The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เพื่อให้คนกรุงเทพฯ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ เข้าใจ และตระหนักถึงคุณค่าของวัฒนธรรมที่มาจากวัง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by cstd, 2021-04-08 23:54:45

บางกอกบอกเล่า (เรื่อง) วัง

เพื่อให้คนกรุงเทพฯ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ เข้าใจ และตระหนักถึงคุณค่าของวัฒนธรรมที่มาจากวัง

Keywords: วัง,วัฒนธรรม

“คณุ คา่ อดตี กาล
”สบื สานความงามใหช้ ีวติ

คำนำ

กรุงเทพฯ นับแต่แรกสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เม่ือ กองวัฒนธรรม สำนักวัฒนธรรม กีฬา และ
พทุ ธศกั ราช ๒๓๒๕ เปน็ ตน้ มา เปน็ เมอื งทม่ี ตี น้ ทนุ ทางวฒั นธรรม การท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร จึงเห็นสมควรจัดทำหนังสือ
และเป็นเมืองหลวงท่ีดำรงความเป็นมหานครท่ีมีประวัต ิ รวบรวมองคค์ วามรเู้ กยี่ วกบั วงั สำคญั ในกรงุ เทพฯ ทม่ี คี วามผกู พนั
ความเป็นมายาวนาน เป็นแหล่งรวมศิลปวัฒนธรรมหลากหลาย กับวถิ ีชีวิตชมุ ชนชาวกรุงเทพฯ และมคี ุณคา่ ในมิตทิ างวัฒนธรรม
ที่ได้รับการสั่งสมสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนกลายเป็นเอกลักษณ ์ บอกเลา่ สถานทต่ี งั้ ประวตั คิ วามเปน็ มา คณุ คา่ ทางสถาปตั ยกรรม
อันโดดเด่น เปน็ ที่รจู้ กั แพร่หลายไปทั่วโลก และวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าที่มาจากวังน้ันๆ ให้เป็นเอกสาร
การสร้างแรงจูงใจให้คนกรุงเทพฯ ให้ความสำคัญกับ วิชาการองค์ความรู้ทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา เผยแพร่แก่
การสบื คน้ ประวตั ศิ าสตร ์ เรยี นร ู้ และทำความเขา้ ใจความเปน็ มา สถานศกึ ษา หอ้ งสมดุ หนว่ ยงานราชการ และกลมุ่ เปา้ หมายตา่ งๆ
ของเมอื งซง่ึ เปน็ ราชธานมี ากวา่ ๒๓๐ ป ี จะตอ้ งสง่ เสรมิ ใหท้ กุ คน ภายใต้ช่ือหนังสือ “บางกอก บอกเล่า (เรื่อง) วัง” เพ่ือให ้
เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม คนกรงุ เทพฯ โดยเฉพาะคนรนุ่ ใหมไ่ ดเ้ รยี นร ู้ เขา้ ใจ และตระหนกั ถงึ
ได้เรียนรู้และตระหนักในคุณค่าของเอกลักษณ์ความเป็นไทย คณุ คา่ ของวฒั นธรรมทม่ี าจากวงั เกดิ ความผกู พนั ความภาคภมู ใิ จ
ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเป็นมาในอดีต และความเป็นไป ในการมีส่วนร่วมพัฒนาสร้างสรรค์กรุงเทพฯ ทำให้กรุงเทพฯ
ของกรุงเทพฯ ในทุกๆ ด้าน บนแกนหลักของความรู้ด้าน เป็นเมืองที่มีเสน่ห์แห่งประวัติศาสตร์ท่ียังมีชีวิต มีคุณค่า
ประวตั ศิ าสตร์และสงั คม ควบคู่ไปกับการพัฒนาให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ และเป็น
หนงึ่ ในศนู ยก์ ลางการอนรุ กั ษแ์ ละการถา่ ยทอดวฒั นธรรม ศูนย์กลางของประเทศที่มีคุณค่าศักดิ์ศรีของเมืองประวัติศาสตร์
ของกรุงเทพฯ ท่ีสำคัญ คือ วัง ด้วยเป็นสถานที่สำคัญในการ อันทรงคุณค่า ให้เป็นมหานครท่ีมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม
สร้างสรรค์ รวบรวม และเก็บรักษาวัฒนธรรม ประเพณี และ ดำรงคณุ คา่ อย่างยง่ั ยนื ตลอดไป
สรรพวิชาความรู้นานัปการ คนกรุงเทพฯ และคนรุ่นใหม ่
จึงสมควรได้รับรู้ความสำคัญของคุณค่าวังต่างๆ ในกรุงเทพฯ สำนกั วฒั นธรรม กฬี า และการทอ่ งเทยี่ ว
ท้ังในเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของกรุงเทพฯ ซ่ึงบอกเล่า กรงุ เทพมหานคร
ความเป็นมาที่เกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมของกรุงเทพฯ
ในอดีต ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ ความรัก ความหวงแหน
และมีสำนึกรักท้องถ่ินท่ีอยู่อาศัย

