The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บางกอกบอกเล่า (เรื่อง) วัด

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by cstd, 2021-03-26 01:41:45

บางกอกบอกเล่า (เรื่อง) วัด

บางกอกบอกเล่า (เรื่อง) วัด

Keywords: บางกอก,วัด

หอระฆงั
พระเจดยี ์


พระราชทานนามพระพุทธปฏิมากรฉลองพระองค์ว่า พระพุทธ ส่วนพระองค์เป็นค่าก่อสร้างรวม ๘๐ ชั่ง กาลต่อมา ปลียอด
ยอดฟ้าจุฬาโลกและพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเรียก พระเจดีย์ถูกพายุพัดหัก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง

พระนามว่า รชั กาลที่ ๑ และรัชกาลท่ี ๒ ตามลำดบั
สรรพสาตรศภุ กจิ (พระองค์เจา้ ทองแถมถวลั ยวงศ์ ต้นราชสกุล
วัดบรุ ณศิริมาตยารามต้ังอย่รู ิมคลองคูเมอื งเดมิ ในช่วงที่ ทองแถม) ผู้บงั คับบญั ชากรมชา่ งมหาดเล็ก โปรดเกล้าฯ ให้ทำ
เรียกว่า “คลองโรงไหม” อันเป็นท่ีตั้งของบ้านเรือนขุนนาง
ปลยี อดใหม่และตดิ สายลอ่ ฟ้าเพิม่ ขึ้นเม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๑

ผู้รับใช้ใกล้ชิดเบ้ืองพระยุคลบาท จึงได้รับพระราชทานท่ีดิน
กุฏิสงฆ์หลังใหญ่สร้างในสมัยรัชกาลท่ี ๕ เป็นเรือนไม้
ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ไม่ไกลจากพระบรมมหาราชวัง เช่น บ้าน ปนตึกมีลวดลายฉลุไม้ ซ่ึงเป็นงานสถาปัตยกรรมที่หาชม

เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี บ้านเจ้าพระยาธรรมาธิบดี (สมบุญ) ไดย้ ากในปัจจุบนั

บ้านเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ซ่ึงตั้งบ้านเรือน บริเวณภายนอกวัดบุรณศิริมาตยารามมีปูชนียสถาน

อยู่บริเวณริมคลองคูเมืองเดิม หน้ากระทรวงมหาดไทย
ทส่ี ำคัญอีกสิง่ หน่ึงคอื สะพานเจริญศรี ๓๔ ซึ่งเป็นสะพานท่ี ๔
ในปัจจุบัน นอกจากน้ี บริเวณโดยรอบวัดบุรณศิริมาตยาราม ของสะพานชุดเจริญที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ยงั เปน็ ทีอ่ ยอู่ าศยั ของราษฎรเปน็ จำนวนมาก ทั้งไทย จนี มอญ รัชกาลท่ี ๖ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเม่ือทรงเจริญ
เขมร และลาว
พระชนมพรรษา ๓๔ พรรษา เม่ือ พ.ศ. ๒๔๕๗ สืบเน่ือง

พระยาพิพัฒน์โกษาเป็นเสนาบดีท่ีมีอายุยืนยาวจนถึง พระราชนิยมในรัชกาลท่ี ๕ ที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพาน

สมัยของรัชกาลท่ี ๕ ในตำแหน่งจางวางกรมวัง และเป็น ๑ ชุดเฉลิมในวันเฉลิมพระชนมพรรษาทุกปี ลักษณะเด่นของ
ใน ๔ ของผู้ท่ีอธิบายถึงพระลักษณะของรัชกาลท่ี ๑ เพื่อ สะพานนี้คือ มีเสาประดิษฐ์เป็นรูปพาน มีฐานเป็นเฟ่ืองอุบะ
ดำเนินการปั้นหล่อพระบรมรูปท่ีประดิษฐานอยู่ในปราสาท
ลูกกรงสะพานเป็นปูนหล่อซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าวัดบุรณศิริ
พระเทพบิดร ในพระบรมมหาราชวงั ดงั ที่ปรากฏอยใู่ นปัจจุบัน
มาตยารามมาจวบจนทกุ วนั น้ี

ภายในวัดบุรณศิริมาตยารามมีพระอุโบสถ ประดิษฐาน
พระประธานปางมารวิชัย พระเจดีย์ใหญ่มีลักษณะย่อมุม

ไมส้ บิ สอง สงู ๑๒๐ ฟตุ รชั กาลที่ ๔ พระราชทานพระราชทรพั ย์

199

วดั สร้อยทอง


วดั สรอ้ ยทอง

วัดสร้อยทองต้ังอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เชิงสะพาน แม่น้ำเจ้าพระยา และได้นำทองคำจำนวนมากติดมาด้วย

พระราม ๖ ฝง่ั พระนคร เดิมช่อื วดั ซ่อนทอง ในหนังสือประวัติ แต่เน่ืองจากคลองน้ันมีสภาพตื้นเขิน บางช่วงต้องเข็นเรือไป
วัดท่ัวราชอาณาจักร เล่ม ๑ ของกองพุทธศาสนสถาน พวกท่ีเข็นเรือมาเหน่ือยก็ขอน้ำด่ืมจากชาวบ้าน แต่ไม่มีใครให้
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุว่า เป็นวัดที่ก่อสร้าง ท้าวอู่ทองจึงแช่งว่า ขอให้ทองคำน้ันเปล่ียนเป็นทองเหลือง

ข้ึนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล
ให้หมด เมื่อเข็นเรือไปถึงบริเวณหน่ึงกลับมีเหตุบางประการ
ท่ี ๓ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๙๔ ไม่ทราบนามและประวัติผู้สร้าง
ทำให้ท้าวอู่ทองต้องนำทองคำจำนวนมากน้ันฝังไว้ พื้นที่น้ัน

มีเพียงข้อสันนิษฐานว่า ผู้สร้างคงเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจาก ต่อมาได้สร้างเป็นวัดชื่อวัดซ่อนทอง ส่วนคลองท่ีเข็นเรือน้ัน
เจา้ พระยาศรีพิพฒั น์ (แพ บนุ นาค) ผูซ้ ่งึ เคยเปน็ ราชทตู ถวาย กลายเปน็ ชอ่ื ย่านบางเขน

พระราชสาส์นของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๔ แด่พระจักรพรรดินโปเลียนที่ ๓ ณ พระราชวัง
รัชกาลท่ี ๕ มีคหบดีและชาวบ้านในละแวกวัด ท้ังชาวไทย

ฟงเตนโบล ประเทศฝร่งั เศส เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๔
และชาวญวนร่วมแรงร่วมใจกันปฏิสังขรณ์วัดแห่งน้ีขนานใหญ่
ขณะเดียวกันยังปรากฏตำนานเล่าขานเก่ียวกับที่มา
เม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๕-๒๔๔๗

ของช่ือวดั ซอ่ นทอง อันเปน็ ชอ่ื เดิมของวัดน้ี ซึ่งทำให้สันนษิ ฐาน ช่วงสงครามโลกครั้งท่ี ๒ วัดสร้อยทองได้รับผลกระทบ
ได้ว่า วัดสร้อยทองน่าจะได้รับการก่อสร้างมาตั้งแต่สมัย
จากเหตุแห่งสงครามอย่างมาก เม่ือมีข่าวว่าจะมีการท้ิงระเบิด
กรุงศรีอยธุ ยา โดยในตำนานไดเ้ ลา่ ไวว้ ่า ท้าวอู่ทองเป็นหัวหน้า ชาวบ้านและพระภิกษุจึงได้พากันอพยพไปในท่ีต่างๆ โดย

พาผู้คนอพยพหนีภัยสงครามเดินทางมาทางลำคลองเพื่อออกสู่ พระภิกษุวัดสร้อยทองย้ายไปอยู่ท่ีวัดบ้านกั่ว จังหวัดปทุมธานี

200

พระพุทธรูปปางมารวชิ ยั พระประธานภายในพระอุโบสถ


หลังจากฝ่ายสัมพันธมิตรท้ิงระเบิดสะพานพระราม ๖ พบว่า
พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอย่หู วั รัชกาลท่ี ๖ ทำใหเ้ สน้ ทางการสญั จร
มีหลุมระเบิดในบริเวณวัดสร้อยทองถึง ๑๔ หลุม ทำให้วัด
ทางบกมาแทนท่ีทางน้ำอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมกันกับ

เสียหายและกลายสภาพเป็นวัดร้าง ศาสนวัตถุที่รอดพ้นจาก ความเจรญิ ท่ไี ดเ้ คล่อื นส่พู ืน้ ท่ภี ายในกรุงเทพฯ มากขึน้

ภัยลูกระเบิดมีเพียงพระเจดีย์ หอระฆัง และพระพุทธรูป
ศาสนวัตถุท่ีมีช่ือเสียงของวัดแห่งนี้ คือ หลวงพ่อเหลือ
หลวงพ่อเหลอื เท่านน้ั
พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ปางป่าเลไลยก์ ประดิษฐานอยู่ใน

ต่อมา พ.ศ. ๒๕๒๖ มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดสร้อยทอง พระวิหาร เป็นพระพุทธรูปที่หล่อข้ึนจากโลหะทองและ

อีกครั้ง โดยร้ือถอนพระเจดีย์ที่เสียหายจากภัยสงครามโลก
ทองเหลืองท่ีชาวบ้านนำมาหล่อเป็นพระประธานในพระอุโบสถ
ครั้งท่ี ๒ เพื่อสร้างวิหารจตุรมุขประดิษฐานองค์หลวงพ่อเหลือ ของวัด แต่เน่ืองจากยังมีเศษทองเหลืออีกจำนวนมากจึงนำมา
ดังที่ปรากฏอยู่ในทุกวันนี้ ทั้งยังได้สร้างพระมหาธาตุเจดีย์ หล่อพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่ง จนกลายเป็นท่ีมาของชื่อ

ศรีสร้อยทอง ซึ่งเป็นเจดีย์สีทองอร่ามสูงใหญ่เมื่อปลาย พ.ศ. พระพุทธรูปองค์นี้ว่า หลวงพ่อเหลือ ภายในเกศของหลวงพ่อ
๒๕๔๘ ภายในบรรจุพระบรมสารีรกิ ธาตสุ ว่ นพระเกศาธาตุ
เหลือประดิษฐานพระธาตุของพระอรหันตสาวก ๕ พระองค์
พ้ืนที่อันเป็นท่ีต้ังวัดสร้อยทองตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คือ พระสารีบุตรเถระ พระโมคคัลลานเถระ พระสีวลีเถระ

ฝ่ังตะวันออก บริเวณปากคลองบางซ่อน เป็นพ้ืนท่ีราบลุ่ม
พระองคลุ มิ าลเถระ และพระภิกษุณีพมิ พาเถรี

เต็มไปด้วยเรือกสวน ชาวบ้านในละแวกนั้นได้อาศัยคลองซอย วัดสร้อยทองเป็นสถานที่เรียนพระปริยัติธรรมของสงฆ์

ที่เช่ือมต่อถึงกันจำนวนมากในการคมนาคมและขนส่งสินค้า มีทั้งแผนกธรรมและแผนกบาลีที่มีคุณภาพจนได้รับการแต่งต้ัง
วิถีชีวิตดังกล่าวค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปภายหลังจากท่ีมีการ เป็นสำนักเรยี นวดั สรอ้ ยทองทม่ี ีช่ือเสียงจนทกุ วันน
ี้
ตดั ถนนและสรา้ งทางรถไฟในกาลตอ่ มา โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การ
ก่อสร้างทางรถไฟสายบางซื่อในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ

201

พระวิหารวัดบุปผารามวรวิหาร


วดั บุปผารามวรวหิ าร


วัดบุปผารามต้ังอยู่ริมคลองสาน ฝั่งธนบุรี เดิมชื่อว่า
ภายหลังจากท่ีเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว รัชกาลท่ี ๔
วัดดอกไม้ สร้างข้ึนต้ังแต่สมัยอยุธยา แต่ไม่ปรากฏ
พระราชทานนามใหม่ใหแ้ ก่วดั แห่งน้ีว่า วดั บปุ ผาราม

หลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง วัดแห่งนี้ได้รับการอุปถัมภ์จาก ในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดบุปผารามน้ันปรากฏหลักฐาน

บุคคลในตระกูลบุนนาคมาอย่างต่อเน่ือง โดยในช่วงรัชสมัย ที่สะท้อนนัยยะทางการเมืองสมัยของรัชกาลท่ี ๔ อยู่ใน

พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกล้าเจา้ อยู่หัว รชั กาลท่ี ๓ ท่านผหู้ ญงิ พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรง

จันทร์ ภรรยาเอกของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ ราชานุภาพ (พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ต้นราชสกุล ดิศกุล)
(ดศิ บนุ นาค) มารดาของสมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์ ความตอนหนึง่ วา่

(ช่วง บนุ นาค) ได้มีจิตศรัทธาบรู ณปฏิสังขรณ์วัดดอกไมแ้ ห่งน้ี “...เคยได้ยินท่านผู้หลักผู้ใหญ่แต่ก่อนเล่ากันมาว่า
ด้วยเห็นเป็นวัดร้างท่ีอยู่ใกล้บ้าน ก่อนที่จมื่นไวยวรนาถ (ช่วง เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ได้คิดเห็นก่อนบิดาของท่าน (สมเด็จ

บุนนาค ต่อมาเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์)
เจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์) ว่า ถ้าพระบาทสมเด็จพระ

จม่ืนราชามาตย์ (ขำ บุนนาค ต่อมาเป็นเจ้าพระยาทิพา
นั่งเกลา้ เจา้ หวั สวรรคต ราชสมบตั จิ ะตอ้ งไดแ้ ก่พระบาทสมเด็จ
กรวงศ์ฯ) น้องชายต่างมารดาร่วมกันบูรณปฏิสังขรณ์ ต่อมา พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บ้านเมืองจึงจะเป็นปกติต่อไป อาศัย
เม่ือแล้วเสร็จจมื่นไวยวรนาถจึงกราบทูลพระวชิรญาณมหาเถร เหตุนั้น ตัวท่านเม่ือยังเป็นท่ีจม่ืนไวยวรนาถ กับเจ้าพระยา
(พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๔) ขอคณะสงฆ์ ทิพากรวงศ์ เมื่อยังเป็นที่จม่ืนราชามาตย์ ซ่ึงมีความเห็นพ้อง
ธรรมยุติกนิกายไปครองวัด แล้วถวายเป็นพระอารามหลวง
กัน จึงชวนกันปฏิสังขรณ์วัดดอกไม้ ซ่ึงอยู่ในสวนแห่งหน่ึง


202

ไม่ห่างไกลกับบ้านที่ท่านอยู่นัก แล้วกราบทูลขอคณะสงฆ์
ใหค้ นรนุ่ หลงั ไดเ้ รยี นรู้ ดว้ ยการจดั กจิ กรรมตา่ งๆ เชน่ โครงการ

ธรรมยุติกนิกาย จากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อนุรักษ์และฟ้ืนฟูย่านกะดีจีน กิจกรรมกะดีจีน ศิลป์ในซอย
(คร้ังยังทรงผนวชอยู่) ไปครอง ก็เกิดมีกิจที่พระบาทสมเด็จ ระเบียงธรรม ๓ ศาสนา รวมท้ังโครงการปรับปรุงพื้นท่ี
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องเสด็จไปตรวจตราและสั่งสอน
สาธารณะรอบมรดกวัฒนธรรมย่านกะดีจีน เป็นต้น โครงการ
พระสงฆ์ซ่ึงออกวัดไปใหม่เนืองๆ ฝ่ายเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เหล่าน้ีล้วนแต่สร้างเสริมความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนย่านกุฎีจีน
กับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ก็ได้โอกาสมาเฝ้าแหนเกิดวิสาสะ ในฐานะพื้นที่มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญย่ิงแห่งหน่ึง

ประกอบกับสมานฉันท์ในความนิยมศึกษาความรู้ทางข้างฝรั่ง ของกรงุ เทพฯ

ก็เลยทรงชอบชิดสนิทสนมแต่น้ันมา คร้ังถึงเวลาปัญหาเกิดข้ึน พระอุโบสถของวัดบุปผารามเป็นสถาปัตยกรรมไทย
จริงด้วยเรื่องรัชทายาท ท่านท้ังสองก็ได้เป็นกำลังสำคัญ
หนา้ บนั ประดบั ด้วยตราสรุ ิยมณฑล เทพบุตรชกั รถ ซ่ึงเปน็ ตรา
อยู่ข้างหลังบิดา ในการที่ขวนขวายให้พร้อมเพรียงกับถวาย
ประจำตำแหน่งสมุหพระกลาโหมของสมเด็จเจ้าพระยาบรม
ราชสมบัติแก่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั ...”
มหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ซุ้มประตู หน้าต่างเป็นทรง
จากนั้นเจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม มหามงกุฎ อันเป็นพระราชลญั จกรในรชั กาลที่ ๔

บุนนาค) และราชินิกุลบุนนาคได้ทำการบูรณะ ต่อมา สมัย ที่หน้าแท่นพระประธานในพระอุโบสถประดิษฐาน

สงครามโลกครั้งที่ ๒ เม่ือวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๗
พระนิรันตรายองค์เดิมเป็นพระพุทธรูปทองคำหนัก ๔ ตำลึง

วัดบุปผารามถูกระเบิดทำลาย ทำให้พระอุโบสถ ศาลา มีผู้ขุดพบแล้วนำข้ึนทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ ๔ ทรง

การเปรียญ กฎุ ีตกึ โบราณ และกำแพงวัด ไดร้ ับความเสียหาย พระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ หอเสถยี ร
ยากแก่การซ่อมแซม จึงได้มีการสร้างขึ้นใหม่โดยคงรักษา
ธรรมปริวัตร ต่อมา ถวายพระนามว่า พระนิรันตราย
รูปแบบเดิมไว้ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาล เนื่องจากแคล้วคลาดจากอันตรายรอดพ้นจากการถูกขโมย

ปัจจุบัน และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเสด็จ ถึงสองคร้ัง และโปรดเกล้าฯ ให้ช่างหล่อพระพุทธรูปแบบ

พระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานพิธีผูกพัทธสีมาเม่ือวันที่ ๖ น่ังขัดสมาธเิ พชร มหี น้าตกั กว้าง ๕ นิ้วครง่ึ หล่อดว้ ยทองคำ

พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๗
สวมองค์เดิมอีกชั้นหนึ่ง และโปรดเกล้าฯ ให้หล่อจำลอง

ในอดีต วัดบุปผารามตั้งอยู่ท่ามกลางเรือกสวนผลไม้ ดว้ ยเงนิ บริสุทธอ์ิ ีกองค์หน่ึงประดิษฐานไวค้ กู่ ัน

ก่อนท่ีจะกลายเป็นย่านพักอาศัยและย่านค้าขายท่ีสำคัญ
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๑ โปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระนิรันตราย
ภายหลังจากการสถาปนาเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทรข้ึน
จำลองเท่าองค์จริงด้วยทองเหลืองจำนวน ๑๘ องค์ เท่ากับ
ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา
เวลาท่ีเสด็จข้ึนครองราชย์ มีพระราชประสงค์จะกะไหล่ทอง
จนกระทั่งเม่ือมีการสถาปนากรุงธนบุรีข้ึนเป็นราชธานีในสมัย หรือเคลือบผิวโลหะด้วยทองคำและจะทรงนำไปถวายวัด

ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ย่านริมคลองบุปผาราม
ธรรมยุติกนิกาย หากแต่เสด็จสวรรคตเสียก่อน พระบาท
จึงทวีความสำคัญยิ่งข้ึนและกลายเป็น ๑ ใน ๖ ชุมชน
สมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๕ จงึ ทรงดำเนนิ การ
ของย่านกุฎีจนี หรอื กะดจี ีน อนั เป็นยา่ นประวตั ศิ าสตรท์ ม่ี ีความ ตอ่ ตามพระราชปณธิ านของสมเด็จพระบรมชนกนาถ

เก่าแก่มากที่สุดแห่งหน่ึงของกรุงเทพฯ ประกอบด้วย ชุมชน
พระวิหารมีลักษณะสถาปัตยกรรมไทยผสมจีน หน้าบัน
วัดประยุรวงศ์ ชุมชนวัดกัลยาณ์ ชุมชนกุฎีจีน ชุมชนกุฎีขาว ประดับด้วยตราสุริยมณฑล เทพบุตรชักรถ กลางบานประตู
ชมุ ชนโรงคราม ที่สำคญั ทีส่ ุดคือ ชุมชนบปุ ผาราม ซึ่งลว้ นแลว้ เป็นรูปพระอาทิตย์ซึ่งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
แต่เป็นชุมชนท่ียังคงไว้ซ่ึงความหลากหลายทาง “พหุมรดก
ดดั แปลงมาจากตราสุรยิ มณฑลสำหรบั ใช้เป็นการส่วนตัว

