หนังสือท่ีระลึก พิธีเปลี่ยนเคร่อื งทรง เบิกพระเนตร ลยุ ไฟ งานประเพณีแห่เจา้ แมท่ บั ทิมพิชยั ประจาปี 2558
紀念冊
換袍開光點眼抱聖行火路大典
方巡遊各鄉傳統大祭典
披彩水尾聖娘廟
二五五八年
ประกายรงุ้ แหง่ มกุ มงั กร
เรียงถอ้ ยคา ยาถอ้ ยความ
ทอประกายผืนฟา้ สยาม ดว้ ยแสงงามแหง่ มกุ มังกร
ปภพ สิทธิผล
公主萬歲
ทรงพระเจรญิ
เน่ืองในโอกาส
พระราชพิธีมหามงคลฉลองพระชนมายุ 5 รอบ
สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี
2 เมษายน 2558
เจา้ ฟ้ าพระอาจารย์ พระผทู้ รงคณุ ูปการต่อวงการประวตั ิศาสตร์
และทรงเป็นแบบอยา่ งแห่งการศึกษาวฒั นธรรมจนี
換袍開光點眼抱聖行火路大典
方巡遊各鄉傳統大祭典
披彩水尾聖娘廟
二五五八年
吉祥的時刻
殿下公主"詩琳通"的第五週期生日週年慶祝
一百四十四週年儀式的披彩水尾聖娘廟
คานา
นบั ตงั้ แตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จุบนั ชาวจนี โพน้ ทะเลไดเ้ ขา้ มาตงั้ รกราก
ใตร้ ม่ พระบรมโพธสิ มภารในประเทศไทย ซ่งึ ชาวจนี ทุกกลุ่มชาตภิ าษา
ต่างกม็ วี ฒั นธรรมและอตั ลกั ษณ์ท่แี สดงออกถงึ ความเป็นตวั ตนของคน
แต่ละกลุ่ม หากแต่ในปจั จุบนั อตั ลกั ษณ์ของชาวจนี แตล่ ะกลุ่มชาตภิ าษา
กลบั กลนื กลาย ด้วยวาทกรรมทางสงั คม ตลอดจนส่อื โฆษณาท่มี ุ่งหวงั
ผลประโยชนทางธุรกิจ ทาให้ชาวจนี แต่ละกลุ่มภาษาต่างไม่เขา้ ใจถึง
แก่นสาระของวฒั นธรรมประเพณแี ละรากภูมปิ ญั ญาของบรรพชนอย่าง
แทจ้ รงิ
ประกายร้งุ แห่งมุกมงั กร เป็น “หนงั สอื ทรี่ ะลกึ พธิ เี ปลยี่ นเครอื่ ง
ทรง เบิกพระเนตร ลุยไฟ และงานประเพณีแห่เจ้าแม่ทับทิมพิชยั
ประจาปี พ.ศ. 2558” ผเู้ ขยี นจดั ทาขน้ึ เพ่อื เพ่อื รวบรวมองคค์ วามรู้ทาง
วฒั นธรรมประเพณี ตลอดจนคติความเช่อื ของชาวไทยเชื้อสายจีน
ไหหลา ให้เป็นวทิ ยาทานแก่ผสู้ นใจศกึ ษา และสรา้ งศรทั ธาแก่ผกู้ ราบ
ไหวอ้ งคเ์ จา้ แมท่ บั ทมิ พชิ ยั
หนังสือเล่มน้ี เป็นหนังสือภาคต่อ จาก หนังสือทีร่ ะลึกงาน
ประเพณีแห่เจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั ปี พ.ศ.2555 ซ่ึงเป็นการให้ข้อมูล
เก่ยี วกบั วฒั นธรรมประเพณีจนี และอตั ลกั ษณ์ของชาวจีนไหหลาใน
ประเทศไทย จากขอ้ จากดั ในการวางรูปเล่มของหนังสอื ท่รี ะลกึ เม่อื 3 ปี
ท่ีแล้ว ประกอบกับความต้องการของผู้เขยี น ท่ีอยากให้มีการปรับ
รูปแบบ เน้อื หาของหนงั สอื ให้เขา้ กบั วฒั นธรรมประเพณี และพธิ กี รรม
บางอย่างของชาวจนี ไหหลาท่จี ดั ขน้ึ ใน พธิ เี ปลย่ี นเคร่อื งทรง เบกิ พระ
เนตร ลุยไฟ และงานประเพณแี หเ่ จา้ แมท่ บั ทมิ พชิ ยั ในปี พ.ศ. 2558 เพ่อื
กระจายองคค์ วามรสู้ ูอ่ นุชนชาวจนี ไหหลารุน่ ตอ่ ๆไป
ภายในหนังสอื จะแบ่งออกเป็นภาคต่างๆ ด้วยพระบารมีของ
องค์เจ้าแม่ทับทิม และวิถีชีวิต ตลอดจนภูมิปญั ญาตามศาสตร์
หลากหลายแขนง ของบรรพชนชาวจนี ไหหลาตามสีทงั้ 7 ของสีร้งุ อนั
เป็นการเปรยี บเทยี บชาวจนี ไหหลา ทเ่ี ป็น ไขม่ ุกแหง่ ทะเลจนี ใต้ ซ่ึงองค์
เจ้าแมท่ บั ทิมเปรยี บประดจุ “มุกมงั กร”ท่ีทรงคณุ ค่าท่ีสุดแห่งทะเล
จนี ใต้ เมื่อมีแสงมาตกกระทบ กจ็ ะทอประกายออกมาเป็นสีร้งุ แผ่
พระบารมี สร้างความสวยงามและความสงบสุขให้แก่ท้องทะเล
โดยแบ่งเป็นเร่อื งต่างๆ ไดแ้ ก่
ภาคที่ 1 ภมู ิปัญญาแห่ง สถาปัตยกรรมศาสตร์ซ่ึ ง ภ า ย ใ น
เน้อื หาจะกล่าวถงึ ศาลเจ้า รูปสลกั มงคล ฮวงจุย้ ของชาวจนี ไหหลา อนั
หมายถงึ สีแดง คือ สีแห่งพระราชอานาจของเจ้าแม่ทบั ทิม ดงั่ แสง
ตะเกยี ง สวา่ งไสวยามมดื มดิ ปดั เปา่ ภยนั ตราย นามาซ่งึ ความสุขสวสั ดิ์
มงคลแกช่ าวจนี ไหหลาผกู้ ราบไหว้
ภาคที่ 2 ภูมิปัญญาแห่ง ศิลปศาสตร์ ภาคน้ีจะกล่าวถงึ คติ
เกย่ี วกบั เครอ่ื งทรงของเทพเจา้ ในรูปแบบต่างๆ รวมไปถงึ ประเพณกี าร
เปล่ยี นเคร่อื งทรงเทพเจ้า และศิลปวิทยาการในเชิงช่างของชาวจีน
ไหหลา โดยจะใช้ สีส้ม คือ สีแห่งพระอธิคณุ ของเจ้าแม่ทบั ทิม ดงั่
แสงทองบนท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ ช้นี าปญั ญา ขจดั อวชิ ชาทงั้ ปวงให้กบั
ลกู หลานชาวจนี ไหหลา
ภาคที่ 3 ภมู ิปัญญาแห่ง สงั คมศาสตร์ ซ่ึงภาคน้ีจะกล่าวถึง
พธิ กี รรมตามคตคิ วามเชอ่ื ของชาวจนี ไหหลา ประเพณีการแห่เจา้ และ
ประเพณตี า่ งๆดา้ นสงั คมวทิ ยา โด ย มี สี เหลื อง คื อ สี แ ห่ งพร ะ
เกียรติยศของเจ้าแม่ทบั ทิม แผป่ กทวั่ ปฐพี สถติ เสถียรเป็นปึกแผ่น
นาพาซง่ึ ความมนั่ คงถาวร หล่อหลอมจติ ใจของสงั คมชาวจนี ไหหลาให้
เป็นหน่งึ เดยี ว
ภาคท่ี 4 ภมู ิปัญญาแห่ง ศาสนศาสตร์ จ ะ เ ป็ น ภ า ค ท่ี
เก่ียวข้องกับ ความเช่อื เร่ืองเทพเจ้า ประวตั ิขององค์เทพเจ้าต่างๆ
ภายในศาลเจา้ แมท่ บั ทมิ พชิ ยั มี สีเขียว คือ สีแห่งพระเมตตาของเจ้า
แม่ทบั ทิม ดงั่ ร่มไม้ใหญ่ แผ่กงิ่ ก้านแห่งความอุดมสมบูรณ์ นามาซ่ึง
ความเจรญิ รุ่งเรอื งแก่ชมุ ชนชาวจนี ไหหลา
ภาคท่ี 5 ภมู ิปัญญาแห่ง นาฎยศาสตร์ เป็นภาคท่ีจะกล่าว
เก่ยี วกบั ศลิ ปวทิ ยาด้านนาฎยศลิ ป์และการแสดงต่างๆ ตลอดจนคติ
ความเชอ่ื เกย่ี วกบั เทพเจา้ แหง่ นาฏยศลิ ป์ ซง่ึ จะมกี ารละเล่นราถว้ ย การ
เชดิ เสอื ห่นุ กระบอก และการแสดงงว้ิ ไหหลา โดยมี สีน้าเงิน คือ สีแห่ง
พระคณุ ธรรมของเจ้าแม่ทบั ทิม ดงั่ เมฆบนทอ้ งฟ้า ใหร้ ่มเงา เป็นฉัตร
กางกนั้ เหนอื เกลา้ นาพาซ่งึ ความร่มเยน็ และความสนุกสนานมาสู่สงั คม
ชาวจนี ไหหลา
ภาคที่ 6 ภมู ิปัญญาแห่ง ประวตั ิศาสตร์ ภาคน้ีจะว่าด้วยเร่อื ง
วถิ คี วามเป็นจนี ไหหลา ประวตั ศิ าสตร์และมุขปาฐะต่างๆ ท่บี อกเล่า
เร่อื งราวความเป็นอตั ลกั ษณ์ของชาวจีนไหหลาในสงั คมไทยโดยมี สี
คราม คือ สีแห่งพระกรณุ าของเจา้ แมท่ บั ทิม ดงั่ เกลยี วคล่นื แห่งท้อง
ทะเล พดั พาซ่งึ ความอยู่ดกี นิ ดี และภูมปิ ญั ญาต่างๆของชาวจนี ไหหลา
ใหย้ งั คงอยู่และสง่ ตอ่ เกลยี วคลน่ื น้สี ู่อนุชนคนจนี ไหหลาสบื ไป
ภาคท่ี 7 ภมู ิปัญญาแห่ง คหกรรมศาสตร์ โ ด ย จ ะ เ ป็ น
เร่ืองราวเก่ียวกบั คตเิ ร่ืองชุดอาหารไหว้มงคล ตลอดจนสอดแทรก
เร่อื งราวของอาหารการกนิ ของชาวจนี ไหหลา ซ่ึงมี สีม่วง คือ สีแห่ง
พระบารมีของเจ้าแม่ทบั ทิม ดงั่ มวลบุปผาชาติ งามสง่าทวั่ ผนื แผน่ ดนิ
นาพาเอาความโชคดี และความสขุ สมบรู ณม์ าสู่พน่ี ้องชาวจนี ไหหลา
เน้อื หาภายในหนงั สอื ทงั้ หมด เกดิ จากความรู้ ความเขา้ ใจ และ
การศกึ ษาคน้ ควา้ ผา่ นหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ ทงั้ ท่เี ป็นลายลกั ษณ์
อกั ษร และมุขปาฐะของผอู้ าวุโสผทู้ รงคุณวุฒิ ไม่มกี ารเขยี นโดยไร้ซ่ึง
เหตุผลขอ้ สนบั สนุนและหลกั ฐาน เพ่อื ใหห้ นงั สอื เลม่ น้เี ป็นดงั่ ตาราอา้ งองิ
สาหรับความรู้ความเข้าใจเก่ียวกบั วฒั นธรรมประเพณีของชาวจีน
ไหหลาทงั้ ในอาเภอพชิ ยั และท่อี น่ื ๆ
คาอทุ ิศ
ผู้เขียนเป็นลูกหลานคนหน่ึงของเจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั เติบโต
ผกู พนั มากบั สถานท่แี ห่งน้ี และกา้ วมายนื ตรงจุดน้ี มวี นั น้ีได้ ดว้ ยพลงั
แห่งความกตญั ญูและสานึกในพระคุณขององค์เจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั อนั
เป็นดัง่ ลมใต้ปีก เป็นลมท่ีมองไม่เห็น ช่วยพยุงยามอ่อนล้า ช่วย
ประคบั ประคองยามไรท้ พ่ี ่งึ พงิ เป็นดงั่ หลกั ใจและหลกั ชยั ในชวี ติ สร้าง
พลงั ใหพ้ รอ้ มจะโบยบนิ ไปส่จู ุดหมายอย่างมนั่ ใจ ขอดวงทพิ ยญาณแห่ง
การหยงั่ รู้ของเจ้าแม่ทบั ทมิ พิชยั ท่สี ถติ เป็นร่มฉัตรกางกนั้ เหนือเกล้า
เหนือกระหม่อมของผเู้ ขยี น ได้โปรดรบั รู้ว่า ความรู้ทผ่ี เู้ ขยี นมีและการ
สรา้ งวทิ ยาทานน้ี ขอจงเป็นพลงั เพ่อื เสรมิ ส่งพระบารมขี องพระองคใ์ ห้
แผ่ไปทวั่ ทศิ านุทศิ ขอให้หนังสือเล่มน้ีเป็นลขิ สทิ ธิ์ เป็นทรพั ย์สินทาง
ปญั ญาของศาลเจา้ แม่ทบั ทมิ พชิ ยั ท่ผี เู้ ขยี นขอน้อมถวายแด่องคเ์ จ้าแม่
ฉะนัน้ จึงไม่อนุญาตให้ใครนาข้อมูลในหนังสือเล่มนี้ไปดดั แปลง
แกไ้ ข หรือตีพิมพเ์ พอ่ื การพาณิชย์
ขอให้หนังสือเล่มน้ีเป็นดงั ไม้ขดี ท่ีจะจุดไฟแห่งแรงศรทั ธา
นาพาซ่งึ ปญั ญาแก่ผอู้ ่านทุกท่าน และขอให้หนังสอื เล่มน้ีเป็นการจารกึ
