ภาคท่ี 6 ภมู ปิ ญั ญาแห่งประวตั ศิ าสตร์ 187
ทจ่ี ะหาความเกา่ ของศาลเจา้ ไหหลาไดน้ นั้ คงจะตอ้ งอาศยั พงศาวดาร
กระซิบ หรอื ประวตั ศิ าสตรแ์ บบมุขปาฐะ (เร่อื งเล่า) ของคนร่วมสมยั
ประกอบกับหลักฐานใกล้เคียงของชาวจีนกลุ่มอ่ืนๆ ทาให้พอจะ
อนุมานไดว้ า่ ศาลเจ้าไหหลาทเ่ี ก่าแก่ท่สี ุดคอื ศาลเจา้ แม่ทบั ทมิ สาม
เสน บรเิ วณเชงิ สะพานกรุงธนฯ (ซงั ฮ)้ี ตอ่ มาคอื ศาลเจา้ แม่ทบั ทมิ พชิ ยั
จ.อตุ รดติ ถ์ และศาลเจา้ แม่ทบั ทมิ ทา่ ฬอ่ จ.พจิ ติ ร
คาว่า ตาเจมวย ท่ีหมายถงึ สามพน่ี ้อง เป็นการเรยี กช่อื ศาล
เจ้าแม่ทับทิม ทงั้ 3 แห่งน้ี เพราะถือเป็นศาลเจ้าไหหลาท่ีมีความ
เก่าแก่เป็นอนั ดบั ตน้ ๆของไทย โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ผเู้ ฒา่ ผแู้ กร่ ว่ มสมยั
ผา่ นชว่ งกาลเวลานับแต่อดตี มาจนถงึ ปจั จุบนั มกั ทงั้ ในส่วนของชมุ ชน
ไหหลาทเ่ี ขตสามเสน, อ.พชิ ยั และ ต.ท่าฬ่อ ต่างกร็ ูจ้ กั และคุ้นเคยกบั
คาน้กี นั เป็นอย่างดี
188
ภาคท่ี 6 ภูมปิ ญั ญาแห่งประวตั ศิ าสตร์
三姐姝 ตาเจมวย จะไล่เรยี งลาดบั ความ “เก๋า” และความ “เก่า”
ดงั น้ี
- พีส่ าวคนโต หรือ 大姐 ดวั๊ เจ้ คอื
三清水尾聖娘廟 ตาเซงตุ๊ยบว้ ยเต๋งเหน่ยี งเบย้ี ว
(三清 สามเสน) เชงิ สะพานกรุงธนฯ (ซงั ฮ)้ี
- พส่ี าวคนรอง หรือ 二姐 ยีเจ้ คอื
披彩水尾聖娘廟 พไี ซต้ ๊ยุ บว้ ยเตง๋ เหน่ยี งเบย้ี ว
(พชิ ยั - คาวา่ พไี ซ้ เป็นการออกเสยี งจากรูปศพั ท์เดมิ
คอื คาว่า 披彩 แต่ภายหลงั มกี ารเปลย่ี นเสยี งไซ้
彩 ใหเ้ ป็นคาวา่ ไช 猜 เพอ่ื ใหอ้ อกเสยี งไดต้ รงตาม
การอา่ นของภาษาไทย) อ.พชิ ยั จ.อตุ รดติ ถ์
- น้องสาวคนท่ีสาม หรือ 三姝 ตามวย คอื
彭羅水尾聖娘廟 เป๋งโหล่ตยุ๊ บว้ ยเตง๋ เหน่ยี งเบย้ี ว
(彭羅 ทา่ ฬ่อ) ต.ท่าฬ่อ อ.เมอื ง จ.พจิ ติ ร
โดยทงั้ 3 ศาลน้ี ในอดตี คนของทงั้ 3 ศาลเจา้ จะมกี ารตดิ ต่อ
ไปมาหาสกู่ นั ราวกบั เป็นพน่ี ้องทค่ี อยเออ้ื อาทรซ่งึ กนั และกนั แต่ในทน่ี ้ี
จะไม่ขอกลา่ ววา่ ศาลใดเก่ากวา่ ศาลใด เพ่อื ยุตปิ ญั หา “การแย่งชงิ กนั
เก่า” ใหร้ ไู้ วเ้ พยี งแต่วา่ ศาลเจ้าทงั้ 3 ศาลน้ี คอื ศาลทม่ี คี วามเก๋า และ
ความเก่า ใกล้เคยี งกนั ส่วนศาลเจ้าแม่ทบั ทมิ ตุ๊ยบ้วยเต๋งเหน่ียง ท่ี
ภาคท่ี 6 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ประวตั ศิ าสตร์ 189
อน่ื ๆกจ็ ะเกดิ ขน้ึ ตามมาภายหลงั แต่หากจะพจิ ารณาตามหลกั ฐานท่มี ี
น้าหนกั มากทส่ี ดุ จาเป็นทจ่ี ะตอ้ งใชห้ ลกั ฐานจาก กระทรวงมหาดไทย
เร่อื ง การขน้ึ ทะเบยี นศาลเจา้ ในอดตี ซ่ึงจะทาใหร้ ู้ไดว้ ่า ศาลเจา้ ใดเก่า
กวา่ ศาลเจ้าใด แต่นนั่ กไ็ ม่ใช่ขอ้ สรุป เพราะหลายๆท่ี ต่างกอ็ ้างความ
เกา่ ของตนวา่ มมี าก่อนการจดทะเบยี นศาลเจา้ ขน้ึ
ความศกั ดสิ์ ทิ ธขิ์ องศาลเจา้ แม่ทบั ทมิ หรอื ศาลเจ้าแม่ตุ๊ยบ้วย
เป็นทป่ี ระจกั ษ์ใจแก่ชาวจนี ไหหลาในอดตี ทุกผทู้ ุกคน ท่ตี ่างกร็ ่าลอื ถงึ
เร่อื งราวประหลาด อทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ข์ องเจา้ แม่ ทงั้ 3 แห่งน้ี ทาให้มกี าร
สร้างเหรยี ญบูชา องค์จาลอง รูปหล่อลอยองค์ต่างๆ ไวม้ ากมาย มี
หลายรนุ่ หลายรูปแบบ ซ่งึ ศาลเจา้ แมท่ บั ทมิ พชิ ยั ดจู ะเป็นศาลทม่ี วี ตั ถุ
มงคลเหล่าน้ีมากท่สี ุด ด้วยเพราะรูปลกั ษณ์ความสวยงามของวตั ถุ
มงคล คุณค่าทางจติ ใจ และอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ท์ ่ผี มู้ ไี วค้ รอบครองต่างกร็ ่า
ลอื กนั ไปทวั่ ทงั้ ในเขตอ.พชิ ยั รวมไปถงึ กรุงเทพมหานคร ท่ตี ่างพูดถงึ
ความศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ์ องเจา้ แม่ทบั ทมิ พชิ ยั กนั อยา่ งไมข่ าดปาก
190
ภาคท่ี 6 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ประวตั ศิ าสตร์
ภาพ ตาเจมวยในอดีต (ช่วง พ.ศ.2520-2530)
กลาง: พี่ใหญ่ เจา้ แมท่ บั ทิมสามเสน
ขวา: พรี่ อง เจ้าแมท่ บั ทิมพิชยั
ซ้าย : น้องสาม เจ้าแมท่ บั ทิมท่าฬ่อ
ภาคที่ 6 ภูมปิ ญั ญาแห่งประวตั ศิ าสตร์ 191
ภาพ ตาเจมวยในอดีต (ช่วง พ.ศ.2540-2550)
กลาง: พ่ีใหญ่ เจา้ แม่ทบั ทิมสามเสน
ขวา: พ่ีรอง เจา้ แมท่ บั ทิมพิชยั
ซ้าย : น้องสาม เจ้าแมท่ บั ทิมท่าฬ่อ
192
ภาคท่ี 6 ภูมปิ ญั ญาแหง่ ประวตั ศิ าสตร์
ภาพ ตาเจมวยในปี พ.ศ.2558
กลาง: พี่ใหญ่ เจ้าแม่ทบั ทิมสามเสน
ขวา: พร่ี อง เจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั
ซ้าย : น้องสาม เจ้าแม่ทบั ทิมท่าฬ่อ
ภาคท่ี 6 ภมู ปิ ญั ญาแห่งประวตั ศิ าสตร์ 193
ประวตั ิและปาฏิหาริย์
ศาลเจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั
ชาวจนี ไหหลาท่เี ดนิ ทางมาค้าขายยงั ประเทศไทย จะนาเรอื
บรรทุกสนิ ค้าขน้ึ ไปขายยงั ภาคเหนือโดยอาศยั แม่น้าเจ้าพระยา แล้ว
แยกเขา้ ส่ลู าน้าปิง และน่าน ซ่งึ ทางฝงั่ แมน่ ้าน่าน จะส้นิ สุดท่า บ้านท่า
อิฐ (ปจั จุบันคือจงั หวดั อุตรดิตถ์) เม่อื จาหน่ายสนิ ค้าหมดแล้วก็จะ
บรรทุกเอาข้าวเปลือก หรือพืชไร่ต่างๆ บรรทุกล่องเรือกลับไป
จาหน่ายยงั กรุงเทพฯ
เมอื งพชิ ยั เป็นเมอื งท่าขนาดใหญ่แหง่ หน่งึ ทางภาคเหนือ ชาว
จนี ไหหลาจะมาแวะพกั เป็นประจา ทงั้ ขาขน้ึ และขาล่อง เพ่อื จาหน่าย
สนิ คา้ และซอ้ื พชื ไร่ ซ่งึ ในวนั หน่งึ เม่อื กวา่ 144 ปีท่แี ล้ว เม่อื ถงึ ฤดูน้า
หลาก น้าก็ไหลเข้าเต็มพ้ืนท่ีคลองในบุ่งเมืองพิชยั มีเรือบรรทุก
194
ภาคท่ี 6 ภูมปิ ญั ญาแหง่ ประวตั ศิ าสตร์
สนิ คา้ เขา้ มาตามคลองและจอดเทยี บท่าทน่ี ่ีเพ่อื จาหน่ายสนิ คา้ ซ่งึ เรอื
บรรทุกจะมากนั เป็นกลุ่มจานวนหลายลา และเม่อื ถงึ กาหนดท่จี ะต้อง
ออกเรอื ปรากฏวา่ มเี รอื ลาหน่ึงเกยตน้ื ไม่สามารถแล่นออกไปได้ แม้
จะใหค้ นชว่ ยกนั ถอ่ ชว่ ยกนั ดนั เรอื กไ็ มเ่ คล่อื นออกไป
บนเรอื ลานนั้ เป็นทป่ี ระดษิ บานของเทวรูปเจา้ แม่ตุ๊ยบว้ ย หรอื
เจา้ แม่ทบั ทมิ ซง่ึ เจา้ ของเรอื นามาดว้ ยจากประเทศจนี บรรดาคนพชิ ยั
เม่อื เหน็ ดงั นนั้ จงึ แนะนาใหเ้ จา้ ของเรอื จดุ ธปู บอกกล่าวต่อองคเ์ จา้ แม่
วา่ หากเจา้ แมป่ ระสงคจ์ ะพานกั อยูท่ เ่ี มอื งพชิ ยั ไมอ่ ยากเดนิ ทางเร่รอ่ น
ตอ่ ไปอกี กข็ อใหเ้ รอื เคลอ่ื นออกไปไดโ้ ดยสะดวก แลว้ ลูกหลานจะสรา้ ง
ศาลให้อยู่ท่เี มอื งพชิ ยั เม่อื จบอาอธษิ ฐานดงั นัน้ ราวกบั ปาฏิหาริย์ก็
บงั เกดิ เรอื สามารถออกจากฝงั่ ไดโ้ ดยใชค้ นเพยี งไมก่ ค่ี นในการถ่อเรอื
เจา้ ของเรอื จงึ ตอ้ งอญั เชญิ เทวรูปเจา้ แม่ลงจากเรอื บรรดาชาวเรอื และ
ชาวพิชยั จงึ พร้อมใจกนั สร้างศาลให้เป็นท่ปี ระดษิ ฐานอยู่ในบุ่งรมิ น้า
น่านนบั ตงั้ แตน่ นั้ มา
50 ปีต่อมา ชาวจนี ไหหลาทเ่ี ดนิ ทางมาคา้ ขายกเ็ รมิ่ ตงั้ รกราก
อยู่ทเ่ี มอื งพชิ ยั มากขน้ึ ศาลเจา้ ทอ่ี ยรู่ มิ น้าน่าน เม่อื ถงึ ฤดนู ้าหลาก น้าก็
เขา้ ทว่ มพน้ื ทน่ี นั้ การไปเซ่นไหวก้ ล็ าบาก ชาวจนี ไหหลาและชาวเมอื ง
พชิ ยั จึงคิดขยบั ขยาย โดยย้ายศาลขน้ึ มาอยู่บนท่สี ูง น้าท่วมไม่ถึง
