานที่ 3.1 เรื่อง การเกิดภาพของกระจกเงาราบ 7. สื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 2. Powerpoint เรื่อง การสะท้อนของแสง 3. ใบงานที่ 3.1 เรื่อง การเกิดภาพของกระจกเงาราบ 4. ใบกิจกรรมที่ 3.1 เรื่อง การสะท้อนแสงของกระจกเงาราบ 5. ใบกิจกรรมที่ 3.2 เรื่อง ภาพจากการสะท้อนแสงของวัตถุ 6. DLTV เรื่อง การสะท้อนของแสง 7. แบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง การสะท้อนของแสง 8. ภาระงานและชิ้นงาน - ใบงานที่ 3.1 เรื่อง การเกิดภาพของกระจกเงาราบ - ใบกิจกรรมที่ 3.1 เรื่อง การสะท้อนแสงของกระจกเงาราบ - ใบกิจกรรมที่ 3.2 เรื่อง ภาพจากการสะท้อนแสงของวัตถุ
121 9. การวัดและประเมินผล ประเด็นการประเมิน วิธีการ เครื่องมือ การวัดประเมินผล ด้านความรู้ (K) 1. อธิบายการเกิดการ สะท้อนของแสง แนวรังสี ตกกระทบ และแนวรังสี สะท้อนได้ 2. อธิบายลักษณะของ ภาพที่เกิดจากการสะท้อน แสงของกระจกเงาราบได้ ตรวจคะแนนจาก ใบงานที่ 3.1 เรื่อง การเกิดภาพของ กระจกเงาราบ ใบงานที่ 3.1 เรื่อง การเกิดภาพของ กระจกเงาราบ ทำได้ร้อยละ 70 ขึ้นไป ด้านทักษะ (P) 1. นักเรียนสามารถ สังเกตและบอกลักษณะ ของภาพที่เกิดจากแผ่น สะท้อนแสงของกระจกเงา ราบได้ 2. มีความกระตือรือร้นใน การหาความรู้ 3. มีความมั่นใจในการกล้า แสดงออก - สังเกตพฤติกรรม ในชั้นเรียน - ใบกิจกรรมที่ 3.1 เรื่อง การสะท้อน แสงของกระจก เงาราบ - ใบกิจกรรมที่ 3.2 เรื่อง ภาพจากการ สะท้อนแสงของ วัตถุ - แบบสังเกต พฤติกรรม การทำงานกลุ่ม ระดับคุณภาพ ดี/พอใช้/ ปรับปรุง ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป ด้านคุณลักษณะ (A) 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน สังเกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม - แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ระดับคุณภาพ ดี/พอใช้/ ปรับปรุง ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป
122 สมรรถนะสำคัญ 1. ความสามารถในการ สื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. มีความสามารถในการ ใช้เทคโนโลยี ประเมินจากสังเกต พฤติกรรม ในชั้นเรียน แบบประเมิน สมรรถนะสำคัญ ระดับคุณภาพ ดี/พอใช้/ ปรับปรุง ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป
123
124
125
126 ภาคผนวก
127 ผลการทำกิจกรรม (นักเรียนสรุปผลการสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูลลงในกรอบที่กำหนดไว้ให้) 1. แนวลำแสงที่ตกกระทบผิวกระจกเงาราบ เรียกว่า .......................................................... 2. แนวลำแสงที่สะท้อนออกจากผิวกระจกเงาราบ เรียกว่า ................................................. 3. เมื่อแนวรังสีตกกระทบตั้งฉากกับกระจกเงาราบ รังสีสะท้อนจะเกิดดังนี้ ……………………………………………………………………………………………………………………………… 4. มุมระหว่างรังสีตกกระทบกับเส้นแนวฉาก เรียกว่า ......................................................... และมุมระหว่างรังสีสะท้อนกับเส้นแนวฉาก เรียกว่า ..................................................... 