135
5.2 การสืบพนั ธขุ์ องส่งิ มีชีวิตช้ันตา่
โดยส่วนใหญ่สิ่งมชี วี ิตช้ันตา่ จะประสบผลสาเร็จในการกระจายตัวและเพ่ิมจานวนประชากรโดย
การสบื พันธแ์ุ บบไม่อาศยั เพศ แต่ในบางคร้งั อาจพบการสบื พนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศดว้ ยซ่งึ ช่วยให้สิ่งมีชีวิตชนิด
นนั้ ๆ มีความแปรผนั ของพนั ธกุ รรมมากขึน้ สง่ ผลใหล้ ูกหลานของสง่ิ มชี ีวติ ชนดิ น้นั เกิดการปรับตัวอยู่รอด
ได้ในสภาวะแวดล้อมทไ่ี ม่เหมาะสมได้
5.2.1 การสบื พนั ธ์ขุ องแบคทเี รยี
จากการศกึ ษาพบว่า ในสภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสมแบคทีเรียซึ่งเปน็ เซลล์แบบโพรคาริโอต
นนั้ มคี วามสาเร็จสูงมากในการเพิ่มจานวนประชากรโดยการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ โดยการแบ่งจาก
หนึง่ เซลลเ์ ปน็ สองเซลล์ เน่อื งจากหนง่ึ วฏั จกั รเซลลข์ องโพรคาริโอตมรี ะยะเวลาทีส่ ั้นกว่าในเซลล์ยคู าริโอต
มาก กล่าวคือ แบคทีเรียมกี ารแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสเสร็จสิ้นภายในทุกๆ 1-3 ชั่วโมง และบางชนิดอาจ
แบ่งเซลล์ได้เสรจ็ ภายใน 20 นาที ในขณะทเี่ ซลล์บางชนดิ ในรา่ งกายของมนษุ ย์ใช้เวลาประมาณ 24 ชัว่ โมง
ต่อหนึง่ วฏั จักรเซลล์
ในสภาพแวดลอ้ มจรงิ ตามธรรมชาติ แบคทีเรียถูกจากัดการสืบพันธ์ุด้วยปัจจัยหลายอย่าง
เช่น ธาตุหรือสารอาหารทม่ี จี ากัด สารพษิ ทเ่ี ซลลผ์ ลิตขน้ึ เองจากกระบวนการเมทาบอลิซมึ ซงึ่ มผี ลต่อเซลล์
แบคทีเรียเอง การต่อสูก้ นั เองกบั แบคทีเรียชนดิ อ่ืนๆ และการถกู กนิ โดยส่ิงมชี วี ติ อน่ื เปน็ ต้น ดงั น้ันกุญแจท่ี
สาคญั 3 ส่งิ ทีท่ าให้แบคทีเรียมีจานวนมาก คือ พวกมนั มีขนาดเล็ก สืบพนั ธุ์แบบการแบง่ จากหนึ่งเป็นสอง
เซลล์ และมวี ฏั จกั รเซลล์ที่สัน้
ในแบคทีเรียการแบ่งจากหน่ึงเป็นสองเซลล์ เริ่มต้นด้วยการจาลองดีเอ็นเอซึ่งเกิดท่ี
ตาแหน่งท่ีเรียกว่า ออริจินอ็อฟเรพิเคชัน (origin of replication) ซึ่งเป็นตาแหน่งเริ่มต้นในการจาลอง
ดีเอน็ เอใหก้ บั ท้ังสองโครโมโซม การจาลองดีเอ็นเอเกดิ ขน้ึ อย่างรวดเรว็ พรอ้ มกับการที่เซลล์แบคทีเรียเริ่ม
ยดื ยาวออก เมอ่ื การจาลองดเี อน็ เอส้ินสุดลงจนได้เปน็ สองโครโมโซม เย่อื หมุ้ เซลล์ของแบคทเี รียจะคอดไป
ชนกันจนไดเ้ ป็น 2 เซลล์ในทสี่ ุด (ภาพท่ี 5.4)
ในบางสภาวะแบคทีเรียอาจมีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ซ่ึงทาให้เกิดการรวมตัวกันใหม่
ทางพันธกุ รรม (genetic recombination) แต่เน่ืองจากแบคทีเรียเป็นเซลล์โพรคาริโอตจึงไม่มีการแบ่ง
เซลลแ์ บบไมโอซสิ หรอื การปฏสิ นธขิ องเซลลส์ บื พนั ธุ์ ดงั นน้ั การสบื พนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศของแบคทีเรยี จงึ เกิด
จาก 3 กระบวนการ คือ ทรานส์ดักชัน (transduction) ทรานส์ฟอร์เมชัน (transformation) และ
คอนจเู กชนั ซึง่ ผลคือทาให้แบคทเี รียมพี นั ธกุ รรมทเ่ี ปล่ยี นแปลงไป
กระบวนการทรานสฟ์ อรเ์ มชนั เกดิ ขน้ึ จากการทเ่ี ซลล์แบคทีเรยี ได้รับดีเอ็นเอแปลกปลอม
จากภายนอกแทรกเข้าไปเชื่อมรวมกับโครโมโซมของแบคทีเรีย ตัวอย่างเช่น เช้ือ Streptococcus
pneumoniae สามารถเปล่ียนเป็นเช้ือ pneumonia ท่ีก่อโรคในคนได้หากนาไปเลี้ยงในอาหารท่ีมี
ดีเอน็ เอของเชื้อชนดิ ท่ีก่อโรค
136
โครโมโซมเร่ิมจาลองตัวที่ตาแหน่ง Origin
of replication กระบวนการจาลองเกิดขึ้น
อย่างรวดเร็วซ่งึ ยังไม่ทราบกลไกทแ่ี นช่ ดั
กระบวนการจาลองโครโมโซม
เสร็จส้ิน และเซลล์เริ่มมีการยืด
ยาวออก
โครโมโซมแยกออกจากกันไปยงั เซลล์ใหม่ท่ี
กาลังแบง่ แยกไซโทพลาสซึม พร้อมกับการ
สร้างผนังเซลล์มากนั้
เสร็จส้ินกระบวนการแบ่งเซลล์
ทาให้ได้เซลล์ใหม่ 2 เซลล์ใน
เวลาอนั สั้น
ภาพท่ี 5.4 การสืบพนั ธ์ุ (แบบไมอ่ าศัยเพศ) ของแบคทเี รยี โดยการแบง่ เซลล์จากหนึ่งเป็นสองเซลล์
ทม่ี า ดดั แปลงจาก Reece และคณะ (2011) หน้า 237
กระบวนการทรานส์ดักชัน เป็นกระบวนการท่ีเซลล์ของแบคทีเรียถูกบุกรุกโดยฟาจก์
(phages) หรือ แบคทรี ีโอฟาจก์ (bacteriophages) ซง่ึ เปน็ ไวรสั บกุ รกุ เซลลแ์ บคทเี รยี โดยฟาจก์ไปเกาะที่
ผิวของเซลล์แบคทีเรียจากนน้ั จะส่งถา่ ยดีเอน็ เอเข้าไปยงั ไซโทพลาสซมึ ของแบคทเี รยี ดเี อ็นเอของฟาจก์ท่ี
ส่งถ่ายเขา้ จะใชโ้ ปรตนี และเอนไซมท์ อ่ี ยู่ภายในเซลล์ของแบคทีเรียในการจาลองดเี อ็นเอ และสร้างโปรตีน
ทจ่ี าเป็นเพ่อื สรา้ งเป็นฟาจก์อีกจานวนมาก และอาศัยอยู่ในเซลล์ของแบคทีเรีย ซึ่งบางคร้ังดีเอ็นเอของ
ฟาจก์อาจมีช้ินส่วนดีเอ็นเอของแบคทีเรียรวมอยู่ด้วย หลังจากน้ันฟาจก์จะทาลายเซลล์แบคทีเรียและ
ออกมาจากเซลลเ์ พือ่ เขา้ สู่แบคทเี รยี เซลล์ใหมไ่ ปเรอ่ื ยๆ ซง่ึ ดีเอ็นเอของฟาจก์ที่มียีนส์หรืออัลลีล (Allele)
จากแบคทเี รยี เซลล์เดมิ (donor cells) อาจถูกถา่ ยทอดต่อให้กบั แบคทเี รยี เซลลใ์ หมไ่ ด้ (recipient cells)
(ภาพที่ 5.5)
137
Bacteriophage
ฟาจก์เกาะที่ผิวของเซลล์แบคทีเรียซึ่ง
มอี ัลลีล A+ กับ B+ และสง่ ถา่ ยดีเอ็นเอเข้า
ไปในเซลล์
ดีเอ็นเอและโปรตีนของฟาจก์ถูกจาลอง
ข้นึ ภายในเซลล์ของแบคทเี รยี
ฟาจก์ใช้วตั ถดุ ิบตา่ ง ๆ ในเซลล์แบคทีเรีย
สร้างสิ่งท่ีมาห่อหุ้มดีเอ็นเอ จนได้ฟาจก์
จานวนมาก นอกจากนี้ฟาจก์ บางตัวอาจ
มชี ้ินสว่ นดเี อน็ เอของแบคทีเรียติดมาด้วย
ซงึ่ ในกรณีน้ี คอื อลั ลีล A+
ฟาจกไ์ ด้เข้าบกุ รกุ แบคทเี รยี เซลลใ์ หม่และ
ถ่ายดีเอน็ เอเข้าไป ซ่ึงในกรณีน้ีเป็นฟาจก์
ที่นาอัลลีล A+ มา จึงไม่ทาให้แบคทีเรีย
เซลลใ์ หม่น้ันถูกทาลาย แต่ทาให้เกิดการ
ผสมผสานของดีเอน็ เอซง่ึ อัลลีล A+ เข้าไป
แทรกแทนอัลลลี A-
ภาพท่ี 5.5 กระบวนการทรานสด์ กั ชันของแบคทเี รียโดยมไี วรัสฟาจกเ์ ก่ียวข้อง
ทีม่ า: ดัดแปลงจาก Reece และคณะ (2011) หน้า 562; Klug และคณะ (2012) หน้า 3
กระบวนการคอนจูเกชัน เป็นการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศท่ีเกิดจากการส่งถ่ายดีเอ็นเอ
ระหว่างเซลล์ของแบคทีเรยี ด้วยกนั เองผา่ นโครงสรา้ งท่ีเรียกวา่ เซก็ พลิ ัส (ภาพที่ 5.3) โดยท่ีเซ็กพิลสั จะดึง
เซลล์แบคทีเรียอีกเซลล์หน่ึงให้มาอยู่ใกล้ๆ แล้วจะทาหน้าท่ีเป็นเมททิงบริดจ์ (mating bridge) ซ่ึง
เปรียบเสมือนสะพานในการสง่ ผา่ นดีเอ็นเอ เซลล์แบคทีเรยี ท่ีมีเอฟพลาสมิด (F plasmid) ซ่งึ เป็นดีเอ็นเอ
ที่ทาหน้าท่ีสร้างเซ็กพิลัส หรือ F+ cell จะทาการจาลองดีเอ็นเอของเอฟพลาสมิดขึ้นและส่งถ่ายให้กับ
เซลล์แบคทีเรยี แบบ F- cell ซงึ่ ไมม่ เี อฟพลาสมิด ทาให้เซลล์แบคทเี รียแบบ F- cell กลายเปน็ F+ cell ซึ่ง
สามารถสร้างเซ็กพิลัสได้ เซลล์แบคทีเรียที่มีเอฟพลาสมิดเป็นเซลล์ที่สามารถถ่ายสารพันธุกรรมให้กับ
แบคทเี รยี เซลลอ์ น่ื ๆ ได้ (ภาพท่ี 5.6)
138
ภาพท่ี 5.6 กระบวนการคอนจเู กชันในแบคทเี รีย
ทม่ี า: Reece และคณะ (2011) หนา้ 563
5.2.2 การสบื พันธขุ์ องโพรโทซวั
โพรโทซวั เปน็ ยูคาริโอตที่สามารถสบื พนั ธุ์ไดท้ งั้ แบบไม่อาศยั เพศและอาศัยเพศ การสืบพนั ธ์ุ
แบบไม่อาศยั เพศอาจเกดิ ขนึ้ โดยการแบ่งเซลล์อย่างง่าย ซ่ึงอาจทาให้เซลล์ลูก (daughter cell) มีขนาด
เท่าหรอื ไม่เท่ากันก็ได้ เช่น การแบ่งตวั จากหนง่ึ เซลลเ์ ป็นสองเซลล์ แตถ่ า้ เปน็ การแบ่งเซลลท์ ่ีทาให้ไดเ้ ซลล์
ลกู หลายเซลล์จะเรยี กวา่ การแบ่งตวั แบบทวคี ูณ (multiple fission) นอกจากนี้การแตกหน่อก็ถือว่าเป็น
การแบ่งเซลล์แบบไม่เทา่ กนั อกี อยา่ งหนึง่ ซง่ึ เซลลล์ กู หรอื ลกู ทีเ่ กดิ ใหม่จะมีขนาดไม่เทา่ กบั เซลล์แม่
5.2.2.1 การสืบพนั ธุ์แบบไม่อาศยั เพศของโพรโทซวั
ในกลุ่มโพรโทซัวการแบ่งตัวจากหน่ึงเป็นสองเซลล์นับเป็นการสืบพันธ์ุแบบไม่
อาศัยเพศที่พบมากท่ีสุด ซึ่งมีทั้งวิธีการแบ่งตัวตามยาว (longitudinal fission) พบในโพรโทซัวกลุ่ม
แฟลกเจลเลต (flagellates) และการแบ่งตัวตามขวาง (transverse fission) พบท้ังในโพรโทซัวกลุ่ม
ซิลเิ อต (ciliates) และแฟลกเจลเลต
1) การแบง่ ตวั ตามยาวเริ่มด้วยเซลล์เกิดการคอดตรงส่วนกลางของเซลล์จนเกิด
เปน็ รอ่ งซึง่ แยกส่วนบนและล่างของเซลล์ออกจากกนั จนไดเ้ ซลลใ์ หม่ 2 เซลล์ ในโพรโทซวั พวกซิลิเอตจะมี
นิวเคลียส 2 ชนิด คือ แมโครนิวเคลียส (macronucleus) ซึ่งเป็นนิวเคลียสที่มีขนาดใหญ่ และ
ไมโครนิวเคลียส (micronucleus) เป็นนิวเคลียสขนาดเล็ก เมื่อมีการแบ่งตัวจากหนึ่งเป็นสองเซลล์แบบ
ไม่อาศยั เพศไมโครนวิ เคลยี สจะแบง่ ตวั โดยวิธไี มโทซสิ ส่วนแมโครนิวเคลยี สจะมกี ารสงั เคราะห์ดเี อ็นเอและ
แบ่งเปน็ 2 สว่ น โดยวธิ อี ะไมโทซิส (amitosis)
2) การแบ่งตัวตามขวางเป็นลักษณะประจาของกลุ่มซิลิเอต ถึงแม้ว่าจะพบการ
แบ่งตัวตามยาวได้ในบางชนิด การแบ่งตัวจะเริ่มจากการปรากฏเป็นร่องบริเวณกลางเซลล์แบ่งเซลล์
ออกเป็นคร่งึ หวั ครง่ึ ทา้ ยและแยกออกจากกันเป็นสองเซลลล์ กู โครงสร้างตา่ งๆ ของเซลลแ์ มท่ ่ีเหลอื ตกคา้ ง
อยูใ่ นเซลลล์ กู จะทาให้ทราบว่าเซลลล์ กู นั้นมาจากส่วนหัวหรือท้ายของเซลล์แม่ แต่ในโพรโทซัวบางชนิด
ก่อนการแบ่งตัวของเซลลจ์ ะมกี ารจาลององค์ประกอบต่างๆ ที่จะแบง่ ใหแ้ กเ่ ซลล์ลูกไดเ้ หมือนกัน
3) การแบ่งตัวแบบทวีคูณ เป็นการแบ่งตัวท่ีภายในเซลล์แม่จะเกิดการแบ่ง
นิวเคลียสมากมาย จากนน้ั ไซโทพลาซึมจะเข้าไปล้อมรอบแต่ละนิวเคลียสกลายเป็นเซลล์ลูกจานวนมาก
การแบ่งตัวแบบนี้พบในโพรโทซัวกลุ่มฟอรามินิเฟอรา (foraminifera) เรดิโอลาเรีย (radiolaria) และ
สปอโรซวั (sporozoa) แตไ่ ม่คอ่ ยพบในพวกซลิ ิเอตและแฟลกเจลเลต ในพวกซลิ ิเอตเม่ือจะเกดิ การแบง่ ตวั
139
แบบทวคี ูณ เซลลแ์ มจ่ ะเกดิ การเขา้ ซสี ต์ (encystment) กอ่ นจากนนั้ ภายในซสี ตน์ ี้จะเกิดการแบ่งตัวแบบ
ทวคี ูณไดเ้ ซลล์ลกู มากมาย
4) การแตกหนอ่ เปน็ กระบวนการสร้างเซลล์ใหม่ที่เล็กกว่าเซลล์เดิม โดยที่เซลล์
แม่จะอย่กู บั ท่แี ละปล่อยเซลล์ลูกท่เี คลอ่ื นทีไ่ ดอ้ อกไป (swarner) เซลลท์ ่เี คลอื่ นทไี่ ดต้ า่ งจากเซลล์แม่ในแง่
ของความสามารถในการเปลย่ี นแปลงสภาพ (differentiate) ได้ตา่ กว่า แต่มีอวัยวะในการเคลื่อนท่ีพิเศษ
กว่า ซึ่งมักพบในพวกซิลิเอตท่ีอยู่กับท่ีเป็นส่วนใหญ่ การแตกหน่ออาจเป็นแบบแตกหน่อภายนอก
(exogenous budding) คือเกดิ หนอ่ ย่นื ออกขา้ งนอกเซลล์ จากนนั้ เซลล์ลกู จะวา่ ยน้าออกไปโดยใช้ซีเลีย
สว่ นการแตกหนอ่ แบบภายใน (endogenous budding) เซลล์ลูกที่เคล่ือนที่ได้จะแตกหน่อภายในเซลล์
แม่ การแตกหน่อทัง้ สองแบบน้ีพบไดใ้ นโพรโทซวั บางพวก เชน่ ซัคทอเรีย (suctoria)
5) กระบวนการสืบพนั ธ์ุอีกสองอยา่ งทีเ่ กย่ี วข้องซ่ึงควรกล่าวถึง คือ พลาสโมโทมี
(plasmotomy) และชิโซโกนี (schizogony) พลาสโมโทมี คือการที่โพรโทซวั ซ่งึ มีหลายนิวเคลียสแบ่งตัว
ทาให้เซลล์มีขนาดเลก็ ลงโดยอาจแบง่ เป็นสองหรือหลายเซลล์ จากนน้ั นิวเคลียสของเซลล์แม่ซ่งึ มีหลายอัน
นน้ั กระจายตัวไปอยูใ่ นเซลล์ลกู ต่าง ๆ อย่างไมเ่ ปน็ ระเบียบ จานวนนวิ เคลียสในเซลล์ลกู น้ันอาจเทา่ หรอื ไม่
เทา่ กนั ก็ได้ ส่วนชิโซโกนี คือการทเี่ ซลล์หนงึ่ ซึง่ มหี ลายนิวเคลยี สแตกหน่ออย่างรวดเรว็ ด้วยเวลาอันสั้นเป็น
หน่อที่มนี ิวเคลียสเดียวหลาย ๆ หนอ่ จนกระทั่งภายในไซโทพลาสซึมของเซลล์แม่ไม่มนี วิ เคลยี สเหลืออยู่
5.2.2.2 การสืบพนั ธแ์ุ บบอาศยั เพศของโพรโทซัว
เปน็ กลไกอยา่ งหน่ึงในการขยายพนั ธุใ์ นบางสภาวะเรยี กว่า คอนจูเกชัน ซ่ึงพบใน
โพรโทซัวบางชนิด เชน่ พารามเี ซียม (ภาพท่ี 5.7)
พารามีเซียม 2 เซลล์ ไมโครนวิ เคลยี สของแต่ละ 3 ไมโครนิวเคลียสสลายไปเหลือเพียง
เคลื่อนทเี่ ขา้ มาและเช่ือมติดกัน เซลล์แบง่ ตัวแบบไมโอซสี 1 ไมโครนิวเคลียส แบ่งตัวแบบ
ได้ 4 ไมโครนวิ เคลียส (n) ไมโทซีสต่อได้ 2 ไมโครนิวเคลยี ส
แต่ละเซลล์แลกเปลี่ยน
ไมโครนิวเคลียสซ่ึงกัน
และกนั
แมโครนิวเคลียส
เดมิ สลายไป
แ ต่ ล ะ เ ซ ล ล์
แยกตวั จากกัน
มีการแบ่งไซโทพลาสซึม 2 4 ไมโครนิวเคลยี ส ไมโครนวิ เคลยี สแบง่ ตวั 2 ไมโครนิวเคลียส (n)
ครั้ง ทาให้ได้พารามีเซียม เปลี่ยนแปลงเปน็ แบบไมโทซสิ ต่อ 3 ครัง้ รวมกันเป็น
ใหม่ 4 เซลล์ (ได้ 8 เซลล์ต่อ แมโครนิวเคลียส ได้ 8 ไมโครนวิ เคลยี ส 1 ไมโครนวิ เคลยี ส (2n)
พารามีเซยี ม 1 คู)่
ภาพท่ี 5.7 การสบื พนั ธแ์ุ บบคอนจเู กชันของพารามเี ซยี ม
ทม่ี า: ดดั แปลงจาก Campbell และคณะ (2008) หนา้ 584
140
5.2.3 การสืบพันธ์ขุ องสาหร่าย
สาหร่ายนับว่าเป็นยูคาริโอตที่ถูกจัดให้อยู่ในอาณาจักรโพรทิสทา (kingdom Protista)
เช่นเดยี วกบั โพรโทซัว แต่โครงสร้างเซลล์ของสาหร่ายมีความคล้ายคลึงกับเซลล์พืช ในขณะที่เซลล์ของ
โพรโทซวั มีความคลา้ ยคลึงกับเซลล์สตั ว์ สาหร่ายมีรปู แบบของการสบื พันธ์หุ ลายแบบ เชน่ สาหรา่ ยสีเขียว
เซลลเ์ ดียว Chlamydomonas สามารถสืบพนั ธุแ์ บบอาศัยเพศได้ แต่โดยส่วนใหญ่จะเลือกที่จะสืบพันธ์ุ
แบบไมอ่ าศยั เพศมากกว่าโดยการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสภายในผนังเซลล์ของเซลล์แม่ ทาให้ได้เซลล์ลูก
จานวนมาก โดยเซลล์ลกู จะอาศยั อย่ใู นเซลล์แมจ่ นกระท่ังผนังเซลล์ของเซลล์แมถ่ กู ยอ่ ยด้วยเอนไซม์ซึ่งจะ
ทาใหเ้ ซลล์ลูกหลดุ ออกมาได้ ในสภาวะแวดล้อมธรรมชาตทิ ขี่ าดธาตุไนโตรเจน เซลล์แฮพลอยด์ (n) จะทา
หนา้ ทค่ี ล้ายเซลลส์ ืบพนั ธุ์เพศผูแ้ ละเพศเมียในพืชชั้นสูง โดยเซลล์แฮพลอยด์จะรวมกันเกิดเป็นตัวอ่อนที่
เป็นเซลล์ดิพลอยด์ (2n) ซง่ึ มีผนงั เซลล์ด้านนอกท่ีแข็งแรงและทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่หนาวจัดหรือ
ร้อนจัดได้ หลงั จากทส่ี ภาพแวดลอ้ มมีความเหมาะสม การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสจะเริ่มขึ้นทาให้เกิดการ
งอกและปลอ่ ยเซลล์แฮพลอยด์ออกมา (ภาพท่ี 5.8)
ในสภาวะขาดแคลนอาหาร หรือสภาพแวดล้อมไม่
เหมาะสม เซลล์จะเปลย่ี นไปทาหนา้ ทีเ่ ป็นเซลล์สืบพนั ธุ์
เซลล์สาหร่ายท่ีมีการเจริญ
สมบูรณ์เป็นเซลลแ์ ฮพลอยด์ เซลล์สบื พันธชุ์ นิดบวกกับลบ
จะรวมตวั กันได้เป็นไซโกต
ซูโอสปอร์
เจริญต่อไป
เปน็ เซลล์
แฮพลอยดท์ ี่
สมบูรณ์
ในสภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมสาหร่ายจะ
สบื พันธแุ์ บบไมอ่ าศัยเพศ โดยการแบ่งเซลล์
แบบไมโทซสิ ได้ 4 ซโู อสปอร์ (Zoospore) เซลล์ไซโกต (2n) จะสรา้ งผนงั ห่อหุ้ม
ปอ้ งกันสภาพแวดลอ้ มท่ไี ม่เหมาะสม
เมือ่ สภาพแวดลอ้ มเหมาะสม ไซโกต (2n)
จะแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ ใหเ้ ซลลล์ ูก (n)
จานวนหน่ึงทม่ี เี พศชนดิ บวกกับลบ
ภาพท่ี 5.8 การสืบพันธข์ุ องสาหรา่ ยสีเขียวเซลลเ์ ดยี ว Chlamydomonas
ทมี่ า: ดัดแปลงจาก Reece และคณะ (2011) หน้า 592
141
5.2.4 การสบื พนั ธุ์ของเหด็ และรา
เห็ด รา หรือฟังไจสามารถสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ โดยการสร้าง
สปอร์ทีม่ ขี นาดเลก็ จานวนมาก เชน่ เห็ดพัฟฟ์บอล (puffball mushroom) (ภาพที่ 5.9) อาจปล่อยสปอร์
ปลิวออกมาซง่ึ มองดคู ล้ายกับกล่มุ เมฆได้ถึง 3 หมื่นล้านสปอร์ โดยอาจปลิวไปได้ไกลตามกระแสลมหรือ
กระแสนา้ ซ่งึ หากสปอรป์ ลิวไปตกลงในพน้ื ท่ที มี่ คี วามช้ืนและอาหารก็จะทาให้เกิดการงอกเจริญของเส้นใย
ราออกมาจากสปอร์ได้
เห็ดพฟั ฟบ์ อลมกี ลไกในการปล่อยสปอร์
ให้ฟงุ้ ไปในอากาศเพื่อการกระจายพนั ธ์ุ
ภาพท่ี 5.9 เหด็ พฟั ฟบ์ อลที่กาลังปล่อยสปอรเ์ พ่ือการสบื พนั ธ์ุ
ท่มี า ดดั แปลงจาก Reece และคณะ (2011) หน้า 646
5.2.4.1 การสบื พนั ธุแ์ บบไม่อาศัยเพศของฟังไจ
เปน็ การสืบพนั ธทุ์ พ่ี บได้โดยส่วนใหญ่ แมว้ า่ ฟังไจบางกลุม่ อาจสามารถสืบพันธุ์ได้