(พ้นื ท่ศี าลในปจั จุบนั ) ซ่ึงก่อนท่จี ะมีการย้ายศาลข้นึ มาก็มเี ร่อื งราว
ปาฏหิ ารยิ เ์ กดิ ขน้ึ หลายอยา่ ง เชน่ ตอนทจ่ี ะมกี ารรอ้ื ศาลขน้ึ มาสรา้ งใหม่
คณะกรรมการไม่ได้มีการถามเจ้าแม่ก่อนว่า จะให้ร้อื ถอนเม่อื ไหร่
ภาคท่ี 6 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ประวตั ศิ าสตร์ 195
เวลาไหน เม่อื ช่างไม้ไปร้อื ศาล กม็ ีมดแดงไฟซ่ึงไม่รู้ว่ามาจากไหน
ข้นึ มาอยู่บนศาลเจ้าเต็มไปหมดจนช่างไม้ไม่สามารถทางานได้
คณะกรรมการศาลเจา้ จงึ ไดจ้ ดุ ธูปบอกกล่าวและขอขมาต่อองคเ์ จา้ แม่
พรอ้ มทงั้ สอบถามวนั เวลา ผ่านการเสย่ี งทายปวั ะปวย เม่อื ได้วนั และ
เวลาทเ่ี หมาะสมในการรอ้ื ถอนแลว้ มดแดงไฟกห็ ายไปหมดส้นิ อกี ทงั้
การร้อื ถอนกท็ าได้โดยสะดวก ไม่เกิดอุปสรรคอนั ใด น่ีจงึ เป็นเคร่อื ง
เตอื นใจบรรดาลูกหลานและคณะกรรมการเสมอมาว่า จะทาการใดท่ี
เกย่ี วขอ้ งกบั ศาล จาเป็นต้องขอขมา และสอบถามความต้องการของ
เจา้ แมก่ อ่ นทุกครงั้ จะทาเลน่ ๆ ไมไ่ ด้
เม่อื ร้อื ศาลหลงั เก่าแล้ว การจะหาชา่ งไม้ฝีมอื ดมี าสร้างศษล
เจา้ ใหม่นนั้ กท็ าไดย้ าก เพราะในสมยั ก่อนเมอื งพชิ ยั กเ็ ป็นพน้ื ท่ี ทไ่ี มไ่ ด้
มกี ารก่อสรา้ งอาคารสถาปตั ยใ์ นแบบจนี บ่อยครงั้ แต่กเ็ กดิ เร่อื งราวน่า
อศั จรรย์ มีช่างไม้ชาวจีนไหหลาห้ิวกระเป๋ ามาหางานทาท่เี มอื งพชิ ยั
โดยทไ่ี มม่ ใี ครตดิ ตอ่ ไป
เร่อื งประหลาดอกี เร่อื งหน่ึงเม่อื ตอนสรา้ งศาลใหม่ ปรากฏว่า
มคี นรา้ ยมาขโมยไมก้ ระดานไป 1 แผน่ โดยทไ่ี ม่รูว้ า่ ใคร เจ้าแม่กเ็ ขา้
ประทบั ทรงคนเฝ้าศาลช่ือซวง วงิ่ ออกไปจากศาล สกั ครู่กแ็ บกไม้
กลบั มาท่ศี าล แล้วทง้ิ ไวย้ งั ท่เี ดมิ และเจ้าแม่กอ็ อกจากร่างไปโดยไม่
พดู อะไร
196
ภาคที่ 6 ภูมปิ ญั ญาแหง่ ประวตั ศิ าสตร์
หลงั จากนนั้ ไมน่ าน เงนิ ค่าใชจ้ ่ายในการสรา้ งศาลมจี านวนไม่
พอ และยังขาดอีกมาก เจ้าแม่ก็ลงประทับทรงอีก แล้วบอกให้
กรรมการศาลไปซ้ือหวยท่ีกรุงเทพ ซ่ึงสมัยนัน้ เป็นหวย ก.ข. โดย
เจ้ามือหวยคือ ย่ีกอฮง (ศาลย่ีกอฮง ปจั จุบันตัง้ อยู่บน ส.น.พลับ
พลาไชย) โดยเจ้าแม่ได้บอกว่าให้ซ้อื ตวั อกั ษรใด ปรากฏว่าทุกครงั้ ท่ี
ไปซอ้ื กถ็ ูกหวยจนไดเ้ งนิ มามากพอสมควร แต่กย็ งั ไม่พอค่าใชจ้ ่ายใน
การสรา้ งศาล ต่อมาเจา้ แมก่ ป็ ระทบั ทรงอกี และเม่อื ไปซ้อื หวย เจา้ มอื
หวยรวู้ า่ เป็นคณะกรรมการศาลเจา้ แมท่ บั ทมิ พชิ ยั มาซอ้ื กว็ างแผนโดย
การเกบ็ ตวั อกั ษรทเ่ี จา้ แมบ่ อกให้ไปซ้อื นาไปซ่อนไว้ จนเม่อื ใกล้เวลา
หวยออก อยู่ดๆี ยก่ี อฮงก็เกิดปวดทอ้ งอย่างรุนแรง ไม่สามารถออก
หวยได้ จนลูกชายต้องมาออกหวยแทน เม่อื ไปถงึ โต๊ะกเ็ ปิดล้นิ ชกั ดู
เหน็ ตวั อกั ษรทย่ี ก่ี อฮงซ่อนไว้ ลูกชายเขา้ ใจผดิ คดิ ว่ายก่ี อฮงจะให้ออก
เลขน้ี จงึ นาตวั อกั ษรนนั้ ไปใส่กล่องอกี ปรากฏวา่ หวยกอ็ อกตวั อกั ษร
นนั้ ตามทเ่ี จา้ แม่ไดบ้ อกมา โดยมหี ลกั ฐานจารกึ บนผนังไม้ของศาลไว้
วา่ เป็นเงนิ ท่ไี ด้มาขจากการซ้ือหวย ก.ข. ท่ใี ช้ในการสร้างศาล และ
เร่อื งน้กี เ็ ป็นทก่ี ล่าวขานกนั อยา่ งมากในหมู่ชาวจนี ไหหลาทบ่ี รเิ วณศาล
เจา้ แมท่ บั ทมิ เชงิ สะพานซงั ฮ้ี กรงุ เทพมหานคร
ดเู หมอื นวา่ ปาฏหิ ารยิ เ์ กย่ี วกบั โชคลาภของเจา้ แมจ่ ะมมี าอยา่ ง
ต่อเน่อื งแบบไมข่ าดสาย ชาวพชิ ยั หลายรุ่นต่อหลายรนุ่ ต่างกไ็ ดร้ บั พร
มงคลน้ีจากเจ้าแม่มาโดยตลอด ใครมเี ร่อื งทุกขร์ ้อนใจ ขดั สนในเงนิ
ทอง เจ้าแม่กป็ ระทานความช่วยเหลอื เร่อื งน้ีเกดิ ขน้ึ กบั ตวั ผเู้ ขยี นมา
ภาคท่ี 6 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ประวตั ศิ าสตร์ 197
นบั ครงั้ ไม่ถว้ น ดว้ ยความผกู พนั กบั ศาลเจา้ มาตงั้ แต่เดก็ กไ็ มเ่ คยละทง้ิ
งานของศาลแต่อย่างใด ในทุกๆเทศกาลสาคญั ของจนี ตลอดทงั้ ปี ไม่วา่
ผเู้ ขยี นจะอยู่ทไ่ี หน กต็ อ้ งกลบั มาหาเจ้าแม่ ไม่ว่าจะเดนิ ทางไปท่ีใด ก็
ไม่เคยลมื ทจ่ี ะนาของฝากมาถวายเจา้ แม่ โดยไม่ไดส้ นใจวา่ จะมเี ร่อื ง
ทุกขร์ ้อนหรอื ไม่ สุขกม็ าหา ทุกขก์ ม็ าหา ผเู้ ขยี นปฏบิ ตั ติ นแบบน้ีมา
โดยตลอด เพราะไมว่ า่ ชวี ติ จะพบเจอกบั อปุ สรรคอนั ใด รา้ ยแรงแคไ่ หน
ผเู้ ขยี นและครอบครวั กผ็ ่านมาไดท้ ุกครงั้ ดว้ ยเพราะพลงั แห่งศรทั ธา
ความกตญั ญูและความจงรกั ภกั ดตี ่อเจ้าแม่ จากรุ่นสู่รุ่น และจะยงั คง
เป็นแบบน้ีตลอดไป
ลูกหลานชาวจีนไหหลาทเ่ี กิดมาภายใตพ้ ระบารมขี องเจ้าแม่
ทบั ทมิ พชิ ยั ต่างสานึกในพระคุณของเจ้าแม่ อกี ทงั้ ยงั ถูกปลูกฝงั จาก
คนในครอบครวั มาตงั้ แตเ่ ดก็ ผา่ นกจิ กรรมของศาลเจา้ นนั่ คอื ประเพณี
แห่เจ้าแม่ทบั ทมิ พชิ ยั ทาให้ความศรทั ธาของชาวพชิ ยั ท่มี ตี ่อเจ้าแม่
ทบั ทมิ ไมเ่ คยเส่อื มคลาย
198
ภาคท่ี 6 ภูมปิ ญั ญาแห่งประวตั ศิ าสตร์
ภาคท่ี 6 ภูมปิ ญั ญาแห่งประวตั ศิ าสตร์ 199
200
ภาคท่ี 6 ภูมปิ ญั ญาแห่งประวตั ศิ าสตร์
วิถีทางแห่งความเป็ นจีนไหหลา
ชาวจนี ไหหลาเป็นนกั เดนิ ทาง ทร่ี กั การแสวงโชคและรกั ความ
สนั โดษ เพราะทะเลจนี ตอนใต้ อนั เป็นท่ตี งั้ ของเกาะไหหลา “ไข่มุก
แห่งแผ่นดินจีน” ซ่ึงเป็นประตูจีนเปิดสู่โลกกว้าง นาไปสู่ อินเดีย
อาหรับ จนถึงกรีก โรมัน เม่ือพันปีก่อน ชาวจีนไหหลาจึงเป็น
ผเู้ ชย่ี วชาญการเดนิ ทางบนกองเรอื พาณิชยน์ าวขี อง “ซาปอกง” หรอื
เจง้ิ เหอ ในสมยั ของจกั รพรรดหิ ย่งเล่อ ผบู้ ุกเบกิ เส้นทางสายไหมทาง
ทะเล ทเ่ี ดนิ ทางขา้ มทวปี กเ็ ตม็ ไปดว้ ยลูกเรอื ชาวจนี ไหหลาทงั้ สน้ิ
ภาคท่ี 6 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ประวตั ศิ าสตร์ 201
บกุ เบิกแผน่ ดินสยาม
ชาวจนี เดนิ ทางมายงั ประเทศไทยตงั้ แต่สมยั ใดนนั้ ไม่ไดม้ กี าร
จดบันทกึ ไว้เป็นลายลกั ษณ์อักษรท่แี น่นอน ทราบแต่เพียงว่า การ
อพยพของชาวจนี เกดิ ขน้ึ เป็นระยะๆ โดยชว่ งเวลาทม่ี กี ารอพยพของ
ชาวจนี มากทส่ี ุด คอื ช่วงปลายราชวงศช์ งิ เพราะบ้านเมอื งเกดิ วกิ ฤต
ค่อนข้างรุนแรง ทงั้ การฉ้อราษฎร์บงั หลวง สงคราม และปญั หาขา้ ว
ยากหมากแพง ชาวจนี ทางใต้จงึ รวมกลุ่มกนั เพ่อื เดนิ ทางมาแสวงหา
ดนิ แดนทากนิ แหง่ ใหมโ่ ดยเลอื กท่จี ะมายงั สยาม หรอื เสยี มโหล่ (暹
羅) โดยชาวจนี กลุ่มแรกๆทเ่ี ดนิ ทางมายงั สยามคอื “ชาวจนี ไหหลา”
ชาวจนี ไหหลาเคยกล่าววา่
“บนแผน่ ดนิ จนี หนาวเหนบ็ แตบ่ นเกาะไหหลารอ้ นอุ่น
บนแผน่ ดนิ จนี ความอดุ มสมบูรณ์ แตบ่ นเกาะมแี ตค่ วามทรุ กนั ดาร
บนแผน่ ดนิ จนี มคี วามเจรญิ แตบ่ นเกาะมแี ตก่ ารปา่ เถอื่ น
บนแผน่ ดนิ จนี มโี อรสแห่งสวรรค์ แต่บนเกาะรอบทะเลมมี งั กรรา้ ย”
ดว้ ยเพราะไหหลาเป็นเกาะทางใต้ ทงั้ สภาพภูมอิ ากาศ และ
ความสามารถในการเดินเรือของชาวไหหลา ประกอบกับปญั หา
ทางการเมือง และเศรษฐกิจท่ีกล่าวถึงในข้างต้น จึงกลายเป็น
202
ภาคที่ 6 ภูมปิ ญั ญาแห่งประวตั ศิ าสตร์
แรงผลกั ดนั ให้ชาวไหหลาเดนิ ทางออกแสวงโชค เขา้ มาพง่ึ พระบรม
โพธสิ มภารเป็นกลมุ่ แรกๆ ของชาวจนี