ไวซ้ ่งึ พระบารมแี ห่งองคเ์ จา้ แม่ทบั ทมิ พชิ ยั ใหค้ งอยู่คกู่ บั ลูกหลานชาวจนี
ไหหลาสบื ไป
และขออุทศิ วทิ ยาทานครงั้ น้ี เป็นกุศลแด่คุณตาเจรญิ ตนั ตกิ ุล
ปราชญ์แห่งชมุ ชน ผมู้ พี ระคุณต่อครอบครวั ของผเู้ ขยี น ขอดวงวญิ ญาณ
ของคณุ ตาเจรญิ จงรบั รูว้ า่ หลานคนน้ีสานต่อแรงศรทั ธาตามคาสงั่ สอน
และคาสงั่ เสยี สุดทา้ ยของท่าน โดยจะคงรกั ษาไวซ้ ่งึ ขนบธรรมเนยี มอนั ดี
งามตลอดไป จนหมดแรงและหมดลมหายใจ และหลานคนน้ียงั คงย้าคา
สัญญาท่ีเคยให้ไว้กับท่านว่า จะไม่ให้ผู้ใดมาบิดเบือน ทาให้
ขนบประเพณอี นั ดงี ามท่ถี ูกส่งต่อมายงั ผเู้ ขยี นต้องเปล่ยี นแปลงหรอื ถูก
กลนื กลายดว้ ยอวชิ ชาและความไม่รทู้ งั้ ปวง
สดุ ทา้ ยน้ผี เู้ ขยี นขอขอบพระเดช ขอขอบพระคณุ พระบารมแี ห่ง
องคเ์ จา้ แมท่ บั ทมิ พชิ ยั ท่ยี งั คงสถติ เป็นหลกั ชยั ชน้ี าความสาเรจ็ ในชวี ติ
ใหก้ บั ผเู้ ขยี น เทพยุดาผปู้ ระทานความเมตตา ความห่วงใยกบั ลูกหลาน
คนน้ีเสมอมา ขอขอบพระคุณบรรพชนชาวจนี ไหหลาผบู้ ุกเบกิ แผน่ ดนิ
สยาม สรา้ งวฒั นธรรมประเพณอี นั ดงี าม สรรคส์ รา้ งพลงั แห่งจติ วญิ ญาณ
อนั แรงกลา้ สบื สานส่งทอดจากรุน่ สูร่ ่นุ มาจนถงึ ปจั จุบนั ขอขอบพระคุณ
ครูอาจารยท์ ่ีประสิทธปิ์ ระสาทพลงั วชิ า และจุดดวงไฟของจติ วญิ ญาณ
แห่งการใฝร่ ูม้ อบใหแ้ ก่ผูเ้ ขยี น ขอบพระคุณบุพการผี เู้ ป็นทร่ี กั ทงั้ สอง ท่ี
ยงั คงสนบั สนุนพลงั แห่งการใฝร่ ขู้ องผเู้ ขยี นเสมอมา
...ดว้ ยพลงั แห่งลมใตป้ ีก ทที่ าใหท้ อ้ งฟ้า ตรงน้ี งดงามกวา่ ทใี่ ดๆ
ดว้ ยแสงประกายรงุ้ จากมุกมงั กร ทที่ าใหท้ อ้ งน้ายงั คงสงบและสดใส
ขอพระองคค์ มุ้ ครองป้องภยั ทาใหล้ ูกหลานมวี นั ทดี่ ๆี
ดว้ ยเพราะมพี ระองคอ์ ยู่ตรงน้ี.....ไม่เคยจากไปไหน...
ปภพ สทิ ธผิ ล
诗帝蓬
สารบญั
ภาคที่ 1 ภูมปิ ญั ญาแห่ง สถาปตั ยกรรมศาสตร์ .................................................1
ซ่อื เหอเอยี๋ น: ศาลเจา้ จนี ไหหลา สถาปตั ยกรรมแหง่ จติ วญิ ญาณ...........2
ขอดเกลด็ สถาปตั ย์ สตั วม์ งคลแหง่ ศาลเจา้ จนี ไหหลา............................9
โอรสมงั กรกบั ความยง่ิ ใหญ่ ของศาสนสถานของชาวจนี ไหหลา...........19
ฮวงจยุ้ พลงั แหง่ สสี นั ทศิ ทาง และกระแสแหง่ ธรรมชาต.ิ .....................26
ภาคท่ี 2 ภมู ปิ ญั ญาแห่ง ศลิ ปศาสตร.์ ...............................................................37
พธิ เี ปลย่ี นเครอ่ื งทรงเทพเจา้ ของชาวจนี ไหหลา..................................38
หมวกยศและมงกฎุ กบั ฐานานุศกั ดขิ์ องเทพเจา้ จนี ..............................48
ภาคที่ 3 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร.์ .............................................................65
พธิ เี บกิ พระเนตร ชุมนุมทวยเทพยดาลุยไฟ และถวายฎกี า.................66
ประเพณีแหเ่ จา้ แม่ทบั ทมิ พชิ ยั ...........................................................78
แก่นแทข้ องเทศกาลและประเพณขี องชาวจนี และชาวจนี ไหหลา..........98
ภาคที่ 4 ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์............................................................116
เทพเจา้ ของชาวจนี ไหหลา...............................................................117
เจา้ แม่ทบั ทมิ เทพยดุ าแห่งสายน้า...................................................118
เจา้ พ่อกวนอู จกั รพรรดแิ ห่งสวรรค.์ .................................................126
เจา้ พ่อบว้ นเถ่ากง เทพผพู้ ทิ กั ษป์ ระจาตาบล................................136
เจา้ พ่อรอ้ ยแปด..........................................................................143
หว่ากวงกง รวมเทพเจา้ แหง่ ศลิ ปการแสดง..................................150
ดบู่ นั้ กง เทพเจา้ แหง่ งานช่างชาวจนี ไหหลา.................................156
ภาคที่ 5 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ นาฏยศาสตร์ .......................................................161
การละเลน่ ราถ้วยจนี ไหหลานาฏยวฒั นธรรมแห่งศรทั ธา..............162
บ่ายโบ้ยเตยี น: แปดเซยี นอานวยพร .........................................169
หนุ่ กระบอกจนี ไหหลา นาฏยกรรมทเ่ี รมิ่ เลอื นลาง.......................176
ตานาน เสอื ไหหลาเทวสญั ญะแหง่ ความเจรญิ รงุ่ เรอื ง..................182
ภาคท่ี 6 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ประวตั ศิ าสตร.์ ....................................................184
ตาเจมวย ตยุ๊ บว้ ยเต๋งเบ้ยี ว........................................................185
ประวตั แิ ละปาฏหิ ารยิ ์ ศาลเจา้ แม่ทบั ทมิ พชิ ยั ..............................193
วถิ ที างแห่งความเป็นจนี ไหหลา.................................................200
ภาคท่ี 7 ภูมปิ ญั ญาแห่งคหกรรมศาสตร.์ .................................................209
ชุดไหวซ้ าแซ – โหงวแซ...........................................................210
บทส่งท้าย.............................................................................................228
บรรณานุกรม.......................................................................................229
ภาคท่ี 1
ภมู ิปัญญาแห่ง สถาปัตยกรรมศาสตร์
2 ภาคท่ี 1: ภูมปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์
四合院: 灵性架构
ซื่อเหอเอี๋ยน:
ศาลเจา้ จีนไหหลา สถาปัตยกรรมแห่งจิตวิญญาณ
ศาลเจา้ คอื สถานทย่ี ดึ เหน่ยี วจติ ใจของชาวจนี ในชมุ ชน เป็นศนู ย์
รวมของความศรทั ธา ความหวงั และการร่วมแรงร่วมใจ ไม่ต่างอะไรกบั
วดั ของไทย ศาลเจา้ จนี สว่ นใหญ่เกดิ ขน้ึ จากความศรทั ธาของคนจนี โพน้
ทะเลท่อี พยพย้ายถิน่ ฐานมาจากแผ่นดินแม่ ฝากความหวงั มากบั เรือ
สาเภา ซ่ึงมกั จะประดษิ ฐานเทวรูปองค์เทพเจ้าท่เี คารพนับถอื ซ่ึงโดย
สว่ นมากจะเป็นเทพเจ้าทม่ี ตี านานเกย่ี วกบั สายน้า ท้องทะเล เม่อื มาถงึ
ยงั ฟากฝงั ่ แผ่นดนิ ไทย ก็ไม่ลมื ท่จี ะสนองพระคุณด้วยการสร้างศาลซ่ึง
เปรยี บเสมอื นกบั บา้ นใหก้ บั เทวรปู ของเทพเจา้ องคน์ นั้ ไดป้ ระทบั อยู่เป็น
หลกั ศรทั ธาทางจติ วญิ ญาณ
ภาคที่ 1: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์ 3
ชาวจนี ไหหลา เป็นชาวจนี โพ้นทะเลกลุ่มแรกๆ ต้นบรรพบุรุษ
ชาวจนี โพน้ ทะเลในปจั จบุ นั (หรอื ทเ่ี รยี กกนั วา่ หวั เฉียว 华侨) แม้พวก
เขาจะคนุ้ เคยกบั ทะเล แตก่ ม็ คี วามเกรงกลวั สุดๆ ดงั นนั้ ก่อนออกเดนิ ทาง
พวกเขาและญาตพิ ่นี ้อง จะไปบนบานศาลกล่าวต่อสง่ิ ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ์ ขอให้
เดินทางโดยปลอดภัย โดยเฉพาะเจ้าแม่ตุ๊ยบ้วย 水尾聖娘
(ตุ๊ยบ้วยเต๋งเหน่ียง) คือเทพเจ้าท่พี บมากท่สี ุดในศาลเจ้าของชาวจีน
ไหหลา รองมาคอื เทพเจา้ บว้ นเถ่ากง และเจยี วเอง็ หรอื เฮยี ดก่ี ง
รูปแบบของศาลเจ้าจีนไหหลา มักจะสร้างด้วยลักษณะของ
สถาปตั ยกรรมแบบ ซ่ือเหอเอีย๋ น (四合院)1 หรือลักษณะแบบ
ส่เี หล่ยี มผนื ผ้าตอนลึก ซ่ึงมีแบบแปลนท่งี ่าย ไม่ซบั ซ้อน โดยซ่ือเหอ
เอยี๋ น จะเรม่ิ ตน้ จากซุม้ ประตดู า้ นหน้า หรอื ต้าเหมนิ (大门) ถดั มาจะ
เป็นลานโล่งกวา้ ง แต่เดมิ ในอดตี ลานน้ีคอื สวนหย่อมในบา้ น เป็นการ
สรา้ งลกั ษณะทางภูมสิ ถาปตั ยแ์ บบหยนิ หยางและธาตุทงั้ ห้า (阴阳五
行) ตามศาสตรฮ์ วงจุย้ จนี โบราณ ทด่ี งึ เอาพลงั จากกระแสลม และคล่นื
พลงั จากกระแสน้าไหลเวยี นหมนุ ผา่ นในตวั บา้ น
ถดั จากลานโล่งกวา้ งเขา้ ไปในรวั้ บ้านจะเป็นประตูท่ี 2 เรยี กวา่
ฉุยฮัวเหมิน (垂花门) มีลกั ษณะเป็นประตูฝาทึบ ไม่มีการเจาะ
ลวดลายหรอื ช่องว่างท่ีประตู แต่จะใช้วธิ วี าดลวดลายมงคล เขยี นบท
1 老北京人称四合院为四合房. 见宫阙依旧在, 今夕是何年,
中华建筑报, 2006 年.
