ภาคท่ี 4: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์ 137
ท่านปนุ เถ่ากงไดบ้ รหิ ารบา้ นเมอื งปกครองอาณาประชาราษฎร
ดว้ ยความซ่อื สตั ย์ ยุตธิ รรมราษฎรอยู่เยน็ เป็นสุขกนั ถว้ นหน้า ฝนฟ้า
ตกตอ้ งตามฤดกู าล ทาใหร้ าษฎรเคารพรกั ใคร่ทา่ น หลงั จากทท่ี า่ นได้
ถงึ แก่อสญั กรรมแลว้ ทางการจงึ ได้สรา้ งศาลเจา้ ขน้ึ เพ่อื ระลกึ ถงึ คุณ
ความดแี ละสกั การะเซ่นไหว้ ราษฎรทเ่ี คารพท่านต่างกน็ ารูปท่านเป็น
อ ง ค์ป ร ะ ธ า น ใ น บ้ า น เ พ่ือ ก ร า บ ไ ห ว้สืบ เ น่ื อ ง กัน ม า จ น ถึง
ปจั จบุ นั นอกจากน้ียงั ได้สรา้ งปนุ เถ่าม่า ผเู้ ป็นฮูหยนิ ของท่านปนุ เถ่า
กงอกี ดว้ ย
ต่อมาปุนเถ่ากงไดร้ บั การยกย่องใหเ้ ป็นเทพองคห์ น่ึง การ
เคารพนบั ถอื ไดก้ ระจายไปตามทอ้ งทต่ี า่ งๆ เมอ่ื ชาวจนี อพยพไปอยู่ท่ี
ใด กจ็ ะนาองค์ปนุ เถ่ากงไปสกั การะดว้ ย และเป็นเสมอื นพระภูมผิ ู้
พิทักษ์ของชาวจีน และนักเดินเรือ ควบคู่ไปกับเทพองค์อ่ืนๆ
ท่ี เชน่ เจา้ แมท่ บั ทมิ เทพเจา้ กวนอู เป็นตน้
รูปวาดหรือ รูปองค์เคารพของท่านจะเป็นชุดขุนนางผู้ใหญ่
ฝ่ายบุ๋น ในตาแหน่งเจา้ เมอื ง ส่วนรายละเอยี ดอ่นื ๆกข็ น้ึ อยู่กบั ว่า
พน้ื ทใ่ี ด จนิ ตนาการท่านให้มรี ูปลกั ษณ์แบบใด มอื ถอื ยู่อ่บี า้ ง แต่บาง
รูปถอื ไม้เทา้ บา้ ง ส่วนอกี ขา้ งถอื ทองคาบา้ ง หน้าตาเป็นรูปคนแก่ใจ
ดี คว้ิ หนวด เคราและผมมที งั้ ทเ่ี ป็นสขี าว และสดี า สองขา้ งท่านจะมี
ขุนนางยนื อยู่ซ้ายขวาเป็นองครกั ษ์และทป่ี รกึ ษา ฝา่ ยบุ๋นถอื หนงั สอื
สว่ นฝา่ ยบถู๊ อื หอกยาว
ผู้ท่ีเคารพบูชาท่าน ก็เพ่ือความมัง่ มีศรีสุขของคนใน
ครอบครวั เพ่อื ความร่ารวยรุ่งเรอื งของชวี ติ และกจิ การงานบรษิ ทั
รา้ นคา้ ใหก้ า้ วหน้ายงิ่ ๆขน้ึ ไป ซง่ึ โดยทวั่ ไปในประเทศไทย ศาลปนุ เถ้า
138 ภาคท่ี 4: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์
กงในบา้ น มกั จะตงั้ หรอื แขวนอยเู่ หนอื ศาลตจ่ี เู่ อย๊ี และมกั จะเป็นบา้ นท่ี
ประกอบธุรกจิ มากกวา่ บา้ นเรอื นปกติ นอกจากน้ียงั มศี าลของปนุ เถ่า
กงประจาชุมชนต่างๆอีกเป็นจานวนมาก โดยแต่ละท่ีต่างก็มี
เอกลกั ษณ์ และรูปลกั ษณ์ทแ่ี ตกต่างกนั เพราะในปจั จบุ นั ปนุ เถ่ากงถอื
เป็นตาแหน่งของเทพเจ้าผู้พิทกั ษ์ประจาอาเภอ คอยควบคุมเทพ
ประจาชมุ ชน หมู่บา้ น อกี ต่อหน่ึง โดยมกั จะปรากฏศาลปุนเถ่ากงใน
ประเทศทม่ี ชี าวจนี อพยพไปตงั้ รกรากถ่ินฐานอยู่ เชน่ ไทย ฟิลปิ ปินส์
และมาเลเซยี
ในประเทศไทยปจั จุบนั ช่อื บว้ นเถ่ากง ปุนเถ่ากง เปิงเถ่ากง
ปึงท่าวกง ตามแตจ่ ะเรยี กชอ่ื ตามสาเนยี งภาษาจนี ถนิ่ นนั้ มกั จะเขา้ ใจ
วา่ เป็นการเรยี กพระนามของเทพเจ้าผดู้ ูแลชมุ ชนในศาลเจ้า ทาให้
รูปลกั ษณ์ของปนุ เถ่ากงมคี วามหลากหลาย ทงั้ ทเ่ี ป็นรูปเคารพแบบจนี
แบบไทย รวมไปถึงรูปเคารพแบบฮินดู (กรณีศาลปุนเถ่ากงท่ี จ.
สุพรรณบุร)ี ซ่งึ สะท้อนให้เหน็ ว่า วฒั นธรรมของชาวจนี แพร่หลายไป
ทวั่ ทงั้ น้ีเป็นเพราะ ผูส้ นับสนุนของชุมชนทอ่ี อกเงนิ บูรณะศาล หรอื
สถานท่ีศักดิส์ ิทธิม์ ักจะเป็นชาวจีน หรือชาวไทยเช้ือสายจีน จึง
พยายามสรา้ งและผกู ชอ่ื ศาสนสถาน ตลอดจนเทวรูปให้เป็น “เทพเจา้
ปนุ เถา่ กง” ซ่งึ เป็นชอ่ื ทค่ี นุ้ หูมาตงั้ แตเ่ ดก็
ส่วนในประเทศมาเลเซีย แถบรฐั ปีนัง กม็ ศี าลปุนเถ่ากงด้วย
เช่นกัน แต่มักจะเรียกช่ือว่า “ดาโต๊ะกง” ซ่ึงเป็นการผสานเอา
วฒั นธรรมของชาวมุสลมิ เข้ามาเก่ยี วข้อง เพราะ ดาโต๊ะ เป็นการ
เรยี กชอ่ื ผอู้ าวโุ สประจาชมุ ชนของมุสลมิ เชน่ เดยี วกบั วฒั นธรรมบาบา
หรือ เปอรานากัน ของชาวจีนฮกเก้ียนและชาวมาเลย์พ้ืนถิ่น
ภาคท่ี 4: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์ 139
กลายเป็นการสร้างศูนย์รวมทางจิตใจภายใต้ช่อื และรูปลกั ษณ์ของ
เทวรูปทม่ี คี วามเป็นมุสลมิ เขา้ มาดว้ ย
โดยสรุป บ้วนเถ่ากง หรือปุนเถ่ากง เป็นเทพเจ้าท่ีพบใน
เมอื งไทย ฟิลปิ ปินส์ และทม่ี าเลเซีย เท่านนั้ ซ่งึ เป็นเทพท่ชี าวจนี นัก
เดนิ เรอื ในสมยั ราชวงศซ์ ่ง (ซ้อง) กราบไหวใ้ หค้ วามเคารพ โดยมชี อ่ื
เดมิ ว่า “โตวกง” แต่ทป่ี ีนังชาวพ้นื เมอื งเรยี กเทพองคน์ ้ีว่า ดาโต๊ะกง
บ้าง เปินถ่าวกงบา้ ง ฟิลปิ ปินส์เรยี กเทพองคน์ ้ีว่า เป่ินโถวกงั ซ่งึ ช่อื
ดงั กล่าวเป็นเพยี งตาแหน่ง เทพผดู้ ารงตาแหน่งน้ี จะแตกต่างกนั ไป
ตามบุคคล เวลา และสถานท่ี ผดู้ ารงตาแหน่งน้ี จะเป็นใครไม่อาจจะ
ทราบได้ โดยเป็นเพยี งสญั ลกั ษณ์ ของบรรพบุรุษของชาวจนี โพน้ ทะเล
เทา่ นนั้
140 ภาคท่ี 4: ภูมปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์
ปนุ เถ่ากง: ใครคือพระภมู ิ ใครคือเจา้ ที่ และใครใหญ่กว่ากนั ?
ความเข้าใจของระดับและตาแหน่งเทพเจ้าของชาวจีนนัน้
สามารถทาความเขา้ ใจไดง้ ่ายๆ ดงั น้ี
1.เจ้าพ่อหลกั เมือง หรือ เฉิ นหวงกง (城皇公) คอื ผวู้ ่าราชการ
จงั หวดั
2.ฝเู ต๋อเจิ้งเสิน (福德正神) คอื นายอาเภอ
3. ปนุ เถ่ากง (本頭公) คอื พระภูมิ หรอื กานนั ตาบล
4.แปะกง (伯公) หรือ หยางป๋ อกง (杨伯公) คอื ผใู้ หญ่บา้ น
5. 1) ต่ีจ่เู อ๊ีย (地主爺) คอื เจา้ บา้ นเจา้ เรอื นทเ่ี ราอย่อู าศยั และ
2) ถตู่ ี่กง (土地公) คอื เจา้ ทเ่ี จา้ ทาง
ตามความเชอ่ื ของคนจนี สาหรบั เทพบ้วนเถ่ากง หรอื ปนุ เถ่า
กง (本頭公), ตจ่ี ูกง (地主公), ต่จี ู่เอย๊ี (地主爺) และ ถู่ต่ี
กง (土地公) นนั้ เป็นเทพเจา้ ท่ี หรอื เป็นเทพเจา้ ทร่ี บั ผดิ ชอบใน
พ้ืนท่ีนัน้ ๆ หรือบางครัง้ ก็จะเป็นเทพเจ้าสาหรับดูแลชุมชน หรือ
หมบู่ า้ นนนั้ ๆ ซ่งึ ถ้าดูจากนิยามขา้ งตน้ จะเหน็ วา่ ปุนเถ่ากง หรอื ตจ่ี ู่
เอยี๋ ทเ่ี ราคนุ้ เคย จะมไี ดห้ ลายทา่ นเพราะเป็นเพยี งตาแหน่ง แต่ละองค์
กจ็ ะมหี น้าทร่ี บั ผดิ ชอบในพน้ื ท่ี แตล่ ะพน้ื ทก่ี นั ไป
ภาคที่ 4: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์ 141
สาหรบั ฟูเต๋อเจง้ิ เสนิ (福德正神) นนั้ จะหมายถงึ เทพเจา้
องคแ์ รกทไ่ี ดร้ บั การแตง่ ตงั้ จากเงก็ เซยี นฮ่องเต้ ในการรบั ผดิ ชอบดูแล
ควบคุม ปุนเถ่ากง หรือ ต่ีจู่เอยี๋ ทงั้ หมด ซ่ึง ฟูเต๋อเจ้งิ เสนิ นัน้ ตาม
ตานานมชี อ่ื เดมิ วา่ จางฟูเต๋อ (張福德) และดว้ ยความดแี ละความ
ซ่อื สตั ยข์ องทา่ น ทา่ นจงึ ได้รบั การแต่งตงั้ จากเงก็ เซียนฮ่องเต้ ใหเ้ ป็น
ฟูเต๋อเจ้ิงเสิน มีหน้าท่ีดูแลโลกมนุษย์และดูแลเทพเจ้าท่ี ท้องถ่ิน
ทงั้ หมดดงั ทก่ี ลา่ วขา้ งตน้
กาลเวลาตอ่ มากม็ ผี คู้ นเขา้ ใจผดิ มากมายในการนาเทพเจ้าทงั้
สององคน์ ้ี มารวมกนั เป็นองคเ์ ดยี วกนั ซง่ึ กไ็ ม่เป็นเร่อื งแปลกแต่อย่าง
ใด เพราะเทพเจา้ ท่นี นั้ มกี ารเรยี กได้หลายชอ่ื ตามความนิยมท้องถิ่น
และเทพหลายๆองค์ก็มีหน้าท่ีท่ีใกล้เคียงกัน แถมมีช่ือเรียกท่ี
คลา้ ยๆกนั อกี ดว้ ย
แม้กระทงั่ ถู่ต่กี งเองนัน้ ความเชอ่ื ของชาวบ้าน (民間信
仰) ยงั แบง่ ประเภทออกไปไดอ้ กี เชน่ มกู่ ว่ ยถูต่ ้ี (木拐土地) หรอื
ถู่ต่กี งท่ีถอื ไม้เท้าท่ีเป็นไม้ธรรมดา ซ่ึงเช่อื ว่าท่านจะดูแลพ้ืนท่ีของ
สุสาน และ หรู่อ้ถี ู่ต้ี (如意土地) หรอื ถู่ต่กี งทถ่ี อื คทายู่อ่ี ซ่งึ เช่อื
วา่ ทา่ นดูแลเรอ่ื งโชคชะตาของคนในบา้ น เป็นตน้
ส่วนความเช่อื ท่วี ่า เจ้าท่ี เป็นมุสลิมไม่กินหมู นัน้ ดูจะเป็น
ความเชอ่ื ทไ่ี ม่ค่อยถกู ตอ้ งนกั จากการอนุมานน้ี สามารถสนั นิษฐานได้
วา่ แหล่งความรทู้ ใ่ี หข้ อ้ มูลนนั้ เป็นการแพรก่ ระจายของวฒั นธรรมชาว
142 ภาคท่ี 4: ภมู ปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์
จนี เปอรานากนั หรือ บาบา (เชอ้ื สายชาวจนี ฮกเกย้ี นและชาวมุสลิม
พ้ืน ท่ีภ าค ใต้ ) ท่ีแพร่กระจ าย อง ค์ค วา มรู้ผ่า นท าง ส่ือ ต่า ง ๆ
(เชน่ เดยี วกบั เทศกาลกนิ เจของทางภาคใต้ ซ่งึ แตเ่ ดมิ นนั้ ชาวจนี พน้ื ท่ี
อ่นื ๆไม่ได้มเี ทศกาลดงั กล่าว) อกี ทงั้ การเหมารวมเอาเจ้าท่ี หรอื ต่จี ู่
เอ้ยี (地主爺) ว่าไม่กินหมูทงั้ หมดคงไม่ได้ เพราะเจ้าท่ี คอื เทพ
หรอื ดวงวญิ ญาณผเู้ ป็นเจ้าของทซ่ี ่งึ เราอาศยั อยู่ โดยแต่ละท่ี กม็ ที ม่ี า
มีประวตั ิท่ีแตกต่างกัน อีกทัง้ ต่ีจู่เอ้ีย (地主爺) เป็นเพียงช่ือ
ตาแหน่ง ไม่ไดร้ ะบไุ ปวา่ เป็นบคุ คลเพยี งคนเดยี ว เพราะฉะนนั้ การจะ
บอกวา่ เจา้ ทไ่ี มก่ นิ หมูกไ็ ม่สมควรดว้ ยเชน่ กนั
ภาคท่ี 4: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์ 143
昭應 (兄弟公)
เจ้าพ่อร้อยแปด
เจ้าพ่อร้อยแปด (昭應) หรอื เฮยี ด่กี ง (兄弟公 ซงตกี ง
ในสาเนียงภาษาจนี กลาง) คอื ตานานความศกั ดสิ ์ ทิ ธทิ ์ ก่ี ล่าวขานกนั ถงึ
พ่อคา้ ชาวไหหลาทงั้ 108 คนทถ่ี กู ฆา่ แต่ดวงวญิ ญาณทงั้ หมดสามารถ
เรียกร้องความยุติธรรมและล้างมลทินให้กับตนเองได้ และดวง
วญิ ญาณของเจา้ พอ่ ทงั้ 108 ดวง ยงั คงชว่ ยเหลอื เหลา่ บรรดาลูกหลาน
ชาวจนี ไหหลาจากโจรสลดั รวมไปถงึ การเดนิ ทางขา้ มทะเลเพ่อื มาพ่งึ
พระบรมโพธสิ มภารในดนิ แดนสยาม ความศกั ดสิ์ ทิ ธขิ์ องเจา้ พ่อร้อย
แปดเลอ่ื งลอื ไปทวั่ สรา้ งแรงศรทั ธาต่อผคู้ นทงั้ ชาวจนี ไหหลาและชาว
ไทย เกดิ เป็นการสร้างศาลเจา้ ขน้ึ เป็นแห่งแรกท่ชี ุมชนชาวจนี ไหหลา
ย่านบางรกั กรุงเทพมหานคร ช่อื ศาล “เจยี วเอง็ เบ้ยี ว” หรอื 昭應
廟 (เชา่ ยงิ เมย่ี ว ในสาเนยี งภาษาจนี กลาง)
144 ภาคท่ี 4: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์
ประวตั ิเจา้ พอ่ ร้อยแปด
พ.ศ. 2394 ในสมยั เชยี นฟง ราชวงค์ชงิ ปีปฐมฤกษ์ได้มี
พ่ อ ค้ า ช า ว ไ ห ห ล า ค ณ ะ ห น่ึ ง ไ ด้ น า สิน ค้ า น า น า ช นิ ด อัน
ประกอบดว้ ย หยก ผา้ แพรพรรณ เครอ่ื งเคลอื บ สมนุ ไพรมากมาย
หลายชนิดลงเรอื เพ่อื นาไปคา้ ขายท่เี มอื งเว้ ประเทศเวยี ดนาม เรอื
ลาดงั กล่าวได้เรมิ่ ออกเดนิ ทางจากท่าท่คี ลองชงิ หลนั่ บนเกาะไหหลา
บนเรอื ประกอบดว้ ยพ่อคา้ ทงั้ หมด 108 คน (วนั ท่ี 20 มถิ ุนายน พ.ศ.