ทางวัฒนธรรม” ของ ๓ ศาสนา ๔ ความเชื่อ ได้แก่ พุทธ นอกจากน้ี ยังมีอาคารถาวรวัตถุต่างๆ ที่สร้างและอุทิศ
เถรวาท พุทธมหายาน คริสต์ และมุสลิม ได้อย่างเข้มแข็ง
โดยทายาทในสกุลบนุ นาค เช่น หอกลอง วิหารคด กุฏติ ่างๆ
นบั เนือ่ งจากอดตี มาจนถึงทกุ วันน้ี
เปน็ ตน้

ท่ีผ่านมา นอกจากจะเป็นกลุ่มชุมชนที่สมัครสมาน
สามคั คแี ลว้ ทัง้ ๖ ชมุ ชนในยา่ นกฎุ ีจีนแห่งน้ยี งั ร่วมกนั สบื สาน
วัฒนธรรมและเรื่องราวความทรงจำทางประวัติศาสตร


203

พระพุทธชนิ ราช (จำลอง) ประดิษฐานภายในซมุ้ เรอื นแกว้ แวดล้อมดว้ ยเหลา่ พระสาวก ประดษิ ฐานภายในพระอุโบสถวัดอาวุธวกิ สิตาราม


วดั อาวุธวิกสิตาราม

วัดอาวุธวิกสิตารามเป็นวัดเก่าแก่ท่ีสร้างข้ึนบริเวณ
แต่เดิมมา วัดอาวุธวิกสิตารามเป็นวัดฝ่ายมหานิกาย
ปากคลองบางพลัด โดยพระภิกษุและชาวบ้านพลัดถ่ินท่ีอพยพ ครัน้ พ.ศ. ๒๔๓๘ พระอาจารย์สี เจา้ อาวาสในขณะน้ัน พร้อม
มาจากกรุงศรีอยุธยาเมื่อคร้ังเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ และได้มา ด้วยพันเอกพระยาอาวุธภัณฑ์เผด็จ (ท้วม) เจ้ากรมคลังแสง
ตั้งรกรากที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก สันนิษฐานว่า
และคุณหญงิ แยม้ ซง่ึ มบี า้ นอยูร่ ิมคลองบางพลัดและได้อปุ ถมั ภ์
ด้วยเหตนุ ี้ จงึ เรยี กบรเิ วณน้ีว่า บางพลัด
วัดมาโดยตลอด เห็นว่าวัดทรุดโทรมลงไปมาก จึงสมควรที่จะ
เม่ือวัดสร้างแล้วเสร็จชาวบ้านเรียกว่า วัดปากคลอง บูรณปฏิสังขรณ์และเปลี่ยนแปลงให้เป็นวัดในสังกัดธรรมยุติก
บางพลัดหรือวัดบางพลัดนอก เพราะตั้งอยู่ตรงปากคลอง นิกายเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในสมัยนั้น จึงเข้าเฝ้าฯ
บางพลัด ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม้ในปัจจุบันน้ี ชาวบ้านก็ยัง สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

นิยมเรียกวัดบางพลดั นอกอยเู่ ชน่ เดมิ และเรยี กวดั บางพลดั ซ่งึ (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์

ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของวัดอาวุธวิกสิตารามในคลอง ที่ ๑๐ แหง่ กรุงรัตนโกสนิ ทร์ ทูลขอแปลงวัดปากคลองบางพลดั

บางพลัดว่า วดั บางพลดั ใน
ให้เป็นวัดธรรมยุติกนิกาย ทรงเห็นชอบด้วย จึงได้ดำเนินการ

204

พระอโุ บสถมีลักษณะทางสถาปตั ยกรรมไทยประเพณ
ี หอระฆงั

แบบทรงโรง สว่ นหลังคาทำมุขลด ๒ ชน้ั อยา่ งพระอารามหลวง


ซ่อมแซมกุฏิ หอสวดมนต์ สร้างศาลาการเปรียญและพระ พระวรราชาทินัดดามาตุและพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า
อโุ บสถขึน้ ใหม่ พรอ้ มทัง้ ปรบั ปรุงซ่อมแซมเสนาสนะอน่ื ๆ
พัชรกิตยิ าภาจะเสด็จมาทรงบำเพ็ญพระกุศลถวายเทยี นพรรษา
เมื่อการบูรณปฏิสังขรณ์แล้วเสร็จได้เปล่ียนจากวัดในฝ่าย เพ่ือประทานไปยังวัดต่างๆ ในเขตบางพลัดและวัดใน

มหานิกายเป็นวัดในสังกัดธรรมยุติกนิกาย พร้อมนำความข้ึน ต่างจงั หวดั รวม ๒๐ วัด เป็นประเพณีประจำปี

กราบบังคมทูลพระกรณุ าขอพระราชทานนามวดั ใหม่ พระบาท วัดยังเป็นท่ีตั้งฌาปนสถานของกองทัพบกและเป็น

สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ที่ตั้งของโรงเรียนพระปริยัติธรรมซึ่งจัดให้มีการเรียนการสอน
พระราชทานนามว่า วัดอาวุธวิกสิตาราม เม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๑
ทง้ั แผนกนกั ธรรมตรี โท และเอก และแผนกบาลี รวมทงั้ ระดับ
มีความหมายว่า วัดของพระยาอาวุธภัณฑ์เผด็จและคุณหญิง อุดมศึกษาของมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย โดยใช้
แย้ม ซึ่งเปน็ ผ้บู รู ณปฏสิ ังขรณ์
อาคารโรงเรียนพระปริยัติธรรมสำนักเรียนวัดอาวุธวิกสิตาราม
ทุกปี วัดอาวุธวิกสิตารามเป็นศูนย์กลางจัดงานตานก๋วย เป็นสถานทศ่ี กึ ษา

สลาก สืบสานประเพณีบุญเดือนสิบสองของชาวเหนือ

และในช่วงเข้าพรรษา พระเจ้าวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จ้าโสมสวลี



205

พระศรีมหาโพธ์จิ ากกงิ่ ของต้นเดิมท่ไี ด้มาจากพทุ ธคยา


วดั พระศรมี หาธาตุวรมหาวิหาร


วัดพระศรีมหาธาตุต้ังอยู่ริมถนนพหลโยธิน เขตบางเขน (ช่ือเดิมคือ ถนนประชาธิปัตย์ ตัดข้ึนเม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๙ โดย
สร้างขึน้ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๘๓ โดยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม เริ่มตน้ จากอนุสาวรียช์ ัยสมรภมู ิจนถงึ ดอนเมือง ก่อนท่จี ะขยาย
นายกรัฐมนตรีในขณะน้ัน ได้เสนอขออนุมัติงบประมาณจาก ตอ่ เน่อื งไปจนถึงจงั หวัดลพบุรี และส้ินสุดที่จงั หวัดเชียงราย)

คณะรัฐบาลในการสร้างวัดเพ่ือให้ทนั วันท่ี ๒๔ มถิ ุนายน พ.ศ. ในขณะท่ีกำลังดำเนินการก่อสร้างวัดอยู่น้ัน หลวงธำรง
๒๔๘๔ อันเป็นวันชาติ และต้องการให้อยู่ใกล้กับอนุสาวรีย์ นาวาสวัสด์ิ (ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์) ได้เป็นตัวแทนของ
พิทักษ์รัฐธรรมนูญ (บ้างก็เรียกอนุสาวรีย์ปราบกบฏ อนุสาวรีย์ ประเทศไทยในฐานะทูตพิเศษ เดินทางไปเจริญสันถวไมตรีกับ
๑๗ ทหารและตำรวจ อนุสาวรีย์หลักสี่ หรืออนุสาวรีย์หลวง ประเทศต่างๆ ในเครือจักรภพอังกฤษ มีโอกาสเดินทางไปยัง
อำนวยสงคราม) ซึ่งเป็นอนุสรณ์แห่งการปกครองในระบอบ ประเทศอินเดยี จงึ ไดต้ ิดต่อขออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและ
ประชาธิปไตย ด้วยเหตุผลท่ีว่า ชาติกับศาสนาเป็นสิ่งท่ีแยก ขอตอนกิง่ พระศรมี หาโพธิ์จำนวน ๕ กงิ่ จากตน้ ท่ีสืบเนือ่ งมา
จากกันไม่ได้ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้สร้างวัดข้ึนโดยใช้ชื่อว่า
แต่ต้นเดิมท่ีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับและตรัสรู้

วัดประชาธิปไตย บริเวณหลักกโิ ลเมตรท่ี ๑๘ ถนนพหลโยธิน พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาน ณ พุทธคยา พร้อมดินจาก

206

พระอโุ บสถวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวหิ าร
พระมหาเจดีย์ศรมี หาธาตุ

ไดแ้ บบจำลองมาจากพระอโุ บสถวดั เบญจมบพติ รดุสิตวนาราม


สังเวชนียสถาน คือ สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ทรงแสดง พ.ศ. ๒๔๘๙ ในคราวเดียวกันนั้น ทั้ง ๒ พระองค์เสด็จ
ปฐมเทศนา และปรินิพพานกลับมายังประเทศไทย รัฐบาล พระราชดำเนินไปนมัสการพระพุทธสิหิงค์ พระประธาน

อินเดียได้มอบให้ตามที่ขอไว้ คณะรัฐบาลไทยจึงนำมา ในพระอุโบสถวดั พระศรมี หาธาตดุ ้วย

ประดิษฐานเพื่อเป็นสิริมงคลแก่วัดท่ีสร้างใหม่แห่งนี้ พร้อมทั้ง ภายในบริเวณวัดประดิษฐานพระมหาเจดีย์ศรีมหาธาตุ
เห็นพ้องกันตง้ั นามวดั แห่งนี้วา่ วดั พระศรีมหาธาต
ุ เปน็ เจดยี ์ ๒ ชน้ั ชั้นนอกเปน็ พระเจดีย์องค์ใหญส่ งู ๓๘ เมตร
ขณะเดียวกัน รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้ประชาชนบริจาค ประดษิ ฐานพระบรมสารรี กิ ธาตุของพระสัมมาสมั พุทธเจา้ สว่ น
ทรัพย์เพื่อสมทบทุนสร้างวัด จึงนับได้ว่า วัดน้ีเป็นวัดแห่งแรก
ชั้นในเป็นเจดีย์องค์เล็ก ผนังของพระเจดีย์บรรจุอัฐิผู้ประกอบ
ในยุคของรัฐบาลระบอบประชาธิปไตย โดยมอบหมายให้ผู้
คุณงามความดแี กป่ ระเทศชาต

ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ร่วมมือกันดำเนินการ ชุมชนท่ีอยู่โดยรอบวัดพระศรีมหาธาตุขยายตัวและหนา
ก่อสร้างวัดจนแล้วเสร็จ และมีการประกอบพิธีเปิดและถวาย แนน่ มากขึน้ โดยเฉพาะภายหลังจากท่ีมกี ารตัดถนนพหลโยธิน
เป็นเสนาสนะสำหรับภิกษุสงฆ์เมื่อวันท่ี ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ทำให้การคมนาคมขนส่งและการเดินทางในละแวกนี้สะดวก
๒๔๘๕ ก่อนท่ีจะยกฐานะขึน้ เปน็ พระอารามหลวงเม่อื วันท่ี ๓๐ มากข้ึน ขณะเดียวกัน ผืนนาและท้องทุ่งบางเขนค่อยๆ

มถิ ุนายน ในปีเดยี วกนั
ลดจำนวนลงในท่ีสุด จนกลายเป็นย่านชุมชน ย่านการค้า

เดมิ บรเิ วณทตี่ ง้ั ของวดั พระศรมี หาธาตเุ ปน็ ทลี่ มุ่ เหมาะแก่ และยา่ นอตุ สาหกรรมท่เี จรญิ ขึน้ อยา่ งรวดเรว็

การปลูกข้าว พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ความพิเศษอีกประการหนึ่งของวัดพระศรีมหาธาตุ คือ
พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลท่ี ๘ และสมเด็จพระเจ้า
เป็นท่ีตั้งของฌาปนสถานกองทัพอากาศ ที่สร้างข้ึนเพื่อเป็น
นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟา้ ภมู พิ ลอดลุ ยเดช (พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั สวัสดิการให้แก่กำลังพลของกองทัพอากาศท่ีได้สละชีพเพื่อ
รัชกาลปัจจุบัน) เคยเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตร
ปกป้องและรกั ษาเอกราชอธปิ ไตยของชาต

การทำนาและทรงหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวท่ีทุ่งบางเขน เพ่ือเป็น

สิริมงคลแก่แผ่นดินและชาวบางเขน เมื่อวันท่ี ๕ มิถุนายน

207

พระอารามหลวง

ที่ประชาชนหรือพระภกิ ษสุ ร้าง


วัดดอนเมอื ง
วดั โพธนิ ิมติ รสถิตมหาสมี าราม

วดั ราชสิงขรวรวหิ าร
วดั หลักส
่ี

วดั หวั ลำโพง
วัดบางนาใน

วัดนิมมานรด
ี วัดบณุ ยประดษิ ฐ

วัดไตรมติ รวทิ ยารามวรวหิ าร
วดั วชริ ธรรมสาธติ วรวิหาร

วัดเสมยี นนาร


208

พระอโุ บสถวดั ดอนเมอื ง


วัดดอนเมอื ง

วัดดอนเมืองตั้งอยู่ริมถนนวิภาวดีรังสิต เขตบางเขน
กลาโหมได้เลือกท่ีนาทางตอนเหนือของอำเภอบางเขนเป็น
เดิมช่ือวัดดอนอีเหยี่ยว ต้ังอยู่กลางที่นาซ่ึงมีเนื้อท่ีกว้างขวาง
พื้นท่ีสร้างสนามบินแห่งใหม่แทนสนามม้าสระปทุม

ของหม่ืนหาญ ใจอาจ เม่ือที่ดินบริเวณนี้ต้องถูกแบ่งออกเป็น
หรือราชกรีฑาสโมสรในปัจจุบัน ด้วยเป็นท่ีดอน มีทางรถไฟ
๒ ส่วน เน่ืองจากทางการสร้างทางรถไฟพาดผ่าน ทำให้
สายเหนือวิ่งผ่าน และไม่ไกลจากพระนครนัก เม่ือสนามบิน
การเดินทางไปมาหาสู่กันยากลำบาก เจ้าของที่จึงได้ยกท่ีดิน
แล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๔๕๗ จึงย้ายแผนกการบิน (ต่อมา

ใหส้ รา้ งเป็นวดั เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๘ สมยั น้นั ยงั ไมม่ ชี ่อื ชาวบ้าน ยกฐานะขน้ึ เปน็ กองบนิ ทหารบก และกองทพั อากาศ ตามลำดบั )
จึงเรียกว่า วัดดอนอีเหยี่ยวตามช่ือพื้นท่ี ซึ่งเป็นที่ราบสูง
มาตั้ง ณ บริเวณท่ีแห่งนี้ และไดท้ ลู เกลา้ ฯ ขอพระบรมราชา
น้ำท่วมไม่ถึง และมีนกเหยี่ยวและนกแร้งอาศัยบินหากิน
นญุ าตพระราชทานชอ่ื สนามบินจากดอนอีเหยี่ยวเป็นดอนเมือง
อยูใ่ นละแวกนน้ั เป็นจำนวนมาก
ดว้ ยนานเขา้ มีผ้คู นเขา้ มาตัง้ ถนิ่ ฐานหนาแนน่ กลายเป็น “เมอื ง”
ในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ข้ึนมา ชาวบ้านจึงเรียกวัดแห่งน้ีว่า วัดดอนเมืองตามชื่อ

รัชกาลท่ี ๖ เมอื่ สยามเร่ิมกิจการการบินเปน็ คร้งั แรก กระทรวง สนามบินไปดว้ ย


209

พระประธานภายในพระอโุ บสถ


ศีรษะ ทำให้มีฝูงช้างเข้ามาอาละวาด คร้ังหนึ่งถึงกับเหยียบ
หญิงชาวบา้ นเสียชีวติ และพงั กฏุ พิ ระหลงั หน่ึง พระสงฆต์ ้องหนี
ออกจากวดั ทำใหว้ ัดร้างไปชว่ งหนึง่

ในกาลต่อมา วัดดอนเมืองได้รับการพฒั นาอยา่ งตอ่ เนื่อง

ยกฐานะเป็นวัดสำคัญในการประกอบพิธีทางศาสนาของ
ขา้ ราชการกองทพั อากาศ กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
ได้ยกย่องให้วัดดอนเมืองเป็นวัดพัฒนาตัวอย่างเม่ือ พ.ศ.
๒๕๑๐ ท้ังยังได้รับพัดยศและประกาศนียบัตรวัดพัฒนา
ตัวอย่างที่มีผลงานดีเด่นจากสมเด็จพระสังฆราช เมื่อ พ.ศ.
๒๕๒๕

ตอ่ มา พลอากาศเอก วรนาถ อภจิ ารี อดีตผูบ้ ญั ชาการ
ศาลาการเปรยี ญ
ทหารอากาศ ได้เสนอรายงานขอให้ยกฐานะวัดแห่งนี้เป็น


ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอารามหลวง ซงึ่ ได้รบั พระกรุณาโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ ๑๒
รัชกาลที่ ๗ พระสงฆ์ชาวรามัญได้ธุดงค์ผ่านมาจอดเรือพัก กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ และกระทรวงศึกษาธิการได้ออก
อาศัยในคลองสวัสดิ์เปรมประชากร ชาวบ้านมีจิตเลื่อมใส
ประกาศเม่อื วนั ท่ี ๑๖ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๕๓๒

จึงสร้างกุฏิไม้ไผ่ มุงหลังคาด้วยต้นปรือถวาย จากนั้นได้สร้าง
ศาลาทำบุญขึ้นอีกหน่ึงหลัง แต่เน่ืองจากรายรอบวัดนั้นยังเป็น

ทุ่งนาซ่ึงเต็มไปด้วยป่าปรือ ป่าแขม และต้นอ้อข้ึนสูงท่วม

210

พระอโุ บสถวดั ราชสิงขรวรวหิ าร


วดั ราชสิงขรวรวหิ าร

วัดราชสิงขรต้ังอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เขตบางคอแหลม ภายหลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จ
เป็นวัดโบราณที่สร้างในสมัยปลายอยุธยาในแผ่นดินของสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ

พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ราว พ.ศ. ๒๓๐๐ อันเป็นช่วงที่ได้รับ ให้ดำเนินการสร้างบ้านแปงเมืองเป็นสำคัญ จึงเป็นช่วงเวลา

การยกย่องว่า บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองด้านศิลปกรรมทาง ที่ไม่นิยมสร้างวัดหรือพระพุทธรูปขึ้นใหม่ หากมีพระราช
พระพุทธศาสนาอยา่ งมาก
ประสงค์ให้บูรณะวัดเก่าที่มีอยู่แล้วให้ม่ันคงสง่างามเป็นศักด์ิศรี
ในหนังสือประวัติวัดราชสิงขรวรวิหารของมูลนิธิ แกแ่ ผน่ ดนิ วัดราชสงิ ขรจึงเปน็ วัดหนึ่งท่สี มเดจ็ พระบวรราชเจ้า
เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล มหาสุรสงิ หนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรชั กาลท่ี ๑
ที่ ๓ บนั ทกึ ไวว้ า่ ไมป่ รากฏหลกั ฐานเกย่ี วกบั ผสู้ รา้ ง ในเบอื้ งตน้ ทรงทำนุบำรุงข้ึนใหม่เป็นการส่วนพระองค์ และแม้จะไม่ได้
สันนิษฐานว่า เป็นการรวมกลุ่มของชาวบ้านท่ีศรัทธาจะสร้าง ออกพระนาม แต่ก็พบหลักฐานเป็นใบเสมาหินชนวนท่ีฝัง

วัดในพระพุทธศาสนา เพ่ือเป็นสถานท่ีบำเพ็ญบุญและเป็น
ติดกับผนังด้านนอกพระอุโบสถทั้ง ๘ ทิศ ซ่ึงเป็นพุทธศิลป