4 ภาคที่ 1: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์
กลอนมงคล หรอื วาดภาพ ทวารบาลแทน ซ่งึ ถดั จากประตูน้ีทงั้ 2 ขา้ ง
มกั จะทาเป็นผนงั ทบึ ทงั้ หมด กนั้ หอ้ งอเนกประสงคข์ นาดเลก็ 2 ฝงั ่ ซ้าย
ขวา
เม่อื ก้าวพ้นประตูท่ี 2 กจ็ ะพบกบั หอ้ งโถงกวา้ ง ซ่งึ ศาลเจ้าของ
ชาวจนี ไหหลาจะแตกตา่ งจากศาลเจา้ ของชาวจนี กลมุ่ อ่นื โดยมากจะเป็น
ศาลเจ้าขนาดกลาง ไม่ใหญ่โตเท่าไหร่ ผงั ในการสร้างจะสร้างศาลใน
ลกั ษณะท่ีเป็นศาลตอนลกึ หน้าไม่กว้าง เพราะตามคติการสร้างศาล
เจา้ ของชาวจนี ไหหลา มกั จะมกี ารสรา้ ง “หอ้ งโถงกวา้ ง” มลี กั ษณะคลา้ ย
กบั โถงทอ้ งพระโรง ก่อนเขา้ ถงึ ประตูดา้ นใน (ประตทู ่ี 3) ของศาลเจา้
หอ้ งโถงกว้างน้ี โดยทวั่ ไปมกั จะเรยี กกนั ว่า โถงชโลมพระคุณ
(沐恩亭 มู่เอินถิง) เป็นโถง มุงหลังคา มี 4 เสาหลกั ไม่มีผนัง
(บางแหง่ อาจมี แตม่ กั จะทาใหโ้ ล่งเพ่อื ระบายลม) ภายในมักจะประดบั
ด้วยภาพวาด ภาพแกะสลกั เร่ืองราวหรือ ตานานของเทพเจ้าองค์
ประธานในศาล และจะมบี ทกลอนสรรเสรญิ พระคุณตดิ อยู่ทเ่ี สาบา้ ง ข่อื
ระหว่างเสาบ้าง หรอื อาจเป็นป้ายผา้ ท่ที ง้ิ ตวั ยาวลงมาจากฝ้าเพดานถงึ
พน้ื ดนิ บทกลอนเหล่าน้ีมไี วใ้ ห้ผทู้ ่จี ะเขา้ มากราบไหวร้ ะลกึ และสานึกใน
พระกรุณาของเทพเจา้ ทม่ี เี มตตาตอ่ มวลมนุษย์ คอยชว่ ยเหลอื สรรพชวี ติ
ทต่ี กทกุ ขไ์ ดย้ ากและมเี ร่อื งทุกขร์ อ้ นใจ เม่อื อ่านบทกลอนเหล่าน้ีกจ็ ะทา
ใหผ้ ทู้ จ่ี ะมากราบไหวส้ านึกและสารวมใจน้อมสกั การะตอ่ องคเ์ ทพเจา้ ทจ่ี ะ
อยูถ่ ดั เขา้ ไปหลงั จากกา้ วพน้ หอ้ งโถงชโลมพระคณุ
ภาคท่ี 1: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์ 5
ถดั จากโถงชโลมพระคุณคอื ประตูท่ี 3 ซ่งึ เรยี กวา่ ประตูเหมนิ
เหลียน (门联) เป็นประตูไม้กระดานทึบวาดภาพทวารบาล เป็นไม้
แผ่นใหญ่สามารถถอดเขา้ ออกได้ เม่อื ก้าวพ้นประตูมากจ็ ะพบกบั แท่น
บูชา ทท่ี อดเคร่อื งบูชาต่างๆไว้ รวมไปถงึ กระถางธูป แท่นปกั เทยี น ถดั
จากนนั้ ไปคอื อา๊ ม 龕 หรอื หอ้ งทป่ี ระทบั ของเทพเจา้ และโดยส่วนใหญ่
ชาวจนี ไหหลามกั จะมกี ระดาษแดง เขยี นอกั ษร ลกั ษณะคลา้ ย ตยุ้ เหลยี น
(對聯) หรอื วลมี งคล ดว้ ยตวั หนงั สอื สที อง ตดิ ไวท้ ่สี กดั หลงั หรอื ผนัง
หอ้ งดา้ นหลงั ขององคเ์ ทพเจ้าว่า 登龕大吉 (เตง็ อ๊ามได่เกย๊ี ด) ซ่งึ มี
ความหมายมงคลวา่ “ทส่ี ถติ ของความเป็นมหามงคล” นนั่ เอง
หลงั คาของศาล มกั จะเป็นรปู แบบสถาปตั ยกรรมแบบ ยง่ิ ซานตงิ่
(硬山顶) ซ่ึงมีลักษณะคล้ายภูเขา รูปทรงหลังคาจะเป็นจัว่
สามเหลย่ี ม บนสนั ของจวั่ จะประดบั ดว้ ยลายปนู ปนั้ มงคลต่างๆ เช่น ลาย
มงั กร ลายหงส์ เป็นตน้ สว่ นกระเบ้อื งทม่ี ุงหลงั คา มกั จะมุงให้มลี กั ษณะ
นูนขน้ึ มาคล้ายหลงั เต่า เรยี งต่อกันเป็นลอนยาว ซ่ึงทางสถาปตั ยกรรม
จนี จะเรยี กการเรยี งตวั ของลอนกระเบ้อื งน้ีว่า ยางเหอหว่าชงิ สุยจ่ี (仰
合瓦清水脊)2
รูปแบบของสถาปตั ยกรรมลกั ษณะดงั กล่าวทงั้ หมดน้ี สามารถ
พบไดจ้ ากศาลเจา้ จนี ไหหลาทส่ี าคญั ๆอยา่ ง ศาลเจา้ แมท่ บั ทมิ เชงิ สะพาน
2 漫话胡同门联. 四合院的宅门, 北京晚报, 2006 年.