2394) ครนั้ พอรุ่งเชา้ วนั ท่ี 21 เรอื กอ็ อกเดนิ ทางต่อไป ขณะท่เี รม่ิ ออก
เดนิ ทางนนั้ บงั เอญิ ไดเ้ จอกบั เรอื ลาดตระเวนชายฝงั ่ ของเวยี ดนาม ซ่งึ
บนเรอื ลาดตระเวนนนั้ มเี จา้ หน้าท่ีซ่งึ เขา้ ใจวา่ เป็นพวกศลุ กากร 2 คน
และทหารเรอื อกี 2 คน กท็ าการใชป้ ืนยงิ สกดั เรอื ของพ่อคา้ ชาวไหหลา
จนเรอื ชารดุ และเสยี หาย เม่อื เจา้ หน้าทไ่ี ดน้ าเรอื มาเทยี บกบั เรอื พ่อค้า
ชาวไหหลา ก็จาได้ว่าเหล่าพ่อค้าทงั้ 108 คนบนเรือนัน้ เป็นคนท่ี
คนุ้ เคยกบั ทางสานกั พระราชวงั เพราะเคยนาสนิ คา้ มาค้าขายในสานัก
พระราชวงั เวียดนามจึงเกิดความเกรงกลวั ชวั่ ขณะหน่ึง หน่ึงใน
เจา้ หน้าทข่ี องเวยี ดนามจงึ ขอขมาต่อการล่วงละเมดิ และยนิ ยอมชดใช้
ค่าเสียหายให้ แต่ฝ่ายพ่อค้าชาวไหหลา กต็ งั้ เง่ือนไขในการเจรจา
ตอ่ รองวา่ ใหเ้ จา้ หน้าทข่ี องเวยี ดนาม ซ่อมแซมเรอื ทช่ี ารุดเสยี จากการ
ถกู ยงิ
แต่มเี จา้ หน้าทข่ี องเวยี ดนามอยู่สองคนเกดิ ความละโมบ เหน็
วา่ สนิ ค้าบนเรือมมี ากมายมหาศาลและเกรงว่าอาจจะมีการร้องเรยี น
จากพอ่ คา้ บนเรอื ซ่งึ มคี วามสนิทสนมกบั คนในพระราชวงั จนเกดิ การ
รอ้ งเรยี น และสรา้ งความเดอื ดรอ้ นมาถงึ ตวั เอง หากขนื ปล่อยให้หลุด
ภาคที่ 4: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์ 145
รอดไปถงึ เมอื งเว้ จะเป็นภยั ต่อตวั เองเป็นแน่ ดงั นนั้ จงึ ได้คดิ แผนฆ่า
พอ่ คา้ บนเรอื พรอ้ มทงั้ ยดึ ทรพั ยส์ นิ บนเรอื ทงั้ หมด เม่อื คดิ ไดด้ งั น้ีแลว้
จึงวางแผนหลอกให้พ่อค้าทัง้ หมดบนเรือข้ามมาฝงั ่ บนเรือของ
เจา้ หน้าทเ่ี วยี ดนามตอ่ จากนนั้ กแ็ จ้งขอ้ หากล่าวโทษกบั พ่อค้าไหหลา
ทงั้ หลายว่า บุกรุกน่านน้า, หลบเล่ียงภาษี, ทาผดิ กฎระเบียบของ
ทางการเวยี ดนามนาเรอื เขา้ มาโดยไมไ่ ดร้ บั อนุญาต และขอ้ หาเป็นโจร
สลดั เหล่าพอ่ ค้าชาวไหหลาโกรธแคน้ ยงิ่ นักท่ถี ูกใส่ร้ายปรกั ปรา และ
ไม่ยอมรบั ขอ้ กล่าวหา และเกิดการต่อสู้ แต่เน่ืองจากเจ้าหน้าท่ขี อง
เวยี ดนามมอี าวธุ อยูจ่ งึ ทาใหพ้ อ่ คา้ ทงั้ 108 คนไมส่ ามารถตอ่ สไู้ ด้
ตอ่ มาพอ่ คา้ ไหหลาบนเรอื ทงั้ 108 ชวี ติ กไ็ ดถ้ กู จบั มดั เป็นกลุ่ม
กลมุ่ ละ 10 คน ถกู เจา้ หน้าทเ่ี วยี ดนามทงั้ 4 ตดั ใบหูและฆา่ ทง้ิ ลงทะเล
ทงั้ หมด จากนนั้ กล็ ากเรอื ของพอ่ คา้ ชาวไหหลาไปท่ีท่าเรอื ของเมอื งเว้
และนาสนิ ค้าบนเรอื ไปแบ่งกนั ในขณะนัน้ บนเรอื กป็ รากฏมเี ดก็ ชาย
อายุประมาณ 8-10 ขวบอยู่คนหน่ึง เหน็ สภาพเหตุการณ์ทเ่ี กิดขน้ึ
ทงั้ หมดจงึ พยายามหลบซ่อนอยู่ใต้ท้องเรอื ในทส่ี ุดกไ็ ม่สามารถหลบ
พ้นจากสายตาของเจ้าหน้าท่เี วยี ดนามไดจ้ งึ ถูกฆา่ ตายตกตามไปกบั
พอ่ คา้ ทงั้ 108 ชวี ติ รวมเป็น 109 ชวี ติ (ป้ายบูชาบางแหง่ จงึ เขยี นไวว้ า่
เจา้ พ่อรอ้ ยแปด - รอ้ ยเกา้ )
ด้วยแรงอาฆาตแค้นจากความไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าท่ี
เวยี ดนาม จงึ ทาให้ดวงวญิ ญาณทงั้ 108 ชวี ติ และอกี หน่ึงเดก็ น้อยได้
รวมจติ วญิ ญาณอนั เหนียวแน่นและเป็นหน่ึงเดยี ว จนความเร่อื งน้ีรูไ้ ป
ถงึ สวรรคห์ ลงั จากนนั้ เจา้ หน้าทเ่ี วยี ดนามทงั้ 4 คน ไดน้ าความเทจ็ ไป
กราบทูลถึงกษตั ริย์เวยี ดนามว่าได้ปราบปรามโจรสลดั ทงั้ หมด มา
146 ภาคท่ี 4: ภมู ปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์
แสดงต่อกษตั รยิ เ์ วยี ดนาม เพ่อื นาเสนอขอความดคี วามชอบ กษตั รยิ ์
เม่อื ไดร้ บั รายงานเชน่ นนั้ กห็ ลงเชอ่ื และไดด้ าเนนิ การปนู บาเหน็จความ
ดคี วามชอบใหก้ บั เจา้ หน้าทท่ี งั้ 4
ในขณะท่กี าลงั ดาเนินการพธิ ปี นู บาเหน็จอยู่นนั้ ได้เกดิ ความ
มหศั จรรย์ของดวงวญิ ญาณของพ่อค้าท่ตี ายไปทงั้ 108 คน ทาให้
กษตั รยิ ไ์ ม่สามารถยน่ื พระหตั ถพ์ ระราชทานสง่ิ ของได้ และเกดิ อาการ
พระทยั เต้นแรงผิดปกติจนเป็นลมล้มพบั กบั พระท่ีนัง่ หลงั จากนัน้
กษตั รยิ เ์ วยี ดนามพระองคน์ นั้ กเ็ กดิ อาการประชวร ดว้ ยความสงสยั
ของกษตั รยิ ท์ ว่ี า่ เหตุใดเจา้ หน้าทข่ี องพระองคท์ าใบหูของโจรสลดั ท่ถี ูก
ตดั มา แต่ไมม่ ศี รี ษะและหลกั ฐานอยา่ งอ่นื เชน่ เรอื และของกลางอ่นื ๆ
เป็นเหตุใหพ้ ระองค์เกดิ ความสงสยั ยง่ิ นัก ครนั้ ตกในเวลาค่าคนื ใน
ขณะท่บี รรทม พระองค์สุบนิ ว่ามีวญิ ญาณจานวนมากมาร้องคร่า
ครวญโหยหวนขอความเป็นธรรมต่อพระองค์ จนพระองค์ตกพระทยั
ต่นื ขน้ึ มาจนรุง่ สาง
หลงั จากพระองคท์ รงต่นื จากบรรทม กย็ งั ไม่สามารถออกวา่
ราชการได้ จงึ มรี บั สงั่ ใหโ้ หรหลวงเขา้ เฝ้าฯ และทรงเล่าเหตุการณ์ท่ี
เกดิ ขน้ึ ใหโ้ หรหลวงฟงั โหรหลวงกไ็ ดท้ านายเร่อื งราวทเ่ี กดิ จากความ
ผดิ พลาดของเจา้ หน้าทข่ี องพระองค์ และอาจจะมคี นเป็นรอ้ ยทเ่ี สยี ชวี ติ
ลงด้วยความไม่ยุติธรรม จึงเป็นเหตุให้ดวงวิญญาณเหล่าน้ีมาร
รอ้ งเรยี นต่อพระองค์ เม่อื กษตั รยิ ์ของเวยี ดนามไดฟ้ งั คาทานายของ
โหรหลวงแลว้ กม็ รี บั สงั่ ใหเ้ สนาบดที าการสบื สอบสวนเร่อื งน้ีใหเ้ ป็นท่ี
กระจ่างชดั และชะลอเร่ืองการปูนบาเหน็จไว้ก่อน หลังจากนั้น
เจา้ หน้าทช่ี วั่ ของเวยี ดนามทงั้ 4 คนได้แบ่งทรพั ย์สนิ ท่ยี ดึ มาได้ แลว้ ก็
ภาคท่ี 4: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์ 147
นาไปใชจ้ า่ ยหาความสุขความบนั เทงิ จนเป็นทส่ี งั เกตของคนทัว่ ไปวา่
ร่ารวยผดิ ปกติ
วนั หน่งึ เจา้ หน้าท่ี 1 ใน 4 นนั้ ไดด้ ม่ื สรุ าทโ่ี รงเตย๊ี มแหง่ หน่งึ ซง่ึ
เป็นโรงแรมดว้ ยและทโ่ี รงแรมแห่งน้ีพวกพ่อคา้ ชาวไหหลาทถ่ี ูกฆา่ นนั้
กเ็ คยมาพกั เพราะมคี วามผกู พนั กนั เป็นญาติ เจ้าหน้าท่นี ายนนั้ กม็ า
หาความบนั เทงิ และด่มื สุราทน่ี ่ี ในขณะทด่ี ่ืมสุราจนเมามายได้ท่แี ล้วก็
ชาระค่าสุราอาหารดว้ ยแหวนทองคาและหยกต่อเจ้าของโรงเต๊ยี มแห่ง
นนั้ ปรากฏวา่ ญาตขิ องพ่อคา้ ชาวไหหลาจาไดว้ า่ ทรพั ยส์ นิ เหล่าน้ีเป็น
ของญาตขิ องตวั เองทม่ี าค้าขายทเ่ี มอื งเว้ และไดย้ นิ ข่าวว่ามกี ารปล้น
ฆา่ โจรสลดั ทเ่ี ป็นชาวจนี ไหหลา จงึ ทาให้เกดิ ความสงสยั ขน้ึ จงึ ได้
รวบรวมญาตพิ น่ี ้องทอ่ี ยู่เมอื งเวท้ งั้ หมดทาฎีกาขน้ึ ไปถวายต่อกษตั รยิ ์
ประกอบกบั ทางสานกั พระราชวงั กาลงั สบื เสาะเร่อื งราวน้ีอยู่พอดี
ในท่ีสุด ความจริงทงั้ หลายก็ได้ปรากฏขน้ึ กษัตริย์ของ
เวยี ดนามจงึ มรี บั สงั่ ให้ลงโทษเจ้าหน้ีท่ที งั้ 4 คน ดว้ ยการให้ประหาร
ชวี ติ และให้ยดึ ทรพั ย์สนิ ของกลางทงั้ หลายคนื แก่ญาตขิ องพ่อค้าชาว
ไหหลา กษตั ริย์เวยี ดนามทรงปรารภว่า วญิ ญาณทงั้ 108 คนชาว
ไหหลาชา่ งศกั ดสิ์ ทิ ธเ์ ป็นยง่ิ นกั หลงั จากนนั้ ทรงมรี บั สงั่ ใหน้ าทรพั ยส์ นิ
ทงั้ หมดท่ยี ดึ มา ส่งคนื ให้ญาตพิ ่นี ้องท่ไี หหลาทงั้ หมด พร้อมทงั้ พระ
ราชหตั ถเลขาแสดงความเสยี พระทยั ต่อพน่ี ้องของพอ่ คา้ ชาวไหหลาทงั้
รอ้ ยแปดชวี ติ และทรงยกย่องใหเ้ ป็นวรี บรุ ษุ หน่งึ รอ้ ยแปด
เม่อื ชาวจนี ไหหลาเดนิ ทางออกทะเล เจอกบั คล่นื ลมพายุ หรอื
แม้กระทงั่ โจรสลดั เจ้าพ่อร้อยแปดก็จะมาช่วยเหลือและคุ้มครอง
(คล้ายกบั เจ้าแม่ตุ๊ยบ้วย) เพ่อื ให้ลูกหลานชาวจนี ไหหลาปลอดภัย
148 ภาคท่ี 4: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์
ตลอดจนการเดนิ ทางมาพง่ึ พระบรมโพธสิ มภารบนแผน่ ดนิ สยาม เม่อื