ศนู ยร์ วมจติ ใจของชมุ ชน ในสมยั แรกสรา้ งวดั นนั้ บรเิ วณแถบนี้ ทีท่ รงโปรดปราน

ล้วนเป็นป่าเป็นสวนอยู่ในเมืองธนบุรี ซึ่งใช้การสัญจรทาง แม้ภายหลังพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเกสร
แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหลัก ดังน้ัน ในช่วงแรกวัดราชสิงขรจึง
พระราชธิดาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท

หันหน้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ครั้นเม่ือบ้านเมืองเจริญข้ึน มีการ ทรงบูรณะพระอุโบสถใหม่ตามศิลปะพระราชนิยมในพระบาท
ตัดถนนเจริญกรุงในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
สมเดจ็ พระน่ังเกลา้ เจ้าอยู่หัว รชั กาลท่ี ๓ มไิ ด้ทรงติดใบเสมา
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เป็นผลให้ผู้คนนิยมสัญจรทางบก
ไวต้ ามตำแหนง่ เดมิ แตเ่ ก็บรักษาไว้ ณ พพิ ิธภณั ฑพ์ ระพุทธรปู
มากขนึ้ หลังวดั จึงกลายเปน็ หนา้ วัดในกาลตอ่ มา
โบราณในศาลาการเปรียญ พระอุโบสถของพระอารามแห่งน้

จึงเปน็ วดั แห่งเดียวในกรงุ เทพฯ ที่ไมม่ ใี บเสมา


211

พระพุทธรูปภายในพระวหิ าร
หลวงพอ่ แดง พระพุทธรปู สำคัญคูว่ ัด


ส่วนสาเหตุที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
ท่ีวัดราชสิงขร ปรากฏว่า เม่ือชำระคราบตะไคร่น้ำกลับพบ

ทรงบูรณะวัดราชสงิ ขรเป็นการส่วนพระองค์ เน่ืองจากตั้งแตว่ ดั สนิมแดงจับท่ัวองค์ ชาวบ้านจึงพากันเรียกว่า หลวงพ่อแดง
สลัก (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ิ) ข้ึนไปทางเหนือของแม่น้ำ และเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่กับวัดราชสิงขรสืบมาตราบจน

เจ้าพระยาเป็นเขตดูแลของวังหน้า ส่วนด้านใต้ลงมาอยู่ใน ทกุ วันนี้

ความดูแลของพระราชวังหลวง และวัดราชสิงขรเป็นวัดในเขต บริเวณที่ตั้งของวัดในสมัยนนั้ เรยี กวา่ บา้ นทวาย ด้วยใน
พระราชวังหลวง สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
ระยะหลงั พ.ศ. ๒๓๒๙ เมื่อบ้านเมืองปราศจากศกึ พม่า ทำให้
จึงมิอาจทรงแสดงพระองค์ได้ การซ่อมแซมใหญ่ในคร้ังน้ัน
ราษฎรตามหัวเมืองต่างๆ เข้ามาอยู่อาศัยและทำมาหากิน

โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระอุโบสถใหม่มีลักษณะสถาปัตยกรรม ในพระนครจำนวนมาก กอปรกับทางการมีนโยบายเพ่ิม
ไทยใกล้กับพระอุโบสถเก่า ซ่ึงปรับปรุงเป็นพระวิหารเพ่ือ พลเมืองให้หนาแน่นกว่าแต่ก่อน จึงต้อนรับชาวต่างชาติที่เข้า
ประดษิ ฐานหลวงพอ่ แดงที่ทรงนับถือเลอื่ มใส
มาขอพ่ึงพระบรมโพธิสมภาร ท้ังยังกวาดต้อนเชลยต่างชาต

ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาคร้ังท่ี ๒ มีการชะลอพระพุทธรูป เข้ามาหลายกลุ่ม จึงมีการตั้งชุมชนชาวต่างด้าวขึ้นและหน่ึง

หลวงพ่อแดงลงมาจากกรุงศรีอยุธยาทางแม่น้ำเจ้าพระยา โดย ในนั้นคือ “ชาวเมืองทวาย” ซ่ึงต้ังถ่ินฐานอยู่ที่บ้านทวายหรือ
ผูกแพแล้วนำพระพุทธรูปนอนบนแพ มัดจนแน่นหนาด้วย บริเวณยานนาวา (รวมสาทรและบางคอแหลม)

หวายแล้วคว่ำแพให้องค์พระอยู่ในน้ำ เพ่ืออำพรางข้าศึกและ วัดราชสิงขรในปัจจุบันมีช่ือเสียงในด้านการอบรมปฏิบัติ
คนท่ัวไป ด้วยกระแสน้ำท่ีเช่ียวกรากในฤดูน้ำหลาก ทำให้
ธรรม เช่น โครงการอบรมอุบาสิกาแก้ว และมีศูนย์ศึกษา
การควบคุมแพยากลำบาก แพจึงเสียหลักกระแทกฝั่ง เป็นผล พระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ให้แก่ผู้สนใจในพุทธศาสนาเข้ามา
ให้หลวงพอ่ แดงจมลงทฝี่ ่ังตรงข้ามกบั วดั ราชสิงขร คงปลอ่ ยให้ ศึกษาพระธรรมโดยเฉพาะ

จมอยู่จนกระทั่งน้ำลด จึงอัญเชิญหลวงพ่อแดงมาประดิษฐาน


212

พระวิหารวัดหัวลำโพง


วัดหัวลำโพง

วัดหัวลำโพงตั้งอยู่ริมถนนสี่พระยา ใกล้กับจุฬาลงกรณ์ พ.ศ. ๒๔๔๗ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั
มหาวิทยาลัย สร้างขึ้นในราว พ.ศ. ๒๓๒๕ สมัยต้น
รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงทอดผ้าพระกฐิน

กรุงรัตนโกสินทร์ โดยสันนิษฐานจากพระอุโบสถเก่าและ
ในวันเดียวกัน ๓ วัด คือ วัดสามจีน (วัดไตรมิตรวิทยาราม)

พระเจดีย์ วัดนีเ้ ดมิ ชอ่ื วดั ววั ลำพอง เปน็ วดั ทปี่ ระชาชนร่วมกัน วัดสระปทุม (วัดปทุมวนาราม) และวัดวัวลำพอง

สร้างข้ึนและต้ังชื่อตามลักษณะภูมิประเทศที่ต้ังของวัดซ่ึงเดิม ได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดหัวลำโพง ตามช่ือสถานี
เป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่มีฝูงวัวมาหากินอยู่เป็นจำนวนมาก
รถไฟหัวลำโพงท่ีโปรดเกล้าฯ ให้สร้างข้ึนบริเวณนอกเมือง

ชาวบ้านจึงเรียกสถานท่ีนี้ตามพฤติกรรมของวัวว่า ทุ่งวัว ใกล้กับคูเมืองช้ันนอก คือ คลองผดุงกรุงเกษมเม่ือ พ.ศ.
ลำพอง บ้างว่าชาวบ้านท่ีร่วมกันสร้างวัดน้ีเป็นชาวกรุง ๒๔๓๓

ศรีอยุธยาท่ีหนีการสงครามกับพม่าเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ และมา ปัจจุบัน ที่ตั้งของวัดอยู่ในแขวงส่ีพระยา ซึ่งเป็นช่ือถนน
ตงั้ รกรากบรเิ วณทงุ่ ววั ลำพองน
้ี ท่ีตัดขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๔๗ สอดคล้องกับความเจริญเติบโตของ

213

หลวงพ่อพระพุทธมงคล
มลู นิธิร่วมกตญั ญู


โชตกิ เสถยี ร ต่อมาเป็นพระยาธรรมจรรยานุกูลมนตร)ี พระยา

นรนารถภกั ดี (สุด บนุ นาค ต่อมาเปน็ พระยาสมทุ าตรานุรกั ษ์)
และหลวงมนัสวานติ (เผล่ วสวุ ัต ตอ่ มาเป็นพระยาสนุ ทรพิมล)
ร่วมทุนกันซ้ือและพัฒนาท่ีดินระหว่างถนนสุรวงศ์กับคลอง

ผดุงกรุงเกษม โดยตัดถนนผ่านที่ดินพร้อมน้อมเกล้าฯ ถวาย
เปน็ ถนนหลวง รชั กาลท่ี ๕ พระราชทานนามวา่ ถนนสี่พระยา
ส่วนช่ือบางรักนั้น พระยาอนุมานราชธนสันนิษฐานว่า
มาจากการล่องไม้ซุงผ่านคลองและบริเวณดังกล่าว พบว่า

มีซุงไม้รักอยู่เป็นจำนวนมาก จึงเรียกบริเวณนี้ว่า บางรัก

บา้ งเช่อื วา่ มาจากโรงหมอมิชชนั นารีท่ีมีชื่อเสยี งด้านการรกั ษา
โรคด้วยการแพทย์ตะวันตกจึงมีผู้มารักษามากจนเรียกว่า

“บางรักษ”์ และกลายเปน็ บางรกั ในปัจจบุ นั

พระพุทธรูปศักด์ิสิทธ์ิภายในวัดหัวลำโพง คือ หลวงพ่อ
พระพุทธมงคล พระประธานในพระอุโบสถ ปางมารวิชัย
ศิลปะสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ซ่ึงเช่ือกันว่า สามารถช่วยในเรื่อง
การปดั เปา่ ภยั จากศตั รู ทั้งจากการงาน และการเงิน และยังมี
หลวงพอ่ ดำ พระพุทธรูปยนื ปางหา้ มสมทุ ร ประดษิ ฐานอย่ดู ้าน
หน้าพระอโุ บสถ ลกั ษณะทรงเครื่องสมยั รัตนโกสินทร

พ้ืนที่ติดกับวัดหัวลำโพงเป็นสถานที่รับทำบุญโลงศพ

หลวงพอ่ ดำ
ของมูลนิธิร่วมกตัญญู โดยเช่ือกันว่า เพื่อเสริมดวงชะตา


ย่านบางรัก ชุมชนเก่าแก่ของชาวต่างชาติ ย่านการค้าสำคัญ
ให้ตนเอง และส่งผลบุญไปให้เจ้ากรรมนายเวร นอกจากนี

ในรัชกาลท่ี ๕ โดยมีพระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง
ยังเชื่อว่าการทำบุญให้แก่ศพไร้ญาติจะได้กุศลแรง จึงเป็น
(หม่อมราชวงศล์ บ สุทัศน์ ต่อมาเป็นเจ้าพระยาอภยั ราชามหา สถานทที่ ปี่ ระชาชนนยิ มมาทำบญุ อยา่ งมาก โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ
ยุติธรรมธร) พระยาพิพัฒน์โกษา (เซเลสติโน ซาเวียร์
ผทู้ เี่ กดิ ในปชี ง ตามความเชอ่ื ของชาวจนี และชาวไทยเชอ้ื สายจนี

ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ) พระยานรฤทธิ์ราชหัช (ทองดี

214

พระอโุ บสถวดั นมิ มานรด


วดั นมิ มานรด


วัดนิมมานรดีต้ังอยู่ริมคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ วัดนิมมานรดีตามนามของผู้บูรณะวัดทั้ง ๒ คน เพื่อเป็น
เดิมช่ือวัดบางแค จากหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร
เกียรติและอนุสรณ์แห่งคุณงามความดีให้ปรากฏสืบไป ทั้งยัง

เล่ม ๑ ของกองพระพุทธศาสนสถาน สำนักงานพระพุทธ มชี อ่ื พอ้ งกบั ชือ่ สวรรค์ชัน้ ที่ ๕ ดว้ ย

ศาสนาแหง่ ชาติ ระบวุ ่า สรา้ งข้นึ ราว พ.ศ. ๒๓๕๐ ในรชั สมัย พระอารามแห่งนี้ต้ังอยู่ติดกับคลองภาษีเจริญ ซ่ึงขุดข้ึน
พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หล้านภาลัย รชั กาลท่ี ๒
ในสมัยเดียวกับท่ีมีการสร้างวัดและอยู่ในชุมชนคลองภาษีเจริญ

ครั้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ย่านการค้าท่ีได้รับความนิยมอย่างมากในสมัยน้ัน โดยมีตลาด
รัชกาลที่ ๕ ชาวบ้านได้อาราธนาพระครูทิวากรคุณ (แจ้ง)
แบบห้องแถวสภาพเหมือนตลาดน้ำดำเนินสะดวก จังหวัด
ลูกศิษยข์ องสมเด็จพระพฒุ าจารย์ (โต พฺรหมฺ รํสี) จากวัดระฆงั ราชบรุ ี หรอื ตลาด ๑๐๐ ปี ทจ่ี งั หวัดสุพรรณบรุ ี ต้งั อยตู่ รงขา้ ม
โฆสิตารามมาปกครองวัดบางแคเป็นรูปแรก ท่านคุ้นเคยกับ
กับวัด ปัจจุบัน ตลาดอายุเก่าแก่ถึง ๑๓๙ ปีแห่งนี้ได้รับ

ขุนตาลวโนชากร (นิ่ม เสนะวัต) และนางดี ภรรยาเศรษฐี
การฟ้ืนฟูข้ึนเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ชาวบ้านยังคง
ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ละแวกน้ัน จึงเป็นกำลังสำคัญในการบูรณ รักษาวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบคนริมคลองไว้ เรียกกันว่า
ปฏิสังขรณ์วัดข้ึนใหม่ทั้งหมด เมื่อแล้วเสร็จ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ตลาดน้ำวัดนมิ มานรดี


215

สิ่งสำคัญภายในวัด คือ พระพุทธรูปศักด์ิสิทธิ์
พระพทุ ธรูปปางมารวิชัยประดิษฐานด้านหนา้ พระอโุ บสถ

ปางมารวิชัย หล่อด้วยโลหะทองเหลืองผสม ลงรักปิดทอง

ซึ่งพระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมืองกับท่านผู้หญิงจุ้ยว่าจ้าง
ให้หล่อขึ้นเพื่อประดิษฐานในพระอุโบสถ ในสมัยของรัชกาล

ที่ ๕ และเข้าใจว่า ผู้สร้างได้อธิษฐานบรรจุเส้นผมไว้ใน

องค์พระเพอ่ื เปน็ พุทธบูชา จงึ ใหพ้ ระนามท่านวา่ หลวงพอ่ เกศ
จำปาศรี

ความศักดิ์สิทธิ์ของพระประธานองค์น้ีเป็นท่ีเลื่องลือมาก
โดยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ เกิดเหตุการณ์พระอุโบสถหลังเก่า

พังทลายลงมา แตป่ รากฏวา่ พระพุทธรปู หลวงพอ่ เกศจำปาศรี
ท่ามกลางซากปรักหักพัง ในช่วงเทศกาลตรุษจีนของทุกปีจึงมี
การจัดงานนมัสการองค์พระประธาน ทุกวันนี้ จะมีประชาชน
ไปนมัสการขอพรเพอื่ เป็นสิรมิ งคลและมกี ารจุดประทัดถวาย

พระอุโบสถสร้างข้ึนใหม่ แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕
ตลาดน้ำวดั นมิ มานรดี

เปน็ แบบฐานปทั มท์ รงไทยสามชัน้ หนา้ บนั มีพระปรมาภไิ ธยย่อ
ภ.ป.ร. ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน และ ในด้านการสงเคราะห์อ่ืนๆ วัดนิมมานรดีได้จัดกิจกรรม
ซมุ้ ใบเสมากม็ พี ระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. เช่นกนั
รับบริจาคโลหิตมอบให้แก่สภากาชาดไทยเป็นประจำทุก

วัดนิมมานรดีเป็นสถาบันทางศาสนาที่มีบทบาทต่อ
๓ เดอื น และสงเคราะห์ศพอนาถาตลอดมา เมอื่ พ.ศ. ๒๕๕๑
วิถีชีวิตของคนในชุมชนคลองภาษีเจริญตลอดมา ท้ังด้าน
พระราชสุตาลังการ เจ้าอาวาสวัดนิมมานรดี รองเจ้าคณะ

การศึกษาและการสงเคราะห์ ด้านการศึกษา ได้เปิดทำ
ภาค ๒ ไดร้ ว่ มกบั สำนกั งานเขตภาษเี จรญิ จัดกจิ กรรมแบง่ ปัน
การเรียนการสอนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมและบาลีมาตั้งแต่ น้ำใจให้ผู้สูงวัยด้อยโอกาสในชุมชน แจกข้าวสารและ

พ.ศ. ๒๔๘๒ และให้การสนับสนุนการศึกษาของชาติ โดยมอบ ค่าพาหนะแก่ผ้สู งู อายปุ ระมาณ ๔๕๐ คน ทกุ วนั ท่ี ๙ ทกุ เดือน
สถานทแี่ กท่ างราชการจดั สรา้ งโรงเรยี นวัดนิมมานรดี
ตลอดทงั้ ปี


216

พระมหามณฑปพระพทุ ธมหาสุวรรณปฏิมากร สถานท่ีประดิษฐาน “หลวงพ่อทองคำ”


วดั ไตรมิตรวิทยารามวรวหิ าร

วัดไตรมิตรวิทยารามต้ังอยู่ริมถนนเจริญกรุง บริเวณ
เป็นวัดโชติการามอยู่ที่อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี
อันเป็นท่ีต้ังของตลาดน้อย จากเรื่องท่ีเล่าสืบต่อกันมาทำให้ และวดั สามจีนใต้ สมเดจ็ พระวันรัต (เฮง เขมจารี) ทรงตัง้ ช่ือ
ทราบว่า วัดไตรมิตรเดิมชื่อวัดสามจีนใต้ สร้างข้ึนด้วย
ใหมภ่ ายหลังการบรู ณปฏสิ ังขรณค์ รัง้ ใหญ่เม่อื พ.ศ. ๒๔๘๒ ว่า
ความศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนาและความตอ้ งการตอบแทนคณุ วัดไตรมิตรวทิ ยาราม

แผน่ ดินไทยทีเ่ ป็นแหลง่ ทำมาหากินจนสามารถสร้างตัวได้ โดย วดั ไตรมติ รวทิ ยารามตงั้ อยใู่ นชมุ ชนชาวจนี ยา่ นตลาดนอ้ ย
ความร่วมใจของชาวจีน ๓ คน ที่อพยพเข้ามาตั้งถ่ินฐาน
อันเป็นช่ือท่ีชาวจีนที่เข้ามาพักอาศัยเรียกกันท่ัวไปในภาษาจีน
ในเมืองไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๔ ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จ สำเนียงแต้จ๋ิวว่า “ต๊ักลักเก้ีย” นับว่ามีความสำคัญใน
พระนงั่ เกล้าเจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๓
ประวัติศาสตร์ท้ังด้านเศรษฐกิจและสังคมของกรุงรัตนโกสินทร์
จากหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักรของกองพระพุทธ เป็นอย่างยิ่ง ดังเห็นได้จากบทความเรื่องตลาดน้อย: ชุมชน
ศาสนสถาน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุว่า
พัฒนาการ “เจ๊ก” ในบางกอกของนิภาพร รัชตพัฒนากุล

ในสมัยน้ันมีชื่อวัดสามจีนปรากฏอยู่ถึง ๓ แห่งด้วยกัน คือ
แห่งสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่เพียง
วดั สามจนี ในคลองบางอ้อ ตรงขา้ มวังเทเวศร์ วดั สามจนี เหนือ แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ เท่าน้ัน
บ้างก็ว่าคือ วัดสังเวชวิศยารามอยู่บางลำพู บ้างก็ว่า
หากยังสะท้อนภาพความเปลี่ยนแปลงของชุมชนชาวจีนในย่าน

217

หรือเร่ืองราวของ “จีนปิน” ชาวจีนไหหลำ ต้นตระกูล

จันตระกูล ท่ีเข้ามาเปิดตลาดแห่งใหม่ในย่านตลาดน้อย

ริมถนนเจริญกรุง ซึ่งได้ขยายกิจการต่อมาในภายหลัง

ท้ังกิจการร้านขายยาซุยโห โรงงานน้ำแข็ง ห้องเย็น โรงงาน

น้ำมะเน็ดโซดา อันสะท้อนให้เห็นถึงความเจริญของย่าน

ตลาดน้อยในสมัยของรัชกาลที่ ๔ ต่อเนื่องถึงสมัยของรัชกาล

ท่ี ๕ รวมทัง้ เรอ่ื งราวของชุมชนเชียงกง (คำว่า เชียงกง เพีย้ น

มาจากคำว่า “เซียงกง” อันเป็นชื่อของศาลเจ้าเซียงกงเกง

ตั้งอยู่บริเวณถนนทรงวาดส่วนที่ติดกับถนนเจริญกรุง แขวง
ตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์) ชุมชนชาวจีนที่ถือเป็นตัวอย่าง
ของผใู้ ชแ้ รงงานในย่านตลาดน้อยท่มี คี วามอุตสาหะ พากเพยี ร
จนสามารถผันตัวเป็นเจ้าของกิจการรับซ้ืออะไหล่เครื่องยนต์
เกา่ ที่มชี ่ือเสยี งทส่ี ุดในกรุงเทพฯ จนถึงปจั จุบนั

