The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บางกอกบอกเล่า (เรื่อง) วัด

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by cstd, 2021-03-26 01:41:45

บางกอกบอกเล่า (เรื่อง) วัด

บางกอกบอกเล่า (เรื่อง) วัด

Keywords: บางกอก,วัด

ภาพถ่ายทางอากาศวดั มกฏุ กษตั รยิ ารามราชวรวิหารเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙

โดยนกั บินฝ่ายสัมพันธมิตร (หอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ)


พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการจะกราบทูลออกช่ือวัด

อันเป็นพระปรมาภไิ ธยกข็ ัดปากกระดากใจ จงึ โปรดเกลา้ ฯ ให้
เรียกว่า วัดพระนามบัญญัติไปพลางก่อน และเรียกช่ือนี้กัน

ต่อมาอีกถงึ ๒๒ ปี พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั
รัชกาลที่ ๕ จึงมีประกาศพระบรมราชโองการให้เรียกนาม

วัดมกุฏกษัตริยารามตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระบรม พระพทุ ธวชิรมกุฏประดษิ ฐานอยูภ่ ายในบษุ บกปิดทองประดบั กระจก

ชนกนาถเม่ือวนั ท่ี ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๓ ซง่ึ ฝง่ั ตรงข้าม เบื้องหนา้ พระประธานประดษิ ฐานพระนริ ันตราย


วัดด้านถนนประชาธิปไตยยังคงปรากฏซอยนามบัญญัติเป็น
อนุสรณ์มาจนถึงปจั จบุ นั
ดว้ ยนพปฎลมหาเศวตฉตั รท้ัง ๒ ข้าง เสาพาไลพระวหิ ารหลวง
วัดมกุฏกษัตริยารามมีผังการสร้างวัดแบบโบราณ
เป็นหวั เสาแบบโครนิ เธียนตามสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก

เช่นเดียวกับวัดโสมนัสและอีกหลายพระอารามในสมัยของ ภายในพระวิหารหลวง ระหว่างช่องหน้าต่างเขียนภาพ
รัชกาลท่ี ๔ กล่าวคือ มีพระวิหารหลวงอยู่ด้านหน้าพระเจดีย์ จิตรกรรมเล่าเร่ืองพระพุทธสาวก เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี
ประธาน ล้อมรอบด้วยพระวิหารคด และมีพระอุโบสถ
พระเจ้าอชาตศตั รู พระนางสุมนาราชกุมารี เอรกปตั ตนาคราช
อยู่ด้านหลัง ท้ังยังเป็นพระอารามที่มีสีมา ๒ ช้ัน หรือ
เปน็ ตน้ ซง่ึ เปน็ จติ รกรรมไทยทไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะตะวนั ตก
“มหาสมี า” (ดูวัดโสมนสั ราชวรวิหาร) ซ่งึ สามารถทำสงั ฆกรรม
คือ เป็นภาพท่มี มี ิตแิ บบทีเ่ รียกวา่ ภาพ “Perspective”

ไดท้ ุกพน้ื ที่ภายในบรเิ วณกำแพงเขตมหาสีมา
พระวิหารหลวงประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อด้วยสัมฤทธ์ิ
สิ่งสำคัญในพระอาราม ได้แก
่ ปางสมาธิ ประดิษฐานอยู่ภายในบุษบกปิดทองประดับกระจก

พระวิหารหลวงตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของเขตพุทธาวาส กระหนาบข้างด้วยพระอัครสาวกซ้ายขวา สมเด็จพระสังฆราช
เป็นอาคารไทยประเพณีแบบทรงโรง หน้าบันมีลายปูนปั้น (จวน อุฏฐายี) พระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๖ แห่งกรุง
ประดับกระจกสีรูปพระมหาพิชัยมงกุฎ ซุ้มประตูหน้าต่างเป็น รัตนโกสินทร์ ถวายพระนามว่า พระพุทธวชิรมกุฏ และมี

ปูนป้ันปิดทองประดับกระจกสี ด้านบนมีรูปพานแว่นฟ้ารองรับ พระนิรันตราย พระพุทธรูปประจำรัชกาลท่ี ๔ ประดิษฐาน

เลข ๔ และพระมหาพชิ ยั มงกฎุ ตัง้ อย่บู นช้าง ๓ เศยี ร กางก้นั อยู่บนโตะ๊ หมูเ่ บ้ืองหน้าพระประธาน


99

พระเจดยี ์
พระประธานภายในพระอโุ บสถ


พระวิหารคดสร้างเชื่อมต่อกับพระวิหารหลวงตรงมุข
ของเยาวชนที่อยู่ใกล้วัด ซึ่งแต่แรกเปน็ เพิงหลังคามุงจาก มีครู
ดา้ นหลัง ๒ ข้าง แล้วหกั มมุ ไปบรรจบกนั เป็นสเี่ หลีย่ ม ภายใน และพระในวัดดูแลการสอน จากน้ันได้พัฒนาข้ึนตามลำดับ
ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลท่ี ๔ โดยรอบ
เป็นโรงเรียนวัดมกุฏกษัตริย์ ปัจจุบัน คือ โรงเรียนมัธยม
พระวหิ ารคดประดิษฐานพระพุทธรปู ปางต่างๆ ซึ่งใตฐ้ านบรรจุ วัดมกุฏกษัตริย

พระอัฐแิ ละอฐั ิราชสกลุ ทสี่ บื เช้อื สายมาจากรัชกาลท่ี ๔
วัดมกุฏกษัตริยารามได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก

พระเจดีย์ตั้งอยู่ในวงพระวิหารคด เป็นพระเจดีย
์ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์และพระกรุณาคุณจากพระบรม
ทรงกลม เหนือยอดพระเจดยี ์ประดษิ ฐานพระมหามกฎุ สมั ฤทธ์ิ
วงศานุวงศ์ในการทำนุบำรุง บูรณปฏิสังขรณ์ และส่งเสริม

พระอุโบสถอยู่ถัดจากพระวิหารคดไปทางด้านหลัง
ให้คงความงดงาม มีคุณค่าทางศิลปกรรม และช่วยเผยแผ่
พระอาราม เป็นอาคารไทยประเพณีแบบทรงโรงเช่นเดียวกับ
พระพุทธศาสนา มีการบูรณะคร้ังใหญ่ที่สุดเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๖
พระวิหารหลวง ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบัน
เพ่ือเฉลิมพระเกียรติรัชกาลที่ ๔ ในโอกาสมหามงคลครบ

เปน็ ปนู ปนั้ รปู พระมหาพชิ ยั มงกฎุ ภายในประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ๒๐๐ ปี แห่งวนั คล้ายวนั พระราชสมภพ

สัมฤทธ์ิลงรักปดิ ทอง ปางสมาธิ ไมม่ พี ระนาม
ภายในวัดมกุฏกษัตริยารามยังมีสถานที่บำบัดสุขภาพ
ในสมัยท่ีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (จวน อุฎฐายี)
ประชาชน โดยเป็นท่ีตั้งสถานบำบัดโรคผิวหนัง แม่แบบ

เป็นเจ้าอาวาส มีพระดำริว่า วัดเป็นสถานท่ีเผยแผ่พระพุทธ ของการควบคุมโรคเร้ือนในเขตเมือง นับแต่ พ.ศ. ๒๕๐๕

ศาสนา พระสงฆ์และบุคลากรของวัดต้องมีหน้าที่ปฏิบัต
ิ -๒๕๔๕ ได้มีการปฏิรูประบบราชการ ทำให้มีการควบรวม

ในศาสนกิจร่วมประสานกับพุทธศาสนิกชนทั่วไป และทรงเห็น กองโรคเร้ือน โรงพยาบาลพระประแดงและสถานบำบัด

แก่การศึกษาของเยาวชนเป็นหลัก จึงได้ประทานท่ีดิน
โรคผิวหนัง วัดมกุฏกษัตริยารามกลายเป็นสถาบันราชประชา
นอกบริเวณวัด ด้านติดคลองผดุงกรุงเกษมให้เป็นสถานท่ีเรียน สมาสัย ซ่ึงเปิดให้บริการแก่ประชาชนผู้ป่วยโรคเรื้อนจนถึง

ทกุ วนั น้ี


100

พระอโุ บสถวดั เทพศิรินทราวาสราชวรวิหารและพระศรีมหาโพธ์ิประธานในเขตพทุ ธาวาส


วดั เทพศิรนิ ทราวาสราชวรวหิ าร


วัดเทพศิรินทราวาสตั้งอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษม ใกล้กับ มาตั้งแต่สมัยอยุธยา เม่ือพระเจ้าปราสาททองทรงสร้างวัด

สถานีรถไฟหัวลำโพง เป็นพระอารามที่พระบาทสมเด็จ
ไชยวัฒนาราม เพ่ืออุทิศถวายพระราชชนนี หรือพระบาท
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างวัด

สถาปนาขน้ึ ใน พ.ศ. ๒๔๒๑ เมอื่ จะทรงเจริญพระชนมพรรษา เฉลิมพระเกียรติวรวิหาร อุทิศถวายสมเด็จพระศรีสุลาลัย
เข้าเขตเบญจเพส คือ มีพระชนมพรรษาครบ ๒๕ พรรษา สมเดจ็ พระราชชนนี

ตามประเพณีกษัตริย์ท่ีถือปฏิบัติกันมาแต่โบราณ ดังปรากฏ รชั กาลที่ ๕ มพี ระบรมราชโองการใหพ้ ระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ
หลักฐานในวรรณคดีเรื่องสมุทรโฆษคำฉันท์ที่พรรณนาความถึง กรมขุนเจริญผลพูลสวัสดิ (พระองค์เจ้าชมพูนุท ต้นราชสกุล
การประกอบพระราชพิธีเบญจเพสมงคลในรัชกาลสมเด็จ
ชมพูนุท และเป็นพระบิดาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า

พระนารายณ์มหาราชเมื่อ พ.ศ. ๒๑๙๙ และยังมีพระราช กรมหลวงชนิ วรสริ ิวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองคท์ ี่ ๑๑
ประสงค์ให้เป็นการอุทิศพระราชกุศลถวายแด่สมเด็จพระเทพ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ทรงเป็นแม่กองอำนวยการก่อสร้าง

ศิรินทรา บรมราชินี สมเด็จพระราชชนนี ซ่ึงเป็นการสืบทอด มีแบบแผนผงั พเิ ศษกวา่ พระอารามอื่นๆ คอื มพี ระศรมี หาโพธิ์
โบราณราชประเพณีที่สมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า เป็นประธานสำคัญในเขตพุทธาวาสแทนพระเจดีย์หรือ

และพระราชวงศ์ได้ทรงสถาปนาหรือบูรณปฏิสังขรณ
์ พระปรางค์ การกอ่ สร้างพระอารามแลว้ เสร็จเม่อื พ.ศ. ๒๔๒๑
พระอารามอุทิศถวายพระราชบุรพการี ดังปรากฏหลักฐาน
รัชกาลที่ ๕ เสดจ็ พระราชดำเนินมาพระราชทานวิสงุ คามสมี า

และพระราชทานชือ่ วัดวา่ วดั เทพศิรนิ ทราวาส


101

เมรหุ ลวงและพลับพลาอศิ ริยาภรณ
์ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพทุ ธรูปสำคัญหลายองค

เพดานพระอโุ บสถประดบั ลวดลายเครอ่ื งราชอิสรยิ าภรณ์ ๕ ตระกูล


นอกจากน้ี รัชกาลท่ี ๕ ยังโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา ซึ่งประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า กระหนาบข้างด้วยฉัตร ๕ ชั้น
สุสานหลวงหรือฌาปนสถานหลวงข้ึน ณ วัดเทพศิรินทราวาส อนั เปน็ ตราประจำพระองคใ์ นรัชกาลท่ี ๕ พ้นื หน้าบนั ประดิษฐ์
ดว้ ยมพี ระราชดำรเิ พอ่ื แกไ้ ขปญั หาความสนิ้ เปลอื งในการปลงศพ เป็นลวดลายช่อดอกรำเพยส่ือถึงพระนามเดิมของสมเด็จ

ซ่ึงแต่เดิมการปลงศพผู้มีบรรดาศักดิ์ นอกจากเมรุหรือโรงทึม พระเทพศิรินทรา บรมราชินี คือ พระองค์เจ้ารำเพยภมรา
(โรงสําหรับต้ังศพเพื่อประกอบพิธีก่อนฌาปนกิจ) ท่ีประชุม ภิรมย

เพลิงแล้ว ยังประกอบดว้ ยอาคารตา่ งๆ ซ่ึงลว้ นสร้างขึ้นเพอื่ ใช้ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปหลายองค์
ครั้งเดียวแล้วรื้อท้ิงเป็นการสิ้นเปลือง ดังปรากฏในตำนาน พระประธานเปน็ พระพทุ ธรปู ปางสมาธิ รชั กาลที่ ๕ โปรดเกลา้ ฯ
สุสานหลวงของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรง
ให้หล่อข้ึนเม่ือ พ.ศ. ๒๔๒๘ ประดิษฐานอยู่ภายในปราสาท
ราชานุภาพ (พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ต้นราชสกุล ดิศกุล) ทรงจตุรมุขยอดมณฑป กระหนาบข้างด้วยพระอัครสาวกซ้าย
ความตอนหนึ่งว่า “...กระแสพระราชดำริห์ที่จะสร้างสุสานน้ัน ขวา

คือจะให้มีท่ีอันตกแต่งรักษาไว้ให้สะอาดอยู่เสมอ แลมีสถานที่ เบอ้ื งหนา้ พระประธานประดิษฐานพระนิรันตรายท่ีรชั กาล
อันเป็นเคร่ืองประกอบการเมรุซ่ึงจำเปนจะต้องใช้ให้ครบครัน ท่ี ๔ โปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ประดษิ ฐว์ รการ
เม่ือจะทำการปลงศพอย่าให้ต้องสร้างอันใดใหม่ เว้นไว้แต
่ เจา้ กรมชา่ งสบิ หมู่ (ผปู้ นั้ หลอ่ พระสยามเทวาธริ าชและพระบรมรปู
ตัวเมรุหรือโรงทึมอย่างเดียวที่จะต้องสร้างใหม่เปนของทำ รัชกาลท่ี ๑-๔ ซึ่งประดิษฐานอยู่ในปราสาทพระเทพบิดร)

ช่ัวคราว...ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้ปลงศพที่สุสานน้ีได
้ ทรงป้ันหล่อให้มีลักษณะและสัดส่วนใกล้เคียงกับมนุษย์ตาม
ทุกช้ันบรรดาศักด์ิ สุดแต่ได้รับพระราชทานพระบรมราชา พระราชนิยมจำนวน ๑๘ องค์ เพอ่ื พระราชทานไปประดษิ ฐาน
นญุ าตพิเศษเปนสำคญั ...”
ยังวัดธรรมยุตกิ นกิ าย

พระองค์ยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพลับพลาอิศริยาภรณ์ ถดั จากพระนิรันตรายลงมา บนชุกชีฐานสงิ หป์ ระดษิ ฐาน
เพ่ืออุทิศพระราชกุศลแก่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า พระพทุ ธรปู หลอ่ สมั ฤทธ์ิ ปางมารวชิ ยั ซง่ึ รชั กาลที่ ๕ โปรดเกลา้ ฯ
อิศริยาภรณ์ พระราชธิดา และสำหรับเป็นอาคารถาวรเมื่อ ให้อัญเชิญจากหัวเมืองเหนือมาประดิษฐานในพระบรมมหา

เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานเพลงิ พระศพหรอื ศพ
ราชวัง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าเยาวมาลย์นฤมล
ภายในพระอารามแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม
กรมขุนสวรรคโลกลักษณวดี พระราชธิดา ทรงพระประชวร

ท่ีน่าสนใจ ไดแ้ ก่
จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตบูรณะ ก็ทรงหาย
พระอโุ บสถเปน็ อาคารทรงไทย หนา้ บนั เปน็ แบบกระเทเ่ ซร ประชวร ภายหลังเม่ือพระองค์สิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. ๒๔๕๒
ก่ออิฐถือปูน ประดับด้วยกระเบ้ืองเคลือบเลียนแบบเครื่อง รัชกาลท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธปฏิมาองค์น
้ี
ลำยองในสถาปตั ยกรรมไทย เป็นรปู จำลองพระมหาพิชัยมงกฎุ มาประดิษฐานภายในพระอุโบสถ

เปล่งรัศมี อันเป็นตราประจำพระองค์พระบาทสมเด็จ บนฐานเบญจาของชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปปางห้าม
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๔ ต้ังอยู่เหนือพระเก้ียว
พระแก่นจันทร์ เป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์สมเด็จพระเทพ

102

อนสุ สรณีย์ ๒ หลงั


ศิรนิ ทรา บรมราชินี และพระพทุ ธรูปทรงเคร่อื งปางหา้ มสมุทร
เป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ

เจ้าฟ้าจันทรมณฑล โสภณภควดี กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย

พระขนิษฐภคนิ ใี นรัชกาลท่ี ๔

ความพิเศษอีกอย่างหน่ึงของพระอุโบสถวัดเทพศิริน

ทราวาส คือ มีการประดับตกแต่งซุ้มประตู หน้าต่าง และ
เพดานพระอุโบสถด้วยลายเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเป็น
เครื่องแสดงถึงคุณงามความดีในการปฏิบัติหน้าที่และเป็น ตกึ แม้นนฤมิตร โรงเรยี นเทพศิรนิ ทร

บำเหน็จความชอบท่ีพระมหากษัตริย์พระราชทานเป็นเกียรติ
แก่บุคคลต่างๆ ด้วยมีพระราชประสงค์ให้เป็นแรงบันดาลใจ อนุสสรณีย์ ๒ หลัง เป็นท่ีซ่ึงพระบาทสมเด็จ

และเคร่ืองเตือนสติผู้เข้ามาภายในวัดให้มีความมุ่งม่ันท่ีจะ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๗ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างข้ึน
ปฏิบัติกิจการงานในทางที่ถูกต้องและเหมาะสม อันจะเป็น เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๒ เพ่ือประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์
ประโยชน์แก่ตนเองและบ้านเมอื งโดยรวม
และพระสรีรางคารของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า

แม้การประดับลวดลายเครื่องราชอิสริยาภรณ์จะปรากฏ จาตุรนต์รศั มี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ (ตน้ ราชสกุล จกั รพันธุ)์
ในสถานท่ีสำคัญ ตลอดจนพระอารามอีกหลายแห่ง เช่น
เรียกว่า จาตุรนตอนุสสารี และของสมเด็จพระราชปิตุลา

บนเพดานภายในพระท่ีนั่งทรงธรรมในวัดราชประดิษฐ
์ บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยา

สถิตมหาสีมาราม บานประตูด้านนอกพระวิหารและ
ภาณุพันธุวงศ์วรเดช (ต้นราชสกุล ภาณุพันธุ์) เรียกว่า
พระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม บานหน้าต่าง ภาณุรังษอี นสุ สร ซ่งึ ทง้ั ๒ พระองคเ์ ป็นพระราชโอรสทป่ี ระสูติ
พระท่ีนั่งทรงผนวชในวัดเบญจมบพติ รดุสติ วนาราม เพดานซุ้ม แต่สมเด็จพระเทพศริ ินทรา บรมราชิน

ประตูหน้าต่างที่ปราสาทพระเทพบิดรในพระบรมมหาราชวัง วัดเทพศิรินทราวาสนอกจากจะทรงคุณค่าในฐานะ

แต่ท่ีวัดเทพศิรินทราวาสมีการตกแต่งลวดลายเครื่องราช เป็นปูชนียสถานอันเน่ืองในพระพุทธศาสนาแล้ว ยังเป็นที่ต้ัง
อิสริยาภรณ์บนเพดานภายในพระอุโบสถครบท้ัง ๕ ตระกูล ของ “โรงเรียนเทพศิรินทร์” สถานศึกษาสำหรับบุตรหลาน
อันได้แก่ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตน ราษฎรได้เล่าเรียน ด้วยรัชกาลที่ ๕ มีพระราชประสงค

ราชวราภรณ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองย่ิง จะทรงบำรุงการศึกษาด้วยการสถาปนาโรงเรียนขึ้นภายใน

มหาจักรีบรมราชวงศ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า พระอารามสำคัญ เป็นโรงเรียนแห่งที่สองท่ีรัชกาลที่ ๕

เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูย่ิงช้างเผือก และเครื่อง ทรงสถาปนาขนึ้ ถดั จากโรงเรยี นวดั มหรรณพาราม

ราชอิสริยาภรณ์อันเป็นเกียรติยศย่ิงมงกุฎสยาม ซึ่งเป็น
ลวดลายเคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ไม้แกะสลักเขียนลาย ลงรัก


ปดิ ทอง ประดบั กระจกทีส่ วยงามมากที่สดุ


103

พระอุโบสถวดั เบญจมบพติ รดุสิตวนารามราชวรวิหาร


วัดเบญจมบพติ รดสุ ติ วนารามราชวรวิหาร

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามต้ังอยู่ริมถนนนครปฐม เม่ือสามารถปราบกบฏได้เรียบร้อย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
(ถนนลก) ด้านทิศตะวันตกติดกับคลองสวัสดิ์เปรมประชากร กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์มีพระศรัทธาบูรณปฏิสังขรณ

เป็นวัดโบราณ ไม่ปรากฏหลักฐานว่า สร้างขึ้นในสมยั ใด เดมิ พระอารามท่ีทรงเคยอาศัยใช้เป็นท่ีย้ังทัพ โดยทรงชักชวน

ชอื่ วา่ วดั แหลม เพราะตงั้ อยบู่ รเิ วณปลายแหลมพน้ื ทส่ี วนต่อกับ พระอนุชาและพระขนิษฐาร่วมพระชนนี (เจ้าจอมมารดาศิลา)
ทุ่งนา และมอี กี ชื่อหน่ึงวา่ วัดไทรทอง เพราะในอดีต มตี ้นไทร อีก ๔ พระองค์ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิทักษ
อยู่ภายในวัด
เทเวศร์ (พระองค์เจ้ากุญชร ต้นราชสกุล กุญชร) พระเจ้า

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล บรมวงศ์เธอ กรมหลวงภูวเนตรนรนิ ทรฤทธ์ิ (พระองค์เจ้าทินกร
ที่ ๓ เมื่อเกิดเหตุการณ์ปราบสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ (พระเจ้า ตน้ ราชสกุล ทินกร) พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ พระองค์เจ้าอนิ ทนิล
ไชยเชษฐาธิราชที่ ๕) แห่งเวียงจันทน์ใน พ.ศ. ๒๓๖๙
และพระองค์เจ้าวงศ์ เม่ือการบูรณะวัดแล้วเสร็จ โปรดเกล้าฯ
โปรดเกล้าฯ ใหพ้ ระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระพิพธิ โภคภูเบนทร์ ให้สรา้ งพระเจดีย์เป็นอนสุ รณ์ ๕ องค์ เรยี งรายอยู่ดา้ นหนา้ วดั
(พระองค์เจ้าพนมวัน ต้นราชสกุล พนมวัน) ทรงเป็น
ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผู้บัญชาการกองทัพรักษาพระนครท่ีทุ่งสามเสน ต้ังกอง รัชกาลท่ี ๔ ทรงอาศัยเหตุแห่งการบูรณปฏิสังขรณ์วัดในสมัย

บัญชาการอยู่ในบริเวณวัดแหลมหรอื วดั ไทรทอง
ของรัชกาลที่ ๓ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดเบญจบพิตร
ซ่ึงหมายความวา่ เป็นวดั ของเจ้านาย ๕ พระองค์


104

วดั เบญจมบพิตรดสุ ิตวนารามราชวรวหิ าร (หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ)
สะพานพระรปู