5. มุมุตกกระทบกับมุมสะท้อนมีความสัมพันธ์กันดังนี้ ............................................................................................................................................. ……………………………………………………………………………………………………………………………… คำถามท้ายกิจกรรม ใบกิจกรรมที่ 3.1 เรื่อง การสะท้อนแสงของกระจกเงาราบ
128 ผลการทำกิจกรรม (นักเรียนสรุปผลการสืบค้นและวิเคราะห์ข้อมูลลงในกรอบที่กำหนดไว้ให้) 1. แนวลำแสงที่ตกกระทบผิวกระจกเงาราบ เรียกว่า รังสีตกกระทบ 2. แนวลำแสงที่สะท้อนออกจากผิวกระจกเงาราบ เรียกว่า รังสีสะท้อน 3. เมื่อแนวรังสีตกกระทบตั้งฉากกับกระจกเงาราบ รังสีสะท้อนจะเกิดดังนี้ รังสีสะท้อนจะจะซ้อนทับกับรังสีกระทบ 4. มุมระหว่างรังสีตกกระทบกับเส้นแนวฉาก เรียกว่า มุมตกกระทบ และมุมระหว่างรังสีสะท้อนกับเส้นแนวฉาก เรียกว่า มุมสะท้อน 5. มุมตกกระทบกับมุมสะท้อนมีความสัมพันธ์กันดังนี้ มุมตกกระทบจะมีค่าเท่ากับ มุมสะท้อนเสมอ คำถามท้ายกิจกรรม เฉลยใบกิจกรรมที่ 3.1 เรื่อง การสะท้อนแสงของกระจกเงาราบ
129 ตารางบันทึกผลการทดลอง ระยะวัตถุ (ช่อง) ระยะภาพ (ช่อง) ขนาดของภาพเข็มหมุด 1. ขนาดของวัตถุและขนาดของภาพมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… 2. ระยะวัตถุและระยะภาพมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… 3. จากกิจกรรม สรุปได้ว่าอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ใบกิจกรรมที่ 3.2 เรื่อง ภาพจากการสะท้อนแสงของวัตถุ คำถามท้ายกิจกรรม
130 ตารางบันทึกผลการทดลอง ระยะวัตถุ (ช่อง) ระยะภาพ (ช่อง) ขนาดของภาพเข็มหมุด 5 5 ขนาดเท่ากับเข็มหมุดหน้าแผ่นพลาสติก 2 2 ขนาดเท่ากับเข็มหมุดหน้าแผ่นพลาสติก 7 7 ขนาดเท่ากับเข็มหมุดหน้าแผ่นพลาสติก 1. ขนาดของวัตถุและขนาดของภาพมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ อย่างไร แนวคำตอบ ขนาดของวัตถุและขนาดของภาพมีความสัมพันธ์กันโดยขนาดของภาพมีขนาด เท่ากับขนาดของวัตถุ 2. ระยะวัตถุและระยะภาพมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ อย่างไร แนวคำตอบ ระยะวัตถุและระยะภาพมีความสัมพันธ์กันโดยระยะภาพมีค่าเท่ากับระยะวัตถุ 3. จากกิจกรรม สรุปได้ว่าอย่างไร แนวคำตอบ เมื่อวางวัตถุไว้หน้าแผ่นพลาสติกสะท้อนแสงจะเกิดภาพหลังแผ่นพลาสติกโดย ขนาดของภาพมีขนาดเท่ากับขนาดของวัตถุ และระยะภาพมีค่าเท่ากับระยะวัตถุเสมอ เฉลยใบกิจกรรมที่ 3.2 เรื่อง ภาพจากการสะท้อนแสงของวัตถุ คำถามท้ายกิจกรรม
