The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วิจัย ศึกษาแนวคิดทางการเมืองและสังคมเเละภาพสะท้อนสังคมจากเรื่องสั้นวรรณกรรมพานเเว่นฟ้า ปีพ.ศ.2560-2564

รวมเล่มสมบูรณ์

ศึกษาแนวคิดทางการเมือง สังคมและภาพสะท้อนสังคมที่ปรากฏในวรรณกรรม เรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ระหว่างพ.ศ.2560-2564 กุลธิดา แสนวันดี พินิจนันท์ ซุยกระเดื่อง งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษารายวิชาวิทยาระเบียบวิธีวิจัยทางภาษาและวรรณกรรมไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีการศึกษา 2565


ก ชื่อเรื่อง ศึกษาแนวคิดทางการเมือง สังคมและภาพสะท้อนสังคมที่ปรากฏใน วรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ระหว่างพ.ศ.2560-2564 ผู้วิจัย นางสาวกุลธิดา แสนวันดี นายพินิจนันท์ ซุยกระเดื่อง อาจารย์ที่ปรึกษา ดร.สุภัทร แก้วภัทร ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต (ภาษาไทย) ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดทางการเมืองและสังคมที่ปรากฏในวรรณกรรม เรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้าระหว่าง พ.ศ.2560-2564 เพื่อศึกษาภาพสะท้อนสังคมที่ปรากฏใน วรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้าระหว่างพ.ศ.2560-2564 ผู้วิจัยได้นำเสนอข้อมูลจาก วรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ระหว่าง พ.ศ.2560-2564 จำนวน 65 เรื่อง ผลการวิจัยพบว่า การศึกษาแนวคิดทางการเมือง สังคมและภาพสะท้อนสังคมที่ปรากฏใน วรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ระหว่างพ.ศ.2560-2564 สะท้อนให้ผู้อ่านได้มองเห็นถึง สถานการณ์ด้านการเมืองและด้านสังคมไทยโดยรวมว่า บรรยากาศทางการเมืองเป็นไปด้วยความตึง เครียด และมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นต่อเนื่อง ประชาชนในสังคมแตกแยกแบ่งพวกกัน และ ได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากการพัฒนาของประเทศชาติได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นแล้วยังได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกอีกด้วย การศึกษาแนวคิดทางการเมือง แบ่งออกเป็น 5 ประเด็น ดังนี้ แนวคิดเกี่ยวกับการเมือง 3 ประเด็น ได้แก่ แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจทางการเมืองหรือพฤติกรรมทางการเมือง แนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วม ทางการเมือง แนวคิดเกี่ยวกับความขัดแย้งหรือความแตกต่างด้านอุดมการณ์ของบุคคลทางการเมือง ส่วนแนวคิดเกี่ยวกับสังคม 2 ประเด็น ได้แก่ แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่พลเมือง แนวคิดเกี่ยวกับ ความขัดแย้งหรือความแตกต่างด้านอุดมการณ์ของบุคคลทางสังคม และภาพสะท้อนทางสังคมที่ ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า แบ่งออกเป็น 5 ประเด็น ดังนี้ ภาพสะท้อนสังคม เกี่ยวกับการเมือง 3 ประเด็น ได้แก่ ภาพสะท้อนสังคมอำนาจทางการเมืองหรือพฤติกรรมทาง การเมือง ภาพสะท้อนสังคมการมีส่วนร่วมทางการเมือง ภาพสะท้อนสังคมความขัดแย้งหรือความ แตกต่างด้านอุดมการณ์ของบุคคลทางการเมือง ส่วนภาพสะท้อนสังคมเกี่ยวกับสังคม 2 ประเด็น ได้แก่ ภาพสะท้อนสังคมสิทธิและหน้าที่พลเมือง ภาพสะท้อนสังคมความขัดแย้งหรือความแตกต่าง ด้านอุดมการณ์ของบุคคลทางสังคม


ข กิตติกรรมประกาศ การศึกษาแนวคิดทางการเมือง สังคมและภาพสะท้อนสังคมที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้น รางวัลพานแว่นฟ้า ระหว่างพ.ศ.2560-2564 งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา รายวิชาวิทยา ระเบียบวิธีวิจัยทางภาษา และวรรณกรรมไทย หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต (ภาษาไทย) มหาวิทยาลัย ราชภัฏอุดรธานี สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วย ความอนุเคราะห์จากอาจารย์ ดร.สุภัทร แก้วพัตร ที่ปรึกษา วิจัย ตั้งแต่การเลือกหัวข้อวิจัย กำหนดขอบเขต เสนอแนะการวิเคราะห์เนื้อหาต่างๆ พร้อมทั้งเอาใจ ใส่ผู้วิจัยตลอดการทำงาน กรุณาตรวจทาน แก้ไขข้อพกพร่องต่างๆ และให้กำลังใจมาตั้งแต่เริ่มจน สำเร็จเป็นงานวิจัยที่สมบูรณ์ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ผู้วิจัยขอขอบคุณวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่า ออกมาสู่สังคม ผู้วิจัยจะคอยติดตามผลงานของทุกท่านอย่างต่อเนื่องไปทุกปี ขอขอบพระคุณคณาจารย์สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีทุกท่านที่ล้วน ประสิทธิ์ประสาท ความรู้ด้านหลักภาษาไทย การใช้ภาษาไทย การสอนภาษาไทย วัฒนธรรมไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ความรู้ต่างๆ ที่คณาจารย์ทุกท่านถ่ายทอดให้ล้วนมีส่วนช่วยให้ผู้วิจัยทำงาน วิจัยนี้สำเร็จ ขอขอบพระคุณสำนักวิทยบริการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีและห้องสมุด มหาวิทยาลัย ราชภัฏอุดรธานี ที่อำนวยความสะดวก และช่วยเหลือในการสืบค้นข้อมูลเพื่อนำไปใช้ในงานวิจัยจน เสร็จสมบูรณ์ ขอขอบคุณรุ่นพี่ที่ให้คำปรึกษา ตลอดจนเพื่อนๆ สาขาวิชาภาษาไทย ชั้นปีที่ 4 ทุกคนที่คอย เป็นแรงผลักดัน เป็นกำลังใจมาโดยตลอดระยะเวลาแห่งความเพียรพยายามนี้ ขอขอบพระคุณครอบครัวของผู้วิจัย ทุกท่านช่วยหล่อหลอมผู้วิจัยให้เป็นมนุษย์ได้อย่าง สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่กำลังของท่านมี ช่วยสนับสนุน ส่งเสริม สิ่งต่างๆ ที่ผู้วิจัยรัก และสนใจด้วยดี เสมอมา ผู้วิจัยกราบขอบพระคุณ ณ ที่นี้ ท้ายนี้ ผู้วิจัยขอขอบคุณหัวใจอันกล้าแกร่งของผู้วิจัยที่ตั้งอยู่บนความแน่วแน่มาตั้งแต่ต้น อดทนต่อแวดล้อมต่างๆ มากมายที่เป็นอุปสรรคในการทำงาน คอยเติมเต็มความรักความห่วงใยให้ เปี่ยมล้น อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนให้ผู้วิจัยมีแรงกาย แรงใจในการศึกษาวิจัย ขอขอบพระคุณทุกท่าน ที่กล่าวมา ทั้งหมดนี้มีส่วนช่วยให้ผู้วิจัยศึกษางานวิจัยจนสำเร็จสมบูรณ์ กุลธิดา แสนวันดี พินิจนันท์ ซุยกระเดื่อง


ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ............................................................................................................................. ...............ก กิตติกรรมประกาศ................................................................................................... ..........................ข สารบัญ............................................................................................................................. .................ค สารบัญตาราง....................................................................................................................................ฉ บทที่ 1 บทนำ............................................................................................................................1 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ.........................................................................................1 1.2 วัตถุประสงค์ในงานวิจัย.................................................................................................4 1.3 ขอบเขตในการศึกษา.................................................................................................. ...4 1.4 วิธีการดำเนินการวิจัย....................................................................................................7 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ......................................................................................................... .8 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ............................................................................................9 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง....................................................................................10 2.1 เอกสารที่เกี่ยวข้อง........................................................................................................10 2.1.1 เอกสารเกี่ยวกับเรื่องสั้น.....................................................................................10 2.1.1.1 ความหมายของเรื่องสั้น.......................................................................10 2.1.1.2 บทบาทของเรื่องสั้น.............................................................................11 2.1.1.3 ลักษณะและองค์ประกอบของเรื่องสั้น.................................................12 2.1.2 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาวรรณกรรมการเมืองและวรรณกรรมรางวัลพาน แว่นฟ้า...............................................................................................................................................18 2.1.2.1 การศึกษาวรรณกรรมกับสังคม.............................................................18 2.1.2.2 การศึกษาทรรศนะในวรรณกรรม.........................................................19 2.1.2.3 การศึกษาวรรณกรรมการเมือง.............................................................20 2.1.2.4 ความรู้เกี่ยวกับวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า......................................22 2.1.3 เอกสารเกี่ยวกับแนวคิดทางการเมืองและสังคม..................................................23 2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง........................................................................................................ .24 2.2.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์เรื่องสั้นการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า...........24


ง สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า 2.2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแนวคิดทางการเมืองและสังคม........................27 2.2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับภาพสะท้อนสังคมและวรรณกรรมการเมือง....................28 บทที่ 3 ศึกษาแนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ระหว่างพ.ศ.2560-2564........................................................................................................31 3.1 วิเคราะห์แนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่น ฟ้า ประจำปี 2560............................................................................................................................31 3.2 วิเคราะห์แนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่น ฟ้า ประจำปี 2561........................................................................................................................... .57 3.3 วิเคราะห์แนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่น ฟ้า ประจำปี 2562.......................................................................................................................... ..78 3.4 วิเคราะห์แนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่น ฟ้า ประจำปี 2563............................................................................................................................97 3.5 วิเคราะห์แนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่น ฟ้า ประจำปี 2564............................................................................................................................120 บทที่ 4 ภาพสะท้อนทางสังคมในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้าระหว่าง พ.ศ.2560- 2564.......................................................................................................................................147 4.1 ภาพสะท้อนทางสังคมที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2560..................................................................................................................148 4.2 ภาพสะท้อนทางสังคมที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2561..................................................................................................................163 4.3 ภาพสะท้อนทางสังคมที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2562..................................................................................................................177 4.4 ภาพสะท้อนทางสังคมที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2563..................................................................................................................192


จ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า 4.5 ภาพสะท้อนทางสังคมที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2564..................................................................................................................207 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ...............................................................................226 5.1 สรุปผลการวิจัย............................................................................................................226 5.2 อภิปรายผลการวิจัย.....................................................................................................231 5.3 ข้อเสนอแนะ................................................................................................................233 บรรณานุกรม...................................................................................................................................234 ประวัติผู้วิจัย............................................................................................................................ ........238


ฉ สารบัญตาราง ตาราง หน้า ตารางที่ 1 แสดงข้อมูลที่นำมาใช้ในการวิจัย......................................................................................4 ตารางที่ 2 แสดงข้อมูลที่นำมาใช้ในการวิจัย......................................................................................5 ตารางที่ 3 แสดงข้อมูลที่นำมาใช้ในการวิจัย......................................................................................5 ตารางที่ 4 แสดงข้อมูลที่นำมาใช้ในการวิจัย......................................................................................6 ตารางที่ 5 แสดงข้อมูลที่นำมาใช้ในการวิจัย......................................................................................7 ตารางที่ 6 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์..............................................................................................53 ตารางที่ 7 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์..............................................................................................74 ตารางที่ 8 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์..............................................................................................93 ตารางที่ 9 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์.............................................................................................116 ตารางที่ 10 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์..........................................................................................137 ตารางที่ 11 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์โดยรวม.............................................................................141 ตารางที่ 12 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์..........................................................................................160 ตารางที่ 13 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์..........................................................................................174 ตารางที่ 14 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์..........................................................................................189 ตารางที่ 15 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์..........................................................................................204 ตารางที่ 16 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์..........................................................................................219 ตารางที่ 17 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์โดยรวม..............................................................................222


1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญ เมื่อ (สุดารัตน์ เสรีวัฒน์, 2520: 44-50) อธิบายว่าเรื่องสั้นก็คือวรรณกรรมประเภทหนึ่ง ที่มีลักษณะบรรยายหรือเล่าเรื่องที่มีความยาวจำกัด การเล่าเรื่องเป็นสิ่งที่มนุษย์กระทำกันมาตั้งแต่ดึก ดำบรรพ์ก่อนสมัยที่เกิดมีหนังสือเพื่อบันทึกเรื่องที่ให้อยู่ในลักษณะถาวรเสียอีก คนโบราณมีเรื่องที่จะ เล่ากันฟังมากมาย และมีเวลาว่างมากพอที่จะใช้ในการเล่า เพราะจังหวะของชีวิตไม่รวดเร็วบีบรัด เหมือนในเวลานี้ เรื่องที่คนโบราณเล่ากันก็คงมีเรื่องที่เกี่ยวกับพฤติการณ์ประจำวันเฉพาะตนและ ครอบครัวของตนเป็นเบื้องต้น ต่อมามีผู้ที่มีความสันทัดจัดเจนหรือเรียกว่า ผู้มีศิลปะในการเล่าก็อาจ ได้รับการยกย่องว่าฝีมือในด้านนี้เป็นพิเศษ และได้รับมอบหน้าที่ให้เล่าเรื่องอะไรต่ออะไรให้คนอื่นใน เผ่าชนด้วยกันฟัง จึงเกิดความจำเป็นที่จะต้องขยายวงเรื่องที่เล่าออกไป ถึงเรื่องอิทธิฤทธิ์ของเทวดา หรือภูตผีปีศาจที่เป็นความเชื่อถือของชนเผ่านั้นหรือมิฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เป็นนิทาน เปรียบเทียบคติ สอนใจ นิทานหรือนิยายเหล่านี้ แต่แรกก็มักจะเป็นเรื่องสั้นจบในตัวเอง เพราะถ้ายืดยาวนักจะไม่ทัน อกทันใจผู้ฟัง นิทานเก่าแก่เช่นนี้มีอยู่มากมายในทุกชาติทุกภาษา เช่น นิยายเรื่องสองพี่น้องใน วรรณคดีอียิปต์ ซึ่งเกิดก่อนคริสตวรรษตั้งสามพันปี ชาดก นิทานอีสปและนิยายในปัญจคันตระ นิทาน ต่างๆ ในคัมภีร์ไบเบิ้ลภาคเดิม และนิยายอุปมาในคัมภีร์ไบเบิ้ลภาคใหม่ ประวัตินักบุญต่างๆ ในคริสต์ ศาสนา นิยายต่างๆ ในอาหรับราตรี และเดคาเมรอน โดยนัยอันกว้าง นิทานและนิยายเหล่านี้ถือว่า เป็นเรื่องสั้นได้ทั้งนั้น แต่คำว่า Short story ในสมัยนี้มีความหมายเฉพาะมิได้หมายความเพียงว่าเรื่องเล่าที่มีขนาด สั้นเท่านั้น หากหมายถึงวรรณคดีมีความยาวจำกัด อันมีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว โดยนัยนี้มีนิยาย ขนาดสั้นมิได้เป็นเรื่องสั้นไปหมดทุกเรื่อง ลักษณะการเขียนเรื่องสั้นเริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ เพราะ อังกฤษเป็นชาติที่รุ่งเรืองมานานมีขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีและภาษาประจำชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยให้ งานทางวรรณกรรมของอังกฤษเจริญก้าวหน้าตามลำดับ โดยเรื่องสั้นเรื่องแรกของอังกฤษ คือ Bricking Homilies สำหรับเมืองไทยนั้น แม้ว่าเราเพิ่งได้รับรูปแบบเรื่องสั้นมาจากตะวันตกไม่มากนัก แต่ก็ไม่มี หลักฐานอย่างใดที่จะยืนยันได้แน่นอนว่าใครเป็นผู้ริเริ่มงานเขียนเรื่องสั้นก่อนกัน และ (เจือ สตะเวทิน, 2510: 12) เคยกล่าวไว้ว่า รุ่งอรุณแห่งเรื่องสั้นฉายแสงขึ้นในหนังสือ “ดรุโณวาท” ของพระเจ้าเกษมสันต์โสภาคย์ ซึ่งเริ่มพิมพ์จำหน่ายครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2417 เช่น นิทาน เรื่อง “คนหาปลาทั้ง 4” ก็มีลักษณะเป็นเรื่องสั้นอยู่มาก แล้วไปปรากฎชัดเจนจนขึ้นในหนังสือ


2 “วชิรญาณวิเศษ” ประมาณพ.ศ. 2427 เพราะมีงานเขียนบันเทิงคดีตามแบบชีวิตจริงเข้าข่ายเรื่องสั้น ปัจจุบันหลายเรื่องแม้ว่าจะยังเรียกนิทานอยู่ก็ตาม ความคลี่คลายของเรื่องสั้นยุคบุกเบิก อาจถือได้ว่าเริ่มต้นอย่างจริงจังใน พ.ศ.2472-2475 เพราะในระยะนั้นมีนิตยสารที่สนับสนุนการเขียนเรื่องสั้นเกิดขึ้นอีกหลายฉบับ โดยเฉพาะหนังสือ “สุภาพบุรุษ” รายสัปดาห์ ดูเหมือนจะมีเป้าหมายเสนองานเริงรมย์และเรื่องสั้นมากเป็นพิเศษนักเขียน ในกลุ่มนั้นก็ล้วนแต่ประสบผลสำเร็จในงานเขียนบันเทิงคดีเกือบทั้งสิ้น เช่น ศรีบูรพา, มาลัย ชูพินิจ, สด กูรมะโรหิต, ยาขอบ, พ.เนตรวังสี ฯลฯ แม้ว่าจะเริ่มต้นการเขียนนวนิยายมาก่อนการเขียนเรื่องสั้น ก็ตาม และในระยะเวลาใกล้เคียงกันก็มีนักเขียนเรื่องสั้นชั้นดีอีกหลายคน เช่น ม.จ.อากาศดำเกิง รพีพัฒน์, ดอกไม้สด, มนัส จรรยงค์, สันต์ เทวรักษ์, นายตำรา ณ เมืองใต้, ร.จันทะพิมพะ, แขไข เทวิณ, ก. สุรางคนางค์ ฯลฯ (รื่นฤทัย สัจจพันธุ์, 2547: 67) พ.ศ.2488 นักเขียนทั้งหลายจึงตื่นตัวกันอีกครั้งหนึ่ง แหล่งรวมของนักเขียนที่คึกคักเป็น ปึกแผ่นมากที่สุดในระยะนั้น คือ “ค่ายสีลม” ของบริษัทไทยพาณิชยการ จำกัด ที่อารีย์ ลีวีระ ได้ซื้อ กิจการไว้ดำเนินงานเองทั้งหมด มีหนังสือในเครือเดียวกันหลายฉบับ เช่น พิมพ์ไทย, สยามนิกร, เริงรมย์ และสยามสมัย เป็นต้น มีนักเขียนชื่อดังยุคก่อนสงคราม เช่น มาลัย ชูพินิจ, ยาขอบ ฯลฯ ไปชุมนุมกันอยู่หลายคนสมทบกับนักเขียนที่เกิดขึ้นใหม่ในระยะนั้น เช่น อิศรา อมันตกุล, ศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์, สุวัฒน์ วรดิลก, อิงอร, เสนีย์ เสาวพงศ์, อุษณา เพลิงธรรม ฯลฯ ทำให้หนังสือในเครือ บริษัทไทยพาณิชยการ จำกัด ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและดูเหมือนว่าหนังสือพิมพ์ในกลุ่มนี้ เริ่มสนับสนุนในการเขียนเรื่องสั้นมากขึ้นเกือบทุกฉบับ โดยเฉพาะที่หนังสือสยามสมัย-รายสัปดาห์ ยุคที่ประบูร จรรยาวงษ์ เป็นบรรณาธิการ ได้จัดให้มีการประกวดเรื่องสั้นโบว์สีฟ้าขึ้นเป็นครั้งแรก ทำให้วงการเรื่องสั้นตื่นตัวขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งมีรายละเอียด คือ การประกวดเรื่องสั้นโบว์สีฟ้า ครั้งที่ 1 ผู้ชนะเลิศ คือ อ.อุดากร จากเรื่อง ตึกกรอสส์ ประมาณ พ.ศ. 2500 สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ และสำนักพิมพ์ก้าวหน้าเริ่มผลิตหนังสือพ็อก เก็ตบุ๊คขนาดมาตรฐานออกมาจำหน่าย มีการพิมพ์รวมเรื่องสั้นจำหน่ายด้วย ระยะแรกขายประมาณ เล่มละ 10 บาท แล้วแก่งแย่งกันจนตัดราคาลงเหลือ 6 บาท แม้กระนั้นก็ยังไม่เป็นแพร่หลายนัก ประมาณ พ.ศ. 2508 ก็เกิดปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเรื่องสั้นเมื่อ อาจินต์ ปัญจพรรค์ ตั้งสำนักพิมพ์โอเลี้ยง 5 แก้วขึ้น แล้วพิมพ์เรื่องสั้นชุดเหมืองแร่ของตนออกจำหน่ายเองเป็นหนังสือพ็ อกเกตบุ๊ค ราคาเล่มละ 5 บาท นับเป็นนักเขียนเรื่องสั้นไทยเริ่มที่ “เขียนเอง-พิมพ์เอง-ขายเอง” เป็นคนแรก และเมื่ออาจินต์ ปัญจพรรค์ ประสบผลสำเร็จอย่างงดงามทั้งในวงการเขียนเรื่องสั้นและ การพิมพ์จำหน่าย ทำให้ระบบนี้แพร่หลายมากขึ้น เช่น หนังสือรายเดือนของ รงค์ วงษ์สวรรค์และ เพื่อนหนุ่ม (สุชาติ สวัสดิ์ศรี, 2518: 42-47)