เพราะตามขอ้ เทจ็ จรงิ ไม่ปรากฏวา่ ทงั้ ชาวจนี แต้จวิ๋ ฮกเก้ยี น
หรือกวางตุ้งเป็นผูบ้ ุกเบกิ ท่แี ท้จรงิ ในสยามตอนบนนอกจากชาวจีน
ไหหลา เหน็ ไดจ้ ากการสรา้ งศาลเจา้ ในทางตอนเหนอื ของประเทศไทย
มกั จะเป็นศาลเจ้าตุ๊ยบ้วยเต๋งเหน่ียง (เจ้าแม่ทับทิม) ของชาวจีน
ไหหลาทเ่ี รยี งรายรมิ สายน้าตงั้ แตป่ ากน้าโพไปจนสดุ ลาน้ายมและน่าน
ตลอดจนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยบริเวณ
นครราชสมี าและเมอื งทางตะวนั ออก เป็นต้น ซ่งึ ศาลเจา้ ท่เี ก่าแก่ท่สี ุด
ของชาวจีนไหหลาคอื ศาลเจ้าแม่ทบั ทิม เชงิ สะพานกรุงธนฯ (ซังฮ้ี)
เขตสามเสน อกี ทงั้ แผน่ หนิ จารกึ ขอ้ ความของศาลเจ้าต่างๆทเ่ี รยี งราย
รมิ ลาน้าทางตอนเหนือของไทยกล็ ้วนแลว้ แต่กล่าวว่า ชาวจนี ไหหลา
คอื กลุ่มผบู้ ุกเบกิ ตงั้ รกรากในแผน่ ดนิ ไทยเป็นพวกแรก 7
นอกจากน้ยี งั มขี อ้ เทจ็ จรงิ อหี ลายประการทช่ี ว่ ยอธบิ ายวา่ ชาว
จนี ไหหลาคอื ผมู้ บี ทบาทสาคญั ในการบุกเบกิ แผ่นดนิ ไทยของชาวจนี
กลุ่มอ่นื ๆ นับตงั้ แต่ชว่ งกลางครสิ ต์ศตวรรษท่ี 19 จากขอ้ สนั นิษฐาน
ของ วลิ เลยี ม จี. สกนิ เนอร์ นกั ประวตั ศิ าสตร์สงั คมจนี ในประเทศ
7สกนิ เนอร,์ จ.ี วลิ เลยี ม. สงั คมจนี ในประเทศไทย: ประวตั ศิ าสตรเ์ ชงิ วเิ คราะห.์
(กรุงเทพฯ: มลู นธิ โิ ครงการตาราฯ, 2529), 83
ภาคที่ 6 ภูมปิ ญั ญาแห่งประวตั ศิ าสตร์ 203
ไทย ไดก้ ล่าวถงึ สาเหตุการอพยพของชาวจนี ไหหลาไวว้ า่ เกดิ ขน้ึ จาก
การปิดเสน้ ทางการเดนิ เรอื ของเกาะไหหลาในช่วงระหวา่ ง พ.ศ. 2343
– 24188 ทาใหช้ าวไหหลาอพยพออกมายงั ประเทศต่างๆ โดยอาศยั
การใชส้ าเภาเลก็ เลาะเลยี บชายฝงั่ มาเร่อื ยๆ ซ่งึ ความสามารถในการ
เดนิ เรอื และสภาพภูมอิ ากาศทค่ี นุ้ เคย ทาใหก้ ารเดนิ ทางไปมาระหวา่ ง
เกาะไหหลาและเมอื งสยามเกดิ ขน้ึ บ่อยครงั้ ขน้ึ ส่งผลใหค้ วามสมั พนั ธ์
ระหวา่ งนกั เดนิ เรอื ชาวไหหลา กบั พอ่ คา้ ชาวสยามแน่นแฟ้นยงิ่ ขน้ึ ตาม
ไปดว้ ย
ต่อมาเม่อื ชาวจนี เรม่ิ มกี ารอพยพออกจากแผ่นดนิ จนี กนั มาก
ยง่ิ ขน้ึ เกดิ เป็นการขนถา่ ยสนิ คา้ และอพยพผคู้ นด้วยเรอื กลไฟ เรมิ่ ขน้ึ
ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2413 จากความสามารถในการเดนิ เรอื และความชานาญ
ในเสน้ ทาง ชาวจนี ไหหลาจงึ กลายเป็นผคู้ ุมเรอื หรอื “ไต้ก๋งเรอื ”ในการ
เดนิ เรอื กลไฟซง่ึ เป็นเรอื ขนาดใหญ่เดนิ ทางจากเมอื งท่าทส่ี าคญั 2 แห่ง
แรกซ่งึ กค็ อื ทา่ เรอื ซวั เถา บนแผน่ ดนิ ใหญ่ และท่าเรอื ไห่โชว บนเกาะ
ไหหลา โดยเรม่ิ เป็นเทย่ี วเรอื ไปยงั มะนลิ าและสงิ คโปรก์ อ่ น (ตอ่ มาจงึ มี
เทย่ี วเรอื เดนิ ทางมายงั กรุงเทพ โดยบริษทั การเดนิ เรือขององั กฤษ)9
เหมอื นทช่ี าวจนี แตจ้ วิ๋ กลา่ วไวว้ า่ “คนแตจ้ วิ๋ นงั่ เรอื สาเภาฮกเกย้ี น มคี น
ไหหลาเป็นไตก้ ง๋ เดนิ ทางมาสง่ ถงึ เมอื งไทย”
8เรอ่ื งเดยี วกนั . 49
9 เรอ่ื งเดยี วกนั . 50
204
ภาคที่ 6 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ประวตั ศิ าสตร์
ช่วงสมยั ท่าเรอื ซวั เถา ท่าเรอื ไห่โขว
พ.ศ.2425-2435 92,196 13,047
พ.ศ.2436-2448 266,278 64,724
พ.ศ.2449-2460 582,456 105,548
รวม 940,390 183,319
ตารางการออกเดินทางสายตรงจากท่าเรือซวั เถา และไห่โขว
มายงั กรงุ เทพ ตามบนั ทึกของศลุ กากรจีน10
ซวั เถาและไห่โขว จงึ เป็นท่าเรอื ทอ่ี พยพชาวจนี มายงั แผ่นดนิ
ไทยอย่างเป็นทางการและเป็นเพยี ง 2 ท่าเรอื ท่เี ดนิ ทางโดยตรงมายงั
ประเทศไทย ดงั ตารางทแ่ี สดงจานวนของผเู้ ดนิ ทางเพ่อื มาแสวงโชค
และพง่ึ พระบรมโพธสิ มภารบนแผน่ ดนิ ไทย
มรรคาสมั มาชีพ
จากความสามารถทางอตุ สาหกรรมเกย่ี วกบั ไม้และการต่อเรอื
ของชาวจนี ไหหลาส่งผลให้ ชาวจนี ไหหลาเป็นผเู้ รมิ่ ตน้ บุกเบกิ แผ่นดนิ
สยามโดย เรมิ่ เดนิ ทางจากการต่อเรอื และขน้ึ ไปทางเหนือตามลาน้า
เจา้ พระยา หยุดทป่ี ากน้าโพ และเมอื งท่าต่างๆไปจนถงึ ลาน้ายมและ
น่าน แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยจานวนคนท่ีน้อยกว่าชาวจีนแต้จิ๋ว
10 China Trade Return, 1882-1921; Chinese Customs Decennial Reports.
ภาคท่ี 6 ภูมปิ ญั ญาแห่งประวตั ศิ าสตร์ 205
ประกอบกบั บุคลิกของชาวจีนไหหลา ทีช่ อบสงั สรรค์ ช่างเจรจา
แต่งตวั เก่ง สงั คมเก่ง หญิงทางานมากกว่าชาย แตกต่างจากชาว
จนี แตจ้ วิ๋ ทเ่ี ดนิ ทางมาในลกั ษณะของการเป็นแรงงานรบั จา้ ง ชายหญงิ
ชว่ ยกนั ทามาหากนิ และเรมิ่ ทาการคา้ จากทุนรอนเพยี งเลก็ น้อย ชาว
จนี แตจ้ วิ๋ จงึ เอาชนะและครองตลาดการคา้ และเศรษฐกจิ ไดม้ ากกวา่ ชาว
จนี ไหหลา จนเคยมคี ากล่าวล้อเลยี นชาวจนี ไหหลากนั ต่อมา ซ่ึงเป็น
คาถามของชาวจนี ท่วี า่ “มาเมืองไทยทาไม ?” ชาวจนี แต้จวิ๋ ตอบว่า
“มาทามาหากิน ให้เจริญรงุ่ เรอื ง” แตช่ าวจนี ไหหลาตอบวา่ “แค่มา
หาขา้ วกิน”
ชาวจีนไหหลาจึงเลือกท่ีจะอยู่ในเมืองท่าเล็กๆระหว่าง
พษิ ณุโลกและอตุ รดติ ถม์ ากกวา่ ทาใหช้ าวจนี ไหหลากระจายตวั กนั อยู่
ในเมืองดงั กล่าวเป็นจานวนมาก ทงั้ เมืองพิชยั ท่าสัก บางโพ (จ.
อุตรดติ ถ)์ สวรรคโลก (จ.สุโขทยั ) จนถงึ เด่นชยั (จ.แพร่)
นอกจากทางภาคเหนือแลว้ ชาวจนี ไหหลากม็ กั จะอพยพไปยงั
ภาคใตข้ องประเทศไทย เชน่ เกาะสมยุ จ.สุราษฎรธ์ านี อาจเป็นเพราะ
วถิ ีชีวติ ท่ีผูกพนั กบั ทะเลและภูมิภาคท่ีเป็นเกาะ และแม้ว่าชาวจีน
ไหหลาจะเป็นกลุ่มแรกผบู้ ุกเบกิ แตเ่ ม่อื มชี าวจนี ฮกเกย้ี นอพยพไปเป็น
จานวนมาก ชาวจนี ไหหลากพ็ อใจท่จี ะถอยไปเผชญิ โชคมากกว่า ทา
ให้ดูไม่สู้กระตือรือร้น เพ่ือแข่งขันกับชาวจีนกลุ่มอ่ืน ดังพระ
206
ภาคท่ี 6 ภูมปิ ญั ญาแหง่ ประวตั ศิ าสตร์
ราชหตั ถเลขาของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี
5 คราวเสดจ็ ประพาสแหลมมลายู ร.ศ.124 (พ.ศ.2448) ทรงบนั ทกึ วา่
“...เขากล่าวติเตียนกันอยู่ว่า จีนท่ีมาอยู่แต่ก่อนเป็นพวก
ไหหลามากมกั ไมใ่ คร่จะคดิ ทาการหากนิ ใหญ่โต...”11
จากบุคลิกนิสยั ส่วนตวั ของชาวจนี ไหหลาท่รี กั สนั โดษ ไม่มกั
มาก ใชช้ วี ติ ดว้ ยความสุข และความสามารถดา้ นงานชา่ งไม้ ธรุ กจิ ของ
ชาวจนี ไหหลาจงึ เป็นธุรกจิ เกย่ี วกบั โรงไม้ โรงเล่อื ย และตงั้ ถนิ่ ฐานรมิ
แม่น้าเป็นหลกั
มขี อ้ เทจ็ จรงิ บางประการท่อี ธบิ ายถงึ ความสูญเสยี ของชาวจนี
ไหหลาในการคา้ 12 คอื
1. การมีทางรถไฟสายเหนื อจากกรุงเทพ เพราะใน
ช่วงแรก การสร้างทางรถไฟจึงเป็นแรงงานจากชาวจีน
แตจ้ วิ๋ และฮกเกย้ี นทม่ี าจากกรงุ เทพ ซง่ึ เป็นแหล่งของชาว
จนี แตจ้ วิ๋ และฮกเก้ยี นอยู่แล้ว ประกอบกบั ชาวจนี ไหหลา
ไม่ชอบท่จี ะเป็นแรงงาน ทาใหเ้ กดิ เป็นสงั คมของชาวจนี
แตจ้ วิ๋ และฮกเกย้ี นขน้ึ ตามลาดบั
11 กรรณิการ์ ตนั ประเสรฐิ . รายงานการวจิ ยั สนองพระราชประสงคเ์ รอ่ื ง
นครศรธี รรมราชฯ. ทุนสนบั สนุนจากสภามหาวทิ ยาลยั หวั เฉียว
เฉลมิ พระเกยี รต.ิ (กรงุ เทพฯ: ดา่ นสทุ ธาการพมิ พ,์ 2540), 263.
