The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ประกายรุ้งแห่งมุกมังกร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by CU for Sustainability, 2020-08-16 08:47:22

ประกายรุ้งแห่งมุกมังกร

ประกายรุ้งแห่งมุกมังกร

ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์ 87

6) ดอกบวั (荷花) สญั ลกั ษณ์แทนเซียนเหอเซียนกู (ฮ้อ

เซยี นโกว 何仙姑)
ดอกบวั วเิ ศษของเหอเซยี นกู เป็นดอกบวั ท่ใี หญ่โตและ
งดงามกวา่ ดอกบวั โดยทวั ไป มคี วามหมายถงึ การบูชาสงิ่
ศกั ดสิ์ ทิ ธใิ์ ห้ช่วยคุ้มครองมนุษย์ปลอดภยั จากภยนั ตราย
ทงั้ ปวง
7) ขลุ่ย (笛) สญั ลกั ษณ์แทนเซยี นหนั เซยี งจ่อื (ฮงั่ เซียงจ้อื

韩湘子)

เสยี งของขลุ่ยวเิ ศษหนั เซียงจ่อื ไม่เพยี งแต่บรรเลงดว้ ย
ท่วงทานองอนั ไพเราะเสนาะหู แต่ยงั มอี านาจท่สี ามารถ
สะกดวญิ ญาณของผฟู้ งั ใหช้ ะงกั ไดท้ นั ที

8) แผน่ ป้ ายค่อู ินหยาง (阴阳板) สญั ลกั ษณ์แทนเซียน

เฉากวอ๋ จว้ิ (เชาก๊กกู๋ 曹国舅)
แผ่นป้ายคู่อินหยางป่านของเฉากว๋อจ้ิว เป็นแผ่นป้าย
วเิ ศษยามเข้าเฝ้าฮ่องเต้ มีพลงั อานาจแห่งธรรมชาติใน
การทาใหเ้ กดิ เสยี งดงั กกึ กอ้ ง

88 ภาคที่ 2: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์

3. เครือ่ งประดบั ขบวน

3.1 ธงมงั กร (龍旗) หลงฉี หรือ เหล็งกี่ มกั จะเป็นธงมงั กรรูป
สามเหลย่ี มขนาดใหญ่ ภายในมอี กั ษรอวยพรต่างๆ

3.2 ป้ ายอวยพร (廠牌) ชางไป่ หรอื ฉ่ายไบ๊ เป็นป้ายอวยพร
มกั จะเป็นผา้ ผนื ยาวปกั ลวดลายมงคล มวี ลอี วยพร หรือปกั พระนาม
ของเทพเจา้

3.3 การละเล่นต่างๆ เพอ่ื เป็นการฉลองการออกเยย่ี มเยยี นของเทพ
เจา้ หรอื อกี นัยหน่ึงคอื เป็นการอวยพรของเทพเจ้าให้กบั ราษฎร อาทิ
การเชดิ สงิ โต แห่มงั กร การระบาราฟ้อน การราถว้ ยของชาวจนี ไหหลา
ฯลฯ

4. เครอ่ื งอปุ โภค

เครอ่ื งใชข้ องเทพเจา้ ตา่ งๆ อาทิ

1.) กระเชา้ ดอกไม้

2.) ชุดน้าชาอาหาร โดยจะมกี ารนาชุดน้าชา และอาหารทงั้
คาว หวาน ผลไม้ จัดลงใส่หาบประกอบขบวน อาทิ ไก่ต้ม ปลา
ปลาหมกึ แหง้ ปู ซาลาเปา สม้ แสดงถงึ การสกั การบูชา ฯลฯ

ภาคที่ 2: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์ 89

บน: บว้ ยโบ้ อาวธุ วเิ ศษแปดเซยี น
ซา้ ย: ตงั กวยเตย่ี นซ่อื เบย๊ี ด

ขวา: การเชญิ เครอ่ื งสงู และอาวธุ วเิ ศษในขบวนแห่

(ขอบคุณภาพจาก คุณวทิ ยา ศรมี ว่ ง : WE LOVE PHICHAI)

90 ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์

5.เคร่ืองประกอบองคเ์ ทพเจ้า

5.1 กระถางธปู ถอื เป็นเสมอื นทส่ี ถติ แหง่ เทพเจา้ เพราะชาวจนี เชอ่ื วา่
กระถางธูปเป็นศูนย์รวมของความเป็นมงคลทงั้ ปวง เพราะมขี ้เี ถ้าท่ี
สะสมภายในกระถางถอื ตวั แทนของแรงศรทั ธาท่มี ตี ่อองค์เทพเจ้าท่ี
เคารพ

5.2 เกยี้ วเจา้ ภายในประดษิ ฐานองคเ์ ทพเจา้

ตามธรรมเนียมโดยทวั่ ไป เมอ่ื มบี ุคคลสาคญั ตงั้ ขบวนผา่ นหน้า
บ้าน ราษฎรก็มกั จะมีการต้อนรับด้วยการตงั้ โต๊ะสุรา อาหาร เป็น
สญั ลกั ษณ์ในการเช้อื เชิญและต้อนรบั การมาถึงของบุคคลสาคัญ
เชน่ เดยี วกบั ขบวนแห่ของเทพเจา้ กจ็ ะมกี ารตงั้ โตะ๊ บูชาดว้ ยเคร่อื งเซ่น
ไหว้ เพอ่ื แสดงถงึ การบูชาและสานกึ ในพระคณุ ของเทพเจา้ ทช่ี ว่ ยเหลอื
ปดั เปา่ ทุกขภ์ ยั

ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์ 91

พิธีกรรมก่อนและหลงั ขบวนแห่

ในการแห่เจา้ นนั้ มกั จะมพี ธิ กี ารบวงสรวงเทพเจา้ ก่อนออกแห่
ซง่ึ รายละเอยี ดปลกี ย่อยของชาวจนี แต่ละพน้ื ถนิ่ จะแตกต่างกนั ไป แต่
พธิ กี รรมของชาวจนี ไหหลา ศาลเจา้ แม่ทบั ทมิ พชิ ยั จะมกี ารบวงสรวง
สกั การะเจา้ แมท่ บั ทมิ ในเวลาเชา้ ตรู่ มกี ารถวายอาหาร จุดธูปเพ่อื เป็น
การบอกกล่าวองคเ์ จา้ แมท่ บั ทมิ จากนนั้ จะมีการเชือดไก่ เพอ่ื ใชเ้ ลอื ด
เบกิ เกย้ี ว ล้างมณฑลพธิ ี ขบั ไล่สงิ่ อปั มงคลก่อนนาองค์เทวรูปเจา้ แม่
เขา้ ประทบั ในเกย้ี ว โดยจะใชห้ งง่ึ เตยี๋ หรอื เงนิ กระดาษ รององคเ์ จา้ แม่
เพ่อื ไมใ่ หส้ มั ผสั กบั ฐานเกย้ี วโดยตรง

เหตุผลของการใช้หงึ่งเต๋ียในการรององค์เทวรูปคอื หง่งึ เตยี๋
ถอื เป็นกระดาษมงคล เป็นตวั แทนของเงนิ ทอง ความร่ารวย และอีก
นยั หน่งึ ชาวจนี เชอ่ื วา่ หง่งึ เตยี๋ คอื กระดาษทส่ี ะอาดท่สี ุดท่จี ะใชร้ องรบั
กบั เทวรูปเจา้ กระถางธูป หรอื แม้แต่การทาความสะอาดเคร่อื งมงคล
ศกั ดสิ ์ ทิ ธิอ์ ่นื ๆ กม็ กั จะใชห้ ง่งึ เตยี๋ เชด็ ทาความสะอาด ไม่ว่าจะในพธิ ี
กรรมการสรงน้าชาเจา้ ก่อนการเปลย่ี นเคร่อื งทรง กจ็ ะใชห้ งง่ึ เตยี๋ ชบุ น้า
ชา เชด็ ถูทอ่ี งคเ์ ทวรูป เพ่อื ทาความสะอาด เป็นตน้

ในระหวา่ งการเชญิ เจา้ ออกจากแทน่ ประทบั มายงั เกย้ี ว จะตอ้ ง
มกี ารตีผ่างตลอดเวลา หรอื แม้แต่ในการหามเก้ยี วไปยงั ท่ีต่างๆ ก็
จะตอ้ งตผี า่ งดว้ ยเชน่ กนั ซ่งึ เหตผุ ลของการตผี า่ งมีดว้ ยกนั 3 นยั คอื

92 ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์

1.การตผี ่าง เป็นการตีเพ่อื ขบั ไล่สิ่งอปั มงคลไม่ให้กร้ากราย อยู่ใกล้
บรเิ วณมณฑลพธิ ี หรอื เขา้ มาใกลอ้ งคเ์ ทวรูป

2.การตผี า่ ง คือสญั ลกั ษณ์แสดงการผ่านทางของเทพเจา้ แจ้งให้กบั
เทพยาดาฟ้าดนิ เจา้ ทเ่ี จา้ ทาง หรอื ประชาชนทราบ

3.การตผี า่ ง เป็นการตเี พ่อื ใหเ้ กดิ เสยี งดงั แสดงถงึ ความเป็นสริ มิ งคล
ความมชี อ่ื เสยี ง

ลาดบั ในการเชญิ เทพเจา้ ออกสู่ขบวนแห่ จะตอ้ งเชิญกระถาง
ธปู นาหน้าเกย้ี ว เพ่อื ให้ประชาชนจุดธูปสกั การะขอพร นาธูปมาปกั ท่ี
กระถาง ต่อจากนนั้ จะเป็นเก้ยี วท่ปี ระทบั เทวรูปของเทพองคป์ ระธาน
ของศาลเจ้า ตามด้วยเทพองค์รองลงมาตามฐานานุศกั ดิ์ ซ่ึงวธิ กี าร
สงั เกตง่ายๆคอื เทพองคใ์ ดอยู่ตรงกลางหอ้ งบูชาหรอื อ๊าม (龕) ของ
ศาล มกั จะเป็นเทพองคป์ ระธาน ซง่ึ เทพประธานของศาลเจา้ แม่ทบั ทมิ
พชิ ยั คอื เจา้ แม่ทบั ทมิ เทพเบอ้ื งซ้ายขององคป์ ระธาน (ซ่งึ คอื ขวามอื
ของผไู้ หว)้ คอื องคร์ องลาดบั สอง คอื เจา้ พ่อกวนอู และเทพเบ้อื งซ้าย
ขององคป์ ระธาน (ซ่งึ คอื ขวามอื ของผไู้ หว้) คอื องคร์ องลาดบั สาม คอื
เจ้าพ่อบ้วนเถ่ากง เพราะชาวจีนเช่อื ว่า ซ้ายสาคัญกว่าขวา ตาม
ศาสตร์ฮวงจุ้ย ซ้ายคือโชคชะตา เรากาหนดไม่ได้ แต่ขวาคือการ
กระทา เรากาหนดได้

ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์ 93

เมอ่ื ขบวนแห่เดนิ ทางกลบั มาถงึ ยงั ศาลเจ้า สงิ่ ทส่ี าคญั ท่สี ุดใน
ชว่ งเวลาดงั กลา่ วคอื การเชญิ เจา้ กลบั เขา้ ศาล โดยจะมเี คลด็ ความเชอ่ื
ในการเชญิ เจา้ กลบั เขา้ ศาลคอื การถอยหลงั ผา่ นกองไฟหน้าศาล