3 ลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างวรรณกรรมกับสังคมมนุษย์คือ การสะท้อนให้เห็นถึงสภาพ บ้านเมือง ความเชื่อ และค่านิยมของคนในสังคม รวมทั้งเรื่องราวทางการเมือง เช่น นโยบายของรัฐ เป็นต้น ลักษณะเช่นนี้เป็นการถ่ายเทประสบการณ์ชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม และสถานการณ์ บ้านเมืองของนักเขียนซึ่งมีอิทธิพลต่อวรรณกรรมเป็นอย่างมาก วรรณกรรมจึงเปรียบเสมือนกระจก เงาของสังคมมนุษย์ ผู้อ่านจะสามารถมองเห็นสภาพสังคม การเมือง และวัฒนธรรมของสังคมในยุค สมัยนั้นๆ ผ่านวรรณกรรม และในขณะเดียวกันวรรณกรรมก็มีอิทธิพลต่อสังคมอยู่ไม่น้อย เช่น การสร้างค่านิยม การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม (ตรีศิลป์ บุญขจร 2542: 5-7) วรรณกรรมไทยมีการพัฒนาตามยุคตามสมัย โดยเฉพาะเรื่องสั้นที่มีลักษณะที่เนื้อเรื่อง ค่อนข้างสั้น และมีแนวคิดหลักเพียงแนวคิดเดียว โดยเรื่องสั้นแต่ละเรื่องมีความสนุกสนานอยู่ที่การใช้ กลวิธีในการแต่งของผู้เขียนที่มีการเปิดเรื่องให้มีความน่าสนใจ ดำเนินเรื่องด้วยปมความขัดแย้งและ ปิดเรื่องให้ผู้อ่านได้คิดต่อว่าเรื่องนั้นจะดำเนินไปอย่างไรต่อไป พร้อมทั้งการสร้างฉากให้มีบรรยากาศ สมจริง และการตัวละครในแต่ละเรื่องให้มีความคิดอุดมการณ์เป็นของตนเพื่อให้ผู้อ่านรู้สึกและ จินตนาการตามความของตัวละครในเรื่อง เรื่องสั้นแนวสังคมและการเมือง จากวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้าเริ่มมีการจัดประกวด ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2546 เป็นเรื่องสั้นที่สะท้อนภาพสังคมที่มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ณ ขนาดนั้น ซึ่งเหตุการณ์ในสังคม การเรียกร้องประชาธิปไตย ภาพสะท้อนปัญหาของสังคมไทย หรืออุดมการณ์ ของตัวละครในเรื่องสั้น ที่ผู้เขียนได้สอดแทรกเข้าไปในเรื่องสั้น พร้อมทั้งกลวิธีการแต่งที่เล่าเรื่องจาก เหตุการณ์ในอดีตไปสู่ปัจจุบัน พร้อมทั้งแนวโน้มที่นำสู่อนาคต ทำให้ผู้อ่านได้ทราบถึงเหตุการณ์ทาง สังคม การรำลึกนึกถึงเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง ซึ่งเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้าได้ถ่ายทอดผ่านตัว ละคร ฉาก และการดำเนินเรื่องมีที่การเชื่อมโยงจากปมความขัดแย้งภายในครอบครัว หรือภายใน ชุมชนนำมาเชื่อมโยงกับปัญหาของสังคม และการเมือง เพื่อเป็นภาพสะท้อนสังคมที่เกิดขึ้นจากอดีต ไปสู่ปัจจุบันและผู้อ่านได้สัมผัสกับบรรยากาศของความคิดของตัวละครทั้งสองฝ่ายที่มีความคิด แตกต่างกัน ภาพสะท้อนสังคม การเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต รวมไปถึงการเรียกร้อง ประชาธิปไตยในประเทศที่เรียกตัวเองว่า เป็นประเทศประชาธิปไตย พร้อมข้อคิดในการอยู่รวมกัน ของคนในสังคม ด้วยเหตุนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ศึกษาที่มีความสนใจในการศึกษา วิเคราะห์แนวคิดทาง การเมืองและสังคม รวมไปถึงภาพสะท้อนสังคมประกอบด้วย แนวคิดเกี่ยวกับการเมืองและสังคม และภาพสะท้อนเกี่ยวกับการเมืองและสังคม จากองค์ประกอบที่กล่าวมาข้างต้นนั้น จึงเป็นการศึกษา วิเคราะห์แนวคิดทางการเมืองและสังคม และภาพสะท้อนสังคม เพื่อให้เห็นถึงแนวคิดทางการเมือง สังคม และภาพสะท้อนทางสังคมที่เกิดขึ้นในสังคม


4 1.2 วัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาแนวคิดทางการเมืองและสังคมที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพาน แว่นฟ้าระหว่าง พ.ศ.2560-2564 2. เพื่อศึกษาภาพสะท้อนสังคมที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้าระหว่าง พ.ศ.2560-2564 1.3 ขอบเขตในการศึกษา ศึกษาเรื่องสั้นจากวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้าระหว่างพ.ศ.2560-2564 จำนวน 5 เล่ม 65 เรื่อง ดังนี้ 1. ภาพที่คอมโพสิชั่น (ไม่เคย) ลงตัว ปะการัง วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ปีพ.ศ.2560 ตารางที่ 1 แสดงข้อมูลที่นำมาใช้ในการวิจัย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง รางวัลที่ได้รับ ภาพที่คอมโพสิชั่น (ไม่เคย) ลงตัว ปะการัง รางวัลชนะเลิศ ชัยชนะของบุญยืน กฤติศิลป์ ศักดิ์ศิริ รางวัลรองชนะเลิศ เหตุการณ์สามัญ (กรณีศึกชิงปลากระป๋อง) นพดล พลกูล รางวัลรองชนะเลิศ กล่องสมบูรณ์แบบ วุฒินันท์ ชัยศรี รางวัลชมเชย คนคิดเลข โฆษิต มโนมัยอุดม รางวัลชมเชย ใครผิด? จิตประภัสสร รางวัลชมเชย ใจในใจ ชมัยพร มาลัยทัต รางวัลชมเชย นายหน้ากับที่ดินบนดวงจันทร์ รติธรณ ใจห้าว รางวัลชมเชย ในหมอก วัฒน์ ยวงแก้ว รางวัลชมเชย มือฉกภาพเขียน จันทรา รัศมีทอง รางวัลชมเชย รูรั่วที่พื้นรองเท้าผ้าใบ กวี ศรีธรรมานุกูล รางวัลชมเชย สารภีตีครู บุหลันบัณรสี รางวัลชมเชย อะไรก็ช่าง สุริยา แดนลำโขง รางวัลชมเชย


5 2. เสื้อคลุมของผู้พัน ศิริพงศ์ หนูแก้ว วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ปีพ.ศ.2561 ตารางที่ 2 แสดงข้อมูลที่นำมาใช้ในการวิจัย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง รางวัลที่ได้รับ เสื้อคลุมของผู้พัน ศิริพงศ์ หนูแก้ว รางวัลชนะเลิศ ไม่มีหมาป่าตัวไหนเป็นมังสวิรัติ ปะการัง รางวัลรองชนะเลิศ เราอยู่ที่สี่แยกไฟแดงวิฑูรอุทิศ 4 จันทร์ เดือนแรม รางวัลรองชนะเลิศ เกี่ยวกับฟันซี่นั้น นทธี ศศิวิมล รางวัลชมเชย คฤหาสน์ของพยาธิตาบอด กวี ศรีธรรมานุกูล รางวัลชมเชย จำรัสรอรัก นฤพนธ์ สุดสวาท รางวัลชมเชย ชายชรากับปลาในลำธาร ชิด ชยากร รางวัลชมเชย ชิ้นส่วนของความขัดแย้ง ธารา ศรีอนุรักษ์ รางวัลชมเชย ดาวส่องเมือง รมณ กมลนาวิน รางวัลชมเชย ยินดีต้อนรับสู่ประภาคาร เจษฎา กลิ่นยอ รางวัลชมเชย โรงทอผ้าของมะลิ นงเยาว์ รางวัลชมเชย อย่าขวางประตู จันทรา รัศมีทอง รางวัลชมเชย อวนจับนาค รติธรณ ใจห้าว รางวัลชมเชย 3. โลกที่เราทิ้งไว้ข้างหลัง โศภนิศ นามศิริ วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ปีพ.ศ.2562 ตารางที่ 3 แสดงข้อมูลที่นำมาใช้ในการวิจัย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง รางวัลที่ได้รับ โลกที่เราทิ้งไว้ข้างหลัง โศภนิศ นามศิริ รางวัลชนะเลิศ ซอยตัน ปาริชาติ คุ้มรักษา รางวัลรองชนะเลิศ ปลากัดลายธงชาติ อุเทน พรมแดง รางวัลรองชนะเลิศ คำสั่งจากดวงวิญญาณ จันทรา รัศมีทอง รางวัลชมเชย คำอธิบายรายวิชา มิ่งมนัสชน จังหาร รางวัลชมเชย เช้าวันอาทิตย์ที่แสนเศร้า รมณ กมลนาวิน รางวัลชมเชย บนรอยต่อของเปลือกโลก เสาวรี รางวัลชมเชย แผนลดน้ำหนักครูดาวเรือง ถนอม ขุนเพ็ชร์ รางวัลชมเชย


6 ตารางที่ 3 แสดงข้อมูลที่นำมาใช้ในการวิจัย (ต่อ) ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง รางวัลที่ได้รับ แมวดำตัวนั้น พรรษชล รัตนคงวิพุธ รางวัลชมเชย เสรีสิบสี่เส้นบรรทัด พัชรพร ศุภผล รางวัลชมเชย อำนาจ วุฒินันท์ ชัยศรี รางวัลชมเชย โอรังอัสลีกับผีร้ายแห่งเทือกเขาบรรทัด กวี ศรีธรรมานุกูล รางวัลชมเชย The Selection : อุปกรณ์คัดแยก มนุษย์ รตี รติธรณ รางวัลชมเชย 4. สิ่งที่รออยู่หลังเส้นชัย วิโรจน์สุทธิสีมา วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ปีพ.ศ.2563 ตารางที่ 4 แสดงข้อมูลที่นำมาใช้ในการวิจัย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง รางวัลที่ได้รับ สิ่งที่รออยู่หลังเส้นชัย วิโรจน์ สุทธิสีมา รางวัลชนะเลิศ พลเมืองดี วุฒินันท์ ชัยศรี รางวัลรองชนะเลิศ เส้นแบ่ง วัฒน์ ยวงแก้ว รางวัลรองชนะเลิศ ขบวนการฟักทอง โต้หมู รางวัลชมเชย คราบที่ยังลอกออกไม่หมด พยุงศักดิ์ แบบอย่าง รางวัลชมเชย แค่ผ้าเช็ดเท้า ชิด ชยากร รางวัลชมเชย ใครจะเก็บซากหมาตัวนั้น สุวัณนา รางวัลชมเชย ซากดึกดำบรรพ์ในพิพิธภัณฑ์ไม่มีชื่อ จักษณ์ จันทร รางวัลชมเชย นครลิง ขัน สีผา รางวัลชมเชย เมล็ดพันธุ์ พิณพิพัฒน ศรีทวี รางวัลชมเชย แว่วข่าวคราวว่าข้าวแข็ง พัชรพร ศุภผล รางวัลชมเชย สุนัขนำทาง แพรพลอย วนัช รางวัลชมเชย เสียงร่ำไห้จากหิมพานต์ รตี รติธรณ รางวัลชมเชย


7 5. มือเย็น วัฒน์ ยวงแก้ว วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ปีพ.ศ.2564 ตารางที่ 5 แสดงข้อมูลที่นำมาใช้ในการวิจัย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง รางวัลที่ได้รับ มือเย็น วัฒน์ ยวงแก้ว รางวัลชนะเลิศ นาฏกรรมบนผืนน้ำในค่ำคืนที่เสียง นั้นเลือนหายไป วสุวัต รางวัลรองชนะเลิศ ประชาธิปไตยที่อยู่ในกล่อง วรารัฐ วจนะวิศิษฎ์ รางวัลรองชนะเลิศ กุญแจสำรอง พยุงศักดิ์ แบบอย่าง รางวัลชมเชย คนละโลกเดียวกัน โต้หมู รางวัลชมเชย ย้อนกลับไปดูภาพ VAR กันอีกครั้ง มิ่งมนัสชน จังหาร รางวัลชมเชย ลึกลงไปใต้ระดับพื้นดิน อุเทน พรมแดง รางวัลชมเชย สเปโร โซนาตา บทเพลงของคนจร รมณ กมลนาวิน รางวัลชมเชย สะพานสองฝั่ง แพรพลอย วนัช รางวัลชมเชย หนึ่งกิโลเมตรโดยประมาณ ปรัชญา พงษ์พานิช รางวัลชมเชย หลักกิโลเมตรที่ประชาธิปไตย น.ว.ก. รางวัลชมเชย เหลี่ยมหลอก ถนอม ขุนเพ็ชร์ รางวัลชมเชย องก์ที่ 3 วุฒินันท์ ชัยศรี รางวัลชมเชย 1.4 วิธีการดำเนินการวิจัย 1.4.1 ขั้นรวบรวมข้อมูล 1.4.1.1 รวบรวมวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า จำนวน 5 เล่ม 65 เรื่อง 1.4.1.2 รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 1) เอกสารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสั้นและวรรณกรรม 2) เอกสารที่เกี่ยวข้องกับวรรณกรรมการเมือง 3) เอกสารที่เกี่ยวข้องกับวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า 4) เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดทางการเมืองและสังคม 1.4.1.3 รวบรวมงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ 1) งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์เรื่องสั้นการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า 2) งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดด้านการเมืองและสังคมที่ปรากฏในวรรณกรรม


8 3) งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ภาพสะท้อนสังคมในวรรณกรรมรางวัลพาน แว่นฟ้า 1.4.2 ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล 1.4.2.1 ศึกษาแนวคิดทางการเมืองและสังคมที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัล พานแว่นฟ้าระหว่างพ.ศ.2560-2564 1.4.2.2 ศึกษาภาพสะท้อนทางสังคมในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ระหว่างพ.ศ.2560-2564 1) ภาพสะท้อนด้านสังคม 1.1) ภาพสะท้อนปัญหาสังคม 1.2) ภาพสะท้อนค่านิยม 2) ภาพสะท้อนด้านการเมือง 3) ภาพสะท้อนด้านครอบครัว 4) ภาพสะท้อนด้านการศึกษา 5) ภาพสะท้อนด้านเศรษฐกิจ 6) ภาพสะท้อนด้านศาสนา 1.4.3 ขั้นสรุป อภิปรายผล และเสนอแนะ 1.4.3.1 สรุปผลการวิจัย 1.4.3.2 อภิปรายผลการวิจัย 1.4.3.3 ข้อเสนอแนะ 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ เรื่องสั้น หมายถึง เรื่องเล่าหรือเรื่องสมมติที่เขียนขึ้นประกอบด้วยตัวละคร เหตุการณ์ที่ไม่ มากและไม่ซับซ้อน อีกทั้งต้องเสนอแนวคิดสำคัญเพียงเรื่องเดียว และเป็นเรื่องที่ผู้อ่านสามารถอ่านจบ ได้ในระยะเวลาอันสั้น วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า คือ รางวัลพานแว่นฟ้า เป็นรางวัลที่จัดขึ้น เพื่อมอบให้แก่ผู้ ชนะในการเข้าประกวดวรรณกรรมเรื่องสั้นหรือบทกวีการเมือง โดยรัฐสภาจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนการ ปกครองระบอบประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และส่งเสริมให้ ประชาชนได้ใช้เสรีภาพทางการเมือง อีกทั้งเพื่อสืบสาน สร้างสรรค์วรรณกรรมการเมือง ให้มีส่วนปลุก จิตสำนึกประชาธิปไตย (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2560: 5)


9 ภาพสะท้อนสังคมไทยในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า คือ ความสัมพันธ์ ระหว่างวรรณกรรมกับสังคม วรรณกรรมเป็นภาพสะท้อนของสังคม โดยมิใช่เป็นการสะท้อนอย่าง บันทึกเหตุการณ์ทำนองเอกสารประวัติศาสตร์ แต่เป็นภาพสะท้อนประสบการณ์ของผู้เขียนและ เหตุการณ์ส่วนหนึ่งของสังคม วรรณกรรมจึงมีความเป็นจริงของสังคมสอดแทรกอยู่ ซึ่งปรากฏใน วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้าระหว่างพ.ศ.2560-2564 (ตรีศิลป์ บุญขจร, 2542: 5-7) 1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.6.1 ทำให้ทราบถึงแนวคิดทางการเมืองและสังคมที่ปรากฏในเรื่องสั้นวรรณกรรมรางวัล พานแว่นฟ้าระหว่างพ.ศ.2560-2564 1.6.2 ทำให้ทราบถึงภาพสะท้อนสังคมที่ปรากฏในเรื่องสั้นวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ระหว่างพ.ศ.2560-2564


10 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษากลวิธีการเล่าเรื่อง และภาพสะท้อนสังคมในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ระหว่างพ.ศ.2560-2564 ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้า เรียบเรียงเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง มีข้อมูล ดังต่อไปนี้ 2.1 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2.1.1 เอกสารเกี่ยวกับเรื่องสั้น 2.1.1.1 ความหมายของเรื่องสั้น 2.1.1.2 บทบาทของเรื่องสั้น 2.1.1.3 ลักษณะและองค์ประกอบของเรื่องสั้น 2.1.2 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาวรรณกรรมการเมืองและวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า 2.1.2.1 การศึกษาวรรณกรรมกับสังคม 2.1.2.2 การศึกษาทรรศนะในวรรณกรรม 2.1.2.3 การศึกษาวรรณกรรมการเมือง 2.1.2.4 ความรู้เกี่ยวกับวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า 2.1.3 เอกสารเกี่ยวกับแนวคิดทางการเมืองและสังคม 2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.2.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์เรื่องสั้นการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า 2.2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแนวคิดทางการเมืองและสังคม 2.2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับภาพสะท้อนสังคมและวรรณกรรมการเมือง 2.1 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2.1.1 เอกสารเกี่ยวกับเรื่องสั้น 2.1.1.1 ความหมายของเรื่องสั้น เรื่องสั้นจัดได้ว่าเป็นวรรณกรรมประเภทหนึ่ง ที่ฉายภาพสะท้อนสภาวะทางสังคมแห่งยุคสมัย และได้นำเสนอความเป็นไปของสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมประเพณี รวมถึงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัญหาของสังคมที่เห็นอยู่รอบด้านได้อย่างตรงไปตรงมาชัดเจน และตรงประเด็น จึงมีผู้รู้ตลอดจน นักวิชาการได้ให้ความหมายของเรื่องสั้นไว้เป็นจำนวนมาก ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูล มานำเสนอไว้ดังนี้