ท้งั 2 แบบ คอื ทง้ั แบบอาศยั เพศและไมอ่ าศัยเพศ จากการศกึ ษาพบวา่ มฟี ังไจถึง 20,000 ชนดิ ที่ทราบว่า
มเี พียงการสบื พนั ธแุ์ บบไม่อาศยั เพศเท่านนั้ ซงึ่ มีรปู แบบแตกตา่ งกันอยา่ งมากมาย โดยทั่วไปฟังไจในกลุ่ม
เชอ้ื ราจะมกี ารสืบพนั ธแ์ุ บบไม่อาศยั เพศโดยการสรา้ งเส้นใยท่สี ามารถผลิตสปอร์ทเี่ ปน็ แฮพลอยด์ (n) ดว้ ย
การแบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ ซง่ึ สามารถมองเหน็ ได้ดว้ ยตาเปลา่ เช้ือราสามารถสืบพันธ์ุและเจริญปกคลุมใน
อาหาร หรือผลไม้ที่ชื้นได้อย่างรวดเร็ว เช่น Penicillium สามารถเจริญบนผิวของผลไม้ได้อย่างรวดเร็ว
โดยการสร้างสปอร์แบบไม่อาศัยเพศ ซึ่งสปอร์จะอยู่ในโครงสร้างที่เรียกว่า โคนิเดีย (conidia) (ภาพท่ี
5.10) ซึ่งมีลักษณะคล้ายพัดโดยส่วนปลายมีถุงท่ีเก็บสปอร์อยู่จานวนมาก เชื้อราจะเจริญโดยการแตก
แขนงของเส้นใยไปเรอ่ื ยๆ พรอ้ มกบั การสร้างสปอร์ ซึ่งจะใช้และย่อยสลายสารอาหารจากผลไม้จนหมด
อย่างไรกต็ ามราหลายชนิดอาจมีการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศได้ถ้ามีการติดต่อระหว่างกันของเชื้อราชนิด
เดยี วกันที่มีเมททิ้งไทป์ (mating type) ที่ตา่ งกัน
142
โคนิเดยี
ภาพท่ี 5.10 เชื้อรา Penicillium เจริญอยทู่ ผี่ ิวของเปลอื กสม้ โดยการสบื พันธุแ์ บบไมอ่ าศยั เพศ
ที่มา: ดดั แปลงจาก Reece และคณะ (2011) หนา้ 639
ฟังไจบางชนิดที่มีเซลล์เดียว เช่น ยีสต์ สามารถสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศได้โดย
การแตกหน่อ จากการศกึ ษาพบวา่ มฟี งั ไจบางกลมุ่ ทีม่ ีลักษณะเหมือนยสี ต์แตอ่ าจสามารถเจริญเป็นเส้นใย
ไดห้ ากสภาพแวดล้อมเออื้ อานวยในกรณที ี่มอี าหาร หรือความช้นื
5.2.4.2 การสืบพนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศของฟงั ไจ
เ ป็นก าร สืบ พันธ์ุ ท่ีเ กิด ขึ้นใ นช่วง ห นึ่ง ของ ว ง จ ร ชี วิตข อง เ ชื้ อร า บ าง ช นิด ใ น
สภาพแวดลอ้ มทีไ่ มเ่ ออ้ื ตอ่ การเจริญ เชน่ ความแห้งแล้ง การขาดอาหาร ซึ่งพบว่าบ่อยครั้งเกิดจากการท่ี
เส้นใยของเช้อื ราสองกลุ่มทม่ี ีเมทท้ิงไทป์ต่างกนั แต่เปน็ เช้ือราชนดิ เดยี วกนั มีการหล่ังสารโมเลกุลเคมีทาง
เพศ ท่ีเรียกว่า ฟีโรโมน (Pheromones) ซ่ึงฟีโรโมนท่ีหล่ังออกมาจะจับกับตัวรับของเช้ือราทั้ง 2 กลุ่ม
และทาให้เส้นใยมีการเจริญยืดยาวเข้าหาแหล่งท่ีมาของฟีโรโมน จากน้ันเม่ือเส้นใยมาพบกันก็จะเช่ือม
ติดกันเปน็ เซลลเ์ ส้นใยเดียวกัน เรยี กว่า พลาสโมแกมมี (plasmogamy) ซ่งึ จะมีกลไกการป้องกนั การเช่ือม
ของเสน้ ใยท่มี าจากกลุม่ เดียวกนั อยู่เรยี กวา่ compatibility test แม้วา่ เส้นใยของรา 2 กลุ่มนี้จะเชื่อมกัน
แล้ว แต่นวิ เคลยี ส (n) ทอี่ ยู่ภายในเซลล์ของเสน้ ใยจะไม่รวมกัน เรยี กเสน้ ใยลกั ษณะนี้ว่า เฮเทอโรคารอิ อน
(heterokaryon) ซึ่งหมายถึงเสน้ ใยท่มี ี 2 นวิ เคลยี สทตี่ า่ งกัน
สาหรับเช้ือราบางชนิดนิวเคลียสท่ีต่างกันซึ่งอยู่ภายในเซลล์เส้นใยราอาจมีการ
แลกเปลี่ยนโครโมโซมหรือยีนส์คล้ายกับกระบวนการครอสซิ่งโอเวอร์ แต่ในเช้ือราชนิดอ่ืนเซลล์ท่ีมี
นวิ เคลยี ส 2 ชนิด ภายในเซลลเ์ ดยี วกันและไม่รวมกนั หรอื ที่เรียกว่า ไดคาริโอทิค (dikaryotic) อาจมีการ
รวมกันของนิวเคลยี สเกดิ ขึ้นในวงจรชวี ติ เรยี กว่า คารโิ อแกมมี (karyogamy) ทาใหไ้ ดไ้ ซโกต (2n) โดยจะ
มกี ารสร้างผนงั ทหี่ นามาห่อหมุ้ ซง่ึ นบั เปน็ ช่วงทเ่ี ป็นการสบื พนั ธ์ุแบบอาศัยเพศ เซลล์ท่ีเป็นดิพลอยด์นี้จะ
แบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ ซงึ่ ทาให้ได้สปอร์ทมี่ คี วามแปรผันทางพันธุกรรมเกดิ ข้นึ จากนัน้ สปอรก์ จ็ ะปลิวลอย
ไปตกยังบริเวณท่มี สี ภาพแวดลอ้ มเหมาะสมและเจรญิ เป็นเส้นใยตอ่ ไป (ภาพที่ 5.11)
143
1. เส้นใยราท่ีมี Mating type 2. เสน้ ใยราสรา้ งเซลลท์ เ่ี ป็น
ตา่ งกนั คอื + กับ – มาอยชู่ ิดกัน ส่วนสบื พนั ธ์ทุ ่มี หี ลายนิวเคลียส
3. เซลลส์ ืบพันธุ์เชื่อมไซโทพลาสซมึ
เข้าด้วยกนั ขณะท่ีนวิ เคลยี สยังคง
แยกกนั เกดิ เป็น Zygosporangium
9. เสน้ ใยสามารถสร้าง Sporangium 8. สปอรง์ อกและ
เปน็ การสบื พันธุ์แบบไมอ่ าศัยเพศ เจริญเปน็ เสน้ ใย
ต่อไปได้ ใหมต่ ่อไป
7. สปอรท์ มี่ ีพนั ธกุ รรมหลากหลาย
ปลิวกระจายเพอ่ื เจริญต่อไป 4. Zygosporangium พัฒนา
ผวิ ดา้ นนอกให้มีความ
แข็งแรงทนตอ่ สภาพอากาศ
5. เมื่อสภาพอากาศเหมาะสม
Karyogamy (2n) จะแบ่ง
6. Zygosporangium งอกสว่ นท่ี นิวเคลียสแบบไมโอซิส
เปน็ Sporangium ซึง่ มี
สปอร์ (n) จานวนมาก
ภาพที่ 5.11 การสืบพนั ธแุ์ บบอาศยั และไมอ่ าศัยเพศของเชอ้ื ราดาขนมปงั (Rhizopus stolonifer)
ที่มา: ดัดแปลงจาก Reece และคณะ (2011) หน้า 643
5.3 การสบื พนั ธ์ุของพืช
พชื สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายกลมุ่ ในทนี่ ี้ขอกล่าวถงึ พืชดอกซึง่ พชื ดอกนบั วา่ เปน็ กลมุ่ ท่มี คี วาม
หลากหลายทางชีวภาพมากและจดั เปน็ พชื ช้ันสงู โดยสามารถสืบพนั ธไ์ุ ด้ท้งั แบบไมอ่ าศยั เพศและอาศัยเพศ
การสืบพันธ์ุแบบไม่อาศยั เพศเปน็ การสืบพันธุข์ องพชื ทีท่ าให้ได้พืชต้นใหม่ข้ึนมาจากพืชต้นเดิมด้วยวิธีการ
ตา่ งๆ ท่ไี มใ่ ชเ่ กิดจากการผสมพนั ธข์ุ องเซลลส์ บื พนั ธ์ุ ในขณะทีก่ ารสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของพืชดอกจะมี
ดอกเป็นอวยั วะทท่ี าหน้าที่สบื พันธุโ์ ดยอาศยั การปฏิสนธิของเซลลส์ ืบพันธทุ์ ี่สรา้ งมาจากดอก
5.3.1 การสืบพนั ธ์ุแบบไม่อาศัยเพศของพชื ดอก
พืชดอกหลายชนดิ สามารถสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศได้ ทาให้ได้พืชต้นใหม่ที่มีพันธุกรรม
เหมอื นเดิมอย่างรวดเร็ว ซ่ึงเราอาศัยกลไกนี้มาใช้ขยายพันธ์ุพืชให้ได้จานวนและลักษณะตามท่ีต้องการ
โดยตน้ พชื จะเจรญิ มาจากโครงสรา้ งท่ไี มเ่ กยี่ วข้องกับการสบื พันธดุ์ ว้ ยกระบวนการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิส
144
การสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศในพืชดอกอาจมีหลายวิธี ตัวอย่างเช่น การสืบพันธุ์โดยอาศัยลาต้นพิเศษ
ท่อนพันธ์ุหรอื หนอ่ พาทีโนเจเนซิส หรอื การเพาะเลย้ี งเนือ้ เยื่อ
การสบื พันธุ์โดยอาศัยลาตน้ พเิ ศษมีหลายแบบ เชน่ ในสตอเบอรี พืชต้นใหม่จะเกิดจากข้อ
(node) ของต้นแม่ที่ทอดยาวไปตามพ้ืนดินหรือท่ีเรียกว่า ไหล (runner หรือ stolon) ในตระกูลขิง ข่า
หรอื หญ้า พชื ต้นใหม่จะเกิดจากขอ้ ของต้นที่ทอดยาวไปตามพื้นดินที่เรียกว่า ไรโซม (rhizome) ในเผือก
พืชต้นใหม่จะเกิดจากตาข้างของลาต้นใต้ดินที่ทาหน้าท่ีเก็บอาหาร เรียกว่า คอร์ม (corm) ในมันฝร่ัง
เรยี กว่า ทเู บอร์ (tuber) และในหวั หอม เรียกวา่ บลั บ์ (bulb)
การสืบพันธ์ุแบบพาทีโนเจเนซิส พบได้ในส้มและกุหลาบซึ่งเอ็มบริโอเจริญขึ้นมาโดย
ปราศจากการปฏสิ นธิ เกิดขนึ้ เมือ่ ละอองเรณู (pollen grains) ตกลงบนยอดเกสรเพศเมียแต่ไมม่ กี ารสร้าง
หลอดเรณู (pollen tube) ทาให้นิวเคลียสของสเปิร์มไม่ได้ปฏิสนธิกับนิวเคลียสของไข่ในรังไข่ แต่มี
ฮอร์โมนจากยอดเกสรเพศเมยี หรือเรณูไปกระตุ้นให้เซลล์ไข่เกิดการพัฒนาไปเป็นเอ็มบริโอ ทาให้พืชต้น
ใหม่ทไ่ี ด้มีพันธุกรรมเหมือนตน้ แม่
การสบื พนั ธแุ์ บบใช้ท่อนพันธุ์หรือหน่อ พบได้ในพืชหลายชนิดโดยพืชต้นใหม่เจริญขึ้นมา
จากลาต้นเดมิ หรอื หน่อท่ีแตกออกมาจากตน้ แม่พันธุ์เดิม เชน่ อ้อย กล้วย และพืชท่ีสามารถขยายพันธุ์ได้
โดยการปักชาอกี หลายชนดิ
ส่วนการขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ซ่ึงเป็นวิธีการที่มนุษย์พัฒนาข้ึนนับว่าเป็น
ประโยชนอ์ ยา่ งมาก เช่น พืชที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงเน้ือเย่ืออาจแสดงความต้านทานต่อโรคได้มากกว่า
หรอื สามารถอนรุ ักษพ์ ันธุ์พืชท่ีใกลส้ ญู พันธุ์โดยการเพาะเล้ียงเน้อื เยือ่ ทาให้ได้ตน้ พชื ใหม่อกี จานวนมาก
5.3.2 การสบื พันธุ์แบบอาศยั เพศของพชื ดอก
ดอกเปน็ อวัยวะที่ทาหน้าท่ีสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ดอกเป็นส่วนของพืชท่ีเจริญมาจากตา
ดอกท่ีปลายยอด ปลายก่ิง ซอกใบ หรือข้างลาต้น ส่วนประกอบของวงดอกที่สาคัญ ได้แก่ กลีบเล้ียง
(sepal) กลีบดอก (petal) เกสรเพศผู้ (stamen) และเกสรเพศเมีย (pistil หรือ carpel) (ภาพท่ี 5.12)
ซึ่งองค์ประกอบของดอกท่ีแตกต่างกนั นจ้ี ะใชเ้ ปน็ เกณฑใ์ นการจาแนกชนดิ ของดอก
ภาพท่ี 5.12 โครงสรา้ งของดอก
ที่มา: Campbell และคณะ (2008) หนา้ 802
145
5.3.2.1 ชนดิ ของดอก สามารถแบ่งตามเกณฑต์ ่างๆ ไดด้ งั นี้
1) ชนดิ ของดอกจาแนกตามเพศ แบง่ ได้เป็น 2 ชนดิ คือ
1.1) ดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) คอื ดอกที่มที ้ังเกสรเพศผู้และเกสร
เพศเมียอยู่ในดอกเดียวกัน เช่น ชบา ถั่ว พริก ข้าว หญ้า พุทธรักษา บานบุรี ผักกาด มะเขือ กะหล่า
สัปปะรด ต้อยต่ิง หอม กระเทยี ม เป็นตน้
1.2) ดอกไม่สมบูรณ์เพศ (imperfect flower) คือ ดอกท่ีมีเกสรเพศใดเพศ
หนึ่งเท่าน้ันอยู่ในดอกเดียว ซึ่งถ้าเป็นดอกที่มีเกสรเพศผู้อยู่ เรียกว่า ดอกตัวผู้ (staminate flower) ถ้า
เป็นดอกท่ีมีเกสรเพศเมีย เรียกว่า ดอกตัวเมีย (pistilate flower) เช่น ตาลึง เตย ขนุน ข้าวโพด สาเก
ลาเจียก สนทะเล สนปฏิพัทธ์ มะพร้าว ตาลโตนด บอน หน้าวัว อุตพิด ธูปฤาษี บวบ แตงกวา ฟักทอง
ตาแย หนอ่ ไม้ฝรงั่ หลิว มะเด่อื อินทผลัม หม่อน เป็นตน้
2) ชนิดของดอกจาแนกตามส่วนประกอบของดอก แบง่ ได้เป็น 2 ชนิด คือ
2.1) ดอกสมบูรณ์ (complete flower) คอื ดอกที่ประกอบด้วยวงดอกครบ
ทัง้ 4 ชัน้ ได้แก่ กลบี เลย้ี ง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย ตัวอย่างเช่น กุหลาบ ชบา มะเขือ แค
พูร่ ะหง เปน็ ตน้
2.2) ดอกไม่สมบรู ณ์ (incomplete flower) คือ ดอกท่ีมอี งคป์ ระกอบของวง
ดอกไม่ครบท้ัง 4 ส่วน ตัวอย่างเช่น ดอกบานเย็น (ไม่มีกลีบดอก) ดอกอุตพิดและดอกหน้าวัว (ไม่มีกลีบ
เลี้ยงและกลีบดอก) และดอกของพืชต่างๆ ทเี่ ป็นดอกไมส่ มบูรณ์เพศ อาจสรปุ ไดว้ ่าดอกสมบูรณ์ เป็นดอก
สมบูรณ์เพศเสมอ ในขณะทด่ี อกสมบรู ณ์เพศอาจเป็นดอกสมบรู ณ์หรือดอกไม่สมบรู ณก์ ็ได้
3) ชนดิ ของดอกจาแนกตามจานวนดอกที่ติดบนกา้ นดอก แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คอื
3.1) ดอกเด่ียว (solitary flower) คือ ดอกที่เกิดอยู่บนก้านดอกเพียงดอก
เดียว โดยอาจมีตาแหน่งเกิดอยู่ท่ีปลายก่ิง ลาต้น ด้านข้างของกิ่ง หรือซอกใบก็ได้ เช่น ดอกชบา จาปี
จาปา บวั การะเวก เป็นตน้
3.2) ดอกช่อ (inflorescence flower) คอื ดอกทเ่ี กดิ เปน็ กลมุ่ อยูบ่ นก้านดอก
ใหญเ่ ดยี วกนั ซงึ่ มดี อกยอ่ ย (Floret) หลาย ๆ ดอก แต่ละดอกมีก้านดอกย่อย (Pedicel) ท่ีโคนก้านดอก
ยอ่ ยจะมีใบประดบั รองรบั อยู่บนช่อดอก (Peduncle)
5.3.2.2 การสร้างสเปริ ์มหรอื เซลลส์ ืบพันธุ์เพศผู้
เป็นกระบวนการท่ีเกิดขึ้นภายในอับเรณู (Anther) ซึ่งอยู่ท่ีส่วนปลายของเกสร
เพศผู้ ภายในอับเรณจู ะมีไมโครสปอรม์ าเทอรเ์ ซลล์ (microspore mother cells) อยจู่ านวนมากซง่ึ แต่ละ
เซลล์จะแบง่ เซลล์แบบไมโอซิสได้ 4 ไมโครสปอร์ (microspores) ซ่ึงมีชุดโครโมโซมเป็นแฮพลอยด์ (n)
หลังจากน้ันนิวเคลียสของแต่ละไมโครสปอร์จะแบ่งเซลล์ต่อไปแบบไมโทซิส ทาให้ได้ 2 นิวเคลียส คือ
เจเนอเรทฟิ นิวเคลยี ส (generative nucleus) และทวิ บ์นวิ เคลยี ส (tube nucleus) เรียกเซลล์ในระยะนี้
ว่า ละอองเรณู หรอื แกมโี ทไฟตเ์ พศผู้ (male gametophyte) (ภาพท่ี 5.13) พืชแตล่ ะชนดิ มลี ะอองเรณูท่ี
มีรปู รา่ งลกั ษณะแตกตา่ งกนั เช่น ผนงั บาง ผนงั หนา ผวิ เรียบหรอื มลี กั ษณะเป็นหนาม ซึ่งใช้ในการจาแนก
และระบุชนดิ ของพืชตามหลกั อนกุ รมวธิ าน เมื่อละอองเรณูแก่เต็มที่อับเรณูจะแตกออกทาให้ละอองเรณู
กระจายออกไปพร้อมท่ีจะผสมพันธต์ุ อ่ ไปได้
146
5.3.2.3 การสร้างไข่หรอื เซลลส์ ืบพันธเุ์ พศเมยี
เป็นกระบวนการท่ีเกิดข้ึนภายในรังไข่ ภายในรังไข่อาจมี 1 โอวุล (ovule) หรือ
หลายโอวุลก็ได้ ภายในโอวลุ จะมีหลายเซลล์แตจ่ ะมีเซลลห์ นึ่งท่ีมีขนาดใหญ่ เรียกว่า เมกะสปอร์มาเทอร์
เซลล์ (megaspore mother cell) ซึ่งมีชุดโครโมโซมเป็นดิพลอยด์ (2n) ต่อมามีการแบ่งเซลล์แบบ
ไมโอซิสได้ 4 เซลล์ แต่สลายไป 3 เซลล์ เหลอื เพียง 1 เซลล์ เรียกว่า เมกะสปอร์ (megaspore) จากนั้น
นิวเคลียสของเมกะสปอรจ์ ะแบง่ แบบไมโทซิส 3 คร้ัง ทาให้ได้ 8 นิวคลีไอ (nuclei) และมีไซโทพลาสซึม
ลอ้ มรอบเกดิ เป็น 7 เซลล์ โดย 3 เซลลท์ ่ีอยู่ตรงข้ามกับรูไมโครไพล์ (micropyle) เรียกว่า แอนทิโพดอล
(antipodals) ตรงกลาง 1 เซลล์ (มี 2 นิวเคลียส) เรยี กวา่ โพลาร์นิวคลีไอ (polar nuclei) ส่วนท่ีอยู่ด้าน
ของรูไมโครไพล์มี 3 เซลล์ โดยเซลล์ตรงกลาง คือ เซลลไ์ ข่ (egg cell) สว่ นท่ีอยู่ด้านข้าง 2 เซลล์ เรียกว่า
ซินเนอรจ์ ิด (synergids) โดยในระยะน้ี 1 เมกะสปอร์จะพัฒนากลายมาเป็นแกมีโทไฟต์เพศเมีย (female
gametophyte) เรยี กวา่ ถุงเอ็มบริโอ (embryo sac) (ภาพท่ี 5.13)
ภาพท่ี 5.13 การสรา้ งเซลลส์ บื พนั ธุ์เพศผแู้ ละเพศเมยี ของพชื ดอก
ทม่ี า: Reece และคณะ (2011) หนา้ 803
147
5.3.2.4 การถ่ายละอองเรณู
เกิดข้ึนเมื่อละอองเรณูแก่เต็มที่จะปลิวออกมาจากอับเรณูที่ฉีกขาด จากน้ัน
ละอองเรณจู ะตกลงบนยอดเกสรเพศเมยี ซึง่ โดยปกติท่ยี อดเกสรเพศเมียจะมีสารเหนียวเปน็ ตวั ชว่ ยในการ
ยดึ จบั กบั ละอองเรณูเอาไว้ การถ่ายละอองเรณูจาเป็นต้องอาศัยปัจจัยทางธรรมชาติที่จะช่วยส่งเสริมให้
ละอองเรณกู ระจายไปได้อย่างกว้างขวาง ได้แก่ กระแสลม กระแสน้า แมลง ผ้ึง หรือสัตว์ที่มาตอมเกสร
ดอกไม้ (ภาพท่ี 5.14)
พืชทีต่ ้องอาศยั กระแสลมในการช่วยถ่ายละอองเรณมู ักมีดอกขนาดเล็ก กลีบดอก
ไมม่ สี สี นั ทสี่ วยงาม ไมม่ ีต่อมน้าหวานหรือกล่นิ หอมในการดึงดดู แมลง แต่มีละอองเรณูขนาดเล็กแห้งและ
เบาบาง ละอองเรณบู างชนดิ อาจมปี กี หรอื โครงสร้างขนซง่ึ ชว่ ยสง่ เสรมิ ให้ปลิวไปไดไ้ กล ในขณะทย่ี อดเกสร
เพศเมียของพืชบางชนดิ อาจมีขนหรอื สารเหนียวไวด้ ักจบั ละอองเรณูเชน่ กัน เช่น หญา้ ข้าว เปน็ ตน้
พืชที่มีสีสันสวยงาม มีน้าหวานซึ่งเป็นอาหารของแมลงและสัตว์หลายชนิดใช้
คุณลักษณะน้ีในการส่งถ่ายละอองเรณูจากดอกหน่ึงไปสู่ดอกหน่ึง ภายในต้นเดียวกันหรือต่างต้นกันซ่ึง
บางคร้งั อาจไกลกนั หลายกโิ ลเมตร เน่อื งจากละอองเรณจู ะตดิ กบั ขาหรอื สว่ นใดสว่ นหนงึ่ ของแมลงและจะ
ถูกขนส่งไปยงั ยอดเกสรเพศเมียของอีกดอกหนง่ึ ไดน้ น่ั เอง
การถา่ ยละอองเรณูของพชื เกดิ ได้ 2 แบบ คอื การถ่ายละอองเรณูในดอกเดียวกัน
หรือต่างดอกภายในต้นเดียวกัน (self-pollination) และการถ่ายละอองเรณูในพืชต่างต้นกัน (cross-
pollination) ที่มีพนั ธกุ รรมตา่ งกัน โดยอาจเปน็ ชนิด (species) เดยี วกันหรือต่างชนิด ต่างสกุล (genus)
กนั ก็ได้
พืชที่มีดอกขนาด เกสรดอก Yucca
เล็กอาศัยลมเป็น ส ร้ า งก ล่ิ น แ ล ะ
ตั ว ช่ ว ยใ น ก า ร น้่ าห ว า น ซ่ึ ง มี
ถ่ายละอองเรณู ความจ่าเพาะต่อ
ผีเสื้อกลางคืนให้
มาเ ป็ น ตั ว ช่ ว ย
ถ่ายละอองเกสร
แมลงวันชอบดอกไม้ ค้ า ง ค า ว Long-
ทม่ี สี ีแดง และสง่ กลิ่น nose bat สัตว์ใกล้
คล้ายกับเน้ือที่ก่าลัง สู ญ พั น ธ์ุ ช นิ ด น้ี
เน่า อย่างเช่น ดอก ชอบกิน น้่าหวาน
Carrion (Stapelia แ ล ะ ก ลิ่ น ที่ ส่ ง อ อ ก
sp.) ในขณะท่ีก่าลัง มาจากต้น Cactus
ถ่ายละอองเกสรนั้น พรอ้ มกบั การผสม
แมลงวันยังได้วางไข่
เอาไว้ด้วย เกสร
ภาพที่ 5.14 กลไกการถ่ายละอองเรณขู องพืชดอก
ทีม่ า: ดดั แปลงจาก Reece และคณะ (2011) หน้า 804–805
148