การถอยหลงั เข้าศาล จะทาโดย ให้ผหู้ ามเกย้ี วทงั้ หมดเดนิ
ถอยหลงั เขา้ ศาล ด้วยความระมดั ระวงั (จาเป็นตอ้ งมผี ู้ช่วยบอกทาง
ท้าย ป้ องกันการชนกัน) หามเกี้ยวถอยหลังข้ามกองไฟท่ีใช้
กระดาษหงง่ึ เตยี๋ เผาเป็นทางยาว ก่อนถงึ ประตดู า้ นในศาลเจา้ ซ่งึ เคลด็
ความเชอ่ื เร่อื งการถอยหลงั เข้าศาลหมายถงึ เทพเจ้าจะตอ้ งเฝ้ามอง
และปกปกั ษ์รกั ษาลูกหลานอยู่ตลอดเวลา การหนั หลงั เดนิ เขา้ ศาล ก็
เหมือนกับว่า เทพเจ้าหันหน้าหนีลูกหลาน ไม่เฝ้ามองลูกหลานอีก
แมแ้ ต่การเชญิ องค์เทวรูปออกจากเก้ยี ว เม่อื นาเทวรูปออกจากเก้ยี ว
แลว้ กย็ งั ตอ้ งใหผ้ ทู้ อ่ี มุ้ เทวรูปเดินถอยหลงั (จาเป็นต้องมคี นบอกทาง
ทา้ ยเพ่อื ป้องกนั การชนสงิ่ ของอ่นื ๆดว้ ย) เพ่อื นาองค์เจา้ ไปประทบั ยงั
แท่นบชู า ซ่งึ ระหวา่ งน้กี จ็ ะตอ้ งตผี า่ งตลอดเวลาเชน่ กนั

ส่วนการจุดกองไฟจากกระดาษหงึ่งเต๋ีย เคลด็ ความเชอ่ื น้ี
คอื การชาระลา้ งเกย้ี วและองคเ์ ทวรูป ทเ่ี ดนิ ทางไปขา้ งนอกศาล อาจจะ
พบเจอ เหยียบย่ากบั ส่ิงอปั มงคล จาเป็นต้องมกี ารเดนิ ผ่านกองไฟ
เพราะเช่อื ว่า ส่ิงอปั มงคลจะไม่สามารถผ่านกองไฟน้ีมาได้ อีกทงั้
กระดาษหงง่ึ เตยี๋ ยงั เป็นกระดาษท่สี ะอาดตามทไ่ี ดก้ ล่าวไปขา้ งบน ซ่งึ
พธิ กี รรมและเคลด็ ความเชอ่ื ต่างๆเหล่าน้ีจงึ เป็นเสมอื นเคร่อื งเตอื นใจ

94 ภาคที่ 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์

แก่ลูกหลานใหป้ ระกอบแต่คุณงามความดี การปฏบิ ตั ติ ามพธิ กี รรมและ
คตคิ วามเชอ่ื ของบรรพบุรุษใหค้ งอยู่ แมอ้ าจมกี ารปรบั ปรุงเพ่อื ให้เขา้
กบั ยคุ สมยั แต่จะไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลงทาใหส้ ญู หายไป เพอ่ื ท่จี ะทาให้
ลูกหลานของชาวจีนไหหลาเห็นเป็นตัวอย่าง และช่วยกันรักษา
รากเหงา้ แห่งประเพณี ท่จี ะยงั ให้ต้นไม้ใหญ่แห่งวฒั นธรรมของบรรพ
ชนคงอยตู่ ราบลูกสบื หลานตอ่ ไป

ประเพณีแห่เจ้าแมท่ บั ทิมพิชยั อดีต – ปัจจบุ นั

ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์ 95

เกยี้ วเจ้า ประดิษฐานเพ่อื เตรยี มเคล่ือนขบวน

96 ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์

โตะ๊ บูชาเจ้าแมท่ บั ทิมตามบา้ นเรอื น
ขณะขบวนแห่เจ้าแมท่ บั ทิมพิชยั เคลื่อนผา่ น

ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์ 97

พิธีบวงสรวงจโี ผ่ เซ่นไหวด้ วงวิญญาณบรรพชนชาวจีนไหหลา
กอ่ นพิธีทิ้งกระจาด ศาลเจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั

98 ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์

中國傳統
แก่นแท้ของเทศกาลและประเพณี

ของชาวจีนและชาวจีนไหหลา
เหมือนและต่างกนั อย่างไร

จากบทความ เร่ืองประเพณีในรอบปี ของจีน ในหนังสือที่
ระลึกประเพณีแห่เจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั ปี 2555 ครงั้ ท่แี ล้ว ได้มกี าร
กล่าวถงึ ประวตั แิ ละความเช่อื ของประเพณตี ่างๆ ไปแล้วนนั้ หนังสอื
เลม่ น้จี งึ ไม่ขอกล่าวซ้า แต่จะเป็นการย้าเตอื นและเปรยี บเทยี บใหเ้ หน็
ถงึ แก่นแทข้ องประเพณี และความเช่อื ของชาวจนี ไหหลา ท่ยี ดึ เพยี ง
แก่น ไมผ่ กู เอาธรรมเนยี มและตานานความเชอ่ื อ่นื ๆมาผสม นนั่ เพราะ
ชาวจนี ไหหลาเป็นคนจนี ท่อี ยู่บนเกาะ ไม่ใชช่ าวจนี กลุ่มอ่นื ท่อี ยู่บน

ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์ 99

แผน่ ดนิ ใหญ่ เทศกาลของชาวจนี ไหหลาจงึ ถอื วา่ มคี วามเรยี บง่ายและ
เข้าถึงแก่นอย่างแท้จรงิ ผ่านการอธบิ ายด้วยวนั เดอื น ในรอบปี ท่ี
สาคญั แตกต่างกนั

ประเพณีสาคญั ในรอบปี ของจนี

ประเพณีสาคญั ของชาวจีนแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
ประเพณใี นรอบชวี ติ มที งั้ หมด 5 ประเพณี (รบั ขวญั เดก็ การผา่ นช่วง
อายุหรอื ชกุ ฮวยอ๊งึ แต่งงาน แซยดิ และพิธกี งเต๊ก) และประเพณีใน
รอบปี มที งั้ หมด 8 ประเพณี ซ่งึ รอบปีของชาวจนี ประเพณดี งั้ เดมิ ทม่ี า
จากประเทศจนี นนั้ จะประกอบไปดว้ ย ประเพณีสาคญั 8 ประเพณี
ไดแ้ ก่

1 除夕 ฉูซี หรอื ประเพณตี รุษจนี 2 元宵 หยวนเซยี ว

3 清明 เชง็ เมง้ 4 立夏 ลเิ ซย่ี

5 端午 ตวนอู่ 6 中元 จงหยวน

7 中秋 จงชวิ 8 冬至 ตงจ่อื

ซ่งึ แต่ละประเพณีจะมกี ารกาหนดวนั ไว้ชดั เจนตามจนั ทรคติ
ซ่ึงเป็นปฏิทินท่ีชาวจีนใช้มาเป็นเวลานับพนั ปี โดยประเพณีต่างๆ
เท่ากบั เป็นการย้าเตอื นวนั เวลาทส่ี าคญั ของชาวจนี กล่าวคอื บา้ นไหน

100 ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์

ไม่มีปฏิทิน ก็ใช้วนั สาคญั เหล่าน้ีเป็นการเร่ิมต้นของฤดูได้เช่นกนั
เพราะ แตล่ ะประเพณจี ะใชว้ นั เรม่ิ ตน้ และวนั กง่ึ กลางของฤดูนนั้ ๆ

ตามจนั ทรคติเดอื นหน่งึ มี 29-30 วนั 1 ปี มี 12 เดอื น 354-355 วนั

ตามสรุ ิยคติเดอื นหน่งึ มี 30-31 วนั 1 ปี มี 12 เดอื น แบง่ เป็น 4 ฤดู
ฤดูหน่งึ มี 6 ปกั ษ์ 1 ปี มี 365-366 วนั

เน่อื งจากปีจนั ทรคตนิ ้อยกว่าปีสุรยิ คตอิ ยู่ 10 วนั ประมาณ 3
ปี ใสอ่ ธกิ มาสครงั้ หน่งึ (19 ปี มอี ธกิ มาส 7 ครงั้ ) ปีอธกิ มาสมี 13 เดอื น
เช่น ปี พ.ศ. 2555 น้ีจนี ใส่อธกิ มาสเดอื น 7 (มีเดอื น 7 สองหน) วธิ นี ้ี
ทาใหเ้ ดอื นกบั ฤดูไม่คลาดเคล่อื นกนั

ฤดกู าลของจนี แบ่งเป็น 4 ชว่ ง คอื ชนุ เซ่ยี ชวิ ตง

เดอื น 1 2 3 เป็นชว่ งชงุ 春 (ฤดใู บไมผ้ ล)ิ

เดอื น 4 5 6 เป็นชว่ งเซ่ยี 夏 (ฤดรู อ้ น)

เดอื น 7 8 9 เป็นชว่ งชวิ 秋 (ฤดูใบไมร้ ่วง)

เดอื น 10 11 12 เป็นชว่ งตง 冬 (ฤดหู นาว)

โดยเรม่ิ จากประเพณแี ละความสาคญั ตามวนั เวลา ของชาวจนี
ในชว่ งฤดูกาลต่างๆ ดงั น้ี

ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์ 101

1.ฉูซี กจ็ ะเป็นวนั แรกของฤดูใบไมผ้ ลิ

2.หยวนเซียวจะเป็นวนั ท่ีพระจนั ทร์เต็มดวงวนั แรกในฤดู
ใบไมผ้ ลิ

3.เชง็ เมง้ เป็นวนั กลางฤดใู บไมผ้ ลิ

4.ลิเซ่ียเป็นวนั เรม่ิ ตน้ ฤดรู อ้ น

5.ตวนอ่เู ป็นวนั กลางฤดรู อ้ น

6.จงหยวนเป็นวนั กง่ึ กลางปี เรม่ิ ตน้ ฤดใู บไมร้ ่วง

7.จงชิวเป็นวนั กลางฤดใู บไมร้ ว่ ง

8.ตงจอื่ เป็นวนั กลางฤดูหนาว

ในอดตี กาล วนั สาคญั ต่างๆเหล่าน้ีมไี วเ้ พ่อื อะไร คาตอบคอื
เป็นวนั ทแ่ี สดงออกถงึ ความเป็นสงั คมเกษตร ย้าเตอื นใหเ้ กษตรกรรวู้ นั
เวลา ซ่ึงการเกษตรท่ีสาคญั ของจนี โบราณคือการทานา มีกาหนด
แน่นอนตามฤดูกาล คอื "วสนั ต์ไถหว่าน คมิ หนั ต์เติบโต สารทเก็บ
เกย่ี ว เหมนั ตเ์ กบ็ เขา้ ยุ้งฉาง" (สารทหมายถงึ ฤดูใบไม้ร่วง ชว่ งกลาง
ปี)

102 ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์

แต่ละฤดู คนจีนไหว้อะไร

สงิ่ ทต่ี อ้ งทาความเขา้ ใจคอื คนจนี นนั้ โดยสว่ นใหญ่จะประกอบ
อาชพี เกษตรกรรม ซง่ึ เกษตรกรรมทท่ี ากนั มากทส่ี ุดคอื การทานา ซ่งึ
โดยทวั่ ไปขา้ วของจนี มี 3 ตระกลู ใหญ่ คอื

ตระกลู ขา้ วฟ่าง (สู่ และ จ้ี หรอื ซู่) ลกู เดอื ย ขา้ วโพด

ตระกลู ขา้ วสาลแี ละขา้ วบารเ์ ลย์ (ไม่)

ตระกูลขา้ วเจา้ ขา้ วเหนียว (เต้า) ตระกูลแรกใชเ้ วลาสนั้ เกบ็
เกย่ี วไดก้ อ่ น ตระกูลหลงั ใชเ้ วลายาว เกบ็ เกย่ี วไดท้ หี ลงั