ถงึ ฝงั ่ ชาวจนี ไหหลาจงึ สรา้ งศาลไวเ้ พ่อื เป็นการสนองพระคุณของเจา้
พ่อรอ้ ยแปด ทาใหช้ อ่ื เสยี งและความศกั ดสิ์ ทิ ธขิ ์ องเจา้ พอ่ รอ้ ยแปดเลอ่ื ง
ลอื ไปทวั่ โดยศาลเจ้าพ่อรอ้ ยแปดแห่งแรกคอื ศาลเจ้าเจยี วเอง็ เบย้ี ว
(昭應廟) ข้างสะพานสมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ (สะพานสาทร) เขต
บางรกั กรุงเทพมหานคร ภายในศาลประดษิ ฐานป้ายบูชาจารกึ พระ
นามเจา้ พ่อรอ้ ยแปดวา่
“昭應英烈一百有八公神位”
แปลวา่ วรี บรุ ุษผเู้ สยี สละคูค่ วรไดร้ บั ตาแหน่งเทพเจา้ 108
หรอื เรยี กสนั้ ๆ ตามการเรยี กของชาวจนี ไหหลาว่า เฮยี ด่กี ง
兄弟公 (ซงตกี ง ในสาเนียงภาษาจนี กลาง) ซ่ึงแปลว่า เจ้าพ่อพ่ี
น้อง
“อนึง่ ตานานของเจ้าพ่อร้อยแปดของชาวจีนไหหลา นัน้
เป็นคนละตานานกบั จอมยุทธแห่งเขาเหลียงซาน (หรือตานาน
เรือ่ ง เอง็ กอ) ด้วยเพราะมีจานวน 108 คน เหมือนกนั จึงทาให้
เกิดความสบั สน เพราะตานานทงั้ สอง ไม่ได้มีส่วนเกีย่ วข้องกนั
แต่อยา่ งใด ต่างกนั ทงั้ เวลา และสถานที่ หรือในบางกรณีทีม่ ีการ
กล่าวว่า เจ้าพ่อร้อยแปดคือทหารเสือของเจ้าแม่ทบั ทิมนัน้ กด็ ู
จะเป็นส่วนผิด เป็นการผกู เรือ่ งราวในประวตั ิศาสตรข์ องเจ้าพ่อ
ร้อยแปด และตานานความเชือ่ ของเจ้าแม่ทบั ทิมเข้าด้วยกนั ซึง่
ดไู ม่ถกู ต้องนัก
ภาคที่ 4: ภูมปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์ 149
สิง่ ทีพ่ อจะสนั นิ ษฐานและอนุมานได้ คือ การตงั้ ศาลเจ้า
โดยมีองค์เจ้าหลายๆองค์มาประทบั บนแท่นบูชารวมกนั ถือเป็ น
เรอื่ งปกติของชาวจนี เพราะศาลเจ้าถือเป็นศูนยร์ วมศรทั ธาของ
คนในชุมชน เจ้าจึงมีหลายองค์เพือ่ บันดาลความสุข(ที่มี
หลากหลายแบบ) ให้กบั คนในพ้ืนที่ ซึง่ ศาลเจ้าของชาวจีน
ไหหลามกั จะมีเทพประธานคือ เจ้าแม่ทบั ทิม หรือ เจ้าพ่อบ้วน
เถ่ากง (ข้ึนอย่กู บั ความศรทั ธาของคนในพ้ืนที่ โดยจะเลือกองค์
เจ้าทีศ่ รทั ธามากกว่าเป็ นเทพประธาน ส่วนเทพองค์อืน่ จะเป็ น
เทพชนั้ รอง) และมีป้ ายบูชาเจ้าพ่อร้อยแปดไว้ด้านข้าง หรือ
แท่นบูชาทีล่ ดหลนั่ ลงมา ดงั นัน้ จึงเกิดการเหมารวมเอาว่า เป็ น
เทพบริวารของเจ้าแม่ทบั ทิม ซึง่ แท้ทีจ่ ริงแล้วไมใ่ ช่”
150 ภาคท่ี 4: ภูมปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์
เจ้าพ่อหว่ากวงกง
รวมเทพเจ้าแห่งศิลปการแสดง
ประวตั ิโดยยอ่
หวา่ กวงกง (華光公) หรอื โหงวเฮาไต่ต่ี (五顕大帝)
หรอื ฮวั้ กวงไต่ต่ี (華光大帝) ในสาเนียงภาษาจนี อ่นื ๆ วนั สมภพ
คอื วนั ท่ี 28 เดอื น 9 จนี เป็นหน่งึ ในแม่ทพั สวรรคอ์ ารกั ขาตาหนักองค์
เงก็ เซียนฮ่องเต้ มอี าวุธเป็นทวนสามแฉกและอฐิ ทองทรงพรี ะมดิ ซ่ึง
แทท้ จ่ี รงิ แลว้ เป็นดาบทไ่ี ดร้ บั ประทานจากเมย่ี วลเ่ี ทยี นจนุ โดยหวา่ กวง
กงไดน้ ามาทาเป็นอฐิ ทอง เพ่อื ใชเ้ ป็นอาวุธปราบปิศาจและเทวดา ซ่งึ
หวา่ กวงกงเป็นหน่งึ ในสแ่ี ม่ทพั เทวดานามวา่ เหลง็ กวนเบ๊หง่วนโส่ย (
靈官馬元帥) ทป่ี กปกั ษร์ กั ษาพระพุทธศานา
ภาคที่ 4: ภูมปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์ 151
เดมิ มนี ามว่า เบ๊เหล็งเอ๊ยี ว (馬靈耀) ตามตานานของเบ๊
เหลง็ เอย๊ี ว มอี ทิ ธฤิ ทธทิ์ โ่ี ด่งดงั อยู่ 3 อยา่ งคอื
1.ปราบปิศาจพญาอกี าไฟ 500 ตวั
2.ปราบมงั กรเจา้ สมุทรตะวนั ออก (เจา้ สมุทรตงไห่)
3.ใชอ้ ทิ ธฤิ ทธลิ ์ งไปชว่ ยมารดาในนรก ซ่งึ ถอื วา่ ผดิ กฎสวรรค์
หลงั จากถูกจบั ได้ เง็กเซียนฮ่องเต้ได้เห็นความสามารถ จึง
ชกั ชวนให้เขา้ มาเป็นแม่ทพั สวรรค์ และแต่งตงั้ พระนามว่า โหงวเฮา
เหล็งกวานไต่ต่ีหว่ากวงไต่ต่ี 五顕靈官大帝華光大帝
ภายใตก้ ารบงั คบั บญั ชาของเสวยี นเทยี งเซยี งต่ี (玄天上帝) หรอื
ตวั่ เล่าเอย๊ี ะ
ในทางศลิ ปวทิ ยาการของชาวจนี ไหหลา ยงั ยกย่องท่านเป็น
ปรมาจารยแ์ หง่ ศลิ ปการแสดงทงั้ ปวง โดยเฉพาะคณะงว้ิ ไหหลา ทจ่ี ะมี
การบูชาท่านทุกครงั้ ก่อนออกแสดง ซ่ึงพระนามเต็มของท่านคือ
五顕祖帥華光大帝 (โหงวเฮาโตว่ แซหวา่ กวงต่ต)่ี
แต่ป้ ายท่ีจารึกจะรวมเอาเทพเจ้าอีกหลายพระองค์เข้าไว้
ดว้ ยกนั ในป้ายเดยี ว นนั่ เพราะ
152 ภาคที่ 4: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์
การแสดงและศิลปวิทยาการทงั้ หมด มีครูอาจารย์และ
เทพเจา้ องคอ์ ื่นๆค้มุ ครองด้วยเช่นกนั ซ่ึงแต่งเป็น “วลียาว” ดงั น้ี
敕封三界三十三天都天教一王竇郭田五
顕祖帥華光大帝神位
- 敕封 หมายถงึ พระราชทานนาม
- 三界三十三天都天教一王 หมายถงึ เทพจากทงั้ 3 โลก
และ 33 ชนั้ ฟ้า
- 竇郭田 หมายถงึ เทพประจาแซ่ต่างๆ คอื แซ่เถยี น แซ่โกย แซ่
โตว้ ซ่งึ แตล่ ะพระองคก์ ม็ ปี ระวตั แิ ละทม่ี าท่แี ตกต่างกนั นอกจากน้ี ยงั
เป็นเทพแห่งศลิ ปวทิ ยาการทต่ี ่างกนั
- 五顕祖帥華光大帝 หมายถงึ ปรมาจารยเ์ ทพหวา่ กวงกง
- 神位 หมายถงึ ป้ายบชู า
นอกจากน้ยี งั มเี ทพองคอ์ ่นื ๆ อกี คอื
1. สามอคั รเทพสาคญั
เทพแหง่ ไฟ 火 (เทพสกั ขแี หง่ การส่อื สาร)
เทพแหง่ ลม 風 (เทพสกั ขแี หง่ การสอ่ื สาร)
เทพแห่งความรูแ้ ละการคมุ้ ครอง 院
สถติ อยู่เป็นตวั อกั ษรเหนือ “วลยี าว”
ภาคท่ี 4: ภมู ปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์ 153
2. เทพบริวาร
ทข่ี นาบขา้ ง “วลยี าว” ประกอบไปดว้ ย
千里眼將軍 เทพตาทพิ ย์
順風耳元帥 เทพหทู พิ ย์
常板仙師 เซยี นคณาจารย์
吹曲童子 เทวกุมารแห่งเคร่อื งเปา่
และเทพองคอ์ น่ื ๆ
ฉะนัน้ การตงั้ ป้ ายบชู าเทพหว่ากวงกง จึงไม่ได้บูชา
เทพเจ้าหว่ากวงกงเพียงองคเ์ ดียว แต่หมายรวมเอาเทพ
เจ้าแห่งศิลปวิทยาแขนงต่างๆรวมเอาไว้ด้วย
ตวั อย่างประวตั ิของเทพองคต์ ่างๆท่ีมชี ่ืออยใู่ น”วลียาว”
เทพแซ่โกว หรือ กวั จ่อื อี๋ (郭子仪, 郭子儀) หรือ
เฟินหยางจงอู่หวาง (汾陽忠武王) คอื จอมพลผยู้ งิ่ ใหญ่ในชว่ ง
สมยั ราชวงศถ์ งั ผซู้ ง่ึ ไดช้ อ่ื วา่ เป็นจอมพลผปู้ ราบเหตุการณ์กบถอนั ส่อื
(安史之亂) และป้องกนั ประเทศจนี จากการรุกรานของกองทพั
ลูกผสมของชาวอุยกูร์ (維吾爾) และชาวธิเบต (西藏) ท่านมี
ความพเิ ศษท่ตี ่างจากสมาชกิ ในครอบครวั คนอ่นื ๆ คอื ท่านได้เข้าสู่
ชวี ติ การเมอื งโดยการสอบวิชาศิลปการต่อสู้ หรือวิชาบูซ๊ ่งึ เป็นการ
สอบเพอ่ื เป็นเจา้ หน้าทใ่ี นกองทพั แทนทท่ี ่านจะเขา้ สอบวชิ าบ๋นุ เหมอื น
สมาชกิ คนอ่นื ๆในครอบครวั ของทา่ น
154 ภาคท่ี 4: ภมู ปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์
เทพแซ่เถียน หรอื เถยี นฮู้หง่วนโส่ย田都元帥 ปจั จุบนั
นนั้ คณะละคร,นกั ดนตรแี ละนกั แสดงพน้ื บา้ นฮกเกย้ี น ยงั คงกราบไหว้
ขอพรจากท่าน เพ่อื ขอให้ท่าน ซ่ึงถอื ได้ว่าเป็นเทพของการแสดง
ประเภทน้ี ชว่ ยใหก้ ารแสดงเป็นไปอย่างราบร่นื รูปเคารพท่าน จะเป็น
รูปนกั รบชน้ี ้ิวขน้ึ และชล้ี ง หมายถงึ 天生吾, 地育吾 แปลว่า
"สวรรคใ์ หก้ าเนิด พสุธาให้คงอยู่" จรงิ ๆแล้วท่าทางแบบน้ีเป็นท่าทาง
ของนาฏลลี าในสมยั ถงั ทท่ี า่ นไดค้ ดิ คน้ ขน้ึ มานะครบั การแสดงฟ้อนรา
น้ใี ชช้ อ่ื วา่ 田都舞 เถยี นตูวู๋ มรี ูปปทู ห่ี น้าผากของรปู เคารพ ทม่ี าน้ี
มาจากเร่อื งเล่าท่ีเช่อื กนั ว่าตอนท่านเดก็ ๆนนั้ ปูได้ป้อนน้าอาหารให้
ท่านรอดชวี ติ จากในไร่นา ก่อนท่จี ะพบกบั พ่อบุญธรรม และมไี ก่กบั
สุนัขขา้ งกาย เช่อื กันว่าทงั้ ไก่และสุนัขน้ีเป็นเพ่อื นสมยั เดก็ ของท่าน
โดยเชอ่ื กนั วา่ หลงั จากท่ที ่านได้รบั ตาแหน่งราชการ (บางตานานกว็ ่า
หลงั จากไดเ้ ป็นเทพ) ท่านกไ็ ม่ลมื เพอ่ื นทงั้ สองตวั น้ี และไดร้ บั เขา้ ไปอยู่