5.3.2.5 การปฏสิ นธขิ องพืชดอก
เรม่ิ ขน้ึ เมื่อละอองเรณูท่ตี กลงบนยอดเกสรเพศเมียไดร้ ับความชน้ื และอาหารพวก
น้าตาลจากยอดเกสร จากน้ันทวิ บ์นิวเคลียสของละอองเรณจู ะสรา้ งหลอดเรณู ซ่งึ จะงอกยาวลงไปตามก้าน
เกสรเพศเมยี และผ่านเข้าไปทางรูไมโครไพลข์ องโอวุล ในขณะเดียวกันเจเนอร์เรทฟิ นวิ เคลียสจะแบ่งแบบ
ไมโทซสิ ได้ 2 สเปริ ์มนวิ คลไี อ (sperm nuclei) สเปริ ม์ นวิ เคลยี สหนึ่งจะไปผสมกับเซลล์ไข่ทาให้ได้ไซโกต
(zygote, 2n) ซงึ่ จะเจริญต่อไปเปน็ ตน้ อ่อนหรอื เอ็มบรโิ อ สว่ นสเปิร์มนิวเคลียสท่ีเหลือจะว่ายเข้าไปผสม
กบั โพลาร์นิวคลีไอทาให้ไดเ้ อ็นโดสเปิรม์ (endosperm, 3n) ซึ่งทาหน้าทสี่ ะสมอาหารให้กบั ต้นอ่อนภายใน
เมล็ดไว้ใชใ้ นการเจรญิ เตบิ โตในชว่ งแรกๆ ที่ต้นอ่อนยังไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ เรียกการผสม 2 คร้ัง
ของสเปิรม์ นวิ เคลียสนีว้ า่ การปฏสิ นธซิ อ้ น (double fertilization) (ภาพที่ 5.15) ซงึ่ เป็นการปฏิสนธิทพ่ี บ
ในพืชดอกเท่านั้น
1. ละอองเรณูสร้างหลอดเรณูงอกยาว
ต า ม ก้ า น เ ก ส ร เ พ ศ เ มี ย ล ง ไ ป ยั ง รั ง ไ ข่
เปน็ ทางให้สเปริ ์มนิวเคลยี สไปปฏิสนธิ
2. หลอดเรณูงอกแทงผ่านรไู มโครไพล์ ทา่ ให้
สเปิรม์ ได้เขา้ ผสมกับไข่ และโพลารน์ วิ คลไี อ
3. นวิ เคลยี สหนง่ึ ของสเปิร์มผสมกบั ไข่ไดไ้ ซโกต
(2n) สว่ นอีกนิวเคลียสผสมกับโพลาร์นิวคลีไอ
ได้เอน็ โดสเปริ ์ม (3n)
ภาพที่ 5.15 กระบวนการปฏิสนธิซอ้ นในพืชดอก
ท่มี า: ดัดแปลงจาก Campbell และคณะ (2008) หนา้ 806
149
5.4 การสืบพันธ์ุของสัตว์
สตั ว์หลายชนิดสามารถสบื พนั ธุไ์ ด้ทั้งแบบอาศัยเพศและไมอ่ าศัยเพศ ตามท่ไี ด้กล่าวมาแลว้ ข้างต้น
การสบื พนั ธแ์ุ บบอาศัยเพศต้องอาศัยกลไกการรวมตวั กนั ของเซลลส์ บื พันธุ์ที่มชี ุดโครโมโซมเป็นแฮพลอยด์
เพ่อื รวมกันไดเ้ ซลล์ไซโกตทเี่ ป็นดิพลอยด์ เซลลส์ บื พันธเุ์ พศเมยี หรือไขม่ ขี นาดใหญแ่ ละไมเ่ คล่ือนท่ี ขณะที่
เซลล์สบื พนั ธุเ์ พศผ้หู รือสเปิร์มมขี นาดเลก็ กวา่ มากแต่สามารถเคลื่อนท่ีได้ สาหรับการสืบพนั ธแ์ุ บบไม่อาศยั
เพศนัน้ ไม่จาเปน็ ตอ้ งอาศยั การปฏิสนธริ ะหว่างไขก่ ับสเปริ ์มก็สามารถทจ่ี ะให้ลกู หลานได้ในจานวนมากผ่าน
กระบวนการแบง่ เซลล์แบบไมโทซิส
5.4.1 การสบื พนั ธุข์ องสตั วไ์ มม่ กี ระดกู สันหลัง
โดยธรรมชาติการสืบพันธ์ุของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจะอาศัยการปฏิสนธิระหว่างไข่กับ
สเปริ ์ม ซ่ึงหากเปน็ สตั ว์ท่ียงั มีวิวฒั นาการตา่ หรอื เปน็ สัตวท์ ่ีอาศัยอย่ใู นน้า การปฏสิ นธทิ ่ีเกิดขึน้ จะเปน็ แบบ
การปฏิสนธภิ ายนอก สว่ นสตั ว์ทีอ่ าศยั อยบู่ นบกหรอื มวี ิวฒั นาการสงู ข้ึนมาการปฏสิ นธทิ เ่ี กิดขนึ้ จะเปน็ แบบ
การปฏสิ นธิภายใน นอกจากน้ยี งั มีกลุ่มสัตว์ทส่ี ามารถปฏสิ นธิภายในตวั เองได้ และสามารถสืบพันธ์ุได้โดย
ไมต่ อ้ งอาศัยกระบวนการปฏิสนธิ การสบื พันธ์ขุ องสตั วไ์ ม่มีกระดกู สนั หลงั อาจแบง่ ตามกลมุ่ ได้ ดังน้ี
5.4.1.1 ฟองน่้า (sponge)
สามารถสบื พนั ธุแ์ บบไม่อาศยั เพศได้ โดยการแตกหน่อหรืออาจมีการสร้างเจมมูล
(gemmules) ซึ่งพบในฟองน้าที่อาศัยอยู่ในน้าจืดเป็นส่วนใหญ่ และยังสามารถเกิดการงอกใหม่ได้
ส่วนการสืบพนั ธุ์แบบอาศัยเพศฟองน้าจะสรา้ งไข่และอสุจิมาผสมกัน ตัวอ่อนท่ีเจริญมาจากเซลล์ไข่จะมี
ซีเลียว่ายน้าอย่างเป็นอิสระและลงเกาะกับพื้นผิวทรายหรือหินเจริญเป็นฟองน้าตัวใหม่ (ภาพท่ี 5.16)
ฟองนา้ ส่วนใหญ่สามารถสรา้ งไดท้ ง้ั ไขแ่ ละสเปริ ์มภายในโคโลนเี ดียวกนั หรือกลา่ วไดว้ า่ มสี องเพศในตวั เดียว
(monoecious) บางชนิดสรา้ งไดเ้ ฉพาะไข่หรอื สเปริ ์มเทา่ น้นั หรือแยกเพศ (dioecious)
ฟองน้าจะสรา้ งและปลอ่ ย
สเปิรม์ ว่ายไปในน้า เมอื่ พบ
ฟองนา้ ตวั ใหม่ สเปิร์มจะเข้า
ผสมกับไข่ ได้ตัวอ่อนที่พัฒนา
อยภู่ ายใน หลงั จากน้นั จะวา่ ย
ออกมาและเกาะกับพ้ืนผิวและ
เจรญิ เปน็ ตวั เต็มวัย
ภาพท่ี 5.16 การสบื พันธ์แุ บบอาศัยเพศของฟองน้า
ท่ีมา: ดดั แปลงจาก Daniel และ Zike (2005) หน้า 16
150
5.4.1.2 ซีเลนเทอเรต (coelenterates)
สัตว์กลุ่มนี้อาจเรียกว่า ไนดาเรีย (cnidarian) ได้แก่ ไฮดรา แมงกะพรุน และ
ดอกไม้ทะเล โดยส่วนใหญจ่ ะมกี ารสบื พันธ์ุแบบสลบั (alternation of generation) คอื ในวงจรชีวิตจะมี
ทัง้ การสบื พันธุ์แบบอาศยั เพศและไม่อาศัยเพศ ช่วงที่เป็นการสบื พันธแุ์ บบไมอ่ าศัยเพศจะใช้การแตกหน่อ
จากตัวท่อี ย่กู ับท่ี (polyp stage) ส่วนชว่ งอาศยั เพศแมงกะพรุนในระยะเมดูซา (medusa) จะสร้างเซลล์
สบื พนั ธมุ์ าผสมกนั ได้ตัวออ่ นซึ่งจะลงเกาะกบั พ้ืนและเจรญิ ต่อไป (ภาพที่ 5.17)
ในชว่ งชวี ิตของแมงกะพรนุ ส่วนใหญ่ที่
พบคือระยะเมดูซา (Medusa) ซ่ึง
เจริญมาจากการสืบพันธ์ุ 2 ขั้นตอน
คือ ชว่ งอาศัยเพศ และไมอ่ าศัยเพศ
การสบื พนั ธช์ุ ว่ ง
ไมอ่ าศยั เพศ
การสืบพนั ธ์ชุ ว่ ง
อาศยั เพศ
ภาพท่ี 5.17 การสบื พันธุแ์ บบสลบั ของแมงกะพรุน
ที่มา: ดดั แปลงจาก Daniel และ Zike (2005) หน้า 19
5.4.1.3 หนอนตวั แบน (flat worms)
เปน็ สตั วท์ ี่มี 2 เพศในตัวเดียวกนั (ยกเว้นพยาธใิ บไมเ้ ลอื ดท่ีแยกเพศ) การสบื พันธ์ุ
แบบอาศยั เพศของสัตว์กล่มุ น้ีเกิดขึ้นจากการผสมระหว่างไข่กับสเปริ ์มภายในตวั ไดโ้ ดยท่ไี มต่ ้องผสมข้ามตวั
เชน่ พยาธใิ บไม้ (fluke) ส่วนพยาธิตัวตืด (tape worm) มีการสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศโดยการหักเป็น
ท่อนๆ ซึ่งพบว่าปล้องที่มีไข่สุกและได้รับการปฏิสนธิ (mature proglottid) จะสามารถหลุดออกจาก
ร่างกาย และจะปะปนออกมากับอุจระได้ (ภาพท่ี 5.18 ก.) ซึ่งไข่และตัวอ่อนจะเจริญต่อไปในให้ผู้อาศัย
(host) เช่น หมู ววั และสนุ ขั เป็นต้น ส่วนพลานาเรีย (planaria) ซ่ึงเป็นหนอนตัวแบนชนิดหน่ึงจะมีการ
สืบพนั ธุ์แบบไมอ่ าศยั เพศโดยการงอกใหม่ (ภาพท่ี 5.18 ข.)
151
ปล้องลาตัวของพยาธิท่ีไข่ พลานาเรียสามารถแยกส่วน
สุกและได้รับการปฏิสนธิ ของร่างกาย และงอกใหม่
จะหลุดออกมาปะปนกับ กลายเป็นตัวใหม่ได้
อจุ ระของคน
ก. ข.
ภาพท่ี 5.18 การสืบพนั ธ์ุแบบไมอ่ าศยั เพศของพยาธิตวั ตดื (ก.) และพลานาเรีย (ข.)
ท่มี า: ดัดแปลงจาก Daniel และ Zike (2005) หน้า 18-19
5.4.1.4 หนอนตวั กลม (round worms)
ซ่ึงมีทั้งที่ดารงชีวิตเป็นอิสระ หรือเป็นปรสิต โดยท่ัวไปหนอนตัวกลมมีการ
สบื พันธุแ์ บบอาศัยเพศซึง่ เปน็ แบบแยกเพศ และมกี ารปฏิสนธิภายในร่างกาย โดยตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่า
ตัวเมียทาหน้าท่ีสร้างสเปิร์มไปผสมกับไข่ท่ีอยู่ภายในตัวเมีย ซึ่งตัวเมียอาจสามารถวางไข่ได้มากถึง
100,000 ฟองต่อวัน ไซโกตท่ีเกิดจากการปฏิสนธิของหนอนตัวกลมหลายชนิดสามารถดารงชีวิตอยู่ใน
สภาพแวดลอ้ มทไี่ มเ่ หมาะสมไดด้ ี
5.4.1.5 แอนิลดิ (annelids)
ส่งิ มชี ีวิตในกลุ่มนี้ ได้แก่ ไส้เดือนดิน ปลิงน้าจืด ซึ่งมีการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศ
โดยจะมี 2 เพศในตัวเดยี วกนั หรอื เป็นกระเทย (hermaphrodite) แต่ไขแ่ ละสเปริ ์มไม่สามารถผสมกันใน
ตัวเองได้ จงึ ต้องอาศัยการผสมขา้ มกับตัวอนื่ ทาใหเ้ กิดการแลกเปล่ียนทางพันธุกรรม (ภาพท่ี 5.19)
ภาพท่ี 5.19 การสืบพันธ์แุ บบอาศยั เพศของไสเ้ ดอื นดิน
ทมี่ า: Campbell และคณะ (2008) หน้า 997
152
5.4.1.6 มอลลัส (mollus)
สง่ิ มชี ีวิตในกลุม่ นี้ ได้แก่ หอย หมกึ ซ่งึ มีการสบื พันธ์ุแบบอาศัยเพศ โดยหมึกเพศ
ผู้นั้นจะมีหนวดพิเศษซ่ึงทาหน้าที่ในการส่งถ่ายถุงสเปิร์ม (seminal vesicle) โดยจะส่งผ่านจากช่อง
แมนเทลิ (mantle cavity) ท่ีอยู่ภายตัวหมกึ เพศผผู้ า่ นเข้าไปภายในช่องแมนเทลิ ของหมึกเพศเมยี และเกดิ
กระบวนการปฏิสนธิข้ึน หลังจากนั้นหมึกเพศเมียจะวางไข่ที่ปฏิสนธิแล้วไว้ตามแผ่นหินปะการังและจะ
ดแู ลไข่จนกระทง่ั ฟักออกเป็นตัว ซง่ึ จะแตกต่างจากสัตว์จาพวกมอลลัสกล่มุ อนื่ ๆ โดยที่หมึกจะมีการพัฒนา
จากไข่เป็นตัวออ่ นซงึ่ จะไมม่ ีระยะโทรโคฟอร์ (trochophore)
5.4.1.7 อารโ์ ทรพอด (arthropods)
สัตว์ไมม่ กี ระดูกสันหลังกลุ่มนี้ ได้แก่ แมลง กุ้ง ปู ซ่ึงปกติจะมีการสืบพันธุ์แบบ
อาศัยเพศ แต่พบว่าแมลงบางชนิดอาจมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศได้ซ่ึงเรียกว่า พาทีโนเจเนซิส
การศึกษาพบว่าระบบสืบพนั ธุ์ของแมลงหลายชนิดมีความซับซ้อนกว่าสัตว์ในกลุ่มข้างต้น กล่าวคือ มีท่อ
และตอ่ มท่ีช่วยในการส่งถ่ายเซลลส์ ืบพันธุ์ สรา้ งอาหาร ปกป้องเซลล์สืบพันธุ์ นอกจากนี้ระบบสืบพันธุ์ใน
แมลงยังอาจช่วยในการพัฒนาของตัวอ่อนอีกด้วย กระบวนการสืบพันธ์ุเริ่มจากสเปิร์มท่ีอยู่ในอันฑะ
เคลือ่ นทผี่ ่านมาทางทอ่ นาสเปริ ม์ (vas deferens) และถกู พกั ไวท้ ่ีถุงเกบ็ สเปิร์ม จากนั้นแมลงเพศผู้จะฉีด
สเปิร์มผ่านไปตามท่อพร้อมกับของเหลวท่ีสร้างจากต่อมสร้างน้าเมือก (accessory gland) และไปยัง
เพนนิส (penis) ในแมลงหรืออาร์โทพอดบางชนิดจะมีรยางค์ที่ เรียกว่า แคลสเปอร์ (claspers) ช่วยใน
การยดึ จับแมลงเพศเมียในขณะที่มีการผสมพันธ์ุ ขณะท่ีแมลงผสมพันธุ์น้ันไข่ท่ีสร้างภายในรังไข่จะเดิน
ทางผา่ นทอ่ นาไข่ (oviduct) มายังมดลูก (uterus) เพ่ือรอการปฏิสนธิจากสเปริ ์ม โดยสเปริ ์มนน้ั จะถกู เกบ็
ไว้ในถุงเก็บสเปิร์มภายในแมลงเพศเมีย (spermatheca) ท่ีอยู่ใกล้กับมดลูกซ่ึงติดต่อกันผ่านท่อส้ันๆ
ขนาดเลก็ แมลงเพศเมยี จะใช้สเปิร์มท่เี ก็บอยู่ในถุงเพื่อปฏสิ นธิกับไข่ก่อนท่ีจะผ่านไข่เหล่านั้นออกมาทาง
ช่องสืบพันธุ์ (vulva) (ภาพที่ 5.20)
ก. ข.
ภาพที่ 5.20 กายวิภาคระบบสืบพนั ธ์ุของแมลงหวี่เพศผู้ (ก.) และแมลงหวเ่ี พศเมยี (ข.)
ทีม่ า: Reece และคณะ (2011) หนา้ 1001
153
5.4.1.8 เอคไคโนเดริ ม์ (echinoderm)
สัตว์ท่ีเป็นสมาชิกในกลุ่มน้ี ได้แก่ ดาวทะเล เม่นทะเล ปลิงทะเล เป็นต้น ส่วน
ใหญ่มีการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศ อย่างไรก็ตามดาวทะเลสามารถสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศได้ เรียกว่า
การงอกใหม่ แขนแตล่ ะข้างของดาวทะเลนนั้ ประกอบด้วยอัณฑะหรือรังไข่อยู่เป็นคู่ๆ นักวิจัยคาดการว่า
ดาวทะเลเพศเมียสามารถผลิตไข่ได้ 200 ล้านฟองต่อปี การสืบพันธุ์ของดาวทะเลน้ันเป็นแบบปฏิสนธิ
ภายนอก โดยสเปริ ม์ และไข่ท่ถี กู ปลดปล่อยออกมาสนู่ ้าจะปฏิสนธกิ นั แลว้ กลายเป็นตัวออ่ นว่ายน้าได้อย่าง
อิสระโดยมีสมมาตรรา่ งกายแบบคร่ึงซกี เรยี กวา่ ไบพนิ นาเรีย (bipinnaria) หลังจากนน้ั สองเดือนตัวอ่อน
จะลงเกาะพนื้ และเกดิ กระบวนการพัฒนาของรา่ งกาย (metamorphosis) เปน็ ตวั เตม็ วยั ท่มี ีสมมาตรแบบ
รัศมี
5.4.2 การสบื พนั ธ์ุของสตั วม์ ีกระดูกสันหลงั
ระบบสืบพันธข์ุ องสตั วม์ ีกระดูกสนั หลังสว่ นใหญจ่ ะมีรปู แบบท่คี ล้ายคลงึ กนั แตก่ ็มลี ักษณะ
บางประการท่ีมีความแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นสัตว์มีกระดูกสันหลังหลายชนิดที่ไม่ใช่สัตว์เล้ียงลูกด้วย
นา้ นม จะมรี ูเปิดของระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่ายของเสีย และระบบสืบพันธ์ุเป็นรูเดียวกัน เรียกว่า
โคลเอคา (cloaca) ซึ่งเปน็ โครงสรา้ งทีค่ าดว่าน่าจะพบในบรรพบุรุษของสัตว์มีกระดูกสันหลังด้วย แต่ใน
สัตว์เลีย้ งลกู ด้วยนมจะไมม่ ีโคลเอคาเนอ่ื งจากมที ่อทางเดินอาหารแยกต่างหากจากท่อระบบสืบพันธุ์ และ
ระบบขับถ่าย นอกจากน้ใี นสตั ว์มกี ระดกู สันหลังสว่ นใหญจ่ ะมีมดลกู ท่แี ยกออกไปตา่ งหากจากอวัยวะอื่นๆ
สว่ นอวยั วะสบื พันธุข์ องสตั ว์มีกระดูกสันหลงั เพศผูจ้ ะมคี วามแตกตา่ งกนั ออกไปในส่วนของอวัยวะสืบพันธ์ุ
สัตว์มีกระดูกสันหลังท่ีไม่ใช่สัตว์เล้ียงลูกด้วยน้านมหลายชนิด รวมท้ังสัตว์สะเทินน้าสะเทินบก และ
สัตว์เล้ือยคลานจะมีการพัฒนาของอวัยวะสืบพันธุ์น้อย ดังนั้นในการฉีดสเปิร์มจึงต้องอาศัยแรงดันให้
โคลเอคาโผล่ออกมาขา้ งนอกแทน ตา่ งจากสัตวเ์ ล้ยี งลูกดว้ ยน้านมซ่งึ อวยั วะสืบพนั ธุ์เพศผู้จะมีโครงสร้างที่
พัฒนาดกี วา่
5.4.2.1 ปลาแลมเพรย์ (lampreys)
ปลาแลมเพรย์เป็นปลาปากกลมไม่มีขากรรไกรที่กินอาหารโดยอาศัยการดูดกิน
เลือดของปลาชนิดอ่ืน ปลาบางชนิดที่ตัวเต็มวัยจะอาศัยอยู่ในทะเลตลอดชีวิต แต่บางชนิดอาศัยอยู่ใน
แมน่ ้า ทะเลสาบ และไมเ่ คยข้ามเขา้ ไปในเขตทะเล อย่างไรก็ตามปลาแลมเพรย์ทุกชนิดมีการสืบพันธ์ุใน
แหล่งน้าจืด โดยเกิดการปฏิสนธิแบบภายนอก ซึ่งตัวอ่อนที่เกิดจากการปฏิสนธิจะมีลักษณะคล้ายกับ
แอมฟอิ อกซสั (amphioxus) หลงั จากน้นั ตัวออ่ นจะมพี ัฒนาการและเจริญเตบิ โตเป็นตวั เต็มวยั ตอ่ ไป
5.4.2.2 ปลากระดูกออ่ น
ปลาทจ่ี ัดเป็นปลากระดกู อ่อน ได้แก่ ปลาฉลาม และกระเบน เปน็ ต้น ปลากลุ่มน้ี
มีกระบวนการสืบพันธุ์แตกต่างไปจากปลาไม่มีขากรรไกรข้างต้น โดยกระบวนการปฏิสนธิน้ันเกิดข้ึน
ภายในตัวของปลาฉลามเพศเมีย ระหวา่ งการผสมพนั ธป์ุ ลาเพศผจู้ ะใช้อวัยวะพิเศษท่ีเปล่ียนแปลงมาจาก
ครบี กน้ (pelvic fin) เรียกว่า แคลสเปอร์ ในการส่งถ่ายสเปริ ์มใหก้ ับปลาเพศเมยี ปลาฉลามและกระเบน
บางชนิดมกี ารวางไข่หลังการปฏิสนธิซ่ึงมีไข่แดงในปริมาณมาก ตัวอ่อนจะมีการพัฒนาภายในไข่และได้
อาหารจากไข่แดง หลังจากน้ันตัวอ่อนจะฟักซึ่งมีรูปร่างลักษณะเหมือนฉลามตัวเต็มวัยแต่มีขนาดเล็ก
ขณะท่ีปลาฉลามและกระเบนส่วนใหญ่น้ันตัวอ่อนจะมีการพัฒนาและเจริญเติบโตภายในท้องแม่ซึ่งจะ
ออกลูกเป็นตวั อยา่ งไรก็ตามปลากระดูกออ่ นจะไมม่ พี ฤตกิ รรมการเลย้ี งดูลกู หลงั การให้กาเนิด
154
5.4.2.3 ปลากระดกู แขง็
ปลากลุ่มนี้จะมีการสร้างไข่ซ่ึงเกิดขึ้นภายในรังไข่ของปลาเพศเมีย และสร้าง
สเปริ ์มซึง่ เกิดข้นึ ภายในอณั ฑะของปลาเพศผู้ ชว่ งการสืบพนั ธุไ์ ขก่ ับสเปิร์มจะถกู ปล่อยออกมาทางรูเปิดซ่ึง
อยู่หลังรูทวาร ปลากระดูกแข็งส่วนใหญ่มีการปฏิสนธิซึ่งเกิดข้ึนภายนอก อัตราการตายของตัวอ่อนจึงมี
มาก ดังนนั้ ในแต่ละคร้งั ของฤดูผสมพันธุ์ปลากระดูกแข็งจึงวางไข่เป็นจานวนมากเพ่ือให้แน่ใจว่าจะมีลูก
ปลาเหลอื รอดในธรรมชาตแิ ละเตบิ โตเปน็ ตัวเต็มวัยตอ่ ไป แต่การสบื พนั ธแ์ุ ละวางไขข่ องปลากระดกู แขง็ ก็มี
ความแปรผนั ทางรูปแบบสงู กลา่ วคือ ปลาบางชนดิ สามารถออกลกู ไดข้ ณะที่ยังไมโ่ ตเต็มวัย บางชนิดมีการ
ปฏิสนธิเกิดขึ้นภายในตัว และดูแลไข่ภายในท้องจนกระท่ังฟักเป็นตัว บางชนิดมีการอมไข่ไว้ในปาก
(ภาพท่ี 5.21) ปลาบางชนิดมกี ารสร้างรังจากพืช จากกิ่งไม้ หรือเปลือกหอยต่างๆ ขณะท่ีปลาบางชนิดมี
การอพยพไปยงั แหลง่ นา้ ที่อุ่นและต้ืนเพือ่ การดูแลไข่ของมัน
ภาพท่ี 5.21 ปลาอมไข่ (Apogon aureus) เพศผมู้ หี น้าที่ดแู ลไข่ภายในปาก
ท่มี า: Postlethwait และ Hopson (2006) หน้า 792
5.4.2.4 สัตวส์ ะเทินนา่้ สะเทนิ บก
สตั วใ์ นกลุ่มน้ีจะมกี ารวางไข่ในน้า หรือใกล้แหล่งน้ามากที่สุดและจะใช้ชีวิตช่วง
ต้นระยะหนึ่งอยู่ในน้าเหมือนกับสัตว์น้าวัยอ่อนชนิดอื่นๆ ตัวอย่างท่ีเห็นได้ชัดเจนของสัตว์ในกลุ่มนี้ คือ
การสืบพันธ์ุของกบ เมื่อตื่นจากการจาศลี ในฤดหู นาว (hibernation) กบแต่ละตัวจะมีการกินอาหารมาก
ขึน้ และเม่อื ถงึ ฤดูผสมพันธก์ุ บเพศผู้จะสง่ เสยี งรอ้ งใหก้ บเพศเมียชนดิ เดยี วกนั เกิดความสนใจ โดยกบแตล่ ะ
ชนิดก็จะมีเสียงร้องที่แตกต่างกันออกไป โดยเสียงของกบเพศผู้ที่ร้องเกิดจากการผ่านของอากาศที่ใช้
แรงดันระหว่างปากกบั ปอดของมันและทาให้เกดิ เสยี งดงั ข้ึนโดยการส่ันสะเทือนผ่านตาแหน่งที่มีลักษณะ
ป่องออกคล้ายถุงใต้คางซึ่งพบได้เฉพาะในกบเพศผู้ เรียกว่า โวคอลแซค (vocal sac) ภาพท่ี (5.22 ก.)
