ภาคท่ี 2
ภมู ิปัญญาแห่ง ศิลปศาสตร์
38 ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์
落水換袍
พิธีเปล่ียนเคร่อื งทรงเทพเจ้าของชาวจีนไหหลา:
การสรงน้าชาและการถวายเลีย้ งอาลา
เทวรปู เทพเจา้ บา้ งถูกอญั เชญิ ลงเรอื สาเภาเพอ่ื มาคา้ ขายจาก
เมอื งจนี บา้ งถูกแกะสลกั ขน้ึ เพ่อื เป็นร่มพกั หลกั ใจของคนในชมุ ชน ท่ี
ผา่ นกาลเวลา ล่วงเลยมานับสิบ นับร้อยปี เป็นท่ยี ดึ เหน่ียวจติ ใจและ
เป็นศนู ยร์ วมแห่งแรงศรทั ธา จากรุ่นสู่รุ่น สบื ทอดต่อกนั มาจากบรรพ
ชน สานต่อแรงศรทั ธาและความกตญั ญูผ่านชว่ งชวี ติ ของชาวจีนมา
จนถงึ ปจั จบุ นั
จากบคุ ลกิ และอปุ นสิ ยั ของชาวจนี ไหหลาท่รี กั สวยรกั งามเป็น
ทนุ เดมิ ประกอบกบั การหลุดลอกของสสี นั และลวดลายของศลิ ปะงาน
ชา่ ง ท่ีเรียงร้อยเร่อื งราวตามเส้นแป้งทล่ี ากผ่านองค์เทวรูป เกดิ เป็น
ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์ 39
ลวดลาย ทอ่ี าจเส่อื มหายไปตามกาลเวลา จนทาให้เกดิ ประเพณีทช่ี าว
จนี ไหหลาของแต่ละชุมชนร่วมแรงร่วมใจกนั สรรสร้างขน้ึ มา นัน่ คือ
“พิธีเปล่ียนเคร่อื งทรงเทพเจ้า” เพอ่ื ทาใหเ้ ทวรปู ยงั คงความสวยงาม
และน่าเคารพนบั ถอื สบื ตอ่ ไป
พธิ เี ปลย่ี นเครอ่ื งทรงเทพเจา้ ของชาวจนี ไหหลาในประเทศไทย
มลี กั ษณะไม่แตกต่างกนั มากนกั นนั่ เพราะ คนจนี ไหหลายงั คงยดึ ถอื
ขนบธรรมเนียมประเพณีดงั กล่าวไวอ้ ย่างเหนียวแน่น แม้กาลเวลาจะ
ทาใหผ้ ู้มากฝีมอื ในเชงิ ชา่ งและศลิ ปะ จะค่อยๆหายไป คนทาหายาก
ขน้ึ ประกอบกบั สภาพเศรษฐกจิ บา้ นเมืองทม่ี ีการแข่งกนั กนั ราคาก็
สงู ขน้ึ แตก่ ไ็ ม่อาจทดั ทานกบั แรงศรทั ธาของชาวจนี ไหหลาในประเทศ
ไทย ทต่ี อ้ งการรกั ษาวฒั นธรรมประเพณแี ละสานต่อจติ วญิ ญาณความ
กตญั ญแู หง่ บรรพชนเอาไวไ้ ด้
ลกั ษณะการเปลย่ี นเคร่อื งทรงของเทพเจา้ ตามรปู แบบของชาว
จนี ไหหลาในประเทศไทย ดเู หมอื นวา่ จะเป็นชาวจนี กลุ่มเดยี ว ทย่ี งั คง
มกี าร นาเอาเทวรูปของเดมิ มาขดั สแี ละแต่งองค์ลงสใี หม่ (ต่างจาก
ชาวจนี แตจ้ วิ๋ ทย่ี งั คงรกั ษาสภาพของเทวรูปของเดมิ เอาไว้ หรอื ไม่กม็ ี
การแกะสลกั ลงรกั ปิดทองโดยสรา้ งองค์ใหม่ขน้ึ มา ซ่งึ น้อยมากทจ่ี ะมี
การนาองคเ์ กา่ มาบูรณะ) โดยกระบวนการของพธิ ใี นการเปลย่ี นเคร่อื ง
ทรงองค์เทพเจ้าใหม่นนั้ จะเริมจากพธิ สี รงน้าชาองคเ์ ทพเจ้า แชอ่ งค์
เทวรูปลงในโอ่งหรอื ถงั น้า (落水 โล้วตุย้ ) พธิ แี ต่งองค์เทพเจ้า พิธี
เบกิ เนตร-ลุยไฟ (開光 คุยกุย) พธิ ถี วายฎีกา (薦表 เจยี นเบย้ี ว)
ซง่ึ ในทน่ี ้ี จะขออธบิ ายถงึ พธิ สี รงน้าชาองคเ์ ทพเจา้ ก่อนเป็นเรอ่ื งแรก
40 ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์
พธิ สี รงน้าชาเทพเจา้ คอื พธิ กี ารขอขมาต่อองคเ์ ทพเจา้ ก่อนท่ี
จะมกี ารเชญิ ดวงทพิ ยญาณของเทพเจ้าออกจากเทวรูป โดยพธิ จี ะเรมิ่
จาก การเฟ้ นหาวนั มงคลท่ีมฤี กษ์เหมาะสม และต้องชะตากบั ผูเ้ ป็น
ประธานศาลเจา้ โดยมากมกั จะใหซ้ นิ แสเป็นผหู้ าฤกษ์และวนั มงคลให้
เม่ือได้วนั มงคลและต้องชะตากบั ผู้เป็นประธานศาลเจ้าแล้ว ใน วนั
ดงั กล่าวจะเรมิ่ ด้วยพธิ ีถวายเล้ยี งเทพเจ้า ซ่ึงพธิ ีน้ีเปรยี บเสมอื นการ
เล้ียงส่งเทพเจ้าก่อนท่ีท่านจะเสด็จกลบั สวรรค์เป็นการชวั่ คราวใน
ขณะทจ่ี ะมกี ารแต่งองค์เทวรูปใหม่ ซ่งึ เคร่อื งไหว้ จะต้องประกอบไป
ดว้ ย อาหารคาว อาหารหวาน ผลไม้ น้าชา สุรา ขา้ ว อาหารเจ เคร่อื ง
กระดาษประกอบอน่ื ๆ ตามแต่กาลงั ทรพั ย์และกาลงั ศรทั ธาของคนใน
ชมุ ชน ซง่ึ มกั จะเป็นการเลย้ี งฉลองครงั้ ยงิ่ ใหญ่ เหมอื นเป็นการเล้ยี งส่ง
ทา้ ยใหเ้ ทพเจา้ กอ่ นทท่ี ่านจะไมอ่ ยู่
พิธีถวายเล้ียงเทพเจ้า จะตงั้ เคร่ืองสังเวย ด้วยจานวนชุด
อาหารตามจานวนองคเ์ ทวรูป นนั่ หมายถงึ ถว้ ยขา้ ว อาหารคาวหวาน
จะตอ้ งเป็นคู่ หรอื เป็นชดุ ๆ ราวกบั วา่ คน 1 คน จะตอ้ งไดก้ นิ อาหารใน
ทุกๆอยา่ ง ทงั้ คาวหวาน ผลไมท้ จ่ี ดั สรรมา และมกั จะเป็นเคร่อื งอาหาร
ทม่ี คี วามเป็นมงคล อาทิ
อาหารคาว ท่จี ะต้องมสี ตั วป์ ระเภทต่างๆ 5 ชนิด เช่น สตั ว์
ปี ก (ไก่ นก) สัตว์มีกีบเท้า (หมู แพะ ววั ) สตั ว์มีเกล็ด (ปลา งู)
สตั วม์ เี ปลือกแขง็ (ปู กงุ้ ปลาหมกึ แหง้ ) เคร่อื งใน (ไข่ ตบั )
ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งศลิ ปศาสตร์ 41
อาหารหวาน หรอื ขนมประเภทต่างๆท่แี สดงถงึ ความอุดม
สมบรู ณ์ เชน่ ขนมนึ่ง (ขนมฟู ขนมอบ่ี วั๊ ะ) ขนมอบ/ทอด (ขนมเป๊ียะ
ขนมจนิ เด) ขนมห่อ (ซาลาเปา หมนั่ โถว)
ผลไม้ 5 สี ตวั แทนของธาตทุ งั้ 5 อาทิ ธาตุไม้ สเี ขยี ว(กลว้ ย
สม้ โอ) ธาตไุ ฟ สแี ดง(แอปเป้ิล) ธาตดุ ิน สสี ม้ (สม้ พลบั ) ธาตุทอง สี
ขาว (สาล)่ี ธาตุน้า สนี ้าเงนิ /ดา (อง่นุ )
ข้าวสวย พร้อมตะเกียบ น้าชา สุรา อาหารเจ 5 อย่าง
(ฟองเตา้ หู้ ดอกไมจ้ นี เหด็ หอม เหด็ หูหนู วนุ้ เสน้ )
กระดาษทอง กระดาษเชด็ ปาก (แทนผา้ เชด็ ปากใหอ้ งคเ์ ทพ
เจา้ เป็นกระดาษสเี หลืองพบั ทบกนั เป็นแผ่นยาว คาดด้วยกระดาษ
แดง)
ซ่ึงเม่อื มกี ารกล่าวแจ้งต่อองค์เทพเจ้าว่า วนั น้ีเป็นวนั มงคล
ก่อนท่จี ะมีการส่งเสด็จองค์เทพเจ้ากลบั สวรรค์เพ่อื ทาการแต่งสีองค์
เทวรปู ใหม่ ขอใหเ้ ทพเจ้าอมิ่ หนาสาราญกบั เคร่อื งบรรณาการท่นี ามา
ถวาย พอถึงเวลาอนั สมควร จะมกี ารแจง้ ต่อองค์เทพเจ้าว่า ใกล้ถงึ
เวลาทจ่ี ะเชญิ องค์เทวรูปมาสรงน้าชาเพ่อื ให้ลูกหลานขอขมาลาโทษ
ขอใหด้ วงทพิ ยญาณของเทพเจา้ ออกจากองคเ์ ทวรูป และสอบถามถงึ
เวลาอนั สมควร ผ่านการ “ปวั ะปวย” หรอื โยนไม้เส่ยี งทาย ซ่งึ เม่อื ได้
ฤกษ์แลว้ กจ็ ะถงึ ขนั้ ตอนการเชญิ องคเ์ ทวรูปเพ่อื สรงน้าชาตอ่ ไป
42 ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์
อน่งึ เม่อื มกี ารเชญิ ดวงทพิ ยญาณของเทพเจา้ กลบั สวรรค์ ชาว
จนี ไหหลายงั คงตอ้ งการทย่ี ดึ หน่ยี วในระหวา่ งทด่ี วงทพิ ยญาณเทพเจา้
ไม่อยู่ด้วยเช่นกนั จึงเกดิ เป็นธรรมเนียมการสร้างป้ายบูชาชวั ่ คราว
แทนองค์เทพเจ้า ประดษิ ฐานแทนองคเ์ ทวรูปในแท่นประทบั ท่เี ชญิ
ออกไปแตง่ สใี หม่ โดยจะมกี ารบอกกล่าวตอ่ องคเ์ ทพเจ้าวา่ ขอให้ท่าน
แบ่งภาคดวงทิพยญาณส่วนหน่ึงมาสถิตย์อยู่ ณ ป้ายบูชาชวั ่ คราว
หรอื กงไป่ (共碑) เพ่อื ปกปกั ษ์รกั ษา คุ้มครองลูกหลานดว้ ย ทงั้ น้ี
ยงั มีการแขวนดวงตะเกียงไว้บนเสาสูง (天燈 ทีเด็ง) เพ่ือเป็น
สญั ลกั ษณใ์ หเ้ ทพเจา้ เหน็ ขณะทท่ี า่ นอยูบ่ นสวรรคว์ า่ ศาลของท่านอยู่
ณ ทแ่ี ห่งน้ี เมอ่ื ท่านกลบั มาจะไดเ้ หน็ ว่า ลูกหลานยงั คงรอการกลบั มา
ของทา่ นอยู่
กงไป่ (共碑) ป้ ายสถิตดวงทิพยญาณ
ในช่วงท่ีมกี ารเปลี่ยนเคร่อื งทรง
ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งศลิ ปศาสตร์ 43
เมอ่ื มกี ารเชญิ องค์เทวรูปออกจากแท่นประทบั มาประดษิ ฐาน
