44 น้ำเสียงที่เบาลงกว่าเมื่อครู่ ตามที่เห็นสมควรว่าไม่ควรให้ระแคะระคายเข้าหูเหล่านักเรียนที่กำลังเดิน สวนมา “ได้เลยครับครู พรุ่งนี้เย็น ผมจะเอาไปกำนัลให้ถึงบ้านเลยนะครับ” “ดีเลยค่ะ มะรืนนี้ วันพระพอดี ดิฉันจะได้เอาไปอวดเพื่อนที่จะไปถือศีลแปดที่วัดพร้อมกัน” (ใครผิด ?: 129) จะเห็นได้ว่า ตัวละครอาชีพครูถูกสร้างให้เพิกเฉยต่อคุณธรรมและการใช้อำนาจหน้าที่ ในทางมิชอบ อาจเป็นเพราะอาชีพครูไม่เพียงมีหน้าที่ให้ความรู้หรือเป็นผู้สอน แต่ครูยังเป็นต้นแบบ หรือแม่พิมพ์ของเยาวชนของชาติ ในฐานะผู้ที่สังคมคาดหวังให้เป็นผู้มีคุณธรรมนำทางชีวิตผู้คน ความผิดของครูจึงสร้างความสะเทือนอารมณ์ เพราะเรื่องไม่เพียงสื่อสารกับผู้อ่านด้วยเนื้อเรื่อง แต่ยัง สร้างบทสนทนากับบทบาทของครูที่สังคมคาดหวังด้วย โดยเฉพาะในช่วงปัจจุบันที่ปรากฏข่าวการ ละเมิดจรรยาบรรณของครูจำนวนมาก ตัวอย่างที่22 ชายคนดังกล่าวสังเกตกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้าอันประกอบด้วยชายหลายวัยปะปนกัน ตั้งแต่ เด็กหนุ่มรุ่นกระทงอย่างผมจนถึงชายสูงวัยอย่างพ่อของผม “ที่นี่คือบ้านดอนสักทองหรือเปล่าครับคุณ ลุง” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างสุภาพ เสียงของเขานุ่มทุ้มและแฝงอำนาจอย่างแปลกประหลาด ชาวบ้าน พยักพเยิดให้พ่อของผมตอบ พ่อจึงก้าวออกมาอย่างเสียไม่ได้ เผยให้เห็นโต๊ะที่ปูผ้าไว้อย่างหยาบๆ ด้านหลังพวกเรา “ช่าย ที่นี่คือบ้านดอนสักทอง พ่อหนุ่มมีธุระอะไรล่ะ” พ่อเท้าสะเอวถามผมเสียว แปลบเมื่อเขามองไปทางด้านหลังของพวกเรา เขาคงรู้แล้วว่าพวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่ แม้ว่าการ พนันจะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่กระแสของกฎหมายสำหรับชนบทที่ห่างไกลเช่นนี้ มันติดๆ ดับๆ มาถึงบ้างไม่ถึงบ้างเหมือนกระแสไฟฟ้าที่มาถึงที่นี่ ดังนั้นชาวบ้านจึงใช้ชีวิตกันไปตามประสา (นายหน้ากับที่ดินบนดวงจันทร์: 150-151) จะเห็นได้ว่า ปัญหาความแห้งแล้งทำให้ชาวบ้าน เกษตรกรไม่สามารถทำการเกษตรได้ จึงได้หันมาทำอย่างอื่นเพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัวแทน แต่สิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย นั่นคือ การเล่นการพนัน แทนที่ทุกคนจะหาวิธีทำให้ตนเองกลับมาทำหน้าที่ตนเองได้ เพราะหน้าที่ของ เกษตรกรคือการได้ทำการเกษตร จึงทำให้ทุกคนละเลยหน้าที่ส่วนนั้นไป
45 โดยการหาเหตุผลทางภัยพิบัติทางธรรมชาติมาอ้าง การที่นายทุนในเรื่องเข้ามามีบทบาท เพื่อเป็นการ กระตุ้นให้คนในสังคมได้รู้จักปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง ไม่ละเลยหน้าที่ของตนเอง เพราะหน้าที่คือสิ่งเรา ทุกคนต่างต้องปฏิบัติในทุกๆ วัน ตัวอย่างที่23 เรื่องที่ดูเหมือนนิทานหลอกเด็กของชายผู้นั้นนำมาซึ่งความหวังในรูปแบบที่แปลกประหลาด ของชาวบ้านที่นี่ หลายคนเลิกมองดวงจันทร์และหันมาทำนาอย่างแข็งขันด้วยเชื่อว่าตนเองถูกชาย ดังกล่าวหลอกลวง ชาวบ้านเหล่านั้นเชื่อว่าเงินที่ได้จากการทำนาในที่นาของตนมีความแน่นอนกว่า การคาดหวังเงินจากการทำนาบนดวงจันทร์ที่ไร้หลักฐาน (นายหน้ากับที่ดินบนดวงจันทร์: 160) จะเห็นได้ว่า เมื่อทุกคนมีความหวังในการทำเกษตรกรแล้วนั้น ทุกคนก็ได้กลับมาทำ หน้าที่ตนเองได้ดี หรืออาจกล่าวได้ว่า ความหวังและความพยายามมักจะมาคู่กันเสมอ เพื่อให้ประสบ ผลสำเร็จได้ หากทุกคนในสังคมรู้จักหน้าที่ของตนแล้วนั้น สังคมและประเทศชาติก็มีมีแต่ความสงบสุข ตัวอย่างที่ 24 ครูเจตหมายถึงการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า ซึ่งไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัย การทุจริตซื้อ เสียงด้วยวิธีการต่างๆ ก็ยังคงดำเนินไปอย่างไม่มีวันหมด และมันก็คงจะไม่มีวันหมดตราบใดที่ยังมี คนขายสิทธิ์ขายเสียงอยู่ในระบบ “การเขียนบทความกับชีวิตจริงมันไม่เหมือนกันนะครู” น้อมคิดคำ โต้แย้งมาได้เป็นประโยคแรก “ต่อให้ไม่ขายสิทธิ์ขายเสียงแล้วเป็นไง เราเคยได้คนดีๆ ที่ไม่หา ผลประโยชน์ใส่ตัวมาบ้างไหม ทุกคนล้วนทำเพื่อผลประโยชน์กันทั้งนั้นแหละ ผมก็มีสิทธิ์ที่จะหา ผลประโยชน์ใส่ตัวไม่ใช่หรือ คนอื่นๆ ก็เหมือนกันนั่นแหละ บอกผมหน่อยว่าในละแวกนี้มีใครบ้างที่ไม่ รับเงิน แล้วต่อให้ผมไม่ทำคนอื่นเขาก็ทำกันอยู่ดี” “ก็เพราะเราต่างคนต่างคิดกันแบบนี้น่ะสิ เขาจึงซื้อ พวกเราได้ ถูกล่ะเราไม่สามารถห้ามคนอื่นได้ แต่ถ้าเราห้ามตัวเราเองได้ ต่างคนต่างห้าม การทุจริตก็ จะไม่เกิดขึ้นนะครับ” “แล้วครูคิดหรือว่าจะมีใครที่ไม่ยอมรับเงินหรือของที่เขาเอามาแจกน่ะ” น้อมคาดคั้น “อย่างน้อยก็มีผมคนนึงล่ะ” ครูเจตตอบด้วยความมั่นใจพร้อมกับสูดลมหายใจลึก (รูรั่วที่พื้นรองเท้าผ้าใบ: 213-214)
46 จะเห็นได้ว่า การซื้อสิทธิ์ขายเสียงเป็นสิ่งที่พบเห็นในสังคมชนบทเป็นอย่างมาก เนื่องจากกลุ่มชนบทเป็นกลุ่มคนหัวอ่อนที่ไม่ได้เกิดการพัฒนาจากสภาพแวดล้อมสังคม จึงส่งผลให้ถูก ชักจูงกระทำสิ่งที่มิชอบได้ง่าย ครูจึงเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่คอยให้คำแนะนำกับกลุ่มคนในชนบทได้ง่าย ที่สุด เพราะครูคือบุคคลที่สังคมให้การยอมรับว่าเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม การที่ครูจะทำหน้าที่ สั่งสอนผู้อื่นให้ดีได้นั้น ครูจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคมก่อน ตัวอย่างที่ 25 แม่บอกว่าเมื่อถึงคราวที่จะต้องลงมติ ทุกคนจะมีหนึ่งสิทธิ์หนึ่งเสียงเท่าๆ กัน บ่อยครั้งที่ใน ครอบครัวมีความเห็นหรือความต้องการไม่ตรงกัน แม่ก็จะใช้วิธีโหวตเพื่อหาข้อยุติ โดยถือเอาเสียงข้าง มากเป็นหลัก และแน่นอนที่สุด น้อยจะอยู่ฝ่ายแม่ซึ่งเป็นฝ่ายชนะเสมอ แต่ก็ใช่ว่าเมื่อโหวตเสียงชนะ แล้ว แม่จะทำทุกอย่างให้สมกับความต้องการของผู้ชนะเสมอไปไม่ หลายครั้งหลายคราที่น้อยเห็นแม่ เอาความเห็นของพ่อซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยกลับมาพิจารณาและปรึกษาขอความเห็นชอบจากน้อย เพื่อที่จะกลับไปเลือกมติของพ่อโดยอาศัยหลักต่างๆ ของหลักธรรมาภิบาลดังกล่าว เป็นต้นว่าพ่อเป็น คนไม่กินไก่ เมื่อถึงเวลาที่จะต้องโหวตเสียงว่าวันนั้นจะแกงอะไรระหว่าง หมูกับไก่ พ่อเลือกหมูเพียง หนึ่งเสียง น้อยและแม่เลือกไก่รวมเป็นสองเสียง เมื่อแม่พิจารณาถึงหลักต่างๆ เป็นต้นว่า ความคุ้มค่า การมีส่วนร่วม ความรับผิดชอบแล้ว การเลือกแกงหมูก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่จะก่อให้เกิดความคุ้มค่า มากกว่า โดยสามารถกินกันได้ทั้งสามคนดังนี้ การเอาความเห็นของเสียงส่วนน้อยกลับมาพิจารณา และขอความเห็นจากผู้ร่วมโหวตก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำ (รูรั่วที่พื้นรองเท้าผ้าใบ: 212) จะเห็นได้ว่า เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นหลักของประชาธิปไตยในด้านการเคารพเสียง ส่วนมากเป็นหลัก เพราะทุกคนในสังคมอยู่ในระบอบของประชาธิปไตย การฟังเสียงส่วนมากและ เคารพเสียงส่วนมากจึงเป็นสิ่งที่คนในสังคมยอมรับอย่างไม่มีข้อหลีกเลี่ยงได้ หลักการถือเสียงข้างมาก เป็นเกณฑ์ควบคู่ไปกับการเคารพสิทธิของเสียงข้างน้อย ทั้งนี้การเคารพต่อสิทธิของเสียงข้างน้อยโดยที่ ไม่ขัดต่อหลักการถือเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จะต้อง กระทำโดยให้เป็นไปตามหลักฉันทามติซึ่งเป็นข้อตกลงร่วมกันที่มีลักษณะเป็นการยอมรับแบบเอก ฉันท์ของประชาชน
47 ตัวอย่างที่ 26 “ถ้าครูเจตตัดสินใจได้ก่อนหน้านี้ ป่านนี้คงสบายไปตั้งนานแล้ว นี่เก็บไว้ใช้นะ เล็กๆ น้อยๆ คิดซะว่าเป็นค่าน้ำชาก็แล้วกัน” พ่อเห็นกำนันธงยื่นซองสีน้ำตาลให้ ครูเจตยกมือโค้งไหว้ด้วย ความนอบน้อมก่อนรับซองนั้นมา “แล้วนี่ กุญแจ” ครูเจตยกมือไหว้กำนันเป็นคำรบที่สอง “ครูเจต เอาไว้ใช้นะ ทิ้งมันไปได้แล้วไอ้รถสับปะรังเคคันนั้นน่ะ” พ่อเพิ่งเหลือบไปเห็นรถยนต์คันเก่าของครูเจต จอดสนิทนิ่งอยู่ในโรงรถค่อนข้างลับตา “คันนี้ครูเจตเอาไปใช้พลางๆ ก่อน ชนะการเลือกตั้งแล้วผมจะ ให้เด็กๆ ไปจัดการคันใหม่มาให้ทันทีเลย” (รูรั่วที่พื้นรองเท้าผ้าใบ: 220) จะเห็นได้ว่า ตัวละครครูในรูรั่วที่พื้นรองเท้าผ้าใบได้เสนอภาพความซื่อสัตย์ ที่ครูได้ทำ หน้าที่สอนนักเรียนเรื่องความถูกต้องและความซื่อสัตย์ แต่กลับเป็นครูอีกเช่นเดียวกันที่เป็นผู้ละเมิด คำสอนเหล่านั้นเอง ตัวละครอาชีพครูได้ถูกสร้างให้เพิกเฉยต่อคุณธรรมและใช้หน้าที่ในทางมิชอบนี้ อาจเป็นเพราะอาชีพครูไม่เพียงมีหน้าที่ให้ความรู้หรือเป็นผู้สอน ต่อครูยังเป็นต้นแบบหรือแม่พิมพ์ของ เยาวชนของชาติ ในฐานะที่ผู้ที่สังคมคาดหวังให้เป็นผู้มีคุณธรรมนำทางชีวิตผู้คน ความผิดของคนเป็น ครูจึงสร้างความสะเทือนอารมณ์ และส่งแรงกระตุ้นให้คนได้ตะหนักถึงปัญหาคุณธรรมความซื่อสัตย์ มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่ 27 “คุณครูขา เราจะไม่เลือกหัวหน้าห้องเหมือนเลือกผู้ใหญ่บ้านหรือคะ” สารภีถามเสียงดัง ยังไม่ทันรอให้ครูไสวชี้สั่งให้ถามได้ แต่มันเป็นกรณีจำเป็น เพราะครูไสวกำลังเขียนชื่อหัวหน้าห้องคน ใหม่ลงบนกระดานดำ หันหลังให้กับนักเรียนในห้อง คุณครูสาวใหญ่หันขวับ “สารภี ครูยังไม่ทัน อนุญาตให้พูด เธอโพล่งขึ้นมาเสียก่อนแบบนี้ เสียมารยาทมาก ทำเหมือนไม่เคารพผู้ใหญ่ แต่เอาเถอะ ครั้งนี้ครูจะผ่อนผันให้ เธอว่ายังไงนะ ทำไมเราไม่เลือกหัวหน้าห้องหรือนี่ไง ครูเลือกแล้วไง เลือก ด.ช. ทรงพลที่ครูเห็นว่าเหมาะสม” “อืม...เธอเรียกร้องสิทธิใช่ไหม ได้สิ ครูจะให้โหวต เอ้า ไหนใครไม่อยาก ได้ทรงพลเป็นหัวหน้าห้องยกมือขึ้น” ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้อง ป.3 ทับ 1 (สารภีตีครู: 232)
48 จะเห็นได้ว่า ครูคือบุคคลที่ควรจะเป็นกลางในห้องเรียนมากที่สุด แต่ตัวละครครูในเรื่อง กลับใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ เพื่อหาผลประโยชน์เข้าตนเอง และละเมิดหน้าที่ของการเป็น ประชาธิปไตย ในการเลือกตั้งต่างๆ หรือแม้แต่การเลือกหัวหน้าห้องก็ควรจะเป็นไปตามหลักของ ประชาธิปไตย ที่ไม่มีอำนาจและผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ตัวอย่างที่ 28 กฤตถูกสอนจากรุ่นพี่ที่เป็นวิศวกรบางคนว่า เหล็กในแบบแปลนก่อสร้างบางงานสามารถลด ขนาดลงได้ เพราะผู้ออกแบบกำหนดขนาดหน้าตัดเหล็กใหญ่เกินไป มันเกินจำเป็น ลดลงอีกสักมิลสอง มิลก็รับแรงได้ปลอดภัย เพียงลดขนาดหน้าตัดเหล็กลงสักมิลหรือลดคุณภาพวัสดุก่อสร้างลงสักหน่อย เงินก็เหลือเพิ่มขึ้นเป็นแสนๆ ความใจอ่อนแม้จะเป็นอุปสรรคต่อความซื่อตรง แต่ก็ไม่ทำให้เขาหวั่นไหว ในเกียรติวิชาชีพวิศวกรรม บ่อยครั้งที่เขาผิดใจกับหัวหน้าคนงานรุ่นพี่เรื่องการลดสเปกวัสดุก่อสร้าง จนถึงขั้นสั่งรื้อถอนโครงสร้าง เสา คาน การลดสเปกแม้มันจะทำให้บริษัทได้รับกำไรเพิ่มขึ้น แต่มันจะ ทำให้ศักดิ์ศรีในวิชาชีพลดน้อยลง หลายไซต์งานทำให้เขาเกิดรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจยิ่งนัก แต่หนึ่งเดียวที่ ยึดโยงจิตใจเขาให้ยืนหยัดอยู่ได้โดยมั่นคง คือกำลังใจจากแม่ (อะไรก็ช่าง: 242) จะเห็นได้ว่า ตัวละครช่างสะท้อนให้เห็นถึงอุดมการณ์ของตัวละคร กล่าวคือ ความ ซื่อสัตย์ที่เป็นพื้นฐานของการเป็นพลเมืองดี ต่อให้ตนถูกแนะนำในสิ่งที่ผิด ตนก็เลือกที่จะไม่ปฏิบัติ เพื่อแสดงถึงการมีอุดมการณ์ที่แน่วแน่และความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักของการ เป็นพลเมืองที่ดีต่อสังคม ตัวอย่างที่ 29 ปีหนึ่งๆ นายช่างช่วยพวกเราแห่กฐิน แห่ผ้าป่า แห่ต้นเงินต้นทองเข้าวัดเพื่อสร้างโบสถ์หลัง ใหม่มีมูลค่าเป็นล้านนะครับ คิดดูสิบห้าปีเป็นเงินเท่าไหร่ เงินหนึ่งแสนนี้พวกเราทุกคนพร้อมใจ เต็มใจ มาช่วยนายช่าง” กำนันกล่าวอย่างจริงใจ “มันมากเกินไป ผมรับไม่ได้หรอกครับ” กฤตกล่าวปฏิเสธ อย่างสุภาพ “ไม่เป็นไรครับ ผมรู้ดีถึงน้ำใจที่สัตย์ซื่อของนายช่าง ผมไม่สามารถบังคับหัวใจท่านได้ แน่นอน แต่ผมอยากให้ท่านรับทราบเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมคิดว่ามันเป็นหลักการที่สำคัญมาก สำหรับการอยู่ร่วมกันในสังคม นายช่างเป็นข้าราชการคงรู้ดี” กำนันเว้นวรรคนิดหนึ่ง ก่อนยืดอกพูด ต่อ “หลักการที่ผมพูดคือ หลักการประชาธิปไตย หลักของคนส่วนใหญ่ นายช่างครับ ชาวบ้านทั้ง
49 ตำบลรวมทั้งผู้ใหญ่บ้าน สมาชิก อบต. ผู้ซึ่งนายช่างเคยได้ร่วมคิดร่วมทำร่วมกัน พวกเรามีมติเป็นเอก ฉันท์แล้วว่าจะช่วยท่าน ดังนั้นพวกเราจึงร่วมใจกันทำต้นเงินแห่แหนรอบตำบล แล้วรวบรวมมาให้นาย ช่างด้วยความตั้งใจจริง” กำนันเบาเสียงลงพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนพูดต่อ (อะไรก็ช่าง: 259-260) จะเห็นได้ว่า การปฏิบัติหน้าที่ของนายช่างไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือประชาชน การทำงานอย่างซื่อสัตย์ หรือที่เรียกว่าการเป็นพลเมืองที่ดีในสังคมนั้น ทำให้เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ มักจะมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออยู่ไม่ขาด ทั้งนั้นล้วนเกิดจากการเป็นพลเมืองดีบนพื้นฐานของหลัก ประชาธิปไตยของนายช่าง มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น จึงส่งผลให้นายช่างได้รับแต่สิ่งที่ดี และผลตอบแทนที่นายช่างควรได้รับ ตัวอย่างที่ 30 “ประเทศชาติของเราทุกวันนี้กำลังบอบช้ำอย่างหนักเพราะนักการเมืองโกงกิน ไม่มีศีลธรรม ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต หากนักการเมืองที่ชาวบ้านเลือกเข้าไปเป็นคนดี มีคุณธรรม มีจิตสำนึก มีจิตอาสา ทุ่มเท เสียสละ เห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ทำงานให้ชาวบ้านจนสุด ตัวเหมือนนายช่าง ผมว่าแผ่นดินไทยคงเจริญรุ่งเรืองจนไม่มีประเทศใดในโลกเทียมเท่า” กำนันเว้น วรรค“นายช่างครับ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ช่าง ขอให้ท่านรักษาความดีนี้ไว้ตลอดไปนะครับ พวกเราอยู่ เคียงข้างท่านเสมอ” (อะไรก็ช่าง: 261) จะเห็นได้ว่า ในสังคมไทยประกอบไปด้วยผู้คนที่หลากหลาย ทั้งคนดีและไม่ดี การที่ใน สังคมมีคนดีสักหนึ่งคนถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะความดีที่เขาทำกระทำนั้นส่งผลต่อผู้คนอีกหลายๆ คน จึงทำให้คนดีมักจะถูกตอบแทนด้วยความดีเช่นกัน ถ้าในประเทศของเรามีคนดี ซื่อสัตย์แบบนี้ สังคมก็จะน่าอยู่และพัฒนาไปได้อย่างดี อะไรก็ช่างจึงสะท้อนให้เห็นแนวคิดที่สอดแทรกค่านิยม12 ประการ นั่นคือ ค่านิยมประการที่ 2 ว่าด้วยความซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสิ่งที่ดีงาม เพื่อส่วนรวม แสดงให้เห็นการยึดมั่นในคุณงามความถูกต้องที่จะนำความยกย่องนับถือมาสู่ตน