11 เมื่อ (ถวัลย์ มาศจรัส, 2540: 19) กล่าวไว้ว่า เรื่องสั้น คือ งานเขียนในรูปแบบของบันเทิงคดี ที่เสนอความคิดสำคัญเพียงความคิดเดียว เหตุการณ์เดียวในเวลาจำกัด ส่วน (เสาวนีย์ สิกขาบัณฑิต, 2540: 94) กล่าวไว้ว่า เรื่องสั้นว่าเป็นงานเขียนที่มีส่วนประกอบ ต่างๆ มีลักษณะคล้ายกับนวนิยาย จะแตกต่างกันตรงที่เรื่องสั้นจะมีความยาวน้อยกว่า และแนวคิด หลักจะไม่ซับซ้อนเหมือนนวนิยาย โดยปกติจะมีแนวคิดหลักเดียวเท่านั้น ตัวละครจะมีน้อย อาจมี เฉพาะตัวละครสำคัญโดยไม่มีตัวละครรอง หรือตัวประกอบเลย บทสนทนาและคำบรรยายกระชับ สิ่งใดไม่จำเป็นก็จะตัดออกไป ทั้งนี้(เจือ สตะเวทิน, 2510: 14) กล่าวไว้ว่า เรื่องสั้นเป็นวรรณคดีประเภทร้อยแก้วที่อาศัย ศิลปะและเทคนิคในการเขียนต่างกับวรรณคดีร้อยแก้วประเภทอื่นๆ เรื่องสั้นจึงมีลักษณะเฉพาะพิเศษ เรื่องสั้นมีลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนกับเรื่องอื่นใด เรื่องสั้นเป็นตัวของตัวเองโดยแท้ อีกทั้ง (เปลื้อง ณ นคร, 2514: 71) กล่าวไว้ว่า เรื่องสั้น หมายถึง เรื่องซึ่งบรรจุคำประมาณ 1,000 คำ ถึง 10,000 คำ เป็นเรื่องที่อ่านรวดเดียวจบในระยะเวลาตั้งแต่ 5 นาทีถึงอย่างมาก 40 นาที และเรื่องสั้นต้องมีเค้าที่กระชับมีพฤติการณ์สำคัญอย่างเดียวโดยเฉพาะ และ (ถวัลย์ มาศจรัส, 2545: 113) กล่าวไว้ว่า เรื่องสั้นเป็นรูปแบบชนิดหนึ่งของบันเทิงคดี ร้อยแก้ว เรื่องสั้นคือเรื่องที่มีขนาดสั้น ในต่างประเทศกำหนดว่าเป็นงานเขียนตั้งแต่1,000-10,000 คำ ของไทยกำหนดไว้ว่าประมาณ 5-8 หน้าหนังสือปกอ่อน เรื่องสั้นนี้ยังมีเรื่องสั้นขนาดยาว เช่น ยาว 4 ตอน และยังมีเรื่องสั้น คือ ประมาณ 1 หน้ากระดาษฟลุสแกบ ฉะนั้นในเรื่องขนาดความยาวจึงไม่มี กำหนดที่ตายตัวนัก แต่ก็มักจะไม่ยาวจนเกินไป มิฉะนั้นจะกลายเป็นนวนิยาย 2.1.1.2 บทบาทของเรื่องสั้น เรื่องสั้นเป็นวรรณกรรมที่มีลักษณะสำคัญเช่นเดียวกับวรรณกรรมประเภทอื่น คือมีบทบาท ต่อการเปลี่ยนแปลงด้านสังคม ความคิด และค่านิยมของผู้อ่าน ดังแนวคิดที่สรุปได้ดังนี้ เมื่อ (นพพร ประชากุล, 2552: 189-190) กล่าวไว้ว่า เรื่องสั้นก็เป็นวรรณกรรมประเภทหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นกระจกส่องสะท้อนสภาพความเป็นไปของมนุษย์และสังคมอย่างเที่ยงตรงตามความเป็น จริงไม่ปรุงแต่งสี ส้นให้สวยงามเพื่อกระตุ้นอารมณ์เพ้อฝืน สำหรับเรื่องสั้นที่เป็นวรรณกรรมเพื่อชีวิตก็ จะตีแผ่ให้เห็นความเลวร้ายในสังคมเพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกที่ดีแก่ผู้อ่านโดยผู้เขียนมีเจตนาให้เรื่องสั้น เป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงสังคม หรือช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในยุคนั้น ทั้งนี้(มาโนช ดินลานสกูล, 2547: 21) ได้กล่าวว่า ได้ทบทวนรากเหง้าและพันธกิจของ วรรณกรรม เยาวชนของไทย และกล่าวว่า เป็นที่ยอมรับกันว่าวรรณกรรมมีอิทธิพลต่อสังคม การสร้างสรรค์วรรณกรรมควรจะได้ทบทวนเกี่ยวกับสารัตถะที่จะนำเสนอ เพื่ออาศัยอำนาจของ วรรณกรรมเป็นแนวทางอธิบายรากเหง้าของวิถีสังคมไทยที่แท้จริงและงดงามแก่เยาวชน ให้เป็น


12 ทางเลือกหรือเป็นหนทางไปสู่ความเข้าใจในประวัติศาสตร์วิถีดีงามแก่เยาวชน และเพื่อกำหนดวิถีชีวิต ของตัวเองให้เหมาะสม ไม่ว่าสังคมจะได้พัฒนาไปในทิศทางใดก็ตาม และ (สุดารัตน์ เสรีวัฒน์, 2520: 13-14) กล่าวไว้ว่า ได้ศึกษาลักษณะของเรื่องสั้นไทยและ กล่าวว่าเรื่องสั้น มีบทบาทในการแสดงความคิดเห็นหรือสะท้อนภาพสังคมชีวิตความเป็นอยู่ของคน ในสังคมโดยผ่าน แก่นเรื่อง 4 ชนิด คือ 1. แก่นเรื่องแสดงทรรศนะผู้แต่งมุ่งเสนอหรือแสดงความคิดเห็นต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น สภาพ ความเป็นอยู่ของผู้คน เหตุการณ์บ้านเมือง เป็นต้น แก่นเรื่องแสดงทรรศนะต่อค่านิยมในสังคม เช่น ยกย่องผู้ที่ได้รับการศึกษาสูงว่าเป็นบุคคลที่น่านับถือ 2. แก่นเรื่องแสดงอารมณ์ ความรู้สึกของตัวละคร เช่น ความน้อยใจในโชกชะตา 3. แก่นเรื่องแสดงพฤติกรรม ผู้แต่งมุ่งเสนอพฤติกรรมของตัวละคร เช่น ทรรศนะต่อคุณธรรม ในเรื่องกตัญญูรู้คุณ 4. แก่นเรื่องแสดงสภาพและเหตุการณ์ เช่น สภาพความยากจนของชาวชนบทในหมู่บ้านหนึ่ง หรือชีวิตที่ขมขื่นของกรรมกรในโรงงาน สรุปได้ว่าเรื่องสั้นเป็นวรรณกรรมชนิดหนึ่งที่มีเนื้อหารวบรัตมีแด่นเรื่องเพียงหนึ่งเดียวและ มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างจิตสำนึกอันดีงามให้แก่ผู้อ่าน โดยชี้แนะหรือกำหนดแนวทางการ ดำเนินชีวิตและวิถีการคิด ซึ่งทำให้ผู้อ่านมองเห็นคุณค่าของชีวิต นอกจากนี้เรื่องสั้นยังมีบทบาทสำคัญ ในการเคลื่อนไหวทางสังคมโดยสะท้อนสภาพสังคมและสถานการณ์บ้านเมืองในยุคสมัยนั้นเพื่อให้ ผู้อ่านเกิดความสำนึกอันดี ผู้เขียนจะแสดงความคิดเห็นต่างๆ ในงานเขียนผ่านแก่นเรื่องหรือตัวละคร โน้มน้าวผู้อ่านให้เกิดความรู้สึกร่วมกันหรือกระทำตาม 2.1.1.3 ลักษณะและองค์ประกอบของเรื่องสั้น ผู้วิจัยได้ศึกษางานเขียนประเภทเรื่องสั้นที่มีพัฒนาการมายาวนานทั้งด้านรูปแบบ และเนื้อหา และกลวิธีการประพันธ์ทำให้เรื่องสั้นมีความหลากหลาย จึงมีผู้รู้และนักวิชาการได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับ ลักษณะและองค์ประกอบของเรื่องสั้นไว้ ดังนี้ เมื่อ (เปลื้อง ณ นคร, 2541: 129-130) ได้กล่าวถึงเรื่องสั้นตามความคิดของ Esenwein ไว้ดังนี้ 1. ต้องมีพฤติการณ์สำคัญอันเป็นต้นเรื่องแต่เพียงอย่างเดียว กล่าวคือ ในการเปิดเรื่องของ เรื่องสั้นจะให้มีเหตุการณ์หลายอย่างไม่ได้ ต้องมีพฤติการณ์สำคัญที่จะทำให้เรื่องดำเนินต่อไปเพียง อย่างเดียวเท่านั้น ข้อนี้จะเห็นว่าผิดกับนวนิยายมาก เพราะในนวนิยายนั้นมักจะมีพฤติการณ์ต่างๆ มาประชุมกันหลายอย่าง ซึ่งถ้าอ่านนวนิยายแล้ว จะเห็นได้ทันทีว่านักเขียนจะต้องเบิกตัวละครออกมา หลายตัวกว่าจะได้ดำเนินเรื่องกันอย่างจริงจัง


13 2. ต้องมีตัวละครที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในห้องเรื่องเพียงตัวเดียวเท่านั้น ตัวละครประกอบ อื่นๆ จะมีก็โดยจำเป็น และเกี่ยวข้องกับตัวสำคัญจริงๆ และตามปกติแล้วไม่ควรมีเกิน 5 ตัว 3. ต้องมีจินตนาการหรือมโนคติ ซึ่งได้แก่ความสามารถที่จะสร้างภาพขึ้นในดวงจิตทั้งของ นักประพันธ์และของผู้อ่านก่อนที่จะประพันธ์เรื่อง นักประพันธ์จะต้องนึกเห็นภาพของท้องเรื่อง ให้แจ่มใสแล้วเขียนพรรณนาให้อ่านแล้วนึกเห็นภาพได้อย่างที่นักประพันธ์เห็น 4. ต้องมีพล็อตหรือการผูกเค้าเรื่อง ซึ่งมักประกอบด้วยปมหรือข้อความที่ทำให้ผู้อ่านฉงนและ อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรต่อไป แล้วดำเนินเรื่องพาผู้อ่านให้ที่งหรือสนใจยิ่งขึ้นทุกทีจนถึงยอดของเรื่อง ซึ่งเรียกกันว่า ไคลแมกซ์ (Climax) 5. ต้องมีความแน่น เรื่องสั้นมีเนื้อที่น้อยสิ่งที่เราจะเขียนลงไปต้องมีประโยชน์ต่อเรื่องต้อง เขียนอย่างรัดกุมเท่าที่จำเป็น ฉาก (Setting) การให้บทตัวละคร (Characterization) คำพูดหรือกิริยา อาการต่างๆ จะเขียนพุ่มเฟือยไม่ได้ ต้องพยายามหาวิธีเขียนให้ใช้คำน้อยแต่ได้ความมา 6. ต้องมีการจัดรูป คือต้องวางรูปเรื่องโดยถือตัวละครเป็นใหญ่ ให้พฤติการณ์เกิดมาจาก ตัวละคร จะต้องลำดับพฤติการณ์ให้มีชั้นเชิงชวนอ่าน จะเขียนอย่างจดหมายเหตุประจำวันไม่ได้ 7. ข้อสุดท้าย เรื่องจะต้องให้ความรู้สึกโดยเฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใด เมื่อผู้อ่านอ่านจบ ควรจะ ได้รับรสหรือเกิดอารมณ์ขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นความรู้สึกยินดีตื่นเต้น สยดสยองหมดหวัง ขบขัน หรือเศร้าใจก็แล้วแต่ ส่วน (กาญจนา นาคสกุล และคณะ, 2521: 141) กล่าวไว้ว่า เรื่องสั้นไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบ หรือกลวิธีการแต่งที่แน่นอนตายตัว ไม่จำเป็นต้องมีขมวดปมตอนจบเรื่องก็ได้ และไม่จำเป็นต้องมี แนวคิดเพียงแนวคิดเดียว การบรรยายฉากจะทำให้เสร็จสิ้นเพื่อให้เข้าใจได้ ไม่จำเป็นต้องมีตัวละคร สำคัญมากนัก มักจะปล่อยตัวละครออกมาโดยเร็ว อีกทั้ง (ธวัช ปุณโณทก, 2527: 70-76) ได้ให้แนวความคิดในการเขียนเรื่องสั้นและลักษณะ สำคัญไว้ดังนี้ 1. โครงเรื่อง (Plot) ต้องประกอบด้วยความชัดแย้ง (Conflict) อุปสรรค (Obstacle) และ การต่อสู้ (Struggle) ส่วนสำคัญในการสร้างโครงเรื่องมี 3 ตอน คือ 1.1 ตอนเริ่มเรื่อง (Exposition) 1.2 ตอนดำเนินเรื่อง (Complication) 1.3 ตอนจบเรื่องหรือปิดเรื่อง (Ending) 2. แก่นของเรื่อง (Theme) หรือแนวคิดมี 4 ลักษณะ คือ 2.1 แก่นของเรื่องแสดงทัศนะ 2.2 แก่นของเรื่องแสดงอารมณ์ 2.3 แก่นของเรื่องแสดงพฤติกรรม


14 2.4 แก่นของเรื่องแสดงภาพและเหตุการณ์ 3. ตัวละคร (Character) ตัวละครในเรื่องสั้นควรมีจำนวนน้อย อาจจะตั้งแต่ 1 ถึงประมาณ 5 ตัว เพราะเหตุที่ว่าหากมีตัวละครมากเกินไป จะเกิดทัศนะและพฤติกรรมหลายรูปแบบ ซึ่งมีผล ทำให้โครงเรื่องชับซ้อนและสับสนจนจุดสำคัญของเรื่องพร่าไปไม่เป็นเอกภาพ 4. บทสนทนา (Dialogue) การมีบทสนทนานี้เป็นการสร้างบรรยากาศให้เรื่องราวดูเหมือน จริงมากขึ้น ซึ่งผู้เขียนสามารถที่จะเสนอได้ ดังนี้ 4.1 ภาษาพูดที่สมจริงสอดคล้องกับตัวละคร บุคลิก และสถานการณ์ของเรื่อง 4.2 แสดงให้เห็นอุปนิสัยของตัวละครได้เด่นชัด 4.3 เสนอแนวคิด คติธรรม ที่ผู้เขียนจะให้แก่ผู้อ่าน โดยผ่านทัศนะของตัวละคร สู่ผู้อ่าน ซึ่งผู้อ่านจะไม่รู้สึกต่อต้านที่ผู้เขียนสอนเขา 4.4 แสดงให้เห็นถึงบรรยากาศที่สมจริงและสื่อความหมายได้อย่ารัดกุม 5. ฉาก (Setting) คือ สถานที่ เวลา และบรรยายในท้องเรื่องที่ผู้เขียนบอกให้ทราบว่า เหตุการณ์นั้น (เรื่องราว) เกิดขึ้น ณ ที่ใด เมื่อไร โดยปกติแล้วเรื่องสั้นจะไม่นิยมให้รายละเอียดของ สถานที่ เวลา และบรรยากาศมากเกินไป มักจะบรรยายอย่างตรงไปตรงมา และกระชับ การใช้ฉาก อย่างสมจริง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจเหตุการณ์และเวลาที่กำหนดในเนื้อเรื่อง ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านเข้าถึง บรรยากาศ (ฉาก) ในท้องเรื่องได้เป็นอย่างดี 6. การปิดเรื่อง (Ending) การปิดเรื่องหรือการจบเรื่องนั้นเป็นส่วนหนึ่งของโครงเรื่อง (Plot) แต่ในการเขียนเรื่องสั้นโดยทั่วไปแล้วเน้นการจบเรื่องอยู่มาก เพราะเหตุว่า จุดเด่นของเรื่องสั้น ไม่เพียงแต่จะมีแก่นของเรื่องดีเท่านั้น ยังต้องมีกลวิธีในการปิดท้ายเรื่องอย่างดีอีกด้วย การปิดเรื่อง ที่นิยมเขียนกันมี 3 วิธี 6.1 การปิดเรื่องแบบหักมุม (Twist Ending) หรือแบบพลิกความคาดหมาย 6.2 การปิดเรื่องแบบโศกนาฏกรรม (Tragic Ending) 6.3 การปิดเรื่องแบบเป็นจริงในชีวิต (Realistic Ending) นอกจากลักษณะเด่นของเรื่องสั้นแล้ว องค์ประกอบของเรื่องสั้นนั้นก็มีความสำคัญต่อผู้อ่าน เพราะเป็นรายละเอียดของเรื่องที่จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น องค์ประกอบที่สำคัญของเรื่องสั้น ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางเรื่องสั้นหลายท่าน สามารถสรุปได้ว่า เรื่องสั้นมีองค์ประกอบที่ สำคัญคือ


15 1. แก่นเรื่อง เมื่อ (รัญจวน อินทรกำแหง, 2518: 49) กล่าวไว้ว่า แก่นเรื่องเป็นจุดสำคัญที่ผู้เขียนต้องการ ให้ผู้อ่านติดตามในจุดนั้น แม้เมื่อผู้อ่านจบเรื่องแล้วหรืออีกนัยหนึ่งจุดนั้นเป็นหัวใจของเรื่อง เป็นปรัชญาหรือแนวคิดความเชื่อของผู้เขียนที่แอบแฝงไว้ในเรื่องนั้นๆ ส่วน (สุริวงศ์ พงศไพบูลย์, 2520: 94) กล่าวไว้ว่า แก่นเรื่องเป็นทัศนะหรือสาระที่ผู้เขียน ต้องการ ส่งสารให้เราทราบโดยใช้โครงเรื่องและตัวละครเป็นสื่อ ใช้บทสนทนา ฉากและบรรยากาศ เป็นเครื่องปรุงแต่ง และ (ประทีป วาทิกทินกร และสมพันธุ์ เลขะพันธุ์, 2522: 39) กล่าวไว้ว่า สารัตถะของเรื่อง หมายถึง แนวคิด ทัศนะหรือเจตนารมณ์ของผู้แต่งที่ต้องการสื่อสารไปยังผู้อ่านบางทีผู้แต่งอาจจะบอก ตรงๆ หรือให้ตัวละครเป็นผู้บอก หรืออาจปรากฏชื่อเรื่อง แต่โดยมากแล้วผู้แต่งจะไม่บอกตรงๆ ผู้อ่าน ต้องค้นหาสารัตถะเอาเองต้องการสื่อสารไปยังผู้อ่านจากที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า แก่นเรื่อง คือ แนวความคิดที่ผู้เขียน 2. โครงเรื่อง เมื่อ (วิภา กงกะนันทน์, 2523: 92-93) กล่าวไว้ว่า โครงเรื่อง คือ วิธีการเรียงลำดับเหตุการณ์ ในโครงเรื่องว่า ผู้เขียนเริ่มตันตรงส่วนไหนของเรื่อง ต่อไปเป็นส่วนความคิดหรือเหตุการณ์ใด และจบ เรื่องอย่างไร และ (เถกิง พันธุ์เถกิงอมร, 2526: 118) กล่าวไว้ว่า โครงเรื่องหรือพล็อตเรื่อง คือ อุบาย ที่ผู้เขียนกำหนดแต่แรกว่าจะเปิดเรื่องอย่างไร จึงจะสร้างอุปสรรคให้เกิดแก่ตัวละครอย่างไร จะให้ตัว ละครมีความขัดแย้งกันอย่างไร เมื่อไร เมื่อสร้างอุปสรรคและความคิดขัดแย้งแล้ว จะต้องหากลวิธีใน การแก้อุปสรรคและความขัดแย้งนั้นให้แก่ตัวละครด้วยจนกระทั่งตอนจบเรื่องหรือปิดเรื่องจะปิดเรื่อง อย่างไรจึงจะดีและเหมาะสมที่สุด จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า โครงเรื่อง คือ วิธีการเรียงลำดับ ความคิดหรือเหตุการณ์ที่ผู้แต่งต้องการหรือมุ่งหมายให้ผู้อ่านได้ติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ 3. ตัวละครและบทสนทนา เมื่อ (รื่นฤทัย สัจจพันธุ์, 2526: 53) กล่าวไว้ว่า จะต้องพิจารณาดูการสร้างตัวละครของ ผู้เขียนว่าผู้เขียนให้ภูมิหลังของตัวละครอย่างไร ความคิดของตัวละครสอดคล้องกับภูมิหลังที่ผู้เขียน วางไว้หรือไม่ ผู้อ่านจัดลำดับได้ว่าใครเป็นตัวละครเอก ใครเป็นตัวละครรอง ตัวละครต้องไม่ตาย ต้อง มีชีวิตชีวา มีการเปลี่ยนแปลงไม่หยุดอยู่กับที่ ส่วน (เถกิง พันธุ์เถกิงอมร, 2541: 300-305) กล่าวไว้ว่า ตัวละครเป็นองค์ประกอบสำคัญของ เรื่องสั้น เพราะหากไม่มีตัวละครก็ไม่สามารถมีโครงเรื่องได้ ตัวละครต้องเป็นผู้แสดงบทบาทในเรื่องสั้น