ซ่ึงเป็นอวัยวะทีช่ ่วยให้เสยี งรอ้ งนั้นดังขนึ้ เมื่อกบเพศเมยี เขา้ มาใกล้ กบเพศผู้จะขึ้นไปเกาะบนหลงั และโอบ
รัดเพศเมียอย่างเหนยี วแนน่ เรียกวา่ แอมเพลกซัส (amplexus) ซงึ่ เปน็ กระบวนการกระตนุ้ จนกวา่ กบเพศ
เมียจะปล่อยไข่ออกมา (ภาพท่ี 5.22 ข.) จากน้ันกบเพศผู้ก็จะปล่อยสเปิร์มออกมาผสมกับไข่เหล่าน้ัน
ซึ่งจดั เป็นการปฏสิ นธิแบบภายนอก หลงั จากน้นั กบแต่ละตัวก็จะแยกกันอยู่แบบเด่ียว ท้ังน้ีกบแต่ละชนิด
จะมพี ฤติกรรมและเสยี งรอ้ งรวมทง้ั การปฏสิ นธิแตกตา่ งกันออกไป
155
ระบบสบื พันธข์ุ องกบเพศผปู้ ระกอบด้วยอณั ฑะรูปรา่ งคล้ายเมล็ดถ่ัววางตัวอยู่ใน
ตาแหนง่ ใกล้กบั ไต ในชว่ งเวลาของการสืบพันธุ์สเปิร์มทีส่ รา้ งและพัฒนาในอณั ฑะจะเคล่ือนที่ผา่ นทอ่ มายัง
ไต ท่อปัสสาวะ และผา่ นออกมาทางรโู คลเอคา สว่ นกบเพศเมยี จะมกี ารสร้างไข่ขนาดเล็กนับพันฟองที่ยัง
พฒั นาไม่สมบูรณ์จากรังไข่และเกบ็ ไว้ภายในลาตัวใกลก้ บั ไตเชน่ เดยี วกัน จากนั้นไขจ่ ะมีการพัฒนาและสุก
เต็มที่ซง่ึ ถกู สง่ ไปตามทอ่ นาไข่ ระหวา่ งน้ีไขก่ ็จะถูกเคลือบด้วยสารเหนยี วทม่ี ลี กั ษณะคลา้ ยเจลลี โดยมีซเี ลยี
(cilia) พัดพาไข่เคลื่อนที่ไปยังปลายท่อนาไข่ท่ีมีลักษณะคล้ายกรวย (funnel-like opening) และผ่าน
ออกไปนอกตวั กบทางรูโคลเอคาเพอ่ื ปฏิสนธิกับสเปริ ์ม
โวคอลแซค
ก. ข.
ภาพที่ 5.22 โวคอลแซคของกบเพศผู้ (ก.) และการปฏสิ นธิภายนอกของกบ (ข.)
ท่ีมา: Postlethwait และ Hopson (2006) หนา้ 810; Reece และคณะ (2011) หนา้ 1000
5.4.2.5 สตั ว์เลอ้ื ยคลาน
การสืบพันธ์ใุ นสตั วเ์ ลือ้ ยคลานเปน็ การปฏิสนธิแบบภายในร่างกาย สามารถแบ่ง
ได้เปน็ 3 รปู แบบ โดยแบ่งแยกตามพื้นฐานของลกั ษณะของการออกลูกเปน็ ไขห่ รือเป็นตัวและปรมิ าณของ
สารอาหารในไข่ ดังน้ี
1) โอวิพาลัส (oviparous) เป็นการออกลูกแบบเป็นไข่ โดยระบบสืบพันธ์ุของ
สัตวเ์ ลื้อยคลานเพศเมยี จะทาหน้าที่ในการสร้างเปลือกไข่ท่ีมีความเหนียวทนต่อการฉีกขาด หลังจากน้ัน
เพศเมียก็จะหาสถานที่วางไขใ่ นพืน้ ที่ทมี่ ีสภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสม (ภาพท่ี 5.23) รปู แบบการสบื พันธแุ์ บบ
แรกน้ีนบั วา่ เป็นแบบทพ่ี บมากในสตั ว์เล้ือยคลาน และสัตวป์ ีก
2) โอโววิวพิ าลสั (ovoviviparous) เปน็ การออกลูกแบบเปน็ ตัวที่ฟักออกมาจาก
ไข่ท่อี ยู่ภายในลาตวั ของตัวแม่ หรืออาจจะมกี ารวางไข่ในระยะส้ันแล้วจึงฟักออกมาเป็นตัว กลยุทธ์นี้เป็น
การปกป้องไข่ที่มีลักษณะอ่อน โดยไข่จะอยู่ภายในร่างกายช่วงระยะเวลาหนึ่งโดยจะได้รับน้าและก๊าซ
ออกซิเจนจากร่างกายของตัวแม่ แตจ่ ะไม่ได้รับสารอาหารนอกจากไข่แดงที่มีอยู่ภายในไข่ ซ่ึงสามารถพบ
ได้ในสตั วเ์ ล้ือยคลานบางชนดิ เช่น งูอเมรกิ ันพิทไวเปอร์ส (American pit vipers)
3) วิวิพาลสั (viviparous) เป็นการออกลูกแบบเป็นตัว โดยไข่ท่ีอยู่ภายในลาตัว
จะไม่มกี ารสร้างเปลอื กไข่มาหุ้ม ตัวออ่ นจะเกิดการเจรญิ และพัฒนาภายในลาตวั ของแม่จนกระทั่งพร้อมที่
จะเกิดออกมา ในขณะที่อยู่ในลาตัวของแม่ตัวอ่อนจะได้รับน้าและสารอาหารจากแม่ผ่านโครงสร้างที่
156
เรยี กวา่ รก (placenta) ซง่ึ สรา้ งมาจากเนือ้ เย่อื ของตวั อ่อนทม่ี ีการสรา้ งเส้นเลอื ดมาเชอื่ มกับเส้นเลอื ดของ
แม่ รูปแบบการสืบพันธุ์แบบนี้ส่วนใหญ่จะพบได้ในสัตว์เล้ียงลูกด้วยน้านม แต่ก็สามารถพบได้ใน
สตั วเ์ ลื้อยคลาน เชน่ กิง้ ก่า และงูบางชนดิ
สัตว์เล้ือยคลานส่วนใหญจ่ ะไมม่ กี ารดูแลไขห่ รือลูกหลังจากการฟัก อยา่ งไรก็ตาม
กิ้งกา่ และงบู างชนิดมกี ารปกป้องไขแ่ ละใหค้ วามอบอ่นุ กบั ไข่จนกระท่ังฟักออกมาเป็นตัว ส่วนจระเข้จะมี
การดูแลไข่และลกู ของมนั อย่างดีท่ีสุดในกลมุ่ สัตว์เลอ้ื ยคลาน โดยการสร้างรัง ดแู ลรงั ของมันอยใู่ กล้ๆ และ
คอยขบั ไลผ่ ลู้ า่ ท่ีจะมาขโมยไข่ หลังจากทไ่ี ข่ฟกั ออกมาเปน็ ตัว จระเข้จะทาลายรังและช่วยทาให้เปลือกไข่
แตกและพาลกู ของมันลงไปยังแหลง่ นา้ ในระหว่างน้ีจระเขจ้ ะคอยดูแลลูกของมนั โดยใหล้ ูกอาศยั อยภู่ ายใน
ปากหรอื บนหัวเปน็ ระยะเวลาเปน็ ปหี รอื อาจมากกวา่ นนั้
ภาพท่ี 5.23 งู bushmaster snakes (Lachesis muta) ออกลกู เป็นไข่ (oviparous)
ทีม่ า: Campbell และคณะ (2008) หน้า 715
5.4.2.6 นกหรอื สตั วป์ กี
สาหรับสัตว์ในกลุ่มนก เพศผู้จะมีระบบสืบพันธ์ุที่ไม่แตกต่างจากสัตว์ท่ีกล่าว
มาแล้วข้างต้น กล่าวคือ สเปิร์มจะถูกสร้างข้ึนภายในอัณฑะซ่ึงวางตัวอยู่ในตาแหน่งส่วนหน้าของไต
โดยสเปิร์มทส่ี ร้างขึ้นจะเคลอื่ นทผี่ า่ นทอ่ นาสเปริ ์มมายังรูเปิดโคลเอคา ในระหวา่ งการผสมพนั ธ์ุนกเพศผ้จู ะ
ขยับโคลเอคาของมันให้มีตาแหน่งใกล้กับโคลเอคาของนกเพศเมียมากท่ีสุดและปล่อยสเปิร์มให้เข้าไป
ภายในโคลเอคาของนกเพศเมีย นกเพศเมียส่วนใหญจ่ ะมรี งั ไข่อยู่เพยี งอนั เดยี วซง่ึ มีตาแหน่งอยูค่ อ่ นไปทาง
ด้านซา้ ยของลาตัว เซลล์ไข่ของนกถูกสร้างข้ึนท่ีรังไข่จากนั้นจะเคลื่อนท่ีไปตามท่อนาไข่ท่ีมีลักษณะเป็น
ปากแตรเพ่ือปฏิสนธิกับสเปิร์ม ไข่ท่ีได้รับการปฏิสนธิแล้วจะเคลื่อนท่ีลงมาตามทางภายในท่อนาไข่ใน
ระหว่างน้ันจะมีกระบวนการสร้างเปลือกไข่เกิดขึ้น ไข่ท่ีหุ้มด้วยเปลือกไข่แล้วจะเคลื่อนท่ีออกมาทางรู
โคลเอคาและตกออกมาอยภู่ ายในรังนก ซง่ึ จะไดร้ บั การดูแลจากพอ่ และแม่นก รังของนกนอกจากจะดึงดดู
ความสนใจของนกเพศเมียแล้วยังทาหน้าที่เป็นท่ีกาบังจากผู้ล่า นกส่วนใหญ่จะสร้างรังท่ีพรางตาผู้ล่า
157
โดยนกอาจสร้างรังอยู่ตามโพรงในพื้นดินไปจนถึงเรือนยอดของต้นไม้ก็ได้ข้ึนอยู่กับชนิดพันธ์ุของนก
ตัวอย่างเช่น นกหัวขวาน (woodpeckers) จะสร้างรังของมันโดยการเจาะต้นไม้ให้เป็นโพรง นกขม้ิน
(orioles) จะสรา้ งรงั โดยการแขวนไวท้ ี่ปลายกิง่ ของต้นไม้ เพ่ือป้องกันการเขา้ ถงึ ของผู้ล่า นกนางแอ่นบ้าน
(barn swallows) มกั สร้างรังของมันด้วยโคลนเปน็ รปู ถว้ ยอยูต่ ามโครงสร้างของอาคาร นกสามารถสร้าง
รังของมันจากวัสดุใดๆ กต็ ามท่ีสามารถหาได้ เชน่ ก่งิ ไม้ เปลือกไม้ ขน เศษใบหญ้า และดินเหนียว ภายใน
รงั นกเพศผแู้ ละ/หรือเพศเมยี จะคอยฟกั ไข่เพื่อให้ความอบอุ่นโดยพ่อแม่นกจะนั่งลงบนไข่เพ่ือให้บริเวณ
หนงั หน้าท้องที่ไม่มขี น (brood patch) น้ันได้สัมผสั และให้ความอบอุน่ กับไข่
โดยทั่วไปนกหรอื สัตว์ปีกจะมีรูปแบบของการเล้ียงดูลูกในวัยอ่อนซึ่งแบ่งออกได้เป็นสอง
แบบดว้ ยกัน ไดแ้ ก่ พรโี คเชียล (precocial) กลา่ วคอื เป็นลูกนกที่ออกมาจากการฟักไข่คราวละหลายใบ
และใชเ้ วลาในการฟกั นาน แตล่ ูกทีอ่ อกมานนั้ จะสามารถเดนิ ว่ายน้า และหาอาหารได้เอง เช่น เปด็ ไก่ นก
กระทา และนกทีส่ รา้ งรังอยู่บนพน้ื ดิน ส่วนอีกแบบคือ อัลทริเชียล (altricial) เป็นกลุ่มนกที่มีการวางไข่
และฟกั ออกมาเป็นตัวในเวลาอนั สัน้ แตล่ ูกนกจะยังไม่ลืมตา ไม่มีขน และยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ดังน้ัน
ลูกนกแบบที่สองจึงมีพ่อแม่นกดูแลเป็นอย่างดี เช่น นกหัวขวาน เหย่ียว (hawk) นกพิราบ (pigeon)
นกแกว้ (parrot) นกกระจิบ (warbler) และนกนา้ อีกหลายชนิด
สาหรับระบบสืบพนั ธ์ใุ นสัตวเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยน้านมนน้ั จะอธบิ ายไว้อย่างละเอียดโดยยึดระบบ
สืบพันธุ์ของมนษุ ยเ์ ปน็ พื้นฐาน ดงั รายละเอยี ดในหวั ขอ้ ทจ่ี ะกลา่ วในลาดบั ต่อไปนี้
5.5 การสบื พนั ธุข์ องมนุษย์
หน่วยสบื พนั ธใ์ุ นมนุษยเ์ พศหญิงหรือเพศชายเรียกรวมกันว่าโกแนด (gonad) ซ่ึงทาหน้าที่ในการ
สรา้ งไขห่ รือสเปิร์มซ่งึ ก็คือรังไข่ (ovaries) และอัณฑะ (testes) และนอกจากนี้ยงั ทาหน้าท่ีเป็นต่อมไร้ท่อ
(endocrine gland) ท่ีสรา้ งฮอร์โมนเพศอกี ด้วย อย่างไรก็ตามหน้าที่หลักของรังไข่และอัณฑะก็คือ การ
สร้างและการเก็บเซลลส์ ืบพนั ธ์ุ เพ่อื ใหเ้ ข้าใจระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์อย่างละเอียดจึงต้องทราบลักษณะ
ทางกายวิภาคศาสตร์ (anatomy) ของระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์ในแต่ละเพศ รวมทั้งกระบวนการสร้าง
เซลล์สืบพันธ์ุ ฮอร์โมนเพศ รอบเดอื น การต้งั ครรภ์ การพัฒนาของตวั ออ่ น และการเกิด
5.5.1 โครงสร้างของระบบสบื พนั ธุ์ในเพศหญงิ
โครงสรา้ งระบบสบื พันธภ์ุ ายนอกของเพศหญิงประกอบด้วยคลทิ อรสิ (clitoris) พรอ้ มด้วย
แคม (labia) สองชุดท่ลี ้อมรอบคลทิ อรสิ และช่องคลอด สว่ นอวยั วะของระบบสืบพันธุ์ภายในประกอบไป
ด้วย รังไข่ ท่อ และชอ่ งท่ีเกีย่ วกับการส่งผ่านเซลล์สืบพันธ์ุ และมดลูก (uterus) ซ่ึงเป็นท่ีอยู่ของตัวอ่อน
และทารก
5.5.1.1 รังไข่
หนว่ ยสืบพนั ธุข์ องมนษุ ยเ์ พศหญงิ ประกอบด้วยรงั ไข่ 1 คู่ มตี าแหนง่ อยขู่ นาบข้าง
มดลูกทางด้านซ้ายและทางด้านขวาแต่ละข้างโดยแขวนตัวซ่ึงยึดติดกับเอ็น (ligaments) อยู่ภายในช่อง
ท้อง เนือ้ เยอ่ื ชั้นนอกของรงั ไข่จะประกอบไปด้วยเซลล์ฟอลลิเคิล (follicles) อยู่เป็นจานวนมาก ภายใน
ฟอลลิเคิลจะมีเซลล์ไข่หรือโอโอไซท์ (oocyte) ท่ีพัฒนาอยู่ระยะหนึ่งโดยกระบวนการแบ่งเซลล์ ซ่ึง
โอโอไซท์จะถกู ล้อมรอบด้วยเซลลท์ ี่ทาหน้าทสี่ รา้ งอาหารและคอยปกป้องโอโอไซท์ ตั้งแต่กาเนิดรังไข่จะ
ประกอบด้วยฟอลลเิ คลิ มากถงึ 1-2 ล้านฟอลลเิ คิล แต่มเี พยี งประมาณ 500 ฟอลลิเคิลเท่านั้นท่ีจะพัฒนา
158
ไดอ้ ย่างสมบูรณ์ในช่วงวัยสาวจนถึงวัยหมดประจาเดือน (menopause) โดยใน 4 สัปดาห์ของหนึ่งรอบ
เดือนจะมีเพียงหนึ่งฟอลลิเคิลที่พัฒนาเต็มที่และปลดปล่อยเซลล์ไข่ออกมาหนึ่งเซลล์ เรียกว่า
“กระบวนการตกไข่ (ovulation)” ในระหว่างกอ่ นการตกไข่เซลลฟ์ อลลเิ คลิ จะทาหน้าทีส่ รา้ งฮอร์โมนเพศ
หญงิ ช่อื ว่า เอสทราไดอัล (estradiol) ซงึ่ เป็นฮอรโ์ มนในกลมุ่ ฮอรโ์ มนอีสโทรเจน (estrogen) ภายหลงั การ
ตกไข่ฟอลลเิ คิลทแ่ี ตกออกจะพัฒนากลายเป็นเน่ือเยื่อมีลักษณะเป็นก้อน เรียกว่า “คอพัส ลูเทียม หรือ
เยลโล บอดี (corpus luteum หรือ yellow body)” ซ่ึงทาหน้าท่ีสร้างฮอร์โมนเอสทราไดอัลและ
ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน (progesterone) ในชว่ งระยะเวลาหน่ึง โดยฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนมีหน้าที่ใน
การสง่ เสรมิ ให้เย่ือบุมดลกู เจริญและแข็งแรงเพื่อรองรับสาหรับการต้ังครรภ์ต่อไป แต่ถ้าเซลล์ไข่ไม่ได้รับ
การผสมจากสเปริ ม์ คอร์พัสลเู ทียมก็จะสลายไปจากนน้ั กระบวนการสร้างฟอลลิเคลิ ใหมก่ ็จะเริ่มต้นในรอบ
เดือนถดั ไป
5.5.1.2 ท่อน่าไขแ่ ละมดลกู
ท่อนาไข่ (oviduct) หรอื ทอ่ ฟอลโลเปยี น (fallopian tube) เป็นท่อที่ย่นื ออกมา
จากมดลูกไปยังรังไขท่ ้งั สองข้าง เสน้ ผา่ นศูนย์กลางของทอ่ นาไข่จะมีขนาดที่แปรผันตามความยาวโดยท่อ
ในตาแหน่งทใ่ี กลก้ ับมดลกู จะมขี นาดเส้นผา่ นศนู ย์กลางใกลเ้ คียงกับขนาดของเสน้ ผมมนษุ ย์ ในช่วงของการ
ตกไข่ ไข่ทต่ี กออกมาในชอ่ งท้องจะถูกพดั เข้าไปในทอ่ นาไข่บรเิ วณปากแตรโดยการดดู ของเหลวของซเี ลียที่
บุอยทู่ ผี่ ิวของทอ่ นาไข่ การทางานรว่ มกันของท่อนาไขท่ ่ีมกี ารเคลือ่ นที่แบบลูกคล่ืนกับซีเลียทาให้เซลล์ไข่
ถกู ขนส่งไปยังมดลูกซึ่งเป็นอวัยวะที่เป็นกล้ามเน้ือลักษณะหนาและสามารถขยายตัวเพื่อรองรับทารกที่
เจริญเตบิ โตได้ถึง 4 กโิ ลกรัม ส่วนผนังด้านในของมดลูก (endometrium) จะมีลักษณะที่บางกว่าและมี
เส้นเลือดมาหล่อเล้ียงเป็นจานวนมาก ส่วนบริเวณคอมดลูกมีรูเปิดสู่ช่องคลอด เรียกว่า “ปากมดลูก
(cervix)”
5.5.1.3 ชอ่ งคลอดและปากช่องคลอด
ช่องคลอด (vagina) เปน็ กล้ามเนื้อท่ีมีลักษณะยืดหยุ่นได้ดี เป็นอวัยวะท่ีรองรับ
การสอดใสแ่ ละเปน็ บริเวณทร่ี องรับการฝากสเปริ ม์ ในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ และเป็นช่องทางสาหรับ
การถือกาเนิดของทารกเพื่อผ่านออกทางปากช่องคลอด (vulva) ส่วนอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
ประกอบด้วย แคมใหญ่ (labia majora) และแคมเล็ก (labia minora) มีหน้าท่ีห่อหุ้มและปกป้องปาก
ช่องคลอด โดยปกติท่ีปากช่องคลอดของทารกที่เกิดใหม่จะมีเยื่อบางๆ เรียกว่า “เย่ือพรหมจรรย์
(hymen)” ปดิ ปากชอ่ งคลอดอยูแ่ ตม่ ักจะฉกี ขาดเมอ่ื โตข้นึ เน่อื งจากทว่ งท่าในการออกกาลังกายหรือการมี
เพศสัมพันธ์ ท่ีบริเวณด้านบนของแคมเล็กจะมีอวัยวะเรียกว่า “คลิทอริส (clitoris)” ซ่ึงเป็นเนื้อเยื่อที่
สามารถขยายตวั ไดแ้ ละจะมปี ลายประสาทมากกวา่ บริเวณอนื่ ๆ ซึ่งเป็นบริเวณท่ีไวต่อความรู้สึกทางเพศ
โดยสว่ นปลายหัวจะเรยี กว่า “แกลนส์ (glans)” ซ่ึงจะถูกปกคลมุ ด้วยหนงั คล้ายหมวกฮดู เรยี กว่า “พรพี ิวซ์
(prepuce)” ในระหวา่ งการมีเพศสมั พันธแ์ คมเล็ก คลิทอริส และชอ่ งคลอดจะมเี ลอื ดมาหล่อเล้ียงมากซึ่ง
จะทาให้มีขนาดขยายใหญข่ ้นึ การกระตนุ้ ทางเพศยังทาให้ต่อมเวสทิบูลาร์ (vestibular) หลั่งสารเมือกมา
หล่อลน่ื เพอ่ื ช่วยใหส้ ะดวกในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ภาพท่ี 5.24
159
ภาพท่ี 5.24 โครงสรา้ งระบบสืบพันธใ์ุ นมนุษย์เพศหญิง
ที่มา: Reece และคณะ (2011) หน้า 1003
5.5.1.4 ต่อมนา่้ นม
ต่อมน้านม (mammary glands) สามารถพบได้ท้ังในเพศชายและในเพศหญิง
แมว้ า่ ตอ่ มนา้ นมจะไม่เกี่ยวข้องกบั ระบบสบื พนั ธ์ุแตต่ อ่ มนา้ นมมหี นา้ ท่ีสร้างน้านมในเพศหญิง ภายในต่อม
น้านมจะมีลกั ษณะเปน็ เนอื้ เยอื่ ทเ่ี ปน็ ถุงขนาดเลก็ ทาหนา้ ทใ่ี นการสรา้ งและหลง่ั น้านมซงึ่ จะไหลมารวมกนั ที่
ท่อและเปิดออกสู่หัวนม ในเพศชายจะมีหน้าอกท่ีเล็กกว่าในเพศหญิงเนื่องจากมีปริมาณฮอร์โมน
เอสทราไดอัลท่ีน้อยกว่า ซง่ึ ฮอรโ์ มนเอสทราไดอลั ทม่ี ีปรมิ าณมากจะกระตุน้ การสะสมไขมนั บรเิ วณหนา้ อก
ทาให้ผหู้ ญงิ ในวยั สาวมหี นา้ อกท่ีใหญข่ ้ึน
160
5.5.2 โครงสรา้ งของระบบสบื พันธุใ์ นเพศชาย
อวัยวะสืบพันธ์ุภายนอกของมนุษย์เพศชายประกอบด้วย ถุงอัณฑะ (scrotum) และ
องคชาติ ส่วนภายในประกอบดว้ ยโกแนด (ลกู อณั ฑะ) ที่ทาหน้าที่สรา้ งสเปริ ์ม และฮอรโ์ มนเพศ นอกจากนี้
ยังมีตอ่ มต่างๆ (accessory gland) ทหี่ ลงั่ สารเกยี่ วข้องกบั การเคล่ือนที่ของสเปิรม์ ผา่ นท่อตา่ งๆ ก่อนที่จะ
หลัง่ ออกสภู่ ายนอก (ภาพที่ 5.25)
5.5.2.1 อัณฑะ
สเปิร์มถูกผลิตข้ึนภายในอัณฑะทั้งสองข้าง ภายในอัณฑะจะมีท่อที่ขดไปมาอยู่
มากมายเรียกว่า ทอ่ เซมินเิ ฟอรัส (seminiferous tubules) ระหวา่ งท่อนีม้ ีเซลลท์ กี่ ระจายตัวอยูใ่ นช้ันของ
เนือ้ เยอื่ เกี่ยวพนั (connective tissue) เป็นจานวนมากเรยี กว่า เลย์ดกิ เซลล์ (Leydig cells) ทาหน้าท่ีใน
การสร้างฮอรโ์ มนเทสโทสเทอโรน (testosterone) และฮอรโ์ มนแอนโดรเจนส์ (androgens)
ในสัตว์เล้ียงลูกด้วยน้านมและมนุษย์โดยท่ัวไปถุงอัณฑะจะย่ืนและห้อยออกมา
นอกรา่ งกายทาให้อณุ หภมู ิของอัณฑะตา่ กว่าอุณหภมู ริ ่างกายประมาณ 2 องศาเซลเซียส ซึ่งส่งผลให้การ
สรา้ งสเปริ ม์ เป็นไปอย่างมีประสทิ ธิภาพและเหมาะสม ในมนุษย์ลูกอัณฑะจะถูกพัฒนาอยู่ในช่องท้องแต่
ในช่วงทท่ี ารกกาลงั จะคลอดน้นั ลูกอณั ฑะจะเคลือ่ นท่ีมาอยู่ในถุงอัณฑะ ในหนูหลายชนิดพบว่าเมื่อถึงฤดู
ผสมพนั ธลุ์ กู อณั ฑะจะถกู ดึงกลับเขา้ ไปอยู่ในช่องลาตวั ซึ่งจะส่งผลยับยั้งต่อการพัฒนาของสเปิร์ม ในสัตว์
เลี้ยงลูกดว้ ยนา้ นมบางชนิดที่มีอุณหภูมิร่างกายต่าการพัฒนาของสเปิร์มก็จะเป็นไปอย่างเหมาะสม เช่น