131 แผนการจัดการเรียนรู้ที่12 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาวิทยาศาสตร์ 5 รหัสวิชา ว 23101 หน่วยการเรียนที่4 แสง เวลาเรียนรวม 16 ชั่วโมง เรื่อง การเกิดภาพของกระจกโค้ง เวลา 3 ชั่วโมง ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1/2566 ผู้สอน นางสาวสุภาพร พื้นขุนทด วันที่.......เดือน..................พ.ศ……. 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด ว 2.3 ม.3/14 เขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของแสง แสดงการเกิดภาพจากกระจกเงา 2. สาระสำคัญ การสะท้อนของแสง เกิดจากแสงเดินทางไปตกกระทบกับผิวของวัตถุที่แสงไม่สามารถเดินทางผ่านได้ ทำ ให้แสงที่ตกกระทบผิวของวัตถุนั้น ๆ เกิดการสะท้อนกลับหมดลักษณะการสะท้อนของแสงจะสะท้อนกลับมากหรือ น้อย จะขึ้นอยู่กับลักษณะของผิวของวัตถุที่แสงตกกระทบ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้(K) 1. นักเรียนสามารถสังเกตและบอกลักษณะภาพที่เกิดจากกระจกเงาเว้าและกระจกเงานูนได้ 3.2 ทักษะ/กระบวนการ (P) 1. นักเรียนสามารถทำการทดลองการเกิดภาพบนฉากที่เกิดจากกระจกเงานูนและกระจกเงาเว้าเมื่อ วางวัตถุไว้ที่ตำแหน่งต่าง ๆ หน้ากระจกได้ 2. มีความกระตือรือร้นในการหาความรู้ 3. มีความมั่นใจในการกล้าแสดงออก 3.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 4. สมรรถนะสำคัญ 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
132 5. สาระการเรียนรู้ 1. การสะท้อนแสงที่ผิวของกระจกผิวโค้ง 2. การเกิดภาพของกระจกผิวโค้ง 3. ประโยชน์ของกระจกผิวโค้ง 6. กิจกรรมการเรียนรู้ (ใช้การสืบเสาะหาความรู้ (5E)) ชั่วโมงที่ 1 ขั้นที่ 1 สร้างความสนใจ (Engement) (20นาที) 1. ครูกระตุ้นการเรียนรู้ของนักเรียน โดยให้นักเรียนใช้แผ่นพลาสติกสะท้อนแสง ผิวราบหรือแผ่นโลหะสะท้อนแสงผิวราบส่องดูภาพใบหน้าของตนเอง จากนั้นบิดแผ่นพลาสติกหรือแผ่นโลหะให้ โค้งงอเล็กน้อย สังเกตภาพที่เกิดขึ้น พร้อมใช้คำถามกระตุ้นความสนใจ เช่น ในบางครั้งเราอาจเคยได้ยินว่ากระจกที่ ใช้ในการแต่งตัวบางบานทำให้เห็นภาพของตนเองผอมลง อ้วนขึ้น เตี้ยลง หรือสูงขึ้น นักเรียนคิดว่าเหตุการณ์ ดังกล่าวเป็นไปได้หรือไม่ เพราะเหตุใด 2. จากนั้นครูเชื่อมโยงเข้าสู่กิจกรรม ภาพที่เกิดจากกระจกเงาโค้งเป็นอย่างไร ขั้นที่ 2 สำรวจและค้นหา (Exploration) (40 นาที) 1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 จากนั้นนักเรียนส่งตัวแทนรับใบกิจกรรมที่ 3.3 เรื่อง ภาพที่เกิดจาก กระจกเงาโค้งเป็นอย่างไร 2. ครูอธิบายการทดลองให้นักเรียนฟัง นักเรียนแต่ละกลุ่มรับอุปกรณ์การทดลอง 3. ขณะที่นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรม ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียนใน แต่ละกลุ่ม และให้คำแนะนำถ้านักเรียนมีข้อสงสัยในประเด็นต่าง ๆ เช่น - ควรจัดห้องให้มืดเพื่อให้สังเกตผลการทำกิจกรรมได้ชัดเจนขึ้น - การจัดอุปกรณ์ในกิจกรรม ควรวางกระจกเงาโค้งให้ตั้งฉากกับระนาบของพื้นโต๊ะและควรจัดให้ แนวกึ่งกลางกระจกเงาโค้งในระดับเดียวกันกับจุดกึ่งกลางของเปลวเทียน