12สกนิ เนอร,์ จ.ี วลิ เลยี ม. สงั คมจนี ในประเทศไทย: ประวตั ศิ าสตรเ์ ชงิ วเิ คราะห.์ 88.
ภาคท่ี 6 ภูมปิ ญั ญาแห่งประวตั ศิ าสตร์ 207
2. การรบั เหมาสัมปทานหินของชาวจีนฮากกา (แคะ)
การสรา้ งทางรถไฟกลุ่มชาวจนี ทเ่ี ป็นนายทุนในการจดั หา
หนิ คอื ชาวจนี ฮากกา ท่มี ีความสามารถในการระเบิดหิน
จากบรเิ วณจงั หวดั สระบุรไี ปจนถงึ ชมุ แสง (จ.นครสวรรค์)
ส่วนสมั ปทานไม้หมอนรางรถไฟคอื กลุ่มชาวจนี ไหหลาท่ี
ประกอบอาชพี เก่ยี วกบั โรงเล่อื ยและชา่ งไม้อยู่แล้ว ทาให้
ชาวจนี ฮากกาเรม่ิ อพยพและเขา้ มาตงั้ รกรากในเขตเมอื ง
ต่างๆท่ที างรถไฟผ่าน ตลาดการค้าบางส่วนจึงถูกกลุ่ม
ชาวจนี ฮากกาเขา้ มามบี ทบาทมากกวา่
3. การบุกเบิกดินแดนทางฝงั่ แม่น้าปิ งและวงั ของชาวจีน
แต้จ๋ิวและฮกเกีย้ น ซ่ึงเป็นเมอื งท่าทางฝงั ่ ตะวนั ตกของ
ไทย ซ่งึ ใกลก้ บั เขตย่างกุ้งและจนี ยูนนาน เกดิ เป็นการคา้
สนิ ค้าพ้นื เมอื งระหว่างภูมภิ าค ซ่ึงกลุ่มชาวจีนแต้จวิ๋ และ
ฮกเก้ยี นให้ความสนใจ ภายหลงั ตลาดทางการค้าสนิ ค้า
พน้ื เมอื งจากภูมภิ าคเขา้ สู่กรุงเทพ จงึ กลายเป็นตลาดของ
ชาวจนี แตจ้ วิ๋ และฮกเกย้ี นทางเหนือฝงั ่ ตะวนั ตก คอื เมอื ง
ระแหง(จ.ตาก) ลาปางและเชยี งใหม่ มากกวา่ ทางเหนอื ฝงั ่
ตะวนั ออก (ซ่งึ เป็นของชาวจนี ไหหลา)
ชาวจนี ไหหลาจงึ เป็นกลุ่มชาวจนี ทถ่ี กู ตอ้ นและบกุ เบกิ การคา้ สู่
เมอื งตา่ งๆ เขา้ ไปยงั เขตอ่นื เร่อื ยๆของประเทศไทย ทงั้ ตอนเหนือและ
ตะวนั ออกเฉยี งเหนือตามลาดบั ชาวจนี ไหหลาจงึ กลายเป็นผคู้ ุมตลาด
208
ภาคท่ี 6 ภูมปิ ญั ญาแหง่ ประวตั ศิ าสตร์
การค้าไม้และโรงเร่ือยมากท่ีสุด รองลงมาคือการประกอบอาชีพ
เกย่ี วกบั อาหารและการคา้ วสั ดุกอ่ สรา้ ง ทแ่ี มจ้ ะไม่ร่ารวยทส่ี ดุ แตก่ เ็ ป็น
กลุ่มชาวจนี ท่รี ่นื เรงิ ท่สี ุด มกี ลุ่มสงั คมท่เี ป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั จน
กลายเป็นเสน่หข์ องชาวไหหลามาจนถงึ ปจั จุบนั
ภาคท่ี 7
ภมู ิปัญญาแห่งคหกรรมศาสตร์
210 ภาคท่ี 7 ภมู ปิ ญั ญาแห่งคหกรรมศาสตร์
三牲五牲
ชดุ ไหว้ซาแซ - โหงวแซ
ท่ีจริงแล้วคืออะไร อนั ไหนจริง อนั ไหนนัง่ เทียน
ชว่ งใกล้เทศกาลสาคญั ของจีน ตามส่อื ประชาสมั พนั ธ์ต่างๆ
มกั จะมกี ารพดู ถงึ ชดุ เครอ่ื งไหวม้ งคล เหลา่ บรรดาผรู้ ู้ กูรหู ลายๆท่านก็
จะถูกรบั เชญิ ออกมาให้ความรู้แก่คนทวั่ ไป ถึงวธิ ีการไหว้เทพเจ้า
วธิ กี ารแกช้ ง แกเ้ คลด็ ตา่ งๆ ดว้ ยของไหวห้ ลากหลายชนิด ตา่ งคน ต่าง
สานกั กต็ า่ งความคดิ จนทาใหผ้ รู้ บั สารทไ่ี ม่ไดท้ ราบถงึ ทม่ี า รบั สารไป
แบบไม่ผดิ และไมถ่ กู กลา่ วคอื ขอ้ มลู ทแ่ี ต่ละคนใหต้ ่างกม็ คี วามสบั สน
ปนเป พูดถงึ กลุ่มชาตภิ าษาของตนแลว้ เหมารวมว่า คนจนี ทุกชนชาติ
ตอ้ งทาแบบน้ี ทาแบบนนั้ จนทาให้ชายไทยเชอ้ื สายจนี รุ่นหลงั สบั สน
และทาใหป้ ระเพณผี ดิ แปลกไปจากเดมิ ทเ่ี คยเป็นมา
ภาคท่ี 7 ภูมปิ ญั ญาแหง่ คหกรรมศาสตร์ 211
ชุดเคร่ืองไหวใ้ นเทศกาลสาคัญอย่างตรุษจนี และสารทจีน
ไม่ใชเ่ พยี งแค่ใชใ้ นเทศกาลสาคญั 2 เทศกาลน้ีเท่านัน้ หากแต่ธรรม
เนียมการไหวข้ องจนี ในการจดั ชดุ เคร่อื งไหว้ กม็ กั จะเป็นไปในรูปแบบ
น้ีเกือบทุกเทศกาลโดยเลือกหาวตั ถุดิบท่ีเหมาะสม สอดคล้องกับ
สภาพและวถิ ชี วี ติ ของคนจนี แต่ละกลุ่ม ตลอดจนการสอดแทรกด้วย
ขนมประจาเทศกาลนนั้ ๆเอาไวด้ ว้ ย
ซาแซ โหงวแซ 三牲五牲(ตาเต เงาเต)
ซาแซ และโหงวแซ จงึ เป็นคา 2 คาท่คี นมกั พูดกนั ติดปาก
โดยทงั้ 2 คาน้ี เป็นการเรยี กชุดเคร่อื งไหวข้ องชาวจนี แต้จวิ๋ ซ่งึ เป็น
ชาวจนี กลุ่มใหญ่ทส่ี ุดในประเทศไทย คงปฏเิ สธไม่ได้ท่สี าเนียงภาษา
แตจ้ วิ๋ จะมอี ทิ ธพิ ลกบั “ความเป็นจนี ” ในสงั คมไทย เพราะหลายๆคาใน
ภาษาไทย ลว้ นมรี ากศพั ทส์ าเนยี งมาจากภาษาแตจ้ วิ๋ เกอื บทงั้ สน้ิ โดย
คาวา่ “ซาแซ แปลวา่ 3 สงิ่ มชี วี ติ ” สว่ น “โหงวแซ แปลวา่ 5 สง่ิ มชี วี ติ ”
คาถามทต่ี ามมาคอื ทาไมตอ้ ง 3 และทาไมตอ้ ง 5
เลข 3 ในความหมายทางความเชอ่ื ทงั้ ใน พุทธศานา เต๋า และ
ขงจ๊ือ ซ่ึงเป็นสานักความคิดทางตะวนั ออก มีแนวคิดไปในทาง
เดยี วกนั ทว่ี า่ เลข 3 คอื เลขแห่งการถอื กาเนดิ การกอ่ ตงั้ และการดารง
อย่ขู องสรรพสตั ว์ ชาวจนี จงึ ถอื เป็นเลขมงคลลาดบั ต้นๆ จากเลข 1-9
ดงั จะเหน็ ไดจ้ าก การใชส้ ง่ิ ของ หรอื กุศโลบาย รวมไปถงึ ปริศนาธรรม
ต่างๆ กม็ กั จะมี 3 เชน่ พระรตั นตรยั ไตรลกั ษณ์ ของพุทธศานา สาม
212 ภาคที่ 7 ภมู ปิ ญั ญาแห่งคหกรรมศาสตร์
เทวศาสดา ของเตา๋ เป็นตน้ และถา้ จะทาใหเ้ หน็ ภาพความสาคญั ของ
เลข 3 ทห่ี มายถงึ การถอื กาเนิด การก่อตงั้ กค็ อื “หากจะตงั้ เสาขน้ึ มา
ไม้ 3 แทง่ ขดั กนั จงึ จะสามารถตงั้ ได้” ส่ ว น เ ล ข 5 ใ น ท า ง เ ต๋ า
หมายถึง ธาตุทงั้ 5 ของชาวจนี อนั ได้แก่ ดิน น้า ไฟ ไม้ และทอง
(โลหะ) ซง่ึ หมายถงึ ความอุดมสมบรู ณ์ทางฮวงจุย้ (ธรรมชาต)ิ
ส่วนคาวา่ “แซ” หรอื เซงิ ในสาเนียงภาษาจนี กลาง หมายถงึ
สง่ิ มชี วี ติ ซ่งึ ตามบนั ทกึ ของจนี โบราณกล่าววา่ เคร่อื งบชู าตอ้ งเป็นสง่ิ ท่ี
เป็นมงคลแก่ตัวผู้ไหว้ ส่ือถึงความหมายท่ีดี จึงเกิดการเฟ้ นหา
สญั ลกั ษณแ์ ละตวั แทนแห่งของมงคลเหล่านนั้ จากสตั วท์ ่แี บ่งออกเป็น
3 จาพวก ไดแ้ ก่ สตั วม์ ปี ีก สตั วม์ กี บี เทา้ และสตั วม์ เี กลด็
เจ้าแห่งสตั วม์ ีปี ก คือ หงส์
เจา้ แห่งสตั วม์ กี ีบเท้า คือ กิเลน
เจ้าแห่งสตั วม์ ีเกลด็ คือ มงั กร
ชาวจนี จงึ เลอื กเอาประเภทของสตั วท์ งั้ 3 จาพวกมาเป็นเครอ่ื ง
บูชา หากแตส่ ตั วท์ งั้ 3 เป็นสตั วใ์ นตานาน คงไมส่ ามารถหาสตั วเ์ หลา่ น้ี
ได้ จงึ มกี ารนาเอาเหล่าปศสุ ตั วท์ ห่ี าได้ตามท้องทม่ี าเป็นตวั แทนของ
สตั วม์ งคลเหล่าน้ี
สตั วป์ ี กทน่ี ามาไหว้ มกั จะเป็น ไก่ เป็ด หรอื บางพ้นื ท่ีแถบจนี
ตะวนั ตกกจ็ ะเป็น นก เพราะเป็ดไกเ่ ป็นของหายาก
ภาคท่ี 7 ภูมปิ ญั ญาแห่งคหกรรมศาสตร์ 213
สตั วก์ ีบทน่ี ามาไหว้ มกั จะเป็น หมู แพะ แกะ ววั เพราะบาง
พน้ื ท่ี หมูไม่ใชป่ ศสุ ตั วใ์ นแถบนนั้ เชน่ เขตซงิ เกยี ง อยุ กรู ์ เป็นตน้
สตั วเ์ กลด็ ท่นี ามาไหว้ มกั จะเป็น ปลา หรอื บางท่ี อาจเป็นงู
เพราะเป็นเขตแหง้ แลง้ ไม่มลี าธาร เชน่ เขตมองโลเลยี ใน หรอื แถบจนี
ตะวนั ตกฉียงเหนอื เป็นตน้
ดงั นนั้ ซาแซ จงึ ไม่จาเป็นต้องเป็น ไก่ หมู ปลา เพยี งเท่านนั้
ขน้ึ อยูก่ บั เราจะเลอื กเอาสตั วใ์ นประเภทตา่ งๆชนดิ ใดมาเป็นเครอ่ื งบูชา
แต่หากจะยอ้ นกลบั ไปถงึ สมยั ราชวงศโ์ จว ถงึ ราชวงศฮ์ นั่ การ
เซ่นไหวเ้ ทพเจา้ ของกษตั รยิ ์ ดว้ ยชดุ เน้อื สตั ว์ 3 อยา่ ง กจ็ ะมกี ารนาเอา