วาฬ ขณะเดยี วกันสัตวบ์ างชนิดมอี ณั ฑะซง่ึ เกบ็ อยู่ภายในชอ่ งว่างในลาตัวเพ่ือหลีกเลี่ยงอุณหภูมิที่ร้อนจัด
ภายนอก เชน่ ช้าง
5.5.2.2 ทอ่ ในระบบสืบพันธ์ุ
สเปิร์มที่สร้างขึ้นภายในท่อเซมินิเฟอรัสจะเคลื่อนที่เข้าสู่ท่ออิพิดิไดมิส
(epididymis) ทม่ี ีลักษณะขดไปมาซงึ่ มคี วามยาวรวม 6 เมตร ขณะยดื ออกมา ในมนุษย์สเปิร์มจะใช้เวลา
อยใู่ นท่อน้ีประมาณ 3 สัปดาห์เพื่อการพัฒนาและเพ่ิมความสามารถในการเคล่ือนที่ได้อย่างสมบูรณ์ ใน
ระหว่างการบวนการฉีด (ejaculation) สเปิร์มจะถูกแรงขับให้เคลื่อนตัวจากอิพิดิไดมิสเข้ามาสู่ท่อนา
สเปริ ์ม (vas deferens) ซ่งึ มลี กั ษณะเป็นท่อทอดตัวยาวและพาดผ่านมาทางด้านหลังกระเพาะปัสสาวะ
และมารวมกับท่อของต่อมเซมินัลเวซิเคิล (seminal vesicle) ซึ่งกลายเป็นท่อฉีดสเปิร์ม (ejaculatory
duct) และจะเปิดเข้าสู่ท่อปัสสาวะ (urethra) ซงึ่ มหี น้าที่ในการขบั ถ่ายของเสียและสง่ ถา่ ยสเปริ ์ม
5.5.2.3 ตอ่ มในระบบสบื พันธุ์
ตอ่ มในระบบสบื พนั ธ์ุเพศชายประกอบด้วยต่อม 3 ชุดท้ังที่อยู่เป็นคู่ ได้แก่ ต่อม
เซมินัลเวซิเคิล ต่อมบัลโบยูเรทรัล (bulbourethral glands) และเป็นต่อมเด่ียว ได้แก่ ต่อมลูกหมาก
(prostate gland) ต่อมเหลา่ น้ีมีหนา้ ทส่ี รา้ งของเหลวซง่ึ เมอ่ื รวมกับสเปริ ม์ แลว้ จะเรยี กวา่ ซเี มน (semen)
โดย 60 เปอร์เซน็ ต์ ของน้าซีเมนน้ันมาจากต่อมเซมินัลเวซิเคิล ของเหลวที่สร้างมาจากต่อมน้ีมีลักษณะ
ค่อนข้างเหนียว สีเหลืองอ่อน และมีฤทธ์ิเป็นด่าง ประกอบไปด้วยเมือกท่ีมีน้าตาลฟรุกโตส ท่ีช่วยให้
พลงั งานกบั ตวั สเปิรม์ เอนไซม์ที่ช่วยใหส้ เปิรม์ จับตวั และยึดเกาะ กรดแอสคอร์บิก (ascorbic acid) และ
โพรสทาแกลนดิน (prostaglandin) ซ่ึงทาให้ผนังมดลูกหดตัวส่งเสริมให้สเปิร์มเคล่ือนท่ีเข้าหาไข่ ส่วน
ของเหลวที่สร้างมาจากต่อมลูกหมากจะมีลักษณะเหลวสีคล้ายน้านม ประกอบด้วยเอนไซม์และซิเตรท
(citrate) ซง่ึ เปน็ อาหารของสเปริ ม์
161
ภาพท่ี 5.25 โครงสรา้ งระบบสบื พนั ธใ์ุ นมนุษย์เพศชาย
ท่มี า: Reece และคณะ (2011) หนา้ 1004
ต่อมลกู หมากเป็นปัญหาทางการแพทย์ท่ีพบบ่อยมาก โดยชายอายุตั้งแต่ 40 ปี
ขน้ึ ไปจะมีความเสีย่ งที่จะเป็นมะเรง็ ตอ่ มลกู หมากเพิม่ มากขึ้น การโตของต่อมลกู หมากนั้นพบในอัตราส่วน
มากกวา่ ครึ่งหนงึ่ ในชายวยั 70 ปี มะเรง็ ตอ่ มลกู หมากจงึ เป็นมะเรง็ ในอนั ดับตน้ ๆ ของผู้ชายวยั 65 ปีขึ้นไป
ส่วนตอ่ มบลั โบยเู รทรัลจะมลี ักษณะเปน็ ตอ่ มคู่ ขนาดเล็กมีตาแหน่งอยู่ภายใต้ต่อมลูกหมากมีหน้าที่สร้าง
และคัดหลั่งสารเมือกเหลวใสท่ีช่วยปรับสภาวะของท่อปัสสาวะท่ีมียูเรียตกค้างอยู่ให้มีความเป็นกลาง
กอ่ นทจี่ ะมกี ารฉดี สเปิรม์ แต่บางครั้งของเหลวใสนีอ้ าจนาพาสเปริ ม์ ออกมาก่อนท่จี ะมกี ารหลง่ั สเปริ ์ม ซึ่งก็
เปน็ สาเหตหุ นง่ึ ทีท่ าให้เกดิ การตงั้ ครรภ์และเก่ยี วโยงกับปัญหาการทาแท้ง
162
5.5.2.4 องคชาติ
ลักษณะภายนอกขององคชาติจะถูกห่อหุ้มด้วยหนังหนา ส่วนบริเวณปลายหัว
หรือแกลนส์ (glans) จะมีลักษณะท่ีบางกว่าและไวต่อความรู้สึกทางเพศ ซ่ึงจะถูกห่อหุ้มด้วยพรีพิวซ์
ภายในองคชาตปิ ระกอบด้วยท่อปัสสาวะและเน้ือเย่ือท่ียืดหดตัว (spongy erectile tissue) ได้ 3 ชุด ใน
ระหว่างทเี่ กดิ การกระตนุ้ ทางเพศ หลอดเลอื ดแดงที่หล่อเล้ียงเน้ือเย่ือน้ีจะถูกเติมเต็มทาให้เนื้อเยื่อขยาย
ใหญ่ขึ้นจนไปปิดก้ันการไหลของหลอดเลือดดาอวัยวะเพศจึงแข็งตัวจากการคลั่งของเลือด การบริโภค
แอลกอฮอล์ ยาบางชนดิ สภาวะทางอารมณ์ และความชรา อาจเป็นปัจจยั ทส่ี ่งผลตอ่ สมรรถนะทางเพศใน
ระยะส้นั ท่ีทาใหอ้ วัยวะเพศไมแ่ ข็งตัว (erectile dysfunction) สาหรับบางคนที่มีปัญหาในระยะยาวอาจ
ใช้ยาไวอากรา (Viagra) (vasodilating action) ทาให้หลอดเลือดท่ีอวัยวะเพศมีการไหลเวียนดีขึ้น โดย
อาศยั กลไกท่ีส่งเสริมให้เซลลม์ ีการหล่ังไนตริกออกไซด์ (nitric oxide, NO) มากขึ้นและยาวนานขึ้นซึ่งจะ
ส่งเสริมการขยายตัวของหลอดเลอื ดไดย้ าวนานข้ึนทาให้อวัยวะเพศแข็งตัวได้นาน แต่สาหรับสัตว์เลี้ยงลูก
ด้วยน้านมหลายชนิด ตัวอย่างเช่น สัตว์ในตระกูลสัตว์ฟันแทะ แรคคูน วาฬ สุนัข และหมีเป็นต้น จะมี
กระดกู ท่เี รียกวา่ “บาคลู มั (baculum)” คอยคา้ จุนให้อวัยวะเพศของสตั วต์ ้ังตรงเพือ่ ช่วยในการผสมพันธ์ุ
5.5.3 กระบวนการสรา้ งเซลลส์ บื พนั ธุ์
โครงสร้างของระบบสืบพันธทุ์ แ่ี ตกตา่ งกนั ในเพศชายและเพศหญิงสะท้อนให้เห็นถึงความ
แตกต่างของเซลลส์ บื พันธท์ุ ั้งสองชนดิ ในแต่ละเพศท้ังในเร่อื งของหนา้ ท่แี ละการทางาน กล่าวคือ สเปิร์มมี
ขนาดเล็กและสามารถเคลื่อนที่ได้ แต่ไข่มีขนาดที่ใหญ่และสะสมอาหารไว้สาหรับการเล้ียงตัวอ่อน
นอกจากน้ีการแบ่งเซลลเ์ พ่อื สรา้ งไข่และสเปริ ม์ ยังมคี วามแตกตา่ งกันในชว่ งของการแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ
อีกดว้ ย
5.5.3.1 กระบวนการสร้างสเปิร์ม
กระบวนการสร้างสเปิร์ม (spermatogenesis) เกิดข้ึนภายในท่อที่อยู่ภายใน
อัณฑะท้ังสองข้าง การสรา้ งสเปิรม์ จะเกิดขึน้ อย่างต่อเนื่องและไดเ้ ซลล์สืบพันธุจ์ านวนมาก ภายในหนึ่งวัน
สเปิร์มจะถูกสร้างข้ึนเป็นจานวนนับร้อยล้านเซลล์ เริ่มต้นจากเซลล์ที่ชื่อ ไพรมอร์เดียลเจิมเซลล์
(primordial germ cells) ที่อยู่ภายในอัณฑะในระยะที่เป็นตัวอ่อนเกิดการแบ่งเซลล์เพ่ิมจานวนแบบ
ไมโทซิสแล้วมีการพัฒนาเปลย่ี นแปลงกลายเปน็ เซลลต์ น้ กาเนิดช่อื สเปอรม์ าโทโกเนีย (spermatogonia)
ซึ่งจะแบง่ เซลลแ์ บบไมโทซิสเพ่อื เพิ่มจานวนและพัฒนาเป็นเซลล์ชื่อ สเปอร์มาโทไซท์ (spermatocyte)
จากน้ันสเปอร์มาโทไซท์จะแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสทาให้ได้เซลล์ชื่อ สเปอร์มาทิด (spermatid) 4 เซลล์
โดยมีจานวนชุดของโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่ง กล่าวคือจากดิพลอยด์ (2n=46 ในมนุษย์) กลายเป็น
แฮพลอยด์ (n=23) หลังจากนนั้ เซลลส์ เปอรม์ าทดิ จะมีการพฒั นาโดยเปลยี่ นรูปร่าง และจัดองค์ประกอบ
ภายในเซลล์จนกระทั่งกลายเป็นเซลล์สเปิร์มท่ีสมบูรณ์ต่อไป ภายในท่อเซมินิเฟอรัสเซลล์ จะมีการจัด
ระเบยี บเกดิ ข้นึ ในระหว่างกระบวนการสร้างสเปิร์ม ซึง่ พบวา่ เซลล์ตน้ กาเนิดสเปอรม์ าโทโกเนียมจะอยู่ติด
กบั ผนงั ของท่อ ถดั มาจะเปน็ เซลลส์ เปอร์มาโทไซท์ และสเปอร์มาทิดตามลาดับ เซลล์ท่ีพัฒนาเป็นสเปิร์ม
ซง่ึ มสี ว่ นหัวและหางแลว้ จะถูกปลดปล่อยสู่ช่องว่างภายในท่อซึ่งมีของเหลวหล่อเลี้ยงอยู่ภายใน จากน้ัน
สเปิร์มจะเคล่ือนท่ีผา่ นเข้าสู่ท่ออิพิดิไดมีสต่อไป ส่วนหัวของสเปิร์มจะมีนิวเคลียสซ่ึงมีชุดโครโมโซมเป็น
แฮพลอยด์ (n) และท่ปี ลายสุดของหัวจะมีถงุ ทบี่ รรจุเอนไซมส์ าหรบั ยอ่ ยผนังเซลลไ์ ข่เรียกว่า “อะโครโซม
(acrosome)” ถัดจากนิวเคลียสไปทางด้านหลังจะมีไมโทคอนเดรีย (mitochondria) จานวนมากอยู่
163
บรเิ วณคอของสเปิร์มเพ่อื ให้พลงั งานในรปู ของ ATP กบั หางสเปริ ม์ ซึ่งเปน็ แฟลกเจลลัม (flagellum) เพ่ือ
ใชใ้ นการเคล่อื นท่ี (ภาพท่ี 5.26)
ภาพท่ี 5.26 กระบวนการสรา้ งเซลลส์ เปริ ม์ ในมนษุ ย์
ท่มี า: Reece และคณะ (2011) หนา้ 1006
5.5.3.2 กระบวนการสร้างไข่
กระบวนการสร้างไข่ (oogenesis) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในระยะเวลาท่ี
ยาวนานเน่อื งจากเซลลไ์ ขใ่ นมนุษยเ์ พศหญิงได้ถูกสรา้ งขึน้ ต้งั แต่เป็นทารกอยู่ในครรภ์แต่มีการพัฒนาท่ียัง
ไมส่ มบรู ณ์ การพัฒนาของเซลลไ์ ข่ใช้ระยะเวลานานนบั ปีและสว่ นมากจะใชเ้ วลานานถงึ 10 ปี ซง่ึ เป็นวัยท่ี
เด็กผู้หญิงสว่ นใหญเ่ รม่ิ เข้าสกู่ ารเปน็ ประจาเดอื น กระบวนการสรา้ งไข่เร่ิมตน้ จากไพรมอรเ์ ดียลเจมิ เซลลซ์ ง่ึ
จะแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซีสเพือ่ เพิม่ จานวนไดเ้ ป็นเซลล์ชื่อ โอโอโกเนีย (oogonia) จากนั้นโอโอโกเนียก็จะ
แบง่ เซลล์แบบไมโทซิสเพื่อสร้างเซลล์ต้ังต้นช่ือ ไพรมารีโอโอไซท์ (primary oocyte) หลังจากนั้นเซลล์
164
ไพรมารีโอโอไซทจ์ ะแบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ ต่อไปเพ่ือสร้างเซลล์ไข่ แต่กลไกของการแบ่งเซลล์จะถูกหยุด
ค้างไว้ในระยะโพรเฟส I ในชว่ งก่อนที่ทารกจะคลอด ระยะนเี้ ซลลไ์ ข่จะถกู ปกปอ้ งอยู่ภายในฟอลลเิ คลิ เป็น
ระยะเวลาหลายปี เม่ือย่างเข้าสู่วัยสาว ฟอลลิเคิลสติมูเลทิงฮอร์โมน (follicle stimulating hormone,
FSH) จะกระตนุ้ ให้ฟอลลิเคิลท่ีอยูร่ อบเซลล์ไขเ่ กิดการเจริญและพัฒนาต่อจนกระท่ังการแบ่งเซลล์ระยะ
ไมโอซิส I เสรจ็ สมบูรณ์ ขณะน้ีผลผลติ ของการแบ่งเซลลจ์ ะได้ เซคอนดารีโอโอไซท์ (secondary oocyte)
กับเฟิร์สโพลาร์บอดี (first polar body) ซ่ึงเฟิร์สโพลาร์บอดีอาจแบ่งเซลล์ต่อไปหรืออาจฝ่อสลายไป
เน่ืองจากความไม่สมบูรณ์ แต่การแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส II จะดาเนินต่อไปในเซคอนดารีโอโอไซท์และ
กลไกการแบง่ เซลลจ์ ะหยุดคา้ งอีกครงั้ อยู่ในระยะเมทาเฟส II กอ่ นกระบวนการตกไข่ เม่ือเกดิ กระบวนการ
ตกไข่และไขไ่ ด้รบั การปฏสิ นธกิ ับสเปริ ์ม การแบง่ เซลล์จงึ จะดาเนินต่อไปจนสิ้นสุดกระบวนการแบ่งเซลล์
แบบไมโอซิส II ซ่ึงขณะน้จี ะไดเ้ ซลลไ์ ข่ทไ่ี ดร้ บั การปฏิสนธแิ ลว้ (fertilized egg) กบั เซคอนดารโี พลาร์บอดี
(secondary polar body) ซ่งึ ต่อมาจะฝ่อสลายไป ฟอลลิเคิลที่แตกออกหลังจากกระบวนการตกไข่จะ
พฒั นากลายเปน็ คอพสั ลเู ทียมอย่รู ะยะหน่งึ และจะฝ่อสลายไปหากว่าไข่ไม่ไดร้ ับการปฏิสนธิ (ภาพที่ 5.27)
เม่ือเปรียบเทียบกระบวนการสร้างไข่กับกระบวนการสร้างสเปิร์มจะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันอย่าง
ชัดเจนซงึ่ สามารถสรปุ ได้ 3 ประเด็นหลกั ดังตารางที่ 5.1
ตารางท่ี 5.1 ความแตกตา่ งของกระบวนการสร้างสเปิรม์ กบั กระบวนการสร้างไข่
กระบวนการสร้างสเปิรม์ กระบวนการสร้างไข่
1. ได้เซลลส์ บื พันธ์ทุ ง้ั หมด 4 เซลล์ 1. ไดเ้ ซลล์สบื พนั ธุเ์ ป็นเซลล์ไข่ 1 เซลล์
2. การสรา้ งเซลล์สืบพันธ์ุเกิดข้ึนตอนวัยเจริญพันธุ์ 2. การสร้างเซลล์สืบพันธุ์เริ่มตั้งแต่เป็นทารกใน
และสรา้ งต่อไปเรอื่ ยๆ ครรภแ์ ละหยุดกระบวนการสร้างเม่ือย่างเข้าสู่อายุ
50 ปี
3. กระบวนการแบง่ เซลล์เกิดขึ้นอย่างตอ่ เนือ่ ง 3. กระบวนการแบ่งเซลล์เกิดขึ้นไม่ต่อเน่ือง ซึ่งมี
การหยดุ ค้างอยทู่ รี่ ะยะโพรเฟส 1 และเมทาเฟส 2
ท่มี า: ดดั แปลงจาก Reece และคณะ (2011) หน้า 1005
165
ภาพที่ 5.27 กระบวนการสรา้ งเซลล์ไข่ในมนุษย์
ทีม่ า: Reece และคณะ (2011) หน้า 1007
5.5.4 ฮอร์โมนกับการควบคมุ ระบบสบื พันธ์ุ
ในมนุษย์การทางานร่วมกันของฮอร์โมนท่ีสร้างมาจากสมองส่วนไฮโพทาลามัส
(hypothalamus) ตอ่ มใต้สมองส่วนหนา้ (anterior pituitary) และโกแนดจะเป็นตัวกาหนดและควบคุม
การสืบพันธ์ุ สมองสว่ นไฮโพทาลามสั จะหลงั่ ฮอรโ์ มนช่ือ โกนาโดโทรพินรีลีสซิงฮอร์โมน (gonadotropin
releasing hormone, GnRH) ซึ่งฮอรโ์ มนน้ีส่งผลโดยตรงต่อต่อมใต้สมองส่วนหนา้ ใหห้ ลั่งโกนาโดโทรพิน
(gonadotropin) ซึ่งก็คือ ฟอลลิเคิลสติมูเลทิงฮอร์โมน และลูทิไนซิงฮอร์โมน (luteinizing hormone)
ฮอร์โมนดงั กลา่ วนจี้ ะควบคุมกระบวนการสรา้ งเซลล์สืบพันธุ์โดยตรง และโดยทางอ้อมจะเป็นตัวควบคุม
การสรา้ งฮอร์โมนเพศดว้ ย ซ่งึ กค็ ือสเตอรอยดฮ์ อร์โมน (steroid hormones) ฮอรโ์ มนเพศทส่ี าคญั และพบ
166
ในเพศชายกค็ ือ แอนโดรเจนโดยเฉพาะเทสโทสเทอโรน สว่ นฮอรโ์ มนที่สาคญั ในเพศหญิงก็คือ อีสโทรเจน
โดยเฉพาะเอสทราไดอัลและโพรเจสเทอโรน ฮอร์โมนเพศก็มีหน้าที่เช่นเดียวกับโกนาโดโทรพิน กล่าวคือ
ทาหนา้ ทีค่ วบคมุ กระบวนการสรา้ งเซลลส์ ืบพนั ธุท์ ัง้ ทางตรงและทางออ้ ม
ฮอร์โมนเพศยังมีหน้าท่ีต่างๆ อีก นอกจากการส่งเสริมการสร้างเซลล์สืบพันธ์ุ พบว่าใน
สัตวม์ ีกระดกู สันหลงั หลายชนิด ฮอรโ์ มนเพศแอนโดรเจนยงั มสี ่วนเกย่ี วขอ้ งกับการสง่ เสยี งร้องของสตั ว์เพศ
ผูอ้ ีกดว้ ย เช่น การสง่ เสียงร้องของนกเพื่อแสดงถึงอาณาเขต และการส่งเสียงร้องดึงดูดเพศตรงข้ามเพื่อ
การจบั ค่ผู สมพันธุ์ในกบ ในช่วงการพฒั นาของตัวออ่ นในมนษุ ยฮ์ อรโ์ มนแอนโดรเจนมีหน้าทใ่ี นการส่งเสริม
การเกิดลักษณะทางเพศในข้นั ปฐมภูมิ (primary sex characteristics) ซ่ึงเป็นลักษณะของโครงสร้างใน
ระบบสืบพันธุ์ ได้แก่ ต่อมเซมนิ ัลเวซเิ คิล ทอ่ ตา่ ง ๆ รวมท้ังลักษณะกายวิภาคของระบบสืบพันธ์ุภายนอก
เม่ือย่างเข้าวัยหนุ่มสาวฮอร์โมนเพศทั้งชายและหญิงจะชักนาให้เกิดลักษณะทางเพศในขั้นทุติยภูมิ
(secondary sex characteristics) ซง่ึ เป็นลักษณะทางสรีระและพฤติกรรมที่ไม่ได้เก่ียวข้องโดยตรงกับ
ระบบสบื พนั ธ์ุ โดยฮอร์โมนแอนโดรเจนจะทาให้วยั รุ่นเพศชายมีเสยี งทุ้มต่ามากขน้ึ มีหนวด เครา มีขนข้ึน
ที่บริเวณหวั หน่าว มีการพฒั นามดั กลา้ มเน้อื ทแ่ี ข็งแรง (เกิดจากกลไกทกี่ ระตนุ้ การสร้างโปรตีนเพิ่มข้ึน) มี
ส่วนช่วยส่งเสริมให้มีความรสู้ ึกตอบสนองทางเพศมากข้ึน และยงั ทาให้เกิดพฤติกรรมท่ีก้าวร้าว ในทานอง
เดียวกันฮอรโ์ มนอสี โทรเจนกส็ ง่ ผลหลายอยา่ งตอ่ เพศหญงิ โดยฮอรโ์ มนเอสทราไดอลั จะกระตุ้นการพัฒนา
ของทรวงอกและการเจรญิ ของขนท่บี รเิ วณกระดูกหัวหน่าว เพมิ่ กระบวนการดูดกลับน้า และปรับเปล่ียน
กระบวนการเมทาบอลซิ ึมของแคลเซียมในร่างกาย
5.5.4.1 ฮอรโ์ มนกับการควบคมุ ในระบบสืบพันธ์เุ พศหญงิ และรอบเดอื น
เม่อื เขา้ สู่วัยเจรญิ พนั ธุ์ การสรา้ งเซลลส์ บื พันธเ์ุ พศหญงิ จะเกดิ ขึ้นแบบเปน็ วัฏจักร
กระบวนการตกไข่จะเร่ิมตน้ ขึ้นหลงั จากทีผ่ นงั ด้านในของเยอื่ บมุ ดลกู มีการหนาตัวและมีเส้นเลือดมาหล่อ
เล้ียงเพมิ่ ข้ึนเพ่อื เตรียมตวั สาหรับการฝังตวั ของตัวอ่อน แต่ถ้าไม่มีการตั้งครรภ์เยอ่ื บุผนังมดลูกด้านในก็จะ
หลดุ ลอกสลายตวั และวัฏจกั รใหมก่ จ็ ะเรม่ิ ต้นอีกคร้ังในรอบถัดไป เย่ือบุมดลูกท่ีมีเส้นเลือดหล่อเลี้ยงจะ
สลายตัวไหลออกมาทางปากมดลกู (cervix) ผา่ นออกทางปากชอ่ งคลอด หรอื เรียกวา่ การเป็นประจาเดือน
(menstruation)
ในมนุษยเ์ พศหญงิ จะมีสองวัฏจกั รในระบบสบื พันธ์ุท่ีเกย่ี วข้องเชื่อมโยงกนั นัน่ คือ
วัฏจักรของรอบเดือน (menstrual cycle) หรือวัฏจักรของมดลูก (uterine cycle) ซ่ึงเป็นเหตุการณ์
เปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนกับมดลูก และวัฏจักรของรังไข่ (ovarian cycle) ซ่ึงเป็นเหตุการณ์เปล่ียนแปลงท่ี
เกิดข้นึ กับรงั ไข่ กจิ กรรมการเปลยี่ นแปลงของฮอร์โมนส่งผลต่อการพฒั นาของฟอลลเิ คิลในรังไข่ การตกไข่
และการสร้างเยือ่ บมุ ดลกู เพอ่ื รองรับการฝงั ตวั ของตวั ออ่ นไปพร้อมๆ กัน (ภาพที่ 5.28)
1) วัฏจักรของรังไข่ เร่มิ ต้นจากโกนาโดโทรพินรีลีสซิงฮอร์โมน (GnRH) ท่ีหล่ังมา
จากสมองส่วนไฮโพทาลามสั ไปกระตุ้นต่อมใต้สมองสว่ นหนา้ ให้หลั่งฮอร์โมนฟอลลิเคิลสติมูเลทิงฮอร์โมน
(FSH) และลทู ไิ นซงิ ฮอรโ์ มน (LH) ท้งั สองในปรมิ าณนอ้ ยซ่ึงทาให้เซลล์ฟอลลิเคิลในรังไข่มีการเจริญและ
เรมิ่ สรา้ งฮอร์โมนเอสทราไดอัลในปริมาณน้อยเช่นกันโดยตลอดช่วงการเจริญของฟอลลิเคิลควบคู่ไปกับ
พัฒนาการของโอโอไซท์ เรียกระยะนี้ว่า “ฟอลลิเคิลเฟส (follicle phase)” ผลของฮอร์โมน FSH และ
LH ทาให้หลายฟอลลิเคิลในรงั ไข่เจริญแตจ่ ะมีเพียงฟอลลิเคลิ เดยี วทสี่ มบรู ณส์ ่วนฟอลลิเคลิ อ่ืนจะสลายไป