133 - การหาตำแหน่งภาพที่เกิดคมชัดที่สุดบนฉาก โดยเมื่อวางเทียนไขที่จุดไฟหน้ากระจกเงานูนแล้วนำฉาก มาวางด้านหน้ากระจก นักเรียนจะสังเกตเห็นดวงไฟวงกลมสีส้มบนฉากขาว ดังภาพ โดยดวงไฟวงกลมสีส้มบนฉาก ขาวนี้ไม่ถือว่าเป็นภาพของเทียนไข - ครูให้คำแนะนำหรืออภิปรายการออกแบบตารางบันทึกผลการทำกิจกรรมร่วมกับนักเรียนแต่ละ กลุ่มเพื่อปรับปรุงตารางบันทึกผลให้สามารถบันทึกข้อมูลได้ครบถ้วนและเข้าใจได้ง่าย - เมื่อวางเทียนไขที่จุดไฟหน้ากระจกเงานูนแล้วนำฉากมาวางด้านหน้ากระจก นักเรียนจะ สังเกตเห็นดวงไฟวงกลมสีส้มบนฉากขาว โดยดวงไฟวงกลมสีส้มบนฉากขาวนี้ไม่ถือว่าเป็นภาพของเทียนไข - หลังจากทำกิจกรรมเสร็จแล้วครูอาจสาธิตการหาตำแหน่งภาพที่ปรากฏบนฉากเมื่อวางวัตถุไว้ หน้ากระจกเงาเว้าที่ระยะมากกว่ารัศมีความโค้ง โดยบิดกระจกให้เอียงไปทางขวา หรือซ้ายเล็กน้อย จากนั้นวาง ฉากขาวระหว่างเทียนไขกับกระจกเงาเว้าโดยวางฉากไม่ให้บังแสงเทียนไขเพื่อให้รับกับภาพที่สะท้อนมาจากกระจก เงาเว้า ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 3 อธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (60 นาที) 1. นักเรียนนำเสนอผลการทำกิจกรรม ตอบคำถามท้ายกิจกรรม และร่วมกันอภิปรายโดยใช้คำถาม ท้ายกิจกรรมเป็นแนวทางเพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า เมื่อวางวัตถุไว้หน้ากระจกเงาเว้าและกระจกเงานูน ภาพ ของวัตถุจะเปลี่ยนไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งของวัตถุ โดยภาพของวัตถุจากกระจกเงาเว้ามีทั้งภาพหัวตั้งและหัวกลับ ขนาดใหญ่กว่าเท่ากับ หรือเล็กกว่าวัตถุ และมีทั้งที่ปรากฏบนฉากและไม่ปรากฏบนฉาก ส่วนภาพจากกระจกเงา นูนเป็นภาพหัวตั้งในกระจกซึ่งมีขนาดเล็กกว่าวัตถุเสมอและไม่ปรากฏบนฉาก 2. นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการหาตำแหน่งภาพที่เกิดจากกระจกเงาเว้าและกระจกเงานูน และ การนำกระจกเงาเว้าและกระจกเงานูนมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยอ่านเนื้อหาในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์
134 ม.3 เล่ม 1 เรื่อง การสะท้อนของแสง และร่วมกันอภิปรายโดยใช้โจทย์ชวนคิด ครูถามคำถามระหว่างเรียนเพื่อ ตรวจสอบความเข้าใจ ดังนี้ - ถ้าวางเทียนไขไว้หน้ากระจกเงาเว้าและกระจกเงานูน ดังภาพ เขียนแผนภาพรังสีของแสงเพื่อ หาตำแหน่งชนิดและลักษณะภาพของเทียนไขได้อย่างไร แนวคำตอบ - ทันตแพทย์ใช้กระจกเงาเล็ก ๆ เพื่อส่องดูฟันในปากของคนไข้ ภาพที่เห็นมีขนาดใหญ่กว่าฟันจริง นักเรียนคิดว่ากระจกดังกล่าวเป็นกระจกชนิดใด เพราะเหตุใดทันตแพทย์จึงเลือกใช้กระจกชนิดนี้ แนวคำตอบ ภาพฟันที่เห็นในกระจกเงาของทันตแพทย์มีขนาดใหญ่กว่าฟันจริง แสดงว่ากระจก เงาดังกล่าวเป็นกระจกเงาเว้า ทันตแพทย์ต้องวางกระจกเงาเว้าให้อยู่ใกล้กับฟัน โดยให้กระจกอยู่ห่างจากฟันใกล้ กว่าความยาวโฟกัสของกระจกเงาเว้าจึงจะได้ภาพเสมือน หัวตั้ง ขนาดใหญ่ เพื่อมองเห็นภาพฟันได้ชัดเจน