ล่วงถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อแล้วเสร็จได้พระราชทานนามวัดใหม่ โดยทรงเพิ่มเติม
รัชกาลที่ ๕ เม่ือมีพระราชประสงค์ให้สร้างสวนดุสิตขึ้น
อกั ษร “ม” ท่ีชอื่ เดิมของวัดเปน็ วดั เบญจมบพิตร หมายถงึ วดั
เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๔๑ (ยกฐานะขน้ึ เปน็ “พระราชวังดุสิต” ในรชั ของพระเจา้ แผ่นดนิ รัชกาลท่ี ๕ พรอ้ มทั้งทรงเพิ่มสรอ้ ยนามวา่
สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ดุสิตวนาราม เพ่ือให้พ้องกับนามสวนดุสิตท่ีโปรดเกล้าฯ ให้
ราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ ๘ เมษายน ร.ศ. ๑๒๘ (พ.ศ. สร้างขึ้น

๒๔๕๒) จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดซ้ือที่บริเวณระหว่างคลอง ครั้น พ.ศ. ๒๔๔๓ โปรดเกล้าฯ ให้จัดงานวัด
สามเสนกับคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งเปน็ ท่สี วนและทุง่ นา เพ่ือใช้ เบญจมบพิตรดุสิตวนารามขึ้นและจัดต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี
เปน็ ทีป่ ระทับแรมสำราญพระอริ ิยาบถในวันสุดสปั ดาห์
จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล

ด้วยบริเวณพ้ืนท่ีสวนดุสิตมีวัดโบราณและวัดร้างอยู่หลาย ที่ ๖ จงึ ไดย้ า้ ยไปจัดงานท่สี วนจิตรลดา

วัด จึงมคี วามจำเปน็ ตอ้ งทรงทำผาตกิ รรม (ผาติกรรม แปลวา่
พ.ศ. ๒๔๔๗ รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้เปิดร้าน

การทำให้เจริญ ใช้ในวินัยว่า การจำหน่ายครุภัณฑ์เพ่ือ ถ่ายรูปหลวงเปน็ งานออกรา้ นในงานประจำปที ่วี ดั เบญจมบพติ ร
ประโยชน์สงฆ์อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเอาของเลวแลกเปลี่ยน ดุสิตวนาราม โดยทรงรับจ้างถ่ายรูปด้วยพระองค์เอง และ
เอาของดีกว่าให้แก่สงฆ์ หรือเอาของของตนถวายสงฆ์เป็นการ พ.ศ. ๒๔๔๘ ทรงจัดประกวดการถ่ายภาพข้ึนเป็นครั้งแรก

ทดแทนท่ีตนทำของสงฆ์ชำรุดไปบ้าง รื้อของที่ไม่ดีออกเสีย มีคนส่งรูปเข้าประกวดกว่าพันรูป ปัจจุบัน ภาพบางส่วนจัด
ทำให้ใหม่ดีกว่าของเก่า เช่น เอาท่ีวัดไปทำอย่างอ่ืนแล้วสร้าง แสดงอยูใ่ นพระท่ีนง่ั วิมานเมฆ พระราชวงั ดสุ ิต

วัดถวายใหม่เป็นการชดใช้) เพื่อใช้พื้นท่ีวัดร้างและวัดโบราณ ส่ิงสำคัญในวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ได้แก

เป็นสถานที่ก่อสรา้ งพลบั พลาทป่ี ระทบั และถนนหนทาง
พระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมไทยทรงจตุรมุข ใช้หินอ่อนเป็น

รชั กาลที่ ๕ มพี ระราชปรารภวา่ การจะทรงทำผาตกิ รรม วัสดุในการก่อสร้าง จนเป็นที่รู้จักของนักท่องเท่ียวท่ัวโลกว่า
โดยทรงสร้างวัดใหม่ข้ึนทดแทนหลายวัดยากต่อการทำนุบำรุง “The Marble Temple”

รักษาใหค้ งทนถาวร แตถ่ ้ารวมเงนิ บรจิ าคสรา้ งแต่เพียงวดั เดียว หลังคาพระอุโบสถซ้อน ๔ ชั้น ประดับช่อฟ้า ใบระกา
ให้เป็นวดั ใหญแ่ ละทำโดยฝีมือประณีตจะดกี ว่า จึงทรงเลอื กวัด หางหงส์ หน้าบันประดับตราพระเก้ียว พระราชลัญจกร

เบญจบพิตรเป็นวัดที่ทรงสถาปนาตามพระราชดำริน้ัน
ในรัชกาลที่ ๕ ลงรักปิดทอง ประดบั กระจก มุขตะวันตกของ
โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา
พระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธชินราช (จำลอง) ซ่ึงถ่ายแบบ
นรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ (พระองคเ์ จา้ จติ รเจรญิ ตน้ ราชสกลุ จติ รพงศ)์ มาจากพระพุทธชินราชที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมือง
ทรงออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถและถาวรวัตถุอ่ืนๆ โดยมี พิษณุโลก โดยโปรดเกล้าฯ ให้พระประสิทธิปฏิมา (เหมาะ

พระยาราชสงคราม (กา) เปน็ นายชา่ งก่อสร้างใน พ.ศ. ๒๔๔๒ ดวงจักร) จางวางช่างหล่อขวา ซึ่งเป็นช่างหล่อฝีมือดีที่สุด

105

เงินค่าถ้วยชานั้นสร้างสะพาน แล้วพระราชทานนามสะพานว่า
สะพานถ้วย

“สะพานงา” สร้างขึ้นจากเงินค่างาช้าง ซ่ึงสมเด็จ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (พระองค์
เจ้าดิศวรกุมาร ต้นราชสกุล ดิศกุล) พระอนุชา ทูลเกล้าฯ
ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลเพ่ือบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามเมื่อ
ร.ศ. ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๔๔๓) จึงพระราชทานนามวา่ สะพานงา

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามเป็นพระอารามที่มี

พระสงฆเ์ ชื้อสายลา้ นนามาจำพรรษาและมญี าตโิ ยมชาวลา้ นนา
อุปถัมภ์เป็นจำนวนมาก จึงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน

ชาวเหนือทีส่ ำคญั แหง่ หนง่ึ ของกรงุ เทพฯ

สมัยของรัชกาลท่ี ๕ เป็นห้วงเวลาท่ีสยามพยายาม
รวบรวมหัวเมืองล้านนาให้เข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองแบบ
มณฑลเทศาภิบาล จากท่ีอยู่ในฐานะเมืองประเทศราช ซึ่งมี
อิสระในการปกครองตนเองมาเป็นแบบรวมศูนย์ โดยยกเลิก
พระพุทธชนิ ราช (จำลอง) พระประธานในพระอโุ บสถ
ระบบ “กินเมือง” (รูปแบบการปกครองแบบเก่า ผู้ปกครอง


ดำเนินการ และรัชกาลท่ี ๕ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเท ไม่ได้รับเงินเดือนจากส่วนกลาง มีอำนาจในการดำเนินการ
ทองหล่อองค์พระ แล้วอัญเชิญลงเรือมาประดิษฐานในพระ ทางเศรษฐกิจด้วยตนเอง) ปรับเปลี่ยนให้ผู้ปกครองเป็น
อุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามเม่ือวันท่ี ๑๓ ธันวาคม ข้าราชการข้ึนตรงต่อราชสำนักท่ีกรุงเทพฯโดยดำเนินการ

พ.ศ. ๒๔๔๔
อย่างสันติผ่านสถาบันทางศาสนาที่ใกลช้ ิดกับประชาชน

พระที่นั่งทรงผนวช เดิมอยู่ในบริเวณพระพุทธรัตนสถาน
ทางการได้ส่งพระธรรมวโรดม เจ้าคณะรองฝ่ายใต

ในพระบรมมหาราชวงั เปน็ ที่ประทบั ของรัชกาลที่ ๕ เมื่อครง้ั วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม พระสงฆ์ผู้ใหญ่ฝ่ายมหานิกาย
ทรงผนวชใน พ.ศ. ๒๔๑๖ โปรดเกล้าฯ ใหร้ อื้ มาสร้างถวายวดั ขึ้นไปเป็นเจ้าคณะมณฑลพายัพ เพ่ือดูแลพระสงฆ์ในล้านนา

เบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ภายในองค์พระที่นั่งเก็บรักษา ซ่ึงส่วนใหญ่สังกัดมหานิกาย เป็นผลให้สายสัมพันธ์ระหว่าง

พระแท่นบรรทมขณะทรงผนวชและมีจิตรกรรมฝาผนังเล่า
พระสงฆ์ล้านนากับวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามแน่นแฟ้นขึ้น
เร่ืองราว พระราชกรณียกิจและเหตุการณ์สำคัญท่ีเกิดขึ้นใน ด้วยหากมีการส่งพระสงฆ์ล้านนาให้เข้ามาศึกษาเล่าเรียน

สมัยของรชั กาลที่ ๕
ทกี่ รงุ เทพฯ กม็ กั สง่ มาเรยี นและจำพรรษาทวี่ ดั แหง่ นี้ จากรนุ่ สรู่ นุ่
สะพานพระรูป สะพานถ้วย และสะพานงาเป็นสะพาน ไมข่ าดสาย ความสัมพันธ์จึงสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันน้ี ดังเห็น
ราวเหล็ก พ้ืนคอนกรีต ข้ามคลองเชื่อมต่อเขตพุทธาวาสและ ได้จากงานตานก๋วยสลากวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

เขตสังฆาวาส แต่ประวัติการสร้างค่อนข้างแปลกกว่าสะพาน ซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปีของชาวเหนือในกรุงเทพฯ ท่ีจัดขึ้น

ท่วั ไป เพราะใชเ้ งินจากการขายส่งิ ของมาสรา้ งทั้ง ๓ สะพาน
ในเดอื นตุลาคมเปน็ ประจำทกุ ปี

“สะพานพระรูป” สร้างขึ้นด้วยเงินค่าขายพระรูปรัชกาล นอกจากน้ี วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามยังได้ร่วมกับ
ที่ ๕ อันจำหลักในแผ่นทองแดงกะไหล่ทอง ซึ่งพระเจ้าบรม มูลนิธิเผยแพร่พระพุทธศาสนาแก่ชนถิ่นกันดารใน

วงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ (พระองค์เจ้าทองแถม พระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จัดงาน
ถวัลยวงศ์ ตน้ ราชสกลุ ทองแถม) พระอนุชา ทลู เกล้าฯ ถวาย บรรพชาอุปสมบทหมู่ชาวเขาเพื่อปฏิบัติศาสนกิจและเพื่อ
ช่วยในการปฏสิ งั ขรณ์พระอารามเม่ือ ร.ศ. ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๔๔๓) พัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนบนพื้นท่ีสูงเป็นประจำทุกป

จงึ พระราชทานนามว่า สะพานพระรปู
ตามพระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

“สะพานถว้ ย” สรา้ งขึน้ ดว้ ยเงินค่าถ้วยชา พน้ื สลี ายทอง ที่ทรงตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของการเผยแผ่
งานพระเมรุ ซ่ึงรัชกาลท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ให้จำหน่ายในงาน พระพทุ ธศาสนาและการอบรมศลี ธรรมใหก้ บั ชาวเขา

ออกรา้ นทีว่ ัดเม่อื ร.ศ. ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๔๔๓) ทรงพระราชอุทิศ



106

พระอารามหลวง

ท่ีพระบรมวงศานวุ งศ์ทรงสร้าง


วดั ราชาธิวาสราชวรวิหาร
วัดศรีสุดารามวรวหิ าร

วดั เทวราชกุญชรวรวิหาร
วดั มหรรณพารามวรวหิ าร


วดั ภคนิ ีนาถวรวิหาร
วัดมหาธาตยุ วุ ราชรังสฤษฎิร์ าชวรมหาวหิ าร

วดั อมรนิ ทรารามวรวหิ าร
วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร


วัดบพติ รพมิ ุขวรวหิ าร
วัดปทมุ คงคาราชวรวิหาร

วัดนวลนรดิศวรวหิ าร
วดั สมั พันธวงศารามวรวิหาร


วดั หนงั ราชวรวหิ าร
วดั ดาวดงึ ษาราม

วัดดุสดิ ารามวรวหิ าร
วัดเศวตฉัตรวรวิหาร


วัดอินทรวิหาร
วัดอปั สรสวรรค์วรวหิ าร

วัดราชคฤหว์ รวหิ าร
วดั ชิโนรสารามวรวิหาร

วดั อนิ ทารามวรวหิ าร
วัดราชผาตกิ ารามวรวหิ าร

วดั บวรมงคลราชวรวหิ าร
วัดตรที ศเทพวรวหิ าร

วัดกาญจนสงิ หาสน์วรวหิ าร
วดั ราชบุรณราชวรวิหาร


107

พระอโุ บสถวดั ราชาธิวาสราชวรวิหาร


วดั ราชาธวิ าสราชวรวหิ าร

วัดราชาธิวาสตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้กับวัด
ปลายสมัยของรชั กาลที่ ๒ สมเดจ็ พระเจ้าลูกเธอ เจา้ ฟ้า
สมอแครง (วัดเทวราชกุญชร) เดิมชื่อวัดสมอราย ในหนังสือ มงกฎุ ฯ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั รัชกาลท่ี ๔)
เร่ืองวัดสมอราย อันมีนาม ราชาธิวาส พระราชนิพนธ์
ทรงผนวช ณ วัดพระศรีรตั นศาสดาราม โดยมสี มเดจ็ พระอรยิ
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
วงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) วัดมหาธาตุ (วัด
ทรงสันนิษฐานว่า วัดแห่งนี้เป็นวัดโบราณ สร้างข้ึนก่อนสมัย มหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๕
อยุธยา เจ้าอาวาสวัดนำต้นสมอมาปลูกขึ้นเองภายหลังเพื่อให้ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระองค์ได้รับ
พอ้ งกบั นามวดั และมีพระบรมราชวนิ ิจฉยั ตอ่ ไปว่า “สมอ” นน้ั พระนามฉายาว่า “วชิรญาโณ” หรอื “วชริ ญาณภิกขุ” (แปลวา่
เปน็ คำมาจากภาษาเขมรวา่ ถมอ แปลวา่ หนิ หรือศิลา คำว่า ผู้มีความรู้ประดุจเพชร) แล้วเสด็จไปประทับ ณ วัดมหาธาตุ
สมอราย จึงหมายถึง วดั ศิลาราย
ทำอุปัชฌายวัตร ๓ วัน จากนั้นเสด็จไปทรงจำพรรษา

สมัยต้นรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า และทรงศึกษาวปิ ัสสนาธุระ ณ วัดสมอราย ซึ่งสมเดจ็ พระบรม
จฬุ าโลกมหาราช รชั กาลท่ี ๑ โปรดเกล้าฯ ใหส้ มเด็จพระบวร ชนกนาถเคยประทับและทรงศึกษาวิปัสสนาธุระเม่ือคร้ังทรง
ราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ผนวช

รับผิดชอบบูรณปฏิสังขรณ์วัดแห่งน้ี วัดสมอรายจึงเป็น
แต่ขณะท่ีพระวชิรญาณมหาเถรทรงผนวช สมเด็จ
พระอารามฝ่ายวังหน้า ต่อมา เม่ือสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
พระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. ๒๓๖๗ และพระเจ้า

เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า พีย่ าเธอ กรมหมนื่ เจษฎาบดนิ ทร์ (พระบาทสมเดจ็ พระนั่งเกลา้
นภาลัย รัชกาลท่ี ๒) ทรงผนวช ได้เสด็จมาทรงจำพรรษา
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓) เสด็จข้ึนครองราชย์และพระราชทาน
ณ พระอารามแหง่ น
ี้ อุปราชาภิเษกพระองค์เจ้าอรุโณทัยเป็นสมเด็จพระบวรราชเจ้า

108

แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สำนักวัดเงิน (วัดรัชฎาธิษฐาน) และ
สำนกั วดั สมอราย (วดั ราชาธวิ าส) ของพระปัญญาพิศาลเถระ

สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
(พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ต้นราชสกุล ดิศกุล) ทรงเล่าไว้ใน
หนังสือความทรงจำถึงเหตุการณ์เมื่อคร้ังพระวชิรญาณมหาเถร
ทรงผนวช ความตอนหน่ึงว่า “...เม่ือแรกทรงผนวชพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เห็นจะจำนงทรงศึกษา
วิปัสสนาธุระเหมือนเช่นที่เจ้านายทรงผนวชเคยศึกษากันมา

แต่ก่อน หรืออย่างว่า “พอเป็นกิริยาบุญ” เพราะจะทรงผนวช
อยู่เพียงพรรษาเดียว แต่เม่ือเกิดเหตุวิบัติด้วยสมเด็จพระบรม
ชนกนาถสวรรคต และพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว

ได้ราชสมบัติ ส่วนพระองค์จะต้องทรงเพศเป็นสมณะต่อไป

ไม่มีกำหนด ทรงพระดำริเห็นว่าฐานะของพระองค์ไม่ควร

จะเกี่ยวข้องกับการบ้านเมือง จึงเปล่ียนเจตนาไปจำนง

จะทรงศึกษาพระพุทธศาสนาให้รอบรู้ตามสมควรแก่หน้าท่

ของพระภิกษ.ุ ..”

พระวชิรญาณมหาเถรทรงต้ังพระหฤทัยท่ีจะศึกษาด้าน
วิปัสสนาธุระอย่างถ่องแท้ และเม่ือพระอาจารย์ไม่สามารถ

ตอบข้อสงสัยได้ ทูลแต่ว่า ครูบาอาจารย์เคยสอนมาเพียง
เท่าน้ัน ก็ทรงท้อพระหฤทัยในการท่ีทรงศึกษาวิปัสสนาธุระ
เม่ือออกพรรษาจึงเสด็จกลับมาประทับ ณ วัดมหาธาต

เร่ิมเรียนคันถธุระ เพ่ือให้สามารถทรงอ่านพระไตรปิฎกได้ด้วย
พระองค์เอง โดยมีพระวิเชียรปรีชา (ภู่) เจ้ากรมราชบัณฑิต
เป็นพระอาจารย์สอนภาษามคธ ทรงใช้เวลาศึกษาเพียง ๓ ปี
พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หัว รชั กาลท่ี ๔ ทรงสถาปนา
ก็ทรงเช่ียวชาญภาษามคธเป็นอย่างยิ่ง จนสามารถทรงแปล
ธรรมยุติกนกิ ายข้ึน ณ วัดราชาธิวาสราชวรวหิ าร
พระปรยิ ัติธรรมถวายรชั กาลที่ ๓ และไดร้ ับพระราชทานพัดยศ
(หอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ)
เปรียญเอก ๙ ประโยค


มหาศกั ดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๓ ต่อมา พระวชิรญาณมหาเถรมีพระดำริว่า คณะสงฆ์
พระวชิรญาณมหาเถรมีพระดำริว่า เพ่ือไม่ให้เป็นการกีดขวาง สยามในขณะน้ันยังมีความประพฤติย่อหย่อน ไม่ต้องตาม

ราชการจึงตดั สินพระทยั จะดำรงสมณเพศตอ่ ไปไม่มีกำหนด
พระธรรมวินัยอยู่มาก ทั้งยังได้ทรงวิสาสะสนทนากับพระเถระ
ในอดีต วัดสมอรายเป็นวัดท่ีมีชื่อเสียงด้านวิปัสสนาธุระ มอญช่อื ซาย (พระสเุ มธมุนี) วัดบวรมงคล ถึงวตั รปฏบิ ัตขิ อง

(คือ เรยี นชำระกาย วาจา และใจของตนให้บริสทุ ธิ)์ มาแต่ต้น พระมอญ ทำให้ทรงเล่ือมใสและทรงตั้งพระทัยที่จะริเร่ิมแก้ไข
กรุงรัตนโกสินทร์ เป็นสำนักท่ีเจ้านายนิยมมาทรงผนวชกันเป็น วัตรปฏิบัติของพระภิกษุสงฆ์ แต่การประทับ ณ วัดมหาธาต

จำนวนมาก โดยเฉพาะเจ้านายท่ีทรงผนวชเพียงพรรษาเดียว ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช พระอุปัชฌาย์
ไมม่ ีเวลาพอท่จี ะศึกษา “คันถธุระ” (คือ การศึกษาภาษามคธ เป็นการไม่สะดวก จึงเสด็จย้ายมาประทับ ณ วัดสมอราย

เพื่อศึกษาพระไตรปิฎกและพระธรรมวินัย) ให้แตกฉานได้ใน อกี คำรบหนง่ึ พร้อมด้วยศิษยานศุ ษิ ย์ทเี่ ลอื่ มใสราว ๖ รูป เม่ือ
ระยะเวลาอันสั้น เจ้านายเหล่าน้ีจึงมักทรงเรียนวิปัสสนาธุระ พ.ศ. ๒๓๗๒ เร่ิมเกิดเป็นคณะสงฆ์ท่ีแสวงหาสัมมาปฏิบัติ

เพียงอย่างเดียวท่ีสำนักพระอาจารย์ท่ีมีช่ือเสียง เช่น สำนัก
ที่เรียกว่า ธรรมยุติกาหรือธรรมยุติกนิกายขึ้น ณ วัดสมอราย
วดั พลับ (วดั ราชสิทธาราม) ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จ นับแต่น้ันเป็นต้นมา (ก่อนเสด็จไปครองวัดบวรนิเวศวิหาร

พระสังฆราช (สกุ ไก่เถอื่ น) สมเดจ็ พระสงั ฆราชพระองค์ท่ี ๔ ใน พ.ศ. ๒๓๗๙)


109

ธิวาสเพื่อเป็นเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินสู่พระราชวังดุสิต
โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการบูรณ
ปฏิสังขรณ์

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรา

นุวัดติวงศ์ (พระองค์เจ้าจิตรเจริญ ต้นราชสกุล จิตรพงศ์)

พระอนุชา ทรงออกแบบพระอุโบสถด้วยสถาปัตยกรรมขอม
หน้าบันเป็นซุ้ม ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืน ปาง
ประธานอภัย ภายในซุ้มบันแถลงท้ัง ๒ ข้างเป็นพระสาวก

น่ังพนมมือขัดสมาธิ หน้าพระอุโบสถมีเสาหงส์คู่ ตัวหงส์

หล่อด้วยสัมฤทธ์ิ ยนื อยู่ภายใต้ฉัตร ๕ ชน้ั

ภายในพระอโุ บสถประดษิ ฐานพระสมั พทุ ธพรรณี (จำลอง)
พระพทุ ธรปู กะไหล่ทองปางสมาธิ ซ่ึงรชั กาลท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ
ให้หล่อขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ โดยจำลองแบบพระสัมพุทธ
พรรณขี องรัชกาลท่ี ๔ ในพระอุโบสถวดั พระศรีรตั นศาสดาราม
ที่พุทธบัลลังก์พระสัมพุทธพรรณี (จำลอง) ประดิษฐาน
พระบรมราชสรีรางคารของสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรม
ราชเทวี พระพนั วสั สาอัยยกิ าเจ้า

บนผนังพระอุโบสถท้ัง ๓ ด้าน เขียนภาพจิตรกรรม

ฝาผนังเล่าเร่ืองมหาเวสสันดรชาดกทั้ง ๑๓ กัณฑ์ สมเด็จ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์

ภาพจิตรกรรมภายในพระอโุ บสถ ฝีพระหัตถ
์ ทรงออกแบบและร่างภาพไว้ และทรงมอบหมายให้นายคาร์โล
สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ัดตวิ งศ์
ริโกลี (Carlo Rigoli) จิตรกรชาวอิตาเลียน เป็นผู้ขยายแบบ
และระบายส

เม่ือพระเกียรติคุณเป็นที่เล่ืองลือถึงความเช่ียวชาญ
พระวิหารอยู่ภายในอาคารเดียวกับพระอุโบสถ โดยอยู่
ในพระไตรปิฎกและวัตรปฏิบัติอันงดงาม ทำให้มีผู้มาฝากตัว ทางด้านหลงั มผี นงั กน้ั ไว้ ประดิษฐานพระพทุ ธรูปปางสมาธิ

เป็นศิษย์และบวชเรียนในสำนักวัดสมอรายเพิ่มขึ้นโดยลำดับ ด้านหลังพระอุโบสถเป็นพระเจดีย์ทรงชวาสมัยศรีวิชัย

และขยายไปยังพระอารามต่างๆ ถือได้ว่า ธรรมยุติกนิกาย
ท่ีองค์พระเจดีย์มีพระธยานิพุทธ (พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง

ได้เรม่ิ ข้ึนท่วี ดั สมอรายเปน็ แห่งแรก
ในคติมหายาน) ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศิลา ศิลปะสมัยศรีวิชัย

ครั้นเม่ือเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ รัชกาลที่ ๔
ซึ่งรัชกาลท่ี ๕ ทรงอัญเชิญมาจากบุโรพุทโธ ประเทศ
โปรดเกล้าฯ ให้พระยาเพชรพไิ ชย (หนู หงสกุล) เมือ่ ครง้ั เป็น อนิ โดนีเซีย โดยทรงได้รบั ทลู เกลา้ ฯ ถวายจากรัฐบาลฮอลนั ดา
พระยาสามภพพ่าย เป็นแม่กองในการบูรณปฏิสังขรณ์ท่ัวทั้ง จำนวน ๕ องค์ ประดษิ ฐานท่อี งค์พระเจดยี ์ทั้ง ๔ ดา้ น (อีก
พระอาราม แลว้ เสรจ็ เม่อื พ.ศ. ๒๓๙๔ ได้รับพระราชทานนาม องค์หน่งึ ประดิษฐานอยู่ท่ซี ้มุ หนา้ พระอโุ บสถวัดบวรนิเวศวหิ าร)

ใหม่ว่า วัดราชาธิวาส หมายถึง วัดอันเป็นท่ีประทับของ
พระตำหนักพระจอมเกล้าเป็นพระตำหนักที่มีช่อฟ้า
พระราชา
ใบระกา ๕ ห้อง มีเฉลียงรอบ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหา
ครั้นสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลท่ี ๓
รัชกาลท่ี ๕ มีพระราชดำริว่า วัดราชาธิวาสเป็นวัดเก่าแก
่ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพ่ือถวายพระวชิรญาณมหาเถรเม่ือ
ที่มีความสำคัญ ด้วยเคยเป็นท่ีประทับของสมเด็จพระบรม พ.ศ. ๒๓๗๒

อัยกาธิราช (รัชกาลที่ ๒) และสมเด็จพระบรมชนกนาถ วัดราชาธิวาสยังเป็นที่ต้ังของศาลาการเปรียญเคร่ืองไม้
(รัชกาลที่ ๔) จึงมีพระบรมราชโองการให้บูรณปฏิสังขณ์วัด สักทองท่ีใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ฝีมือการออกแบบของ
ราชาธิวาสใหม่ท่ัวทั้งพระอารามและสร้างท่าเรือข้างวัดราชา สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ




110

พระอโุ บสถวดั เทวราชกญุ ชรวรวิหารสร้างตามแบบอยา่ งพระอุโบสถวัดพระศรรี ัตนศาสดาราม


วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร

วัดเทวราชกุญชรต้ังอยู่บริเวณปากคลองผดุงกรุงเกษม เกลื่อนกลาด ก็น่าจะเป็นไปได้ แต่เป็นเดาจัดอยู่หน่อย จึงไม่
ใกล้กับวัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) เป็นวัดโบราณ เดิมชื่อ
อยากจะกลา่ วยนื ยัน...”