ในช่วงการเจรญิ ของฟอลลเิ คิลน้ีฮอรโ์ มนเอสทราไดอลั ก็มผี ลไปควบคมุ การหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง
ส่วนหน้าใหห้ ลงั่ ฮอรโ์ มน FSH และ LH ในปริมาณน้อยเช่นกัน เมื่อฟอลลิเคิลเจริญเติบโตมากข้ึนเร่ือยๆ
167
ฮอร์โมนเอสทราไดอลั กจ็ ะถกู สรา้ งข้ึนในปริมาณมากเช่นกนั ฮอร์โมน FSH และ LH ก็จะมีปริมาณมากข้ึน
ตาม เน่ืองจากเอสทราไดอัลไปกระตุ้นสมองส่วนไฮโพทาลามสั ให้หลงั่ ฮอรโ์ มน GnRH ซง่ึ ไปควบคุมให้ตอ่ ม
ใต้สมองส่วนหน้าหลั่งฮอรโ์ มน FSH และโดยเฉพาะ LH เพิ่มมากขึ้น การควบคุมการหลั่งของฮอร์โมนใน
ลกั ษณะนน้ี บั ว่าเป็นกลไกการควบคมุ แบบย้อนกลับเชิงลบ (negative feedback) ภายหลังจาก 1 วันที่
ปริมาณของฮอร์โมน LH สูงที่สุด ฟอลลิเคิลและผนังรังไข่จะแตกออกเรียกว่า “กระบวนการตกไข่”
เซคอนดารีโอโอไซทก์ ็จะถกู ปลดปลอ่ ยออกมาแล้วถกู พัดโดยซเี ลยี เขา้ สทู่ อ่ นาไขต่ อ่ ไป วฏั จักรของรังไขก่ จ็ ะ
เขา้ สูร่ ะยะต่อไป เรียกว่า “ลเู ทียลเฟส (luteal phase)” ฮอรโ์ มน LH จะมีปริมาณลดลงแต่ยังคงทาหน้าที่
ต่อไปโดยไปกระตุ้นฟอลลิเคิลท่ีแตกออกให้เปลี่ยนแปลงเป็นคอพัสลูเที ยมซึ่ง ทาหน้าท่ีสร้างและหล่ัง
ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนและเอสทราไดอัล เม่ือปริมาณของสเตอรอยด์ฮอร์โมนท้ังสองตัวน้ีเพิ่มมากข้ึน
จนถงึ ขีดสุดกจ็ ะมีผลแบบกลไกยอ้ นกลบั แต่จะไปยบั ยง้ั การทางานของสมองส่วนไฮโพทาลามสั และต่อมใต้
สมองสว่ นหน้าใหห้ ลงั่ FSH และ LH ในปริมาณทีน่ ้อยมาก เพอื่ ปอ้ งกนั ไม่ใหฟ้ อลลเิ คลิ อื่นๆ เจรญิ เตบิ โตใน
ระหว่างท่ีอาจมกี ารตั้งครรภ์เกิดขึ้น ในช่วงปลายของระยะลูเทียลเฟสปริมาณของโกนาโดโทรปิน (FSH
และ LH) ท่ีมีปริมาณน้อยจะเป็นสาเหตุท่ีทาให้คอพัสลูเทียมฝ่อและสลายไป ทาให้ปริมาณฮอร์โมน
โพรเจสเทอโรนและเอสทราไดอัลลดลงอย่างรวดเร็วซึ่งไปปลดปล่อยกลไกการทางานแบบย้อนกลับทา
ให้ไฮโพทาลามัสและต่อมใต้สมองส่วนหน้ากลับมาทางานเพื่อสรา้ งฮอร์โมน FSH และ LH ในการกระตุ้น
การสรา้ งฟอลลิเคลิ ใหม่ในวฏั จักรถดั ไป
2) วัฏจักรของมดลูก ก่อนกระบวนการตกไข่ สเตียรอยด์ฮอร์โมนท่ีสร้างจาก
รงั ไขก่ ระตนุ้ ให้มดลกู เกดิ การเตรยี มตัวเพอ่ื รองรบั การฝงั ตัวจากตัวอ่อน ปรมิ าณเอสทราไดอลั ท่ีเพม่ิ ขน้ึ จาก
การเจรญิ ของฟอลลิเคิลสง่ สัญญาณทาให้ผนังเย่อื บุมดลกู มีการเจรญิ และหนาตวั มากข้นึ กลา่ วได้วา่ ในช่วง
น้ีระยะฟอลลเิ คิลเฟสของวัฏจักรรังไข่น้ันมีความสัมพันธ์แบบสอดคล้องกันกับระยะโพรลิเฟอเรทีฟเฟส
(proliferative phase) ของวฏั จกั รมดลูก หลังจากการตกไข่ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนและเอสทราไดอัลที่
สร้างจากคอพสั ลเู ทียมทาใหผ้ นังเย่ือบมุ ดลูกกับเส้นเลอื ดท่มี าหลอ่ เลย้ี งมีการขยายและยังคงเจริญเติบโต
ต่อไป ต่อมท่ผี นังเยื่อบุมดลูกจะสร้างของเหลวเพื่อเป็นอาหารสาหรับตัวอ่อนก่อนการฝังตัวท่ีผนังเยื่อบุ
มดลูก ดงั นัน้ ระยะลเู ทียลเฟสของวฏั จกั รของรังไขจ่ ึงมีความสัมพันธก์ ับระยะนซี้ ึง่ เรียกวา่ “ระยะเซครที อรี
เฟส (secretory phase)” ของวัฏจักรมดลูก เมื่อคอพัสลูเทียมเร่ิมฝ่อและสลายตัวก็จะทาให้ระดับ
ฮอร์โมนจากรงั ไข่นี้ลดลงอย่างรวดเร็วเป็นเหตุให้เส้นเลือดที่ผนังเยื่อบุมดลูกเกิดการหดตัวและไม่มีการ
ไหลเวียนของเลอื ดทาให้ผนงั เยื่อบมุ ดลกู สลายตัว นอกจากน้กี ารตอบสนองของมดลกู ตอ่ โพรสทาแกลนดิน
ทาให้มดลูกมกี ารหดตัวอย่างรุนแรงทาให้เย่ือบุมดลูกที่สลายตัวไหลปนออกมากับเลือด เรียกระยะนี้ว่า
“เมนสทรูอัลโฟลเฟส (menstrual flow phase)” ของวัฏจักรมดลูก ในระหว่างการมีประจาเดือนซึ่ง
โดยทั่วไปอาจใช้เวลา 3-5 วัน ในช่วงน้ฟี อลลิเคลิ กลุม่ ใหม่ภายในรังไข่ก็เร่ิมมีการเจริญข้ึนแล้ว ดังน้ันโดย
หลักการการมเี ลือดประจาเดือนวนั แรก จงึ นบั ว่าเป็นวันท่หี น่ึงของการเริม่ วัฏจักรใหมใ่ นวฏั จกั รของมดลูก
และวฏั จกั รของรังไข่
168 ถกู ยับยัง้ โดยฮอรโ์ มนเอสทราไดอัลและ
โพรเจสเทอโรน
ก ถูกกระตนุ้ โดยระดบั เอสทราไดอัลที่สงู
. Hypothalamus ถกู ยับยัง้ โดยระดบั เอสทราไดอลั ทต่ี ่า
Anterior pituitary
ข
FSH และ LH กระต้นุ LH ท่ีมีระดบั สงู
ค การเจริญของฟอลลิเคิล ควบคมุ การตกไข่
เอสทราไดอัลหล่งั จาก โพรเจสเทอโรนและ
ฟอลลเิ คลิ ทีเ่ จรญิ ใน เอสทราไดอัลหลงั่ จาก
คอพัสลูเทียม
ง ปริมาณทเ่ี พ่ิมข้ึน โพรเจสเทอโรนและเอสทราไดอัล
สง่ เสริมการหนาตัวของผนงั มดลกู
เอสทราไดอลั
ระดับต่ามาก
จ
ภาพที่ 5.28 วฏั จักรของระบบสบื พนั ธ์ใุ นมนุษย์เพศหญิง ควบคุมโดยไฮโพทาลามสั (ก) ฮอร์โมน
จากตอ่ มใตส้ มอง (ข) วฏั จักรของรังไข่ (ค) ฮอรโ์ มนจากรงั ไข่ (ง) วฏั จักรของมดลกู (จ)
ทม่ี า: ดัดแปลงจาก Reece และคณะ (2011) หนา้ 1009
169
โดยสรุปวัฏจักรของฮอร์โมนที่เกิดขึ้นในระบบสืบพันธุ์ของ เพศหญิง มีบทบาท
สาคัญเกย่ี วเนอ่ื งกบั การพัฒนาของไข่ และการสลายทีเ่ กดิ จากการเปลีย่ นแปลงของมดลูกซ่ึงเป็นอวัยวะท่ี
เป็นที่อยู่ของตัวอ่อนถ้าเซลล์ไข่ได้รับการปฏิสนธิ แต่ถ้าตัวอ่อนไม่ได้ฝังตัวที่มดลูกภายในช่วงของระยะ
เซครีทอรเี ฟส เย่ือบมุ ดลูกก็จะสลายตัวและเป็นประจาเดือนซง่ึ กน็ ับเปน็ การเร่ิมต้นของวัฏจักรใหม่ ซึ่งใน
หัวข้อเก่ยี วกบั การต้งั ครรภ์จะไดก้ ลา่ วถึงรายละเอยี ดเกี่ยวกับกลไกที่ป้องกันไม่ให้เย่ือบุมดลูกสลายตัวใน
ระหว่างตง้ั ครรภ์
ข้อมูลจากการศึกษาพบว่า 7% ของผู้หญิงที่มีอายุมากขึ้นจะมีภาวะเจ็บป่วยที่
เรียกว่า เอนโดเมทริโอซิส (endometriosis) ซ่ึงเป็นความผิดปกติของเซลล์ภายในเย่ือบุมดลูกท่ีมีการ
อพยพไปยังส่วนอ่ืนภายในช่องท้อง เรียกว่า เอคโทพิค (ectopic) ซึ่งมีรากศัพท์จากภาษากรีกว่า
เอคโทพอส (ektopos) หมายถงึ การเคลอ่ื นทีอ่ อกไปจากตาแหนง่ เชน่ เซลลท์ ผี่ ิดปกตนิ น้ั อาจเคล่ือนที่ไป
ยังท่อนาไข่ รังไข่ หรือลาไส้ใหญ่ ซ่ึงเน้ือเยื่อเอคโทพิคน้ีก็ตอบสนองต่อฮอร์โมนที่อยู่ในกระแสเลือด
เปรยี บสเมือนวา่ อยู่ในมดลูก เนื้อเยื่อน้ีก็จะขยายตัวและสลายตัวในแต่ละวัฏจักรของรังไข่ทาให้เกิดการ
เจ็บปวดบริเวณเอวและมีเลือดไหลอยภู่ ายในช่องท้อง ซึ่งนักวิจัยยังไม่ทราบหรือระบุได้แน่ชัดว่าทาไมจึง
เกดิ ภาวะเอนโดเมทรโิ อซสิ นี้ แต่ก็สามารถบรรเทาอาการเจบ็ ปวดหรอื รักษาได้โดยการบาบัดด้วยฮอร์โมน
หรือการผ่าตดั
การหมดประจาเดือน (menopause) จะเร่ิมต้นขึน้ ภายหลงั จากวฏั จักรของรังไข่
และวัฏจักรของมดลกู ท่เี กดิ ข้ึนในมนุษยเ์ พศหญิงโดยประมาณ 500 วัฏจักร หรือระหว่างช่วงอายุ 46 ถึง
54 ปี ในช่วงน้ีรังไข่จะมีการตอบสนองต่อฮอร์โมน FSH และ LH ได้น้อยลงทาให้เกิดการสร้างฮอร์โมน
เอสทราไดอัลน้อยตามไปดว้ ย การหมดประจาเดือนในมนุษย์นับเป็นปรากฏการณ์ท่ีไม่ปกติ เนื่องจากใน
สัตวอ์ ่ืนๆ หลายชนิดทง้ั เพศผูแ้ ละเพศเมียนนั้ มีความสามารถในวัฏจกั รของการสบื พนั ธ์ุน้ีตลอดชวี ิตของมัน
จงึ เกดิ คาถามขึ้นว่า มกี ารอธิบายทางวิวัฒนาการเก่ียวกับการหมดประจาเดือนในมนุษย์หรือไม่ คาตอบ
หนงึ่ ซง่ึ เป็นสมมตฐิ านทน่ี ่าสนใจไดเ้ สนอวา่ ในช่วงเร่ิมต้นของววิ ัฒนาการมนุษยก์ ารหมดประจาเดือนทาให้
มนุษยผ์ ้เู ป็นแม่สามารถดูแลลกู หรือหลานทีเ่ กดิ ออกมาจานวนหนงึ่ ได้อย่างดี ซ่ึงเป็นการเพ่ิมอัตราการอยู่
รอดของเผา่ พนั ธ์ุ
ในสัตวเ์ ลีย้ งลกู ด้วยน้านมเพศเมยี ทุกชนิด พบว่าผนังมดลกู ด้านในจะมกี ารหนาตวั
ข้ึน แตเ่ ฉพาะในมนุษย์และสัตว์ในกลุ่มลิงบางชนิดเท่าน้ันท่ีมีเลือดประจาเดือนไหลออกมา สาหรับสัตว์
เลี้ยงลูกด้วยน้านมชนิดอื่นจะมีวัฏจักรอีสทรัส (estrous cycle) ซ่ึงขณะท่ีไม่เกิดการตั้งท้องมดลูกจะมี
กระบวนการดูดซมึ กลบั ของเยอ่ื บุมดลกู ท่ีสลายทาใหไ้ ม่มกี ารไหลของเลอื ดประจาเดอื น โดยทัว่ ไปสัตว์เลี้ยง
ลูกด้วยน้านมที่มีวัฏจักรสืบพันธุ์แบบอีสทรัสจะมีกิจกรรมทางเพศในช่วง ก่อนการตกไข่เรียกว่าระยะ
อสี ทรัส (estrus) มรี ากศพั ท์จากภาษาละตินว่า oestrus ซ่ึงหมายถึงความคล่ัง ความกระสัน หรือท่ีรู้จัก
กันท่วั ไปวา่ การเปน็ ฮีท (heat) ของสัตว์ ซ่งึ สัตว์เพศเมียจะมีอุณหภูมริ า่ งกายท่ีสูงขึ้น ช่วงเวลาและความถี่
ของระยะอีสทรัสในสัตวเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยน้านมมคี วามแปรผนั อย่างมากในสตั ว์แตล่ ะชนิด เช่น หมี และสุนขั ปา่
มีอีสทรัสหรือเป็นฮีทเพียงหนึ่งคร้ังต่อปี ขณะท่ีช้างสามารถเป็นฮีทได้หลายครั้งต่อปี ส่วนหนูมีระยะ
อสี ทรสั ตลอดท้ังปแี ต่ละครงั้ กินเวลาคร้งั ละ 5 วัน
170
5.5.4.2 ฮอรโ์ มนกบั การควบคุมในระบบสบื พันธ์เุ พศชาย
สาหรับเพศชายฮอร์โมน FSH และ LH จะหลั่งออกมาจากการตอบสนองต่อ
ฮอร์โมน GnRH ซ่ึงทัง้ FSH และ LH เปน็ ฮอรโ์ มนท่ีสาคัญต่อกระบวนการสร้างสเปิร์มโดยฮอร์โมนแต่ละ
ตัวดังกล่าวจะมผี ลต่อเซลล์ท่แี ตกต่างกันในอัณฑะ (ภาพที่ 5.29) กล่าวคือ FSH จะส่งเสริมกิจกรรมของ
เซอรท์ อไลเซลล์ (Sertoli cells) ซง่ึ อยภู่ ายในท่อเซมินิเฟอรสั โดยเซลลช์ นิดน้ีจะสร้างสารอาหารบารุงต่อ
การพัฒนาของเซลล์สเปิร์ม ขณะท่ฮี อร์โมน LH ไปควบคุมเลย์ดิกเซลล์ (Leydig cells) ซึ่งอยู่ในช่องว่าง
ระหว่างท่อเซมนิ เิ ฟอรสั เซลลช์ นิดน้ีตอบสนองตอ่ LH โดยจะหลั่งฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน และฮอร์โมน
แอนโดรเจนชนดิ อนื่ ออกมาซ่ึงจะส่งเสรมิ กระบวนการสร้างสเปริ ์มทีอ่ ยภู่ ายในทอ่ ทั้งการหลัง่ ของฮอร์โมน
แอนโดรเจนและการสร้างสเปริ ม์ น้จี ะเกดิ ขึน้ อยา่ งตอ่ เน่ืองตง้ั แต่วัยเจริญพนั ธุไ์ ปเรื่อยๆ
การควบคุมการหลั่งฮอร์โมนเพศในเพศชายมกี ลไกการควบคุมแบบย้อนกลับเชิง
ลบอยู่ 2 กลไก (ภาพท่ี 5.29) โดยระดบั ของฮอรโ์ มนเทสโทสเทอโรนในเลือดจะเป็นตัวควบคุมระดับของ
ฮอรโ์ มน GnRH FSH และ LH โดยการยบั ย้งั การทางานของสมองส่วนไฮโพทาลามสั และต่อมใต้สมองสว่ น
หน้า นอกจากนฮี้ อร์โมนอนิ ฮิบนิ (inhibin) ท่สี ร้างมาจากเซอร์ทอไลเซลลจ์ ะมผี ลต่อตอ่ มใต้สมองส่วนหน้า
ให้ลดการหล่ังฮอร์โมน FSH การทางานร่วมกนั ของฮอร์โมนดังกล่าวสองตัวน้ีเป็นกลไกการย้อนกลับที่ทา
ให้การสรา้ งฮอรโ์ มนแอนโดรเจนเป็นไปในระดับท่เี หมาะสม
ภาพท่ี 5.29 กระบวนการควบคุมการสรา้ งฮอรโ์ มนของอัณฑะ
ท่มี า: Reece และคณะ (2011) หนา้ 1010
5.5.5 พัฒนาการของตัวออ่ น การตั้งครรภ์ และการเกิด
การต้ังครรภ์ของมนุษย์เฉล่ียจะใช้เวลาอยู่ที่ 266 วัน (38 สัปดาห์) นับจากไข่ท่ีได้รับการ
ปฏสิ นธิ หรือ 40 สปั ดาหถ์ า้ นบั จากการไม่มาของประจาเดอื นครงั้ สดุ ทา้ ย ระยะเวลาการตง้ั ครรภ์ของสัตว์
เลี้ยงลูกด้วยน้านมท่ีมีรกจะสัมพันธ์กับขนาดของลาตัวกับพัฒนาการของตัวอ่อนตอนคลอด กล่าวคือ
171
สตั ว์จาพวกสัตวฟ์ นั แทะจะมรี ะยะการต้งั ครรภ์ประมาณ 21 วัน ขณะท่ีสุนัขตั้งครรภ์นาน 60 วัน สาหรับ
วัวจะต้ังครรภ์นาน 270 วนั ใกล้เคียงกบั มนษุ ย์ขณะท่ีชา้ งต้งั ครรภ์นานมากกวา่ 600 วัน
ไข่ทไี่ ด้รบั การปฏิสนธิทุกใบอาจจะไมเ่ กิดการเจรญิ หรือพัฒนาท่ีสมบูรณ์ การต้ังครรภ์อาจ
ตอ้ งหยุดลงโดยธรรมชาติซึง่ เปน็ ผลมาจากความผิดปกตขิ องโครโมโซมหรือการพัฒนาของตวั ออ่ นที่ผดิ ปกติ
โดยพบว่าสว่ นมากตวั อ่อนอาจจะมีการฝงั ตวั ท่ีทอ่ นาไขท่ าให้เกดิ การต้ังครรภ์ภายนอกมดลูก (tubal หรือ
ectopic pregnancy) ซง่ึ ตัวออ่ นจะไมส่ ามารถอยู่รอดได้ เน่ืองจากท่อนาไข่ฉีกขาดและทาให้มีเลือดไหล
ออกมาเป็นจานวนมาก อาการเจบ็ ปว่ ยต่างๆ รวมทัง้ เอนโดเมทรโิ อซิสเปน็ ปัจจัยทีเ่ พม่ิ ความเป็นไปได้ของ
การท้องนอกมดลูก นอกจากน้ีการติดเชื้อแบคทีเรียระหว่างการคลอดโดยกระบวนการทางแพทย์ และ
โรคติดตอ่ ทางเพศสมั พนั ธ์ (sexual transmitted disease, STD) ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทาให้รังไข่มีแผล
เกิดขน้ึ ซึ่งเป็นสาเหตุของการท้องนอกมดลูกอีกด้วย โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นสาเหตุสาคัญที่ทาให้
เป็นหมัน มีรายงานประจาปีพบว่าผู้หญิงอายุ 15-24 ปี ของประเทศสหรัฐอเมริกา ประมาณ 700,000
รายติดเช้ือหนองในเทียม (chlamydia) และหนองใน (gonorrhea) และมีแนวโน้มท่ีมากขึ้นเรื่อยๆ
เนื่องจากโรคติดตอ่ ทางเพศสมั พันธด์ ังกลา่ วน้จี ะไม่แสดงอาการซึ่งผู้ตดิ เชื้อเองกไ็ ม่รูตัวว่าติดเช้ือน้ี ซ่ึงหาก
ไม่ได้รับการตรวจและรักษาก็จะมโี อกาสมากถงึ 40% ที่จะเกิดการอักเสบของระบบสบื พนั ธแ์ุ ละทาใหเ้ ปน็
หมันหรือเกิดการท้องนอกมดลูก
5.5.5.1 พฒั นาการของตวั ออ่ น
ระหว่างการมีเพศสัมพันธ์น้าซเี มนในปริมาตร 2-5 มลิ ลลิ ติ ร ซึ่งมีสเปิร์ม 70-130
ล้านเซลลต์ อ่ หนง่ึ มิลลลิ ติ รจะถกู สง่ ผา่ นไปยงั ช่องคลอด ความเปน็ เบสของนา้ ซเี มนจะช่วยลดความเป็นกรด
ของช่องคลอดทาใหส้ ภาพแวดล้อมภายในชอ่ งคลอดมีคา่ เปน็ กลาง ซงึ่ จะชว่ ยให้สเปิร์มอยู่รอดได้และเพิ่ม
ความสามารถในการเคลื่อนท่ีของสเปิรม์ ในช่วงตน้ ของการหลง่ั ซเี มนจะช่วยให้สเปิรม์ รวมตัวกันเพ่ือให้อยู่
ในตาแหน่งท่ีเหมาะสมกอ่ นเคลอื่ นตัวเข้าไปยังปากมดลกู หลังจากนนั้ เอนไซมจ์ ะทาใหซ้ เี มนมีความเหลวไม่
เกาะตัวกันทาให้สเปิรม์ สามารถวา่ ยนา้ เข้าไปยงั มดลูกและผา่ นเขา้ ไปยังทอ่ นาไข่
กระบวนการปฏสิ นธิหรือเรยี กอีกอยา่ งหน่ึงว่าคอนเซพชัน (conception) เกิดขน้ึ
เมื่อสเปริ ม์ รวมตัวกบั ไขท่ ส่ี มบูรณ์ (mature oocyte) ภายในทอ่ นาไข่ (ภาพท่ี 5.30 ก) จากน้ัน 24 ชั่วโมง
ตอ่ มาไซโกตจึง่ เริม่ ท่ีจะมีการแบง่ ตัว เรียกว่ากระบวนการคลีเวจ (cleavage) หลงั จากนั้น 2-3 วัน ตัวออ่ น
จะเคล่ือนตัวมายังมดลูกซ่ึงมีลักษณะคล้ายลูกบอลประกอบด้วย 16 เซลล์ ถ้านับเริ่มจากปฏิสนธิหรือ
ประมาณ 7 วัน ตวั ออ่ นท่ีผ่านกระบวนการคลีเวจจะอยู่ในระยะท่ีเรียกว่า บลาสโทซิส (blastocyst) ซึ่ง
เปน็ ตวั ออ่ นในระยะท่เี ปน็ กลมุ่ เซลล์ล้อมรอบและมชี อ่ งว่าง (cavity) อย่ภู ายใน จากนั้นอีกหลายวันต่อมา
ตวั ออ่ นระยะบลาสโทซิสจะฝงั ตัวท่ผี นังมดลูกด้านใน (ภาพท่ี 5.30 ข) เม่อื ตัวออ่ นฝังตวั ไดส้ าเร็จเท่านั้นจึง
จะมกี ารพฒั นาต่อไปกลายเปน็ ตวั ออ่ นท่ีเรยี กว่า ฟีทัส (fetus) ตัวออ่ นท่ฝี ังตัวน้จี ะมีการสรา้ งฮอรโ์ มนซึ่งส่ง
สัญญาณและควบคุมระบบสืบพันธุ์ของแม่ ซ่ึงก็คือ ฮิวแมนโคริโอนิคโกนาโดโทรพินฮอร์โมน ( human
chorionic gonadotropin hormone, hCG) โดยทาหน้าท่ีเหมือน LH ท่ีสร้างจากต่อมใต้สมองทาให้
คอพัสลูเทียมยังคงสร้างฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนและอีสโทรเจนอยู่ในช่วงของสองเดือนแรกของการ
ตงั้ ครรภ์ ถ้าไมม่ ีฮอรโ์ มนดงั กล่าวนรี้ ะหว่างการต้ังครรภ์คอพัสลูเทียมก็จะสลาย ทาให้ระดับของฮอร์โมน
โพรเจสเทอโรนตา่ กจ็ ะทาให้เกิดมีประจาเดือนและสูญเสียตัวอ่อน โดยปกติระดับของฮอร์โมน hCG ใน
เลือดของแมจ่ ะสงู ซึง่ บางส่วนถกู ขบั ออกมากบั ปสั สาวะ ฮอรโ์ มนนจี้ งึ เปน็ ตัวบง่ ช้กี ารต้ังครรภใ์ นช่วงแรกซ่ึง
สามารถตรวจสอบได้โดยชดุ ทดสอบการตงั้ ครรภ์ (pregnancy test kit)
172
ก. กระบวนการตกไข่ ปฏสิ นธิ และการฝงั ตวั ของตวั อ่อน
ข. การฝงั ตวั ของตวั อ่อนระยะบลาสโทซสิ
ภาพที่ 5.30 การเกิดตวั อ่อนระยะไซโกต (ก.) และการฝงั ตัวของตัวออ่ นระยะบลาสโทซิส (ข.)
