The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

NEW คู่มือ มทช.หมวดงานทาง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

NEW คู่มือ มทช.หมวดงานทาง

NEW คู่มือ มทช.หมวดงานทาง

Keywords: ทางหลวงชนบท,กรม,ทช

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

6.3 การปสู ว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีต
การปสู ่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีต จะตอ้ งใชเ้ คร่ืองปทู ่ีถูกตอ้ งตามท่ีกาหนดในขอ้ 4.3 โดยตอ้ งผ่านการ
ตรวจสอบ ตรวจปรบั และอนญุ าตใหใ้ ชไ้ ดแ้ ลว้ จากผคู้ วบคมุ งาน การปสู ว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีต จะตอ้ ง
คานวณความเร็วของเคร่ืองปใู หเ้ หมาะสมกบั กาลงั ผลิตของโรงงานผสม และปัจจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งอ่ืนๆ การปู
จะตอ้ งดาเนินการไปโดยต่อเน่ืองมากท่ีสุด ดว้ ยความเร็วการปทู ่ีสม่าเสมอ ปริมาณส่วนผสมแอสฟัลต์
คอนกรตี ท่ีออกจากเตารีดของเคร่ืองปู จะตอ้ งมีปรมิ าณสม่าเสมอตลอดความกวา้ งของพืน้ ท่ีท่ีปู โดยขณะ
ปคู วรปอ้ นสว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตจากกระบะบรรจผุ า่ นไปยงั เกลียวเกล่ียจา่ ยทงั้ 2 ขา้ ง จนถงึ สว่ นเตา
รีดโดยสม่าเสมอ มีระดบั ส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตคงท่ี และในการปฏิบตั ินีใ้ หเ้ ป็นไปโดยตอ่ เน่ืองมาก
ท่ีสดุ ในสว่ นของเตารีดอตั ราเร็วการกระแทกของคานกระแทก และจานวนรอบการส่นั สะเทือนของเตารีด
แบบส่นั สะเทือนตลอดจนระยะเตน้ จะตอ้ งคงท่ี และใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ชนิดลกั ษณะของสว่ นผสมแอสฟัลต์
คอนกรีตความหนาของชั้นทาง และอ่ืนๆ ในการปูส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีต ผิวหนา้ ของชั้นทาง
แอสฟัลตค์ อนกรีต ขณะยงั ไม่ไดบ้ ดทบั จะตอ้ งมีลกั ษณะผิวหนา้ ท่ีมีความเรียบ ความแน่น สม่าเสมอทงั้
ทางดา้ นตามขวางและตามยาว โดยไมม่ ีรอยฉีก (tearing) รอยเคล่ือนตวั เป็นแอง่ (shoving) การแยกตวั
ของส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตหรือลกั ษณะความเสียหายอ่ืนๆ ขณะปหู ากปรากฏวา่ มีความเสียหายใดๆ
เกิดขนึ้ ใหร้ ีบแกไ้ ขในทนั ที สว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีมีลกั ษณะจบั ตวั เป็นกอ้ นแขง็ หา้ มนามาใช้
6.3.1 สภาพผิวชนั้ ทางก่อนการปูส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีต จะตอ้ งแหง้ หา้ มปสู ่วนผสมแอสฟัลต์
คอนกรีตขณะฝนตกหรือเม่ือผวิ ชนั้ ทางท่ีจะปเู ปียกชืน้
6.3.2 อณุ หภมู ขิ องสว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตขณะปู ไมค่ วรคลาดเคล่ือนไปจากอณุ หภมู ิเม่ือออกจาก
โรงงานผสมท่ีกาหนดใหโ้ ดยผคู้ วบคมุ งาน เกินกว่า 14 องศาเซลเซียส แต่ทงั้ นีจ้ ะตอ้ งไม่ต่ากว่า
120 องศาเซลเซียส การตรวจวดั อุณหภูมิแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีปแู ลว้ บนถนน จะตอ้ งดาเนินการ
เป็นระยะๆ ตลอดเวลาของการปหู ากปรากฏวา่ อณุ หภมู ิของส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรตี ไม่ถกู ตอ้ ง
ตามท่ีกาหนด ใหต้ รวจสอบหาสาเหตแุ ละแกไ้ ขโดยทนั ที
6.3.3 การวางแนวก่อสรา้ งชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต ก่อนการก่อสรา้ งชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตทุกชนั้
จะตอ้ งวางแนวขอบชัน้ ทางท่ีจะปูก่อน โดยการใช้เชือกขึงวางแนว และยึดติดกับพืน้ ท่ีท่ีจะปู
สว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตใหแ้ นน่ หรือวิธีการกาหนดแนวอ่ืนใดท่ีเหมาะสมตามท่ีผคู้ วบคมุ งาน
เหน็ ชอบ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ เม่ือจะปชู นั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตช่องจราจรแรกของชนั้ ทางแตล่ ะชนั้
ทงั้ นีเ้ พ่ือใหไ้ ดช้ นั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีตรงแนวเรียบรอ้ ยตามแบบ การดาเนินการนีไ้ ม่รวมถึง
การปูชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตติดกับคนั หิน (curb) และร่องระบายนา้ (gutter) หรือส่วนของ
โครงสรา้ งใดๆ ท่ีมีแนวถกู ตอ้ งตามแบบอยแู่ ลว้

97

สำนกั วเิ ครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

6.3.4 ลาดบั การก่อสรา้ งชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต การก่อสรา้ งชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตนนั้ จะตอ้ ง
ดาเนินการปชู ่องจราจรหลกั หรือทางตรงก่อน ส่วนชอ่ งจราจรหรือบริเวณอ่ืนๆ เช่นทางแยก ทาง
เช่ือม สว่ นขยาย หรือบรเิ วณยอ่ ยอ่ืนๆ ใหด้ าเนนิ การภายหลงั

6.3.5 การก่อสรา้ งรอยตอ่ ตามขวาง รอยตอ่ ตามขวางหมายถึง แนวก่อสรา้ งชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต
ตามขวางท่ีปลายแปลงก่อสรา้ งท่ีสิน้ สดุ การก่อสรา้ งประจาวนั การก่อสรา้ งรอยตอ่ ตามขวาง อาจ
ดาเนนิ การได้ 2 วิธี คอื

(1)การใชไ้ มแ้ บบ โดยใชไ้ มแ้ บบท่ีมีความหนาเท่ากบั ความหนาของชนั้ ทางท่ีปู วางท่ีจดุ สิน้ สดุ ของการปู
แตล่ ะแปลงใหต้ งั้ ฉากกบั แนวการปู เม่ือปแู อสฟัลตค์ อนกรีตถึงไมแ้ บบนีใ้ หป้ เู ลยไปเป็นทางลาดท่ีมี
ความยาวเพียงพอท่ีจะไม่ทาใหย้ วดยานสะดดุ เม่ือแล่นผา่ นและอาจอนญุ าตใหใ้ ชท้ รายรองพืน้ ส่วน
ลาดไดเ้ พ่ือความสะดวกในการลอกแอสฟัลตค์ อนกรีตส่วนท่ีเป็นทางลาดออก โดยใหอ้ ยใู่ นดลุ ยพินิจ
ของผคู้ วบคมุ งาน
(2) การใช้กระดาษแข็งสาเร็จรูปหรือแผ่นวัสดุสาเร็จรูปใดๆ ท่ีใช้สาหรับทารอยต่อตามขวาง

โดยเฉพาะ ซ่งึ ใชง้ านไดต้ ามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละผคู้ วบคมุ งานเห็นชอบ โดยนามาวางท่ีจดุ สิน้ สดุ ของการปแู ต่
ละแปลงใหต้ งั้ ฉากกบั แนวการปู แลว้ ปแู อสฟัลตค์ อนกรีตทบั เป็นทางลาดท่ีมีความยาวเพียงพอท่ีจะไม่ทา
ใหย้ วดยานสะดดุ เม่ือแล่นผา่ นเม่ือจะปชู นั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตต่อจากรอยต่อตามขวางนนั้ ก็ใหย้ กไม้
แบบ แผ่นกระดาษแข็ง หรือแผ่นวสั ดสุ าเร็จรูปนนั้ รวมทงั้ ชนั้ ทางส่วนท่ีปเู ป็นทางลาดออกไป ตรวจสอบ
ระดบั ดว้ ยไมบ้ รรทดั วดั ความเรียบ หากระดับหรือความหนาของชนั้ ทางส่วนใดไมถ่ กู ตอ้ งตามแบบ ใหต้ ดั
ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตส่วนนนั้ ออกไปจนถึงชนั้ ทางสว่ นท่ีมีระดบั และความหนาถูกตอ้ งตามแบบดว้ ย
เคร่ืองตดั รอยตอ่ แอสฟัลตค์ อนกรีตใหไ้ ดแ้ นวตรงและตงั้ ฉากโดยเรียบรอ้ ย ก่อนท่ีจะปชู นั้ ทางแอสฟัลต์
คอนกรีตตอ่ ไป ใหท้ ารอยต่อตามขวางนนั้ ดว้ ยแอสฟัลตบ์ างๆ เพ่ือใหร้ อยตอ่ ตอ่ เช่ือมกบั ชนั้ ทางท่ีจะปใู หม่
ไดด้ ี การทารอยตอ่ ดว้ ยแอสฟัลตน์ ีใ้ หด้ าเนินการตาม มทช.227: มาตรฐานงานแทคโคท (tack coat )

ในกรณีท่ีการปูส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตหยุดชะงักดว้ ยเหตุใดก็ตามในระหว่างการก่อสรา้ ง
ประจาวนั จนทาใหอ้ ณุ หภมู ิของสว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตบริเวณหนา้ เตารีดลดลงต่ากว่าท่ีกาหนด ก็
ใหท้ ารอยตอ่ ตามขวางท่ีบรเิ วณนนั้ ดว้ ย โดยใหต้ ดั รอยตอ่ ถึงบรเิ วณท่ีมีความหนาตามแบบและไดบ้ ดทับ
เรียบรอ้ ยแลว้ โดยตดั ใหต้ งั้ ฉากพรอ้ มกบั ตกั ส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตสว่ นท่ีตดั ออกทิง้ ไป ใหท้ ารอยตอ่
ตามขวางนนั้ ดว้ ยแอสฟัลตบ์ างๆ เพ่ือใหร้ อยต่อ ต่อเช่ือมกับชนั้ ทางท่ีจะปใู หม่ไดด้ ี การทารอยต่อดว้ ย
แอสฟัลตใ์ หด้ าเนินการตาม มทช.227 : มาตรฐานงานแทคโคท (tack coat)
การปชู นั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตต่อเช่ือมกับรอยต่อตามขวางในครงั้ ใดๆ เม่ือเร่ิมปูส่วนผสมแอสฟัลต์
คอนกรีตไปไดก้ ระบะแรก ใหใ้ ชไ้ มบ้ รรทดั วดั ความเรียบตรวจสอบระดบั ท่ีรอยต่อ หากไม่ไดร้ ะดบั ตามท่ี
กาหนด ใหด้ าเนินการแกไ้ ขโดยดว่ นขณะท่ีสว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีปใู หมน่ นั้ ยงั รอ้ นอยู่

98

สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

ในการปชู นั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตแตล่ ะช่องจราจร รอยตอ่ ตามขวางของการก่อสรา้ งชนั้ ทางท่ีช่องจราจร
ขา้ งเคียงตอ้ งไม่อย่ใู นแนวเดียวกนั โดยตอ้ งก่อสรา้ งใหม้ ีระยะห่างกนั ไม่นอ้ ยกว่า 5 เมตร ทงั้ นีเ้ พ่ือไม่ให้
เกิดเป็นจดุ ออ่ นทาใหเ้ กิดความเสียหายภายหลงั ได้
ในกรณีท่ีปแู อสฟัลตค์ อนกรีตหลายชนั้ รอยตอ่ ตามขวางของแตล่ ะชนั้ จะตอ้ งห่างกนั ไม่นอ้ ยกวา่ 5 เมตร
และจะตอ้ งหา่ งจากรอยตอ่ ตามขวางของชอ่ งจราจรขา้ งเคียงไมน่ อ้ ยกวา่ 5 เมตร ดว้ ย
6.3.6 การก่อสรา้ งรอยต่อตามยาว ในการปูชัน้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตประกบกับชนั้ ทางช่องจราจร

ขา้ งเคยี งท่ีไดด้ าเนินการเรียบรอ้ ยแลว้ นนั้ อาจทาได้ 2 วิธี คือ
(1) การปสู ่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีต ใหเ้ หล่ือมเขา้ ไปในชนั้ ทางช่องจราจรขา้ งเคียงท่ีไดด้ าเนินการ

เรียบรอ้ ยแลว้ 25-50 มิลลิเมตร แลว้ ดนั ส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตส่วนท่ีเหล่ือมเขา้ ไปนีใ้ หช้ นแนว
รอยต่อ โดยใหส้ ูงกว่าระดบั ท่ีดา้ นนอกถัดไปใหม้ ากพอท่ีเม่ือบดทับแลว้ รถบดจะไปอัดส่วนผสม
แอสฟัลตต์ ิกคอนกรีตตรงรอยตอ่ นนั้ แน่นและเรียบไดร้ ะดบั สม่าเสมอกบั ผิวชนั้ ทางท่ีก่อสรา้ งประกบ
นนั้
(2) การปสู ่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีต ใหเ้ หล่ือมเขา้ ไปในชนั้ ทางช่องจราจรขา้ งเคียงท่ีไดด้ าเนินการ
เรียบรอ้ ยแลว้ 25-50 มิลลิเมตร คดั เม็ดวสั ดกุ อ้ นโตบริเวณท่ีเหล่ือมกันตรงรอยต่อนนั้ ออกทิง้ ไป ซ่ึง
เม่ือบดทบั จะไดร้ อยต่อตามยาวท่ีแน่น ไม่ขรุขระ และเรียบไดร้ ะดบั สม่าเสมอกับผิวทางท่ีก่อสรา้ ง
ประกบนนั้ ก่อนจะปชู นั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตใหม่ประกบกับชนั้ ทางของช่องจราจรท่ีไดด้ าเนินการ
เรยี บรอ้ ยแลว้ ใหต้ ดั แตง่ รอยตอ่ ตามยาวนนั้ ดว้ ยเคร่ืองมือตดั รอยตอ่ ตามท่ีระบไุ วใ้ นขอ้ 4.8.3 โดยตดั
ใหต้ งั้ ฉากกบั ชนั้ ทางท่ีปทู บั และรอยตอ่ นนั้ จะตอ้ งตรงแนว เรียบรอ้ ย คม ไม่ฉีกขาด เสรจ็ แลว้ ใหท้ า
รอยตอ่ นนั้ ดว้ ยแอสฟัลตบ์ างๆ เพ่ือใหร้ อยตอ่ ตอ่ เช่ือมกนั ไดด้ ีกบั ชนั้ ทางท่ีประกบ การทารอยตอ่ ดว้ ย
แอสฟัลตน์ ี้ ใหด้ าเนินการตาม มทช.227 : มาตรฐานงานแทคโคท (tack coat)
ในการปชู นั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตหลายชนั้ แตล่ ะชนั้ ใหก้ ่อสรา้ งใหม้ ีรอยต่อตามยาวเหล่ือมกันไม่
นอ้ ยกว่า 150 มิลลิเมตร ถา้ เป็นชนั้ ทาง 2 ช่องจราจร รอยตอ่ ตามยาวของชนั้ ทางชนั้ บนสุดใหอ้ ย่ใู นแนวขอบ
ชอ่ งจราจรตามแบบ
การปชู นั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตหลายช่องจราจรพรอ้ มกนั โดยใชเ้ คร่ืองปหู ลายเคร่ือง การปชู นั้ ทาง
โดยเคร่อื งปทู ่ีตามหลงั ใหป้ สู ว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตเหล่ือมเขา้ ไปในชนั้ ทางท่ีกาลงั ปโู ดยเคร่ืองปเู คร่ืองหนา้
25-50 มลิ ลิเมตร ในกรณีเชน่ นีไ้ มจ่ าเป็นตอ้ งตดั รอยตอ่ ตามยาว และไมต่ อ้ งทาแทคโคท
6.3.7 การปสู ว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรตี ในทางโคง้ ใหป้ ชู อ่ งจราจรดา้ นโคง้ ในกอ่ นไปตามลาดบั จนถงึ

โคง้ นอก แตถ่ า้ ก่อสรา้ งในฤดฝู นจะตอ้ งดาเนินการก่อสรา้ งใหเ้ สรจ็ เตม็ โคง้ โดยเรว็ ท่ีสดุ เพ่ือปอ้ งกนั
นา้ ขงั บนชนั้ ทาง

99

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

6.3.8 การตรวจวดั ความหนาของชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต ใหต้ รวจวดั ความหนาของชนั้ ทางแอสฟัลต์
คอนกรีตท่ีปแู ลว้ แตย่ งั ไม่ไดบ้ ดทบั เป็นระยะๆ ช่วงละไม่เกิน 8 เมตร โดยใหต้ รวจวดั ความหนา
ตลอดความกวา้ งของชนั้ ทาง หากปรากฏวา่ ความหนาของชนั้ ทางคลาดเคล่ือนไปจากความหนา
ท่ีกาหนด ใหแ้ กไ้ ขโดยทนั ทีขณะท่ีส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตยงั มีอณุ หภูมิตามท่ีกาหนด กรณีท่ี
มีความหนานอ้ ยกวา่ ท่ีกาหนด ใหค้ ราดผิวแลว้ นาสว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีมีคณุ ภาพถกู ตอ้ ง
มาปเู สรมิ เกล่ียใหไ้ ดร้ ะดบั สม่าเสมอแลว้ ตรวจสอบระดบั ใหถ้ กู ตอ้ ง

6.3.9 การปูส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตด้วยรถเกล่ียปรับระดบั การปูส่วนผสมแอสฟัลต์คอนกรีต
บริเวณท่ีเคร่ืองปูไม่สามารถเข้าไปดาเนินการไดห้ รือไม่เหมาะสมท่ีจะเขา้ ไปดาเนินการ อาจ
พิจารณาใหใ้ ชร้ ถเกล่ียปรบั ระดบั ท่ีถกู ตอ้ งตามท่ีระบไุ วใ้ นขอ้ 4.4 ดาเนนิ การไดแ้ ลว้ ตรวจสอบดว้ ย
ไมบ้ รรทดั วดั ความเรียบใหไ้ ดร้ ะดบั ถกู ตอ้ ง ทงั้ นีใ้ หอ้ ยใู่ นดลุ ยพินิจของผคู้ วบคุมงาน

6.3.10 การปดู ว้ ยแรงคน กรณีท่ีเป็นพืน้ ท่ีจากดั หรือพืน้ ท่ีท่ีตอ้ งการปรบั ระดบั พืน้ ท่ีท่ีมีส่ิงกีดขวาง และ
อ่ืนๆ ท่ีเคร่อื งปแู ละรถเกล่ียปรบั ระดบั เขา้ ไปดาเนนิ การไมไ่ ด้ ไมเ่ หมาะสมหรือไมส่ ะดวกท่ีจะเขา้ ไป
ดาเนินการ อาจพจิ ารณาใชค้ นปสู ว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรตี ในบรเิ วณดงั กลา่ วได้ ทงั้ นีใ้ หอ้ ยใู่ น
ดลุ ยพินิจของผคู้ วบคมุ งาน ในการใชค้ นดาเนินการนี้ ใหใ้ ชพ้ ล่วั ตกั สว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรตี ไป
กองเรยี งกนั บนพืน้ ท่ีท่ีตอ้ งการปู แตล่ ะกองเป็นกองเด่ยี วๆ หา้ มกองทบั กนั เป็นกองสงู เกล่ียแตง่ ให้
เรียบสม่าเสมอ แลว้ ตรวจสอบดว้ ยไมบ้ รรทดั วดั ความเรยี บใหไ้ ดร้ ะดบั ถกู ตอ้ ง

6.3.11 การตรวจสอบความเรียบในการปูส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีต ใหด้ าเนินการตรวจสอบภาย
หลังจากการบดทับเท่ียวแรก โดยใช้ไม้บรรทัดวัดความเรียบวางทาบไปบนผิวหน้าชั้นทาง
แอสฟัลตค์ อนกรีต หากตอ้ งเสริมแต่งปรับระดับใหม่ ให้ดาเนินการขณะท่ีส่วนผสมแอสฟัลต์
คอนกรีตยงั มีอณุ หภมู ติ ามท่ีกาหนด

6.4 การบดทบั ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต
การบดทบั ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตนนั้ จะตอ้ งใชเ้ คร่ืองจกั รบดทบั ท่ีถกู ตอ้ งตามท่ีกาหนดในขอ้ 4.5 และ
จะตอ้ งมีจานวนเพียงพอท่ีจะอานวยใหก้ ารก่อสรา้ งชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตดาเนินไปไดโ้ ดยปกติ ไม่
ติดขดั หรือหยุดชะงกั เคร่ืองจกั รบดทบั ต่างๆ ดงั กล่าว ก่อนนาไปใชง้ านจะตอ้ งผ่านการตรวจสอบ ตรวจ
ปรบั ใหเ้ หมาะสมตามรายการและวิธีการตามท่ีกรมทางหลวงชนบทกาหนด และอนุญาตใหใ้ ชไ้ ดจ้ ากผู้
ควบคุมงาน การบดทบั จะตอ้ งกระทาทันทีหลงั จากการปูส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีต และเร่ิมบดทับ
ขณะท่ีส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตยงั รอ้ นอยู่ โดยมีอณุ หภมู ิระหวา่ ง 120-150 องศาเซลเซียส เม่ือบดทบั
แลว้ จะตอ้ งไดช้ นั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีมีความแน่น ความเรียบสม่าเสมอ ไดร้ ะดบั และความลาดตาม
แบบ ไม่มีรอยแตก รอยเคล่ือนตวั เป็นแอ่ง รอยคล่ืน รอยล้อรถบด หรือความเสียหายของผิวชัน้ ทาง
แอสฟัลตค์ อนกรีตอ่ืนๆ

100

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

6.4.1 หลกั การบดทบั ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่วั ๆไป ในกรณีท่ีขอ้ กาหนดไม่ไดร้ ะบวุ ิธีการบดทบั เป็น
อยา่ งอ่ืน การบดทบั ใหพ้ จิ ารณาดาเนินการตามหลกั การบดทบั ดงั นี้
ในเบื้องต้นให้บดทับรอยต่อต่างๆ ก่อนโดยทันที ต่อจากนั้นก็ให้บดทับขั้นต้น (initial or
breakdown rolling) โดยใหร้ ถบดทบั ตามหลงั เคร่ืองปใู หใ้ กลช้ ดิ เคร่ืองปมู ากท่ีสดุ เท่าท่ีจะมากได้
และในการบดทับชั้นทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีกาลังบดทับต้องไม่มีรอยแตก ไม่มีส่วนผสม
แอสฟัลตค์ อนกรีตติดลอ้ รถบด ตอ่ ไปเป็นการบดทบั ขั้นกลาง (intermediate rolling) โดยใหบ้ ด
ทบั ตามติดการบดทบั ในขนั้ ตน้ ใหใ้ กลช้ ิดท่ีสดุ เท่าท่ีสามารถจะทาได้ และตอ้ งดาเนินการขณะท่ี
ส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตยังมีอุณหภูมิเหมาะสมท่ีจะทาให้ได้ความแน่นตามท่ีกาหนด
ต่อจากนั้นเป็นการบดทับขั้นสุดท้าย (finish rolling) ซ่ึงจะต้องดาเนินการขณะท่ีส่วนผสม
แอสฟัลตค์ อนกรตี ยงั มีอณุ หภมู ิท่ีรถบดจะสามารถลบรอยลอ้ รถบดทบั ท่ีผา่ นมาไดเ้ รียบรอ้ ย
ในการบดทับจะตอ้ งเร่ิมบดทบั ท่ีขอบชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตดา้ นต่าหรือดา้ นขอบนอกก่อน
แลว้ จงึ คอ่ ยๆ บดทบั เหล่ือมเขา้ ไปส่ดู า้ นเสน้ แบง่ ก่งึ กลางถนน เวน้ แตก่ ารบดทบั ชว่ งการยกโคง้ ซ่งึ
จะตอ้ งบดทบั ทางดา้ นต่าก่อน แลว้ จงึ บดทบั เหล่ือมไปทางดา้ นสงู การบดทบั แตล่ ะเท่ียวใหบ้ ดทบั
ขนานไปกับเส้นแบ่งก่ึงกลางถนน และให้แนวบดทับเหล่ือมกัน (overlap) ประมาณ 150
มิลลเิ มตร แตถ่ า้ บดทบั แลว้ เกิดเป็นคล่ืนตามขวางหรือสว่ นผสมเคล่ือนตวั เป็นแอง่ ก็ใหเ้ ปล่ียนเป็น
บดทบั เหล่ือมกนั คร่งึ หน่ึงของความกวา้ งของลอ้ รถบด การหยุดรถบดแต่ละเท่ียวของการบดทบั
ตอ้ งไม่หยุดท่ีแนวเดียวกับรอยหยุดของรถบดเท่ียวก่อน แต่ควรหยุดรถบดใหเ้ หล่ือมกันเป็น
ระยะหา่ งพอสมควร
ในระหว่างการบดทบั หากมีสว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตตดิ ลอ้ รถบด ควรใชน้ า้ หรือสาร
สาหรบั เคลือบลอ้ รถบดใดๆ ท่ีเหมาะสมท่ีผูค้ วบคุมงานเห็นชอบ พ่นลอ้ รถบดบางๆ เพียงเพ่ือ
เคลือบผิวหนา้ ลอ้ รถบดใหเ้ ปียกชืน้ เพ่ือป้องกันไม่ใหส้ ่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตติดลอ้ รถบด
หากหมดความจาเป็นแลว้ ใหเ้ ลกิ ใช้ การบดทบั รถบดจะตอ้ งว่ิงดว้ ยความเรว็ ต่าและสม่าเสมอ โดย
ใชล้ อ้ ขบั (drive wheel) นาหนา้ ใหใ้ กลช้ ิดเคร่ืองปมู ากท่ีสดุ หากมีการเปล่ียนความเร็วรถบดขณะ
บดทับ จะตอ้ งค่อยๆ เปล่ียนความเร็วทีละนอ้ ย ในช่องทางการบดทบั ช่องทางใดๆ การบดทับ
เดินหนา้ และถอยหลังใหอ้ ย่ใู นแนวชอ่ งทางการบดทบั เดียวกัน ก่อนเดินหนา้ และถอยหลงั รถบด
จะตอ้ งหยดุ น่งิ ก่อน ถา้ เป็นรถบดส่นั สะเทือนจะตอ้ งหยดุ การส่นั สะเทือนก่อนดว้ ย การเปล่ียนแนว
ชอ่ งทางบดทบั จะตอ้ งคอ่ ยๆ เปล่ียน โดยใหไ้ ปเปล่ียนบนชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตบรเิ วณท่ีไดบ้ ด
ทบั และเย็นตวั แลว้ หา้ มเปล่ียนบนผิวชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีกาลงั บดทับหรือท่ียงั รอ้ นอยู่
การบดทบั ชอ่ งทางบดทบั ถดั ไปจะตอ้ งขนานกบั ชอ่ งทางเดมิ การจอดรถบดขณะบดทบั หรือบดทบั
เสร็จแลว้ ใหจ้ อดบนผิวชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตบริเวณท่ีเย็นตวั แลว้ หา้ มจอดบนผิวชนั้ ทาง