16 จะมีตัวละครน้อย คือ มีตัวละครเอกไม่เกิน 1-2 ตัว ส่วนบทสนทนาที่ดีนั้นจะต้องมีความสมจริง และ สอดคล้องกับฐานะ และลักษณะนิสัยของตัวละครจะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจนิสัยใจคอของตัวละครช่วยให้ เรื่องที่อ่านน่าสนใจ มีชีวิตชีวา โดยเฉพาะบทสนทนาที่มีการตอบโต้กันหรือบทสนนาที่มีอารมณ์ขัน ทั้งนี้(เปลื้อง ณ นคร, 2515: 70) กล่าวไว้ว่า การเขียนบทสนทนาของตัวละครที่ดีจะต้องทำ ให้ตัวละครพูดโดยตัวละครเอง อย่าให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเป็นคำพูดของนักเขียน จากที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่าตัวละครเป็นองค์ประกอบสำคัญของเรื่องที่จะขาดไม่ได้ ตัวละคร ต้องเหมาะสมกับสถานการณ์โดยต้องแทรกบทสนทนาควบคู่กันไปในเนื้อเรื่องด้วย เพราะบทสนทนา จะเป็นการดำเนินเรื่องให้เป็นไปตามที่ผู้เขียนกำหนด 4. ฉากและบรรยากาศ เมื่อ (ประทีป วาทิกทินกร และสมพันธุ์ เลขะพันธุ์, 2522: 39) กล่าวไว้ว่า ฉาก หมายถึง สถานที่และเวลาที่เกิดขึ้นในเรื่องสั้น เรื่องบางเรื่องอาจะไม่เน้นฉากเป็นสำคัญ แต่บางเรื่องก็ใช้ฉากใน การดำเนินเรื่อง ส่วน (วิภา กงกะนันทน์, 2523: 113) กล่าวไว้ว่า ฉาก ได้แก่ ภาวะสิ่งแวดล้อมทั้งหมดของ เรื่องมิใช่สิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่เราเห็นเมื่อเข้าไปชมการแสดง แต่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใน เรื่องสั้น ส่วน (เปลื้อง ณ นคร, 2515: 83) กล่าวไว้ว่า บรรยากาศ คือ กลิ่นอาย หมายถึง ศิลปกรรม หรือวรรณศิลป์ ซึ่งบันดาลให้ผู้เห็นหรือผู้ฟังบังเกิดอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง อีกทั้ง (เถกิง พันธุ์เถกิงอมร, 2526: 126) กล่าวไว้ว่า บรรยากาศ คือ กลิ่น เสียง แสง สี และ สัมผัสอื่นๆ ที่ก่อให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตาม หรือเห็นสภาพเหตุการณ์เด่นชัดยิ่งขึ้น การที่จะให้ฉาก และบรรยากาศสมเหตุสมผล ผู้เขียนจะต้องมีความรู้จริงและมีประสบการณ์เป็นอย่างมาก จากที่กล่าวมาแล้วอาจสรุปได้ว่า ฉากและบรรยากาศ คือ สิ่งแวดล้อมทั้งหมดของตัวละคร มีความสมจริงสมเหตุสมผล และสอดคล้องกับองค์ประกอบอื่นอย่างลงตัว และ (สายทิพย์ นุกุลกิจ, 2534: 206-211) กล่าวไว้ว่า องค์ประกอบสำคัญของนวนิยายและ เรื่องสั้นว่ามีส่วนประกอบของเรื่องในทำนองเดียวกัน ซึ่งอาจพอสรุปได้ว่ามีส่วนประกอบต่างๆ ดังนี้ 1. แก่นเรื่อง (Theme) คือ แนวความคิดหรือจุดสำคัญของเรื่องที่ผู้แต่ง มุ่งจะสื่อให้ผู้อ่าน ทราบในเรื่องสั้นมักจะมีแก่นเรื่องเพียงแก่นเดียวเนื่องจากมีขนาดที่จำกัด สำหรับนวนิยายนั้นแนวคิด ที่นำเสนอในเรื่องอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ แนวคิดเอก (Major Theme) และแนวคิดรอง (Minor Theme) 2. โครงเรื่อง (Plot) คือ เค้าโครงเรื่องที่ผู้แต่งกำหนดไว้ก่อนว่าจะแต่งเรื่องไปในทำนองใด จึงจะสามารถดึงดูดความสนใจของผู้อ่านให้ติดตามเรื่องอย่างตื่นเต้นและกระหายใคร่รู้ไปได้ตลอด


17 ทั้งเรื่อง ในนวนิยายนั้นอาจมีโครงเรื่องย่อยๆ อีกหลายโครงเรื่องแทรกซ้อนอยู่ภายในโครงเรื่องใหญ่ เพราะเป็นเรื่องที่มีขนาดยาว ส่วนลักษณะสำคัญของ โครงเรื่องนั้นจำเป็นต้องอาศัยกลวิธีการผูกปม การคลายปม และการหน่วงเหนี่ยว ตลอดจนการเปิด-ปิดเรื่อง และการดำเนินเรื่องที่ดีของผู้แต่ง การผูกปมที่ดีนั้นจะต้องประกอบไปด้วยความขัดแย้งและอุปสรรคด้วย 3. ตัวละคร (Character) คือ ผู้แสดงบทบาทสมมติตามที่ผู้แต่งกำหนดเรื่องสั้นนั้น โดยทั่วไป มักกำหนดให้ตัวละครในเรื่องมีน้อยตัว เพราะมุ่งแสดงแก่นของเรื่องเพียงแก่นเดียว ดังนั้นอาจจะมี ตัวละครเอกเพียงหนึ่งเดียวหรือสองตัว และมีตัวประกอบที่เป็นประโยชน์ต่อเรื่องจริงๆ อีกเพียง 2-3 ตัวเท่านั้น ตัวละครในนวนิยายอาจมีจำนวนได้ ไม่จำกัดสุดแล้วแต่ความเหมาะสมของผู้แต่ง สำหรับการแสดงลักษณะนิสัยของตัวละครนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ตัวละครประเภทตัว แบนหรือน้อยลักษณะ (Flat Character) กับตัวละครประเภทตัวกลมหรือหลายลักษณะ (Round Character) 4. บทสนทนา (Dialog) คือ ถ้อยคำที่ตัวละครใช้พูดจาโต้ตอบกันบทสนทนา อาจมีประโยชน์ ต่อการเขียนเรื่องสั้นช่วยทำให้เรื่องดำเนินไปได้โดยผู้แต่งไม่ต้องอธิบายให้มากมาย ช่วยสะท้อน บุคลิกภาพลักษณะเฉพาะตัวของตัวละคร หรือช่วยสร้างบรรยากาศ ของเรื่องให้เป็นธรรมชาติและ หลีกเลี่ยงความซ้ำชากไปในตัวด้วย บทสนทนาที่ดีต้องเหมาะสมกับบุคลิกของตัวละคร และต้องมี ความสมจริงคือเหมือนกับบุคคลในชีวิตจริงใช้พูดจากัน สำหรับนวนิยายบทสนทนาอาจเป็นเรื่องราว ทั่วๆ ไปที่อาจไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับเนื้อเรื่องเลยก็ย่อมได้ เพราะนวนิยายไม่มีข้อจำกัดในเรื่องขนาด และผู้แต่งอาจจะต้องการให้ผู้อ่านมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ของชีวิตและโลกอย่างกว้างขวาง ผู้แต่งจึงนิยมแทรกทัศนคติของตนที่มีต่อชีวิตและโลกไว้ในบทสนทนาของตัวละคร เพราะบทสนทนา เป็นการแสดงออกทางพฤติกรรมอย่างหนึ่งของตัวละครผู้แต่งจึงนิยมใช้บทสนทนาเป็นสื่อให้ผู้อ่าน เข้าใจอุปนิสัยใจคอของตัวละครโดยตรง 5. ฉาก (Setting) คือ สถานที่ที่เกิดเหตุการณ์ในเรื่อง ซึ่งหมายรวมถึงเวลาและสภาพ ที่แวดล้อมเหตุการณ์นั้นๆ ด้วย ในเรื่องสั้นส่วนมากฉากที่สำคัญมักจะมีกล่าวถึงเพียงฉากเดียว พร้อมกันนั้นก็มักกล่าวถึงสถานที่สำคัญพียงแห่งเดียวและกล่าวถึงระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ในเรื่อง ด้วยช่วงสั้นๆ เท่านั้น ส่วนนวนิยายโดยทั่วไป จะสร้างฉากเป็นส่วนประกอบของเรื่องเพื่อช่วยให้ผู้อ่าน เกิดความเข้าใจในเหตุการณ์และเวลาที่กำหนดไว้ในเนื้อเรื่องหรือช่วยกำหนดบุคลิกลักษณะของตัว ละคร ช่วยสื่อความคิดของผู้แต่งหรือช่วยให้เรื่องดำเนินไป และผู้แต่งมักให้รายละเอียดเกี่ยวกับฉาก ต่างๆ ในเรื่องมากกว่าเรื่องสั้นการสร้างฉากนั้น อาจจะใช้วิธีการบรรยายอย่างตรงไปตรงมาหรือ ใช้วิธีการพรรณนาและสัญลักษณ์ก็ได้ 6. บรรยากาศ (Atmosphere) คือ อารมณ์ต่างๆ ของตัวละครที่เกิดจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 และมีอิทธิพลทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตามไปด้วยการสร้างบรรยากาศ ทั้งเรื่องสั้นและนวนิยาย


18 จำเป็นต้องอาศัยรายละเอียดจากส่วนประกอบอื่นๆ ของเรื่องด้วยเช่น สิ่งของเครื่องใช้ สีหน้าท่าทาง เครื่องแต่งกาย และบทสนทนาของตัวละคร ตลอดจนเครื่องประกอบฉาก เป็นต้น เพราะสิ่งแวดล้อม เหล่านี้จะทำให้ตัวละครและผู้อ่านเกิดอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้แต่งต้องการได้ และเรื่องสั้น และนวนิยายที่ดีจะต้องมีฉากและบรรยากาศที่สมจริงและจะต้องสัมพันธ์และสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง จากการศึกษาลักษณะและองค์ประกอบของเรื่องสั้นพบว่าลักษณะและองค์ประกอบของ เรื่องสั้นได้มีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงเรื่อง แก่นเรื่อง ฉาก ตัวละคร บทสนทนา บรรยากาศ และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น 2.1.2 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับวรรณกรรมการเมืองและวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า การศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวกับวรรณกรรมและการศึกษาแนวคิดในการวิเคราะห์ภาพสะท้อน สังคมไทยในเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลพานแว่นฟ้าระหว่างพ.ศ.2560-2564 มีสาระโดยสรุป ดังนี้ 2.1.2.1 การศึกษาวรรณกรรมกับสังคม วรรณกรรมมีบ่อเกิดและได้รับอิทธิพลมาจากมนุษย์ในสังคม เพราะฉะนั้นสังคมกับ วรรณกรรมจึงมีส่วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และเรื่องสั้นนับได้ว่าเป็นวรรณกรรม อีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลและมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับสังคมด้วย การแสดงให้เห็นถึงภาพ สะท้อนของสังคม มีนักวิชาการหลายคนได้ให้ความหมายของวรรณกรรมและแสดงทัศนะ ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสังคมและวรรณกรรมไว้อย่างน่าสนใจ ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้ามาเพื่อเป็นแนว ทางการในศึกษาวิเคราะห์เรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ดังนี้ ดังที่ (ตรีศิลป์ บุญขจร, 2523: 21) กล่าวไว้ว่า อิทธิพลจากสังคมทั้งด้านวรรณกรรม ขนบประเพณี ศาสนา ปรัชญา และการเมือง สภาพการณ์ของปัจจัยเหล่านี้ย่อมเป็นสิ่งกำหนดโลก ทัศน์และชีวทัศน์ของเขา การพิจารณาอิทธิพลของสังคมต่อนักเขียน ซึ่งนักเขียนได้ถ่ายทอดความคิด และเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวต่างๆ ของสังคมที่เขาอาศัยอยู่ ตลอดจนความรู้สึกนึกคิดถ่ายทอด ออกมาในรูปแบบของวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้น วรรณกรรมเรื่องสั้นเป็นวรรณกรรมสมัยใหม่ที่ สะท้อนสภาพแห่งยุคสมัย สามารถนำเสนอปัญหาทางด้านการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีและธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตของคนในสังคม ทั้งนี้เนื่องจากลักษณะพิเศษของเรื่องสั้นที่แตกต่างไปจากวรรณกรรมประเภทอื่นๆ กล่าวคือ เนื้อหาจะ สั้น กระชับ เข้มข้นและสามารถสื่อแนวคิดได้ตรงประเด็นอย่างมีประสิทธิภาพ โดย (ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, 2530: 77) กล่าวไว้ว่า พลังของเรื่องสั้นสามารถสื่อเนื้อหาทาง สังคม ทั้งที่เป็นตัวสะท้อนและถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกของผู้คนในยุคสมัยหนึ่งและเสนอให้เห็นถึง ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองของสังคมในยุคนั้น เรื่องสั้นจึงนับว่าเป็น วรรณกรรมรูปแบบหนึ่งที่ให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่านมีความเคลื่อนไหวและมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด


19 ประกอบกับปัจจุบันเรื่องสั้นมีจำนวนมากและมีความหลากหลายทั้งนักเขียน แนวการเขียน รูปแบบ การเขียนและในด้านกลวิธีการนำเสนอ โดยเฉพาะกลวิธีการเล่าเรื่องนั้นจะเห็นได้ว่ามีการทดลอง หลายรูปแบบแสดงให้เห็นว่านักเขียนเน้นการแสวงหากลวิธีการเล่าเรื่องแบบใหม่ๆ ไม่ได้ยึดกฎเกณฑ์ หรือสูตรสำเร็จของโครงสร้างตามแบบเดิม มีความพยายามที่จะหากลวิธีการนำเสนอที่แปลกใหม่และ มีความซับซ้อน มากขึ้น ส่วน (เจตนา นาควัชระ, 2514: 20) กล่าวถึงวรรณกรรมกับสังคมไว้ตอนหนึ่งว่า วรรณกรรม นอกจากจะถ่ายทอดความเป็นจริงในสังคมแล้ว วรรณกรรมยังช่วยสะท้อนให้เห็นถึงมโนธรรมของ มนุษย์ในสังคมอีกด้วย วรรณกรรมเปรียบเหมือนเข็มทิศชี้แนะแนวทางให้เกิดการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ตลอดจนพัฒนาคุณภาพของชีวิตและสังคมไปในทิศทางที่ดีขึ้นในหลายๆ ด้าน เช่น ด้านจริยธรรม ด้านการปกครอง ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจเป็นต้น นอกจากนี้(รัญจวน อินทรกำแหง, 2539: 28–33) ยังได้แสดงความคิดเห็นว่าศิลปะ วรรณกรรมและสังคมมีความสัมพันธ์กันโดยวรรณคดีเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสะท้อนถึงชีวิตมนุษย์ ในสังคม วรรณคดีจึงไม่ใช่สิ่งที่ล่องลอยอยู่กลางเวหา แต่เป็นสิ่งที่ต้องสัมพันธ์กับชีวิต สะท้อนชีวิตและ สรุปบทเรียนให้กับชีวิตที่มีส่วนหนุนช่วยเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดียิ่งขึ้นของชีวิตมนุษย์วรรณคดีจึงเป็น สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงสังคมตามความเป็นจริงแสดงออก ซึ่งความเป็นจริงและบันทึกความเป็นจริง จากการศึกษาค้นคว้าสรุปได้ว่า วรรณกรรมกับสังคมมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกออกจากกัน ไม่ได้ สังคมเป็นบ่อเกิดของวรรณกรรม มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์วรรณกรรม การเคลื่อนไหวของ สังคมและมีผลกระทบต่อวรรณกรรม โดยวรรณกรรมจะสะท้อนภาพสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม ในเนื้อเรื่อง อันเนื่องจากผู้เขียนวรรณกรรมได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของสังคม ขณะเดียวกันวรรณกรรมก็มีอิทธิพลต่อสังคมเช่นกัน ผู้เขียนได้สร้างสรรค์วรรณกรรมซึ่งจะมีอิทธิพล ต่อผู้อ่าน สังคม วัฒนธรรมรวมทั้งการเมืองโดยถ่ายทอดความคิดเห็นหรือเรื่องราวค่านิยมที่ขับเคลื่อน ให้สังคมเจริญก้าวหน้าต่อไป 2.1.2.2 การศึกษาทรรศนะในวรรณกรรม การศึกษาวิเคราะห์ภาพสะท้อนสังคมไทยจากเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลพานแว่นฟ้า ผู้วิจัยได้ ศึกษาค้นคว้าแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาทรรศนะในวรรณกรรม ดังต่อไปนี้ เมื่อ (อิงอร สุพันธุ์วณิช, 2547: 20-25) กล่าวว่า เรื่องสั้นไทยประเภทมุ่งเสนอแนวคิด ซึ่งหมายถึงเรื่องสั้นที่นำเสนอความคิดเห็นหรือทรรศนะอันเป็นสาระของเรื่อง และยังพบว่านักเขียนใช้ กลวิธีการแสดงความคิดเห็นของตน 3 วิธี คือ เสนอความคิดเห็นผ่านโครงเรื่อง เสนอผ่านผู้เขียน โดยตรง และเสนอผ่านตัวละคร ทั้งนี้มิได้มีความหมายจำกัดเพียงแต่ชื่อเรื่อง แต่ทรรศนะหรือ ความคิดเห็นของผู้เขียนที่เสนอมาในเรื่องมีบทบาทเป็นแกนหลักและมีอิทธิพลต่อการกำหนดลักษณะ


20 ของโครงเรื่องตัวละคร และรายละเอียดต่างๆ ภายในเรื่อง โดยจะแฝงอยู่ในเรื่องราวหรือเหตุการณ์ ต่างๆ มีตัวละครเป็นผู้แสดงพฤติกรรมตามสถานที่และเวลาที่กำหนดไว้ในท้องเรื่อง ส่วน (ตรีศิลป์ บุญขจร, 2523: 7-9) กล่าวไว้ว่า ทรรศนะของผู้แต่งที่มีต่อโลกหรือเรียกว่า โลกทัศน์ หมายถึง ความคิดเห็นของนักเขียนในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตนกับโลก เป็นความคิดที่ซับซ้อนผสมผสานของประสบการณ์และอารมณ์ และเป็นที่มาของแรงบันดาลใจ ของนักเขียนอาจกล่าวได้ว่าโลกทัศน์เป็นตัวกำหนดโครงสร้างภายในของวรรณกรรม ทำให้นักเขียน เลือกรูปแบบการเขียนเรื่องแต่ละประเภท ตลอดจนเลือกสร้างตัวละกรและองค์ประกอบอื่นๆ ให้สอดคล้องกับทรรศนะของตนเอง สรุปได้ว่า ทรรศนะหรือโลกทัศน์ เป็นความคิดเห็นของนักเขียนที่สอดแทรกในวรรณกรรม การเมือง ซึ่งถูกกำหนดโดยสภาพสังคมและประสบการณ์ของนักเขียนโดยนำเสนอผ่านโครงเรื่อง ตัวละครและผู้เขียน ซึ่งแนวความคิดดังกล่าวจะมีส่วนในการกำหนดรูปแบบตัวละครในวรรณกรรม และแนวคิดของนักเขียนที่ปรากฎในวรรณกรรมอาจจะเป็นการแสดงออกของนักเขียนตามอัธยาศัย หรือแสดงออกเพื่อการเคลื่อนไหวของตนในด้านต่างๆ หรือความคิดเห็นที่มีต่อสถานการณ์บ้านเมือง หรือสภาพสังคมก็ได้ 2.1.2.3 การศึกษาวรรณกรรมการเมือง การศึกษาวิเคราะห์ภาพสะท้อนสังคมไทยจากเรื่องสั้นการเมืองที่ได้รับรางวัลพานแว่นฟ้า ผู้วิจัยได้ศึกษากันคว้าแนวคิดเกี่ยวกับวรรณกรรมการเมือง มีสาระสำคัญ ดังนี้ เมื่อ (พัชรินทร์ อนันต์ศิริวัฒน์, 2541: 5) ศึกษาวรรณกรรมที่สะท้อนภาพการเมืองในอดีต และพบว่า วรรณกรรมกับการเมืองมีความสัมพันธ์กันมาทุกยุคทุกสมัยเพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องการอยู่ร่วมกันโดยสันติสุขและปลอดภัย สังคมของมนุษย์จึงจำเป็นต้องมีชนชั้นปกครอง เมื่อตัดสินหรือแก้ไขปัญหาของสังคม จึงทำให้เกิดระบบการเมืองการปกครองในรูปแบบต่างๆ ผู้นำ ทางการเมืองมีตำแหน่งหน้าที่ในขอบข่ายของอำนาจหน้าที่แตกต่างกันไปตามกฎเกณฑ์ที่สังคมบัญญัติ ขึ้น ชนชั้นปกครองบางระบอบมีอำนาจและสิทธิพิเศษที่หวงแหนไว้ตลอดชีวิต ทั้งยังต้องการให้ ลูกหลานสืบทอดอำนาจนั้นต่อไป โดยไม่คำนึงถึงคุณสมบัติหรือความสามารถของเขาเหล่านั้น วรรณกรรมจึงเป็นเครื่องมือที่ขนชั้นปกครองใช้เป็นสื่อโน้มน้าวใจประชาชนให้จงรักภักดีและซื่อสัตย์ ต่อชนชั้นปกครองอีกทั้งให้ยอมรับว่าชนชั้นปกครองมีบุญบารมีเหนือบุคคลทั่วไป ฉะนั้นวรรณกรรม บางเรื่องจึงสะท้อนสภาพความเป็นไปในทางการเมืองได้อย่างแจ่มชัด ทำให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจ สภาพการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในเวลานั้น ส่วน (ธิดา โมสิกรัตน์, 2525: 443-448) ได้อธิบายความหมายและจุดมุ่งหมายในการแต่ง วรรณคดีการเมืองว่า เป็นวรรณคดีที่เสนอทรรศนะการเมืองซึ่งเป็นแนววรรณคดีสังคมนิยมโดยมี