50 3.1.2.2 แนวคิดเกี่ยวกับความขัดแย้งหรือความแตกต่างด้านอุดมการณ์ของ บุคคลทางสังคม คนในสังคมมีความคิดเห็นต่างกัน เนื่องจากมนุษย์มีความหลากหลายทางความ คิดเห็น จึงเป็นเรื่องปกติที่สังคมจะมีความคิดเห็นต่างกัน ยิ่งคนบางกลุ่มต้องมาอยู่รวมกันในความต่าง ที่ไม่มีอะไรเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น ที่มา อาชีพ ฐานะ ที่เกิดจากความแตกต่างระหว่างบุคคล ทำให้ สังคมเกิดความแตกแยก เนื่องจากมีความคิดเห็นที่ต่างกัน และต่างคนต่างมีทิฐิ แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้อง หาทางออกเพื่อให้สังคมก้าวข้ามความขัดแย้งนั้นไปได้ ด้วยการเข้าใจความแตกต่างของแต่ละบุคคล เพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกในสังคม สังคมทุกสังคมย่อมหลีกเลี่ยงความขัดแย้งไม่ได้ ความขัดแย้งในสังคมจึงเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าความขัดแย้งดังกล่าวยังสามารถหาข้อยุติได้ในกรอบของกลไกที่มีอยู่สังคมนั้นก็สามารถ ดำเนินต่อไป หรือตราบเท่าที่ปัญหาความขัดแย้งอยู่ในสัดส่วนที่ไม่แผ่กระจายไปทั่วทั้งสังคม จนหาวิธีการหรือกลไกเพื่อยุติความขัดแย้งไม่ได้สังคมนั้นก็สามารถดำเนินต่อไป โดยในภาพรวมจะ ถือได้ว่าสังคมนั้นยังอยู่ได้อย่างมีความสมานฉันท์ แต่เมื่อใดก็ตามที่ความขัดแย้งถึงจุดที่ไม่สามารถ จะแก้ไขเยียวยาได้ ทางเลือกของสังคมก็จะถูกจำกัดลง โดยมีทางออกอยู่สองทางคือ การพยายาม แก้ไขความขัดแย้งโดยสันติวิธี ด้วยการเจรจาหรือไกล่เกลี่ย หรือมิฉะนั้นก็คงต้องแก้ไขความขัดแย้ง ด้วยการใช้กำลังหรือความรุนแรง ผลที่ออกมาก็คือ การที่ฝ่ายหนึ่งชนะ อีกฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ ผู้ชนะ ก็จะสร้างระเบียบการเมืองขึ้นมาใหม่ และถ้าเป็นกรณีที่ไม่สามารถจะเอาชนะกันได้ก็อาจถึงกับ แตกแยกออกเป็น 2 ส่วน หรือ 3 ส่วน ของหน่วยชุมชนหรือหน่วยการเมืองใหม่แล้วแต่กรณี ดังนี้ ตัวอย่างที่ 31 “องค์ประกอบหลักไม่อยู่ ภาพก็ไม่ลงตัวแค่นั้นเอง...” ยังไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงผัวะ กระแทกแรงเต็มหู โลกมืดไปชั่ววูบ ตามมาด้วยด้วยเสียงร้องตกใจ ของแม่และพี่สาว...เมื่อโลกที่ดับ ค่อยๆ สว่างขึ้นอีกครั้งและเสียงวิ้งๆ ยังวิ่งวนไปมาในหู ผมเดินตรงไปยังประตูที่ไม่ปิดสนิทเมื่อครู่ ตอนนี้ถูกเปิดออกอย่างแรงอีกครั้ง ผมพุ่งตัวออกไป... ไม่น่าเชื่อว่า วันที่แสนศักดิ์ชกชนะ ผมกลับเป็น ผู้แพ้ที่หน้าบวมเป่ง และเจ็บปวด! (คอมโพสิชั่น (ไม่เคย) ลงตัว: 36) จะเห็นได้ว่า หลังจากกลับจากการถ่ายภาพที่ร้านของอาฮุย ตัวละคร “ผม” ได้วิจารณ์ อย่างสุจริตใจในการถ่ายภาพครอบครัว แต่กระนั้นตัวละคร “พ่อ” ได้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ที่ลูกของตนเองได้กล่าววิจารณ์โดยไม่ฟังเหตุผลของลูกให้แน่ชัดหรือใช้กระบวนการเจรจาพูดคุย
51 หรือใช้วิธีอื่นๆอย่างสันติ เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรงในความขัดแย้ง อีกอย่างการเป็นพ่อหรือบุคคล ภายในครอบครัวหรือบุคคลอื่นก็ไม่สามารถใช้ความรุนแรงในการใช้แก้ปัญหาหรือทำร้ายคนอื่นได้ หากเกิดปัญหาหรือความขัดแย้งต่างๆที่เกิดขึ้นภายในสังคมหรือครอบครัว ควรใช้วิถี แห่งประชาธิปไตยในการแก้ปัญหา เพื่อไม่ให้ปัญหาเกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่ให้เกิดความเสียหาย ที่ร้ายแรงตามมา ตัวอย่างที่32 พอผ่านศาลาเห็นสองคนนั้นนั่งอยู่ก็เดินเป๋เข้าไปหา ฝ่ายหนึ่งมึนอีกฝ่ายหนึ่งเมา ไม่รู้พูดจา ประสาพี่น้องกันอีท่าไหน นายอำนวยชกเปรี้ยงเข้าให้ที่โหนกแก้มของนายสมคิด ส่วนนายแบ็งค์ ซึ่งเป็นคนนอกก็ปราดเข้าขวาง คงตั้งใจจะเข้าไปแยกแหละ แต่นายอำนวยไวกว่า คว้าได้ขวดเบียร์ ที่กลิ้งอยู่บนศาลาฟาดเปรี้ยงเข้ากลางกระหม่อมนายสมคิด ทีเดียวเลือดอาบเลย แล้วนายอำนวย ก็วิ่งหนีกลับออกไปทางหน้าบ้าน (เหตุการณ์สามัญ (กรณีศึกชิงปลากระป๋อง): 64) จะเห็นได้ว่า จากการให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจของนายเชวงศักดิ์นายก อบต. เมื่อแอลกอฮอล์ แล้วใช้อารมณ์ในการพูดคุยกันส่งผลต่อการพูดจาที่ไม่ลงรอยกัน ทำให้เกิด การทะเลาะวิวาท จนเกิดความรุนแรงในการสนทนา อีกทั้งส่งผลต่อความสัมพันธ์ที่ไม่ดีในสังคม และเกิดความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจต่อมาด้วย ดังนั้น การสนทนาในขณะสถานการณ์ที่ต่างคนต่างไม่มีสติ ที่จะควบคุมอารมณ์ตนเองได้นั้น ไม่ควรถกเถียงกันจนเกิดความขัดแย้งภายในสังคมหรือวงสนทนา ตัวอย่างที่33 ผมเพิ่งสำนึกได้ว่า ที่โกรธกับพี่ชายมาหลายปี ไม่ใช่เพราะเขาเลวร้ายน่ากลัว แต่เป็นเพราะผม เลือกฟังแต่สิ่งที่อยากได้ยิน เสียเงินยังไม่เท่าไหร่ แต่เสียดายเวลาดีๆ ที่ผมกับพี่ชายเคยมีร่วมกัน ผมอยากไปกราบขอโทษพี่วิชัยเหลือเกิน เลยขอให้หลานชายช่วยหยั่งเสียงเขาก่อน (มือฉกภาพเขียน: 201)
52 จะเห็นได้ว่า จุดเริ่มต้นของการขัดแย้งของสองพี่น้องไม่ได้เกิดเพราะเขาทั้งสองโดยตรง เพราะเหตุการณ์จะไม่เลวร้าย ถ้าไม่มีบุคคลที่สามคอยยุยงให้พี่น้องแตกคอกัน การที่หลงเชื่อบุคคล ที่สามมากกว่าตนในครอบครัวของตนจึงนำมาซึ่งความขัดแย้งที่ไม่มีวันปรองดองกันได้ ตัวอย่างที่34 ปีศาจที่ยุยงให้เราแตกแยกกันอย่างลุงก้องต่างหากที่น่ากลัวที่สุด (มือฉกภาพเขียน: 203) จะเห็นได้ว่า ลุงก้องคือตัวละครที่ทำให้สองพี่น้องเกิดความทะเลาะกัน เพราะลุงก้องคือ คนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดจากการทะเลาะกันของสองพี่น้องมากที่สุด เพราะความรุนแรงของ สถานการณ์ทวีขึ้นทุกครั้งเมื่อลุงก้องผู้เป็นญาติผู้ใหญ่และเป็นคนกลางเข้ามาสื่อสารเรื่องต่างๆ แทนการเผชิญหน้ากันของสองพี่น้อง ความขัดแย้งระหว่างคงไม่มีวันไปสู่ความปรองดองกันได้ ตราบใดที่เรายังมีทิฐิในตนเองอยู่ การทำความเข้าใจซึ่งกันและกันและการหันหน้าเข้าหากันจึงเป็นสิ่ง ที่สังคมไทยคาดหวังในช่วงเวลาที่ผ่านมา
53 แนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ปี พ.ศ.2560 สามารถสรุปได้ดังตารางต่อไปนี้ ตารางที่ 6 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์ ที่ เรื่องสั้น วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ปี พ.ศ.2560 จำนวน 13 เรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับการเมือง แนวคิดเกี่ยวกับสังคม แนวคิด เกี่ยวกับ อำนาจทาง การเมือง หรือ พฤติกรรม ทาง การเมือง แนวคิด เกี่ยวกับการ มีส่วนร่วม ทางการ เมือง แนวคิด เกี่ยวกับ ความ ขัดแย้งหรือ ความ แตกต่าง ด้าน อุดมการณ์ ของบุคคล ทาง การเมือง แนวคิดเกี่ยวกับ สิทธิและหน้าที่ พลเมือง แนวคิด เกี่ยวกับ ความ ขัดแย้ง หรือความ แตกต่าง ด้าน อุดมการณ์ ของบุคคล ทางสังคม 1 ภาพที่คอมโพสิชั่น (ไม่เคย) ลงตัว - - 2 ชัยชนะของบุญยืน - - - 3 เหตุการณ์สามัญ (กรณีศึกชิงปลา กระป๋อง) - 4 กล่องสมบูรณ์ แบบ - - - - 5 คนคิดเลข - - - - 6 ใครผิด? - - - - 7 ใจในใจ - - - - 8 นายหน้ากับที่ดิน บนดวงจันทร์ - - - -
54 ตารางที่ 6 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์(ต่อ) ที่ เรื่องสั้น วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ปี พ.ศ.2560 จำนวน 13 เรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับการเมือง แนวคิดเกี่ยวกับสังคม แนวคิด เกี่ยวกับ อำนาจทาง การเมือง หรือ พฤติกรรม ทาง การเมือง แนวคิด เกี่ยวกับการ มีส่วนร่วม ทางการ เมือง แนวคิด เกี่ยวกับ ความ ขัดแย้งหรือ ความ แตกต่าง ด้าน อุดมการณ์ ของบุคคล ทาง การเมือง แนวคิดเกี่ยวกับ สิทธิและหน้าที่ พลเมือง แนวคิด เกี่ยวกับ ความ ขัดแย้ง หรือความ แตกต่าง ด้าน อุดมการณ์ ของบุคคล ทางสังคม 9 ในหมอก - - - - 10 มือฉกภาพเขียน - - - - 11 รูรั่วที่พื้นรองเท้า ผ้าใบ - - - - 12 สารภีตีครู - - - 13 อะไรก็ช่าง - - - - รวม 3 เรื่อง 1 เรื่อง 2 เรื่อง 9 เรื่อง 4 เรื่อง จากตารางข้างต้น ทำให้ทราบว่าแนวคิดวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ปีพ.ศ. 2560 มุ่งนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับสังคมมากกว่าแนวคิดเกี่ยวกับการเมือง เนื่องจากการจัดการประกวดเรื่อง สั้นการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ปีพ.ศ. 2560 ได้รับการสานต่อหลังจากหยุดชะงักไปในปี 2557 และ ปรับรูปแบบไปในปี 2558 ให้เป็นการแข่งขันบทกวีเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสครบรอบ 120 ปี แห่งวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ภาวะหยุดชะงักและ ปรับเปลี่ยนดังกล่าวสัมพันธ์กับบริบทของสังคมการเมืองไทยโดยตรง นั่นคือตั้งแต่ปี 2557 ประเทศ ไทยอยู่ภายใต้การบริหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรื่องสั้นการเมืองรางวัลพานแว่น ฟ้า พ.ศ. 2560 จึงเป็นผลผลิตหนึ่งของการส่งเสริมประชาธิปไตยโดยรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เรื่องสั้นการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ปี พ.ศ. 2560 จึงเน้นนำเสนอแนวคิดเรื่องสิทธิ หน้าที่พลเมือง
55 และความขัดแย้งหรือความแตกต่างด้านอุดมการณ์ของบุคคลทางสังคม ซึ่งเป็นอุดมการณ์สำคัญที่ รัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติมุ่งส่งเสริม โดยแนวคิดสำคัญที่พบจะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสิทธิ และหน้าที่พลเมือง อย่างไรก็ตาม การนำเสนอแนวคิดดังกล่าวมิได้คล้อยตามหรือเชิดชูการบริหารจัดการของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติเพียงอย่างเดียว แต่ยังปรากฏการวิพากษ์วิจารณ์การใช้อำนาจของรัฐ หรือแนวคิดทางการเมือง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากระบวนการพิจารณาเรื่องสั้นการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ในช่วงปีที่ผ่านมา เปิดกว้างเพียงพอที่จะรับเสียงของการวิจารณ์รัฐบาลเช่นกัน อาจกล่าวได้ว่าเรื่องสั้น การเมืองรางวัลพานแว่นฟ้าในปัจจุบันได้กลายเป็นสถาบันที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนวรรณกรรม การเมืองของไทย อีกทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดและคัดกรองอุดมการณ์ของภาครัฐสู่ประชาชน และเป็นเสียงของประชาชนที่ส่งถึงภาครัฐในทางหนึ่ง วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้าเริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2545 ด้วยการสนับสนุนของ รัฐสภา มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้ใช้เสรีภาพแสดงออกทางการเมือง โดยใช้ศิลปะใน การเขียนถ่ายทอดความรู้สึกและสะท้อนภาพการเมือง หรือจินตนาการถึงการเมืองที่ต้องการ ซึ่งต่อมาได้มีประกาศคณะกรรมการรางวัลพานแว่นฟ้าขยายความวัตถุประสงค์อย่างชัดเจนของ วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้าไว้ดังนี้ 1) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 2) เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมือง ปลูกฝังศรัทธาและส่งเสริมความเข้าใจในสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคของประชาชน อันเป็นพื้นฐานสำคัญของความเป็นประชาธิปไตย ผ่านศิลปะ การประพันธ์เรื่องสั้นและบทกวี 3) เพื่อสนับสนุนและยกย่องผลงานวรรณกรรมไทยที่ทรงคุณค่าให้พัฒนาไปพร้อมกับสำนึก ประชาธิปไตย 4) เพื่อส่งเสริมความปรองดองสมานฉันท์และความสามัคคีของประชาชนในประเทศชาติ (สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2560 : 2) วัตถุประสงค์ทั้งสี่ข้อนี้ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันในคราวเดียว โดยวัตถุประสงค์ข้อที่ 4 เพิ่งปรากฏ ในประกาศคณะกรรมการรางวัลพานแว่นฟ้าปี 2559 ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากปัญหาความแตกแยกทาง อุดมการณ์ที่ก่อตัวขึ้นในสังคมไทยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2549 ในนามขบวนการเสื้อแดง-เสื้อเหลือง และทวี ความรุนแรงยิ่งขึ้นจนกระทั่งปี 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ทำรัฐประหารในนาม ของการรักษาความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นแก่ประเทศอีกครั้ง และนับจากนั้นประเทศไทยก็มีรัฐบาล ทหารปฏิบัติภารกิจบริหารประเทศ เช่นกันกับการส่งเสริมประชาธิปไตยผ่านวรรณกรรมการเมือง