101

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

แอสฟัลตค์ อนกรีตท่ียงั รอ้ นอยู่ ถา้ ในการบดทบั ทาใหส้ ่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตเกิดการเคล่ือน
ตวั ออกไปตอ้ งแกไ้ ขโดยด่วน โดยการคราดสว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตบรเิ วณดงั กล่าวใหห้ ลวม
แลว้ นาสว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีมีคณุ ภาพและอณุ หภมู ถิ กู ตอ้ งมาเพ่มิ พรอ้ มกบั แตง่ ระดบั ให้
สม่าเสมอไดร้ ะดบั ถกู ตอ้ งแลว้ จึงบดทบั ใหม่
6.4.2. ความเร็วของรถบดในการบดทบั ในการบดทบั โดยท่วั ๆ ไป รถบดจะตอ้ งว่ิงดว้ ยความเร็วต่าและ
สม่าเสมอ ความเรว็ สงู สดุ ท่ีใชใ้ นการบดทบั ขนึ้ อยกู่ บั ชนิดของรถบด อณุ หภมู ิ ชนิด ลกั ษณะ และ
ความหนาของส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีต ขั้นตอนการบดทับ และปัจจัยท่ีเก่ียวข้องอ่ืนๆ
ความเร็วสูงสุดในการบดทับสาหรับรถบดล้อเหล็กแบบไม่ส่ันสะเทือน รถบดล้อเหล็กแบบ
ส่นั สะเทือนซ่ึงบดทับโดยไม่ส่นั สะเทือน และรถบดลอ้ ยาง ในการบดทับขนั้ ตอนต่างๆ ควรจะ
เป็นไปตามตารางท่ี 6

ตารางที่ 6 ความเรว็ ของรถบดในการบดทบั

ชนิดของรถบด ความเรว็ ของการบดในการบดทบั
รถบดลอ้ เหล็กชนิด 2 ลอ้
รถบดลอ้ ยาง การบดทบั ขนั้ ตน้ การบดทบั ขนั้ กลาง การบดทบั ขนั้ สดุ ทา้ ย
รถบดส่นั สะเทือน** กม./ชม. ไมล/์ ชม.
กม./ชม. ไมล/์ ชม. กม./ชม. ไมล/์ ชม.
32 5 3 5* 3*
53 5 3 85
4-5 2.5-3 4-5 2.5-3 --

หมายเหตุ * รวมถึงรถบดส่นั สะเทือนบดทบั โดยไมส่ ่นั สะเทือน / ** ดตู ารางท่ี 7 ประกอบ

ความเร็วสูงสุดของการบดทบั สาหรบั รถบดส่นั สะเทือนท่ีมีความถ่ีในการส่นั สะเทือนใดๆ
ขนึ้ อยกู่ บั ระยะกระแทกของลอ้ รถบด (impact spacing) ซ่งึ ตามปกตริ ะยะการกระแทกของลอ้ รถบดจะ
นอ้ ยกวา่ ความหนาของชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีบดทบั แลว้ ในการบดทบั ระยะกระแทกของลอ้ รถบด
ไมค่ วรนอ้ ยกว่า 10 ครงั้ ตอ่ ระยะทาง 300 มิลลิเมตร (หรือ33 ครงั้ ตอ่ ระยะทาง 1 เมตร) ท่ีรถบดเคล่ือน
ตวั ไป สาหรบั ความเร็วท่ีเหมาะสมในการบดทบั ของรถบดส่นั สะเทือนท่ีความถ่ีการส่นั สะเทือนใดๆท่ีใช้
และระยะกระแทกของลอ้ รถบดท่ีกาหนด ควรจะเป็นไปตามตารางท่ี 7

102

สำนักวเิ ครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

ตารางที่ 7 ความสัมพันธร์ ะหว่างความเร็ว ความถ่ี และจานวนคร้ังการกระแทก
(ช่วงทค่ี วรใช้อยู่ในกรอบเส้นทบึ )

ความถ่ีการส่นั สะเทือน จานวนครงั้ การกระแทกตอ่ ระยะ 1 เมตร 19.3
เฮริ ตซ์ (รอบตอ่ นาที) (5.8)
(จานวนครงั้ การกระแทกตอ่ ระยะ 1 ฟตุ ) 21.4
30 (1,800) (6.5)
45.0 33.8 27.0 22.5 23.6
33 (2,000) (13.6) (10.2) (8.2) (6.8) (7.1)
50.0 37.5 30.0 25.0 25.7
37 (2,200) (15.2) (11.4) (9.1) (7.6) (7.8)
55.0 41.3 33.0 27.5 27.9
40 (2,400) (16.7) (12.5) (10.0) (8.3) (8.4)
60.0 45.0 36.0 30.0 30.0
43 (2,600) (18.2) (13.6) (10.9) (9.1) (9.1)
65.0 48.8 39.0 32.5 32.1
47 (2,800) (19.7) (14.8) (11.8) (9.8) (9.7)
70.0 52.5 42.0 35.0 5.6
50 (3,000) (21.2) (15.9) (12.7) (10.6) 3.5
75.0 56.3 45.0 37.5 93.3
ความเรว็ กม./ชม. (22.7) (17.0) (13.0) (11.4) 308
รถบด ไมล/์ ชม. 2.4 3.2 4.0 4.8
ม./นาที 1.5 2.0 2.5 3.0
ฟตุ /นาที 40.0 53.3 66.7 80.0
132 176 220 264

6.4.3 การทาแปลงทดลองเพ่ือกาหนดรูปแบบของการบดทับ ก่อนเร่ิมการก่อสรา้ งชนั้ ทางแอสฟัลต์
คอนกรตี เพ่ือใหใ้ ชเ้ คร่อื งจกั รบดทบั ท่ีมีอยไู่ ดถ้ กู ตอ้ งเหมาะสมตอ่ งานและเกิดประโยชนส์ งู สดุ ควร
ทาแปลงทดลองในสนามยาวประมาณ 100-150 เมตร เพ่ือกาหนดรูปแบบของการบดทับ
(pattern of rolling) ท่ีเหมาะสมกบั ชนิด จานวน สภาพเคร่ืองจกั รท่ีนามาใชง้ าน โดยเม่ือบดทบั
เสรจ็ แลว้ จะตอ้ งไดช้ นั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีมีความเรียบ ความแนน่ สม่าเสมอ ไดร้ ะดบั ความ
ลาดตามแบบ และมีคุณสมบัติอ่ืนๆ ถูกตอ้ งตามท่ีกาหนด การทาแปลงทดลองบดทับนีใ้ ห้
ดาเนินการแก้ไข ปรับการใช้งาน หรือเพ่ิมจานวนเคร่ืองจักรบดทับไดแ้ ลว้ แต่กรณี จนกว่าจะ
สามารถบดทบั ไดถ้ กู ตอ้ งตามท่ีกาหนด และผคู้ วบคมุ งานเห็นชอบแลว้ จงึ นาไปใชเ้ ป็นบรรทดั ฐาน

103

สำนักวิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

ในการก่อสรา้ งชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตในงานนนั้ ๆ ตอ่ ไป ในระหว่างการก่อสรา้ ง หากมีการ
เปล่ียนแปลงใดๆ เก่ียวกบั สว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีต หรือเคร่ืองจกั รบดทบั ท่ีใชง้ านและอ่ืนๆ ผู้
ควบคุมงานอาจพิจารณาใหป้ รบั ปรุงแก้ไขหรือทาแปลงทดลองในสนาม เพ่ือทดลองหาความ
เหมาะสมใหมก่ ็ได้ ทงั้ นีใ้ หอ้ ยใู่ นดลุ ยพนิ จิ ของผคู้ วบคมุ งาน

การกาหนดรูปแบบการบดทบั ท่ีเหมาะสมสาหรบั เคร่ืองจกั รบดทบั ชดุ ใด ท่ีใชง้ านนนั้ ให้
ผรู้ บั จา้ งดาเนินการทดลองบดทบั เพ่ือกาหนดขนาดพืน้ ท่ีบดทบั ท่ีสมั พนั ธก์ ับกาลงั ผลิตส่วนผสม
แอสฟัลตค์ อนกรีตของโรงงานผสม อตั ราการปสู ว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีต และเพ่ือทราบจานวน
เท่ียวการบดทับเต็มผิวหนา้ ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต (coverage) จานวนเท่ียวการบดทบั ซา้ ท่ี
ชอ่ งทางบดทบั แตล่ ะชอ่ ง (pass) ความเรว็ ของรถบดแตล่ ะชนิดในการบดทบั และอ่ืนๆ
6.4.4 ลาดบั ขนั้ ตอนการบดทบั ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรตี
(1) เม่ือปชู นั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตช่องจราจรแรก หรือเต็มผิวจราจรในคราวเดียว การบดทบั จะตอ้ ง
ดาเนินการตามลาดบั ดงั นี้

ก. บดทบั รอยตอ่ ตามขวาง
ข. บดทบั ขอบผิวชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตดา้ นนอก
ค. บดทบั ขนั้ ตน้
ง. บดทบั ขนั้ กลาง
จ. บดทบั ขนั้ สดุ ทา้ ย
(2) เม่ือปูชั้นทางแอสฟัลตค์ อนกรีตหลายช่องจราจรพรอ้ มกัน หรือปูชั้นทางแอสฟั ลตค์ อนกรีตใหม่
ประกบกบั ช่องจราจรเดิมท่ีไดด้ าเนินการเรียบรอ้ ยแลว้ หรือประกบกับแนวโครงสรา้ งใดท่ีมีอยู่แลว้
การบดทบั จะตอ้ งดาเนนิ การตามลาดบั ดงั นี้
ก. บดทบั รอยตอ่ ตามขวาง
ข. บดทบั รอยตอ่ ตามยาว
ค. บดทบั ขอบผวิ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตดา้ นนอก
ง. บดทบั ขนั้ ตน้
จ. บดทบั ขนั้ กลาง
ฉ. บดทบั ขนั้ สดุ ทา้ ย
6.4.5 การบดทบั รอยตอ่ ตามขวาง ใหใ้ ชร้ ถบดลอ้ เหล็ก 2 ลอ้ หรอื รถบดส่นั สะเทือน แตใ่ หบ้ ดทบั โดยไม่
ส่นั สะเทือน
สาหรบั การก่อสรา้ งชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตช่องจราจรแรก ก่อนการบดทบั รอยตอ่ ตาม
ขวาง ควรใชแ้ ผ่นไมท้ ่ีมีความหนาเหมาะสม วางรองชิดขอบชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตบริเวณ

104

สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

รอยตอ่ ตามขวางทงั้ 2 ดา้ น เพ่ือรองรบั ลอ้ รถบดเวลาบดทบั เลยขอบชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต
ออกไป เป็นการปอ้ งกนั มิใหข้ อบชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรตี ท่ีปลายรอยตอ่ ตามขวางเสียหาย เสรจ็
แล้วจึงบดทับรอยต่อตามขวาง โดยในการบดทับเท่ียวแรกให้รถบดว่ิงบนชั้นทางแอสฟัลต์
คอนกรีตท่ีก่อสรา้ งเสร็จเรียบรอ้ ยแลว้ และใหล้ อ้ รถบดเหล่ือมเขา้ ไปในบริเวณชนั้ ทางแอสฟัลต์
คอนกรีตท่ีปใู หม่ ประมาณ 150 มิลลิเมตร ใชไ้ มบ้ รรทดั วดั ความเรียบตรวจสอบความเรียบของ
รอยต่อ หากไม่ถูกตอ้ งใหแ้ กไ้ ขใหเ้ รียบรอ้ ยทนั ที และในการบดทบั เท่ียวต่อๆ ไป ใหแ้ นวบดทับ
คอ่ ยๆ เล่ือนเขา้ ไปในบรเิ วณชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีปใู หมเ่ ท่ียวละ 150-200 มิลลเิ มตร จนใน
ท่ีสดุ ลอ้ รถบดจะเขา้ ไปบดทบั บนชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีปใู หมท่ งั้ หมด

สาหรบั การก่อสรา้ งชั้นทางแอสฟัลตค์ อนกรีตช่องจราจรประกบกับชั้นทางแอสฟัลต์
คอนกรีตชอ่ งจราจรท่ีไดก้ ่อสรา้ งเรียบรอ้ ยแลว้ การบดทบั ในครงั้ แรกใหบ้ ดทบั บรเิ วณปลายรอยตอ่
ตามขวางดา้ นท่ีบรรจบกบั รอยต่อตามยาว โดยใหบ้ ดทบั ขนานไปตามรอยต่อตามยาวเป็นระยะ
ประมาณ 0.5-1 เมตร แลว้ ใชไ้ มบ้ รรทดั วดั ความเรียบตรวจสอบความเรียบของรอยต่อ หากไม่
ถกู ตอ้ งใหแ้ กไ้ ขใหเ้ รียบรอ้ ยทนั ที ตอ่ จากนนั้ ใหเ้ ร่มิ บดทบั รอยตอ่ ตามขวาง ก่อนบดทบั ควรใชแ้ ผน่
ไมท้ ่ีมีความหนาเหมาะสม วางรองชิดขอบชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตบรเิ วณรอยตอ่ ตามขวางดา้ น
นอก เสรจ็ แลว้ ใหบ้ ดทบั รอยตอ่ ตามขวาง โดยใหด้ าเนนิ การตามวธิ ีการบดทบั ดงั กลา่ วขา้ งตน้
6.4.6 การบดทบั รอยตอ่ ตามยาว รอยตอ่ ตามยาวแบง่ ออกเป็น 2 แบบ คือ
(1) รอยตอ่ เย็นหรือรอยต่อเก่า (cold joint) หมายถึงรอยตอ่ ตามยาวระหว่างช่องจราจรท่ีไดก้ ่อสรา้ ง
ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต และบดทบั เรียบรอ้ ยแลว้ กบั ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตใหมท่ ่ีก่อสรา้ ง
ประกบกนั

ในการบดทบั รอยต่อตามยาว เม่ือใชร้ ถบดล้อเหล็กชนิดไม่ส่นั สะเทือน การบดทบั เท่ียว
แรกใหล้ อ้ รถบดส่วนใหญ่อยู่บนชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีก่อสรา้ งเสร็จแลว้ โดยใหล้ อ้ รถบด
เหล่ือมเขา้ ไปบนชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีก่อสรา้ งใหม่ 100-150 มิลลิเมตร และในการบดทบั
เท่ียวต่อๆ ไป ใหล้ อ้ รถบดคอ่ ยๆ เล่ือนแนวบดทบั เหล่ือมเขา้ ไปบนชนั้ ทางท่ีก่อสรา้ งใหม่เพ่ิมขึน้
จนกระท่งั ลอ้ รถบดทงั้ หมดจะอยู่บนชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีก่อสรา้ งใหม่ ในกรณีใชร้ ถบด
ส่นั สะเทือนบดทับ การบดทบั จะตอ้ งใหล้ อ้ รถบดส่วนใหญ่อยู่บนชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ี
สรา้ งใหม่ โดยใหล้ อ้ รถบดเหล่ือมเขา้ ไปบนชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีก่อสรา้ งสรา้ งแลว้ 100-
150 มลิ ลเิ มตร และใหด้ าเนนิ การบดทบั ซา้ ตามแนวบดทบั ดงั กลา่ ว จนกระท่งั ไดร้ อยตอ่ ตามยาวท่ี
เรยี บรอ้ ยและไดค้ วามแนน่ ตามท่ีกาหนด
(2) รอยตอ่ รอ้ นหรือรอยตอ่ ใหม่ (hot joint) หมายถึงรอยตอ่ ตามยาวของชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต
ระหวา่ งชอ่ งจราจร 2 ชอ่ ง ท่ีกอ่ สรา้ งพรอ้ มกนั โดยการปดู ว้ ยเคร่อื งปู 2 ชดุ

105

สำนักวเิ ครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

ในการบดทบั รอยต่อตามยาวแบบนีใ้ หใ้ ชร้ ถบดลอ้ เหล็กเขา้ บดทบั พืน้ ท่ีบริเวณรอยตอ่ ทงั้ 2 ขา้ ง
ของรอยตอ่ ตามยาว กวา้ งประมาณ 400 มิลลเิ มตร ท่ีเวน้ ไวใ้ นการบดทบั ขนั้ ตน้ การบดทบั ใหแ้ นว
รอยตอ่ ตามยาวอยกู่ ่ึงกลางความกวา้ งของลอ้ รถบด โดยใหบ้ ดทบั จนกวา่ จะไดร้ อยตอ่ ตามยาวท่ี
เรียบรอ้ ยและไดค้ วามแนน่ ตามท่ีกาหนด
6.4.7 การบดทับขนั้ ตน้ (initial or breakdown rolling) ภายหลังจากท่ีไดบ้ ดทบั รอยต่อต่างๆ เสร็จ
เรียบรอ้ ยแลว้ ใหด้ าเนินการบดทับขนั้ ตน้ เม่ือส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตมีอุณหภูมิไม่ต่ากว่า
120 องศาเซลเซียส การบดทบั ใหใ้ ชไ้ ดท้ งั้ รถบดลอ้ เหลก็ แบบไมส่ ่นั สะเทือนหรอื รถบดส่นั สะเทือน
เคร่ืองจกั รบดทบั ท่ีใชต้ อ้ งถกู ตอ้ งตามขอ้ 4.5 โดยนา้ หนกั รถบด นา้ หนกั บดทบั นา้ หนกั ตอ่ ความ
กวา้ งของลอ้ รถบด ความถ่ีการส่นั สะเทือน ระยะเตน้ ของลอ้ รถบด ความเรว็ ของรถบด และปัจจยั
ท่ีเก่ียวขอ้ งอ่ืนๆ จะตอ้ งพจิ ารณาใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ชนดิ ลกั ษณะ ความคงตวั อณุ หภมู ิ ความหนา
ของชนั้ ทางท่ีปู และสภาพของชนั้ ทางท่ีอยภู่ ายใตท้ ่ีจะก่อสรา้ งชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตทบั การ
บดทบั ใหเ้ ร่ิมบดทบั จากขอบชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตดา้ นต่า หรือขอบชนั้ ทางดา้ นนอก ไปหา
ขอบชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตดา้ นสงู หรือขอบชนั้ ทางดา้ นใน

การบดทบั โดยใชร้ ถบดส่นั สะเทือน ควรใชค้ วามถ่ีการส่นั สะเทือน และระยะเตน้ ของลอ้ รถ
บดใหเ้ หมาะสม ความถ่ีการส่นั สะเทือนควรอยรู่ ะหวา่ ง 33-50 เฮิรตซ์ (2,000-3,000 รอบตอ่ นาที)
และระยะเตน้ ของลอ้ รถบดควรอยู่ระหว่าง 0.2-0.8 มลิ ลิเมตร สาหรบั การบดทบั ชนั้ ผิวทางหรือผิว
ไหล่ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต ควรใชค้ า่ ความถ่ีการส่นั สะเทือนดา้ นสงู และใชค้ ่าระยะเตน้ ดา้ นต่า
แตถ่ า้ เป็นชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีไม่ใชช่ นั้ ผวิ ทางและมีความหนามากกวา่ 50 มิลลิเมตร อาจ
ใชค้ า่ ความถ่ีการส่นั สะเทือนดา้ นต่า และใชค้ า่ ระยะเตน้ ดา้ นสงู ได้ อยา่ งไรก็ตามการใชค้ า่ ความถ่ี
การส่นั สะเทือนและค่าระยะเตน้ ของล้อรถบดในการบดทับ ใหพ้ ิจารณาจากผลการทาแปลง
ทดลองตามขอ้ 6.4.3

การบดทบั ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีมีความหนานอ้ ยกวา่ 25 มิลลิเมตร ตอ้ งพิจารณา
ความเหมาะสมเป็นพิเศษ หากใชร้ ถบดลอ้ เหล็ก ไมค่ วรบดทบั โดยการส่นั สะเทือนหากจะใชร้ ถบด
บดทบั โดยการส่นั สะเทือนก็ใหใ้ ชค้ ่าระยะเตน้ ของลอ้ รถบดดา้ นค่าต่าโดยเม่ือบดทบั แลว้ จะตอ้ ง
ไม่เกิดความเสียหายของชั้นทางแอสฟัลตค์ อนกรีต เช่น เกิดการยุบตวั ทัง้ นีต้ อ้ งไดร้ บั ความ
เหน็ ชอบจากผคู้ วบคมุ งานก่อน

การบดทบั ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรตี ท่ีมีความหนาระหวา่ ง 25-50 มลิ ลิเมตร หากใชร้ ถบด
ส่นั สะเทือนบดทบั ควรใชค้ า่ ความถ่ีการส่นั สะเทือนดา้ นสงู และใชค้ า่ ระยะเตน้ ของลอ้ รถบดดา้ น
ต่า

106

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

การบดทบั ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีมีความหนามากกว่า 50 มิลลิเมตร ดว้ ยรถบด
ส่นั สะเทือน สาหรบั การบดทบั ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีไมใ่ ช่ชนั้ ผิวทาง อาจใชค้ า่ ระยะเตน้ ของ
ลอ้ รถบดดา้ นสูงได้ แตส่ าหรบั ชนั้ ผิวทางแอสฟัลตค์ อนกรีต ควรจะใชค้ า่ ความถ่ีการส่นั สะเทือน
ดา้ นสงู และใชค้ า่ ระยะเตน้ ของลอ้ รถบดดา้ นต่า

การบดทบั ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีมีความหนามากกว่า 50 มลิ ลิเมตร และไมม่ ีแนว
ส่ิงก่อสรา้ ง เชน่ คนั หิน หรือชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีก่อสรา้ งแลว้ ชว่ ยอดั ดา้ นขา้ งไว้ หากบดทบั
ตามวิธีการปกตแิ ลว้ ปรากฏวา่ มีการเคล่ือนตวั ของสว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตดา้ นขา้ งใหเ้ ปล่ียน
วธิ ีการบดทบั ใหม่ โดยใหร้ น่ แนวบดทบั เท่ียวแรกเขา้ ไปใหห้ า่ งจากขอบชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต
ประมาณ 300 มลิ ลเิ มตร หลงั จากนนั้ ใหบ้ ดทบั ตอ่ ไปตามปกติ เสรจ็ แลว้ จงึ กลบั มาบดทบั ขอบชนั้
ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตสว่ นท่ีเวน้ ไวน้ นั้ ในเท่ียวสดุ ทา้ ยของการบดทบั เตม็ หนา้ เท่ียวแรกตอ่ ไป