6 ภาคท่ี 1: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์
กรงุ ธนฯ (ซงั ฮ)้ี และศาลเจา้ แม่ทบั ทมิ พิชยั ซ่งึ เป็นศาลเจ้าจนี ไหหลารุ่น
เก่าแก่ แม้ว่ากาลเวลาอาจหมุนเวยี นเปล่ยี นผ่าน มกี ารบูรณะต่อเติม
ซ่อมแซมเพอ่ื ใหเ้ กดิ อรรถประโยชน์ แต่กย็ งั คงเคา้ เดมิ ไวใ้ หล้ กู หลานชาว
จีนไหหลาราลึกถึงความสวยงามแห่งวฒั นธรรมท่บี รรพบุรุษรวบรวม
กาลงั ทรพั ย์ กาลงั ศรทั ธา สรรคส์ รา้ งศนู ย์รวมจติ ใจทเ่ี ตม็ เป่ียมไปดว้ ยจติ
วญิ ญาณอนั แรงกล้าของบรรพชน จนทาใหเ้ กดิ คาถามกบั ลูกหลานชาว
จนี ไหหลาต่อมาว่า ศาลเจา้ ใหอ้ ะไรกบั เรา คาตอบกค็ อื ศาลเจ้ามอบจติ
วิญญาณแห่งการสานต่อแรงศรัทธาของบรรพชน ให้คงอยู่เป็น
สถาปตั ยกรรมทม่ี ชี วี ติ ทรงคณุ คา่ ทางวฒั นธรรมตอ่ ไปตราบนานเทา่ นาน
ศ า ล เ จ้ า แ ม่ ทั บ ทิ ม พิ ช ัย คื อ ศ า ล เ จ้ า ห น่ึ ง ท่ี มี ลั ก ษ ณ ะ ท า ง
สถาปตั ยกรรมแบบจีนไหหลาโบราณโดยแท้ หากพิจารณาจาก
โครงสรา้ งเกา่ ของตวั ศาล โดยในภายหลงั มกี ารต่อเตมิ เพ่อื สร้างพน้ื ทใ่ี ช้
สอยเพม่ิ เตมิ หากแต่ยงั รกั ษารปู ลกั ษณแ์ ละความงดงามทางจติ วญิ ญาณ
น้ี สง่ ตอ่ มาใหล้ ูกหลานไดท้ าความเขา้ ใจ และซาบซ้งึ ในพระคุณของเจา้
แม่ทบั ทมิ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากบทกลอนภาษาจนี ทส่ี ลกั บนแผ่นไม้ ทต่ี ดิ อยู่
ณ โถงชโลมพระคุณ โดยสามารถถอดความออกมาไดว้ า่
恩深似海 อธคิ ณุ ลกึ ลน้ ชลชลา
為民父母 เฉกเช่น ปิตุ มาตา
慈雲鏡海 ดงั่ เมฆา สะทอ้ น ทอ้ งนที
護國恩涂 ภาคท่ี 1: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์ 7
ป้องปฐพี เป่ียมปก พระกรณุ า
恩普海鏡 งามสงา่ คอื คนั ฉ่อง สอ่ งชลาลยั
恩涂再造 เกยี รตคิ ณุ เกรยี งไกร ขจรขจาย
(ถอดความและเรยี บเรยี งภาษาไทยโดยผเู้ ขยี น)
ซ่ือเหอเอี๋ยนตามตาราจนี โบราณ
8 ภาคท่ี 1: ภูมปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์
ต้าเหมิน (大门) หรอื ประตใู หญ่ทางเขา้ ด้านหน้าศาล
และลานกว้างกอ่ นถึงประตฉู ุยฮวั เหมิน (垂花门)
ประตูฉุยฮวั เหมิน (垂花门)
โถงชโลมพระคณุ (沐恩亭 มเู่ อินถิง)
ภาคท่ี 1: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์ 9
神聖動物
ขอดเกลด็ สถาปัตย์
สตั วม์ งคลแห่งศาลเจ้าจีนไหหลา
สตั วส์ ญั ลกั ษณ์ของความเป็นมงคลของชาวจนี ไหหลา อาจจะมี
ความเช่ือไม่ได้แตกต่างจากชาวจีนกลุ่มอ่ืนมากนัก แต่ในทาง
สถาปตั ยกรรมและประตมิ ากรรมต่างๆของชาวจนี ไหหลา มกั จะปรากฏ
รปู สตั วม์ งคลอยู่เพยี งไม่กช่ี นดิ โดยหลกั ๆมกั จะเป็นสตั วใ์ นตานาน ตาม
คตคิ วามเชอ่ื ของชาวจนี โบราณ อกี ทงั้ สถาปตั ยกรรมของชาวจนี ไหหลา
แท้ มกั จะไม่นยิ มทจ่ี ะสรา้ งสถานทใ่ี หม้ คี วามสลบั ซบั ซอ้ น และดูแลรกั ษา
ยาก ดว้ ยเพราะพน้ื ทอ่ี ยู่บนเกาะ สภาพการใชง้ านและความคงทนถาวร
ทจ่ี ะตอ้ งมมี ากกวา่ การสรา้ งสถาปตั ยกรรมโดยทวั่ ไป ซ่ึงต้องทนทานกบั
สภาพภูมอิ ากาศ และภูมปิ ระเทศดว้ ย
10 ภาคที่ 1: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์
ภาพจติ รกรรมและประตมิ ากรรมของชาวจนี ไหหลา จะประกอบ
ไปดว้ ยสตั วม์ งคลอยู่ 4 ตวั นนั่ คอื กเิ ลน มงั กร สงิ โตหรอื เสอื และหงส์
ซ่ึงสตั ว์ชนิดต่างๆ มีความหมายและจุดประสงค์ในการสร้างข้นึ มา
แตกต่างกนั ดงั น้ี
กิเลน
กเิ ลน ตามตานานจนี วา่ มรี ูปร่างเหมอื นกวาง แต่มเี ขาเดยี ว หาง
เหมอื นววั หวั เป็นมงั กร มกี บี เหมอื นมา้ (บางตาราวา่ มตี วั เป็นสุนขั ลาตวั
เป็นเน้อื สมนั ) เกดิ จากธาตุทงั้ หา้ คอื ดนิ น้า ไฟ ไม้ และโลหะ ผสมกนั
- เชอ่ื วา่ กเิ ลน มอี ายุอยู่ไดถ้ งึ พนั ปี
- ถอื วา่ เป็นยอดแหง่ สตั วส์ เ่ี ทา้ ทงั้ หลาย
- เป็นสญั ลกั ษณ์แหง่ คณุ งามความดี
- ปรากฏใหเ้ หน็ เมอ่ื ใด กจ็ ะเกดิ ผมู้ บี ญุ มาปกครองบา้ นเมอื ง
- กเิ ลน เป็นหน่ึงใน ส่ีสตั วศ์ กั ดิส์ ทิ ธิ ์ ซ่ึงประกอบด้วย หงส์ เต่า
มงั กร และ กิเลน (บา้ งว่าเป็น เสือ)
ในยุคฟูซี เป็นผู้ปกครองชนเผ่าคนแรกของมนุษย์ ได้สงั เกต
ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของธรรมชาติ จนสามารถพ่งึ ตวั เองได้ วนั หน่ึงมี
กเิ ลน ตวั หน่งึ กระโดดขน้ึ มาจากแมน่ ้าหวงโฮบนหลงั กิเลน มสี ญั ลกั ษณ์
ปรากฏท่ถี ูกเรยี กในภายหลงั ว่า “ แผนที่เหอ ” ซ่ึงต่อมาไดพ้ ฒั นา
กลายเป็นตวั อกั ษร หลงั จากนนั้ องคค์ วามรูต้ ่าง ๆ ของมนุษยก์ บ็ งั เกิด
และเจรญิ สบื ตอ่ เรอ่ื ยมา
ภาคที่ 1: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์ 11
ภาพวาดหรอื รูปปนู ปนั้ ของกเิ ลน มกั จะปรากฏอยู่ท่สี กดั หลงั หรอื
ผนงั ด้านหลงั ของเทพเจ้า มกั จะสรา้ งเป็นรูปกิเลนเหยยี บสงิ่ ของมงคล
ของเทพโป๊ยเซียน (น้าเตา้ คทาอนิ หยาง กลองปลาหยวี๋ ก์ ู่ พดั ใบกล้วย
เป็นต้น) โดยเป็นภาพกิเลนเหลียวหลัง เพราะชาวจีนไหหลาเช่อื ว่า
กเิ ลนวงิ่ ถอยหลงั จะเป็นกเิ ลนมงคล ซ่งึ มกั ปรากฏอยู่คู่กบั เทวรูปเจา้ แม่
ทบั ทมิ สงั เกตได้จากศาลเจา้ ของชาวจนี ไหหลาโบราณอย่างศาลเจา้ แม่
ทบั ทมิ พชิ ยั หรอื ศาลเจา้ แมท่ บั ทมิ สามเสน เป็นตน้
มงั กร
ในประเทศจนี คนโบราณมคี วามเชอ่ื กนั วา่ มงั กร คอื สตั วท์ ท่ี รง
พลงั และศกั ดสิ์ ทิ ธแิ ์ ห่งฟ้าและดนิ ไดร้ บั การกล่าวกนั วา่ มคี วามเป็นมติ ร
มากกวา่ ความรา้ ยกาจ เป็นสญั ลกั ษณท์ น่ี ามาซ่งึ ความสขุ และความอุดม
สมบูรณข์ องบา้ นเมอื ง
- พบมงั กรได้ท่ี่ แม่น้าและทะเลสาบ
- มงั กรชอบทจ่ี ะอยูท่ า่ มกลางสายฝน
- มงั กร ได้รบั การยกย่องว่า เป็นผู้สร้างกฎแห่งความใจบุญ
เสรมิ สรา้ งความมนั่ ใจ และ ความเชอ่ื มนั่ ใหแ้ กก่ ษตั รยิ ์
- กษตั รยิ จ์ ะนงั่ บนบลั ลงั กม์ งั กร เดนิ ทางโดยเรอื มงั กร เสวยอาหาร
บนโต๊ะมงั กร และ บรรทมบนเตยี งมงั กร
ตามความเช่อื ของชาวจนี โบราณนัน้ จะมีสตั ว์ศกั ดสิ ์ ทิ ธอิ ์ ยู่ 4
ชนิด คอื กิเลน หงส์ เต่า และ มงั กร โดยชาวจนี จะเชอ่ื ถอื กนั วา่ มงั กร
นนั้ เป็นสตั วท์ ่ยี ง่ิ ใหญ่ท่สี ุดในบรรดาสตั วท์ งั้ 4 ชนิดนนั้ มงั กรจนี หรอื ท่ี
12 ภาคที่ 1: ภูมปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์
ชาวจนี เรียกกนั ว่า “เล้ง-เล่ง-หลง-หลุง” ชาวจีนถือว่ามังกรนัน้ เป็น
สญั ลกั ษณ์ของพลงั อานาจ ความยง่ิ ใหญ่ และ เพศชาย ซ่งึ ตามตานาน
ในสมยั โบราณของจนี มี เจา้ แมน่ ่งึ ออ หรอื หน่วี า มลี กั ษณะลาตวั เป็นคน
แต่หวั เป็นงู ซง่ึ ในบางตารากม็ กี ารบอกต่อ ๆ กนั มาว่าว่ามลี าตวั ตวั ท่อน
บนเป็นคน แต่ท่อนล่างเป็นงู เม่อื เจา้ แม่น่ึงออส้นิ อายุไข นางไดต้ ายไป
แลว้ เป็นเวลา 3 ปี แต่ศพของนางกลบั ไม่เน่าเป่ือย และเม่อื มคี นลองเอา
มดี ผา่ ทอ้ งของนางดู กป็ รากฏมมี งั กรเหลอื งตวั หน่ึงพุ่งออกมาแล้วเหาะ
ขน้ึ ฟ้าไป
ตาราดกึ ดาบรรพข์ องจนี กล่าวกนั ว่า มงั กรจนี นนั้ ถอื กาเนิดขน้ึ