ขา้ งกายท่าน ซ่ึงมยี ศเป็น 金雞銀犬將軍 คือ แม่ทพั ไก่ทอง
และแมท่ พั สนุ ขั เงนิ
เหตุผลท่ีทาไม หวา่ กวงกง ไมม่ ีการสรา้ งรปู เคารพ
การสร้างรูปเคารพของชาวจนี ไหหลา จะมกี ารสรา้ งกต็ ่อเม่อื
ต้องการให้เทพเจา้ ประดษิ ฐานอยู่ ณ ท่ใี ดท่หี น่ึง เช่น อาคารสถานท่ี
หรอื บนเรอื คา้ ขาย นนั่ เพราะ ตอ้ งการให้เทพองค์นนั้ เป็นเทพอุปถมั ภ์
และต้องการกราบไหว้บูชาทุกวนั แต่หากต้องมกี ารรอนแรมไปยงั ท่ี
ตา่ งๆ แบบไมม่ หี ลงั คามงุ ไม่มที พ่ี านกั แบบเรอื กม็ กั จะใชว้ ธิ กี าร สรา้ ง
ธงเคารพ หรอื กระดาษแดงเขยี นช่อื เพ่อื บูชา เพราะสามารถพกพา
ไปไหนกไ็ ด้ หวา่ กวงกงและ “วลยี าว” เป็นเทพของคณะการแสดง นนั่
ภาคท่ี 4: ภมู ปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์ 155
หมายถงึ การรอนแรมไปยงั ท่ตี ่างๆ ชาวจนี ไหหลาจงึ ไม่นิยมสร้างรูป
เคารพถาวร
ส่วนเหตผุ ลท่ี ทาไมบางศาลเจา้ ทม่ี กี ารตงั้ คณะเสอื คณะสงิ โต
ไม่มกี ารอญั เชญิ เทพเจ้าสถติ เป็นป้ายบูชาถาวรกเ็ พราะ บางศาลเจ้า
ไม่ได้มกี ารแสดงตลอดทงั้ ปี บางแห่งมเี พยี งสามปีครงั้ จงึ ไม่ไดม้ กี าร
บชู าตลอดเวลา เพราะในความเป็นจรงิ การบูชาหว่ากวงกง ก่อนการ
แสดงใหญ่ทุกครงั้ จะมกี ารเชอื ดหงอนไก่ แลว้ นาเลอื ดมาสะบดั ใส่ป้าย
บูชา เพอ่ื แสดงความเคารพ บางท่ี ทไ่ี ม่ได้มกี ารการแสดงบ่อยๆ เช่น
ศาลเจา้ แม่ทบั ทมิ พชิ ยั ลกั ษณะการบชู าจงึ เป็นการ อญั เชิญเทพเจา้
สถิตยงั กระดาษแดง เชิญมาเป็นองคป์ ระธานชวั่ คราว เม่ือเสรจ็
งาน หรือเสรจ็ พิธี จะเผากระดาษแดงนัน้ เพื่อเป็ นการส่งเสดจ็
กลบั เพราะจะไมม่ ใี ครกราบไหว้บูชาเทพเจ้าอีก จนกว่าจะมีการ
แสดงครงั้ ใหม่ ที่กินระยะเวลานาน ซึ่งนี่ไม่ใช่การลบหลู่ แต่เป็ น
กศุ โลบายของบรรพชน ที่ไม่ได้ต้องการให้ลูกหลานลาบาก หรือ
ทารา้ ยสตั ว์ (ไก่) อยบู่ ่อยครงั้
ซ้าย: หว่ากวงกงแบบป้ ายกระดาษแดง ของคณะงิ้วไหหลา
ขวา : หว่ากวงกงแบบเป็ นองคเ์ ทวรปู ถือทวนสามแฉกและกระบ่ีรปู อิฐทองทรงพีระมิด
156 ภาคที่ 4: ภูมปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์
魯班公
ด่บู นั้ กง
เทพเจ้าแห่งงานช่างชาวจีนไหหลา
ดู่บนั้ กง หรอื หลู่ปนั (魯班公) เป็นเทพเจ้าท่ีชาวจนี ต่าง
ยกย่องทา่ นเป็นเทพอารกั ษ์ประจาอาชพี ชา่ งไม้ ช่างปนู งานก่อสร้าง
รวมทงั้ งานวศิ วกรรม สถาปตั ยกรรมต่างๆ แต่เดมิ บรรดาชา่ งไม้ ชา่ ง
ปนู โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การสรา้ งศาลของท่านไวท้ ่โี รงไม้ ของช่าวจนี
ไหหลา ซ่ึงปจั จุบนั หาดูได้ยาก และน้อยคนนักท่จี ะทราบถงึ ประวตั ิ
ความเป็นมาของท่าน แต่สาหรบั ชาวจนี ไหหลา เทพดู่บนั้ กง คอื เทพ
องค์สาคญั ของอาชพี ชา่ งไม้ และเจ้าของกจิ การโรงไม้ซ่ึงเป็นอาชพี
หลกั ของชาวจนี ไหหลาในอดตี
ภาคท่ี 4: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์ 157
เม่อื ถงึ วนั คลา้ ยวนั ประสูตจิ ะมกี ารเตรยี มเคร่อื งเซ่นไหวไ้ ปเซน่
ไหว้ และจะเคร่อื งมือเคร่ืองใช้ในการประกอบอาชพี มาซ่อมแซม
บารงุ รกั ษาใหค้ งสภาพดพี รอ้ มทจ่ี ะใชง้ านในวนั น้อี กี ดว้ ย
ประวตั ขิ องท่านเดมิ ชอ่ื กงซูปนั (公输班) เน่ืองจากท่าน
เป็นชาวเมอื ง ลู่กวั ๋ (魯國) จงึ รู้จกั และเรยี กท่านในนามว่า หลู่ปนั
สมยั ชนุ ชวิ (春秋 770 - 476 ปีก่อนครสิ ตศกั ราช) ท่านเป็น
ชา่ งไมท้ ม่ี ากดว้ ยความสามารถ กระทงั่ ไดเ้ ขา้ รบั ราชการในราชสานัก
ท่านกไ็ ด้รบั พระราชทานยศเป็น “บู่ กวั้ ตา้ ซ่ือ” ท่านได้ฝากผลงาน
อนั มคี ุณค่าไว้มากมาย อาทิ สร้างพระราชวงั ท่ีประทับต่างๆ สร้าง
ยุทโธปกรณ์ไวม้ ากมาย ในทางตานานได้กล่าว ภายในคนื หน่ึงท่าน
สามารถสรา้ งสะพานไดถ้ งึ 3 แห่ง และเป็นผคู้ ดิ รเิ รมิ่ นากบไสไมม้ าใช้
อกี ดว้ ย
อกี ตานานหน่ึงกลา่ วไวอ้ ยา่ งพสิ ดารวา่ เมอ่ื ครงั้ กงซูปนั ได้ร่วม
เดนิ ทางไปกบั น้องสาวของท่านไปถงึ เมอื งเฉาอนั (潮安) มณฑล
กวางตงุ้ ระหวา่ งทางท่านไดพ้ บกบั แมน่ ้าอนั กวา้ งใหญ่และกระแสน้าท่ี
เชย่ี วกราก ท่านทงั้ สองจงึ ได้ร่วมมอื ร่วมใจกนั สร้างสะพานเพ่อื ขา้ ม
แม่น้าไป โดยท่านได้ใชเ้ วลาแค่ชวั่ คนื เดยี วกแ็ ล้วเสรจ็ และมคี วาม
งดงามดว้ ยลวดสายแกะสลกั ไวอ้ ย่างวจิ ติ ร เม่อื รุ่งเชา้ มชี าวบ้านมาพบ
เขา้ จงึ เป็นทอ่ี ศั จรรยใ์ จยง่ิ พร้อมทงั้ ข่าวได้กระจายไปไกล กระทงั่ ได้
ยนิ ถงึ หูของโป๊ยเซยี น (八仙) ทพ่ี านกั อย่ไู กลโพน้ ขา่ วน้ีไดร้ บั ความ
158 ภาคที่ 4: ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ศาสนศาสตร์
สนใจแก่เหล่าเซียนทัง้ 8 เป็นอย่างมาก จนกระทัง่ จางกัว่ เหลา
(เตยี ก้วยเล่า 张果老) ถงึ กบั ได้ขล่ี ามาชม เม่อื มาถงึ ท่านเซยี นได้
เอ่ยถามกบั กงซูปนั ว่า สะพานแห่งน้ีมคี วามเขง็ แรงดพี อหรอื ไม่ กงซู
ปนั ย่อมรบั รองว่าแขง็ แรงดีพอ แต่หารู้ไม่ว่าท่านจางกวั่ เหลานัน่ ได้
นาเอากระเป๋ าทภ่ี ายในบรรจุพระอาทติ ยไวใ้ นช่องด้านซ้าย พระจนั ทร์
ในช่องดา้ นขวา ยงั มนี ้าจากทะเลสาบใหญ่ทงั้ 5 จากทะเลใหญ่ทงั้ 4
และจากแม่น้าใหญ่ทงั้ 3 มาด้วย เม่อื ขน้ึ สะพานจงึ บงั เกดิ เสยี งคลอน
แคลนขน้ึ กงซูปนั จงึ รบี กระโดดลงไปในน้า เอาแขนทงั้ สองขา้ งค้ายนั
สะพานไวไ้ มใ่ หพ้ งั ลงมา จางกวั่ เหลาจงึ ขา้ มสะพานไปได้ และไดห้ นั มา
ถามช่อื เสยี งเรียงนามของผู้สร้างสะพานน้ี แต่ด้วยว่ากงซูปนั ได้คิด
น้อยใจทไ่ี มส่ ามารถทาสะพานทแ่ี ขง็ แรงพอได้ จงึ ไมไ่ ดต้ อบ แต่กลบั ใช้
มอื ควกั ลูกตาออกมาขา้ งหน่ึงเอาไปป้ายไวท้ ข่ี า้ งสะพานนนั่ แลว้ ทา่ นก็
ออกเดนิ ทางจากไป
สงิ่ สาคญั ทท่ี ่านไดส้ รา้ งมานนั้ คอื ระบบมาตรวดั หลู่ปนั ฉ่ือ 鲁
班尺 ซง่ึ มขี นาดความยาวต่างจากไม้บรรทดั ปจั จุบนั ไมว้ ดั แบบหลู่
ปนั ฉ่ือจะมีความยาวตลอดไม้ประมาณ 43 ซม. หรือ 17 น้ิว แบ่ง
ออกเป็น 8 ช่วงใหญ่ๆ แต่ละช่วงจะมีระยะห่าง 5.5 ซม. มีตวั อกั ษร
กากบั บอกถงึ คณุ และโทษไว้ ในแตล่ ะชว่ งจะเรยี งอกั ษรจนี ไวเ้ รม่ิ ดว้ ย
財 ไฉ (ทรพั ยส์ นิ )
病 ป้ิง (โรคภยั ไขเ้ จบ็ )
ภาคท่ี 4: ภมู ปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์ 159
離 หลี (พลดั พราก)
義 อ(่ี คุณธรรม)
官 กวนั (ยศศกั ด)ิ์
劫 เจยี๋ (พบิ ตั หิ รอื สูญเสยี )
害 ไฮ่ (เภทภยั )
本 เป่ิน (รากฐาน)
อกั ษร 4 ตวั คอื 財 ไฉ 義 อ่ี 官 กวนั และ 本 เปิ่น ถอื
เป็นตาแหน่งทเ่ี ป็นมงคลทจ่ี ะนาโชคลาภดา้ นการเงนิ มลี ูกหลานทด่ี ี มี
อานาจบารมแี ละนาความเจรญิ ร่งุ เรอื ง
ส่วนอีก 4 ตวั ท่เี หลอื คอื 病 ป้ิง 離 หลี 劫 เจยี๋ 害 ไฮ่
ถอื เป็นตาแหน่งทเ่ี ป็นอปั มงคล จะนาสงิ่ เลวร้าย ความเจบ็ ป่วย ความ
พลดั พราก การสูญเสยี ความตาย ความหายนะและสุขภาพทไ่ี ม่ดมี า
ให้
ทงั้ น้ี ในการสรา้ งรูปเคารพของชาวจนี นนั้ มรี ายละเอยี ดต่างๆ
ทส่ี าคญั โดยจะตอ้ งคานงึ ถงึ ขนาด สณั ฐานรปู ร่าง ให้สอดคล้องกบั คติ
ความเชอ่ื และตานานของเทพเจา้ องคน์ นั้ ๆ ซ่งึ สงิ่ ทส่ี าคญั ทส่ี ุดคอื การ
วดั ดว้ ย หลู่ปนั ฉ่ือ 鲁班尺 หรอื ไมบ้ รรทดั ชนิดพเิ ศษ ใชเ้ ฉพาะใน
160 ภาคท่ี 4: ภมู ปิ ญั ญาแห่งศาสนศาสตร์
การสร้างศาสนสถาน หรือสงิ่ สาคญั ทช่ี าวจนี ใหค้ วามสาคญั โดยคติ
ความเชอ่ื เกย่ี วการสรา้ งรูปเคารพจะตอ้ งคานงึ ถงึ วนั เวลาอนั เป็นมงคล