การก่อสรา้ งชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรตี 2 ชอ่ งจราจรพรอ้ มกนั การบดทบั ในขัน้ ตน้ นีใ้ ห้
ดาเนินการพรอ้ มกนั ทงั้ 2 ชอ่ งจราจร โดยใหเ้ วน้ ระยะของแนวบดทบั ใหห้ า่ งจากรอยตอ่ รอ้ นหรือ
รอยตอ่ ใหมข่ องแตล่ ะช่องจราจร ไวข้ า้ งละประมาณ 200 มลิ ลเิ มตร พืน้ ท่ีแนวรอยตอ่ ดงั กลา่ วนี้ ให้
ดาเนนิ การบดทบั ตามขอ้ 6.4.6 (2) ตอ่ เน่ืองกนั ไป
6.4.8 การบดทบั ขนั้ กลาง (intermediate rolling) ใหเ้ รม่ิ ดาเนินการบดอดั เม่ือชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต
มีอณุ หภมู ไิ มต่ ่ากวา่ 95 องศาเซลเซียส การบดทบั ขนั้ กลางควรดาเนินการตามรูปแบบการบดทบั
ขนั้ ตน้ โดยใหบ้ ดทบั ตามหลงั การบดทบั ขนั้ ตน้ ใหใ้ กลช้ ิดท่ีสดุ และใหบ้ ดทบั โดยตอ่ เน่ืองไปจนกวา่
จะไดค้ วามแน่นตามท่ีกาหนดและสม่าเสมอท่วั ทงั้ แปลงท่ีกอ่ สรา้ ง

การบดทบั ขนั้ กลางตามปกตใิ หใ้ ชร้ ถบดลอ้ ยางเป็นหลกั โดยเฉพาะชนั้ ผิวทางและผิวไหล่
ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต ใหป้ รบั นา้ หนกั รถบด และความดนั ลมยาง เพ่ือใหไ้ ดแ้ รงอดั ท่ีผวิ หนา้ สมั ผสั
ของลอ้ รถบดท่ีเหมาะสมกบั ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีกาลงั บดทบั

สาหรับชั้นทางแอสฟัลตค์ อนกรีตอ่ืนๆ หรือชั้นทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีมีความหนา
มากกวา่ 50 มลิ ลเิ มตร ท่ีไมใ่ ชช่ นั้ ผวิ ทางและผวิ ไหลท่ างแอสฟัลตค์ อนกรีต อาจพิจารณาใหใ้ ชร้ ถ
บดลอ้ เหล็ก รถบดส่นั สะเทือนบดทบั ร่วมกับรถบดลอ้ ยางดว้ ยไดต้ ามความเหมาะสม โดยรถบด
ตอ้ งมีนา้ หนกั นา้ หนกั บดทบั นา้ หนกั ตอ่ ความกวา้ งของลอ้ รถบด ความถ่ีการส่นั สะเทือนระยะเตน้
ของลอ้ รถบด และปัจจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งอ่ืนๆ เหมาะสมกับชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีกาลังบดทบั
ทงั้ นีใ้ หอ้ ยใู่ นดลุ ยพนิ จิ ของผคู้ วบคมุ งาน
6.4.9 การบดทบั ขนั้ สดุ ทา้ ย (finish rolling) มีจดุ ประสงคเ์ พ่ือลบรอยลอ้ รถบดท่ีผวิ หนา้ และทาใหผ้ ิวหนา้
เรยี บสม่าเสมอเท่านนั้ ทงั้ นีใ้ หเ้ รม่ิ ดาเนนิ การเม่ือชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตมีอณุ หภมู ไิ มต่ ่ากวา่ 66
องศาเซลเซียส โดยใหใ้ ชร้ ถบดลอ้ เหลก็ แบบไมส่ ่นั สะเทือนหรือใชร้ ถบดส่นั สะเทือนแตบ่ ดทบั โดย

107

สำนักวเิ ครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

ไมส่ ่นั สะเทือนเทา่ นนั้ รถบดตอ้ งมีนา้ หนกั นา้ หนกั บดทบั นา้ หนกั ตอ่ ความกวา้ งของลอ้ รถบด และ
ปัจจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งอ่ืนๆ เหมาะสมกบั ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีกาลงั บดทบั
6.4.10 การบดทบั พืน้ ท่ีพเิ ศษ
(1) การบดทบั บนพืน้ ท่ีลาดชนั สงู (steep grade) สาหรบั ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีก่อสรา้ งบนพืน้ ท่ี
ท่ีมีความลาดชันสูง หรือในทางโคง้ ท่ีมีการยกโค้งสูง การบดทับโดยรถบดล้อเหล็กแบบไม่
ส่นั สะเทือน ใหใ้ ชล้ อ้ ตาม (tiller wheel) เดินหนา้ โดยใหบ้ ดทบั ตามหลงั เคร่ืองปู โดยใกลช้ ิดท่ีสดุ
ไม่ว่าเคร่ืองปจู ะปสู ่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตขึน้ ทางลาดชนั หรือปลู งตามทางลาดชนั ก็ตาม ใน
การบดทบั โดยใชร้ ถบดส่นั สะเทือนนนั้ การบดทับในเท่ียวแรกใหบ้ ดทับโดยไม่ส่นั สะเทือน แต่
หลงั จากท่ีส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตของชนั้ ทางมีความคงตวั (stability) สงู ขนึ้ มากพอท่ีจะบด
ทบั โดยการส่นั สะเทือนได้ ก็ใหบ้ ดทบั ตอ่ ไปโดยการส่นั สะเทือน โดยใหใ้ ชค้ า่ ระยะเตน้ ของลอ้ รถบด
ดา้ นต่า
(2) การบดทบั บนพืน้ ท่ีท่ีรถบดเขา้ ไปดาเนินการไม่ได้ (inaccessible area) สาหรบั พืน้ ท่ีท่ีก่อสรา้ งชนั้
ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีรถบดเขา้ ไปดาเนินการไม่ได้ เชน่ บริเวณท่ีชิดกบั คนั หินและรอ่ งระบาย
นา้ สะพาน ขอบบอ่ พัก และส่ิงกีดขวางอ่ืนๆ จะตอ้ งใชเ้ คร่ืองจกั รหรือเคร่ืองมือบดทบั ขนาดเล็กท่ี
ถกู ตอ้ งตามขอ้ 4.8.1 และหรือขอ้ 4.8.2 การนามาใช้ และการใชง้ านใหอ้ ยู่ในดุลยพินิจของผู้
ควบคมุ งาน
(3) การบดทบั บรเิ วณทางแยก ทางเช่ือม (bell mouth area) อาจดาเนนิ การได้ 2 วธิ ี คือ

ก. การบดทบั ทะแยงมมุ ในขนั้ แรกใหด้ าเนินการบดทบั ในแนวทะแยงมมุ ก่อน ตอ่ จากนนั้ จงึ
บดทบั ขนานกบั ขอบทางโคง้

ข. การบดทบั ขนาน ในขนั้ แรกใหด้ าเนนิ การบดทบั ในแนวขนาน โดยตงั้ ฉากกบั แนวเสน้ แบง่
ก่งึ กลางทางแยกก่อนตอ่ จากนนั้ จงึ บดทบั ขนานกบั ขอบทางโคง้

7. การตรวจสอบชั้นทางแอสฟัลตค์ อนกรตี ทกี่ ่อสร้างเสร็จแล้ว
หลักเกณฑใ์ นการตรวจสอบชั้นทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีก่อสรา้ งเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีอย่างน้อย 3

ประการดงั ตอ่ ไปนี้
7.1 ลกั ษณะผวิ (surface texture)
ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีก่อสรา้ งเสรจ็ เรียบรอ้ ยแลว้ จะตอ้ งไดร้ ะดบั และความลาดตามแบบ มีลกั ษณะ
ผิว และลักษณะการบดทบั ท่ีสม่าเสมอ ไม่ปรากฏความเสียหาย เช่น แอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีผิวหนา้ หลุด
(pull) รอยฉีก (torn) ผิวหนา้ หลวมหรือแยกตวั (segregation) เป็นคล่ืน (ripple) หรือความเสียหายอ่ืนๆ

108

สำนักวเิ ครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

หากตรวจสอบแลว้ ปรากฏความเสียหายดงั กล่าว จะตอ้ งดาเนินการแก้ไขใหถ้ ูกตอ้ งเรียบรอ้ ยตามท่ีผู้
ควบคมุ งานเห็นสมควร
7.2 ความเรยี บท่ีผิว (surface tolerance)
เม่ือใชไ้ มบ้ รรทดั วดั ความเรียบตามขอ้ 4.8.5 วางทาบบนผิวของชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตในแนวตงั้ ฉาก
และในแนวขนานกบั แนวเสน้ แบง่ ก่ึงกลางถนนระดบั ผิวของชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตภายใตไ้ มบ้ รรทดั วดั
ความเรียบจะแตกต่างจากระดบั ของไมบ้ รรทัดวดั ความเรียบไดไ้ ม่เกิน 6 มิลลิเมตรและ 3 มิลลิเมตร
ตามลาดบั
7.3 ความแน่น (density)
การตรวจสอบรบั รองความแน่นของชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีก่อสรา้ งเสร็จเรียบรอ้ ยแลว้ ไดจ้ ากการ
เปรียบเทียบคา่ ความแนน่ ของตวั อย่างชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต กบั คา่ ความแนน่ ของตวั อย่างท่ีบดอดั ใน
หอ้ งปฏิบตั กิ ารตาม มทช.(ท)607: มาตรฐานการทดสอบแอสฟัลตค์ อนกรตี โดยวิธีมารแ์ ชลล์ โดยคานวณ
เป็นคา่ ความแนน่ รอ้ ยละของคา่ ความแนน่ ของตวั อยา่ งท่ีบดอดั ในหอ้ งปฏิบตั กิ าร ตามรายละเอียดดงั นี้
7.3.1 การจดั เตรยี มกอ้ นตวั อยา่ งแอสฟัลตค์ อนกรีตในหอ้ งปฏิบตั กิ าร ใหเ้ ก็บตวั อยา่ งสว่ นผสมแอสฟัลต์

คอนกรีต จากรถบรรทกุ ท่ีโรงงานผสมก่อนสง่ ออกไปยงั สถานท่ีก่อสรา้ ง โดยการสมุ่ ตวั อยา่ งจาก
รถบรรทกุ จากการผลิตสว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรตี ประจาวนั เป็นระยะๆ แลว้ นาไปดาเนินการใน
หอ้ งปฏิบตั กิ าร โดยใหไ้ ดก้ อ้ นตวั อยา่ งอยา่ งนอ้ ย 8 กอ้ นตวั อยา่ งในแตล่ ะวนั ท่ีปฏิบตั งิ าน ทดสอบ
หาคา่ ความแนน่ แลว้ นาคา่ ความแนน่ ท่ีทดสอบไดจ้ ากกอ้ นตวั อยา่ งทงั้ หมดมาหาคา่ เฉล่ีย เป็น
ความแน่นในหอ้ งปฏิบตั กิ ารประจาวนั สาหรบั ใชใ้ นการคานวณเปรียบเทียบเป็นคา่ ความแนน่ รอ้ ย
ละของตวั อยา่ งชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตในสนาม

การเก็บตวั อย่างและการเตรียมตวั อย่างส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตใหด้ าเนินการตาม
รายละเอียดและวิธีการท่ีกาหนด การทดสอบหาค่าความแน่นใหด้ าเนินการตาม มทช.(ท)607 :
มาตรฐานการทดสอบแอสฟัลตค์ อนกรีต โดยวิธีมารแ์ ชลล์ ส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีต ใน
หอ้ งปฏิบตั ิการ จะตอ้ งตรงตามท่ีระบไุ วใ้ นสตู รส่วนผสมเฉพาะงาน และมีอณุ หภมู ิในขณะบดอดั
ก้อนตัวอย่างตรงตามท่ีกาหนด สาหรบั ตวั อย่างส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีดาเนินการใน
หอ้ งปฏิบตั ิการนนั้ อนญุ าตใหน้ าเขา้ อบในเตาอบเพ่ือรกั ษาอณุ หภูมิไว้ ไดน้ านไม่เกิน 30 นาที ใน
ระหว่างดาเนินการถา้ อณุ หภูมิของตวั อย่างสว่ นผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตลดลงต่ากวา่ อณุ หภูมิการ
บดอดั ท่ีกาหนด ใหน้ าตวั อยา่ งส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตดงั กล่าวนนั้ ทิง้ ไป หา้ มนาไปอบ เพ่ือ
นามาใชบ้ ดอดั ทากอ้ นตวั อยา่ งทดสอบอีกตอ่ ไป
7.3.2 การจดั เตรียมกอ้ นตวั อย่างของชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตในสนาม ใหเ้ จาะกอ้ นตัวอย่างตวั แทน
ของชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตในสนามท่ีก่อสรา้ งเสร็จเรียบรอ้ ยแลว้ ดว้ ยเคร่ืองเจาะตวั อย่างท่ี

109

สำนักวเิ ครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

ถูกตอ้ งตามข้อ 4.8.4 โดยใหเ้ จาะเก็บก้อนตวั อย่างไม่น้อยกว่าจานวน 1 ก้อนตัวอย่างทุกๆ
ระยะทางประมาณ 250 เมตรตอ่ ช่องจราจร หรือทกุ ๆ ส่วนผสมแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีนามาใชง้ าน
ประมาณ 100 ตนั แลว้ นาไปทดสอบหาคา่ ความแน่นตาม มทช.(ท)607 : มาตรฐานการทดสอบ
แอสฟัลตค์ อนกรีต โดยวธิ ีมารแ์ ชลล์
สาหรบั ชนั้ ผวิ ทางชนั้ รองผิวทาง และชนั้ ปรบั ระดบั แอสฟัลตค์ อนกรตี ท่ีมีความหนาไมน่ อ้ ยกวา่ 25
มิลลเิ มตร คา่ ความแนน่ ของชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตในสนามจะตอ้ งไม่นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 98 ของ
คา่ ความแนน่ เฉล่ียของกอ้ นตวั อยา่ งจากหอ้ งปฏิบตั กิ ารท่ีใชเ้ ปรียบเทียบประจาวนั
สาหรบั ชนั้ พืน้ ทาง และผวิ ไหลท่ างแอสฟัลตค์ อนกรีต คา่ ความแนน่ ของชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต
ในสนามจะตอ้ งไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 97 และ 96 ของคา่ ความแนน่ ของกอ้ นตวั อยา่ งจาก
หอ้ งปฏิบตั กิ ารท่ีใชเ้ ปรียบเทียบประจาวนั ตามลาดบั
8. การอานวยการและควบคุมการจราจรระหว่างการก่อสร้าง
ในระหว่างการก่อสรา้ งชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีต จะตอ้ งจดั และควบคมุ การจราจรไม่ใหผ้ ่านชนั้ ทาง
แอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีก่อสรา้ งใหม่ จนกวา่ ชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตจะเย็นตวั ลงมากพอท่ีเม่ือเปิดใหก้ ารจราจรผ่าน
แลว้ จะไม่ทาใหเ้ กิดรอ่ งรอยบนชนั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตนนั้ โดยจะตอ้ งติดตงั้ ปา้ ยจราจร พรอ้ มอปุ กรณค์ วบคมุ
การจราจรอ่ืนๆ ท่ีจาเป็นตามท่ีกรมทางหลวงชนบทกาหนด พรอ้ มจดั บุคลากรเพ่ืออานวยการจราจรให้ผ่านพืน้ ท่ี
ก่อสรา้ งไดโ้ ดยสะดวกปลอดภัย และไม่ทาใหช้ นั้ ทางแอสฟัลตค์ อนกรีตท่ีก่อสรา้ งใหม่นนั้ เสียหาย ระยะเวลาใน
การปิดและเปิดการจราจรใหอ้ ยใู่ นดลุ ยพนิ ิจของผคู้ วบคมุ งาน

9. หนังสอื อ้างองิ
9.1 กรมทางหลวง มาตรฐานท่ี ทล.-ม.408/2532 “แอสฟัลตค์ อนกรีต (asphalt concrete or hot-mix asphalt)”
9.2 AMERICAN SOCIETY OF TESTING METERIALS ASTM. STANDARD D-1559
9.3 THE ASPHALT INSTITUTE “MIX DESIGN METHODS FOR ASPHALT CONCRETE AND THE
HOT- MIX TYPES” MANUAL SERIES NO.2 (MS-2)

110

สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

มทช.231-2545
มาตรฐานงานผิวจราจรแบบคอนกรตี

1. ขอบข่าย
งานผิวจราจรแบบคอนกรตี หมายถึง การก่อสรา้ งผวิ จราจรโดยใชค้ อนกรตี ท่ีประกอบดว้ ยปนู ซีเมนต์

ปอรต์ แลนดเ์ ป็นสว่ นผสมกบั นา้ วสั ดชุ นิดเมด็ หยาบ และวสั ดชุ นิดเม็ดละเอียดตามอตั ราสว่ นท่ีไดก้ าหนดไวบ้ นชนั้
พืน้ ทาง หรือชนั้ คนั ทางท่ีไดเ้ ตรยี มเอาไว้ โดยมีเหล็กท่ีจะเสรมิ คอนกรตี อยใู่ นตาแหนง่ ท่ีถกู ตอ้ งตามแบบก่อสรา้ ง

2. วัสดุ
2.1 วัสดุปูนซีเมนตป์ อรต์ แลนด์ ให้เป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก . 15 : มาตรฐาน
ปนู ซีเมนตป์ อรต์ แลนด์
2.2 วสั ดนุ า้ ใหเ้ ป็นไปตาม มทช. 101-2545:มาตรฐานงานคอนกรีต และคอนกรีตเสรมิ เหลก็ ขอ้ 1.4
2.3 วสั ดชุ นิดเม็ดหยาบ ใหเ้ ป็นไปตาม มทช. 216-2545:มาตรฐานวัสดชุ นิดเม็ด (aggregates) สาหรบั ผิว
จราจรคอนกรีต
2.4.วสั ดชุ นดิ เม็ดละเอียด ใหเ้ ป็นไปตาม มทช. 216-2545:มาตรฐานวสั ดชุ นดิ เม็ด (aggregates) สาหรบั ผิว
จราจรคอนกรีต
2.5 วสั ดเุ หลก็ เสน้ เสรมิ คอนกรตี ใหเ้ ป็นไปตาม มทช. 217-2545 : มาตรฐานเหล็กเสน้ เสรมิ คอนกรีต
2.6 คอนกรีตท่ีผสมขึน้ เองหรือคอนกรีตผสมเสร็จ (ready mixed concrete) ท่ีจะนามาใช้นั้น ตอ้ งมี
ปริมาณปนู ซีเมนตป์ อรต์ แลนดท์ ่ีใชผ้ สมคอนกรีต ไม่นอ้ ยกว่า 350 กิโลกรมั ต่อหน่ึงลกู บาศกเ์ มตร และ
เม่ืออายุครบ 28 วัน ต้องมีค่าความต้านแรงอัดของแท่งคอนกรีตมาตรฐานลูกบาศก์ 15x15x15
เซนตเิ มตร ไมน่ อ้ ยกวา่ 325 กิโลกรมั ตอ่ ตารางเซนตเิ มตร หรอื ตามท่ีกาหนดไวใ้ นแบบ

3. วิธีการก่อสร้าง
3.1 การเตรียมสถานท่ีก่อสรา้ ง
3.1.1 ใหท้ าการบดอดั ชนั้ พืน้ ทางหรือชนั้ คนั ทาง และปาดแตง่ ระดบั ตามแนวเสน้ ทางใหไ้ ดต้ ามท่ี
กาหนดไวใ้ นแบบแปลนแลว้ จะตอ้ งทาการปาดแตง่ ผิวของชนั้ พืน้ ทาง หรอื ชนั้ คนั ทางใหไ้ ดส้ ว่ นโคง้
หรือความลาดตามแบบรูปตดั ถนนท่ีกาหนด โดยการปาดออกใหก้ วา้ งกวา่ ผิวถนนท่ีจะเทคอนกรีต
ขา้ งละประมาณ 30 เซนตเิ มตร ทาการบดอดั ใหแ้ นน่ ดว้ ยรถบดลอ้ เหล็กแลว้ จงึ ติดตงั้ แบบเหล็ก
ดา้ นขา้ ง ดนิ ท่ีปาดออกใหก้ องไวต้ ามไหลถ่ นน เพ่ือเป็นการตรวจสอบใหล้ ะเอียดแนน่ อนอีกครงั้

111

สำนักวเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

ใหท้ าการตรวจสอบระดบั โดยใชก้ ลอ้ งทกุ ระยะ 2 เมตร ในแนวขวางและแนวยาวตามถนนทงั้ สอง
ทาง สว่ นไหนท่ีเป็นแอง่ ต่ากว่าระดบั จาเป็นตอ้ งเตมิ ดนิ เพ่มิ จะตอ้ งทาการบดอดั ดว้ ยรถบดลอ้ เหล็ก
ท่ีมีนา้ หนกั ไมน่ อ้ ยกวา่ 230 กิโลกรมั ตอ่ ตารางเซนตเิ มตร ในบางทอ้ งท่ีท่ีใชด้ นิ ลกู รงั เป็นวสั ดรุ อง
พืน้ ทาง อาจจะใชท้ รายทบั หนา้ บดอดั แนน่ แลว้ แตง่ ระดบั ใหไ้ ดต้ ามท่ีกลา่ วมา ก่อนจะเทคอนกรีตให้
ฉีดนา้ รดใหช้ มุ่ ตลอดเวลาไมน่ อ้ ยกวา่ 8-10 ช่วั โมง เพ่ือปอ้ งกนั การดดู ซมึ นา้ จากคอนกรีตในขณะ
เท อาจกาหนดใหใ้ ชก้ ระดาษแอสฟัลตห์ รือแผ่นพลาสติกบาง ๆ ปูทับชนั้ รองพืน้ เพ่ือตดั ปัญหา
ยงุ่ ยากในการรดนา้ ใหช้ มุ่ ในชนั้ รองพืน้ ทางก็ได้ กระดาษแอสฟัลตห์ รือแผ่นพลาสติกท่ีปจู ะตอ้ งปู
เต็มพืน้ หากจาเป็นตอ้ งตอ่ กระดาษแอสฟัลตห์ รือแผ่นพลาสตกิ ใหต้ อ่ โดยการปทู บั เหล่ียมไมน่ อ้ ย
กวา่ 10 เซนตเิ มตร และเพ่ือปอ้ งกนั กระดาษแอสฟัลตห์ รือแผน่ พลาสตกิ ฉีกขาด ในขณะเทคอนกรีต
จะตอ้ งมีกระดาษหนาหรือไมอ้ ดั กวา้ งประมาณ 60 เซนตเิ มตร วางทบั ขวางถนนนาหนา้ คอนกรีตท่ี
กาลงั เท เม่ือคอนกรตี เทไปถงึ ใหเ้ ล่ือนกระดาษหนาหรือไมอ้ ดั นาหนา้ ไปเร่อื ย ๆ จนกวา่ จะแลว้ เสรจ็
3.1.2 แบบหลอ่ และการตดิ ตงั้ แบบ
3.1.2.1 แบบหลอ่ ผิวจราจร จะตอ้ งทาดว้ ยวสั ดทุ ่ีไดร้ บั การตรวจสอบรบั รองแบบรูปรา่ งและ

ความหนา มีความสูงเม่ือตงั้ แบบเท่ากับความหนาพืน้ ผิวจราจร ความแข็งแรงเม่ือถูก
นา้ หนกั กดในระหว่างหล่อคอนกรีตจะไม่มีการทรุดตวั หรือดดั ตวั ตอ้ งมีฐานกวา้ งไม่
นอ้ ยกว่า 20 เซนติเมตร ขอบบนไม่เล็กกว่า 5 เซนติเมตร และมีความยาวไม่นอ้ ย
กว่าท่อนละ 3 เมตร ยกเวน้ ในกรณีท่ีประกอบแบบในแนวถนนโคง้ ซ่ึงมีรศั มีความ
โคง้ นอ้ ยกว่า 60 เมตร ใหใ้ ช้ แบบหลอ่ ท่ีมีความยาวท่อนละไม่เกิน 2 เมตร หรืออาจจะ
ใชแ้ บบโคง้ ก็ได้ แบบทกุ แผ่นจะตอ้ งมีรูตอกหมุด ขนาดเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลาง 2 เซนติเมตร
แบบหล่อขนาดยาว 3 เมตร จะตอ้ งมีรูตอกหมุดอย่างนอ้ ย 3 รูและขนาดสั้นกว่า 3
เมตร จะตอ้ งมีรูตอกหมุดอย่างนอ้ ย 2 รูแบบหล่อทุกแผ่นจะตอ้ งมีสลกั เกาะกันระหว่าง
ปลายชนซง่ึ แขง็ แรงและแนน่ หนา
3.1.2.2 แบบสาหรบั กนั้ ขวางแผน่ ผวิ จราจรในการเทคอนกรีต จะตอ้ งแข็งแรง แนน่ หนา ยดึ
ตดิ กบั แบบขา้ งดว้ ยน๊อตสกรู
3.1.2.3 ทงั้ แบบขา้ งและแบบขวาง จะตอ้ งเจาะรูสาหรบั เสียบเหล็กเดอื ย (dowel หรอื tie
bar) ซ่งึ มีระยะหา่ งและตาแหนง่ สงู ต่าเทา่ กบั ในแบบแปลน
3.1.2.4 เม่ือทดสอบความตรงของแบบหลอ่ ดว้ ยไมบ้ รรทดั หรือเสน้ ดา้ นในดา้ นขา้ งหรอื ขอบ
บนของแบบตอ่ ระยะความยาว 3.00 เมตร แลว้ จะมีความคลาดเคล่ือนออกนอกแนวตรง
ไดไ้ ม่เกิน 0.3 เซนติเมตร แบบท่ีมีผิวบูดเบีย้ วหรือบิดโคง้ หรือแตกรา้ ว หา้ มนามาใช้
เดด็ ขาด