ครงั้ แรกในสมยั ของ พระเจ้าฟูซี (หรือเม่อื ประมาณ 3,935 ปีก่อน
พุทธกาล) มตี านานกลา่ วกนั ไวว้ า่ มมี งั กรอยตู่ วั หน่งึ เป็นเจา้ เหนือน่านน้า
ทงั้ ปวงเป็นระยะเวลาหลายพนั ปี ซ่งึ แทจ้ รงิ แลว้ มงั กรตวั นนั้ กค็ อื พระเจา้
ฟูฮี แปลงรา่ งนนั่ เอง พระเจา้ ฟูฮนี นั้ ป็นผทู้ ม่ี คี วามสามารถเป็นอย่างมาก
ทรงคดิ ประดษิ ฐข์ องหลายสงิ่ หลายอยา่ ง เช่น “โป๊ย-กว่ ย” หรอื ยนั ต์แปด
ทศิ อกี ทงั้ ยงั ทรงเป็นผกู้ าหนดการท่ใี ห้ชายหญิงมกี ารมนั่ หมายกนั เป็น
คคู่ รองอกี ดว้ ย
ชาวจนี แทนลกั ษณะเฉพาะของมงั กร 9 อย่าง ตามประเพณี แต่
ละอย่างแสดงถงึ ลกั ษณะของมงั กรท่แี ตกต่างกนั ลกั ษณะของ มงั กรจนี
ในงานด้านจิตกรรมประตมิ ากรรมของจีน ซ่ึงใชใ้ นเวลาและโอกาสท่ี
ต่างกนั คอื
1.ลกั ษณะหวั ของมงั กร คลา้ ยกบั หวั ของอูฐ บางตารากบ็ อกว่ามา
จากหวั มา้ หรอื หวั ววั หรอื หวั จระเข้
ภาคท่ี 1: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์ 13
2.ลกั ษณะหนวดของมงั กร คลา้ ยกบั หนวดของมนุษย์
3.ลกั ษณะเขาของมงั กร คลา้ ยกบั เขาของกวาง มงั กรจะมเี ขาไดก้ ็
ต่อเม่อื มอี ายุ 500 ปี และเม่อื อายุถงึ 1,000 ปี ก็จะมีปีกเพิม่ ขน้ึ มาอกี
อย่างหน่งึ
4.ลกั ษณะตาของมงั กร คลา้ ยกบั ตากระต่าย บางตาราบอกว่ามา
จากตาของมารหรอื ปีศาจหรอื ตาของสงิ โต
5.ลกั ษณะหูของมงั กร คล้ายกบั หูววั แต่ไม่สามารถได้ยนิ เสยี ง
บางตารากว็ ่าไม่มหี ู บางตาราบอกวา่ มงั กรได้ยนิ เสยี งทางเขาทเ่ี หมอื น
เขากวางนนั้
6.ลกั ษณะคอของมงั กร คลา้ ยกบั คองู
7.ลกั ษณะท้องของมงั กร คลา้ ยกบั ท้องกบ บางตาราบอกว่ามา
จากหอยแครงยกั ษ์
8.ลกั ษณะเกลด็ ของมงั กร คลา้ ยกบั เกลด็ ปลามงั กร บางตาราวา่
มาจากปลาจาพวกตะเพยี นหรอื กระโห้ โดยมงั กรจะมเี กลด็ ตลอดแนวสนั -
หลัง จานวน 81 เกล็ด มเี กล็ดตามลาคอจนถงึ บนหวั บนหัวมงั กรมี
รปู ลกั ษณะเหมอื นสนั เขาต่อกนั เป็นทอดๆ
9.ลกั ษณะกงเลบ็ ของมงั กร คล้ายกบั กงเลบ็ ของเหย่ยี ว จานวน
เลบ็ ของมงั กรแต่ละตวั จะไมเ่ ทา่ กนั มงั กรทย่ี ง่ิ ใหญ่จงึ จะมี 5 เลบ็ นอกนนั้
กจ็ ะเป็น 4 เลบ็ หรอื 3 เลบ็
14 ภาคท่ี 1: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์
มงั กรยงั เป็นสตั วค์ ่พู ระบารมขี องกษตั รยิ แ์ ละเทพเจา้ ชนั้ สูง อย่าง
เทพเจ้ากวนอู ซ่ึงชาวจนี ถือว่า ทรงดารงตาแหน่งเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้
องค์ปจั จุบนั ดงั นัน้ จึงจะเหน็ รูปวาดหรอื รูปปูนปนั้ ของมงั กรอยู่บนผนัง
ดา้ นหลงั ของเทพเจา้ กวนอู เป็นตน้
สิงโตและเสือ
สงิ โตเป็นสตั ว์ท่ีมีลกั ษณะแห่งความเป็นเจ้า โดยสามารถใช้
สงิ โตมงคล เพ่อื สลายพลงั ปราณชพ่ี ฆิ าตต่างๆ และชว่ ยเรยี กโชคลาภได้
แตเ่ น่ืองจาก สงิ โต มพี ลงั มากจงึ ไม่เหมาะทจ่ี ะใชก้ บั บ้านอยู่อาศยั ทวั่ ไป
แต่เหมาะทจ่ี ะใชส้ าหรบั หา้ งรา้ น บรษิ ทั หรอื สถานทร่ี าชการ
- สงิ โตตวั ท่ีอยู่ตาแหน่งเสอื ขาว (หนั หน้าออกด้านขวามือ) มี
บรรดาศกั ดเิ์ ป็น “เส้าเป่า” เป็นสิงโตเพศเมยี มหี น้าท่เี ป็นราช
องครกั ษ์ใหก้ บั เจา้ ชายของราชวงศ์
- สงิ โตตวั ท่อี ยู่ตาแหน่งมงั กรเขยี ว (หนั หน้าออกทางซ้ายมือ) มี
บรรดาศกั ดิเ์ ป็น “ไท่ซือ” เป็นสิงโตเพศผู้ มีหน้าท่ีเป็นราช
องครกั ษ์ของกษตั รยิ ์ หรอื ฮ่องเต้ ดงั นนั้ แม้แต่เชอ้ื พระวงศ์ หรือ
บรรดาขนุ นางชนั้ ผใู้ หญ่ยงั ตอ้ งใหค้ วามเกรงใจและเกรงกลวั
- รูปปนั้ สิงโตมงคล จะต้องวางเป็นคู่ โดยวางสิงโตเพศผู้ไว้
ทางซา้ ย และ เพศเมยี ไวท้ างขวาทบ่ี รเิ วณหน้าประตูของสถานท่ี
นนั้ ๆใหห้ นั หน้าออกไปทางดา้ นหน้า
- วธิ สี งั เกตเพศของ สงิ โตมงคล คอื สงิ โตเพศผู้ เท้าหน้าจะเหยยี บ
ลกู บอล และ สงิ โตเพศเมยี เทา้ หน้าจะเหยยี บลกู
ภาคที่ 1: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์ 15
นอกจากน้ี สงิ โต จะเป็นเคร่อื งหมายของความรุ่งเรอื งและความมี
ยศถาบรรดาศกั ดิ์ ยงั มอี านาจขจดั ปีศาจและสง่ิ ชวั่ ร้าย ทงั้ ยงั ช่วยให้มี
ฐานะและชอ่ื เสยี ง สงิ หค์ ู่ชว่ ยป้องกนั สง่ิ เลวรา้ ยทเ่ี ขา้ มาสู่ภายในบา้ น จะ
ชว่ ยคมุ้ ครองใหร้ ม่ เยน็ เป็นสุข ปราศจากการรบกวนของภูตผปี ีศาจ คุณ
ไสยมนตด์ าและคนพาล และจะชว่ ยหนุนส่งวาสนาใหร้ ุ่งเรอื งขน้ึ ดว้ ย เพม่ิ
พลงั อานาจใหแ้ ก่บา้ นเรอื นของผมู้ อี านาจและศาลเจา้
เสือ
เสอื เป็นสญั ลกั ษณ์ แสดงถงึ ความทรงอานาจ ทรงอทิ ธพิ ลทงั้ ทาง
ดา้ นมดื และดา้ นสวา่ ง แต่จะค่อนไปทางด้านมดื มากกว่า ซ่งึ ผดิ กบั สงิ โต
เจา้ ปา่ เสอื กเ็ ป็นเจ้าแห่งป่าดงดบิ เช่นกนั แสดงถงึ ผมู้ อี ทิ ธพิ ลในท้องท่ี
นนั้ ๆ ผมู้ อี านาจลน้ ฟ้า จนผใู้ ดพบเหน็ ตอ้ งหวาดกลวั เกรงกลวั บารมขี อง
เสยี งทก่ี อ้ งคารามอย่างวางกรา้ มเสมอๆใครเหน็ เสอื ในระยะกระชนั้ ชดิ นนั่
หมายถงึ ความตายกาลงั มาเยอื น เสอื จงึ เป็นสญั ลกั ษณ์แห่งอานาจฝ่าย
มดื การขม่ ขวญั ค่ตู อ่ สู้ ผทู้ ช่ี อบเสอื มภี าพเสอื อยใู่ นบ้าน ท่านมกั เป็นผมู้ ี
อานาจในตวั มากลน้ มบี ารมแี ผไ่ ปอย่างไพศาล
ทงั้ เสอื และสงิ โตจงึ เป็นสตั วม์ งคลในทางอานาจบารมี ซ่งึ ชาวจนี
ไหหลายกให้เป็นสตั วค์ ู่พระบารมขี องเทพเจา้ บว้ นเถ่ากง โดยจะเหน็ ได้
จากตานานเสอื ไหหลา ท่กี ล่าวถงึ เสอื วา่ เป็นสตั วใ์ ตบ้ ญั ชาของเทพเจ้า
บว้ นเถา่ กง
16 ภาคท่ี 1: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์
หงส์
หงส์ เป็น เจ้าแห่งปกั ษา และเป็นสตั วม์ งคลชนิดหน่ึงของจนี มา
แต่โบราณ มรี ูปลกั ษณ์เดมิ มาจากนกหลากหลายชนิด อาทิ ไก่ฟ้า ห่าน
ฟ้า นกกระจอก เหยย่ี วนกกระจอก นกนางแอ่นฯลฯ มคี วามหมายทด่ี ี 5
ประการ คอื มคี ุณธรรม, ความยุตธิ รรม, ศลี ธรรม, มนุษยธรรม, สจั ธรรม
ในตานานกล่าววา่
- หงส์ มรี ูปคลา้ ยไกฟ่ ้า
- มสี ขี นสลบั ลายเป็นประกาย มนี ิสยั รกั สะอาด ช่างเลอื ก (มคี วาม
ละเอยี ดออ่ นประณตี )
- เน่อื งจากรูปลกั ษณเ์ ป็นนก ประจาทศิ ใต้ ธาตุไฟ สแี ดง จงึ ไดช้ อ่ื
วา่ หงสแ์ ดง
- หงส์ ชาวจนี เรยี กวา่ หง มีความหมายว่า ความสวย ความสง่า
งามเพศหญงิ
- หงส์ มหี วั สแี ดง จะเป็นหงสต์ วั เมยี
- หงส์ หวั สเี ขยี วหรอื สนี ้าเงนิ จะเป็นหงสต์ วั ผู้
โดยนาเอานก 5 ชนิดมาผสมกนั เป็น หงส์
o หวั มาจาก ไกฟ่ ้า
o ปาก มาจาก นกแกว้
o ตวั มาจาก เป็ดแมนดารนิ
o ขา มาจาก นกกระสา
o หาง มาจาก นกยงู
ภาคท่ี 1: ภูมปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์ 17
บางตาราจงึ ไดแ้ บง่ นกหงสอ์ อกเป็น 5 ชนดิ คอื ชนดิ ขนแดง ขนสี
ม่วง ขนสเี ขยี ว ขนสเี หลอื และขนสขี าว และชนิดสขี าวเรยี กกนั โดยทวั่ ไป
วา่ ห่านฟ้า ภายหลงั ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากความเชอ่ื ลทั ธเิ ต๋า จากสตั วเ์ ทพ