135 ชั่วโมงที่ 3 ขั้นที่ 4 ขยายความรู้ (Elaboration) (30 นาที) 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมประกอบกับ Powerpoint เรื่อง การสะท้อนของแสง - เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า ภาพของวัตถุจากกระจกเงาเว้ามีทั้งภาพหัวตั้งและหัวกลับ ขนาดใหญ่กว่า เท่ากับ หรือเล็กกว่าวัตถุ และมีทั้งที่ปรากฏบนฉากและไม่ปรากฏบนฉาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของวัตถุ ส่วนภาพ จากกระจกเงานูนเป็นภาพหัวตั้งในกระจกซึ่งมีขนาดเล็กกว่าวัตถุเสมอและไม่ปรากฏบนฉาก เราสามารถหา ตำแหน่งและลักษณะของภาพจากการเขียนแผนภาพรังสีของแสง โดยรังสีสะท้อนตัดกันจะเกิดภาพ ถ้ารังสีสะท้อน ตัดกันจริงจะเกิดภาพจริง แต่ถ้าต่อแนวรังสีสะท้อนให้ตัดกันจะเกิดภาพเสมือน สามารถประยุกต์ใช้ประโยชน์จาก กระจกเงาเว้าและกระจกเงานูนในชีวิตประจำวันได้หลากหลาย ขั้นที่ 5 ประเมิน (Evaluation) (30 นาที) ครูประเมินผลของนักเรียนตามแบบประเมินดังนี้ 1. สังเกตพฤติกรรมการร่วมกิจกรรมของนักเรียน มีความกระตือรือร้นในการหาความรู้ มีความมั่นใจ และกล้าแสดงออก และสังเกตพฤติกรรมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของแต่ละบุคคล มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และ มุ่งมั่นในการทำงาน 2. นักเรียนทำใบงานที่ 3.2 เรื่อง การเกิดภาพของกระจกผิวโค้ง 3. แบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง การสะท้อนของแสง 7. สื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ม.3 เล่ม 1 2. Powerpoint เรื่อง การสะท้อนของแสง 3. ใบงานที่ 3.2 เรื่อง การเกิดภาพของกระจกผิวโค้ง 4. ใบกิจกรรมที่ 3.3 เรื่อง ภาพที่เกิดจากกระจกเงาโค้งเป็นอย่างไร 5. DLTV เรื่อง การสะท้อนของแสง 6. แบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง การสะท้อนของแสง 8. ภาระงานและชิ้นงาน - ใบงานที่ 3.2 เรื่อง การเกิดภาพของกระจกผิวโค้ง - ใบกิจกรรมที่ 3.3 เรื่อง ภาพที่เกิดจากกระจกเงาโค้งเป็นอย่างไร
136 9. การวัดและประเมินผล ประเด็นการประเมิน วิธีการ เครื่องมือ การวัดประเมินผล ด้านความรู้ (K) 1. นักเรียนสามารถสังเกต และบอกลักษณะภาพที่เกิด จากกระจกเงาเว้าและ กระจกเงานูนได้ ตรวจคะแนนจาก ใบงานที่ 3.2 เรื่อง การเกิดภาพของ กระจกผิวโค้ง ใบงานที่ 3.2 เรื่อง การเกิดภาพของ กระจกผิวโค้ง ทำได้ร้อยละ 70 ขึ้นไป ด้านทักษะ (P) 1. นักเรียนสามารถทำการ ทดลองการเกิดภาพบนฉาก ที่เกิดจากกระจกเงานูนและ กระจกเงาเว้าเมื่อวางวัตถุไว้ ที่ตำแหน่งต่าง ๆ หน้า กระจกได้ 2. มีความกระตือรือร้นใน การหาความรู้ 3. มีความมั่นใจในการกล้า แสดงออก - สังเกตพฤติกรรม ในชั้นเรียน - ใบกิจกรรมที่ 3.3 เรื่อง ภาพที่เกิดจาก กระจกเงาโค้งเป็น อย่างไรวัตถุ - แบบสังเกต พฤติกรรม การทำงานกลุ่ม ระดับคุณภาพ ดี/พอใช้/ ปรับปรุง ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป ด้านคุณลักษณะ (A) 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน สังเกตพฤติกรรม การทำงานกลุ่ม - แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ระดับคุณภาพ ดี/พอใช้/ ปรับปรุง ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป สมรรถนะสำคัญ 1. ความสามารถในการ สื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 3. มีความสามารถในการใช้ เทคโนโลยี ประเมินจากสังเกต พฤติกรรม ในชั้นเรียน แบบประเมิน สมรรถนะสำคัญ ระดับคุณภาพ ดี/พอใช้/ ปรับปรุง ผ่านเกณฑ์ ในระดับดีขึ้นไป