112

สำนกั วเิ ครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

3.1.2.5 แบบหลอ่ จะตอ้ งตอ่ ชนกนั อยา่ งเรยี บรอ้ ยแนน่ หนา และยดึ ตรงึ ดว้ ยหมดุ เหลก็ ทกุ ๆ
รูหมดุ บนแบบทุก ๆ สลกั ตอ่ ชนตอ้ งยึดอดั กันใหแ้ น่นและมีผิวขา้ งแบบหรือสนั แบบเรียบ
เสมอกนั การตงั้ แบบจะตอ้ งไดแ้ นวและระดบั ตามท่ีกาหนด ฐานของแบบจะตอ้ งวางติด
บนผิวชนั้ รองพืน้ ทางท่ีปาดแต่งเรียบรอ้ ยแลว้ หา้ มหนนุ แบบเพ่ือแต่งใหไ้ ดร้ ะดบั เพราะ
จะเกิดการทรุดในขณะเท การวางแบบจะตอ้ งวางใหไ้ ดแ้ นวและระดบั มีระยะทางห่าง
จากจดุ ท่ีจะทาการเทยาวไมน่ อ้ ยกว่า 120 เมตรขา้ งหน่งึ และ 80 เมตรอีกดา้ นหน่งึ เพ่ือให้
เกิดการเหล่ือมกนั ทาใหก้ ารวางแบบต่อไปมีแนวระดบั ยึดคือระดบั ผิวถนน จะเรียบ
สม่าเสมอตามระดบั ท่ีตอ้ งการแบบจะตอ้ งสะอาดและชะโลมนา้ มนั ก่อนท่ีจะนามาใชท้ กุ
ครงั้ กอ่ นท่ีจะทาการเทคอนกรีตจะตอ้ งมีการตรวจสอบระดบั สนั แบบเป็นครงั้ สดุ ทา้ ยโดย
ใชบ้ รรทดั เสน้ ตรงทาบ ภายหลงั จากเทคอนกรีตแลว้ อยา่ งนอ้ ย 24 ช่วั โมง จึงจะถอดแบบ
หลอ่ ได้

3.1.2.6 ในกรณีท่ีเป็นทางโคง้ ท่ีมีรศั มีนอ้ ย ๆ หรอื บางสว่ นท่ีไมต่ อ้ งการใหเ้ ป็นเสน้ ตรง แบบ
หล่อจะตอ้ งใหม้ ีลกั ษณะโคง้ รศั มีตามตอ้ งการ มีความสงู เทา่ กบั ความหนาของผิวจราจร
และจะตอ้ งมีการยดึ ตรงึ อยา่ งแขง็ แรง

3.2 การก่อสรา้ ง
3.2.1 การหลอ่ ผิวจราจรคอนกรีต
3.2.1.1 ก่อนท่ีจะทาการเทคอนกรตี จะตอ้ งรายงานผคู้ วบคมุ งานใหท้ ราบ เพ่ือทาการตรวจ
สอบลว่ งหนา้ อยา่ งนอ้ ย 24 ช่วั โมง ในการเทคอนกรีตทกุ ครงั้ จะตอ้ งอยภู่ ายใตก้ ารควบคมุ
ของผคู้ วบคมุ งานตลอดตงั้ แตเ่ ร่ิมตน้ จนแลว้ เสร็จ และผรู้ บั จา้ งจะตอ้ งจดั หาเคร่ืองไฟฟ้า
แสงสว่างใหม้ ีความสว่างเพียงพอเพ่ือใชใ้ นกรณีท่ีจาเป็นตอ้ งแตง่ ผิวหนา้ คอนกรีตในเวลา
กลางคนื
3.2.1.2 คอนกรีตท่ีจะเทจะตอ้ งเทตดิ ตอ่ กนั โดยสม่าเสมอใหเ้ ตม็ แตล่ ะชว่ ง และมีความหนาท่ี
จะแต่งผิวไดท้ นั ทีทุกครงั้ หา้ มหยุดเทคอนกรีตในแต่ละช่วงเป็นอนั ขาด หากมีเหตขุ ดั ขอ้ ง
ใดๆอันทาให้การเทคอนกรีตในแต่ละช่วงท่ีเทหยุดชะงักนานกว่า 30 นาที จะตอ้ งรือ้
คอนกรีตท่ีเทแลว้ ในช่วงนนั้ ออกทิง้ เสียทงั้ หมด หรือรีบทารอยตอ่ เน่ืองจากการก่อสรา้ ง
(constructionjoint) ท่ีจดุ นนั้ ทนั ที แตถ่ า้ เหตขุ ดั ขอ้ งนนั้ หยดุ ชะงกั นานไมเ่ กินกว่าระยะเวลา
ท่ีกาหนดตรงแนวคอนกรีตท่ีเทแลว้ กับท่ีจะเทใหมใ่ หใ้ ชพ้ ล่วั คลกุ คอนกรีตเก่าและใหมผ่ สม
กนั
3.2.1.3 เคร่อื งแตง่ ผิวคอนกรตี จะตอ้ งมีเคร่อื งปาดระดบั ตามแนวขวาง 2 อนั เคร่อื งเกล่ียคอนกรีต

113

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

จะตอ้ งเป็นชนิดท่ีเกล่ียคอนกรีตท่ีเทไปตามแนวขวางใหเ้ ตม็ ผิวพืน้ ท่ีจะทาผิวจราจรในการ
เกล่ียและเขยา่ คอนกรีต จะตอ้ งเอาใจใสใ่ นการเกล่ียหรือเขยา่ คอนกรีตตามขา้ งแบบและ
รอยตอ่ ของผิวจราจรเป็นพิเศษ การเขยา่ คอนกรีตจะตอ้ งไมจ่ ีน้ านจนเกินไปจนกระท่งั เกิด
การแยกตวั ของหินทราย ในการปาดระดบั คอนกรีตอาจจะใชค้ นงานท่ีมีความชานาญ
พิเศษอย่างนอ้ ย 3 คน ชว่ ยปาดแตง่ ระดบั ผิวหนา้ ของคอนกรีตล่วงหนา้ ไปก่อนเคร่ืองแต่ง
ผิวคอนกรีตก็ได้ หา้ มใชค้ ราดเกล่ียคอนกรีตเป็นอนั ขาด เคร่ืองปาดระดบั จะตอ้ งมีการ
ปรบั แตง่ เคร่อื งใหป้ าดคอนกรตี ใหไ้ ดค้ วามโคง้ หรือเอียงลาดตามรูปตดั ของถนน
3.2.1.4 ในการเทคอนกรตี ชอ่ งจราจรถดั จากช่องท่ีเทเสรจ็ เรียบรอ้ ยแลว้ ลอ้ ของรถเคร่อื งแตง่ ผิว
คอนกรีตขา้ งหน่ึงจะตอ้ งว่ิงบนผิวคอนกรีตของช่องจราจรท่ีทาเสร็จไปแล้ว ล้อรถนัน้
จะตอ้ งเปล่ียนเป็นลอ้ ยางผิวเรียบไม่มีดอกยาง ไมม่ ีปีกย่ืนออกมายึดขอบถนน ผิวในของ
ลอ้ จะตอ้ งอย่ชู ิดกบั ขอบถนน ทงั้ นีเ้ พ่ือปอ้ งกนั ไม่ใหเ้ ทคอนกรีตเกินมาทบั ผิวจราจรท่ีเทไป
แลว้ ซ่ึงจะทาใหเ้ กิดการร่อนออกไดง้ ่าย ความกวา้ งของหนา้ ยางลอ้ รถไม่นอ้ ยกว่า 7
เซนตเิ มตร การเทคอนกรีตชอ่ งจราจรช่องท่ีสองนี้ ตอ้ งรอใหช้ ่องจราจรชอ่ งแรกท่ีเทไปแลว้
มีอายไุ ม่นอ้ ยกวา่ 7 วนั จงึ จะวางลอ้ เคร่ืองแตง่ ผิวคอนกรีตได้ ส่วนลอ้ อีกขา้ งหน่งึ ใหว้ าง
บนแบบหลอ่ ซ่งึ ลอ้ จะตอ้ งมีปีกยดึ รางทงั้ สองดา้ น
3.2.1.5ในระหว่างการเทคอนกรีตใหผ้ ู้ควบคุมงานสุ่มตัวอย่างคอนกรีต จานวน 1 ครงั้ หรือ 1
ตวั อย่างต่อคอนกรีตท่ีเท 50 ลกู บาศกเ์ มตร หรือทุกๆครงั้ ท่ีมีการเทคอนกรีต(ในกรณีท่ีเท
นอ้ ยกว่า 50 ลกู บาศกเ์ มตร) นาตวั อย่างคอนกรีตท่ีเก็บแตล่ ะครงั้ หรือแต่ละตวั อย่างมา
หล่อเป็นแท่งคอนกรีตมาตรฐานลูกบาศก์ 15x15x15 เซนติเมตร จานวน 3 ก้อน (1 ชุด)
เพ่ือเก็บไวท้ ดสอบหาคา่ ความตา้ นแรงอดั ตาม มทช. (ท) 105.1 – 2545 : มาตรฐานการ
ทดสอบความตา้ นแรงอดั ของแท่งคอนกรีต ผลการทดสอบเม่ือแท่งคอนกรีตมีอายคุ รบ 28
วนั ของแต่ละชุด จะตอ้ งใหค้ ่าความตา้ นแรงอดั เฉล่ียไม่นอ้ ยกว่า 325 กิโลกรมั ตอ่ ตาราง
เซนติเมตร หรือตามท่ีกาหนดไวใ้ นแบบ ทงั้ นีอ้ นญุ าตใหม้ ีแท่งคอนกรีตท่ีใหค้ ่าความตา้ น
แรงอดั ต่ากว่า 325 กิโลกรมั ตอ่ ตารางเซนตเิ มตร หรือตามท่ีกาหนดไวใ้ นแบบ ไดไ้ ม่เกิน 1
กอ้ น แตต่ อ้ งไมต่ ่ากว่ารอ้ ยละ 85 ของคา่ ท่ีกาหนด ในกรณีท่ีผลทดสอบแทง่ คอนกรีตใหค้ า่
ความตา้ นแรงอดั ต่ากว่าค่าท่ีกาหนด ผรู้ บั จา้ งมีสิทธิ์ท่ีจะขอใหท้ าการตรวจสอบค่าความ
ตา้ นแรงอดั ของคอนกรีตในช่วงงานนนั้ ๆ เพ่ิมเตมิ โดยการเจาะเก็บตวั อย่างขนาดเสน้ ผ่าน
ศูนยก์ ลางไม่น้อยกว่า 10 เซนติเมตร และมีอัตราส่วนระหว่างความสูงและเส้นผ่าน
ศูนยก์ ลางประมาณ 2:1 มาทดสอบในห้องปฏิบัติการ ตาม มทช. (ท) 105.1 – 2545 :
มาตรฐานการทดสอบความตา้ นแรงอัดของแท่งคอนกรีต การเจาะเก็บตอั ย่างทดสอบ

114

สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

จะตอ้ งดาเนินการภายใน 60 วนั นบั จากวนั ท่ีเทคอนกรีตชว่ งนนั้ ๆ โดยผรู้ บั จา้ งจะตอ้ งเป็น
ผรู้ บั ผิดชอบคา่ ใชจ้ า่ ยในการดาเนินการทงั้ สิน้ สาหรบั ตาแหนง่ ท่ีเจาะและจานวนตวั อย่าง
ท่ีตอ้ งการ ผคู้ วบคมุ งานจะเป็นผกู้ าหนด
3.2.2 การวางเหลก็ เสรมิ
3.2.2.1 การวางเหลก็ เสรมิ จะตอ้ งวางใหถ้ กู ตอ้ งตามท่ีแสดงไวใ้ นแบบแปลน
3.2.2.2 เหลก็ เสรมิ จะตอ้ งมีขนาดถกู ตอ้ ง สะอาด ปราศจากนา้ มนั หรือไขมนั เปรอะเปื้อนจน
เป็นเหตใุ หแ้ รงยึดกบั คอนกรีตสญู เสีย ไมเ่ ป็นสนิมขมุ การผกู เหลก็ ตะแกรงควรผกู เป็นแผงๆ
แลว้ นามาวางในตาแหนง่ ดว้ ยความระมดั ระวงั
3.2.2.3 เหล็กเสรมิ ตามแนวยาวและแนวขวางเสน้ รมิ สดุ ของตะแกรงจะตอ้ งหา่ งจากขอบของ
แผ่นคอนกรีตไม่เกิน 7 เซนตเิ มตร และปลายเหล็กตามแนวยาวและแนวขวาง จะตอ้ ง
ห่างจากขอบไมเ่ กิน 5 เซนตเิ มตร การตอ่ เหล็กวิธีวางทาบเหล่ือมกนั สาหรบั เหล็กเสน้ กลม
ใหว้ างทาบโดยใหเ้ หล่ือมกนั มีระยะยาวเทา่ กบั 40 เทา่ ของเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางของเหล็กเสน้
นนั้ ส่วนเหล็กขอ้ ออ้ ยใหว้ างทาบกนั มีระยะเท่ากบั 30 เทา่ ของเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางของเหล็ก
ขอ้ ออ้ ยนนั้ จากนนั้ ตอ้ งทาการผกู ตดิ กนั ใหแ้ นน่ ดว้ ยลวดผกู เหลก็
3.2.2.4 ในการวางแผงตะแกรงเหลก็ เสรมิ จะกระทาไดโ้ ดยเทคอนกรีตลงบนชนั้ รองพืน้ ทาง
ปรบั ระดบั ใหม้ ีความสงู เทา่ กบั ความสงู ของตาแหนง่ เหล็กเสรมิ ในแบบ จากนนั้ นาแผง
ตะแกรงเหลก็ เสรมิ วางลงไปแลว้ เทคอนกรตี ทบั อีกครงั้ ปรบั แตง่ ผวิ จราจรจนเสรจ็ เรียบรอ้ ย
ในการเทคอนกรีตทบั หนา้ จะตอ้ งกระทาก่อนท่ีคอนกรีตขา้ งล่างเกิดการแข็งตวั หากส่วน
หน่งึ สว่ นใดของคอนกรีตชนั้ ล่างท่ีเทไวก้ อ่ นวางแผงตะแกรงเหล็กเสรมิ มีระยะเวลานานกวา่
30 นาที โดยยงั มิไดม้ ีการเททบั คอนกรตี ชนั้ บนแลว้ จะตอ้ งรือ้ และขนคอนกรีตในแบบ
หลอ่ ชว่ งนนั้ ออกทงิ้ ใหห้ มดแลว้ นาคอนกรีตท่ีผสมใหมม่ าเท และใหป้ ฏิบตั ติ ามลาดบั วิธีการ
ท่ีกลา่ วขา้ งตน้
3.2.2.5 ในกรณีท่ีวางตะแกรงเหล็กเสรมิ ก่อนท่ีจะเทคอนกรตี จะตอ้ งผกู ยึดและยกเหล็กเสรมิ
ใหอ้ ยใู่ นตาแหนง่ ตามแบบแปลนใหแ้ นน่ จนเป็นท่ีแนใ่ จวา่ จะไมเ่ กิดการทรุดตวั ในขณะท่ีเท
คอนกรตี
3.2.2.6 เหลก็ dowels และ tie bars จะตอ้ งมีขนาดและอยใู่ นตาแหนง่ ท่ีถกู ตอ้ งตามท่ี
กาหนดไวใ้ นแบบแปลนทกุ ประการ
3.2.2.7 เหล็ก dowels และ tie bars ตอ้ งวางยึดใหแ้ นน่ โดยไมม่ ีการเคล่ือนตวั ขณะเทและ
เขยา่ คอนกรีต
3.2.2.8 เหลก็ dowels ก่อนท่ีจะนาไปวางจะตอ้ งทาดว้ ยแอสฟัลตช์ นดิ MC หรือ RC ใหท้ ่วั

115

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

ตามแบบและเหล็ก dowels ท่ีรอยตอ่ ขยายตวั (expansion joint) ปลายขาขา้ งดา้ นอสิ ระ
จะตอ้ งมีหมวกเหล็กครอบ ใหม้ ีชอ่ งวา่ งระหวา่ งปลายเหล็กกบั หมวกเหลก็ ตามท่ีกาหนดไว้
ในแบบ
3.2.2.9 เหลก็ tie bars ตอ้ งไมม่ ีนา้ มนั ตดิ อยบู่ นผิวเหล็ก และตอ้ งมีระยะหา่ งและระดบั
ถกู ตอ้ งตามท่ีกาหนดไวใ้ นแบบ ก่อนการเทคอนกรตี ตอ้ งกาจดั ฝ่นุ ออกจากผวิ เหล็กใหห้ มด
ดว้ ย
3.2.2.10 เม่ือผกู เหล็กตา่ ง ๆ เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ ก่อนดาเนินการเทคอนกรีตผรู้ บั จา้ งตอ้ งแจง้
ใหผ้ คู้ วบคมุ งานตรวจสอบความเรียบรอ้ ยของการผกู เหล็กและอ่ืน ๆ ก่อน

3.2.3 รอยตอ่
รายละเอียดของรอยต่อทั้งตามขวาง (transverse joints) และรอยต่อตามยาว (longitudinal
joints) จะตอ้ งเป็นไปตามแบบแปลน รอยตอ่ ตามขวางจะตอ้ งตงั้ ฉากกบั แนวศนู ยก์ ลางถนนและ
มีรอ่ งยาวตลอดความกวา้ ง รอยตอ่ ตามยาวจะตอ้ งขนานกบั แนวศนู ยก์ ลางถนน และความลึก
ของรอยตอ่ ทงั้ หมดตอ้ งตงั้ ฉากกบั ผิวจราจร ผิวจราจรตรงรอยต่อตอ้ งไมน่ นู ขึน้ หรือเป็นแอ่งลง
ในกรณีท่ีแบบไม่ไดก้ าหนดหรือแสดงรอยตอ่ ไวไ้ ม่ชดั เจน ใหผ้ รู้ บั จา้ งเทคอนกรีตผิวจราจรแตล่ ะ
แผงไดก้ วา้ งไมเ่ กิน 4.00 เมตร และยาวไมเ่ กิน 6.00 เมตร และรอยตอ่ ตอ้ งมีรายละเอียดเป็นไป
ตามขอ้ กาหนดตอ่ ไปนี้

3.2.3.1 รอยตอ่ เพ่ือการขยายตวั (expansion joints) ตอ้ งทารอยตอ่ เพ่ือการขยายตวั ทกุ ๆ
ระยะความยาว 30 เมตร ความกวา้ งของรอยต่อตอ้ งไม่นอ้ ยกว่า 2 เซนติเมตร และตดั
ขาดตลอดความหนาของพืน้ คอนกรีต ระหว่างรอยตอ่ จะตอ้ งมีเหล็กเดือย (dowel bar)
ซง่ึ มีขนาดเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง 19 เซนตเิ มตร ยาว 40 เซนตเิ มตร และวางหา่ งกนั ทกุ ๆ ระยะ
30 เซนตเิ มตร เหล็กเดือยจะตอ้ งมีปลายขา้ งหน่งึ ฝังยึดแน่นกับพืน้ คอนกรีต และจะตอ้ ง
จดั ใหม้ ีปลายอีกขา้ งหน่งึ สามารถขยายตวั ตามแนวนอนไดไ้ ม่นอ้ ยกว่า 3 เซนตเิ มตรก่อนเท

คอนกรตี ทกุ ครงั้ จะตอ้ งใสแ่ ผน่ วสั ดขุ ยายตวั ที่รอ่ งของรอยตอ่ เพอ่ื การขยายตวั

และแผ่นวสั ดุขยายตวั ท่ีนามาใชต้ อ้ งมีคุณสมบตั ิเทียบเท่า ASTM D-1751 โดยมีความ
กว้างเท่ากับความหนาของพืน้ คอนกรีตแล้วเจาะรูตามตาแหน่งของเหล็กเดือย เม่ือ
คอนกรีตมีอายุครบให้ขุดหรือตัดส่วนบนของแผ่นวัสดุขยายตัวนี้ออก ให้มีความลึก
ประมาณ 2.5 เซนตเิ มตรแลว้ อดุ ดว้ ยสารขยายตวั ปอ้ งกนั นา้ ซมึ

116

สำนักวเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

3.2.3.2 รอยตอ่ เพ่ือการหดตวั (contruction joints) มีวิธีทาหลายวิธี คือ
ก. วธิ ีใชเ้ ล่ือยตดั
ตาแหนง่ ท่ีจะตดั รอยตอ่ บนพืน้ ผวิ จราจรจะตอ้ งอยบู่ นเหล็กเคลือบ และตอ้ งทา
เคร่อื งหมายโดยตอ่ เสน้ บนคอนกรีต ในขณะท่ีคอนกรีตหมาดอาจจะใชเ้ หล็กแหลม
ขีดก็ได้ แตไ่ มใ่ หล้ กึ ลงไปในผิวคอนกรีตเกิน 0.2 เซนตเิ มตร เล่ือยท่ีใชต้ ดั ทารอยตอ่
จะตอ้ งเป็นชนดิ ท่ีเคล่ือนยา้ ยไดง้ ่าย การตดั จะตอ้ งตดั ใหต้ รง ใบเล่ือยท่ีตดั ตอ้ งคม
และสามารถตดั เมด็ หินท่ีใชใ้ นการผสมคอนกรีตได้ ถา้ ใบเล่ือยเป็นชนิดหลอ่ เลีย้ ง
ดว้ ยนา้ จะตอ้ งฉีดนา้ ตลอดเวลาในขณะท่ีตดั เม่ือตดั เสร็จแลว้ ใหเ้ ป่ าเศษปนู และนา้
ออกใหส้ ะอาดโดยใชเ้ คร่ืองเป่ าลม ถา้ เป็นใบเล่ือยชนิดท่ีไม่ตอ้ งใชน้ า้ หล่อเลีย้ ง เม่ือตดั
เสร็จตอ้ งทาความสะอาดดว้ ยเคร่ืองเป่ าลม รอยตดั จะตอ้ งมีขอบคมและหินไม่หลุด
ออกมา ขนาดความกวา้ งและความลึกของรอ่ งรอยตดั ใหเ้ ป็นไปตามท่ีกาหนดในแบบ
โดยท่วั ไปควรจะทาการตดั ผิวคอนกรีตไดภ้ ายหลงั จากเทคอนกรตี ประมาณ 8 ช่วั โมง
และตดั ใหเ้ สรจ็ เรยี บรอ้ ยก่อนท่ีจะเกิดการแตกรา้ ว เน่ืองจากการเปล่ียนแปลงอณุ หภมู ิ
ของพืน้ คอนกรีต ในกรณีท่ีเกิดรอยแตกรา้ วตามขอบรอยตดั ใหท้ าการปิดรอยตดั แลว้
ตดั ใหม่ ในบรเิ วณใกลเ้ คียงโดยตอ้ งอยเู่ หนือเหล็กเดอื ยดา้ นท่ีเคล่ือนตวั ได้ (free end)
และตอ้ งอยภู่ ายในเวลาดงั กลา่ วขา้ งตน้ ถา้ ในกรณีตดั ลกึ ไมไ่ ดต้ ามตอ้ งการ หรือมีเศษ
ปนู อดุ อยไู่ มส่ ามารถใชล้ มเป่ าออกได้ อนญุ าตใหต้ ดั ซา้ อีกครงั้ ในรอยเดมิ ได้ ก่อนท่ีจะทา
การเทผวิ ชอ่ งจราจรขา้ งเคียงจะตอ้ งอดุ รอยตอ่ ใหเ้ รียบรอ้ ย
ข. วธิ ีอยา่ งอ่ืน
เชน่ ใชไ้ มห้ รือวสั ดอุ ่ืนฝัง ซ่งึ จะตอ้ งไดร้ บั การรบั รองจากผคู้ วบคมุ งานเสียก่อน จงึ
จะดาเนนิ การได้ ตอ้ งทาการอดุ รอยตอ่ ใหเ้ รียบรอ้ ยก่อนท่ีจะเทคอนกรีตในชอ่ ง
จราจรขา้ งเคยี งหรือก่อนท่ีเปิดใหร้ ถผา่ น