56 รางวัลพานแว่นฟ้าในปี 2560 ที่จัดขึ้นภายใต้การดูแลของสภานิติบัญญัติแห่งชาติแทนที่สภา ผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดรางวัลพานแว่นฟ้า ความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางการเมือง ย่อมมีผลต่อเนื้อหาของวรรณกรรมการเมืองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะวรรณกรรมการเมืองจะ แสดงถึงความคิดทางการเมือง หรือลัทธิทางการเมือง แสดงให้เห็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมือง การต่อสู้ระหว่างชนชั้น ความอยุติธรรม ล้วนแล้วแต่นับเป็นวรรณกรรมการเมืองได้ ในส่วนของ วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้าเอง จะเห็นว่าในช่วงเวลาของความผันผวนทางการเมืองของ ประเทศระหว่างปี 2557 ถึง 2560 การประกวดรางวัลพานแว่นฟ้าต้องปรับตัวตามสถานการณ์ ทางการเมือง นั่นคือ ยกเลิกการประกวดในปี 2557 ด้วยเหตุผลเพื่อความเหมาะสมกับสภาวการณ์ ทางการเมืองในปัจจุบัน (ประกาศคณะกรรมการรางวัลพานแว่นฟ้าปี 2257) คำประกาศดังกล่าวลง วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเข้าควบคุม สถานการณ์ทางการเมืองและบริหารประเทศเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ในปี 2558 วรรณกรรม การเมืองรางวัลพานแว่นฟ้ายังปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นการประกวดบทกวีเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งหากมองย้อนกลับไปที่วัตถุประสงค์ของการจัดประกวด รางวัลพานแว่นฟ้าแล้ว จะเห็นว่าความเป็นกวีนิพนธ์ยอพระเกียรติอาจไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ของรางวัลเท่าไรนัก แต่อย่างไรก็ตาม บทบาททางการเมืองของบทกวียอพระเกียรติชนะเลิศรางวัล พานแว่นฟ้า ประจำปี 2558 ก็ยังคงอยู่ในฐานะการเผยแพร่และเชิดซูสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็น สถาบันที่คนไทยเคารพสูงสุด นอกจากนี้ ยังอาจเป็นกุศโลบายของรัฐบาลที่จะดึงความสนใจของ ประชาชนให้ออกห่างจากการเมืองที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในชั่วขณะนั้น โดยหันมาหาค่านิยมความ จงรักภักดีที่มุ่งหมายว่าคนไทยควรมีร่วมกัน จากการศึกษาวิเคราะห์แนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัล พานแว่นฟ้า ปี พ.ศ.2560 ทำให้เห็นแนวคิดทางการเมืองและสังคม ส่วนใหญ่เป็นการกล่าวถึงแนวคิด ทางสังคมในเรื่องสิทธิ หน้าที่พลเมืองและความขัดแย้งหรือความแตกต่างด้านอุดมการณ์ของบุคคล ทางสังคม ซึ่งเป็นอุดมการณ์สำคัญที่รัฐบาลของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยแนวคิดสำคัญที่พบ จะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสิทธิและหน้าที่พลเมือง รวมไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์การใช้อำนาจของรัฐหรือ แนวคิดทางการเมืองต่างๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากระบวนการพิจารณาเรื่องสั้นการเมืองรางวัลพานแว่น ฟ้าเปิดกว้างเพียงพอที่จะรับเสียงของการวิจารณ์รัฐบาลเช่นกัน ภายใต้บริบททางการเมืองอันย้อนแย้ง ของรางวัลวรรณกรรมการเมืองพาน แว่นฟ้าที่มุ่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย แต่อยู่ในห้วงเวลา ที่ประเทศไทยไม่ได้มีรัฐบาลมาจากกลไกตามระบอบประชาธิปไตย
57 3.2 วิเคราะห์แนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัล พานแว่นฟ้า ประจำปี 2561 3.2.1 แนวคิดเกี่ยวกับการเมือง 3.2.1.1 แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจทางการเมืองหรือพฤติกรรมทางการเมือง แนวคิดอำนาจทางการเมือง หมายถึง ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับอำนาจ สถาบัน และรัฐบาล ที่ได้รับการยอมรับว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ ควบคุมและครอบคลุมสังคมในการจัดตั้งและรักษาระเบียบ สังคม มีอำนาจที่จะนำมาซึ่งวัตถุประสงค์ร่วมกันของสมาชิกในสังคม และมีอำนาจในการ ประนีประนอมความคิดเห็นของคนต่างๆ ในสังคม ส่วนการปกครอง คือการใช้อำนาจหน้าที่ในการ จัดสรรสิ่งที่มีค่าต่อสังคมอย่างเป็นธรรม อำนาจทางการเมืองคือการใช้อำนาจของผู้ปกครองเหนือ ผู้ปกครองซึ่งเป็นอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง ที่รัฐใช้ในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลและ กลุ่มบุคคลในสังคม พฤติกรรมทางการเมือง เป็นการแสดงออกของผู้ที่มาอำนาจทางการเมือง โดยผู้ที่ เข้ามามีอำนาจทางการเมืองนั้นส่วนใหญ่มักจะใช้ประโยชน์จากอำนาจเพื่อตนเองและพวกพ้องโดยไม่ สนใจอุดมการณ์ทางการเมืองในอดีตของตน การเมืองจึงเป็นพฤติกรรมของคน จากคนที่มุ่งหวังเข้ามา เปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีขึ้น แต่กลับกลายเปนการเข้ามาใช้อำนาจอย่างบ้าคลั่งไม่ต่างจากผู้มี อำนาจอยู่ก่อน อำนาจทางการเมืองจึงมีแนวโน้มในการเปลี่ยนแปลงบุคคลให้ลุ่มหลง มัวเมาไปกับสิ่ง ที่สังคมเกรงกลัว จึงมีการใช้อำนาจอย่างไร้ขอบเขต ไร้ความเห็นอกเห็นให้ประชาชนจนหลงลืมไปว่า เมื่อหมดอำนาจ เขาเหล่านั้นก็ต้องกลับสู่สถานการณ์เป็นประชาชนธรรมดาสามัญ ดังนี้ ตัวอย่างที่36 “คุณต้องทำให้ชาวบ้านเชื่อฟัง โดยปราศจากความกลัว” ‘ถ้ามีปืนอยู่ในมือ คงกระชากคอใครสักคนลากมาถามให้รู้เรื่องได้’ (เสื้อคลุมของผู้พัน: 37) จะเห็นได้ว่า อำนาจทางการเมืองถูกมองว่าเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถดลบันดาล ทุกสิ่งในสังคมได้การยอมรับการใช้อำนาจโดยไม่มีการถ่วงดุลจึงทำให้ผู้คนในสังคมเกิดความลุ่มหลงใน อำนาจไม่ต่างจาก “อำนาจนิยม” ที่บุคคลมักเกรงกลัวผู้มีอำนาจสูงกว่า และมักกดขี่ผู้ที่ไม่มีอำนาจ หรือมีอำนาจน้อยกว่าตน ดังเช่น ตัวละครที่พอมีอำนาจแล้วก็เชื่อว่าอำนาจคือสิ่งที่ถูกต้องและชอบ ธรรมที่สุด จนหลงลืมเรื่องอำนาจคือการบังคับที่ไม่จีรังยั่งยืน
58 ตัวอย่างที่37 ตาจ้งเคยพูดแบบนี้กับลูกชายคนเดียวอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็พอจะรู้ความคิดของผู้เป็นพ่อว่า แท้จริงแล้วพ่อไม่ได้ห่วงเรื่องเงินทองที่จะต้องใช้ในการสร้างบ้านสักเท่าไรหรอก แต่พ่อไม่ต้องการให้ เขาไปข้องเกี่ยวกับไม้หายากซึ่งถูกประกาศเป็นไม้หวงห้ามนั่นต่างหาก มันเป็นความจริงที่ว่าไม้เหล่านี้ ถูกโค่นและนำมาโดยผิดกฎหมาย แต่ในเมื่อตัวเขามี “นายหัว” คอยสนับสนุนและให้ความคุ้มครอง เงื้อมมือแห่งกฎหมายจึงมิอาจเข้ามากล้ำกรายได้ (คฤหาสน์พยาธิตาบอด: 83-84) จะเห็นได้ว่า การใช้อำนาจของผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นที่ใช้อำนาจในการตัดไม้หวงห้าม แล้วทำมาสร้างบ้านเรือนของตนเอง ทำในสิ่งผิดกฎหมาย แต่ไม่มีใครสามารถเอาผิดได้ บ้านเรือน ใหญ่โตมโหฬาร ด้วยการตัดไม้หวงห้าม โดยมีผู้มีอิทธิพลเหนือกฎหมายคุ้มครอง และหนุนหลังอยู่ แม้กฎหมายจะมีแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรกับผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นได้ พฤติกรรมการใช้อำนาจของ ผู้มีอิทธิพล มักจะกระทำการใดๆ ที่ผิดกฎหมายหรืออยู่เหนือกฎหมายเพื่อประโยชน์ของตนเองทั้งใน ด้านเศรษฐกิจและการเมือง โดยอาศัยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่อยู่ภายใต้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่ เท่าเทียมให้กระทำการแทน พฤติกรรมการใช้อำนาจที่ไม่เป็นทางการดังกล่าวมักถูกมองว่าเป็น อุปสรรคและบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากอำนาจทางการเมืองที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของ ผู้มีอิทธิพลไม่ได้ดำเนินการตามเจตนารมณ์และความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ตัวอย่างที่38 “แล้วพ่อเคยเห็นใครร่ำรวยจากการยึดมั่นอยู่กับอุดมการณ์แบบพ่อ แบบไอ้ซันโตสบ้างไหม การเป็นนักการเมืองลำพังแต่เงินเดือนจะพอยาไส้อะไร?...แค่ภาษีสังคมอย่างเดียวก็หมดไปแล้ว ครึ่งเดือน อีกอย่าง...กฎหมายไม่ใช่เรื่องของความจริง แต่มันเป็นเรื่องของหลักฐานและการสืบสวน ใน เมื่อไม่มีพยานหลักฐาน ไม่มีกระบวนการสืบสวน จะเรียกว่าผิดกฎหมายได้ยังไง” (คฤหาสน์พยาธิตาบอด: 88) จะเห็นได้ว่า อำนาจกลายเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือความผิดชอบชั่วดี และผู้มีอำนาจเชื่อ ว่าตนสามารถจะใช้อำนาจเช่นไรก็ได้ แม้แต่กฎหมายก็ยังไม่มิอาจตรวจสอบการใช้อำนาจได้
59 ตัวอย่างที่39 เดี่ยวรวบรวมรายชื่อผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงไว้อย่างพร้อมสรรพ พร้อมทั้งรับซองสีน้ำตาล ภายในบรรจุธนบัตรฉบับละ 500 บาทตามจำนวนประชากรที่มีอยู่ในสายที่ตนได้รับมอบหมาย แต่เมื่อ ถึงสามวันสุดท้ายก่อนการลงคะแนนเสียง ปรากฏว่าเงินรายหัวที่คาดว่าจะจ่ายเป็นค่าซื้อเสียง เสียงละ 500 นั้นไม่สามารถยังความมั่นใจให้เกิดขึ้นได้เมื่อหัวคะแนนของหมายเลข 2 ได้ชิงลงมือซื้อเสียงไป ก่อนหน้าหัวละ 500 เช่นกัน ดังนั้นหลังจากประชุมทีมงานเพื่อหารือกันอย่างเคร่งเครียดภายในศาลา ทรงไทยของบริเวณสวนหลังบ้านผู้ใหญ่เกลี้ยง จึงมีข้อตกลงกันว่าบ้านหลังใดที่หมายเลข 2 ซื้อเสียงไป แล้ว ให้หัวคะแนนแต่ละสายทำการเจรจากับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ขอให้เปลี่ยนมากาเบอร์ 1 แลกกับค่า เสียเวลาเสียงละ 1,000 บาท (คฤหาสน์พยาธิตาบอด: 93) จะเห็นได้ว่า การใช้อำนาจของนักการเมืองในท้องถิ่นที่มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง โดยมีการ หาเสียงด้วยการแจกเงินซื้อเสียงจากชาวบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านเลือกตนเองมาเป็นผู้แทนหรือผู้นำ ท้องถิ่น เป็นการสะท้อนภาพสังคมไทยในปัจจุบันที่ยังมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และเป็นปัญหาที่ยัง ไม่สามารถแก้ไขได้ ตัวอย่างที่40 ตะวันใกล้ตรงหัว กลุ่มเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าราวยี่สิบคนทยอยเดินขึ้นมาถึงหมู่บ้าน กะเกณฑ์ให้ ชาวเขาทั้งหมดที่สั่งให้เก็บสัมภาระไว้พร้อมแล้วลงไปอยู่ในที่พักตีนเขา ตาเฒ่าเซงดู-ชายชราผู้มีอายุ ยืนที่สุดในหมู่บ้าน ยืนอาลัยนาข้าว ขณะบอกลูกหลานให้ยกชะลอมใส่ไก่หลายสิบตัวที่ลงแรงเลี้ยงไว้ ด้วยตัวเอง แม้ปากแกจะบอกว่าถึงอย่างไรก็ไม่ยอมไปไหน จะต่อสู้จนถึงที่สุด แต่เมื่อเจ้าหน้าที่มาหยุด ยืนที่หน้าเรือน ปากแกก็สั่นจนไม่สามารถพูดสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้ ยืนน้ำตาไหลดูเจ้าหน้าที่คนหนึ่งสั่งพรรค พวกให้รื้อถอนบ้านเรือนและยุ้งข้าว ทุกคนที่ได้ยินก็ยืนอึ้งตะลึงงัน รีบทักท้วงเป็นเสียงเดียวกันว่า จะไม่ยอมให้รื้อถอนเหย้าเรือนที่ลงแรงปลูกสร้างมากับมือเด็ดขาด (ดาวส่องเมือง: 142) จะเห็นได้ว่า อำนาจรัฐที่มีต่อประชาชนที่มีความเดือดร้อน ต่อการกระทำของเจ้าหน้าที่ ทั้งรื้อถอนบ้านเรือน ยุ้งข้าว โดยไร้ความปราณีหรือการพูดคุยเจรจาจนชาวบ้านต้องลงจากเขาเพื่อมา
60 อยู่แหล่งพักพิง ซึ่งไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ และแหล่งทำกิน เป็นการใช้อำนาจรัฐที่ชาวบ้านไม่สามารถ ต่อรองได้ และชาวบ้านไม่รู้จะไปร้องเรียนกับหน่วยงานของรัฐบาลหน่วยงานใด เพราะประชาชนเกรง กลัวอำนาจของเจ้าหน้าที่ ตัวอย่างที่41 “พ่อใช้วิธีเบื่อปลาหรือ” “ใช่” “ผมไม่ชอบวิธีนี้ปลากี่ตัวกี่ตัวต้องตายหมด มันโหดร้าย เกินไป” ผมเสียงแข็งขึ้นมา “พ่อเองก็ไม่ชอบเหมือนลูก แต่พ่อทำเพราะต้องการให้ลูกได้เรียนรู้ การจะสอนใครสักคน บางครั้งต้องใช้วิธีที่ต้องให้จดจำได้แบบฝังใจ” “ผมพอจะเข้าใจ แต่นี่เป็นวิธีการ ของคนใจร้าย ถ้าเป็นการปกครองคนก็น่าจะเทียบได้กับเป็นการใช้วิธีที่รุนแรง ซึ่งอาจจะเป็นการทำ รัฐประหารหรือปฏิวัติการจัดการกับเหยื่อโดยวิธีนี้มันไม่ใช่วิธีการปกครองคน” (ชายชรากับปลาในลำธาร: 119) จะเห็นได้ว่า ปลาเปรียบเสมือนประชาชนที่ถูกอำนาจรัฐเอาเปรียบ ซึ่งประชาชนต่างกับ ปลาตรงที่ประชาชนมีปากมีเสียง ส่วนปลาแสดงความเห็นหรือโต้เถียงไม่ได้ วิธีการหาปลาต่างๆ จึงเปรียบเหมือนรัฐที่หาวิธีต่างๆ เพื่อมาปกครองประชาชนในประเทศให้อยู่ภายใต้สิ่งที่พวกเขานั้นได้ กำหนดไว้ ถ้าหากใครคนใดในสังคมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม ย่อมส่งผลเสียต่อผู้นั้นได้โดยง่าย ตัวอย่างที่43 กำนันหันหน้ามาทางชาวบ้านอีกครั้ง และพูดต่อไปอย่างสงบเยือกเย็นอย่างมาดของผู้ทรง อำนาจ “คนที่ไม่มีงาน ก็จะถูกจ้างให้มาทำงานในสถานที่นั้น มีร้านอาหาร มีร้านกาแฟ จุดถ่ายรูป ถ้าพวกเอ็งอยากได้ประภาคารเหมือนเดิม ข้าจะเสนอทางราชการให้สร้างประภาคารจำลองขึ้นเอาไว้ ให้คนรำลึกถึงก็ได้สิ่งที่ข้าพูดมานั้นมีแต่ประโยชน์และเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน” กำนันลองเน้น เสียงตรงประโยคสุดท้ายเป็นพิเศษ (ยินดีต้อนรับสู่ประภาคาร: 158) จะเห็นได้ว่า สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของชุมชน เมื่อความเจริญเข้ามา วิถีประมงลดน้อยลง ประภาคารอายุ 86 ปีซึ่งเคยเป็นเสมือนหมุดแห่งศักดิ์ศรีของคนเดินเรือ เป็นแสง ไฟส่องนำทาง แสงสว่างพาชาวประมงได้กลับบ้าน วิถีเหล่านี้กำลังถูกกลืนเข้ากับการพัฒนาการ
61 ท่องเที่ยวของรัฐ ประภาคารไม่ได้กลายเป็นความภูมิใจใดอีกต่อไป การบอกตำแหน่งผืนดิน จะเปลี่ยนเป็นทุ่นลอยน้ำ การมีประภาคารอยู่รังแต่จะบดบังทัศนียภาพในการชมพระอาทิตย์ตก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรในเมื่ออำนาจรัฐมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองตามแบบการปกครอง แบบรวมศูนย์อำนาจ การจะรื้อถอนประภาคารออกย่อมเป็นสิ่งที่อำนาจรัฐจะกระทำได้ ในเรื่องนี้ ประภาคารมี 2 นัยยะ ประการแรก ประภาคารเป็นฉากในการดำเนินเรื่อง อีกประการก็คือ ประภาคารเป็นสัญลักษณ์ของการถูกครอบงำจากรัฐ การสั่งรื้อประภาคารไม่เพียงเป็นการรื้อสิ่งปลูก สร้างหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงการโค่นล้มวิถีดั้งเดิมของท้องถิ่นด้วยอำนาจรัฐ อาคาร ที่ส่องแสงนำทางชาวประมงกลับบ้านล่มสลายไป วิถีประมงแปรเปลี่ยนกลายเป็นชุมชนท่องเที่ยว วัฒนธรรมดั้งเดิมก็ถูกแปรเปลี่ยนเป็นวัฒนธรรมประดิษฐ์กับการสร้างฉากจำลอง รูปปั้นประภาคารไว้ ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปเท่านั้น ตัวอย่างที่44 “เจ้าณัฐ แกคิดยังไงกับสองคนนั้น” น้าชายถามผมในคืนหนึ่ง “แย่งลูกค้ากันเห็นๆ” เมื่อไม่มีใคร เราสองคนจึงสามารถทำตัวตามสบายเหมือนสมัยก่อนได้“น้าจะให้อวนจับนาคกับใคร เหรอ” ผมถามขึ้นอีกเมื่อเห็นน้าชายเงียบไป “คงต้องดูกันก่อน ไม่กี่วันหรอกโว้ย พวกเขาต้องส่งทูต มาเจรจาต้าอวยเป็นแน่” น้ามิ่งล้มตัวลงนอนอย่างอารมณ์ดี (อวนจับนาค: 203) จะเห็นได้ว่า สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งกันของการเมืองในระดับท้องถิ่น เป็นการแก่งแย่ง อำนาจการเป็นนักการเมืองท้องถิ่น และชี้ให้เห็นว่าตัวละครต่างอยากมีอำนาจที่ได้มาจากการชนะการ เลือกตั้งซึ่งเริ่มตั้งแต่ในระดับท้องถิ่น เพื่อกลายเป็นผู้มีอิทธิพลจะได้ง่ายต่อการแสวงหาประโยชน์ใส่ตน จากการฉ้อราษฎร์บังหลวง และระบบพวกพ้อง กลไกการใช้อำนาจไม่ได้เป็นไปเพื่อการดูแล ความสงบสุข และช่วยเหลือประชาชนแต่เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว 3.2.1.2 แนวคิดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นการมีส่วนร่วมในการปกครองของประชาชนตามสิทธิ ที่ระบบการเมืองและกฎหมายกำหนด เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นโดยสมัครใจของประชาชน ทั้งนี้เพื่อให้ มีอิทธิพลโน้มน้าวการกำหนดนโยบายของรัฐทั้งในด้านการเมืองและการปกครองทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับประเทศ ดังนั้นการมีส่วนร่วมของประชาชน จึงเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ตัดสินใจและ กำหนดความต้องการของตนเอง ทั้งนี้เพื่อให้อำนาจแก่บุคคล กลุ่ม องค์กรชุมชนสามารถระดม