คอ่ ยววิ ฒั นาการเป็นรปู ลกั ษณ์ของครง่ึ คนครง่ึ สตั ว์ จากนนั้ กลายเป็นเทพ
ทม่ี รี ูปเป็นหญงิ
ศาลเจ้าของชาวจีนไหหลาบางแห่ง มกี ารใช้หงส์ประดบั ดาบน
หลงั คาของศาล หรอื ในบางศาลอาจมกี ารสรา้ งรูปวาดหรอื ลายปูนปนั้ ไว้
ดา้ นหลงั ของเทพเจา้ ทเ่ี ป็นสตรี เพอ่ื แสดงออกถงึ ความอ่อนชอ้ ย งดงาม
เป็นสตั วค์ ูบ่ ารมขี องเหลา่ นางฟ้าและเทพยุดาทงั้ หลาย
สญั ลกั ษณ์มงคลของศาลเจา้ ลว้ นแลว้ แตม่ คี วามหมายทงั้ ในทางฮ
วงจุ้ยและความเป็นสริ มิ งคลซ่อนอยู่ รอวนั ใหล้ ูกหลานชาวจนี มาศกึ ษา
และทาความเขา้ ใจถึงสงิ่ ทบ่ี รรพชนกาลงั จะส่อื ความหมาย และในทาง
เดยี วกนั สญั ลกั ษณ์ต่างๆเหล่าน้ีกย็ งั อานวยอวยพรให้กบั ลูกหลานของ
ตนใหด้ ารงอยู่อยา่ งมคี วามสุขดว้ ยเชน่ กนั
18 ภาคที่ 1: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์
ลวดลายกิเลน มงั กร และเสือ ภาพจิตรกรรมบนสกดั หลงั ของเทพเจ้า
ศาลเจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั
ภาคท่ี 1: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์ 19
龍生九子
โอรสมงั กรกบั ความยิ่งใหญ่
ของศาสนสถานของชาวจีนไหหลา
ศาสนสถานของชาวจีนไหหลา มนั จะประดบั ประดาพ้นื ท่แี ละ
ขา้ วของเคร่อื งใชต้ ่างๆดว้ ยความเรยี บง่าย แต่ยงั คงความสวยงามและ
ทรงคณุ คา่ ทางภูมปิ ญั ญา แฝงไปดว้ ยคตคิ วามเชอ่ื และแง่คดิ ใหก้ บั คนรุ่น
หลงั ทงั้ น้ี การประดบั ประดาสถานทแ่ี ละสงิ่ ของต่างๆ มกั จะมกี ารผกู เอา
ความเชอ่ื เร่อื งตานานของโอรสมงั กร ทงั้ 9 เขา้ ไวด้ ้วย เพ่อื ความเป็นสริ ิ
มงคล ตามประเภท และจุดมงุ่ หมายของสถานทแ่ี ละสง่ิ ของเหลา่ นนั้
โอรสมงั กรทงั้ 9 龍生九子 (หลงเซิงจวิ๋ จ่อื ) เป็นตานานท่ี
เกดิ ในสมยั ราชวงศห์ มงิ โดยมงั กรมโี อรสทงั้ หมด 9 ตวั แต่ละตวั มบี ุคลกิ
20 ภาคที่ 1: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์
และรูปรา่ งทต่ี า่ งกนั ตามตานานกล่าววา่ โอรสทงั้ 9 ตา่ งกม็ หี น้าทพ่ี ทิ กั ษ์
อารกั ขาพญามงั กรผเู้ ป็นพระราชบดิ า ซ่งึ ในสมยั ราชวงศห์ มงิ กไ็ ด้มกี าร
สร้างรูปปนั้ หรือลวดลายต่างๆของโอรสมงั กรไวท้ ่พี ระราชวงั กู้กง ซ่ึง
เปรียบเสมือนวงั ของพญามงั กรด้วย ส่วนตานานของผีซ่ิวนัน้ บาง
ตารากล่าวว่าเป็ นบุตรของมงั กรตัวท่ี 9 แต่ในความเป็ นจริงนั้น
ไม่ได้ปรากฏชื่อของผีซิ่ว หรือ ปี่ เซี้ยะ ในรายชื่อโอรสของพญา
มงั กรแต่อย่างใด
5 3 4 8
2
76
91
โอรสมงั กรทงั้ 9
ภาคท่ี 1: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์ 21
มงั กรตวั ที่ 1 หรอื องคช์ ายใหญ่ 赑屃 ปี้ ซ่ี
ป้ีซ่ี เป็นลูกมงั กรตวั แรก หรอื เป็นองคช์ ายใหญ่ มลี กั ษณะหา้ ว
หาญ ทรงพลงั รูปลกั ษณ์ภายนอกคล้ายเต่า มีความสามารถแบกรับ
น้าหนกั ไดด้ ี ป้ีซ่ี มชี อ่ื เรยี กอกี อยา่ งหน่งึ วา่ “ สอื กยุ หลง ” ลกั ษณะลาตวั
เป็นเต่า หวั เป็นมงั กร ตามความเชอ่ื ของจนี แล้ว “เต่า” เป็นสญั ลกั ษณ์
แห่งการมีอายุยนื ป้ีซ่ี ก็ถอื เป็นสญั ลกั ษณ์แห่งการมอี ายุยืนและเป็น
สญั ลกั ษณ์แหง่ ความสริ มิ งคล ในทางสถาปตั ยกรรม นิยมนารูปแบบของ
ป้ีซม่ี าเป็นฐานรองป้าย
มงั กรตวั ที่ 2 หรือองคช์ ายรอง 螭吻 ชือเหวิ่น
ชอื เหวนิ่ ลกั ษณะภายนอก หวั เป็นมงั กร ปากกวา้ ง ลาตวั สนั้ มี
ลกั ษณะนสิ ยั ชอบมองทวิ ทศั น์ และชอบกลนื กนิ สงิ่ ของต่าง ๆ กลา่ วกนั
ว่ามีความสามารถในการดับไฟ ชอบกลืนกินไฟ ดังนัน้ ในทาง
สถาปตั ยกรรมในอดตี จงึ นิยมนามาประดบั ทจ่ี วั่ หลงั คาทงั้ สองดา้ น ของ
พระราชวงั หรอื พระอารามหลวง เพ่อื เป็นเคลด็ ในการป้องกนั ไฟไหม้
มงั กรตวั ที่ 3 หรือองคช์ ายสาม 蒲牢 ผเู หลา
ผูเหล๋า มีลกั ษณะนิสยั ชอบร้องเสียงดงั กงั วาน กล่าวกนั ว่า ผู
เหลา กลวั ปลาวาฬ เป็นอย่างมาก ทุกครงั้ ทผ่ี ูเหลา เหน็ ปลาวาฬ กจ็ ะ
คารามเสยี งดงั กงั วาน เพ่อื ไล่ปลาวาฬ ดงั นัน้ เองจงึ นิยมนารูปแบบ
ของผเู หลา มาเป็นหูระฆงั เพ่อื ใหเ้ สยี งของระฆงั ดงั กงั วานไปไกล วา่ กนั
22 ภาคท่ี 1: ภูมปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์
วา่ ในสมยั ราชวงศห์ มงิ มพี ธิ ที างศาสนาครงั้ ใหญ่ โดยได้เคาะระฆงั ของ
วดั เป้ากวั ๋ เวลาตหี น่ึงสบิ หา้ นาที สามารถส่งเสยี งดงั กงั วานได้ไกลถงึ
30 ล้ี หรอื ราว ๆ 5 กโิ ลเมตร
มงั กรตวั ท่ี 4 หรือองคช์ ายสี่ 狴犴 ปี้ อนั้
ป้ีอนั้ มีรูปลกั ษณ์ภายนอกคล้ายเสือ กล่าวกนั วา่ ป้ีอัน้ มีนิสยั
ชอบออกมาพูดเพ่อื ความเป็นธรรม ชข้ี าดด้วยความเป็นธรรม ในสมยั
โบราณใชเ้ ป็นสญั ลกั ษณ์ตดิ อยูท่ ป่ี ระตคู กุ หรอื ทค่ี านดา้ นนอกประตูของ
หอ้ งโถงพจิ ารณาคดขี องศาล เพอ่ื ใหค้ นทม่ี องเหน็ เกดิ ความเกรงขาม
มงั กรตวั ที่ 5 หรือองคช์ ายห้า 饕餮 เทาเที่ย
เทาเทย่ี มรี ูปลกั ษณะภายนอกทด่ี รุ า้ ย ตาโต ปากกวา้ ง มคี วาม
โลภในทรพั ยส์ นิ ในสมยั โบราณนิยมทาลวดลายสว่ นหวั ของ เทาเทย่ี ลง
บนเคร่อื งสารดิ โดยเฉพาะเคร่อื งสารดิ ท่เี ก่ยี วกบั ภาชนะด่มื กนิ เพ่อื
เป็นเคลด็ เตอื นใจใหก้ บั ผทู้ ใ่ี ชเ้ คร่อื งสารดิ ไม่โลภในทรพั ยส์ นิ ไม่คดโกง
ทงั้ น้ีเน่ืองจากในสมยั โบราณ บุคคลท่นี ิยมใชเ้ คร่อื งทองสารดิ ส่วนมาก
มกั จะเป็นขนุ นาง และผทู้ ม่ี ฐี านะทางสงั คม
ภาคท่ี 1: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์ 23
มงั กรตวั ท่ี 6 หรอื องคช์ ายหก 蚣蝮 กงฟ่ ู
กง ฟู่ มีลัก ษ ณะ นิสัย ท่ีชอ บน้ า เ ป็ น อ ย่ า ง มา ก ใ น ท า ง
สถาปตั ยกรรมนิยมนามาทาเป็นปลายท่อระบายน้า เช่นท่ีพระราชวงั
โบราณกกู้ ง ปกั กงิ่ บรเิ วณฐานยกระดบั ของตาหนักวา่ ราชการโดยรอบ
จะมที ่อระบายน้าโดยรอบ และปลายท่อจะเป็นหวั มงั กร จงึ เป็นทม่ี าของ
คาวา่ "สยุ่ หลงโถว" (水龙头) ถา้ แปลตามตวั อกั ษรจนี กแ็ ปลว่า
"หวั มงั กรน้า" หรอื แปลเป็นภาษาไทยวา่ กอ๊ กน้า นนั่ เอง
มงั กรตวั ที่ 7 หรือองคช์ ายเจด็ 睚眦 หยาจอื้
หยาจ้อื มีลกั ษณะนิสยั ดุร้าย โกรธง่าย มรี ศั มแี ห่งการสงั หาร
ในสมยั โบราณ นิยมนามาทาเป็นด้ามอาวุธ หรือลวดลายเป็นอาวุธ
เพ่อื ใหผ้ ใู้ ชอ้ าวธุ มคี วามฮกึ เหมิ เป็นการเพม่ิ พลงั ใจ และสรา้ งความกล้า
หาญใหก้ บั ผใู้ ชอ้ าวธุ
มงั กรตวั ท่ี 8 หรือองคช์ ายแปด 狻猊 ซวนหนี
ซวนหนี มรี ปู ลกั ษณะภายนอกคลา้ ยสงิ โต มนี ิสยั ชอบอยู่น่ิง ไม่
เคล่ือนไหว ชอบนัง่ มองดูควนั ไฟ และ เปลวไฟ ดงั นัน้ เองในสมัย
โบราณจงึ นิยมนารปู ซวนหนมี าประดบั ทก่ี ระถางธูป หรอื กระถางเผา
24 ภาคที่ 1: ภูมปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์
มงั กรตวั ท่ี 9 หรือองคช์ ายเกา้ 椒图 เจยี วถู
เจยี วถู มลี กั ษณะนิสยั ปิดตวั เอง ไม่ชอบให้ใครเขา้ มาในถ้าท่อี ยู่
อาศยั ของตน นิยมนาเจยี วถมู าตดิ ไวท้ ป่ี ระตบู า้ น ประตูซอย (สมยั ก่อน