สตั วม์ กี บี เทา้ 3 อย่างมาทาพธิ บี วงสรวง นนั่ คอื ม้า ววั และแพะ ตาม
บนั ทกึ ในสมยั กษตั รยิ ์ฮนั่ อู่ต้ี ซ่ึงการตีความตามบนั ทึกนัน้ อาจมี 2
ทาง นนั่ คอื
ประการแรก การเซ่นไหวด้ ว้ ยสตั วป์ ระเภทมกี บี เทา้ นนั่ เพราะ
สตั วจ์ าลองของกเิ ลน อนั ไดแ้ ก่ มา้ ววั และแพะ เป็นสตั วใ์ หญ่ แสดงถงึ
พลงั อานาจของกษตั รยิ ์
ประการทส่ี อง การเซ่นไหวจ้ ะไม่ใชส้ ตั วจ์ าลองจาก มงั กร และ
หงส์ นนั่ เพราะ เป็นสญั ลกั ษณ์ของกษตั รยิ แ์ ละพระมเหสี ปลา หรอื ไก่
จงึ ไม่ไดน้ ามาเป็นเคร่อื งเซ่นไหว้ เพราะอาจส่อื ถงึ การสงั เวยชวี ติ ของ
พระราชวงศก์ เ็ ป็นได้
214 ภาคที่ 7 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ คหกรรมศาสตร์
ในปัจจุบนั ผ้รู ู้บางท่านกม็ กั จะบอกว่า ซาแซ คือ หมู ไก่
เป็ ด ทงั้ ๆที่ ไก่และเป็ ด เป็ นสตั วป์ ระเภทเดียวกนั ประกอบกบั
การโฆษณาของผจู้ ดั จาหน่ายสินค้าไหว้เจา้ ท่ียกให้ผลิตภณั ฑ์ของ
ตนทงั้ เป็ ดพะโล้ ขาหมู และไก่ต้มไหว้เจ้า จบั แพะชนแกะ จน
กลายเป็ นวาทกรรมท่ีครอบงาคนในสังคมจนหาความจริงที่
ถกู ต้องได้ยาก
สว่ น “โหงวแซ” กจ็ ะมกี ารเพมิ่ กลุ่มเน้ือสตั วอ์ กี 2 จาพวกเขา้
มา นนั่ คอื
1.ประเภทเคร่อื งใน (ตบั หรอื ไข)่ และ
2.ประเภทสตั วเ์ ปลอื กแขง็ (ปู กงุ้ หรอื ปลาหมกึ แหง้ )
เข้ามาให้ครบ 5 ประเภท แต่ในการไหว้ชุดซาแซ หรือโหงวแซว
โดยมาก มกั อนุโลมใหใ้ ชเ้ น้อื สตั วป์ ระเภทต่างๆ (แบบไม่ซ้า) โดยอาจ
เลือกเป็น ไก่ ไข่ ปลา หรือ ไก่ กุ้ง หมู ข้นึ อยู่กบั ความสะดวกและ
ความเหมาะสมของแต่ละพน้ื ท่ี แต่ละครอบครวั เป็นตน้
ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง สัต ว์ ช นิ ด ต่ า ง ๆ ต า ม แ ต่ ล ะ ป ร ะ เ ภ ท ก็ มี
ความสาคญั ในการเลอื กนามาใชไ้ หวด้ ว้ ยเช่นกนั โดยในท่นี ้ีขออธบิ าย
ถงึ ความหมายและนยั ยะสาคญั ในการเลอื กเน้ือสตั วม์ าเป็นเคร่อื งบูชา
แยกตามประเภทดงั น้ี
ภาคท่ี 7 ภมู ปิ ญั ญาแห่งคหกรรมศาสตร์ 215
1.ประเภทสตั วป์ ี ก
- ไก่ มคี วามหมายท่เี ป็นสริ มิ งคลอยู่ 2 ประการคอื ลกั ษณะ
ของหงอนไก่ท่คี ลา้ ยกบั หมวกของขนุ นาง การใชไ้ ก่ในการไหวเ้ จา้ จงึ
หมายถงึ การขอพรใหผ้ ไู้ หวม้ หี น้าทก่ี ารงานเจรญิ รุ่งเรอื ง ความหมาย
ประการต่อมาคอื ไก่นนั้ ขนั มคี วามตรงต่อเวลา ซ่งึ สงั เกตจากการขนั
เป็นประจาทกุ เชา้ เป็นเสมอื นเคร่อื งเตอื นใจผไู้ หวใ้ ห้พงึ ระลกึ ไวเ้ สมอ
วา่ การตรงต่อเวลาถอื เป็นสง่ิ สาคญั ในการดาเนินชวี ติ
- เป็ด ส่อื ความหมายถงึ ความสามารถทห่ี ลากหลาย เพราะ
เป็ดมเี ทา้ ทเ่ี ป็นพงั ผดื ทงั้ เดนิ ดนิ และวา่ ยน้า เป็ดมปี ีก ส่อื ถงึ การโบย
บนิ ในอากาศ การใชเ้ ป็ดในการไหวเ้ จา้ จงึ หมายถงึ การขอพรใหผ้ ไู้ หว้
ประสบความสาเรจ็ ในชวี ติ มพี รนานาประการ
2.ประเภทสตั วก์ ีบ
- หมู เป็นสตั วท์ แ่ี สดงถงึ ความอุดมสมบูรณ์ การใชห้ มูในการ
ไหวเ้ จา้ จงึ หมายถงึ การขอพรใหผ้ ไู้ หวม้ กี นิ มใี ช้ อุดมสมบูรณ์
3.ประเภทสตั วเ์ กลด็
- ปลา เป็นสตั วน์ ้าทม่ี คี วามหมายมงคล กล่าวคอื ตามตานาน
ของชาวจนี เชอ่ื วา่ ปลาตวั ใดทก่ี ระโดดน้าขา้ มเขา้ ไปยงั ประตูมงั กรได้
ปลาตวั นนั้ จะกลายเป็นมงั กร อกี ทงั้ ปลายงั วา่ ยทวนน้า แสดงให้เหน็
ถงึ ความพยายาม ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ความหมายอกี ประการหน่ึง
ซ่งึ เป็นส่วนสาคญั ในการใชป้ ลาไหวเ้ จา้ คอื ปลา อ่านว่า ยวี๋ 鱼 พ้อง
เสยี งกบั คาว่า 余 ยวี๋ แปลว่า เหลอื โดยมวี ลมี งคลของชาวจนี ท่วี า่
年年有余 (เหนียน เหนียน โหย่ว ยว)ี๋ แปลว่า มเี หลอื ทุกปี ปลา
จงึ มคี วามหมายวา่ หาเงนิ หาทองไดม้ าก มเี หลอื กนิ เหลอื ใช้ การใช้
216 ภาคท่ี 7 ภมู ปิ ญั ญาแห่งคหกรรมศาสตร์
ปลาในการไหวเ้ จา้ จงึ หมายถงึ การขอพรให้ผไู้ หวเ้ หลอื กนิ เหลอื ใช้
และพงึ ระลกึ ไว้เสมอว่า ให้มีความพยายาม ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค
เหมอื นปลาทว่ี า่ ยทวนน้า
โดย ในการใช้ปลาไหว้เจ้าของชาวจีนไหหลา มกั จะใช้ปลา 1 คู่ (2
ตวั ) แสดงถึงความเป็นมงคลคู่ 雙喜 (ซวงซี่) หรือ 囍ซ่ี (ซงั ฮี้
ในสาเนียงภาษาจนี แต้จิ๋ว)
4.ประเภทเครอ่ื งใน
- ตบั หมู ภาษาจนี คอื คาวา่ กนั 肝 (หรอื กวั ในสาเนียงจนี
แตจ้ วิ๋ ) ซง่ึ พอ้ งกบั คาวา่ 官 กวนั ซ่งึ แปลวา่ ราชการ หรอื ขนุ นาง การ
ใชต้ บั หมูในการไหวเ้ จา้ จงึ หมายถงึ การขอพรใหผ้ ไู้ หวไ้ ดร้ บั ขา้ ราชการ
หรอื มหี น้าทก่ี ารงานเจรญิ รุ่งเรอื ง
- ไขต่ ้มย้อมสีแดง ไขเ่ ป็นสญั ลกั ษณข์ องการถอื กาเนิด สแี ดง
หมายถงึ สริ มิ งคล ดงั นนั้ การใชไ้ ขย่ อ้ มสแี ดงในการไหวเ้ จา้ จงึ หมายถงึ
ขอใหเ้ กดิ แตค่ วามเป็นสริ มิ งคลแกผ่ ไู้ หว้
5.ประเภทสตั วม์ เี ปลือกแขง็
- ปู เป็นหน่งึ ใน 4 สตั วท์ เ่ี ป็นสดุ ยอดอาหารของชาวจนี ไหหลา
คอื ปพู นั ธุ์เหอเล่อ (和乐) ด้วยเพราะปูมกี า้ มขนาดใหญ่ แสดงถงึ
อานาจ และมขี าจานวนมาก แสดงถงึ การมบี รวิ ารและมคี ู่ค้าทางธุรกจิ
เป็นจานวนมาก การใชป้ ไู หวเ้ จา้ จงึ หมายถงึ การขอพรใหผ้ ไู้ หว้ มี
อานาจในการปกครองลกู น้อง และมบี รวิ าร มคี ู่คา้ ทางธุรกจิ ทเ่ี พมิ่ มาก
ขน้ึ
- ก้งุ ด้วยลกั ษณะของหวั กุ้งท่มี ขี นาดใหญ่ หมายถงึ อานาจ
วาสนา อกี ทงั้ กงุ้ ยงั มขี าเป็นจานวนมาก หมายถงึ การมคี ู่ค้าทางธุรกจิ
ภาคท่ี 7 ภมู ปิ ญั ญาแห่งคหกรรมศาสตร์ 217
เป็นจานวนมาก การใชก้ ุง้ ในการไหวเ้ จา้ จงึ หมายถงึ การขอพรใหผ้ ู้
ไหวม้ คี วามกา้ วหน้าทางธุรกจิ การงาน มคี ู่คา้ ทางธรุ กจิ เป็นจานวนมาก
- ปลาหมึกแห้ง หมายถึงความก้าวหน้าในหน้าท่กี ารงาน
เพราะหมกึ ของตวั ปลาหมึกมสี ดี า ซ่งึ มลี กั ษณะเหมอื นกบั หมกึ ทใ่ี ช้
เขยี นหนงั สอื การใชป้ ลากหมกึ แห้งในการไหวจ้ งึ หมายถงึ การขอพร
ใหผ้ ไู้ หวม้ หี น้าทก่ี ารงาน รวมไปถงึ การศกึ ษาเล่าเรยี นเจรญิ กา้ วหน้า
218 ภาคที่ 7 ภมู ปิ ญั ญาแห่งคหกรรมศาสตร์
ซาเปี้ ย โหงวเปี้ ย 三饼五饼(ตาเปี้ ย เงาเปี้ ย)
เม่ือมีอาหารคาวหรือชุดซาแซแล้ว ก็มกั จะมี ซาเป้ีย และ
ซากว้ ย หรอื หากเป็น โหงวแซกจ็ ะมี โหงวเป้ีย และโหงวก้วย ตามมา
ดว้ ย ซ่งึ คาวา่ เป้ีย หมายถงึ ขนม และคาวา่ ก้วย หมายถงึ ผลไม้ โดย
การเลอื กขนมและผลไมเ้ ขา้ มาประกอบการไหวก้ ถ็ อื เป็นสง่ิ สาคญั โดย
ขนมกม็ กั จะสอดคลอ้ งกบั ประเภทและเทศกาลต่างๆ
ขนมไหวเ้ จา้ ของชาวจนี จงึ มปี ระเภทใหญ่ๆอยู่ 3 ประเภทหลกั
1 กลมุ่ ย่อย ไดแ้ ก่
1.ขนมประเภทป่ิ ง หรอื เปี้ ย (饼) เป็นประเภทขนมอบ/ทอด
ขนมเป๊ียะ ขนมจนิ เดของชาวจนี ไหหลา เป็นตน้