3.2.3.3 รอยตอ่ เน่ืองจากการก่อสรา้ ง (construction joints) ในกรณีท่ีตอ้ งหยดุ เทคอนกรตี
เกินกวา่ 30 นาที จะตอ้ งทารอยตอ่ ตรงท่ีคอนกรีตหยดุ เททนั ที การทารอยตอ่ เน่ืองจากการ
ก่อสร้างนีจ้ ะต้องเป็นไปตามแบบแปลนท่ีกาหนดในการแต่งผิวจะต้องให้ระดับของ
คอนกรีตตามแนวรอยตอ่ สงู เท่ากบั ระดบั ผิวพืน้ ในบริเวณใกลเ้ คียงรอยต่อ จะตอ้ งอย่หู ่าง
จากรอยตอ่ ตามขวางท่ีใกลท้ ่ีสดุ อยไู่ มน่ อ้ ยกวา่ 3.00 เมตร ถา้ นอ้ ยกว่า 3.00 เมตร ไมต่ อ้ ง
ทารอยตอ่ เน่ืองจากการก่อสรา้ ง แตใ่ หท้ าการตดั หรือรือ้ คอนกรีตท่ีเทเกินทิง้ ออกใหห้ มด
และถือรอยตอ่ นนั้ เป็นรอยตอ่ ท่ีจะทาการก่อสรา้ งตอ่ ไป

117

สำนกั วิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

3.2.3.4 รอยตอ่ ตามยาว (longitudinal joints) การก่อสรา้ งใหเ้ ป็นไปตามแบบแปลนท่ีกาหนด ฃ
วิธีการก่อสรา้ งใหด้ าเนินการเช่นเดียวกับการก่อสรา้ งรอยต่อเพ่ือการหดตวั ส่วนการตดั
รอยต่อใหใ้ ชเ้ ล่ือยกระทาเช่นเดียวกัน การตดั รอยต่อจะตดั เม่ือใดก็ไดห้ ลงั จากคอนกรีต
แข็งตวั แลว้ แตจ่ ะตอ้ งตดั ก่อนท่ีจะเปิดการจราจรในการวางเหลก็ เดอื ย (tie bar) ระหวา่ งกลาง
ของรอยต่อจะตอ้ งมีขนาดระยะห่างและความสูงเป็นไปตามแบบแปลน และมีแคร่คอยรบั
เหล็กและยดึ บงั คบั ใหอ้ ยใู่ นตาแหนง่ ทงั้ นีเ้ พ่ือปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ หลก็ ลม้ ในขณะท่ีเทคอนกรีต

3.2.4 การแตง่ ผวิ คอนกรีต
3.2.4.1 หลงั จากเทคอนกรีตลงบนชนั้ รองพืน้ ทาง และจะตอ้ งเกล่ียคอนกรตี ดว้ ยเคร่อื งเกล่ีย
คอนกรีต คร่ืองเกล่ียคอนกรีตตอ้ งปฏิบัติงานได้ 2 อย่างในขณะเดียวกัน คือ ทาให้
คอนกรีต ยบุ ตวั แนน่ และแตง่ หนา้ คอนกรตี ใหเ้ รยี บดว้ ยเหล็กปาดคอนกรีตตวั หนา้ (front
screen)ตอ้ งตงั้ สูงกว่าตวั หลงั เล็กนอ้ ย (ประมาณ 0.5 เซนติเมตร) เพ่ือใหเ้ หล็กปาดตวั
หลงั กดใหค้ อนกรีตยบุ ตวั จากนนั้ ก็ทาการเขยา่ คอนกรีตดว้ ยเคร่ืองจกั ร เพ่ือใหเ้ นือ้ คอนกรีต
แน่นและไม่เกิดรูโพรงเคร่ืองจกั รแต่งผิวตอ้ งมี ประสิทธิภาพเหมาะสมกบั งานท่ีจะปฏิบตั ิ
เชน่ หากผิวของคอนกรีตตอ้ งลาดเพ่ือระบายนา้ เหล็กปาดคอนกรีตทงั้ ตวั หนา้ และตวั หลงั
ตอ้ งปรบั ให้ เขา้ กบั ลกั ษณะงานได้ เป็นตน้ และตอ้ งคอยตรวจควบคมุ อย่าใหค้ อนกรีตท่ีอยู่
หนา้ เหล็กปาดมากไป เพราะอาจจะทาให้คอนกรีตไหลผ่านเหล็กปาด ทาใหผ้ ิวหน้า
คอนกรีตไม่สม่าเสมอการตงั้ เหล็กปาดหากไม่ถูกตอ้ งบางครงั้ เหล็กปาดจะครูด ทาให้
ผวิ หนา้ คอนกรตี เป็นบอ่ ได้
3.2.4.2 การแตง่ ผิวดว้ ยแรงคน คือใชเ้ คร่ืองแตง่ ผวิ ท่ีใชแ้ รงคนงาน 2 คนจบั ท่ีปลายคนละขา้ งของ
คานไมห้ รือคานเหล็กสาหรบั ปาดคอนกรีต ซง่ึ ตดิ ตงั้ เคร่อื งส่นั สะเทือนมีความเรว็ ประมาณ
15,000 รอบตอ่ นาที เพ่ือเขย่าปาดคอนกรีตใหย้ บุ ตวั แน่น และคนงาน 2 คน ท่ีถือดา้ มอยู่
จะดนั คานไมห้ รือคานเหลก็ ท่ีปาดคอนกรีตเคล่ือนตวั ไปขา้ งหนา้ ชา้ ๆ โดยพยายามคมุ ให้
มีคอนกรตี อยหู่ นา้ คานไมห้ รือคานเหล็กปาดหนาไมม่ ากกวา่ 2 นวิ้ ตลอดความกวา้ งของ
ผิวคอนกรีตท่ีเท นา้ หนกั ของคานไมห้ รือคานเหล็กปาดคอนกรีตตอ้ งไม่นอ้ ยกว่า 20
กิโลกรมั ตอ่ ความยาวของคานหน่ึงเมตร และตอ้ งทาใหม้ ่นั คงแข็งแรงสามารถรบั แรงกด
จากคนงานทงั้ 2 คน ไดด้ ว้ ยการดนั ปาดเคล่ือนไปขา้ งหนา้ ตอ้ งดนั ไปพรอ้ มๆ กนั และให้
หม่นั ยกคานกระแทกคอนกรีตไปดว้ ยก็จะเพ่มิ ใหค้ อนกรีตยบุ ตวั และแนน่ มากขนึ้
3.2.4.3การปรบั แตง่ ระดบั ผิวคอนกรีต หลงั จากแตง่ ผวิ คอนกรีตดว้ ยเคร่ืองจกั รหรือแรงคน
แลว้ คอนกรีตบางส่วนอาจลอดผ่านคานไมห้ รือคานเหล็กปาดคอนกรีตมาได้ ซ่งึ จะทาให้
เกิดคล่ืนบนผิวหนา้ คอนกรีตตอ้ งทาการปรบั แตง่ ระดบั ผิวคอนกรีตอีกครงั้ โดยการใชเ้ กรียง

118

สำนกั วิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

เหล็ก (scraping straight edge) ท่ียาวประมาณ 3.00 เมตร ใบเกรียงตอ้ งแข็ง คมพอท่ีจะ
ตดั คอนกรีตส่วนท่ีสงู กว่าออกได้ การทางานใหค้ นยืนอยู่ขอบขา้ งแนวถนนแลว้ ใชเ้ กรียง
เหล็กปาดหรือดนั ตดั คอนกรีตส่วนท่ีเกินออกในแนวท่ีขนานกับศนู ยก์ ลางถนน และขยบั
เกรียงไปขา้ งหนา้ ครงั้ ละครง่ึ ความยาวของเกรียง
3.2.4.4 การแตง่ ผวิ คอนกรตี ชนั้ สดุ ทา้ ยเป็นการแตง่ ผิวหนา้ คอนกรีตใหห้ ยาบ เพ่ือใหม้ ีแรงเสียดทาน
ระหวา่ งพืน้ คอนกรีตกบั ยางลอ้ รถ ใหท้ าภายหลงั จากแตง่ ผวิ และปรบั แตง่ ระดบั ผิวคอนกรีต
เรยี บรอ้ ยแลว้ โดยใชก้ ระสอบป่ านชบุ นา้ ใหเ้ ปียกลากสมั ผสั กบั ผวิ หนา้ คอนกรีต เพ่ือใหเ้ กิด
ผิวหยาบเป็นเสน้ ตรงขวางแนวถนน เม่ือมีเศษปนู ติดกระสอบป่ านจนอาจทาใหก้ ารแตง่
ผิวคอนกรีตไมเ่ รียบรอ้ ยจะตอ้ งนากระสอบป่ านออกมาทาความสะอาดเสียกอ่ นจงึ จะ ลาก
ตอ่ ไปได้ เม่ือลากกระสอบป่ านทาผิวหนา้ คอนกรีตเสร็จแลว้ จะตอ้ งทาความสะอาดตาม
ขอบรอยตอ่ ตา่ งๆ และใชเ้ กรยี งลบมมุ รศั มีประมาณ 0.6 เซนตเิ มตร ตามขอบคอนกรีตท่ีติด
กบั แบบหลอ่ เพ่ือปอ้ งกนั ขอบคอนกรีตบ่นิ เม่ือแกะแบบ
3.2.5 การบม่ คอนกรีต เม่ือแตง่ ผิวคอนกรีตเสรจ็ แลว้ ในระหวา่ งผวิ คอนกรีตเร่มิ แข็งตวั ตอ้ งปอ้ งกนั
มิใหผ้ ิวหนา้ คอนกรีตถูกแสงแดดและกระแสลมรอ้ น โดยการทาหลงั คาคลมุ หรือวิธีการอ่ืนใดท่ี
เหมาะสมซ่ึงไม่ทาใหผ้ ิวหนา้ คอนกรีตเสียหายได้ และเม่ือพน้ ระยะเวลา 24 ช่ัวโมง หรือ
คอนกรตี แข็งตวั แลว้ จะตอ้ งดาเนนิ การบม่ คอนกรตี ดว้ ยวิธีใดวิธีหน่งึ ในขอ้ ตอ่ ไปนี้
3.2.5.1 ใชก้ ระสอบป่าน 2 ชนั้ วางทบั เหล่ือมกนั ไมน่ อ้ ยกวา่ 15 เซนตเิ มตร แลว้ รดนา้ ให้
กระสอบป่านชมุ่ อยตู่ ลอดเวลาไมน่ อ้ ยกวา่ 7 วนั
3.2.5.2 ใชน้ า้ สะอาดบม่ โดยก่อขอบใหม้ ีนา้ ขงั อยเู่ หนือผิวหนา้ คอนกรีตไมน่ อ้ ยกว่า 5 เซนติ
เมตร ตลอดเวลาตอ่ เน่ืองกนั ไมน่ อ้ ยกวา่ 7 วนั
3.2.5.3 ใชท้ รายสะอาดคลมุ ใหท้ ่วั ผิวหนา้ คอนกรีตหนาไมน่ อ้ ยกวา่ 5 เซนตเิ มตร แลว้ ใชน้ า้
สะอาดรดทรายใหช้ มุ่ อมนา้ อยตู่ ลอดเวลาตอ่ เน่ืองกนั ไมน่ อ้ ยกวา่ 7 วนั
3.2.5.4 ใชน้ า้ ยาบม่ คอนกรีต (curing compound) ท่ีมีคณุ สมบตั เิ ทียบเทา่ มาตรฐาน
ASTM C 309-74 หรือ AASHTO 148-78 (liquid membrane forming compounds
forcuring concrete type 2 white pigmented) พ่นโดยใชเ้ คร่ืองพ่นบนผิวคอนกรีตใน
ขณะท่ีนา้ บนผิวคอนกรีตท่ีเทระเหยออกหมด เคร่ืองพน่ นีม้ ีลกั ษณะเป็นคานวางบนแบบ
หลอ่ ขา้ งถนนทงั้ สอง มีหวั พ่นตามแนวคานตลอดเตม็ หนา้ กวา้ งของถนน มีอตั ราการพ่น
เคลือบผิวหนา้ คอนกรีตสม่าเสมอและสามารถควบคมุ อตั ราของสารเคมีท่ีพน่ ได้ สารเคมี
จะเก็บไวใ้ นถงั บนเคร่ืองพน่ ซ่งึ จะตอ้ งมีเคร่ืองกวนอยตู่ ลอดเวลา ท่ีหวั พน่ จะตอ้ งมีท่ีบงั ลม
ดว้ ย การพน่ ใหพ้ น่ ทบั ผิวคอนกรีต 2 ชนั้ โดยมีอตั ราการพ่นแตล่ ะชนั้ ตามคาแนะนาของ

119

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

ผูผ้ ลิต ถ้าไม่ระบุไวใ้ หใ้ ชป้ ระมาณ 4.8 ตารางเมตรต่อลิตร หรือ 200 ตารางฟุตต่อยู
เอสแกลลอน การพ่นดว้ ยเคร่ืองขนาดเล็กอนญุ าตใหใ้ ชเ้ ฉพาะตามขอบถนนและตรงทาง
แยกเทา่ นนั้ ถา้ สว่ นไหนพน่ บางกวา่ ปกตใิ หพ้ น่ ทบั อีกชนั้ ภายในเวลา 30 นาที ภายใน 3
ช่วั โมง หลงั จากการพ่นเสรจ็ แลว้ ถา้ เกิดมีฝนตกหนกั หรือภายในเวลา 10 วนั หากผิวหนา้
ของนา้ ยาบม่ คอนกรีตถูกทาลายลงเน่ืองจากเหตใุ ดก็ตาม ผรู้ บั จา้ งจะตอ้ งทาการฉีดพ่น
นา้ ยาบม่ คอนกรีตทบั ชา้ ใหมใ่ นบรเิ วณท่ีถกู ทาลายไปนนั้
3.2.5.5 การบม่ ดว้ ยขา้ งแผน่ คอนกรีตใหเ้ ร่มิ ทนั ทีท่ีถอดแบบหล่อคอนกรีตออก ผรู้ บั จา้ งจะตอ้ ง
ทาการบ่มคอนกรีตบริเวณข้างแผ่นท่ีถอดแบบออกไปแล้วและตอ้ งทาไหล่ถนนช่วั คราว
ขนึ้ เพ่ือปอ้ งกนั วสั ดหุ รือทราย ซ่งึ รองอย่ใู ตพ้ ืน้ คอนกรีตหลดุ ออกมาระหวา่ งท่ีบม่ คอนกรีต
อย่หู า้ มคนหรือยวดยานใชถ้ นนเวน้ แต่จาเป็น เช่น จะตอ้ งตดั รอยตอ่ หรือทดสอบความ
คลาดเคล่ือนของระดบั ผิวถนน
3.2.6 การทดสอบความคลาดเคล่ือนระดบั ผวิ จราจร ทดสอบโดยใชไ้ มบ้ รรทดั ยาว 3 เมตร ตรงปลาย
ทงั้ สองขา้ งติดกล่องเหล็กสูง 0.3 เซนติเมตร ใหท้ าการทดสอบระหว่างท่ีบม่ คอนกรีตอย่ใู หใ้ ชไ้ ม้
บรรทดั ท่ีมีกล่องหนนุ ทงั้ สองปลายนีว้ างทาบตามยาวของผิวคอนกรีตท่ีเท เม่ือผิวตรงไหนสงู
โดนไมบ้ รรทดั ก็ใหใ้ ชเ้ คร่ืองขดั ผิวคอนกรีตขดั ใหต้ ่าลงการขดั จะตอ้ งระมดั ระวงั ไม่ใหเ้ ม็ดหินหลุด
ออกมา ในส่วนท่ีสงู จนไมส่ ามารถขดั ไดใ้ หท้ บุ พืน้ คอนกรีตในช่วงนนั้ ออกหมดทงั้ แผน่ แลว้ ทาการ
หลอ่ ใหม่
3.2.7 การปอ้ งกนั ความเสียหายของพืน้ จราจรแบบคอนกรีต
3.2.7.1.ตอ้ งจดั หาแผงกนั้ การจราจร ป้ายเคร่ืองหมายการจราจรตลอดจนยามเฝ้า เพ่ือปอ้ งกนั
ไม่ใหย้ วดยานว่ิงขึน้ มาบนถนนคอนกรีตท่ีสรา้ งใหม่ ในขณะเวลาท่ีบม่ อย่จู ะตอ้ งจดั ทางช่วั คราว
หรือพืน้ ถนนท่ีสรา้ งเสร็จเรียบรอ้ ยแลว้ บางส่วนใหย้ วดยานสามารถว่ิงผา่ นไปมาได้ ในสว่ นท่ีเป็น
ทางแยกเวลาจะหล่อพื้น จะต้องจัดทาสะพานช่ัวคราวข้ามสูงจากระดับพืน้ ไม่น้อยกว่า 8
เซนตเิ มตร เพ่ือใหย้ วดยานว่ิงขา้ มได้ เม่ือเอาสะพานออกจะตอ้ งปกคลมุ ผิวคอนกรีตดว้ ยดินหนา
15 เซนตเิ มตร เพ่ือกนั ความกดั กรอ่ นผิวเน่ืองจากยวดยานผา่ น
3.2.7.2 ท่ีหนว่ ยงานกอ่ สรา้ งตอ้ งจดั เตรียมกระสอบป่านคลมุ พืน้ ท่ีไมน่ อ้ ยกวา่ 150 ตาราง
เมตร ไวเ้ พ่ือใชใ้ นโอกาสท่ีฝนตกขณะเทคอนกรีตจะไดค้ ลมุ ผิวท่ีเทไปแลว้
3.2.7.3 หา้ มยวดยานว่งิ บนผิวจราจรท่ีสรา้ งเสรจ็ จนกวา่ การทดสอบตวั อยา่ งคอนกรีตแสดง
วา่ คอนกรีตสามารถรบั แรงได้ โดยมีคา่ modulus of rupture ไมน่ อ้ ยกวา่ 35 กิโลกรมั ตอ่
ตารางเซนตเิ มตร

120

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

3.2.8 การอดุ รอยตอ่
3.2.8.1 รอยตอ่ ทกุ ชนิดตอ้ งอดุ ภายหลงั จากระยะเวลาการบม่ คอนกรีตสิน้ สดุ ลงแลว้ และ
ก่อนท่ีจะยอมใหย้ วดยานว่งิ ผา่ น
3.2.8.2 กอ่ นทาการอดุ รอยตอ่ ตอ้ งตกแตง่ รอยตอ่ ใหเ้ รียบรอ้ ยถกู ตอ้ งตามแบบ ทาความสะอาด
ชอ่ งวา่ งของรอยตอ่ จนสะอาดปราศจากฝ่นุ เศษปนู ซีเมนตห์ รอื คอนกรีต ปล่อยไวจ้ น แหง้
ปราศจากความชืน้ และนา้ แลว้ แจง้ ใหผ้ คู้ วบคมุ งานตรวจสอบก่อนจงึ จะดาเนนิ การอดุ ได้
3.2.8.3 วสั ดทุ ่ีใชอ้ ดุ รอยตอ่ ใหใ้ ชว้ สั ดอุ ดุ รอยตอ่ ท่ีมีคณุ สมบตั เิ ทียบเทา่ ASTM.D-190 หรอื
ASTM.D-185 หรือวสั ดยุ างแอสฟัลต์ หรือวสั ดสุ าเรจ็ อ่ืนใดท่ีสามารถปอ้ งกนั นา้ ซมึ ลงไป
ในรอยตอ่ ได้
3.2.8.4 วสั ดทุ ่ีอดุ รอยตอ่ ตอ้ งไมม่ ากจนไหลเยมิ้ ขนึ้ มาบนพืน้ ถนน หรือนอ้ ยเกินไปจนไม่
สามารถปอ้ งกนั นา้ ซมึ ได้

4. รายละเอียดเพมิ่ เตมิ
4.1 คอนกรตี ท่ีใชท้ าผิวจราจรจะผสมท่ีสถานท่ีก่อสรา้ ง หรือใชค้ อนกรตี ผสมเสรจ็ (ready mixed
concrete) ก็ได้ วสั ดตุ า่ ง ๆ ท่ีใชผ้ สมคอนกรีตใหใ้ ชว้ ิธีช่งั นา้ หนกั แลว้ นามาผสมตามอตั ราสว่ นท่ีกาหนด
และตอ้ งจดั หาผทู้ ่ีมีความชานาญในการตงั้ แบบเทคอนกรีตและแตง่ ผิวใหเ้ พียงพอ
4.2 ใหผ้ สมคอนกรีตดว้ ยเคร่ืองผสมซง่ึ หมนุ ไมเ่ กิน 30 รอบตอ่ นาที และใหใ้ ชเ้ วลาผสมหลงั จากใสว่ สั ดุ
ทกุ อยา่ งลงในเคร่ืองแลว้ ไมน่ อ้ ยกว่า 1 นาที เวลาเทคอนกรีตออกจากเคร่อื งใหเ้ ทดว้ ยความระมดั ระวงั
และเทคอนกรีตออกใหห้ มดแลว้ จงึ เรม่ิ ผสมใหมไ่ ด้
4.3 การขนสง่ คอนกรตี จากแหลง่ ผลิตกลาง (central mixing plant) ใหข้ นสง่ โดยใชร้ ถบรรทกุ คอนกรีต
เพ่ือปอ้ งกนั ไมใ่ หค้ อนกรีตแข็งตวั เกาะกนั คอนกรีตบนรถบรรทกุ ตอ้ งหมนุ ตลอดเวลาโดยมีความเรว็
ระหวา่ ง 2-6 รอบตอ่ นาที
4.4 การผสมคอนกรีตโดยใช้ truck mixing ใหผ้ สมวสั ดตุ ามขอ้ กาหนดโดยผสมแหง้ แลว้ นามาเตมิ นา้
ณ สถานท่ีท่ีจะเทคอนกรีต ในระหวา่ งเร่มิ ผสมจะตอ้ งหมนุ โมด่ ว้ ยอตั ราความเรว็ สม่าเสมอไมน่ อ้ ยกวา่ 50
รอบตอ่ นาที เพ่ือคลกุ เคลา้ วสั ดใุ หเ้ ขา้ กนั ก่อน เม่ือคอนกรีตคลกุ เขา้ กนั ดแี ลว้ ใหล้ ดความเรว็ ลงไดด้ ว้ ย
ความเรว็ ระหวา่ ง 4-15 รอบตอ่ นาที
4.5 ความกวา้ งของผวิ จราจรท่ีทาการเทคอนกรีตใหเ้ ทไดก้ วา้ งเพียงหน่งึ ชอ่ งจราจร และไมค่ วรกว้างเกิน
8 เมตร
4.6 ถา้ มีฝนตกในระหวา่ งเทคอนกรีตจะตอ้ งปอ้ งกนั ไมใ่ หน้ า้ ฝนไหลลงผสมกบั คอนกรีตท่ีกาลงั เท
4.7 ตอ้ งทาการทดสอบความขน้ เหลวของคอนกรตี (slump test) ทกุ วนั ท่ีมีการเทคอนกรีตอยา่ งนอ้ ย

121

สำนักวเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
4 ครงั้ ตอ่ วนั ถา้ หากการเทคอนกรีตไมค่ รบวนั หรือเทไมต่ ดิ ตอ่ กนั โดยตลอดใหท้ าการทดสอบทกุ ครงั้ ท่ีมีการ
เทคอนกรีต
4.8 ตอ้ งทาการเก็บตวั อยา่ งคอนกรตี ท่ีเทเพ่ือนาไปทดสอบความแข็งแรง การเก็บตวั อยา่ งคอนกรตี ตอ้ ง
เก็บจากคอนกรีตท่ีเทลงในแบบหล่อคอนกรตี แลว้ และแจง้ ตาแหนง่ ไวใ้ หล้ ะเอียด
4.9 ตอ้ งไมเ่ ปิดการจราจร จนกวา่ กาลงั ของคอนกรีตมีคา่ ไดต้ ามกาหนด ในขอ้ 3.2.7.3 และเม่ือไดท้ า
การถมไหลถ่ นนเรยี บรอ้ ยและบดอดั จนแนน่ ตามขอ้ กาหนดในแบบแปลนแลว้

122

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

มทช.232-2545
มาตรฐานการฉาบผวิ ทางแบบสเลอรี่ซลี (slurry seal)

1. ขอบข่าย
มาตรฐานการฉาบผิวทางแบบสเลอร่ซี ีล (slurry seal) หมายถึง การฉาบผิวทางเดมิ หรอื ทาผวิ ทาง