ในคมั ภรี ก์ ่วนจ่อื วรรณกรรมสาคญั ยคุ จนั้ กวั ๋ บรรพชงิ จงั (การ
หนักเบา) กล่าวถึงการใช้ผลเก็บเก่ียวบูชาบรรพบุรุษและไหว้
พระจนั ทรไ์ วว้ า่

"นับจากปกั ษ์เซีย่ จ้อื (ครีษมายนั -ร้อนสุด) ไป 46 วนั ส้นิ ฤดู
คมิ หนั ตเ์ รมิ่ ฤดูสารท (คอื วนั ลชี่ วิ ) ขา้ วฟ่างสุก โอรสสวรรค์นาไปเซ่น
สรวงพระเทพบิดร (เทพบรรพชน) อนั ว่าขา้ วฟ่างเป็นขา้ วรสดีทีส่ ุด
พระเทพบดิ รนนั้ แลคอื บุคคลสาคญั ของประเทศ บรรพชนผมู้ คี ุณูปการ
อนั ยิง่ ใหญ่เป็นมหาเทพบิดร มีคุณูปการน้อยเป็นจุลเทพบิดร ไม่มี
คณุ ูปการใดๆ ไมน่ บั เป็นพระเทพบดิ ร บรรพชนผมู้ คี ุณูปการควรถวาย
ตาแหน่งในปราสาทเทพบดิ รแลรบั การเซ่นสรวง ผไู้ ม่มคี ุณูปการควร
ยนื ดูอยขู่ า้ งนอก บรรพชนควรบูชาเพราะผลงาน ไม่ใช่บูชาเพราะเป็น

ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์ 103

ญาติ โอรสสวรรคจ์ าแนกความดคี วามเลวแลว้ จงึ เซ่นสรวงบูชาผมู้ คี ุณ
งามความดี

นบั จากปกั ษเ์ ซยี่ จอ้ื (ครษี มายนั ) ไป 92 วนั เรยี กวา่ ปกั ษ์ชวิ จ้อื
(ชวิ เฟ็น-สารทวษิ ุวตั ) ปกั ษ์น้ีขา้ วกลา้ (ขา้ วเหนียว ขา้ วเจ้า) สุก โอรส
สวรรคน์ าไปไหวพ้ ระจนั ทร์ ตงั้ ปะราพธิ ปี า่ วประกาศแก่ราษฎรว่านีค่ อื
พธิ ไี หวพ้ ระจนั ทร์"

ตามวฒั นธรรมจนี ถอื ว่าบรรพชนสาคญั กว่าเทวดา ตอ้ งไหว้
ก่อน ฉะนนั้ จงึ ใชข้ า้ วฟ่างซง่ึ สุกก่อนและเป็นขา้ วรสดี (ได้รบั ยกย่องวา่
เป็น "ราชาแห่งธญั ชาติ") บูชาพระเทพบิดรก่อนในปกั ษ์ล่ีชิว ซึ่ง
ประเพณีนี้เป็นท่ีมาของเทศกาลสารทจีน ส่วนขา้ วเหนียว ขา้ วเจา้
สกุ ทหี ลงั ใชไ้ หวพ้ ระจนั ทรซ์ ง่ึ เป็นเทพประจาธรรมชาตอิ งคห์ น่งึ

คนจนี โบราณเคารพธรรมชาตมิ าก โอรสสวรรคถ์ อื ว่าฟ้าเป็น
พ่อ ดนิ เป็นแม่ พระอาทติ ยเ์ ป็นพช่ี าย พระจนั ทร์เป็นพ่สี าว มพี ธิ เี ซ่น
สรวงธรรมชาตปิ ระจาฤดูทงั้ ส่ี คอื ฤดูใบไม้ผลิบูชาพระอาทิตย์ ฤดู
ใบไม้ร่วงบูชาพระจนั ทร์ ฤดูร้อนบูชาพระธรณี (ดนิ ) ฤดูหนาวบูชา
สวรรค์ (ฟ้ า) ในคมั ภีร์หล่จี ้ี (คมั ภีร์วฒั นธรรมประเพณี วรรณกรรม
ยุคจนั้ กวั ๋ ) ตอนหน่งึ กล่าวว่า "โอรสสวรรคเ์ ซ่นสรวงพระอาทติ ย์ในฤดู
ใบไมผ้ ลิ เซ่นสรวงพระจนั ทรใ์ นฤดใู บไมร้ ว่ ง เซ่นสรวงพระอาทติ ยต์ อน
กลางวนั เซ่นสรวงพระจนั ทรต์ อนกลางคนื "

104 ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์

การเซ่นไหวบ้ รรพชนและเทพเจา้ ของชาวจนี ถอื เป็นประเพณี
ทเ่ี ก่าแกท่ ส่ี ดุ ในประวตั ศิ าสตร์ เพราะถอื กาเนิดขน้ึ ก่อนลทั ธคิ วามเช่อื
และศาสนาทงั้ หลาย ทาใหก้ ารบูชาบรรพบุรุษ เป็นสงิ่ ทห่ี ยงั่ รากลกึ ลง
ในจติ ใจและวถิ ชี วี ติ ของชาวจนี จนไม่สามารถแยกออกจากกนั ได้ ซง่ึ ใน
อดตี การเซ่นไหวบ้ ชู าบรรพบรุ ษุ และเทพเจา้ นนั้ มกั จะมกี ารบูชาด้วย
สตั ว์ คลา้ ยการบชู ายญั คอื เป็นการบชู าดว้ ยหวั ของสตั วใ์ หญ่ หรอื บูชา
ด้วยสตั ว์ทงั้ ตัวท่พี ่ึงฆ่า โดยจะใช้ ววั หมูและแพะ ข้นึ อยู่กับความ
ศรทั ธาและกาลงั ปจั จยั ตอ่ มากม็ กี ารปรบั เปลย่ี น เพมิ่ เตมิ เป็นอาหารท่ี
ปรงุ เสรจ็ เพอ่ื ใหผ้ ไู้ หวส้ ามารถนามารบั ประทานไดท้ นั ที เป็นตน้

ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์ 105

ประเพณีจีนของชาวจนี อพยพ

เม่ือชาวจีนอพยพมายังประเทศไทย ขนมประเพณีต่างๆ
เหล่าน้ีกไ็ ม่ไดเ้ ลอื นหาย ยงั คงยดึ ถอื ปฏบิ ตั สิ บื ต่อกนั มา เพราะแต่ละ
ประเพณีทาให้ชาวจีนย้าเตือนถงึ รากเหง้าของตน แต่ละประเพณีมี
ประวตั ิความเป็นมาท่ยี าวนาน มคี ุณค่าทางประวตั ศิ าสตร์ ตลอดจน
ผนวกเอาประเพณีการบูชาบรรพบุรุษทเ่ี ป็นประเพณเี ก่าแก่ท่ีสุดของ
ชาวจนี เขา้ ไวด้ ว้ ย เปรยี บเสมอื น เคร่อื งมอื ท่ใี ชค้ อยย้าเตอื นวนั เวลา
ไม่ให้ลืมตน ลืมรากเหง้า และแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ
ธรรมชาติ และสรา้ งวนิ ยั ใหก้ บั ตนเอง

การประกอบพธิ กี รรมต่างๆในแต่ละประเพณมี คี วามแตกต่าง
กนั ทงั้ ในส่วนของ ชว่ งเวลา สง่ิ ทใ่ี ชใ้ นการประกอบพธิ ี การละเล่น หรอื
แม่แตพ่ น้ื ทข่ี องชาตพิ นั ธุ์ ตลอดจนความเขม้ ขน้ และการใหค้ วามสาคญั
ของประเพณตี ่างๆ เพราะการประกอบพธิ กี รรมในประเพณีนอกจาก
จะสร้าง “กาลงั ใจ” แล้ว ยงั นามาซ่ึง “ความมนั่ ใจ” ในการประกอบ
อาชพี อกี ดว้ ย

ประเพณีจีนทัง้ 8 นัน้ มีเข้ามาในประเทศไทยทัง้ หมด 7
ประเพณี โดยบางตารามกี ารกล่าวถงึ “เทศกาลกินเจ” ผนวกเขา้ ไว้
ดว้ ย ซง่ึ หากพจิ ารณาตามหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์นนั้ เทศกาลกนิ
เจ เดมิ ทเี ป็นเทศกาลกินผกั ของชาวจีนฮกเก้ยี นในแถบภาคใต้ของ
ประเทศไทยเพยี งเทา่ นนั้ ไมไ่ ดป้ รากฏบนั ทกึ การกนิ เจของชาวจนี กลมุ่

106 ภาคที่ 2: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์

อ่นื แต่อย่างใด เพียงแต่ในช่วงหลงั ๆ การประชาสมั พนั ธ์ประเพณี
ดงั กลา่ วเผยแพร่ไปทวั่ ชาวจนี กลมุ่ อ่นื จงึ ใหค้ วามสนใจมากขน้ึ (เพราะ
ในทางปฏบิ ตั ิแล้ว สานกั สงฆ์ฝา่ ยจนี และอนัมนิกาย ก็ฉันภัตตาหาร
เป็นภตั ตาหารเจอยู่แล้ว ไม่น่าจะมสี ่วนในประเพณีหลกั ของชาวจีน
กลมุ่ อ่นื แต่อย่างใด) ซ่งึ ทงั้ 7 ประเพณีต่างกเ็ ป็นประเพณรี ่วมของชาว
จีนทุกกลุ่มเช้อื ชาติในสังคมไทย ในท่ีน้ีจึงจะขอกล่าวถึงเพียง 7
ประเพณี

1 ในประเพณที งั้ 7 นนั้ ประเพณีไหวพ้ ระจนั ทร์ เป็นประเพณี
ทช่ี าวจนี ไหหลาไม่ไดม้ กี ารประกอบพธิ กี รรมไหวด้ วงจนั ทร์ แต่มกี าร
เซ่นไหวเ้ ทพเจา้ และบรรพบุรุษ ในฐานะทเี ป็นวนั สาคญั ในทางปฏทิ นิ
จนี กลา่ วคอื เป็นวนั กลางฤดใู บไมร้ ่วง ทช่ี าวจนี จะแสดงความกตญั ญู
ตอ่ เทพเจา้ และบรรพบรุ ุษในการเกบ็ เกย่ี วผลผลติ ทผ่ี า่ นมา

ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์ 107

ประเพณีของชาวจนี ไหหลา

วนั เดือน ฤดู ในการสร้างสญั ญะแห่งการรบั รู้

ประเพณีสาคญั กบั วถิ ีชวี ติ ของคนจีนไหหลาเป็นอย่างมาก
หากย้อนไปในอดตี จะพบว่า ปฏทิ นิ จนี นนั้ จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ
เรยี กวา่

1.ปฏิทินหลวง มีไว้สาหรับกษัตริย์และราชสานักในกา ร
ประกอบพธิ กี รรมต่างๆ ใชด้ วงอาทติ ยเ์ ป็นเกณฑใ์ นการนบั วนั เดอื น
หน่งึ มี 30-31 วนั 1 ปี มี 12 เดอื น 365-366 วนั

2.ปฏทิ นิ ชาวนา มไี วส้ าหรบั การทาเกษตรกรรมของชาวบ้าน
และใช้ในการประกอบพธิ ีกรรมต่างๆ ใชด้ วงจนั ทร์เป็นเกณฑ์ในการ
นบั วนั เดอื นหน่งึ มี 29-30 วนั 1 ปี มี 12 เดอื น 354-355 วนั

ความแตกต่างท่ีเห็นได้ชดั คือ ปฏิทินหลวงใช้ดวงอาทิตย์
ดงั นนั้ วนั ในปฏทิ นิ หลวงจงึ ไม่ตรงกบั วนั ของปฏทิ นิ ชาวนา (วนั ไหนไม่
มดี วงจนั ทรข์ น้ึ วนั นนั้ กไ็ มน่ บั )