137
138
139
140 ภาคผนวก
141 จุดประสงค์………………………………………………………………………………………………………..…………… ……………..…………………………………………………………………………………………… สมมติฐาน………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ผลการทำกิจกรรม ตารางที่ 1 ผลการสังเกตลักษณะใบหน้าตนเองเมื่อมองผ่านกระจกเงาเว้าและกระจกเงานูนที่ระยะต่าง ๆ ระยะห่างจากใบหน้าถึงกระจก ลักษณะภาพ กระจกเงาเว้า กระจกเงานูน ไกลสุดแขน ใกล้เข้ามา ใกล้มากจนชิดใบหน้า ตารางที่ 2 ผลการสังเกตภาพในกระจกและบนฉากเมื่อนำเทียนไขวางไว้หน้ากระจกเงาเว้าที่ระยะต่าง ๆ ตำแหน่งของเทียนไข ลักษณะภาพ เมื่อมองในกระจกเงาเว้า บนฉาก มากกว่า f แต่ไม่เกิน 2f น้อยกว่า f ตารางที่ 3 ผลการสังเกตภาพในกระจกและบนฉากเมื่อนำเทียนไขวางไว้หน้ากระจกเงานูนที่ระยะต่าง ๆ ตำแหน่งของเทียนไข ลักษณะภาพ เมื่อมองในกระจกเงานูน บนฉาก มากกว่า f แต่ไม่เกิน 2f น้อยกว่า f ใบกิจกรรมที่ 3.3 เรื่อง ภาพที่เกิดจากกระจกเงาโค้งเป็นอย่างไร
142 1. เมื่อใช้กระจกเงาเว้าและกระจกเงานูนส่องดูใบหน้าของตนเองโดยให้กระจกอยู่ห่างจากใบหน้า ในระยะต่าง ๆ ภาพที่เห็นแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… 2. เมื่อวางเทียนไขไว้หน้ากระจกเงาเว้าและกระจกเงานูนที่ระยะห่างจากกระจกต่าง ๆ กัน ภาพที่ เกิดขึ้นในกระจกมีลักษณะแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………… 3. เมื่อวางเทียนไขไว้หน้ากระจกเงาเว้าและกระจกเงานูนที่ระยะห่างจากกระจกต่าง ๆ กัน จะมี ภาพปรากฏบนฉากหรือไม่ ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………… 4. จากกิจกรรม สรุปได้ว่าอย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………… คำถามท้ายกิจกรรม
143 จุดประสงค์ สังเกตและบอกลักษณะภาพที่เกิดจากกระจกเงาเว้าและกระจกเงานูน สมมติฐาน ตอบตามความเข้าใจของนักเรียน ผลการทำกิจกรรม ตารางที่ 1 ผลการสังเกตลักษณะใบหน้าตนเองเมื่อมองผ่านกระจกเงาเว้าและกระจกเงานูนที่ระยะต่าง ๆ ระยะห่างจากใบหน้าถึงกระจก ลักษณะภาพ กระจกเงาเว้า กระจกเงานูน ไกลสุดแขน หัวกลับ ขนาดเล็ก หัวตั้ง ขนาดเล็ก ใกล้เข้ามา หัวกลับ ขนาดใหญ่ หัวตั้ง ขนาดเล็ก ใกล้มากจนชิดใบหน้า หัวตั้ง ขนาดใหญ่ หัวตั้ง ขนาดเล็ก ตารางที่ 2 ผลการสังเกตภาพในกระจกและบนฉากเมื่อนำเทียนไขวางไว้หน้ากระจกเงาเว้าที่ระยะต่าง ๆ ตำแหน่งของเทียนไข ลักษณะภาพ เมื่อมองในกระจกเงาเว้า บนฉาก มากกว่า f แต่ไม่เกิน 2f หัวกลับ ขนาดใหญ่กว่าวัตถุ หัวกลับ ขนาดใหญ่กว่าวัตถุ น้อยกว่า f หัวตั้ง ขนาดใหญ่กว่าวัตถุ ไม่เกิดภาพบนฉาก ตารางที่ 3ผลการสังเกตภาพในกระจกและบนฉากเมื่อนำเทียนไขวางไว้หน้ากระจกเงานูนที่ระยะต่าง ๆ ตำแหน่งของเทียนไข ลักษณะภาพ เมื่อมองในกระจกเงานูน บนฉาก มากกว่า f แต่ไม่เกิน 2f หัวตั้ง ขนาดเล็กกว่าวัตถุ ไม่เกิดภาพบนฉาก น้อยกว่า f หัวตั้ง ขนาดเล็กกว่าวัตถุ ไม่เกิดภาพบนฉาก เฉลยใบกิจกรรมที่ 3.3 เรื่อง ภาพที่เกิดจากกระจกเงาโค้งเป็นอย่างไร