62 ความสามารถในการจัดการทรัพยากรได้ การตัดสินใจและการกำกับดูแลกิจกรรมชุมชนมากกว่าการ ป้องกัน นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของประชาชนสามารถกำหนดชีวิตของตนเองเพื่อพัฒนาชีวิตตาม ความจำเป็นอย่างมีศักดิ์ศรี และสามารถพัฒนาศักยภาพของคนหรือชุมชนในด้านภูมิปัญญา ทักษะ ความรู้ ความสามารถ และการจัดการและความตระหนักในการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ ดังนี้ ตัวอย่างที่ 45 “ปี 2534 ผู้พันในชุดนักศึกษาเคยออกมาเคลื่อนไหวต่อต่อรัฐประหาร เขาไม่เชื่อเหตุผลของ คณะผู้ก่อการนั่นเพราะว่าเขาคิดว่ามันเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงอำนาจการเมืองเท่านั้น เปลี่ยนผู้ใช้ อำนาจอย่างที่เคยเกิดขึ้นมามาแล้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เมื่อเข้ามาอีกปี เมื่อเขาถอดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงดำ เปลี่ยนมาสวมชุดแบบเดียวกับกลุ่มคนที่เขาเคยปฏิเสธ ซึ่งเชื่อกันว่าอุดมการณ์ของเขาได้ เปลี่ยนไปแล้ว เขาเปลี่ยนจากถือป้ายมาจับปืน” (เสื้อคลุมของผู้พัน: 28) จะเห็นได้ว่า ตัวละครในเรื่องได้มีส่วนร่วมทางการเมือง คือการออกมาเคลื่อนไหวต่อต้าน รัฐประหารตามระบอบประชาธิปไตย เพราะไม่เชื่อเหตุผลของกลุ่มรัฐประหารที่มีต่อประเทศ แต่ก็ กลับเป็นเขานั่นเองที่มีแนวคิดและเหตุผลเดียวกลับกลุ่มรัฐประหารที่เขาเคยออกมาต่อต้าน เนื่องจาก การที่เขามีอำนาจเลยทำให้เขาเปลี่ยนไป จากที่เคยอยู่ข้างระบอบประชาธิปไตย กลับไปอยู่ข้างฝ่ายที่ ทำการรัฐประหารแทน อีกทั้งยังเป็นเป็นการนำเสนอแนวคิดเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่เกิด เหตุการณ์ทางการเมืองขึ้นในอดีต ในช่วงปี พ.ศ.2534-2535 ซึ่งผ่านระยะเวลามานานหลายปี เหตุการณ์ทางการเมืองก็ยังไม่สุขสงบ นั่นคือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 การชุมนุมทางการเมือง การสลายการชุมนุม ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ตัวอย่างที่46 แม่ของกะทิขอบอกขอบใจผมที่นั่งรอเป็นเพื่อนลูกสาว เธอเล่าสาเหตุมารับช้าว่ากว่าจะ แยกตัวออกจากมวลชนที่ไปชุมนุมลำบากมาก เธอทำหน้าที่เป็นการ์ดอาสาในด้านอำนวยความสะดวก แก่มวลชน พอจะปลีกตัวก็ถูกเพื่อนร่วมม็อบเรียกใช้ จากการสนทนากันเวลาสบโอกาสกับแม่ของกะทิ ทำให้ผมรู้ว่าเธอเป็นคนตื่นตัวเรื่องการเมืองอย่างมาก...มากจนขาข้างหนึ่งก้าวไปสู่เขตแดนความคลั่ง (ชิ้นส่วนของความขัดแย้ง: 127)
63 จะเห็นได้ว่า แม่ของกะทิเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองในช่วง ที่บ้านเมืองเกิดความชุลมุน เนื่องจากแม่ของกะทิเป็นคนที่ให้ความสนใจเรื่องการเมืองเป็นอย่างมาก จนทำให้เธอก้าวเข้าไปสู่ความคลั่งในการเมือง เพื่อเข้าร่วมเหตุการณ์ทางการเมือง เพราะประชาชน สามารถกำหนดชีวิตของตนเองเพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น และการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นเรื่องพื้นฐานที่รัฐย่อมต้องมอบให้แก่ประชาชนทุกคน 3.2.1.3 แนวคิดเกี่ยวกับความขัดแย้งหรือความแตกต่างด้านอุดมการณ์ของ บุคคลทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมืองคนในสังคมมีความคิดเห็นต่างกัน เนื่องจากมนุษย์มีความ หลากหลายทางความคิดเห็น จึงเป็นเรื่องปกติที่สังคมจะมีความคิดเห็นต่างกัน ความเห็นต่างกันจึงไม่ ขัดแย้งหรือแตกแยก แต่ความเห็นต่างกันอาจเป็นปัจจัยหนึ่ง นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง เพราะ ความขัดแย้งทางการเมือง เกิดขึ้นจากการมีความคิดเห็นไม่ตรงกันในสังคมเนื่องจากเพราะทรัพยากร ในสังคมมีจำกัดในขณะที่ประชาชนมีความตองการทรัพยากรอย่างไม่จำกัด ความขัดแย้งทางการเมือง จึงเกี่ยวของกับความคิดเห็นของคนในสังคมที่ไม่เห็นด้วยหรือมีความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม มุมมองทาง การเมืองนี้เป็นที่ถกเถียงกันมาก หากไม่สามารถระงับข้อพิพาทได้ ประเทศก็จะตกอยู่ในความโกลาหล ตอมามีมุมมองทางการเมืองใหม่เกี่ยวกับผลประโยชนที่ประนีประนอม เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งจาก การดำเนินการทางการเมืองที่ไม่มีทางแกไข ดังนี้ ตัวอย่างที่47 ผู้พันใช้ผ้าดำปิดตาทุกคนไว้แล้วพาขึ้นรถตู้ในรถมีทั้งรัฐมนตรี แกนนำมวลชน หัวหน้าพรรค การเมือง พวกเขาทั้งหมดอยู่ในรถคันเดียวกัน ทุกคนนั่งเงียบ หลังการนัดมาคุยกัน 2 วัน ไม่ได้ข้อยุติ ใดๆ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ต่างคนต่างยืนอยู่ในจุดของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐอยู่ในมือ เขาวางท่าทีที่แข็งกร้าวราวกับว่าสิ่งที่กำลังทำคือวีรกรรมอันกล้าหาญ เขาหารู้ไม่ว่าอะไรกำลัง จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีหลังคำปฏิเสธหลุดจากปากไป ทันทีที่ผู้นำกองทัพตบโต๊ะ นั่นก็หมายความว่า นาทีนั้นทุกอย่างจบสิ้นแล้ว เข็มนาฬิกาไม่อาจหมุนย้อนเวลา รถตู้วิ่งเข้าไปในค่ายทหารแล้วกลับ ออกมา ทุกคนต่างแยกย้าย ขณะที่สถานีโทรทัศน์ออกประกาศ เสียงหนึ่งก็ดังออกมาหลังรถตู้เคลื่อน ออกไป (เสื้อคลุมของผู้พัน: 33)
64 จะเห็นได้ว่า ทั้งฝ่ายรัฐมนตรี แกนนำมวลชน หัวหน้าพรรคการเมือง และฝ่ายทหาร ถึงขั้นต้องใช้มาตรการในการควบคุมตัวทุกฝ่ายขึ้นรถตู้เพื่อไปประชุมหาข้อยุติในค่ายทหาร เพราะต่าง ฝ่ายต่างมีจุดยืน และไม่ยินยอมในอุดมการณ์ทางการเมืองซึ่งกันและกัน จนบางครั้งฝ่ายทหารต้องใช้ มาตรการในการตัดสินใจครั้งสำคัญ เพราะความขัดแย้งทางการเมืองมันถูกฝังรากลึกลงไปกับกลุ่ม ก้อนของเมืองไทยมาทุกยุคทุกสมัย ตัวอย่างที่ 48 “พลที่นั่งเงียบอยู่ไม่ไกลถามแทรกขึ้น ซึ่งตรงกับผมจะถามพอดี พลเป็นอีกคนที่ปาเต เปิดประตูรับเข้ามา แม้เพิ่งจะรู้จักและพูดคุยกันไม่มากนัก แต่เราต่างรู้ในทันทีว่า ความคิดความอ่าน ของเราอยู่คนละขั้วตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง เมื่อต้องมาหลบภัยอยู่ในร้านหนังสือของปาเต เราจึง พยายามสงบปากสงบคำ ระวังท่าทีของตัวเอง เพื่อไม่ให้เจ้าของสถานที่ลำบากใจ” (ไม่มีหมาปาตัวไหนเป็นมังสวิรัติ: 50) จะเห็นได้ว่า ตัวละครที่มีชื่อว่า “พล” และตัวละครอีกหนึ่งตัวที่ใช้สรรพนามว่า “ผม” นั้น เป็นการนำเสนอความแตกต่างด้านอุดมการณ์ทางการเมืองของแต่ละบุคคล กล่าวคือ ตัวละครผม และพลได้มาหลบภัยในร้านของปาเต ซึ่งทั้งสองคนมีความคิดหรืออุดมการณ์ต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกเขาจึงไม่มีการสนทนาหรือพูดคุยกัน เพื่อไม่เกิดความขัดแย้งกันทางความคิดหรือความขัดแย้งทาง การเมือง แม้จะมาหลบภัยจากสถานการณ์ทางการเมืองในร้านเดียวกัน ซึ่งเป็นการสะท้อนสภาพ สังคมในปัจจุบันที่มีความแตกแยกทางความคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นอย่างมาก ตัวอย่างที่ 49 “ปญหาที่เกิดขึ้นในบานเมืองเราครั้งแล้วครั้งเล่าวนอยู่อย่างนี้เหมือนหลงทางในกาลเวลา ไม่ก้าวไปข้างหนาเสียทีเพราะลูกแกะเลือกหมาปาเขามาดูแลพวกเขาเอง ธรรมชาติของหมาปา เมื่อเข้ามาได้ตัวหนึ่งมันก็จะมาทั้งฝูง...” (ไม่มีหมาปาตัวไหนเป็นมังสวิรัติ: 50)
65 จะเห็นได้ว่า ประเทศของเราไม่ได้มีการพัฒนาตามที่ควรจะเป็น เพราะมีแต่ปัญหา ที่ไม่เคยแก้ไขได้ หรือไม่มีใครคิดจะแก้ไข ทำให้ประเทศต้องวนอยู่กับอะไรเดิมๆ และไม่ก้าวไป ข้างหน้า ประชาชนก็เปรียบเหมือนลูกแกะที่เลือกหมาป่าเข้ามาดูแล ซึ่งลูกแกะไม่สามารถรู้ได้ว่าใคร คือหมาป่าตัวจริง และเมื่อเราเลือกหมาป่าเข้ามาดูแลแล้ว ถึงรู้ว่าใครคือหมาป่าตัวจริงที่คอยจะกิน แกะอยู่ตลอดเวลา เป็นการแสดงให้เห็นว่าในสังคมมีทั้งหมาป่าที่ใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบกับคนใน สังคม และหากินบนความยากไร้ของคนในประเทศ และลูกแกะที่ต้องเอาตัวรอดจากหมาป่าให้ได้ ตัวอย่างที่ 50 “ลูกแกะมักคิดวา พวกเขาตองการผู้นำที่ฉลาดและแข็งแรง หมาปาเลยได้ทีปลอมตัวเขามา จริงๆ แล้วหมาปาไม่ได้ฉลาดหรอก แต่เจ้าเล่ห์มากกว่า คำว่าฉลาดดูเป็นการยกยองมันเกินไป ความฉลาดแบบโกงนั้นตองเรียกวาเจาเล่ห์ถึงจะถูกตอง หมาปานี่แหละตัวดีที่ทำใหลูกแกะแบงฝักฝ่าย ทะเลาะกันเอง เลยยิ่งออนแอไปอีก...” (ไม่มีหมาปาตัวไหนเป็นมังสวิรัติ: 51) จะเห็นได้ว่า คนในสังคมมักจะอยากได้ผู้นำที่ฉลาด แข็งแรง ช่วยเหลือประชาชนและ ประเทศชาติได้ แต่กลับไม่รู้เลยว่าอาจมีคนที่ไม่หวังดีและหาผลประโยชน์เข้ามา ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ กลุ่มของตนเองมีชีวิตที่ดี มีอำนาจมากขึ้น และทำให้คนในประเทศแบ่งฝักฝ่ายกันออกไป เพื่อที่ว่าฝ่าย ใดฝ่ายหนึ่งจะอยู่ข้างตน และคอยเป็นเกราะกำบังให้ จึงทำให้คนในประเทศแตกแยกความสามัคคี เกิดการทะเลาะกัน เพียงเพราะกลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่อใครเลย ตัวอย่างที่51 “หมาปามาในหลายรูปแบบ ไม่วาจะเป็นกิเลส ความเลวร้าย ความเห็นแกตัว คมเขี้ยวของ หมาปานั้น ฝากพิษบาดทะยักใหกับสังคมไทยมาชานาน จงจำไวไม่มีหมาปาตัวไหนเป็นมังสวิรัติ แท้จริงหรอก ลูกแกะตองเรียนรูฉลาด แข็งแรง และสามัคคีกันไว” (ไม่มีหมาปาตัวไหนเป็นมังสวิรัติ: 51) จะเห็นได้ว่า ตัวละครในวรรณกรรมได้ชี้ใหเห็นว่าความขัดแย้งในสังคมนั้นมีสวนสำคัญ ที่เกิดจากความตองการมีอำนาจปกครองของมนุษย์ชนชั้นนำในสังคม จึงเกิดการชวงชิงอำนาจ
66 ระหว่าง กลุมคนชั้นนำในสังคมจนทำใหเกิดการสร้างมิตรและผลักดันใหเกิดศัตรูในเวลาเดียวกัน จนขยายวงกว้างไปสู่การแบ่งแยกประชาชนเพื่อสร้างฐานอำนาจตอรองทางการเมือง เมื่อความขัดแย้ง บานปลายจึงเข้าทางกลุ่มคนที่พร้อมเก็บเกี่ยวผลประโยชนเขาตัวเองโดยไม่คิดจะแกไข ตัวอย่างที่52 “หลายปีต่อมา ขณะที่บ้านเมืองกำลังแบ่งฝักฝ่าย มีการประท้วงรัฐบาลเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หลายเรื่องที่รัฐบาลตัดสินใจทำ ผมกับเพื่อนสนิท 2-3 คน ไม่เห็นด้วย หลังเลิกงานเรามักชวนกันไป ร่วมชุมนุมคัดค้านเสมอ ครั้งหนึ่งเหตุการณ์ชุลมุน ผู้ประท้วงโดนตำรวจไล่ยิงจนต้องวิ่งหนีหลบมาตาม ถนน ค่ำนั้นร้านรวงตึกแถวปิดประตูอย่างแน่นหนา ตั้งแต่ตอนเย็นเพราะมีข่าวการสลายการชุมนุมมา ตลอดบ่าย ผลพลัดหลงกับเพื่อนๆ ต่างคนต่างหนีกระเจิงไปคนละทาง” (ไม่มีหมาปาตัวไหนเป็นมังสวิรัติ: 48) จะเห็นได้ว่า การประท้วงรัฐบาล และมีการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล เนื่องจากอาจไม่ พอใจในการบริหารประเทศและนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล เกิดการชุลมุนและมีการสลายการชุมนุม โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในที่สุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการเมืองไทยก็ยังวนเวียนอยู่จุดเดิม คือการประท้วง รัฐบาล การชุมนุมทางการเมือง การสลายการชุมนุมและ มีการบาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ตัวอย่างที่53 “พี่รู้มั้ยว่าน้องไม่เคยไปฝั่งหลังสถานีเลย” น้องสาวเปิดประเด็นทันทีหลังสั่งเมนูอาหารเสร็จ “มิน่า ถึงไม่รู้จักสี่แยกวิฑูรอุทิศสี่” ผมว่า “เออแล้วทำไมไม่หัดไปรู้จักชื่อถนนเอาไว้บ้าง จะได้รู้จักให้ ทั่วกว่านี้” “ฝั่งโน้นมีระเบิดบ่อยกว่าฝั่งนี้นะพี่รู้ไว้ด้วย คราวหน้าอย่าหลงไปอีกเด็ดขาดเลยนะ น้องอยู่ มาสี่ปียังไม่กล้าเหยียบไปเลย” ผมสังเกตเห็นว่าเมืองยะลาก็เหมือนกับที่อื่นๆ เต็มไปด้วยผู้คน รถราวุ่นวาย จอแจ ย่านตลาด ทุกแห่งก็มีผู้คนเข้าไปจับจ่ายซื้อของกันตามปกติต่างกับที่อื่นก็ตรงที่บางจุดจะมีด่านทหาร น้องสาว บอกผมตลอดทางว่าตรงนั้นตรงนี้เคยมีระเบิด ตรงนั้นตรงนี้เคยมีคนโดนยิงตาย แต่ความเป็นปกติที่ผม เห็นอยู่ทำให้นึกภาพไม่ออกว่า ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์มันจะมีภาพแบบไหน ภาพข่าวที่เห็นในทีวีมัน
67 ดูน่ากลัว แต่พอมาถึงที่นี่ ผมก็คิดว่ามันก็คือเมืองเมืองหนึ่งที่อาจมีความน่ากลัวซ่อนอยู่ แต่ผมก็ไม่เห็น หน้าตาของมันเท่านั้นเอง (เราอยู่ที่สีแยกไฟแดงวิฑูรอุทิศ4: 63-64) จะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งทางการเมืองในเขตพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เกิดจาก ความเห็นต่างของคนในพื้นที่ทางด้านศาสนา จึงทำให้เกิดความไม่พอใจ ซึ่งนำมาซึ่งการก่อความ รุนแรงในพื้นที่ โดยเฉพาะในจังหวัดยะลา คือ สีแยกไฟแดงวิฑูรอุทิศ 4 ยังมีเหตุการณ์วางระเบิด มีคนตาย มีด่านทหารเพื่อรักษาความปลอดภัย ให้กับประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อสินค้าในตลาดย่านนี้ แม้ตอนนี้ยังไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรง แต่ก็ไม่มีใครกล้ารับประกันว่าเหตุการณ์ความรุนแรงจะไม่เกิดขึ้น ทุกคนในบริเวณนี้จึงต้องมีความระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ตัวอย่างที่54 เพื่อนที่บ้านเกิดบอกผ่านทางกล่องข้อความทางเฟซบุ๊กว่า ถ้าเลี่ยงได้ก็อย่าพูดเรื่องการเมือง ฉันคิดว่าหลักข้อนี้ฉันปฏิบัติอยู่เสมอกับเพื่อนและทุกคนที่ติดต่อด้วย โดยเฉพาะหากรู้ว่าต่างขั้วทาง การเมืองและความคิดกันแล้ว ยิ่งควรจะหลีกเลี่ยง (เกี่ยวกับฟันซี่นั้น: 67) จะเห็นได้ว่า เมื่อในสังคมเกิดความขัดแย้งทางการเมืองที่มาจากความเห็นต่างของแต่ละ บุคคลนั้น สิ่งที่จะทำให้สถานการณ์ไม่ทวีความรุนแรงขึ้น ก็คือ การหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้เกิดการ ทะเลาะวิวาทหรือความรุนแรงจากความคิดที่ต่างคนต่างเชื่อมั่นในตนเอง ตัวอย่างที่55 “ป้าหมอ ‘แดง’ อาแก ‘กปปส.’ แถมยังลงไปเป่านกหวีดที่กรุงเทพฯ ด้วย เข้าใจไหม” ฉันพยักหน้ารับ ที่กรุงเทพฯ เพื่อนหลายคนของฉันที่คบหากันมานับสิบๆ ปีก็ผิดใจก็ด้วยเรื่องนี้ เยอะแยะ “มีคนเห็นป้าหมอไปแจกข้าวกล่องให้เสื้อแดง ตอนการเมืองแรงๆ ประท้วงกันในตัวจังหวัด เมื่อหลายปีก่อน” เพื่อนเล่า “อาแกก็เคยทะเลาะกับป้าเรื่องนี้แหละ ชี้นิ้วใส่ แรงจะตาย อาแกน่ะ