วัดไตรมิตรวิทยาราม ไม่เพียงแต่เป็นวัดที่ทรงคุณค่า

ทางด้านสถาปัตยกรรมไทยผสมจีน ซึ่งเห็นได้จากพระอุโบสถ
เท่าน้ัน หากแต่ยังเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อทองคำ
พระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยสุโขทัย ซึ่งเคยประดิษฐาน

ณ วัดมหาธาตุแห่งกรุงสุโขทัย ล่วงถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ได้มี
การชะลอหลวงพ่อทองคำ ซ่ึงขณะนั้นยังเปน็ พระพุทธรูปปนู ป้ัน
ขนาดใหญ่มาประดิษฐานท่ีวัดพระยาไกรหรือวัดโชตนาราม
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๔ ก่อนนำมาประดิษฐานทว่ี ดั สามจนี เมื่อ พ.ศ.
พระพุทธมหาสุวรรณปฏมิ ากรหรอื หลวงพ่อทองคำ
๒๔๗๘

พระพุทธรูปหล่อด้วยทองคำทีม่ ีขนาดใหญท่ สี่ ุดในโลก
จนกระทั่ง เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๘

ระหว่างเคลื่อนย้ายองค์พระไปประดิษฐาน ณ พระวิหารที่เพิ่ง
ตลาดน้อยด้วย ไม่ว่าจะเป็นประวัติของพระอภัยวานิช (จาด) สร้างใหม่ เกิดอุบัติเหตุเชือกขาดเพราะทานน้ำหนักไม่ไหว
ซ่งึ รูจ้ ักกนั ทว่ั ไปว่า “โปเสง็ ” ชาวจนี ฮกเกย้ี น ตน้ ตระกูลโปษยะ ทำให้องค์พระตกกระแทกพื้น จนเกิดรอยร้าวบริเวณพระอุระ
จินดา ซึ่งเป็นตระกูลเก่าแก่ในย่านตลาดน้อยท่ีมั่งคั่งข้ึนจาก เมื่อกะเทาะออกจึงเห็นรักท่ีฉาบผิวอยู่ภายใน ปรากฏเป็น
การค้าสำเภา ก่อนจะเข้ารับราชการเป็นขุนนางในกรมท่า
พระพุทธรูปซ่ึงหล่อด้วยทองคำเน้ือเจ็ด น้ำสองขาทั้งองค์ (ขา
ในสมัยรชั กาลท่ี ๓ นบั วา่ เป็นผู้มบี ทบาทสำคัญในการส่งเสรมิ หมายถงึ เศษ ๑ สว่ น ๔ ของหนงึ่ บาท ทองเนอื้ เจด็ นำ้ สองขา
ให้ตลาดน้อยกลายเป็นชุมชนที่มีความหนาแน่นขึ้น จนกลาย หมายความว่า ทองชนิดน้ันเป็นทองขนาดความบริสุทธ
์ิ
เป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ท่ีสุดของเมืองท่ากรุงเทพฯ ในช่วงต้น ปานกลาง ทองหนกั ๑ บาท มคี า่ ๗ บาท สว่ นคำวา่ นำ้ สองขา
รัตนโกสินทร์ ก่อนท่ีจะซบเซาลงภายหลังจากการทำสนธิ หมายถงึ ๒ สลึง) จึงอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ พระวหิ าร
สญั ญาเบารงิ ในสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และขานนามว่า พระพุทธรูปทองคำสุโขทัยไตรมิตร ด้วย

รัชกาลท่ี ๔ ด้วยชุมชนที่เคยเกาะกลุ่มกันอยู่บริเวณริมแม่น้ำ ชื่อเสียงท่ีเลื่องลือถึงความงดงามทำให้ได้รับการบันทึกไว้ใน
เจ้าพระยาเร่ิมขยายออกไปยังพื้นที่ตอนในของกรุงเทพฯ
หนงั สอื กินเนสบคุ๊ พ.ศ. ๒๕๓๔ วา่ เป็นพระพทุ ธรูปทองคำที่ม

มากข้ึน จนเกิดเป็นย่านการค้าสำเพ็งและย่านการค้าถนน ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ต่อมา พ.ศ. ๒๕๓๕ พระบาทสมเด็จ
เจริญกรุง ภายหลังจากการท่ีมีการขุดคลองผดุงกรุงเกษมและ พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน พระราชทานนามใหม่ว่า
การตัดถนนเจรญิ กรงุ
พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร


218

พระประธานภายในพระอุโบสถ
ทา้ วภัณฑสารนรุ กั ษ์ (เจา้ จอมเพม่ิ )


วดั เสมยี นนารี

วัดเสมียนนารีต้ังอยู่ริมถนนวิภาวดีรังสิต เขตจตุจักร เมื่อมีการตัดถนนวิภาวดีรังสิตใน พ.ศ. ๒๕๐๕

เดิมช่ือว่า วัดแคราย สร้างขึ้นราว พ.ศ. ๒๔๐๐ ตามบันทึก
วดั เสมยี นนารีจงึ เปลย่ี นหนา้ วัดให้หนั หนา้ เขา้ ถนนแทน

ของกรมการศาสนา ระบวุ า่ สรา้ งโดยทา่ นขำ เสมยี นพระคลงั ใน ภายในพระอารามประกอบด้วยพระอุโบสถหลังใหม

ธิดาของพระยาวิเศษภักดี (เถียนจ๋ง) เจ้าเมืองสงขลา ต่อมา ที่สร้างขึ้นเม่ือ พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นทรงไทย สร้างด้วยหินอ่อน

เจ้าจอมเพิ่มในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ท้ังหลัง ประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลองพระนามว่า

รัชกาลที่ ๕ ธิดาของท่านขำ ซึ่งสืบทอดตำแหน่งเสมียน
พระศรศี ากยพุทธวงศม์ นุ ี ปิดทองทัง้ องค์ จติ รกรรมฝาผนังเปน็
พระคลังในจากมารดาและเป็นกวีหญิงแห่งราชสำนัก ได้สร้าง ภาพพทุ ธประวัติ ตั้งแตป่ ระสตู ิ ตรสั รู้ และปรินพิ พาน

วัดแครายต่อจากมารดาและทำนุบำรุงวัดแห่งนี้มาโดยตลอด พระอุโบสถเก่าหรือพระวิหารในปัจจุบัน ประดิษฐาน
จนสิ้นอายุขัย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
พระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยนามว่า หลวงพ่อพุทธสุโขอภิโรจนะ
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เจ้าจอมเพ่ิมได้รับพระราชทาน
หลวงพ่อพทุ ธโสธร และหลวงพ่อสังกัจจายน์

สัญญาบัตรเป็นท้าวภัณฑสารนุรักษ์ ภายหลังจึงเปล่ียนนามวัด นอกจากเป็นวัดเก่าแก่แล้ว วัดเสมียนนารียังเคยเป็น
มาเป็นวัดเสมียนนารี เพ่ือเป็นเกียรติแก่ท่านขำและท้าว
สถานท่ีสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย คือ เมื่อครั้งเกิด
ภัณฑสารนุรักษ
์ เหตุการณก์ บฏบวรเดชเมอ่ื เดอื นตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ อนั เป็น
เดิมวัดแห่งนี้หันหน้าเข้าหาคลองสวัสดิ์เปรมประชากร ผลสืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕
(คลองเปรมประชากร) ซึ่งเป็นคลองแรกที่ขุดข้ึนในสมัยของ โดยคณะกู้บา้ นเมอื งนำโดยพระวรวงศ์เธอ พระองคเ์ จา้ บวรเดช
รัชกาลที่ ๕ เพื่อเป็นเส้นทางเดินเรือท่ีตัดตรง เช่ือมแม่น้ำ อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ทรงไม่พอใจการบริหาร
เจ้าพระยาเข้าด้วยกัน เริ่มจากคลองผดุงกรุงเกษมบริเวณหน้า ประเทศของรฐั บาลพระยาพหลพลหยหุ เสนา (พจน์ พหลโยธิน)
วัดโสมนัสราชวรวิหารไปทะลุตำบลเกาะใหญ่ แขวงกรุงเก่า จึงทรงนำกำลังทหารจากหัวเมืองต่างๆ เข้ามาทางดอนเมือง
(จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) เมื่อขุดคลองเสร็จแล้วโปรดเกล้าฯ และทรงยึดพ้ืนท่ีเอาไว้ วัดเสมียนนารีเป็นสถานท่ีหนึ่งที่คณะ

ให้ใช้โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม ด้วยมีพระราชประสงค์เพ่ือ กบู้ ้านเมืองเขา้ ยดึ เม่ือวนั ท่ี ๑๒ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๗๖

เฉลิมพระเกียรติและให้ราษฎรได้รับความสะดวกสบายสมกับ
นามพระราชทานว่า คลองสวัสดิ์เปรมประชากรและเกิดเป็น
ชมุ ชนรมิ สองฝง่ั คลอง


219

พระอโุ บสถวัดโพธินิมติ รสถิตมหาสมี าราม


วัดโพธินิมติ รสถติ มหาสีมาราม

วัดโพธินิมิตรต้ังอยู่ริมคลองสำเหร่ ฝ่ังธนบุรี เป็นวัด
ชุมชนบริเวณนเ้ี ดิมเป็นชุมชนชาวจีนท่ตี ั้งถนิ่ ฐานมาตง้ั แต่
ท่ีสร้างขึ้นบนที่ดินท่ีสมเด็จพระวันรัต (แดง) แห่งวัดสุทัศน
สมัยธนบุรี ก่อนจะโยกย้ายบ้านเรือนบางส่วนไปยังย่าน

เทพวราราม ได้อุทิศท่ีดินมรดกให้สถาปนาขึ้นเป็นพระอาราม สำเพ็งซ่ึงเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของชุมชนชาวจีนเมื่อย้าย

เม่ือ พ.ศ. ๒๔๑๖ ตรงกบั สมยั ของพระบาทสมเด็จพระจลุ จอม ราชธานีไปยังฝ่ังพระนคร พื้นท่เี ดิมจึงมีชาวมสุ ลิมเข้ามาแทนท่ี
เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕ เรียกชื่อวัดว่า วัดโพมิ ตามนาม และได้ริเร่ิมการทำสวนพลูขึ้น จากน้ันมา ทั้งชาวไทยมุสลิม
ของโยมบิดามารดา แล้วถวายเป็นพระอารามหลวง ได้รับ และชาวไทยจีนต่างปลูกพลูหาเลี้ยงชีพตลอดสองฝั่งคลอง
พระราชทานนามใหม่ว่า วัดโพธินิมิตร แต่ชาวบ้านนิยมเรียก บางกอกใหญ่ (คลองบางหลวง) จนกลายเป็นตลาดซื้อขายพลู
ว่า วัดโพธิตลาดพลู ตามชือ่ ยา่ นตลาดพลทู ี่ต้ังวดั
แหล่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงในพระนครในสมัยต้นรัตนโกสินทร์

220

จติ รกรรมฝาผนงั แสดงภาพถนนเสาชงิ ชา้ และวดั สทุ ศั นเทพวราราม

ในสมยั ต้นรัตนโกสินทร


พระประธานในพระอโุ บสถ


เพราะผู้คนยังกินหมากพลูอยู่มาก และเกิดเป็นชุมชนเก่าแก

ที่เรียกกนั ว่า ตลาดพลูมาแต่บดั นนั้


ใน พ.ศ. ๒๔๓๒ รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนิน

ทางชลมารคเพื่อทรงถวายผ้าพระกฐินที่วัดนี้ พร้อมทั้งม

พระราชศรัทธาพระราชทานพระราชทรัพย์และโปรดเกล้าฯ ให้
สมเด็จพระวันรตั (แดง) กำกบั การเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนงั
พระอุโบสถดว้ ยตนเอง


วัดแห่งน้ีเป็นวัดเดียวในคณะสงฆ์มหานิกายท่ีมีเขต
กำหนดสังฆกรรมเป็นมหาสีมา ภายในวัดมีพระอุโบสถ
ลักษณะเป็นหลังคามุขลด ประดับช่อฟ้า ใบระกา ใบสีมา

ในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังท่ีแตกต่างจากวัดอ่ืนๆ
ด้วยไม่ได้กล่าวถึงพุทธประวัติ แต่กลับสะท้อนถึงสภาพ
นอกจากน้ี ยังมีเร่ืองราวของการอัญเชิญก่ิงพระศรีมหาโพธ์ิ

บ้านเมืองในสมัยน้ัน ท้ังภาพพระสงฆ์กำลังทำสังคายนา
จากอินเดียไปยังเกาะลังกา และมีพระมหาเจดีย์ทรงลังกา
พระธรรมวนิ ยั ภาพพระอารามหลวงในกรุงเทพฯ และหวั เมือง กำแพงแก้วล้อมรอบ และศาลา ๔ ทิศ ตามแนวกำแพง

ภาพการประกอบกุศลตามประเพณี เช่น การบวชนาค
พระเจดีย์ สร้างเป็นพุทธบูชาและบรรจุอัฐิสมเด็จพระวันรัต
การทำบุญเข้าพรรษา การก่อพระเจดีย์ทราย และลอยกระทง (แดง) ผู้สถาปนาพระอาราม


221

พระประธานภายในพระอุโบสถ
วัดหลกั สี


วัดหลักส
่ี
วัดหลักส่ีต้ังอยู่ริมถนนวิภาวดีรังสิต ใกล้กับสถานีรถไฟ คลองสวัสดิ์เปรมประชากร ได้แก่ ตำบลทุ่งสองห้อง จาก
หลกั สี่ สร้างขึ้นเม่อื พ.ศ. ๒๔๒๑ โดยพระอาจารยด์ ำ ต่อมา อำเภอปากเกร็ด และบางส่วนของตำบลลาดโตนด จากอำเภอ
ชาวบ้านนิมนต์พระอาจารย์ดำไปเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าโบสถ์ เมืองนนทบุรี มาอยู่ในเขตปกครองของอำเภอบางเขน เพื่อ
เมืองนนทบุรี พระอาจารย์เร่ิมจึงรับหน้าท่ีแทนและดำเนินการ ความสะดวกในการตรวจตราของเจ้าหน้าท่ีและการติดต่อ
กอ่ สรา้ งเจดยี แ์ ละอุโบสถต่อจนแล้วเสรจ็ พรอ้ มทงั้ ตง้ั ช่อื วดั ใหม่ ราชการของประชาชน คลองสวัสดิ์เปรมประชากรจึงกลายเป็น
ว่า วัดราษฎร์ศรัทธาธรรม
แนวแบ่งเขตระหว่างจังหวัดพระนครและจังหวัดนนทบุรีนับแต่
คร้ันต่อมา ชาวบ้านผู้เล่ือมใสศรัทธาได้อาราธนา
นั้น วัดราษฎร์ศรัทธาธรรมสถานีรถไฟหลักสี่จึงอยู่ในเขต
พระอาจารย์เร่ิมไปเป็นเจ้าอาวาสวัดหน้าโบสถ์ เมืองนนทบุรี อำเภอบางเขน จังหวัดพระนคร และเปล่ียนช่ือเป็นวัดหลักสี่

ต่อจากพระอาจารยด์ ำท่มี รณภาพ หลวงปู่ขาว เขมาราโมเถระ ตามลกั ษณะทางภมู ิศาสตร์ของวัด คือ บรเิ วณหลกั ที่ ๔ ของ
จึงดูแลวัดราษฎร์ศรัทธาธรรมต่อ วัดแห่งน้ีเจริญรุ่งเรืองขึ้น
คลองสวสั ดเ์ิ ปรมประชากร

เป็นลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พระบาทสมเด็จ
เมื่อคร้ังเกิดกบฏบวรเดช อันเป็นผลสืบเน่ืองจาก

พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ขุด การเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยมีบุคคล

คลองต่างๆ เพื่อเป็นทางลัดสู่หัวเมืองท่ีอยู่รอบนอกพระนคร คณะหน่ึงได้รวมตัวกันในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ นามว่า
โดยกำหนดหลักบอกระยะทางของคลองทุกระยะ ๑๐๐ เส้น คณะกู้บ้านเมือง ประกอบด้วยทหารและพลเรือน นำโดย
และหน่ึงในคลองเหล่านั้นก็คือ คลองสวัสด์ิเปรมประชากร พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวง
(คลองเปรมประชากร) ซึ่งขุดเช่ือมไปยังอำเภอบางปะอิน กลาโหม ทรงไม่พอพระทัยการบริหารประเทศของรัฐบาล
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชุมชนท่ีต้ังอยู่ที่หลักบอกระยะท่ี ๔ พระยาพหลพลพยหุ เสนา (พจน์ พหลโยธนิ ) จงึ ทรงเกลยี้ กลอ่ ม
ของคลองน้จี งึ มีช่ือเรียกว่า บา้ นหลักสี่
ให้ทหารและพลเรือนในอีกหลายจังหวัดเข้าร่วมก่อการ โดย
เมื่อรัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคมาทรง ทรงเคลอ่ื นกำลังพลเขา้ ยดึ สนามบินดอนเมือง ทว่า ทหารฝา่ ย
เป็นประธานเปิดคลองสวัสดิ์เปรมประชากร ได้ประทับ
รฐั บาลได้ใช้วัดหลกั สแ่ี ละชุมทางรถไฟหลักสีเ่ ป็นฐานบญั ชาการ
ที่พลับพลา (ปัจจุบัน สถานที่ตั้งของพลับพลานี้กลายเป็นท่ีตั้ง ต่อตา้ นคณะกบู้ ้านเมอื งจนสามารถปราบกบฏได้สำเร็จ

ของโรงเรียนวัดหลักส่ี) และทรงนมัสการหลวงปู่ขาว ต่อมา ภายในวัดมีอาคารและเสนาสนะที่มีลักษณะโดดเด่น

ภายหลัง ทางการสร้างทางรถไฟตดั ผา่ นหนา้ วดั ทำให้วัดมชี ือ่ ในสถานะวัดโบราณ มีองค์พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ตอ่ ทา้ ยวา่ วดั ราษฎรศ์ รัทธาธรรมสถานีรถไฟหลกั ส่ี
วิหารหลวงปู่ขาว เขมาราโมเถระ กุฏิสงฆ์ ศาลาการเปรียญ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล มณฑป สถปู เจดยี ์ รอยพระพทุ ธบาท โรงเรียนสอนพระปริยตั ิ
ที่ ๗ ทางราชการได้โอนพื้นที่ซึ่งต้ังอยู่ทางฟากตะวันตกของ ธรรม


222

พระอุโบสถวัดบางนาใน


วัดบางนาใน


วัดบางนาในต้ังอยู่ริมคลองบางนาตอนใน คู่กับวัด วดั บางนาในเดิมชื่อวดั สว่างอารมณ์ ต้ังอยทู่ ่ีตำบลบางนา
บางนานอก ซึ่งตั้งอยู่ปากคลองบางนาใกลแ้ มน่ ำ้ เจ้าพระยา
อำเภอพระโขนง เมืองนครเข่ือนขันธ์ (จังหวดั พระประแดงเดิม

จากหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักรของกองพระพุทธ ปัจจุบัน คือ เขตบางนา) ภายหลังทางราชการได้ปรับปรุง

ศาสนสถาน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุว่า
การบรหิ ารราชการสว่ นท้องถนิ่ เสียใหม่ วดั สว่างอารมณจ์ งึ โอน
วดั บางนาในสรา้ งขน้ึ เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๓๓ ไมท่ ราบนาม มาข้ึนกับตำบลบางนา อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร

และประวัติผู้สร้าง แต่ผู้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการพัฒนา
จากน้ันมามีการเปล่ียนแปลงเขตการปกครองอยู่หลายครั้ง
และสร้างอุโบสถ คือ หลวงปู่ชุ่ม พระนักพัฒนา ผู้มีบทบาท ท้ายท่ีสุด วัดสว่างอารมณ์จึงอยู่ในพ้ืนท่ีของแขวงบางนา