อกี ทงั้ สร้างความศกั ดิส์ ิทธขิ์ น้ึ ควบคู่ไปกบั การสรรค์สร้างเทวรูปให้
งดงาม
ศาลด่บู นั้ กงในโรงไมข้ องชาวจนี ไหหลา
ภาพ: โรงไม้เซี่ยงเฮง อ.สรรคบรุ ี จ.ชยั นาท
เทพด่บู นั้ กง เทพประจาโรงไม้ของชาวจีนไหหลา
ภาคท่ี 5
ภมู ิปัญญาแห่งนาฏยศาสตร์
162 ภาคที่ 5 ภูมปิ ญั ญาแหง่ นาฏยศาสตร์
文昌盅盤舞
การละเล่นราถ้วยจีนไหหลา
นาฏยวฒั นธรรมแห่งศรทั ธา
ธรรมชาตขิ องมนุษยเ์ กิดมาย่อมมกี ารเคล่อื นไหว จะอยู่น่ิง
ไม่ได้ ซง่ึ การเคลอ่ื นไหวเป็นสงิ่ จาเป็นอย่างหน่งึ ของมนุษย์ ทงั้ เดก็ และ
ผู้ใหญ่ตลอดถึงผู้สูงอายุและมนุษย์มีนิสัยชอบสังคม คือ ชอบอยู่
ร่วมกนั เป็นกลุ่ม จงึ ตอ้ งมกี ารคบหาสมาคมกนั และมกี ารระบายออก
ทางจติ ใจ เพอ่ื ใหม้ คี วามสบายทงั้ กายและใจดว้ ย การละเลน่ จงึ เป็นการ
แสดงออกของการเช่อื มความสามคั คีของคน ทาให้คนคบหากนั ได้
อยา่ งสนิทสนมจงึ นบั เป็นนนั ทนาการอย่างหน่ึง นอกจากน้ีการละเล่น
เม่อื มกี ารจดั เป็นระบบหรอื แบบแผน มกี ตกิ าใหค้ นในกลุ่มปฏบิ ตั ิ ย่อม
เป็นการแสดงถึงความเจริญงอกงามของคนในกลุ่มนัน้ และเป็น
ภาคที่ 5 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ นาฏยศาสตร์ 163
เอกลกั ษณ์อยา่ งหน่ึงด้วย อนั แสดงถงึ ความเป็นผมู้ วี ฒั นธรรมของคน
กลุ่มนนั้ ดว้ ย การละเล่นจงึ เป็นเคร่อื งช่วยส่งเสรมิ ใหม้ กี ารพฒั นา ทงั้
กายและจติ ใจของคน ทาใหค้ นไดม้ คี วามคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ และความ
สา มัค คีก ล มเ ก ลีย ว ข อง ค น ใ น สังค ม สืบ ท อ ดส า น ส ร้า งก า ร ล ะ เ ล่ น
เหล่านนั้ ใหก้ ลายเป็น “นาฏยทางวฒั นธรรม”แหง่ ศรทั ธา
การละเล่นราถ้วย เป็นการแสดงท้องถ่ิน ท่ีช่วยสร้างสีสัน
ใหก้ บั เทศกาลหรอื งานร่นื เรงิ ต่างๆของชาวจนี ไหหลา(บางพ้นื ท่)ี จาก
ผลงานวจิ ยั ทางประวตั ศิ าสตรเ์ รอ่ื ง “การศึกษาวิวฒั นาการของเพลง
การละเล่นและความบนั เทิงของชาวไหหลาในช่วงหลงั ยุค 5
ราชวงศ์ของจีน”4 ของมหาวิทยาลัยไห่หนาน สามารถสรุปข้อ
สนั นิษฐานไดว้ า่ การละเล่นราถว้ ยเกดิ ขน้ึ ครงั้ แรกเม่อื ใดไม่ได้มกี าร
บนั ทกึ ไวเ้ ป็นหลกั ฐานทแ่ี น่ชดั ทราบแต่เพยี งว่า เกดิ ขน้ึ ในช่วงปลาย
ราชวงศห์ ยวนจนถงึ ตน้ ราชวงศห์ มงิ โดยการละเลน่ ดงั กล่าว ถอื กาเนดิ
ขน้ึ แถบชานเมอื งเหวนิ ชาง 文昌 (บุ่นเซียง ในสาเนียงจนี ไหหลา)
โดยทวั่ ไปแลว้ จะเรยี กวา่ การละเล่นราถว้ ยของบุ่นเซียง (文昌盅
盤舞 เหวนิ ซางจงผานวู่) ซ่ึงในปี พ.ศ.2548 (ค.ศ.2005) รฐั บาล
จีนได้ขึ้นทะเบียนให้การละเล่นราถ้วยของเกาะไหหลาเป็ น
4 海南日报报业集团南海网. “五代以后,中原多故,众多移
民纷纷入琼,“世变风移 薰染进化”使海南的文化教
育歌舞娱乐勃兴 ”.
164 ภาคที่ 5 ภูมปิ ญั ญาแหง่ นาฏยศาสตร์
“มรดกทางวฒั นธรรมที่ได้รบั การคุ้มครองและควรค่าแก่การ
อนุรกั ษ์”
ต่อมาในปี พ.ศ.2550 (ค.ศ.2007) การละเล่นราถ้วยกไ็ ด้รบั
การขน้ึ ทะเบยี นเป็นมรดกทางวฒั นธรรมอนั ทรงคุณค่าท่จี บั ต้องไม่ได้
เป็นลาดบั ท่ี 2 ของเกาะไหหลา (ในวนั ท่ี 22 กรกฎาคม 2550)5
คาวา่ ราถว้ ย เกดิ จากการแปลความหมายของคาว่า 盅 (จง)
ซง่ึ ในทน่ี ้หี มายถงึ ถว้ ยชาม และ 盤(ผาน ในสาเนียงจนี กลาง หรอื บวั๊
ในสาเนียงจนี ไหหลา ซง่ึ 盤 ผาน คอื อกั ษรตวั เตม็ ของ 盘)หมายถงึ
จานชาม แตใ่ นความเป็นจรงิ แลว้ ในการแสดงจะใชถ้ ว้ ยน้าชาหรอื จอก
น้าชา (杯 เป้ย) ซ่งึ ถา้ จะใชต้ วั อกั ษร 杯 แทน 盅 กไ็ ม่ถอื วา่ ผดิ
盅盤舞 หรอื 杯盤舞 กไ็ ด้
รูปแบบของการละเล่นราถ้วยเกิดข้นึ จากการดดั แปลงเอา
ละครร้องของชนเผ่าถูเจยี 6 หรอื ถูซ่ี (土戏) ซ่งึ มลี กั ษณะคล้าย
กบั ง้วิ โดยใชผ้ ูเ้ ล่นทงั้ ชายและหญิง ซ่ึงผู้แสดงมกั จะเป็นกลุ่มเด็กๆ
5黄循鑫. 南国古风:海南民间舞蹈. 海南日报报业集团南海
网. 海口, 2007.
6 ชาวถเู จยี 土家族 มชี ่อื เสยี งในเร่อื งการรอ้ งเพลงและการเตน้ รา เป็นกลุ่มชาตพิ นั ธถ์ุ ูเจยี
เดมิ อาศยั อยใู่ นเขตภูเขาอู่หลงิ พรมแดนระหว่างมณฑลหูหนาน หเู ป่ย กุ้ยโจวและเทศบาล
นครฉงชง่ิ สบื เชอ้ื สายมาจากชาวปาโบราณท่กี ่อตงั้ อาณาจกั รปา ในเขตนครฉ่งช่งิ เมอ่ื 2,500
ปีท่แี ลว้ ต่อมากถ็ ูกทาลายลงโดยอาณาจกั รวรรดฉิ ิน
ภาคที่ 5 ภูมปิ ญั ญาแหง่ นาฏยศาสตร์ 165
เพ่อื ใหเ้ กดิ ความน่ารกั ในการแสดงจะมกี ารใช้อุปกรณ์ในครวั เรอื นทใ่ี ช้
ในชวี ติ ประจาวนั ประกอบไปดว้ ย ตะเกยี บ ชอ้ นเซรามคิ จานเซรามิค
จอกน้าชา พดั ลูกกระพรวน ไมค้ ทา นามาเคาะหรอื นามากระทบกนั
ให้เกดิ จังหวะและเสียงเพ่ือให้สอดคล้องกับท่วงท่าการร่ายราและ
ท่วงทานองของเพลงบรรเลงจาก ขลุ่ย กลอง ผ่าง และอุปกรณ์ให้
จงั หวะอ่นื ๆ ใชร้ ะบบตวั โน้ต 8 หอ้ งเสยี ง โดยในยุคแรก การละเล่นรา
ถว้ ยมกี ารรา่ ยราเพอ่ื ขอพรจากเทพยดา เรยี กลมเรยี กฝน ของชาวนา
ในเมอื งบุน่ เซยี ง
แต่เดิมการละเล่นราถ้วยน้ีจะเรียกว่าเฮ่อชีวู่ (贺喜舞)
แปลวา่ การเต้นราอวยพรแต่งงาน ซ่งึ จะแสดงเฉพาะในงานแต่งงาน
ซ่ึง 1 ชุดจะประกอบไปด้วยเด็กผู้ชายและผูห้ ญิงหลายคน โดยจะ
จาลองใหเ้ ดก็ ผชู้ าย 1 คนเป็นเจา้ บา่ ว และเดก็ ผหู้ ญงิ 1 คนเป็นเจา้ สาว
ทาท่าทางเก้ยี วพาราสีกนั เดก็ ผชู้ ายท่เี ป็นเจ้าบ่าวจะถอื จานเซรามิค
และตะเกยี บ ส่วนเดก็ ผหู้ ญงิ ทเ่ี ป็นเจา้ สาวจะถอื จอกน้าชาในมอื ทงั้ 2
ขา้ ง ขา้ งละ 2 ใบ เพ่อื ให้แต่ละข้างมีเสยี งดงั จากการกระทบกนั ของ
จอกน้าชา 1 คู่ โดยจะเตน้ สลบั กนั ยอ่ เขา่ สลบั กนั ลกุ ขน้ึ ยนื ตามจงั หวะ
เพลง เดก็ ผูช้ ายอกี คนหน่ึงจะถอื พดั โบกไปมาทาท่าทางเป็นตวั ตลก
พรอ้ มกบั เตน้ ตามจงั หวะให้สอดประสานกบั เจา้ บ่าวและเจา้ สาวทเ่ี ตน้
อยู่ ส่วนเดก็ ผหู้ ญงิ คนอ่นื ๆ กก็ จ็ ะถอื ลูกกระพรวนเคาะไปตามแขนขา
เพอ่ื ใหเ้ กดิ เสยี ง บ้างก็นาชอ้ นมาเคาะกระทบกบั จาน นาไม้คทาท่ตี ดิ
กระพรวนมาเขย่าตามจงั หวะเพลงท่บี รรเลง สร้างความสนุกสนานใน
166 ภาคท่ี 5 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ นาฏยศาสตร์
งานแต่งงาน ซ่ึงต่อมาได้มีการพัฒนานาเอาการละเล่นราถ้วยน้ีไป
แสดงในงานร่นื เรงิ และงานฉลองในเทศกาลสาคญั อ่นื ๆ เช่น เทศกาล
หยวนเซยี ว (ง่วงเตยี ว) งานสมโภชศาลเจา้ เป็นตน้
นอกจากน้ี ยงั มีหลกั ฐานปรากฏการละเล่นราถ้วยในโอกาส
พเิ ศษเพ่อื เป็นการเรยี กขวญั ทหารราบในสมยั ของ มาดามเซยี น หรอื
ฮูหยนิ เจ้งิ สุ่น (เจยี๋ ต้นเต๋งเหน่ียง เจ้าแม่ทบั ทมิ ตานานท่ี 3 ของชาว
ไทยเชอ้ื สายจนี ไหหลา) บนเกาะไหหลาในการนาทพั ออกรบอกี ดว้ ย
เม่อื ชาวจนี ไหหลาอพยพมายงั ประเทศไทย กไ็ ม่ลมื ทจ่ี ะนาเอา
การละเล่นทางวฒั นธรรมท่ีทรงคุณค่าน้ีติดมือมาด้วย กลุ่มชาวจีน
ไหหลาจากเมอื งบุ่นเซยี งทเ่ี ขา้ มาในเขตอาเภอพชิ ยั จงั หวดั อุตรดติ ถ์
คอื กลุม่ ชาวจนี กลุ่มแรกๆทม่ี กี ารนาเอาการละเล่นดงั กล่าวมาเป็นการ
ราอวยพรเน่อื งในงานแหเ่ จ้าแม่ตุ๊ยบว้ ย โดยมกี ารดดั แปลงเพ่อื ใหเ้ ขา้
กบั ยุคสมยั และความเหมาะสมในขณะนนั้ ซ่งึ ในการแสดงจะจดั กลุ่ม
เดก็ ผหู้ ญงิ ใหใ้ น 1 กลมุ่ มเี ดก็ 4-5 คน คนหน่งึ ถอื ตะเกยี บและจาน คน
หน่งึ ถอื จอกน้าชาเป็นคๆู่ เพ่อื ใหเ้ กดิ เสยี งดงั จากการกระทบกนั อกี คน
ถอื ไม้คทาเขย่าบ้าง กระแทกพ้นื บ้าง ส่วนอกี คนถอื กระพรวนนามา
เคาะตามแขนขา ร่างกาย เพ่อื ให้เกดิ เสยี ง เขา้ กบั จงั หวะของเพลงท่ี
บรรเลง ทงั้ หมดล้อมวงกนั เล่น เดนิ เป็นวงกลม สญั ลกั ษณ์ของความ