ความคลาดเคลื่อนจึงเกิดขึ้น แล้วชาวจีนทาอย่างไรให้
วนั เท่ากนั คาตอบคือ การเพมิ่ เดอื นเขา้ ไปในบางปี โดยกาหนดให้ 4
ปี จะมกี ารทดเดอื นเขา้ ไปเพม่ิ อกี 1 เดอื น เรยี กว่าเดอื นซ้า ซ่งึ หาก
เป็นคนไทยจะซ้าทเ่ี ดอื น 8 แต่คนจนี จะเลอื กเดอื นซ้าตามตาแหน่งของ

108 ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์

ดวงดาว โดยทุกๆ 4 ปีไม่ไดม้ กี ารกาหนดให้ซ้าท่เี ดอื น 8 แบบไทย
แบบถาวร

คนจีนจะยดึ ปฏทิ นิ ชาวนาเป็นหลกั เพราะเป็นปฏทิ ินเกษตร
บอกวนั เดอื นปีท่มี คี วามเก่ยี วขอ้ งกบั น้าขน้ึ น้าลง สภาพภูมิอากาศ
โดยความหมายของแต่ละเทศกาลกบ็ ่งบอกถงึ หน้าทค่ี วามรบั ผดิ ชอบ
ของชาวนาด้วยเชน่ กนั ซึ่งหากจะอธิบายแบบสนั้ ๆ โดยไม่ผนวก
เอาตานานความเช่ือมาไว้ในเทศกาล แก่นแท้และความสาคญั
ของเทศกาลต่างๆ จึงมีดงั นี้

1.ตรษุ จีน เป็นชว่ งเรม่ิ ตน้ ของฤดูใบไมผ้ ลิ หมายความวา่ ชาว
จนี ตอ้ งนาผลผลติ ทเ่ี กบ็ ไวใ้ นชว่ งหน้าหนาวมาตรวจเชค็ ความสมบูรณ์
บางบ้านนามากองรวมกนั ท่ีเรียกว่า องั่ เปา เพราะคาว่า องั่ เปา
หมายถงึ ห่อแดง วนั น้ีจะหอบผลผลติ ทงั้ หมดมากองรวมกนั ท่บี ้านพ่อ
แม่ เพ่อื ดวู า่ มผี ลผลติ อะไรบา้ งท่เี กบ็ ไว้ เมลด็ ธญั พชื ต่างๆมเี หลอื อยู่
กนั คนละเทา่ ไหร่ ออกมาแบง่ สนั ปนั ส่วน เพอ่ื ใชใ้ นการหวา่ นเพาะปลูก
ในปีน้ี องั่ เปาจงึ พฒั นามาเป็นเงนิ องั่ เปาทใ่ี หใ้ นเทศกาลตรุษจนี นนั่ เอง
และเม่ือนาของมากองรวมกัน ก็ไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ เพ่ือ
ขอบคุณทท่ี า่ นปกปกั ษร์ กั ษาและคุ้มครองทาใหไ้ ดผ้ ลผลติ เป็นจานวน
มากน้อย ตามความพงึ พอใจ

2.ง่วนเตียว หรอื หยวนเซียว เป็นวนั เพญ็ (15 ค่า) วนั แรก
ของฤดูใบไม้ผลิ บางกลุ่มเรยี กวา่ วนั เทศกาลชาวนา ส่วนราชสานัก

ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์ 109

เรียกว่าวันเทศกาลโคมไฟ ชาวจีนนาเอาผลิตท่ีเก็บไว้และ
แบ่งสนั ปนั ส่วนกนั เรยี บร้อยแล้ว มาบูชาเพ่ือขอพรต่อเทพเจ้าและ
บรรพบุรษุ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ วนั น้ถี อื เป็นวนั คลา้ ยวนั สมภพของเทพ
เจา้ บว้ นเถา่ กง หรอื ปนุ เถา่ กง เป็นกุศโลบายของบรรพชนทส่ี รา้ งไวใ้ ห้
ลกู หลานไดร้ บั รวู้ า่ วนั น้สี าคญั อยา่ งไร เพราะคาวา่ บว้ น หรอื ปนุ หรอื
ป่ึงในสาเนียงภาษาจีนกลาง แปลว่า ต้นทุน การบูชาเทพเจ้าแห่ง
ตน้ ทุนในวนั เรมิ่ การทากสกิ รรม ถอื เป็นเร่อื งมงคลของชาวจนี ถอื เป็น
การสรา้ งขวญั และกาลงั ใจอย่างแยบคายของภูมปิ ญั ญาแห่งบรรพชนท่ี
สรา้ งไวเ้ พอ่ื ลูกหลานอย่างแทจ้ รงิ

3.เชง็ เม้ง หรอื วนั ชงิ หมงิ วนั ทฟ่ี ้าสดใส เป็นวนั กลางฤดูใบไม้
ผลิ ชาวจนี จะออกไปท่องเท่ยี วตามท่ตี ่างๆ ทงั้ น้ียงั ไปท่สี ุสานของ
บรรพชนเพอ่ื ทาความสะอาดและบอกกล่าวแก่บรรพชนถงึ การเรม่ิ ต้น
ทาการเกษตรอย่างจรงิ จงั วนั น้เี ป็นวนั ทย่ี ้าเตอื นหนุ่มสาววา่ หมดเวลา
เท่ยี วเล่นแลว้ กลบั มาทางานได้แล้ว ทุกคนต้องเตรยี มพร้อมสาหรบั
การไถหน้าดนิ เปิดร่องสวนไรน่ า เพอ่ื ทากสกิ รรมแลว้

4.ตวนอู่ หรอื วนั ไหวบ้ ๊ะจ่าง วนั กลางฤดูรอ้ น เป็นวนั ทช่ี าวจนี
เชอ่ื วา่ เป็นวนั ทม่ี พี ษิ รา้ ยทส่ี ดุ ในรอบปี เพราะเป็นวนั ครษี มายนั หรอื
วนั ท่ี กลางวนั ร้อนท่สี ุด กลางวนั ยาวนานท่สี ุดในรอบปี วนั น้ีจงึ เป็น
ว ัน ท่ีทุ ก บ้ า น จ ะ ต้ อ ง พ ก ถุ ง ส มุ น ไ พ ร ไ ว้กับ ตัว เ พ่ื อ ไ ล่ แ ม ล ง ห รื อ
สตั วเ์ ลอ้ื ยคลานต่างๆ ด่มื น้าชาสมุนไพร เดก็ ๆจะถูกบงั คบั ให้กนิ ขนม
จ่างรสหวานทผ่ี สมสมุนไพร เพ่อื ป้องกนั โรคภยั

110 ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์

5.ตงง้วน หรอื จงหยวน หรอื รู้จกั กนั ในช่อื สารทจนี ซ่งึ เป็น
วนั กง่ึ กลางปีพอดี วนั น้ี เป็นวนั ทไ่ี ด้ผลผลติ ตระกูลขา้ วฟ่าง (สู่ และ จ้ี
หรอื ซู่) ลกู เดอื ย ขา้ วโพด และพชื ไร่ต่างๆ ผลผลติ กลุ่มน้ีถอื เป็นของ
สาคญั กลุ่มแรกและกลุ่มท่ี 2 จาก 3 กลุ่มของชาวจนี ชาวจนี จงึ มกี าร
บชู าเทพยดาแห่งพน้ื ดนิ และบูชาบรรพบุรุษเพ่อื ขอบคุณท่ใี ห้ผลผลติ
ในรอบแรก หากใครมีเยอะก็แจกจ่ายแบ่งปนั เผ่ือแผ่ไปยงั บรรดา
สมั พเวสเี ร่ร่อน และหมูคนยากไร้ เกดิ เป็นประเพณีท้งิ กระจาดด้วย
เชน่ กนั

6.ตงชิว หรอื จงชวิ หรอื รจู้ กั กนั ในชอ่ื เทศกาลไหวพ้ ระจนั ทร์

วนั น้ีเป็นวนั กลางฤดูใบไม้ร่วง เป็นวันท่ีได้ผลผลิตกลุ่มท่ีใช้ระยะ
เวลานานท่ีสุด นัน่ คือ ผลผลิตตระกูลข้าวเจ้า ข้าวเหนียว (เต้า)
ผลผลติ ตระกูลน้มี คี วามสาคญั เป็นอยา่ งมาก เพราะถอื เป็นอาหารหลกั
ของชาวจนี อกี ทงั้ เป็นวนั กลางฤดใู บไมร้ ว่ ง ชาวจนี จะใชว้ ธิ กี ารนาของ
ต่างๆเหลา่ น้มี าแปรรปู เป็นการถนอมอาหารเกบ็ ไว้ เชน่ นาไปทาขนม
อบประเภทปิ่ง มไี สธ้ ญั พชื อยู่ดา้ นใน โดยทด่ี า้ นนอกกรอบ ดา้ นในยงั มี
ความนุ่ม เพ่อื ถนอมอาหารไมใ่ หข้ น้ึ รา หรอื ทป่ี จั จบุ นั เรยี กวา่ ขนมไหว้
พระจนั ทรน์ นั่ เอง เดมิ ทขี นมไหวพ้ ระจนั ทรจ์ ะกรอบนอกนุ่มใน เพราะมี
การใส่น้าด่าง (น้าท่ไี ด้จากน้าผสมขเ้ี ถ้านอนก้น) ซ่ึงเป็นการถนอม
อาหารแบบภูมปิ ญั ญาของชาวจนี แทนสารกนั บูด ต่างจากขนมไหว้
พระจนั ทร์ในปจั จุบนั ทป่ี รบเปล่ยี นรูปลกั ษณ์ไปตามตลาด เกบ็ ได้ไม่
นาน นอกจากน้ียงั มกี ารทาขนมโก๋ ซ่ึงขนมชนิดน้ี คือหวั เช้อื ในการ

ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์ 111

หมกั เหล้า ซ่ึงเหล้าจะมคี วามสาคญั กบั ชาวจนี เป็นอย่างมาก เพราะ
ชว่ ยทาให้ร่างกายอบอุ่นในฤดูหนาว ถอื เป็นกุศโลบายในการทาขนม
ไหวเ้ ทพเจ้า ท่จี ะเป็นประโยชน์กบั ชาวจนี ในช่วงฤดูหนาวอย่างชาญ
ฉลาด

7.ตงจ่ือ หรอื เทศกาลไหวข้ นมบวั ลอย เป็นวนั เหมายนั หรอื
วนั ทก่ี ลางวนั สนั้ ทส่ี ุด กลางคนื ยาวนานท่สี ุด วนั น้ีถอื เป็นอกี วนั หน่ึงท่ี
ชาวจนี ใหค้ วามสาคญั เพราะร่างกายจะตอ้ งหนาวเหน็บกวา่ ทเ่ี คย จงึ
เกิดเป็นช่วงเวลาท่ใี หท้ ุกคนในครอบครวั ปนั้ ขนมบวั ลอย เพ่อื เพิ่ม
พลงั งานใหก้ บั ร่างกาย ทุกคนในบา้ นจะตอ้ งกนิ ขนมบวั ลอย เพ่อื สรา้ ง
พลงั และป้องกนั การเจบ็ ปว่ ยของเดก็ ๆ อกี ทงั้ ชาวจนี ยงั ถอื เอาวนั น้ีไป
เกบ็ กวาดสุสานของบรรพชนเพอ่ื เตรยี มตวั เขา้ สปู่ ีต่อไปอกี ดว้ ย