ยงั แท่นพานกั ชวั่ คราว เพ่อื ทาการสรงน้าชาและแช่เทวรูปลงในโอ่ง
หรือถงั น้า (落水 โล้วตุ้ย) โดยการสรงน้าชาก่อนการแช่น้าองค์
เทวรูป มจี ดุ ประสงคก์ เ็ พอ่ื ให้ลกู หลานได้ขอขมาลาโทษ หากมีการ
ล่วงเกินองค์เทพเจ้า ทงั้ ท่ีตัง้ ใจ และไม่ตงั้ ใจ ขอท่านได้โปรดให้
อภยั คลา้ ยกบั การสรงน้าพระในวนั สงกรานต์ แต่เหตุผลทใ่ี ชน้ ้าชาใน
การสรงกเ็ พราะ
1.ในทางวทิ ยาศาสตร์ น้าชาท่ตี ้มดว้ ยความเขม้ (มรี สแก่จดั )
จะมคี ณุ สมบตั ใิ นการกดั กรอ่ นสที ต่ี ดิ อยู่ท่อี งคเ์ ทพเจ้า และสามารถทา
ใหค้ ราบเขมา่ ควนั ทต่ี ดิ อยทู่ อ่ี งคเ์ ทพเจา้ หลดุ ออกโดยง่าย เพราะเขม่า
ทเ่ี กดิ จากควนั ธูปมกั จะเป็นคราบเหนยี ว ล้างออกยาก การใชน้ ้าชาจงึ
เป็นภูมปิ ญั ญาของชา่ งโบราณชาวไหหลา ในการจดั การกบั คราบเขม่า
ควนั ธูปและสเี กา่ ใหห้ ลดุ ลอกไดง้ า่ ย
2.ในทางความเช่อื น้าชาถอื เป็นน้าท่มี คี วามสะอาด ผ่านการ
ตม้ และใบชามกี ลนิ่ หอม เหมาะแกก่ ารนามาสรงน้าองคเ์ ทวรูป เพราะ
ในอดีต การหาน้าสะอาดไม่สะดวกมากเท่าปจั จุบนั น้าชาจงึ เป็นสงิ่
หน่ึงท่ีชาวจีนไหหลาเช่อื ว่า เป็นน้าท่ีเหมาะสมต่อการแสดงความ
เคารพอยา่ งสงู สุด
การสรงน้าชาเทวรูปเทพเจ้า จึงมีความหมายมากกว่าเป็น
เพยี งแค่พธิ กี รรมปลกี ย่อยธรรมดาๆ แมว้ า่ นวตั กรรมและเทคโนโลยใี น
44 ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งศลิ ปศาสตร์
ปจั จบุ นั จะสรรคส์ รา้ งวสั ดุอปุ กรณ์ท่ที าใหส้ หี ลุดลอกไดง้ ่าย แต่ชาวจนี
ไหหลาก็ยงั คงรกั ษาประเพณีอันดีงามน้ีไว้ เพ่อื เป็นเคร่ืองเตือนใจ
บอกต่อแก่ลูกหลานถงึ ความหมายและกุศโลบายของพธิ ดี งั กล่าว โดย
ในระหวา่ งทส่ี รงน้าชา อาจมกี ารนาเอาหง่งึ เตยี๋ หรอื กระดาษทอง มา
เชด็ ถบู รเิ วณทม่ี คี ราบสง่ิ สกปรก เพ่อื ช่วยใหค้ ราบหลุดออกไดง้ ่ายขน้ึ
เปรยี บเสมอื นการอาบน้าทาความสะอาด กอ่ นการลงแช่ในอ่างน้าของ
คนเชน่ กนั
เม่อื สรงน้าชาเสรจ็ จะอญั เชญิ เทวรูปแช่ลงในถงั น้า ประหน่ึง
วา่ ใหท้ า่ นไดแ้ ชน่ ้าเพ่อื เป็นการสรงสนาน แต่ในความเป็นจรงิ การแช่
น้าทง้ิ ไวใ้ นโอ่งหรอื ถงั น้า กเ็ พ่อื ทาใหส้ เี ป่ือยยุ่ย ขดั ออกได้ง่าย ซ่งึ ใน
บางท่ี มกี ารนาเอาเทวรูปไปต้มในกระทะใบบวั เพ่อื ใหส้ หี ลุดออกได้
ง่ายขน้ึ อกี ดว้ ย
โดยทงั้ การสรงน้าชา ก็ดี การใชก้ ระดาษทองขดั องค์เจา้ ก็ดี
หรอื แมแ้ ตก่ ารตม้ เทวรูปในกระทะใบบวั กด็ ี ชาวจนี ไหหลาเชอ่ื วา่ ไม่ได้
เป็นการลบหลู่องคเ์ ทพเจ้าแต่อย่างใด นนั่ เพราะ ได้มีการเชิญดวง
ทิพยญาณของเทพเจ้าที่เคยสถิตยอ์ ยู่ในองคเ์ ทวรูปนัน้ ออกแล้ว
หากแต่เป็นประเพณอี นั ดงี ามทล่ี กู หลานควรสบื ทอดและอนุรกั ษไ์ วม้ ใิ ห้
ขาดหาย เพราะพธิ กี รรมปลกี ยอ่ ยเหลา่ น้ี ลว้ นแต่ซ่อนไวซ้ ่ึงภูมปิ ญั ญา
และกุศโลบายของบรรพชน เป็นดงั่ เสยี งสะท้อนท่กี ้องกงั วานอยู่ใน
พธิ กี รรมดงั กลา่ ว รอวนั ใหล้ ูกหลานไดย้ นิ และทาความเขา้ ใจถงึ ความ
งดงามทบ่ี รรพบุรุษสรรคส์ รา้ งเอาไวใ้ หล้ ูกหลานชาวจนี ไหหลาสบื ทอด
ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์ 45
และสานต่อเจตนารมณ์แห่งความศรัทธา และเป่ียมไปด้วยความ
กตญั ญทู ม่ี ตี ่อเทพเจา้ อนั เป็นสญั ลกั ษณ์ของแผน่ ดนิ เกดิ ทจ่ี ากมาของ
บรรพชน
“ตน้ แห่งวฒั นธรรมจนี ไหหลาจะคงอยู่ได้ กด็ ว้ ยเพราะราก ที่
หยงั่ ลึกและแขง็ แรง อันเกิดจากความเข้าใจในวฒั นธรรมประเพณี
เคลอื่ นคลอ้ ยผา่ นกาลเวลามานานแสนนาน ขอลูกหลานอย่าบดิ เบอื น
และทาให้วฒั นธรรมเหือดหาย และแห้งโรยไปด้วยเพราะความไม่
เขา้ ใจและไม่สานต่อ”
46 ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์
โตะ๊ เครอื่ งเซ่นไหว้ พิธีถวายเลีย้ งอาลา
ศาลเจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั
2 สิงหาคม 2558
ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์ 47
พิธีเส่ียงทายปัวะปวย เพ่อื สอบถามฤกษ์มงคลในการเชิญเทพเจา้
ออกจากแท่นประทบั และรปู เคารพ
ถงั น้าชา และพิธีสรงน้าชา (落水 โล้วต้ยุ )
ศาลเจ้าแมท่ บั ทิมพิชยั 2 สิงหาคม 2558
48 ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งศลิ ปศาสตร์
冠冕
หมวกยศและมงกฎุ
กบั ฐานานุศกั ด์ิของเทพเจ้าจีน
ในอดีตกาล ชนชาติต่างๆในแถบเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น
พระมหากษตั รยิ ์ เชอ้ื พระวงศ์ ขนุ นาง และสามญั ชน จะมกี ารระบุบ่งช้ี
ลาดับของฐานานุศกั ดิ์ ผ่านทางเคร่ืองแต่งกาย ทงั้ สีเส้ือผ้า หรือ
แมก้ ระทงั่ หมวก ท่ถี อื เป็นเคร่อื งแต่งกายสูงสุดของทุกคน และเป็นท่ี
สงั เกตไดง้ ่าย โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ชนเผา่ ทางตอนกลางและตอนเหนือ
ของเอเชยี หมวกถอื เป็นเคร่อื งแต่งกายสาคญั ท่ใี ห้ทงั้ ความอบอุ่น
ความสวยงาม และอุปกรณ์พ่งึ พายามยาก ดงั ปรากฎในบนั ทกึ สมยั
ราชวงศม์ องโกล (หยวน) ของจนี ท่หี มวกโลหะของทหาร กลายมา
เป็นภาชนะสาหรบั หงุ หาอาหารใหก้ บั กองทพั เป็นตน้
ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์ 49
หมวกยศ หรอื "กวาน 冠" คือสงิ่ ท่ชี นชนั้ สูงชาวจนี ในสมยั
โบราณใชส้ วมครอบบนศรี ษะ เพอ่ื เป็นเคร่อื งบอกระดบั ประดบั พระยศ
พระเกยี รติ ซ่งึ อนั ท่จี ริงแลว้ "กวาน" เปรยี บได้กบั รดั เกล้าทจ่ี ะสวม
ครอบรดั มวยผม และยงั ถอื เป็นสญั ลกั ษณ์บอกสถานะ เพราะจากดั
เฉพาะชนชนั้ สูงมยี ศฐาบรรดาศกั ดเิ์ ท่านนั้ ลาดบั ชนั้ ต่างกนั รูปแบบ
ของ "กวาน" กต็ ่างกนั ไป และจะใชใ้ ส่ออกงานได้แต่เฉพาะในพธิ กี าร
สาคญั เท่านนั้ อาทิ ไดร้ บั แตง่ ตงั้ เลอ่ื นขนั้ เล่อื นตาแหน่ง
หมวกจงึ ถอื เป็นเคร่อื งแต่งกายทส่ี าคญั อกี ชน้ิ หน่ึง ท่ไี ม่ใช่แค่
เฉพาะบุคคลในสงั คมจนี สมยั โบราณ หากแต่ยงั เป็นเคร่อื งประดบั ของ
เทวรูปเทพเจ้าอนั เป็นทเ่ี คารพของคนทวั่ ไป เพ่อื ยกพระเกยี รตขิ อง
เทพเจา้ ใหย้ งิ่ ใหญ่ ตามลาดบั ฐานานุศกั ดแิ์ ละการเฉลมิ พระนามต่างๆ
ดว้ ย
หมวกของเทพเจา้ จงึ เป็นการจาลองเอาหมวกของกษตั รยิ ์ ขุน
นางชนั้ ผู้ใหญ่ ให้ล้อตามลาดับศักดิข์ องเทพเจ้า หากแต่จะมีข้อ
แตกต่างกนั ตรงท่ี หมวกยศของเทพเจา้ มกั จะประดบั ดว้ ย โบวผ์ า้ แพร
แดง (องั่ ต้ิว) และ ดอกไม้ทองขนนกยูง (กิมฮวย) ซ่ึงลกั ษณะของ
หมวกก็จะแตกต่างกนั ไปตามฐานานุศกั ดิแ์ ละปางของเทพเจ้า(บุ๋น
และบ)ู๊ โดยในทน่ี ้จี ะขออธบิ ายถงึ หมวกสาหรบั เทพเจา้ ปางบุ๋น เพราะ
หมวกปางบู๊ จะเป็นหมวกยศแบบชุดขุนศึกเสียส่วนใหญ่ ความ
50 ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งศลิ ปศาสตร์
แตกต่างและรายละเอยี ดไม่ไดม้ มี ากเทา่ กบั หมวกปางบุ๋น ซ่งึ หมวกยศ
ปางบุ๋น จะแบง่ ออกเป็นประเภทต่างๆ ดงั น้ี