วดั สมอแครง ในหนงั สือเรื่องวัดสมอราย อนั มีนาม ราชาธวิ าส เม่ือแรกสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จ
พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลท่ี ๑ มีพระบรม
รชั กาลท่ี ๕ ทรงสนั นิษฐานวา่ ชื่อวัดสมอแครงน่าจะมที ม่ี าจาก ราชโองการให้เหล่าพระบรมวงศ์บูรณปฏิสังขรณ์พระอาราม

ภาษาขอมท่หี มายถึง ศิลาแข็ง “...วดั สมอแครง เขาสมอแครง เก่าแก่ในพระนคร โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
แปลว่าศิลาแข็ง...”
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๑ ทรงได้รับ

เนื่องจากชื่อวัดเป็นภาษาขอม รัชกาลท่ี ๕ จึงทรง มอบหมายให้บูรณะวัดริมแม่น้ำเจ้าพระยาข้างทิศเหนือตั้งแต่
สันนิษฐานว่า อาจเป็นวัดที่ขอมมาสร้างไว้ร่วมกับวัดสมอราย วัดสลัก (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ิ) วัดตองปุ (วัด
(วดั ราชาธวิ าส) และวัดเขมา (วัดเขมาภิรตาราม เขมาเปน็ ชื่อ ชนะสงคราม) วัดบางลำภู (วดั สังเวชวิศยาราม) วัดสมอแครง
ของเมืองเขมร คือ เมืองเขมรัฐ) “...วัดสมอแครงจะเป็นวัด
(วัดเทวราชกุญชร) วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) วัดส้มเกล้ียง
ท่ีกองทัพเรือ สมัครพรรคพวกของเจ้าเขมร...มาท้ิงศิลาสมอไว้ (วดั ราชผาตกิ าราม) ฯลฯ สำหรับวดั สมอแครงน้นั ทรงสถาปนา




111

พระพทุ ธเทวราชปฏมิ ากร พระประธานภายในพระอโุ บสถ


ต่อมา สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวง
พระพุทธรูปขนาดใหญ่ปางมารวิชัย ทำด้วยโลหะหล่อ ลงรัก
พิทักษมนตรี (สมเด็จเจ้าฟ้าจุ้ย ต้นราชสกุล มนตรีกุล)
ปดิ ทอง

ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดสมอแครง แต่ไม่พบหลักฐานว่า
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ
ทรงบรู ณะสง่ิ ใดภายในวัดบา้ ง
(พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ต้นราชสกุล ดิศกุล) ทรงสอบค้น
ล่วงถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประวัติของพระพุทธรูปองค์น้ีได้ความว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
รัชกาลที่ ๔ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิทักษเทเวศร์ กรมพระพิทักษเทเวศร์อัญเชิญมาจากเมืองลพบุรี ทั้งยัง

(พระองค์เจ้ากุญชร ต้นราชสกุล กุญชร) ทรงกำกับกรม
ทรงสันนิษฐานว่า เดิมน่าจะประดิษฐานเป็นพระประธาน

พระอัศวราช (กรมม้า) และกรมพระคชบาล (กรมช้าง)
ในพระวิหารหลวงวัดพระศรีมหาธาตุ เมืองลพบุรี ดังปรากฏ
ทรงปฏสิ งั ขรณว์ ดั สมอแครง พรอ้ มกบั สรา้ งพระอโุ บสถหลงั ใหม่ ตามลายพระหตั ถ์ในหนงั สอื ชดุ สาส์นสมเด็จ ความตอนหน่งึ ว่า
เมื่อแล้วเสร็จ น้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง โดย
“...หม่อมฉันไปทอดพระกฐินวัดเทวราชกุญชร สังเกตเห็น

ได้รับพระราชทานนามจากรัชกาลท่ี ๔ ว่า วัดเทวราชกุญชร พระพักตร์พระพุทธรูปหล่อท่ีเป็นพระประธานในโบสถ์ เป็น
ตามพระนามของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิทักษเทเวศร์ ลักษณะแบบพระสมัยทวารวดีแต่พระองค์เป็นแบบพระกรุง
ผู้ทรงบูรณปฏสิ งั ขรณ์พระอาราม
รตั นโกสนิ ทร์ สืบถามได้ความว่าพระประธานองค์นั้น กรมพระ
ตอ่ มา พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ สงิ หนาทราชดรุ งคฤ์ ทธ์ิ พิทักษเทเวศร์ เชิญลงมาจากเมืองลพบุรี...เม่ือภายหลังก็พบ
โอรสพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิทักษเทเวศร์ทรงบูรณ แหล่งเดิมว่าเป็นพระประธานอยู่ในพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ
ปฏสิ ังขรณเ์ พิ่มเติมบา้ ง
วัดอน่ื หามีทต่ี งั้ พระพทุ ธรูปขนาดใหญเ่ ท่านนั้ ไม่...”

ส่งิ สำคัญภายในพระอาราม ไดแ้ ก่
เม่ือวนั ท่ี ๑๕ กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๖ พระบาทสมเด็จ
พระอุโบสถเป็นอาคารไทยประเพณีแบบทรงโรง หน้าบัน พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน พระราชทานนามพระพุทธ
เป็นไม้แกะสลักลายดอกและใบพุดตาน ประดับกระจกสี ปฏิมาองค์น้ีว่า พระพุทธเทวราชปฏิมากร

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิทักษเทเวศร์โปรดเกล้าฯ ให้ ภายในพระอุโบสถยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่าง

สร้างพระอุโบสถขึ้น โดยถ่ายแบบมาจากพระอุโบสถวัด
ในสมัยของรัชกาลท่ี ๔ น่าศึกษาย่ิง ผนังภายในพระอุโบสถ
พระศรีรัตนศาสดาราม ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน เหนือช่องหน้าต่างเขียนภาพพุทธประวัติตอนเสด็จลงจาก

112

จติ รกรรมฝาผนงั ภายในพระอโุ บสถเลา่ เรอ่ื งสวุ รรณสามชาดก
พพิ ิธภณั ฑ์สักทองมีลักษณะเปน็ อาคารทรงปั้นหยาประยุกต์ ๒ ช้นั

เป็นสถานทีเ่ รียนรู้การอนุรักษ์และศูนย์เผยแพรค่ วามร้

ด้านพระพุทธศาสนาของวัด


จติ รกรรมฝาผนงั ภายในพระอโุ บสถ
ประตมิ ากรรมรปู พระอนิ ทรท์ รงชา้ ง สัญลักษณข์ องราชสกุลกุญชร

เลา่ เรอื่ งพระภกิ ษขุ ณะปลงอสภุ กรรมฐาน


สวรรค์ช้ันดาวดึงส์หลังโปรดพุทธมารดา เป็นภาพเทพชุมนุม เป็นเทพที่ปกปักรักษาพระบวรพุทธศาสนาและจะคุ้มครอง

มาส่งเสด็จคล้ายกับจิตรกรรมฝาผนังวัดราชนัดดาราม ส่วน ผู้ประพฤตธิ รรม

ผนังตอนล่างระหว่างช่องประตูเขียนภาพสุวรรณสามชาดก ภายในวัดเทวราชกุญชรยังมีพิพิธภัณฑ์สักทอง
และผนังระหว่างช่องหน้าต่างเขียนภาพพระภิกษุขณะปลง
(Golden Teak Museum) เป็นเรือนไม้สักทอง ทรงป้ันหยา
อสภุ กรรมฐาน
ประยกุ ต์ ๒ ชั้น ช้นั บนจัดแสดงรูปปน้ั หุ่นขผี้ ้งึ (ไฟเบอร์กลาส)
พระวิหารสร้างเป็นอาคารมณฑปจตุรมุข ภายใน เท่าพระองค์จริงของสมเด็จพระสงั ฆราช ๑๘ พระองค์แหง่ กรงุ
ประดษิ ฐานพระพุทธรูปศิลปะสมัยต่างๆ จำนวน ๙ องค์ ที่ได้ รัตนโกสินทร์และพระบรมสารีริกธาตุท่ีอัญเชิญมาจากประเทศ
รับพระราชทานจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหา ศรลี ังกา เพื่อใหป้ ระชาชนได้สกั การบูชาเพอื่ ความเป็นสริ ิมงคล

วชิราลงกรณฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ชั้นล่างจัดแสดงภาพพระประวัติของสมเด็จพระสังฆราช
พ.ศ. ๒๕๔๘
ทุกพระองค์ นิทรรศการประวัติความเป็นมาของวัดเทวราช
เทพประจำพระอารามที่พุทธศาสนิกชนนิยมสักการบูชา กุญชรและมูลนธิ ิศาสตราจารย์ ดร. อกุ ฤษ มงคลนาวิน

คือ ประติมากรรมรูปพระอินทร์ทรงช้างหรือองค์เทพเทวราช

เนรมิต ตามคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนาที่ว่า พระอินทร์

113

พระวหิ ารวัดภคนิ ีนาถวรวหิ ารเปน็ สถาปัตยกรรมไทยสมัยอยุธยาตอนปลาย


วัดภคนิ ีนาถวรวิหาร

วัดภคนิ นี าถตั้งอยรู่ มิ แมน่ ้ำเจ้าพระยา เชงิ สะพานกรุงธน เพราะวัดตั้งอยู่ปากคลอง ใกล้แม่น้ำใหญ่ จึงเรียกว่า วัดนอก
(ซงั ฮ)ี้ ฝ่งั ธนบุรี เปน็ วัดโบราณเดิมชอ่ื วดั บางจากหรือวดั นอก
คู่กับวัดใน ซ่ึงอยู่ริมคลองบางจากตอนในอีก ๓ แห่ง คือ

เหตุท่ีชื่อวัดบางจากนั้นสันนิษฐานว่า ได้ช่ือตามที่ต้ัง วัดเปาโรหติ ย์ วัดทอง และวัดสงิ ห์

ของวัดซึ่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณปากคลองบางจาก
ต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ฝั่งซ้าย พ้ืนที่แห่งนี้แต่เดิมอาจมีต้นจากขึ้นริมลำคลองอย่าง รัชกาลที่ ๒ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าประไพวด

หนาแน่น จึงเป็นที่มาของชื่อคลองบางจากดังปรากฏในนิราศ กรมหลวงเทพยวดี พระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธ
พระบาทของพระสุนทรโวหาร (ภู่) หรอื สุนทรภู่ ความตอนหน่ึง ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ มีพระศรัทธาท่ีจะทำนุ
ว่า “...ถึงคลองขวางบางจากย่ิงตรมจิต ใครช่างคิดช่ือบางไว้ บำรุงพระศาสนา จึงทรงสถาปนาวัดนอกใหม่ท้ังพระอาราม
กางกั้น ว่าช่ือจากแล้วไม่รักรู้จักกัน พิเคราะห์ครันหรือมาพ้อง โดยโปรดเกล้าฯ ให้แปลงอุโบสถเดิม ซ่ึงมีขนาดเล็กเป็นวิหาร
กบั คลองบาง...”
แลว้ ทรงสรา้ งอโุ บสถหลงั ใหม่ ตลอดจนถาวรวตั ถตุ า่ งๆ เพม่ิ เตมิ
ด้วยเหตุน้ี เมื่อมีการสร้างวัดขึ้นบริเวณปากคลอง เมือ่ แลว้ เสร็จ รชั กาลท่ี ๒ พระราชทานนามวัดเพ่อื เป็นเกียรติ
บางจาก วัดจึงได้นามตามชื่อคลองไปด้วย นอกจากน้ัน วัด แกพ่ ระขนิษฐภคนิ วี า่ วดั ภคั นิ นี าฏ อันมีความหมายถงึ วดั ของ
แห่งน้ียังเรียกอีกช่ือหน่ึงว่า วัดนอก สันนิษฐานว่า อาจเป็น พระน้องนาง ต่อมา เปล่ียนเป็นวัดภคินีนารถในรัชสมัย

114

ศาลาเกง๋
หลวงพ่อดำ (เบ้อื งหลงั )

พระประธานภายในพระวิหาร

พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจา้ อยหู่ วั รัชกาลท่ี ๖ และเปน็ พระอุโบสถ มีซุ้มประตู ๔ ด้าน พระระเบียงประดิษฐาน
วัดภคินนี าถในสมัยต่อมา ซง่ึ ใช้มาจนถึงปจั จุบัน
พระพทุ ธรูปปูนปนั้ ปางมารวชิ ัย จำนวน ๘๐ องค์

หนังสือกลอนเพลงยาวสรรเสริญพระเกียรติพระบาท ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อปาง

สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ของนายมี มารวิชัย ศลิ ปะสโุ ขทยั ผนังบรเิ วณเหนอื ชอ่ งหนา้ ตา่ งเขยี นลาย
มหาดเลก็ กลบั ระบุแตกตา่ งออกไปวา่ วดั ภคั นิ ีนาฏ เปน็ ชือ่ ที่ ดอกไม้ร่วงแบบจีน ผนังระหว่างช่องหน้าต่างเขียนลาย

ได้รับพระราชทานในสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เครื่องบูชาแบบจีน เช่น แจกัน ดอกไม้ เคร่ืองลายคราม

เจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓ “...แล้วเปลี่ยนขนานนามวัดที่จัดสร้าง ถ้วยชา ถาดผลไม้ ฯลฯ เหนือบานประตูและบานหน้าต่าง

ให้คงอย่างภูมิฐานที่เรียกถาม...วัดบางจากช่ือภัคินีนาฏ ท้าย มีกรอบรปู เขยี นภาพเล่าเรือ่ งพงศาวดารจนี ตดิ อยูโ่ ดยรอบ

ตลาดโมลีโลกเฉลิมศร.ี ..”
ศาลาเก๋งตัง้ อยดู่ า้ นนอกพระระเบียงหน้าพระอุโบสถ เป็น
บริเวณท่ีต้ังของวัดภคินีนาถริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นพื้นท่ี ศาลาขนาดเล็ก ๒ หลัง ก่ออิฐถือปูน หน้าบันตกแต่งด้วย
ลุ่มน้ำทะเลหนุนตลอดปี เจ้าอาวาสแต่ละยุคพยายามถมพ้ืนที่ ลวดลายและศิลปะแบบจนี

วัดกันมาหลายสมัย จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก
่ พระวิหารเดิมเป็นพระอุโบสถ เป็นอาคารไทยประเพณี
ท่ีอาศยั บรเิ วณโดยรอบวัด ระบุตรงกนั ว่า มีการใชท้ รายถมบา้ ง แบบทรงโรงมี “จ่ันหับ” (เฉลียงคลุมหลังคา) ซ่ึงเป็น
ขี้แกลบบ้าง ขี้เล่ือยบ้าง ตามแต่จะหาได้ ต่อมา เม่ือมีการ สถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลาย ภายในประดิษฐาน
ตดั ถนนในซอยราชวถิ ี ๒๑ หรอื ซอยวดั ภคนิ นี าถ พร้อมๆ กับ พระพุทธรูปศิลปะสมัยต่างๆ จำนวนหลายองค์ ท่ีสำคัญ คือ
การสร้างสะพานกรุงธน (ซังฮ้ี) ราว พ.ศ. ๒๔๙๗ รัฐบาล องค์พระประธานเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทอง ปางมารวิชัย
จอมพล แปลก พิบูลสงคราม จึงให้ถมทเี่ พื่อแกป้ ญั หานำ้ ทว่ ม ชาวบ้านเรียกวา่ หลวงพอ่ ดำ โดยเชอ่ื กนั ว่า มคี วามศักด์สิ ทิ ธ์ิ
ขงั ภายในพนื้ ทว่ี ดั และบรเิ วณโดยรอบอยา่ งถาวร
มาก

ส่งิ สำคญั ภายในพระอาราม ได้แก
่ กุฏิตำหนัก เดิมตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง เป็น

พระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมไทยประเพณีแบบทรงโรง ที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าประไพวดี
หลงั คาทำชนั้ ลด ๓ ช้นั ประดับชอ่ ฟา้ และใบระกา บานประตู กรมหลวงเทพยวดี เมื่อสิ้นพระชนม์ รัชกาลที่ ๓ โปรดเกลา้ ฯ
และบานหน้าต่างเขียนลายรดน้ำ มีพระระเบียงล้อมรอบ
ใหร้ อื้ มาปลูกเปน็ กฏุ ิเจา้ อาวาสวัดภคนิ ีนาถ


115

พระอโุ บสถหลังใหมเ่ ปน็ อาคารไทยประเพณที รงจตุรมุขสรา้ งขน้ึ ทดแทนโบสถน์ อ้ ยเมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๔


วดั อมรนิ ทรารามวรวิหาร

วัดอมรินทรารามต้ังอยู่ริมถนนอรุณอัมรินทร์ ใกล้กับ
มหาราช รัชกาลท่ี ๑ ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่ทั้งวัด

โรงพยาบาลศิริราช เป็นวัดโบราณ เดมิ ชือ่ วดั บางวา้ นอ้ ย บ้างก็ พระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ กระจบั และพระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ
ว่า วัดบางหว้าน้อย คู่กับวัดบางว้าใหญ่หรือวัดบางหว้าใหญ่ พระองค์เจ้าจงกล พระราชธิดาในกรมพระราชวังบวรสถาน
(วัดระฆังโฆษติ าราม)
พิมุข ทรงร่วมสร้างภูเขาเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธฉายจำลอง
สมัยธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนา และมณฑปที่ประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง เพื่อโดยเสด็จ
วัดบางว้าน้อยขึ้นเป็นพระอารามหลวงและทรงต้ังพระอธิการ พระราชกศุ ลพระราชบิดา

เจา้ วัดเปน็ พระราชาคณะ
เม่ือกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขทรงสร้างอุโบสถแล้ว
ครั้นสมัยรัตนโกสินทร์ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข เสร็จก็เสด็จทิวงคต รัชกาลท่ี ๑ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง
(สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์) ถาวรวัตถุท่ีสมเด็จพระเจ้าหลานเธอทรงสร้างค้างอยู่จนเสร็จ
พระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก บรบิ ูรณ์ แล้วพระราชทานนามใหม่วา่ วัดอมรนิ ทราราม


116

วดั อมรนิ ทรารามวรวิหารตั้งอยใู่ กล้กบั สถานีรถไฟบางกอกน้อย ซงึ่ เป็น
เป้าหมายโจมตีของฝ่ายสมั พันธมติ รในสมยั สงครามโลกครงั้ ที่ ๒ (สมุด
ภาพแหง่ กรงุ เทพมหานคร ๒๒๒ ปี : สำนักผงั เมอื ง กรุงเทพมหานคร)


ล่วงถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๕ มกี ารพฒั นาประเทศในดา้ นตา่ งๆ โดยเฉพาะด้าน
การคมนาคมขนส่ง โปรดเกลา้ ฯ ให้สรา้ งทางรถไฟสายใต้ เร่ิม
จากปากคลองบางกอกน้อยไปยังเมืองนครปฐมเป็นช่วงแรก
เม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๑ ทำให้พื้นที่ด้านหน้าวัดอมรินทราราม

ตรงปากคลองบางกอกน้อยถูกตัดเป็นทางรถไฟ เฉียดผ่าน

พระอุโบสถเก่าของวัด จึงต้องร้ือด้านหน้าของพระอุโบสถออก
ไป ๒ ห้อง เหลือเพียง ๓ ห้องแคบๆ ทำให้พระอุโบสถ

มีขนาดเล็กลง ชาวบ้านจึงเรียกว่า โบสถ์น้อย และเรียกชื่อ
พระพุทธรูปปูนปั้นศิลปะแบบสุโขทัย ซึ่งประดิษฐานภายใน
พระอุโบสถวา่ หลวงพอ่ โบสถน์ อ้ ย


มีเร่ืองเล่าว่า เม่ือครั้งที่นายช่างฝร่ังมาส่องกล้องเพ่ือ
ดำเนินการตัดทางสำหรับวางรางรถไฟน้ัน พบว่า เส้นทางนั้น
จะต้องตัดผ่านพระอุโบสถและองค์พระพุทธรูปพอดี ทำให้เกิด
อาเพศต่างๆ ขึ้น จนนายชา่ งฝรั่งไมส่ ามารถทำการตดั เสน้ ทาง
ให้เป็นแนวตรงได้ จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางเป็นแนวอ้อมโค้ง
ดงั ปรากฏในปจั จบุ นั


ภายในพระมณฑปยอดประดิษฐานพระพทุ ธบาท


117

“โบสถน์ ้อย” หรือพระอุโบสถหลังเดมิ


หลวงพอ่ โบสถ์น้อย ชาวบา้ นเลอ่ื มใสศรทั ธาวา่ มีความศักดิ์สิทธิ

และชว่ ยใหช้ าวบ้านรอดพน้ ภัยสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ มาได