ทุกๆ วนั สาคญั จงึ ไม่ใช่เพยี งแค่การเซ่นไหว้ ทุกๆ เทศกาล
จงึ ไม่ใช่เพยี งแค่การผูกตานานเขา้ มาเก่ยี วโยง หากพจิ ารณาถงึ แก่น
สาระและความสาคญั ของประเพณีในรอบปี จะเหน็ ได้ว่า ทุกวันมี
ความหมายทงั้ หมด และความหมายทงั้ หมดเก่ยี วขอ้ งกบั ความเป็น
ความตาย ทุพภิกขภยั (ความอดอยาก) และการเตรยี มตวั ก้าวผ่าน
ชว่ งเวลาตา่ งๆ ในรอบปี ดว้ ยภูมปิ ญั ญาแห่งบรรพชนชาวไหหลาท่สี งั่
สมมาเป็นเวลาหลายรอ้ ยหลายพนั ปี ด้วยความสมถะ และ เรยี บงา่ ย
อย่างมแี บบแผน

112 ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์

การเซ่นไหวบ้ รรพบรุ ษุ ในช่วงเทศกาลตรษุ จีนของชาวจนี ไหหลา
(จดุ สงั เกต มกี ารตงั้ อา่ งลา้ งมอื และผา้ เชด็ หน้า
เพ่อื อานวยความสะดวกแกบ่ รรพชน)

ภาคท่ี 2: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์ 113

การเซ่นไหว้เทพเจ้าช่วงเทศกาลง่วงเตียว ศาลเจา้ แม่ทบั ทิมพิชยั
(วนั คล้ายวนั สมภพเจา้ พอ่ บ้วนเถา่ กง)

114 ภาคที่ 2: ภมู ปิ ญั ญาแห่งสงั คมศาสตร์

การเซ่นไหวเ้ ทพเจา้ ในช่วงเทศกาลตวนอู่ ศาลเจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั

ตี้โกว หรือการไหว้ผไี ม่มญี าติและการทิ้งทาน (ช่วงพลบคา่ )
ในช่วงเทศกาลสารทจีน ศาลเจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั

ภาคท่ี 2: ภูมปิ ญั ญาแหง่ สงั คมศาสตร์ 115

การเซ่นไหวเ้ ทพเจ้าในช่วงเทศกาลตงชิว ศาลเจา้ แมท่ บั ทิมพิชยั

ภาคท่ี 4

ภมู ิปัญญาแห่ง ศาสนศาสตร์

ภาคที่ 4: ภูมปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์ 117

เทพเจา้ ของชาวจีนไหหลา

118 ภาคที่ 4: ภมู ปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์

水尾聖娘

เจา้ แม่ทบั ทิม:
เทพยดุ าแห่งสายน้า

เจ้าแม่ทบั ทมิ พชิ ยั หรือ เจ้าแม่ตุ๊ยบ้วย 水尾聖娘 เทพ
องคป์ ระธานของศาลเจา้ แม่ทบั ทมิ พชิ ยั เทพยุดาผบู้ นั ดาลความสาเรจ็
ให้กบั ชาวเมืองพชิ ยั และชาวเมอื งใกล้เคียง มาตลอดระยะเวลากว่า
144 ปี (พ.ศ.2558) ความศกั ดสิ ์ ทิ ธิข์ ององค์เจ้าแม่ทบั ทมิ พชิ ยั เป็นท่ี
เล่ืองลือ สร้างแรงศรัทธาให้กับลูกหลาน เห็นได้จากการจัดงาน
ประจาปี ลูกหลานชาวเมืองพิชยั ทงั้ ท่พี านักอยู่ท่ีอาเภอพิชยั และ
ลกู หลานทแ่ี ยกยา้ ยถน่ิ ฐานต่างกก็ ลบั มาสนองพระคุณเจ้าแม่ด้วยการ
จดั งานอยา่ งยงิ่ ใหญ่ในทุกครงั้

ภาคท่ี 4: ภูมปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์ 119

ตานานเจา้ แม่ทบั ทิม ตุ๊ยบ้วยเต๋งเหน่ียง

สมยั ราชวงศ์หมิง ศกั ราชเจ้งิ เต๋อ 明正德 (ค.ศ.1506-
1521) ทเ่ี มอื งตงเจยี ว 东郊 ใกล้ท่าเทยี บเรอื ชงิ หลนั กงั่ 清澜港
มชี าวประมงแซ่พาน 潘 (แซ่พวั ในสาเนียงภาษาจนี ไหหลา) ได้ออก
เรอื ไปจบั ปลา วนั หน่ึงขณะทก่ี าลงั ลากแหอยู่นนั้ กร็ ู้ลกึ ถึงความหนัก
ของแหอวน จึงดใี จว่าคงจะได้ปลาจานวนมากในคราวน้ี แต่ครนั้ ดงึ
ขน้ึ มาบนเรอื กพ็ บเพยี งทอ่ นไมท้ ่อนหน่ึง จงึ เหวย่ี งท่อนไมก้ ลบั ลงไป
ในน้า เม่อื ทาการลากแหอกี ครงั้ ปรากฏว่าท่อนไม้นัน้ ก็ตดิ แหอวน
ขน้ึ มาอกี ชาวประมงแซ่พาน กจ็ งึ อธษิ ฐานวา่ หากช่วยให้เขาจบั ปลา
ได้มาก เขากจ็ ะนาท่อนไม้น้ี กลบั ไปแกะสลกั เป็นเทพเอาไวบ้ ูชา ซ่ึง
เขากไ็ ดต้ ามประสงค์

ชาวประมงกลบั ถงึ บ้าน เอาท่อนไม้วางไวก้ ลางแจง้ ตากแดด
ตากฝน ไมท่ นั ไดเ้ อาไปแกะสลกั ตามท่บี นเอาไว้ เพราะวนั ๆ กเ็ อาแต่
ทามาหากนิ ตอ่ มาท่อนไมน้ นั้ ถูกยา้ ยไปย้ายมา จนไปวางอยู่หน้าเล้า
หมู เป็นเหตใุ ห้หมูตายอย่างไม่มสี าเหตุ รวมทงั้ คนทบ่ี งั เอญิ ไปลบหลู่
ท่อนไม้นนั้ โดยไม่ตงั้ ใจ กม็ ีอนั ไม่สบาย ทาให้ชาวประมงแซ่พานนึก
ขน้ึ มาได้ วา่ คงเป็นเพราะสงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธอิ์ ย่างแน่แท้ เลยรบี จุดธูปขอขมา
พลนั กม็ สี งิ่ อศั จรรย์เกดิ ข้นึ คอื ทุกวนั ยามตะวนั โพล้เพล้ บนต้นลาไย

120 ภาคท่ี 4: ภูมปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์

หน้าบา้ นชาวประมงแซ่พาน3 จะปรากฏสตรหี น้าตาอม่ิ บุญเป่ียมด้วย
เมตตาประทับอยู่บนต้นไม้ ชาวบ้านรู้เข้าก็เลยร่วมด้วยช่ว ยกัน
จดั สรา้ งเป็นรูปเทพยุดาสตรี ส่วนสถานท่ตี งั้ ของศาลเจ้า เดก็ ประทบั
ทรง (乩童 จถ้ี ง) วง่ิ ไปชจ้ี ุดตรงหมบู่ า้ นชายน้าชอ่ื “โพเหวย่ ชนุ ” 坡
尾村 ไกลออกไปหลายล้ี ชาวบา้ นเลยขนานนามองค์เทพวา่ พระแม่
ชายน้า (พระแม่ปลายน้า) สุยเหวย่ เสง้ิ เหนียง 水尾聖娘 สาเนียง
ไหหลาจะออกเสียงเป็น “ตุ้ยบ๋วยเต่งเหน่ียง” (ตุ๊ย 水 แปลว่าน้า /
บ้วย 尾 แปลว่า ชาย, หาง, ปลายหรือท้าย /เต๋งเหน่ียง 聖娘
แปลวา่ เจ้าแม่) เม่อื ไดท้ าเลถูกต้องตามหลกั ฮวงจุ้ยแลว้ ชาวบ้านจงึ
ร่วมมอื รว่ มใจกนั สรา้ งศาลเจา้ ทม่ี ลี กั ษณะเป็นอาคารสามตอนเสรจ็ ส้นิ
ในระยะเวลาเพียง 1 เดือน ซ่ึงตรงกบั วนั เพ็ญเดือนสิ บ ตาม
จนั ทรคติแบบจีน ตัง้ แต่นัน้ จึงกาหนดวนั เพญ็ เดือนสิบเป็ นวนั
สมโภชเจ้าแม่ทบั ทิมจนกระทงั่ ปัจจุบนั (ตรงกบั วนั ลอยกระทง
ของไทย 15 คา่ เดือน 12) โดยทวั่ ไปมกั จะเรยี กว่าโผวโต่ว (婆祖)
ในสาเนยี งไหหลาแปลว่า คุณย่าทวด ซ่งึ เป็นการแสดงถงึ ศรทั ธาของ
ความใกลช้ ดิ ระหวา่ งชาวไหหลากบั องคเ์ จา้ แม่

ต่อมาในสมยั ราชวงศช์ งิ รชั สมยั พระเจ้าเจยี ชง่ิ (ค.ศ. 1760-
1820) (พระราชโอรสของพระเจ้าเฉียนหลง) มีขนุ นางจนี ไหหลาช่อื

3 ตานานฝงั ่ ไหหลากลา่ วว่า เจา้ แมป่ รากฏกายเหนือตน้ ลาไย สว่ นตานานมขุ ปาฐะของชาวจนี
ไหหลาในไทยกลา่ ววา่ เจา้ แมป่ รากฏในฝนั ของชาวประมงแซพ่ าน

ภาคที่ 4: ภูมปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์ 121

จาง เยย่ี เซยี ง (張岳像) ไดก้ ราบบงั คมทลู เรอ่ื งราวความศกั ดสิ์ ทิ ธิ ์
ของเจา้ แมท่ บั ทมิ ใหฮ้ ่องเตท้ ราบ ฮ่องเตจ้ งึ ถวายพระนามเจา้ แมว่ า่

“南天閃電感應火雷水尾聖娘”

“หน่าเทยี นเอ้ยี มเด้ยี มก้าเอ๋งห้วยหลุย ตุ๊ยบว้ ยเต๋งเหน่ียง" มี
ความหมายวา่ สายฟ้าสนองตอบเสยี งฟ้าฝา่ ยใต้ เจา้ แมต่ ยุ๊ บว้ ย

เม่อื ชาวจนี ไหหลาอพยพถนิ่ ฐานมาเมอื งไทย กน็ าความเช่อื
เร่อื งพระแม่ชายน้ามาสร้างศาลเจา้ ในเมอื งไทยเพ่อื ให้เป็นศนู ย์รวม
จติ ใจของชาวจนี ในพน้ื ทน่ี นั้ ๆดว้ ย

122 ภาคที่ 4: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์

เทพบริวารของเจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั

เทพบรวิ ารของเจ้าแม่ทบั ทิม (ตุ๊ยบ้วยเต๋งเหน่ียง) เดมิ ทีนัน้
จะต้องมีเทพบรวิ ารเป็นคุณข้าหลวงและนางใน จานวนทงั้ หมด 4
พระองค์ แต่ศาลเจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั นัน้ ปรากฏเทพบริวารเพียง
ท่านผหู้ ญิง 2 พระองคแ์ รก คอื

องคท์ ี่ 1. 左殿夫人陳七娘

โต้เดีย้ น ผเู่ ย่ียน ด่าน เซท็ เหน่ียง

หรือท่านผู้หญิงสกุลเฉิน (ด่าน 陳/陈-ในสาเนียง
ภาษาจนี ไหหลา) เป็นนางในถอื ตราตงั้ อาญาสทิ ธิ ์ (ลงิ่ -令)
แสดงถึงอานาจในการสัง่ การขององค์เจ้าแม่ ท่ีได้รับ
พระราชทานจากเงก็ เซยี นฮ่องเต้ในการช่วยเหลอื มวลมนุษย์
ท่านผหู้ ญิงสกุลเฉินมกั จะประทบั อยู่ด้านซ้ายขององคเ์ จา้ แม่
เพราะถอื วา่ เป็นเทพบรวิ ารทส่ี าคญั ทส่ี ุด