ตามซอกซอยจะมซี ุ้มประตู ) เพ่อื ป้องกนั ภยั อนั ตราย หรอื สงิ่ ท่ไี ม่เป็น
มงคลต่าง ๆ ไมใ่ หเ้ ขา้ มาภายในบา้ น
ทงั้ หมด เป็นเพยี งข้อมูลเล็กน้อยท่เี ก่ยี วกบั มงั กร 9 ตวั ซ่ึงจะ
เหน็ ไดว้ ่า ในบรรดามงั กรทงั้ 9 ตวั ไม่มมี งั กรตวั ไหนช่อื "ผซี วิ หรอื ป่ี
เซ้ียะ" เลย แม้แต่ตวั เดียว อีกประการหน่ึง ความเชื่อเรื่องมงั กร
กาเนิดลูก 9 ตวั เป็นความเชื่อท่ีมีเค้าโครงมาจากสมยั ราชวงศ์หมิง
ซึ่งมีระยะเวลาเพียงแค่ 600 กว่าปี (นับจากปัจจุบนั ) แต่เรื่องราว
ของ ผีซิวหรือป่ี เซี้ยะ นัน้ มีเค้าโครงท่ีมาตงั้ แต่สมยั ราชวงศ์ซงั ยุค
ปลายราชวงศ์โจว ราชวงศฉ์ ิ น และชดั เจนท่ีสุดกค็ ือสมยั ราชวงศ์
ฮนั ่ ซึ่งนับเวลารวมแล้วมีความเก่าแก่ของความเช่ือไม่ต่ากว่า
3,000 ปี ซึ่งมากกวา่ เรื่อง ลูกมงั กร 9 ตวั (600 ปี ) แน่นอนว่าจะต้อง
มีการผกู เรือ่ ง ลากเอาขอ้ สนั นิ ษฐานมาโยงเขา้ หากนั ทงั้ ๆที่เวลาไม่
สมั พนั ธก์ นั
ภาคท่ี 1: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์ 25
โอรสมงั กรทงั้ 9 ท่ีปรากฏอย่ตู ามจดุ ต่างๆของพระราชวงั
ศาลเจ้าและสิ่งของสาคญั
26 ภาคที่ 1: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์
風水
ฮวงจ้ยุ พลงั แห่งสีสนั ทิศทาง
และกระแสแห่งธรรมชาติ
ฮวงจุย้ ในการสรา้ งศาลเจา้ บา้ นเรอื อาคารสานักงาน แม่กระทงั่
สปี ระจาองคเ์ ทพเจ้า ล้วนแล้วแต่องิ หลกั ฮวงจุ้ยเร่อื ง สี รูปทรง และ ทศิ
ด้วยกนั ทงั้ สน้ิ อาทิ ศาลเจ้า ส่วนใหญ่จะเป็นสแี ดง นนั่ เพราะเป็นสแี ห่ง
ไฟ (โดยทวั่ ไป เทพเจา้ สงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธทิ์ ุกองค์ถอื เป็นพลงั ธาตุไฟ) เจ้าแม่
ทบั ทมิ ของชาวจนี ไหหลา จะมสี แี ดงเป็นสปี ระจาพระองค์ นนั่ เพราะเป็น
เทพยุดาแห่งทิศใต้ เจา้ พ่อกวนอูจะมีสเี ขยี ว เป็นสปี ระจาพระองค์ นัน่
เพราะเป็นสขี องธาตุไม้และผี (ในทางไหหลาเช่อื ว่า สเี ขยี วเป็นสีของ
วญิ ญาณ) เพราะพระองคเ์ กดิ จากดวงวญิ ญาณทถ่ี กู ฆ่าดว้ ยความอาฆาต
ภาคท่ี 1: ภูมปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์ 27
มคี วามเฮย้ี น ส่วนเทพเจา้ บว้ นเถ่ากง จะมสี ปี ระจาพระองค์เป็นสเี หลอื ง
ซ่งึ หมายถงึ ดนิ เพราะเทพบว้ นเถา่ กงคอื ผเู้ ป็นใหญ่แห่งเทพบนพน้ื ดนิ สี
บางสี จงึ เป็นสตี อ้ งหา้ ม สาหรบั เทพบางพระองค์ สบี างสจี งึ เป็นสที ่ตี ้องมี
และตอ้ งใชก้ บั เทพบางพระองค์ เช่น สเี ขยี ว เป็นสที ไ่ี ม่ควรใชก้ บั เจ้าแม่
ทบั ทมิ เป็นตน้
ฮวงจุ้ยเร่อื ง สี รูปทรง และทศิ จงึ มคี วามสาคญั กบั วถิ ชี วี ติ และ
ความเช่อื ของชาวจนี เพราะ ฮวง หมายถงึ ลม ส่วนจุ้ย หมายถึง น้า
ฮวงจุย้ เป็นการเรยี นรถู้ งึ พลงั งานธรรมชาติ จากกระแสลมและกระแสน้า
ดว้ ยหลกั เบญจธาตุ หรอื 5 ธาตุพน้ื ฐาน มหี ลกั สี รปู ทรง และทศิ ดงั น้ี
ธาตุไฟ สญั ลกั ษณ์ สแี ดง รปู สามเหลย่ี ม ทศิ ใต้
ธาตุดนิ สญั ลกั ษณ์ สเี หลอื ง รปู สเ่ี หลย่ี มจตุรสั ทศิ กลาง
ธาตุทอง สญั ลกั ษณ์ สขี าว รปู กลม ทศิ ตะวนั ตก
ธาตุน้า สญั ลกั ษณ์ สดี า/น้าเงนิ รปู หกเหลย่ี ม/รปู คล่นื ทศิ เหนอื
ธาตุไม้ สญั ลกั ษณ์ สเี ขยี ว รปู สเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ ทศิ ตะวนั ออก
ธรรมชาตขิ องแตล่ ะสี หรอื แต่ละรปู ทรง คอื ตวั แทนของธาตุ และ
ธาตแุ ตล่ ะธาตมุ พี ลงั ของตวั เอง มอี านาจสง่ เสรมิ หรอื ทาลายหกั ลา้ งธาตุ
อ่นื ได้
28 ภาคท่ี 1: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์
ธาตสุ ่งเสริม
ธาตุไม้ เป็นตวั เสรมิ ธาตไุ ฟ เพราะธาตุไฟมไี มเ้ ป็นเชอ้ื ไฟจะมพี ลงั สวา่ งไสว โชติ
ช่วง
ธาตุไฟ เป็นตวั เสรมิ ธาตดุ ิน เม่อื ไฟเผาไม้ จะเกดิ ขเ้ี ถ้า ถ่าน ผง สลายเป็นดนิ
ธาตดุ ิน เป็นตวั เสรมิ ธาตทุ อง แรธ่ าตุต่างๆเช่น สงั กะสี เหลก็ ธาตุทอง เกดิ จาก
ดนิ ทท่ี บั ถมกนั แปรเป็นหนิ แร่
ธาตทุ อง เป็นตวั เสรมิ ธาตนุ ้า เม่อื มคี วามชน้ื มากระทบ จะกอ่ ใหเ้ กดิ การควบแน่น
เป็นหยดน้า
ธาตุน้า เป็นตวั เสรมิ ธาตุไม้ น้าเป็นอาหารของไม้ ทาใหไ้ มเ้ จรญิ เตบิ โต
ธาตุทัง้ ห้าน้ีมีความสัมพันธ์กันดังน้ีคือ น้าหล่อเล้ียงไม้ให้
เจรญิ เตบิ โต ไมเ้ ป็นเชอ้ื เพลงิ ก่อใหเ้ กดิ ไฟ ไฟเผาไหมไ้ มเ้ ป็นขเ้ี ถา้ ดนิ ดนิ
ทบั ถมกนั จนกลายเป็นแรธ่ าตทุ อง(โลหะ) เมอ่ื หลอมละลายกจ็ ะกลายเป็น
ของเหลว(น้า)
การทาฮวงจุ้ยแบบธาตุส่งเสรมิ มกั จะเป็นการทาฮวงจุ้ยในบ้าน
ศาลเจา้ หรอื บรษิ ทั หา้ งรา้ น ปจั จบุ นั บางบรษิ ทั หรอื บางหน่วยงาน มกี าร
ออกแบบโลโก้ เพ่อื ให้เกดิ ความสมดุลตามพลงั ธาตุทงั้ 5 ด้วยเช่นกนั
ตวั อย่างเช่น 7-11 (เซเว่น อีเลฟเวน่ ) หรอื ธนาคารกสกิ รไทย เหน็ ได้
ชดั เจนวา่ มกี ารทาฮวงจุย้ ไวใ้ นสญั ลกั ษณ์อยา่ งแยบยล
ภาคท่ี 1: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์ 29
ธาตพุ ิฆาต
ธาตไุ ม้ เป็นพฆิ าต ธาตุดิน เพราะธาตไุ ม้ชอนไช ดูดเอาแร่ธาตุจากดนิ
มาหมดสน้ิ
ธาตุดิน เป็นพฆิ าต ธาตุน้า เพราะดินมาขวางทาง น้าจะไม่สามารถ
เคล่อื นทไ่ี ด้
ธาตุน้า เป็นพฆิ าต ธาตุไฟ เพราะน้าดบั ไฟ
ธาตุไฟ เป็นพฆิ าต ธาตุทอง เพราะไฟจะหลอมทอง หรอื โลหะ ได้
ธาตุทอง เป็นพฆิ าต ธาตุไม้ เพราะทองหรอื โลหะ มกั จะนาไปทาเป็น
เครอ่ื งมอื ตดั ไม้
ธาตุพิฆาต คือการสร้างพลงั พิฆาตซ่ึงหมายถึงพลงั ท่ีไม่เป็น
มงคลต่อผู้อาศยั หรอื ผู้ท่ีเข้าไปในพ้นื ท่นี ัน้ ๆ โดยมาก มกั จะเป็นการ
พฆิ าตกนั ของสญั ลกั ษณธ์ าตตุ รงขา้ ม เชน่ น้ากบั ไฟ (การใชส้ ฟี ้าและแดง
ในท่เี ดยี วกนั ) ทาให้เกิดสภาวะหยิน ส่งพลงั หยนิ ทาให้มนุษย์อ่อนแอ
เพราะพลังของมนุษย์จา เป็นต้องเป็นพลังหยาง หากพิจารณา
เปรยี บเทยี บกบั ศาสตร์ของไทย การทาพธิ ตี ่างๆ จาเป็นตอ้ งทาให้ช่วง
เชา้ รอใหฟ้ ้าสวา่ ง เพราะนนั่ หมายถงึ พลงั หยาง ยกเวน้ ไสยศาสตรม์ นต์
ดา จะเลอื กประกอบพธิ ตี อนกลางคนื เพราะเป็นพธิ แี ห่งวญิ ญาณ ซ่งึ เป็น
พลงั หยนิ
30 ภาคที่ 1: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์
พลงั ของธาตตุ ่างๆทพ่ี ฆิ าตกนั และไม่เป็นมงคลต่อมนุษย์ อาจส่งผล
ถงึ สถานะทางการเงนิ สุขภาพ ธรุ กจิ บางรายอาจส่งผลถงึ ชวี ติ ขน้ึ อย่กู บั
สภาวะแวดลอ้ ม ตวั อย่างเชน่ หา้ งสรรพสนิ คา้ หรอื คาสโิ น มกั จะทาฮวง
จุย้ ใหผ้ ทู้ เ่ี ขา้ ไปจาตอ้ งเสยี เงนิ ตวั อย่างเชน่
1. การสรา้ งสภาวะน้าเหนือหวั
การตดิ กระจก สรา้ งลายกระจกแตก หรอื การสรา้ งวสั ดสุ ฟี ้า หรอื
วสั ดุท่มี ลี ายคล่นื คดโคง้ หรอื ลูกแก้วใส รวมไปถงึ สญั ลกั ษณ์ท่เี ป็น
ตวั แทนของน้า เชน่ เรอื แห ปลา ไวส้ ูงกวา่ ระดบั สายตา ในทางฮวง
จุย้ เรยี กวา่ “สภาวะน้าเหนอื หวั ” ทาใหเ้ สยี ทรพั ย์ เสยี สขุ ภาพ
2. การสรา้ งกบั ดกั พิฆาต
มกั จะเป็นการปูกระเบ้อื งท่พี ้นื ให้เป็นแนวทแยงคล้ายตาข่าย