ต่อมา เมอ่ื เกดิ สงครามโลกครั้งท่ี ๒ ใน พ.ศ. ๒๔๘๔- นายช่างโต ขำเดช ครูช่างป้ันพระพุทธรูปฝีมือดี รับผิดชอบ

๒๔๘๗ ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดตามจุด การป้ันพระเศียร เน่ืองจากเคยบวชเรียนท่ีวัดอมรินทราราม

ยุทธศาสตร์ต่างๆ ของพระนคร โดยเฉพาะสถานีรถไฟ มาหลายพรรษา มีความคุ้นเคยในเค้าพระพักตร์ของหลวงพ่อ
บางกอกน้อย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับวัดอมรินทราราม โบสถน์ อ้ ยมากกว่าผู้ใด

และเป็นที่ตั้งของฐานทัพญี่ปุ่น ในคราวท้ิงระเบิดท่ีสถานีรถไฟ ในเวลาต่อมา คณะกรรมการสงฆ์ได้อนุมัติให้การรถไฟ
บางกอกน้อย วัดอมรินทรารามจึงพลอยได้รับความเสียหาย
แห่งประเทศไทยยืมท่ีดินบริเวณโบสถ์น้อยใช้ในกิจการรถไฟ
ไปด้วย แรงระเบิดทำลายถาวรวัตถุตา่ งๆ ภายในวัดเหลอื เพียง กรมตำรวจ (สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ได้ขอเช่าท่ีธรณีสงฆ์
โบสถ์น้อย มณฑปพระพุทธบาทจำลอง พระพุทธฉายจำลอง ก่อสร้างสถานีตำรวจนครบาลบางกอกน้อย ส่วนกรมสามัญ
หอสวดมนตใ์ หญ่ ๗ หอ้ ง ศาลาใหญ่ ๗ หอ้ ง และตำหนกั เขยี ว ศึกษาก็ได้ก่อสร้างโรงเรียนวัดอมรินทรารามข้ึน ทำให้เนื้อที่วัด
ของสมเด็จพระเจ้าพ่ีนางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวด
ี ถูกเบียดเบียนไปมาก นอกจากน้ี พืน้ ที่บรเิ วณโดยรอบวัดยังใช้
ในรัชกาลท่ี ๑ ทโ่ี ปรดเกลา้ ฯ ใหร้ ือ้ มาพระราชทานเป็นกฏุ สิ งฆ
์ ก่อสร้างสถานท่ีราชการอีกหลายแห่ง ทำให้วัดเกือบต้องถูกยุบ
กล่าวกันว่า แรงระเบิดทำให้พระเศียรของหลวงพ่อ
แต่เนื่องจากเป็นวัดเก่าแก่และมีความสำคัญมาอย่างยาวนาน
โบสถ์น้อยถึงกับหักลงมา ทางวัดจึงนำพระเศียรไปฝากไวย้ ังวัด จึงมีการพัฒนาวัด โดยก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่เมื่อ พ.ศ.
อรุณราชวรารามช่ัวคราว เมื่อสงครามสงบลง จึงดำเนินการ ๒๕๐๔ แล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๕๑๒ ผู้ออกแบบก่อสร้าง คือ
บูรณปฏิสังขรณ์พระอารามและหลวงพ่อโบสถ์นอ้ ย
หลวงวศิ าลศลิ ปกรรม (เช้อื ปัทมจนิ ดา)

ในการซ่อมแซมพระพุทธรูปหลวงพ่อโบสถ์น้อย เม่ือทาง ปัจจุบัน วัดได้จัดให้มีประเพณีงานนมัสการหลวงพ่อ
วัดอัญเชิญพระเศียรกลับคืนมา พบว่า พระเศียรของหลวงพ่อ โบสถน์ อ้ ยทุกวนั ที่ ๒๙ พฤศจกิ ายน เพอ่ื ระลกึ ถึงวันท่หี ลวงพอ่
โบสถ์น้อยแตกร้าวเป็นส่วนใหญ่ จึงตกลงท่ีจะปั้นพระเศียร
โบสถ์น้อยรอดพ้นจากภัยทางอากาศในสมัยสงครามโลก

ขึ้นใหม่ โดยคงเค้าพระพักตร์เดิมไว้ คร้ังนั้น ทางวัดได้เชิญ ครงั้ ที่ ๒

บรรดาผู้เฒ่าในบ้านช่างหล่อมาหลายคน ในท่ีสุด จึงให้


118

พระอโุ บสถวดั บพติ รพมิ ขุ วรวหิ าร


วดั บพิตรพิมุขวรวหิ าร

วัดบพิตรพิมุขตั้งอยู่ปากคลองโอ่งอ่าง (คลองรอบกรุง) เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ทรงได้รับการสถาปนาขึ้น

ฝั่งใต้ เป็นวัดโบราณท่ีมีมาก่อนการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นกรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงรับบัญชาตามแบบ

เดิมเรียกวา่ วดั ตนี เลนหรือวดั เชิงเลน
กรมพระราชวังหลังครงั้ กรุงเก่า ไดน้ อ้ มเกล้าฯ ถวายวัดเชงิ เลน
คร้ันสมัยรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้า เป็นพระอารามหลวง จากนั้นได้รับพระราชทานนามใหม

กรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์ (สมเด็จเจ้าฟ้าทองอิน) พระโอรส
เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้บูรณะว่า วัดบพิตรพิมุข หมายถึง วัดของ
ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี กรมพระราชวงั หลัง

ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดเชิงเลนใหม่ท้ังวัด พร้อมกับการขุด พระราชวิจารณ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า

คลองโอ่งอ่างเม่ือ พ.ศ. ๒๓๒๖ โดยมงี านฉลองวดั ในคราวเดยี ว เจ้าอยู่หัว เรื่องจดหมายความทรงจำของพระเจ้าไปยิกาเธอ
กับการสมโภชพระนครเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘ ต่อมา ภายหลัง กรมหลวงนรินทรเทวีฯ (เจ้าครอกวัดโพธ์ิ) กล่าวว่า วัด
สงคราม ๙ ทพั ทเี่ กดิ ขน้ึ ในปเี ดยี วกนั น้ี สมเดจ็ พระเจา้ หลานเธอ บพิตรพิมุขเคยเป็นสถานที่พระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จ

119

และเขมร ท่ีอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ หลัง
เหตุการณ์ปราบสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ (พระเจ้าไชยเชษฐา

ธิราชท่ี ๕) แห่งเวียงจนั ทนเ์ ม่อื พ.ศ. ๒๓๖๙ โปรดเกล้าฯ ให้

ครัวชาวเวียงจันทน์เข้ามาต้ังถิ่นฐานร่วมกับชุมชนเก่าใกล้กับ
วดั บพติ รพมิ ุข คนท่วั ไปเรยี กขานชมุ ชนแห่งนวี้ ่า บ้านลาว บ้าง
เรยี กว่า บา้ นกระบะ เพราะสมัยหนงึ่ หมู่บ้านแหง่ นยี้ ดึ อาชพี ทำ
กระบะ ซึ่งเป็นภาชนะใส่อาหารขาย นอกจากนี้ บริเวณใกล้
เคียงบ้านลาวยังเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวญวนและชาวเขมรที่ตั้ง
บา้ นเรือนอยรู่ ิมคลองโอ่งอ่าง ซึง่ เป็นคลองรอบกรงุ ด้านใต้

วัดบพิตรพิมุขเป็นที่จำพรรษาของหลวงปู่ไข่ อินฺทสโร

พระวิปัสสนากรรมฐานท่มี ีเมตตาสูง ทา่ นไดช้ ่วยรกั ษาผปู้ ว่ ยไข้
พระพุทธปฏิมาศิลาแลงปางมารวชิ ยั ศิลปะอยุธยา
มากมาย ทงั้ ยงั บอกบญุ แกญ่ าตโิ ยมใหช้ ว่ ยซอ่ มแซมพระพทุ ธรปู
พระประธานในพระอโุ บสถ
ของเกา่ ท่ชี ำรดุ สรา้ งพระไตรปิฎก และปฏสิ ังขรณ์ซอ่ มแซมกุฏิ

พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงจักรเจษฎา (ต้นราชสกุล ภายในวดั ใหเ้ จริญรุ่งเรืองมาจนทุกวันน้ี

เจษฎางกูร) พระอนุชาต่างพระชนนีในรัชกาลที่ ๑ แต่เรียก สง่ิ สำคัญภายในพระอาราม ไดแ้ ก

เพยี้ นเป็นวัดมงคลพมิ ขุ
พระอุโบสถเป็นอาคารไทยประเพณีแบบทรงโรง หลังคา
คร้ันรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทำชนั้ ลด ๒ ชน้ั มงุ กระเบอื้ งเคลอื บสี มชี อ่ ฟา้ ใบระกา หางหงส์
รัชกาลที่ ๒ วัดบพิตรพิมุขใช้เป็นสถานที่ฌาปนกิจศพของ
ผนังภายในเขียนลายประแจจีนประกอบลายดอกไม้ร่วง ผนัง
ชาวพระนคร ตามบนั ทกึ ในพระราชพงศาวดารกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ด้านข้างมีภาพเขียนใส่กรอบแขวนประดับไว้เป็นระยะเป็นภาพ
รชั กาลท่ี ๒ ฉบับเจา้ พระยาทิพากรวงศฯ์ (ขำ บนุ นาค) ระบวุ า่ พระภิกษกุ ำลังพิจารณาอสภุ กรรมฐาน

ในคราวเกิดอหวิ าตกโรคระบาดไปทั่วพระนครใน พ.ศ. ๒๓๖๒ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย
มีคนล้มตายจำนวนมาก จนเผาและฝังไม่ทัน วัดบพิตรพิมุข ศิลปะสมัยอยุธยา ประดิษฐานเหนือฐานชุกชี เบ้ืองหน้ามีรูป
เป็นพระอารามแห่งหนึ่งที่ชาวบ้านหามศพมากองสุมกัน
พระอัครสาวกน่ังคุกเข่าพนมมืออยู่ทั้งเบื้องซ้ายและเบื้องขวา
ตามป่าช้าและศาลาดินเป็นจำนวนมากราวกับกองฟืนเพ่ือรอ สันนิษฐานว่า พระประธานสร้างขึ้นพร้อมพระอุโบสถ มีเร่ือง
การเผา เนอื่ งจากบรเิ วณทต่ี ง้ั ของวดั อยนู่ อกพระนครเชน่ เดยี วกบั เล่าว่า เมื่อตอนซ่อมองค์พระ พระพักตร์ร้าวทำให้ทราบว่า
วดั สระเกศ
ข้างในเปน็ ศิลาแลง ทางวัดจงึ กอ่ ปนู หุ้มไว้แลว้ ปิดทอง

ในอดีต ที่ต้ังของวัดบพิตรพิมุขเป็นย่านชุมชนและย่าน ด้านหลังพระอุโบสถเป็นพระเจดีย์ก่ออิฐถือปูน ทรงกลม
การค้าท่ีสำคัญแห่งหน่ึงของพระนคร บริเวณริมคลองโอ่งอ่าง หรือทรงลังกาสูงราว ๑๒-๑๘ เมตร ตั้งอยู่บนฐานประทักษิณ
ดา้ นหลังวดั เป็นตลาดขนถ่ายสนิ ค้าท่ีสำคญั คือ ตลาดเชิงเลน ภายในบรรจุพระบรมสารรี กิ ธาตุ

โดยพระสนุ ทรโวหาร (ภู่) หรอื สุนทรภพู่ รรณนาถึงสภาพตลาด พระวิหารต้ังขวางอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ เป็นอาคาร
เชงิ เลนท่ีมเี รอื สนิ ค้าคบั ค่ังไวใ้ นนิราศสพุ รรณเม่ือ พ.ศ. ๒๓๘๔ ทรงไทย กอ่ อิฐถอื ปูนยกพ้นื สูง ๒ ช้นั หลงั คาทำชนั้ ลด ๒ ชั้น
ความตอนหนึ่งว่า
มุงกระเบ้ืองเคลือบสี ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์

“...เชิงเลนเป็นตลาดสลา้ ง หลักเรอื
ซุ้มประตูหน้าต่างทำเป็นซุ้มเรือนแก้วประดับลายปูนป้ัน

โอง่ อา่ งบ้างอิฐเกลือ เกลื่อนกลมุ้
รูปดอกพุดตาน ฝาผนังภายในทาด้วยสีฝุ่นสีแดงประดับด้วย
หลกี ลอ่ งช่องเลก็ เหลอื ลำบาก ยากแฮ
ลายดอกไม้ร่วง ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูป
ออกแมน่ ำ้ ยำ่ ถมุ้ ถี่ฆ้องสองยามฯ...”
โบราณ ศิลปะทวารวดี เชยี งแสน อยธุ ยา และรัตนโกสินทร์

วัดบพิตรพิมุขยังเป็นศูนย์กลางแห่งความศรัทธาของ
ชุมชนหลากหลายวัฒนธรรม เชน่ ลาวพงุ ขาว (ลา้ นช้าง) ญวน


120

พระอโุ บสถวดั นวลนรดศิ วรวหิ ารสรา้ งขนึ้ เมอ่ื พ.ศ. ๒๕๐๖


วดั นวลนรดิศวรวิหาร


วัดนวลนรดิศต้ังอยู่ริมคลองบางกอกใหญ่ (คลอง
(บุนนาค) ซ่ึงเป็นพระน้องนางของสมเด็จพระอมรินทรา

บางหลวง) ตรงข้ามกบั วดั ประดฉู่ มิ พลี เป็นวดั โบราณ สร้างขนึ้ บรมราชินีในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ต้ังแตส่ มัยอยธุ ยา เดิมชื่อวดั มะกอกใน คู่กนั กับวัดมะกอกนอก รัชกาลที่ ๑ เห็นความทรุดโทรมของวัดแห่งนี้ จึงรับเป็นผู้
(วัดอรุณราชวราราม) เหตุที่ได้ชื่อว่า วัดมะกอกใน เพราะ
อปุ การะวัดและบรู ณปฏสิ งั ขรณ์ แตเ่ จา้ คณุ พระราชพนั ธ์ุ (นวล)
ตั้งอยู่ด้านในของคลองบางกอกใหญ่ ด้วยในสมัยโบราณใช้เรือ
ถึงอนิจกรรมเสียกอ่ นทีก่ ารบรู ณะจะแล้วเสรจ็

ในการสัญจรทำให้เรียกต่อท้ายช่ือวัดท่ีอยู่ริมแม่น้ำหรือ
ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ปากคลองวา่ “นอก” สว่ นวัดซ่ึงอยดู่ า้ นในคลองเรยี กวา่ “ใน”
รัชกาลที่ ๓ เจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหพระกลาโหม (ดิศ

สมัยธนบุรี วัดมะกอกในมีสภาพทรุดโทรมมาก
บุนนาค ตอ่ มาเป็นสมเดจ็ เจ้าพระยาบรมมหาประยรู วงศ์ หรอื
จนเกือบเป็นวัดร้าง เม่ือสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่) บุตรชายของเจ้าคุณพระราชพันธ์ุ
บ้านเมืองเริ่มกลับสู่ความสงบร่มเย็น ในปลายรัชสมัยพระบาท (นวล) ไดด้ ำเนนิ การซ่อมแซมวัดท่มี ารดาปฏสิ งั ขรณค์ ้างอยู่จน

สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ เจ้าคุณ
แล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๓๘๐ แล้วน้อมเกล้าฯ ถวายเป็น

พระราชพันธุ์ ช้นั ท่ี ๑ (นวล) ภริยาเจา้ พระยาอรรคมหาเสนา พระอารามหลวงในสมยั ของรชั กาลท่ี ๓


121

พระวิหารนอ้ ย
เจดียเ์ หล่ียมย่อมมุ ไม้สิบหก ประดิษฐานอยดู่ ้านหลงั พระอุโบสถ


ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล
สงิ่ สำคัญภายในพระอาราม ไดแ้ ก่

ท่ี ๔ พระราชทานนามวดั แห่งนว้ี า่ วัดนวลนรดิศ เพื่อระลึกถงึ พระอุโบสถเป็นอาคารทรงไทยสร้างด้วยคอนกรีต

เจ้าคุณพระราชพันธ์ุ (นวล) และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหา เสรมิ เหลก็ มุงกระเบอ้ื งเคลือบ ประดบั ช่อฟา้ ใบระกา ทำด้วย
ประยูรวงศ์ ผู้สถาปนาพระอาราม
ปูนป้ัน ประตูหน้าต่างพระอุโบสถประดับด้วยซุ้มปูนป้ัน บาน
วัดนวลนรดิศได้รับการดูแลและบูรณปฏิสังขรณ
์ ประตูด้านนอกเป็นลายรดน้ำ บานประตูด้านในเป็นภาพเขียน
โดยสายสกุลบุนนาคสืบมาอย่างต่อเนื่อง ดังปรากฏหลักฐาน
สีรปู โคมและเครอื่ งโตะ๊ หมบู่ ูชาแบบจนี

ว่า มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดในสมัยของพระบาทสมเด็จ
ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย
พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รัชกาลที่ ๕ โดยเจา้ พระยาสรุ วงศ์ ขนาดใหญ่ ประทบั อยบู่ นฐานชุกชี ภายในซุ้มเรอื นแก้ว

ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) หรือเจ้าคุณทหาร และเจ้าพระยา พระวิหารเป็นอาคารทรงไทย สร้างด้วยคอนกรีต

ภาสกรวงศ์ (พร บนุ นาค)
เสรมิ เหลก็ มุงกระเบือ้ งเคลอื บ ประดบั ช่อฟ้า ใบระกา ทำด้วย
จากนั้น มีการบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามอีกหลายคร้ัง ปนู ปน้ั หนา้ บันพระวิหารเป็นลายปูนป้นั แบบจีน เป็นรปู แจกนั
โดยซ่อมแซมสงิ่ ทีช่ ำรดุ และสรา้ งเสนาสนะเพิม่ เตมิ เช่น บูรณะ ดอกไม้ นก และสตั ว์ ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรปู
พระอุโบสถทั้งหลัง บูรณะพระวิหาร สร้างกุฏิ กำแพง หลายองค

คอนกรีตเสริมเหล็ก ศาลาการเปรียญ โรงปริยัติธรรม พระเจดีย์อยู่ด้านหลังพระอุโบสถ เป็นเจดีย์เหลี่ยมย่อไม้
ฌาปนสถาน ศาลาบำเพ็ญกศุ ล และชกุ ชใี หม
่ สิบหก องค์ระฆังเปน็ เหลี่ยม ถดั ไปเป็นปล้องไฉนเรยี งสูงข้นึ ไป
เป็นพระเจดียป์ นู


122

พระอโุ บสถวดั หนงั ราชวรวหิ าร


วัดหนังราชวรวิหาร

วัดหนังเป็นวัดขนาดเล็ก ต้ังอยู่ท่ามกลางสวนผลไม
้ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓ สมเด็จพระศรีสุลาลัย

ในอาณาบริเวณบางนางนองและบางขุนเทียน โดยต้ังอยู่ใกล้ สมเด็จพระราชชนนีในรัชกาลท่ี ๓ โปรดเกล้าฯ ให้บูรณ
กับวัดนางนองและวัดราชโอรสาราม ชาวบ้านจึงนิยมเรียกกัน ปฏิสังขรณ์วัดหนังข้ึนใหม่ทั้งวัดระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๗๘
ติดปากวา่ วัดสามพ่นี ้อง
โดยมีสมเด็จพระบรมราชมาตามหัยกาเธอ กรมหมื่นมาตยา
จากหนังสือประวัติศาสตร์วัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑ พทิ กั ษ์ (พระองคเ์ จา้ ศริ วิ งศ์ ตน้ ราชสกลุ ศริ วิ งศ)์ พระราชโอรส
ของกองพุทธศาสนสถาน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในรชั กาลท่ี ๓ ทรงเปน็ นายงาน เมอ่ื แล้วเสรจ็ ไดน้ อ้ มเกล้าฯ
ระบุว่า วัดหนังเป็นวัดโบราณท่ีสร้างข้ึนตั้งแต่สมัยอยุธยา
ถวายเปน็ พระอารามหลวง

ในรัชสมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ ๙ (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
สาเหตุท่ีสมเด็จพระศรีสุลาลัยทรงบูรณะวัดหนังน้ัน
ท้ายสระ) เนื่องจากมีการค้นพบระฆังโบราณที่สร้างขึ้นเม่ือ สันนิษฐานว่า เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระชนนีเพ็ง ผู้เป็น
พ.ศ. ๒๒๖๐ ทงั้ ยงั ปรากฏขอ้ ความจารึกไว้ว่า “...พระมหาพุทธ พระมารดา ซึ่งเคยมีนิวาสสถานเดิมอยู่บริเวณวัดหนัง

รักขิตกับหมื่นเพ็ชร์พิจิตรเป็นหัวหน้า พร้อมด้วยภิกษุสามเณร ดังคำบอกเล่าของหม่อมเจ้าพร้อม ลดาวัลย์ ท่ีปรากฏอยู่ใน
ทายกทายิกา ตลอดจนมีตาเถรเข้ามาเป็นสมาชิกแห่งสมาคม หนังสือประวัติวัดหนัง ความตอนหน่ึงว่า “...มูลเหตุที่ทรง
สร้างระฆังนีด้ ้วย...”
สถาปนาวัดหนังเป็นพระอารามหลวงน่าจักเนื่องด้วยราชินิกุล
พระอารามน้ีกลายเป็นวัดร้างภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยา สายท่านเพ็งพระชนนีสมเด็จพระศรีสุลาลัยเป็นชาวสวนวัดหนัง
คร้ังที่ ๒ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๑๐ จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
มีนิวาสสถานอยใู่ นถิ่นน้นั ...”