สมคั รสมานสามคั คี เป็นขอ้ เตอื นใจใหก้ บั ผใู้ หญ่ถงึ ความปรองดองของ
คนในชมุ ชนทร่ี ่วมกนั จดั งาน
ภาคท่ี 5 ภูมปิ ญั ญาแหง่ นาฏยศาสตร์ 167
กาลต่อมาภายหลงั คณะราถ้วยของศาลเจ้าแม่ตุ๊ยบ้วย หรอื
เจา้ แม่ทบั ทมิ ของอาเภอพชิ ยั ได้มโี อกาสไปเผยแพร่การแสดงใหก้ บั
ศาลเจ้าพ่อเทพารกั ษ์-เจ้าแม่ทบั ทมิ ท่ปี ากน้าโพ จงั หวดั นครสวรรค์
จนในทาให้ในปจั จุบนั มคี ณะราถ้วยในประเทศไทย 2 แห่ง แห่งหน่ึง
คอื ทอ่ี าเภอพชิ ยั จะมกี ารแสดงเฉพาะโอกาสสาคญั ซ่งึ จะจดั ในทุกๆ 3
ปี คอื งานประเพณแี ห่เจา้ แม่ทบั ทมิ พชิ ยั เท่านนั้ ซ่งึ การแสดงคณะรา
ถว้ ยของอาเภอพชิ ยั จะใชเ้ พลงท่มี จี งั หวะสนุกสนาน ครกึ ครน้ื เดก็ ๆ
จะเตน้ กนั ตามจงั หวะดว้ ยความร่าเรงิ ตามความหมายของการละเล่น
ราถ้วยตามแบบฉบบั เดิมของชาวจนี ไหหลาท่ตี อ้ งการจะส่อื ถงึ ความ
สนุกสนานรน่ื เรงิ ส่วนคณะราถว้ ยอกี แห่งหน่งึ คอื ทจ่ี งั หวดั นครสวรรค์
จะมีการแสดงทุกปีในช่วงเทศกาลตรุษจีน จะมีพัฒนาการทาง
การละเล่นดว้ ยทว่ งทา่ และทานองเพลงทม่ี คี วามอ่อนชอ้ ยมากขน้ึ ตาม
จงั หวะเพลงทช่ี า้ ลง
การแสดงของคณะราถ้วย ของเดก็ ๆบนเกาะไหหลา
168 ภาคที่ 5 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ นาฏยศาสตร์
คณะราถ้วยศาลเจา้ แมท่ บั ทิมพิชยั
(ขอบคณุ ภาพจาก คุณวทิ ยา ศรมี ว่ ง : WE LOVE PHICHAI)
ภาคท่ี 5 ภูมปิ ญั ญาแห่งนาฏยศาสตร์ 169
拜八仙
บา่ ยโบ้ยเตียน: แปดเซียนอานวยพร
อปุ รากรสะท้อนความกตญั ญู
อุปรากรจนี หรอื งว้ิ คอื ศลิ ปกรรมการละครท่เี ป็นมรดกทาง
วฒั นธรรม สะทอ้ นความเชอ่ื ความศรทั ธาของชาวจนี จากรุ่นสู่รุ่น ต่อ
องค์เทพยดาผูค้ อยปกปกั ษ์รกั ษา บาบดั ทุกข์ บนั ดาลสุขทางจติ ใจ
เป็นแรงยดึ เหน่ียวทางจติ วญิ ญาณให้หล่อหลอมรวมกนั เป็นหน่ึงของ
คนในชมุ ชน งว้ิ จงึ ถอื เป็นการแสดงทม่ี คี ุณคา่ เพราะไม่ใช่เพยี งแต่เป็น
การแสดงให้กบั บุคคลธรรมดาดูเท่านัน้ หากแต่จิตสานึกของคณะ
แสดงจะพงึ ระลกึ เสมอวา่ “การแสดงไม่ใช่เล่นเพ่อื คน แต่เล่นเพ่อื เจา้ ”
ธรรมเนียมของการแสดงง้วิ จงึ มกี ารไหวค้ รู บวงสรวงต่อสงิ่ ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์
และเบิกโรงเล่นด้วยการแสดงชุดสาคัญ เทยี บเท่ากบั การถวายตัว
170 ภาคที่ 5 ภมู ปิ ญั ญาแห่งนาฏยศาสตร์
บอกกล่าวเพอ่ื เตรยี มตวั แสดง ดว้ ยการอวยพรใหก้ บั ผชู้ ม ทงั้ ท่เี ป็นคน
และสง่ิ เหนือธรรมชาตดิ ว้ ย
ไป่ปาเซียน หรอื บ่ายโบ้ยเตยี น ในสาเนียงจีนไหหลา แปล
เป็นไทยวา่ แปดเซยี นอานวยพร คอื การแสดงเบกิ โรงอวยพรของคณะ
งว้ิ ทเ่ี ลน่ ถวายเทพเจา้ เดมิ เป็นการแสดงฉากจาลองงานฉลองวนั คลา้ ย
วนั สมภพของเจ้าแม่ซหี วางหมู่ (西王母娘娘) หรอื ในบางตารา
กล่าวว่า เป็นงานวนั สมภพของเจ้าแม่เทียนโหว (天后聖母)
ราชนิ แี หง่ สวรรค์ โดยบรรดาเหล่าทวยเทพน้อยใหญ่จะมาอานวยพระ
พรให้กบั เจา้ แม่ เป็นการแสดงความเคารพ คลา้ ยกบั ธรรมเนียมการ
อวยพรวนั เกดิ ผชู้ มสามารถจา่ ยเงนิ ใหก้ บั คณะงว้ิ เพอ่ื เป็นค่าจา้ งพเิ ศษ
ในการเล่นง้วิ เบกิ โรงถวายพระพรใหก้ บั เทพเจ้าได้ ซ่งึ จานวนเงนิ นัน้
ขน้ึ อยู่กบั คณะงว้ิ เป็นผกู้ าหนด โดยผทู้ ต่ี อ้ งการใหง้ ว้ิ เล่นบา่ ยโบย้ เตยี น
ให้ จะต้องนาเงิ นใส่ซองแดง วางไว้บนพานท่ีมีหมาก พลู
(สญั ลกั ษณ์แทนการไหวค้ รู เพราะหมากพลูคือเคร่อื งบูชาของชาว
ไหหลา เช่นเดยี วกบั ชาวไทย) ข้าวเปลือก ถวั่ เขียว งา (สญั ลกั ษณ์
แทนความเจรญิ รุ่งเรอื ง) พรอ้ มกบั เศษเงินเหรียญ (แล้วแต่จานวนท่ี
คณะง้ิวกาหนด บางคณะใส่ 32 บาท บางคณะใส่ 36 บาท หรือ
มากกวา่ นนั้ ) เมอ่ื ถงึ เวลาหวั ค่าก่อนการแสดงตามท้องเร่ืองใดๆ คณะ
งว้ิ จะมกี ารแสดงบา่ ยโบย้ เตยี นคลา้ ยการออกแขกของลเิ ก ซง่ึ มกั จะมผี ู้
วา่ จา้ งใหแ้ สดงถวายเทพเจา้ หลายคน อาจตอ้ งมกี ารจดั คิว โดยหวั หน้า
ภาคท่ี 5 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ นาฏยศาสตร์ 171
คณะจะเป็นผู้บอกก่อนทาพิธใี ห้ผูว้ ่าจ้าง ไปจุดธูปบอกกล่าวต่อองค์
เทพเจา้ กอ่ นทง่ี ว้ิ จะเรม่ิ แสดง
การแสดงบ่ายโบ้ยเตยี นในบางคนื อาจมหี ลายสบิ ครงั้ หากมี
ผวู้ า่ จา้ งเป็นจานวนมาก โดยแตล่ ะครงั้ จะมตี วั ละคร เดนิ เขา้ ออกฉาก
ไปมาเป็นรอบๆ ใน 1 รอบ จะใชต้ วั แสดงทงั้ หมดดงั น้ี (ตวั แสดงอาจ
มากหรอื น้อยขน้ึ อยูก่ บั จานวนคนในคณะ)
1. คณะโป๊ยเซยี น จานวน 8 คน
2.เจ้าแม่ซีหวางหมู่ (西王母娘娘) หรอื เจา้ แม่เหล่ยี งฮวง หรือ
บางคณะจะเป็นเจา้ แมเ่ ทยี นโหว (เจา้ แม่สวรรค์ /天后聖母 ทเี ฮา
เตง็ หมา่ ย) เทพองคป์ ระธานในการทาพธิ ี จานวน 1 - 2 คน หรอื อาจมี
ครบทุกองคท์ ก่ี ล่าวมากไ็ ด้
3.เงก็ เซยี นฮ่องเต้ 1 คน
4.พระโพธสิ ตั วก์ วนอมิ 1 คน พรอ้ มกมิ ท้ง เงก็ น้ึง เทพบรวิ าร ถอื ป้าย
สญั ลกั ษณ์ พระอาทติ ย์ และพระจนั ทร์ จานวน 2 คน ซ่งึ ในบางคณะ
อาจไม่มี แต่จะหมุนใชต้ วั แสดงโป๊ยเซียนมาถอื ป้ายพระอาทติ ยแ์ ละ
พระจนั ทรแ์ ทน
5.เทพผู้คุมกฎแห่งเวลาทงั้ 4 (四值功曹 ซ่ือฉ่ือกงเฉ่า เทพปี
เดอื น วนั ชวั่ โมง) ซ่งึ บางคณะอาจไมม่ ี
172 ภาคท่ี 5 ภูมปิ ญั ญาแห่งนาฏยศาสตร์
6.เสอื 1 คน ตวั แทนของสตั วพ์ าหนะ ท่แี สดงถงึ อานาจ เป็นตวั แทน
ของสตั วใ์ นการอวยพร
7.เทพองคอ์ น่ื ๆ เชน่ เทพบุ๋น (文昌帝君 เหวนิ ซางตจ้ี วนิ ) กวนอู
กวนผงิ จวิ ฉอง (หากคณะนนั้ มผี แู้ สดงจานวนมาก)
รวมทงั้ หมดจะใชต้ วั แสดงประมาณ 12 คนขน้ึ ไป
การแสดงจะเร่ิมจากคณะเซียนออกมาจากด้านซ้ายและขวา
ของฉาก กุมมอื เชงิ คารวะซ่งึ กนั และกนั และคารวะมายงั ผชู้ มอนั เป็น
การทาความเคารพ (หมายรวมถงึ การทาความเคารพต่อองคเ์ ทพเจ้า)
แล้วหนั หลงั กลบั เขา้ ฉากตามเดมิ เวยี นจนครบผแู้ สดงทงั้ หมด แล้ว
ออกมาพร้อมกัน นัง่ ตามตาแหน่งและลาดับฐานานุศกั ดิ์ จากนัน้
ผแู้ ทนคณะเซียน โดยมากจะเป็น หล่วี ต์ ้งปิน (吕洞宾) เพราะถอื
เป็นเซยี นในคณะโป๊ยเซยี นท่มี ฤี ทธมิ์ ากท่สี ุด จะเรม่ิ กล่าวอวยพรด้วย
คากลอนมงคลตา่ งๆ ซ่งึ หากเป็นการบา่ ยโบย้ เตยี นครงั้ ใหญ่ เทพหล่ีว์
ต้งปิน จะกล่าวอญั เชญิ พระโพธสิ์ ัตว์กวนอิม แสดงอิทธิฤทธิใ์ นการ
แปลงร่างเป็นเทพและสตั วม์ งคลต่างๆ ในงานอวยพรครงั้ น้ี หลงั จาก
นนั้ เทพหลว่ี ต์ ง้ ปินจะถอื พานของผูว้ า่ จา้ งออกมา ใชแ้ ซ่ปดั ไปมา เชงิ
เป็นการปดั เป่าทุกขภ์ ยั ภยนั ตรายต่างๆ พร้อมทงั้ พูดคาท่เี ป็นมงคล
คลา้ ยกบั การรา่ ยมนต์ แลว้ นาแซ่มาปดั หมุนวนเหนือพานทม่ี ซี องเงนิ
จ่าหน้าผวู้ า่ จา้ ง และสงิ่ ของมงคลอยู่ในนนั้ จากนนั้ จะกล่าวอวยพรองค์
เทพเจ้า เม่อื กล่าวเสรจ็ กจ็ ะโปรยเศษเงนิ ท่อี ยู่ในพานนนั้ ใหก้ บั ผชู้ ม
ภาคที่ 5 ภูมปิ ญั ญาแห่งนาฏยศาสตร์ 173
คลา้ ยกบั การโปรยทาน ถอื เป็นเศษเงนิ ทเ่ี ป็นมงคล ปิดทา้ ยดว้ ยการจดุ
ประทดั และนกั แสดงทงั้ หมดกลบั เขา้ ฉาก โดยเดนิ กลบั เป็นคู่ ทาความ
เคารพ(เหมอื นตอนออกฉากมา) แลว้ เดนิ แยกซ้ายขวาเขา้ หลงั ฉากไป
หลงั จากนัน้ กจ็ ะเรมิ่ ทาเหมอื นขา้ งตน้ ใหม่ทงั้ หมด เพ่อื การแสดงครงั้
ต่อไปของผวู้ ่าจ้างรายใหม่ท่ถี ูกจดั เรยี งควิ ไว้ เม่อื เสรจ็ พธิ กี ารกจ็ ะนา
พานนนั้ พรอ้ มเงนิ ขวญั ถุง (ขน้ึ อยู่กบั คณะง้วิ ว่าจะคนื มาเท่าไหร่) และ