หรือ การสร้างเคร่ืองหมายหรอื ลวดลายสามเหล่ียมไว้ให้คน
เหยยี บ รวมไปถงึ ลวดลายประดบั ชายคา ไม่ควรมลี วดลายคด
โคง้ หรอื มปี ลายแหลมทม่ิ แทงลงมา หมายถงึ การตดิ กบั และทมิ่
แทงผทู้ เ่ี ดนิ เขา้ มา ทาใหเ้ สยี ทรพั ย์
3. สรา้ งสภาวะแวดล้อมแบบหยิน
สภาวะแวดลอ้ มแบบหยนิ นอกจากจะหมายถงึ การสรา้ งสภาวะ
น้าเหนือหัวแล้ว หยินยงั หมายถึงพลงั ลบ ท่ีเกิดจากสภาวะ
แวดล้อม มกั จะสร้างเป็นลักษณะของอาณาจกั รท่ีล่มสลาย
อย่างกรกี โรมนั และสญั ลกั ษณ์รปู กากบาท ดงั นนั้ บา้ นเรอื น
ภาคท่ี 1: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์ 31
จึงไม่ควรทาเสาบ้านให้เป็นลกั ษณะเสาทรงโรมนั และ มีลาย
ลูกกรงเป็นรูปกากบาท ตลอดจนการสร้างข่ือ คาน ออกมา
จากฝ้ าเพดานอย่างชดั เจน แม้กระทงั่ การประดบั รูปม้าไว้
เหนือสายตา หมายถงึ ความก้าวร้าวท่ีจะคอยเหยียบย่าให้
ตกต่า และการกดทบั รวมไปถงึ การประดบั รูปนักล่าสตั ว์
(คาวบอยกถ็ อื เป็นนกั ล่า) ทห่ี มายถงึ การหมายจะเอาชวี ติ และ
การใช้สีธาตทุ ี่พิฆาตกนั กถ็ อื เป็นการสรา้ งสภาวะหยนิ ทาใหผ้ ู้
อาศยั หรอื ผทู้ เ่ี ขา้ ไปใชบ้ รกิ าร ใหต้ อ้ งเสยี ทรพั ย์
32 ภาคท่ี 1: ภูมปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์
ของตกแต่งมงคล-อปั มงคล
ในทน่ี ้ผี เู้ ขยี นขอยกตวั อย่างแบบคร่าวๆ เพราะหากจะพูดถงึ ทุก
อย่างคงกลา่ วไม่หมดในหนังสอื เล่มน้ี เพราะสงิ่ ของบางอย่างเป็นมงคล
แต่หากวางผดิ จุดจะกลายเป็นอปั มงคลทนั ที ดงั นนั้ จงึ ขอเป็นการบอก
แบบกวา้ งๆ เป็นการวางหลกั การคร่าวๆ ตามท่ผี ูเ้ ขยี นศกึ ษาและเรยี น
วชิ าฮวงจุย้ มา ดงั น้ี
สญั ลกั ษณ์มงคล
สิ่งของทุกอย่างมีทงั้ ความเป็นมงคลและความเป็นอัปมงคล
ดว้ ยกนั ทงั้ หมด หากแต่จะต้องวางให้ถูกท่ี ถูกเวลา ซ่ึงอาคารสถานท่ี
ต่างๆ มจี ุดองศาและพลงั ท่ตี ่างกนั ดงั นัน้ ในท่นี ้ีจะขอพูดในภาพรวม
เกย่ี วกบั ของมงคลภายในอาคารสถานทต่ี ่างๆ ดงั น้ี
1.สญั ลกั ษณ์ของภูเขา การตดิ ภาพภูเขาไวด้ า้ นหลงั โต๊ะทางาน
หรอื จุดรบั เงิน จะทาให้ผูท้ ่นี ัง่ ทางานมีพลงั เพมิ่ มากขน้ึ ได้รบั การเกือ
หนุนตลอดเวลา
2.สญั ลกั ษณ์รปู สถาบนั ทางการเงนิ ทป่ี ระสบความสาเรจ็ (เน้นว่า
เป็นบรษิ ทั ทป่ี ระสบความสาเรจ็ ระดบั โลกยงิ่ ด)ี หากมอี ยู่บรเิ วณรอบโต๊ะ
ทางาน หรอื โต๊ะรบั เงนิ โดยเฉพาะด้านหลงั จะย่ิงเป็นมงคล นาความ
ร่ารวยมาสู่ผทู้ น่ี งั่ ทางานบรเิ วณนนั้
ภาคท่ี 1: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์ 33
3.วสั ดุสเี หลืองกบั ความเป็นมงคลในห้องครวั เพราะสีเหลอื ง
หมายถึงธาตุดนิ ส่อื ถึงความอุดมสมบูรณ์ หากบ้านใดมหี อ้ งครวั เป็นสี
เหลอื ง หรือมฟี กั ทองสีเหลอื ง 5 ลูกไวใ้ นห้องครวั บ้านนนั้ จะมกี ินอุดม
สมบรู ณ์ ไมข่ ดั สน
4.สญั ลกั ษณ์รปู เลขแปด ท่มี องจากดา้ นหน้าเขา้ มาแล้วเหน็ นนั่
หมายถงึ การมคี วามมนั่ คงและมงั่ คงั่ เม่อื พลงั ลมปะทะเขา้ มาดา้ นใน เม่อื
กะทบกบั เลขแปด จะหมายถงึ การทวคี ูณแบบไม่สน้ิ สุด ตามสญั ลกั ษณ์
Infinity ทห่ี มายถงึ ความไม่สน้ิ สุด (รูปเลข 8 แนวนอน)
สญั ลกั ษณ์อปั มงคล
1.สญั ลกั ษณ์ท่สี ่อื ถึงน้าทุกประเภท (กระจก ลูกแก้ว ปลา เรือ
ปลุกเสก ไซ-ขอ้ งดกั ปลาปลกุ เสก รปู ปลา ลวดลายรูปคล่นื โมบายหอย)
ไม่ควรแขวน หรอื ตงั้ ไวเ้ หนือหวั เพราะจะหมายถงึ การเสยี ทรพั ยแ์ ละเสยี
สขุ ภาพ หากจะมปี ระดบั ควรวางใวใ้ หต้ ่ากวา่ สายตา
2.สัญลกั ษณ์ท่สี ่ือถึงดาวห้าผี (รูปนก 5 ตวั นกแกะสลักท่ีใช้
ประดบั ผนงั บา้ น) ไม่ควรมเี พราะเป็นอปั มงคล
3.สญั ลกั ษณ์ของสตั วร์ ้าย มีพลงั พฆิ าตมนุษย์ (งู ตะขาบ แมง
ปอ่ ง กง้ิ กอื สตั วร์ า้ ย หรอื แมก้ ระทงั่ ตุ๊กตาหม)ี ถอื เป็นสง่ิ อปั มงคล ไม่ควร
มอี ยู่
34 ภาคท่ี 1: ภูมปิ ญั ญาแห่งสถาปตั ยกรรมศาสตร์
4.เคร่ืองหมายกากบาท (เหล็กดดั รวั้ บ้าน หรือแม้กระทงั่ รูป
ถา่ ย) ไมค่ วรปะทะกบั ทางเขา้
5.สฟี ้า ไมค่ วรมอี ยูใ่ นหอ้ งครวั เพราะนนั ่ หมายถงึ การเสยี ทรพั ย์
6.สญั ลกั ษณ์แห่งน้าตาย ไม่ควรมีอยู่ด้านหน้า (อ่างน้า บ่อน้า
หรอื น้าพุทไ่ี มไ่ ดเ้ ปิด)
7.ตน้ ไมด้ า้ นหน้าไม่ควรมกี ระถางทแ่ี ตก และเจรญิ เตบิ โตเรว็ กวา่
ปกติ เพราะจะบดบงั แสงท่ีจะเข้าไปด้านในอาคาร รวมไปถึง ต้นไม้
ประเภทไมก้ วาดปดั โชค ซ่งึ หมายถงึ ตน้ ไม้ประเภทปาลม์ จงั ๋ มะพร้าว
หมาก หรอื ตน้ ไมท้ ม่ี ลี กั ษณะคลา้ ยไมก้ วาด (ไมป้ ระเภทน้ีต้องวางใหถ้ ูก
จดุ หากวางผดิ จะเป็นอปั มงคลอย่างมาก) แต่หากตอ้ งการวางต้นไม้หรอื
ดอกไมไ้ วห้ น้าบ้าน ควรเลอื กเป็นไมพ้ ุ่มขนาดเลก็ ถงึ ขนาดกลาง มสี สี นั
ยง่ิ มถี งึ 5 สไี ดย้ งิ่ ดี เพราะนนั่ หมายถงึ พลงั แห่งความอุดมสมบรู ณ์ เม่อื ลม
พดั เขา้ บา้ น กจ็ ะพดั เอาพลงั น้เี ขา้ บา้ นดว้ ย
ฮวงจุย้ เป็นเร่อื งละเอยี ดอ่อน ท่หี ลายๆชนชาตใิ ห้ความสนใจ มี
ทงั้ ไทย จีน อนิ เดยี (อนิ เดยี เรยี ก วาสตุศาสตร์ ซ่งึ เป็นศาสตร์ฮวงจุ้ย
แบบฮนิ ดู คล้ายๆกบั จนี และไทย) รวมไปถึงชาวตะวนั ตก ท่ีให้ความ
สนใจกบั เรอ่ื งน้ี สายการบนิ บางแห่งของตะวนั ตก ตลอดจนคาสโิ น ต่างก็
ทาฮวงจุ้ยด้วยกนั ทงั้ สน้ิ นนั่ เพราะ พลงั ทางฮวงจุย้ สามารถอธบิ ายเป็น
วทิ ยาศาสตรไ์ ด้ เพราะองิ จากหลกั ธรรมชาติ พลงั แหง่ ลม กระแสน้า และ
ภาคที่ 1: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์ 35
คลน่ื แม่เหลก็ ต่างๆ ท่มี ปี ระจุในอากาศ ศาสตร์ฮวงจุย้ จงึ แป็นศาสตร์ท่มี ี
ความลกึ ซง้ึ ทาเลน่ ๆไม่ได้ เพราะแตล่ ะคนต่างกม็ พี น้ื ฐานของดวง (ธาตุ)
ทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป
การสรา้ งฮวงจุย้ ของสสี นั ทศิ และรปู ทรง ทแ่ี ฝงอยใู่ นวถิ ขี องชาว
จนี จงึ เป็นศาสตรท์ ่มี คี ุณค่า สงั ่ สมภูมปิ ญั ญา และส่งต่อมายงั ลูกหลาน
ชาวจีนให้ศกึ ษาและทาความเข้าใจ ดงั คาท่ขี งเบ้ง ปราชญ์นักรบของ
ประวตั ศิ าสตรจ์ นี กล่าววา่ คนจะเป็นใหญ่ได้ ตอ้ งรู้ฟ้า (ลมฟ้าอากาศ) รู้
ดนิ (ชยั ภูมฮิ วงจุย้ ) รคู้ น (โหงวเฮง้ และการเลอื กใชค้ น)
พลงั ธาตุทงั้ ห้าตามหลกั ฮวงจยุ้
วงด้านนอกหมายถงึ พลงั ส่งเสริม
วงด้านในหมายถงึ พลงั พิฆาต
36 ภาคที่ 1: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สถาปตั ยกรรมศาสตร์
สญั ลกั ษณ์ธนาคารกสิกรไทย
วงกลมสแี ดง คอื ธาตุไฟ ธุรกจิ จะเจรญิ รุ่งเรอื งและโดดเด่น
ตน้ ขา้ วสเี ขยี ว แทนธาตไุ ม้
คล่นื น้าดา้ นล่าง สเี ทา สง่ เสรมิ ตน้ ขา้ วธาตไุ ม้
คล่นื น้า 6 เสน้ แทนพลงั ดาวศกุ รท์ ส่ี ง่ เสรมิ การเงนิ
สญั ลกั ษณ์ของ เซเวน่ อีเลฟเวน่
1.สแี ดง ธาตุไฟ ไดพ้ ลงั ส่งเสริมจาก 5.สเี ขยี ว ธาตไุ ม้
4. สแี ดง ธาตุไฟ ส่งเสริม 2. สสี ม้ ธาตดุ นิ
2.สสี ม้ ธาตุดนิ ส่งเสริม 3.สขี าว ธาตทุ อง