144 1. เมื่อใช้กระจกเงาเว้าและกระจกเงานูนส่องดูใบหน้าของตนเองโดยให้กระจกอยู่ห่างจากใบหน้าในระยะต่าง ๆ ภาพที่เห็นแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร แนวคำตอบ ภาพที่เห็นเมื่อใช้กระจกเงาเว้าและกระจกเงานูนส่องดูใบหน้าของตนเองที่ระยะห่างจาก กระจกต่าง ๆ จะแตกต่างกัน โดยภาพใบหน้าที่ปรากฏจากกระจกเงาเว้าจะมีทั้งภาพหัวตั้งและหัวกลับ และมีทั้ง ขนาดที่ใหญ่กว่าหรือเล็กกว่าใบหน้าจริง ส่วนภาพใบหน้าที่ปรากฏจากกระจกเงานูนจะเป็นภาพหัวตั้งขนาดเล็ก กว่าใบหน้าจริงเสมอ 2. เมื่อวางเทียนไขไว้หน้ากระจกเงาเว้าและกระจกเงานูนที่ระยะห่างจากกระจกต่าง ๆ กัน ภาพที่เกิดขึ้นใน กระจกมีลักษณะแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร แนวความคิด แตกต่างกัน โดยภาพเทียนไขที่ปรากฏจากกระจกเงาเว้าจะมีทั้งภาพหัวตั้งและหัวกลับ และ มีทั้งขนาดที่ใหญ่กว่าหรือเล็กกว่าใบหน้าจริง ส่วนภาพเทียนไขที่ปรากฏจากกระจกเงานูนจะเป็นภาพหัวตั้งขนาด เล็กกว่าเทียนไขเสมอ 3. เมื่อวางเทียนไขไว้หน้ากระจกเงาเว้าและกระจกเงานูนที่ระยะห่างจากกระจกต่าง ๆ กัน จะมีภาพปรากฏบน ฉากหรือไม่ แนวความคิด เมื่อวางเทียนไขหน้ากระจกเงาเว้าที่ระยะห่างมากกว่าความยาวโฟกัส ภาพของเทียนไขจะ สามารถปรากฏบนฉากได้แต่ภาพเทียนไขจะไม่ปรากฏบนฉากเมื่อวางเทียนไขไว้หน้ากระจกเงาเว้าที่ระยะห่างน้อย กว่าความยาวโฟกัส ขณะที่เมื่อวางเทียนไขหน้ากระจกเงานูน ภาพของเทียนไขจะไม่สามารถปรากฏบนฉากได้ 4. จากกิจกรรม สรุปได้ว่าอย่างไร แนวคำตอบ ภาพจากกระจกเงาเว้ามีทั้งที่เกิดในกระจกและเกิดบนฉาก ซึ่งมีทั้งภาพหัวตั้งและหัวกลับ และมีทั้งขนาดที่ใหญ่กว่าหรือเล็กกว่าวัตถุ ส่วนภาพจากกระจกเงานูนเป็นภาพที่เกิดในกระจกแต่ไม่เกิดบนฉาก เป็นภาพหัวตั้งในกระจกขนาดเล็กกว่าวัตถุ คำถามท้ายกิจกรรม
145 คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. รังสีตกกระทบจากวัตถุที่มีแนวรังสีขนานกับเส้นแกนมุขสำคัญ เมื่อตกกระทบบนกระจกเงาโค้ง ทรงกลม แนว ของรังสีสะท้อนเป็นอย่างไร 1.1 ในกรณีกระจกเงาเว้า …………………………………………………………………………………………………………………………………… 1.2 ในกรณีกระจกเงานูน ............................................................................................................................. ....................... 2. รังสีตกกระทบจากวัตถุที่มีแนวรังสีผ่านจุดโฟกัสสำหรับกระจกเงาเว้าหรือเสมือนผ่านจุดโฟกัส สำหรับกระจกเงา นูน รังสีสะท้อนจะมีแนวอย่างไร ............................................................................................................................. .............................. 3. รังสีตกกระทบจากวัตถุที่มีแนวรังสีผ่านจุดศูนย์กลางความโค้งสำหรับกระจกเงาเว้าหรือเสมือนผ่านจุดศูนย์กลาง ความโค้ง สำหรับกระจกเงานูน รังสีสะท้อนจะมีแนวอย่างไร ............................................................................................................................. .............................. 