ภาคท่ี 4: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์ 123

องคท์ ่ี 2. 右殿夫人馮四娘

ยิ้วเดีย้ น ผเู่ ยี่ยน บา่ ง ตี้ เหน่ียง

หรือท่านผู้หญิงสกุลเฝิง (บ่าง 馮/冯-ในสาเนียง
ภาษาจนี ไหหลา) เป็นนางในถอื ศาสตราวุธ (กระบ่)ี แสดงถงึ
อานาจของเจา้ แมใ่ นการปราบทกุ ขเ์ ขญ็ ใหก้ บั มวลมนุษย์ ท่าน
ผหู้ ญงิ สกลุ เฝิงจะประทบั อยู่ดา้ นขวาขององคเ์ จา้ แม่เสมอ

องคท์ ี่ 3. 左殿通書通感舍人

โต้เดี้ยนทงต่คู งกา้ แต้เยี่ยน

หรอื คุณขา้ หลวงชายถอื หนงั สอื และพ่กู นั คอื องครกั ษ์
ผชู้ ว่ ยองคเ์ จา้ แมใ่ นการจดบนั ทกึ การทาดขี องมวลมนุษย์ หรอื
อกี นัยหน่ึงคือ แสดงอานาจขององค์เจ้าแม่ในการช่วยเหลือ
มวลมนุษย์เร่ืองการศกึ ษา ซ่ึงคุณข้าหลวงชายทงตู่คงก้า
มกั จะประทบั อยู่ทางซ้ายขององค์เจ้าแม่ ถดั จากท่านผหู้ ญิง
สกลุ เฉิน

124 ภาคท่ี 4: ภูมปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์

องคท์ ่ี 4. 右殿吹風發火舍人

ยิ้วเดี้ยนซุยวงั วดั เว่ยแต้เย่ียน

หรอื คุณขา้ หลวงชายถอื นก(บางแห่งถอื น้าเต้า) ซ่ึง
การถอื นก หมายถงึ เม่อื ไดร้ บั เร่อื งราวร้องทุกข์ไม่เป็นธรรม
องคร์ กั ษจ์ ะปลอ่ ยนกบนิ ไปชว่ ยเหลอื ไปยบั ยงั้ เร่อื งราว (องค์น้ี
ศาลเจ้าบางแห่งถือน้าเต้า)— การถอื น้าเต้า หมายถึงการ
ได้รบั เร่อื งราวร้องทุกข์ไม่เป็นธรรม และสงิ่ ไม่ดจี ะถูกดูดไป
เกบ็ ไวใ้ นน้าเต้า หรอื อกี นัยหน่ึงคอื แสดงถงึ อานาจขององค์
เจ้าแม่ในการช่วยเหลือมวลมนุษย์เร่ืองโรคภยั ไข้เจ็บ การ
รกั ษาโรค เพราะน้าเต้าถอื เป็นสญั ลกั ษณ์เกย่ี วกบั การรกั ษา
โรคภัยด้วย ซ่ึงคุณขา้ หลวงชายซุยวงั วดั เว่ย จะประทบั อยู่
ทางขวาขององคเ์ จา้ แม่ ถดั จากทา่ นผหู้ ญงิ สกลุ เฝิง

ภาคที่ 4: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์ 125

ปฐมบทแห่งการเฉลิมพระนาม เจา้ แม่ทบั ทิม

เทพยดุ าตุย๊ บว้ ยเต๋งเหน่ยี งองค์แรกทป่ี ระดษิ ฐานยงั เมอื งไทย
คอื เทพยุดาตุ๊ยบว้ ยเต๋งเหน่ียงของศาลเจา้ แม่ทบั ทมิ เชงิ สะพานกรุง
ธน (สะพานซงั ฮ้ี) เขตสามเสน กรุงเทพมหานคร ซ่ึงเทพยุดาตุ๊ยบ้ว
ยเต๋งเหน่ียง แต่เดิมนัน้ แต่งกายด้วยฉลองพระองค์ชุดสีแดงชาด
ประดับอญั มณีสีแดง ทาให้ชาวไทยต่างขนานพระนามว่า “เจ้าแม่
ทบั ทมิ ” ดว้ ยเพราะสแี ดงชาด คลา้ ยกบั อญั มณที บั ทมิ

การเฉลมิ พระนามว่าเจ้าแม่ทบั ทมิ นัน้ ดูจะเป็นท่นี ิยมในหมู่
ชาวจนี และชาวไทยกนั เป็นอย่างมากในการเฉลมิ พระนามของเทวรูป
เทพยดุ า(เทพเจ้าฝา่ ยหญิง) รุ่นแรกๆท่เี ขา้ มาในประเทศไทย ซ่งึ เจา้
แม่ทบั ทมิ มอี ยหู่ ลายองค์ แตล่ ะองคม์ ปี ระวตั แิ ละตานานทแ่ี ตกต่างกนั
ทงั้ ยุคสมยั และสถานทก่ี าเนิด สง่ิ สาคญั ทจ่ี ะทาให้ลูกหลานชาวจนี รุ่น
หลงั ทราบคือ ช่อื พระนามในภาษาจนี ถึงจะจาแนกได้วา่ เป็นเจา้ แม่
ทบั ทมิ พระองคไ์ หน

นอกจากน้บี นแผน่ ดนิ ไทย ยงั มกี ารนาช่อื “เจ้าแม่ทบั ทมิ ” มา
ใชเ้ รยี กเทพเจา้ ทงั้ ฝา่ ยไทย ฝา่ ยจนี นบั ตงั้ แต่ รกุ ขเทวดา (นางไม้) ไป
จนถงึ เทพเจา้ ชนั้ สงู ซง่ึ ทาใหเ้ กดิ ความสบั สน ลูกหลานชาวจนี รุ่นหลงั
จึงควรศึกษาและทาความเข้าใจให้ถูกต้องว่า เจ้าแม่ทับทิมท่ี
ประดษิ ฐานอยใู่ นแตล่ ะทน่ี นั้ มที ม่ี าอย่างไร

126 ภาคท่ี 4: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์

關聖帝君
เจ้าพ่อกวนอ:ู
จกั รพรรดิแห่งสวรรค์

เจ้าพ่อกวนอู หรือเทพเจ้ากวนอู 關聖帝君(กวนเส้ิงต้ี
จวนิ ) ถอื เป็นบคุ คลทม่ี อี ยูจ่ รงิ ในประวตั ศิ าสตรใ์ นยุคสามก๊ก ซ่งึ ทุกคน
มกั จะทราบกนั ดี จงึ ไม่ขอกล่าวถึงรายละเอยี ดในชวี ประวตั มิ ากนัก
กวนอูเกิดเม่อื วนั ท่ี 24 เดอื น 6 จนี ศกั ราชเอ่ียงฮี ปี พ.ศ. 703 ในรชั
สมยั ของพระเจา้ ฮนั้ ฮวนเต้ เกดิ ขน้ึ ในยุคปลายราชวงศฮ์ นั่ ตะวนั ออก ท่ี
แผน่ ดนิ จนี เกดิ ความขดั แยง้ และแตกแยกออกเป็นแควน้ ต่าง ๆ จานวน
มาก โดยมแี ควน้ ทใ่ี หญ่สดุ สามแควน้ ไดแ้ ก่ แควน้ วยุ ปกครองโดยพระ
เจา้ โจโฉ แควน้ ง่อ ปกครองโดยพระเจา้ ซุนกวน และแควน้ จ๊ก ปกครอง
โดยพระเจา้ เลา่ ป่ี

ภาคท่ี 4: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์ 127

กวนอู 關羽 มีนามเดิมว่า เผงิ เสียน มีช่อื รองว่า 雲長
โซ่วฉาง หรอื หยุนฉาง(แปลว่า เมฆยาว ) มใี บหน้าแดงเหมือนผล
พทุ ราสุก นยั น์ตายาวรี ค้วิ ดงั่ หนอนไหม หนวดเครางามถงึ อก มงี า้ ว
รูปจนั ทร์เส้ยี ว เป็นอาวุธประจากายเรียกว่า "ง้าวมงั กรเขยี ว" หรือ
"งา้ วมงั กรจนั ทรฉ์ งาย" กวนอูมคี วามเชย่ี วชาญและเก่งกาจวทิ ยายุทธ
จงรกั ภกั ดี กตญั ญรู ูค้ ุณ มคี ุณธรรมและซ่อื สตั ย์เป็นเลศิ ซ่งึ ในวยั หนุ่ม
กวนอูได้พลงั้ มอื ฆ่าปลดั อาเภอและน้าชายตายจนต้องหลบหนีการ
จบั กุม และพบกบั เล่าป่ีและเตยี วหยุ จงึ รว่ มสาบานตนเป็นพ่นี ้องกนั ใน
สวนทอ้ ร่วมทาศกึ กบั เลา่ ป่ีมาโดยตลอด เป็นหน่ึงใน 5 ทหารเสอื ของ
เล่าป่ี ครองเกงจวิ๋ ร่วมกบั กวนผงิ 關平 บุตรบุญธรรม และจวิ ฉอง
周倉 ทหารคนสนิท ภายหลงั ถกู แผนกลยทุ ธป์ ิดฟ้าขา้ มทะเลของลก
ซุนและลบิ องจนเสยี เมืองเกงจวิ๋ กวนอูคบั แค้นใจท่พี ลาดท่าเสยี ทลี ก
ซุนและลิบองจึงนาทพั ไปตีเกงจิ๋วเพ่อื แย่งชงิ คืน แต่ถูกจูเหียนและ
พวั เจย้ี งจบั ไดพ้ รอ้ มกวนผงิ และถกู ประหารในปี พ.ศ. 762

จากวิญญาณอาฆาต ส่จู กั รพรรดิแห่งสวรรคอ์ งคท์ ่ี 18

สงิ่ ทน่ี ่าสนใจในประวตั ขิ องกวนอู จนได้รบั การยกย่องใหเ้ ป็น
“เทพเจา้ ” นนั้ ดูจะน่าสนใจกวา่ เพราะเทพเจา้ กวนอู เกดิ ขน้ึ จากบุคคล
ธรรมดา เม่อื ถงึ คราวเสยี ชวี ติ กส็ งั่ สมไปด้วยแรงแค้น ซ่ึงทาให้เกดิ
ความ “เฮย้ี น” จนใครๆต่างกล่าวขวญั ถึง เพราะเม่อื กวนอูถูกตดั คอ
เริ่มแรกจติ วญิ ญาณของเขา เป็นจติ วญิ ญาณท่เี ตม็ เป่ียมไปด้วยแรง

128 ภาคท่ี 4: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์

แค้น แรงอาฆาตพยาบาท เรยี กได้ว่าเป็นผี หรอื อสูรกาย แต่ต่อมา
วญิ ญาณของเขาได้สรา้ งปรากฏการณ์ทน่ี ับได้ว่าเป็นเสน้ ทางสู่ความ
เป็น “เทพเจา้ กวนอู”หรอื “เทพเจา้ กวนกง” โดยลาดบั ดงั น้ี

1. ฆ่าลิบอง : ลบิ องคอื คนทว่ี างแผนปิดฟ้าขา้ มทะเล ตคี ่ายกวนอูและ
ทาใหก้ วนอูถูกจบั ตวั ได้ในทส่ี ุด อสูรกายกวนอูจงึ แกแ้ ค้นโดยการเขา้
สงิ รา่ งของลบิ องกลางงานเล้ยี งฉลองชยั ชนะ แล้วขวา้ งจอกสุราลงพ้นื
ลกุ ขน้ึ ชห้ี น้าด่าและกระชากซุนกวนลงจากพระท่นี งั่ แล้วขน้ึ ไปนงั่ แทน
ทาตาเหลอื กกลอกไปกลอกมา ทุกคนในท่นี นั้ ได้แต่นงั่ ตวั สนั่ ตะลงึ งง
กม้ ลงไหวผ้ กี วนอู เมอ่ื ผกี วนออู อกจากรา่ ง ลบิ องกต็ าย ซุนกวนจงึ ตอ้ ง
รบี สง่ ศรี ษะกวนอไู ปใหโ้ จโฉรบั เคราะหก์ รรมต่อ