บนพืน้ ทางท่ีไดท้ าการไพรมโคท (prime coat) ไวแ้ ลว้ ดว้ ยสว่ นผสมของมวลรวมท่ีมีขนาดคละกนั ดี (well graded)
กบั แอสฟัลตอ์ มิ ลั ชนั และนา้ รวมทงั้ วสั ดชุ นิดละเอียด (mineral filler) เชน่ ปนู ซีเมนตห์ รอื ปนู ขาว และอาจใชส้ าร
ผสมเพ่มิ เพ่ือใหแ้ อสฟัลตอ์ มิ ลั ชนั แตกตวั เรว็ ขนึ้ หรือชา้ ลง การทาสเลอร่ซี ีล มีจดุ ประสงคเ์ พ่ือบารุงรกั ษาผิวทางเดมิ
หรอื เป็นผิวทางไหลท่ างไดด้ ว้ ย

2. วัสดุ

วสั ดทุ ่ีใชท้ าสเลอร่ซี ีล ประกอบดว้ ย
2.1 วัสดุแอสฟั ลต์อิมัลชัน ซ่ึงได้แก่ CSS-1 หรือ CSS-1h ต้องมีคุณสมบัติตาม มาตรฐาน
ผลิตภณั ฑอ์ ุตสาหกรรม มอก. 371-2530 : แคตอิออนิกแอสฟัลตอ์ ิมลั ชนั สาหรบั ถนน และไดร้ บั การ
รบั รองมาตรฐานผลิตภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรมระบบคณุ ภาพ มอก. ISO-9002 หรือ แอสฟัลตอ์ ิมลั ชนั ชนิดอ่ืน
ซง่ึ กรมทางหลวงชนบทเหน็ ชอบแลว้
2.2 วสั ดสุ ารผสมเพ่มิ (additive) เพ่ือทาใหแ้ อสฟัลตอ์ ิมลั ชนั แตกตวั เรว็ ขนึ้ หรือชา้ ลง หรอื ใชเ้ พ่ือใหแ้ อสฟัลต์
เคลือบมวลรวมดยี ่งิ ขนึ้ ปรมิ าณท่ีจะใชต้ อ้ งพอเหมาะ เพ่ือสามารถเปิดการจราจรไดภ้ ายในเวลาท่ี
ตอ้ งการ วสั ดสุ ารผสมเพ่มิ นีจ้ ะใชห้ รือไมใ่ ชก้ ็ได้ แลว้ แตก่ ารออกแบบ ซ่งึ จะตอ้ งไดร้ บั การเห็นชอบจาก
กรมทางหลวงชนบท
2.3 นา้ ตอ้ งใสสะอาด และปราศจากส่งิ เจือปน ท่ีจะทาใหเ้ กิดผลเสียตอ่ วสั ดผุ สมสเลอร่ซี ีล
2.4 มวลรวม (aggregate) ตอ้ งเป็นหินโม่ ถา้ จาเป็นอาจใชห้ ินโม่ผสมทราย แตจ่ ะใชท้ รายไดไ้ ม่เกินรอ้ ยละ
50 ของนา้ หนกั มวลรวมทงั้ หมด และทรายนนั้ จะตอ้ งมีค่าดดู ซึมนา้ ไม่เกินรอ้ ยละ 1.25 มวลรวมนี้ ตอ้ ง
แข็ง คงทน สะอาด ปราศจากดินหรือวสั ดไุ ม่พึงประสงคอ์ ย่างอ่ืน ตอ้ งมีคุณสมบตั ิตามขอ้ กาหนด
ตอ่ ไปนี้
2.4.1 หนิ โมห่ รือทรายจะตอ้ งมีคา่ สมมลู ยข์ องทราย (sand equivalent) ไมน่ อ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 50
2.4.2 หนิ โม่ ตอ้ งมีคา่ จานวนสว่ นรอ้ ยละของความสกึ หรอ (percentage of wear) ไมม่ ากกวา่ รอ้ ยละ
35 ตาม มทช.(ท) 501.9-2545 วธิ ีการทดสอบหาความสึกหรอของวสั ดชุ นิดเม็ดหยาบ (grade D)
2.4.3 มวลรวมท่ีจะนาไปผสมทาสเลอร่ซี ีล ตอ้ งใหก้ รมทางหลวงชนบทตรวจคณุ ภาพและอนมุ ตั ใิ หใ้ ชไ้ ด้
ก่อน

123

สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

2.4.4 มวลรวมตอ้ งมีขนาดคละตามตารางท่ี 1
2.5 วสั ดชุ นิดละเอียด (mineral filler) เป็นสว่ นหนง่ึ ของสว่ นผสมมวลรวม ตอ้ งใชใ้ นปรมิ าณนอ้ ยท่ีสดุ

เทา่ ท่ีจาเป็น และจะใชเ้ ม่ือตอ้ งการปรบั ปรุงความขน้ เหลว (workability) ของสเลอร่ซี ีล หรอื ขนาดคละ
(gradation) ของมวลรวม เชน่ ปนู ซีเมนต์ ปนู ขาว

3. ขนาดคละของมวลรวม ปริมาณแอสฟัลตท์ ีใ่ ช้ และอัตราการฉาบ
ขนาดคละของมวลรวม ปรมิ าณแอสฟัลตท์ ่ีใช้ และอตั ราการฉาบตอ้ งเป็นไปตามตารางท่ี 1

ตารางท่ี 1
ขนาดคละของมวลรวม ปรมิ าณแอสฟัลตท์ ใ่ี ช้ และอัตราการฉาบ

ชนดิ ของสเลอรซี่ ีล 1 2 3 4

ขนาดของตะแกรงรอ่ น ; มม. ผา่ นตะแกรงรอ่ น ; รอ้ ยละ

12.5 (1/2 นวิ้ ) 100

9.5 (3/8 นวิ้ ) 100 100 85-100

4.75 (เบอร์ 4) 100 90-100 70-90 60-87

2.36 (เบอร์ 8) 90-100 65-90 45-70 40-60

1.18 (เบอร์ 16) 65-90 45-70 28-50 28-45

0.600 (เบอร์ 30) 40-60 30-50 19-34 19-34

0.300 (เบอร์ 50) 25-42 18-30 12-25 14-25

0.150 (เบอร์ 100) 15-30 10-21 7-18 8-17

0.075 (เบอร์ 200) 10-20 5-15 5-15 4-8

ปรมิ าณคงคา้ ง (Residue) ของ 10.0-16.0 7.5-13.5 6.5-12.0 5.5-7.5

แอสฟัลต์ โดยนา้ หนกั ของหนิ แหง้

อตั ราการป/ู ฉาบเป็นนา้ หนกั ของ 3.0-5.5 5.5-10.0 10.0-16.0 16.0-25.0

หนิ แหง้ (กก./ตร.ม.)

4. การกองหินหรือทราย

การกองหนิ หรือทราย ใหก้ องไวอ้ ยา่ งเป็นระเบยี บ ตอ้ งไมเ่ ป็นบรเิ วณท่ีมีนา้ ขงั ถา้ หากมีการผสมตอ้ งทาการ

ผสมกนั ใหไ้ ดส้ ว่ นคละอยา่ งถกู ตอ้ ง และสม่าเสมอก่อนนาไปใชผ้ สมเป็นสเลอร่ซี ีล

124

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

5. ชนิดของสเลอร่ีซีล
5.1 มาตรฐานนีค้ รอบคลมุ สเลอร่ซี ีล 4 ชนิด ดงั แสดงไวใ้ นตารางท่ี 1 ซ่งึ แตกตา่ งกนั ตามวตั ถุ
ประสงคข์ องการใชง้ าน ขนาดของมวลรวม และอตั ราการใชว้ สั ดุ การจะกาหนดใหฉ้ าบผวิ แบบสเลอร่ซี ีล
ชนดิ ใดขนึ้ อยกู่ บั สภาพผวิ ทางเดมิ ส่งิ แวดลอ้ มและวตั ถปุ ระสงคข์ องการใชง้ าน ซง่ึ จะระบใุ นแบบก่อสรา้ ง
5.2 การฉาบผิวแบบสเลอร่ซี ีล จะตอ้ งเลือกชนิดท่ีมีคณุ สมบตั เิ หมาะสมกบั ความตอ้ งการซ่งึ แบง่ ได้ ดงั นี้
5.2.1 ชนดิ ท่ี 1 เป็นสเลอร่ซี ีล ชนิดท่ีมีความสามารถในการแทรกซมึ รอยแตกไดด้ ี มีความยึดหย่นุ สงู
เหมาะท่ีจะใชง้ าน ดงั ตอ่ ไปนี้
(1) ยารอยแตก
(2) ปเู ป็นผวิ ทางช่วั คราวเพ่ือรอการกอ่ สรา้ งชนั้ อ่ืนตอ่ ไป
(3) ปเู ป็นผวิ ทางท่ีรบั ปรมิ าณการจราจรนอ้ ย ความเรว็ ต่า และพืน้ ทางระบายนา้ ไดด้ ี
5.2.2 ชนิดท่ี 2 เป็นสเลอร่ซี ีลชนดิ ท่ีมีสว่ นละเอียดมากพอท่ีจะซมึ ลงไปในรอยแตกได้ เหมาะท่ี
จะใชง้ านดงั ตอ่ ไปนี้
(1) ฉาบผวิ ทางเดมิ ท่ีขรุขระปานกลางเชน่ ผวิ เซอรเ์ ฟสทรตี เมนต์ หรือเพนนเิ ตรช่นั แมคคาดมั
(2) ปเู ป็นผิวทาง เพ่ือฉาบปอ้ งกนั นา้ ซมึ ลงในพืน้ ทาง
(3) ใชแ้ ทนผิวทางชนิด เซอรเ์ ฟสทรีตเมนต์ ชนั้ เดียว (sangle surface treatment)
5.2.3 ชนดิ ท่ี 3 เป็นสเลอร่ซี ีล ชนดิ ท่ีมีผวิ คอ่ นขา้ งหยาบ สามารถอดุ รอยท่ีหินผิวเดมิ หลดุ ไดด้ ี
ปรบั ระดบั ผิวเดมิ ไดเ้ ล็กนอ้ ย เหมาะสาหรบั ใชง้ านดงั ตอ่ ไปนี้
(1) ฉาบผิวเดมิ ท่ีมีความขรุขระมาก
(2) ฉาบเป็นขนั้ แรก หรอื ชนั้ ท่ีสอง ในการฉาบผวิ แบบสเลอร่ซี ีล หลายชนั้
(3) ใชฉ้ าบผวิ เพ่ือแก้ ความลาดชนั ดา้ นตดั ขวาง (crown slope) ท่ีผดิ ไปเล็กนอ้ ย
(4) ฉาบผิวทางท่ีผวิ ทางเดมิ หลดุ (raveling)
5.2.4 ชนิดท่ี 4 เป็นสเลอร่ซี ีล ชนดิ ท่ีมีผวิ หนา้ หยาบ สามารถอดุ รอยท่ีหินผิวเดมิ หลดุ ไดด้ ี ปรบั ระดบั
ผิวเดมิ ไดด้ ี เหมาะสาหรบั ใชง้ านดงั ตอ่ ไปนี้
(1) ฉาบบนผวิ ทางเดมิ ท่ีเป็นแอสฟัลตต์ ดิ คอนกรีต
(2) ใชแ้ ทนผิวแบบ เซอรเ์ ฟสทรีตเมนต์ สองชนั้ (double surface treatment)

6. การออกแบบส่วนผสมสเลอรซี่ ีล
6.1 ก่อนจะเร่มิ งานใหผ้ รู้ บั จา้ งเสนอรายการผลการออกแบบสว่ นผสมของผรู้ บั จา้ ง และวสั ดทุ ่ีใชจ้ ะตอ้ งเป็น
วสั ดชุ นิดและแหล่งเดียวกนั กบั ท่ีเสนอขอใชง้ าน ซ่ึงจะตอ้ งมอบใหผ้ คู้ วบคมุ งาน นาส่งใหก้ รมทางหลวง
ชนบท ตรวจ การออกแบบสว่ นผสมนีผ้ รู้ บั จา้ งจะตอ้ งใชว้ ิธีของ the asphalt institute manual series No.

125

สำนักวิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

19 โดยวิธีหาค่า C.K.E. (centrifuge kerosene equivalent test) และตามมาตรฐาน ASTM
Designation : D 3910 -80 a. Volume “Standard Practices for Design, Testing, and construction
of Slurry Seal” ฉบบั ปัจจบุ นั หรอื วธิ ีอ่ืนใดท่ีไดร้ บั การเหน็ ชอบจากกรมทางหลวงชนบท
6.2 คณุ ภาพของวสั ดทุ ่ีจะใชผ้ สม จะตอ้ งผา่ นการทดสอบและรบั รองคณุ ภาพใหใ้ ชไ้ ด้ ในการออกแบบ
สว่ นผสมนนั้ จะตอ้ งใหเ้ หมาะสมกบั สภาพและปรมิ าณการจราจร สภาวะอากาศ การบม่ และการใชง้ าน
6.3 คณุ สมบตั ขิ องสเลอร่ซี ีล ตอ้ งมีคณุ สมบตั ดิ งั ตอ่ ไปนี้
6.3.1 ตอ้ งไมข่ น้ หรอื เหลวมากเกินไป มีคา่ การไหล (flow) อยรู่ ะหวา่ ง 20-30 มม.
6.3.2 ตอ้ งมีระยะเร่มิ กอ่ ตวั (initial set) ไมเ่ กิน 12 ช่วั โมง
6.3.3 เวลาในการใชบ้ ม่ (cure time) ไมเ่ กิน 24 ช่วั โมง
6.3.4 คา่ เวต็ แทรค อะเบรช่นั ลอส (wet track abrasion loss) ไมม่ ากกวา่ 800 กรมั ตอ่ ตร.ม.
6.3.5 เวลาท่ีเปิดใหก้ ารจราจรผา่ นได้ (traffic time) กาหนดใหเ้ หมาะสมกบั สภาพความจาเป็นในสนาม

(รายละเอียดเพ่มิ เตมิ ขอ้ 10)
6.4 ระหวา่ งทาการฉาบหรือปู สเลอร่ซี ีล ถา้ ผคู้ วบคมุ งานเหน็ วา่ สว่ นผสมสเลอร่ีซีล ท่ีออกแบบไวไ้ ม่

เหมาะสมกบั สภาพความเป็นจรงิ ในสนาม ใหอ้ อกแบบสว่ นผสมใหมโ่ ดยดาเนินการตามขอ้ 6.1, 6.2
และ 6.3

7. เคร่ืองจักรทใี่ ช้ในการก่อสร้าง
เคร่ืองมือและเคร่ืองจกั รต่างๆ ท่ีจะนามาใชจ้ ะตอ้ งไดร้ บั การดแู ล และรกั ษาใหอ้ ยู่ในสภาพท่ีใชก้ ารไดด้ ี

ตลอดระยะเวลาของการดาเนินงาน หากอปุ กรณ์ เคร่ืองมือ หรือเคร่ืองจกั รใดชารุด ผรู้ บั จา้ งจะตอ้ งแกไ้ ขก่อน
นาไปใชง้ าน

7.1 เคร่ืองจกั รผสมสเลอร่ซี ีล (slurry seal mechine) ตอ้ งเป็นเคร่ืองท่ีขบั เคล่ือนดว้ ยตนเอง ตดิ ตงั้ บนรถบรรทกุ
ประกอบดว้ ยสว่ นประกอบตา่ ง ๆ ดงั นี้
7.1.1 ถงั ใสม่ วลรวม (aggregate bin)
7.1.2 ถงั ใสว่ สั ดผุ สมแทรก (filler bin)
7.1.3 ถงั ใสน่ า้ และยางแอสฟัลตอ์ มิ ลั ชนั
7.1.4 ถงั ใสส่ ารผสมเพ่มิ
7.1.5 สายพานลาเลียงมวลรวมและสารผสมแทรกไปยงั เคร่อื งผสม
7.1.6 เคร่ืองป๊ัมแอสฟัลตอ์ มิ ลั ชนั และนา้
7.1.7 เคร่ืองผสม
7.1.8 เคร่ืองฉาบ

126

สำนักวเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

สาหรบั เคร่อื งป๊ัมแอสฟัลต์ และเคร่อื งลาเลียงมวลรวมจะตอ้ งมีมาตรแสดงปรมิ าณและสามารถอา่ นมาตร
ไดต้ ลอดเวลาในการทาสเลอร่ซี ีล
7.2 เคร่ืองผสม เคร่ืองผสมจะตอ้ งเป็นเคร่ืองชนิดท่ีผลิตส่วนผสมของสเลอร่ีซีลไดอ้ ย่างตอ่ เน่ืองไม่ขาดตอน
และตอ้ งสามารถลาเลียงหนิ นา้ และแอสฟัลตอ์ ิมลั ชนั ลงสถู่ งั ผสมตามอตั ราสว่ นท่ีกาหนดไวอ้ ย่างถกู ตอ้ ง
และสามารถถ่ายวัสดุผสมท่ีเข้ากันอย่างดีแลว้ ลงสู่เคร่ืองฉาบไดอ้ ย่างต่อเน่ืองไม่ขาดตอน ทันทีท่ีจะ
ลาเลียงหินลงสู่เคร่ืองผสม ตอ้ งทาใหห้ ินเปียกเสียก่อน เคร่ืองผสมจะตอ้ งมีเคร่ืองลาเลียงวสั ดุชนิด
ละเอียด และอปุ กรณว์ ดั ปริมาณท่ีสามารถลาเลียงวสั ดชุ นิดละเอียดในอตั ราส่วนท่ีกาหนดไดอ้ ย่าง
ถกู ตอ้ งลงในถงั ผสมในตาแหน่งเดียวกบั หินท่ีกาลงั ถกู ลาเลียงลงสถู่ งั ผสม เคร่ืองผสมจะตอ้ งติดตงั้ เคร่ือง
ฉีดนา้ ใหเ้ ป็นฝอยหรอื ละออง อยนู่ าหนา้ เคร่อื งฉาบ ท่ีสามารถฉีดนา้ ทาใหผ้ ิวทางเปียกไดอ้ ยา่ งท่วั ถงึ
7.3 เคร่ืองฉาบ (spreader) เคร่ืองฉาบตดิ ตงั้ อย่ดู า้ นทา้ ยของเคร่ืองผสม จะตอ้ งสามารถปรบั อตั ราการปไู ด้
ตามท่ีกาหนดในมาตรฐาน ปรบั ความกวา้ งไดไ้ มน่ อ้ ยกวา่ 1 ชอ่ งจราจร ฉาบไดเ้ รียบและสม่าเสมอ
7.4 เคร่ืองกวาดฝ่นุ ตอ้ งเป็นแบบไมก้ วาดหมนุ โดยเคร่ืองกล อาจใชร้ ว่ มกบั เคร่ืองเป่าฝ่นุ และไมก้ วาดมือซง่ึ
สามารถทาความสะอาดผิวทาง และรอยแตกได้
7.5 อปุ กรณอ์ ่ืน ๆ ท่ีจาเป็นในการดาเนินงาน เชน่ เคร่อื งฉาบดว้ ยมือ พล่วั
7.6 เคร่ืองจกั รท่ีใชบ้ ดทบั ตอ้ งเป็นรถบดลอ้ ยางหนกั ประมาณ 5 ตนั ยางเรยี บ ความดันลมยางประมาณ 345
กิโลปาสกาล (3.5 กก. ตอ่ ตารางเซ็นตเิ มตร หรือ 50 ปอนดต์ อ่ ตารางนวิ้ )

8. การเตรยี มการก่อนการก่อสร้าง
ก่อนทาการก่อสรา้ งใหเ้ จา้ หนา้ ท่ี ท่ีรบั ผิดชอบดาเนินการ ดงั นี้
8.1 พจิ ารณาตรวจสอบพืน้ ท่ีท่ีจะก่อสรา้ ง และแกไ้ ขความบกพรอ่ งตา่ ง ๆ กอ่ นฉาบผิว เชน่ ถา้ ผวิ เดมิ มีความ
เสียหายไมแ่ ขง็ แรงพอเป็นแหง่ ๆ ใหท้ าดีพ แพตช่งิ (deep patchig) ถา้ ระดบั ไมด่ ีใหท้ า สกิน แพตช่ิง (
skin patching )
8.2 ประชาสมั พนั ธใ์ หผ้ ทู้ ่ีใชท้ างชอ่ งท่ีจะทาการฉาบผวิ ทราบ และขอความรว่ มมือ ถา้ ปรมิ าณการจราจรสงู อาจ
ตอ้ งติดตอ่ เจา้ หนา้ ท่ีตารวจจราจรไปคอยชว่ ยควบคมุ การจราจรในบรเิ วณท่ีจะทาการฉาบผิว
8.3 ตรวจสอบเคร่ืองวดั ปรมิ าณวสั ดตุ า่ ง ๆ (calibrate) ก่อนเรม่ิ ทางาน เพ่ือหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งจานวน
วสั ดทุ ่ีเปิดลงในถงั ผสม โดยอา่ นจากเคร่ืองหรอื คมู่ ือการใชเ้ คร่อื ง กบั วสั ดทุ ่ีปลอ่ ยลงไปจรงิ
8.4 ตรวจสอบอปุ กรณเ์ คร่ืองมือและเคร่ืองจกั รใหอ้ ยใู่ นสภาพท่ีพรอ้ มจะนาออกใชง้ านและผลติ สว่ นผสม
สเลอร่ซี ีล ไดต้ ามท่ีออกแบบไว้

127

สำนกั วิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

8.5 ดาเนนิ การใหผ้ รู้ บั จา้ งใชเ้ คร่ืองกวาดฝ่ นุ กวาดวสั ดุ เชน่ หนิ ท่ีหลดุ ดนิ ท่ีเกาะตดิ ผิวออกใหห้ มด จนผิว
ทางสะอาดอาจจะใชก้ ารลา้ งถา้ ผคู้ วบคมุ งานเห็นวา่ เคร่ืองกวาด กวาดออกไมห่ มด ในกรณีท่ีผวิ เดมิ มี
รอยแตกขนาดกวา้ งท่ีเห็นวา่ ถา้ ใชน้ า้ ลา้ งแลว้ นา้ จะแทรกในรอยแตก หา้ มใชน้ า้ ลา้ ง

8.6 จะตอ้ งพจิ ารณาสภาพของดนิ ฟา้ อากาศใหเ้ หมาะสม หา้ มทาการฉาบผวิ ในระหวา่ งฝนตก และ
อณุ หภมู ิบรรยากาศตอ้ งไมต่ ่ากวา่ 10 องศาเซลเซียส

9. การก่อสร้าง
9.1 วสั ดตุ า่ ง ๆ ท่ีจะนามาผสมเป็นสเลอร่ซี ีล ตอ้ งเป็นวสั ดทุ ่ีผา่ นการทดลอง และคณุ ภาพใชไ้ ดแ้ ลว้
9.2 ขอ้ กาหนดในการก่อสรา้ งท่วั ไป
9.2.1 ในกรณีท่ีผิวทางเดิมเป็นผิวแหง้ มีหินโผล่โดยไม่มีแอสฟัลตเ์ หลืออยู่ หรือทางเดิมเป็นผิว
คอนกรีต ตอ้ งทาใหผ้ ิวทางเปียกอยา่ งสม่าเสมอดว้ ยเคร่ืองฉีดนา้ เป็นฝอย หรือละอองทนั ทีก่อน
ฉาบผวิ
9.2.2 สว่ นผสมของสเลอร่ซี ีล เม่ือฉาบบนผวิ ทางแลว้ ตอ้ งมีสว่ นผสมคงท่ีตามตอ้ งการ
9.2.3 วสั ดทุ ่ีผสมแลว้ ตอ้ งกระจายอย่างสม่าเสมอในเคร่อื งฉาบ และตอ้ งมีปรมิ าณมากพอตลอดเวลา
เพ่ือใหก้ ารฉาบ ฉาบไดเ้ ตม็ ความกวา้ งท่ีตอ้ งการ
9.2.4 วสั ดทุ ่ีผสมแลว้ ตอ้ งไมเ่ ป็นกอง ไมเ่ ป็นกอ้ น หรือมีหินท่ีไมถ่ กู ผสมกบั แอสฟัลตอ์ ิมลั ชนั ตอ้ งไมม่ ีการ
แยกตวั ระหว่างแอสฟัลตอ์ ิมัลชนั และส่วนละเอียดออกจากหินหยาบ ตอ้ งไม่มีหินหยาบตกอยู่
สว่ นลา่ งของวสั ดผุ สม ถา้ มีกรณีดงั กลา่ วเกิดขนึ้ จะตอ้ งตกั วสั ดผุ สมนีอ้ อกจากผิวทาง
9.2.5 ผิวสเลอร่ซี ีล ตอ้ งไมม่ ีรอยขีด ถา้ เกิดกรณีเชน่ นีต้ อ้ งทาการตกแตง่ และแกไ้ ขให้เรียบรอ้ ย ผู้
ควบคมุ งานอาจส่งั ใหใ้ ชต้ ะแกรงรอ่ นมวลรวมกอ่ นนามาผสม
9.3 ขอ้ กาหนดของรอยตอ่ รอยตอ่ ตามยาวหรือตามขวางตอ้ งไมเ่ ป็นสนั นนู สงู เกินไปหรือมองเหน็ ชดั เจนดไู ม่
เรียบรอ้ ย ถา้ เกิดกรณีดงั กลา่ วเชน่ นี้ และจาเป็นตอ้ งใชก้ ระสอบลากหรอื เคร่ืองลากชนดิ อ่ืน ตอ้ งไดร้ บั
ความเหน็ ชอบจากผคู้ วบคมุ งาน
9.4 ขอ้ กาหนดของการฉาบดว้ ยมือ ในกรณีเคร่อื งฉาบทาการฉาบไมไ่ ดเ้ พราะสถานท่ีจากดั การใชเ้ คร่อื งฉาบ
ดว้ ยมือตอ้ งไดร้ บั ความเห็นชอบจากผคู้ วบคมุ งานกอ่ น