บรรดาธญั พชื มงคล หมากพลู ใหน้ ากลบั ไปไวท้ บ่ี า้ นเพ่อื ความเป็นสริ ิ
มงคล
หากเป็นการบ่ายโบ้ยเตยี นแบบชุดใหญ่ จะมกี ารแสดงเพ่มิ
มากยง่ิ ขน้ึ กล่าวคอื จะมีตอนท่ี เทพหล่วี ์ต้งปิน (吕洞宾) ขอให้
พระโพธิสัตว์กวนอิม แสดงอิทธิฤทธิ์ แปลงกายเป็นรูปกายต่างๆ
แสดงใหก้ บั เหล่าทวยเทพทงั้ หลายไดร้ บั ชม แทรกอยู่เป็นองกห์ น่งึ ของ
การบ่ายโบย้ เตยี น
การแสดงบ่ายโบ้ยเตียน หรอื แปดเซียนอานวยพร คอื การ
แสดงทเ่ี ป็นตวั แทนของความกตญั ญขู องลกู หลานชาวจนี ไหหลาทม่ี ตี อ่
องค์เทพเจ้า โดยเฉพาะอย่างยงิ่ เทพยุดาแห่งสายน้า เจ้าแม่ทบั ทมิ
(ตุ๊ยบ้วยเต๋งเหน่ียง) ท่ีเป็นเสมือนหลักชัยช้ีนาความสาเร็จของ
ลูกหลานชาวจนี ไหหลาท่อี าศยั อยู่บนแผ่นดนิ ไทย การแสดงชดุ แปด
เซียนอานวยพรนับสบิ นับร้อยครงั้ ในแต่ละคืน คอื เคร่อื งยนื ยนั ความ
ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ อทิ ธฤิ ทธแิ์ ละพระเมตตาของเจา้ แม่ ทบ่ี นั ดาลดลให้ลูกหลาน
174 ภาคท่ี 5 ภมู ปิ ญั ญาแห่งนาฏยศาสตร์
เจริญรุ่งเรอื ง และหวนกลบั มาสนองพระคุณด้วยการแสดงชุดน้ี เพ่อื
เป็นการ ถวายพระพร กลบั คนื ใหก้ บั พระองค์
นอกจากการถวายพระพรก่อนการแสดงแล้ว ศาลเจ้าแม่
ทบั ทมิ พชิ ยั ยงั คงสบื ทอดธรรมเนียมของการแสดงง้วิ ซ่งึ ปฏบิ ตั มิ าแต่
บรรพชนแล้ว คือ การถวายพระพรลา (再見 ไต้กี๋) โดยจะให้
นักแสดงนาของเร่อื ง อย่างพระเอก นางเอก พระรองและนางรอง
ออกมากล่าวถวายพระพรลาองค์เจ้าแม่ก่อนการแสดงจบ และจุด
ประทดั ส่งทา้ ย ซ่งึ นบั ไดว้ า่ เป็นเคลด็ ความเชอ่ื ท่บี างพน้ื ท่อี าจหลงลมื
กนั ไป เพราะไม่ได้ให้ความสาคญั กบั การถวายพระพรลา ดงั ธรรม
เนียมของคนไทย เม่อื ไปต้องลา เม่อื มาต้องไหว้ ซ่ึงธรรมเนียมของ
ชาวจนี ไหหลาในอาเภอพชิ ยั กไ็ มต่ ่างกนั
การเชิญเจา้ กลบั แท่นประทบั หลงั จากงิ้วคืนสดุ ท้ายจบลง
ภาคที่ 5 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ นาฏยศาสตร์ 175
บา่ ยโบย๊ เตียนของอปุ รากรจีนคณะนาศิลป์ ณ ศาลเจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั
บ่ายโบย๊ เตียนของอปุ รากรจีนคณะนาศิลป์ ณ ศาลเจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั
เน่ืองในวนั คล้ายวนั สมภพเจ้าแม่ทบั ทิม
176 ภาคท่ี 5 ภมู ปิ ญั ญาแห่งนาฏยศาสตร์
木偶戲
ห่นุ กระบอกจีนไหหลา
นาฏยกรรมท่ีเร่ิมเลือนลาง
บทความน้ี คดั ลอกและตดั ตอนมาจากบทความเร่อื ง หุ่นจีน
ไหหลาในเมอื งไทย ของอ.แสงอรุณ กนกพงศช์ ยั ในนิตยสารสารคดี
ฉบบั ท่ี 197 เดอื น กรกฎาคม 2544 เพ่อื ให้ลูกหลานชาวจีนไหหลา
ตระหนกั ถงึ การอนุรกั ษ์วฒั นธรรมทเ่ี ป็นดงั่ อตั ลกั ษณบ์ ง่ บอกความเป็น
ตวั ตนคนจนี ไหหลา ใหค้ งอยู่เป็นมรดกคู่แผน่ ดนิ ไทย ไม่ใชเ่ ป็นเพยี ง
ตานานการกล่าวขานของคนรุ่นต่อไปท่มี องไม่เหน็ ตวั ตนท่แี ทจ้ รงิ ว่า
หุน่ กระบอกไหหลามรี ูปลกั ษณแ์ ละการแสดงเป็นอย่างไร
ภาคที่ 5 ภูมปิ ญั ญาแห่งนาฏยศาสตร์ 177
จากการค้นคว้าของ อรไท ผลดี ระบุว่าการเล่นหุ่นใน
เมืองไทยปรากฏหลกั ฐานครงั้ แรกในสมุดไทยขาวสมัยสมเด็จพระ
นารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2231) จากเร่อื ง พระเนมริ าช ตอนพธิ ี
ราชาภิเษกมกี ล่าวถงึ มหรสพฉลองหลายอย่างโดยระบุคาโบราณว่า
"หนุ่ โขนไทยชวา" นอกจากน้กี พ็ บเอกสารจดหมายเหตุมากมายท่รี ะบุ
ถงึ การเล่นหุ่นหลายเชอ้ื ชาตใิ นสงั คมไทย ดงั นนั้ จงึ ไม่ใช่เร่อื งแปลกท่ี
สงั คมไทยตงั้ แต่ครงั้ กรุงศรอี ยุธยาจนมาถงึ รตั นโกสนิ ทรจ์ ะมกี ล่าวถงึ
ห่นุ ชวา หุ่นพม่า หุ่นลาว หุ่นทวาย ห่นุ มอญ หนุ่ จนี เฉพาะหุ่นจนี น้ีชกั
สายขา้ งบน ตากลอกไปมาได้ และระบุลงไปชดั เจนวา่ เป็นของพวก
"จนี จะจวิ " หรอื แตจ้ วิ๋ ดงั ปรากฏในสมดุ ไทยขาววา่ "พวกจนี จะจวิ ชกั
หนุ่ เล่นงว้ิ บดิ พรว้ิ ไปมา เหลอื กตายกั คว้ิ เลน่ งว้ิ ภาษา"
หุ่นจีนนัน้ มิใช่มีจาเพาะหุ่นจีนแต้จิ๋วเท่านัน้ ยังมีหุ่นจีน
ฮกเกย้ี นดว้ ยและเป็นทน่ี ิยมในหมู่เจา้ นายชนั้ สูง เชน่ กรมพระราชวงั
บวรวไิ ชยชาญ (วงั หน้าสมยั รชั กาลท่ี 5) ซ่งึ โปรดมาก ถงึ กบั ใหต้ งั้ คณะ
ห่นุ จนี เป็นของพระองคเ์ อง โดยทาแบบ "หุ่นจนี ฮกเก้ยี น" ใชม้ อื ของผู้
เชดิ สอดเขา้ ไปในหุ่น และใชน้ ้ิวของผเู้ ชดิ สอดเขา้ ไปบงั คบั คอหุ่นและ
มือหุ่นทงั้ สองข้าง ปจั จุบนั ตวั หุ่นเหล่าน้ียงั พอมีให้ชมในพพิ ธิ ภณั ฑ์
สถานแหง่ ชาตพิ ระนครท่สี นามหลวง คนรุ่นเราควรหาโอกาสเขา้ ไปดู
ทาความรูจ้ กั ไว้ เพราะปยู่ ่าตายายของเราชอบดูหนุ่ จนี กนั มาก ถงึ แก่มี
หลกั ฐานวา่ ในสมยั รชั กาลท่ี 4 มกี ารเกบ็ ภาษแี สดงหุ่นจนี เท่ากบั หุ่น
ไทยทเี ดยี ว คอื เกบ็ วนั ละ 1 บาท ซ่งึ นบั วา่ ราคาสูงมากในสมยั นัน้
178 ภาคท่ี 5 ภูมปิ ญั ญาแหง่ นาฏยศาสตร์
นอกจากน้ียงั มหี ุ่นจนี ไหหลาอกี ประเภทหน่ึงท่เี กดิ ทางเมอื ง
เหนือของไทยและคลค่ี ลายเป็นหุ่นกระบอกไทยในสมยั ต่อมา หากจะ
เทียบง่ายๆ ว่าหุ่นจนี ฮกเก้ยี นซ่ึงเป็นต้นเค้าของหุ่นกรมพระราชวงั
บวรฯ เป็นวฒั นธรรมในราชสานกั กอ็ าจกล่าวไดว้ า่ หุ่นจนี ไหหลาจาก
เมอื งเหนือเป็นตน้ เค้าของหนุ่ กระบอกไทย
ห่นุ จีนไหหลา กบั ห่นุ กระบอกไทย
ความเป็นมาของห่นุ จนี ไหหลาในเมอื งไทยนนั้ น่าสนใจไม่น้อย
และน่ารวู้ า่ ทาไมจงึ เรยี กหนุ่ กระบอกไทยในชว่ งแรกวา่ "หนุ่ เลยี นอย่าง
เมอื งเหนือ" ใน ราชกจิ จานุเบกษา เล่ม 90 หน้า 286 มหี ลกั ฐานวา่ ใน
พ.ศ. 2436 ได้มีหุ่นเลียนแบบเมืองเหนือแสดงในงานเฉลิมพระ
ชนมพรรษาทพ่ี ระราชวงั บางปะอนิ ซง่ึ กค็ อื หุ่นกระบอก แต่เวลานนั้ ยงั
ไม่เรียกหุ่นกระบอก จากประวตั ิศาสตร์บอกเล่าซ่ึงค้นคว้าอย่าง
ละเอยี ดโดยอาจารยจ์ กั รพนั ธุ์ โปษยกฤต เลา่ ว่า นายเหน่ง ซ่งึ เป็นคน
อาเภอโกรกพระ จงั หวดั นครสวรรค์ ได้เห็นการแสดงหุ่นจนี ไหหลา
เกดิ ตดิ ใจจงึ คดิ แกะหวั หุ่นขน้ึ เป็นหุน่ ไทยแตท่ าตวั หุ่นเลยี นแบบหุ่นจนี
ไหหลา คือมีกระบอกเป็นแกน นายเหน่งทงั้ ร้องและเชดิ หุ่นน้ี หุ่น
กระบอกนายเหน่งมชี อ่ื เสยี งและถอื กาเนิด ณ เมอื งสุโขทยั น่ีเอง เวลา
นนั้ ยงั อยู่ในแผน่ ดนิ รชั กาลท่ี 5 นอกจากน้ียงั มเี กลอของนายเหน่งชอ่ื
ตาดดั ซ่งึ เคยไปเชดิ หุ่นกระบอกอยู่กบั นายเหน่งพกั หน่ึง ต่อมาจงึ ตงั้
คณะหุน่ ของตวั เรยี กวา่ ห่นุ ตาดดั ทเ่ี มอื งพจิ ติ รอนั เป็นนวิ าสสถานของ
ภาคที่ 5 ภมู ปิ ญั ญาแห่งนาฏยศาสตร์ 179
ตน บุคคลสาคญั อกี คนหน่ึงทท่ี าให้หุ่นกระบอกได้รบั การจดจารเป็น
ลายลกั ษณค์ รงั้ แรก คอื หม่อมราชวงศเ์ ถาะ พยคั ฆเสนา สรุปความวา่
“...พ.ศ. 2435 สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงรา
ชานุภาพ เสดจ็ ไปตรวจราชการเมอื งเหนือ คุณเถาะได้ตามเสดจ็ ดว้ ย
ในฐานะพเี่ ล้ยี งพระโอรสเสด็จในกรม พระยาศรีธรรมศุภราช (ครุฑ
หงสนนั ท)์ ผสู้ าเรจ็ ราชการเมอื งสุโขทยั ได้จดั หุ่นกระบอกมาเล่นให้ดู
และเล่าวา่ นายเหน่งเหน็ หนุ่ จนี ไหหลาจงึ เอาอย่างมาคดิ ทาเป็นตวั หุ่น
ไทยและคดิ กระบวนร้องตามรอยหุ่นไหหลามคี นชอบจงึ เลยเทยี่ วเล่น
หากนิ หม่อมราชวงศเ์ ถาะเกดิ ความคดิ ทจี่ ะเล่นหุ่นจงึ ทูลขอเงนิ สมเดจ็
กรมพระยาดารงราชานุภาพไปลงทุนทา จงึ เกิดหุ่นกระบอกข้นึ ใน
กรงุ เทพฯ ราว พ.ศ. 2436 แต่แรกมกั เรยี กวา่ ห่นุ คณุ เถาะ...”