2. หลอกโจโฉ : ศรี ษะกวนอูถูกส่งตอ่ ไปใหโ้ จโฉ ดว้ ยซุนกวนหมายให้
เล่าป่ีกบั โจโฉผิดใจกนั เม่อื โจโฉเปิดหีบผ้าดู เหน็ ศรี ษะกวนอูสงบ
เสงย่ี มกห็ วั เราะรอ้ งวา่ “กวนอูยงั เป็นอยู่ไม่มาหาเรา บดั น้ียงั แต่ศรี ษะ
เล่าอตุ สา่ หม์ าหาเรา”เทา่ นนั้ แหละ ผกี วนอูกถ็ ลงึ ตาอา้ ปากหลอกโจโฉ
จนเป็นลมตกเกา้ อ้ี พอฟ้ืนคนื สติ ทหารกเ็ ล่าเร่อื งผกี วนอูฆ่าลบิ องให้
ฟงั โจโฉกลวั จะโดนบา้ งจงึ พูดขน้ึ ว่า“กวนอูคนน้ีศกั ดสิ์ ทิ ธน์ ัก เหมอื น
หน่ึงเทพดาลงมาจากชนั้ ฟ้ า”แล้วจึงรีบจดั พิธีฝงั ศีรษะกวนอูอย่าง
สมเกยี รติ ทป่ี ระตูดา้ นทศิ ใตข้ องเมอื งลกเอยี๋ ง ตดิ ป้ายหน้าหลุมวา่ “ท่ี
ฝงั ศพเจา้ เมอื งเกงจวิ๋ ”แต่กไ็ มร่ อดตวั เพราะเม่อื หลบั ตาลงทไี ร โจโฉก็
จะเห็นผกี วนอูเม่อื นัน้ จนปว่ ยเป็นโรคประสาทเห็นผคี นทต่ี วั เคยฆ่า
จนเสยี ชวี ติ ในเวลาต่อมา

ภาคท่ี 4: ภูมปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์ 129

3. ฝากเล่าปี่ ชาระแค้น : เล่าป่ีนนั้ อยู่ท่ีเมอื งเสฉวนยงั ไม่ได้ขา่ วการ
ตายของกวนอู แต่วนั ท่กี วนอูถูกตดั คอนนั้ เล่าป่ีร้อนรุ่มกลุ้มใจนอนไม่
หลบั ลุกข้นึ มาอ่านหนังสอื เผอิญเห็นเงาร่างกวนอูเดินเข้ามา จึง
ทกั ทายน้องร่วมสาบานต่าง ๆ นานา แต่กวนอูไม่ตอบ ได้แต่รอ้ งไห้
แลว้ พูดขน้ึ ก่อนสลายตวั ไปวา่ “แก้แค้นใหข้ า้ พเจา้ ด้วย”เล่าป่ีได้สตจิ งึ
เรยี กหาขงเบง้ และรคู้ วามจรงิ วา่ กวนอตู ายเสยี แลว้ และคดิ แก้แคน้ แทน
กวนอโู ดยไม่ฟงั คาทดั ทานใด ๆทงั้ สน้ิ

4. จากผสี างเป็นเทพเทวดา : ในหนังสอื สามก๊กเปิดตวั อสุรกายกวน
อูด้วยตอนน้ีเป็นตอนแรก แต่เหน็ ว่าเร่อื งน้ีควรเกดิ หลงั จาก 3 เร่ือง
ก่อนหน้าน้ี โดยเร่อื งมอี ยวู่ า่ วญิ ญาณของกวนอูเร่ร่อนดว้ ยแรงอาฆาต
ตามหาศรี ษะของตนไปทวั่ จนกระทงั่ มาพบกบั หลวงจนี เภาเจง้ ทภ่ี ูเขา
จวนหยกสนั ซ่งึ คราวน้กี วนอูไม่ไดม้ าตนเดยี ว แต่พาคณะคอื กวนผงิ
หน้าขาวและจวิ ฉองหน้าดา มาด้วย (เป็นทม่ี าของรูปสกั การะในศาล
หลายแห่งทต่ี อ้ งมคี รบสามคน) หลวงจนี เภาเจ้งจงึ สอนว่า “กงเกวยี น
กาเกวยี น ตวั ฆา่ เขา เขาฆา่ ตวั ”กวนอูจงึ ระลึกถงึ ผลกรรมท่ตี นตดั คอ
ผคู้ นมามากมาย แล้ววญิ ญาณของกวนอูกส็ งบลง ณ ทต่ี รงนนั้ หลวง
จนี เภาเจง้ จงึ บอกกบั ชาวบา้ นวา่ ท่แี ห่งน้ีมวี ญิ ญาณของกวนอูมาสถติ
อยู่ ชาวบา้ นจงึ ปลูกศาลใหก้ วนอู เปลย่ี นจากสมั พเวสรี ่อนเร่เป็นเทพ
เทวดา ในตอนน้นี ่เี อง (กวนอูไดเ้ ป็นเทพแลว้ ตงั้ แตส่ มยั สามกก๊ )

130 ภาคที่ 4: ภมู ปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์

5. ช่วยคืนงา้ วให้กวนหิน : เล่าป่ียกทพั ไปตกี งั ตงั ๋ โดยมกี วนหนิ 關

興 บุตรชายของกวนอูอกี คนไปด้วย กวนหนิ ไดไ้ ล่ล่าพวั เจ้ยี ง ซ่งึ มี
ส่วนร่วมกบั ลบิ องในการสงั หารกวนอู อกี ทัง้ ยงั ยกั ยอกเอาง้าวมงั กร
เขยี ว ของกวนอไู ปเป็นของตน กวนหนิ ไล่ตดิ ตามหลงเขา้ ไปในปา่ จน
ค่า เจอบ้านหลังหน่ึงจึงขอเข้าไปพกั อาศยั ชายแก่เจ้าของบ้านก็
ตอ้ นรบั อยา่ งดี พอกวนหนิ เขา้ บา้ นกต็ อ้ งหลงั่ น้าตาก้มลงไหว้ เพราะท่ี
บ้านหลงั น้ีมีรูปเหมือนกวนอูติดอยู่ ชายแก่เจ้าของบ้านจึงเล่าว่า
ชาวบ้านละแวกน้ีนับถอื ท่านกวนอูตงั้ แต่ยามเป็น แม้ยามตายก็ยัง
เคารพรกั ท่านอยู่ จงึ เขยี นรูปบูชาตดิ ไวท้ ุกบา้ น ต่อมาบงั เอญิ ใหม้ อี ะไร
ดลใจ พวั เจ้ยี งจงึ หลงทางมาขอพกั อาศยั ทบ่ี ้านน้ีเชน่ กนั พวั เจ้ยี งเจอ
หน้ากวนหนิ พร้อมกบั เงากวนอูขวางทาง กวนหนิ จงึ ฆา่ พวั เจ้ยี ง แล้ว
ควกั เอาตบั ไตไส้พุงมาเซ่นไหวร้ ูปภาพบดิ า และได้เอาง้าวนัน้ มาใช้
เป็นอาวธุ คู่กาย

6. เทพเจ้ากวนอูคิ้วขาวเกราะทองคา : ในศึกระหว่างขงเบ้งกับ
โจจนิ๋ โจจนิ๋ ขอให้พระเจ้าเตยี ดลเิ กยี ด ชาวเสเกยี๋ ง ช่วยยกทพั มาตี
เสฉวน โดยสง่ กองทหารเกวยี นเหลก็ นาโดย ออดกดิ มาเขา้ ตี ระหวา่ ง
การศกึ กวนหนิ (บตู รชายกวนอู) เสยี ทพี ลดั ตกจากหลงั ม้าอย่างหมด
ทางสู้ แตเ่ ทพเจา้ กวนอูมาชว่ ยเอาไวท้ าให้กองทหารของออดกดิ แตก
กระเจงิ ไป ในสามก๊กพระยาพระคลงั (หน) บรรยายเทพเจ้ากวนอูใน
มาดใหม่น้ีวา่ “หน้าแดง คว้ิ ขาว ห่มเส้อื เขยี ว ใส่เกราะทอง ขม่ี ้าเซ็ก
เทา มอื ขวาถอื งา้ ว มอื ซา้ ยลบู หนวด ลอยอยู่กลางอากาศ”แล้วเทพเจ้า

ภาคที่ 4: ภูมปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์ 131

กวนอูกพ็ ากวนหนิ กลบั ค่ายอยา่ งปลอดภยั การปรากฏตวั ครงั้ น้ี เตยี ว
เปาและทหารอกี หลายคนไดเ้ หน็ กบั ตาดว้ ยเพราะเทพเจา้ กวนอมู าชว่ ย
ดว้ ยเหมอื นกนั

กวนอไู ดร้ บั การยกย่องใหเ้ ป็น จกั รพรรดเิ ทพกวน 關聖帝
君 กวนเส้งิ ต้จี วนิ (หรือ กวนเสง็ ต้กี ุน ในสาเนียงภาษาจนี ไหหลา)
และเป็นเทพพทิ กั ษ์ตามความเชอ่ื ของลทั ธเิ ต๋า การบูชากวนอูเรมิ่ ต้น
ในราชวงศซ์ ่ง ตามตานานเล่าวา่ ในชว่ งครสิ ตท์ ศวรรษ 1220 ทะเลสาบ
น้าเคม็ ซ่งึ ในปจั จุบนั คอื เมอื งเซ่ยี โจว 解州鎮 เรมิ่ ท่จี ะผลติ เกลือ
ไมไ่ ด้ จกั รพรรดฮิ ุยจงจงึ ทรงมรี บั สงั่ ให้นกั พรตจางจ้เี ซยี น 張繼先
ตรวจหาสาเหตุ ซง่ึ ไดท้ รงรบั รายงานวา่ เป็นฝีมอื ของชอื โหยว 蚩尤
เทพแห่งสงคราม นักพรตจึงอัญเชิญกวนอูเข้ามาต่อสู้จนเอาชนะ
ชือโหยวและสามารถผลิตเกลือได้ดังเดิม พระจักรพรรดิจึงทรง
พระราชทานนามใหก้ วนอูว่า ผเู้ ป็นอมตะแห่งฉงหนิง 崇寧真君
หรอื ฉงหนิงเฉ้นิ จวนิ และยกกวนอูใหเ้ ป็นเทพในเวลาตอ่ มา

ชว่ งตน้ ราชวงศห์ มงิ นกั พรตจางเจง้ิ ฉาง 張正常 บนั ทกึ ใน
หนงั สอื ของตนเองในชอ่ื ฮนั่ เทยี นซอื ซ่อื เจยี 漢天師世家 เพ่อื
เป็นการยนื ยนั ตานานน้ี ทุกวนั น้กี วนอไู ดร้ บั การนับถอื มากในลทั ธเิ ต๋า
หลายวดั เต๋าอุทศิ เพ่อื กวนอูโดยเฉพาะวดั จกั รพรรดกิ วนในเซ่ยี โจวท่ี
ไดร้ บั อทิ ธพิ ลเต๋าอยา่ งมาก ทกุ วนั ท่ี 24 เดอื น 6 ตามหลกั จนั ทรคติ ซง่ึ