2.ขนมประเภทเกา (糕) / กวั (粿) เป็นประเภทขนมน่ึง
เกาหรอื กวั คอื ขนมน่งึ ทาจากแป้งหรอื ถวั ่ ส่วนมากมรี สหวานและหนา
กวา่ ปิ่ง เน่อื งจากธญั ชาตคิ อื ขา้ วและถวั่ ชนิดต่างๆ ไดผ้ ลเกบ็ เกย่ี วแลว้
จงึ มอี าหารประเภทปิงและเกาซง่ึ ทาจากธญั ชาตเิ หล่าน้ีมากมายหลาย
ชนิด ลว้ นนามาเป็นเคร่อื งไหวไ้ ด้ทงั้ ส้นิ เชน่ ขนมเขง่ (เหนียนเกา)
ขนมโก๋ ขนมฟู เชน่ ปยุ ฝ้าย สาล่ี เป็นตน้
3.ขนมประเภทเปา (包) ด้วยรูปทรงทก่ี ลม มกี ารห่อไส้ไว้
ภายใน จงึ ถอื เป็นลกั ษณะมงคลของขนมท่หี มายถงึ การมเี งนิ ทองเป็น
ห่อ เชน่ ขนมซาลาเปา หมนั่ โถว หรอื ซว่ิ ทอ้ เปา เป็นตน้
และขนมอกี 1 กลุ่มย่อยนัน่ กค็ ือ ขนมประเภทถงั หรือ ทิ้ง
(糖) เป็นขนมประเภทน้าตาลหวาน กล่าวคอื เป็นการนาเอาธญั พชื
ภาคที่ 7 ภูมปิ ญั ญาแหง่ คหกรรมศาสตร์ 219
มาเคย่ี วกบั น้าเชอ่ื มดว้ ยความรอ้ นสูงเป็นเวลานานจนตกผลกึ เป็นกอ้ น
น้าตาลเคลอื บ หรอื เป็นการนาเอาน้าตาลมาขน้ึ รปู เป็นกอ้ นน้าตาลรูป
สตั วม์ งคลต่างๆ เช่น ขนมจนั อบั หรอื เชวอื นเหอ (ถวั ่ ตดั งาตดั ฟกั
เชอ่ื ม ขา้ วพอง ถวั่ เคลอื บ) ขนมท้งิ ถะ ทง้ิ ไซ หรอื เจดยี ์น้าตาล สงิ โต
น้าตาล เป็นต้น โดยเหตุท่กี ล่าวว่าเป็น 1 กลุ่มย่อย นัน่ เพราะ ขนม
ประเภทดงั กล่าวนิยมใชก้ บั ชาวจนี บางกลุ่ม เช่น ชาวจนี แต้จวิ๋ อกี ทงั้
ไมใ่ ชข่ นมประเภทหลกั ทน่ี ามาใชใ้ นการไหวเ้ ทพเจา้
นอกจากน้สี ง่ิ ทต่ี อ้ งทาความเขา้ ใจคอื คนจนี นนั้ โดยส่วนใหญ่
จะประกอบอาชพี เกษตรกรรม ซ่งึ เกษตรกรรมทท่ี ากนั มากท่สี ุดคือ
การทานา โดยขา้ วของจนี มี 3 ตระกลู ใหญ่ คอื
ตระกูลขา้ วฟ่าง (สู่ และ จ้ี หรอื ซู่) ลูกเดอื ย ขา้ วโพด รวมอยู่
ในตระกูลน้ี / ตระกูลขา้ วสาลแี ละขา้ วบาร์เลย์ (ไม่) / ตระกูลขา้ วเจา้
ขา้ วเหนยี ว (เตา้ ) ตระกลู แรกใชเ้ วลาสนั้ เกบ็ เก่ยี วไดก้ ่อน ตระกูลหลงั
ใชเ้ วลายาว เกบ็ เกย่ี วไดท้ หี ลงั
ในคมั ภรี ก์ ่วนจอ่ื วรรณกรรมสาคญั ยคุ จนั้ กวั ๋ บรรพชงิ จงั (การ
หนกั เบา) กล่าวถงึ การใชผ้ ลเกบ็ เกย่ี วบูชาบรรพบรุ ุษและไหว้
พระจนั ทรไ์ วว้ า่
"นบั จากปกั ษ์เซีย่ จ้อื (ครษี มายนั -รอ้ นสุด) ไป 46 วนั
ส้นิ ฤดูคมิ หนั ต์เรมิ่ ฤดูสารท (คอื วนั ลชี่ วิ ) ขา้ วฟ่างสุก โอรส
สวรรคน์ าไปเซ่นสรวงพระเทพบดิ ร (เทพบรรพชน) อนั ว่าขา้ ว
ฟ่างเป็นขา้ วรสดที สี่ ดุ พระเทพบดิ รนนั้ แลคอื บุคคลสาคญั ของ
220 ภาคที่ 7 ภมู ปิ ญั ญาแห่งคหกรรมศาสตร์
ประเทศ บรรพชนผมู้ คี ุณูปการอนั ยงิ่ ใหญ่เป็นมหาเทพบดิ ร มี
คุณูปการน้อยเป็นจุลเทพบดิ ร ไม่มคี ุณูปการใดๆ ไม่นับเป็น
พระเทพบิดร บรรพชนผู้มีคุณูปการควรถวายตาแหน่งใน
ปราสาทเทพบดิ รแลรบั การเซ่นสรวง ผไู้ ม่มคี ุณูปการควรยนื ดู
อยู่ขา้ งนอก บรรพชนควรบูชาเพราะผลงาน ไม่ใชบ่ ูชาเพราะ
เป็นญาติ โอรสสวรรคจ์ าแนกความดคี วามเลวแลว้ จงึ เซ่นสรวง
บูชาผมู้ คี ณุ งามความดี
นบั จากปกั ษ์เซยี่ จ้อื (ครษี มายนั ) ไป 92 วนั เรยี กว่า
ปกั ษช์ วิ จอ้ื (ชวิ เฟ็น-สารทวษิ ุวตั ) ปกั ษ์น้ีขา้ วกล้า (ขา้ วเหนียว
ขา้ วเจา้ ) สุก โอรสสวรรคน์ าไปไหวพ้ ระจนั ทร์ ตงั้ ปะราพธิ ปี า่ ว
ประกาศแกร่ าษฎรวา่ นคี่ อื พธิ ไี หวพ้ ระจนั ทร์"
ตามวฒั นธรรมจนี ถอื ว่าบรรพชนสาคญั กว่าเทวดา ต้องไหว้
ก่อน ฉะนนั้ จงึ ใชข้ า้ วฟา่ งซง่ึ สุกก่อนและเป็นขา้ วรสดี (ได้รบั ยกย่องวา่
เป็น "ราชาแห่งธญั ชาติ") บูชาพระเทพบิดรก่อนในปักษ์ลี่ชิว ซ่ึง
ประเพณีนี้เป็นท่ีมาของเทศกาลสารทจีน ส่วนขา้ วเหนียว ขา้ วเจา้
สุกทหี ลงั ใชไ้ หวพ้ ระจนั ทร์ซ่งึ เป็นเทพประจาธรรมชาตอิ งค์หน่ึง การ
เซ่นไหว้ด้วยพืชพนั ธุ์ท่เี ก็บเก่ยี วมาจงึ หมุนเวยี นตามเทศกาลต่างๆ
ดงั น้ี
เทศกาลตรุษจนี จะมขี นมเข่ง (ขนมเหนียนเกา) และขนม
เทยี น (ขนมไทยทถ่ี ูกนาไปใชใ้ นเทศกาลจนี )
เทศกาลหยวนเซยี ว จะมขี นมถงั หยวน หรอื ขนมบวั ลอย
ภาคท่ี 7 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ คหกรรมศาสตร์ 221
เทศกาลเชง็ เมง้ จะมขี นม จชู งั เป้ีย (ขนมเป้ียะเชง็ เมง้ )
เทศกาลตวนอู่ จะมขี นมบ๊ะจา่ งและขนมกจี า่ ง
เทศกาลสารทจนี จะมขี นมเขง่ และขนมเทยี น (ขนมไทยท่ถี ูก
นาไปใชใ้ นเทศกาลจนี ) ซ่งึ กลายเป็นวาทกรรมครอบงาสงั คมไทย ทงั้ ๆ
ทใ่ี นความเป็นจรงิ ขนมทงั้ 2 อย่างใชใ้ นเทศกาลตรุษจนี เพราะในอดตี
ไม่ไดน้ ามาใชใ้ นเทศกาลสารทจนี
เทศกาลไหวพ้ ระจนั ทร์ จะมขี นมเป๊ียะไหวพ้ ระจนั ทร์ ขนมโก๋
เทศกาลตงจ่อื หรอื ตงั โจ่ย จะมกี ารไหวข้ นมถงั หยวน หรอื
บวั ลอย
ขนมไหว้เทพเจ้าจงึ เป็นเสมอื นสีสนั ท่ที าให้เทศกาลต่างๆมี
สสี นั นนั่ เพราะ ขนมคอื ตวั แทนของความอุดมสมบูรณ์ การเกบ็ เก่ยี ว
พชื พนั ธธ์ ญั ชาตไิ ดใ้ นแตล่ ะชว่ งฤดู
222 ภาคท่ี 7 ภูมปิ ญั ญาแหง่ คหกรรมศาสตร์
ซาก้วย โหงวก้วย 三果五果 (ตาก้วย เงากว้ ย)
ผลไมก้ เ็ ป็นอกี สง่ิ หน่งึ ทข่ี าดไม่ไดใ้ นการเซ่นไหวเ้ ทพเจา้ โดย
การเลอื กเฟ้นเอาผลไม้มาไหวข้ องชาวจีนนนั้ มกั จะเลอื กจากช่อื และ
สสี นั โดยการเลอื กจากชอ่ื จะส่อื ถงึ ความหมายมงคลท่ถี อดมาจากทงั้
สาเนียงการออกเสียง และรากของตวั อกั ษรท่มี ีอกั ษรมงคลอยู่ในช่อื
นนั้ ๆ ส่วนเร่อื งของสี กเ็ ป็นอกี ปจั จยั หน่ึง นัน่ เพราะ สคี ือสญั ลกั ษณ์
ของธาตตุ ่างๆ ทงั้ 5 ธาตุ กล่าวคอื
สแี ดงแทนธาตุไฟ
สเี ขยี วแทนธาตุไม้
สเี หลอื ง สสี ม้ แทนธาตดุ นิ
สขี าวแทนธาตทุ อง
สนี ้าเงนิ สมี ว่ ง สดี าแทนธาตนุ ้า
ซ่งี ไม่ได้มขี อ้ กาหนดว่าจะใชผ้ ลไม้ชนิดไหนประจาเทศกาล
อะไร หากแต่ขน้ึ อยกู่ บั ความตอ้ งการและผลไมป้ ระจาชว่ งฤดูนนั้ ๆด้วย
โดยผลไมม้ งคลต่างๆ ทน่ี ามาใชป้ ระกอบการเซ่นไหว้ มดี งั น้ี
1.ส้ม (桔) สาเนียงภาษาจนี กลางเรยี กวา่ จวี๋ (橘 หรอื 桔)
พอ้ งเสยี งกบั คาวา่ จิ 吉 ทแ่ี ปลวา่ สริ มิ งคล
ภาคที่ 7 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ คหกรรมศาสตร์ 223
สาเนียงภาษาจนี ไหหลาเรยี กวา่ เกย๊ี ด แปลวา่ สม้ , มงคล
สาเนียงภาษาจนี กวางตุ้งเรยี กว่า กา ซ่ึงพ้องเสียงกบั คาว่า
ทอง ทงั้ สขี องสม้ กม็ สี เี หลอื งคลา้ ยทอง จงึ หมายถงึ ความร่ารวย
การใชส้ ม้ ในการไหวเ้ จา้ จงึ หมายถึง การขอพรให้ผไู้ หวม้ สี ิริ
มงคลในชวี ติ
2.ส้มโอ (碌柚) หรอื ลยู่ ว่ิ ซ่งึ คาวา่ ยวิ่ 柚 พอ้ งเสยี งกบั คา
วา่ 佑 ยว่ิ (保佑 เป๋ ายว่ิ ) ท่แี ปลว่า ปกป้อง คุ้มครอง ดงั นัน้ การใช้
สม้ โอในการไหวเ้ จา้ จงึ หมายถงึ การขอพรใหผ้ ไู้ หว้ ไดร้ บั การคมุ้ ครอง
จากเทพเจา้ ใหม้ ชี วี ติ ทเ่ี จรญิ รุง่ เรอื ง ซ่งึ ชาวจนี ฮกเกย้ี น ไตห้ วนั แตจ้ วิ๋