ที่มา: ดัดแปลงจาก Reece และคณะ (2011) หน้า 1012
5.5.5.2 การต้งั ครรภ์ และการเกดิ
การตง้ั ครรภข์ องมนษุ ย์จนให้กาเนดิ บตุ ร โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 38 สัปดาห์
เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจในรายละเอยี ดจึงแบ่งระยะเวลาของการตง้ั ครรภ์เป็น 3 ไตรมาส ดังนี้
1) ไตรมาสแรก นบั เป็นชว่ งที่เกิดการเปล่ยี นแปลงอย่างมากทัง้ ในแม่และตัวอ่อน
ในช่วงการฝังตัวท่ีมดลูก ผนังมดลูกจะมีการเจริญและห่อหุ้มเอาตัวอ่อนระยะบลาสโทซิส เซลล์และ
เน้ือเยอื่ ของตวั อ่อนจะเรมิ่ เกดิ การเปลยี่ นแปลงเพื่อเป็นโครงสรา้ งของร่างกายที่จาเพาะเจาะจง ในช่วง 2-4
สัปดาห์แรกของการพัฒนา ตัวออ่ นจะได้รับอาหารผ่านทางเน้ือเย่ือของเยื่อบุมดลูกโดยตรง โดยเนื้อเยื่อ
ชัน้ นอกของตัวอ่อนระยะบลาสโทซิสทเ่ี รียกว่า โทรโฟบลาสท์ (trophoblast) จะเจริญออกมาและผสาน
รวมกับผนังของมดลกู ซงึ่ ตอ่ ไปจะกลายเปน็ โครงสรา้ งรก ซึ่งมีลกั ษณะคอ่ นขา้ งกลม มหี ลอดเลอื ดของทง้ั ตัว
ออ่ นและแม่รวมอยู่ดว้ ยกนั และหนกั ได้ถึง 1 กิโลกรัม สารต่างๆ ที่แพร่ถึงกันระหว่างแม่และตัวอ่อนผ่าน
ทางระบบไหลเวยี นเลือดน้ี ได้แก่ สารอาหาร ระบบภูมคิ ุน้ กนั การแลกเปลยี่ นกา๊ ซที่ใช้ในการหายใจ และ
ของเสยี ทีเ่ กิดจากกระบวนการเมทาบอลิซึมของตัวอ่อนหรอื ทารก โดยเลือดของทารกจะไหลผ่านมายังรก
โดยเส้นเลือดแดงที่สายสะดือ (umbilical arteries) และไหลกลับผ่านทางเส้นเลือดดาท่ีสายสะดือ
(umbilical vein) (ภาพท่ี 5.31)
173
ภาพที่ 5.31 การไหลเวียนเลอื ดบรเิ วณรกระหวา่ งแม่และทารก
ทมี่ า: Reece และคณะ (2011) หนา้ 1013
การแบ่งแยกตัวของตัวอ่อนในช่วงเดือนแรกอาจส่งผลทาให้เกิดฝาแฝดเหมือน
(identical twins หรือ monozygotic) ซึ่งเกิดมาจากไข่ใบเดียวกัน ส่วนฝาแฝดต่าง (fraternal หรือ
dizygotic) มีกระบวนการเกิดทีแ่ ตกต่างออกไป โดยเกิดจากฟอลลิเคิลสองใบท่ีพัฒนาสมบูรณ์พร้อมกัน
ในวัฏจกั รของรงั ไข่เกดิ การปฏิสนธิกบั สเปริ ์มคนละตัวแยกกันอย่างอสิ ระและฝังตัวท่มี ดลูกพรอ้ มกนั
ไตรมาสแรกนับว่าเป็นช่วงสาคัญที่ตัวอ่อนเกิดกระบวนการสร้า งอวัยวะ
(organogenesis) และเกิดการพัฒนาของอวยั วะภายในร่างกาย (ภาพท่ี 5.32 ก) ในชว่ งนีต้ วั ออ่ นค่อนขา้ ง
ทจ่ี ะอ่อนไหวตอ่ การทาลายเป็นพิเศษ ตัวอย่างเช่น การฉายรังสี หรือการใช้ยา ซึ่งอาจนาไปสู่การเกิดที่
ผิดปกติ ในชว่ ง 8 สัปดาหโ์ ครงสร้างหลกั ของอวัยวะต่าง ๆ เร่มิ เจรญิ เป็นรูปเป็นรา่ งแตย่ ังไม่เตม็ ที่ เรยี กตวั
อ่อนหรือทารกระยะนี้วา่ ฟีทัส (fetus) แม้วา่ หวั ใจของทารกเร่ิมเต้นท่ี 4 สัปดาห์แรก แตส่ ามารถวัดอัตรา
การเตน้ ได้ตอนชว่ ง 8-10 สปั ดาห์ และในช่วงทา้ ยของไตรมาสแรกทารกจะมขี นาดความยาว 5 เซนติเมตร
และมกี ารเจริญพัฒนาอยา่ งตอ่ เนื่อง (ภาพที่ 5.32 ข. และ 5.32 ค.)
ในช่วงน้ีร่างกายของแม่ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเช่นเดียวกัน ระดับ
ฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนทสี่ ูงจะไปเปลย่ี นแปลงระบบสืบพันธ์ุ โดยจะมีการสร้างเมือกเหนยี วอุดปิดบริเวณ
ปากมดลูกเพ่ือป้องกนั การติดเชอื้ มกี ารเจรญิ เตบิ โตของรกแม่เกิดข้ึน มดลูกขยายขนาดใหญ่ข้ึน ไม่มีการ
ตกไข่และเลือดประจาเดือน หน้าอกมีการขยายใหญ่ข้ึนอย่างรวดเร็ว สามในสี่ของผู้หญิงท่ีต้ังครรภ์จะมี
อาการแพ้ท้อง (nausea) หรือมอร์นิ่งซิคเนส (morning sickness)
การติดตอ่ ถงึ กันระหว่างแม่และทารกผ่านทางรกอาจมีความอันตรายหรืออาจมี
ประโยชน์จากสารอาหารทไ่ี ดร้ บั กล่าวคือ การด่ืมแอลกอฮอลร์ ะหวา่ งต้ังครรภ์จะทาให้เกิดความเสี่ยงต่อ
ทารก เน่ืองจากแอลกอฮอลจ์ ะไปมผี ลต่อการพฒั นาของระบบประสาทสว่ นกลางของทารกทาใหเ้ กดิ ภาวะ
ความผิดปกติเรียกว่า ฟีทัลแอลกอฮอล์ซินโดรม (fetal alcohol syndrome) ซึ่งมีผลทาให้ทารกมี
174
พัฒนาการช้ากว่าปกติและยังมีผลต่อความผิดปกติรูปแบบอ่ืนๆ อีก ในทานองเดียวกันการสูบบุหรี่ใน
ระหว่างต้งั ครรภก์ เ็ ป็นสาเหตใุ หท้ ารกมีนา้ หนกั ตัวน้อยกวา่ ปกติและมีปญั หาเก่ียวกับสขุ ภาพท่ไี มแ่ ข็งแรง
ก. 5 สปั ดาห์ ตวั ออ่ นมปี ุม่ แขน ข. 14 สัปดาห์ การเจรญิ และ ค. 20 สปั ดาห์ ทารกเจรญิ เตบิ โต
ขา ตา หวั ใจ ตับ และอวยั วะ พัฒนาของฟีทสั ชว่ งไตรมาส และยาวเกอื บ 20 ซม. ทาใหต้ ้อง
อ่ืนท่ียังเจริญไม่เตม็ ท่ี มคี วาม ที่ 2 มีความยาว 6 ซม. ขดตัวเนอื่ งจากพน้ื ทีจ่ ากดั
ยาว 1 ซม.
ภาพท่ี 5.32 การพัฒนาของทารกชว่ ง 5 สปั ดาห์ (ก.) 14 สปั ดาห์ (ข.) และ 20 สปั ดาห์ (ค.)
ทม่ี า: ดัดแปลงจาก Reece และคณะ (2011) หนา้ 1014
2) ไตรมาสท่ีสอง มดลูกจะมีขนาดใหญ่ข้ึนซึ่งแสดงถึงการตั้งครรภ์อย่างชัดเจน
ทารกในครรภจ์ ะเจริญเตบิ โตโดยมีความยาวถึง 30 เซนติเมตร ค่อนข้างท่ีจะต่ืนตัวและมีการเคลื่อนไหว
มากขึ้น โดยแม่จะสามารถรับรู้การเคลื่อนไหวของทารกได้มากย่ิงข้ึนในไตรมาสที่สอง ทารกเริ่มมีการ
มองเหน็ ผ่านผนังหน้าทอ้ ง ฮอร์โมน hCG จะลดระดับต่าลง คอพัสลูเทียมจะสลายหลังจากผ่านช่วงสอง
เดือนแรก โดยรกจะทาหน้าทผ่ี ลติ ฮอรโ์ มนโพรเจสเทอโรนแทน
3) ไตรมาสทีส่ าม ทารกในครรภ์จะเจริญเตบิ โตจนมีน้าหนกั ถึง 3-4 กโิ ลกรัม และ
ยาวถึง 50 เซนติเมตร ระยะนี้กิจกรรมของทารกอาจลดลงเนื่องจากทารกโตจนเต็มพ้ืนที่ครรภ์ ทาให้
อวัยวะในชอ่ งทอ้ งของแมถ่ กู บีบอดั และเคลื่อนทจ่ี ากตาแหน่งเดมิ ทาให้รูส้ กึ ปวดปัสสาวะบ่อยและรู้สึกไม่
สบายท้องเนอื่ งจากทางเดนิ อาหารถูกกดทับ กระบวนการคลอดเร่ิมต้นข้ึนเมื่อมดลูกเกิดการบีบตัวอย่าง
แรงเปน็ จังหวะเรียกว่า เลเบอร์ (labor) การหดตัวนี้ทาให้ทารกและรกถูกดันออกมา การศึกษาเมือ่ ไมน่ าน
มาน้เี สนอวา่ เลเบอร์หรือการหดตัวของมดลูกอย่างแรงเร่ิมต้นจากทารกท่ีเจริญเต็มท่ีสร้างฮอร์โมนและ
โปรตนี บางอย่างจากปอด ซ่งึ ไปมีผลตอ่ กระบวนการตอบสนองต่อการอักเสบของแม่อย่างไรก็ตามต้องมี
การศึกษาเพ่มิ เตมิ ต่อไปว่าการตอบสนองต่อการอักเสบดังกล่าวไปควบคุมการหดตัวเปน็ จงั หวะของมดลูก
หรือไม่ เมื่อการหดตัวของมดลูกเร่ิมต้นขึ้นการทางานที่ซับซ้อนระหว่างกันของตัวควบคุมการทางาน
เฉพาะที่ ซ่งึ ก็คอื โพรสทาแกรนดนิ และฮอร์โมนเอสทราไดอัลและอ๊อกซิโทซิน (oxytocin) จะชักนาและ
ควบคุมให้มดลูกเกดิ การหดตัวคร้ังถัดไป (ภาพท่ี 5.33) การทางานของฮอร์โมนอ๊อกซิโทซินจะมีรูปแบบ
การทางานเปน็ กลไกควบคุมแบบย้อนกลับเชิงบวก (positive feedback) ด้วยการหดตัวของมดลูกก็จะ
ควบคุมการหลัง่ ออ๊ กซโิ ทซินซ่งึ จะกระตุ้นการหดตวั ครง้ั ถดั ไป
175
ภาพท่ี 5.33 กลไกการควบคุมการทางานแบบยอ้ นกลบั เชิงบวกของการหดตวั ของมดลูก
ทมี่ า: Reece และคณะ (2011) หนา้ 1015
การหดตวั ของมดลูกน้ันเปน็ แบบแผนซงึ่ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ (ภาพท่ี
5.34) คือ ระยะแรกปากมดลกู จะเปดิ และขยายออก (dilation of the cervix) ระยะทีส่ องทารกจะถูกขบั
ออกมา (expulsion) ซง่ึ มดลูกจะหดตวั อย่างตัวเนื่องเพ่ือดันให้ทารกผ่านมดลูกเพ่ือออกมาทางปากช่อง
คลอด ระยะสุดท้ายเปน็ ระยะท่มี ดลกู จะหดตัวเพื่อดนั ใหร้ กถกู ขบั ออกมา (delivery of the placenta)
Placenta
Umbilical cord
Uterus
Cervix
1. Dilation of the cervix 2. Expulsion: delivery of the infant
Uterus
Placenta (detaching)
Umbilical cord
3. Delivery of the placenta
ภาพที่ 5.34 กระบวนการหดตวั ของมดลูก
ทมี่ า: ดัดแปลงจาก Campbell และคณะ (2008) หน้า 1016
176
สง่ิ หนง่ึ ทพี่ บเฉพาะในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านมก็คือการให้นม (lactation) แก่ลูก
หลังการให้กาเนิด การผลิตน้านมของแม่เกิดจากการตอบสนองของการดูดนมของทารกที่เกิดใหม่
เช่นเดยี วกบั การเปลย่ี นแปลงระดบั ของเอสทราไดอลั หลังการเกดิ สมองส่วนไฮโพทาลามัสจะสั่งสัญญาณ
ใหต้ ่อมใตส้ มองส่วนหนา้ หลั่งฮอรโ์ มนโพรแลคติน (prolactin) ซึ่งจะทาหน้าท่ีกระตุ้นต่อมน้านมให้สร้าง
น้านม การดูดนมของทารกยังไปกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนอ๊อกซิโทซินจากต่อมใต้สมองส่วนหลัง
(posterior pituitary gland) ซง่ึ ไปควบคุมการปลดปลอ่ ยนา้ นมของตอ่ มน้านมอีกดว้ ย
5.5.5.3 การคุมกา่ เนดิ และการแทง้ บุตร
การคุมกาเนิด (contraception) เป็นการป้องกันการตั้งครรภ์อย่างรอบคอบ
ซ่ึงสามารถทาได้หลายทาง บางวธิ เี ริม่ ต้ังแต่ปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กดิ การพัฒนาของเซลล์สบื พนั ธ์ุ หรือป้องกนั ไมใ่ ห้
เซลลส์ ืบพนั ธ์ถุ กู ปลดปลอ่ ยออกมาจากโกแนด บางวิธีป้องกันไม่ให้เกิดการปฏิสนธิโดยแยกสเปิร์มกับไข่
ไมใ่ หม้ าเจอกัน และอีกวธิ คี ือการป้องกนั ไมใ่ ห้ตัวอ่อนเกิดการฝงั ตัวได้ อย่างไรก็ตามเพ่ือให้ได้รายละเอียด
ของการคมุ กาเนิดทถ่ี ูกวิธีหรือเหมาะสมผ้ทู ี่ต้องการคมุ กาเนิดควรปรึกษาวางแผนกับแพทยผ์ ูเ้ ชี่ยวชาญ
การป้องกันไม่ให้เกิดการปฏิสนธิจากการมีเพศสัมพันธ์สามารถควบคุ มได้ด้วย
ตนเองหรือใช้วิธีการอื่นๆ ที่จะไม่ให้สเปิร์มได้สัมผัสกับไข่ การควบคุมแบบช่ัวคราว (temporary
abstinence) เป็นการนับระยะปลอดภัยหรือท่ีเรียกว่า ริทึมเมท็อด (rhythm method) หรือการ
วางแผนคุมกาเนิดครอบครวั แบบธรรมชาติ (natural family planning) เป็นการงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์
ในชว่ งเวลาทอี่ าจมโี อกาสในการตั้งครรภ์ เน่ืองจากไขส่ ามารถดารงอยู่ได้ภายในท่อนาไข่เป็นเวลา 24-48
ช่วั โมง และสเปริ ์มสามารถมชี วี ติ รอดอยไู่ ด้มากท่ีสดุ ถงึ 5 วนั ดังนัน้ คู่รกั จงึ ไม่ควรมีเพศสัมพนั ธ์ในชว่ งเวลา
ก่อนหรือหลังท่ีมกี ารตกไข่ วิธีท่ีมีประสทิ ธิภาพในการกาหนดระยะเวลาของการตกไข่จึงต้องมีการสังเกต
การเปลยี่ นแปลงทเ่ี ปน็ ตัวบง่ ช้ีทางสรรี วทิ ยารว่ มด้วย เชน่ การเปล่ียนแปลงของเมือกท่ปี ากมดลูก หรอื การ
มีอณุ หภมู ริ า่ งกายเพ่ิมข้นึ ดงั นัน้ การคมุ กาเนิดดว้ ยวิธีน้จี งึ จาเป็นต้องอาศยั ความรู้เพิ่มเติมดังกล่าว แต่การ
คมุ กาเนดิ ด้วยวิธีน้ีมีโอกาสต้ังครรภ์เฉล่ีย 10-20% โดยคานวณจากผู้หญิง 100 คนที่ใช้วิธีการคุมกาเนิด
โดยวธิ ีเฉพาะแบบอ่ืน ในขณะทีค่ ูรกั อื่นๆ ใช้วิธคี านวณระยะเวลาของการตกไขเ่ พื่อเพมิ่ โอกาสท่ีจะให้มีการ
ตัง้ ครรภ์
วิธีการคุมกาเนิดด้วยวิธีการถอนอวัยวะเพศชายจากช่องคลอด ( coitus
interruptus) กอ่ นท่จี ะมีการหล่ังสเปริ ์มเปน็ วธิ ีการคมุ กาเนดิ ที่มคี วามเสี่ยงต่อการตงั้ ครรภ์มากทีส่ ุด เนอ่ื ง
จากสเปริ ม์ อาจจะมกี ารเล็ดลอดออกมาก่อนและปนกับสารคัดหลั่งก่อนที่จะมีการหล่ังสเปิร์ม นอกจากน้ี
การพลาดพลั้งในการหลั่งเพยี งแค่เสี้ยววินาทีอาจทาให้มีสเปิร์มนับ 10 ล้านเซลล์ส่งผ่านไปในช่องคลอด
กอ่ นทจี่ ะมกี ารถอนอวยั วะเพศออก
วิธีการใช้สง่ิ กดี ขวางเพ่ือไมใ่ หส้ เปิรม์ พบกับไข่ด้วยวิธีอ่ืนจะมีอัตราการตั้งครรภ์ท่ี
นอ้ ยกวา่ 10% ไดแ้ ก่ การใชถ้ ุงยางอนามัย (condom) ซึ่งมีลักษณะเป็นยางยืดหยุ่นได้ดีซึ่งเป็นถุงคลอบ
อวยั วะเพศชายไว้ท้งั หมดเพื่อเก็บน้าซีเมนเอาไว้ สาหรบั บุคคลทม่ี ีความตอ้ งการทางเพศและมีกจิ กรรมทาง
เพศบ่อยกว่าคนปกติถุงยางนับเป็นตัวเลือกในการคุมกาเนิดที่ดี (แต่ไม่สมบูรณ์ 100%) ทั้งยังมี
ประสิทธภิ าพสงู ในการป้องกันการแพร่กระจายโรคติดตอ่ ทางเพศสัมพนั ธ์รวมทงั้ โรคเอดส์ นอกจากนี้ยังมี
อุปกรณ์ป้องกันอย่างอนื่ อีกซึง่ กค็ ือ ไดอะแฟรม (diaphragm) เป็นอปุ กรณ์ท่ีทาจากยางมีลักษณะเหมือน
หมวกรูปโดม ซ่ึงจะใช้สอดใส่ลึกเข้าไปในช่องคลอดก่อนการร่วมเพศ อุปกรณ์ทั้งสองดังกล่าวน้ีช่วยให้มี
อัตราการตงั้ ครรภท์ ี่ตา่ เมื่อใชร้ ว่ มกับสเปริ ์มมิซิดัล (spermicidal) ซึ่งเป็นโฟมหรือเจลที่จะไปฆ่าเชื้ออสุจิ
177
นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า วาจินอลเพาช์ (vaginal pouch) หรือถุงยางสาหรับผู้หญิง (female
condom) ที่ใชใ้ นการคุมกาเนดิ
วธิ กี ารคมุ กาเนิดนอกจากการควบคุมไม่ให้มีเพศสัมพันธ์แล้ว วิธีที่ดีท่ีสุดคือการ
ทาหมัน (sterilization) นับเปน็ วิธีการคุมกาเนดิ แบบไดผ้ ลเกือบ 100% ซง่ึ จะอธิบายรายละเอยี ดในลาดับ
ถดั ไป การใช้อุปกรณท์ ี่เรียกว่า อินทรายเู ทอรีนดีไวซ์ (intrauterine devices, IUDs) และการใช้ฮอร์โมน
คมุ กาเนิดซึง่ อยู่ในรปู ของยาเมด็ นับเป็นสองวิธีการคุมกาเนิดท่ีมีประสิทธิภาพโดยมีอัตราการต้ังครรภ์ที่
1% หรืออาจน้อยกวา่ และเป็นวธิ ที ม่ี ีความนยิ มใช้กนั มากทส่ี ดุ สาหรับอุปกรณ์ IUDs ดังกล่าวจะต้องสอด
ใส่เข้าไปในมดลูกโดยแพทย์ผเู้ ชี่ยวชาญ วธิ กี ารคุมกาเนดิ แบบนี้มีหลักการคือ อุปกรณ์ IUDs จะไปรบกวน
การปฏิสนธิและการฝังตัวของตวั อ่อนทาให้ไม่สามารถตัง้ ครรภ์ได้
รูปแบบของยาคุมกาเนิดส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นการกินยาตามระยะเวลาท่ี
กาหนด ซึง่ ตัวยาจะมีสารสังเคราะห์ทที่ าหนา้ ทคี่ ล้ายฮอรโ์ มนหญิงสองชนิด คือ อีสโทรเจน และโพรเจสทนิ
(progestin) ฮอรโ์ มนสงั เคราะหส์ องตวั นจี้ ะเลยี นแบบกลไกควบคุมแบบย้อนกลับเชิงลบในวัฏจักรของรัง
ไข่ โดยไปหยดุ การหลัง่ ของฮอรโ์ มน GnRH ในไฮโพทาลามสั และหยดุ การหล่ังฮอร์โมน FSH และ LH ใน
รังไข่ การหยุดการหลั่งของ LH ทาให้ไม่เกิดการตกไข่ ส่วนการหยุดการหล่ัง FSH โดยอีสโทรเจนใน
ปริมาณน้อยที่อยู่ในเม็ดยาทาให้ฟอลลิเคิลไม่สามารถพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากน้ีสารสังเคราะห์
คล้ายฮอร์โมนท้ังสองนีย้ ังถกู พฒั นาในรูปแบบการฉีด โดยมลี ักษณะเปน็ วงแหวนสอดใสเ่ ขา้ ไปในชอ่ งคลอด
หรอื มีลักษณะเปน็ แผ่นซงึ่ จะฝงั อยู่ใตผ้ ิวหนัง นอกจากน้ยี ังมียาเม็ดคุมกาเนิดแบบฉุกเฉินท่ีมีความเข้มข้น
ของฮอรโ์ มนสงั เคราะหส์ งู โดยรบั ประทานในตอนเชา้ (morning after pills) หลังการมเี พศสัมพันธ์ที่ไม่ได้
มกี ารป้องกนั ภายใน 3 วัน โดยจะไปยบั ยง้ั การปฏิสนธิและการฝงั ตัวของตวั ออ่ น แตจ่ ะใหผ้ ลสมั ฤทธิ์ 75%
ฮอร์โมนที่ใช้ในการคุมกาเนิดโดยพ้ืนฐานจะมีองค์ประกอบเพียงโพรเจสทิน
เทา่ นน้ั ซึ่งโพรเจสทนิ จะสง่ เสริมการหนาตัวของเมือกท่ีปากมดลูกซ่ึงจะไปปิดกั้นการผ่านของสเปิร์มเพื่อ