132 ภาคท่ี 4: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์

ตรงกับวนั เกิดของกวนอู จะมีขบวนแห่เฉลิมฉลองแด่กวนอูอย่าง
ยงิ่ ใหญ่สมเกยี รติ

ปจั จุบนั เทพเจ้ากวนอูถูกยศสถานะขน้ึ เป็น เงก็ เซียนฮ่องเต้
(คลา้ ยกบั ตาแหน่งพระอนิ ทรต์ ามคตขิ องไทย) หรอื ผเู้ ป็นใหญ่บนสรวง
สวรรค์ ปกครองสวรรคท์ ุกชนั้ ฟ้า ซ่ึงเป็นเงก็ เซียนฮ่องเต้องคท์ ่ี 18
ตามยุคทางลทั ธเิ ตา๋ ของชาวจนี (โดยกนิ เวลา 140 ปี) ทรงพระนามวา่
玉皇大天尊玄靈高上帝(關聖帝君)อ่านว่า ยู่
หวงตา้ เทยี นซุ่นเสวยี นหลงิ เกาเซย่ี งต้ี (กวนเสง้ิ ตจ้ี วนิ )

นอกจากน้ี ตามแนวคดิ ของชาวพทุ ธในจนี กวนอูไดร้ บั การยก
ย่องใหเ้ ป็น พระสงั ฆารามโพธสิ ตั ว์ 伽藍菩薩 หรอื “แคนาผ่สู กั ”
หมายถึงผูพ้ ิทกั ษ์ธรรมของชาวพุทธ โดยคาว่า สงั ฆาราม ในภาษา
สนั สกฤตหมายถงึ สวนชมุ ชนและหมายถงึ วดั ดงั นนั้ พระสงั ฆาราม จงึ
หมายถงึ ผพู้ ทิ กั ษพ์ ระรตั นตรยั นนั่ เอง เพทเจา้ กวนอจู งึ เป็นตวั แทนของ
เทพผูพ้ ทิ กั ษ์ โดยวดั และสวนท่ตี งั้ รูปปนั้ กวนอูนัน้ รูปปนั้ ของกวนอู
มกั จะถูกวางไว้ ณ ส่วนไกลด้านซ้ายของพระอุโบสถ คู่กบั พระเวท
โพธสิ ตั ว์ 韋馱菩薩 อุ่ยทอ้ ผ่สู กั (พระสกนั ทะหรอื พระขนั ธกุมาร
ของฮนิ ดู)

ภาคท่ี 4: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์ 133

เทพเจา้ กวนอกู บั สมญั ญา” เทพเจา้ แห่งความซ่ือสตั ย”์

แต่เดิมจีนโบราณให้ความเคารพนับถืองักฮุย (ตานาน
ปาท่องโก๋)เป็นเทพเจา้ แหง่ ความซ่อื สตั ย์ สบื ต่อกนั มาเป็นเวลานานใน
ฐานะเป็นผมู้ คี วามจงรกั ภกั ดีต่อชาติ ด้วยคุณธรรมความดีของงกั ฮุย
ส่งผลให้ได้รับการยกย่องเป็นเทพเจ้าแห่งความรักชาติและความ
จงรกั ภกั ดเี ป็นทก่ี ลา่ วขานกนั มาเป็นเวลานาน แต่ปจั จุบนั เทพเจ้าแห่ง
ความสตั ยซ์ ่อื ไดเ้ ปลย่ี นมาเป็นกวนอูแทนในหลงั ยคุ สามกก๊ มานับพนั ปี
กวนอูเป็นเทพเจา้ ทช่ี าวจนี และคนไทยเชอ้ื สายจนี ใหค้ วามเคารพบูชา
และศรทั ธาเล่อื มใสเป็นอยา่ งมาก กวนอเู ปรยี บเสมอื นเทพเจา้ ทช่ี าวจนี
ใหค้ วามเคารพกราบไหวบ้ ชู าในฐานะทเ่ี ป็นเทพเจา้ แหง่ ความซ่อื สตั ย์

ไมเ่ พยี งแตย่ กยอ่ งใหก้ วนอเู ป็นเทพเจา้ แหง่ ความซ่อื สตั ยอ์ ยา่ ง
เดยี วเท่านนั้ หากแต่กวนอูไดร้ บั สมญานามใหเ้ ป็นถึง จงอ้เี สนิ อู่กวน
เส้งิ ต้าต้ี 忠義神武關聖大帝 ซ่ึงมีความหมายคือมหาเทพ
กวนผยู้ งิ่ ใหญ่แห่งความจงรกั ภกั ดี คุณธรรมและความกลา้ หาญ โดย
พระเจา้ เฉยี นหลงแหง่ ราชวงศช์ งิ เป็นผแู้ ต่งตงั้ เมอ่ื พ.ศ. 2187 เพอ่ื เป็น
การสร้างจติ สานึกเร่อื งความสตั ยซ์ ่ือและจงรกั ภกั ดีเพ่อื เป็นต้นแบบ
ใหแ้ กร่ าษฎรซ่งึ คนจนี ถอื ความสตั ยเ์ ป็นใหญ่ร่วมกบั ความกตญั ญูรู้คุณ
คน ทาใหก้ วนอูกลายเป็นทร่ี จู้ กั ไปทวั่ และได้รบั การยกย่องใหเ้ ป็นเทพ
เจ้าแห่งความซ่ือสตั ยส์ ืบต่อมาเป็นเวลานานและได้รบั การเคารพใน

134 ภาคท่ี 4: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์

ฐานะเทพอุปถมั ภ์และเทพผูป้ กป้องคุ้มครองของตารวจ นักการเมอื ง
และผนู้ าทางดา้ นเศรษฐกจิ

จากบนั ทกึ ทางประวตั ศิ าสตรข์ องจนี โบราณ กวนอูอาจมชี วี ติ
ก่อนงกั ฮยุ เป็นเวลาเกอื บพนั ปี กลา่ วคอื กวนอูเป็นบุคคลสาคญั ในสมยั
ยุคสามก๊ก (พ.ศ. 763 - พ.ศ. 823) แต่งกั ฮุยมชี วี ติ อยู่ในสมยั ราชวงศ์
ซ่ง (พ.ศ. 1503 - พ.ศ. 1822) กวนอูและงักฮุยเป็นวรี บุรุษท่ีเป็นท่ี
กล่าวขานกนั สบื ต่อกนั มาเป็นเวลานานในเร่อื งของความสตั ยซ์ ่อื และ
จงรกั ภกั ดี ในประเทศไทยชอ่ื เสยี งและกติ ตศิ พั ท์ความสตั ย์ซ่อื กตญั ญู
รู้คุณคนของกวนอูอาจจะเป็นท่กี ล่าวขานและรู้จกั กนั มากกว่างกั ฮุย
เน่ืองจากกวนอูเป็นตวั ละครสาคญั ในสามก๊กซ่ึงได้รบั การยกย่องให้
เป็นเทพบู๊ (武圣) และมสี ถานะเทยี บกบั เทพบุน๋ (文圣) คอื ขงจอ๊ื

ในอดตี บรรพบรุ ุษของชนเผา่ แมนจู คอื พวกเผา่ หน่วี เ์ จนิ ( 女
真族) หรอื จนิ (พ.ศ. 1658 - พ.ศ. 1777) ซง่ึ แมนจูเป็นชนเผา่ ทเ่ี รอื ง
อานาจขน้ึ มาในยคุ สมยั เดยี วกบั ราชวงศซ์ ่งใต้ ภายหลงั จากราชวงศซ์ ่ง
ลม่ สลายลงจนถงึ ราชวงศห์ ยวนและราชวงศห์ มงิ จนกระทงั่ ราชวงศช์ งิ
ทก่ี อ่ ตงั้ ขน้ึ โดยชาวแมนจู แมก้ าลเวลาจะล่วงเลยผา่ นมานานหลายรอ้ ย
ปี แตก่ ารท่ชี าวจนี ใหค้ วามเคารพนบั ถอื งกั ฮุยในฐานะวรี บุรุษต่อตา้ น
เผา่ แมนจูหรอื เผา่ จนิ กย็ งั คงอยู่ไมเ่ ส่อื มคลาย ซง่ึ การใหก้ ารยกยอ่ งและ
เคารพนบั ถอื งกั ฮุยนนั้ ดูเหมอื นจะเป็นเร่อื งปกตสิ าหรบั ราษฎรทวั่ ไป
แต่ในสายตาของขุนนางบู๊และบุ๋นภายในราชสานักชงิ การให้ความ

ภาคท่ี 4: ภูมปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์ 135

เคารพนบั ถอื บูชางกั ฮุยในฐานะวรี บุรุษตา้ นชนเผา่ จนิ เป็นการเปรยี บ
ได้กบั การให้ความเคารพนับถือบูชาผู้ท่ีต่อต้านราชวงศ์ชิงนัน่ เอง
ดงั นนั้ ราชสานกั ชงิ จงึ วางกลอุบายยกย่องกวนอูใหเ้ ป็นอกี หน่ึงวรี บุรุษ
ในประวตั ศิ าสตร์จนี เพ่อื ให้กวนอูกลายเป็นทศ่ี รทั ธาเคารพบูชาของ
สามัญชนทวั่ ไปในฐานะเทพเจ้าผู้มีความสตั ย์ซ่ือ เพ่ือเป็นการลด
กระแสการเคารพนบั ถอื และเชดิ ชงู กั ฮยุ ใหเ้ บาบางลง

ในจนิ ตนาการของศลิ ปินมกั วาดภาพหรอื ปนั้ รูปเคารพให้เทพ
เจา้ กวนอูแต่งกายด้วยชดุ สีเขยี วและมีผา้ โพกศรี ษะ โดยมที งั้ ปางนัง่
อา่ นตาราพชิ ยั สงคราม และปางถอื ง้าวมงั กรเขยี ว ซ่งึ แสดงให้เหน็ ถงึ
ความเชย่ี วชาญการสงครามและเก่งกาจในวทิ ยายุทธ โดยมกี วนผงิ

關平 (บุตรบุญธรรม) และจวิ ฉอง 周倉 (นายทพั คนสนิท) เป็นผู้
ถอื ง้าวให้ ยนื ขนาบซ้ายขวา บางแห่งอาจมรี ูปปนั้ ม้าเซ็กเทา (ซ่งึ แต่
เดมิ เป็นมา้ ของลโิ ป้ โจโฉเป็นผปู้ ระทานให)้

136 ภาคท่ี 4: ภมู ปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์

本頭爺爺
เจ้าพ่อบว้ นเถ่ากง (บว้ นเถ่าเหยเ่ หย่)

เทพผพู้ ิทกั ษป์ ระจาตาบล

เจา้ พ่อบ้วนเถ่ากง (本頭公) นนั้ เป็นเทพเจ้าในระดบั กลาง
ซ่งึ จากประวตั ขิ องตระกูลแซ่หลมิ กล่าววา่ เจา้ พอ่ บว้ นเถ่ากง หรอื ปุน
เถ่ากง เป็นทายาทสบื สายสกุลแซ่หลมิ รุ่นท่ี 15 นบั จาก จน้ิ อานอ๋อง
หรอื หลมิ ฮไู้ ทซ่ ืออ๋อง (หลนิ ลู่กง) โดยปุนเถ่ากงได้รบั ราชการในสมยั
ราชวงศถ์ งั (ระหวา่ ง พ.ศ. 1163 – 1451) ดารงตาแหน่งขา้ หลวงเมอื ง
โกเพง้ ทา่ นมบี ุตรชาย 3 คนชอ่ื หลนิ เถากง หลนิ พกี ง และ หลนิ เชยี ง
กง บุตรทงั้ 3 ของท่านนับว่าเป็นอภิชาตบุตร หลานของท่านท่เี ป็น
บุตรของท่านพีกงได้ช่อื ว่าเป็น เก้ามู่ ซ่ึงทงั้ เก้าคนได้เป็นข้าหลวง
ปกครองเมอื งต่างๆแถบฝเู จย้ี น กวา่ งตงและใกลเ้ คยี ง


Click to View FlipBook Version