68 ป้าหมอก็ใช่ย่อย เท้าสะเอวเถียงฉอดๆ” “ป้าหมอไม่น่าเป็นคนอย่างนั้น” ฉันบอก “แกเป็นคนไม่พูด ไม่สนใจเรื่องของใคร” “คนเรามันเปลี่ยนกันได้นะแก กับการเมืองนี่ บางคนพูดเรื่องนี้ปุ๊บ กลายเป็น คนละคนไปเลย แกไม่เคยเจอหรือ” เพื่อนตอบ (เกี่ยวกับฟันซี่นั้น: 69) จะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งทางการเมืองที่ต่างฝ่ายต่างเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของตนเอง นำมาซึ่งการทะเลาะกันในสังคม เพราะเรื่องการเมืองเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับบางคน การกล่าวถึงเรื่องการเมืองจึงเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาภายหลัง ตัวอย่างที่56 ส่วนสาเหตุที่พ่อเกลียดป้านุ่ม จนไม่ยอมให้เราไปช่วยดับไฟ ที่กำลังกระพือโหมอยู่ในทุ่งหญ้า หลังบ้านนั้น เนื่องมาจากนโยบายทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งรัฐบาลประกาศให้ผู้มีรายได้น้อยไป ลงทะเบียนขอรับบัตร เพื่อนำไปซื้อเครื่องอุปโภค บริโภค ตามร้านค้าที่ทางรัฐบาลกำหนดไว้ตอนสาวๆ ป้านุ่มเคยเป็นแม่ค้าขายผักในตลาด มีรายได้พอเลี้ยงดูส่งเสียหลานสาวกำพร้าจนจบปริญญาตรีป้านุ่ม จึงมีบัญชีเงินฝากแค่หลักหมื่น ต่ำกว่าเกณฑ์ที่รัฐบาลวางไว้และไม่มีรายได้ประจำ ป้านุ่มเลยมี คุณสมบัติครบถ้วนที่จะได้รับบัตรสีฟ้าเพื่อใช้แลกซื้อสินค้าต่างๆ ได้เดือนละ 300 บาท (อย่าขวางประตู: 190) จะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งระหว่างตัวละครพ่อและป้านุ่มนั้น เกิดจากนโยบายของรัฐ กล่าวคือ เกี่ยวกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ทำให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อย เป็นการช่วยเหลือนำเงิน ไปใช้เครื่องอุปโภคบริโภค ใช้จ่ายในครัวเรือนเพื่อแบ่งเบาค่าใช้จ่ายของครอบครัว ผู้เขียนได้สะท้อนให้ เห็นถึงการขาดการตรวจสอบข้อมูลของผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือการตรวจสอบข้อมูลทาง ร้านค้าที่มีข่าวการคดโกงชาวบ้าน หรือผู้สูงอายุที่นำบัตรมากดเงินหรือรูดบัตรเพื่อแลกสินค้า บางครั้ง อาจโดนโกงได้จากลูกหลานและพวกมิจฉาชีพที่หวังหากินกับประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยนำบัตร สวัสดิการของผู้สูงอายุไปกดเงิน เพราะผู้สูงอายุกดบัตรสวัสดิการไม่เป็น จึงอาศัยลูกหลานหรือคนที่ รู้จักไปกดเงิน ลูกหลานหรือมิจฉาชีพไม่นำเงินมาให้ผู้สูงอายุอ้างว่าในบัตรสวัสดิการไม่มีเงิน ทำให้เกิด ปัญหาต่างๆ ตามมา
69 3.2.2 แนวคิดเกี่ยวกับสังคม 3.2.2.1 แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่พลเมือง แนวคิดเรื่องสิทธิและหน้าที่เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ใน สังคม คำว่า สิทธิ หมายถึงอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองที่กฎหมายรับรอง ในขณะที่คำว่า เสรีภาพหมายถึงความสามารถของบุคคล เลือกที่จะคิด กระทำ หรือพูดอย่างไรก็ได้ตามความพอใจใน ตัวเอง ซึ่งเป็นอำนาจที่กฎหมายรับรองว่ากระทำอย่างอิสระ โดยเสรีและสุจริต แต่ต้องไม่กระทบต่อ สิทธิของผู้อื่น พลเมืองจะแสดงออกถึงความกระตือรือร้นในการรักษาสิทธิต่างๆ ของตน รวมถึงการ มีส่วนร่วมทางการเมือง โดยการแสดงออกซึ่งสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ดังนี้ ตัวอย่างที่57 “นี่แกคงลืมในสิ่งที่พ่อเคยสอนแกหมดแล้วสินะ...กฎหมายเป็นเพียงข้อบัญญัติเพื่อใช้บังคับ ควบคุมไม่ให้คนทำผิด แต่การเป็นพลเมืองดีคือหน้าที่ที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติโดยไม่ต้องรอให้กฎหมาย มาบังคับ แกและผู้ใหญ่เกลี้ยงอาจจะหลีกเลี่ยงกฎหมายได้แต่แกจะหนีกฎแห่งกรรมเพราะการไป ละเมิดสิทธิ์ของคนอื่นไม่ได้เลย” “ก็การที่แกไปเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่เกลี้ยงลักลอบตัดไม้ยังไม่เรียกว่า ละเมิดสิทธิ์ของคนอื่นอีกหรือ ทรัพยากรทางธรรมชาติทุกชนิดเป็นสมบัติของส่วนรวม การฉกฉวยเอา มาเป็นสมบัติส่วนตัวนั่นแหละคือการละเมิดสิทธิ์ของคนอื่น” (คฤหาสน์พยาธิตาบอด: 88-89) จะเห็นได้ว่า ตัวละครในเรื่องสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นพลเมืองที่ดี ที่ไม่ได้มีกฎหมายมา กำหนด เพราะการเป็นพลเมืองที่ดีนั้นย่อมเกิดจากการกระทำของผู้กระทำเอง โดยไม่ได้มีกฎหมายมา คอยบังคับ การละเมิดสิทธิ์ผู้อื่นจึงเป็นสิ่งที่พลเมืองที่ดีไม่ควรกระทำและเป็นสิ่งที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ ว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ตัวอย่างที่58 ผ่านลานออกกำลังกายของหมู่บ้านซึ่งรกร้างมานับปีมันถูกทำเป็นที่ทิ้งขยะสาธารณะ ก็แค่ ลานออกกำลังกายเล็กๆ พื้นที่ใหญ่กว่าสนามบาสเก็ตบอลเล็กน้อย ไม่มีใครใช้งานนอกจากคนแก่ ในหมู่บ้านมารวมตัวยามเช้า รำไทเก็ก พูดคุย แยกย้าย เย็นอาจมีเด็กเล็กบ้าง วันหนึ่งขยะชิ้นใหญ่ที่ ล้นเหลือจากยัดถังใบเล็กตามจุดต่างๆ คนก็เอามาทิ้งที่นี่ จากน้อยก็เพิ่มปริมาณ แม่กับเพื่อนสามสี่คน ไปเรียกร้องให้กรรมการหมู่บ้านเข้ามาดูแล แล้วขยะก็หายไป แต่ไม่นาน ไม่เกินหนึ่งเดือนร้อยห้าสิบ
70 หลังคาเรือนหมู่บ้านจัดสรรก็นำขยะมาสั่งสมอีก คราวนี้ไม่มีใครมาจัดการอะไร กรรมการหมู่บ้าน บางคนยังแอบเอามาทิ้ง พวกเขาเมินต่อลานออกกำลังกาย มันไม่ใช่หน้าที่ รถขยะเข้ามาเก็บเพียงถัง เหลืองเล็กเขียวที่กระจายไปทั่ว พวกเขาไม่นำชิ้นใหญ่ที่ลานนั้นไปด้วย ที่นอนเก่า โต๊ะ เก้าอี้พัง ซากเครื่องใช้ไฟฟ้า รถถีบเด็กเล่น ซากวงกบหน้าต่าง แม่กับเพื่อนเขียนป้ายกระดาษไปแปะตรงที่เคย เป็นลานออกกำลังกาย กรุณาอย่าเอาขยะมาทิ้งที่นี่ น่าหัวเราะ ไม่มีใครเชื่อ (จำรัสรอรัก: 102) จะเห็นได้ว่า สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของการขาดความรับผิดชอบและจิตสำนึกในสังคม ของการเป็นพลเมืองที่ดี ทุกคนในสังคมควรที่จะมีจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อส่วนรวมมากกว่า ส่วนตน ซึ่งปัญหาการทิ้งขยะเป็นปัญหาของทุกคน เพราะขยะมาจากฝีมือมนุษย์ในสังคมทั้งนั้น ถึงแม้ จะมีคนออกมาเรียกร้องให้มีการจัดการขยะให้ถูกต้อง แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุมากกว่า สุดท้ายปัญหาเหล่านี้จะหมดไปได้ก็ต่อเมื่อคนในสังคมเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากว่าส่วนตน มีจิตสำนึก มีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น เพราะนี่คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ตัวอย่างที่59 ยามเย็นเป็นเวลาอิดโรย แม่ตายที่จุดนั้น เช้านั้นกลับจากตลาด แม่แวะจัดการเศษกองไม้ที่ ใครสักคนมาลอบทิ้งตอนกลางคืน มันล้ำออกมาผิวถนนหมู่บ้าน จังหวะนั้นเอง ชีวิตคนเราง่ายดายมาก นึกจะตายก็เพียงชั่วครู่ รถกระบะที่มาส่งของในหมู่บ้านวิ่งออกมาชนเข้าด้านหลัง แม่กระเด็นไปโดยมี แผ่นไม้อัดติดมือ (จำรัสรอรัก: 104) จะเห็นได้ว่า ความเห็นแก่ตัวของคนในสังคม เพราะเกิดจากการขาดจิตสำนึก ขาดความ รับผิดชอบ และเหตุแก่ตัว ตัวละครแม่สะท้อนให้เห็นถึงความมีจิตสำนึก ความรับผิดชอบต่อสังคม และการเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตนจนวินาทีสุดท้ายของการเป็นคน ถ้าในสังคมมีคน ประเภทนี้อยู่มาก สังคมก็จะน่าอยู่ ประเทศก็จะพัฒนาไปได้ไกลมากขึ้น
71 ตัวอย่างที่60 ลุงโชติเป็นนายประภาคารแห่งนี้แกรักประภาคารและรักความสงบเมื่อมองดูท้องฟ้าที่เป็น สีฟ้า คลื่นทะเลที่พลิ้วไหว แม้บางครั้งท้องทะเลจะโมโหและเกรี้ยวกราด แต่นั้นก็เป็นวิสัยของ ธรรมชาติมันไม่ได้น่าหวาดกลัว ตรงกันข้าม มันช่างน่าเกรงขาม ธรรมชาติสอนลุงโชติให้รู้จักเคารพสิ่ง ต่างๆ ที่อยู่รอบตัว เคารพธรรมชาติเคารพมนุษย์ด้วยกันเอง และเพราะมันทำให้ตัวแกยังมีประโยชน์ อยู่บ้าง การงานทำให้คนเราเป็นคนมีคุณค่า คนทุกคนต้องมีหน้าที่ต่อตนเองและสังคม (ยินดีต้อนรับสู่ประภาคาร: 155) จะเห็นได้ว่า การเคารพสิทธิ์ต่างๆ เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่ามาก ไม่ว่าจะเป็น การเคารพ ธรรม การเคารพมนุษย์ด้วยกัน และการรู้จักหน้าที่ของตนเองเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนให้วมบูรณ์ที่สุด สมาชิกทุกคนในสังคมย่อมต้องมีบทบาทหน้าที่ตามสถานภาพของตน ซึ่งบทบาทและหน้าที่ของ สมาชิกแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันไป ถ้าสมาชิกทุกคนในสังคมได้ปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของตน อย่างถูกต้องก็จะได้ชื่อว่าเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมและประเทศชาติ และยังส่งผลให้ประเทศชาติ พัฒนาอย่างยั่งยืน ตัวอย่างที่61 “ธรรมชาติย่อมมีกฎของธรรมชาติมนุษย์ย่อมมีกฎของมนุษย์ในเมื่อเอ็งไปอยู่กับธรรมชาติ แล้ว เอ็งควรจะเคารพธรรมชาติส่วนพ่อยังไม่ตาย ก็คงต้องเคารพในกฎของมนุษย์ต่อไป” (ยินดีต้อนรับสู่ประภาคาร: 166) จะเห็นได้ว่า การเป็นพลเมืองที่ดีนั้น สิ่งหนึ่งที่คนในสังคมล้วนต้องปฏิบัติคือการเคารพ กฎของคนในสังคม เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่อยู่กันเป็นจำนวนมาก กฎจึงมีไว้เพื่อควบคุมมนุษย์ ให้อยู่ในสังคมได้อย่างสันติ
72 ตัวอย่างที่62 “ถึงจะเป็นแค่คนงาน แต่อย่าลืมว่าพวกเราทุกคนก็คือ คน ต้องอยู่ ต้องกิน ต้องใช้ไม่ต่าง อะไรกับใครทั้งนั้น เหงื่อทุกหยดที่เราเสียไป มันจะต้องมีประโยชน์เวลาทุกนาทีที่เราเสียไป มันจะต้อง กลายเป็นค่าตอบแทนที่พวกเราทั้งหมดควรจะได้รับ ตอนนี้คงเดชมันกำลังโกงเรา มันกำลังปล้นเงิน ของเราไป และถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่าง เงินทุกบาททุกสตางค์ของเราก็จะต้องถูกขโมย เวลาและ หยาดเหงื่อที่พวกเราต้องก้มหน้าก้มตาทำงานแลกมาด้วยความยากลำบาก ก็จะต้องสูญเปล่า สิ่งที่ เจ้าของโรงงานกำลังทำกับเรามันคือการเอาเปรียบ ถ้าเราไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง ก็คงต้องโดนเอา เปรียบไปจนตาย และเงินที่หายไปก็คงเหยียบหลักแสนเข้าสักวัน “แต่ถ้าจะให้ฉันแก้ปัญหานี้คนเดียว ฉันคงทำไม่ได้ฉันต้องการให้ทุกคนช่วยฉัน เป็นพลังที่จะต่อสู้กับอำนาจของเจ้าของโรงงานทอผ้าแห่งนี้ ฉันแค่คนเดียวคงไม่สามารถทำให้มันเปลี่ยนใจขึ้นค่าแรงได้แต่ถ้าทุกคนช่วยกัน ถ้าทุกคนพร้อมใจเปล่ง เสียงเรียกร้องความยุติธรรม เราจะได้สิ่งที่เป็นของเรากลับคืนมา (โรงงานทอผ้าของมะลิ: 177-178) จะเห็นได้ว่า นายจ้างกำลังเอาเปรียบลูกจ้างที่ทำงานให้ในบริษัท โดยการอ้างเหตุผลว่า เศรษฐกิจไม่ดี จึงต้องลดค่าแรงเพื่อให้บริษัทอยู่รอด แต่ความเป็นจริงนายจ้างแค่ต้องการเอาเปรียบ ลูกจ้างด้วยการหาเหตุผลมาบอกลูกจ้างเพื่อไม่ให้มีข้อขัดแย้ง แต่ในที่สุดตัวละครมะลิได้หาความจริง ได้ว่า นายจ้างแค่ต้องการคอร์รัปชันด้วยการเอาเงินเข้ากระเป๋าตนเอง ทำให้ลูกจ้างทุกคนต้องลุกมา เพื่อทวงสิทธิ์อันชอบธรรมที่ลูกจ้างควรได้ การเอาเปรียบของนายจ้างเปรียบเหมือนการใช้อำนาจกดขี่ ข่มเหงลูกจ้าง หากลูกจ้างทุกคนพร้อมใจกันเรียกร้องความยุติธรรม ความยุติธรรมและสิ่งที่ลูกจ้างควร ได้รับนั้นอาจกลับมา เพราะถ้าบริษัทของนายจ้างขาดลูกจ้างในการทำงาน ซึ่งลูกจ้างถือเป็นกำลัง สำคัญหรือฟันเฟืองในการขับเคลื่อนประเทศ บริษัทก็ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ 3.2.2.2 แนวคิดเกี่ยวกับความขัดแย้งหรือความแตกต่างด้านอุดมการณ์ของ บุคคลทางสังคม คนในสังคมมีความคิดเห็นต่างกัน เนื่องจากมนุษย์มีความหลากหลายทางความ คิดเห็น จึงเป็นเรื่องปกติที่สังคมจะมีความคิดเห็นต่างกัน ยิ่งคนบางกลุ่มต้องมาอยู่รวมกันในความต่าง ที่ไม่มีอะไรเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น ที่มา อาชีพ ฐานะ ที่เกิดจากความแตกต่างระหว่างบุคคล ทำให้ สังคมเกิดความแตกแยก เนื่องจากมีความคิดเห็นที่ต่างกัน และต่างคนต่างมีทิฐิ แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้อง
73 หาทางออกเพื่อให้สังคมก้าวข้ามความขัดแย้งนั้นไปได้ด้วยการเข้าใจความแตกต่างของแต่ละบุคคล เพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกในสังคม สังคมทุกสังคมย่อมหลีกเลี่ยงความขัดแย้งไม่ได้ ความขัดแย้งในสังคมจึงเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าความขัดแย้งดังกล่าวยังสามารถหาข้อยุติได้ในกรอบของกลไกที่มีอยู่สังคมนั้นก็สามารถ ดำเนินต่อไป หรือตราบเท่าที่ปัญหาความขัดแย้งอยู่ในสัดส่วนที่ไม่แผ่กระจายไปทั่วทั้งสังคม จนหาวิธีการหรือกลไกเพื่อยุติความขัดแย้งไม่ได้สังคมนั้นก็สามารถดำเนินต่อไป โดยในภาพรวมจะ ถือได้ว่าสังคมนั้นยังอยู่ได้อย่างมีความสมานฉันท์ แต่เมื่อใดก็ตามที่ความขัดแย้งถึงจุดที่ไม่สามารถ จะแก้ไขเยียวยาได้ ทางเลือกของสังคมก็จะถูกจำกัดลง โดยมีทางออกอยู่สองทางคือ การพยายาม แก้ไขความขัดแย้งโดยสันติวิธี ด้วยการเจรจาหรือไกล่เกลี่ย หรือมิฉะนั้นก็คงต้องแก้ไขความขัดแย้ง ด้วยการใช้กำลังหรือความรุนแรง ผลที่ออกมาก็คือ การที่ฝ่ายหนึ่งชนะ อีกฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ ผู้ชนะ ก็จะสร้างระเบียบการเมืองขึ้นมาใหม่ และถ้าเป็นกรณีที่ไม่สามารถจะเอาชนะกันได้ก็อาจถึงกับ แตกแยกออกเป็น 2 ส่วน หรือ 3 ส่วน ของหน่วยชุมชนหรือหน่วยการเมืองใหม่แล้วแต่กรณี ดังนี้ ตัวอย่างที่63 “คุณรักแมว เลี้ยงแมว คุณก็ต้องเคารพสิทธิ์ของคนอื่น ไม่ใช่ปล่อยให้เที่ยวขี้เพ่นพ่านข้างนอก มันเหม็นรบกวนคนอื่นเขา...” “การอยู่ร่วมกันกับคนหมู่มาก ก็ต้องเคารพสิทธิ์ของกันและกัน ไม่ใช่ เอาแต่ความรักความชอบส่วนตัว แล้วสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ไปทั่ว เพราะมีคนอย่างคุณ นี่แหละ ประเทศชาติของเราจึงไม่พัฒนา ชอบใช้อภิสิทธิ์เหนือคนอื่น” (ชิ้นส่วนความขัดแย้ง: 129) จะเห็นได้ว่า สมาชิกทุกคนในสังคมมีสิทธิเท่าเทียมกันในการดำรงชีวิตในสังคม โดยสิทธิ์ ดังกล่าวจะต้องไม่ละเมิดสิทธิของสมาชิกคนอื่นในสังคม การเคารพสิทธิ์และการปฏิบัติตนตามสิทธิ ของตนเองภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ โดยไม่กระทบสิทธิบุคคลอื่น ย่อมได้ชื่อว่าบุคคลนั้นเป็นผู้มีส่วน นำพาบ้านเมืองให้พัฒนา หากประชาชนทุกคนรู้ถึงสิทธิ เสรีภาพ และหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ และต่างปฏิบัติได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ประชาชนในชาติย่อมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และชาติ บ้านเมืองก็จะพัฒนาและเจริญก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว
74 แนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ปีพ.ศ.2561 สามารถสรุปได้ดังตารางต่อไปนี้ ตารางที่ 7 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์ ที่ เรื่องสั้น วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ปีพ.ศ.2561 จำนวน 13 เรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับการเมือง แนวคิดเกี่ยวกับสังคม แนวคิด เกี่ยวกับ อำนาจทาง การเมือง หรือ พฤติกรรม ทางการ เมือง แนวคิด เกี่ยวกับ การมีส่วน ร่วมทาง การเมือง แนวคิด เกี่ยวกับ ความขัดแย้ง หรือความ แตกต่างด้าน อุดมการณ์ ของบุคคล ทางการเมือง แนวคิดเกี่ยวกับ สิทธิและหน้าที่ พลเมือง แนวคิด เกี่ยวกับ ความขัด แย้งหรือ ความแตก ต่างด้าน อุดมการณ์ ของบุคคล ทางสังคม 1 เสื้อคลุมของผู้พัน - - 2 ไม่มีหมาป่าตัวไหน เป็นมังสวิรัติ - - - - 3 เราอยู่ที่สี่แยกไฟ แดงวิฑูรอุทิศ 4 - - - - 4 เกี่ยวกับฟันซี่นั้น - - - - 5 คฤหาสน์ของ พยาธิตาบอด - - - 6 จำรัสรอรัก - - - - 7 ชายชรากับปลาใน ลำธาร - - - - 8 ชิ้นส่วนของความ ขัดแย้ง - - 9 ดาวส่องเมือง - - - -
75 ตารางที่ 7 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์(ต่อ) ที่ เรื่องสั้น วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ปี พ.ศ.2561 จำนวน 13 เรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับการเมือง แนวคิดเกี่ยวกับสังคม แนวคิด เกี่ยวกับ อำนาจทาง การเมือง หรือ พฤติกรรม ทางการ เมือง แนวคิด เกี่ยวกับ การมีส่วน ร่วมทาง การเมือง แนวคิด เกี่ยวกับ ความขัดแย้ง หรือความ แตกต่างด้าน อุดมการณ์ ของบุคคล ทางการเมือง แนวคิดเกี่ยวกับ สิทธิและหน้าที่ พลเมือง แนวคิด เกี่ยวกับ ความขัด แย้งหรือ ความแตก ต่างด้าน อุดมการณ์ ของบุคคล ทางสังคม 10 ยินดีต้อนรับสู่ ประภาคาร - - - 11 โรงทอผ้าของมะลิ - - - - 12 อย่าขวางประตู - - - - 13 อวนจับนาค - - - - รวม 7 เรื่อง 2 เรื่อง 5 เรื่อง 4 เรื่อง 1 เรื่อง จากตารางข้างต้น ทำให้ทราบว่าแนวคิดวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ปีพ.ศ. 2561 มุ่งนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการเมืองมากกว่าแนวคิดเกี่ยวกับสังคม เนื่องด้วยปรากฏการณ์ทาง การเมืองและสังคมของประเทศไทยตลอดช่วงที่ผ่านมา มีลักษณะความไม่ชัดเจนทางสังคม และการเมือง เศรษฐกิจ ไม่แน่นอนเท่าที่ควร ซึ่งอาจเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลง ทางสังคมต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เช่น เหตุการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และ สังคมของทั้งภายในประเทศและทั่วโลก ทำให้บรรยากาศวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมไทย ไม่ค่อยดีนัก เพราะอาจจะเกิดจากปัญหาทางการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาสังคม อีกนัยยะ หนึ่งถึงแม้ทางด้านการเมืองการปกครองในประเทศจะมีความสงบเรียบร้อย เพราะมีรัฐบาลที่มาจาก การทำรัฐประหาร โดยการนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่สังคมไทยยังมีความขัดแย้งทางการเมือง มีอุดมการณ์ทาง การเมืองที่แตกต่างกัน โดยประชาชนบางส่วนอาจมีความรู้สึกปลอดภัยในด้วยความสงบ ภายในประเทศ เพราะไม่มีสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ แต่ประชาชนชนบางส่วนยังมีการต่อต้าน
76 การทำรัฐประหารของรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาอยู่ ส่วนในด้านของการเมืองการ ปกครองนั้น เป็นช่วงที่หยุดชะงักของการพัฒนาความเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทย เพราะ รัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หากแต่ไม่ว่ามุมมองไหนจะเป็นอย่างไร ในสภาพ ความเป็นจริงประเทศไทยก็ยังมีการเมืองการปกครองที่อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพราะประชาชนคนไทยทุกคนต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของระบอบ การเมืองการปกครอง ซึ่งมีผู้นำทางการเมืองมาบริหารประเทศ ไม่ว่าจะเป็นระบอบเผด็จการหรือ ระบอบประชาธิปไตยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ย่อมส่งผลต่อการดำเนินวิถีชีวิตของประชาชนคนไทยทุกคน อาจจะดีขึ้นหรืออาจจะเลวร้ายลง ก็ขึ้นอยู่กับการนำการเมืองการปกครองมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับ วัฒนธรรมและสังคมของคนในประเทศไทย จากการศึกษาวิเคราะห์แนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัล พานแว่นฟ้า ปี พ.ศ.2561 ทำให้เห็นแนวคิดทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และความแตกต่าง อุดมการณ์ทางการเมืองที่ยังมีความขัดแย้ง มีการชุมนุมทางการเมือง มีการหวนรำลึกเหตุการณ์ ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งนักเขียนสามารถพาเราไปสู่เหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่องได้อย่างแนบเนียน รวมถึงแสดงให้เห็นถึงความมีอิสระในการที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบ้านเมืองและสังคมของ ตนเองในแง่มุมหรือในกรอบของความเป็นประชาธิปไตยและความเป็นพลเมืองได้ละเอียดและชัดเจน มีการตั้งคำถามแล้วชวนให้คิดให้ตีความ จึงมีความน่าสนใจและน่าอ่านเป็นอย่างยิ่ง วรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2561 เป็นวรรณกรรมการเมืองและ วรรณกรรมสังคมที่สะท้อนบริบทการมีส่วนร่วมของประชาชนในฐานะผู้ประพันธ์ และผู้ถ่ายทอด ประสบการณ์ด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง การปกครองระบอบประชาธิปไตย และเรื่องอื่น ที่เกิดขึ้นในสังคม ส่วนการนำเสนอวรรณกรรมเรื่องสั้นนั้น นักเขียนจะมีการผสมผสานระหว่างเรื่อง แต่งหรือจินตนาการและเรื่องที่เป็นความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยนักเขียนได้ใช้บริบททางสังคมและ การเมือง ร่วมไปทั้งวัฒนธรรมของคนไทย สอดแทรกข้างไปแฝงอยู่ในช่วงเวลาขณะที่สร้างสรรค์ ผลงานเพื่อถ่ายทอดไปยังผู้อ่านได้ติดตามอย่างต่อเนื่อง แนวคิดที่ว่าสังคมมีอิทธิพลต่อวรรณกรรมหรือ ต่อนักเขียน นักเขียนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมย่อมได้รับอิทธิพลจากสังคมทั้งด้านวรรณกรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนา ปรัชญา เศรษฐกิจและการเมืองการปกครอง สภาวการณ์ของปัจจัย เหล่านี้ย่อมเป็นสิ่งกำหนดโลกทัศน์และชีวทัศน์ของเขา เมื่อสภาพสังคมมีความเปลี่ยนแปลงไป รูปแบบและเนื้อหาของเรื่องสั้นก็มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปได้ว่าความพยายาม ปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากการบีบบังคับทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองของนักเขียนทำให้กลวิธี การนำเสนอเรื่องสั้นในรูปแบบเดิมๆ กลายเป็นรูปแบบที่ไม่สามารถใช้ในการสื่อหรือสน องตอบ ความรู้สึกที่นักเขียนเผชิญในสังคมขณะนั้น
77 ด้วยเหตุทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ทำให้มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง และวัฒนธรรมประเพณี ตลอดจนธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในช่วงปี พุทธศักราช 2561 เนื่องจากวรรณกรรมเรื่องสั้นย่อมมีการสะท้อนภาพสังคม สถานการณ์บ้านเมือง และชีวิตความเป็นอยู่และความคิดเห็นของประชาชนในยุคสมัยนั้นๆ ดังนั้นการศึกษาวิเคราะห์แนวคิด ทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ปี พ.ศ.2561 จะทำให้ เข้าใจสังคมไทยยุคใหม่ในแง่มุมต่างๆ และยังมีความสำคัญยิ่งในการศึกษาภาพสะท้อนสังคม การเมือง และแนวความคิดของประชาชนที่มีต่อสังคมและการเมืองในช่วงระยะเวลานั้น ซึ่งผู้แต่งได้ถ่ายทอดไว้ ในวรรณกรรมเรื่องสั้นอย่างน่าสนใจ ตามเกณฑ์การให้รางวัล
78 3.3 วิเคราะห์แนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัล พานแว่นฟ้า ประจำปี 2562 3.3.1 แนวคิดเกี่ยวกับการเมือง 3.3.1.1 แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจทางการเมืองหรือพฤติกรรมทางการเมือง แนวคิดอำนาจทางการเมือง หมายถึง ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับอำนาจ สถาบัน และรัฐบาล ที่ได้รับการยอมรับว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จ ควบคุมและครอบคลุมสังคมในการจัดตั้งและรักษาระเบียบ สังคม มีอำนาจที่จะนำมาซึ่งวัตถุประสงค์ร่วมกันของสมาชิกในสังคม และมีอำนาจในการ ประนีประนอมความคิดเห็นของคนต่างๆ ในสังคม ส่วนการปกครอง คือการใช้อำนาจหน้าที่ในการ จัดสรรสิ่งที่มีค่าต่อสังคมอย่างเป็นธรรม อำนาจทางการเมืองคือการใช้อำนาจของผู้ปกครองเหนือ ผู้ปกครองซึ่งเป็นอำนาจที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง ที่รัฐใช้ในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลและ กลุ่มบุคคลในสังคม พฤติกรรมทางการเมือง เป็นการแสดงออกของผู้ที่มาอำนาจทางการเมือง โดย ผู้ที่เข้ามามีอำนาจทางการเมืองนั้นส่วนใหญ่มักจะใช้ประโยชน์จากอำนาจเพื่อตนเองและพวกพ้องโดย ไม่สนใจอุดมการณ์ทางการเมืองในอดีตของตน การเมืองจึงเป็นพฤติกรรมของคน จากคนที่มุ่งหวังเข้า มาเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดีขึ้น แต่กลับกลายเปนการเข้ามาใช้อำนาจอย่างบ้าคลั่งไม่ต่างจากผู้มี อำนาจอยู่ก่อน อำนาจทางการเมืองจึงมีแนวโน้มในการเปลี่ยนแปลงบุคคลให้ลุ่มหลง มัวเมาไปกับสิ่ง ที่สังคมเกรงกลัว จึงมีการใช้อำนาจอย่างไร้ขอบเขต ไร้ความเห็นอกเห็นให้ประชาชนจนหลงลืมไปว่า เมื่อหมดอำนาจ เขาเหล่านั้นก็ต้องกลับสู่สถานการณ์เป็นประชาชนธรรมดาสามัญ ดังนี้ ตัวอย่างที่64 “รัฐบาลชั่วคราวจะร่างรัฐธรรมนูญ แล้วเลือกตั้งรัฐสภา แล้วเลือกประธานาธิบดี หรืออาจเลือกตั้งรัฐสภาก่อนค่อยเลือกประธานาธิบดี แล้วค่อยร่างรัฐธรรมนูญ ขึ้นอยู่กับประชามติ ทุกอย่างกำลังเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้อง” (โลกที่เราทิ้งไว้ข้างหลัง: 34) จะเห็นได้ว่า การใช้อำนาจทางการเมืองในการทำรัฐประหารเพื่อยึดอำนาจจากรัฐบาล ที่ประชาชนเลือกมาตามระบอบประชาธิปไตย โดยอ้างการที่จะร่างรัฐธรรมนูญใหม่และรักษา ความสงบภายในประเทศ เป็นการใช้ช่องว่างทางกฎหมายที่ใช้การกระทำต่อประชาชน ที่ต้องการการเรียกร้องความยุติธรรมในสังคม อีกทั้งยังเป็นการใช้อำนาจทางเมืองเพื่อปิดปาก
79 ประชาชนในการอ้างกฎหมาย โดยไม่ให้ประชาชนมีสิทธิ์และเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง อีกด้วย ทั้งที่การกระทำเช่นนี้ผิดต่อรัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตยอันมีรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ตัวอย่างที่ 65 หลังแจ้งข่าวการยึดอำนาจและประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในค่ำวันนั้น เขาเน้นว่า นี่คือ รัฐประหารแบบประชาธิปไตย มีประชาชนลงชื่อเรียกร้องยี่สิบสองล้านคน... (โลกที่เราทิ้งไว้ข้างหลัง: 38-39) จะเห็นได้ว่า การยึดอำนาจพร้อมทั้งการใช้กฎหมายในการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินที่ประกาศใช้นั้นเป็นการใช้อำนาจทางการเมืองที่พยายาม ลิดรอนสิทธิ์ของประชาธิปไตยในการใช้ความรุนแรงทางการเมืองในการทำรัฐประหารใช้ข้ออ้าง ทางกฎหมายต่อฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองที่เป็นฝ่ายประชาชนเลือกเข้าสู่การบริหารประเทศ อันชอบธรรมตามประชาธิปไตยแต่ถูกกลุ่มคนทางการเมืองฝ่ายรักษาความสงบของประเทศใช้อำนาจ และความรุนแรงทางการเมืองเพื่อเข้ามาแทรกแซงสิทธิ์และเสรีภาพของประชาชน ตัวอย่างที่66 เมื่อผมปฏิเสธ นายกธวัชก็เริ่มแผนชั่วร้าย ด้วยการไปที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และเรียกผู้จัดการมาคุย โวยวายว่าไม่ควรให้ผมกู้ และออกคำสั่งกับผู้จัดการว่า ห้ามให้ผมกู้เงิน มาสร้างบ้าน ทั้งๆ ที่ธนาคารอนุมัติไปแล้ว (บนรอยต่อของเปลือกโลก: 129) จะเห็นได้ว่า การใช้อำนาจทางการเมืองที่ตนเองมีตำแหน่งฐานะทางสังคมที่สูงกว่า ผู้ด้อยตำแหน่งและอำนาจในการใช้พฤติกรรมความรุนแรงทางกฎหมายและการใช้อำนาจที่ตนมี ต่อประชาชนที่ทำงานและมีสิทธิและเสรีภาพที่สุจริตต่อการทำงานและมีสิทธิ์ในการกระทำ ต่อการกู้ยืม พร้อมทั้งใช้ในการสร้างที่อยู่อาศัยตามปัจจัยขั้นพื้นฐานของประชาชนที่มีสิทธิที่พึงกระทำ ตามกฎหมายที่รับรองผ่านรัฐธรรมนูญ
80 ตัวอย่างที่ 67 ขั้นตอนต่อไปคือ นายกธวัชส่งคนมาขู่ผมว่า จะปิดทางด้วยการขุดลำรางเดิมที่ตื้นเขิน ให้เป็นลำรางเหมือนเมื่อ 30 ปีที่แล้ว และเดินหน้าไปกรมที่ดินเพื่อทำทุกอย่างในการบีบคั้นผม วันที่ผมไปติดต่อขอพิมพ์เขียวจากสำนักงานที่ดิน เจ้าหน้าที่ที่นั่น พูดเหมือนคนไร้การศึกษา ผมบอกว่า “ผมขอคัดพิมพ์เขียวลำรางสาธารณะ” พวกเขามองหน้ากัน และหนึ่งในนั้นเอ่ยชื่อ นายกธวัช กว่าผมจะได้ก็ต้องใช้ความอดทนอย่างมาก เขาซื้อเจ้าหน้าที่ที่นี่ด้วยอำนาจเงินอันสกปรก ของเขา (บนรอยต่อของเปลือกโลก: 129) จะเห็นได้ว่า การกระทำของตัวละครเป็นการใช้อำนาจและพฤติกรรมทางการเมือง ที่พยายามใช้กฎหมายและอำนาจของเงินพ่วงท้ายด้วยตำแหน่งของตนในการกดบีบบังคับให้เจ้าหน้าที่ กระทำความผิดและขัดขวางทุกวิธีทางเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามหน้าที่ของตน ทั้งที่การสร้างความสงบสุขและกระจายอำนาจและผลประโยชน์ให้กับประชาชนเป็นสิ่งที่พึงกระทำ ในการเป็นผู้ปกครองและผู้บริหาร อีกทั้งยังใช้อำนาจทางการเมืองและอำนาจเงินในการรังแก ประชาชน ตัวอย่างที่68 เธอโทรศัพท์ฟ้องพ่อระบายพรั่งพรูปัญหาหนักใจกับนายกองค์การบริหารส่วนตำบล นางูเหลือม ตั้งแต่เรื่องเห็นเด็กเป็นลมเกือบทุกเช้า อาหารกลางวันถูกโกงจนเหลือน้ำซุปจืดชืด เด็กโรงเรียนนางูเหลือมตกอยู่ในสภาพขาดสารอาหาร ผอมแกร็น ซูบเซียว รายงานสุขภาพนักเรียน ค่าเฉลี่ยของน้ำหนักและส่วนสูงตกเกณฑ์หมด ครูคนที่รับผิดชอบกลับช่วยปรับเข็มน้ำหนักตาชั่ง โรงเรียนให้ดีมากกว่าปกติ บันทึกข้อมูลแบบมั่วๆ จนผ่านเกณฑ์หากคณะกรรมการตรวจสอบมาเห็น คงจะเป็นลม (แผนลดน้ำหนักครูดาวเรือง: 141) จะเห็นได้ว่า การใช้อำนาจทางเมืองมีผลกระทบต่อหลายภาคส่วนตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ จากระดับชุมชนจนไปถึงองค์กรส่วนท้องถิ่นและการเป็นอยู่ของประชาชน อีกทั้งยังส่งผลต่อ การกระทำอันไม่พึงประสงค์ในการทุจริต คอร์รัปชัน การวัดและประเมินผลไม่เป็นไปตาม