1.หมวก “มาลาจกั รพรรดิราช” 冕冠 (เหม่ยี นกวาน)
หมวกมาลาจกั รพรรดริ าช เป็นหมวกทใ่ี ชใ้ นพระราชพธิ สี าคญั
ของกษตั รยิ ์หรอื ฮ่องเต้เท่านนั้ เป็นหมวกทรงสูง ดา้ นบนเป็นแถบผา้
แขง็ รูปสเ่ี หลย่ี มผนื ผา้ ยาวจากหน้าไปหลงั บรเิ วณชายของทงั้ 2 ดา้ น
จะประดบั ดว้ ยลกู ปดั หรอื ไขม่ กุ เป็นระบาย มผี า้ คาดสเี หลอื งคาดจาก
ซ้ายไปขวาแนบข้างหู หมวกประเภทน้ี มักจะปรากฏเฉพาะกับ
เทวรูปของเทพเจ้าท่ีดารงพระยศเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ หรือ ทีกง
โดยเฉพาะ และมีการดดั แปลงหมวกชนิดน้ีเป็นหมวกยศของเจา้ แม่
ทบั ทมิ (เทยี นโหว) หรอื องคม์ าโจว้ เพราะตามฐานานุศกั ดขิ์ องพระองค์
ทรงดารงพระยศเป็น พระราชนิ ีแหง่ สวรรค์ (天后)
หมวกยศน้ีฮ่องเต้จนี จะทรงสวมสาหรบั ออกงานพระราชพิธี
สาคัญๆ ซ่ึงมีรูปร่างลักษณะละม้ายคล้ายกับหมวกท่ีเหล่านิสิต
ภาคที่ 2: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์ 51
นกั ศกึ ษาในปจั จุบนั ใสต่ อนพธิ สี าเรจ็ การศกึ ษา ทด่ี า้ นบนประกอบดว้ ย
ผนื กระดานแผ่นเรยี บทานองเดียวกนั แต่แน่นอนว่าหมวกยศของ
ฮ่องเตย้ อ่ มมคี วามประณตี สวยงามละเอยี ดออ่ นมากกวา่ และมชี อ่ื เรยี ก
ของสว่ นประกอบต่างๆดงั น้ี
แผ่นกระดานเรยี บ "เหมยี นป่าน (冕板) หรอื เหยยี นป่าน
(綖板) ทาจากไม้ถงมู่ (桐木) ด้านหน้าโค้งมนเป็นตวั แทนแห่ง
ท้องฟ้า ด้านหลงั เรียบตรงแทนผนื แผ่นดนิ แฝงความนยั ทว่ี ่าผู้เป็น
โอรสสวรรค์นนั้ ทรงเคารพนบั ถอื ในอานาจแห่งฟ้าดนิ นอกจากน้ีผนื
กระดานเรยี บน้ียงั ยกส่วนหลงั ใหส้ ูงกวา่ ดา้ นหน้า 1 น้วิ จงึ มลี กั ษณะเท
ลาดเพ่อื เป็นเคร่อื งเตือนให้กษัตริย์ทรงใส่ใจในทุกข์สุขของราษฎร
อย่างเสมอภาคเท่าเทยี ม
ส่วนฐานหรือตัวหมวกท่ีมีลักษณะทรงกระบอกสวมครอบ
ศรี ษะ ทาจากไม้ไผ่สานออกมาเป็นทรงท่ปี ิดทบั ด้วยผนื ผา้ สดี า และ
ประดบั ดว้ ยเสน้ แถบลายทอง นอกจากน้ที ด่ี า้ นซ้ายและขวากจ็ ะมชี อ่ งรู
สาหรบั เสยี บป่ินหยก เพ่อื ขดั ตดิ กบั มวยผมดา้ นใน และท่ปี ลายปิ่นทงั้
สองขา้ งกจ็ ะมสี ายเสน้ หอ้ ยลูกปดั หยกถ่วงยาวลงมาระดบั หูขา้ งละหน่ึง
เมด็ เพ่อื เป็นเครอ่ื งเตอื นใหพ้ ระองคอ์ ย่าไดท้ รงหูเบาหลงเช่อื คาความ
52 ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งศลิ ปศาสตร์
ใดง่ายๆ และเพ่อื ใหก้ ระชบั อยู่กบั พระเศยี รกจ็ ะมสี ายเชอื กโยงผูกรดั
ตดิ ไวใ้ ตค้ างอกี ทหี น่งึ
ในส่วนของแผงม่านลกู ปดั จะหอ้ ยระยา้ ประดบั ทด่ี า้ นหน้าและ
หลงั ทล่ี ะ 12 เสน้ แตล่ ะเสน้ ยาว 12 น้ิว ประกอบดว้ ยเมด็ ลกู ปดั หยก 5
สี ไดแ้ ก่ แดง ขาว เขยี ว เหลอื ง และดา ไล่เรยี งกนั ไป 12 เมด็ ในหน่ึง
สาย โดยแตล่ ะเมด็ จะมขี มวดปมกนั้ เป็นระยะใหห้ ่างกนั ประมาณ 1 น้ิว
มที งั้ สน้ิ 12 สายแทนถงึ หน่งึ ปีทม่ี ี 12 เดอื น
สายมา่ นลกู ปดั มหี น้าทส่ี าคญั อยูส่ องประการ หน่งึ เพ่อื อาพราง
คอื เตอื นใหฮ้ ่องเตท้ รงระลกึ องค์อยู่เสมอวา่ ต้องมองรวมดูความส่วน
ใหญ่ ขอ้ บกพร่องเลก็ ๆ น้อยๆ กใ็ หท้ รงเปิดพระทยั กวา้ งยอมรบั และ
สองเพอ่ื ใหร้ าคาญ คอื ใหท้ รงระลกึ องค์อยู่เสมอว่า ต้องสารวมท่วงท่า
รกั ษามาดให้นิ่งสง่าและหนกั แน่นอย่างกษตั รยิ ์ หากหลุกหลกิ ยุกยกิ
ไปมาเกนิ งาม สายลูกปดั มากมายกจ็ ะพลอยสะบดั ไหวกระทบไปมา
เป็นทน่ี ่าราคาญดไู ม่งามดว้ ย
ทงั้ น้ี ในช่วงแรกเริ่มเดิมที นอกจากฮ่องเต้ผู้เป็นโอรสแห่ง
สวรรคแ์ ลว้ บรรดาอ๋อง เชอ้ื พระวงศ์ชนชนั้ สูงต่างกส็ วมครองมงกุฏ
ประดบั พระเกยี รตดิ ้วยเชน่ กนั แต่จานวนสายสรอ้ ยลูกปดั นนั้ จะมาก
ภาคที่ 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งศลิ ปศาสตร์ 53
น้อยต่างกนั ไป คอื มงกุฏฮ่องเตม้ ่านลูกปดั 12 สาย ทุกสายประดบั
หยก 12 เมด็ พระโอรสจะมเี พยี ง 9 สายสายละ 9 เมด็ พระญาตสิ นิทท่ี
เป็นชายมี 7 สาย
ทห่ี ่างลาดบั ขนั้ รองลงไปอกี กจ็ ะมเี พยี ง 5 สาย ส่วนขุนนางระดบั สูงจะ
เป็น 6 สาย ต่ารองลงไปเป็น 4 สาย และ 2สาย สาหรบั ขุนนางระดบั
สามลงไปจะมสี ายลูกปดั ห้อยเฉพาะดา้ นหน้าเท่านนั้ ต่อมาแผงสาย
ลกู ปดั ดงั กล่าวกไ็ ดถ้ ูกจากดั ใหเ้ ป็นเร่อื งเฉพาะสาหรบั ฮ่องเตเ้ ท่านนั้
54 ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งศลิ ปศาสตร์
2. หมวก “มาลาทอดฟ้ า” 通天冠 (ทงเทียนกวาน)
หมวกมาลาทอดฟ้า เป็นหมวกของกษตั รยิ ์หรอื ฮ่องเต้เท่านนั้
โดยหมวกชนดิ น้ี จะเป็นหมวกทรงสูง หน้าหมวกจะมตี ราส่เี หล่ยี มและ
รปู จกั จนั่ ทองคา หมวกชนิดน้จี ะมเี สน้ ตงั้ หน้าหมวก 24 เส้น คาดจาก
ด้านหน้าไปด้านหลัง ฮ่องเต้จะใช้ทรงเม่ือถึงพระราชพิธี และ
การออกวา่ ราชการในบางครงั้
ชุดประกอบของหมวกมาลาทอดฟ้ าในสมยั ราชวงศ์ซ่ง จะ
ประกอบไปดว้ ย เสอ้ื คลมุ สแี ดงเขม้ ปกั ลายเมฆาและลายมงั กร ชุดผา้
บางสีขาว ทบั ทรวงสีขาว (ด้านบนโค้งด้านล่างเหล่ียม สวมเป็น
ปลอกไว้ท่ีคอไม่ให้คอเส้ือยับ ซ่ึงแฝงความหมายว่าฟ้ ากลมดิน
เหลย่ี ม) กระโปรงสแี ดงเขม้ เขม็ ขดั ทองประดบั หยก แพรแถบหอ้ ย
หน้า เป็นแถบผา้ รูปขวาน(บนเลก็ ล่างใหญ่)ท่หี ้อยไวด้ ้านหน้า แถบ
หยกแขวนลญั จกร ถุงพระบาทสีขาว ฉลองพระบาทสีดา และ
หมวกมาลาทอดฟ้า ชดุ มาลาทอดฟ้าน้ีเป็นเพยี งเคร่อื งแต่กายใน
พระราชพธิ ชี ดุ รองเท่านนั้ ไมไ่ ดเ้ ป็นฉลองพระองคช์ ดุ หลกั
ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งศลิ ปศาสตร์ 55
3. หมวก “มาลายาตรา” 遠遊冠 (หยวนโหยวกวาน)
หมวกมาลายาตรา หรือแปลเป็นภาษาไทยแบบตรงตัวว่า
หมวกท่องเทย่ี วไกล เป็นหมวกของพระราชโอรส พระบรมวงศานุวงศ์
และขุนนางชนั้ สูง มีลักษณะคล้ายกบั หมวก มาลาทอดฟ้ า แต่จะ
แตกต่างตรงท่ี หมวกมาลาทอดฟ้าจะมีตราจกั จนั ่ ทองคา ส่วนหมวก
มาลายาตรา จะไม่มตี ราจกั จนั่ ทองคา และมเี ส้นตงั้ หน้าเพียงแค่ 18
เสน้ เทา่ นนั้
ทงั้ หมวก มาลาทอดฟ้ าและมาลายาตรา จงึ เป็นหมวกยศ
ของเทพเจา้ จนี ปางบนุ๋ ทใ่ี ชก้ บั เทพเจา้ ทไ่ี ดร้ บั การเฉลมิ พระนามเป็น
จกั รพรรดิ 大帝 (ต้าต้ี) รวมถึงเทพเจ้ากวนอู (關聖帝君) ท่ี
ตามตาราของศาสนาเตา๋ ยกใหท้ ่านเป็น เงก็ เซยี นฮ่องเตอ้ งคป์ จั จบุ นั
56 ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งศลิ ปศาสตร์
4. หมวก “ยวุ มาลา” 及冠 (จกี๋ วาน)
ในอดตี นับแต่สมยั ราชวงศ์โจว (1066-256ปีก่อนค.ศ.) เป็น
ตน้ มา พระราชโอรส หรอื เชอ้ื พระวงศ์ เม่อื มอี ายุครบ 20 ปีเตม็ กจ็ ะมี
พธิ สี วมกวาน เรยี กว่า "จกี๋ วาน 及冠" แต่กจ็ ะมบี างพระองคท์ ่อี ายุ
16 ปีกเ็ ขา้ พธิ นี ้ไี ดแ้ ลว้ ซ่งึ การสวมกวานจะมี 3 ครงั้ 3 แบบดว้ ยกนั คอื
ครงั้ แรกเรยี ก "สือเจยี 始加" เพ่อื เป็นเคร่อื งแสดงว่าได้
บรรลุนิตภิ าวะโตเป็นผใู้ หญ่ มสี ทิ ธแิ ละอานาจในการปกครองคนขนั้ ตน้