10. รายละเอยี ดเพมิ่ เตมิ
10.1 การบม่
10.1.1 ใหบ้ ม่ สเลอร่ซี ีลไวร้ ะยะเวลาหนง่ึ ก่อนเปิดใหก้ ารจราจรผา่ น ถา้ มีความจาเป็นอาจใชท้ รายหรือ
หินฝ่นุ ฝ่นุ สาดเพ่ือใหร้ ถยนตผ์ า่ นได้ เชน่ ทางแยก ทางเช่ือม

128

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

10.1.2ใหต้ รวจสอบการแตกตวั ของแอสฟัลตอ์ มิ ลั ชนั ในสเลอร่ซี ีล โดยการดกู ารเปล่ียนสีของสว่ นผสม
จากสีนา้ ตาล เป็นสีดาและปราศจากนา้ ในส่วนผสม ซง่ึ สามารถตรวจสอบได้ โดยใชก้ ระดาษซบั
นา้ บนผวิ สเลอร่ซี ีล ถา้ ไมม่ ีนา้ เหลือปรากฎ ใหเ้ ปิดการจราจรได้ โดยปกตไิ มค่ วรเกิน 3 ช่วั โมง
ระยะเวลาในการบม่ จะกาหนดโดยกรมทางหลวงชนบท

10.2 การบดทบั
10.2.1 การก่อสรา้ ง สเลอร่ซี ีล ชนดิ ท่ี 1 ชนิดท่ี 2 และชนิดท่ี 3 ไมจ่ าเป็นตอ้ งบดทบั สาหรบั ลานจอดรถ
และทางว่งิ ทางขบั ของสนามบนิ ตอ้ งทาการบดทบั 10.2.2 การฉาบผิวชนิดท่ี 4 ตอ้ งบดทบั ขณะท่ี
แอสฟัลตก์ าลงั แขง็ ตวั (ขณะบม่ ) โดยใชร้ ถบดลอ้ ยาง หนกั ประมาณ 5 ตนั ความดนั ลมยางประมาณ
345 กิโลปาสกาล บดทบั เตม็ ผิวหนา้ ไมน่ อ้ ยกวา่ 5 เท่ียว ดว้ ย ความเรว็ 5-8 กิโลเมตรตอ่ ช่วั โมง

11. ข้อควรระวัง
11.1 การขนส่งแอสฟัลตอ์ ิมลั ชนั ในกรณีเป็นถงั (drum) โดยเฉพาะการขนขนึ้ และลงตอ้ งระมดั ระวงั ไมใ่ หถ้ งั
บรรจแุ อสฟัลตอ์ ิมลั ชนั ไดร้ บั การกระทบกระเทือนรุนแรงมาก เพราะอาจจะทาใหแ้ อสฟัลตอ์ มิ ลั ชนั แตกตวั ได้
11.2 ก่อนใชแ้ อสฟัลตอ์ ิมลั ชนั ท่ีบรรจถุ งั ตงั้ เก็บรอไวน้ าน ๆ ควรกลงิ้ ถงั ไปมาอยา่ งนอ้ ยดา้ นละ 5 ครงั้ กอ่ นบรรจุ
ลงในเคร่อื งผสมสเลอร่ซี ีล ทงั้ นีเ้ พ่ือใหแ้ อสฟัลตอ์ ิมลั ชนั มีลกั ษณะเดียวกนั ท่วั ถึง
11.3 ทกุ ครงั้ ท่ีทาการผสมสเลอร่ซี ีล เสรจ็ แลว้ ควรลา้ งเคร่อื งผสมใหส้ ะอาด มิฉะนนั้ จะมีแอสฟัลต์
เกาะตดิ แนน่ ในเคร่ือง ทาใหไ้ มส่ ะดวกในการทางานวนั ตอ่ ไป
11.4 เม่ือเปิดถงั บรรจแุ อสฟัลตอ์ มิ ลั ชนั ออกใช้ ควรใชใ้ หห้ มดถงั หรือตอ้ งปิดฝาอยา่ งดี มิฉะนนั้ นา้ ในถงั
จะระเหยได้ ซง่ึ จะทาใหแ้ อสฟัลตอ์ มิ ลั ชนั หมดสภาพเป็นแอสฟัลตอ์ ิมลั ชนั ได้

12. ข้อกาหนดเพม่ิ เตมิ สาหรับมาตรฐานการฉาบผิวทางแบบสเลอรี่ซลี
12.1 กอ่ นเร่มิ งาน ผรู้ บั จา้ งตอ้ งเสนอเอกสารการออกแบบสว่ นผสมแกผ่ คู้ วบคมุ งาน แลว้ ใหผ้ คู้ วบคมุ งานเก็บ
ตวั อยา่ งวสั ดสุ ว่ นผสมท่ีจะใชใ้ นการผสม สง่ กรมทางหลวงชนบท เพ่ือตรวจสอบพรอ้ มกบั เอกสารการ
ออกแบบสว่ นผสมดว้ ย โดยผรู้ บั จา้ งจะตอ้ งเป็นผรู้ บั ผิดชอบคา่ ใชจ้ า่ ยทงั้ หมด
12.2 เม่ือกรมทางหลวงชนบท ตรวจสอบเอกสาร การออกแบบและวสั ดสุ ่วนผสม และกาหนดคา่ ผลการ
ทดลองท่ีเหมาะสมใหแ้ ลว้ กรมทางหลวงชนบทจะออก สตู รสว่ นผสมเฉพาะงาน (job mix formula) ให้
ใชส้ าหรบั ควบคมุ งานตอ่ ไป
12.3 การทาสเลอร่ซี ีล ในสนาม ถา้ วสั ดมุ วลรวมหรือวสั ดผุ สมแอสฟัลตผ์ ิดพลาดจากขอ้ กาหนด จะถือวา่
สว่ นผสมท่ีผสมไวใ้ นแตล่ ะครงั้ นนั้ ไมถ่ กู ตอ้ งตามคณุ ภาพท่ีตอ้ งการ ซ่งึ ผรู้ บั จา้ งจะตอ้ งทาการปรบั ปรุง
หรือแกไ้ ขใหม่ โดยผรู้ บั จา้ งจะตอ้ งเป็นผรู้ บั ผิดชอบคา่ ใชจ้ ่ายทงั้ หมด

129

สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
12.4 หากวสั ดสุ ว่ นผสมมีการเปล่ียนแปลงเน่ืองจากวสั ดมุ วลรวมก็ดี หรอื เน่ืองจากเหตอุ ่ืนใดก็ดี ผรู้ บั จา้ งอาจ

ขอเปล่ียนแปลงสตู รสว่ นผสมเฉพาะงานใหมไ่ ด้ ทงั้ นีใ้ นการเปล่ียนแปลงทกุ ครงั้ ตอ้ งไดร้ บั ความเหน็ ชอบ
จากกรมทางหลวงชนบทก่อน
12.5 การทดลองและตรวจสอบการออกแบบ การฉาบผิวทางแบบสเลอร่ซี ีล ทกุ ครงั้ หรอื ทกุ สญั ญาจา้ ง ผรู้ บั
จา้ งตอ้ งชาระคา่ ธรรมเนียมตามอตั ราท่ีกรมทางหลวงชนบทกาหนด
13. ข้อแนะนาสาหรับมาตรฐานการฉาบผิวทางแบบสเลอรีซ่ ีล
13.1 สาหรบั ผวิ ทางท่ีมีปรมิ าณการจราจรเฉล่ีย (ADT) เกินกวา่ 500 คนั ตอ่ วนั ใหใ้ ชม้ วลรวมเป็นหนิ โมเ่ ทา่ นนั้

130

สำนกั วิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

มทช.233-2545
มาตรฐานงานผิวจราจรแบบเคพซลี (cape seal)

ขอบข่าย
หมายถงึ การกอ่ สรา้ งผิวทางสองชนั้ ประกอบดว้ ยผิวทางชนั้ แรกเป็นผิวทางแบบเซอรเ์ ฟสทรตี เมนตช์ นั้ เดยี ว

(single surface treatment) แลว้ ปทู บั ดว้ ยสเลอรซี ีล (slurry seal) ลงบนผวิ ทาง หรือผิวไหลท่ างดงั กลา่ วอีกหน่งึ
หรอื สองชนั้ ผวิ ทางชนิดนีใ้ ชท้ าเป็นผิวไหลท่ างไดด้ ว้ ย

1. ผิวทางช้ันแรก แบบเซอรเ์ ฟสทรตี เมนตช์ ้ันเดยี ว (single surface treatment)
1.1 วสั ดุ
1.1.1 แอสฟัลตใ์ หเ้ ป็นไปตาม มทช.226 : มาตรฐานงานผิวจราจรแบบเซอรเ์ ฟสทรีตเมนต์ ตามขอ้ 2.1.3
และตอ้ งมีคณุ สมบตั ิตามมาตรฐานผลิตภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม มอก.371: แคตอิออนิกแอสฟัลต์
อมิ ลั ช่นั สาหรบั ถนน และไดร้ บั การรบั รองมาตรฐานผลิตภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรมระบบคณุ ภาพ มอก.
ISO-9002 หรือแอสฟัลตอ์ ิมลั ช่นั ชนดิ อ่ืน ซง่ึ กรมทางหลวงชนบทเหน็ ชอบแลว้
1.1.2 หนิ ยอ่ ย ใหเ้ ป็นไปตาม มทช.207 : มาตรฐานวสั ดชุ นิดเม็ดสาหรบั ผิวจราจรแบบเซอรเ์ ฟส ทรตี เมนต์
1.2 การกองวสั ดุ
1) ใหแ้ ยกกองหนิ ย่อยแตล่ ะขนาดไว้ โดยไมป่ ะปนกนั
2) ถา้ บรเิ วณท่ีกองหินย่อยไมเ่ รียบรอ้ ย อนั อาจจะทาใหม้ ีวสั ดอุ ่ืนไมพ่ ึงประสงค์มาปะปน ผคู้ วบคมุ งาน
อาจไมอ่ นญุ าตใหใ้ ชห้ ินยอ่ ยท่ีมีวสั ดอุ ่ืนปะปนนนั้ ได้
3) บรเิ วณท่ีกองหนิ ยอ่ ย ตอ้ งมีการระบายนา้ ท่ีดี อนั เป็นการปอ้ งกนั มิใหน้ า้ ทว่ มกองหินย่อยได้
1.3 ขนาดของหนิ ยอ่ ยขนาดของหนิ ย่อยของผิวทางชนั้ แรกใหเ้ ป็นไปตาม ตารางท่ี 1

131

สำนักวิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

ตารางท่ี 1
ขนาดของหนิ ย่อย

ขนาดท่ีใชเ้ รียก นา้ หนกั ผา่ นตะแกรงเป็นรอ้ ยละ 2.36 1.18
มลิ ลิเมตร 25.0 19.0 12.5 9.5 4.75 มม. มม
มม. มม. มม. มม. มม. 0-2 0-0.5
19.0 (3/4 นวิ้ ) 100 90-100 0-30 0-8 - 0-2 0-0.5
12.5 (1/2 นวิ้ )
- 100 90-100 0-30 0-4

1.4 การเลือกใชข้ นาดของหินยอ่ ย สาหรบั ผิวทางชนั้ แรกใหใ้ ชข้ นาด 19.0 มิลลิเมตร (3/4 นิว้ ) หรือ 12.5
มลิ ลเิ มตร (1/2นวิ้ ) และตอ้ งมีคณุ สมบตั เิ ป็นไปตาม มทช.207 : มาตรฐานวสั ดชุ นิดเมด็ สาหรบั ผิว
จราจรแบบเซอรเ์ ฟสทรีตเมนต์

1.5 ปริมาณวสั ดทุ ่ีใชโ้ ดยประมาณ หินย่อย และแอสฟัลตโ์ ดยประมาณใหใ้ ชต้ ามตารางท่ี 2 สว่ นปริมาณ
วสั ดทุ ่ีใชจ้ รงิ ใหเ้ ป็นไปตามการออกแบบตามวิธีการของกรมทางหลวงชนบท

ปรมิ าณแอสฟัลตท์ ่ีออกแบบในชนั้ นีไ้ ดจ้ ากคา่ A.L.D. (average least dimension) ของหนิ ย่อย

ตารางท่ี 2
ปริมาณวัสดทุ ใ่ี ช้โดยประมาณ

ขนาดท่ีใชเ้ รียก มลิ ลิเมตร 19.0 (3/4 นิว้ ) 12.5 (1/2 นิว้ )
หนิ ยอ่ ยกิโลกรมั ตอ่ ตารางเมตร
แอสฟัลตอ์ ิมลั ช่นั ลิตรตอ่ ตาราง 16-22 12-18
เมตร 1.1-2.3 0.8-1.6

132

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

1.6 การลา้ งหนิ ยอ่ ย
การลา้ งหินย่อย หนิ ย่อยไมต่ อ้ งเคลือบผวิ แตต่ อ้ งลา้ งใหส้ ะอาด แลว้ รีบนาไปใชโ้ ดยเรว็ หากปลอ่ ยทงิ้ ไว้
จนแหง้ หรือสกปรกตอ้ งลา้ งใหม่

1.7 การใชส้ ารผสมแอสฟัลต์
สารผสมแอสฟัลต์ อาจใชผ้ สมกับสารเคลือบผิวย่อยหรือผสมกบั แอสฟัลตโ์ ดยตรงก็ได้ แลว้ แตช่ นิดและ
ความเหมาะสม โดยใหเ้ ป็นไปตามคาแนะนาของผผู้ ลิตถา้ ผสมสารแอสฟัลตล์ งในแอสฟัลตโ์ ดยตรง ควร
ผสมก่อนใชง้ านเล็กนอ้ ย แลว้ ทาใหแ้ อสฟัลตใ์ นถงั บรรจแุ อสฟัลตป์ ระจารถพ่นแอสฟัลตไ์ หลเวียนใหผ้ สม
เขา้ กันดีเสียก่อน โดยใชเ้ วลาประมาณ 20 นาที แลว้ จึงนาไปใชง้ านทันที หา้ มตม้ แอสฟัลตท์ ่ีผสมสาร
แอสฟัลตแ์ ลว้ ท่ีช่วงอุณหภูมิสาหรบั พ่นแอสฟัลตท์ ิง้ ไว้ เพราะสารผสมแอสฟัลต์อาจเส่ือมคุณภาพได้
ภายในไมก่ ่ีช่วั โมงเทา่ นนั้ หากจาเป็นท่ีจะตอ้ งนาแอสฟัลตท์ ่ีผสมสารผสมแอสฟัลตแ์ ละตม้ ท่ีอณุ หภมู ิท่ีใช้
ลาดทิง้ ไวเ้ กินกว่า 3 ช่วั โมง มาใชใ้ หม่ ตอ้ งดาเนินการตามขอ้ เสนอแนะนาของผผู้ ลิตสารผสมแอสฟัลต์
โดยความเห็นชอบของผคู้ วบคมุ งาน

1.8 เคร่ืองจกั รและเคร่อื งมือ
เคร่อื งจกั รและเคร่อื งมือท่ีใชใ้ หเ้ ป็นตาม มทช.226:มาตรฐานงานผวิ จราจรแบบเซอรเ์ ฟสทรีตเมนต์
เคร่อื งโรยหินจะตอ้ งเป็นแบบขบั เคล่ือนดว้ ยตวั เอง

1.9 การเตรียมการก่อนการก่อสรา้ ง
การเตรยี มการก่อนการก่อสรา้ งใหเ้ ป็นตาม มทช.226 : มาตรฐานงานผวิ จราจรแบบเซอรเ์ ฟสทรีตเมนต์

1.10 วธิ ีการกอ่ สรา้ ง
วธิ ีการก่อสรา้ งใหเ้ ป็นตาม มทช. 226 : มาตรฐานงานผิวจราจรแบบเซอรเ์ ฟสทรีตเมนต์

1.11 รายละเอียดเพ่มิ เตมิ
รายละเอียดเพ่มิ เตมิ ใหเ้ ป็นตาม มทช. 226 : มาตรฐานงานผิวจราจรแบบเซอรเ์ ฟสทรตี เมนต์

1.12 ขอ้ ควรระวงั
ขอ้ ควรระวงั ใหเ้ ป็นตาม มทช. 226 : มาตรฐานงานผิวจราจรแบบเซอรเ์ ฟสทรีตเมนต์

2. ผิวทางช้ันทสี่ อง สเลอรีซีล (slurry seal)
2.1 วสั ดุ

วสั ดทุ ่ีใชใ้ หเ้ ป็นไปตาม มทช.232 : มาตรฐานการฉาบผิวทางแบบสเลอรีซีล
2.2 ขนาดของหนิ ย่อย ปรมิ าณแอสฟัลตท์ ่ีใช้ และอตั ราการฉาบขนาดของหนิ ยอ่ ย ปรมิ าณแอสฟัลตท์ ่ีใช้ และ

อตั ราการฉาบใหเ้ ป็นไปตาม ตารางท่ี 3

133

สำนกั วิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

ตารางท่ี 3
ขนาดของหนิ ปรมิ าณแอสฟัลตท์ ่ีใช้ และอตั ราการฉาบ

ชนิดของสเลอรซี ีล 23
ขนาดของตะแกรงร่อน ; มม.
ผ่านตะแกรงร่อน ; ร้อยละ
9.5 (3/8 นวิ้ )
4.75 (เบอร์ 4) 100 100
2.36 (เบอร์ 8)
1.18 (เบอร์ 16) 90-100 70-90
0.600 (เบอร์ 30)
0.300 (เบอร์ 50) 65-90 45-70
0.150 (เบอร์ 100)
0.075 (เบอร์ 200) 45-70 28-50
Residue ของแอสฟัลต์ ; รอ้ ย
ละ โดยนา้ หนกั ของหินแหง้ 30-50 19-34
อตั ราการป/ู ฉาบเป็นนา้ หนกั
ของ 18-30 12-25
สว่ นผสมสเลอร่ี ; กก./ตร.ม.
10-21 7-18

5-15 5-15

7.5-13.5 6.5-12.0

6.1-9.3 9.3-14.6

2.3 การกองหินยอ่ ย หรือทราย
การกองหินย่อย หรอื ทราย ใหเ้ ป็นไปตาม มทช.232 : มาตรฐานการฉาบผวิ ทางแบบสเลอรซี ีล

2.4 ชนิดของสเลอรซี ีล
สาหรบั งานผิวจราจรแบบเคพซีล ใหใ้ ชส้ เลอรซี ีล ชนิดท่ี 2 หรือ ชนิดท่ี 3 เทา่ นนั้
2.4.1 สเลอรีซีล ชนิดท่ี 2 ใชฉ้ าบผิวทางชนั้ แรกท่ีใชห้ ินยอ่ ย หรือกรวดย่อย ขนาด 12.5 มิลลิเมตร
(1/2นวิ้ ) ตาม ตารางท่ี 1 โดยฉาบครงั้ เดียว ใหม้ ีปรมิ าณสว่ นผสมสเลอรซี ีล ตามตารางท่ี 3
2.4.2 สเลอรีซีล ชนิดท่ี 3 ใชฉ้ าบผิวทางชนั้ แรกท่ีใชห้ ินยอ่ ย หรือกรวดย่อย ขนาด 19.0 มิลลิเมตร
(3/4นวิ้ ) ตามตารางท่ี 1 โดยแบง่ การฉาบเป็น 2 ครงั้ ใหม้ ีปรมิ าณสว่ นผสมสเลอรีซีลรวมทงั้ หมด
ตามตารางท่ี 3

2.5 การออกแบบส่วนผสมสเลอรีซีล
การออกแบบสว่ นผสมสเลอรซี ีล ใหเ้ ป็นไปตาม มทช.232 : มาตรฐานการฉาบผิวทางแบบสเลอรซี ีล

134

สำนกั วเิ ครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

2.6 เคร่อื งจกั รท่ีใชใ้ นการก่อสรา้ ง
2.6.1 เคร่ืองจกั รท่ีใชใ้ นการก่อสรา้ ง ใหเ้ ป็นไปตาม มทช.232 :มาตรฐานการฉาบผิวทางแบบ สเลอรี ซีล
2.6.2 เคร่ืองจกั รท่ีใชบ้ ดทบั ตอ้ งเป็นรถบดลอ้ ยางชนิดขบั เคล่ือนไดด้ ว้ ยตวั เอง มีนา้ หนกั ประมาณ 10 ตนั
แบบลอ้ ยางผวิ หนา้ เรียบ ความดนั ลมยางประมาณ 3.5 กิโลกรมั ตอ่ ตารางเซนตเิ มตร (50 ปอนด์
ตอ่ ตารางนิว้ )

2.7 การเตรยี มการก่อสรา้ ง
การเตรยี มการก่อสรา้ งใหเ้ ป็นไปตาม มทช.232: มาตรฐานการฉาบผวิ ทางแบบสเลอรีซีล

2.8 วธิ ีการก่อสรา้ ง
2.8.1 ลาดยางแอสฟัลตอ์ ีมลั ชนั ชนดิ CSS-1 หรือ CSS-1h ท่ีผสมนา้ ในอตั ราสว่ น 1:1 ลงบนผวิ ทางชนั้
แรก ดว้ ยอตั ราไมน่ อ้ ยกวา่ 0.6 ลิตรตอ่ ตารางเมตร โดยวิธี ฟ๊ อก สเปรย์ (fog spray) หลงั จาก
นนั้ จงึ ดาเนนิ การฉาบผวิ สเลอรซี ีลตอ่ ไป
2.8.2 ดาเนินการฉาบผิวสเลอรีซีลทบั บนผิวทางชนั้ แรก สาหรบั ผิวทางชนั้ แรกท่ีก่อสรา้ งใหม่ การฉาบส
เลอรซี ีลทบั ควรดาเนนิ การภายในระยะเวลาไมน่ อ้ ยกวา่ 4 วนั และไมม่ ากกวา่ 4 สปั ดาห์ ฉะนนั้
การ ลาดแอสฟัลตอ์ ีมลั ชนั ตามขอ้ 2.8.1 ควรดาเนนิ การภายในระยะเวลาท่ีเหมาะสมกอ่ นฉาบผวิ
สเลอรซี ีล
2.8.3 กอ่ นท่ีจะฉาบผิวสเลอรีซีล ใหท้ าความสะอาดผิวทางท่ีจะฉาบสเลอรีซีลทบั ดว้ ยเคร่ืองกวาดฝ่นุ
และถา้ จาเป็นใหใ้ ชน้ า้ ลา้ ง เพ่ือกาจดั วสั ดทุ ่ีหลดุ หลวม ส่ิงสกปรกตา่ งๆ ออกใหห้ มด
2.8.4 ก่อนฉาบผิวสเลอรีซีล ถา้ ผิวทางท่ีจะฉาบทบั นนั้ แหง้ ใหพ้ น่ นา้ ลงไปเพียงบางๆ พอเปียกชืน้ เทา่ นนั้
อยา่ ใหม้ ีนา้ ขงั บนผิวทางท่ีจะฉาบทบั
2.8.5 สว่ นผสมสเลอรีซีล เม่ือฉาบบนผิวทางแลว้ ตอ้ งมีสว่ นผสมคงท่ี ตามท่ีตอ้ งการ
2.8.6 วสั ดทุ ่ีผสมแลว้ ตอ้ งกระจายอย่างสม่าเสมอในเคร่ืองฉาบ และตอ้ งมีปรมิ าณมากพอ
ตลอดเวลาเพ่ือใหฉ้ าบไดเ้ ตม็ ความกวา้ งท่ีตอ้ งการ
2.8.7 วสั ดทุ ่ีผสมแลว้ ตอ้ งไมเ่ ป็นกอง ไม่เป็นกอ้ น หรือมีหินท่ีไม่ถกู ผสมกบั แอสฟัลตอ์ ีมลั ชนั ตอ้ งไม่
มีการแยกตวั ระหว่างแอสฟัลตอ์ ีมลั ชนั กบั ส่วนละเอียด ออกจากหินหยาบ ตอ้ งไม่มีหินหยาบ
ตกอยสู่ ว่ นลา่ งของวสั ดผุ สม ถา้ มีกรณีดงั กลา่ วเกิดขนึ้ จะตอ้ งตกั วสั ดผุ สมนีอ้ อกจากผิวทาง
2.8.8 ตอ้ งไม่มีรอยขีดปรากฏใหเ้ ห็นบนผิวท่ีฉาบสเลอรีซีลเรียบรอ้ ยแลว้ ถา้ เกิดกรณีเชน่ นี้ ตอ้ งทาการ
ตกแตง่ และ แกไ้ ขใหเ้ รียบรอ้ ยผคู้ วบคมุ งานอาจส่งั ใหใ้ ชต้ ะแกรงรอ่ นมวลรวม กอ่ นนามาผสม
2.8.9 ขอ้ กาหนดของรอยตอ่ รอยตอ่ ตามยาว ควรจดั ใหอ้ ยตู่ รงแนวเสน้ แบง่ ชอ่ งจราจร และรอยตอ่ ตอ้ ง
ไมเ่ ป็นสนั นนู เกินไป หรือมองเห็นชดั เจนดไู มเ่ รียบรอ้ ย ถา้ เกิดกรณีดงั กลา่ วเชน่ นี้ และจาเป็นตอ้ ง
ใชก้ ระสอบลาก หรือเคร่ืองลากชนิดอ่ืน ตอ้ งไดร้ บั ความเห็นชอบจากผคู้ วบคมุ งานก่อน