หากพจิ ารณาจากมติ ติ ่างๆ และบุคคลท่มี สี ่วนเก่ยี วขอ้ งคือ
นายเหน่ง ตาดดั และคุณเถาะ ในระยะเวลาไล่เล่ยี กันคือ ช่วงสมยั
รชั กาลท่ี 5 ส่วนสถานท่เี กิดเหตุคอื สุโขทยั พจิ ติ ร เราคงได้ข้อสรุป
เบ้อื งต้นว่า ในสมยั รชั กาลท่ี 5 เกิดห่นุ กระบอกซึ่งได้ต้นเค้ามา
จากห่นุ จีนไหหลาซง่ึ นิยมเลน่ ในแถบภาคเหนือชว่ งสโุ ขทยั พจิ ติ ร สง่ิ
ท่ีควรพิจารณาเป็นพิเศษคือ หุ่นไหหลานัน้ นิยมกันมากในแถบ
ภาคเหนือ ซ่งึ เป็นถน่ิ ฐานของชาวจนี ไหหลาทอ่ี พยพเขา้ มาพง่ึ พระบรม
โพธสิ มภาร และเราจะทาความเขา้ ใจเชอ่ื มโยงเร่อื งราวอ่นื ๆ ต่อไป
180 ภาคที่ 5 ภมู ปิ ญั ญาแห่งนาฏยศาสตร์
ห่นุ จนี ไหหลาในบรรยากาศจนี ไหหลา
กล่าวได้ว่าการต่ออายุของหุ่นจีนไหหลาในปจั จุบันก็คือ
กจิ กรรมแกบ้ นน่เี อง อาจมบี า้ งทค่ี ณะกรรมการศาลเจา้ จะจดั ใหเ้ ล่นใน
วนั เกดิ เจา้ แม่ เจา้ พอ่ ทช่ี าวไหหลานบั ถอื ซง่ึ ผตู้ ดิ คา้ งสนิ บนกจ็ ะมาทา
พธิ ีแก้ในคราวนัน้ เลย จากการสอบถามคณะแสดงทาให้ทราบว่า
ปจั จบุ นั เหลอื คณะเล่นหุ่นจนี ไหหลาเพยี งสองคณะเท่านนั้ ในเมอื งไทย
คอื คณะผนั่ วา กบั หยุ่งวา ทน่ี ่าสนใจอกี ประการคอื หุ่นไหหลามกั จบั
เลน่ เร่อื งประเภทมคี วามสุขในตอนจบและมกั จะไม่ค่อยเล่นเร่อื งรบรา
ฆา่ ฟนั เลอื ดตกยางออก อยา่ ง สามก๊ก น่จี ะไม่คอ่ ยเลน่ งานแกบ้ น ตรง
น้อี าจเป็นเพราะ สามก๊ก เป็นเร่อื งใหญ่ มตี วั ละครสาคญั ๆ มาก เคร่อื ง
ถนิมพมิ พาภรณ์กค็ งจะมากเร่อื ง ดงั นัน้ การเลือกเล่นเร่อื งชาวบ้าน
พน้ื ๆ คงจะเหมาะสมกวา่
ส่วนเคร่อื งดนตรีประกอบถงึ แม้จะมีน้อยช้นิ ทว่าแต่ละช้นิ ก็
น่าสนใจ เช่น ซออู้ ซออ้ี ป่ี โหล กลอง เต้ง โหม่ง กก (เรยี กอกี ช่อื วา่
บงั บนั่ หรือ กลองไม้ ลักษณะเป็นกลองส่ีเหล่ยี มผนื ผา้ ขนาดย่อม)
ส่วนทานองเพลงหุ่นไหหลาน้ีฟงั ดูคล้ายๆ ทานองเพลงง้วิ ไหหลา คอื
หวานเจอ้ื ย น่าสงั เกตวา่ ไมพ่ บทานองเพลงสงั ขาราอย่างในเพลงในหุน่
กระบอกไทย ดงั นัน้ การท่กี ล่าวว่าหุ่นจนี ไหหลาเป็นต้นเค้าของหุ่น
กระบอกไทยกไ็ ม่ผดิ เพยี งแต่มีการปรบั เปล่ยี นส่วนท่เี ป็นหวั หุ่นและ
ทานองเพลงเท่านนั้ แตแ่ กนของห่นุ ยงั เป็นกระบอกเหมอื นกนั รวมทงั้
วธิ ชี กั เชดิ ดว้ ย
ภาคที่ 5 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ นาฏยศาสตร์ 181
ความน่าประทบั ใจอกี ประการหน่ึงของการชมหุ่นไหหลากค็ อื
โรงหุ่น กล่าวคอื เม่อื แรกเหน็ หบี ไม้ของคณะหุ่นวางเรียงรายบนตงั่
(นัง่ ร้าน) ของโรงหุ่น กด็ ูไม่น่าสนใจอะไรมากนัก ต่อเม่อื คณะมากนั
พรอ้ มเพรยี ง เขากช็ ว่ ยกนั ประกอบฝาสองด้านคร่งึ แล้วยกขน้ึ มาล้อม
รา้ นท่วี ่าน้ี กจ็ ะไดโ้ รงหุ่นขนาดกะทดั รดั ในพรบิ ตา อธิบายง่ายๆ คอื
หน้าโรงมมี า่ นเป็นจอครง่ึ หน่งึ สาหรบั เชดิ ห่นุ ออกมาเลน่ สว่ นสองขา้ งมี
ฝาและหลงั โรงเปิดโล่ง
หุ่นจนี ไหหลาน้ี ในปจั จุบนั เหลอื เพียงเจา้ เดียวแล้ว นัน่ กค็ ือ
หุ่นไหหลาคณะผ่านฟ้าศลิ ป์ คณะเดียวกบั ง้ิวไหหลาคณะมงั กรทอง
ปกตจิ ะจดั แสดงท่ีศาลเจา้ แม่ทบั ทมิ เชงิ สะพานกรุงธน(ซงั ฮ้)ี เขตสาม
เสน การคงอยู่ของวฒั นธรรม เช่น ง้ิวไหหลา หรือหุ่นกระบอกจีน
ไหหลานอกจากจะได้รบั การอุปถมั ภ์จากคนจนี ไหหลาในสงั คมไทย
แลว้ ยงั ขน้ึ อยกู่ บั คนไทยทกุ คนทห่ี ากจะยงั เหน็ คณุ คา่ ของศลิ ปะการชกั
เชดิ หนุ่ ใหโ้ ลดแลน่ อยู่ในสงั คมไทยมาตงั้ แต่ครงั้ โบราณ ทเ่ี รม่ิ เลอื นลาง
ไปตามกระแสสงั คม
182 ภาคที่ 5 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ นาฏยศาสตร์
海南虎
ตานาน เสือไหหลา
เทวสญั ญะแห่งความเจริญร่งุ เรือง
เล่าสืบกนั มาว่า ณ หมู่บา้ นของอาเภอเหวนิ ซาง (บุ่นเซียง)
บนเกาะไหหลา มีศาลเจ้าซ่ึงเป็นท่ปี ระดษิ ฐ์รูปจาลองของ “เทพเจ้า
บว้ นเถ่ากง” ซ่งึ เป็นท่นี ับถอื ของชาวบา้ นท่อี าศยั อยู่บรเิ วณนนั้ และท่ี
บรเิ วณใกลก้ บั ศาลเจา้ เป็นทอ่ี ยู่ของเสอื ตวั หน่ึงซ่งึ ชาวบา้ นเชอ่ื ว่าเป็น
สตั วท์ เ่ี ทพบว้ นเถ่ากง เลย้ี งไว้ ซง่ึ โดยปกตเิ สอื ตวั น้ีจะเป็นสตั วท์ ไ่ี ม่เคย
ทาอนั ตรายแก่ผใู้ ด จวบจนกระทงั่ วนั หน่ึง มเี ดก็ ชายซ่งึ เป็นบุตรชาย
ของหญิงในหมู่บ้านนนั้ ด้วยความซุกซนจงึ ได้แหย่เสอื ตวั น้ีซึงกาลงั
หลบั อยู่ เสอื ตวั น้ีจงึ ได้ต่นื ขน้ึ มาด้วยความโกรธ จงึ คารามลนั่ และมุ่ง
ตรงเขา้ ทาร้ายเดก็ และได้กลนื เดก็ ลงท้องไป เร่อื งรู้ถงึ แม่ของเดก็ ก็
ภาคท่ี 5 ภูมปิ ญั ญาแห่งนาฏยศาสตร์ 183
ตกใจจงึ ไดอ้ อกตามผกู้ ลา้ ทงั้ หลายในหมบู่ า้ นใหม้ าชว่ ยเหลอื ลกู ของตน
แต่กไ็ ม่เป็นผลสาเรจ็ แม่ของเดก็ กเ็ ศร้าโศกเสยี ใจเป็นอย่างยงิ่ ความ
ล่วงรถู้ งึ เทพบว้ นเถ่ากง ดว้ ยทพิ ยญาณทเ่ี สอื ไดก้ ลนื เอาเดก็ ลงท้อง จงึ
มบี ญั ชาใหพ้ ระภูมเิ จา้ ท่ี 2 องคม์ าชว่ ยชวี ติ เดก็ ดงั นนั้ พระภูมเิ จ้าทท่ี งั้
2 องค์จึงได้ปรากฏกายมาสยบเสือและได้ช่วยให้เสือยอมคายเด็ก
ออกมาโดยปลอดภยั
เสอื ตามความเชอ่ื ถอื ของชาวจนี ไหหลา เป็นสญั ลกั ษณ์ของ
“เทพเจ้าบ้วนเถ่ากง” หรอื ท่ชี าวไทยรู้จกั กนั ดี คอื “เจ้าพ่อเทพารกั ษ์”
เสอื เป็นเสมอื นสตั วท์ ค่ี อยเบกิ ทางก่อนทเ่ี ทพบว้ นเถ่ากงจะเสดจ็ คอย
ปกป้องภยนั ตรายสงิ่ ไม่ดไี ม่งามมาย่างกราย ดงั นัน้ ชาวไหหลาซ่ึงนับ
ถอื เทพเจ้าบว้ นเถ่ากง จงึ นาเสอื มาเป็นสญั ลกั ษณ์ใชเ้ ชดิ ในเทศกาล
และงานพธิ มี งคลต่าง ๆ เพ่อื ใหต้ นเองและครอบครวั ประสบแต่โชคดี
และนามาซ่งึ ความเป็นสริ มิ งคล
การแสดงเสือไหหลาในอดีต ศาลเจ้าแม่ทบั ทิมพิชยั ปี 2509
ภาคที่ 6
ภมู ิปัญญาแห่งประวตั ิศาสตร์
ภาคท่ี 6 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ประวตั ศิ าสตร์ 185
三姐姝 - 水尾聖廟
ตาเจมวย ตยุ๊ บว้ ยเต๋งเบีย้ ว
ศาลเจ้าโบราณ 3 แห่งของจีนไหหลา
ในอดตี ชาวจนี กลมุ่ แรกๆทเ่ี ขา้ มาในประเทศไทย ตามบนั ทกึ
ทางประวตั ิศาสตร์ของ วลิ เลียม จี. สกินเนอร์ นักประวตั ิศาสตร์
ผเู้ ชย่ี วชาญเรอ่ื งสงั คมจนี ในประเทศไทย ไดก้ ล่าวไวว้ า่ ชาวจนี ไหหลา
คือชาวจีนกลุ่มแรกท่ีบกเบิก เร่ิมตงั้ รกรากเข้ามายังแผ่นดินไทย
กระจายตวั ไปตามลาน้าสายสาคญั ๆของประเทศ บุกเบกิ ขน้ึ ไปทางทศิ
เหนือ ตามลาน้าสาขา อย่าง แม่น้ายม และแม่น้าน่าน ซ่ึงสงิ่ หน่ึงท่ี
แสดงใหเ้ หน็ เป็นหลกั ฐานวา่ มชี าวจนี ไหหลาอพยพเขา้ มาอยู่ในพ้นื ท่ี
ดงั กลา่ วคอื ศาลเจา้ ตุย๊ บว้ ย (水尾聖廟 ตุ๊ยบ้วยเต๋งเบ้ยี ว) อนั เป็น
186
ภาคท่ี 6 ภมู ปิ ญั ญาแหง่ ประวตั ศิ าสตร์
ทป่ี ระดษิ ฐานเทวรูปเทพยุดาแห่งสายน้า ตุ๊ยบว้ ยเต๋งเหน่ียง (水尾
聖娘) ท่ีเป็นเคร่ืองยึดเหน่ียวจิตใจของชาวจีนไหหลา ครนั้ เม่ือ
อพยพย้ายถน่ิ หอบเส่อื ผนื หมอนใบ ลงเรอื สาเภา เลยี บเลาะมาตาม
ชายฝงั่ เข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภารของพระเจ้าอยู่หวั แห่งกรุง
รตั นโกสนิ ทร์
เทวรูปเทพยุดาตุ๊ยบว้ ย มีลกั ษณะเป็นเทวรูปผูห้ ญิง รูปร่าง
สนั ทดั ใบหน้าอวบอม่ิ ประทบั นงั่ อยู่บนเก้าอ้ไี ม้ สวมฉลองพระองค์
ลายหงสค์ ่มู งั กรสแี ดงชาด สวมมงกฎุ ทป่ี ระดบั ประดาดว้ ยพลอยสแี ดง
ในพระหตั ถ์ถอื คทา หรือ แผ่นป้ายทอง แย้มพระสรวลแสดงออกถึง
ความเมตตา
หากมีการพูดถึงเจ้าแม่ตุ๊ยบ้วย หรือเจ้าแม่ทับทิม ชาวจีน
ไหหลาในอดตี มกั จะพดู ถงึ ศาลเจา้ แม่ตุ๊ยบ้วยท่ีมคี วามเก่าแก่ ถอื เป็น
ศาลเจา้ ไหหลารุ่นแรกๆประเทศไทย ซ่งึ มกั จะเรยี กตดิ ปากกนั ในหมู่ผู้
เฒา่ ผแู้ ก่ชาวจนี ไหหลาวา่ ตาเจมวย 三姐姝 หมายถงึ สามพน่ี ้อง
โดยหากพิจารณาตามหลักฐานของศาลเจ้าไหหลาในทุกๆท่ีทัว่
ประเทศไทย ตา่ งกอ็ า้ งความเก่าแก่ของศาลตนวา่ เก่าแก่ทส่ี ุด อา้ งองิ
จากระฆงั บ้าง อ้างองิ จากป้ายจารึกบ้าง ซ่ึงในความเป็นจรงิ เราไม่
สามารถรไู้ ดเ้ ลยวา่ ศาลเจา้ ไหนมคี วามเกา่ แกท่ ส่ี ุด เพราะสงิ่ ของทเ่ี ป็น
หลกั ฐานเหล่าน้ี อาจสรา้ งขน้ึ กอ่ น หรอื สรา้ งขน้ึ ทหี ลงั ศาลเจ้ากเ็ ป็นไป
ได้ สงิ่ สาคญั ซง่ึ ถอื เป็นหลกั ฐานตามระเบยี บวธิ วี จิ ยั ทางประวตั ศิ าสตร์