แลว้ แต่กอ็ ย่าหลงลมื ตน ยงั ตอ้ งปรบั ปรุงพฒั นาตนให้สมกบั ความเป็น
ผใู้ หญ่ต่อไป
ครงั้ ท่สี อง "ไจ้เจยี 再加" หวงั ให้ชายหนุ่มท่สี วมน้ีมคี วาม
ราบรน่ื กา้ วย่างอย่างมนั่ คงในหน้าทก่ี ารงาน
และครงั้ ท่สี าม "ซานเจยี 三加" เพ่อื บอกวา่ เป็นผใู้ หญ่เตม็
ตวั สามารถเขา้ ร่วมงานพธิ กี ารตา่ งๆ ไดแ้ ลว้
ภาคที่ 2: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์ 57
หมวกจกี๋ วานน้ี มกั จะพบเหน็ ไดบ้ นพระเศยี รของเทวรปู ของเทพเจา้ นา
จา หรอื ยวุ เทพ องคอ์ น่ื ๆ ทเ่ี ป็นเดก็ ใชแ้ สดงฐานะวา่ เทพพระองคน์ นั้
เป็น ยวุ กษตั รยิ ์ 太子(ไทจ่ ่อื ) หรอื ยวุ เทพ 重子 (ถงจ่อื )
4. หมวกฝโู ถว่ 幞头 - หมวกอีซ่านกวาน 翼善冠
หมวกฝูโถ่ว หรือหมวก อซี ่านกวาน เป็นหมวกลาลองท่ใี ช้
ตงั้ แตก่ ษตั รยิ เ์ พอ่ื เป็นหมวกทรงลาลอง ไปจนถงึ คหบดี และสามญั ชน
ทวั่ ไป ฝโู ถ่วพฒั นามาจากผา้ โพกศรี ษะ ปรากฎตงั้ แต่สมยั ราชวงศโ์ จว
ซง่ึ หมวกฝโู ถ่วเป็นทน่ี ิยมอย่างมากในสมยั ราชวงศซ์ ่ง สมยั น้ีฝโู ถ่วทา
โครงภายในดว้ ยไม้ ด้านนอกเป็นผา้ ยอ้ มสี ซ่งึ มคี วามเรยี บง่ายและ
สวยงาม สว่ นหางรปู รา่ งตรงค่อนขา้ งเป็นทน่ี ิยม ซ่งึ กค็ อื การทาให้
ชายหางด้านหลงั เหยียดยาวตรงออกไป นอกจากนัน้ ยงั มีหางของ
หมวกฝโู ถ่วรูปแบบหางไขว้ หางพลกิ หมวกฝูโถ่วหางไขวก้ ค็ อื หาง
ทงั้ สองขา้ งชไ้ี ปในทศิ กลบั กนั กค็ อื ไขวก้ นั ไว้ ส่วนหมวกฝโู ถว่ หางพลกิ
58 ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์
กค็ อื ปลายหางทงั้ สองพนั สลบั ขา้ งกนั แลว้ เอยี งชล้ี ง มที งั้ ทาจากผา้ ฝ้าย
ผา้ ตาขา่ ยแบบแขง็ หรอื แมก้ ระทงั่ ผา้ ดบิ ขน้ึ อยู่กบั บคุ คลทใ่ี ชง้ าน
ฝูโถ่วจึงเป็นหมวกทรงลาลอง ท่ีใช้กับเทพเจ้าปางบุ๋น
โดยทวั่ ไป ทด่ี ารงตาแหน่งเป็น เทวะ ท่ลี งทา้ ยช่อื ตามยศต่างๆ อย่าง
爺爺 (เหย่เหย่) หรอื 神 (เสนิ หรอื ซ่ิงในสาเนียงแตจ้ วิ๋ ) หรอื 公
公 (กงกง) อาทิ เทพเจ้าปุนเถ่ากง (本頭公) ซ่งึ หางหมวกมกี าร
ปรับเปล่ียนเป็นรูปแบบต่างๆเพ่ือความสวยงาม ทงั้ แบบหางตรง
(แบบเปาบนุ้ จน้ิ ) หางคทาหยู่อ่ี (เทพเจา้ ไฉ่สง่ิ เอย๊ี 財神爺) เป็นตน้
และในบางครงั้ เทวรูปของเทพเจา้ กวนอู กใ็ ชห้ มวกฝโู ถ่วแบบไมม่ หี าง
เชน่ เทพเจา้ กวนอปู างอา่ นตารา ซง่ึ กไ็ มถ่ อื ว่าผดิ เพราะในชว่ งท่ที ่าน
มชี วี ติ อยู่ ท่านเป็นขุนนาง และมกั จะโพกผ้าสีเขยี วทรงฝูโถ่วด้วย
เชน่ กนั
ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์ 59
5. มงกฎุ ดอกไม้ 花冠 (ฮวากวาน)
สาหรบั หญิงจนี ในสมยั โบราณ โดยทวั่ ไปแล้วจะไม่มกี ารสวม
กวาน แต่กจ็ ะมพี ธิ บี รรลนุ ิตภิ าวะเชน่ กนั ตอนอายุ 15 ปี เรยี กวา่ "จหี ล่ี
笄礼" ท่จี ะมกี ารรวบเกล้าผมขน้ึ แล้วปกั ป่ิน บอกแสดงถงึ สถานะท่ี
เปล่ยี นจากเดก็ หญิงมาเป็นหญิงสาวแล้ว แต่กม็ กี รณยี กเวน้ สาหรบั
บางกลุม่ บางพวก อาทิ นกั พรตหญงิ ลทั ธเิ ตา๋ กจ็ ะสวมกวาน ทาจากไม้
หรือโลหะ นอกจากน้ีในสมยั ราชวงศซ์ ่ง(ค.ศ.960-1279) ผู้หญิงก็
สามารถสวม "ฮวากวาน 花冠" ท่ีมีรูปร่างเล็กกว่า เพ่อื ใช้เป็น
เคร่อื งประดบั ตกแต่ง และในพระราชพธิ ยี งิ่ ใหญ่สาคญั ๆ ฮองเฮา ผู้
เป็นพระมเหสขี องจกั รพรรดกิ ท็ รงสวม "เฟ่ิงกวาน 凤冠" หรอื มงกุฏ
หงส์ ท่ีมีความประณีตงดงามและประดบั ด้วยอญั มณีล้าค่าเป็น
เครอ่ื งประดบั ออกงาน ดงั นนั้ มงกุฎของเทพเจ้าทเ่ี ป็นสตรี จงึ ไม่ได้มี
รูปแบบทต่ี ายตวั แต่มกั จะเป็นมงกุฎรูปหงส์ ประดบั อญั มณี หรอื ขน
นกสฟี ้า ปรบั ขนาดใหเ้ ขา้ กบั บุคลกิ และสรรี ะของแต่ละองค์ ห้อยชาย
ดว้ ยพูไ่ หม 2 ขา้ ง คลา้ ยกบั มงกฎุ ของสตรผี สู้ งู ศกั ดิ์
60 ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์
6. มงกฎุ หงส์ 凤冠 (เฟิ่ งกวาน)
มงกฎุ หงสเ์ ป็นเคร่อื งประดบั ศรี ษะของบรรดาราชนารที ไ่ี ดร้ บั
พระราชทานบรรดาศกั ดิ์มงกุฎหงสร์ วมถงึ เครอ่ื งประดบั ศรี ษะของสตรี
ผมู้ ฐี านะในสมยั กอ่ นมกั จะทาโครงเคร่อื งประดบั ดว้ ยโลหะทองหรอื เงนิ
ประดบั ลวดลายต่างๆดว้ ยขนนกกระเต็นสีฟ้ า ภาษาจนี ใชค้ าว่า 点
翠 - เตย่ี นชยุ่ คุณสมบตั พิ เิ ศษของเคร่อื งประดบั ทท่ี าจากขนนกกค็ อื
ความคงทน ของสสี นั ท่สี ามารถอยู่ได้เป็นรอ้ ยๆปี เพราะเป็นสขี นท่ี
เกดิ ตามธรรมชาติ ไม่ไดย้ อ้ มขน้ึ จากฝีมอื มนุษย์ ดงั นนั้ ขนนกท่นี ามา
ทาเครอ่ื งประดบั จงึ ถอื เป็นของหายากและมรี าคาแพง ยงั สามารถแบ่ง
ออกไดเ้ ป็น ขนแบบอ่อนและขนแบบแขง็ ขนแบบอ่อนกจ็ ะมคี วามออ่ น
นุ่มใหค้ วามรสู้ กึ เวลาสมั ผสั ทล่ี ะมุนละไมกวา่ แน่นอนราคาย่อมต้องสูง
ภาคที่ 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งศลิ ปศาสตร์ 61
กวา่ ดว้ ย สนี ้าเงนิ จงึ เป็นสขี องความยงั่ ยนื ส่อื ถงึ การรกั ษาไวซ้ ่งึ ความดี
งามทจ่ี ะไมม่ วี นั เสอ่ื มคลาย ประกอบกบั พู่ไหมทห่ี อ้ ยเป็นชายด้านขา้ ง
หู นยั หน่ึงสอ่ื ถงึ การจะรบั ฟงั อะไร ต้องรูจ้ กั กลนั ่ กรองก่อน ไม่หุนหนั
พลนั แลน่ อกี ทงั้ พหู่ อ้ ยยงั สรา้ งความราคาญ เพราะเป็นเครอ่ื งเตอื นใจ
ใหร้ ู้จกั หนักแน่น ไม่หลุกหลกิ ยุกยกิ ไปมา เพราะจะทาใหพ้ ู่ไหมส่าย
และเกดิ ความราคาญ
มงกุฎหงสจ์ ะเป็นมงกฎุ ทไ่ี ด้รบั ความนิยมในการนามาตกแต่ง
เป็นหมวกยศของเทพเจ้าสตรีเกือบทุกพระองค์ โดยจะมีหงส์พ่าห์
(หงสร์ าแพนหาง) และพู่หอ้ ยไหมสแี ดงดา้ นขา้ ง ประกอบกบั ลวดลาย
มงคลตา่ งๆ และมกุ สขี าว เพ่อื ใหเ้ กดิ ความสวยงาม
62 ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์
7.มงกฎุ กวานซ่ือ 冠饰
ผู้หญิงสูงศกั ดิข์ องจีนจะสวมกวานช่อื คลุมศรี ษะ โดยมีฮวา
กวานเป็นแบบอย่างพ้นื ฐาน ยุคน้ีมงกุฎกม็ ขี นาดสูงใหญ่ข้นึ เร่อื ยๆ
ส่วนของประดบั กม็ มี ากมาย กวานซ่อื บางอนั กส็ ูงถงึ 1 เมตร และมี
ความกว้างเท่ากบั ไหล่คนเลยทเี ดยี ว ด้านหลงั ของหมวกกวานมกั มี
ชายหอ้ ยถงึ บา่ เครอ่ื งประดบั ส่วนบนกม็ ที งั้ เงนิ ทอง มุก มรกต ขนนก
กระเตน็ ดอกไม้นานาชนิด หวอี าพนั เป็นต้น ผหู้ ญิงทส่ี วมหมวก
กวานซ่อื ซง่ึ ใหญ่เทอะทะแบบน้ีแลว้ ต้องไปนัง่ เกย้ี ว อาจจะต้องเอยี ง
ศรี ษะของนางถึงจะสามารถเข้าเก้ยี วได้ เป็นมงกุฎท่ีไม่ค่อยได้รับ
ความนิยมทจ่ี ะนามาทาเป็นมงกฎุ ประดบั พระเศยี รของเทวรูปเทพเจา้
สตรี เพราะมขี นาดใหญ่ ไม่สมสว่ นกบั สรรี ะขององคเ์ ทวรูป มงกุฎหงส์
จงึ เป็นทน่ี ิยมมากกวา่
หมวกยศของเทพเจา้ ฝา่ ยชาย และมงกฎุ ของเทพเจา้ ฝา่ ยหญงิ
ทเ่ี ป็นปางบุ๋นมคี วามละเอยี ดอ่อนตามลาดบั ฐานานุศกั ดิ์ ดงั นัน้ การ
เลือกใช้จึงไม่ได้เป็นการเลือกเพ่ือความสวยงามเพียงอย่างเดียว
หากแต่ยงั ต้องดูถงึ ลาดบั ขนั้ ของความเป็นเทพเจ้าทไ่ี ด้รบั การเฉลมิ
พระนาม และการสถาปนา ตามความเชอ่ื ของศาสนาเต๋า เพราะหมวก
ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์ 63
ยศและมงกฎุ ถอื เป็นสง่ิ สาคญั สูงสุดในการสรา้ งความน่าเกรงขามและ
เป็นเกยี รตยิ ศแห่งเทพเจา้ ชาวจนี จงึ ตอ้ งใหค้ วามสาคญั กบั เรอ่ื งเหล่าน้ี
เป็นพเิ ศษ
นอกจากน้ี กุศโลบายทแ่ี ฝงอยู่ในหมวกยศและมงกุฎของเทพ
เจา้ ยงั เป็นเสมอื นเครอ่ื งเตอื นใจให้กบั ลูกหลาน ให้ดารงไวซ้ ่งึ ความดี
งาม เฉกเชน่ กบั องคเ์ ทพเจา้ ทแ่ี บกรบั ทงั้ ความหนักของหมวกยศ และ
มูลค่าของสิง่ ต่างๆบนหมวกยศ สอนใจให้ลูกหลานอยู่ในครรลองท่ี
เหมาะสม ดงั นนั้ ความสวยงามของวฒั นธรรมประเพณีทม่ี คี วามลกึ ซ้งึ
ไม่ไดอ้ ยู่ท่มี ูลค่าของสง่ิ ของ หากแต่อยู่ในคุณค่าของความเขา้ ใจและ
การดาเนินชวี ติ ตามความหมายของปกณิ กพธิ ี และรายละเอยี ดตา่ งๆท่ี
ลูกหลานควรทาความเขา้ ใจ และสบื สานตอ่ อยา่ งถูกตอ้ ง
64 ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศลิ ปศาสตร์
เจา้ แม่ทบั ทมิ พชิ ยั ปี 2558 ทรงมงกฎุ หงส์ และถอื
คทาฮปู ่ านสีทอง (笏板) เครอ่ื งยศ สญั ลกั ษณข์ องขนุ นางจนี
ใชเ้ ม่อื เวลาเขา้ เฝ้าจกั รพรรดิ
ภาคที่ 3
ภมู ิปัญญาแห่ง สงั คมศาสตร์
66 ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์
開光點眼抱聖行火路
พิธีเบิกพระเนตร ชมุ นุมทวยเทพยดา
ลยุ ไฟ และถวายฎีกา
ภายหลงั จากพธิ ีถวายเล้ยี งอาลาและเชญิ เทพเจ้าสรงน้าชา
เป็นทเ่ี รยี บรอ้ ย ชา่ งฝีมอื ผชู้ านายการกจ็ ะเรม่ิ ขดั สี โป๊วองคเ์ ทพเจ้าท่ี
แกะสลกั จากเน้อื ไม้ ทช่ี ารดุ และแตง่ เตมิ ลวดลาย วาดเสน้ แป้งเพ่อื ให้
องค์เทพเจ้ากลบั มามีชวี ติ ชวี า ประกอบเคร่ืองยศตามฐานานุศกั ดิ ์
ตลอดจนแต่งแตม้ สสี นั ตามธรรมเนยี มและคตปิ ฏบิ ตั เิ ร่อื งสี เชน่ สแี ดง
คอื สปี ระจาพระองค์ของเจา้ แม่ทบั ทมิ สเี ขยี วคอื สปี ระจาพระองค์ของ
เจา้ พ่อกวนอู สเี หลอื ง/ส้ม คอื สปี ระจาพระองค์ของเจ้าพ่อบ้วนเถ่ากง
ตลอดจนเคลด็ วชิ าในการสรรคส์ รา้ งองคเ์ ทพเจา้ ใหเ้ ออ้ื ต่อการประกอบ
ธุรกิจของลูกหลานและความต้องการในทางสริ มิ งคลของรูปลกั ษณ์
ภาคที่ 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์ 67
ตา่ งๆ หลงั จากแต่งองคเ์ ทพเจา้ เสรจ็ จะคลมุ องคเ์ ทพเจ้าดว้ ยกระดาษ
แดง ให้มดิ ชดิ พ้นจากสายตาคน ถอื เคลด็ เพ่ือไม่ให้พบเจอกบั สิ่ง
อปั มงคล
ในบางครงั้ ยังมีการทาความสะอาด ปรับปรุง หรือ วาด
ลวดลายบนพ้นื ผนังของแท่นประดษิ ฐานเทพเจ้า โดยมสี ตั ว์มงคลท่ี
เป็น เทพพาหนะตามคตคิ วามเช่อื เช่น องค์เจ้าแม่ทบั ทิม จะต้องมี
สตั วพ์ าหนะเป็นรูปกเิ ลนหนั หลงั (ชาวจนี เชอ่ื วา่ กเิ ลนมงคลจะไม่เดนิ
เหมอื นสตั วท์ วั่ ไป แต่จะเดินด้นถอยหลงั เหมอื นกบั สตั วพ์ าหนะของ
เกยี งไทก้ งุ หรอื เจยี งจ่อื หยา ปรมาจารยข์ องเทพเจา้ ทงั้ ปวง) เจ้าพ่อ
กวนอู มกั จะวาดผนังของแท่นประดษิ ฐานเป็นรูปพญามงั กรดนั้ เมฆ
ตามฐานานุศกั ดขิ์ องการเป็น องคอ์ คั รเทวะ (เงก็ เซยี นฮ่องเต)้ ของเทพ
ทงั้ ปวง หรอื การวาดเสอื ลายพาดกลอนบนผนงั ของแท่นประดษิ ฐาน
ของเจ้าพ่อบ้วนเถ่ากง ซ่ึงถอื เป็นสตั วบ์ รวิ ารของท่านตามความเช่อื
ของชาวจนี ไหหลา เป็นตน้
จะเหน็ ไดว้ า่ การเปลย่ี นเคร่อื งทรงเทพเจา้ ของชาวจนี ไหหลา
จะเต็มไปด้วยการแฝงไว้ซ่ึงคติท่ีมีความเป็นสิริมงคลต่างๆ โดย
เปลย่ี นไปตามกระแสของสงั คม ทงั้ ในเร่อื งของภาพวาด และรปู ลกั ษณ์
ของเทพเจา้ ทส่ี ามารถเปลย่ี นแปลงได้ ปีไหนอยากใหท้ ่านทรงชดุ แบบ
ใด จะเป็นปางบุ๋น ทใ่ี หพ้ ระคุณเรอ่ื งสตปิ ญั ญา การทามาค้าขาย หรอื
ปางบู๊ ทใ่ี หพ้ ระคณุ เรอ่ื งของอานาจ วาสนา บารมี กส็ ามารถทาได้ ถอื
เป็นอตั ลกั ษณ์เฉพาะตวั ทแ่ี ฝงไวใ้ นสายเลอื ดของชาวจนี ไหหลา ท่รี กั
68 ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์
ความสวยงาม ชอบการเปล่ียนแปลง ทันยุคสมัย แต่ยงั คงไว้ซ่ึง
ขนบธรรมเนียมประเพณที ด่ี งี าม
เมอ่ื องคเ์ ทพเจา้ เสรจ็ สน้ิ การแตง่ องค์ แทน่ ประดษิ ฐานกพ็ ร้อม
ใหเ้ ป็นทพ่ี านกั ของเทพเจา้ วนั ถอื ฤกษม์ งคลในการทาพธิ เี บกิ เนตรลุย
ไฟกม็ าถงึ ไตเ้ บ้ หรอื นกั พรตเตา๋ ผปู้ ระกอบพธิ จี ะเตรยี มการ โดยเรมิ่
จากการตงั้ โต๊ะปะราพธิ ี 3 ชนั้ ด้านนอกของศาลเจ้า ลดหลนั่ กนั คลา้ ย
กบั ภูเขาลูกใหญ่ กางกนั้ ดว้ ยกลด(ร่ม)สแี ดงมงคล โดยแต่ละชนั้ จะมี
การจารกึ ชอ่ื ของเทพเจา้ ตามลาดบั ฐานานุศกั ดบิ ์ นสวรรค์ โดยชนั้ บน
จะเป็นองคเ์ งก็ เซยี นฮ่องเต้ ประธานของเทพทงั้ ปวง ชนั้ ต่อมาจะเป็น
ลาดบั เทพชนั้ กษัตริย์ (大帝) บรรดาองค์อคั รเสนาบดแี ห่งทะเล
เทพเจา้ แห่งหมิ ะ และชนั้ ล่างจะเป็นเทพเจ้าท่มี ฐี านะรองลงมา (神)
เช่น องค์เทพแห่งไฟ เทพผู้ดูแลพ้นื พภิ พ เป็นตน้ ทงั้ น้ี การตงั้ ปะรา
พธิ ี กจ็ ะประกอบขน้ึ พรอ้ มเคร่อื งบชู า ดอกไมธ้ ปู เทยี น ผลไม้ อาหารเจ
และน้าชา ทอดวางอยเู่ บอ้ื งหน้ารายพระนามเทพเจ้าทงั้ หลายในแต่ละ
ชนั้ ดว้ ยเชน่ กนั
หลงั จากการตงั้ ปะราพธิ ี ไตเ้ บจ้ ะเขยี นฮู้ หรอื ยนั ต์ ขน้ึ มา โดย
เวลาในการเขยี นมกั จะเป็นชว่ ยเวลาเงยี บสงบ หรอื ในช่วงยามสุดท้าย
ของวนั (ราว 22.00-23.00 น. ไม่เกนิ เทยี งคนื ) ดว้ ยจติ ทว่ี า่ ง ฮนู้ ้จี ะถกู
ใชใ้ นหลายชว่ งพธิ ี ตงั้ ตอนก่อกองไฟ ทาพธิ ผี กู หวั ใจไฟ และทาพธิ ดี บั
ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์ 69
พษิ จากกองไฟ โดยในช่วงเชา้ ของวนั ทาพธิ ี จะเร่ิมต้นจาก พิธผี ูก
หวั ใจไฟ
พิธีผกู หวั ใจไฟและชมุ นุมทวยเทพยดา
หวั ใจไฟหรอื ฮวยเต้า (火斗) ชาวจนี ไหหลาเชอ่ื ว่าเป็นโถ
แห่งสริ มิ งคล ท่ถี ูกฝงั อยู่ในหลุมตรงกลางของกองไฟ ภายในจะบรรจุ
สงิ่ ของมงคลท่สี ่วนใหญ่จะเป็นธญั พชื สญั ลกั ษณ์ของการงอกเงย ทงั้
ยงั มคี วามเชอ่ื ท่วี ่า ถ้าใครไดห้ วั ใจไฟน้ีไปบูชาในบา้ นเรอื น จะเตม็ ไป
ด้วยความเป็นสริ ิมงคลอย่างยงิ่ การค้าจะเจริญก้าวหน้า นาพาซ่ึง
ความรุง่ เรอื งมาสคู่ รอบครวั
ไตเบ้ จะเร่มิ พิธีจากการเผาฮู้ในโถ หรอื หม้อเคลอื บดนิ เผา
แล้วกลบเถ้าฮู้ด้วยเกลือ ถัว่ เขียว ถัว่ ขาว (หรือถวั่ เหลือง) และ
ขา้ วสาร ปิดฝาแลว้ นาฮู้ 12 แผน่ มาปิดคาดทด่ี ้านบน ห่อดว้ ยผา้ แดง
ใหแ้ น่น เมอ่ื ผกู หวั ใจไฟหรอื ฮวยเตา้ เสรจ็ กจ็ ะนาไปวางในหลมุ ทบ่ี ุพน้ื
หลุมด้วยกระดาษหง่งึ เตยี๋ แลว้ กลบทบั ด้วยขา้ วสารย้อมสแี ดง และ
ทรายอีกชนั้ หน่ึง หลงั จากนัน้ จะเร่ิมตงั้ กองไฟ โดยให้ไม้ฟืนท่เี ป็น
เสาเอก ตงั้ อยู่ตรงกลาง เหนือหลุมฮวยเต้าพอดี ซ่ึงไม้ฟืนท่ีเป็น
เสาเอกน้ี จะถูกพนั ด้วยกระดาษหง่งึ เตยี๋ ผูกผา้ แดงและติดกมิ ฮวย
เพอ่ื ความเป็นสริ มิ งคล แลว้ เรม่ิ สุมกองฟืนทเ่ี หลอื แทรกแซมดว้ ย ธูป
และเทยี นขาไมอ้ กี เป็นจานวนมาก เพ่อื ทาเป็นเชอ้ื ไฟ