สำคัญในการสร้างความเจริญให้แก่วัดบางนาในและยังเป็น เขตบางนา กรงุ เทพฯ

พระนักวิปัสสนา ผู้เปน็ ทเี่ ลอ่ื มใสของชาวบางนาดว้ ย


223

ศาลาสมเด็จพระนเรศวรมหาราช


นอกเหนือจากวัดสว่างอารมณ์ ซึ่งอยู่กลางทุ่งนาลึก
สิ่งท่ีโดดเด่นของวัดบางนาใน คือ พระเจดีย์ทรงกลม

เข้ามาตามคลองบางนา ชาวบ้านส่วนใหญ่ทำนาและปลูก
สีทอง มีพระพุทธรูปปางประทานพรประดิษฐานอยู่รอบองค์
พืชผักริมคลองตามวิถีชีวิตด้ังเดิมแล้ว ในตำบลบางนายังมีวัด พระเจดีย์ทั้ง ๔ ทิศ ด้านในมีภาพจิตรกรรมเกี่ยวกับพระราช
อกี แหง่ หนงึ่ คอื วดั ปากคลองบางนา ทวา่ เพอื่ ความเหมาะสม กรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน
และสอดคล้องกบั สถานท่ีต้งั ชาวบ้านจงึ เรียกวดั ทอี่ ย่ปู ากคลอง ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธสยามภูมินาถ

บางนา ริมแม่น้ำเจ้าพระยาว่า วัดบางนานอก และเรียก
ซึ่งหมายถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของประชาชนในแผ่นดิน

วัดสว่างอารมณ์ว่า วัดบางนาใน ช่ือของวัดจึงได้เปล่ียนไป
ทั้งยังประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศต่างๆ ได้แก่
นับตงั้ แตน่ ้นั เปน็ ต้นมา
ไทย ศรีลังกา พมา่ จนี ลาว กัมพชู า อนิ เดีย เนปาล ทิเบต

ชุมชนในบริเวณนี้เป็นชุมชนชาวมอญท่ีพระบาทสมเด็จ และภูฏาน ซึง่ เปดิ ใหพ้ ุทธศาสนิกชนเขา้ นมสั การดว้ ย

พระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ พระราชทานที่ดิน
ถัดจากพระเจดีย์เป็นศาลาสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ในแถบมีนบุรี สำโรง บางนา บางพลี ต้ังแต่คลองบางนา
สร้างข้ึนในโอกาสครบ ๔๐๐ ปีแห่งการเสด็จสวรรคตของ
ถึงคลองบางแก้ว ทำให้มอญในพระประแดงขยับขยาย
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภายในประดิษฐานพระบรมรูป

การทำมาหากิน โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลเพาะปลูกจะขนย้าย ของพระองค์ ซ่ึงประชาชนท่ัวไปสามารถเข้ามาสักการะขอพร
ครอบครัวลงเรือล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าคลองบางนา และรำลกึ ถึงพระมหากรณุ าธคิ ุณท่ที รงมีตอ่ ปวงชนชาวไทย

คลองสำโรง ทะลุผ่านไปบางพลีเพื่อไปทำนา ส่วนผู้ท่ีไม่มี
วันที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ พระบาทสมเด็จ
เชื้อสายมอญ ในสมัยก่อนนิยมผูกสัมพันธ์กับชาวมอญ พระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะวัดบางนาในขึ้นเป็น

พระประแดงดว้ ยการแต่งงานเพ่อื ให้ตระกูลกว้างขวางขึ้น
พระอารามหลวง เน่ืองในปีมหามงคลที่ทรงครองสิริราชสมบัติ
ครบ ๕๐ ปี


224

วัดบุณยประดิษฐ


วัดบุณยประดษิ ฐ

วัดบุณยประดิษฐ์ต้ังอยู่ริมคลองบางแวก เขตบางแค
เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดบุณยประดิษฐ์ คือ หลวงพ่อ

เดิมชื่อ วัดใหม่บุญน่วมหรือวัดใหม่ตาน่วม ด้วยเหตุที่นายบุญ สนิ ตสิ โฺ ส ชาวนครจำปาศกั ด์ิ ครองวดั เมอื่ พ.ศ. ๒๔๘๙ เปน็
และนางน่วม โพธินิมิตร สองสามีภรรยาถวายท่ีดินสร้างวัด
พระนักพัฒนาและนักปกครอง ได้เชิญชวนญาติโยม

เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๘๒ ในคราวน้ำท่วมพระนครครง้ั ใหญ่เมือ่ พ.ศ. ร่วมกันสร้างอาคารเสนาสนะ ท้ังอุโบสถ ศาลาการเปรียญ

๒๔๘๕ วัดแห่งน้ีจึงเป็นที่พักพิงของราษฎรทั่วไป ภายหลัง กุฏิสงฆ์ ศาลาโรงทึม ตลอดจนวัตถุอื่นๆ เพื่อใช้เป็นสถานที

เปลี่ยนช่ือเป็นวัดบุณยประดิษฐ์ และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น ในการบำเพ็ญกุศลและส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรเล่าเรียน
พระอารามหลวงเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗ ตามประกาศของสำนักงาน พระปรยิ ัตธิ รรม จนมีพระนกั ธรรมเกิดข้ึนภายในวดั หลายรูป

พระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยเป็นพระอารามหลวงเพียง
นอกจากน้ี หลวงพ่อสินยังธุดงค์ไปในจังหวัดต่างๆ

แห่งเดียวในเขตบางแค
ถงึ ๑๗ ครง้ั ทศิ เหนือจรดจังหวัดเชียงใหม่ ทศิ ใตจ้ รดจงั หวัด
พื้นท่ีต้ังของวัดมีลักษณะเป็นพื้นท่ีราบลุ่ม แต่เดิมม
ี นครศรีธรรมราช ทิศตะวันตกจรดจังหวัดกาญจนบุรี ทิศ

ต้นแคอยู่มากจึงเรียกย่านน้ีว่า บางแค นอกจากนี้ ยังมีคลอง ตะวนั ออกจรดพนมเปญ นครวดั ทิศตะวันออกเฉียงเหนือจรด
ภาษีเจริญและคลองราชมนตรีไหลผ่าน สามารถลำเลียง เวียงจันทน์ ในระหว่างที่ท่านออกธุดงค์นั้นได้พยายามค้นคว้า
ผลผลิตทางการเกษตรทางเรือได้โดยสะดวก บริเวณพื้นที่ที่ท้ัง
หาความรู้เพ่ิมเติมตลอดเวลา จนมีครูบาอาจารย์มากมายและ
๒ คลองตัดผ่านน้ันเป็นตลาดน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งรวมสินค้า
เปน็ ผูเ้ ชี่ยวชาญในวิชาไสยศาสตร์ ทำใหว้ ัตถุมงคลหลวงพ่อสนิ
จากกรุงเทพฯ ราชบุรี นครปฐม และสมุทรสงคราม ปัจจุบัน วัดบุณยประดิษฐ์มีชื่อเสียงในวงการอย่างมาก ภายในวัด

คอื บริเวณตลาดบางแค รมิ ถนนเพชรเกษม
มีรูปหล่อหลวงพ่อสินขนาดเท่าจริงในท่านั่งสมาธิให้ประชาชน
ดา้ นใตข้ องวดั ติดกบั คลองบางแวก ซึง่ เช่ือกนั วา่ แตเ่ ดมิ ท่เี คารพศรัทธาไดม้ าสกั การบชู า นอกจากนี้ ยงั มหี ลวงพ่อปาน
ชื่อ “คลองบางแหวก” เน่ืองจากสมัยก่อนนิยมการสัญจร
พระพุทธรูปปางมารวิชัย ที่ชาวบ้านเชื่อกันว่า ศักด์ิสิทธ์ิและ

ทางน้ำ การจะเข้าคลองบางแวกได้ก็ต้องแหวกผักตบชวา มีมานบั แต่เริ่มสร้างวัด

จำนวนมาก จนปิดเส้นทางสัญจรไปมา


225

พระอโุ บสถวัดวชิรธรรมสาธติ วรวิหาร


วดั วชริ ธรรมสาธติ วรวิหาร

วัดวชิรธรรมสาธิตตั้งอยู่ในเขตพระโขนง เดิมสร้างขึ้น วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๘ พระบาทสมเด็จ
กลางทุ่งระหว่างคลองเคล็ดกับคลองบ้านหลายในราว พ.ศ. พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน และสมเด็จพระนางเจ้าฯ
๒๓๙๙ โดยนายวันดี คหบดีเช้ือสายลาว ซ่ึงอพยพมาจาก พระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชดำเนินไปทรงยกช่อฟ้า

เวียงจันทน์ ชาวบ้านจึงพากันเรียกว่า วัดทุ่งหรือวัดกลางทุ่ง พระอุโบสถ ยอดฉัตรพระมหาเจดีย์จุฬามณีศรีลานนา และ
เมื่อนายวันดีถึงแก่กรรม กอปรกับเจ้าอาวาสรูปสุดท้าย ทรงผูกพัทธสีมาพระอุโบสถ ในโอกาสนี้ พระโสภณวชิรธรรม
มรณภาพลง วัดทุ่งจึงกลายเป็นวัดร้างอยู่นานถึง ๖๐ ปีเศษ จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถวายวัดทุ่งสาธิต

เนื่องจากขาดผู้อปุ ถมั ภ
์ แด่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ (สมเด็จ

พ.ศ. ๒๕๐๖ พระโสภณวชิรธรรม (สาธิต ฐานวโร) หรือ พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชิราลงกรณฯ สยามมกฎุ ราช
หลวงพ่อศรีนวลแห่งวัดยางสุทธาราม บางกอกน้อย ได้รับ กุมาร) เพื่อเฉลมิ พระเกียรติและแสดงความจงรกั ภักดี

อาราธนามาเป็นประธานในการบูรณปฏิสังขรณ์วัดทุ่งร่วมกับ ต่อมา วันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๘ พระบาทสมเดจ็
ประธานฝ่ายฆราวาส คือ หลวงจบกระบวนยุทธ จึงเร่ิมมี
พระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้า
พระภิกษุมาจำพรรษา ชาวบ้านในละแวกน้ันจึงเรียกวัดนี้ว่า วชิราลงกรณทรงรับวัดทุ่งสาธิตไว้ในพระราชูปถัมภ์เป็น

วดั ทุง่ สาธิต ตามนามเดมิ ของพระโสภณวชริ ธรรม
พระอารามหลวง พร้อมกับพระราชทานช่ือวัดใหม่ว่า

วัดวชริ ธรรมสาธติ


226

พระมหาเจดียจ์ ุฬามณศี รีลา้ นนา


ความโดดเด่นของพระอารามแห่งน้ี คือ สถาปัตยกรรม
ล้านนาท่ีมีความประณีตงดงาม โดยเฉพาะพระอุโบสถ

ซึ่งประดิษฐานพระมหาเจดีย์จุฬามณีศรีล้านนาท่ีจำลองมาจาก
พระบรมธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน ภายในบรรจุพระบรม

สารรี กิ ธาตุ ๒๕ องค์


วัดวชิรธรรมสาธิตร่วมสืบสานประเพณีอันเก่าแก

ของชาวเหนือมาโดยตลอด โดยเฉพาะงานประเพณีตานก๋วย
สลากหรือก๋ินสลาก อันเป็นประเพณีทำบุญของชาวล้านนา

ทีน่ ิยมปฏิบัติกันตั้งแต่เดอื นสบิ สองเหนือถึงเดือนยีเ่ หนอื (ต้ังแต่
เดอื นกันยายนถงึ เดือนตุลาคม) ของทกุ ปี


คำว่า ก๋วย แปลว่า ภาชนะสาน ประเภทตะกร้าหรือ
ชะลอม ตานก๋วยสลากจึงหมายถึงการถวายทานด้วยวิธี

การจับสลากเคร่ืองไทยทานที่บรรจุมาในชะลอม การถวาย
ตานก๋วยสลากมีจุดมุ่งหมาย คือ เพื่ออุทิศให้เทพยดาและผู้ท่ี
ลว่ งลับไปแล้ว กับทง้ั อุทิศไว้ใหต้ นเองเมือ่ ลว่ งลับไปในภายหนา้

ภายในงานมีขบวนแห่ครัวตาน พิธีไหว้ครูนาฏศิลป

ล้านนา การแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา เช่น การตีก๋องปู่จา
(กลองปูจา) กลองสะบัดชัย ฟ้อนดาบ ฟ้อนเล็บ มีการออก
ร้านขายสินค้าพื้นเมือง (กาดหมั้วครัวเมือง) และงาน

ทอดผา้ ปา่ สามคั ค


227

228

บทที่ ๒

วดั ราษฎร


วัดราษฎร์ หมายถึง วัดที่พุทธศาสนิกชนอันเป็น ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน เขาตั้งอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล
ประชาชนทั่วไป ซ่ึงมีจิตศรัทธาได้รวมใจร่วมกันบริจาคทรัพย์ เป็นผู้ไปสวรรค์” (วนโรปสูตร) นอกจากนี้ ในวิหารทานกถา

หรือทดี่ นิ ถวายเปน็ สังฆาราม หรอื รวมใจกันสรา้ งข้ึน หรอื บรู ณ อันเป็นกถาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงไว้ทั่วไป เป็นสิ่ง
ปฏสิ งั ขรณ์ขนึ้ เพอื่ ใหเ้ ปน็ ศนู ยก์ ลางการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ยืนยันให้เห็นว่า การถวายวิหารหรือวัดให้เป็นที่อยู่อาศัยแก่
ของชมุ ชน โดยไดร้ ับการประกาศใหม้ กี ารกอ่ ต้งั วดั ถูกตอ้ งตาม ภิกษุสงฆ์เป็นสมุฏฐานท่ีก่อให้เกิดประโยชน์สุขท้ังผู้รับและ

กฎหมายจากทางราชการ หรือได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ผู้ถวาย ซึ่งทรงแสดงอานิสงส์ไว้ว่า เป็นยอดของสังฆทาน

เช่นเดยี วกนั กับพระอารามหลวง
เป็นปัจจัยอันเก้ือหนุนให้ประสบความเกษมศานต์จนบรรลุถึง
การก่อสร้างวัดของพุทธศาสนิกชนชาวไทยเท่าที่มี
พระนพิ พานในทสี่ ุด

การค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ปรากฏมีมาตั้งแต่
การก่อสร้างวัดของพุทธศาสนิกชนชาวไทยจึงปรากฏข้ึน
สมัยสุโขทัย ซ่ึงไม่เพียงเกิดจากความต้องการศาสนสถานเพื่อ ทั่วไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากที่มี

เป็นศูนย์รวมในการประกอบพิธีกรรม การทำบุญ รวมถึงการ การก่อต้ังบ้านเรือนขึ้นเป็นชุมชน ด้วยไม่เพียงแต่มุ่งหมายให้
บำเพ็ญกุศลในทางพระพุทธศาสนาเท่าน้ัน หากแต่ยังเกิดจาก วัดเป็นศูนย์กลางแห่งการเผยแผ่พระพุทธธรรมคำสอนเท่านั้น
ความศรัทธาอย่างแรงกล้า ด้วยเช่ือว่า การสร้างวัดเป็น หากแต่ยังเป็นศูนย์กลางแห่งการสร้างความสามัคคีของผู้คน

อานิสงส์สูงสุด ดังท่ีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ว่า
ในชุมชน ทั้งยังเป็นเสมือนศูนย์รวมจิตใจแห่งการยึดเหนี่ยว
“ผู้ใดให้ท่ีพักอาศัย ผู้นั้นเช่ือว่าให้สิ่งทั้งปวง” (สังยุตตนิกาย การประกอบกรรมดีระหว่างกันเป็นสรณะนับเนื่องจากอดีต
สคาถวรรค) “ผู้ให้ท่ีพักอาศัย ย่อมมีบุญเจริญในกาลทุกเม่ือ จนถึงปัจจบุ นั


229

วัดราษฎร


วดั ช่องนนทรี
วัดลครทำ

วัดอัมพวา
วัดใหมช่ ่องลม

วดั สงิ ห์
วดั หนองแขม


วดั หัวกระบอื
วัดมงั กรกมลาวาส

วัดประดิษฐาราม
วัดลาดบวั ขาว


วดั แจงร้อน
วัดสมณานัมบรหิ าร

วัดมหาบศุ ย
์ วดั บึงทองหลาง

วดั บำเพ็ญเหนือ
วดั ลาดกระบงั


วัดไผต่ นั
วดั บางกระด
่ี
วัดไก่เต้ีย
วดั นวลจันทร

วัดบางไส้ไก
่ วดั แปน้ ทองโสภาราม

วัดสะพาน
วดั บางนานอก

วดั ใหมอ่ มตรส
วดั ใหม่เจรญิ ราษฎร

วัดบางปะกอก
วดั ราษฎร์ศรัทธาธรรม

วัดเวตวนั ธรรมาวาส
วดั สทุ ธาโภชน

วดั กระทุ่มเสอื ปลา
วัดบางบอน

วัดจำปา
วัดกุนนทรี ุทธาราม


วดั ม่วง
วัดเลา

วดั คลองเตยนอก
วัดธาตุทอง


วัดศรบี ุญเรือง
วัดพุทธบชู า

วัดประสาทบญุ ญาวาส
วัดธรรมมงคลเถาบญุ นนทวิหาร

วัดประเสริฐสุทธาวาส
วัดพรหมวงศาราม


วดั ใหม่พิเรนทร
์ วัดสาครส่นุ ประชาสรรค์

วดั ปุรณาวาส
วดั อมราวราราม

วดั พระยายัง
วดั โกมทุ พทุ ธรงั ส


วดั ภาษ


230

อุโบสถวดั ช่องนนทรรี ายรอบไปดว้ ยเจดีย์ย่อมมุ ไมส้ ิบสองศิลปะสมัยอยธุ ยา


วดั ช่องนนทร

วัดช่องนนทรีต้ังอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก
มีเจดีย์เก่าแบบย่อมุมไม้สิบสอง แบบเดียวกับเจดีย์รอบอุโบสถ
เขตยานนาวา ตรงขา้ มกบั ตำบลบางกระเจา้ อำเภอพระประแดง ในปจั จุบนั ต่อมาจึงไดย้ ุบรวมกนั

จังหวัดสมุทรปราการ เป็นวัดโบราณท่ีสร้างข้ึนต้ังแต่สมัย ในอดีต พื้นที่บริเวณย่านยานนาวาเป็นพื้นที่รกร้าง

อยธุ ยา สันนษิ ฐานวา่ ต้งั ช่ือตามชอื่ คลองชอ่ งนนทรีท่ีไหลผ่าน ว่างเปล่า ก่อนจะกลายเป็นท่ีตั้งบ้านเรือนของผู้คนหลายชาติ
หลังวดั ไปออกแมน่ ำ้ เจ้าพระยา
หลากภาษา รวมท้ังเป็นที่ต้ังชุมชนของชาวตะวันตกที่ขยายตัว

แต่เดิม วัดช่องนนทรีแบ่งเขตวัดออกเป็นคณะบนและ อย่างรวดเร็วภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาริง ขณะท่ีราษฎร
คณะล่าง โดยคณะบนเปน็ ท่ีต้งั ของวดั ในปัจจบุ ัน มีอุโบสถเก่า ชาวไทยส่วนใหญ่ซึ่งมีอาชีพเกษตรกรรมมักจับจองท่ีดิน

ศาลาการเปรียญ เจดีย์ ส่วนคณะล่างอยู่ใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเพาะปลูกและสร้างที่พักอาศัย แต่นับจากมีการตัด “ถนน

231

ภาพจติ รกรรมฝาผนังพระมหาชนก
วิหารจตรุ มุข วัดช่องนนทร


สีลม” หรือ “ถนนขวาง” ข้ึนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ สงครามโลกครั้งที่ ๒ ทำให้พุทธลักษณะของพระประธาน

พระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว รชั กาลที่ ๔ เป็นตน้ มา เรอื กสวนไรน่ า องค์น้ีสูญเสียพระพักตร์แบบศิลปะอยุธยาไป แต่พระพุทธรูป
เหล่าน้ีก็ค่อยๆ กลายเป็นย่านท่ีพักอาศัยสำคัญของเจ้านาย ดา้ นหนา้ ยังคงศลิ ปะอยธุ ยาตอนปลายไวอ้ ยา่ งชัดเจน

ขนุ นาง ขา้ ราชบรพิ าร และชาวตา่ งประเทศ และมกี ารพฒั นา
วัดช่องนนทรีมีความโดดเด่นทางด้านภาพจิตรกรรม

ท่ดี นิ โดยการตัดถนนหรือซอยตา่ งๆ เชอ่ื มกบั บริเวณใกล้เคยี ง
ฝาผนังอย่างมาก ในอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องทศชาติ
ส่ิงสำคัญภายในวัด ไดแ้ ก
่ ชาดกและพุทธประวัติ การวางภาพจะค่ันเรื่องราวด้วยลาย

อุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนกลาง เป็น ร้อยรักเป็นเส้นต้ัง และคั่นเร่ืองย่อยด้วยเส้นสินเทา โครงสี

อาคารก่ออิฐถือปูน ฐานมลี ักษณะเป็นฐานปัทม์ หย่อนทอ้ งช้าง ส่วนใหญ่เป็นสีแดง ผนังลงพ้ืนด้วยสีฝุ่น (ขาว) แล้วระบาย

ต้ังอยู่บนชาลาหินอ่อนยกพื้นสูงเล็กน้อย ล้อมรอบด้วยกำแพง สีอ่อนทับลงไป นิยมปิดทองตัวกษัตริย์ ราชรถ และปราสาท
แก้ว หน้าต่างเจาะช่องโค้งแหลม จากการศึกษาสภาพทาง การเขียนภาพมีลักษณะเหนือจริง คือ เน้นความสวยงามมาก
สถาปัตยกรรม พบว่า อุโบสถหลังน้ียังคงเป็นรูปทรงเดิม
กว่าความสมจริง มีภาพเขียนต้นไม้บิดเบี้ยวและภูเขาตัดเส้น
ไม่เคยซ่อมแซมหรือเปล่ียนแปลงโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม แบบจีน บางภาพเขียนด้วยมุมมองท่ีแสดงระยะใกล้ไกลตามที่
ทง้ั ภายในและภายนอก
ตาเห็นแบบเพอร์สเปคทีฟ (Perspective) สะท้อนถึงอิทธิพล
ภายในอุโบสถประดิษฐานพระประธาน พระพุทธรูป
การเขียนภาพแบบตะวันตก บางช่วงมีภาพศิลปะเชิงสังวาส
ปูนปั้นปางมารวิชัย และพระพุทธรปู ๔ องค์ ท่จี ัดวางตำแหน่ง
สอดแทรกดว้ ย

ลดหล่ันเป็นคู่เย้ืองกัน ที่ฐานองค์พระมีลายปูนปั้น ออกแบบ
ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถของวัดน้ีจึงเป็นภาพ
ขาสิงห์เป็นรูปครุฑอย่างสวยงาม มีเร่ืองเล่าว่า พระเศียรของ จิตรกรรมฝาผนังศิลปะอยุธยาที่ยังสมบูรณ์และคงอยู่มาจนถึง
พระประธานหักหายไปและได้รับการบูรณะข้ึนใหม่ภายหลัง ปัจจบุ ัน


232

อโุ บสถวดั อัมพวาศลิ ปะสมัยอยุธยา
พระประธานในอุโบสถศลิ ปะสมยั อู่ทอง


วดั อัมพวา

วัดอัมพวาต้ังอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพระราชวัง
อนุรักษ์เทเวศร์) พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ

นันทอุทยาน (วังสวนอนันต์ ปัจจุบัน เป็นท่ีต้ังของกอง เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี โดยเฉพาะชุมชนบ้านช่างหล่อ
สวัสดิการทหารเรือ) เป็นวัดโบราณสร้างข้ึนตั้งแต่สมัยอยุธยา ซ่ึงอยดู่ ้านทิศเหนอื ไม่ไกลจากวัดอัมพวาเท่าใดนกั

ราว พ.ศ. ๒๒๑๑ แตไ่ ม่ปรากฏชอื่ ผูส้ รา้ ง
บรรพบุรุษของชาวบ้านช่างหล่อเป็นชาวกรุงศรีอยุธยา

ท้ังอุโบสถ เจดีย์ใหญ่ และเจดีย์เล็กเป็นปูชนียสถาน
มีอาชีพหล่อพระพุทธรูปมาแต่เดิม เมื่อย้ายเมืองหลวงมาอยู่

เก่าแก่ สันนิษฐานว่า สร้างข้ึนในสมัยอยุธยาตอนปลาย
ที่กรุงธนบุรี ชาวบ้านกลุ่มนี้ได้อพยพตามมาด้วยและได้ตั้ง
ใบเสมารอบอุโบสถทำซุ้มเป็นกูบช้าง ด้านหลังอุโบสถมีเจดีย์ ถน่ิ ฐานบา้ นเรือนอยู่ในละแวกตรอกบา้ นช่างหลอ่ ดำเนนิ อาชพี
ทรงกลมใหญ่ น. ณ ปากนำ้ สนั นิษฐานวา่ อารามแหง่ นน้ี ่าจะ
ป้นั และหล่อพระพุทธรูปสืบมา

ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์คร้ังใหญ่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ ในสมัยก่อน บ้านเรือนแต่ละหลังของชาวบ้านช่างหล่อ
พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว รชั กาลที่ ๔
เป็นเรือนไทย หลังคาจั่ว มีบริเวณกว้าง เพราะต้องใช้พื้นที่
ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปโบราณ ศิลปะ มากในการปั้นและหล่อพระพุทธรูป แต่ต่อมา เม่ือมีการออก
อู่ทองและพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยหล่อด้วยสัมฤทธิ์อีก ๓ องค์ กฎหมายผังเมืองกำหนดให้พ้ืนที่บ้านช่างหล่อเป็นพื้นท
่ี
มภี าพจติ รกรรมฝาผนังทัง้ ภายในอโุ บสถและวิหารหลวงปนู่ าค
อยูอ่ าศัยหา้ มทำโรงงานอุตสาหกรรมใดๆ หรือหากจะทำกต็ อ้ ง
สันนิษฐานว่า วัดอัมพวาเป็นศูนย์กลางของชุมชนอีก
ปลูกสร้างกำแพงล้อมบริเวณให้มิดชิด ทำให้ไม่มีโรงหล่อพระ
แห่งหนึ่งริมคลองบางกอกน้อย รว่ มกับวัดระฆังโฆษิตารามและ เหลืออยู่ในชุมชนน้อี กี

วัดสุวรรณารามที่อยู่ในความดูแลของกรมพระราชวังบวรสถาน
พิมุข ฝ่ายหลัง (สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวง


233

แม้จะสร้างอุโบสถหลังใหม่ แต่ก็ยังคงอนุรักษ์อุโบสถ

หลังเดิมไว้เป็นโบราณสถานท่ีทรงคุณค่า บริเวณหน้าบัน

ประดับด้วยปูนปั้นลายพะเนียงประดับเครื่องถ้วย ตอนล่าง

หน้าบันป้ันลักษณะเขามอ คันทวยสลักไม้งดงาม ส่ิงที่สำคัญ
อีกอย่างหน่ึง คือ หลวงพ่อดำ พระพุทธรูปเน้ือหินทรายแดง
ปางสมาธิ ศลิ ปะอู่ทอง มรี ่องรอยการลงรกั ชาวบา้ นนบั ถือว่า
ศักด์สิ ทิ ธิ์มาก

บริเวณคลองด่านอันเป็นท่ีตั้งของวัดสิงห์เป็นย่านท่ีม

ทั้งความอุดมสมบูรณ์และความเจริญมาแต่อดีต เพราะเป็น
เส้นทางหลักในการสัญจรติดต่อค้าขายที่เชื่อมระหว่าง
กรุงเทพฯ กับหัวเมืองภายนอก มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ

ทั้งไทย ลาว มอญ เขมร มาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนตลอด

วหิ ารจตุรมขุ วดั สงิ ห์
สองฟากฝงั่ ของลำคลองแหง่ นีอ้ ยา่ งหนาแนน่ ดังทีเ่ ซอร์ จอห์น
ครอวเ์ ฟิร์ด ตัวแทนของรัฐบาลอังกฤษที่อินเดีย เดินทางเขา้ มา
เจริญสัมพันธไมตรีกับสยามในช่วงปลายรัชสมัยพระบาท
วดั สิงห
์ สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ได้บันทึกถึง
บรรยากาศริมคลองด่านจากปากคลองบางหลวงถึงวัดจอมทอง

วัดสิงห์ต้ังอยู่ริมคลองวัดสิงห์ ใกล้กับคลองบางบอน
(วัดราชโอรสาราม) เมือ่ วันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๓๖๕ ความ
และคลองโคลัด ซ่ึงเป็นลำคลองสายย่อยที่แยกจากคลองด่าน ตอนหนึ่งว่า “...สองฝ่ังคลองเป็นที่ราบลุ่มใช้เพาะปลูกท่ัวไป

ในเขตบางขุนเทียน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เท่าที่ มผี ูค้ นอยู่หนาแน่น ไดล้ องนบั ดูว่าผา่ นวัดสกั ก่แี ห่ง ได้ความวา่

ปรากฏในวดั สงิ ห์ ทง้ั อุโบสถกอ่ ผนงั หนาทรงวลิ ันดาสมยั อยุธยา มีถึง ๒๒ วดั บางวัดกใ็ หญโ่ ต บางวดั กข็ นาดกลางๆ สุดทาง
และใบเสมาท่ปี ระดับอยภู่ ายในวดั ทำให้สนั นิษฐานได้วา่ เป็น ของเราในวนั น้ันคอื วัดซ่ึงกรมเจษทรงสรา้ ง...”

วดั ที่สรา้ งขน้ึ ตัง้ แต่สมยั อยธุ ยา ดังทส่ี ุจิตต์ วงษเ์ ทศ เขียนเล่า วดั สงิ ห์เปน็ ๑ ในจำนวน ๒๒ วัด บนเสน้ ทางคลองดา่ น
ถึงความเห็นของ น. ณ ปากน้ำไว้ในหนังสือแม่น้ำลำคลอง ท่ีครอว์เฟิร์ดเอ่ยถึง การที่มีวัดจำนวนมากอยู่ในบริเวณน
ี้
สายประวัติศาสตร์ ความตอนหนึ่งวา่
ไม่เพียงแต่สะท้อนให้เหน็ ว่า บริเวณนเ้ี ปน็ ย่านชมุ ชนขนาดใหญ่
“...น. ณ ปากนำ้ เขา้ ใจว่าใบเสมาจะสรา้ งในสมยั พระเจ้า ที่มีผู้คนอาศัยอยู่จำนวนมาก ด้วยวัดเป็นศูนย์กลางสำคัญของ
อยู่หัวบรมโกศคล้ายกับที่วัดพรหมนิวาส (วัดขุนญวน)
ชุมชน หากแตย่ งั บ่งบอกถงึ ความเจรญิ รุ่งเรอื งแห่งยุคสมัยดว้ ย

ที่หัวแหลม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีอักษรจารึกใช้คำว่า แม้ว่ากาลเวลาท่ีผ่านไปจะทำให้ศูนย์กลางความเจริญ
กวางตุ้งด้วย คิดว่าคงจะสั่งทำจากกวางตุ้งและได้ส่งอิทธิพล เปล่ียนไป ย่านคลองด่านไม่คึกคักเหมือนเก่า แต่บริเวณ
มายังสมัยรัชกาลที่ ๑...” นอกจากน้ี ยังปรากฏข้อความ
วัดสิงห์ยังคงเป็นท่ีตั้งของชุมชนเก่าแก่ท่ีดำรงวิถีชีวิตแบบ
ระบวุ ่า นายฮวดเป็นผสู้ รา้ ง
ด้ังเดิม ท่ีสำคัญ คือ ชุมชนคุ้งข้าวหลาม อันเป็นชุมชน

ความเก่าแก่ของวัดสิงห์ยังยืนยันได้จากลูกนิมิต
ขนาดเล็กท่ีตั้งบ้านเรือนอยู่ริมคลองสนามชัย ระหว่างวัดไทร
ของอุโบสถที่มีอยู่เดิม ในคราวท่ีทางวัดดำเนินการก่อสร้าง กับวัดสิงห์ทางฝ่ังตะวันออก โดยบริเวณน้ันยังคงสภาพของ

อุโบสถหลังใหม่ พร้อมกับได้ถอนย้ายเขตวิสุงคามสีมาเดิม
ร่องสวน ซ่ึงแต่เดิมเกือบทุกบ้านในชุมชนนี้มีอาชีพเผา
ไปดว้ ย จงึ มีการขุดรากฐานเดิมของอุโบสถและพบลูกนิมติ ทฝี่ งั ข้าวหลามขาย จนขึ้นช่ือว่า เป็นแหล่งข้าวหลามรสชาติดีท่ีสุด
อย่มู ีลักษณะเปน็ กอ้ นหินธรรมชาตทิ ี่ไม่ไดผ้ า่ นการสกดั
แห่งหนง่ึ ของกรุงเทพฯ แต่ทุกวันน้คี ่อยๆ ลดนอ้ ยลง จนเหลอื
แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานว่า มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัด
เพียงเจ้าเดยี ว คอื ลงุ สมยศ และปา้ แต๊ว มว่ งเกตุ

เมื่อใด แต่ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า วัดน่าจะได้รับการบูรณะ

ให้สมบรู ณข์ ้ึนในสมัยต้นรตั นโกสินทร์ โดยพิจารณาจากอาคาร
รุน่ รตั นโกสนิ ทรท์ ี่สรา้ งเป็น ๒ ช้นั มลี ายฉลุไม้ประดบั ตกแตง่


234

อุโบสถวดั หวั กระบอื สถานทปี่ ระดษิ ฐานหลวงพ่อโต


วัดหัวกระบือ

วดั หวั กระบอื หรอื วดั ศรี ษะกระบอื ตงั้ อยใู่ นเขตบางขนุ เทยี น ภายในวัดมีอุโบสถและพระประธานองค์ใหญ่นามว่า
เปน็ วดั โบราณ สรา้ งขน้ึ เมอ่ื ใดไมป่ รากฏหลกั ฐานแนช่ ดั แตจ่ าก หลวงพ่อโต ซ่ึงเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านในพื้นท
่ี
หลักฐานทางวัตถุโบราณ คือ เสมาหนิ ทรายแดง ฝมี อื ตระกลู
มาหลายช่ัวอายุคน โดยเช่ือว่า อุโบสถและพระประธานน้ัน

ชา่ งอัมพวา เจดีย์คู่ย่อมุมไม้สิบสอง แท่นสิงห์ และสมุดข่อย
สรา้ งขึน้ มาพร้อมกัน แตไ่ มม่ หี ลักฐานแนช่ ัดวา่ สรา้ งขึ้นเมื่อใด
ท่ีพบในบริเวณวัดทำให้สันนิษฐานได้ว่า วัดหัวกระบือน่าจะ บริเวณอันเป็นท่ีต้ังของวัดหัวกระบือ ซ่ึงอยู่ริมคลอง

สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเจ้า หัวกระบือในย่านบางขุนเทียนนั้น ยังมีตำนานเล่าขาน

อยหู่ วั บรมโกศ
ถึงช่ือย่านหัวกระบือ เชื่อมโยงกับมหากาพย์เร่ืองรามเกียรติ์
สำหรบั ตำนานการสรา้ งวดั หวั กระบอื ปรากฏอยใู่ นเอกสาร ตอนศึกทรพีว่า เมื่อควายป่าช่ือ “ทรพี” ฆ่าพ่อควายเผือกช่ือ
ของกรมการศาสนา พ.ศ. ๒๕๒๖ ซึ่งบันทกึ ขึ้นจากปากคำของ “ทรพา” ตามคำสาปของพระอศิ วรแล้ว กเ็ หมิ เกรมิ ถงึ ขน้ั ทา้ รบ
พระภกิ ษสุ งฆ์และชาวบ้าน มีเนือ้ หาเกยี่ วข้องกับนิทานพน้ื บา้ น กับพระอิศวร พระอิศวรจึงส่ังให้พาลีและสุครีพ ผู้ครองนคร

เรื่องขุนช้างขุนแผนว่า สมเด็จพระพันวัสสาโปรดประพาสป่า
ขีดขินไปปราบ เกิดการต่อสู้กันจนในท่ีสุดควายป่าทรพีก็ถูก
ล่าควายป่า และบรรดาควายป่าได้ถูกขุนไกร ซึ่งเป็นบิดา
พาลีตัดหัวด้วยพระขรรค์ แล้วขว้างหัวควายไปไกลด้วยกำลัง
ของพลายแก้ว (ขุนแผน) ฆ่าตัดหัวเป็นจำนวนมาก สมเด็จ ฤทธ์ิ จนไปตกอยู่ตรงท่ีเป็นย่านหัวกระบือในปัจจุบัน ผู้คน

พระพันวัสสาจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้น แล้วพระราชทาน จึงพากันเรียกขานย่านน้ีว่า หัวกระบือ อันเป็นท่ีต้ังของวัด

ชือ่ วา่ วดั หัวกระบือ
หวั กระบือสืบมา


235

สมดุ ข่อยวัดหัวกระบือ


หลวงพอ่ โต พระประธานในอุโบสถวดั หวั กระบอื
อุโบสถวัดหวั กระบอื ในอดีต (หอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ)


สมัยต้นรัตนโกสินทร์ ย่านหัวกระบือเป็นย่านท่ีมี
นอกจากน้ี ยังมีการกล่าวถึงย่านหัวกระบือ ทั้งในนิราศ
ความสำคัญในการเป็นเส้นทางการค้าทั้งทางบกและทางน้ำ ตามเสด็จทัพลำน้ำนอ้ ยของพระยาตรงั นริ าศของสามเณรกล่ัน
โดยมีการกล่าวอ้างถึงย่านหัวกระบือ ซ่ึงเป็นท้ังชื่อคลอง
และนริ าศเมืองเพชรของพระสนุ ทรโวหาร (ภู่) หรอื สนุ ทรภู่ดว้ ย
ท่ีแยกย่อยมาจากคลองด่าน เส้นทางสำคัญในการสัญจร
ส่งิ สำคญั ภายในอาราม ไดแ้ ก

ทางน้ำตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา และปรากฏช่ือหมู่บ้านที่วัด
ภายในอุโบสถวัดหัวกระบือมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง

ตั้งอยู่ในโคลงนิราศหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็นโคลงนิราศของ สมัยอยุธยาท่ีปรากฏอยู่ในสมุดข่อย ซ่ึงเป็นศิลปกรรมล้ำค่า
นายนรนิ ทรธิเบศร์ (อนิ ) มหาดเล็กฝา่ ยพระราชวงั บวร ซึง่ แต่ง ดังที่ น. ณ ปากน้ำ ผู้เช่ียวชาญศิลปะในประเทศไทย

ข้ึนเมื่อคราวตามเสด็จสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ เสนอบทความเชิงคำนำเก่ียวกับภาพจิตรกรรมน้ีไว้ในหนังสือ
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในพระบาทสมเด็จพระพุทธ
จิตรกรรมสมัยอยุธยาในสมุดข่อย ความว่า “...ภาพเขียนจาก
เลศิ หลา้ นภาลัย รัชกาลที่ ๒ ทรงยกทัพหลวงไปทรงปราบทัพ สมุดข่อยท่ีวัดศีรษะกระบือนั้นก็มีลักษณะเช่นเดียวกับ

พม่าที่ยกทัพมาตีเมืองถลางและเมอื งชมุ พรชว่ งตน้ รัชกาลท่ี ๒ ภาพเขียนบนสมุดข่อยท้ังหลายท่ีเขียนในหนังสือพระธรรมกับ

เม่ือ พ.ศ. ๒๓๕๒ ความตอนหนึ่งวา่
มีภาพระบายสีปิดทองเป็นตัวประกอบ อันเริ่มมีสมัยอยุธยา
“...หัวกระบือกบลิ ราชรา้ ณรงค์ แลฤา
เป็นต้นมาหรือบางทีอาจจะเก่าแก่ข้ึนไปกว่าน้ันก็ได้...

ตัดกบาลกระบอื ดง เดด็ หวนิ้
ในสมุดข่อยวดั ศีรษะกระบือ มจี ารึกศกั ราชบ่งวา่ พ.ศ. ๒๒๘๖
สบื เศยี รทรพีดง คำเลา่ แลแม
่ อันตรงกับรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ก่อนกรุงศรีอยุธยา
เสมอพ่ีเด็ดสมรดิน้ ขาดด้วยคมเวร...”
แตกถึง ๒๔ ปี...ภาพเขียนจากสมุดข่อยวัดศีรษะกระบือนั้น
จัดว่าทรงคุณคา่ อันย่งิ ใหญ่ทางศลิ ปะย่ิงนกั ...”