123

พระปรางค์ตงั้ อยรู่ ะหว่างพระอุโบสถและพระวหิ าร
ภาพจิตรกรรมภายในศาลาการเปรยี ญเล่าเรื่องพระมาลัย


รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านศิลาจารกึ สบื ตอ่ จาก ศ. ยอรช เซเดส ได้ถอดความหมาย

รัชกาลท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ใหด้ ำเนนิ การบูรณะใหญอ่ ีกครงั้ หนึ่ง ที่ปรากฏอยู่ในจารึกองค์พระ ความว่า “...แต่แรกตั้ง พระเจ้า
โดยพระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ กรมหมนื่ นฤบาลมขุ มาตย์ (พระองคเ์ จา้ องคน์ ้ี ศาสนาได้ ๑๙๖๖ ปี ในปีเถาะ สามเดอื น ในเดอื นเกา้
ฉายเฉิด) ทรงเป็นแม่กองบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามและ
ยีส่ บิ สวี่ นั ในวันอาทติ ย์ พ่อพระยาเจา้ ไทพอ่ ขนุ พ่อเมดทาเจ้า
โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา
และไวใ้ ห้นายลก คงบำเรอ เปน็ ข้าพระเจา้ น้ี ช่วั ลูก ช่วั หลาน
นรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ (พระองคเ์ จา้ จติ รเจรญิ ตน้ ราชสกลุ จติ รพงศ)์ แต่ส้ินศาสนาพระเป็นเจ้าแล...” จึงสันนิษฐานว่า พระพุทธรูป
ทรงเขียนซ่อมภาพจิตรกรรมฝาผนังหลวิชัยคาวีภายใน
องค์นี้สร้างขึ้นโดยเจ้านายในราชวงศ์พระร่วงแห่งสุโขทัย

พระอุโบสถทีห่ มองและชำรดุ ใหส้ วยงามดงั เดมิ
ท่ีมีพระศรัทธาและทรงนำมาประดิษฐานไว้ในวัดสำคัญ

บรเิ วณวดั หนังเปน็ ย่านชุมชนมาต้งั แตส่ มยั อยุธยา เพราะ ในแควน้ สุโขทัย

อยู่บนเส้นทางการค้าระหว่างกรุงศรีอยุธยาและหัวเมืองปักษ์ใต้ พระวิหารตั้งขนานกับพระอุโบสถ มีสถาปัตยกรรม

เป็นจุดแวะพักของบรรดาพ่อค้าท้ังจากหัวเมืองและจาก
แบบเดียวกัน ภายในประดิษฐานรูปหล่อพระพุทธเจ้า

ต่างประเทศสืบเน่ืองมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ นอกจากน้ี ๕ พระองคใ์ นภัทรกัป คือ พระกกุสนั ธพุทธเจา้ พระโกนาคม
ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่
พุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระโคตมพุทธเจ้า (สมเด็จ

ทำสวนมาแต่เดมิ ด้วย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า) และพระเมตไตรยพุทธเจ้า (พระศร

นอกจากจะเป็นที่ต้ังของชุมชนโบราณตั้งแต่สมัย
อารยิ เมตไตรย)

อยุธยาแล้ว วัดหนังยังมีปูชนียสถานและถาวรวัตถุที่น่าสนใจ พระปรางค์ประดิษฐานอยู่ระหว่างพระอุโบสถและ

ได้แก่
พระวิหาร เป็นพระปรางค์ขนาดใหญ่ ฐานประทักษิณ ๓ ชั้น
พระอุโบสถเป็นอาคารไทยประเพณีสถาปัตยกรรมสมัย เป็นรปู ๘ เหลย่ี ม

ของรัชกาลท่ี ๓ ภายในประดิษฐานพระพุทธปฏิมากร
ภายในวัดหนังยังเป็นท่ีต้ังของพิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษา
หรือหลวงพ่อสุโข พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย
วัดหนังเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน
ศ. หลวงบริบาลบรุ ภี ณั ฑ์ (ปว่ น อนิ ทุวงศ)์ คณบดคี นแรกของ โดยจัดแสดงของมีค่าของวัด เช่น ตู้พระไตรปิฎก สมุดข่อย
คณะโบราณคดี มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร และ ศ. ฉำ่ ทองคำวรรณ สมดุ ไทยโบราณ ตำรายา เปน็ ต้น ตลอดจนแสดงวถิ ชี ีวิตริมน้ำ
ผู้ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ คลองดา่ นและเอกลักษณท์ ้องถ่ิน ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบ
(พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร ต้นราชสกุล ดิศกุล) ทรงให้ทํางาน อาชพี เกษตรกรรมในยา่ นธนบุรี


124

พระอโุ บสถวดั ดสุ ิดารามวรวิหาร


วัดดสุ ิดารามวรวหิ าร

วัดดุสิดารามต้ังอยู่บริเวณเชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า มาจากคำว่า “เสาปะโคน” ซง่ึ มที ี่มาว่า เมอื่ นานมาแลว้ เสา
ฝ่ังธนบุรี จากหนังสือประวัติวัดทั่วราชอาณาจักร เล่ม ๑
ท่าน้ำของวัดผขุ าด แตย่ งั หาเสาต้นใหม่มาเปลยี่ นไม่ได้ ต้องใช้
ของกองพุทธศาสนสถาน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไม้อ่ืนมาปะดามไวค้ ราวหนง่ึ กอ่ น จงึ เรยี กเสาปะโคน ภายหลงั

ระบุว่า วัดดุสิดารามสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์
ชาวบ้านเปล่ียนช่ือวัดเสียใหม่ว่า วัดเสาวคนธ์หรือวัดเสาวโคน
ที่ ๙ (สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทา้ ยสระ) เมอ่ื พ.ศ. ๒๒๗๐ เดิม ซึ่งนิยมเรยี กกนั ถึงทุกวันน้

มีชื่อว่า วัดเสาประโคน แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันที่มาของช่ือวัด วัดแห่งนี้ได้รับการทำนุบำรุงมาอย่างยาวนานในรัชสมัย
ดังท่ีพระสุนทรโวหาร (ภู่) หรือสุนทรภู่พรรณนาไว้ในนิราศ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
ภูเขาทองดว้ ยความสงสัยเกี่ยวกบั ชอื่ ของวัดน้ีว่า
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพ

“...ถงึ อารามนามวดั ประโคนปกั ไมเ่ หน็ หลกั ลอื เลา่ วา่ เสาหนิ (สมเด็จเจ้าฟ้าแจ่ม) พระราชธิดาในรัชกาลที่ ๑ ทรงบูรณ
เป็นสำคญั ปักแดนในแผ่นดิน มริ ้สู น้ิ สดุ ชือ่ ทฦี่ าชา...”
ปฏิสังขรณ์วัดเสาประโคน แล้วน้อมเกล้าฯ ถวายเป็น

ในหนังสอื ชุดสาส์นสมเด็จกลา่ วว่า โคน น่าจะแปลว่า เสา พระอารามหลวง ในรัชกาลต่อมา สมเด็จพระบวรราชเจ้า

หรอื หลัก คำวา่ เสาประโคน ตรงกับประวัติที่เล่ากันว่า เดิมวดั มหาเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในพระบาท
นม้ี ีเสาหินใหญโ่ ตประมาณ ๔ กำ หรือ ๕ กำ สงู ๒ ศอกเศษ สมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลัย รชั กาลท่ี ๒ ทรงบรู ณะวดั เสา
ปักอยู่ที่มุมภายในระเบียงรายรอบพระอุโบสถ แต่ปัจจุบัน
ประโคนอีกครั้ง โดยทรงสร้างกุฏิด้านหน้าทางทิศตะวันออก
เสาหนิ ต้นน้ีได้สูญหายไปแล้ว
ของพระอโุ บสถ หอสวดมนต์ ศาลาการเปรยี ญ และพระเจดยี ์
จากคำบอกเล่าของชาวบ้านว่า ช่ือวัดเสาประโคนเพ้ียน
องค์ใหญ่ ซ่ึงสันนิษฐานว่า เป็นสถานที่บรรจุพระอัฐิสมเด็จ

125

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงศรีสุนทรเทพ ผู้เป็นพระเชษฐ
ภคนิ ี เมือ่ แลว้ เสร็จ พระราชทานนามใหมว่ ่า วัดดุสิดาราม

พ.ศ. ๒๔๕๖ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า

เจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๖ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา

วชิรญาณวโรรส (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ พระอนุชา

ในรัชกาลท่ี ๕ ต่อมาเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ท่ี ๑๐
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ซ่ึงขณะน้ันทรงดำรงตำแหน่งสังฆ
ปริณายก ทรงตรวจตรากจิ การสงฆต์ ามวดั วาอารามตา่ งๆ และ
ทรงพบวา่ วดั ภมุ รนิ ราชปกั ษที ตี่ งั้ อยเู่ หนอื วดั ดสุ ดิ าราม มพี ระสงฆ์
จำพรรษาอยู่เพียงรูปเดียว ท้ังท่ีเคยเป็นพระอารามหลวง

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๔
จึงโปรดเกล้าฯ ให้ยุบรวมเข้ากับวัดดุสิดาราม ปัจจุบัน

ยงั ปรากฏพระอโุ บสถเกา่ ศลิ ปะสมยั อยุธยาตอนปลาย ซ่ึงเป็น
พระอุโบสถหลังเดิมของวัดภุมรินราชปักษี หน้าบันทำเป็นรูป
พระนารายณท์ รงครฑุ และมยุรารำแพน ปดิ กระจกสสี วยงาม

พ.ศ. ๒๔๘๙ วัดน้อยทองอยู่ ซ่ึงตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัด

ดุสิดาราม ถูกระเบิดทางอากาศในช่วงสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ ประเพณงี านบญุ สารทเดือนสบิ ทีจ่ ดั ข้ึนที่วดั ดุสดิ ารามวรวิหาร

ได้รับความเสียหายมาก ทางราชการจึงประกาศให้รวมเข้ากับ เปน็ ประจำทกุ ปี


วดั ดุสดิ ารามอีกวดั หนึ่ง
ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือนสิบ (ราวเดือนกันยายน) ของทุกปี

สิ่งสำคญั ในพระอาราม ได้แก
่ โดยเป็นสถานที่จัดงานบุญสารทเดือนสิบของสหภูมิภาคทักษิณ
พระอุโบสถหลังคาทำช้ันลด ๓ ช้ัน มีช่อฟ้า ใบระกา ซ่ึงเป็นงานประเพณีของชาวใต้ที่แสดงถึงความกตัญญูกตเวที
หางหงส์ เสริมมุขท้ังด้านหน้าและด้านหลัง หน้าบันตอนล่าง โดยการอุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษและผู้มีพระคุณท่ีล่วงลับ

ก่ออิฐถือปูน ตอนบนใช้ไม้แกะสลักเป็นลวดลายก้านขด
ไปแล้ว การจัดงานประเพณีบุญสารทเดือนสิบท่ีวัดดุสิดาราม
มีเทวดาถือพระขรรค์ประทับน่ังบนแท่นลงรักปิดทองประดับ นั้น เพิ่งเริ่มมีในรัชกาลปัจจุบัน แต่เดิมจัดข้ึนที่วัดพิไชยญาติ
กระจก ภายในพระอุโบสถมภี าพเขยี นฝมี ือช่างสมัยของรชั กาล ภายหลังไดย้ า้ ยมาจัดที่วัดดสุ ิดารามเมือ่ ราว ๒๐ กวา่ ปีมานเ้ี อง
ท่ี ๑ ดังปรากฏในหนังสือชุดสาส์นสมเด็จว่า “...วัดดุสิดาราม
ประเพณีบุญสารทเดือนสิบนี้ สันนิษฐานว่า ไทยได้รับ
ก็ยังคงปรากฏฝีมือช่างรัชกาลท่ี ๑ อยู่เหมือนกัน คือ ทรง
อิทธิพลมาจากอินเดีย เป็นประเพณีการทำพิธีรับขวัญต้นข้าว

พระอุโบสถแลรูปเขียนภายใน...”
ท่ีออกรวงเป็นน้ำนมเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ข้าวในนา คำว่า
ภาพเขียนเหล่าน้ีเร่ิมจากพ้ืนพระอุโบสถถึงขอบล่างของ “สารท” เป็นคำเรียกช่ือฤดูใบไม้ร่วง อันเป็นฤดูเก็บเก่ียว
หน้าต่าง เขียนภาพต้นไม้ดอกไม้ ผนังด้านหลังพระประธาน พืชพันธ์ุธัญญาหารของอินเดีย มีพิธีศารทธะหรือศารทของ
เขียนเร่ืองไตรภูมิ ส่วนผนังด้านหน้าและด้านข้างท้ัง ๒ ด้าน พราหมณท์ ่ถี อื ปฏิบตั ิกนั มา ท่ีเรียกวา่ ปพุ พเปตพลี คอื การทำ
ในระดับขอบหน้าต่างถึงขอบบนเขียนภาพพุทธประวัติ และ
ทักษิณานุประทานแก่ญาติท่ีล่วงลับไปแล้วเพื่อแสดงความรัก

ในระดับข้ึนไปจนจดเพดานของผนังด้านหน้าเขียนภาพ ความสามคั คี และความกตญั ญูกตเวที

มารผจญ ผนังดา้ นข้างทเ่ี หลอื เขียนภาพเทพชุมนุม ๓ ชัน้

นอกจากความงดงามทางศิลปกรรมแล้ว วัดดุสิดาราม


ยังมีประเพณีท่ีน่าสนใจซ่ึงได้รับการสืบทอดมาอย่างยาวนาน

126

พระอโุ บสถวดั อินทรวหิ าร


วัดอนิ ทรวิหาร

วัดอินทรวิหารต้ังอยู่ริมถนนสามเสน เดิมเรียกวัดไร่พริก จึงทรงอาราธนาเจ้าคุณอรัญญิกเถร (ด้วง) พระผู้มีช่ือเสียง

ตามตำบลที่ตั้งวัด (ปัจจุบัน คือ แขวงบางขุนพรหม) เป็นวัด ในด้านวิปัสสนาธุระมาช่วยเป็นภาระธุระในกิจการของสงฆ์
โบราณสร้างมาต้ังแต่สมัยอยุธยาตอนปลายประมาณ พ.ศ. และถอื เปน็ เจา้ อาวาสรูปแรกตามทีม่ ีหลักฐานปรากฏ

๒๒๙๕ ไม่ปรากฏนามผูส้ ร้าง
แผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมัยธนบุรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (พระบาท รัชกาลท่ี ๓ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทวงศ

สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑) นำทัพ พระราชโอรสในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ

ไปตีนครเวียงจันทน์ ได้ตัวพระเจ้าอินทวงศ (พระเจ้าไชย กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลท่ี ๓ ทรงบูรณะ

เชษฐาธิราชที่ ๔) พระราชโอรสของพระเจ้าสิริบุญสาร อุโบสถ ซึ่งยังคงปรากฏจนทุกวันน้ี และยังมีพระดำริที่จะ
(พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ ๓) เจ้านครเวียงจันทน์ มาเป็น
น้อมเกล้าฯ ถวายวัดแห่งนี้ให้เป็นพระอารามหลวง ดังปรากฏ
องค์ประกัน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชพระราชทาน
ความในบันทึกประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี)
ทตี่ ำบลไรพ่ รกิ ให้เปน็ ที่ต้ังบ้านเรือนของครวั ชาวเวียงจันทน์
โดยมหาอำมาตย์ตรี พระยาทิพโกษา (สอน โลหนันทน์)

พระเจ้าอินทวงศทรงมีศรัทธาดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์ ความตอนหน่ึงว่า “...ถึงรัชกาลที่ ๓ กรุงเทพฯ พระองค์เจ้า
เปล่ียนแปลงรูปทรงอุโบสถ ก่ออิฐถือปูนเป็นแบบที่ปรากฏอยู่ อินทร์ในพระราชวังบวรได้ทรงพระศรัทธาปฏิสังขรณ์…ฉลอง
ทุกวันนี้ และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างศาลา พร้อมกับขุดคลอง แล้วทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงมี

เหนือ ใต้ และด้านหลังวัด เมื่ออารามมีความมั่นคงดีแล้ว
พระกระแสรับส่ังว่า ผู้ที่ถวายของตนเข้าเป็นวัดหลวงนั้น

127

ชาวบ้านนิยมเรียกวัดแห่งน้ีว่า วัดอินทาราม ตามนาม

ผบู้ รู ณะ ทงั้ ยงั มีชื่อเรยี กอีกชอ่ื หนงึ่ ว่า วดั บางขนุ พรหม ตามชอื่
หมู่บ้าน ซ่ึงได้ช่ือตาม “ขุนพรหม” เจ้าของที่ดินแปลงใหญ่

ในตำบลนี้

ต่อมา รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๔ พระเสมียนตราด้วงได้มีจิตศรัทธาอุทิศที่สวน

ด้านหน้าวัดตง้ั แต่ริมแมน่ ้ำเจา้ พระยาไปจนถึงกำแพงวดั ถวาย
เ ป็ น ส ม บั ติ ข อ ง วั ด บ า ง ขุ น พ ร ห ม แ ล ะ ไ ด้ ร่ ว ม กั บ ส ม เ ด็ จ

พระพฒุ าจารย์ (โต พรฺ หมฺ รสํ ี) ชว่ ยกนั บรู ณปฏสิ ังขรณอ์ าราม

ครั้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนผ่านกลางวัดทำให้วัดน้ี
แยกออกเปน็ ๒ วดั คอื วดั บางขนุ พรหมนอก (วดั ใหมอ่ มตรส)
และวัดบางขุนพรหมใน (วัดอินทรวิหาร)

ต่อมา รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รชั กาลที่ ๖ โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปล่ียนชอ่ื วัดใหม่ เนอ่ื งจากชอ่ื ท่ใี ช้
อยู่ไปพ้องกับวัดอินทาราม (ใต้) บางยี่เรือ ฝั่งธนบุรี สมเด็จ
พระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์ชื่น
นพวงศ)์ จงึ ไดป้ ระทานนามใหม่ว่า วดั อินทรวิหาร เม่ือ พ.ศ.
๒๔๗๐ และเรียกขานมาจนปัจจบุ นั

ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

โปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะวัดอินทรวิหารจากวัดราษฎร์ข้ึนเป็น

หลวงพ่อโตหรอื พระศรีอรยิ เมตไตรยรเิ ร่มิ สรา้ งโดย
พระอารามหลวงช้ันตรี ชนดิ สามัญ และมชี ่ืออยา่ งเป็นทางการ
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรสํ ี)
ว่า วดั อนิ ทรวิหาร

วัดอินทรวิหารเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายด้วยเป็น

จำเพาะเจ้าของเป็นพระยาพานทอง ถ้าเป็นเจ้าต้องได้รับ พระอารามทส่ี มเดจ็ พระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรสํ ี) พระเถระ
พระราชทานพานทองก่อนจึงถวายวัดเป็นวัดหลวงได
้ ซึ่งเปน็ ท่เี คารพและศรัทธาของชาวพระนคร ได้บูรณปฏิสงั ขรณ์
ซึ่งพระองค์เจ้าอินทร์ก็ยังหาได้รับพระราชทานพานทองไม
่ และจำพรรษาเม่ือยามปัจฉิมวัย ท่านได้สร้างถาวรวัตถุสำคัญ
ได้พานทองแล้วจึงควรถวายวัดของเธอเป็นวัดหลวงได้ วัดนี
้ คือ พระพุทธรูปหลวงพ่อโต (พระศรีอริยเมตไตรย) ทว่า

ก็คงเป็นวดั ราษฎร์ วัดเจ้าอนิ ทร์บางขนุ พรหม…”
การก่อสร้างก็ยังไม่ทันสำเร็จ โดยขณะน้ันก่อองค์พระได้เพียง
คร้ันปีจอ อัฐศก จลุ ศกั ราช ๑๑๘๘ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๖๙ ระดับพระนาภี (สะดือ) สมเด็จพระพุฒาจารย์ก็ได้มรณภาพ
มีราชการสงครามปราบสมเด็จพระเจ้าอนุวงศ์ (พระเจ้าไชย ณ ศาลาใหญ่ วดั อินทรวิหาร ในวนั เสาร์ แรม ๒ คำ่ เดอื น ๘
เชษฐาธิราชท่ี ๕) แห่งเวียงจันทน์ พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ ปวี อก ตรงกบั วันที่ ๒๒ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๑๕

พระองค์เจ้าอินทวงศ์โดยเสด็จพระราชบิดา ทรงมีชัยชนะกลับ หลวงพ่อโตมาสร้างแล้วเสร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
มาและทรงได้รับพระราชทานพานทองเป็นบำเหน็จความชอบ พระปกเกล้าเจ้าอย่หู ัว รชั กาลที่ ๗ เม่อื พ.ศ. ๒๔๗๐ องค์พระ
จึงน้อมเกล้าฯ ถวายวัดเป็นพระอารามหลวง ทว่า เมื่อ
มีความสูง ๑๖ วา ถือเป็นพระพุทธปฏิมายืนที่สูงที่สุด

กรมพระตำรวจและกรมนครบาลมาสำรวจท่ีตั้งของวัด พบว่า ในประเทศ ยอดเกตุมาลาประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ

เส้นทางในการเสด็จพระราชดำเนินมายังวัดมีความขัดข้อง ท่ีอัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา ชาวบ้านนิยมมากราบไหว้
เนอื่ งจากวดั ตงั้ อย่กู ลางสวน ไม่สะดวกแก่ข้าราชบรพิ ารจะตาม เพอ่ื เปน็ สริ ิมงคลกันอย่างเนอื งแนน่ ทุกวัน

เสดจ็ จึงมไิ ดร้ ับเปน็ วดั หลวง


128

พระพทุ ธรปู ปางถวายพระเพลิงพระพุทธสรรี ะหรอื พระพุทธรูปบรรทมหงาย ประดิษฐานภายในวหิ ารน้อยวดั ราชคฤห์วรวหิ าร


วัดราชคฤหว์ รวิหาร

วดั ราชคฤหต์ งั้ อยรู่ มิ คลองบางกอกใหญ่ (คลองบางหลวง) และพากนั เรยี กชอ่ื วดั ตามชอื่ ตำบลและชมุ ชนวา่ วดั บางยเี่ รอื มอญ
เป็นวัดโบราณ สร้างมาแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย เดิมวัด
ไปดว้ ย

มีหลายชื่อ เช่น วัดวังน้ำวน เรียกตามสภาพทางภูมิศาสตร์ พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)
ของตำบลทตี่ ง้ั ดว้ ยมคี ลอง ๓ สายพาดผา่ น คอื คลองบางหลวง ระบุว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทำสงคราม

คลองบางนำ้ ชน และคลองทา่ พระมาบรรจบกนั ทำใหเ้ กิดเปน็ กอบกู้เอกราช ทรงตัง้ คา่ ยรวมพลทหาร ณ ตำบลโพธสิ์ ามต้น
วังน้ำวนขึ้น ชาวบ้านท่ัวไปจึงเรียกตำบลนี้ว่า ตำบลวังน้ำวน ทัพข้าศึกได้ยกทัพเรือมาโจมตี พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้
เมือ่ มกี ารสรา้ งวดั จึงเรยี กวัดนต้ี ามช่ือตำบลว่า วดั วังนำ้ วน
ทหารไปสกัดทัพเรือของข้าศึกตามคลองสายต่างๆ ซึ่งเป็น

อกี ชอ่ื หนึง่ คือ วัดมอญ เพราะสร้างข้ึนโดยเหล่านายกอง จุดยุทธศาสตร์และให้พระยาสีหราชเดโชหรือ “พระยาพิชัย
ชาวรามัญ (มอญ) ที่อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาพึ่งพระบรม ดาบหัก” ดักซุ่มโจมตีทัพข้าศึกที่ตำบลบางยี่เรือ ใกล้วัด
โพธิสมภารในสมัยอยุธยาโดยได้ตั้งบ้านเรือนและสร้างวัดขึ้น บางย่ีเรอื มอญ จนไดร้ ับชัยชนะ

ณ ตำบลแห่งนี้
เมื่อบ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบสุข สมเด็จพระเจ้า

ในสมัยธนบุรี ทหารไทยได้ใช้พ้ืนที่ตำบลวังน้ำวนเป็น ตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพิชัยดาบหักเป็นแม่กอง
ชัยภมู ใิ นการซมุ่ ยิงเรือขา้ ศกึ ทเี่ ข้ามารุกราน จงึ เรยี กชอื่ ตำบลนี้ บูรณปฏิสังขรณ์วัดบางย่ีเรือมอญและสร้างอุโบสถข้ึนใหม่
อีกช่ือหน่ึงว่า “ตำบลบังยิงเรือ” ต่อมาเพี้ยนเป็น “บางย่ีเรือ” (ปัจจุบัน เป็นที่ตั้งของพระวิหารและพระปรางค์) เม่ือพระยา

129

อนุสาวรยี พ์ ระยาสีหราชเดโชหรือ “พระยาพชิ ัยดาบหกั ”
ในอดีต วัดราชคฤหอ์ นญุ าตให้ใชท้ า่ นำ้ วัด

ผบู้ รู ณปฏสิ ังขรณ์วดั ราชคฤห์ ตั้งอยูด่ ้านหน้าพระปรางค
์ เปน็ ท่ีตัง้ ตลาดค้าพลขู องชาวบา้ น อันแสดงถึงความผูกพัน

อยา่ งเหนียวแนน่ ระหวา่ งวัดและชมุ ชนตลาดพลู


พิชัยดาบหักต้องโทษประหารชวี ติ ในปลายสมัยธนบุรี ลูกหลาน จงึ เป็นท่ีต้ังถน่ิ ฐานบ้านเรือนของชุมชนมาแต่สมยั อยธุ ยา