21 เนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัว ชนชั้นต่างๆ สถาบันทางสังคม ปัญหาของสังคม และทรรศนะในแนวของ วรรณคดีประชาชน นอกจากนี้ยังมีเนื้อหาแสดงถึงความกดดันของประชาชน และชีวิตมนุษย์ในทุกแง่ ทุกมุมซึ่งจะสะท้อนให้เห็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมมนุษย์ โดยที่ผู้แต่งวรรณคดีการเมือง มีจุดมุ่งหมายเพื่อชี้นำให้แก้ไขปัญหาของคนในสังคม ดังนั้นจุดมุ่งหมายของการแต่งวรรณคดีการเมือง คือ เพื่อแสดงทรรศนะของนักเขียนที่มีต่อการเมืองและอุคมคติทางสังคมโดยปลุกระดมความคิดและ ชักจูงให้ผู้อ่านลงมือปฏิบัติการตามแนวคิดของผู้แต่ง ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง และสังคมได้ผู้แต่งบางคนมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของบ้านเมือง และเพื่อ สะท้อนให้เห็นเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนั้น ทำให้ผู้อ่านเข้าใจสภาวะ ความเป็นจริงของสังคมอย่างแท้งริง นอกจากนี้วรรณคดีการเมืองบางเรื่องสามารถทำนายเหตุการณ์ ทางการเมืองในอนาคตได้อีกด้วย อีกทั้ง (สมพร มันตะสูตร, 2525: 12) ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างวรรณกรรมและการเมือง ไว้ว่าวรรณกรรมและการเมือง มีความสัมพันธ์ในฐานะที่ต่างก็อยู่บนพื้นฐานของความขัดแย้ง ในค่านิยมร่วมกัน นั่นคือนักการเมืองแก้ปัญหาความขัดแย้งของสังคม ในขณะเดียวกันผู้สร้าง วรรณกรรมก็หยิบยกปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ ในสังคมมานำเสนอให้ผู้อ่านมองเห็นและหาแนว ทางแก้ไข โดยนำแนวคิดทางการเมืองมาเป็นแก่นเรื่อง ดังนั้น นอกจากจะสะท้อนปัญหา และความเป็นไปทางการเมืองแล้ว ยังอาจจะสร้างสรรค์สังคมได้ในฐานะที่วรรณกรรมการเมืองแทรก ข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาของการเมืองปะปนอยู่ รวมไปถึง (บำรุง สุวรรณรัตน์ และชูศักดิ์ เอกเพชร, 2523: 144) กล่าวไว้ว่า ความหมายและ ลักษณะของวรรณกรรมการเมืองไว้ว่า วรรณกรรมการเมืองเป็นวรรณกรรมที่มีเนื้อหาเน้นหนักไป ในทางการเมืองหรือแสดงให้เห็นถึงสารัตถะที่มีผลกระทบต่อการเมืองไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง และเนื้อหา ทางการเมืองในวรรณกรรมอาจกล่าวถึงสถาบันทางการเมือง และรวมถึงการใช้สัญลักษณ์เป็นตัวกลาง เพื่อสื่อความคิดทางการเมืองด้วย รูปแบบและเนื้อหาของวรรณกรรมการเมืองจะไม่หยุดนิ่งอยู่ใน เฉพาะสมัยใดสมัยหนึ่ง หากแต่จะวิวัฒนาการไปตามสภาพการเมืองการปกครองที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป ของแต่ละยุคแต่ละสมัย และ (พลศักดิ์ จิรไกรศิริ, 2522: 115-119) กล่าวว่า วรรณกรรมการเมืองมีเนื้อหาสะท้อน ความยุติธรรมต่างๆ ในสังคมออกมาในรูปของตัวอักษร สามารถก่อให้เกิดความเห็นอกเห็นใจแก่คน จำนวนมากจนถึงขั้นที่จะนำไปสู่ความรู้สึกที่จะปฏิรูปสังคม วรรณกรรมการเมืองมีเนื้อหาบรรยาย สภาพบ้านเมือง สังคม และระบบการเมืองที่มีปัญหา และชักจูงให้ผู้อ่านเปลี่ยนแปลงทรรศนะทางการ เมืองโดยล้มล้างความคิดทางการเมืองแบบเก่า นอกจากนี้ยังมีเนื้อหากล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่าง คนกับรัฐ และสภาพสังคมโดยส่วนรวม โดยเสนอค่านิยมทางสังคมที่ขัดแย้งกัน และพยายามลบ ค่านิยมและระบบความเชื่อที่ชนชั้นปกครองครอบงำ วรรณกรรมการเมืองยังสอดแทรกความคิด


22 ว่าชะตาชีวิตของมนุษย์ไม่ได้ถูกกำหนดโดยกรรมเก่าหรืออำนาจเร้นลับและขังเรียกร้องเสรีภาพ ความ เท่าเทียมกันและสิทธิของราษฎรที่จะได้รับความยุติธรรมจากสังคม และจากรัฐบาลด้วย จากการศึกษาแนวคิดที่เกี่ยวกับวรรณกรรมการเมือง สรุปได้ว่าวรรณกรรมการเมืองมีบทบาท สำคัญทางด้านสังคมและการเมือง มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากวรรณกรรมรูปแบบอื่นๆ มีความสัมพันธ์กับการเมืองอย่างใกล้ชิด สะท้อนภาพการเมืองของยุคสมัยนั้นๆ ได้อย่างชัดเจน นักเขียนได้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองหรือความคิดเห็นที่มีต่อสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น โดยโน้มน้าวหรือสร้างความสะเทือนใจให้ผู้อ่านมีความรู้สึกนึกคิดคล้อยตามไป นอกจากนี้ผู้เขียน วรรณกรรมการเมืองยังใช้วรรณกรรมในการเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วย 2.1.2.4 ความรู้เกี่ยวกับวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ผู้วิจัยได้ค้นคว้าความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า โดยสรุปได้ดังนี้ (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2560: 2) “พานแว่นฟ้า” เป็นชื่อพานที่มีสองชั้น พานใบบนมีขนาดเล็ก ประดิษฐานรัฐธรรมนูญและวางซ้อนบนพานขนาดใหญ่กว่าอยู่ด้านล่าง ที่เห็น กันจนชินตาคือพานแว่นฟ้าจำลองที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นสัญลักษณ์ของการปกครอง ประชาธิปไตย รางวัลพานแว่นฟ้าเป็นรางวัลการประกวดผลงานเขียนวรรณกรรมการเมือง ประเภท เรื่องสั้นและบทกวีจัดโดยสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยและรัฐสภาไทยเพื่อสนับสนุนการปกครอง แบบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและให้ประชาชนได้ใช้เสรีภาพ แสดงออกทางการเมืองและสืบสานวรรณกรรมการเมืองให้มีส่วนปลุกจิตสำนึกประชาธิปไตย จัดขึ้น ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2545 ในวาระครบรอบ 70 ปีของรัฐสภา โดยได้จัดประกวดวรรณกรรมเรื่องสั้น การเมือง ในปี พ.ศ.2546 ได้เพิ่มการประกวดประเภทบทกวีแบ่งเป็นระดับนักเรียนและระดับ ประชาชน จนถึงปี พ.ศ.2548 ได้ยกเลิกการแบ่งระดับไป การประกวดได้จัดต่อเนื่องทุกปี นับเป็น รางวัลทางวรรณกรรมที่มีอิทธิพลในวรรณกรรมยุคนี้ อย่างไรก็ตาม การตัดสินรางวัลพานแว่นฟ้าได้มีปัญหาเกิดขึ้นในบางปี คือ การประกวด ครั้งที่ 4 พ.ศ.2548 กรรมการตัดสินฝ่ายการเมืองกับกรรมการฝ่ายอื่นมีความคิดเห็นขัดแย้งกันและ ใช้ความเห็นส่วนตัว ตัดสินเปลี่ยนแปลงเรื่องสั้นที่ควรได้รับรางวัลชนะเลิศและรองชนะเลิศให้ตกไป เนื่องจากเนื้อเรื่องมีตัวละครที่ตีแผ่พฤติกรรมคอรัปชันของรัฐมนตรี การตัดสินดังกล่าวถูกต่อต้านจาก คณะกรรมการประกวด รวมทั้งจากบุคคลในวงการวรรณกรรมที่กรรมการฝ่ายการเมืองแทรกแซง การตัดสิน ทำให้การประกวดหยุดชะงักไปในระยะหนึ่ง นอกจากนี้ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2552 กรรมการตัดสินรางวัลพานแว่นฟ้า (นายวัฒน์ วรรลยางกูร) ซึ่งเป็นนักเขียนรางวัลศรีบูรพา ได้แถลงข่าวเรียกร้องเสรีภาพในการเขียนและ วิพากษ์วิจารณ์ให้ผู้มีอำนาจยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่าง และสร้างความเสมอภาคและเสรีภาพ


23 ในการพูดความจริง ผลจากการแทรกแซงของนักการเมืองส่งผลให้การประกวดในปีถัดไปมีผลงานเข้า ประกวดลดลง แต่ด้วยเหตุที่การจัดการประกวดของรัฐสภาเป็นเวทีการสร้างสรรค์วรรณกรรม การเมืองที่สำคัญ แม้จะมีปัญหาการตัดสินที่นักเขียนเห็นว่าไม่ยุติธรรมในบางปี แต่ก็มีจำนวนผลงานที่ ส่งเข้าประกวดเพิ่มขึ้นทุกปี ทั้งนี้ นันทวัลย์สุนทรภาระสถิต (2549: 15) กล่าวไว้ว่า “เรื่องสั้นการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่จะส่งเสริมวรรณกรรมการเมืองของภาครัฐกับประชาชนภายใต้ อุดมการณ์ร่วมกันคือส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา” นอกจากนี้เรื่องสั้น รางวัลพานแว่นฟ้าแต่ละเรื่องย่อมจะมีเนื้อหาและสาระสำคัญที่ตรงตามวัตถุประสงค์ของการให้รางวัล ทั้งในด้านการสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตย การส่งเสริมเสรีภาพการแสดงออกทาง การเมือง โดยใช้ศิลปะการประพันธ์สื่อสารเรื่องราวของสังคมและการเมืองทั้งในด้านการสนับสนุน การปกครองระบอบประชาธิปไตย การส่งเสริมเสรีภาพให้วรรณกรรมการเมืองมีส่วนร่วมในการปลุก จิตสำนึกประชาธิปไตย 2.1.3 เอกสารเกี่ยวกับแนวคิดทางการเมืองและสังคม 2.1.3.1 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแนวคิดทางการเมืองและสังคม ดังที่ธัญญา สังขพันธานนท์ (2539: 182) และ สุดารัตน์ เสรีวัฒน์ (2520: 13-14) ได้กล่าว ไว้ว่า แนวคิด ที่ปรากฏในเรื่องสั้นคือสาระสำคัญที่ผู้แต่งมีจุดประสงค์ต้องการสื่อสารมายังผู้อ่านผู้แต่ง เสนอต่อผู้อ่าน คือ แนวคิดแสดงภาพและเหตุการณ์แนวคิดทางการเมือง แนวคิดแสดงพฤติกรรม และแนวคิดทางสังคม ดังนั้นแนวคิด ซึ่งอาจปรากฏจากเนื้อหาเหตุการณ์ ในกวีอาจแสดงให้เห็น เด่นชัด แต่กวีซ้อนแนวคิดโดยใช้ศิลปะในการประพันธ์เพื่อแฝงแนวคิดของตนผู้อ่านต้องสังเกต และมีวิจารณญาณซึ่งมองผ่าน หรือรับรู้แนวคิดนั้นๆ ได้ ส่วนไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร (2553: 5) ได้กล่าวไว้ว่า ความคิดที่ปรากฏในวรรณกรรม ได้สะท้อนสาระสำคัญที่ผู้แต่งมีจุดประสงค์ต้องการสื่อสารมายังผู้อ่านผู้แต่งเสนอต่อผู้อ่าน เป็นแนวคิด แสดงภาพเหตุการณ์ทางสังคม แนวคิดทางการเมือง แนวคิดพฤติกรรมของผู้คนและแนวคิด อุดมการณ์ทางสังคม ดังนั้น กฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์และจันทิมา เอียมานนท์ (2549: 1-2) ได้กล่าวไว้ว่า แนวความคิดที่อาจเกิดจากเนื้อหาของเหตุการณ์ในวรรณกรรมอาจปรากฏชัด แต่วรรณกรรมซ้อนทับ แนวคิดโดยใช้ศิลปะการเขียนเพื่อปกปิดความคิดของผู้แต่ง ซึ่งผู้อ่านต้องสังเกตและมีวิจารณญาณใน การรับรู้หรือมองผ่านแนวความคิดนั้น


24 และอานันท์ กาญจนพันธ์(2564: 1-2) ได้กล่าวไว้ว่า ซึ่งความคิดเห็นหรือแนวคิดของผู้เขียน ความเข้าใจเกี่ยวกับการเมืองที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพันแว่นฟ้า แสดงออกทาง วรรณกรรมโดยเน้นหนักไปที่การเมือง หรือแสดงสาระสำคัญที่กระทบต่อการเมืองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สิริรัตน์ พุ่มเกิด (2537) ได้ให้ความคิดเห็นไว้ว่าแนวความคิดทางการเมือง (Political Thought) หมายถึงความคิดเกี่ยวกับการเมืองหรือการปกครอง การใช้อำนาจทั่วไป เป็นความคิดใน ลักษณะกว้างๆ อันเป็นความคิดเชิงประวัติศาสตร์และเป็นเรื่องของความคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่างผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้การปกครอง ลักษณะที่มาของอำนาจผู้ปกครอง บทบาทของผู้ปกครอง และความสัมพันธ์ระหว่างผู้อยู่ใต้การปกครองกับสถาบันทางการเมือง ความคิดทางการเมืองนั้นมักฉุก กำหนดโดยสภาพสังคมเป็นระบบความคิดที่เป็นแนวทางปฏิบัติที่ผู้มีส่วนร่วมทางการเมืองใช้เป็น เครื่องมือในการโจมตี หรือสนับสนุนสถาบันใดสถาบันหนึ่ง และต้องการแพร่ขยายให้มวลชนรับรู้และ ปฏิบัติตาม ในลักษณะนี้ความคิดทางการเมือง จึงมีส่วนสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับอุดมการณ์ทาง การเมือง ความคิดทางการเมืองอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ตามกาลสมัย ในกรณีที่ความเปลี่ยนแปลงทาง สังคมมีมากความคิดทางการเมืองก็มักจะแปรเปลี่ยนไปด้วย ในสังคมที่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจมีน้อย เรามักจะพบว่าความคิดทางการเมือง ความคิดหนึ่งจึงมีความต่อเนื่องอย่างมาก ดังนั้น จากการศึกษาแนวคิดทางการเมืองและสังคม ผู้วิจัยมีความสนใจวิเคราะห์เรื่องสั้นใน วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ระหว่างพ.ศ.2560-2564 ในด้านแนวคิดทางการเมืองและสังคม เพื่อจะได้ทราบถึงแนวคิดที่สอดแทรกที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ระหว่างพ.ศ. 2560-2564 2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.2.1 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์เรื่องสั้นการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ธงชัย แซ่เจี่ย (2555) ได้ศึกษาเรื่อง แนวคิดประชาธิปไตยในกวีนิพนธ์การเมืองรางวัลพาน แว่นฟ้า พ.ศ.2546-2553 งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากวีนิพนธ์การเมืองรางวัลพานแว่น ฟ้าในช่วงปีพ.ศ.2546-2553 ด้านความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดเกี่ยวกับ“ประชาธิปไตย” ที่ปรากฎใน กวีนิพนธ์กับบริบทความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองรวมทั้งศึกษาวิเคราะห์กลวิธี ทางวรรณศิลป์ที่เป็นส่วนสำคัญในการน้ำเสนอแนวคิด โดยใช้วิธีวิจัยเอกสาร ศึกษากวีนิพนธ์การเมือง รางวัลพานแว่นฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าว และเสนอผลการวิจัยแบบพรรณนาวิเคราะห์ผลการวิจัยพบว่า กวีนิพนธ์การเมืองรางวัลพานแว่นฟ้าในช่วงปีพ.ศ.2546-2553สัมพันธ์กับบริบทความเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองไทยในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นอย่างมาก เมื่อใช้เหตุการณ์ รัฐประหาร พ.ศ.2549 เป็นจุดแบ่งกวีนิพนธ์ในช่วงเวลาดังกล่าวออกเป็น 2 กลุ่ม และพิจารณา


25 ถึงความสัมพันธ์ระหว่างกวีนิพนธ์กับบริบทความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมือง ในช่วงก่อนเหตุการณ์รัฐประหารและตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหารเป็นต้นมา จะเห็นได้ว่า แนวคิด ประชาธิปไตยที่นำเสนออยู่ในกวีนิพนธ์ทั้งสองช่วงเวลาสัมพันธ์กับบริบทเหตุการณ์ในแต่ละช่วงอย่าง เด่นชัด ในด้านกลวิธีทางวรรณศิลป์ที่กวีใช้ในการนำเสนอแนวคิดประชาธิปไตยในกวีนิพนธ์การเมือง รางวัลพานแว่นฟ้าพบว่ามี 13 กลวิธี ได้แก่ การใช้เรื่องเล่า การสรรคำ การใช้อุปลักษณ์ การอ้างถึง การใช้คำถามเชิงวาทศิลป์ การเล่นคำ การใช้อุปมา การใช้สัญลักษณ์ การใช้อุปมานิทัศน์ การใช้ อุปลักษณ์คู่ตรงข้าม การใช้นามนัย การใช้นิทานนิทัศน์ และการใช้ปฏิพจน์ กลวิธีทางวรรณศิลป์ เหล่านี้สัมพันธ์กับการเสนอแนวคิด “ประชาธิปไตย” ในกวีนิพนธ์การเมืองรางวัลพานแว่นฟ้าอย่าง แนบแน่น การวิจัยนี้สามารถเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีถึงความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างภาษา กวีนิพนธ์ และบริบทความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองไทย เสาวรี เอี่ยมลออ (2557) ได้ศึกษาเรื่อง วิเคราะห์การเมืองไทยผ่านวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ในช่วง พ.ศ.2545-2551 งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบททางการเมือง ของไทย ผ่านเนื้อหาสาระแนวคิดในวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้นรางวัลพานแวนฟ้า ในช่วงพ.ศ. 2545-2551 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเอกสาร หนังสือวรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้าในช่วง พ.ศ. 2545-2551 จำนวน 7 เล่ม ได้แก่ คืนเดือนเพ็ญ,พานแว่นฟ้า,ตานะฮ์อูมี แผ่นดินมาตุภูมิ,วาวแสง แห่งศรัทธา,การจากไปของนกเค้า, เราติดอยูในแนวรบเสียแล้ว ...แม่มัน และสะพานเครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยได้แก่แผนวิเคราะห์ (Tally sheet) โดยแบ่งหน่วยการวิเคราะห์ออกเป็นมุมมองการเมืองด้าน ต่างๆ รวม 10 ด้าน ได้แก่ ด้านการเรียกร้องประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ด้านการเรียกร้องรัฐธรรมนูญใน แบบอุดมคติ ด้านการต่อต้านการคอรัปชันของนักการเมืองด้านสิทธิเสรีภาพของประชาชนในระบอบ ประชาธิปไตย ด้านการเรียกร้องความเป็นธรรม ด้านการถูกกดขี่จากนักการเมือง ด้านความขัดแย้ง ทางการเมืองปัจจุบัน ด้านปัญหาความขัดแย้งสามจังหวัดชายแดนใต้ด้านประวัติศาสตร์เหตุการณ์ ตุลาคมและพฤษภาทมิฬ และด้านอื่นๆ ผลการวิจัยพบว่า ด้านการต่อต้านการคอรัปชันของนักการเมืองมีมากที่สุดโดยพบว่า มีเรื่องสั้นจำนวน 21 เรื่อง บทกวีจำนวน 8 เรื่อง ซึ่งเกือบทุกเรื่องจะนำเสนอภาพการทุจริตการ เลือกตั้งอย่างตรงไปตรงมา รองลงมาได้แก่ด้านการเรียกร้องประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มีเรื่องสั้นจำนวน 16 เรื่อง และบทกวีจำนวน 24 บทส่วนใหญ่สะท้อนถึงปัญหาการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยที่ ผู้เขียนพยายามสร้างตัวละครให้มีมุมมองในด้านบวกต่อระบอบการปกครองดังกล่าว ด้านการ เรียกร้องรัฐธรรมนูญ มีเรื่องสั้นจำนวน 14 เรื่อง บทกวีจำนวน 3 เรื่อง ในภาพรวมต้องการให้มี รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยและงดงามเหมือนในอุดมคติ ด้านสิทธิเสรีภาพของประชาชนใน ระบอบประชาธิปไตยพบวามีเรื่องสั้น จำนวน 4 เรื่อง บทกวีจำนวน 1 เรื่อง โดยเสนอให้เห็นภาพการ