236

อุโบสถวดั ประดิษฐาราม


วดั ประดิษฐาราม

วัดประดิษฐารามตั้งอยู่ริมคลองบางกอกใหญ่ (คลอง
ชาวมอญกลมุ่ น้ชี ำนาญการเดินเรอื มาก ด้วยเคยอยู่เมอื ง
บางหลวง) ฝ่ังธนบุรี เป็นวัดโบราณท่ีก่อสร้างข้ึนต้ังแต่ครั้ง
ชายทะเล จึงโปรดเกล้าฯ ให้มอญผู้ชายเข้ารับราชการเป็น
กรุงศรีอยุธยา ต่อมา ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จ ฝีพายหลวง ต่อมา เมื่อมีการย้ายโรงเรือหลวงมาอยู่ที่คลอง
พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั รชั กาลท่ี ๒ โปรดเกลา้ ฯ ใหค้ รวั มอญ บางกอกใหญ่ บริเวณปากคลองบางไส้ไก่ กลมุ่ ชาวมอญจึงยา้ ย
จากเมืองทวายและเมืองมะริดส่วนหน่ึงที่อพยพหนีภัยพม่า
มาตง้ั รกรากและบา้ นเรอื นในบริเวณนี้มากยิง่ ขน้ึ โดยมกี ารแบ่ง
เข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร มาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณ
พ้ืนท่ีเป็น ๓ ส่วน ได้แก่ หัวบ้าน กลางบ้าน และท้ายบ้าน
โดยรอบวัด และโปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดครั้งใหญ่ เรียกว่า ชุมชนบ้านมอญหรือมอญบ้านสมเด็จ เน่ืองจากพื้นท่ี
เพื่อเป็นศูนย์กลางของชุมชนมอญ พระราชทานนามว่า
ตรงกลางของบ้านมอญน้ันอยู่ใกล้บริเวณบ้านของสมเด็จ

วัดรามัญประดิษฐาราม แต่คนโดยท่ัวไปนิยมเรียกว่า วัดมอญ เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) (มหาวิทยาลัย
ตามชอ่ื ชมุ ชนอันเป็นทตี่ ้ังวัด
ราชภฏั สมเด็จเจา้ พระยาในปัจจุบนั )


237

พระพทุ ธรูปหลอ่ ปางมารวิชัย พระประธานในอุโบสถ
หลวงพอ่ พระนอน พระพุทธรูปปางสีหไสยาสน


ปัจจุบัน ชุมชนมอญกลางบ้านสลายไปแล้ว เน่ืองจาก
ทางการใช้พ้ืนที่ขยายโรงเรียนบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ผู้อาศัย

ในบรเิ วณนจี้ ึงย้ายไปอยบู่ ริเวณหัวบ้านแทน

บางคนเรียกชุมชนแถบน้ีว่า มอญบางไส้ไก่ อาจเป็น
เพราะพ้ืนท่ีท้ายบ้านมอญต้ังอยู่บริเวณปากคลองบางไส้ไก

ต้ังแต่ประตูระบายน้ำจนถึงปลายซอยวัดใหญ่ศรีสุพรรณ
เป็นการเรียกควบคู่กันไปกับชุมชนลาวบางไส้ไก่ที่อยู่ในบริเวณ
เดยี วกนั

ในสมัยรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม มีนโยบาย
การใช้ภาษาไทยโดยไม่มีภาษาต่างประเทศปะปน วัดจึงมีช่ือ
ว่า วัดประดิษฐาราม และใช้มาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ดี

ชาวบ้านยังคงเรียกวัดนี้ว่า วัดมอญ ส่วนชุมชนได้เปลี่ยนช่ือ
อย่างเปน็ ทางการว่า ชมุ ชนวัดประดิษฐาราม

สิ่งสำคัญภายในอาราม ได้แก
่ เสาหงส์ สัญลักษณ์ของวัดมอญ


อุโบสถเป็นศิลปะผสมผสานกันระหว่างไทยและมอญ
ตามตำนานมอญเล่าว่า ประเพณีเทศน์โล้สำเภาเกิดข้ึน
มีเจดีย์คู่ทรงแปดเหล่ียมแบบมอญ มีเสาหงส์แสดงเอกลักษณ์ ในสมัยของพระเจ้าธรรมเจดีย์หรือพระธรรมราชา กษัตริย

ของชาวมอญที่ได้รับการบูรณะมาโดยตลอด มีวิหารชลธาร ผู้ครองกรุงหงสาวดี เป็นพิธีบวงสรวงเทพยดาอารักษ์และ

วินิจฉัยเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของหลวงปู่โต อดีตเจ้าอาวาส นางมณีเมขลา เทพธิดาผู้ปกปกั รกั ษาท้องทะเล ดว้ ยเรอื สำเภา
วัดรูปแรก และพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่อายุ
และสงิ่ ของอยา่ งละพนั เพอื่ เปน็ สวสั ดมิ งคลแกช่ วี ติ และทรพั ยส์ นิ
มากกว่า ๑๕๐ ปี ที่ชาวมอญร่วมกันหล่อขึ้นหลังจากการ
สืบต่อกันมาจนถงึ ทุกวนั นี

สร้างวัด พระพุทธรูปองค์นี้ได้รับการซ่อมแซม โดยยกข้ึน
ในวันออกพรรษา ชาวบ้านจะช่วยกันตกแต่งเรือสำเภา
วางบนฐานทก่ี อ่ สรา้ งขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพือ่ ใหส้ วยงาม ด้วยดอกไม้ต่างๆ แล้วนิมนต์พระขึ้นเทศน์ภายในเรือสำเภา
ดังเดิม หลังจากทรุดโทรมลง ทั้งจากความเก่าแก่และการถูก เรียกว่า เทศน์โล้สำเภา ขณะที่พระเทศน์อยู่นั้นจะจุดเทียน
น้ำจากคลองบางกอกใหญห่ ลากเขา้ ทว่ มเวลาน้ำขนึ้
รอบๆ เรือสำเภา ซ่ึงเปรียบได้กับแสงไฟที่ใช้ส่องเดินทาง

วัดแห่งนี้เป็นสถานศึกษาพระปริยัติธรรมและสืบสาน ในเวลากลางคืน ในวนั รงุ่ ข้นึ ซง่ึ ตรงกบั วนั แรม ๑ คำ่ เดือน ๑๑

ประเพณีโบราณของชาวมอญ เช่น ประเพณีเทศน์โล้สำเภา
จึงมีการตักบาตรรอบเรือสำเภา เรียกว่า การตักบาตรเทโว
ซง่ึ จัดควบคไู่ ปกบั การเทศนม์ หาชาติในวันออกพรรษาของทุกปี โรหณะ


238

อโุ บสถวัดแจงร้อน
พระพทุ ธรูปศลิ ปะมอญในวดั แจงรอ้ น


วดั แจงรอ้ น

วัดแจงร้อนต้ังอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เขตราษฎร์บูรณะ ลายปูนปั้นบนซุ้มประตูหน้าต่างทั้งหมด ๑๔ บานของ
เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย เดิมชื่อ
อโุ บสถเป็นลวดลายผลไมต้ า่ งๆ เช่น ทับทมิ นอ้ ยหนา่ มะม่วง
วัดหงษ์ร่อน เน่ืองจากมีตำนานเล่าว่า มีคนเห็นหงส์บินผ่าน สบั ปะรด ลายสตั ว์ทะเล เช่น ปู ปลาทอง ปลาหมึก ปลาตนี
บริเวณท่ีสร้างวัดแล้วบินหายไป ขณะที่บางตำนานกล่าวว่า กบ และลายสัตว์อื่นๆ เช่น กระต่าย ค้างคาว ช้าง หมาจู
เมอ่ื สรา้ งวดั เสรจ็ มหี งสบ์ นิ ผา่ นไปมา จงึ เรยี กกนั วา่ วดั หงษร์ อ่ น แพะ ปน้ั ขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๖๖ หรือประมาณตน้ รัชสมัยพระบาท
ทั้งยังมีเรื่องเล่าขานอีกด้วยว่า หน้าอุโบสถหลังเดิมมีเสาคู่หน่ึง สมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รชั กาลที่ ๗

ยอดเสาเป็นรูปหงส์กางปีกตามช่ือวัด แต่เมื่อพระครูประสิทธิ
์ บริเวณท่ีต้ังวัดในเขตราษฎร์บูรณะเดิมเป็นอำเภอท่ีอยู่ใน
สิกขการเป็นเจ้าอาวาส ได้รื้ออุโบสถหลังเดิมและเสายอดหงส์
เขตการปกครองของจังหวัดธนบุรี ครั้งหนึ่ง โอนไปอยู่ในเขต
ทั้ง ๒ เสาออก แลว้ สรา้ งอโุ บสถหลงั ใหม่แทน
การปกครองของจังหวัดพระประแดง (สมัยนั้นเรียกกันว่า
ภายหลังวัดหงษ์ร่อนได้เปลี่ยนช่ือเป็นวัดแจงร้อน
นครเข่ือนขันธ์) ต่อมา จังหวัดพระประแดงถูกยุบเป็นอำเภอ
แต่ไมม่ ีหลักฐานยืนยันว่า เหตุใดจงึ เปลีย่ นช่ือ
และไปขึน้ กบั จงั หวดั สมทุ รปราการ อำเภอราษฎร์บูรณะจึงกลบั
ปูชนียวัตถุสำคัญภายในวัด ได้แก่ วิหารหลวงพ่อแดง มาขึ้นกับจังหวัดธนบุรี นครหลวงกรุงเทพธนบุรี และ
ซ่ึงเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อแดง พระพุทธรูปปางสมาธิ
กรุงเทพมหานคร ตามลำดับ

ทำจากศิลาแลงสีแดง กรอบหน้าบันวิหารด้านนอกเป็นกรอบ
เกล้ียง ไม่มีลวดลาย เป็นศิลปะตามพระราชนิยมในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกล้าเจ้าอยหู่ วั รัชกาลที่ ๓


239

อุโบสถวัดมหาบุศย


วดั มหาบุศย

วัดมหาบุศย์ต้ังอยู่ริมคลองพระโขนง เขตสวนหลวง
ประวัติความเป็นมาของวัดมหาบุศย์ในหนังสือสยาม
เป็นวัดโบราณสร้างข้ึนในปลายกรุงศรีอยุธยา สันนิษฐานว่า ประเภท ฉบับวันเสารท์ ี่ ๑๐ มีนาคม ร.ศ. ๑๑๘ (พ.ศ. ๒๔๔๒)
เดิมชื่อวัดสามบุตร เน่ืองจากผู้สร้างเป็นบุตรชายสามพี่น้อง กลับระบุแตกต่างออกไป นายกุหลาบ ตฤษณานนท์
เมื่อพระมหาบุตร เปรียญ ๕ ประโยค สำนักวัดเลียบ (วัด
บรรณาธกิ าร กล่าวว่า พระศรีสมโภช นามเดิมว่า “บุด” เป็น
ราชบุรณะ) เดินทางมายังคลองพระโขนง บรรดาชาวบ้าน ผู้สร้างวัดตั้งแต่ตอนบวชเป็นพระที่วัดสุวรรณในรัชสมัย
พระโขนงจึงพร้อมใจกันนิมนต์ให้จำพรรษาอยู่ที่วัด เพื่อเป็น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒

ผ้นู ำในการบรู ณปฏสิ ังขรณว์ ัดสามบตุ ร
ภายหลังมหาบุดสึกออกไปรับราชการได้เป็นพระศรีสมโภช
เม่ือการบูรณปฏิสังขรณ์แล้วเสร็จ ชาวบ้านจึงขนานนาม (บดุ ) จงึ เรยี กวดั น้ีวา่ วดั มหาบุด

วัดเพ่ือเป็นเกียรติแก่ผู้นำในการบูรณะว่า วัดมหาบุตร

ภายหลังได้เปลย่ี นแปลงไปเป็นวดั มหาบุศย


240

คลองพระโขนง
หลวงพ่อย้ิม พระประธานภายในอโุ บสถ


ริมคลองพระโขนง โดยเช่ือกันว่า วัดแห่งน้ีเป็นสถานที่ฝังศพ

แม่นากและเป็นท่ีท่ีพ่อมากใช้หลบซ่อนตัวจากผีแม่นาก ผู้เป็น
ภรรยา ชาวบ้านจึงนิยมเรียกวัดน้ีว่า วัดแม่นากพระโขนง

ตามชื่อถ่ินฐานที่วัดตั้งอยู่ (ปัจจุบัน พื้นท่ีวัดต้ังอยู่ในเขต
สวนหลวง)

ชื่ อ พ ร ะ โ ข น ง ห รื อ บ า ง ข น ง นั้ น ป ร า ก ฏ ห ลั ก ฐ า น

การเรียกชื่อย่านน้ีเป็นคร้ังแรกในโครงนิราศพระยาตรังของ
พระยาตรงั คภมู าภิบาล ทีแ่ ตง่ ขึน้ เมือ่ พ.ศ. ๒๓๕๒ ในรชั สมยั
พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลัย รัชกาลท่ี ๒ ความว่า

“...มาเห็นโชนเชยี่ วบ้าน บางขนง

บางไป่เปรยี บบางทรง แม่ไว

ขนงโฉมแมส่ ดุ าวง หางเนตร นางนา

ศาลแม่นากพระโขนง
บางใช่เอวบางให ้ จากเจา้ มาบาง...”


หนังสือประวัติวัดท่ัวราชอาณาจักร ฉบับกรมการศาสนา บุคคลที่ทำให้ตำนานแม่นากพระโขนงเป็นท่ีรู้จักกัน

ระบุว่า แต่ก่อนวัดมหาบุศย์มีฐานะเป็นสำนักสงฆ์อยู่หลายปี ในวงกวา้ ง คอื พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระนราธปิ ประพนั ธพ์ งศ์
จนประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๕ จึงได้บรู ณะสงั ฆเสนาสนะ ครั้นถงึ (พระองค์เจ้าวรรรณากร ต้นราชสกุล วรวรรณ) โดยทรงนำ
พ.ศ. ๒๔๗๐ อุโบสถชำรุดทรุดโทรมลงตามกาลเวลา จึงได้
เรื่องราวของแม่นากพระโขนงมาทรงสร้างเป็นมหรสพคร้ังแรก

ร้ือถอนและก่อสรา้ งขน้ึ ใหม
่ ในรูปแบบละครร้อง โดยทรงใช้ช่ือเร่ืองอีนากพระโขนง

วัดมหาบุศย์เป็นท่ีรู้จักอย่างแพร่หลายในฐานะท่ีเป็นจุด ออกแสดงท่ีโรงละครปรดี าลยั ไดร้ บั ความนยิ มอยา่ งมาก

เริ่มต้นของตำนาน “แม่นากพระโขนง” ตำนานความรัก
จุดมุ่งหมายของหลายคนที่มาเยือนวัดน้ี คือ การมา
อันม่ันคงระหว่างนางนากและนายมากที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน เคารพสักการะศาลแมน่ ากหรอื ย่านาก เพอื่ ขอพรเรอื่ งความรกั
ว่า เป็นเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในอดีตหรือเป็นเพียงเรื่องเล่า
และการจับใบดำใบแดงในการเกณฑ์ทหาร และผู้คนยังนิยม
ในตำนาน แต่ที่แน่นอนคือ ได้ปรากฏศาลแม่นากตั้งอยู่ข้าง
มากราบขอพรจากหลวงพ่อย้ิม พระพุทธรูปปางมารวิชัย

ต้นตะเคียนเก่าแก่ท่ียืนต้นตายเหลือแต่ตอภายในวัดมหาบุศย
์ ซ่งึ ประดิษฐานอยู่ในอโุ บสถด้วย


241

อโุ บสถวัดบำเพญ็ เหนอื


วดั บำเพ็ญเหนอื

วัดบำเพ็ญเหนือหรือวัดบางเพ็งเหนือต้ังอยู่ริมคลอง
เคารพนับถือ เช่น รูปหล่อหลวงพ่อยอด รูปหล่อสมเด็จพระ
แสนแสบ เขตมนี บรุ ี สรา้ งขนึ้ เมือ่ พ.ศ. ๒๓๖๗ ตรงกับรัชสมัย พฒุ าจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) และรปู หล่อหลวงป่ทู วด

พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓ โดยกลุ่ม
ภายในวัดบำเพ็ญเหนือยังมีศาลเจ้าแม่คำผิว ซ่ึงเป็น

ผู้อพยพชาวเวียงจันทน์ที่เคยพักอาศัยอยู่ในละแวกบางปะอิน ที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน มีตำนานเล่าว่า เจ้าแม่คำผิว

ได้ย้ายมาต้ังถ่ินฐานอยู่บริเวณริมคลองแสนแสบ และได้ต้ังชื่อ เป็นเจ้าจากเมืองเวียงจันทน์ เดินทางมายังวัดขณะก่อสร้าง

หมู่บ้านว่า “บางเพ็ง” เหตุท่ีช่ือวัดบางเพ็งเหนือเพราะตั้งอยู่ แตร่ ะหวา่ งลงเรอื เกดิ พลดั ตกเสยี ชีวติ จงึ มกี ารตัง้ ศาลข้ึนทีว่ ดั

ทางด้านเหนือของคลองแสนแสบ คู่กับวัดบางเพ็งใต้ ต่อมา
นอกจากนั้น มศี าลเจ้าแม่ตะเคียน เลา่ กันวา่ เจา้ อาวาส
คำเรียกช่ือวัดว่า บางเพ็ง ได้เพี้ยนเสียงไปเป็นวัดบำเพ็ญดังท่ี รูปหนึ่งเกิดนิมิตว่า มีหญิงสาวมาบอกให้ขุดต้นตะเคียนขึ้นมา
เรียกกันอยใู่ นปัจจุบัน
จากบริเวณท่ีจะสร้างเสาสะพานข้ามคูน้ำ เม่ือขุดบริเวณนั้น
สงิ่ สำคญั ภายในอาราม ได้แก่
แลว้ พบตน้ ตะเคยี น ทางวดั จงึ ตงั้ ศาลเจา้ แมต่ ะเคยี นไว้ ทกุ วนั น้ี
อุโบสถของวัดบำเพ็ญเหนือเป็นอาคารคอนกรีต
สะพานขา้ มคูน้ำยังคงอยู่ แต่ไดม้ กี ารถมคนู ำ้ ไปแล้ว

เสริมเหล็กผสมไม้ สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ เพื่อประดิษฐาน วัดบำเพ็ญเหนือเป็นแหล่งท่องเท่ียวเชิงศิลปวัฒนธรรม
พระพุทธชินราชจำลอง ขนาดหน้าตักกว้าง ๕๐ นิ้ว สูง ๙๖ แหง่ หน่งึ ของกรงุ เทพฯ เพราะเป็นทตี่ งั้ ของตลาดนำ้ ขวัญ-เรียม
นิ้ว ทั้งยังมีปูชนียวัตถุอ่ืนๆ ที่คนในชุมชนให้ความศรัทธา ซึ่งมีกิจกรรมต่างๆ ท้ังการย้อนอดีตชมวิถีชีวิตริมคลอง


242

พระพุทธชินราชจำลองพระประธานภายในอุโบสถวดั บำเพญ็ เหนือ


ศาลเจ้าแมค่ ำผวิ
ตลาดนำ้ ขวญั -เรยี มรมิ คลองแสนแสบ วดั บำเพ็ญเหนือ


แสนแสบ สถาปตั ยกรรมบา้ นเรอื นไทย เรอื โบราณ และยังเป็น ผลจากการขุดคลองแสนแสบช่วงปลาย ทำให้มีผู้คน

ศูนย์กลางการเรียนรู้วิถีชาวน้ำให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและเข้าใจ ท้ังไทย ลาว เขมร มลายู และจีน ต่างพากันอพยพเข้ามา

ถงึ วฒั นธรรมและประเพณีดั้งเดิมของไทย ทางวดั บำเพ็ญเหนอื ตั้งหลักแหล่ง ประกอบอาชีพทำสวน ทำนา ปลูกข้าวบริเวณ

จัดให้มีการบิณฑบาตทางเรือและการทอดผ้าป่าทางน้ำ
ริมสองฝ่ังคลองแสนแสบ อันเป็นท่ีตั้งของวัดบำเพ็ญเหนือ

ตามแบบประเพณโี บราณ
เพ่ิมมากข้ึน เม่ือสงครามสงบลง คลองแสนแสบช่วงปลาย

บริเวณโดยรอบวัดบำเพ็ญเหนือเป็นส่วนหนึ่งของทุ่ง ได้กลายเป็นเส้นทางคมนาคมท่ีสำคัญในการขนส่งสินค้าจาก
บางกะปิ แหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญแห่งหน่ึงของกรุงเทพฯ พระนครไปยังเมืองฉะเชิงเทรา ต่อเน่ืองไปจนถึงปราจีนบุร

ในอดีต และทวีความเจริญยิ่งขึ้นภายหลังจากรัชกาลที่ ๓ ดังทน่ี ายด.ี โอ. คงิ นกั สำรวจชาวองั กฤษ ท่ีเดนิ ทางเขา้ มายงั
โปรดเกลา้ ฯ ให้ขดุ คลองแสนแสบขยายต่อจากบรเิ วณหัวหมาก กรุงเทพฯ ได้บันทึกถึงสภาพพ้ืนที่บริเวณคลองแสนแสบไว

ไปออกยงั แมน่ ำ้ บางปะกงทต่ี ำบลบางขนาก อำเภอบางนำ้ เปรยี้ ว ตอนหนึ่งว่า “...คลองน้ีมีความยาว ๕๕ ไมล์ เชื่อมนคร
จังหวดั ฉะเชงิ เทรา ดา้ นปากคลองจึงเรียกอกี ชือ่ หนึ่งว่า “คลอง กรุงเทพฯ กับแม่น้ำบางปะกง ผ่านบริเวณท่ีราบชนบท ซ่ึงใช้
บางขนาก” เริม่ ขุดเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๐ แล้วเสรจ็ ใน พ.ศ. ๒๓๘๓ สำหรบั การเพาะปลูกขา้ วโดยเฉพาะ...”