70 ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์
ระหว่างน้ีไต้เบ้จะทาพิธีอญั เชญิ เทพอคั คี (火神爷) และ
เจา้ ทท่ี งั้ 5 ทศิ (五方土神) โดยการลอ้ มกองไฟดว้ ยเชอื กแดง มุม
ทงั้ 5รอบกองไฟมกี ารตงั้ โตะ๊ เครอ่ื งสงั เวยเป็น ผลไมแ้ ละน้าชาเพอ่ื เป็น
การสกั การะ และเรมิ่ ปะพรมน้ามนตร์ อบกองไฟ เม่อื กอ่ กองไฟจากเชอ้ื
ไฟของธูปเทยี นแลว้ ไตเ้ บจ้ ะบรกิ รรมคาถา พรอ้ มใชค้ ทาประจาตวั วาด
เป็นอกั ขระภาษาจนี รอบทศิ ของกองไฟ พรอ้ มเรยี กชุมนุมทวยเทพท่ี
สถติ ย์อยู่ และเทพทโ่ี คจรผา่ นมาทางน้ีเพ่อื มาเป็นสกั ขพี ยาน พรอ้ ม
กนั น้ี ผู้ช่วยไต้เบ้จะปาดหงอนไก่ตวั ผู้ (โดยทไ่ี ก่ยงั ไม่ตาย) เพ่อื เป็น
การเบกิ มณฑลพธิ ี ลา้ งสง่ิ อปั มงคล หลงั จากนนั้ จะอมุ้ ไก่ไปรอบกองไฟ
แล้วนาเลือดไปแต้มตามจุดต่างๆ รอบๆกองไฟ เม่ือนาไก่ไปเดิน
วนรอบกองไฟเสรจ็ กจ็ ะโยนไกใ่ หบ้ นิ ขา้ มกองไฟเป็นเคลด็ ของการเบกิ
มณฑลพธิ ี
ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์ 71
พิธีเบิกพระเนตรและอญั เชิญเทพเจา้ ประทบั ท่ีองคเ์ ทวรปู
(開光點眼)
เม่อื กองไฟเรมิ่ ลกุ โชน ไตเ้ บจ้ ะกลบั มายงั แท่นปะราพธิ ภี ายใน
ศาล เพ่อื อญั เชญิ ดวงทิพยญาณของเทพเจ้ากลบั เขา้ มาสถติ ย์อยู่ใน
องคเ์ ทวรูปไม้ท่ไี ด้รบั การแต่งเคร่อื งทรงเรยี บร้อยแล้ว โดยบนโต๊ะปะ
ราพธิ ฟี ากหน่งึ จะเป็นโต๊ะปะราพธิ ที ่อี ยู่นอกศาลท่สี ร้างขน้ึ ในวนั ก่อน
หน้า ส่วนโต๊ะอกี ฟากหน่ึงคอื โต๊ะปะราพธิ ดี า้ นในศาล หนั หน้าออกสู่
ดา้ นหน้าศาล ประดษิ ฐานเทวรูปเทพเจา้ ทห่ี ่อดว้ ยกระดาษแดง วางตงั้
เรยี งราย พรอ้ มดว้ ยเคร่อื งบชู า ธูปเทยี น ดอกไม้ อาหารเจ 5 อย่าง 1
ชดุ ชดุ ละ 3 หรอื 5 ถว้ ย ผลไม้ 5 อยา่ ง 1 ชดุ และน้าชา 1 ชดุ ชดุ ละ
3 ถว้ ย ซง่ึ จานวนชดุ ขน้ึ อย่กู บั จานวนขององคเ์ ทพเจา้ ทท่ี าพธิ ใี นวนั นนั้
พร้อมกนั น้ี ยงั มเี คร่อื งประกอบพิธสี าคญั อ่นื ๆ คอื ไขไ่ ก่ดบิ วางบน
ถ้วยข้าวสาร ผงจูซาหรือหมึกสีแดงชาด พู่กนั ผูกติดกบั ก่ิงหม่อน
(มลั เบอร)่ี พรอ้ มผกู ผา้ แพร 7 สี ตลอดจนของใชส้ ่วนตวั ของไตเ้ บ้ เชน่
หวดู ทท่ี าจากเขาสตั ว์ (เหล่งคกั ) คทาประจาตวั เป็นตน้
พธิ สี วดอญั เชญิ ดวงทพิ ยญาณจะเรมิ่ จากบทสรรเสรญิ พระคุณ
อา่ นโองการถวายเทพเจา้ เพ่อื อญั เชญิ ดวงทพิ ยญาณ เผาด๊กบ่วน ส่ง
สารถวายรายงาน โดยสวดเป็นทานองคล้ายการร่ายบทกลอน
ประกอบกับจงั หวะของเคร่ืองดนตรี ทงั้ กลอง ฆอ้ ง ผ่างและขมิ จีน
จากนนั้ ไตเ้ บเ้ รมิ่ ฝน จซู า เพอ่ื ผสมหมกึ สแี ดง เอากระดาษแดงท่ีห่อหมุ้
72 ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์
องคเ์ ทพเจา้ ออก แลว้ คอ่ ยๆนากง่ิ หม่อนทผ่ี กู ไหม 7 สี ทด่ี ้านปลายตดิ
พู่กนั ไว้ นาพู่กนั มาจุ่มทจ่ี ูซา แล้วแต้มไปทไ่ี ข่ไก่ดบิ ท่วี างอยู่บนถว้ ย
ขา้ วสารกอ่ นเป็นปฐมฤกษ์ ซง่ึ ชาวจนี ไหหลาเช่อื ว่า ไข่ คอื ตน้ กาเนิด
ของสรรพชวี ติ การจะทาใหเ้ ทวรปู กลบั มามชี วี ติ ได้ จะต้องเรมิ่ จากการ
แตม้ สแี ดงมงคลลงบนไข่ไก่ดบิ ก่อน แล้วค่อยแตม้ ไปยงั อวยั วะต่างๆ
ของเทวรปู เรม่ิ จาก ตา หู ปาก จมกู มอื เขา่ เทา้ เป็นตน้
เม่อื แตม้ พูก่ นั จุ่มสแี ดงไปยงั จุดต่างๆ แลว้ ไต้เบ้จะทาพธิ เี บกิ
กระจกประจาพระองค์ โดยให้คนถอื เรยี งกนั เป็นแถว หนั หน้าไปยงั
องคเ์ ทพเจา้ ซ่งึ กระจกน้ี ถอื เป็นกระจกทส่ี ถติ แห่งดวงทพิ ยญาณของ
องคเ์ ทพเจา้ นนั้ ๆ โดยไตเ้ บจ้ ะเผาฮใู้ หต้ ดิ ไฟ แลว้ บรกิ รรมคาถา พร้อม
นาไฟท่ีติดปลายฮู้ไปแต้มบนกระจกทุกบานจนครบจานวนองค์
หลงั จากนนั้ จะใหต้ วั แทนของคณะกรรมการ อุ้มองค์เทพเจ้าเรยี งเป็น
แถว เพอ่ื ทาพธิ เี ชญิ เจา้ ประทบั องค์
การเชญิ เจ้าประทบั องค์ จะให้คนท่เี ป็นคณะกรรมการ หรอื
ผแู้ ทน เทา่ จานวนองคเ์ ทพเจา้ แตล่ ะคนอมุ้ เทพเจา้ จากโตะ๊ ปะราพธิ มี า
เรยี งแถวกนั ดา้ นหน้าโต๊ะ ทงั้ น้ี ผทู้ อ่ี มุ้ องค์เทพเจ้าจะตอ้ งกนิ เจมาแล้ว
3-9 วนั อกี ทงั้ ตอ้ งถอดสรอ้ ยคอ เคร่อื งรางตา่ งๆออก พรอ้ มทาจติ ใจให้
วา่ ง (ไมต่ อ้ งทาสมาธ)ิ ยนื หลบั ตา เม่อื ไตเ้ บบ้ รกิ รรมคาถาเชญิ เทพเจ้า
ลงประทบั องค์ จะมกี ารตผี า่ งใหเ้ กนิ เสยี งดงั ตลอดพธิ กี รรม ซดั ขา้ วสาร
เสก เผาฮู้ เพอ่ื เป็นการปลุกเทพเจา้ และทาใหค้ นทอ่ี มุ้ เสยี สมาธิ ทาให้
จติ หลุด สญั ญาณทแ่ี สดงใหเ้ หน็ วา่ เทพเจา้ ลงมาประทบั ทอ่ี งค์แล้วกค็ อื
ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์ 73
การสนั่ ของผู้ท่อี ุ้ม เม่อื จติ ของผู้ท่อี ุ้มว่าง เทพเจ้าจะลงมาประทบั ท่ี
เทวรปู นนั้ ทนั ที แต่หากผใู้ ดจติ แขง็ ไตเ้ บซ้ ดั ขา้ วสาร แล้วเผาฮูโ้ ยนใส่
แลว้ แต่เทพเจ้าจะไม่สามารถลงมาได้ กจ็ ะเปลย่ี นคนอุม้ จนกวา่ จะ
สนั่ นนั่ หมายถงึ เทพเจา้ เสดจ็ ลงมาประทบั แลว้
บน:พิธีเบิกพระเนตร ล่าง:พิธีอญั เชิญดวงทิพยญาณเทพเจา้
เข้าส่อู งคเ์ ทวรปู (開光點眼) ในอดีต
ศาลเจา้ แมท่ บั ทิมพิชยั
74 ภาคที่ 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์
พิธีลุยไฟ (抱聖行火路)
หลงั จากพธิ เี ชญิ เทพเจา้ ประทบั ทอ่ี งค์เทพเจ้าแล้ว จะอญั เชญิ
องค์เทพเจ้ากลบั ไปประดิษฐานยงั โต๊ะปะราพิธีด้านในเหมือนเดิม
หลงั จากน้ี ไตเ้ บจ้ ะเรม่ิ พธิ สี วดอญั เชญิ เหลา่ บรรดาทหารเทพบรวิ ารให้
มาชมุ นุมกนั เพ่อื เตรยี มทาพธิ ลี ยุ ไฟ เม่อื ทาพธิ เี สรจ็ ไตเ้ บจ้ ะมกี ารเสย่ี ง
ทายถามองค์เทพเจา้ ผ่านการปวั ะปวย ถงึ เวลาทเ่ี หมาะสม ว่าให้เร่ิม
พธิ ีลุยไฟได้หรอื ยงั หากเทพเจ้าปฏเิ สธการลุยไฟ ไตเ้ บ้จะตอ้ งสวด
บรกิ รรมคาถาต่อไป จนกวา่ การเสยี งทายจะไดผ้ ลว่า เทพเจา้ ตอบรบั
(การเส่ียงทายของชาวจนี ไหหลาผ่านการปวั ะปวยหรือโยนไม้เส่ียง
ทาย จะตอ้ งโยนทงั้ หมด 3 ครงั้ โดยใหล้ กั ษณะการคว่าหงาย ออกมา
ไม่ซ้ากนั 3 ครงั้ หรอื รูปแบบการคว่าหงายเหมอื นกนั ทงั้ 3 ครงั้ )
เมอ่ื เทพเจา้ ตอบรบั การการลุยไฟแลว้ ไตเ้ บจ้ ะเดนิ ออกไปทา
พธิ ยี งั กองไฟทก่ี ่อตงั้ แต่ชว่ งเชา้ ซง่ึ ในเวลาดงั กล่าวจะล่วงเขา้ มาสู่ชว่ ง
บ่าย ซง่ึ จะเหลอื เพยี งกองถ่านสแี ดงทย่ี งั คงคกุ ร่นุ อยู่ ผชู้ ว่ ยไตเ้ บ้จะนา
ไม้แป มาตบี นถ่านเพ่อื อดั ฐานกองไฟใหแ้ น่น เออ้ื อานวยต่อการเดิน
ขา้ ม (ไม่ใหส้ ะดุดล้ม) พร้อมกบั ปะพรมน้ามนต์ โยนฮู้ลงบนกองถ่าน
เพอ่ื ดบั พษิ ไฟ หากฮยู้ งั ไหมอ้ ยู่ แสดงวา่ พษิ ไฟยงั คงมี และจะต้องสวด
บรกิ รรมคาถาใหม่ จนกว่าฮู้จะไม่ไหม้ไฟ แสดงว่า พิษไฟถูกถอน
หมดแลว้ พรอ้ มแก่การอมุ้ เทพเจา้ เดนิ ลุยขา้ มกองไฟน้ี
ภาคที่ 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์ 75
ระหว่างการทาพธิ ีของไต้เบ้ มกั จะมีเหล่าบรรดาทหารเทพ
บรวิ ารลงมาประทบั ทรงเพอ่ื ชว่ ยเหลอื ในการทาพธิ ี เป็นการเรยี กขวญั