ไหหลา นิยมใชไ้ หวม้ าก (จนี ทางตอนเหนอื ไม่มผี ลไมช้ นิดน้ี)
3.แอปเปิ้ ล (苹果) หรอื ผงิ กวั ๋ ซ่งึ คาว่า ผงิ 苹 พอ้ งเสยี ง
กบั คาว่า 平 ผงิ (平安 ผงิ อนั ) ท่แี ปลว่า สนั ติภาพ ความสงบ
รม่ เยน็ ดงั นนั้ การใชแ้ อปเป้ิลในการไหวเ้ จา้ จงึ หมายถงึ การขอพรใหผ้ ู้
ไหวม้ ชี วี ติ ทส่ี งบร่มเยน็ และราบร่นื
4.กล้วย (香蕉) หรอื เซยี งเจา ซง่ึ คาวา่ เซยี ง 香 หมายถงึ
กลน่ิ หอม อกี ทงั้ รปู ลกั ษณ์ของกลว้ ยมลี กั ษณค์ ลา้ ยกบั มอื แสดงถงึ การ
กวกั ส่ิงท่ีเป็นมงคลเข้ามา ดังนัน้ การใช้กล้วยในการไหว้เจ้า จึง
หมายถงึ การขอพรใหผ้ ไู้ หว้ ไดร้ บั การความเป็นสริ มิ งคลจากเทพเจ้า
ใหม้ ชี วี ติ ทม่ี ชี อ่ื เสยี งขจรขจายเหมอื นกบั กลน่ิ หอมของกลว้ ย
224 ภาคที่ 7 ภูมปิ ญั ญาแหง่ คหกรรมศาสตร์
นอกจากน้ีกล้วยยงั สะท้อนภูมิปญั ญาของชาวจนี ในการไหว้
เจ้าอีกด้วย เพราะโดยส่วนใหญ่ ชาวจีนมกั จะเลือกเอาผลไม้ท่ีมี
เปลอื กหนาในการไหวเ้ จ้า เพ่อื ให้สามารถเกบ็ ไวร้ บั ประทานไดเ้ ป็น
เวลานาน ซ่งึ มุมมองในหลกั การทางวิทยาศาสตร์ กล้วยเป็นผลไม้
ทม่ี เี ปลือกหนาก็จริง แต่สุกเรว็ กลน่ิ ของกล้วยกเ็ ชอ้ื เชญิ ให้แมลงมา
ตอม ดงั นนั้ ชาวจนี จงึ เลอื กใชก้ ล้วยสเี ขยี ว (กล้วยดบิ ) ในการไหวเ้ จ้า
เพ่อื ให้สามารถเกบ็ ไวไ้ ด้นาน อกี ทงั้ ศาสตรใ์ นทางฮวงจุ้ย การไหว้
เจ้าชาวจนี มกั จะเลือกผลไมต้ ามสขี องธาตุ โดยจะไหวใ้ ห้ครบ 5 ธาตุ
หมายถงึ ความอุดมสมบรู ณ์ กลว้ ยดบิ สเี ขยี ว จงึ ถอื เป็นผลไม้แทนธาตุ
ไม้ นนั่ เอง
5.ลูกพลบั (柿) หรอื ช่ี ซ่งึ คาว่า ช่ี 柿 พอ้ งเสยี งกบั คาวา่
实 ช่ี (实现 ชเี ซ่ยี น) ทแ่ี ปลวา่ สาเรจ็ บรรลุ ดงั นนั้ การใชล้ ูกพลบั ใน
การไหวเ้ จ้า จึงหมายถงึ การขอพรให้ผู้ไหว้ทาการสง่ิ ใดก็สาเรจ็ ผล
ลุลว่ งไปไดด้ ว้ ยดี
6.สบั ปะรด (凤梨) หรอื เฟิงหลี ซ่งึ คาว่า เฟิง 凤 แปลว่า
หงส์ (นกฟินิกซ์) เป็นนกทไ่ี มม่ วี นั ตาย เป็นอมตะ แสดงถงึ ความยงั่ ยนื
ส่วนคาว่า หลี 梨 พ้องเสียงกบั คาว่า 利 ล่ี แปลว่า ดอกเบ้ีย
ผลประโยชน์ ดงั นนั้ การใชส้ บั ปะรดในการไหวเ้ จา้ จงึ หมายถงึ การขอ
พรใหผ้ ไู้ หวม้ ที รพั ยส์ นิ เงนิ ทอง โชคลาภมากมายตลอดไป
ภาคท่ี 7 ภูมปิ ญั ญาแหง่ คหกรรมศาสตร์ 225
ส่วนสาเนียงภาษาจนี ฮกเกย้ี น จะออกเสยี งว่า อ่องไหล คาว่า
อ่อง ไปพ้องเสยี งกบั คาว่า 红 อ่อง / องั่ ท่แี ปลว่าสแี ดง ส่วนคาว่า
ไหล 梨 พอ้ งเสยี งกบั คาวา่ 来 ไล้ ทแ่ี ปลวา่ มาถงึ การมาถงึ ของสี
แดง จงึ หมายถงึ การมาถงึ ของความเป็นสริ มิ งคล
7.สาลี่ (梨) หรอื ล่ี ซ่งึ คาว่า ล่ี 梨 พ้องเสยี งกบั คาวา่ 利
ล่ี แปลว่าดอกเบ้ยี ผลประโยชน์ ดงั นัน้ การใช้สาล่ใี นการไหว้เจ้า จงึ
หมายถงึ การขอพรใหผ้ ไู้ หวม้ ีโชคลาภเงนิ ทองมไี ม่เส่อื มถอย แต่บาง
พน้ื ของประเทศจนี ท่มี องว่า สาล่ี พอ้ งเสยี งกบั คาว่า "หล"ี ทแ่ี ปลว่า
"จากไป ขาดไป"
8.องนุ่ (葡萄) หรอื ผเู่ ทา้ คาวา่ เทา้ 萄 พอ้ งเสยี งกบั คาวา่
桃 เทา้ ทแ่ี ปลวา่ ลูกทอ้ ดงั นนั้ การใชอ้ งุ่นในการไหวเ้ จ้า จงึ หมายถงึ
การขอพรให้ผู้ไหว้มีอายุยืนนาน และมีบริวารมากมายเหมือนกับ
รปู ลกั ษณข์ ององุน่ แต่ภาคเหนือบางถน่ิ ไม่ใชท้ อ้ กบั องนุ่ ในการไหวเ้ จา้
เพราะทอ้ ภาษาจนี กลางออกเสยี งว่า "เทา้ " พ้องเสยี งกบั คาว่า "逃
เถา " ทแ่ี ปลวา่ "หนีภยั "
9.ทบั ทิม (石榴) หรอื ซลี ว้ิ ทงั้ เป็นผลไมม้ งคลของจนี และ
ดว้ ยรปู ลกั ษณ์ท่เี ป็นมงคล คอื เน้ือภายในมสี แี ดง มเี มลด็ เป็นจานวน
มาก ส่อื ความหมายถงึ การไดล้ ูกชาย หรอื การขอพรให้ลูกชายมคี วาม
เจรญิ กา้ วหน้า ดงั นนั้ การใชท้ บั ทมิ ในการไหวเ้ จา้ จงึ หมายถงึ การขอ
226 ภาคท่ี 7 ภมู ปิ ญั ญาแห่งคหกรรมศาสตร์
พรใหผ้ ไู้ หวม้ ลี กู ชายในเรว็ วนั หากยงั ไม่มี หรอื หากมแี ลว้ กจ็ ะเป็นการ
อวยพรใหล้ ูกชายมคี วามเจรญิ กา้ วหน้าในชวี ติ
10.แก้วมงั กร (火龙果) หรอื หวั่ หลงกวั ๋ ซ่งึ คาวา่ หลง
龙 หมายถงึ มงั กร ดงั นนั้ การใชอ้ งุ่นในการไหวเ้ จา้ จงึ หมายถงึ การ
ขอพรใหผ้ ไู้ หวม้ สี มปรารถนาทกุ ประการ เหมอื นดวงแกว้ ของมงั กร ซ่งึ
ถอื เป็นแกว้ สารพดั นกึ
11.ลาไย (龙眼) หรอื หลงเหย่ยี น แปลตรงตวั ว่า ดวงตา
มงั กร ดงั นนั้ การใชล้ าไยในการไหวเ้ จา้ จงึ หมายถงึ การขอพรใหผ้ ไู้ หว้
รรู้ อบ รทู้ วั่ เป็นพหูสุต มองเหน็ ทุกอย่างไดอ้ ย่างถ่องแท้
การเซ่นไหวเ้ ทพเจ้าท่ถี ูกต้อง นอกจากจะต้องทาความเขา้ ใจ
ถงึ ทม่ี าและแก่นแทข้ องกุศโลบายทบ่ี รรพชนสรา้ งมาแล้วนนั้ หากแต่
ยงั ต้องคานึงถึงความเหมาะสมและค่าใช้จ่ายต่างๆท่จี ะตามมาด้วย
ไม่ใชก่ ารเซ่นไหวเ้ พยี งเพราะเหน็ ผอู้ ่นื ทา หรอื ผอู้ ่นื บอกใหท้ า เพราะ
ของเซ่นไหวท้ ่ดี ที ส่ี ุดนนั่ คอื หวั ใจของเราทต่ี ้องบรสิ ุทธแิ ์ ละน้อมระลกึ
ถึงพระคุณของเทพเจ้า ตลอดจนบรรพชนท่ีสรรสร้างวฒั นธรรม
ประเพณใี หพ้ วกเราชาวจนี สบื ทอดใหค้ งอยู่ต่อไป ความรู้ ความเขา้ ใจ
ถงึ แก่นแท้ และความเหมาะสม จงึ ถอื เป็นเร่อื งจาเป็นในการรกั ษาให้
สง่ิ ตา่ งๆเหลา่ น้คี งอยตู่ ลอดไป
ภาคท่ี 7 ภูมปิ ญั ญาแหง่ คหกรรมศาสตร์ 227
ชดุ เคร่อื งไหว้มงคลชดุ ใหญ่ พิธีถวายเลี้ยงอาลา สรงน้าชา
ศาลเจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั
(โปรดสงั เกต ชาวจนี ไหหลาจะมกี ารบูชาดว้ ยหมากพลู หรอื บนิ โหน่ว 檳榔
ซง่ึ ถอื เป็นวฒั นธรรมการกนิ ทส่ี าคญั ของชาวจนี ไหหลาสมยั โบราณ)
บทส่งท้าย
ขอบคุณพระบารมอี งคเ์ จา้ แม่ทบั ทมิ พชิ ยั ทแ่ี ผป่ กเหนือเกลา้
เหนือกระหมอ่ ม ผชู้ น้ี าทางแหง่ ปญั ญาแกข่ า้ พเจา้
ขอบคณุ ภมู ปิ ญั ญาแห่งบรรพชน ทส่ี รา้ งสรรเรอ่ื งราวไวใ้ หก้ บั
ลูกหลาน เพอ่ื สานตอ่ แรงศรทั ธาใหค้ งอยคู่ ่แู ผน่ ดนิ
ขอความรจู้ ากหนงั สอื เลม่ น้ี ทข่ี า้ พเจา้ มอบเป็นวทิ ยาทานแก่
ผอู้ ่าน จงเป็นพลงั เสรมิ สรา้ งพระบารมแี ห่งองคเ์ จา้ แมท่ บั ทมิ
พชิ ยั (ตยุ๊ บว้ ยเต๋งเหน่ยี ง) ใหแ้ ผไ่ กลไปทวั่ ทกุ ทศิ านุทศิ
ขออุทศิ กุศลจากวทิ ยาทานครงั้ น้ี จงสาเรจ็ แด่
นายเจรญิ ตนั ตกิ ลุ และ อาจารยร์ สสุคนธ์ ขนั ธน์ ะภา
ผมู้ พี ระคณุ คนสาคญั ของขา้ พเจา้ ตลอดจนพน่ี อ้ งชาวจนี ไหหลา
ผลู้ ว่ งลบั ทกุ ท่าน
ขอบคณุ ผมู้ อี ุปการคณุ และผอู้ ่านทกุ ๆ ท่าน
แลว้ พบกนั ใหม่ กบั ความรแู้ ละภูมปิ ญั ญาของชาวจนี ไหหลา
ขอบคณุ และสวสั ดี
บรรณานุกรม
หนังสือ
กรรณิการ์ ตนั ประเสรฐิ . รายงานการวิจยั สนองพระราชประสงคเ์ รอื่ ง
นครศรธี รรมราชฯ. ทุนสนบั สนุนจากสภามหาวทิ ยาลยั หวั เฉยี ว
เฉลมิ พระเกยี รต.ิ กรุงเทพฯ: ดา่ นสุทธาการพมิ พ,์ 2540.