และเรียกคลองช่วงน้ีว่า คลองแสนแสบช่วงปลาย เพื่อเป็น
เมื่อมีการพัฒนาประเทศตามระบบทุนนิยมเสรี ส่งผลให้
เส้นทางลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ เสบียงอาหาร และไพร่พล พื้นที่บริเวณนี้เริ่มหนาแน่นไปด้วยผู้คนท่ีอพยพเข้ามาจาก

และในสงครามอานามสยามยุทธ อันเป็นสงครามระหว่างไทย ต่างจงั หวัดเพ่อื พกั อาศัยและทำงานในกรุงเทพฯ

กบั ญวนที่เกดิ ขน้ึ ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๓๗๖-๒๓๙๐


243

วัดไส้ตันเปลี่ยนนามเป็นวัดไผ่ตัน เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๒
ไมม่ เี อกสารบอกถึงสาเหตทุ ี่เปล่ยี นชือ่

วัดไผ่ตันได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์คร้ังใหญ่เม่ือ พ.ศ.
๒๕๐๔ มีการสร้างอุโบสถ วิหาร รวมทั้งหอระฆัง ซึ่งชำรุด

ทรุดโทรมให้สมบรู ณข์ ึ้นใหม่ทั้งหมด

ในอดีต วัดไผ่ตันตั้งอยู่กลางทุ่งพญาไท อันเต็มไปด้วย
เรือกสวนและท้องทุ่งนา มีชาวบ้านต้ังบ้านเรือนอยู่อย่าง
กระจัดกระจาย ดังท่ีเทพชู ทับทอง เขียนไว้ในหนังสือ
กรุงเทพฯ ในอดีตว่า “…บริเวณทุ่งพญาไท ทุ่งบางกะปิ

ทุ่งแสนแสบ ทุ่งบางซื่อ เม่ือรัชกาลที่ ๓ และต้นรัชกาลท่ี ๔
เคยเป็นท่ีอยูอ่ าศัยของชา้ ง นอกจากมชี า้ งเป็นโขลงๆ แล้ว กม็ ี
กวาง หมูปา่ และลิงเป็นฝงู ๆ อีกด้วย...”

พ.ศ. ๒๓๙๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้ขยายพ้ืนที่พระนครออกไปจนถึง
ทุ่งวัวลำพอง ทุ่งส้มป่อย ทุ่งพญาไท และทุ่งสามเสน ด้วย

การขดุ คลองคพู ระนครชน้ั นอก และพระราชทานช่ือคลองทีข่ ดุ
ข้ึนใหม่นี้ว่า คลองผดุงกรุงเกษม ทั้งยังถือว่าพ้ืนท่ีภายใน
แวดวงของคลองขุดใหม่กับแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นพื้นท่ีพระนคร
นับจากน้ัน บริเวณน้ีจึงเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ

อย่างยิ่งเมื่อมีการตัดถนนพหลโยธิน วัดไผ่ตันจึงกลายเป็น
ศูนย์กลางของชุมชนในย่านนี้ วิถีชีวิตของผู้คนริมน้ำ

ได้เปลี่ยนแปลงไปสู่วิถีชีวิตของชาวบก เพราะเดิมด้านหน้าวัด
คือ ฝ่ังที่ติดกับคลองบางซ่ือ แต่เม่ือมีการตัดถนนจึงได้ย้าย
หน้าวัดมาเป็นด้านฝั่งถนนแทน เพ่ือให้พุทธศาสนิกชนเดินทาง
อโุ บสถวดั ไผ่ตนั
มาวัดได้สะดวกข้ึน ปัจจุบัน บริเวณโดยรอบวัดไผ่ตันเป็นย่าน

วัดไผ่ตัน
ที่พักอาศยั และกลายเป็นชมุ ชนขนาดใหญช่ อ่ื ชมุ ชนวัดไผ่ตัน

สงิ่ สำคัญภายในอาราม ไดแ้ ก่

อุโบสถของวดั ไผต่ นั เป็นสถาปตั ยกรรมแบบไทย สรา้ งขึ้น
วัดไผ่ตันต้ังอยู่ริมคลองบางซ่ือ เป็นวัดแห่งเดียวในเขต ใหม่เม่ือ พ.ศ. ๒๕๐๔ บานประตูหน้าต่างลงรักปิดทอง

พญาไท เดิมชอื่ วดั ไส้ตนั ตอ่ มา เรยี กเพย้ี นเป็นวดั ไผต่ นั เปน็ มภี าพจติ รกรรมฝาผนงั บอกเล่าเร่ืองราวพทุ ธประวตั ิ

วดั ท่มี ีอายุเกา่ แก่กว่า ๒๐๐ ปี สร้างข้ึนในสมยั ธนบรุ รี าว พ.ศ. วิหารจตุรมุขประดิษฐานหลวงพ่อพุทธโสธรจำลอง

๒๓๑๓ ไม่ปรากฏนามผู้สร้าง แต่พบจารึกที่ฐานพระประธาน ซึ่งหลอ่ ขน้ึ เม่ือ พ.ศ. ๒๔๙๖

ในอุโบสถหลังเก่า ระบุนามผู้สร้างและปีที่สร้างพระประธานไว้ หอสวดมนต์เก่าแก่มีอายุประมาณ ๗๐ ปี ภายในมีตู้

อ่านได้ความว่า “...พ.ศ. ๒๓๔๔ ท่านตาทองอยู่ ท่านตาพอ พระไตรปฎิ กโบราณ

พร้อมสัปบรุ ุษสร้างประธานขึน้ ไว้...” ซึ่งตรงกับรชั สมัยพระบาท วัดไผ่ตันจัดกิจกรรมงานประเพณีประจำปีทุกปี โดยมี
สมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
ประเพณีสำคญั คอื งานปิดทองหลวงพอ่ พทุ ธโสธรจำลอง




244

อโุ บสถวดั ไก่เต้ยี


วัดไก่เตีย้

วัดไกเ่ ต้ียตง้ั อยรู่ ิมคลองบางกอกนอ้ ย ใกล้กับสถานีขนส่ง พ.ศ. ๒๕๑๑ ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์อาคารเสนาสนะ
ผูโ้ ดยสารกรุงเทพฯ (สายใต้ ป่ินเกลา้ ) เป็นวัดโบราณ สร้างขึ้น ในวัดครั้งใหญ่และปรับเปลี่ยนแบบของวัดให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
ในสมัยธนบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๐ โดยพระอักขระสุนทร (สน เช่น อโุ บสถในปจั จุบัน ซึ่งสร้างขึน้ แทนอโุ บสถหลงั เก่า

สนธิรัตน์ ข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
ในอดีต ชาวบ้านในชุมชนวัดไก่เต้ียมีอาชีพทำสวนผัก
จุฬาโลกมหาราช รัชกาลท่ี ๑ ต่อมาเป็นเจา้ พระยารัตนาพิพธิ ) สวนผลไม้ เน่ืองจากท่ีต้ังของวัดมีคลองวัดไก่เตี้ยและคลอง
เสมยี นตรากรมมหาดไทยในสมัยธนบุร
ี บางกอกน้อยไหลผ่าน พื้นที่บริเวณน้ีจึงอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่
ชื่อวัดไก่เต้ียนั้นไม่ปรากฏหลักฐานว่า มีท่ีมาอย่างไร
การเพาะปลูก ดังท่ีปรากฏในนิราศพระประธมของพระสุนทร
ดังความในนิราศพระประธมของพระสุนทรโวหาร (ภู่) หรือ โวหาร (ภู่) หรือสุนทรภู่ ท่ีกล่าวถึงสวนระกำบริเวณโดยรอบ

สุนทรภู่ กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อคร้ังเดินทางไป วัดไก่เตี้ย อันเป็นประจักษ์พยานถึงความเป็นท่ีตั้งของชุมชน
นมัสการพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม โดยกล่าวถึงชื่อวัด
ชาวสวนมาแตส่ มัยโบราณ

ไกเ่ ตยี้ ความตอนหนึ่งวา่
วัดไก่เตี้ยยังมีประเพณีสำคัญของผู้คนในละแวกนี้

“...วัดไกเ่ ตี้ยไมเ่ ห็นไก่เหน็ ไทรต่ำ
ท่ีจัดรว่ มกบั งานชักพระวัดนางชหี รืองานแห่พระบรมสารีริกธาตุ
กอระกำแกมสละข้นึ ไสว
นบั จากอดีตจนถึงปัจจุบนั ไดถ้ ือกันมาเป็นประเพณีวา่ พระบรม
หอมระกำกย็ ง่ิ ช้ำระกำใจ
สารีริกธาตุจะต้องมาแวะเยี่ยมเยียนพระวัดไก่เต้ียเป็นประจำ
ระกำไม่เหมือนระกำทช่ี ้ำทรวง…”
ทุกปี ท้ังยังเล่าลือกันว่า หากขบวนแห่พระไม่แวะวัดไก่เตี้ย
วัดไก่เตี้ยมีโบราณสถานและโบราณวัตถุอันทรงคุณค่า เจา้ อาวาสวัดนางชโี ชติการามจะต้องมอี นั เปน็ ไป

มากมาย เช่น พระพุทธฉาย หลวงพ่อนวล หลวงพอ่ โต ศาลา
การเปรยี ญ หอระฆัง หอไตร ฌาปนสถาน ฯลฯ


245

ขล่ยุ บา้ นลาว วดั บางไส้ไก


ต้ังถ่ินฐานในพระนครและบางส่วนก็มาสมทบต้ังบ้านเรือนอยู่ท่ี
หมบู่ ้านลาวแหง่ นี้

ชาวบ้านที่ถูกเทครัวมาได้นำความรู้ในการทำขลุ่ยและ
แคน ซ่ึงเป็นเครื่องดนตรีพ้ืนบ้านติดตัวมาด้วย แต่เดิม

คนบ้านลาวทำขลุ่ยและแคนเพื่อเล่นกันในหมู่บ้านเท่าน้ัน

ภายหลังเลิกทำแคนเหลือเพียงขลุ่ย และได้สืบทอดวิชาการทำ
ขลุ่ยจากรุ่นสู่รุ่นเร่ือยมา กระท่ังหันมายึดเป็นอาชีพจริงจัง

เมอ่ื ราวหา้ ทศวรรษทผ่ี า่ นมา

ด้วยความท่ีขลุ่ยจากหมู่บ้านลาวข้ึนช่ือเร่ืองคุณภาพ

ของเสียงและความสวยงามจึงทำให้ชุมชนบ้านลาวกลายเป็น
แหลง่ ผลติ ขล่ยุ ชน้ั ดที ่ีสำคัญแห่งหนง่ึ ในประเทศไทย เป็นที่รจู้ กั
กันอย่างแพร่หลายในชอ่ื ขลยุ่ บา้ นลาว

วัดบางไส้ไก
่อโุ บสถวดั บางไส้ไก่
สมยั หนงึ่ วดั ลาวมชี อื่ วา่ วดั ราษฎรศ์ รทั ธาธรรม ภายหลงั

เปล่ียนช่ือเป็นทางการว่า วัดคลองบางไส้ไก่ ตามชื่อคลอง

ที่ไหลผ่านวัด ซ่ึงเพ้ียนจากช่ือเดิมว่า “คลองสาวกลาย” หรือ
วัดบางไส้ไกห่ รือวัดลาวตั้งอยู่รมิ คลองบางไส้ไก่ ฝงั่ ธนบรุ ี คลองสะก่าย ดังปรากฏช่ือในหนังสือนิราศยี่สานของ ก.ศ.ร.
เป็นวัดโบราณ สร้างข้ึนในสมัยธนบุรีเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๐ โดย
กุหลาบ พิมพ์ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า

เจ้านันทเสนและพระเจ้าอินทวงศ (พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
เจ้าอยูห่ ัว รัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๒๘ กล่าวถึงคลองน้วี า่ คลอง

ที่ ๔) พระราชโอรสในพระเจ้าสิริบุญสาร (พระเจ้าไชยเชษฐา
สะก่าย หมายความว่า มีพวกสาวๆ มากมายก่ายกอง

ธิราชที่ ๓) ผู้ครองนครเวียงจันทน์ เมื่อคร้ังถูกนำมาเป็น
จนสุดทา้ ยเพ้ียนมาเป็นชือ่ เรียกในปจั จบุ นั คอื คลองบางไสไ้ ก

องคป์ ระกนั พร้อมกับครัวชาวลาว ในคราวท่สี มเด็จเจา้ พระยา ภายในวัดประกอบด้วยเสนาสนะต่างๆ ได้แก่ อุโบสถ

มหากษัตริย์ศึก (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งประดิษฐานหลวงพ่อศรีเวียง พระประธานปางสมาธิ ศิลปะ

มหาราช รัชกาลที่ ๑) เป็นผู้กรีธาทัพไปตีนครเวียงจันทน์ อยุธยา หอสวดมนต์ ศาลาการเปรียญ และพระพุทธรปู ศลิ ปะ
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้ครัวลาว
อู่ทอง สำหรับสรงนำ้ ในเทศกาลสงกรานต์

ตั้งถ่ินฐานหลายแห่งในพระนคร รวมถึงริมคลองบางไส้ไก่
รอบๆ วัดบางไส้ไก่มีสถานท่ีสำคัญในการสืบสานศิลปะ
เกดิ เปน็ “หมบู่ ้านลาวบางไสไ้ ก่”
และวัฒนธรรมไทยสมัยโบราณ เช่น บ้านศิลปะไทย ชุมชน
สมัยของพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล
บางไส้ไก่ ซึ่งผลิตขลุ่ยลาว หัวโขน เครื่องแต่งกายประกอบ

ที่ ๓ พระยาราชสภุ าวดี (สงิ ห์ สงิ หเสนี ตอ่ มาเปน็ เจา้ พระยา
การแสดงโขน เคร่ืองละครมาแต่คร้ังอดีต จนปัจจุบันได้รับ

บดินทรเดชา) เปน็ แม่ทพั ปราบสมเด็จพระเจา้ อนวุ งศ์ (พระเจา้ การประกาศให้เป็นของดีเขตธนบุรีและผลิตภัณฑ์ส่งออกที่ได้
ไชยเชษฐาธิราชท่ี ๕) แห่งเวียงจันทน์ ได้ยกครัวลาวเข้ามา
มาตรฐาน


246

อุโบสถวดั สะพาน


วัดสะพาน

วัดสะพานตั้งอยู่ริมคลองบางน้อย เขตตล่ิงชัน เป็นวัด ในบริเวณวัดยังมีหมู่กุฏิไม้ริมคลอง แม้จะมีการสร้าง

โบราณสร้างขน้ึ เมอื่ พ.ศ. ๒๓๒๐ ตรงกบั สมยั ธนบรุ
ี หมู่กุฏิใหม่ขึ้น แต่หมู่กุฏิเดิมยังคงความสวยงาม ด้านข้างวัด

เดิมชาวบ้านเรียกวัดแห่งนี้ว่า วัดตะพาน ด้วยสมัยก่อน มีคลองลัดวัดสะพานเช่ือมระหว่างคลองบางน้อยและคลอง

มีสะพานข้ามคลองเล็กๆ อยู่หน้าวัด จึงเรียกว่า วัดตะพาน บางพรม อันเป็นเส้นทางสัญจรสำคัญของชาวบ้านในละแวกน้ี
แต่เพี้ยนเสียงมาเปน็ วัดสะพาน
ในอดีต มีคูเล็กๆ หลังวัดที่เชื่อมกับคลองลัดแห่งน้ี พระสงฆ์
ภายในอารามประกอบด้วยอาคารเสนาสนะ ได้แก่ ใช้เป็นเสน้ ทางเข้าและออกวัดเพอ่ื บิณฑบาตทางน้ำ

อุโบสถสร้างขึ้นเม่ือราว พ.ศ. ๒๔๗๐ แทนอุโบสถไม้หลังเดิม ทุกวันน้ี วดั สะพานเป็นแหล่งทอ่ งเท่ยี วทางประวตั ศิ าสตร์
เป็นท่ีประดิษฐานพระประธาน พระพุทธรูปปางมารวิชัย
โดยมตี ลาดนำ้ เลก็ ๆ ตงั้ อย่ภู ายในวัด ริมคลองบางน้อย เสน่ห์
ส่วนวิหารโถง เปิดโล่ง ไม่มีผนัง ซึ่งเดิมเป็นวิหารขนาดเล็ก
สำคัญอย่างหน่ึงของตลาดน้ำแห่งนี้ คือ เป็นตลาดชานกรุง

๓ หลังเรียงต่อกัน เม่ือผ่านกาลเวลาจนชำรุดทรุดโทรม ที่ยังคงมีกล่ินอายของชุมชนชาวสวนริมคลองให้ได้มาสัมผัส

ญาติโยมจึงร่วมใจกันสร้างข้ึนใหม่ให้เป็นวิหารใหญ่
และดึงดูดประชาชนให้เดินทางเข้ามาท่องเท่ียวและสักการะ

หลังเดียวกัน ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ ๓ องค์ ส่ิงศักด์ิสิทธิ์ภายในวัดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้วัดมีการพัฒนา
ไดแ้ ก่ หลวงพ่อโต หลวงพ่อกลาง และหลวงพอ่ ดำ
ควบคู่กับความเจริญของชมุ ชนรายรอบ


247

อโุ บสถวัดใหมอ่ มตรส


วดั ใหม่อมตรส

วดั ใหมอ่ มตรสตงั้ อยทู่ ตี่ รอกบา้ นพานถม แขวงบา้ นพานถม ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า วัดบางขุนพรหมนอก คู่กับวัด

เป็นวัดเก่าแก่ สร้างข้ึนเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๑ ในปลายสมัย
บางขุนพรหมใน (วัดอินทรวิหาร) ทั้งยังปรากฏหลักฐานว่า

ธนบุรี โดยพระเจ้าอินทวงศ (พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชท่ี ๔) วัดนี้มีช่ือเรียกอื่น คือ วัดอำมาตยรส วัดอมฤตยรศ และ

พระราชโอรสในพระเจ้าสิริบุญสาร (พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
วัดอมฤตยาราม แต่ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดบางขุนพรหมหรือ
ที่ ๓) ผู้ครองนครเวียงจันทน์ เดิมเป็นวัดเดียวกันกับวัด วัดบางขุนพรหมนอก

อินทรวิหาร เรียกกันโดยทั่วไปว่า วัดบางขุนพรหม (ดูวัด ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๐๓-๒๔๑๕ เสมียนตราด้วง (ตน้ สกลุ
อินทรวิหาร)
ธนโกเศศ) ปฏิสังขรณ์เจดีย์องค์ใหญ่ ซึ่งประยุกต์จากศิลปะ
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยอยุธยาตอนปลาย จากนั้น พ.ศ. ๒๔๖๐ ตรงกับรัชสมัย
รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนวิสุทธิกษัตริย์ เป็นผลให้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ตระกูล
พ้ืนท่วี ดั แยกออกจากกนั สนั นิษฐานวา่ ณ พ้ืนท่ีวัดใหม่อมตรส ธนโกเศศเข้ามาทำนุบำรุงวัด จากนั้น วัดแห่งนี้ได้รับ
ในปัจจุบันมีการกำหนดเขตวิสุงคามสีมาและตั้งวัดขึ้นใหม่ พระราชทานนามใหมว่ ่า วดั ใหม่อมตรส


248


Click to View FlipBook Version