26 ไม่ยอมรับสิทธิการแสดงความคิดเห็นของประชาชน มีการใช้อำนาจมืดเข้ามาจัดการ ด้านการ เรียกร้องความเป็นธรรม ด้านการถูกกดขี่จากนักการเมือง ข้าราชการส่วนใหญ่นำเสนอในภาพของตัว ละคร ชนชั้นกรรมาชีพที่ถูกนักการเมืองใช้อำนาจหน้าที่กดขี่ข่มเหงด้านความขัดแย้งทางการเมือง ปัจจุบันส่วนใหญ่สะท้อนปัญหาการแบ่งฝ่าย แบ่งสีซึ่งพบมากในงานเขียนช่วงปี พ.ศ. 2550-2551 ด้านปัญหาความขัดแย้งสามจังหวัดชายแดนใต้และด้านประวัติศาสตร์เหตุการณ์ตุลาคมและพฤษภา ทมิฬพบวามีเนื้อหาสะท้อนเหตุการณ์สะเทือนใจในปัญหาดังกล่าวโดยผานเรื่องเล่าธรรมดาในกิจวัตร ประจำวันของตัวละคร ด้านอื่นๆ ได้แก่ การเสนอภาพการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจยุคฟองสบู่ แตก สะท้อนภาพการถูกเอารัดเอาเปรียบของชาวนา การเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลมาจากการพัฒนาทาง วัตถุ ขวัญชนก นัยจรัญ (2561) ได้ศึกษาเรื่อง การวิเคราะห์ภาพสะท้อนวิถีชีวิตประชาธิปไตยใน เรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า พ.ศ.2545-2556 งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาพสะท้อนวิถี ชีวิตประชาธิปไตยที่ปรากฏในเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปีพ.ศ.2545-2556 จำนวน 152 เรื่อง ผลการวิจัยพบว่าผู้เขียนได้สอดแทรกวิถีชีวิตประชาธิปไตยไว้ในการแสดงพฤติกรรมของตัวละครผ่าน บทสนทนา ความคิด และการกระทำ ทั้งนี้วิถีชีวิตประชาธิปไตยที่ปรากฏมากที่สุด คือ ด้านคารวธรรม แสดงให้เห็นความเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ กฎหมายเพื่อนมนุษย์ซึ่งรวมไปถึงการแสดงความ เคารพในสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของมนุษย์ วิถีชีวิตประชาธิปไตยที่ปรากฏให้เห็นรองลงมา คือ ด้านสามัคคีธรรม สะท้อนภาพ ความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชุมชน สังคม และ ประเทศชาติ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม และภาพสะท้อนวิถีชีวิตประชาธิปไตยด้านปัญญา ธรรม ปรากฏจำนวนครั้งน้อยที่สุด สิ่งที่ปรากฏแสดงให้เห็นการใช้ปัญญาในการพิจารณาปัญหา ร่วมกัน วิพากษ์วิจารณ์บุคคล นโยบายโครงการของหน่วยงานภาครัฐโดยปราศจากอคติ รวมถึงการ คัดเลือกบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่ผู้นำในฐานะผู้แทนของประชาชนที่ต้องเป็นไปตามกระบวนการ ของประชาธิปไตยโดยผ่านการเลือกตั้ง Hongbo (2554) ได้ศึกษาเรื่อง วิเคราะห์ภาพสะท้อนสังคมไทยจากเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัล พานแว่นฟ้า พ.ศ.2550-2553 งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ภาพสะท้อนของสังคม และความคิดเห็นทางการเมืองที่ปรากฏในเรื่องสั้นที่ได้รับรางวัลพานแว่นฟ้า พ.ศ.2550-2553 จำนวน 48 เรื่อง และนำเสนอผลการวิจัยด้วยวิธีพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า สภาพทางการเมืองไทย ในช่วงเวลา พ.ศ.2550-2553 มีเหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดขึ้น คนในสังคมมีความคิดทางการเมือง แตกแยกทำให้แบ่งฝ่ายกัน นำไปสู่การชุมนุมทางการเมืองที่มีความรุนแรง การปกครองแบบ ประชาธิปไตยไม่ได้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างแท้จริง นักการเมืองทุจริตคอรัปชัน ประชาชน ไม่มี


27 ความรู้ความเข้าใจระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย มีการทุจริตในการเลือกตั้ง และสิทธิทาง การเมืองของประชาชนไม่ได้รับการคุ้มครองด้านสังคม เรื่องสั้นสะท้อนปัญหาความยากจน ปัญหาวัฒนธรรมเสื่อมโทรม ประชาชนระดับล่างไม่ได้รับ ความเป็นธรรมจากกฎหมายและเจ้าหน้าที่บ้านเมือง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีความยากลำบากในด้าน เศรษฐกิจ เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองและวิกฤติเศรษฐกิจโลกส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ ไทย การพัฒนาและการขยายตัวของเศรษฐกิจทำให้ชนบทเกิดปัญหามากมายเป็นปัญหาการทำมาหา กินของชาวชนบท และปัญหาสิ่งแวดล้อมธรรมชาติภาพสะท้อนด้านสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้การใช้มาตรการและนโยบายของรัฐในการควบคุมสถานการณ์ ไม่ได้ผล ประชาชนได้รับความเดือดร้อน เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่เพิ่ม มากขึ้นในด้านความคิดเห็นทางการเมือง เรื่องสั้นสะท้อนอย่างชัดเจนว่า สาเหตุของความขัดแย้งทาง การเมืองเกิดจากการแสวงหาผลประโยชน์และความขัดแย้งของชนชั้น การนำเสนอข่าวสารที่ไม่ตรง ข้อเท็จจริงของสื่อมวลชนบางส่วน มีข้อเสนอแนะให้แก้ไขด้วยการสมานสามัคคีกันของคนในสังคม โดยยอมเสียสละเพื่อส่วนรวม นอกจากนี้เรื่องสั้นได้สะท้อนความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อ นักการเมือง หลักการแห่งระบอบประชาธิปไตย และการปกครองแบบประชาธิปไตยของไทยอีกทั้ง เรียกร้องให้ทุกฝ่าขยุติความขัดแข้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยสอดแทรกการเสียดสีและ การตำหนิฆาตรการและนโยบายของรัฐที่ไร้ประสิทธิภาพ และพฤติกรรมของนักการเมืองที่สร้างภาพ หลอกลวงประชาชน จากงานวิจัยเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้าสรุปได้ว่าเป็นวรรณกรรมที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในการเมืองและการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของบ้านเมือง และวรรณกรรมการเมืองที่ได้รับรางวัล พานแว่นฟ้าได้สะท้อนให้เห็นถึงสภาพสังคมและสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นเฉกเช่นกับวรรณกรรม อื่นๆ และยังได้สะท้อนให้เห็นถึงแนวความคิดทางการเมืองของนักเขียนและประชาชนที่มีต่อ สถานการณ์บ้านเมืองในช่วงเวลานั้นด้วย 2.2.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแนวคิดทางการเมืองและสังคม นิศานาจ โสภาพล (2557) ได้ศึกษาเรื่อง แนวคิดทางการเมืองที่ปรากฏในเรื่องสั้นรางวัล พานแว่นฟ้า งานวิจัยเรื่องแนวคิดทางการเมืองที่ปรากฏในเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแนวคิดทางการเมืองที่ปรากฏในเรื่องสั้นพานแว่นฟ้า โดยวิธีการอ่านละเอียดและวิเคราะห์ แนวคิดทางการเมืองที่ปรากฏในเรื่องสั้นพานแว่นฟ้า ประเภทเรื่องสั้น ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2545-ครั้งที่ 10 พ.ศ. 2554 ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ มีจำนวน 9 เรื่อง ผลการศึกษาพบว่ามีแนวคิดทางการเมืองที่ ปรากฏอยู่ 5 ประเด็น คือ 1)แนวคิดการสำนึกทางการเมืองของประชาชน 2)แนวคิดพฤติกรรมเชิง การเมืองของนักการเมือง 3)แนวคิดทางเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย


28 4)แนวคิดความขัดแย้งทางการเมือง ได้จำแนกความขัดแย้งทางพฤติกรรมการเมืองจำแนกออกเป็น 2 เรื่อง คือ ความขัดแย้งทางความคิดและความขัดแย้งของนักการเมืองระดับท้องถิ่น 5)แนวคิดเรื่อง ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภายใต้ ซึ่งผู้แต่งได้สะท้อนแนวคิดเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น วรรณกรรมการเมืองมีความสัมพันธ์กับวิวัฒนาการของสังคมอย่างใกล้ชิด และเป็นเสมือนกระจกเงาที่ สะท้อนให้เห็นสภาพความเป็นอยู่และความเป็นไปของสังคมการเมือง 2.2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับภาพสะท้อนสังคมและวรรณกรรมการเมือง จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวกับภาพสะท้อนสังคมในวรรณกรรม พบว่าเป็นงานวิจัยที่ศึกษา วิเคราะห์วรรณกรรมประเภทบันเทิงคดี นวนิยาย บทร้อยกรอง งานวิจัยเรื่องสั้นมีจำนวนน้อยส่วน งานวิจัยที่เกี่ยวกับวรรณกรรมการเมืองมีจำนวนมาก มีทั้งการศึกษาวรรณกรรมในแต่ละยุคสมัย และ ประเภทต่างๆ ในด้านแนวความคิดทางการเมือง สภาพทางการเมืองและการปกครองเป็นต้นสรุปผล การค้นคว้างานวิจัยที่เกี่ยวกับภาพสะท้อนสังคมและวรรณกรรมการเมืองได้ดังนี้ พรศักดิ์ พรหมแก้ว (2521) ได้ศึกษาเรื่อง วรรณกรรมการเมืองของเทียนวรรณ งานวิจัย เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวรรณกรรมการเมืองของเทียนวรรณ ที่ได้เสนอแนวความคิดทางการ เมืองเพื่อพัฒนาสังคมไทยไปสู่ความเป็นอริยะชาติอย่างแท้จริง และเรียกร้องให้รัฐบาลเห็นความสำคัญ ของการพัฒนาประเทศ และช่วยกันปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสังคม อันเป็นผลมาจากจิตสำนึก อิทธิพล จากพุทธศาสนาและการได้พบเห็นสภาพทั่วไปในสังคมขณะนั้น เทียนวรรณได้เสนอแนวความคิดโดย ชี้ให้เห็นว่าชนในสังคมไทยส่วนมากไม่ค่อยมีคุณสมบัติที่เอื้อต่อการพัฒนาการเมือง แต่ชนบางกลุ่ม พวกที่รักชาติบ้านเมืองและมีความปรารถนาในบ้านเมืองของคนเจริญก้าวหน้า อีกทั้งชี้ให้เห็นถึงความ ศรัทธาและความเชื่อมั่นในองค์พระมหากษัตริย์ และชี้ให้เห็นว่าสังคมไทยยังบกพร่องต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ทุกคนจึงต้องรู้จักนำเอาสิ่งหรือสภาพต่างๆ ในสังคมมาพิจารณาว่าขังเหมาะสมแก่การณ์ และสมัย หรือว่าควรจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขประการใดบ้าง ไพโรจน์ บุญประกอบ (2526) ได้ศึกษาเรื่อง การวิเคราะห์เรื่องสั้นแนวทางการเมืองและ สังคมในช่วง 14 ตุลาคม 2516-6 ตุลาคม 2518 งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาในด้าน การเมือง เนื้อหาเรื่องสั้นสะท้อนให้เห็นปัญหาทางการเมือง และปัญหาอันเกี่ยวเนื่องกับการเมือง สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในสังคม ในความคิดในการแก้ปัญหามีทั้งแนวความคิดที่อยู่ภายใน ขอบเขตของกฎหมายและแนวความคิดที่ขัดแข้งกับกฎหมายในขณะนั้น ในด้านเศรษฐกิจ เนื้อหาเรื่อง สั้นสะท้อนความยากจนข้นแค้นของประชาชน และชี้ให้เห็นว่ามีต้นเหตุมาจากอำนาจรัฐที่ไม่เป็นธรรม ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่เปิดโอกาสให้ผู้ได้เปรียบอยู่แล้วได้เปรียบยิ่งขึ้น และการสมคบกันเอารัด


29 เอาเปรียบประชาชนของผู้มีอำนาจหน้าที่และนายทุน แนวความคิดในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ มีลักษณะเดียวกับแนวคิดในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง ส่วนด้านวัฒนธรรมและค่านิยมพบว่า มีน้ำเสียงกัดด้านวัฒนธรรมและค่านิยมที่ไม่เป็นประโยชน์ และขัดขวางการดิ้นรนเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อ ชีวิตที่ดีกว่าของประชาชนผู้ทุกข์ยาก และเสนอแนวความคิดให้สร้างวัฒนธรรมและค่านิยมใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในสังคม ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าเรื่องสั้น แนวการเมืองและสังคม ในช่วงเวลาดังกล่าว มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในสังคมอย่างแท้จริง สันติ ทิพนา (2562) ได้ศึกษาเรื่อง ปรากฏการณ์ทางการเมืองและสังคมที่ปรากฏใน วรรณกรรมเรื่องสั้น รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2561 งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา วิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางการเมืองและสังคมในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2561 จำนวน 13 เรื่อง โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพและนำเสนอผลการวิจัยแบบพรรณนาวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า 1. ปรากฏการณ์ทางการเมือง แบ่งได้ 7 ประเด็นดังนี้ 1) รำลึกเหตุการณ์ทาง การเมือง 2) เหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง 3) ความแตกต่างด้านอุดมการณ์ทางการเมือง 4) การใช้อำนาจของนักการเมืองท้องถิ่น 5) การแข่งขันรับสมัครเลือกตั้งการเมืองท้องถิ่น 6) การใช้ อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐ และ7) การสะท้อนนโยบายของรัฐ 2. ปรากฏการณ์ทางสังคมในวรรณกรรม เรื่องสั้น รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2561 พบว่ามีประเด็นทางสังคม ดังนี้ 2.1 ภาพสะท้อนปัญหา สังคม แบ่งได้ 9 ประเด็น ดังนี้ 1) ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง 2) การปฏิเสธผู้โดยสารของของ รถแท็กซี่ 3) ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 4) ปัญหาธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และการตัดไม้ ทำลายป่า และ 5) ปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง 6) ปัญหาครอบครัวในสังคมไทย 7) ปัญหาข้อขัดแย้ง ของนายจ้างกับลูกจ้าง 8) ปัญหาการขาดโอกาสทางการศึกษา 9) ปัญหาสถานบันเทิงและการค้า ประเวณี 2.2 ภาพสะท้อนด้านเทคโนโลยี 2.3 ภาพสะท้อนด้านการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น 2.4 ภาพสะท้อนด้านความเชื่อแบ่งได้ 2 ประเด็นดังนี้ 1) ความเชื่อเรื่องผี 2) ความเชื่อเรื่องพญานาค จากการศึกษาค้นคว้างานวิจัยที่เกี่ยวข้องสรุปได้ว่า วรรณกรรมได้สะท้อนเหตุการณ์หรือ เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนั้นๆ ให้ประจักษ์ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงสังคม วัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมนั้นๆ ด้วย นอกจากนี้นักเขียนยังได้ ถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตและแนวความคิดต่างๆ ของตัวเองที่มีต่อสังคมและการเมืองโดยผ่าน วรรณกรรม เป็นแนวคิดทางการเมืองที่เน้นย้ำว่า วรรณกรรมซึ่งสร้างขึ้นโดยนักเขียนที่เป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม มีความสัมพันธ์กับสังคมอย่างใกล้ชิด และการเคลื่อนไหวของสังคม มีอิทธิพลต่อการ สร้างสรรค์วรรณกรรมเป็นอย่างมาก ส่วนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวรรณกรรมการเมือง


30 สรุปได้ว่าวรรณกรรมการเมืองสามารถทำให้ผู้อ่านได้มองเห็นถึงสถานการณ์ของบ้านเมืองใน แต่ละยุคสมัยนั้นและได้เรียนรู้ถึงแนวความคิดทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมืองของผู้เขียนหรือ คนในสังคมยุคสมัยนั้นด้วยซึ่งนักเขียนมักจะสอดแทรกในงานเขียนของตัวเอง เพื่อสนับสนุนหรือ ขับเคลื่อน สถานการณ์ของบ้านเมือง หรือปลุกระดมความคิดของคนในสังคมให้ต่อสู้ทางการเมือง จากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องสั้น เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา วรรณกรรมการเมืองและวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า เอกสารเกี่ยวกับแนวคิดทางการเมืองและ สังคม และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องจำนวน 10 เรื่อง ซึ่งเกี่ยวกับการวิเคราะห์เรื่องสั้นการเมืองรางวัลพาน แว่นฟ้า การศึกษาแนวคิดในเรื่องสั้น รวมไปถึงภาพสะท้อนสังคมและวรรณกรรมการเมือง พบว่า เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถนำมาเป็นความรู้พื้นฐานในการวิเคราะห์วรรณกรรมรางวัล พานแว่นฟ้า ระหว่างพ.ศ.2560-2564 ในด้านการศึกษาแนวคิดและภาพสะท้อนทางสังคมได้อย่าง ครอบคลุม สามารถเป็นแนวทางในการวิเคราะห์และต่อยอดความรู้เพิ่มเติมได้


31 บทที่ 3 ศึกษาแนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัล พานแว่นฟ้า ระหว่างพ.ศ.2560-2564 ในการศึกษางานวิจัยเรื่องการวิเคราะห์แนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏ ในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ระหว่างพ.ศ.2560-2564 มีวัตถุปะสงค์เพื่อศึกษาแนวคิด ทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ระหว่างพ.ศ.2560-2564 ในบทที่ 3 ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดทางการเมืองและสังคม โดยประกอบไปด้วยเรื่องสั้น ทั้งหมด จำนวน 65 เรื่อง และแนวคิดที่ศึกษามีทั้งทั้งหมด 5 ประเด็น แบ่งออกได้ดังนี้ 1. แนวคิดเกี่ยวกับการเมือง 3 ประเด็น คือ 1.1 แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจทางการเมืองหรือพฤติกรรมทางการเมือง 1.2 แนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง 1.3 แนวคิดเกี่ยวกับความขัดแย้งหรือความแตกต่างด้านอุดมการณ์ของบุคคลทางการเมือง 2. แนวคิดเกี่ยวกับสังคม 2 ประเด็น คือ 2.1 แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่พลเมือง 2.2 แนวคิดเกี่ยวกับความขัดแย้งหรือความแตกต่างด้านอุดมการณ์ของบุคคลทางสังคม 3.1 วิเคราะห์แนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัล พานแว่นฟ้า ประจำปี 2560 3.1.1 แนวคิดเกี่ยวกับการเมือง 3.1.1.1 แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจทางการเมืองหรือพฤติกรรมทางการเมือง แนวคิดอำนาจทางการเมือง หมายถึง ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับอำนาจ สถาบัน และรัฐบาล ที่ได้รับการยอมรับว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ ควบคุมและครอบคลุมสังคมในการจัดตั้งและรักษาระเบียบ สังคม มีอำนาจที่จะนำมาซึ่งวัตถุประสงค์ร่วมกันของสมาชิกในสังคม และมีอำนาจในการ ประนีประนอมความคิดเห็นของคนต่างๆ ในสังคม ส่วนการปกครอง คือการใช้อำนาจหน้าที่ในการ จัดสรรสิ่งที่มีค่าต่อสังคมอย่างเป็นธรรม อำนาจทางการเมืองคือการใช้อำนาจของผู้ปกครองเหนือ ผู้ปกครองซึ่งเป็นอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง ที่รัฐใช้ในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลและ


32 กลุ่มบุคคลในสังคม พฤติกรรมทางการเมือง เป็นการแสดงออกของผู้ที่มาอำนาจทางการเมือง โดยผู้ที่ เข้ามามีอำนาจทางการเมืองนั้นส่วนใหญ่มักจะใช้ประโยชน์จากอำนาจเพื่อตนเองและพวกพ้องโดยไม่ สนใจอุดมการณ์ทางการเมืองในอดีตของตน การเมืองจึงเป็นพฤติกรรมของคน จากคนที่มุ่งหวังเข้ามา เปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีขึ้น แต่กลับกลายเปนการเข้ามาใช้อำนาจอย่างบ้าคลั่งไม่ต่างจากผู้มี อำนาจอยู่ก่อน อำนาจทางการเมืองจึงมีแนวโน้มในการเปลี่ยนแปลงบุคคลให้ลุ่มหลง มัวเมาไปกับสิ่ง ที่สังคมเกรงกลัว จึงมีการใช้อำนาจอย่างไร้ขอบเขต ไร้ความเห็นอกเห็นให้ประชาชนจนหลงลืมไปว่า เมื่อหมดอำนาจ เขาเหล่านั้นก็ต้องกลับสู่สถานการณ์เป็นประชาชนธรรมดาสามัญ ดังนี้ ตัวอย่างที่1 บางครั้ง เรื่องมันยุ่งยากก็เพียงเพราะว่าเราต่างเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เราคิดว่าเราต้องได้ อะไรสักอย่างเสมอ แต่เรากลับไม่สนใจคนอื่นที่สูญเสีย เราคิดว่าเราต้องถูกตลอด ขณะที่คนอื่นผิดทุก ข้อ เราคิดว่าคนอื่นต้องฟังเรา แต่เรากลับไม่ฟังคนอื่น (คอมโพสิชั่น (ไม่เคย) ลงตัว: 41-42) จะเห็นได้ว่า พฤติกรรมทางการเมืองของมนุษย์อยู่คู่กับสังคมการเมืองมาอย่างช้านาน การอยู่ร่วมกันในสังคมทำให้ประชาชนต้องเคารพกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนด แต่ก็ยังคนมีบางคน ที่ต้องการมีอำนาจเหนือผู้อื่น ต้องการเป็นผู้นำหรือผู้ปกครอง การแสวงหา หรือช่วงชิงอำนาจจนเกิด การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจึงเกิดขึ้นกับทุกสังคม ตัวละครในเรื่องชี้ให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการ อำนาจจนเกิดการยึดถือตัวตนว่ามีความชอบธรรมเสมอมาจนเกิดการใช้อำนาจในทางมิชอบ ตัวอย่างที่ 2 แต่สำหรับผมน่ะเรื่องปวดหัวมักจะเกิดขึ้นก็อีตอนทำรายงานประจำเดือนนั่นล่ะ เพราะสถิติ คดีมักจะไม่ได้เป้าตามที่หน่วยเหนือเขากำหนดมาให้ สมมติว่าเดือนนี้รับคดีไว้ห้าเรื่อง เดือนหน้า จะต้องให้ได้มากกว่า จำนวนคดีต้องมีเพิ่มขึ้นในขณะที่อีกทางหนึ่งเราก็รณรงค์ให้อาชญากรรมลดลง คุณว่ามันย้อนแย้งกัน (เหตุการณ์สามัญ (กรณีศึกชิงปลากระป๋อง): 60)


33 จะเห็นได้ว่า ผู้มีอำนาจทางสังคมมักใช้อำนาจในการวางแผนหรือวางเป้าหมายในการ บริหารจัดการ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงกับสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อม อีกทั้งยังไม่คำนึงถึง นโยบายส่วนรวม ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาใช้อำนาจในการกำหนดนโยบายภายในองค์กร แต่ไม่คำนึงถึง ความเป็นจริงและนโยบายของภาครัฐที่มีความพยายามบริหารจัดการการก่อคดีให้ลดน้อยลง เนื่องจากนโยบายของผู้บังคับบัญชาและนโยบายของภาครัฐไม่สอดคล้องกันส่งผลทำให้ผู้อยู่ใต้บังคับ บัญชาต้องทำงานค่อนข้างยากลำบาก ตัวอย่างที่3 ในตอนนั้นเท่าที่ผมพอจะสรุปได้หลังจากใช้งานมาระยะหนึ่ง ไอ้เจ้า “กล่องสมบูรณ์แบบ” ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่ชื่อของมันอวดอ้างหรอก ความน่ารำคาญของมันเริ่มต้นตั้งแต่ตอนเปิด กล่องสัญญาณ สิ่งแรกที่ต้องทนฟังจนจบก็คือเพลงประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล “...และตัวฉันขอสัญญา จะใช้ทุกทุกเวลาเพื่อความรักเพื่อหัวใจที่จะใช้รักกันอีกครั้งขอให้เธอเชื่อมั่นและศรัทธา ทิ้งความ ผิดหวังที่เป็นมาไว้ข้างหลัง เราทุกคนคือพลัง พลิกฟื้นแผ่นดินไทยให้ปรองดอง” (กล่องสมบูรณ์แบบ: 88) จะเห็นได้ว่า รัฐบาลได้ทำการผลิตกล่องสมบูรณ์แบบเพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชน ที่เป็น การแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลต้องการแสดงอำนาจเพื่อควบคุมประชาชนให้อยู่ในสิ่งที่ตนต้องการ โดยการแทรกแซงสิ่งที่ตนกำหนดไว้ในชีวิตประจำวันของประชาชน เพื่อให้ประชาชนเสพสิ่งที่รัฐบาล ต้องการให้รู้เพียงเท่านั้น กล่องสมบูรณ์จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของรัฐบาล ที่ใช้อำนาจควบคุม ประชาชนในประเทศ ตัวอย่างที่4 รัฐบาลเผด็จการใจแคบปิดกั้นสื่อไม่ให้ประชาชนได้รับรู้ความจริง พร้อมกับลิสต์รายชื่อสถานี ที่เข้าถึงไม่ได้เมื่อดูผ่านกล่องนี้ ซึ่งทั้งหมดเป็นช่องที่มักจะเสนอข่าวด้านลบของรัฐบาล อีกสิ่งหนึ่ง ที่ชวนให้ผมรำคาญใจก็คือการเปิดรายการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลในช่วงไพรม์ไทม์ ทำเอาผมต้องกดรีโมตหนีไปยังช่องต่างประเทศแทบทุกครั้ง ทว่าพอเข้าปีที่สอง แม้แต่ช่องรายการของ ต่างประเทศก็ถูกตัดสัญญาณและแทรกรายการเฮงซวยพวกนี้เข้ามาดื้อๆ ครั้นจะปิดโทรทัศน์หนี จนกว่ารายการจะจบ พอเปิดกล่องสัญญาณมาอีกทีก็ต้องทนฟังเพลงสุดเห่ยนั่นอีกรอบ หลังๆ มาผม


34 กับภรรยาจึงได้แต่ทนๆ ฟังผ่านหูให้พ้นๆ ไป นอกจากจะแทรกรายการประชาสัมพันธ์ผลงานแล้ว บางทียังมีรายการข่าวด่วนที่จัดทำโดยรัฐบาล (กล่องสมบูรณ์แบบ: 88-89) จะเห็นได้ว่า หน้าที่ของกล่องสมบูรณ์แบบคือควบคุมการเสพสื่อของประชาชน ทั้งรายการโทรทัศน์และเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมต่างๆ จะถูกกล่องสมบูรณ์แบบคัดกรองหรือมีมาตรการ ที่ทำให้คนไม่กล่าเปิดดู เช่น ช่องข่าวบางช่องหายไป บังคับฟังเพลงปลุกใจให้เชื่อมั่นในรัฐบาลและ ปรองดองกันทุกครั้งที่เปิดใช้งานกล่อง มีรายการประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลในช่วงไพรม์ไทม์ ในทางหนึ่งอาจสื่อถึงการตั้งคำถามปนความไม่แน่ใจต่อการเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาล ว่าเป็น การควบคุมเพื่อความสงบสุขให้ประเทศไทยหรือเป็นการใช้อำนาจลิดรอนประชาธิปไตยที่ควรก้าวไป ข้างหน้า ตัวอย่างที่5 แต่ข้อเสียที่โคตรสำคัญสำหรับผู้ชายอย่างผมที่ผมไม่กล้าบอกภรรยา (แต่เธอก็รู้จนได้) คือ ไอ้เจ้ากล่องจัญไรนี่พยายามทำตัวเป็นคุณแม่รู้ดีคอยคัดกรองสื่อลามกอนาจารและภาพนางแบบ นุ่งน้อยห่มน้อยผ่านสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่มันปล่อยออกมา ไอ้ที่ตลกกว่านั้นคือ หลังจากขึ้นข้อความ ว่าเว็บไซต์ถูกปิดกั้นสักพักวิดีโอธรรมะจะเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ แถมยังกดปิดไม่ได้เสียด้วยจนกว่า จะฟังจบ (กล่องสมบูรณ์แบบ: 89) จะเห็นได้ว่า ทุกครั้งที่พยายามจะเปิดเว็บไซต์ดังกล่าวจะมีเสียงสวดมนต์ดังขึ้นเพื่อบอก ทางอ้อมถึงความไม่เหมาะสม ผิดศีลธรรมของสิ่งที่กำลังทำ อีกทั้งเพื่อให้ผู้อื่นรับรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ในกรณีเสียงธรรมะที่ดังหลังเปิดเว็บไซต์อนาจารนั้น เป็นการลดทอนเสียงวิพากษ์วิจารณ์การควบคุม และยัดเยียดความคิดทางการเมืองแบบรัฐให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ การเลือกใช้เสียงธรรมะกลบ ภาพลามกอนาจารยังชวนให้นึกถึงความพยายามของรัฐบาลที่จะกลบล้างความเห็นต่าง โดยเฉพาะ ด้านข้อมูลข่าวสารที่มีการระงับออกอากาศของสัญญาณช่องรายการโทรทัศน์หลายช่องในช่วงแรก ของการเข้ามาบริหารประเทศ กับเสียงสวดมนต์ในเรื่องสั้นจึงทำหน้าที่ไม่ต่างกัน คือปิดบังสิ่งที่คิดว่า ไม่เหมาะสมแก่ประชาชน


35 ตัวอย่างที่ 6 บางทีถ้าไม่มีพวกเขา เจ้ากล่องนั่นก็คงไม่มีทาง ‘สมบูรณ์แบบ’ ได้เหมือนตอนนี้ (กล่องสมบูรณ์แบบ: 103) จะเห็นได้ว่า พวกเขาในที่นี่หมายถึง นักเขียน นักปฏิวัติ ภาคีเสรีภาพ กล่าวคือ การบริการประเทศของรัฐบาล ถ้าไม่มีความเห็นต่างคอยตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ นโยบายของ รัฐบาลก็คงไม่ไปถึงความสำเร็จที่เกิดจากความพยายามขจัดข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ได้ ดังนั้นสิทธิ ในการแสดงความคิดเห็นและรับรู้ข้อมูลหลากหลายด้านจึงเป็นสิ่งที่ประชาชนควรได้รับ 3.1.1.2 แนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นการมีส่วนร่วมในการปกครองของประชาชนตามสิทธิ ที่ระบบการเมืองและกฎหมายกำหนด เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยสมัครใจของประชาชน ทั้งนี้เพื่อให้ มีอิทธิพลโน้มน้าวการกำหนดนโยบายของรัฐทั้งในด้านการเมืองและการปกครองทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับประเทศ ดังนั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน จึงเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ตัดสินใจและ กำหนดความต้องการของตนเอง ทั้งนี้เพื่อให้อำนาจแก่บุคคล กลุ่ม องค์กรชุมชนสามารถระดม ความสามารถในการจัดการทรัพยากรได้ การตัดสินใจและการกำกับดูแลกิจกรรมชุมชนมากกว่าการ ป้องกัน นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของประชาชนสามารถกำหนดชีวิตของตนเองเพื่อพัฒนาชีวิตตาม ความจำเป็นอย่างมีศักดิ์ศรี และสามารถพัฒนาศักยภาพของคนหรือชุมชนในด้านภูมิปัญญา ทักษะ ความรู้ ความสามารถ และการจัดการและความตระหนักในการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ ดังนี้ ตัวอย่างที่7 แต่เหตุการณ์ก็มาระเบิดเอาอีตอนที่นายกศักดิ์เขาชนะเลือกตั้งนั่นซี คราวนี้มันเล่นขึงลวด หนามกั้นรั้วไม่ให้ผมผ่านเข้าสวนกันเลยทีเดียว เล่นกันอย่างงี้ผมก็เอาบ้างสิ ผมปิดทางเข้าบ้านมันก็ เลยต้องไปเข้าทางอื่น นั่นแหละ พี่น้องต้องกลายเป็นคนอื่นไปก็ตั้งแต่ผลเลือกตั้งออกน่ะแหละ (เหตุการณ์สามัญ (กรณีศึกชิงปลากระป๋อง): 67)


36 จะเห็นได้ว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองตามวิถีประชาธิปไตยในสังคมนั้น ถือเป็นสิ่งที่ดี และเป็นสิ่งที่ประชาชนที่อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยพึงกระทำ แต่การกระทำหลังจากการเลือกตั้ง ที่ใช้การเมืองที่มีความชอบ การตัดสินใจเลือกในการลงคะแนนเสียงให้กันบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ที่ลงสมัครรับเลือกตั้งนั้น หากมีความคิดเห็นหรือความชอบที่แตกต่างกันไม่ควรนำการเมืองมาใช้ ในการกระทำต่อส่วนรวมหรือภายในสังคม จนก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งตามมาภายในสังคม หากไม่ลงเอยหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันควรใช้วิธีอย่างสันติในการเจรจาพูดคุยกันอย่างใช้ เหตุและผล ไม่ใช่การกลั่นแกล้งกันเพื่อให้อีกฝ่ายเสียผลประโยชน์ 3.1.1.3 แนวคิดเกี่ยวกับความขัดแย้งหรือความแตกต่างด้านอุดมการณ์ของ บุคคลทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมืองคนในสังคมมีความคิดเห็นต่างกัน เนื่องจากมนุษย์มีความ หลากหลายทางความคิดเห็น จึงเป็นเรื่องปกติที่สังคมจะมีความคิดเห็นต่างกัน ความเห็นต่างกัน จึงไม่ขัดแย้งหรือแตกแยก แต่ความเห็นต่างกันอาจเป็นปัจจัยหนึ่ง นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง เพราะความขัดแย้งทางการเมือง เกิดขึ้นจากการมีความคิดเห็นไม่ตรงกันในสังคมเนื่องจากเพราะ ทรัพยากรในสังคมมีจำกัดในขณะที่ประชาชนมีความตองการทรัพยากรอย่างไม่จำกัด ความขัดแย้ง ทางการเมืองจึงเกี่ยวของกับความคิดเห็นของคนในสังคมที่ไม่เห็นด้วยหรือมีความขัดแย้ง อย่างไร ก็ตาม มุมมองทางการเมืองนี้เป็นที่ถกเถียงกันมาก หากไม่สามารถระงับข้อพิพาทได้ ประเทศก็จะตก อยู่ในความโกลาหล ตอมามีมุมมองทางการเมืองใหม่เกี่ยวกับผลประโยชน ที่ประนีประนอม เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งจากการดำเนินการทางการเมืองที่ไม่มีทางแกไข ดังนี้ ตัวอย่างที่8 “พ่อว่าไอ้ก้องมันมีส่วนด้วยหรือเปล่า” สมดวงเอ่ยขึ้นอย่างตริตรอง ก้องเป็นเพื่อนรุ่นพี่อ่อน แก่กว่ากันไม่กี่ปี จึงไม่ได้เรียกขานเป็นพี่ เมื่อเรียนจบมัธยมสมดวงไปเรียนเกษตร ส่วนก้องไปเรียน ที่ มหาวิทยาลัยรามคำแหงแต่ไม่จบ จึงกลับมาอยู่บ้าน ทำสวนทำไร่ก๊อกแก๊กไปตามเรื่อง แต่งานหลักคือ การเป็นหัวคะแนนให้นักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองระดับไหน หากมาหาก้อง เขาจะเต็มใจ ทำงานให้ ที่แย่ก็คือ คนที่ก้องเคยสนับสนุนไม่ใช่คนที่สมดวงชื่นชอบ แต่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน ต่างฝ่ายต่างเก็บความชอบของตนไว้เงียบๆ “พ่อว่าเป็นมันไหม” “มันจะทำขนาดนั้นเลยหรือ” ตาชม ไม่อยากจะคิดเหมือนลูกชาย อย่างไรก็คนบ้านเดียวกัน “ก็มันเป็นลูกน้องไอ้พวกนายทุน” “แต่มัน ก็คนบ้านเรานะไอ้ดวง...ยายเดือนก็น้ามัน ทำแบบนี้กระทบกันหมดทุกคน ไม่ใช่กระทบเฉพาะเรา” (ใจในใจ: 134-135)


37 จะเห็นได้ว่า จุดเริ่มต้นของความบาดหมางกัน คือมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันทาง การเมือง เพราะก้องเป็นหัวคะแนนให้กับนักการเมือง ส่วนสมดวงกลับไม่ได้ชื่นชอบนักการเมืองที่ก้อง เป็นหัวคะแนนให้ แต่ความคิดเห็นที่แตกต่างจะไม่เกิดปัญหาขึ้นหากไม่มีเหตุให้ทั้งสองฝ่ายได้มา ร่วมกันเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ จึงทำให้อีกฝ่ายจับจ้องมองว่าอีกฝ่ายคือผู้ร้าย ทั้งที่จริงแล้วกลับเป็น ฝ่ายของนายทุนต่างหากที่อยู่เบื้องหลัง ตัวอย่างที่9 “คราวนี้มึงเชื่อหรือยังว่าไอ้ก้องไม่เกี่ยว” เสียงตาชมดังขึ้นมาเมื่อเห็นลูกชายนิ่งเงียบ สมดวง เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็กล้าพอเหมือนกันที่จะหันไปขอโทษก้อง “ขอโทษด้วยที่เข้าใจมึงผิดไป” อีกฝ่ายยิ้ม นิดๆ มุมปากอย่างมีมาดตามเคย “ไม่เป็นไร กูไม่ถือ” ก้องตอบง่ายๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน สะใจที่สมดวง ไม่สามารถตอบโต้ได้เหมือนเคย “มึงเข้าใจก็ดีแล้ว จะได้ไม่มาด่ากูอีก กูกลับก่อนละ มีงานต้องทำ...” (ใจในใจ: 146) จะเห็นได้ว่า หากทุกคนเอาแต่จับจ้อง มองกันและกันในแง่ร้าย ไม่ยอมรับสิทธิ์ของผู้อื่น ที่สามารถคิดต่างจากตน สังคมก็จะมีแต่ความหวาดระแวง และเมื่อหากยอมเปิดใจรับความแตกต่าง ที่ไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความขัดแย้งเสมอไป แต่การจัดการกับความแตกต่างที่เกิดขึ้นเหล่านี้ต่างหาก ที่เป็นสิ่งสำคัญ เพราะความแตกต่างจะไม่กลายเป็นปัญหา หากเรายอมรับความแตกต่างของซึ่งกัน และกัน ตัวอย่างที่10 ผมไม่เคยลืมวันที่ปู่กับพ่อทะเลาะกัน ปู่ด่าพ่อว่าไอ้ขี้ขลาด ต้องคอยเลียตีนฝ่ายทางการ ที่วันๆ เอาแต่ขูดรีดเอาเปรียบ พ่อตอกกลับปู่ว่าแก่แล้วยังโดนพวกคอมมิวนิสต์ล้างสมอง ปู่ยืนนิ่ง เดินเข้าไปประจันหน้าพ่อ ผมกับแม่กอดกันร้องไห้ที่มุมประตู แต่ยังได้ยินคำพูดปู่ดี ถ้ามึงขึ้นเขากูจะ อยู่ดูแลลูกเมียมึง แต่เมื่อมึงขี้ขลาดกูจะไปเอง ต่อไปนี้มึงไม่ใช่ลูกกู ที่ไม่มีเชื้อสายขี้ขลาดต้องคอย ประจบสอพลอพวกเอาเปรียบ ต่อไปนี้กูคือคอมฯ มึงคือทางการ นี่คือสงคราม เจอกันที่ไหน ยิงกัน ได้เลย (ในหมอก: 166)