81 ความเป็นจริง ส่งผลต่อความเสี่ยงของชีวิตและความต้องการพื้นฐานของเด็กและประชาชน อีกทั้งยัง ทำให้เห็นถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐในการเอารัดเอาเปรียบประชาชนที่เป็นเหยื่อในการสร้างภาพ ของเจ้าหน้าที่รัฐ ตัวอย่างที่69 “เอาละสรุปผมยินดีสนับสนุน เพียงแต่ว่าที่ดินโรงเรียนคงใช้ปลูกผักไม่ได้ เพราะเพิ่งเห็น หนังสือด่วนสดๆ ร้อนๆ จาก อบต. ลงชื่อนายกนิคม พ่อของครูมาขอใช้พื้นที่ดังกล่าวทำร้านค้า หมู่บ้าน ผมพิจารณาความจำเป็นแล้วเห็นควรหลีกทางร้านค้าชุมชน” (แผนลดน้ำหนักครูดาวเรือง: 144) จะเห็นได้ว่า เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจต่อผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีอำนาจน้อยกว่าในการ แสดงออก และความคิดเห็น โดยอ้างคำสั่งของผู้ที่มีอำนาจมากกว่าในการกระทำต่างๆ เพื่อให้บรรลุ จุดประสงค์ที่ตนเองต้องการ เพียงเพราะการหาผลประโยชน์จากโครงการที่ตนเองเสนอ และดำเนินการ โดยใช้กลอุบายในการถลุงเงินจากงบประมาณกลางขององค์กรมาใช้จ่ายในการดำเนิน โครงการ ทั้งที่การปลูกผักสวนครัวภายในโรงเรียนและนำมาใช้ประโยชน์ในการบริโภคเป็นสิ่งที่ แก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารของเด็กนักเรียนและสามารถนำไปต่อยอดในการแจกจ่ายให้กลับชุมชน ได้แต่ไม่สามารถทำได้เพียงเพราะขัดต่อผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจในพื้นที่ ตัวอย่างที่ 70 แรงงานที่มีอายุงานครบห้าปีจะไม่มีสิทธิ์ใช้คำว่า “พ-ว-ก” อีกต่อไป (นายต้องสะกดเอาเอง การเขียนคำนี้ติดกัน อันตรายมากสำหรับฉัน) เป็นกฎหมายของเมืองที่ไม่ต้องการให้ทาสอย่างเรา แบ่งแยกกลุ่มคนและอาจทำให้เราในเมืองรวมตัวกันเป็นกบฏได้ ตอนแรกเราหลายคนก็ไม่ชินนัก แต่พอถูกตีหลายๆ ครั้งเข้า เราก็เลิกที่จะพูดคำนี้ไป อาจฟังดูเป็นเรื่องตลกแต่ที่นี่ตามท้องถนน นายจะได้ยินเสียงคนถูกตีไปทั่ว (เสรีสิบสี่เส้นบรรทัด: 172-173) จะเห็นได้ว่า การใช้อำนาจการเมืองในการออกกฎหมายเพื่อไม่ให้ประชาชนไม่มีสิทธิ์ และเสรีภาพในการแสดงออกที่พึงกระทำได้และยังเป็นการใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อกดขี่ประชาชน
82 ให้อยู่เพียงใต้บังคับบัญชา โดยค่อยๆ ออกกฎหมายมาทีละข้อ ที่ส่อไปในทางการตัดสิทธิ์และไม่ให้ ประชาชนมีเสรีภาพในการเขียนหรือพูดในการสื่อสารหรือการแสดงออกเพียงเพราะผู้มีอำนาจ พยายามควบคุมให้ผู้ที่ด้อยกว่าตนเองเป็นทาสรับใช้กฎหมายและทำตามคำสั่งที่ไม่เป็นธรรม ในการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคม ตัวอย่างที่71 แต่ถึงคุณสมบัติความโง่จะเพียบพร้อมขนาดนี้ มันก็ยังได้มาอยู่ในห้องของผม ซึ่งจัดว่า เป็นห้องเรียนดีห้องหนึ่ง เหตุผลก็คือพ่อของเจ้าโอมเป็นเศรษฐีมีหน้ามีตาในจังหวัด และจ่าย “แป๊ะเจี๊ยะ” ให้กับผู้อำนวยการไปไม่น้อย นับเป็นตั๋วเบิกทางให้มันเดินเข้าโรงเรียนประจจำจังหวัด โดยไม่ต้องกระเสือกกระสนสอบเข้าเหมือนคนอื่นๆ ซ้ำยังทำให้ครูหลายคนออกอาการเกรงใจเวลาจะ ลงโทษ หรือให้เจ้าโอมสอบตก เพราะผู้อำนวยการกำชับครูทุกคนชัดเจนว่านี่คือลูกหลานของผู้ อุปถัมภ์รายใหญ่ของโรงเรียน (อำนาจ: 180) จะเห็นได้ว่า การใช้อำนาจเงินและใช้อำนาจทางการเมือง โดยแสดงออกผ่านพฤติกรรม ทางการเมืองของตัวละครที่ใช้อำนาจเงินกระทำต่อผู้อำนวยการเพื่อหวังผลประโยขน์ทางสังคม และการเมืองที่ส่งผลต่อการศึกษาต่อของลูกชายที่ไม่ต้องสอบเข้าศึกษาต่อเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ อีกทั้งยังเห็นการใช้อำนาจทางการเมืองที่ผู้บริหารกระทำต่อบุคลากรภายในองค์กรให้ประพฤติผิด ในการอนุญาตให้นักเรียนที่ไม่ต้องสอบหรือไม่ผ่านเกณฑ์การสอบเข้าศึกษาต่อสามารถเข้ารับ การศึกษาในสถานศึกษาได้ ทั้งยังทำให้เห็นถึงการตกอยู่ภายใต้อำนาจของทุนนิยม ตัวอย่างที่72 ครูปราโมทย์ ซึ่งจะกลายร่างจากครูคณิตศาสตร์สุดขี้เกียจในวันทำการมาเป็นติวเตอร์สุดแสน ขยันในวันหยุด ไม่ว่าเด็กคนไหนมีปัญหาหรือไม่เข้าใจอะไรก็จะรีบตอบรีบอธิบายทันที (อำนาจ: 183) จะเห็นได้ว่า พฤติกรรมของตัวละครเป็นพฤติกรรมทางการเมืองที่พยายามไม่ทำตาม หน้าที่ในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ของความเป็นครู แต่พยายามประพฤติตามความสะดวกสบายของ
83 ตนเพื่อให้ผลประโยชน์ทางการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตนที่พยายามให้ผู้เรียนไม่เข้าใจ ในสิ่งที่ผู้สอนได้ถ่ายทอด แต่กลับสอนพิเศษในยามที่ตนไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่และใช้โอกาส การสอนพิเศษในการเป็นติวเตอร์และเป็นผู้สอนในรายวิชามาสอนให้เด็กได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น ในห้องเรียนพิเศษ ตัวอย่างที่ 73 เพื่อนคนหนึ่งของผมเฉลยกรรมวิธีเอาตัวรอดจากข้อสอบเก็บคะแนนที่ยากระดับโอลิมปิก ให้ผมฟังว่า โจทย์ทั้งหมดคือสิ่งที่ครูปราโมทย์นำมาเฉลยอย่างละเอียดในห้องเรียนพิเศษวันเสาร์ อาทิตย์ กำชับนักหนาว่าจะออกข้อสอบตามนี้ คนที่เขียนตอบได้ทั้งหมดในเวลาที่กำหนด ล้วนแต่เป็น คนที่ท่องจำวิธีทำและคำตอบมาทั้งสิ้น ทันทีที่ข่าวนี้ได้ยินถึงหูคนอื่นห้องเรียนพิเศษก็คับคั่ง ด้วยนักเรียนเกือบทุกคนในห้อง แม้แต่คนที่ไม่เคยเรียนพิเศษเพราะฐานะยากจนก็ยังต้องกู้หนี้ยืมสิน มาจ่ายเป็นค่าเรียนพิเศษกับครูปราโมทย์ เว้นแต่ผมคนเดียวที่ไม่ได้เรียน (อำนาจ: 190) จะเห็นได้ว่า การใช้อำนาจทางการเมืองในความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจต่อผู้ด้อย อำนาจเพื่อไม่ให้ผู้มีอำนาจน้อยกว่าตนเองไม่ให้มีสิทธิ์ในการตรวจสอบการทำงานและไม่ให้มีสิทธิ์ ในการใช้อำนาจเพื่อเรียกร้องสิทธิ์ที่พึงได้ทั้งการใช้อำนาจทางการเมือง ในการสร้างปัญหาต่อผู้ที่มี ฐานะทางการเงินน้อยไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาที่พึงจะได้รับทั้งยังเป็นการที่ทำให้ผู้เรียน เกิดความไม่เสมอภาคทางสังคมที่ควรจะได้รับความรู้และไม่สารถทำงานหรือช่วยงานแบ่งเบาภาระ งานทางบ้านได้แต่กลับต้องใช้เวลาว่างมาเรียนพิเศษเพื่อแลกเกรดที่จะได้รับ ตัวอย่างที่74 “ทุกนโยบายทุกโครงการที่พ่อทำก็เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนทั้งนั้นนี่ มีถนนหนทาง เพิ่มขึ้น ประชาชนก็จะได้มีเส้นทางการคมนาคมสำหรับเดินทางติดต่อซื้อขายสะดวกมากขึ้น ไปไหน มาไหนก็รวดเร็ว คล่องตัว การค้า การท่องเที่ยว ระบบเศรษฐกิจก็จะดีขึ้น จริงไหมกำนัน” (โอรังอัสลีกับผีร้ายแห่งเทือกเขาบรรทัด: 199)
84 จะเห็นได้ว่า ทุกโครงการหากเจ้าหน้าที่รัฐและผู้รับผิดชอบในการดำเนินโครงการ ทำการดำเนินโครงการอย่างสุจริตจะเกิดผลประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแน่นอน แต่การกระทำ ในแต่ละโครงการที่ไม่คำนึงถึงความเป็นอยู่ วิถีชีวิตหรือรวมไปถึงความต้องการของผู้คนในสังคมนั้น ย่อมเกิดปัญหาและความขัดแย้งขึ้น โดยเฉพาะการกระทำที่ใช้นโยบายในการหาผลประโยชน์ใส่ตัวเอง เนื่องการทำเส้นทางคมนาคมหรือการสร้างถนนนั้นใช้งบประมาณค่อนข้างมาก หากไม่มีการ ตรวจสอบว่ามีการดำเนินโครงการอย่างชอบธรรมหรือไม่ จะทำให้เกิดการทุจริตได้ง่ายและใช้ตำแหน่ง ทางการเมืองในการโน้มน้าวให้คนในพื้นที่ยอมหลีกทางให้ดำเนินโครงการ โดยเป็นวิธีที่ถูกต้อง ตามสันติวิธีในการเจรจา แต่ในแง่มุมหนึ่งเป็นการบุกรุกพื้นที่สีเขียวและใช้อำนาจในการสร้างถนน ทั้งที่คนในพื้นที่ไม่ยอมรับ ตัวอย่างที่75 ไบรท์หรือเอื้องทิพย์ลูกสาวคนเดียวของรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงใหญ่อ้างเอาการศึกษาหาข้อมูล สำหรับทำวิจัยมาเป็นสาเหตุในการติดตามบิดาสู่ใจกลางเทือกเขาบรรทัด โดยแท้ที่จริงแล้ว หล่อนเพียงต้องการเอาใจว่าที่คู่หมั้นซึ่งเป็นดอกเตอร์ทางสาขามนุษยศาสตร์ หล่อนต้องการใช้อำนาจ ของพ่อปูทางให้แฟนหนุ่มได้ก้าวเดินอย่างสะดวกสบาย ซึ่งความต้องการของหล่อนบังเอิญ ไปสอดคล้องกับนโยบายของผู้เป็นพ่ออย่างพอดิบพอดี ฝ่ายท่านรัฐมนตรีเองนั้น ด้วยว่าเคยดำรง ตำแหน่งมา หลายรัฐบาลหลายสมัย จึงมีความเชี่ยวชาญในการออกนโยบายเพื่อขออนุมัติงบประมาณ เขารู้ว่า การอ้างเอาผลการลงสำรวจพื้นที่ด้วยตัวเองจะมีน้ำหนักทำให้คณะรัฐมนตรีลงมติสนับสนุนได้ โดยปราศจากเสียงคัดค้าน (โอรังอัสลีกับผีร้ายแห่งเทือกเขาบรรทัด: 201) จะเห็นได้ว่า ตัวละครใช้อำนาจทางการเมืองเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ตนหวังโดยไม่สนใจกฎหมาย หรือความผลเสียที่จะเกิดในอนาคตที่ประชาชนจะได้รับทั้งด้านความเป็นอยู่ของชุมชน การหาอาหาร หากมีการดำเนินโครงการย่อมส่งผลต่อระบบนิเวศในบริเวณที่เป็นพื้นที่ในการใช้ดำเนินโครงการ อีกทั้งยังใช้อำนาจทางการเมืองในการออกกฎหมายหรือนโยบายเพื่อให้ได้มาอันผลประโยชน์ ที่ครอบครัวและกลุ่มของตนจะได้รับ โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์จะได้รับหรือผลกระทบต่อประชาชน
85 3.3.1.2 แนวคิดเกี่ยวกับความขัดแย้งหรือความแตกต่างด้านอุดมการณ์ของ บุคคลทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมืองคนในสังคมมีความคิดเห็นต่างกัน เนื่องจากมนุษย์มีความ หลากหลายทางความคิดเห็น จึงเป็นเรื่องปกติที่สังคมจะมีความคิดเห็นต่างกัน ความเห็นต่างกันจึงไม่ ขัดแย้งหรือแตกแยก แต่ความเห็นต่างกันอาจเป็นปัจจัยหนึ่ง นำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง เพราะ ความขัดแย้งทางการเมือง เกิดขึ้นจากการมีความคิดเห็นไม่ตรงกันในสังคมเนื่องจากเพราะทรัพยากร ในสังคมมีจำกัดในขณะที่ประชาชนมีความตองการทรัพยากรอย่างไม่จำกัด ความขัดแย้งทางการเมือง จึงเกี่ยวของกับความคิดเห็นของคนในสังคมที่ไม่เห็นด้วยหรือมีความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม มุมมองทาง การเมืองนี้เป็นที่ถกเถียงกันมาก หากไม่สามารถระงับข้อพิพาทได้ ประเทศก็จะตกอยู่ในความโกลาหล ตอมามีมุมมองทางการเมืองใหม่เกี่ยวกับผลประโยชนที่ประนีประนอม เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งจาก การดำเนินการทางการเมืองที่ไม่มีทางแกไข ดังนี้ ตัวอย่างที่76 ผมคิดว่าคนเราไม่จำเป็นต้องเลือกข้างก็ได้ มันอาจจะดูเหมือนผมไม่มีจุดยืนหรือหลักการ แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เราต้องเลือกข้างกันจริงๆ เหรอ เรามั่นใจได้อย่างไรว่าข้างที่เราเลือกนั้น ถูกต้อง แล้วเราจะถูกเสมอและตลอดไป เรามั่นใจได้อย่างไรว่าแต่ละข้างนั้นต่อสู้เพื่อประชาชน อาจารย์ครับเรามีบทเรียนให้ศึกษาและเรียนรู้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประชาชนเป็นเครื่องมือ เป็นเหยื่อ เป็นอำนาจในการต่อรอง โดยที่บางครั้งเขาก็ไม่รู้ตัวพวกเรานี่แหละไม่รู้ตัว (คำอธิบายรายวิชา: 98) จะเห็นได้ว่า ทัศนะต่อการเมืองที่ประชาชนมีสิทธิ์ในการเลือกข้างหรือไม่เลือกข้าง ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เมื่อฝ่ายตรงข้ามรู้มักเกิดความขัดแย้งทางการเมืองในการแสดงออกถึงทัศนะที่มีต่อ การเมืองที่ไม่เห็นพ้องกันมักเกิดความรุนแรงทางความคิดที่ปะทุโจมตีอีกฝ่ายจนนำมาซึ่งความรุนแรง ในการทำร้ายร่างกายหรือการกระทำที่สังคมใช้ศาลเตี้ยหรือการใช้ลงโทษทางสังคมต่อการไม่เป็นศัตรู ทางความคิด
86 ตัวอย่างที่77 ขณะที่เหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นในทุกมุมของประเทศ ความขัดแย้งคุกรุ่นดุเดือด ถึงขั้น ที่เราไม่สามารถเปิดเผยความคิดความรู้สึกต่อกันได้ ความหวาดระแวงกระจายทุกหย่อมย่าน สงคราม ความคิดเห็นประเดประดังตามสื่อออนไลน์คำสบถหยาบคายถูกนำมาใช้ต่อว่าฝ่ายตรงข้าม ชุดข้อมูล เหตุผลต่างๆ ถูกนำมาเป็นหลักฐานอ้างอิงให้กับฝ่ายของตน (คำอธิบายรายวิชา: 102) จะเห็นได้ว่า เรื่องการเมืองเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญและ พยายามสร้างสงครามทางความคิด การแสดงออกที่ต่างฝ่ายต่างอ้างข้อดีของพรรคพวกของตน โดยไม่ คำนึงถึงด้านเสียในฝ่ายตนเอง จนเกิดความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงมากขึ้น เกิดการประท้วง ที่สร้างสถานการณ์ความรุนแรงและความเสียหายทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองโดยมีผล จากการประท้วงที่ต่างฝ่ายต่างใช้ความรุนแรงในการใช้อาวุธหรือความรุนแรงในการรวมตัวกัน เพื่อแสดงออกถึงทัศนะฝ่ายของตนเอง 3.3.2 แนวคิดเกี่ยวกับสังคม 3.3.2.1 แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่พลเมือง แนวคิดเรื่องสิทธิและหน้าที่เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ใน สังคม คำว่า สิทธิ หมายถึงอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองที่กฎหมายรับรอง ในขณะที่คำว่า เสรีภาพหมายถึงความสามารถของบุคคล เลือกที่จะคิด กระทำ หรือพูดอย่างไรก็ได้ตามความพอใจใน ตัวเอง ซึ่งเป็นอำนาจที่กฎหมายรับรองว่ากระทำอย่างอิสระ โดยเสรีและสุจริต แต่ต้องไม่กระทบต่อ สิทธิของผู้อื่น พลเมืองจะแสดงออกถึงความกระตือรือร้นในการรักษาสิทธิต่างๆ ของตน รวมถึงการมี ส่วนร่วมทางการเมือง โดยการแสดงออกซึ่งสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ดังนี้ ตัวอย่างที่78 ยายก็เข้าร่วมการชุมนุมต่อต้านอดีตผู้นำที่กลับเข้ามาในประเทศ จนได้รู้จักกับตาซึ่งเป็นทหาร ชั้นประทวนที่เข้ามารักษาความสงบในเมืองหลวง ตอนนั้นยายตั้งแง่กับทหารไว้มาก ตาต้องคอยชี้แจง ให้ยายเข้าใจผู้ที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ความเห็นของยายกับตาเป็นไปคนละทิศละทาง