ได้นำอฐั ิธาตมุ าประดิษฐานไวภ้ ายในพระปรางค์
เมื่อมีการขุดคลองภาษีเจริญข้ึนในสมัยของพระบาท
ตอ่ มา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๔ ยังผลให้ชาวจีน
รัชกาลท่ี ๑ โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดบางยี่เรือมอญข้ึนเป็น เข้ามาต้ังถิ่นฐานในบริเวณน้ีมากยิ่งขึ้น ส่วนใหญ่ประกอบ
พระอารามหลวงและพระราชทานนามวา่ วดั ราชคฤห์ ตามนาม อาชีพทำสวนหมากและสวนพลู จนพ้ืนที่แถบน้ีพัฒนามาเป็น
ของกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดีย ศูนย์กลางของ ชุมชนชาวจีนตลาดพลู และตลาดค้าส่งพลูที่สำคัญของ
พระพทุ ธศาสนาในสมยั พทุ ธกาล
พระนคร ต้ังเรียงรายรมิ คลองบางกอกใหญ่ ตง้ั แตว่ ัดราชคฤห

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาล ไปจรดวดั อินทาราม จนเปน็ ท่มี าของชือ่ บ้านนามเมอื งที่เปลีย่ น
ที่ ๒ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ไปจากย่านบางยี่เรอื มาเป็นยา่ นตลาดพลู

(พระองคเ์ จ้าม่ัง ตน้ ราชสกลุ เดชาตวิ งศ์) ทรงบรู ณปฏิสงั ขรณ์ วัดราชคฤห์มีความผูกพันกับชุมชนชาวจีนตลาดพลู

วัดเพ่ิมเติม โดยสร้างพระอุโบสถใหม่ตามแบบศิลปะจีน
เป็นอย่างมาก โดยในสมัยท่ีการค้าพลูยังรุ่งเรืองนั้น ท่าน้ำ
แทนพระอุโบสถหลังเดิมท่ีปัจจุบันใช้เป็นพระวิหาร ภายใน ของวัดเป็นหน่ึงในท่าน้ำท่ีจะมีการนำพลูและหมากมาวางกอง
ประดิษฐานพระพทุ ธเดชาดศิ ร
ขาย และมีกงสีพลูไว้เก็บพลู โดยให้ชาวสวนสามารถขนพล

ศิลปกรรมอันโดดเด่นของวัดราชคฤห์ คือ พระพุทธรูป มาเก็บไว้ต้ังแต่หัวค่ำและนำพลูออกขายได้ทันทีเม่ือถึงตอนเช้า

ปางถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระหรือพระพุทธรูปบรรทมหงาย แต่ตลาดพลูซบเซาลงระหว่าง พ.ศ. ๒๔๘๒-๒๔๘๕ จาก
และเขามอท่ีเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้สร้างไว้ เป็นสิ่ง
นโยบายของรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ท่ีห้าม
ศักด์ิสิทธิแ์ ละโบราณวัตถทุ ค่ี วรคา่ แก่การอนรุ ักษ์
ประชาชนกนิ หมากพลู

เนื่องด้วยบริเวณวัดราชคฤห์มีแม่น้ำลำคลองสายสำคัญ ปัจจุบัน ถนนเทอดไทเลียบแม่น้ำข้างวัดราชคฤห์ยังมี
ไหลผ่าน คือ คลองบางกอกใหญ่ คลองสนามชัย (มหาชัย)
บ้านเรือนแบบจีนที่มีลวดลายปูนป้ันกับลายไม้ฉลุหลงเหลือ

ซ่ึงเป็นเส้นทางสัญจรผ่านไปยังหัวเมืองตะวันตกและหัวเมือง ใหช้ มอยบู่ ้าง

ปักษ์ใต้ จึงเป็นศูนย์กลางการค้าขายสินค้าท้ังสินค้าขาเข้า

และขาออก อีกท้ังผืนดินอุดมไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร



130

พระอโุ บสถวดั อินทารามวรวหิ ารหลงั ใหมส่ ร้างโดยพระยาศรสี หเทพ (ทองเพ็ง ศรีเพญ็ ) ในรชั สมยั พระบาทสมเด็จพระนั่งเกลา้ เจ้าอยู่หวั

รชั กาลท่ี ๓ ด้านหนา้ มเี สมาขนาดใหญเ่ ปน็ ศลิ าจารกึ สมยั สุโขทยั


วดั อนิ ทารามวรวิหาร

วัดอินทารามต้ังอยู่ริมคลองบางกอกใหญ่ (คลอง
การบริหารราชการแผ่นดิน ศูนย์กลางการค้า และย่านที่พัก
บางหลวง) ย่านบางย่ีเรือ เป็นวัดในสมัยอยุธยา เดิมเรียกกัน อาศัยที่มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติพากันเข้ามาตั้งถิ่นฐานแล้ว
ว่า วัดบางย่ีเรือนอกหรือวัดสวนพลู ด้วยเป็นบริเวณที่เคยปลูก ยังทำให้วัดวาอารามที่ต้ังอยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้รับการบูรณ
พลูอย่างหนาแน่น มูลเหตุท่ีเรียกว่า วัดบางยี่เรือนอก เพราะ ปฏสิ ังขรณใ์ หส้ มบูรณข์ ึ้นดว้ ย โดยเฉพาะวัดบางย่เี รือนอก

หากล่องเรือมาจากกรุงศรีอยุธยาแล้วเข้าสู่คลองบางกอกใหญ
่ วดั นน้ี อกจากจะไดร้ บั การยกฐานะใหเ้ ปน็ พระอารามหลวง
จะถึงวัดบางยี่เรือนอกก่อนจึงจะผ่านไปยังวัดสำคัญที่ต้ังอยู่ใน แลว้ สมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราชยงั โปรดเกลา้ ฯ ให้สร้างหมู่
บริเวณนี้อีก ๒ วัด คือ วัดบางยี่เรือใน (วัดราชคฤห์) และ
กุฏิ พระราชทานเรือโขมดยา ปิดทองทึบ หลงั คาปะขาว และ
วัดบางย่ีเรือกลาง (วัดจันทาราม) ท้ังน้ี “วัดนอก” หมายถึง ท่ีธรณีสงฆ์จำนวนมาก ทรงนิมนต์พระเถระฝ่ายวิปัสสนาธุระ
วัดที่อยู่ใกล้แม่น้ำใหญ่ (แม่น้ำเจ้าพระยา) “วัดใน” หมายถึง มาจำพรรษา ด้วยมพี ระราชประสงค์ใหว้ ดั แห่งนเ้ี ป็นศนู ย์กลาง
วัดท่ีอย่ถู ัดเขา้ ไป
ในการฝึกสมาธิและวิปัสสนากรรมฐาน โปรดการเสด็จ
เม่ือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงสถาปนา พระราชดำเนินมาทรงปฏิบัติพระกรรมฐาน และโปรดเกล้าฯ
กรุงธนบุรีข้ึนเป็นราชธานี นอกจากจะยังผลให้พ้ืนที่ริมแม่น้ำ ให้ตั้งการพระราชพิธีพระราชกุศล ณ พระอารามแห่งนี้

เจ้าพระยาฝั่งตะวันตกมีความสำคัญข้ึน ด้วยเป็นศูนย์กลาง อยู่เสมอ เช่น งานถวายพระเพลิงและบำเพ็ญพระราชกุศล

131

สวนหมาก สวนพลู แหลง่ สำคญั ในการผลติ พลู สำหรับกินกับ
หมาก อันเป็นที่นิยมของบรรดาเจ้านายและขุนนางที่ตั้ง

บ้านเรือนอยู่ในบริเวณน้ี เกิดเป็นย่านตลาดพลู ศูนย์กลาง

การค้าแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์เรื่อยไป
จนถึงช่วงสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ โดยชาวจีนเป็นกลุ่มคนที่มี
บทบาทสำคญั ในยา่ นน้ี

ดังปรากฏในหนังสือแม่น้ำลำคลองสายประวัติศาสตร์
ของสุจิตต์ วงษ์เทศ กล่าวถึงบันทึกของเจ้าพระยาภาสกรวงศ์
(พร บุนนาค) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพระคลังสวน

ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล
ที่ ๕ บรรยายถึงการปลูกพลูของชาวจีนย่านบางยี่เรือไว้ว่า
“...พวกจีนชำนาญในการเพาะปลูกดีกว่าชาวเราท่ีใช้ปุ๋ยรดท่ีดิน
ให้มีรสแรงขึ้น จึงได้คิดปลูกพลูให้เลื้อยขน้ึ คา้ งตน้ โปลง หาใช่
ให้เล้ือยข้นึ บนตน้ ทองหลางไม่ ได้เพาะปลกู ในตำบลบางไส้ไก่
และบางยเี่ รอื มาก ทเ่ี หลา่ นนั้ จงึ เรยี กวา่ สวนพล.ู ..” ชาวสวนพลู
เหล่าน้ีจะพิถีพิถันในการเก็บใบพลู โดยเด็ดใบเก็บซ้อนกัน
แล้วก็มัดเป็นเรียง (๑ เรียง มีใบพลู ๘ ใบ) บรรทุกเข่งหาบ

มาบ้าง บรรจุมาด้วยเรือเล็กบ้าง มาขึ้นที่ท่าน้ำในคลอง
บางกอกใหญใ่ กลก้ ับวดั อนิ ทาราม

ย่ า น ต ล า ด พ ลู ค ง ค ว า ม ส ำ คั ญ ใ น ฐ า น ะ ศู น ย์ ก ล า ง

“พระเจดยี ์กู้ชาติ” ประดษิ ฐานพระบรมอฐั
ิ ทางเศรษฐกิจแห่งหน่ึงของกรุงเทพฯ มาอย่างต่อเน่ือง จนเมื่อ
สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช
มีการตัดถนนเทอดไทผ่านย่านตลาดพลูเม่ือ พ.ศ. ๒๔๘๐

พระบรมอัฐิกรมสมเด็จพระเทพามาตย์ พระพันปีหลวง
ทำให้การคมนาคมทางบกสะดวกขน้ึ และเกดิ การคา้ รปู แบบใหม่
พระราชชนนี งานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระมหา โดยเปน็ ที่ตั้งของร้านค้าของชำ โรงงานยาหม่องตราถ้วยทอง
อุปราช กรมขุนอินทรพิทักษ์ พระราชโอรส และงาน โรงงานผลิตยาหอมตรา ๕ เจดีย์ โรงงานทำเต้าเจ้ียว โรงน่ึง
พระราชทานเพลงิ พระศพพระเจา้ นราสรุ ยิ วงศ์ พระเจา้ หลานเธอ
ปลาทู โรงน้ำปลา เป็นต้น แทนทสี่ วนพลู โดยเฉพาะอย่างย่งิ
เม่ือเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
เม่ือรัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ประกาศห้ามเค้ียว
จุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้พระราชทาน หมากพลู กอปรกับมเี หตุนำ้ ท่วมกรงุ เทพฯ ครงั้ ใหญเ่ มอื่ พ.ศ.
เพลิงพระบรมศพและประดิษฐานพระบรมอัฐิของสมเด็จ ๒๔๘๕ ทำให้สวนพลูถูกน้ำท่วมเสียหาย อาชีพการปลูกพล

พระเจา้ ตากสนิ มหาราช ณ พระอารามแหง่ นี้
จึงค่อยๆ หมดไปในที่สุด แตถ่ ึงกระนน้ั ทุกวันนี้ ยา่ นตลาดพลู
ในสมยั ของพระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ ัว รัชกาล อนั เป็นท่ตี ง้ั ของวดั อนิ ทาราม ยังคงเปน็ ชุมชนแห่งความทรงจำ
ที่ ๓ พระยาศรีสหเทพ (ทองเพ็ง ศรีเพ็ญ) บูรณะวัดแห่งนี้ ที่มากด้วยเร่ืองราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งหนึ่ง
โดยก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่ข้ึน แล้วน้อมเกล้าฯ ถวายเป็น
ของกรงุ เทพฯ

พระอารามหลวง พระองค์จึงพระราชทานนามใหม่ให้แก่วัด ภายในวัดอินทารามวรวิหารมีพระอุโบสถรูปแบบ
แห่งน้ีวา่ วดั อนิ ทาราม
สถาปัตยกรรมไทย ซ่งึ ประดิษฐานพระพทุ ธชินวร พระพทุ ธรปู
แม้บริเวณอันเป็นที่ตั้งของวัดอินทารามเป็นแหล่งเพาะ หล่อปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย พระเจดีย์กู้ชาติ พระเจดีย

ปลูกพืชผักและสวนผลไม้ท่ีมีความอุดมสมบูรณ์มาแต่สมัย เหล่ียมย่อมุมยอดบัวกลุ่มทาสีทองท้ังองค์ ภายในบรรจุ
อยุธยา แต่เม่ือมีผู้คนพากันอพยพเข้ามาพักอาศัยในบริเวณนี้ พระบรมอัฐิของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ตั้งอยู่บริเวณ
มากข้ึนนับจากสมัยธนบุรีต่อเนื่องมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ด้านหน้าพระอุโบสถเก่า เคียงคู่พระเจดีย์ย่อมุมยอดปล้องไฉน
ทำให้การค้าขายในบริเวณน้ีคึกคักมากข้ึน และยังทำให้เกิด
ซึ่งบรรจพุ ระอฐั ิสมเด็จพระอัครมเหสี กรมหลวงบาทบริจา


132

หมูพ่ ระเจดียห์ งสาหรอื เจดียท์ รงมอญ ๙ องค์ สะทอ้ นถงึ ประวัติความเป็นมา

ของพระอารามที่มีความผกู พนั กบั ชมุ ชนชาวรามัญอย่างใกล้ชดิ


วดั บวรมงคลราชวรวิหาร

วัดบวรมงคลตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝ่ังธนบุรี
ปฏิบัติมาแต่คร้ังกรุงธนบุรี ดังปรากฏในพระบรมราชวินิจฉัย
เป็นวัดโบราณอีกแห่งหน่ึงของเมืองบางกอก เดิมชื่อวัดลุงขบ ของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว รัชกาลท่ี ๔ ความ
ตามชื่อผู้สถาปนาพระอาราม ภายหลังเพี้ยนไปเป็นวัดลิงขบ ตอนหนง่ึ ว่า “...บุตรหมรู่ ามัญ ห้ามไม่ใหเ้ ปน็ ข้าบ่าวข้าราชการ
วัดน้ีสร้างขนึ้ ปลายสมัยอยธุ ยาราว พ.ศ. ๒๓๐๐
มาแต่โบราณ ยอมให้มีแต่พระราชวังบวรแห่งเดียว เพราะ
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาล ฉะนั้นต้งั แต่เคยเห็นมาใครทูลขอ ไมเ่ คยไดส้ กั ครัง้ หนงึ่ ว่าเป็น
ท่ี ๒ เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนเสนานุรักษ์ ธรรมเนียมมาแตแ่ ผน่ ดนิ ตาก...”

ทรงได้รับอุปราชาภเิ ษกข้ึนเปน็ พระมหาอุปราช กรมพระราชวัง สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ทรงพิจารณาว่า
บวรสถานมงคล (สมเด็จพระบวรราชเจา้ มหาเสนานรุ กั ษ์) เม่ือ ในขณะน้ันชาวมอญได้อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
พ.ศ. ๒๓๕๒ ทำใหม้ พี ระราชภาระดแู ลชมุ ชนชาวรามญั (มอญ) มากขึ้นทุกปี ขณะท่ีพ้ืนท่ีบริเวณพระราชวังบวรสถานมงคล
ในสังกัด ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากตามประเพณีบ้านเมืองท่ีถือ และวัดตองปุ (วัดชนะสงคราม) ซ่ึงเป็นท่ีต้ังของชุมชนชาว

133

(ขำ บุนนาค) ระบุว่า “...ปกี นุ สัปตศก จลุ ศักราช ๑๑๗๗ พ.ศ.
๒๓๕๘ พวกมอญที่เมืองเมาะตะมะถูกพม่ากดขี่หนักเข้า

จึงพร้อมใจกัน จับเจ้าเมืองกรมการพม่าฆ่าเสีย แล้วพากัน
อพยพครอบครัวเข้ามาในพระราชอาณาจักร...เมื่อได้ทรงทราบ
ข่าวว่าครัวมอญอพยพเข้ามา จึงโปรดให้กรมพระราชวัง

บวรสถานมงคล เสด็จข้ึนไปรับครัวมอญอยู่ที่เมืองนนทบุร

จัดจากแลไม้สำหรับปลูกสร้างบ้านเรือน แลเสบียงอาหารของ
พระราชทานข้ึนไปพร้อมเสร็จ ทางเมืองกาญจนบุรีโปรดให้
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ คุมไพร่พลสำหรับ
ป้องกันครัวมอญ แลเสบียงอาหารของพระราชทานออกไปรับ
ครัวมอญทางหนึ่ง โปรดให้เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี

เป็นผูใ้ หญเ่ สด็จกำกบั ไปดว้ ย...”

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓

โปรดเกล้าฯ ให้ชุมชนมอญใหม่ต้ังบ้านเรือนอยู่ที่แขวงเมือง
ปทุม (ได้มีการตั้งเมืองปทุมธานีขึ้นในคราวน้ี) เมืองนนทบุรี
เมืองนครเข่ือนขันธ์ (สมุทรปราการ) และพระราชทาน

ครัวมอญจำนวนหนึ่งแก่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์
ซึ่งพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ชุมชนมอญกลุ่มนี้ต้ังบ้านเรือน

อาคารอนสุ รณ์สถานพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอย่หู วั
อยู่ ณ บริเวณวัดบวรมงคล ส่งผลให้พระอารามแห่งน้ีพัฒนา
รชั กาลที่ ๔
มาเป็นศูนย์กลางของชุมชนมอญท่ีเข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิ

มอญเกา่ (มอญกล่มุ พระยาเจ่ง (เจ้าพระยามหาโยธา ต้นสกุล สมภารและต้ังถ่ินฐานบ้านเรือน สืบเช้ือสายจนกลายมาเป็น
คชเสน)ี ที่เข้ามาพ่ึงพระบรมโพธสิ มภารในสมัยธนบุรี เรยี กกัน บรรพบุรุษกลุ่มหน่งึ ของชาวกรุงเทพฯ ทุกวนั นี

ว่า “มอญเก่า”) มีการตั้งถ่ินฐานอย่างหนาแน่น สมควรมีวัด วัดบวรมงคลยังมีความสำคัญในฐานะเป็นวัดต้นกำเนิด

เป็นศูนย์กลางในการตั้งถิ่นฐานของชุมชนมอญแห่งใหม่ใน ธรรมยุติกนิกาย บริเวณวัดมีอาคารอนุสรณ์สถานรัชกาลท่ี ๔

พระนคร
ซ่งึ สรา้ งข้ึนเพอื่ เปน็ อนสุ รณ์วา่ คร้งั หนึง่ พระวชริ ญาณมหาเถร
พระองค์มีพระบวรราชวินิจฉัยว่า พื้นท่ีบริเวณวัดลิงขบ (รัชกาลที่ ๔) เสด็จมาประทับท่ีวัดบวรมงคล เพื่อทรงศึกษา
ฝั่งธนบุรีนั้นเป็นวัดเก่าแก่ มีบริเวณกว้างขวางพอจะขยับขยาย พระธรรมวินัยกับพระสุเมธมุนีหรือพระอาจารย์ซาย พระภิกษุ
ออกไปได้สะดวก อีกทั้งมีพระสงฆ์รามัญจำพรรษาอยู่และ
ชาวมอญ (ภาษามอญ ซาย หมายถึง น้ำผึ้ง) เจ้าอาวาส

มีพระผู้ใหญ่เป็นประธานสงฆ์ สมควรที่จะบูรณปฏิสังขรณ์
วัดบวรมงคล และในอดีต วัดแห่งน้ียังเป็นคณะสงฆ์รามัญ
วัดแห่งนี้และสถาปนาให้เป็นวัดรามัญนิกาย เพ่ือให้ชาวรามัญ นิกายที่มีชื่อเสียงด้านการศึกษาพระปริยัติธรรมและรักษา
ในสังกัดวังหน้าตั้งถ่ินฐานรายรอบวัด มีสถานท่ีบำเพ็ญกิจ
ขนบประเพณีดั้งเดิมของชาวมอญมาจนกระท่ัง พ.ศ. ๒๔๖๒
ทางศาสนาตามประเพณีนิยมของตน จึงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณ จึงได้เปล่ียนเป็นวัดธรรมยุติกนิกายและมีพระสงฆ์ไทย

ปฏิสังขรณ์และสถาปนาวัดลิงขบข้ึนใหม่ แล้วน้อมเกล้าฯ จำพรรษา

ถวายเป็นพระอารามหลวง โดยได้รับพระราชทานนามจาก วัดบวรมงคลมีสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอันงดงาม
รัชกาลท่ี ๒ ว่า วัดบวรมงคล หมายถึง พระอารามของกรม โดยเฉพาะหมู่พระเจดีย์หงสาหรือเจดีย์ทรงมอญ ๙ องค์
พระราชวังบวรสถานมงคล พระมหาอปุ ราช (วงั หนา้ )
ประดิษฐานอยู่บริเวณลานวัดติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา สะท้อน
ในช่วงเวลาน้ันเองได้เกิดความขัดแย้งระหว่างอังวะ
ถึงประวัติความเป็นมาของพระอารามที่มีความผูกพันกับชุมชน
และมอญข้ึนที่เมืองเมาะตะมะ พระราชพงศาวดารกรุง ชาวรามญั อย่างใกล้ชิด

รัตนโกสินทร์ รัชกาลท่ี ๒ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ


134

พระอุโบสถวดั กาญจนสิงหาสนว์ รวหิ าร


วัดกาญจนสิงหาสน์วรวหิ าร

วัดกาญจนสิงหาสน์ตั้งอยู่ริมคลองบางพรม ตรงข้ามกับ ภายหลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระรูป

วัดรัชฎาธิษฐาน (วัดเงิน) เดิมชื่อวัดทองหรือวัดทองบางพรม ศิริโสภาคย์ มหานาคนารี พระชนนีในสมเด็จพระอมรินทรา

เป็นวัดโบราณสร้างมาต้ังแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย
บรมราชินใี นรัชกาลที่ ๑ ทรงสถาปนาวัดข้ึนใหมแ่ ล้วถวายเปน็
ต่อมา ในสมัยธนบุรี เศรษฐีชาวจีนแซ่ตัน ๒ พ่นี ้อง คือ พระอารามหลวง จากนนั้ พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั
เจ้าขรัวเงิน พระภัสดาของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า รชั กาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสงั ขรณอ์ กี ครงั้ หนึง่

กรมพระศรีสุดารักษ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอในพระบาท ล่วงถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลท่ี ๑ และ
รัชกาลที่ ๔ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดกาญจนสิงหาสน์
เจ้าขรัวทองต่างบูรณะวัดโบราณริมคลองบางพรม เจ้าขรัวเงิน เม่ือ พ.ศ. ๒๓๙๗ (ดูวัดรัชฎาธิษฐาน) และโปรดเกล้าฯ ให้
บูรณะวัดเงิน (วัดรัชฎาธิษฐาน) และเจ้าขรัวทอง พี่ชายของ
บูรณะพระประธานและฐานชุกชีเม่ือ พ.ศ. ๒๔๐๖ ดังปรากฏ
เจา้ ขรัวเงิน บูรณะวัดทอง (วดั กาญจนสงิ หาสน์)
ตามหมายรับส่ัง ความตอนหน่ึงว่า “...ด้วยพระยาศรีพิพัฒน์

135

พระอุโบสถหลงั เดิมเป็นอาคารไทยประเพณแี บบทรงโรงมี “จั่นหับ” หลวงพ่อทอง พระประธานภายในพระอโุ บสถวดั กาญจนสิงหาสน

ศลิ ปะสมยั อยุธยาตอนปลาย

ดา้ นโบราณคดี สนั นษิ ฐานวา่ ชาวสวนบรเิ วณนน้ี า่ จะเปน็ ชาวจนี
ท่ีอพยพเข้ามาตั้งถ่ินฐานต้ังแต่ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐

ดังเห็นได้จากมีวิธีการจัดการดินและน้ำท่ีแตกต่างจากพ้ืนที่
อ่ืนๆ เช่น การทำสวนแบบยกร่องเป็นขนัด มีร่องน้ำและ