ไมใ่ หเ้ ข้าไปในมดลูก นอกจากน้ีโพรเจสทนิ ยังไปลดความถขี่ องการตกไข่ อีกท้ังยงั ไปทาให้ผนังเย่ือบุมดลูก
เกิดการเปล่ียนแปลงซ่ึงจะไปรบกวนการฝังตัวของตัวอ่อนถ้าหากมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นก่อนหน้าน้ี การ
คมุ กาเนดิ ดว้ ยโพรเจสทินอาจใช้วิธีการฝังซ่ึงให้ผลตลอด 3 เดอื น หรืออาจใชว้ ิธีการกินแบบยาเม็ดทุกวันก็
ได้ซงึ่ วธิ ีดงั กลา่ วมอี ัตราการตัง้ ครรภอ์ ยู่ในระดับตา่
อย่างไรก็ตามการใช้ยาคมุ กาเนิดยอ่ มมที งั้ ประโยชน์และโทษ ผู้หญงิ ท่ีรบั ประทาน
ยาคุมกาเนิดจะมปี ญั หาเกีย่ วข้องกับโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ และยิ่งมีความเส่ียงเพ่ิมข้ึนเป็น 3 ถึง
10 เท่า หากมกี ารสูบบุหรี่รว่ มดว้ ยอย่างเป็นประจาควบคู่กับการรับประทานยาคมุ กาเนิด สาหรบั ผู้หญิงที่
ไมส่ บู บหุ รก่ี ารทานยาคมุ กาเนดิ เปน็ การเพ่มิ ความเส่ยี งทลี ะน้อยตอ่ การเกิดการแข็งตัวของเลือดท่ีผิดปกติ
ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจวาย และหลอดเลือดตีบตัน แม้ว่าการทานยาเม็ดคุมกาเนิดจะเป็นการเพิ่ม
ความเสีย่ งตอ่ โรคต่างๆ ดงั กล่าว และมอี ตั ราการตายมากกว่าผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ปกติถึง 1.5 เท่า แต่กลับมี
ผลไปลดความเส่ียงของการเกิดมะเร็งรงั ไขแ่ ละมะเรง็ เยือ่ บมุ ดลกู
การทาหมันเป็นวิธีการป้องกันการสร้างและการปลดปล่อยเซลล์สืบพันธุ์อย่าง
ถาวร การทาหมนั ในผู้หญิงจะทาการปดิ ผนึกหรอื การผูกรัดท่อนาไข่ (tubal ligation) ซึ่งเป็นการป้องกัน
ไม่ให้ไข่เดินทางมาสู่มดลูก ในทานองเดียวกันการทาหมันชายจะเป็นการผูกรัดหรือตัดท่อนาสเปิร์ม
(vasectomy) เพื่อไม่ให้สเปิร์มเดินทางเข้ามาสู่ท่อปัสสาวะ กระบวนการทาหมันชายและหญิงมีความ
ปลอดภยั และไม่มีผลขา้ งเคียงทง้ั ในเร่ืองของการสรา้ งฮอรโ์ มนเพศและการทางานของระบบทีเ่ ก่ยี วข้องกับ
178
เพศ เชน่ ไม่มีการเปลีย่ นแปลงกบั วฏั จักรของมดลูก และปริมาณการหลง่ั ในเพศชาย แม้ว่าการทาหมันใน
ชายและหญิงโดยการผกู มัดหรอื ตัดท่อนาสเปริ ์มหรือท่อนาไข่เป็นวิธีการทาหมันแบบถาวร แต่ก็สามารถ
แก้ไขใหก้ ลับมาใช้การได้อกี ครงั้ ด้วยการผ่าตัดเฉพาะทาง
โดยทัว่ ไปกระบวนการหยดุ การต้ังครรภ์จะเรียกว่า การแท้งบุตร (abortion) ใน
มนษุ ยก์ ารแท้งบตุ รท่ีเกิดโดยธรรมชาติ (miscarriage) เป็นเรอ่ื งทส่ี ามารถเกิดขนึ้ ได้ โดยทั่วไปพบว่า 1 ใน
3 ของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จะสามารถเกิดการแท้งบุตรดังกล่าวได้ เนื่องจากไม่ทราบหรือไม่ได้ระมัดระวัง
ซึ่งในประเทศสหรฐั อเมรกิ าแต่ละปีจะมีผ้หู ญงิ ท่ีเลือกการทาแท้งโดยแพทย์ถึง 850,000 ราย แต่มียาชนิด
หน่ึงมีช่ือทางการค้าว่า ไมฟ์พริสโทน (mifepristone) หรือ RU486 ท่ีใช้หยุดการต้ังครรภ์โดยท่ีไม่ต้อง
ผ่าตัดภายใน 7 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ซ่ึงตัวยาจะไปกีดขวางการทางานของตัวรับฮอร์โมนเพศ
โพรเจสเทอโรนที่อยูภ่ ายในมดลูกทาให้มดลกู ไมส่ ามารถรองรับการตัง้ ครรภไ์ ด้ ในตัวยายังมีส่วนประกอบ
ของโพรสทาแกลนดินในปริมาณน้อยซ่ึงกระตุ้นให้มดลูกบีบตัว และขับตัวอ่อนออกมาพร้อมเนื้อเยื่อที่
สลายตวั ออกมา
5.5.5.4 เทคโนโลยีทางการสืบพนั ธ์ุ
ความกา้ วหนา้ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้ถูกใช้เพ่ือเข้ามาแก้ไข
ปัญหาเกย่ี วกับการสบื พนั ธุ์ของมนษุ ย์ทมี่ ีบุตรยาก การตรวจสอบความผดิ ปกติทางพันธุกรรม รวมทั้งการ
เปน็ หมนั
1) การตรวจสอบความผิดปกติในระหว่างตั้งครรภ์ ปัจจุบันโรคทางพันธุกรรม
หลายชนดิ และปัญหาเก่ียวกับกระบวนการพัฒนาของทารกสามารถที่จะวินิจฉัยได้ในขณะที่ทารกมีการ
เจริญอยู่ภายในมดลูก โดยวิธีการใช้คลื่นเสียงท่ีมีความถ่ีสูงกว่าระดับที่หูของมนุษย์จะได้ยิน เรียกว่า
อลั ตราซาวด์ (ultrasound) ในการวเิ คราะหใ์ นด้านขนาดและสภาวะของทารกที่อย่ใู นครรภ์ นอกจากน้ยี ัง
มีวิธีการที่เรียกว่า “แอมนิโอเซนเทซิส (amniocentesis) และ โคริโอนิควิลลัสแซมพลิง (chorionic
villus sampling)” ซง่ึ เปน็ เทคนิคที่ใชใ้ นการเกบ็ ตัวอยา่ งเซลลแ์ ละเนือ้ เยื่อของทารกทีอ่ ย่ใู นของเหลวและ
เนอื้ เย่อื ท่อี ยู่ล้อมรอบทารกในครรภ์ในการตรวจวินิจฉัยความผิดปกติทางพันธุกรรมได้ (ภาพท่ี 5.35) แต่
วธิ กี ารดังกล่าวน้ีต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการเก็บตัวอย่าง เนื่องจากความเส่ียงท่ีเข็มเก็บตัวอย่าง
อาจจะไปทาใหท้ ารกทีอ่ ยู่ในครรภเ์ กดิ การบาดเจบ็ หรอื ติดเชอื้ เทคนิคท่ีเพิ่มทางเลือกในการเก็บตัวอย่าง
เซลล์ของทารกจงึ ถกู พฒั นาขึน้ บนพน้ื ฐานทว่ี ่าเซลลเ์ มด็ เลอื ดจานวนหนง่ึ ของทารกอาจผา่ นออกมาทางสาย
รกและปะปนอย่ใู นเลือดของแม่ ดงั น้ันหลักการคอื ทาการเจาะเก็บตวั อยา่ งเลอื ดของแม่มาตรวจแทนการ
เกบ็ ตวั อยา่ งเน้ือเยื่อของทารกในครรภ์ เพอ่ื ระบหุ าเซลล์ของทารกด้วยปฏิกิริยาของแอนติบอดีท่ีจาเพาะ
(specific antibodies) แลว้ จึงทาการตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรม
การตรวจวนิ ิจฉัยความผดิ ปกติทางพันธุกรรมทาให้เกิดคาถามทางจริยธรรม ซึ่ง
ปจั จุบนั ความผิดปกติท่ีสามารถตรวจพบเกือบทั้งหมดของทารกนั้นยังไม่สามารถทาการรักษาได้ภายใน
มดลูก หรือเป็นสิ่งทีแ่ กไ้ ขไม่ไดแ้ มว้ ่าทารกจะคลอดออกมาแลว้ กต็ าม พ่อและแม่จงึ ต้องเผชญิ กับความยาก
ทีจ่ ะต้องตัดสินใจวา่ จะหยดุ การตัง้ ครรภ์หรอื ปล่อยให้ทารกเกิดมาพร้อมกบั อาการผิดปกติ ซงึ่ เปน็ เร่ืองท่ีมี
ความซบั ซ้อนที่ตอ้ งอาศัยการไตรต่ รองอยา่ งลกึ ซึง้ ตลอดจนการปรกึ ษาผเู้ ช่ยี วชาญทางด้านพันธุกรรม
179
ภาพท่ี 5.35 การตรวจสอบความผิดปกติทางพนั ธกุ รรมของทารกในครรภ์
ที่มา: Reece และคณะ (2011) หน้า 281
2) เทคโนโลยกี ารปฏิสนธิภายในหลอดทดลอง สาหรับมนุษย์การเป็นหมันอาจมี
สาเหตทุ ่ีหลากหลายซ่งึ มีโอกาสเกิดจากความผิดปกตขิ องระบบสืบพันธ์ุในเพศชายหรือเพศหญิงที่เท่ากัน
สาหรับเพศหญิงจะมีภาวการณ์มีบุตรยากและความเสี่ยงท่ีจะให้กาเนิดทารกท่ีมีความผิดปกติทาง
พันธุกรรมจะเพิ่มมากขนึ้ เม่ือมีอายุเกิน 35 ปี ขึ้นไป นักวิทยาศาสตร์พบว่าโอโอไซท์อาจมีการแบ่งเซลล์
แบบไมโอซสิ ท่ีใช้เวลาในการพฒั นาจนสมบรู ณ์ยาวนานเกนิ ไป เทคโนโลยที างการสืบพันธ์ุเพ่ือการมีบุตรท่ี
สมบรู ณ์จึงถูกพัฒนาขน้ึ เช่น การใชฮ้ อร์โมนในการรักษาซ่ึงช่วยสง่ เสรมิ การสร้างเซลล์สืบพันธุ์ การผ่าตัด
ทอ่ ตา่ งๆ ในระบบสบื พันธทุ์ ่ีมีลักษณะผดิ ปกตใิ ห้กลบั มาเปน็ ปกติ คู่รักที่เป็นหมันหลายคู่และอยากมีบุตร
สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีที่ช่วยให้มีบุตรได้ โดยทาการปฏิสนธิตัวอ่อนภายในหลอดทดลอง (in vitro
fertilization, IVF) โดยกระบวนการผา่ ตัดเพ่ือนาไข่ออกมาจากรงั ไขภ่ ายหลังจากการกระตุ้นการสร้างไข่
ดว้ ยฮอร์โมน ไข่ที่นาออกมาจะถูกปฏิสนธิภายในหลอดทดลองและเล้ียงต่อไปให้อยู่ในระยะตัวอ่อนท่ีมี
แปดเซลล์ และถูกนากลบั เขา้ ไปยังมดลูกอกี ครงั้ เพือ่ การฝงั ตัวและเจริญเตบิ โตต่อไป ส่วนไข่ สเปิร์ม หรือ
ตวั ออ่ นท่ีไม่ถูกใช้จะถกู แชแ่ ขง็ และถูกนากลับมาใชใ้ นรอบการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป แตถ่ ้าหากสเปิร์มมีความ
ผิดปกติ เช่น มจี านวนน้อยกวา่ 20 ลา้ นเซลล์ตอ่ มิลลลิ ติ ร ในการหลัง่ 1 คร้ัง กส็ ามารถใช้เทคนิคในการฉดี
นิวเคลียสของสเปริ ์มเข้าไปยงั โอโอไซทไ์ ด้โดยตรง (intracytoplasmic sperm injection, ICSI) ข้อมูลใน
ปัจจุบันชใี้ ห้เหน็ วา่ ทารกที่เกดิ จากการต้งั ครรภ์ด้วยเทคนคิ IVF นนั้ มคี วามผิดปกตหิ รือผดิ พลาดน้อยมาก
180
สรุป
สง่ิ มชี ีวติ ย่อมมกี ารเพ่ิมจานวนประชากรด้วยการสบื พันธุ์ ซึง่ เปน็ กระบวนการทีส่ าคัญอย่างหน่ึงท่ี
ทาใหส้ ่งิ มชี วี ิตดารงเผ่าพนั ธเุ์ อาไวไ้ ด้ บางชนดิ สามารถสืบพันธ์แุ บบไมอ่ าศยั เพศผา่ นกระบวนการแบง่ เซลล์
แบบไมโทซิส เชน่ การแบ่งตัวจากหนึ่งเป็นสอง การแตกหน่อ การงอกใหม่ และพาทีโนเจเนซิส เป็นต้น
สิ่งมชี วี ติ บางชนดิ มกี ารสืบพันธแ์ุ บบอาศยั เพศผ่านกระบวนการแบ่งเซลล์แบบไมโอซีส และกระบวนการ
ปฏสิ นธิซึ่งมที งั้ แบบปฏสิ นธิภายนอกและการปฏสิ นธิภายในรา่ งกายข้ึนอยู่กบั ชนดิ ของสงิ่ มชี ีวิต
สิง่ มีชีวิตชน้ั ต่า เชน่ แบคทีเรีย โพรโทซวั สาหรา่ ย และเห็ดรา สว่ นใหญจ่ ะประสบผลสาเรจ็ ในการ
เพิม่ จานวนประชากรโดยการสืบพันธแุ์ บบไม่อาศัยเพศ แต่บางคร้ังอาจพบการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศซ่ึง
ช่วยใหส้ ิ่งมชี วี ิตชนิดเหลา่ นั้นมคี วามแปรผันของพันธุกรรมมากขึ้น สง่ ผลให้ลูกหลานของส่ิงมีชีวิตชนิดน้ัน
เกดิ การปรบั ตัวอยู่รอดไดใ้ นสภาวะแวดล้อมไดด้ ี
พืชสามารถสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศได้ เช่น การสืบพันธุ์โดยอาศัยลาต้นพิเศษ ท่อนพันธุ์หรือ
หน่อ พาทีโนเจเนซิส หรอื การเพาะเลีย้ งเนื้อเย่ือ ในขณะทีก่ ารสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศของพืช เช่นพืชดอก
อาศัยการปฏิสนธริ ะหว่างสเปริ ม์ กับไขซ่ ่ึงเกดิ ผา่ นกระบวนการถ่ายละอองเรณทู ี่อาศัยตวั นาพา เช่น กระแส
ลม กระแสนา้ และแมลง เปน็ ตน้
สตั ว์หลายชนดิ สามารถสบื พนั ธุไ์ ด้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตชนิดอ่ืน
ซ่งึ สามารถพบได้ทั้งในสัตว์ท่ีไม่มีและมีกระดูกสันหลัง แต่ในสัตว์เล้ียงลูกด้วยน้านมจะมีระบบสืบพันธ์ุที่
ซับซอ้ นกว่าสัตว์ชนดิ อ่ืนๆ เนอ่ื งจากการสรา้ งเซลล์สืบพันธใุ์ นเพศหญิงและชายจะมีระบบต่อมไร้ท่อและมี
ทอ่ ซ่ึงทาหน้าทีใ่ นการสร้างฮอรโ์ มนมาควบคุมกลไกเก่ียวกับกระบวนการสืบพันธุ์ นอกจากนี้มนุษย์ยังใช้
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีทันสมัยเพ่ือเข้ามาแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการสืบพันธ์ุ เช่น
การมบี ุตรยาก การตรวจสอบความผิดปกติทางพันธุกรรม รวมทงั้ การเป็นหมนั
181
คา่ ถามท้ายบท
1. รูปแบบของการสบื พนั ธม์ุ กี ่ีแบบ อะไรบ้าง จงอธบิ ายพรอ้ มยกตวั อย่าง
2. ลกั ษณะของการปฏิสนธิมกี ่แี บบ อะไรบา้ ง จงอธิบายพรอ้ มยกตวั อยา่ ง
3. อธิบายการสบื พันธแ์ุ บบอาศัยเพศของแบคทีเรียว่ามีกี่แบบ อะไรบ้าง
4. อธิบายวา่ มีเหตกุ ารณใ์ ดบ้างทเี่ กิดขึ้นในการสบื พันธ์ุแบบคอนจูเกชันของพารามเี ซยี ม
5. อธบิ ายกระบวนการสร้างเซลลส์ บื พันธเ์ุ พศผ้แู ละเพศเมียในพชื ดอก
6. อธบิ ายกระบวนการสร้างเซลลส์ บื พนั ธ์ใุ นมนุษย์เพศชายพรอ้ มฮอร์โมนทเี่ กี่ยวข้อง
7. อธบิ ายกระบวนการสร้างเซลลส์ บื พนั ธ์ใุ นมนุษย์เพศหญงิ พรอ้ มฮอร์โมนทเ่ี ก่ยี วข้อง
8. อธิบายวฏั จักรของระบบสบื พันธุใ์ นมนษุ ย์เพศหญงิ วา่ มีการเปล่ยี นแปลงอยา่ งไรบา้ งใน 1 รอบเดอื น
9. วธิ ีการคมุ กาเนิดมีกแี่ บบ อะไรบ้าง แต่ละแบบสามารถช่วยคมุ กาเนิดไดอ้ ย่างไรบ้าง
182
เอกสารอา้ งอิง
Campbell, N.A., Reece, J.B., Urry, L.A., Cain, M.L., Wasserman, S.A., Minorsky, P.V. and
Jackson, R.B. 2008. Biology. 8thed. Pearson Education Inc., United States of
America.
Klug, W.S., Cummings, M.R., Spencer, C.A. and Palladino, M.A. 2009. Concepts of
Genetics. 9thed. Pearson Education Inc., United States of America.
Klug, W.S., Cummings, M.R., Spencer, C.A. and Palladino, M.A. 2012. Concepts of
Genetics. 10thed. Pearson Education Inc., United States of America.
National Geographic, Daniel, L. and Zike, D. 2005. Animal Diversity. The McGraw-Hill
companies Inc., United States of America.
Postlethwait, J.H. and Hopson, J.L. 2006. Modern Biology. Holt, Rinehart and Winston,
United States of America.
Reece, J.B., Urry, L.A., Cain, M.L., Wasserman, S.A., Minorsky, P.V. and Jackson, R.B. 2011.
Biology. 9thed. Pearson Education Inc., United States of America.
แผนบรหิ ารการสอนประจาบทท่ี 6
เร่อื ง การแบง่ เซลล์
หัวขอ้ เนื้อหา
6.1 การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซสิ
6.1.1 การแบ่งนวิ เคลยี ส
6.1.2 การแบ่งไซโทพลาสซมึ
6.2 การแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ
6.2.1 ไมโอซสิ I
6.2.2 ไมโอซสิ II
สรุป
คาถามท้ายบท
เอกสารอ้างองิ
วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม
เมือ่ ศกึ ษาจบบทเรยี นน้ีแลว้ ผเู้ รียนควรมีความรู้และความสามารถ ดังนี้
1. อธิบายกลไกการและขน้ั ตอนแบง่ เซลล์แบบไมโทซสิ และไมโอซสิ ได้
2. จาแนกความแตกต่างของการแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิสได้
วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอน
1. นาเขา้ สู่บทเรยี นดว้ ยการบรรยายประกอบ PowerPoint presentation และสรุปประเด็นสาคัญ
ให้ผู้เรียนค้นควา้ เพม่ิ เตมิ
2. ผู้เรยี นแลกเปล่ียนความคดิ เห็นกันภายในกลมุ่ เพ่ือทบทวนเก่ียวกบั เนอื้ หาประจาบทเรียน
3. ผู้เรียนแสดงความคดิ เหน็ ซักถาม สร้างผงั ความคดิ ประจากล่มุ เกี่ยวกับเนื้อหาประจาบทเรียน
สอื่ การเรียนการสอน
1. เอกสารประกอบการสอนรายวิชาชีววทิ ยา 1 บทที่ 6
2. เน้ือหา PowerPoint presentation บทท่ี 6
3. โมเดลการแบง่ เซลล์แบบไมโทซิส และไมโอซสิ
การวดั ผลและประเมนิ ผล
การวัดผล
1. ความตงั้ ใจในช้นั เรียน และการตอบขอ้ ซกั ถามระหวา่ งเรียน
2. ผู้เรียนมีการแสดงความคิดเห็นร่วมกันในกลุ่ม และสรุปผังความคิดประจากลุ่มเกี่ยวกับเน้ือหา
ประจาบทเรยี น
3. การตอบคาถามท้ายบทและส่งงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายตรงตามเวลาที่กาหนด
184
การประเมนิ ผล
1. ผ้เู รียนตอบขอ้ ซักถามในระหวา่ งเรยี นถกู ตอ้ งไมน่ อ้ ยกว่ารอ้ ยละ 80
2. สังเกตพฤติกรรมการมสี ว่ นร่วมของสมาชิกในกลมุ่ และสรปุ ผังความคิดประจากล่มุ เก่ียวกบั เนอ้ื หา
ประจาบทเรียนไดถ้ ูกต้องไม่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 80
3. ตอบคาถามทา้ ยบทและส่งงานท่ไี ด้รบั มอบหมายตรงตามเวลาทกี่ าหนด และมีความถูกตอ้ งไม่น้อย
กวา่ ร้อยละ 80