135

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

2.8.10 ขอ้ กาหนดของการฉาบดว้ ยมือ ในกรณีเคร่ืองฉาบทาการฉาบไมไ่ ด้ เพราะสถานท่ีจากัด การ
ฉาบดว้ ยมือตอ้ งไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากผคู้ วบคมุ งานก่อน

2.8.11 ในการฉาบผิวสเลอรีซีล ชนิดท่ี 2 ตามขอ้ 2.4.1 หรือการฉาบผิวสเลอรีซีล ชนิดท่ี 3 ครงั้ ท่ี 1
ตามขอ้ 2.4.2 ใหบ้ ดทบั ดว้ ยรถบดลอ้ ยางชนิดขบั เคล่ือนไดด้ ว้ ยตวั เอง ตามขอ้ 2.6.2 เตม็ ผวิ หนา้
ไม่นอ้ ยกว่า 5 เท่ียว โดยเร่ิมบดได้ เม่ือไม่มีส่วนผสมสเลอรีซีลติดลอ้ รถบด แตต่ อ้ งไม่ขา้ มวนั
สาหรบั การฉาบผิวสเลอรีซีล ชนิดท่ี 3 ครงั้ ท่ี 2 นนั้ ใหด้ าเนินการฉาบผิวใหเ้ ร็วท่ีสดุ เท่าท่ีจะทา
ได้ แตต่ อ้ งไมน่ านเกิน 4 สปั ดาห์ หลงั จากฉาบผิวครงั้ ท่ี 1เสรจ็ เรียบรอ้ ยแลว้ การฉาบผิวครงั้ ท่ี 2
นีป้ กตไิ มต่ อ้ งบดทบั

2.9 รายละเอียดเพ่มิ เตมิ
การบม่ ใหบ้ ม่ ผิวสเลอรีซีลไวร้ ะยะเวลาหน่งึ ก่อนเปิดใหก้ ารจราจรผ่าน จนกวา่ ผิวสเลอรีซีลจะแตกตวั
โดยสมบูรณแ์ ลว้ จึงเปิดใหก้ ารจราจรผ่าน บริเวณท่ีมีความจาเป็นตอ้ งใหก้ ารจราจรผ่านไดก้ ่อน เช่น
ทางแยก ทางเช่ือม ก็อาจใชท้ ราย หรอื หินฝ่นุ สาดทบั ไว้
ใหต้ รวจสอบการแตกตวั ของแอสฟัลตอ์ ีมลั ชนั ในสเลอรีซีล โดยการดกู ารเปล่ียนสีของส่วนผสมจากสี
นา้ ตาลเป็นสีดา และปราศจากนา้ ในสว่ นผสม ซง่ึ สามารถตรวจสอบไดโ้ ดยใชก้ ระดาษซบั นา้ บนผิวสเลอ
รีซีล ถา้ ไมม่ ีนา้ เหลือปรากฏใหเ้ ปิดการจราจรได้ โดยปกติไมค่ วรเกิน 3 ช่วั โมง ระยะเวลาการบม่ ใหอ้ ยู่
ในดลุ ยพนิ ิจของผคู้ วบคมุ งาน

2.10 ขอ้ ควรระวงั
ขอ้ ควรระวงั ใหเ้ ป็นตาม มทช.226 : มาตรฐานงานผวิ จราจรแบบเซอรเ์ ฟสทรีตเมนต์ และ
มทช.232 : มาตรฐานการฉาบผิวทางแบบสเลอรซี ีล

3. ข้อกาหนดเพมิ่ เตมิ สาหรับผิวทางแบบเคพซลี
3.1 ก่อนเร่มิ งาน ผรู้ บั จา้ งตอ้ งเสนอรายงานการออกแบบสว่ นผสมผิวแบบเคพซีลของผรู้ บั จา้ งเอง ท่ีใชว้ สั ดุ
ชนิด และแหล่งเดียวกันกับท่ีเสนอขอใชง้ านแก่ผูค้ วบคมุ งาน แลว้ ใหผ้ ูค้ วบคุมงานเก็บตวั อย่างวัสดุ
ส่วนผสม ท่ีจะใชใ้ นการผสมสง่ กรมทางหลวงชนบท เพ่ือตรวจสอบพรอ้ มเอกสารการออกแบบส่วนผสม
ดว้ ย โดยผรู้ บั จา้ งจะตอ้ งเป็นผรู้ บั ผดิ ชอบคา่ ใชจ้ า่ ยทงั้ หมด
3.2 เม่ือกรมทางหลวงชนบท ตรวจสอบเอกสารการออกแบบและวสั ดสุ ่วนผสม และกาหนดคา่ ผลการทดลอง
ท่ีเหมาะสมใหแ้ ลว้ กรมทางหลวงชนบท จะออกสตู รสว่ นผสมเฉพาะงาน ใหใ้ ชส้ าหรบั ควบคมุ งานตอ่ ไป
3.3 ในการทาผิวแบบเคพซีลในสนาม ถา้ วสั ดทุ ่ีใชผ้ ิดพลาดไปจากขอ้ กาหนด จะถือว่าสว่ นผสมท่ีผสมไวใ้ นแต่
ละครงั้ นนั้ ไมถ่ กู ตอ้ งตามคณุ ภาพท่ีตอ้ งการ ซ่งึ ผรู้ บั จา้ งจะตอ้ งทาการปรบั ปรุง หรือแกไ้ ขใหม่ โดยผรู้ บั
จา้ งจะตอ้ งเป็นผรู้ บั ผดิ ชอบคา่ ใชจ้ า่ ยท่ีเกิดขนึ้ ทงั้ หมด

136

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
3.4 หากวัสดสุ ่วนผสมมีการเปล่ียนแปลงเน่ืองจากเหตอุ ่ืนใดก็ตาม ผูร้ บั จา้ งอาจขอเปล่ียนแปลงสตู ร

ส่วนผสมเฉพาะงานใหมไ่ ด้ ทงั้ นีก้ ารเปล่ียนแปลงทกุ ครงั้ จะตอ้ งไดร้ บั ความเห็นชอบจากกรมทางหลวง
ชนบทก่อน
3.5 การทดสอบ และการตรวจสอบการออกแบบผวิ แบบเคพซีลทกุ ครงั้ หรือทกุ สญั ญาจา้ ง ผรู้ บั จา้ งตอ้ งชาระ
คา่ ธรรมเนียมตามอตั ราท่ีกรมทางหลวงชนบทกาหนด

137

สำนักวเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

มทช.234-2545

มาตรฐานวัสดุ โพลเี มอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตซ์ ีเมนต์ สาหรับงาน โมดฟิ ายดแ์ อสฟัลตค์ อนกรีต

(polymer modified asphalt cement for modified asphalt concrete)

1. ขอบข่าย
วัสดุโพลีเมอรโ์ มดิฟายดแ์ อสฟัลตซ์ ีเมนต์ (polymer modified asphalt cement ) หมายถึงแอสฟัลต์

สาเร็จรูปท่ีไดจ้ ากการผสมระหว่าง โพลีเมอร์ (polymer) กับแอสฟัลตซ์ ีเมนต์ (asphalt cement) ภายใต้
กระบวนการผสมท่ีดาเนินการในโรงงานผลติ โดยใชเ้ คร่ืองผสมท่ีออกแบบโดยเฉพาะ สารโพลีเมอรท์ ่ีใชผ้ สมไดแ้ ก่
SBS (styrene butadiene styrene),EVA (ethylene viny acetate)หรือสารโพลีเมอร์ อ่ืนใด ท่ีผสมแลว้ ได้ โพลี
เมอร์ โมดฟิ ายด์ แอสฟัลต์ ซีเมนต์ มีคณุ สมบตั ิ ตามขอ้ 2

2. คุณสมบัติ
คณุ สมบตั ใิ หเ้ ป็นไปตามตารางตอ่ ไปนี้

SPECIFICATION FOR POLYMER MODIFIED ASPHALT CEMENT FOR MODIFIED ASPHALT
CONCRETE

ลาดบั รายละเอยี ดคณุ สมบตั ิ หนว่ ย MINIMUM MAXIMUM วิธีทดสอบ

TEST ON ORIGINAL 0.1mm 60 70 มทช.(ท)609
1 Penetration at 25 C. 100 gm., 5 sec C 70 - ASTM D36
2 Softening point, Ring and Ball - +3 - NLT-181*
3 Penetration index cm 55 - มทช.(ท) 610
4 Ductility at 13 C. 5 cm/min % 70 - NLT-329*
5 Torsional recovery at 25 C Sec 3,000 - ASTM D139
6 Float test at 60 C.
7 Toughness/Tenacity test, 25 C Kg.cm ESM NE-31**
Kg.cm 200 -
-Toughness 100 -
- Tenacity CP
8 Brookfield viscosity, shear rate 18.6 s-1, CP ASTM D4402
spindle 21 1,100 -
300 -
- at 135 C.
NLT-328*
9 - at 165 C.

138

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

Storage stability at 165 C. 120 hrs ํ C - 5
10 Difference in softening point 1.05 ASTM D70
11 Density at 25 C gm/cc 1.00
12 Flash point, cleveland Open Cup - ASTM D92
ํC 220 ASTM D2042
Solubility in trichloroethylene % wt. 99.0

TEST ON RESIDUE FROM THIN % wt. - 0.5 ASTM D1754
13 FILM % 70 -
14 OVEN TEST -4 +6 ASTM D36
15 Weight loss C 40 -
16 Retained penetration at 25 C. cm 60 - NLT-329*
17 Variation in softening point %

Ductility at 13 C. 5 cm/min

Torsional recovery at 25 C.

NOTE * Refer to the National Laboratory of Transportation Madrid, Spain
** Refer to Elpidio Sanchez Marcos, Spain

139

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

มทช.235-2545
มาตรฐานวัสดุ โพลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตซ์ เี มนต์ สาหรับงาน พอรัสแอสฟัลตค์ อนกรตี

(polymer modified asphalt cement for porous ashalt concrete)

1. ขอบข่าย
วสั ดโุ พลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตซ์ ีเมนต์ (polymer modified asphalt cement ) หมายถึงแอสฟัลต์

สาเรจ็ รูปท่ีไดจ้ ากการผสมระหวา่ งโพลีเมอร์ (polymer) กบั แอสฟัลตซ์ ีเมนต์ (asphalt cement) ภายใตก้ ระบวนการ
ผสมท่ีดาเนินการในโรงงานผลิต โดยใชเ้ คร่อื งผสมท่ีออกแบบโดยเฉพาะสารโพลีเมอรท์ ่ีใชผ้ สมไดแ้ ก่ SBS (styrene
butadiene styrene), EVA (ethylene vinyl ace tate) หรือสารโพลีเมอร์ อ่ืนใด ท่ีผสมแลว้ ได้ โพลีเมอร์ โมดฟิ ายด์
แอสฟัลต์ ซีเมนต์ มีคณุ สมบตั ิ ตามขอ้ 2
2. คุณสมบัติ

คณุ สมบตั ใิ หเ้ ป็นไปตามตารางตอ่ ไปนี้

140

สำนกั วเิ ครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
SPECIFICATION FOR POLYMER MODIFIED ASPHALT CEMENT FOR POROUS ASPHALT CONCRETE

ลาดบั รายละเอียดคณุ สมบตั ิ หนว่ ย MINIMUM MAXIMUM วิธีทดสอบ

TEST ON ORIGINAL 0.1mm 60 70 มทช.(ท)609
1 Penetration at 25 C. 100 gm., 5 sec C 60 - ASTM D36
2 Softening point, Ring and Ball - +1.5 - NLT-181*
3 Penetration index cm 20 - มทช.(ท) 610
4 Ductility at 13 C. 5 cm/min % 30 - NLT-329*
5 Torsional recovery at 25 C Sec 2,000 - ASTM D139
6 Float test at 60 C.
7 Toughness/Tenacity test, 25 C Kg.cm ESM NE-31**
Kg.cm 200 -
-Toughness 100 -
- Tenacity CP
8 Brookfield viscosity, shear rate 18.6 s-1, CP ASTM D4402
spindle 21 700 -
ํC 200 -
- at 135 C. gm/cc
ํC NLT-328*
9 - at 165 C. % wt. -5
Storage stability at 165 C. 120 hrs 1.00 1.05 ASTM D70
220 - ASTM D92
10 Difference in softening point 99.0 ASTM D2042
11 Density at 25 C
12 Flash point, cleveland Open Cup - 0.5 ASTM D1754
65 -
Solubility in trichloroethylene -3 +6 ASTM D36
10 -
TEST ON RESIDUE FROM THIN % wt. 20 - NLT-329*
13 FILM %
14 OVEN TEST
15 Weight loss ํ C
16 Retained penetration at 25 C. cm
17 Variation in softening point %

Ductility at 13 C. 5 cm/min

Torsional recovery at 25 C.

141

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

NOTE * Refer to the National Laboratory of Transportation Madrid, Spain
** Refer to Elpidio Sanchez Marcos, Spain

142

สำนักวเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

มทช.236-2545
มาตรฐานงานผิวจราจรแบบโพลเี มอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตค์ อนกรตี

(polymer modified asphalt concrete)

1. ขอบข่าย
โพลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตค์ อนกรีต คือวสั ดทุ ่ีไดจ้ ากการผสมรอ้ นระหว่างมวลรวม(aggregate) กบั โพลี

เมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตซ์ ีเมนต์ (polymer modified asphalt cement) ท่ีโรงงานผสม (asphalt concrete mixing
plant) โดยการควบคมุ อตั ราส่วนผสมและอณุ หภูมิตามท่ีกาหนด มีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือใชใ้ นงานก่อสรา้ ง งานบรู ณะ
และงานบารุงทาง โดยการปหู รือเกล่ียแตง่ และบดทบั บนชนั้ ทางใดๆ ท่ีไดเ้ ตรียมไวแ้ ละผ่านการตรวจสอบแลว้ ให้
ถกู ตอ้ งตามแนว ระดบั ความลาด ขนาด ตลอดจนรูปตดั ตามท่ีไดแ้ สดงไวใ้ นแบบ

2. วัสดุ
2.1 แอสฟัลต์ ใหใ้ ชโ้ พลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตซ์ ีเมนต์ ตาม มทช.234 : มาตรฐานวสั ดโุ พลีเมอรโ์ มดิ
ฟายดแ์ อสฟัลตซ์ ีเมนต์ สาหรบั งานโมดฟิ ายดแ์ อสฟัลตค์ อนกรีต
2.2 มวลรวม ใหเ้ ป็นไปตาม มทช.209 : มาตรฐานวสั ดชุ นิดเมด็ สาหรบั ผิวจราจรแบบแอสฟัลตค์ อนกรตี

3. การออกแบบส่วนผสมโพลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตค์ อนกรีต
3.1 ก่อนเร่ิมงานไม่นอ้ ยกว่า 30 วนั ผูร้ บั จา้ งตอ้ งเสนอเอกสารการออกแบบส่วนผสมโพลีเมอรโ์ มดิฟายด์
แอสฟัลตค์ อนกรีตแก่ผคู้ วบคมุ งาน แลว้ ใหผ้ คู้ วบคมุ งานเก็บตวั อยา่ งวสั ดทุ ่ีจะใชส้ ง่ กรมทางหลวงชนบท
รวมทงั้ ส่งเอกสารการออกแบบส่วนผสมโพลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตค์ อนกรีตมาพรอ้ มกนั เพ่ือทาการ
ตรวจสอบดว้ ย ผรู้ บั จา้ งอาจรอ้ งขอใหก้ รมทางหลวงชนบทเป็นผอู้ อกแบบส่วนผสมโพลีเมอรโ์ มดิฟายด์
แอสฟัลตค์ อนกรีตใหก้ ็ได้ คา่ ใชจ้ า่ ยในการนีผ้ รู้ บั จา้ งตอ้ งเป็นผรู้ บั ผิดชอบทงั้ สนิ้
3.2 คณุ ภาพท่วั ไปของวสั ดทุ ่ีจะใชท้ าโพลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตค์ อนกรีตใหเ้ ป็นไปตามขอ้ 2 สว่ นขนาด
คละและปรมิ าณโพลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตซ์ ีเมนตใ์ หเ้ ป็นไปตามตารางท่ี 1 และตารางท่ี 2
3.3 ขอ้ กาหนดในการออกแบบโพลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตค์ อนกรีต ใหเ้ ป็นไปตามตารางท่ี 3
3.4 กรมทางหลวงชนบท จะเป็นผูต้ รวจสอบเอกสารการออกแบบ หรือทาการออกแบบส่วนผสมโพลีเมอร์
โมดิฟายดแ์ อสฟัลตค์ อนกรีต พรอ้ มทงั้ พิจารณากาหนดสตู รสว่ นผสมเฉพาะงาน (job mix formula) ซ่งึ
มีขอบเขตตา่ งๆ ตามตารางท่ี 3 เพ่ือใชค้ วบคมุ งานนนั้ ๆ กรณีท่ีกรมทางหลวงชนบทเห็นควรใหก้ าหนด
ขอบเขตของสูตรส่วนผสมเฉพาะงานแตกต่างไปจาก ตารางท่ี 3 ก็สามารถดาเนินการไดต้ ามความ
เหมาะสม

143

สำนกั วิเครำะห์ วจิ ัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
3.5 ในการผสมโพลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตค์ อนกรีตในสนาม ถา้ มวลรวมขนาดหนง่ึ ขนาดใด หรือ

ปรมิ าณโพลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตซ์ ีเมนตห์ รือคณุ สมบตั อิ ่ืนใด คลาดเคล่ือนเกินกวา่ ขอบเขตท่ีกาหนด
ไวใ้ นสตู รสว่ นผสมเฉพาะงาน จะถือวา่ สว่ นผสมของโพลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตค์ อนกรตี ท่ีผสมไวใ้ นแต่
ละครงั้ นนั้ มีคณุ ภาพไมถ่ กู ตอ้ งตามท่ีกาหนด ผรู้ บั จา้ งจะตอ้ งทาการปรบั ปรุงแกไ้ ข คา่ ใชจ้ า่ ยในการนีผ้ ู้
รบั จา้ งตอ้ งเป็นผรู้ บั ผดิ ชอบทงั้ สิน้
3.6 ผรู้ บั จา้ งอาจขอเปล่ียนสตู รสว่ นผสมเฉพาะงานใหมไ่ ด้ ถา้ วสั ดทุ ่ีใชผ้ สมทาโพลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลต์
คอนกรีตเกิดการเปล่ียนแปลงไปดว้ ยสาเหตใุ ดๆ ก็ตาม การเปล่ียนสตู รสว่ นผสมเฉพาะงานทกุ ครงั้ ตอ้ ง
ไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากกรมทางหลวงชนบทกอ่ น
กรมทางหลวงชนบท อาจตรวจสอบ แกไ้ ข เปล่ียนแปลง ปรบั ปรุง หรือกาหนดสตู รสว่ นผสมเฉพาะงาน
ใหมไ่ ด้ ตามความเหมาะสมตลอดเวลาท่ีปฏิบตั งิ าน
3.7 การทดลองและตรวจสอบการออกแบบส่วนผสมโพลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตค์ อนกรีตทกุ ครงั้ หรือ
ทกุ สญั ญาจา้ ง ผรู้ บั จา้ งตอ้ งชาระคา่ ธรรมเนียมตามอตั ราท่ีกรมทางหลวงชนบทกาหนด

144

สำนกั วเิ ครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท

ตารางท่ี 1 ขนาดคละของมวลรวมและปรมิ าณโพลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตซ์ ีเมนตท์ ใ่ี ช้

ขนาดท่ีใชเ้ รียก มิลลิเมตร 9.5 12.5 19.0 25.0
(นวิ้ ) (3/8) (1/2) (3/4) (1)

สาหรบั ชนั้ ทาง Wearing Wearing Binder Base
ความหนา มลิ ลิเมตร Course Course Course Course
40-70
25-35 40-80 70-100

ขนาดตะแกรง มิลลิเมตร(นิว้ ) ปรมิ าณผา่ นตะแกรง รอ้ ยละโดยประมาณ

37.5 (1 1/2) 100 100 100 100
25.0 (1) 90-100 80-100 90-100 90-100
19.0 (3/4) 55-85
12.5 (1/2) 32-67 - - -
9.5 (3/8) 44-74 56-80 56-80
4.75 (เบอร์ 4) - 28-58 35-65
2.36 (เบอร์ 8) - 23-49 -
1.18 (เบอร์ 16) 7-23 - 29-59
0.600 (เบอร์ 30) - - - 19-45
0.300 (เบอร์ 50) 2-10 5-21 -
0.150 (เบอร์ 100) 4.0-8.0 - 5-19 -
0.075 (เบอร์ 200) 2-10 - -
ปรมิ าณโพลีเมอรโ์ มดฟิ ายด์ 3.0-7.0 2-8 5-17
3.0-6.5 -
แอสฟัลต์ 1-7
รอ้ ยละโดยมวลของมวลรวม 3.0-6.0

หมายเหตุ กรมทางหลวงชนบท อาจพจิ ารณาเปล่ียนแปลงขนาดคละของมวลรวม และปรมิ าณโพลีเมอรโ์ ม
ดฟิ ายดแ์ อสฟัลตซ์ ีเมนต์ ท่ีใช้ แตกตา่ งจากตารางท่ี 1 ก็ได้ ทงั้ นีโ้ พลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลต์

ซีเมนต์ รคอ้ อยนลกะรโีตดทย่ีไมดว้ ลตอ้ขงอมงีคมณุวลสมบตั แิ ละความแข็งแรงถกู ตอ้ งตามตารางท่ี 3
รวม

145

สำนักวิเครำะห์ วิจัยและพัฒนำ กรมทำงหลวงชนบท
ตารางที่ 2 ขนาดคละของวัสดผุ สมแทรก

ขนาดตะแกรง ปรมิ าณผา่ นตะแกรง
มลิ ลเิ มตร รอ้ ยละโดยมวล
100
0.600 (เบอร์ 30) 75-100
0.300 (เบอร์ 50) 55-100
0.075 (เบอร์ 200)

ตารางที่ 3 ข้อกาหนดในการออกแบบโพลเี มอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตค์ อนกรตี

ชนั้ ทาง

รายการ Wearing Wearing Binder Base Shoulder

Course Course Course Course

Aggregate Size 9.5 mm. 12.5 mm.

Blows 75 75 75 75 50

Stability Min. N 12,010 12,010 12,010 10,675 10,675

lb. 2,700 2,700 2,700 2,400 2,400

Flow 0.25 mm.(0.01 in) 8-16 8-16 8-16 8-16 8-16

Percent Air Voids 3-5 3-5 3-5 3-5 3-5

Percent Voids in Mineral

Aggregate(VMA) Min. 15 14 13 12 14

Stability / Flow Min. N/0.25 mm. 712 712 712 645 645

lb./0.01 in. 160 160 160 145 145

Percent Strength Index Min. 75 75 75 75 75

หมายเหตุ (1) การทดลองเพ่ือออกแบบสว่ นผสมโพลีเมอรโ์ มดฟิ ายดแ์ อสฟัลตค์ อนกรีต ใหด้ าเนินการตาม

มทช.(ท)607 : มาตรฐานการทดสอบแอสฟัลตค์ อนกรีต โดยวิธีมารแ์ ชลล์

(2) การออกแบบไหลท่ างโพลีเมอรโ์ มดิฟายด์ แอสฟัลตค์ อนกรีต ตามขอ้ กาหนดในตารางท่ี 3 ใหใ้ ช้
มวลรวมขนาด 12.5 มิลลิเมตร ยกเวน้ กรณีท่ีแบบกาหนดใหช้ นั้ binder course เป็นไหล่ทางดว้ ย

146


Click to View FlipBook Version