ลำประโดง ซึ่งเป็นรูปแบบและลักษณะการทำสวนในมณฑล
กวางตงุ้ กวางสี ทางตอนใตข้ องจนี

สิ่งสำคัญภายในพระอาราม ได้แก

พระอุโบสถเป็นรูปทรงแบบมอญ มีกำแพงแก้วล้อมรอบ
หน้าบันประดับปูนป้ันลายเครือเถา ใบไม้ ดอกไม้ต่างๆ
ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ท่ีชาวบ้านเรียกว่า
หลวงพ่อทอง เป็นท่ีศรัทธาของชาวบ้านมาต้ังแต่สมัยธนบุรี
หนา้ บันพระอโุ บสถเป็นลายปนู ป้ันรูปเครือเถา ใบไม้ ดอกไม้ นก โดยเชื่อกันว่า หากขอพรด้านการค้าขายและโชคลาภจะได้
กระรอก และดอกบวั
สมปรารถนา เนื่องจากผู้สร้างวัด คือ เจ้าขรัวทองหรือเจ้าสัว
ทอง เป็นพอ่ ค้าท่ีม่ังค่งั

รัตนราชโกษาธิบดี รับพระบรมราชโองการใส่เกล้าฯ
ที่ลานพระอุโบสถมีปรางค์ขนาดยอ่ มตั้งอยมู่ ุมกำแพงแก้ว

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งว่า ให้หลวงวิจารณ์โกษาทำ
ทัง้ ๔ มุม และมเี จดยี ์รายเปน็ เจดียย์ ่อมมุ ไม้สบิ สองขนาดใหญ่
พระประธานใหญ่ วัดรัชฎาธิฐาน กาญจนสิงหาศน์ เสร็จแล้ว ด้านละ ๒ องค์ รวม ๘ องค์ รปู แบบของพระอุโบสถ กำแพง
หามใี บล้ินเสือจะขดั น้นั ใหพ้ ระแก้ว พระคลงั สวน นายระวาง แก้วและเจดีย์ปรางค์ล้วนสะท้อนถึงแบบแผนของวัดในสมัย
ซ้ายขวา จัดหาใบล้ินเสือร้อยพวงมาส่งกับหลวงวิจารณ์โกษา อยุธยาตอนปลาย

นายควรให้เร่งมาส่ง ณ วัน ๓ ฯ ๑๐ ค่ำ อย่าให้ขาด
ด้านข้างของพระอุโบสถเป็นท่ีตั้งของพระอุโบสถหลังเดิม
ตามรับสั่ง...”
เป็นอาคารไทยประเพณีแบบทรงโรงมี “จ่ันหับ” ซึ่งเป็น
ที่ต้ังของวัดกาญจนสิงหาสน์เป็นย่านที่อยู่อาศัยของ
สถาปตั ยกรรมแบบวัดราษฎรส์ มยั อยธุ ยาตอนปลายเช่นกัน

ชาวจีนมาแตส่ มัยอยุธยา รศ. ศรศี กั ร วลั ลิโภดม ผู้เชยี่ วชาญ

136

พระอโุ บสถวดั ศรีสดุ ารามวรวิหาร


วัดศรสี ดุ ารามวรวิหาร

วัดศรีสุดารามต้ังอยู่ริมคลองบางกอกน้อย แขวง เดินรวางรวงั เวยี น หว่างวดั ปขาวเอย

บางขนุ นนท์ เปน็ วดั โบราณ เดิมชือ่ วดั ชีผ้าขาวหรอื วดั ชีปะขาว เคยชื่นกลนื กลิ่นสรอ้ ย สวาดิห้างกลางสวนฯ”

จากหนังสือประวัติวัดท่ัวราชอาณาจักร เล่ม ๑ ของกอง
เมอ่ื สนุ ทรภ่เู จรญิ วัย ไดร้ ับการศกึ ษาตามสมควรแกฐ่ านะ
พุทธศาสนสถาน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุว่า แล้วยังเป็นครูสอนหนังสือที่สำนักเรียนวัดชีปะขาว ด้วยเหตุนี้
สร้างขน้ึ ในสมัยอยธุ ยาราว พ.ศ. ๒๓๐๐
สุนทรภูจ่ ึงผกู พันกับวัดชีปะขาวเปน็ อยา่ งมาก

วัดชีผ้าขาวได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในรัชสมัย รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลท่ี ๑ ที่ ๔ วัดเริ่มทรุดโทรม เนื่องจากน้ำเซาะตลิ่งพังเข้ามาจนถึง
โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ
์ หน้าอุโบสถ รัชกาลที่ ๔ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยา

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอในรัชกาลที่ ๑ ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ มุขมนตรี (เกษ สิงหเสนี) บุตรของเจ้าพระยาบดินทรเดชา
ใหม่ทง้ั วดั
(สงิ ห์ สิงหเสนี) เปน็ แม่กองสร้างอโุ บสถขึน้ ใหม่ โดยเลอ่ื นเขา้
วัดแห่งนี้เช่ือกันว่า เป็นแหล่งศึกษาในวัยเยาว์ของ
มาจากที่เดิม และโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานปักกำหนดเขต
พระสุนทรโวหาร (ภ)ู่ หรอื สุนทรภู่ กวเี อกของกรุงรัตนโกสนิ ทร์ รอบอุโบสถใหม่แทนวิสุงคามสีมาเดิม จากนั้น ทรงอุทิศถวาย
ดังปรากฏหลักฐานในนิราศสุพรรณ ความตอนหน่ึงว่า
ให้เป็นท่ีวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๐ ท้ังยังโปรดเกล้าฯ ให้
“วดั ปขาวคราวรนุ่ ร ู้ เรยี นเขยี น
ถมศิลาริมตลิ่งกันน้ำกัดเซาะ รวมทั้งซ่อมแซมถาวรวัตถุ

ทำสรทุ สอนเสมยี น สมุทนอ้ ย
อีกหลายรายการ เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ พระราชทานนาม

137

พระศรอี ารยิ เมตไตรยหล่อด้วยสมั ฤทธิป์ ระดษิ ฐานภายในหอไตรหลังเดิม


แผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลท่ี ๕ วัดศรีสุดารามได้รับการทำนุบำรุงอีกครั้ง

ดังปรากฏหลักฐานว่า มีการสร้างสะพานข้ามคลองแบบเก่า
ซึ่งมีศาลาไม้หลังเล็กๆ คร่อมอยู่ก่ึงกลางสะพาน หน้าจั่วของ
ศาลาน้นั จารึกว่า สร้างเม่ือ ร.ศ. ๑๒๘ (พ.ศ. ๒๔๕๒)

สิ่งสำคญั ภายในพระอาราม ได้แก่

พระอุโบสถเป็นอาคารไทยประเพณี หน้าบันเป็นรูป
เทพนม ล้อมรอบด้วยลายก้านขดปิดทองประดับกระจก
ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางพิจารณาธรรม ประทับนั่ง
ขัดสมาธิวางพระหัตถ์ซ้ายขวาลงบนพระชานุมณฑลแต่ละข้าง
อนุสาวรยี พ์ ระสุนทรโวหาร (ภ)ู่ หรอื สนุ ทรภู่
เบื้องหน้ามพี ระสาวกน่งั ประนมมอื รวม ๘ องค์

พระวิหาร คือ พระอุโบสถเก่า มีขนาดเล็ก ตั้งอย
ู่
วัดว่า วัดศรีสุดาราม เพ่ือเป็นพระอนุสรณ์ถึงสมเด็จพระเจ้า ด้านหนา้ พระอุโบสถหลงั ใหม

บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ พระอัยยิกาของ หอไตรอยู่นอกกำแพงแก้ว ริมคลองเล็ก ซ่ึงคั่นระหว่าง
พระองค์ ซึ่งเป็นผู้ทรงสถาปนาและทรงอุปถัมภ์วัดชีปะขาว
เขตพุทธาวาสและสังฆาวาส ลักษณะแปลกกว่าหอไตรที่อื่นๆ

มาแต่ครัง้ รชั กาลท่ี ๑ และให้พอ้ งกบั ชื่อวดั หริ ัญรจู ี ชื่อใหม่ของ
ก่ออิฐถือปูนอยู่บนฐานยกพ้ืน ๒ ช้ัน หลังคามุงกระเบ้ือง

วัดน้อยในคลองบางไส้ไก่ ซึ่งเจ้าขรัวเงิน พระภัสดาของสมเด็จ มีเฉลียงโดยรอบ หน้าบันเป็นรูปดอกไม้ปูนปั้น ประดิษฐาน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟา้ กรมพระศรสี ดุ ารกั ษ์ เปน็ ผูบ้ ูรณะ
พระศรอี ารยิ เมตไตรย


138

พระอโุ บสถวัดมหรรณพารามวรวิหารสร้างขน้ึ ดว้ ยศลิ ปะ “นอกอยา่ ง”

พระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระนง่ั เกล้าเจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ ๓


วัดมหรรณพารามวรวหิ าร

วัดมหรรณพารามตั้งอยู่ริมถนนตะนาว ใกล้กับศาล
หน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์จากประเทศศรีลังกามาทรงปลูกในวัด
เจ้าพ่อเสือ สร้างข้ึนโดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอุดม มหรรณพาราม

รัตนราษี (พระองค์เจ้าอรรณพ ต้นราชสกุล อรณพ)
ต่อมา เมื่อมีพระราชดำริเลิกทาสและพัฒนาการศึกษา
พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ให้แพร่หลายสู่พสกนิกร โปรดเกล้าฯ ให้วัดแห่งนี้เป็นสถานท่ี
ที่ ๓ เม่อื พ.ศ. ๒๓๙๓ แตก่ ารก่อสรา้ งมาแล้วเสร็จในรชั กาล ทดลองจัดต้ังโรงเรียนหลวงสำหรับสามัญชนข้ึนเป็นแห่งแรก

ต่อมา
ในสยามเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๒๗ ชือ่ ว่า โรงเรยี นวัดมหรรณพ์ เพอ่ื ให้
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอุดมรัตนราษีน้อมเกล้าฯ ราษฎรศกึ ษาเล่าเรียนและไม่ตอ้ งไปเป็นทาสอีก หากการศึกษา
ถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เกิดผลดีจะไดข้ ยายไปทั่วราชอาณาจกั ร

เจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๔ พระราชทานเงิน ๑,๐๐๐ ช่ัง สร้าง
เมื่อครบ ๑๐๐ ปี แห่งการจัดตั้งโรงเรียนวัดมหรรณพ์

พระเจดีย์องค์ใหญ่ทางด้านหลังพระอุโบสถเพ่ือประดิษฐาน มีการหล่อพระบรมรูปรัชกาลท่ี ๕ เพ่ือเทิดพระเกียรติ

พระบรมธาตุ และพระราชทานนามวา่ วดั มหรรณพาราม เปน็ โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณฯ
เกียรตแิ ดผ่ สู้ ถาปนาพระอาราม
สยามมกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเททองหล่อ
คร้ันถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมรปู เม่ือวนั ท่ี ๑๕ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๒๘

รัชกาลที่ ๕ วัดมหรรณพารามได้รับการบูรณปฏิสังขรณ
์ วัดมหรรณพารามมีศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม

เป็นคร้ังแรก โดยโปรดเกล้าฯ ให้ต่อยอดพระเจดีย์องค์ใหญ
่ ที่น่าสนใจ ส่วนใหญ่เป็นศิลปะนอกอย่างตามพระราชนิยม

ยอดท่ีต่อเป็นลูกแก้วและทองแดงกะไหล่ทองคำ ท้ังยังทรงนำ ในรชั กาลท่ี ๓


139

การศกึ ษาไทยในสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั
รัชกาลท่ี ๕ (หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)


พระอุโบสถเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หน้าบันป้ันปูนเป็น

รูปหงส์ ประดับกระเบ้ืองเคลือบสี เพดานระเบียงเขียนส

เป็นลายดอกไม้ตาข่าย ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นปูนป้ันเครือเถา หลวงพ่อพระร่วง พระประธานภายในพระวิหาร

ดอกพุดตานลงรักปิดทอง ภายในพระอุโบสถประดิษฐาน
พระพุทธรปู ปนู ปั้นปดิ ทอง
ศาลเจ้าพ่อเสือ ซ่ึงมีเรื่องราวเก่ียวข้องกับวัดแห่งนี้ เดิม
พระวิหารเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หน้าบันเป็นปูนป้ัน ตั้งอยู่ริมถนนบำรุงเมือง แต่ต่อมาเม่ือรัชกาลท่ี ๕ มีพระบรม
ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบตรงกลางทำเป็นรูปมังกร เพดาน ราชโองการให้ขยายถนนบำรุงเมือง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้าย
และซุ้มประตูหน้าต่างเป็นศิลปะอย่างเดียวกับพระอุโบสถ
ศาลมาไวท้ ี่ทางสามแพร่งถนนตะนาวจนถึงปจั จบุ นั

บานประตูหน้าต่างด้านนอกลงรักปิดทองประดับกระจกเป็น มีเร่ืองเล่าว่า ในสมัยของรัชกาลท่ี ๓ มีเสือใหญ่ตัวหนึ่ง
ลายฟองคล่ืน มภี าพสตั ว์แบบจีน เช่น มงั กรและปลา
ออกอาละวาด ทำร้ายลูกชายของหญิงชราคนหน่ึงจนตาย

ภายในพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปที่มีช่ือเสียงคือ เจา้ หนา้ ท่บี า้ นเมืองต้องหาทางปราบปราม แตจ่ ะหาตัวอยา่ งไร
หลวงพ่อพระร่วง พระพุทธรูปสัมฤทธ์ิปางมารวิชัยสมัยสุโขทัย
ก็ไม่พบ จึงไปกราบขอพรหลวงพ่อพระร่วง วัดมหรรณพาราม
ท่ีอัญเชิญมาจากวัดโคกสิงคาราม อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัด ขอให้แสดงปาฏิหาริย์สอนส่ังเสือร้ายให้คลายความดุร้ายลง
สุโขทยั
พรอ้ มกบั สัญญาว่า จะไม่ทำอนั ตรายเสือ จงึ สามารถไดต้ ัวเสอื
บริเวณโดยรอบวัดมหรรณพารามยังมีสถานที่ท่ีน่าสนใจ มาตัดสินความ โดยให้เสือยู่ดูแลหญิงชราผู้สูญเสียลูกชายแทน
ไดแ้ ก
่ เสือตัวน้ีก็ได้ปฏิบัติและเล้ียงดูหญิงชราเป็นอย่างดีเรื่อยมา
ตรอกศิลป์ตั้งอยู่ติดกับวัดมหรรณพาราม เป็นท่ีดิน
กระทั่งหญิงชราถึงแก่กรรม และในระหว่างการเผาศพเสือได้
ท่ีรัชกาลท่ี ๕ พระราชทานเป็นท่ีพักอาศัยของข้าราชการและ กระโดดเข้ากองไฟตายตามไป ชาวบ้านเห็นถึงความกตัญญู
ช่างตที อง เช่น บ้านของพระพรหมพจิ ิตร (อู๋ ลาภานนท์ หรือ จึงช่วยกันสร้างศาลเจ้าไว้เป็นอนุสรณ์ ตำนานดังกล่าวมิได้
พรหม พรหมพิจติ ร) สถาปนกิ คนสำคัญ ผู้กำกบั การออกแบบ ปรากฏแต่ในประเทศไทย หากแพร่หลายทั้งในประเทศจีน
และสร้างพระเมรุมาศของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหา ญ่ปี นุ่ และเกาหลี ทีล่ ัทธเิ ตา๋ เผยแผไ่ ปถงึ ด้วย

อานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ ๘ ผู้ก่อตั้ง หลวงพ่อพระร่วง พระประธานในพระวิหาร เป็นที่ร่ำลือ
และคณบดีคนแรกของคณะสถาปัตยกรรมไทย มหาวิทยาลัย ถึงความศักดิ์สิทธิ์ ของเซ่นท่ีท่านชอบก็ไม่เหมือนที่อ่ืนๆ

ศิลปากร บ้านของพระเทวาภินิมมิต (ฉาย เทียมศิลปไชย) เป็นเพียงตะกร้อ ว่าวจุฬา ว่าวปักเป้า หรือพวงมาลัยเท่าน้ัน
จิตรกรผู้มีชื่อเสียง รวมถึงร้านค้าชื่อดังในการทำเคร่ืองเงิน เม่ือก่อนน้ีทางวัดไม่ได้เปิดให้เข้านมัสการภายในวิหาร ให้ไหว้
เครื่องทองของหลวง ชาวบ้านจึงเรียกบริเวณนี้ว่า ตรอกศิลป์ อยู่แตภ่ ายนอกวหิ ารเท่านั้น แต่นบั แต่ พ.ศ. ๒๔๙๗ เปน็ ตน้ มา
และบา้ งกเ็ รยี กว่า ตรอกกรมศิลปากร
ทางวัดเปดิ ใหค้ นเข้าสกั การบูชาได้ทุกวนั


140

พระบรมราชานสุ าวรยี ์สมเด็จพระบวรราชเจา้ มหาสุรสงิ หนาท
พระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ริ าชวรมหาวหิ าร

กรมพระราชวังบวรสถานมงคลพระองค์แรกของกรุงรตั นโกสนิ ทร์


วัดมหาธาตยุ วุ ราชรงั สฤษฎริ์ าชวรมหาวหิ าร


วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ิตั้งอยู่ริมถนนหน้าพระธาตุ มีเร่ืองเล่าว่า เหตุท่ีทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามแห่งน้ี
ตรงข้ามกับท้องสนามหลวง เดิมชื่อวัดสลัก เป็นวัดเก่าแก่
นอกจากพระราชศรัทธาในบวรพระพุทธศาสนาแล้ว ยังมีเหตุ
สร้างในสมัยอยุธยา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา
มาจากขณะเม่ือใกล้จะเสียกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระบวร

ดำรงราชานภุ าพ (พระองคเ์ จ้าดิศวรกุมาร ตน้ ราชสกุล ดศิ กุล) ราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายสุดจินดา
ทรงอรรถาธิบายถึงท่ีมาของช่ือวัดสลักว่า “…จะเป็นเพราะเม่ือ มหาดเล็กหุ้มแพร ได้ล่องเรือโกลนจากกรุงศรีอยุธยามาตาม
แรกสร้างมีของส่ิงใดที่ทำด้วยฝีมือสลัก ผิดกับท่ีทำเกลี้ยงๆ ลำน้ำเจ้าพระยา เพื่อไปหาหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี
เปน็ สามญั ในวัดอื่น คนท้งั หลายจึงเรียกว่า วัดสลกั ...”
(รัชกาลท่ี ๑ ซ่ึงเป็นสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช) เม่ือมาถึง


เมื่อสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระบวรราชเจ้า วัดสลัก ก่อนจะเลี้ยวเข้าคลองบางกอกใหญ่ (คลองบางหลวง)
มหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในพระบาท ทรงพบเรือลาดตระเวนของพม่า จึงทรงคว่ำเรือลงซ่อนตัว

สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลท่ี ๑
แล้วทรงอธิษฐานขออำนาจพระพุทธรูปในอุโบสถวัดสลัก

โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดสลักพร้อมกับการสร้างพระราชวัง
เป็นท่ีพ่ึงว่า ถ้าทรงรอดพ้นจากข้าศึกไปได้ ภายหน้าเม่ือ

บวรสถานมงคล แล้วทรงเปลีย่ นชื่อเป็นวดั นิพพานาราม
ทรงเปน็ ใหญจ่ ะทรงบรู ณปฏสิ ังขรณว์ ัดสลกั ใหเ้ จริญรุง่ เรอื ง


141

ธิราช เจา้ ฟา้ มหาวชิรณุ หิศ สยามมกฎุ ราชกมุ าร หลงั จากนนั้
ทรงอุทิศถวายแก่มหาธาตุวิทยาลัย เพื่อใช้เป็นท่ีเรียน

พระปริยัติธรรมชั้นสูง พร้อมกับพระราชทานนามใหม่ว่า

มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย แต่อาคารหลังนี้สร้างเสร็จ

ในรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยู่หวั รชั กาลที่ ๖
ส่วนงานพระศพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎ

ราชกุมารนั้น โปรดเกล้าฯ ให้จัดที่วัดบวรสถานสุทธาวาส

(วดั พระแกว้ วงั หนา้ )

พ.ศ. ๒๔๓๙ รัชกาลท่ี ๕ พระราชทานพระราชทรัพย์
ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้า

มหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เพื่อบูรณปฏิสังขรณ์

วัดมหาธาตุจนแล้วเสร็จ พร้อมกับพระราชทานนามใหม่ว่า

วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ิ เพ่ือเฉลิมพระเกียรติสมเด็จ

พระศรีสรรเพชญ พระพุทธปฏมิ าประธานภายในพระอุโบสถ
พระบรมโอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชริ ณุ หศิ สยามมกฎุ ราชกมุ าร

เม่อื พ.ศ. ๒๔๔๓

วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ิเป็นพระอารามหลวง

ใน พ.ศ. ๒๓๓๑ รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้ใช
้ ท่ีมีความสำคัญอย่างยิ่งมาต้ังแต่ต้นรัตนโกสินทร์ พระมหา
วัดนิพพานารามเป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎก นับเป็น
กษัตรยิ ใ์ นพระบรมราชจกั รีวงศ์ทุกรัชกาลพระราชทานพระบรม
การสังคายนาพระไตรปฎิ กคร้งั ท่ี ๙ ของโลก และพระราชทาน ราชูปถัมป์ตลอดมาจนปัจจุบัน กอปรกับการเป็นพระอาราม
นามวัดใหม่ว่า วัดพระศรีสรรเพชญ ต่อมา พ.ศ. ๒๓๔๖ หลวงที่อยูร่ ะหว่างพระบรมมหาราชวงั และพระราชวงั บวรสถาน
พระราชทานชอื่ ใหมว่ า่ วัดพระศรรี ตั นมหาธาตุหรือวดั มหาธาตุ มงคล จึงมีความสำคัญท้ังทางด้านประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม
ตามชอื่ วัดในกรุงศรอี ยธุ ยา ซ่ึงเปน็ สถานที่ประดษิ ฐานพระบรม และการศกึ ษา

สารรี กิ ธาตแุ ละเป็นทป่ี ระทับของสมเดจ็ พระสงั ฆราช
ส่ิงสำคญั ภายในพระอาราม ได้แก

ล่วงถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว พระอุโบสถเป็นอาคารไทยประเพณีแบบทรงโรง ศิลปะ
รัชกาลท่ี ๓ โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดมหาธาต
ุ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หน้าบันเป็นไม้แกะสลักปิดทอง
ท้ังพระอารามตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๘๗ มาแล้วเสร็จในรัชสมัย ประดับกระจก ตรงกลางเป็นภาพพระนารายณ์ทรงครุฑ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๔ ในการน้ี ยุดนาค ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยและ
รัชกาลท่ี ๔ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงยกช่อฟ้า พร้อมกับ พระรูปหล่อของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
โปรดเกล้าฯ ให้ช่างเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถ (สุก ไกเ่ ถ่ือน) หลอ่ ขนึ้ เมอื่ พ.ศ. ๒๓๘๗ นับเปน็ รปู หล่อบคุ คล
และให้สร้างพระวิหารน้อยหรือพระวิหารโพธิลังกาตรงท่ีต้ัง
ท่หี ลอ่ ขน้ึ เป็นคร้ังแรกในสมัยรตั นโกสนิ ทร์

พระตำหนัก ซึ่งเคยเป็นท่ีประทับเม่ือคร้ังทรงผนวชเป็น
พระวิหารตั้งอยู่ด้านขวาของพระอุโบสถ เป็นอาคาร

พระวชริ ญาณมหาเถร ทางทศิ ตะวนั ออกของตน้ พระศรมี หาโพธ์
ิ ทรงไทยฐานสงู สรา้ งโดยสมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาสรุ สงิ หนาท
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หน้าบันด้านหน้าและด้านหลังเป็นพระราชลัญจกรในสมเด็จ
รัชกาลท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสถานศึกษาสำหรับ
พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราช
พระสงฆ์ฝ่ายมหานิกายขึ้นที่วัดมหาธาตุ เรียกว่า มหาธาตุ กมุ าร ภายในประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ขนาดใหญ่ ๕ องค