กาลงั ใจ และบรรดาม้าทรงเหล่าน้ี จะเป็นผูล้ ุยไฟก่อนเพ่อื เป็นการ
ทดสอบวา่ ผทู้ อ่ี มุ้ เทพเจา้ ลยุ ไฟนนั้ สามารถเดนิ ลยุ ผา่ นได้ ทงั้ น้ี ผทู้ อ่ี มุ้
เทพเจ้า มกั จะเป็นผู้ท่ไี ด้รบั การคดั เลอื กจากกรรมการศาลเจ้า หรอื
บรรดากรรมการศาลเจา้ เป็นผทู้ ป่ี ระพฤตดิ ี ผา่ นการกนิ เจมาเป็นเวลา
3-9 วนั เพอ่ื ความบรสิ ทุ ธิ์ โดยกอ่ นการอุม้ เทพเจา้ ลุยไฟ จะต้องมกี าร
เดนิ เวยี นประทกั ษิณรอบกองไฟเพ่อื ความเป็นสิรมิ งคล แลว้ ไต้เบ้จะ
เป็นผนู้ าในการลุยไฟกอ่ น ตามดว้ ยผอู้ มุ้ เทพประธานของศาลเจ้า แลว้
เทพรององคอ์ น่ื ๆ ตลอดจนการอญั เชญิ สง่ิ ของและวตั ถุมงคลต่างๆใน
ศาลเขา้ รว่ มการลยุ ไฟน้ดี ว้ ย อาทิ ตราตงั้ อาญาสทิ ธิ์ กระถางธงอาญา
สทิ ธิ์ ป้ายบูชาเทพเจ้า และวตั ถุมงคลสาหรบั เช่าบูชา เพราะชาวจีน
ไหหลามีความเช่อื ว่า ส่ิงชวั่ ร้ายและอุปสรรค ภยนั ตรายต่างๆจะไม่
สามารถขา้ มผา่ นกองไฟน้ไี ด้
พิธีลยุ ไฟ (抱聖行火路) ในอดีต ศาลเจา้ แมท่ บั ทิมพิชยั
76 ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์
พิธีถวายฎีกา (薦表) เจยี้ นเบยี้ ว
เพ่อื เสรจ็ พธิ กี ารลุยไฟ กจ็ ะอญั เชญิ เทพเจา้ ประดษิ ฐานยงั แทน่
ประทบั เพ่อื ในวนั รุ่งขน้ึ (หรอื ช่วงเวลาต่อจากนนั้ ) จะเรม่ิ ประกอบพธิ ี
เจ้ียนเบ้ียว หรือพิธีถวายฎีกาต่อองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ เพ่ือขอ
พระราชทานอนุญาต ใหเ้ ทพเจา้ กลบั ลงมาสถติ ยย์ งั เทวรูปแลว้ กลบั มา
สถติ ยย์ งั ศาลเจา้ เพอ่ื เป็นรม่ พกั หลกั ใจ เป็นมง่ิ ขวญั แกล่ ูกหลานชาวจนี
ไหหลาต่อไป
นอกจากน้พี ธิ เี จย้ี นเบย้ี ว ยงั มคี วามเชอ่ื แฝงของชาวจนี ไหหลา
วา่ เป็นพธิ สี ะเดาะเคราะห์ เสรมิ บารมี นนั่ เพราะ พธิ กี รรมน้ี จะมกี าร
ใชร้ ายช่อื ของลูกหลานชาวไหหลา เขยี นใส่ลงไปในฎีกา แลว้ ส่งสาร
รอ้ งขอตอ่ องคเ์ งก็ เซยี นฮ่องเตใ้ ห้พระราชทานอนุญาตใหเ้ ทพเจา้ กลบั
ลงมาประทบั พรอ้ มทงั้ อานวยอวยพรใหก้ บั ลูกหลานทงั้ หลายทส่ี ่งช่อื
ถวายฎกี าน้ดี ว้ ย
พธิ ีธรรมเบกิ เนตร ลุยไฟ และพธิ เี จ้ยี นเบ้ยี ว เป็นเสมอื นกบั
เครอ่ื งเตอื นใจใหล้ กู หลานชาวจนี ไหหลา รกั ใคร่สามคั คกี นั รวมตวั กนั
เพ่ือสร้างแรงพลงั ในการสรรค์สร้างงานต่างๆให้สาเร็จ ก้าวข้าม
อปุ สรรคภยนั ตรายตา่ งๆ เหมอื นกบั การกา้ วขา้ มผา่ นกองไฟศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์
อกี ทงั้ ยงั้ เป็นกุศโลบายผา่ นพธิ กี ารถวายฎกี าตอ่ องคเ์ งก็ เซยี นฮอ่ งเต้ ท่ี
เรยี กลูกหลานชาวจนี ไหหลาใหม้ าร่วมกนั เป็นสกั ขพี ยานและต้อนรบั
การกลบั มาของเทพเจา้ ประจาชมุ ชนผเู้ ป็นรม่ เงาใหก้ บั ชวี ติ ชน้ี าความ
ภาคที่ 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์ 77
เจรญิ และปกปกั ษ์คุม้ ภยั ใหก้ บั ชวี ติ พธิ กี รรมดงั กล่าวเหล่าน้ี จงึ ไม่ใช่
เพียงแค่พิธีกรรมทางความเช่ือ แต่ยังเป็นพิธีกรรมท่ีกระตุ้นให้
ลกู หลานชาวจนี ไหหลาสานึกในพระคุณของเทพเจา้ ทช่ี ว่ ยเหลอื สานึก
ในพระคุณของบรรพชนท่สี ร้างหลกั ใจ แห่งความสามคั คี สรา้ งเลอื ด
หลอมเน้อื ใหล้ ูกหลานชาวจนี ไหหลาอยู่ร่วมกนั ต่อสูก้ บั อุปสรรคก้าว
ขา้ มไปสู่ความเจรญิ ก้าวหน้าไปพร้อมกนั พธิ ีกรรมจงึ เป็นกุศโลบาย
แหง่ วฒั นธรรมทค่ี วรคา่ แกก่ ารอนุรกั ษแ์ ละธารงรกั ษาไวใ้ หค้ งอยู่ต่อไป
คกู่ บั ชาวจนี ไหหลาผนผนื แผน่ ดนิ ไทย
78 ภาคที่ 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์
方巡遊各鄉傳統大祭典
ประเพณีแห่เจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั
ขบวนสิริมงคลของจิตวิญญาณแห่งความศรทั ธา
การแห่เทพเจา้ คอื การอญั เชญิ องคเ์ ทพเจ้าออกจากศาลเจ้า
ประดษิ ฐานในเกย้ี ว เพอ่ื ออกแห่ไปตามชมุ ชน รบั เร่อื งร้องเรยี นต่างๆ
เพราะในความเชอ่ื ของชาวจนี ศาลเจา้ กเ็ ปรยี บเสมอื นศาลพพิ ากษา
คดใี นการรบั เร่อื งร้องเรยี น สงั เกตไดจ้ ากการทภ่ี ายในศาลเจ้าทุกๆท่ี
มกั จะมกี ารตงั้ ”กลองรอ้ งทุกข์ หรอื ระฆงั ”เพ่อื ใชใ้ นการตีร้องเรยี นให้
เทพเจา้ รบั รคู้ ารอ้ ง ดงั นนั้ ในการเชญิ เทพเจา้ ออกแหแ่ ตล่ ะครงั้ จงึ มกี าร
อญั เชญิ เคร่อื งสูง สง่ิ ของศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ รวมถงึ ศาสตราวธุ ต่างๆ เพ่อื แสดง
ถงึ แสนยานุภาพและอานาจของเทพเจา้ องค์นนั้ ๆ (เชน่ เดยี วกบั กรณี
ของพระราชพธิ พี ยุหยาตราทางสถลมารค ตามคตขิ องราชสานกั ไทย
ภาคที่ 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์ 79
มกั จะมกี ารอญั เชญิ ศาสตราวธุ ตา่ งๆ ออกร่วมกระบวนดว้ ย) ซ่งึ พธิ แี ห่
เจา้ แม่ทบั ทมิ พชิ ยั เดมิ จะจดั ขน้ึ ทุกๆ 4 ปี ภายหลงั มกี ารปรบั เปลย่ี น
เป็นทุกๆ 3 ปี
โดยในการอญั เชิญเทพเจ้าออกแห่มีคตินิยมมาจากการท่ี
จกั รพรรดจิ นี ในอดตี หรอื ขนุ นางชนั้ สูงทม่ี อี านาจในการตดั สนิ คดคี วาม
ออกเยย่ี มเยยี นราษฎร รบั เร่อื งราวรอ้ งทุกข์ และสามารถเปิดศาลใน
การตดั สนิ คดคี วามไดใ้ นทนั ที (ตวั อย่างเช่น กรณีของเปาบุน้ จน้ิ ตาม
บนั ทกึ ของเอกสารราชการในสมยั ราชวงศ์ซ่ง ในการออกวา่ ราชการ
ตามหวั เมือง) เน่ืองจากมตี ราอาญาสิทธพิ์ ระราชทานท่ไี ด้รบั แต่งตงั้
จากจกั รพรรดแิ ละอาวุธในการลงโทษมาด้วย ดงั นนั้ ในการอญั เชญิ
เทพเจ้าออกแห่เพ่อื โปรดราษฎร มกั จะต้องมเี คร่ืองประกอบต่างๆ
คลา้ ยกบั การจาลองการออกวา่ ราชการ ซ่งึ สามารถแบ่งเครอ่ื งประกอบ
อสิ รยิ ยศได้ 6 ประเภท ดงั น้ี
1. เครอ่ื งเปิดขบวน เคร่อื งสูงและเทวอาชาประดษิ ฐานเคร่อื ง
อาญาสทิ ธิ์
2. เคร่อื งศาสตราวธุ ประกอบอสิ รยิ ยศ
3. เคร่อื งประกอบขบวน
4. เคร่อื งอุปโภค
5. เครอ่ื งประกอบองคเ์ ทพเจา้
80 ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์
1. เคร่ืองเปิ ดขบวน เครื่องสงู และเทวอาชาประดิษฐาน
เคร่ืองอาญาสิทธ์ิ
1.1 ผา่ งและธงชิงเต๋า (清道旗)
ผา่ ง คอื เคร่อื งตเี พอ่ื ประกาศวา่ เทพเจา้ เสดจ็ มาแลว้
ธงชงิ เต๋า 清道旗 (ชงิ เต๋าฉี หรอื เซง็ เต่าก่ี) หมายถงึ ธง
เบกิ ทางใหก้ บั ขบวนของเทพเจ้า (เพราะ คาวา่ ชงิ 清 แปลวา่ สว่าง
สะอาด สว่ นคาวา่ เต๋า 道 หมายถงึ หนทาง แนวทาง และคาว่า ก่ี 旗
แปลวา่ ธง)
1.2 ป้ ายพระนาม (牌) หรอื บ่าย เป็นป้ายชอ่ื เทพเจ้า ประกาศบท
กลอนสรรเสริญพระคุณของเทพเจ้า และบอกตาแหน่งท่ไี ด้รบั การ
แต่งตงั้ ถวายจากจกั รพรรดหิ รอื ขนุ นางในชมุ ชนนนั้
ป้ ายพระนามของเจ้าแม่ทบั ทิม คือ
“水尾聖娘”
มาจากพระนามเต็มว่า 南天閃電感應火雷水尾
聖娘“หน่าเทยี นเอย้ี มเดย้ี มก้าเอ๋งห้วยหลุย ตุ๊ยบ้วยเต๋งเหน่ียง" มี
ความหมายวา่ สายฟ้าสนองตอบเสยี งฟ้าฝา่ ยใต้ เจา้ แม่ตุ๊ยบว้ ย ซง่ึ ดร้ บั
การเฉลมิ พระนามดงั กล่าวในรชั สมยั พระเจ้าเจยี ชง่ิ - 嘉慶 (ค.ศ.
ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์ 81
1760-1820 ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจา้ เฉียนหลง) ซ่งึ ขุนนาง
จนี ไหหลาชอ่ื จาง เย่ยี เซียง (張岳像) ไดก้ ราบบงั คมทูลเร่อื งราว
ความศกั ดสิ์ ทิ ธขิ์ องเจา้ แม่ตุ๊ยบ้วยให้ฮ่องเตท้ ราบ ฮ่องเตจ้ งึ ถวายพระ
นามดงั กล่าวให้กบั เจ้าแม่ อนั หมายถึง เทพยุดาแห่งสวรรค์แดนใต้ผู้
ประทานพรความสาเรจ็ ไดอ้ ย่างรวดเรว็ ปานสายฟ้าฟาด
ป้ ายพระนามของเจา้ พ่อกวนอู คือ กวนเต๋งตี้กนุ
“関聖帝君”
ป้ ายพระนามของเจ้าพ่อบ้วนเถ่ากง คือ บน๊ เถา่ เหย่เหย่
“本頭爺爺”
ป้ ายพระนามของเจา้ พอ่ ร้อยแปด เฮียด่ีกง คือ เจยี วเอง็ เอ่งเลียด
“昭應英烈”
ป้ายดา้ นหน้า เรยี กวา่ เถ่าบา่ ย (頭牌) ป้ายพระนามขนาดใหญ่
ประเพณแี ห่เจา้ แมท่ บั ทมิ พชิ ยั ในอดตี
82 ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์
1.3 เทวอาชาประดิษฐานเคร่ืองอาญาสิทธ์ิ (神馬 เตย่ี นเบ)้
เป็นมา้ ทรงทป่ี ระดษิ ฐานของศกั ดสิ์ ทิ ธทิ ์ งั้ 2 อย่าง ท่แี สดงถงึ
พระราชอานาจของเจา้ แม่ท่ีไดร้ บั พระราชทานแต่งตงั้ จาก เง็กเซียน
ฮ่องเต้
คาวา่ เตย่ี นเบ้ 神馬 (สาเนียงจนี กลาง: เสนิ หม่า) (สาเนียง
ไหหลา: เตย่ี นเบ)้ คอื เทวอาชา หรอื มา้ ทรงเครอ่ื งอาญาสทิ ธทิ ์ งั้ 2 ตวั
ตวั ทห่ี น่งึ จะเป็นทป่ี ระดษิ ฐาน
ตราตงั้ อาญาสิทธ์ิประจาพระองคข์ องเจา้ แม่ (官印
กวนั หยิน หรอื กวั อ๋ิน)
ตวั ทส่ี อง จะเป็นทป่ี ระดษิ ฐาน
กระถางธงอาญาสิทธ์ิ (令旗 ลิ่งฉี หรือ เหลง็ กี่ )
1.4 โคมไฟ (燈籠) หรอื เตง็ ลงั้ สญั ลกั ษณ์แทนความสว่างไสว แสง
ส่องทาง ความเจรญิ รงุ่ เรอื ง มี 12 คู่
ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์ 83
2. เครอ่ื งศาสตราวธุ ประกอบอิสริยยศ
เครอ่ื งศาสตราวธุ ประกอบอสิ รยิ ยศคอื อาวธุ จาลองต่างๆ โดย
จะแบ่งเป็น 2 ประเภท อาวธุ จาลองในการพพิ ากษาคดแี ละ อาวธุ วเิ ศษ
ของเทพแปดเซยี น
2.1 อาวธุ จาลองในการพิพากษาคดี
冬瓜神手筆(ตงั กวยเตี่ยนซ่ือเบย๊ี ด)
冬瓜神手筆
(สาเนียงจนี กลาง: ตงกวาเสนิ โส่วป่ี) (สาเนียงไหหลา: ตงั
กวยเตย่ี นซ่อื เบย๊ี ด)
คอื อาวธุ วเิ ศษของเจา้ แม่ 4 ประการ อนั ไดแ้ ก่
1) 鬥棍 โตว้ กุน้ เป็นกระบองทอง มี 2 ขนาด มรี ูปรา่ งกลม
คลา้ ยกบั ลกู ฟกั จงึ เรยี กชอ่ื วา่ ตงกวา 冬瓜 หรอื ตงั กวย
ซง่ึ แปลวา่ ฟกั ใชเ้ ป็นอาวธุ ในการลงโทษ
2) 劍器 เจย้ี นซ่ี คอื ดาบ หรอื งา้ ว
3) 筆 ป่ี หรอื เบ๊ยี ด ปากกา/ดนิ สอ อาวุธของ เทพ ซ่งึ เป็น
การจาลองมือท่ีถือปากกา 神手筆 (เสนิ โส่วป่ี หรือ
เต่ยี นซ่ือเบ๊ยี ด แปลว่า มอื ดินสอของเทพ) ทเ่ี ป็นมอื ของ
84 ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์
左殿通書通感舍人 (โต้เดี้ยน ทงตู้คงกา้ แต้
เยีย่ น) หน่ึงใน เทพบรวิ ารของเจา้ แม่ทบั ทมิ มหี น้าท่ใี น
การจดเรอ่ื งราวรอ้ งทกุ ขท์ ค่ี นมาฟ้องรอ้ งหรอื ขอพรต่อองค์
เจา้ แม่
2.2 เครื่องสงู
คอื เคร่อื งราชปู โภคประกอบอสิ รยิ ศกั ดิ์ เป็นเครอ่ื งบรวิ ารในการอานวย
ความสะดวก ไดแ้ ก่
1) กรรชิง หรอื ร่มแผ่ลวดขนาดใหญ่ เป็นร่มแผล่ วดทม่ี ชี าย
ยาวทรงกระบอก ปกั ลวดลายมงคล มักจะเป็นสีเหลืองหรือสีแดง
ขน้ึ อยูก่ บั ฐานานุศกั ดขิ์ องเทพเจา้
2) บงั สรู ย์ หรอื พดั ขนาดใหญ่
2.3 อาวธุ วิเศษของแปดเซียน 八寶(บว้ ยโบ)้
八寶(สาเนียงจนี กลาง: ปาเปา) (สาเนียงไหหลา: บว้ ย
โบ้) “บว้ ยโบ้(八寶): แปดอาวธุ วเิ ศษของโป๊ยเซียน” หรอื “อนั้ ปา
เซียน” (暗八仙) หมายถงึ “ทรพั ย์แปดอย่างของโป๊ยเซียน” เป็น
ของใชข้ องวเิ ศษประจาตวั หรอื อาวธุ ประจากายของเหล่าเซยี นทงั้ แปด
ในความเช่อื ทางศาสนาเต๋า ของวเิ ศษทงั้ แปดของโป๊ยเซียนถอื เป็น
ของสริ มิ งคลทม่ี อี ทิ ธฤิ ทธิ์และสามารถป้องกนั ภูตผปี ีศาจได้ ตลอดจน
ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์ 85
สามารถกาจดั สง่ิ ชวั่ รา้ ยไมใ่ หม้ ากล้ากลายมนุษย์ ในขณะเดยี วกนั เรา
มกั จะเหน็ ของวเิ ศษทงั้ แปดในส่วนหน่ึงของลวดลายประดบั ในอาคาร
สถาปตั ยกรรมแบบจีนทัง้ วดั วาอารามและศาลเจ้าทัว่ ไป ดังนัน้
สญั ลกั ษณ์ “แปดวเิ ศษของโป๊ยเซียน” (暗八仙) จงึ มคี วามหมาย
แห่งสัญลกั ษณ์มงคลตามแบบเต๋า ท่ีสถิตแห่งเทพและเป็นเสมือน
เคร่ืองหมายตัวแทนเซียนแต่ละองค์ของกลุ่มเซียนทงั้ แปด หรือ
โป๊ยเซยี น (八仙)
แปดอาวธุ วเิ ศษของโป๊ยเซยี น ไดแ้ ก่
1) น้าเต้า (葫芦) สญั ลกั ษณ์แทนเซยี นหลเี ถยี ไกว่ (ล้ที ิ
ไกว้ 李铁拐)
น้าเต้าของหล่ีเถียไกว่ เป็นน้าเต้าวเิ ศษท่ีสามารถดล
บนั ดาลสุขใหแ้ กม่ นุษย์ ภายในจะมคี ้างคาวหา้ ตวั โบยบนิ
ออกมาจากน้าเตา้ อนั หมายถงึ ความสุขหา้ ประการของ
มนุษย์ (อฝู่ ู 五福)
2) พดั ใบกล้วย (芭蕉扇) สญั ลกั ษณ์แทนเซยี นฮนั่ จงหล่ี
(หงั่ เจง็ หลี 汉钟离)
86 ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์
พดั วเิ ศษของฮนั่ จงหลี สามารถโบกพดั คนตายให้กลบั ฟ้ืน
คนื ชพี ได้ ดงั นัน้ จงึ มีอกี ช่อื หน่ึงว่า “พดั ฟ้ืนคนื วญิ ญาณ”
หรอื “พดั หวนคนื ชพี ” (还魂扇)
3) กระบ่ีวิเศษ (宝剑) สญั ลกั ษณ์แทนเซียนหล่วี ต์ ้งปิน
(ลอ่ื ตงั่ ปิง 吕洞宾)
กระบว่ี เิ ศษของหลว่ี ต์ ง้ ปิน มอี ทิ ธฤิ ทธใิ์ นการพชิ ติ มารรา้ ย
และการาบปราบปีศาจและสง่ิ อปั มงคล
4) กลองปลา หรือ ยว๋ีก่(ู 鱼鼓) สญั ลกั ษณ์แทนเซียน
จางกวั่ เหลา (เตยี กว้ ยเล่า 张果老)
กลองปลา ของจางกวั่ เหลา เป็นกระบอกเคร่อื งดนตรี
วเิ ศษท่มี คี ุณสมบตั ิในการส่งเสยี งสะท้อนกอ้ งกงั วานไป
ไกลแสนไกล
5) กระเช้าดอกไม้ (花篮) สญั ลกั ษณ์แทนเซียนหลนั ไฉ่
เหอ (น่าไชฮ่ วั้ 蓝采和)
กระเชา้ ดอกไมท้ เ่ี ป็นทพิ ยโอสถของหลนั ไฉ่เหอ หมายถงึ
ความเป็นสิริมงคลแทนความสุขสดช่นื และสดใสร่าเริง
ภายในกระเชา้ จะมดี อกไมท้ ไ่ี มม่ วี นั เหย่ี วเฉา