87 อยู่นาน แต่เมื่อแต่งงานกันแล้ว ยายก็ละเว้นทุกประเด็นที่จะทำให้เกิดรอยร้าว จนพัฒนาไปสู่ การคล้อยตามในที่สุด ยายจึงหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางการเมือง เว้นแต่ว่าจะมีการเลือกตั้งยายชอบฟัง การปราศรัยและไปใช้สิทธิ์ทุกครั้ง (คำสั่งจากดวงวิญญาณ: 78) จะเห็นได้ว่า การรักษาความสงบภายในประเทศมักใช้เป็นข้ออ้างเพื่อควบคุมอำนาจ ทางการเมืองและควบคุมมวลชนเพื่อไม่ให้มีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง รวมไปถึง การจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการวิจารณ์ต่อเหตุการณืต่างๆที่เกิดขึ้น อีกยังยังถูกดำเนินคดี หากวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาจนหลายคนต้องหลบหนีจากคดีทางการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ แต่ในอีกแง่เจ้าหน้าที่รัฐควรเคารพสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง ตัวอย่างที่ 79 ได้แต่เอาใจช่วยเหยื่อเคราะห์ร้าย ให้หนีรอดกลุ่มผู้ไล่ล่าไปได้ เช่นเดียวกับทุกคนบนถนน ผมได้ยินป้าที่ซ้อนมอเตอร์ไซค์คันข้างๆ โทรศัพท์แจ้งตำรวจ เด็กสาวอีกคนกำลังถ่ายคลิปวิดีโอ แต่ไม่มีใครกล้าไปขัดขวาง (คำสั่งจากดวงวิญญาณ: 87) จะเห็นได้ว่า การเป็นพลเมืองที่ดีในการอยู่ร่วมกันในสังคมค่อนข้างลดลง ทุกฝ่ายต่างใช้ เหตุและผลของตนเองในการเป็นข้ออ้างสำหรับตนเอง แต่ยังมีพลเมืองที่ทำตามสิทธิและหน้าที่ของ ตนเองที่พยายามหาวิธีช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสังคมเป็นผลมาจากการถูกระบบทุนนิยมครอบงำทาง จิตใจต่างคนต่างหาผลประโยชน์ให้กับตัวเองแต่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม โดยไม่คำนึงถึง หลักศีลธรรมและมนุษยชนของการอยู่ร่วมกันในสังคม ตัวอย่างที่80 “แม่เคยบอกหนูไม่ใช่เหรอว่า บ้านเราอยู่กันอย่างประชาธิปไตย แม่จะไม่เอาตัวเองเป็นใหญ่ ทุกคนมีสิทธิ์มีเสียงเท่ากันในบ้านหลังนี้ งั้นก็แสดงความเป็นประชาธิปไตยกันตอนนี้เลย ใครคิดว่า ควรปล่อยเจ้าดำออกไปเพราะเชื่อว่ามันคือแมวดำที่นำความโชคร้ายมาให้ ขอให้ยกมือขึ้น ”
88 ฉันเลือกใช้คำถามแบบนี้ เพราะรู้ดีว่าทั้งพี่หนึ่งกับสามเห็นตรงกับฉัน แต่ถ้าจะให้เลือกยกมือแสดงตน ว่าอยู่คนละฝั่งกับแม่โต้งๆ ก็คงไม่กล้าทั้งสองคนนั่งนิ่งด้วยสีหน้าอิหลักอิเหลื่อ แต่ก็ไม่มีใครยกมือขึ้น เพราะนั่นจะเท่ากับว่าตัวเองมีส่วนในการส่งลูกแมวออกไปสู่ความตาย (แมวดำตัวนั้น: 162) จะเห็นได้ว่า การอยู่ร่วมกันไม่ว่าจะเป็นสังคมภายในครอบครัวหรือสังคมระดับองค์กร รวมไปถึงระดับประเทศ ควรเคารพสิทธิและเสรีภาพทางความคิดและยอมความแตกต่างทางความคิด ไม่ใช้ระบบเผด็จการในการอยู่ร่วมกันแต่ไม่ควรพิจารณาแค่ในเสียงส่วนใหญ่เท่านั้นควรนำเหตุผล ทั้งสองฝ่ายมาพิจารณาร่วมด้วย เพื่อแสดงออกถึงการเคารพและยอมรับสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น โดยเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ตัวอย่างที่81 แต่ในเวลาไม่นาน กลุ่มคนดีผู้มีแนวคิดก็ได้ร่วมกันปฏิรูปกระบวนการเลือกตั้งขึ้นมาใหม่ ซ่อมแซมรอยร้าวของสังคม ปฏิวัติระบบเดิมที่มีเพียงการกำหนดคุณสมบัติของผู้ลงสมัครชิงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีมาเป็นการใช้กระบวนการคัดสรรที่เรียกว่า “โปรแกรมการคัดสรรคนดี” (The Selection : อุปกรณ์คัดแยกมนุษย์: 214) จะเห็นได้ว่า การเลือกตั้งในทุกครั้งมีการแสดงออกของประชาชนหลายล้านคน ที่พยายาม หาวิธีการคัดเลือกคนดีเข้าสู่ระบบสภาหรือการเป็นกระบอกเสียงแทนตนเองและคนใน สังคมเพื่อนำปัญหาและความต้องการภายในสังคมนำไปสู่การเรียกร้อง เสนอความคิด ปัญหาต่างๆ ภายในสังคมให้มีการพิจาราณาจากส่วนนิติบัญญัติเพื่อให้ได้รับการแก้ไขปัญหา รวมไปถึงการออกร่าง กฎหมายต่างๆ ถือได้ว่าการเป็นตัวแทนของคนในสังคมเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก จึงเกิดแนวคิด การคัดสรรคนดีในการเป็นตัวแทนของประชนในการเข้าไปบริหารและเป็นกระบอกเสียง แทนประชาชน เนื่องจากประชาชนไม่รู้ว่าแต่ละคนเป็นคนดีมากหรือน้อยเพียงใด ดังนั้นประชาชน พยายามเรียกร้องสิทธิ์ในการเลือกตั้งให้มีการคัดสรรคนดีก่อนลงสมัครรับการเลือกตั้ง
89 3.3.2.2 แนวคิดเกี่ยวกับความขัดแย้งหรือความแตกต่างด้านอุดมการณ์ของ บุคคลทางสังคม คนในสังคมมีความคิดเห็นต่างกัน เนื่องจากมนุษย์มีความหลากหลายทางความ คิดเห็น จึงเป็นเรื่องปกติที่สังคมจะมีความคิดเห็นต่างกัน ยิ่งคนบางกลุ่มต้องมาอยู่รวมกันในความต่าง ที่ไม่มีอะไรเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น ที่มา อาชีพ ฐานะ ที่เกิดจากความแตกต่างระหว่างบุคคล ทำให้ สังคมเกิดความแตกแยก เนื่องจากมีความคิดเห็นที่ต่างกัน และต่างคนต่างมีทิฐิ แต่สุดท้ายทุกคนก็ต้อง หาทางออกเพื่อให้สังคมก้าวข้ามความขัดแย้งนั้นไปได้ ด้วยการเข้าใจความแตกต่างของแต่ละบุคคล เพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกในสังคม สังคมทุกสังคมย่อมหลีกเลี่ยงความขัดแย้งไม่ได้ ความขัดแย้งในสังคมจึงเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าความขัดแย้งดังกล่าวยังสามารถหาข้อยุติได้ในกรอบของกลไกที่มีอยู่สังคมนั้นก็สามารถ ดำเนินต่อไป หรือตราบเท่าที่ปัญหาความขัดแย้งอยู่ในสัดส่วนที่ไม่แผ่กระจายไปทั่วทั้งสังคม จนหาวิธีการหรือกลไกเพื่อยุติความขัดแย้งไม่ได้สังคมนั้นก็สามารถดำเนินต่อไป โดยในภาพรวมจะ ถือได้ว่าสังคมนั้นยังอยู่ได้อย่างมีความสมานฉันท์ แต่เมื่อใดก็ตามที่ความขัดแย้งถึงจุดที่ไม่สามารถ จะแก้ไขเยียวยาได้ ทางเลือกของสังคมก็จะถูกจำกัดลง โดยมีทางออกอยู่สองทางคือ การพยายาม แก้ไขความขัดแย้งโดยสันติวิธี ด้วยการเจรจาหรือไกล่เกลี่ย หรือมิฉะนั้นก็คงต้องแก้ไขความขัดแย้ง ด้วยการใช้กำลังหรือความรุนแรง ผลที่ออกมาก็คือ การที่ฝ่ายหนึ่งชนะ อีกฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ ผู้ชนะ ก็จะสร้างระเบียบการเมืองขึ้นมาใหม่ และถ้าเป็นกรณีที่ไม่สามารถจะเอาชนะกันได้ก็อาจถึงกับ แตกแยกออกเป็น 2 ส่วน หรือ 3 ส่วน ของหน่วยชุมชนหรือหน่วยการเมืองใหม่แล้วแต่กรณี ดังนี้ ตัวอย่างที่82 กรณีขวดเหล้าปากระจกรถได้กลายเป็นชนวนความบาดหมางระหว่างสองบ้าน ลุกลามไปถึง เรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวัน อะไรที่หมั่นไส้ แต่ไม่เคยพูดให้ต้องกินแหนงแคลงใจกัน ต่างฝ่ายต่างก็ แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนไปเลยว่าไม่ชอบ ไม่พอใจ วงเหล้าท้ายซอยยังคงปักหลักอยู่ แต่เมื่อใดก็ ตามที่เสียงดัง หรือกินกันจนดึกดื่นไม่เลิกรา ตำรวจก็จะมาเตือน เป็นอันรู้กันว่าบ้านเราโทรศัพท์ไป แจ้ง ไม่จำเป็นต้องรักษาน้ำใจกันอีกต่อไป ความร้าวฉานค่อยๆ ฟักตัวขึ้นกลายเป็นความเกลียดชังและ นำไปสู่การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคือบ้านเรา ส่วนบ้านอื่นที่เหลือเป็นฝ่ายอนันต์ (ซอยตัน: 56)
90 จะเห็นได้ว่า จากการกระทำที่เป็นความขัดแย้งทางความคิดที่มีผลจะคาวมขัดแย้ง ทางความคิดในสังคมนำไปสู่ความรุนแรงทางสังคม จนเกิดความเดือดร้อนเป็นวงกว้างภายในสังคม จนถึงขั้นแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายโดยเป็นเหตุผลจากปัญหาความขัดแย้งทางความคิดที่ต่างฝ่าย ต่างมีความคิดเห็นไม่ตรงกันที่เกิดจาการไม่เคารพสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิด หรือการแสดงออก ดังนั้นควรใช้ความเป็นกลางและการเคารพสิทธิและเสรภาพซึ่งกันและกัน ในการอยู่ร่วมกัน ตัวอย่างที่ 83 เย็นนั้นทิพย์ขอแรงทุกคนให้มาช่วยกันจับปลา พวกเราต่างร่วมแรงร่วมใจถือขันกันคนละใบ ตักปลาใส่ถังแล้วเอาไปปล่อยลงคลอง ช่วยชีวิตเจ้าปลาน้อยได้นับร้อยตัว หลังจากนั้นก็ช่วยกันทำ ความสะอาดซอย กวาดน้ำรับต่อกันเป็นทอดๆ ไป ไปลงท่อน้ำที่ถนนใหญ่ เป็นบรรยากาศที่ไม่เคยเกิด ขึ้นมาก่อนเลยตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาเหมือนกับว่าสายน้ำและความทุกข์ยากที่เผชิญร่วมกันได้ สลายความโกรธเคืองและความขัดแย้งในกาลก่อนให้เหือดหายไปพร้อมกับน้ำหยดสุดท้ายบนพื้นถนน หลังน้ำท่วมสถานการณ์ในซอยตันก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติเพียงแต่คราวนี้ต่างฝ่ายต่าง พยายามรักษาความสงบและสันติสุขไว้ด้วยการไม่ก้าวข้ามเส้นที่มองไม่เห็น (ซอยตัน: 58) จะเห็นได้ว่า ลึกๆ ในจิตใจของทุกคนแล้วล้วนมีพื้นฐานของความเป็นคนดีอยู่ในตัว กล่าวคือ เมื่อยามที่มีเหตุให้ต้องช่วยเหลือกัน ทุกคนต่างก็ทำเต็มที่ โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความแตกต่าง ซึ่งกันและกัน หรือไม่ได้คำนึงถึงเรื่องที่เคยบาดหมางกันมาก่อน ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า เมื่อสังคม เกิดปัญหาต่างๆ เราทุกคนก็พร้อมที่จะช่วยเหลือ สามัคคีกันอยู่เสมอ ตัวอย่างที่84 เทปลากัดลายธงชาติตกเกรดทั้งตัวผู้และตัวเมียลงตรงชายบ่อ สิ่งแรกที่เห็นคือพวกมันลอยตัว นิ่ง ๆ อย่างสับสนกับสภาพแวดล้อมไม่คุ้นเคย ทว่าเพียงอึดใจเดียวปลากัดคัดทิ้งส่วนใหญ่เริ่มพองครีบ กางเหงือกว่ายรี่เข้าหากัน จากนั้นเริ่มต่อสู้โรมรันกันพัลวัน บ้างจับคู่กัดกันเพียงสองตัว บ้างรวมกลุ่ม
91 กัดกันเป็นกล่มุ ใหญ่สามหรือสี่ตัวขึ้นไป ปลากัดตัวผู้บางคู่งับริมฝีปากของกันและกันติดค้าแน่นิ่งราว กับจะยอมคลายเขี้ยว เมื่ออีกฝ่ายดับดิ้นแล้วเท่านั้น แม้แต่ปลาตัวเมียในบ่อรวมซึ่งเคยอยู่ร่วมกัน เมื่อถูกปล่อยลงน้ำใหม่ก็กลายเป็นปลาแปลกหน้าว่ายไล่กัดกัน (ปลากัดลายธงชาติ: 74) จะเห็นได้ว่า การเกิดความขัดแย้งภายในสังคมแม้กระทั่งสังคมของสัตว์ก็เกิดความคิด ที่ต่างกันและพยายามใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นภายในสังคมและพยายาม ทำร้ายผู้ที่ด้อยกว่าเพื่อให้ตนเองเป็นใหญ่ในสังคม หากสังคมในการอยู่ร่วมกันเมื่อเกิดความขัดแย้ง ภายในสังคมหรือความคิดที่ต่างกันใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาหรือเรื่องราวต่างๆ ย่อมเกิด ความเสียหายในสังคมได้ ดังนั้นควรใช้วิธีการอย่างสันติวิธีต่างฝ่ายต่างเคารพสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งกันและกันในการอยู่ร่วมกัน จึงจะเกิดความสามัคคีและไม่เกิดความเสียหายตามมา ตัวอย่างที่85 ของทุกชิ้นเธอนำไปให้กับผู้ถูกกักกันที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หากเป็นผม ผมจะช่วยเหลือคนในก่อนคนนอกเสมอ คนไทยที่ยังเดือดร้อนมีแทบทุกซอกซอยทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้ เราเป็นต้องมีปากเสียงกัน และจบลงด้วยการไม่มองหน้ากันเป็นสัปดาห์ (เช้าวันอาทิตย์ที่แสนเศร้า: 113) จะเห็นได้ ว่าการมีความคิดหรืออุดมคติที่ต่างกันเกิดความขัดแย้งกันภายในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมครอบครัวหรือสังคมระดับอื่นๆ หากไม่รับการแก้ปัญหาอย่างถูกต้องตามวิธีที่สันติ ย่อมเกิดผลกระทบไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ทั้งด้านมนุษยสัมพันธ์ การสื่อสาร การไว้วางใจในการอยู่ ร่วมกันจนนำไปสู่ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นทุกสังคมควรเคารพสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ของแต่ละบุคคลอย่างสุจริตใจ ตัวอย่างที่86 ฉันนิ่งอึ้ง ไม่ใช่เพราะถูกแม่ตะคอกใส่ แต่เป็นเพราะสิ่งที่แม่พูดออกมาเมื่อครู่ “นี่แม่จะให้เอา มันออกไปปล่อย แค่เพราะมันเป็นแมวดำงั้นเหรอ” “แมวดำ! เข้าบ้านใครก็มีแต่ความฉิบหาย มีแต่จะ เอาโชคร้ายมาให้ แกมีสมองบ้างหรือเปล่า เอามันออกไปปล่อยไกล ๆ บ้านเราเดี๋ยวนี้!” คำหยาบคาย
92 หลุดออกจากปากของแม่ต่อหน้าลูกเป็นครั้งแรกฉันได้แต่ยืนอ้าปากค้างทั้งยังหาเสียงของตัวเองไม่เจอ ราวกับว่ามันถูกดูดกลืนหายไปในหลุมดำโดยฉับพลัน ลูกแมวในอ้อมกอดขยับตัวเคลื่อนไหว เพราะเสียงกระโชกโฮกฮากที่กลืนกินความสงบและเสียงหัวเราะก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น (แมวดำตัวนั้น: 160) จะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งในสังคมเกิดจากความเชื่อหรือทัศนะที่ต่างกันที่ต่างคนต่างรับ ข้อมูลในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่างกันที่พื้นฐานในการดำเนินชีวิตหรือด้านสิ่งแวดล้อมที่มีประสบการณ์ ไม่เหมือนกันจึงเกิดเป็นความคิดที่ขัดแย้งกัน ดังนั้นสังคมในแต่ละสังคมควรรับฟังเหตุ และผลของทั้งสองฝ่ายว่าเหตุใดจึงมีความคิดหรือทัศนะต่อเรื่องนั้นหรือปัญหาที่กำลังเผชิญ เพื่อให้สังคมขับเคลื่อนไปได้และเคารพสิทธิและเสรีภาพทางความคิดของทุกฝ่าย ตัวอย่างที่ 87 “เปรี้ยง!” เสียงกึกก้องทันทีที่ไกปืนสับลง ชายสูงวัยในชุดขาวทรุดลงเป็นคนแรก ตามด้วย คนอื่นๆ จนหมด ใช่ผมกลัว... เลือดสีแดงสดคาวคลุ้งไปทั่วทั้งห้องขนาดเล็ก มือสั่นระริกในขณะ เหนี่ยวไกปืนแต่ละครั้ง ผมกลัวกับสิ่งที่กำลังทำลงไป แต่ไม่มากไปกว่าความหวาดกลัวในชีวิตที่จะต้อง อยู่อย่างเปลี่ยวดายในวันข้างหน้า (The Selection : อุปกรณ์คัดแยกมนุษย์: 220) จะเห็นได้ว่า ความขัดแย้งทางความคิดภายในบุคคลนำไปสู่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายใน สังคมได้ เพราะแต่ละบุคคลมีพื้นฐานการมีชีวิตหรือการดำเนินชีวิตที่ต่างกันออกไปทั้งด้านอาชีพ สังคม ช่วงอายุ และสิ่งแวดล้อมที่ล่อหลอมแต่ละบุคคลให้มีความคิดที่ต่างกันออกไปอีกทั้งส่งผลต่อ ระบบสังคมในการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ดังนั้นพื้นฐานของจิตใจของแต่ละย่อมเป็นปัจเจกชน ที่เราไม่อาจรับรู้ได้อย่างแท้จริงว่าภูมิหลังหรือความดีแต่ละคนมีมากน้อยเพียงใด จึงควรพิจารณาและ วิเคราะห์แต่ละบุคคลให้ดีก่อนเลือกบุคคลนั้นมาเป็นตัวแทนของคนในสังคม
93 แนวคิดทางการเมืองและสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องสั้นรางวัลพานแว่นฟ้า ปีพ.ศ.2562 สามารถสรุปได้ดังตารางต่อไปนี้ ตารางที่ 8 ตารางสรุปผลการวิเคราะห์ ที่ เรื่องสั้น วรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า ปีพ.ศ.2562 จำนวน 13 เรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับการเมือง แนวคิดเกี่ยวกับสังคม แนวคิด เกี่ยวกับ อำนาจทาง การเมือง หรือ พฤติกรรม ทาง การเมือง แนวคิด เกี่ยวกับการ มีส่วนร่วม ทางการ เมือง แนวคิด เกี่ยวกับ ความ ขัดแย้งหรือ ความ แตกต่าง ด้าน อุดมการณ์ ของบุคคล ทาง การเมือง แนวคิดเกี่ยวกับ สิทธิและหน้าที่ พลเมือง แนวคิด เกี่ยวกับ ความ ขัดแย้ง หรือความ แตกต่าง ด้าน อุดมการณ์ ของบุคคล ทางสังคม 1 โลกที่เราทิ้งไว้ ข้างหลัง - - - - 2 ซอยตัน - - - - 3 ปลากัดลายธงชาติ - - - - 4 คำสั่งจากดวง วิญญาณ - - - - 5 คำอธิบายรายวิชา - - - - 6 เช้าวันอาทิตย์ที่ แสนเศร้า - - - - 7 บนรอยต่อของ เปลือกโลก - - - -