4. แนวรังสีสะท้อนของรังสีตกกระทบต่าง ๆ และตำแหน่งของภาพของวัตถุซึ่งวางไว้หน้ากระจกเว้า เมื่อวัตถุอยู่ที่ ระยะอนันต์ (จุด ∞) 4.1 รังสีตกกระทบ QA ให้รังสีสะท้อนอะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.2 รังสีตกกระทบ BF ให้รังสีสะท้อนอะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.3 ภาพที่เกิดขึ้นเป็นภาพจริงหรือภาพเสมือนและอยู่ที่จุดใด …………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.4 ขนาดของภาพเล็กหรือใหญ่กว่าวัตถุ ………………………………………………………………………………………………………………………………….. C F ใบงานที่ 3.2 เรื่อง การเกิดภาพของกระจกผิวโค้ง
146 คำชี้แจง : ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้อง 1. รังสีตกกระทบจากวัตถุที่มีแนวรังสีขนานกับเส้นแกนมุขสำคัญ เมื่อตกกระทบบนกระจกเงาโค้งทรงกลม แนว ของรังสีสะท้อนเป็นอย่างไร 1.1 ในกรณีกระจกเงาเว้า …………………………………………………………………………………………………………………………………… 1.2 ในกรณีกระจกเงานูน ............................................................................................................................. ....................... 2. รังสีตกกระทบจากวัตถุที่มีแนวรังสีผ่านจุดโฟกัสสำหรับกระจกเงาเว้าหรือเสมือนผ่านจุดโฟกัส สำหรับกระจกเงา นูน รังสีสะท้อนจะมีแนวอย่างไร ............................................................................................................................. .............................. 3. รังสีตกกระทบจากวัตถุที่มีแนวรังสีผ่านจุดศูนย์กลางความโค้งสำหรับกระจกเงาเว้าหรือเสมือนผ่านจุดศูนย์กลาง ความโค้ง สำหรับกระจกเงานูน รังสีสะท้อนจะมีแนวอย่างไร .......................................................................................................... ................................................. 4. แนวรังสีสะท้อนของรังสีตกกระทบต่าง ๆ และตำแหน่งของภาพของวัตถุซึ่งวางไว้หน้ากระจกเว้า เมื่อวัตถุอยู่ที่ ระยะอนันต์ (จุด ∞) 4.1 รังสีตกกระทบ QA ให้รังสีสะท้อนอะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.2 รังสีตกกระทบ BF ให้รังสีสะท้อนอะไร …………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.3 ภาพที่เกิดขึ้นเป็นภาพจริงหรือภาพเสมือนและอยู่ที่จุดใด …………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.4 ขนาดของภาพเล็กหรือใหญ่กว่าวัตถุ …………………………………………………………………………………………………………………………………… เฉลยใบงานที่ 3.2 เรื่อง การเกิดภาพของกระจกผิวโค้ง ผ่านจุดโฟกัส เสมือนผ่านจุดโฟกัส คือ เมื่อต่อแนวรังสีสะท้อนไปทางทิศตรงข้ามจะผ่านจุดโฟกัส ขนานกับเส้นแกนมุขสำคัญ แนวเดียวกับรังสีตกกระทบ แต่ทิศตรงข้าม OA ให้ AF BF สะท้อนผ่าน F ภาพจริงอยู่ที่จุดโฟกัส ขนาดภาพมีขนาดเล็กกว่าวัตถุ C F