วิทยาลัย ครั้น พ.ศ. ๒๔๓๗ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างอาคาร พระมณฑปตั้งอยู่ด้านหน้าพระอุโบสถและพระวิหาร
ถาวรวัตถุชื่อสังฆิกเสนาสน์ราชวิทยาลัยขึ้นทางมุมด้านใต้ของ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงสร้างข้ึนพร้อมกับ
พระอาราม ทอดยาวไปจรดพระระเบียงด้านเหนือ โดยม
ี การสถาปนาพระอาราม ภายในประดิษฐานพระมณฑป

พระราชประสงค์ให้ใช้ในงานพระศพของสมเด็จพระบรมโอรสา ยอดปราสาท ซง่ึ มพี ระเจดีย์ทองบรรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาต


142

พระอุโบสถวัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ทเ่ี ฉลยี งดา้ นหลังเป็นทีบ่ รรจุพระอัฐขิ องเจา้ นายฝา่ ยพระราชวังบวรสถานมงคล

ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๕


วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร

วดั ชนะสงครามตงั้ อยรู่ มิ ถนนจกั รพงษ์ แขวงชนะสงคราม อีกข้อสันนิษฐานหนึ่ง เชื่อว่า ในบริเวณน้ีมีชาวมอญ

วัดแห่งน้ีเป็นวัดโบราณขนาดเล็ก เดิมเรียกกันว่า วัดกลางนา จำนวนหนึ่งอพยพเข้ามาต้ังบ้านเรือนใกล้ๆ วัด ชาวมอญ

เพราะต้ังอยู่กลางทงุ่ นา
ที่บวชเป็นพระก็มักจำพรรษาอยู่ท่ีวัดน้ี ชาวบ้านจึงเรียกว่า

ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
วัดตองปุตามอยา่ งชาวมอญ

จุฬาโลกมหาราช รัชกาลท่ี ๑ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหา
เมื่อบ้านเมืองร้างศึกพม่าแล้ว สมเด็จพระบวรราชเจ้า

สุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ ๑
มหาสุรสิงหนาททรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดตองปุใหม่ท้ังวัด แล้ว
ทรงได้รับพระบรมราชโองการให้ทรงดูแลชุมชนชาวรามัญ นอ้ มเกลา้ ฯ ถวายเปน็ พระอารามหลวง รชั กาลท่ี ๑ พระราชทาน
(มอญ) ที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร โปรดเกล้าฯ ให้
นามใหม่ตามเหตุการณ์หลังทำสงครามท่ีชนะพม่าถึง ๓ ครั้ง
ตง้ั ถนิ่ ฐานอยรู่ อบวดั กลางนา ใกลก้ บั พระราชวงั บวรสถานมงคล คือ สงครามเก้าทัพเม่ือ พ.ศ. ๒๓๒๘ สงครามท่าดินแดง

และโปรดเกล้าฯ ให้พระมหาสุเมธาจารย์ พระราชาคณะ
และสามสบเม่อื พ.ศ. ๒๓๒๙ และสงครามป่าซาง นครลำปาง
ฝ่ายรามัญนิกายมาครองวัด ในช่วงเวลานี้ จึงนิยมเรียกขาน
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๐ ว่า วัดไชยชนะสงคราม แต่ภายหลัง

วัดกลางนาว่า วัดตองปุ เช่นเดียวกับวัดรามัญนิกายในสมัย ตัดเหลอื เพยี งวัดชนะสงคราม

อยุธยา (ตองปุ หมายถึง ท่รี วมพลทหารไปออกรบ)


143

ภาพถ่ายดา้ นหน้าวดั ชนะสงครามในสมยั ของพระบาทสมเด็จ
พระราชานุสาวรยี ์สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาสรุ สิงหนาท

พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ ัว รัชกาลที่ ๕ (หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
ผสู้ ถาปนาวดั ชนะสงคราม


สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทเม่ือคร้ังทรงดำรง มีชื่อท่ีเป็นมงคล ประชาชนจึงนิยมเดินทางเพ่ือมาไหว้พระ
ตำแหน่งเจ้าพระยาสุรสีห์พิศณุวาธิราชในสมัยธนบุรี เคยทรงมี ทำบุญกันอยู่เนืองนิจ นอกจากน้ี หน้าวัดยังประดิษฐาน

นิวาสสถานอยู่ด้านหลังวัดกลางนา แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท

เมื่อทรงได้รับการสถาปนาเป็นพระมหาอุปราชก็ประทับที่ พระอนชุ าธริ าชในรัชกาลที่ ๑ ผู้สถาปนาวดั ชนะสงคราม ซึง่ มี
พระราชวงั บวรสถานมงคลหรอื วงั หนา้ แทน สว่ นนวิ าสสถานเดมิ ประชาชนไปสกั การะเป็นจำนวนมาก

พระราชทานแก่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวง
สง่ิ สำคญั ในพระอาราม ไดแ้ ก

จักรเจษฎา (ต้นราชสกลุ เจษฎางกูร) พระอนุชาต่างพระชนนี พระอุโบสถเป็นอาคารไทยประเพณีแบบทรงโรง ศิลปะ
มาประทบั แทน วดั แหง่ นจ้ี งึ อยใู่ นพระอปุ ถมั ภข์ องทง้ั ๒ พระองค์ สมยั ตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ประดับดว้ ยชอ่ ฟ้า ใบระกา หางหงส์
สืบมา
หน้าบันทำลวดลายลงรักปิดทองประดับกระจก เป็นภาพ

นอกจากเป็นท่ีพำนักของสงฆ์ฝ่ายมอญซึ่งมาจากชุมชน พระนารายณ์ทรงครุฑ ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นซุ้มเรือนแก้ว

มอญหลายแห่งแล้ว วัดชนะสงครามในอดีตยังเป็นศูนย์กลาง ปูนปั้น ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปูนป้ันปางมารวิชัย

ของชาวมอญ ท้ังไปมาหาสู่กันและเป็นที่พักแรมของคนมอญ บุด้วยดีบุก ลงรักปิดทอง โดยรอบพระประธานมีพระพุทธรูป
ซึ่งสัญจรไปมาในพื้นท่ีแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา เช่น บางกระดี่ ปูนป้ันปางมารวิชัย ๑๕ องค์ การประดิษฐานพระพุทธรูป

พระประแดง สมุทรสาคร ปากเกร็ด สามโคก และอยุธยา ๑๖ องค์นี้ สันนิษฐานว่า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหา

เมื่อเดินทางผ่านมาถึงวัดชนะสงครามก็เข้าจอดเรือพักแรม สุรสิงหนาททรงได้แบบอย่างมาจากวัดชุมพลนิกายาราม

แวะเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องที่อยู่ในบริเวณใกล้วัด แล้วจึงค่อย คร้ังกรุงเก่า คือ มีพระพุทธเจ้า ๑๖ พระองค์ ซ่ึงตามคติ
ออกเรือเดินทางต่อไปยงั จุดหมายปลายทาง
โบราณนับถือกันมากและทรงคุณในการประสิทธิ์ประสาท
เนอ่ื งจากวัดชนะสงครามตงั้ อยู่ในย่านบางลำพู กอปรกบั ชัยชนะเหนอื ขา้ ศกึ ศตั ร


144

พระอโุ บสถวัดปทมุ คงคาราชวรวหิ าร สนั นิษฐานวา่ เปน็ ฝมี อื ช่าง

ครง้ั รชั กาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช รชั กาลที่ ๑


วัดปทุมคงคาราชวรวหิ าร


วัดปทุมคงคาต้ังอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณถนน มาแต่สมัยธนบุรี ย้ายไปตั้งบ้านเรือนในเรือกสวนต้ังแต่คลอง
ทรงวาด เป็นวัดโบราณสร้างข้ึนต้ังแต่สมัยอยุธยา เดิมเรียก
วัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิราชาวาส) ไปถึงคลองวัดสำเพ็ง
กันว่า วัดสามเพ็งหรอื วดั สำเพ็ง ตามชอ่ื ยา่ นท่วี ัดต้ังอยู่ ซ่งึ เป็น แล้วโปรดเกล้าฯ ให้เหล่าพราหมณาจารย์ประกอบพิธ

พนื้ ทชี่ มุ ชนชาวจนี ขนาดใหญม่ าตง้ั แต่ต้นกรุงรตั นโกสนิ ทร์
ต้งั เสาหลกั เมอื งและเริม่ สรา้ งกรุงรตั นโกสนิ ทร


ตามประวัติกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า เมื่อชุมชนชาวจีนสำเพ็งหนาแน่นข้ึน ชาวจีนจึงขยับ
จฬุ าโลกมหาราช รชั กาลที่ ๑ มพี ระราชดำรใิ หส้ รา้ งพระนครใหม่ ขยายทท่ี างการคา้ และทอ่ี ยอู่ าศยั ออกไปทกุ ทศิ ทกุ ทาง เรยี งราย
ทางฝ่ังตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากเมืองธนบุร
ี ตง้ั แต่แนวคลองโอง่ อ่างหรอื คลองรอบกรุง ลงมาทางใต้ ได้แก่
ท่ีอยู่ในฝ่ังตะวันตกน้ันคับแคบ ป้องกันศัตรูได้ยาก ทั้งยังไม่ ชมุ ชนตลาดสะพานหนั ตลาดเกา่ ตลาดสำเพง็ ตลาดวัดเกาะ
สามารถขยายพระราชนิเวศน์มณเฑียรสถานได้ จึงโปรดเกลา้ ฯ และตลาดน้อย ซึ่งล้วนแต่เป็นย่านการค้าและชุมชนชาวจีน

ให้พระยาธรรมาธิกรณ์กับพระวิจิตรนาวีเป็นแม่กองคุมช่างและ ที่มีส่วนสำคัญในการหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจและสร้างความเจริญ
ไพรพ่ ลไปกะทเ่ี พ่ือสรา้ งพระนครแห่งใหม่ และโปรดเกล้าฯ ให้ รงุ่ เรอื งให้แกพ่ ระนครนับแตอ่ ดตี จนถึงปจั จุบนั

พระยาราชาเศรษฐีและกลุ่มชาวจีนซึ่งต้ังถิ่นฐานในบริเวณนี


145

พระพทุ ธปฏมิ าประธานทรงเครอื่ งอยา่ งกษัตริย์ ปางมารวชิ ยั
แทน่ หนิ ประหารกบฏ

ภายในพระอโุ บสถ


ส. พลายน้อย แสดงความเห็นไว้ในหนังสือเล่าเร่ือง เนื่องจากมีสภาพทรุดโทรมมาก ทว่า ยังไม่ทันสำเร็จก็ถึงแก่
บางกอกว่า สมัยก่อนบริเวณสำเพ็งคงเป็นน้ำลึกหรือทาง
อนจิ กรรม พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั รชั กาลที่ ๔
สามแพรง่ แตช่ าวจีนออกเสยี งเรยี กเพย้ี นจากคำวา่ สามแพรง่ โปรดเกล้าฯ ให้พระยาพศิ าลศภุ ผล (ช่ืน พศิ าลบตุ ร) บูรณะต่อ
จึงกลายเปน็ สำเพ็งไป
โดยให้ซ่อมแซมและก่อสร้างเพ่ิมเติมให้สมกับฐานะของวัด

ขณะเดียวกัน ยังมีข้อสันนิษฐานอีกหลากหลายถึงท่ีมา ที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงสร้างถวายสมเด็จ
ของชอ่ื สำเพง็ แตค่ าดวา่ ขอ้ สนั นษิ ฐานของศนั สนยี ์ วรี ะศลิ ปช์ ยั พระปฐมบรมมหาชนก โดยโปรดเกล้าฯ ใหช้ ่างยกพระพุทธรปู
ในหนังสือช่ือบ้านนามเมือง และสมพงษ์ เกรียงไกรเพชร์
ในพระอุโบสถให้สูงข้ึน แล้วทำเป็นพระทรงเคร่ืองต้นอย่าง
จากหนังสือเล่าเร่ืองเก่าของไทย ท่ีมีความสอดคล้องกันทำให้ กษัตริย์และให้ต่อชุกชีออกมา เพื่อรองรับพระรูปเทวราชถือพุ่ม
นา่ เชือ่ ถือไดว้ า่ เนอื่ งจากมีคลอง ๒ คลองขวางก้นั อยูใ่ นพ้นื ที่ ฉตั รดอกไม้ทองดอกไมเ้ งนิ อกี ๒ องค์

คือ คลองเหนือวัดสำเพ็งและคลองวัดสามปล้ืม ทำให้แบ่ง
สิ่งท่ีน่าสนใจในพระอารามแห่งน้ี คือ แท่นหินประหาร
แผ่นดินย่านน้ีเป็น ๓ ส่วน ชาวบ้านจึงเรียกย่านน้ีว่า ย่าน
กบฏ เป็นแทน่ หนิ ขนาดกวา้ งประมาณ ๔๘ น้ิว ยาว ๖๐ น้ิว
สามแผ่นดินหรือ “สามแผ่น” และชาวจีนออกเสียงเพ้ียนเป็น
สันนิษฐานว่า สร้างข้ึนในสมัยของรัชกาลที่ ๓ ดังปรากฏ

“สามเพ็ง” หรือ “สำเพ็ง” ปัจจุบัน ถนนสำเพ็งได้เปล่ียนชื่อ ในพระราชพงศาดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ฉบับ
เปน็ ถนนวานชิ ๑ เป็นย่านค้าขายสำคัญ โดยเฉพาะอย่างย่ิงผา้ เจา้ พระยาทพิ ากรวงศฯ์ (ขำ บุนนาค) ระบวุ ่า โปรดเกล้าฯ ให้
อุปกรณ์งานฝมี ือ และของชำร่วยต่างๆ
ไต่สวนได้ความว่า กรมหลวงรักษ์รณเรศ (ต้นสกุล พ่ึงบุญ)

ส่วนเร่ืองราวของวัดสำเพ็ง ซึ่งหลังจากพระยาราชา คิดเป็นกบฏ จึงมีพระบรมราชโองการให้นำไปสำเร็จโทษ

เศรษฐีและกลุ่มชาวจีนย้ายไปต้ังรกรากน้ัน ต่อมา สมเด็จ
ด้วยท่อนจันทน์ท่ีวัดปทุมคงคาบนแท่นหินน้ีเมื่อวันที่ ๑๓
พระบวรราชเจา้ มหาสรุ สงิ หนาท กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล ธนั วาคม พ.ศ. ๒๓๙๑

ในรัชกาลที่ ๑ ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ใหม่และทรงอุทิศเป็น
นอกจากจะใช้เป็นท่ีประหารชีวิตเจ้านายในสมัยต้น
พระราชกุศลถวายแด่สมเด็จพระชนกาธิบดี (สมเด็จพระปฐม รัตนโกสินทร์แล้ว ในพระราชพิธีพระบรมศพในสมัยก่อน

บรมมหาชนก (ทองด)ี ) รชั กาลที่ ๑ พระราชทานนามใหมว่ า่ เมื่อเก็บพระบรมอัฐิแล้ว จะอัญเชิญพระอังคารลงเรือพระที่น่ัง
วดั ปทมุ คงคา
เขา้ กระบวนแหไ่ ปลอยพระอังคารทีห่ นา้ วัดปทุมคงคา

คร้ันสมัยของพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ในกรณีทม่ี ชี ้างเผอื กล้มก็เช่นเดียวกัน เจา้ พนักงานจะหอ่
รัชกาลท่ี ๓ พระยาสวัสดวิ ารี (ฉมิ สวัสดิบตุ ร) กราบบังคมทลู ช้างเผือกนั้นด้วยผ้าขาว ก่อนนำข้ึนเรือขบวนแห่ไปถ่วงที่วัด
พระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตบูรณะวัด ปทุมคงคา


146

พระอุโบสถวัดสมั พันธวงศารามวรวหิ ารไดร้ บั พระราชทานพระบรมราชานุญาตใหอ้ ญั เชญิ พระปรมาภิไธย ภ.ป.ร.

ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัว รชั กาลปจั จบุ ัน มาประดิษฐาน ณ หน้าบนั พระอุโบสถ


วดั สัมพนั ธวงศารามวรวิหาร

วัดสัมพันธวงศารามต้ังอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้วัด พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ มีพระราช
ปทุมคงคา แต่เดิมหน้าวัดหันไปทางทิศตะวันตก คือทางด้าน ประสงค์จะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้ม่ันคงสถาพร

ถนนทรงวาดและแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อมา ทางราชการตัด
จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์
ถนนทรงสวัสดิ์ต่อกับถนนทรงวาด จึงได้ถือเอาถนนทรงสวัสดิ
์ บูรณปฏิสังขรณ์วัดต่างๆ หลายวัด สำหรับวัดเกาะนั้น

เปน็ หนา้ วดั
โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวง

วัดสัมพันธวงศารามเป็นวัดโบราณ สร้างขึ้นในสมัย พิทักษมนตรี (สมเด็จเจ้าฟ้าจุ้ย ต้นราชสกุล มนตรีกุล)

อยธุ ยา ชาวบา้ นนิยมเรยี กว่า วัดเกาะ ตามสภาพที่ตัง้ เพราะ พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระ

แต่เดิมมีคูคลองที่เช่ือมกับแม่น้ำเจ้าพระยาล้อมรอบวัด ศรีสุดารกั ษ์ และเจ้าขรัวเงิน บรู ณะใหมท่ ั้งวดั แล้วโปรดเกลา้ ฯ
(ปัจจุบัน คลองระหว่างวัดสัมพันธวงศารามและวัดปทุมคงคา ให้สถาปนาวัดเกาะขึ้นเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนาม
ถมเปน็ ถนนและปลูกสรา้ งอาคารพาณชิ ย์)
ใหม่ว่า วัดเกาะแก้วลังการาม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๙ เพื่อ
เมื่อสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์แล้ว พระบาทสมเด็จ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระ

ศรีสุดารักษ์


147

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล

ท่ี ๓ มีพระราชประสงคจ์ ะสร้างพระปรางค์ จึงมีพระบรมราช

โองการให้เจ้าพนักงานนำไม้ซุงสักมาเพื่อทำราก ทำเข็ม

แต่แล้วกลับไม่ได้สร้างดังพระราชประสงค์ ไม้เหล่าน้ีได้นำมา
ใช้บูรณะพระอารามในสมยั ต่อมา

พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๓ ฉบับ
เจ้าพระยาทพิ ากรวงศ์ฯ (ขำ บนุ นาค) กลา่ วถึงการปฏิสังขรณ์
และสร้างพระอารามในสมัยรัชกาลที่ ๓ ความตอนหนึ่งว่า
“...วัดเกาะแก้วเป็นวัดของกรมหลวงพิทักษมนตรี บูรณะ

ไว้กอ่ นชำรุดไปให้ซ่อมแซมและทำกฏุ ิสงฆข์ ึ้น...”

ในรัชกาลน้ี บริเวณวัดเกาะแก้วลังการามเป็นแหล่ง
เผยแผ่คริสต์ศาสนาของมิชชันนารีอเมริกันแห่งแรกในกรุง
รตั นโกสินทร

พ.ศ. ๒๓๗๑ มิชชันนารีชาวอเมริกันเช่าบ้านไม้ข้างวัด
เกาะแกว้ ลงั การามเพ่ือเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์
โดยเปิด “โอสถศาลาวัดเกาะ” ขึ้นเพ่ือรักษาโรคและเผยแผ่
ศาสนาให้แกช่ าวไทยเช้ือสายจีนในยา่ นน้ัน
นายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ หรือหมอบลัดเลย์ไดเ้ ริม่ ตน้ กจิ กรรม
ทางศาสนาและรกั ษาโรคให้แกช่ าวพระนครครัง้ แรกท่ีวดั เกาะ

คลินิกแห่งนี้เองเป็นสถานท่ีแรกที่หมอบรัดเลย์ให้การ
รักษาชาวบ้านในชุมชนโดยรอบวัด แต่ต่อมาเกิดเรื่องพิพาท พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลปจั จบุ นั พระราชทาน
ระหว่างพระสงฆ์ของวัดเกาะกับชาวต่างชาติที่เข้าไปยิงนก พระบรมราชานญุ าตใหร้ อื้ ถอนพระอโุ บสถ พระวหิ าร พระเจดยี ์
พิราบในวัด คือ มิสเตอร์ฮันเตอร์ หรือท่ีชาวพระนครเรียกว่า หลงั เดมิ แล้วสร้างพระอโุ บสถ พระวหิ าร และศาลาการเปรียญ
“นายหันแตร” พ่อค้าชาวอังกฤษเชื้อสายสก๊อต และกัปตัน ขน้ึ ใหมเ่ มือ่ พ.ศ. ๒๕๐๕ จากนั้นใน พ.ศ. ๒๕๑๓ โปรดเกลา้ ฯ
เวลเลอร์ ชาวบ้านจึงไม่ยอมให้มิชชันนารีเช่าบ้านและเปิด พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญพระปรมาภิไธยย่อ
คลินิกอีกต่อไป หมอบรัดเลย์จึงย้ายไปเช่าบ้านของสมเด็จ
ภ.ป.ร. มาประดษิ ฐานที่หนา้ บนั พระอโุ บสถหลังใหม่

เจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) เจ้าพระยา
สิ่งสำคัญในพระอาราม ไดแ้ ก

พระคลงั ทีท่ ่าน้ำหนา้ วัดประยรุ วงศาวาสแทน
พระอุโบสถเปน็ อาคารทรงไทยจตุรมุขสงู ๓ ชั้น ชั้นท่ี ๑
บริเวณใกล้กับวัดสัมพันธวงศารามยังเป็นที่ต้ังของ
ใช้เป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม และโรงเรียนพุทธศาสนา

“โรงพิมพ์วัดเกาะ” หรือ “โรงพิมพ์ราษฏร์เจริญ” ท่ีก่อต้ังขึ้น วันอาทิตย์สำหรับเยาวชนและประชาชน รวมทั้งห้องแสดง
โดยนายสิน นับเป็นโรงพิมพ์แห่งแรกๆ ของไทย และได้พิมพ์ พิพิธภัณฑ์ของวัด ช้ันที่ ๒ ใช้เป็นหอประชุมหรือศาลา
หนังสืออันทรงคุณค่าไว้เป็นจำนวนมาก เช่น พงศาวดาร
การเปรียญ ชั้นท่ี ๓ เป็นพระวิหารและพระอุโบสถ สำหรับ

พระอภัยมณี รามเกียรติ์ อิเหนา ขุนช้างขุนแผน สังข์ทอง ทำสังฆกรรม

หลวชิ ยั คาวี มณพี ิชัย ระเดน่ ลนั ได เป็นต้น
ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปท่ีเป็นพระ
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล
ประธานในพระอุโบสถหลังเดิม ซ่ึงไม่ปรากฏพระนาม ต่อมา
ท่ี ๔ โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อวัดเป็นวัดสัมพันธวงศาราม เจา้ คณุ พระมหารชั มงั คลาจารย์ (นิทฺเทสกเถร) ถวายพระนาม
เพื่อเฉลิมพระเกียรติแก่สมเด็จพระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้า
ว่า พระพุทธนราสภะทศพล ปจั จุบัน ประดิษฐานเป็นองค์พระ
กรมหลวงพิทักษมนตรี พระเจ้าน้องยาเธอในสมเด็จพระศรี
ประธานคกู่ ับพระพทุ ธศรีสุทธสิ ัมพันธใ์ นพระอโุ บสถชนั้ ๓

สุริเยนทรา บรมราชินี สมเด็จพระบรมราชชนนีของพระองค์

และยงั ทรงเปลยี่ นจากวัดมหานกิ ายเป็นวัดธรรมยตุ ิกนกิ ายด้วย


148


Click to View FlipBook Version