38 จะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งของสองพ่อลูกเกิดจากความเห็นต่างทางด้านการเมือง และได้ถูก แบ่งออกเป็นฝักฝ่าย เพราะทุกคนมีอุดมการณ์ของตนเอง ต่างคนต่างเลือกทางเดินของตนเอง ซึ่งสังคมครอบครัวเป็นสังคมที่เกิดความขัดแย้งได้ง่าย ดังนั้น จึงนำไปสู่ความขัดแย้งในที่สุด ตัวอย่างที่11 นี่คือแดนสวรรค์ ปู่อยู่ในสวรรค์อย่างแท้จริง ปู่ผายมือไปด้านหลังผม เมื่อหันไปดูพบว่าเป็น พ่อนั่นเอง พ่อเดินใกล้เข้ามา ผมเห็นรอยยิ้มแบบเดียวกับของปู่ ยิ้มแห่งรักและเอ็นดูอย่างจริงใจ พ่อ เอื้อมมือตบไหล่ผมสองครั้งพร้อมพยักหน้าด้วยอาการชื่นชม พ่ออยู่กับปู่หรือผมถาม ปู่ตอบว่า เรา คือครอบครัวเดียวกัน (ในหมอก: 179) จะเห็นได้ว่า สุดท้ายแม้ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ความเป็นครอบครัว เดียวกันทำให้เหตุการณ์บรรเทาความรุนแรงลงได้ เพราะสุดท้ายทั้งพ่อและปู่คือครอบครัวเดียวกัน ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ 3.1.2 แนวคิดเกี่ยวกับสังคม 3.1.2.1 แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่พลเมือง แนวคิดเรื่องสิทธิและหน้าที่เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ใน สังคม คำว่า สิทธิ หมายถึงอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองที่กฎหมายรับรอง ในขณะที่คำว่า เสรีภาพหมายถึงความสามารถของบุคคล เลือกที่จะคิด กระทำ หรือพูดอย่างไรก็ได้ตามความพอใจใน ตัวเอง ซึ่งเป็นอำนาจที่กฎหมายรับรองว่ากระทำอย่างอิสระ โดยเสรีและสุจริต แต่ต้องไม่กระทบต่อ สิทธิของผู้อื่น พลเมืองจะแสดงออกถึงความกระตือรือร้นในการรักษาสิทธิต่างๆ ของตน รวมถึงการมี ส่วนร่วมทางการเมือง โดยการแสดงออกซึ่งสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ดังนี้ ตัวอย่างที่ 12 พ่อเป็นสุภาพบุรุษ รักษาคำพูด นั่นเป็นสิ่งที่เรารู้ดี แต่ยิ่งไปกว่านั้น พ่อมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือ ผู้อื่นทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้มีมากมายเหลือกินเหลือใช้ที่พ่อไม่ยอมเลื่อนนัดก็เพราะรู้ว่าอาฮุยมีธุระ ต้องกลับต่างจังหวัด น้องสาวคนเดียวของเขาป่วยหนัก พ่อรู้ว่าอาฮุยไม่มีเงินเก็บมากนัก พักหลังธุรกิจ


39 ร้านถ่ายรูปของเขาไม่ดีเท่าที่ควร มีร้านเปิดใหม่แย่งลูกค้าไปหมด พ่อเลยอยากให้เขามีเงินติดตัว กลับบ้านไปดูแลอาการป่วยของน้องสาว (คอมโพสิชั่น (ไม่เคย) ลงตัว: 33) จะเห็นได้ว่า ตัวละครชื่อแสนศักดิ์หรือ “พ่อ” ได้ดำเนินชีวิตตามหน้าที่ของพลเมืองไทย ในการรักษาคำพูด มีน้ำใจต่อเพื่อนบ้านหรือคนที่อยู่ร่วมกันในสังคม เป็นการรักษาคำพูดที่ตนเองได้ กล่าวไว้ว่าจะทำอะไรก็ทำตามคำพูดตามที่ตนเองพูดโดยยึดหลักความเป็นมนุษย์ที่ต้องทำตาม สิ่งที่ตนเองได้กล่าวไว้ ทั้งยังเป็นการสร้างสัมพันธ์อันดีต่อเพื่อนบ้านและสังคมในการเป็นพลเมืองที่ดี ในสังคม อีกทั้งยังเป็นพลเมืองที่มีน้ำใจต่อเพื่อนบ้านหรือคนในสังคม เมื่อเราเห็นถึงความเดือดร้อน ของเพื่อนบ้านจะต้องหาทางช่วย เพื่อเป็นการแสดงความช่วยเหลือในยามที่เพื่อนบ้านหรือคนในสังคม ต้องการความช่วยเหลือเท่าที่เราจะช่วยได้ ตัวอย่างที่13 “ช่วงนี้ธุรกิจพ่อเธอก็ไม่ค่อยดี เขาต้องทำงานหนักกลับบ้านดึกดื่น แล้วอาทิตย์หน้าก็ต้อง เดินทางไปซื้อเครื่องจักรที่เมืองจีนอีก ที่บ้านมีแต่ผู้หญิง ดูวังเวงเงียบเหงาชอบกล เธอเป็นผู้ชายควร กลับไปช่วยดูแลครอบครัวนะ” ผมเชื่อตามที่น้าชายบอก เมื่อกลับมาอยู่บ้านได้ไม่นาน พี่ต้นก็กลับมา (คอมโพสิชั่น (ไม่เคย) ลงตัว: 36) จะเห็นได้ว่า ตัวละคร “ผม” ได้ทำหน้าที่พลเมืองที่ดีและหน้าที่ของความเป็นสมาชิก ภายในครอบครัว เนื่องจากทางบ้านไม่มีสภาพคล่องทางธุรกิจ จนพ่อต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง แม่ไม่ค่อยสบาย ในสิทธิและหน้าที่ของความเป็นลูกและพลเมืองที่ดีต้องกลับไปดูแลบุคคลภายใน ครอบครัวและทำหน้าที่ความเป็นลูก เพื่อกลับไปช่วยเหลือครอบครัวในยามที่ครอบครัวเกิดปัญหา หรือเผชิญกับวิกฤต อีกทั้งเป็นการแสดงถึงความเป็นผู้มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของลูกและพลเมือง ตัวอย่างที่14 “ตาชื่นชมพ่อพี่นะ ที่ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งครั้งใดพ่อพี่ต้องโทร.ตามลูกมาลงคะแนน ทั้งที่ หากพลาดไปสักครั้งสองครั้งมันก็ไม่ได้มีผลอะไร เพราะครอบครัวพี่ไม่มีใครคิดลงเล่นการเมืองอยู่แล้ว


40 ในวิถีประชาธิปไตยพ่อพี่เป็นพลเมืองดีที่น่าเอาเยี่ยงอย่าง แต่สำหรับคนในบ้าน พ่อพี่กลับเผด็จการ จนทุกคนอึดอัด แม้แต่เด็กอย่างตันหยง ที่พอเริ่มโต เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง ก็ไม่อยากอยู่ใต้ อาณัติของพ่อพี่ขึ้นมาอีกคน” (ชัยชนะของบุญยืน: 55) จะเห็นได้ว่า เฒ่าเทพเป็นตัวละครที่ดีตัวละครหนึ่ง เพราะหากกล่าวถึงหน้าที่พลเมืองใน สังคมแล้ว เฒ่าเทพเป็นผู้ที่ทำหน้าที่พลเมืองได้ดี กล่าวคือ มีความรับผิดชอบ มีการออกไปใช้สิทธิ์ เลือกตั้งตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ที่เหมือนจะเป็นประชาธิปไตยโดยแท้จริง แต่ในอีกมุมหนึ่ง กลับใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบกับคนในครอบครัว คอยเข้มงวด บังคับ คอยตีกรอบชีวิตของคนใน ครอบครัว จนบางทีคนในครอบครัวกลับไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการแสดงความคิดเห็น เพราะเฒ่าเทพเอา แต่ความคิดของตนเป็นใหญ่ ไม่ยอมฟังใคร ตัวละครเฒ่าเทพเปรียบเหมือนผู้ที่มีอำนาจในสังคม ซึ่งใน ปัจจุบัน บุคคลประเภทนี้มีให้เห็นอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ผู้บริหารประเทศ เจ้าของบริษัทต่างๆ หรือผู้บริหาร ตัวอย่างที่15 แต่บุญยืนจะเปลี่ยนความคิดของเฒ่าเทพได้อย่างไรเล่า ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาเกือบห้าสิบ (ชัยชนะของบุญยืน: 54) จะเห็นได้ว่า บุญยืนเป็นภรรยาของเฒ่าเทพ ที่ถูกเฒ่าเทพกดขี่ตลอดเกือบห้าสิบปี ของการอยู่ด้วยกันมาหลังจากที่แต่งงานกันแล้ว แม้แต่ลมหายใจของบุญยืนที่ผู้ให้กำเนิดได้ให้มาตั้งแต่ เกิดของ บุญยืน บุญยืนยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าแท้ที่จริงแล้ว ชีวิตนี้ของบุญยืนยังเป็นของ บุญยืนอยู่ หรือไม่ เนื่องจากเฒ่าเทพนั้นไม่ให้สิทธิ์บุญยืนมีชีวิตเป็นของตนเอง เพราะคอยแต่บังคับ ตีกรอบชีวิต ของบุญยืนเอาไว้ให้อยู่ในโอวาท นางจึงไม่สามารถได้ทำตามใจของตนเองหรือได้ทำในสิ่งที่นาง ต้องการและยังทำให้นางนั้นขาดความมั่นใจในการดำเนินชีวิตของตนเอง เพราะต้องก้มหน้ารับคำสั่ง และปฏิบัติตามที่เฒ่าเทพสั่ง ตัวละครบุญยืน เปรียบเหมือนผู้ที่ด้อยอำนาจในสังคม ที่คอยทำตาม คำสั่ง ซึ่งในปัจจุบันบุคคลประเภทนี้ก็มีให้เห็นอยู่ในสังคม เช่น ประชาชน (บางกลุ่ม) ชาวบ้านใน ชนบท ลูกจ้าง พนักงานบริษัท


41 ตัวอย่างที่ 16 “ตั้งแต่แต่งงานกับพ่อเอ็งมา นี่เป็นอิสระอย่างเดียวของแม่ แม่จะเลือกลงคะแนนให้ใคร พ่อเอ็งจะมาบังคับแม่เหมือนที่บังคับเรื่องอื่นๆ ไม่ได้อีก เอ็งเข้าใจใช่ไหม” (ชัยชนะของบุญยืน: 57) จะเห็นได้ว่า จากที่บุญยืนได้กล่าวเอาไว้ดังข้างต้นแล้วนั้น แสดงให้เห็นว่า สิ่งเดียวที่บุญ ยืนสามารถมีสิทธิ์คิด ตัดสินใจได้ด้วยตนเองนั้น ก็มีเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือ การได้ลงคะแนนเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครคนใดก้ได้ เพราะการตัดสินใจเลือกตั้งด้วยตัวเองอาจเป็นอิสระอย่างหนึ่งในสังคมไทยที่ไม่มี ผู้ใดมาพรากไปจากพลเมืองไทยได้ ตัวละครในวรรณกรรมได้ชี้ให้เห็นการใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นหน้าที่ ของประชาชนที่กฎหมายกำหนดเป็นสิทธิและเสรีภาพในการตัดสินใจเลือกตัวแทนเอง อันเป็นแนวคิด พื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นการเลือกผู้นำด้วยสันติวิธี การออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งของ ประชาชนตามที่กฎหมายให้การรับรองจึงเป็นการใช้สิทธิเลือกผู้นำด้วยตนเอง ที่กฎหมายไม่ยอมรับให้ ผู้ใดมามีอำนาจเหนือการตัดสินใจส่วนบุคคลได้ ตัวอย่างที่17 ชาวบ้านบอกว่าคนเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้วก่อนที่ผมจะมาถึง ส่วนคู่กรณีหายไป ในความมืดหลังก่อเหตุ เป็นสูตรสำเร็จที่ใครก็ไม่รู้คิดค้นขึ้น ผมนึกขำๆในใจว่า นี่กระมังเราจึงต้องเรียก เขาว่า ‘ผู้ต้องหา’ (เหตุการณ์สามัญ(กรณีศึกชิงปลากระป๋อง): 60) จะเห็นได้ว่า ชาวบ้านเป็นพลเมืองที่ทำหน้าที่ที่ดีในการแจ้งเบาะแสของคนร้าย ถือเป็น การแจ้งรายละเอียดในการหลบหนีของคนร้าย เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถแกะรอย สืบสวนในการทำคดี เป็นการให้ข้อมูลต่อพนักงานอย่างถูกต้อง เพราะเป็นการทำให้เจ้าหน้าที่ต้องรีบตามเก็บหลักฐาน หาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมและความโปร่งใสต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่อีกด้วย


42 ตัวอย่างที่18 “คุณน่าจะอยู่เฉยๆ ดีกว่านะ” พนักงานชายในแผนกเดียวกับเขาเอ่ยขึ้นพจน์ชะงักมือ ที่กำลัง กดน้ำร้อนรินลงในถ้วยกาแฟนิดหนึ่ง ก่อนกดต่อ “มันก็ไม่ได้ไปรบกวนอะไรใคร ไม่ใช่หรือครับ” พนักงานหญิงจากแผนกบัญชี ก้าวเข้ามาในบริเวณแพนทรีนั้น เธอคงได้ยินบทสนทนาก่อนหน้านั้น พอดี จึงพูดขึ้นขณะเปิดตู้เย็นว่า “มันค่อนข้างแปลกน่ะคุณพจน์ พวกเรา...เอ้อ ฉันไม่เคยเห็นใครนั่ง คิดเลขแบบนี้มาก่อนเลยนะคุณ” “มันเป็นงานอดิเรกของผม แค่ใช้เวลาว่างใช้สมองคิดอะไรซักอย่าง เท่านั้นน่ะครับ” “แต่บางคนเขาคิดว่า การคิดเลขของคุณอาจเป็นการเบียดบังเวลาทำงานนะ” พนักงานชายคนเดิมแย้ง (คนคิดเลข: 107) จะเห็นได้ว่า คนคิดเลขมีพฤติกรรมที่แตกต่างกับเพื่อร่วมงานคนอื่น นั่นคือ เขามักจะ หยิบกระดาษมาคิดเลขทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ความไม่เหมือนคนอื่นนี้จึงถูกมองว่าเป็นพวกที่แปลกแยก ไปจนถึงถูกไม่ไว้วางใจ และถูกคนอื่นคอยจับผิดอยู่ตลอดเวลา การให้ความสนใจความแตกต่างหรือ คนที่แตกต่างนับเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่ซึ่งเป็นสัตว์สังคม การอยู่ร่วมกันในสังคมจำเป็นต้องมีวิถี ปฏิบัติร่วมกัน แต่การยอมรับวิถีปฏิบัติร่วมกันของสังคมมิใช่การทำให้คนที่แตกต่างกลายเป็นคนนอก หรือเป็นคนอื่นในสังคม ตัวอย่างที่19 “การคิดเลขของคุณนั้น ทำให้ก่อความระส่ำระสายในหมู่พนักงานของบริษัทเป็นจำนวนมาก และขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...มันอาจกระทบถึงความมั่นคงของบริษัทของเราทีเดียว” “ผมแค่ชอบทำสิ่งที่แตกต่างและไม่เหมือนคนอื่น เท่านั้นครับ” (คนคิดเลข: 111-112) จะเห็นได้ว่า บุคคลย่อมมีสิทธิ์ที่จะเป็นตัวของตัวเองโดยไม่กระทำความเดือดร้อนให้แก่ ผู้อื่นเช่นเดียวกับคนคิดเลข ความแตกต่างของเขาอาจเรียกความสนใจและเป็นที่จับตามองของผู้อื่น แต่ตราบใดที่การคิดเลขของเขาไม่ได้ก่ออันตรายหรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น เขาก็ยังมีสิทธิ์ที่ จะคิดเลขต่อไป และทุกคนรอบข้างควรจะเคารพสิทธิ์ของเขา ความแตกต่างเกิดขึ้นและดำรงอยู่ใน สังคมเสมอ ไม่ว่าจะเป็นรสนิยมหรือความชอบส่วนตัว แต่การจัดการกับความแตกต่างที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ เพราะความแตกต่างจะไม่กลายเป็นปัญหา หากเรายอมรับและเคารพสิทธิ์


43 ของคนอื่นเท่ากับเคารพตัวเราเอง การปฏิบัติตนตามสิทธิของตนเองภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ โดยไม่ กระทบสิทธิบุคคลอื่น ย่อมได้ชื่อว่าบุคคลนั้นเป็นผู้มีส่วนนำพาบ้านเมืองให้พัฒนา และสังคมจะมีสุข เพราะเคารพสิทธิ ตัวอย่างที่20 นักเรียนรู้ไหมว่า ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวไว้ว่า ท่านอยากให้ตั้งกระทรวงศีลธรรม ขึ้นมา ในบ้านเมืองของเราเลยนะ เพราะท่านมีความเชื่อ และยืนยันความคิดผ่านธรรมเทศนาไว้ว่า...เราต้อง มีกระทรวงศีลธรรม เป็นกระทรวงใหญ่ ควบคุมกระทรวงทุกกระทรวง...เรามีศีลธรรมดีแล้ว กระทรวง เศรษฐกิจก็จะดี กระทรวงกรรมกรก็จะดี กระทรวงขนส่งก็จะดี อะไรๆ ก็จะดีหมด คือ ไม่มีคอร์รัปชัน นี่คือปัญหาทางศีลธรรม...เราควรจะทำให้ลูก เด็กๆ มีศีลธรรมมาตั้งแต่ในท้อง คือ พ่อแม่ของเด็ก ประพฤติตัวให้ดี ในการที่จะให้กำเนิดแก่ลูก บริหารครรภ์ให้มีศีลธรรม ให้คลอดออกมามีศีลธรรม ให้แวดล้อมด้วยศีลธรรมในรูปแบบต่างๆ จนเด็กมันโตขึ้นมาท่ามกลางของศีลธรรม นี่ปัญหาในโลกก็ จะหมดไป... “เราจะมาพูดคุยกันต่อในสัปดาห์หน้า ถึงรายละเอียดของการทำหน้าที่พลเมืองที่ดีของ ประเทศว่า ควรจะมีหน้าที่อย่างไรบ้าง ทั้งหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และหน้าที่ทางสังคมในด้านต่างๆ วันนี้หมดเวลาพอดี อย่าลืมกลับไปทบทวนบทเรียนที่จดไปตอนต้นชั่วโมงด้วยนะ” (ใครผิด?: 128) จะเห็นได้ว่า นอกจากครูคือบุคคลในสังคมที่ได้ปฏิบัติหน้าที่สอนให้คนเป็นคนดี ผลิตเยาวชนให้มีคุณภาพ สอนให้เด็กปฏิบัติตัวเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติแล้วนั้น ครูยังถูก คาดหวังให้เป็นผู้มีศีลธรรมนำทางชีวิตผู้คน โดยมีการยกคำกล่าวที่เป็นคุณธรรมของท่านพุทธทาส ภิกขุมาสอนเพื่อสร้างจิตสำนึกต่อเยาวชน ตัวอย่างที่21 “คุณปิติใจร้อนจัง หนูนิดเรียนดีอยู่แล้ว แค่สิบคะแนนจากวิชาของดิฉัน คงไม่มีใครสงสัย หรอกค่ะ อีกอย่างดิฉันก็มาช่วยสอนแค่เทอมเดียว คงไม่มีใครมาจับผิดหรอก แล้วดิฉันก็เพิ่งจัดการให้ คุณเรียบร้อยเมื่อเช้านี้เอง คุณปิติโทร.มาก็ดีแล้ว ยังไงก็อย่าลืมโทรศัพท์รุ่นใหม่แกะกล่องตามที่รับปาก ไว้ก็แล้วกันนะคะ” นีรนุช ครูสาวหน้าซื่อพูดราวเป็นเรื่องธรรมดาของการ เป็น อยู่ คือ เพียงแต่ใช้


Click to View FlipBook Version