เกษยี ร เตชะพรี ะ . แลลอดลายมงั กร : รวมข้อเขียนว่าด้วยความ
เป็นจีนในสยาม . กรงุ เทพฯ : โครงการจดั พมิ พค์ บไฟ, 2537.
ขจดั ภยั บรุ ุษพฒั น์. ชาวจีนในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: แพรพ่ ทิ ยา,
2517.
ชยั ชนะ พมิ านแมน. ประวตั ิความคิดการเมืองตะวนั ออก: อินเดีย
และจีน. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2527.
ทวี ธรี ะวงศเ์ สร.ี สถานภาพทางกฎหมายของชาวจีนในประเทศไทย.
วทิ ยานพิ นธร์ ฐั ศาสตรม์ หาบณั ฑติ . กรุงเทพฯ: บณั ฑติ วทิ ยาลยั
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2516.
ทววี ฒั น์ ปุณฑรกิ ววิ ฒั น์. ศาสนาและปรชั ญาในจีน ทิเบตและญีป่ ่ นุ .
กรงุ เทพฯ : สุขภาพใจ, 2545.
ทองหลอ่ วงษ์ธรรมา. ปรชั ญาจีน. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร,์ 2538.
ธมลวรรณ ตงั้ วงษเ์ จรญิ . เอกลกั ษณ์ชาติพนั ธข์ุ องคนไทยเชือ่ สายจีน
ในชมุ ชนอ้อมใหญ่. วทิ ยานพิ นธส์ งั คมวทิ ยามหาบณั ฑติ .
กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2542.
230
ธรี ยทุ ธ สนุ ทรา. พทุ ธศาสนามหายานในประเทศไทย จีนนิกายและ
อนัมนิ กาย. กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , 2540.
นงลกั ษณ์ จงรกั วงศ.์ ศึกษาอาหารทีใ่ ช้ในประเพณีในรอบปี ของชาว
ไทยเช้ือสายจีนในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่ อาเภอหาดใหญ่
จงั หวดั สงขลา. วทิ ยานพิ นธศ์ ลิ ปศาสตรม์ หาบณั ฑติ (ไทยคดี
ศกึ ษา). สงขลา: มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ , 2542.
บุญยง ชน่ื สวุ มิ ล. โบเ๊ บ.๊ กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2551.
ประภสั สร เสวกิ ุล, บรรณาธกิ าร. จากฮวงโหส่เู จ้าพระยา. กรุงเทพฯ :
ธนาคารกสกิ รไทย, 2548.
ประยงค์ อนนั ทวงศ.์ แลหลงั จีน. กรงุ เทพฯ: รวมสาสน์ , 2525.
ปิยนาถ บุนนาค, สภุ างค์ จนั ทวานิช. สาเพง็ : ประวตั ิศาสตรช์ มุ ชน
ชาวจีนในกรงุ เทพฯ. กรุงเทพฯ : ศนู ยจ์ นี ศกึ ษา สถาบนั เอเชยี
ศกึ ษา จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2549.
พรพรรณ จนั ทโรนานนท.์ วิถีจีน. กรุงเทพฯ: ประพนั ธส์ าสน์ , 2546.
พรพรรณ เตยี รกั ษก์ จิ สกุล. พฒั นาการบทบาทของสมาคมชาวจีนใน
กรงุ เทพทีม่ ีต่อคนไทยเช้ือสายจีน (พ.ศ. 2485-2535).
วทิ ยานพิ นธส์ งั คมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยามหาบณั ฑติ . กรุงเทพฯ :
คณะสงั คมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์,
2536.
พรรณี ฉตั รพลรกั ษ์. รวมบทความอารยธรรมตะวนั ออก. กรุงเทพฯ:
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2529.
231
ฟรนี ่า บรมู ฟิลด.ิ์ ความเชือ่ ชาวจีน. แปลโดย หยกแดง. กรุงเทพฯ :
ยนิ หยาง, 2532.
ภูวดล ทรงประเสรฐิ . จีนโพ้นทะเลสมยั ใหม่. กรุงเทพฯ : Higher
Press, 2547.
ยุพนิ คลา้ ยมนต์. รายงานการวิจยั เรือ่ งอิทธิพลวฒั นธรรมจีนทีม่ ีต่อ
ไทย. กรุงเทพฯ : สถาบนั เอเชยี ตะวนั ออกศกึ ษา
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ 2536.
ลวั ส์ มติ ชสิ นั . อิทธิพลของชาวจีนโพ้นทะเล และบทบาทของคนจีน
ในประเทศไทยสมยั ปัจจบุ นั .แปลโดย กมล จนั ทรสร. พระนคร:
โอเดยี นสโตร,์ 2506.
วรศกั ดิ์มหทั ธโนบล. คือ "ฮากกา" คือ "จีนแคะ". กรุงเทพฯ : มตชิ น,
2546.
วนิ ยั พงศศ์ รเี พยี ร, บรรณาธกิ าร. ศิลปวฒั นธรรมไทย-จีนศึกษา.
กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร, 2532.
วริ ยิ ะหาญ, (นามแฝง). ไข่มกุ ทะเลจีนใต้. สมาคมใหหนาแห่งประเทศ
ไทย. ม.ป.ท., 2542. (อดั สาเนา)
สกนิ เนอร,์ จ.ี วลิ เลยี ม. สงั คมจีนในประเทศไทย : ประวตั ิศาสตรเ์ ชิง
วิเคราะห์. ชาญวทิ ย์ เกษตรศริ ,ิ บรรณาธกิ ารแปล.กรงุ เทพฯ:
มลู นธิ โิ ครงการตาราสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร์, 2529.
232
สมบูรณ์ สุขสาราญ. ความเชือ่ ทางศาสนาและพิธีกรรมของชมุ ชน
ชาวจีน. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2530.
สมพงษ์ เกรยี งไกรเพชร. ประเพณีต่างชาติและเรือ่ งทีน่ ่าร้.ู พระนคร:
แพร่พทิ ยา, 2505.
สุภางค์ จนั ทวานชิ .รายงานการวิจยั เรือ่ งชาวจีนแต้จิว๋ ในประเทศไทย
และในภมู ิลาเนาเดิมทีเ่ ฉาซนั : สมยั ทีส่ อง ท่าเรอื ซ่านโถว.
กรุงเทพฯ : ศนู ยจ์ นี ศกึ ษา สถาบนั เอเชยี ศกึ ษา จฬุ าลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั , 2539.
สุวรรณา สถาอานนั ท.์ กระแสธารปรชั ญาจีน : ขอ้ โต้แย้งเรอื่ ง
ธรรมชาติ อานาจ และจารตี . กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ
มหาวทิ ยาลยั , 2539.
โสภณอกั ษรกจิ , พระ. ลทั ธิธรรมเนียมแซยิด. พระนคร: โสภณพิ
พรรฒธนากร, 2477.
เสาวรตั น์ โพธพิ นั ธ.์ ศึกษาอาหารจีนทีเ่ กีย่ วข้องกบั ความเชือ่ และ
พิธีกรรมของชาวไทยเช้ือสายจีนย่านเยาวราช. วทิ ยานิพนธ์
ศลิ ปศาสตรม์ หาบณั ฑติ (ไทยคดศี กึ ษา). กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั
รามคาแหง, 2550.
แสงอรุณ กนกพงศช์ ยั . บบ่ ดั ๊ บ่ย้งก้ง : วฒั นธรรมไทยจีน: ไม่ร้ตู ้อง
แสวง. กรุงเทพฯ : สดี า, 2547.
. วิถจี ีน-ไทยในสงั คมสยาม. กรงุ เทพฯ : มตชิ น,
2550.
233
หนงั สอื พมิ พ์ เสน้ ทางเศรษฐกจิ . เส้นทางเศรษฐกิจ ฉบบั พิเศษ คน
จีน 200 ปี ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร. กรุงเทพฯ: เสน้ ทาง
เศรษฐกจิ , 2526.
อดุลย์ รตั นมนั่ เกษม. กาเนิ ดและวิวฒั นาการของคนแต้จิว๋ อดีตถงึ
ปัจจบุ นั . กรงุ เทพฯ : ขนุ เขา, 2551.
อมรา พงศาพชิ ญ.์ ความหลากหลายทางวฒั นธรรม : กระบวนทศั น์
และบทบาทในประชาสงั คม. กรงุ เทพฯ:
จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2542.
เอมอร ชลพไิ ลพงศ.์ การสือ่ สารเพือ่ สืบทอดวฒั นธรรมของชาวจีน
ในเขตไชน่าทาวน์. วทิ ยานพิ นธน์ เิ ทศศาสตรม์ หาบณั ฑติ .
กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2545.
บทความ
คอนซ,์ เอด็ เวริ ด์ . พทุ ธศาสนา : สาระและพฒั นาการ. บา้ นและสวน.
แปลโดยนธิ ิ เอยี วศรวี งศ์. กรุงเทพฯ: บา้ นและสวน, 2530.
ถาวร สกิ ขโกศล. แต้จิว๋ : จีนกล่มุ น้อยทีย่ ิง่ ใหญ่. ศลิ ปวฒั นธรรม 29,
4 (ก.พ. 2551) 142-151.
. กากีน่ ัง้ . ศลิ ปวฒั นธรรม 29, 5 (ม.ี ค. 2551) 124-
131.
. เชง็ เม้ง : เทศกาลคารวะบพุ การี.
ศลิ ปวฒั นธรรม 28, 6 (เม.ย. 2550) 158-169.
234
. ตรษุ จีน ส่งท้ายปี เก่า ต้อนรบั ปี ใหม่.
ศลิ ปวฒั นธรรม 28, 4 (ก.พ. 2550) 76-98.
. เทศกาลไหว้พระจนั ทร:์ ความกลมเกลียวของ
ชาติ-ครอบครวั . ศลิ ปวฒั นธรรม 27, 12 (ต.ค.2549) 78-101.
. สารทขนมจ้าง เทศกาลรวมความหลากหลาย
ของวฒั นธรรมจีน. ศลิ ปวฒั นธรรม 28, 8 (ม.ิ ย. 2550) 150-169.
. สารทจีน : เทศกาลสาคญั ทีก่ าลงั ลบเลือน.
ศลิ ปวฒั นธรรม 27, 10 (ส.ค. 2549) 86-101.
. หยวนเซียว: เทศกาลปิ ดท้ายตรษุ จีน.
ศลิ ปวฒั นธรรม 28, 5 (ม.ี ค. 2550) 152-169.
พรพรรณ จนั ทโรนานนท.์ ชาวจีนในไทย. ศลิ ปวฒั นธรรม 29, 2 (ธ.ค.
2550) 158-169.
วลั ยว์ ภิ า บุรษุ รตั นพนั ธ,ุ์ ม.ล. เล้ียงลกู ให้เป็นจีน. จลุ สารไทยคดศี กึ ษา
10, 2 (พ.ย. 2536-ม.ค. 2537) 11-23.
สจู ิบตั รงานนิ ทรรศการสินค้าพ้ืนเมืองไทยในพระราชพิธีสมโภช
พระนครครบรอ้ ยปี พ.ศ. 2425. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 2. กรุงเทพฯ:
ต้นฉบบั , 2543.
เอกสารสมาคมใหหนาแห่งประเทศไทย. เจ้าแม่เจี้ยสนุ่ . ม.ป.ท., ม.ป.ป.
เอกสารสมาคมใหหนาแห่งประเทศไทย. เจ้าแม่ทบั ทิม. ม.ป.ท., ม.ป.ป.
235
เอกสารสมาคมใหหนาแหง่ ประเทศไทย. พี่น้อง 108. ม.ป.ท., ม.ป.ป.
Bret Hinsch. The Ultimate Guide to Chinese Tea. Bangkok:
White Lotus, 2008.
China Trade Return, 1882-1921; Chinese Customs Decennial
Reports.
Jung Chang. Wild Swans. London: HarperCollins, 1991.
賈珺著. 四合院. 清華大學出版社, 2006.
黄循鑫. 南国古风:海南民间舞蹈. 海南日报
报业集团南海网. 海口, 2007.