2

คำนิยม

กรุงเทพฯ จะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างม่ันคงและยั่งยืนน้ัน “บางกอก บอกเล่า (เรื่อง) วัง” เป็นหนังสือวิชาการ
จำเป็นอย่างยิ่งที่ชาวกรุงเทพฯ และผู้ที่ดำรงชีวิตในมหานคร แนวประวัติศาสตร์สังคมท่ีให้ภาพของพระราชวังและวังเจ้านาย
ประวัติศาสตร์แห่งน ้ี จะต้องเรียนรู้รากเหง้าของตนเองและ ท่ีครอบคลุมเน้ือหาตั้งแต่ประวัติความเป็นมา คุณค่าทาง
ทำความเข้าใจอย่างถ่องแท ้ ไม่ใช่เพ่ือโหยหาอดีตหรือสิ่งท่ี สถาปัตยกรรม พัฒนาการ และมรดกทางวัฒนธรรม ตลอดจน
ผ่านพ้นไป แต่เพ่ือให้สามารถวิเคราะห์ตัวตนและนำมาใช้ วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาววัง และความผูกพัน
ในการดำรงชวี ติ ในปัจจุบนั และอนาคตได้อยา่ งยงั่ ยืน ระหวา่ งวงั เจ้านายและราษฎร
หนังสือ “บางกอก บอกเล่า (เร่ือง) วัง” เล่มน้ี อาจกล่าวได้ว่าหนงั สือ “บางกอก บอกเลา่ (เร่ือง) วงั ”
จะทำหน้าท่ีประดุจประตูแห่งกาลเวลา นำพาผู้อ่านย้อนเวลา ของกองวัฒนธรรม สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว
กลบั ไปเม่อื กว่า ๒๐๐ ปี เพอ่ื เรียนรู้รากเหง้าของตนเอง ตระหนกั ได้ศึกษาค้นคว้า นับเป็นงานวิชาการเกี่ยวกับพระราชวังและวัง
ถงึ ความสำคญั ของพระราชวงั และวังในกรงุ เทพฯ สถานทส่ี ำคญั อีกเล่มหน่ึงที่ร่วมสมัย และมีความลุ่มลึกในการเสนอประเด็น
ทางประวัติศาสตร์และแหล่งสร้างสรรค์วัฒนธรรมช้ันเอก ต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจ และมีเน้ือหาครอบคลุมทุกด้านเท่าที่มี
ของชาติ ซ่ึงมรดกทางวัฒนธรรมหลายสิ่งอย่างยังคงคุณค่า การศึกษามา
คณุ ประโยชน์ และได้รับการสืบทอดมาตราบจนทกุ วันน ี้

(พลตรี หมอ่ มราชวงศ์ศุภวัฒย์ เกษมศร)ี
ท่ีปรกึ ษาคณะกรรมการชำระประวตั ิศาสตรไ์ ทย

กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม

3



สารบัญ

บทนำ ๖
พระบรมมหาราชวงั ๑๘
พระราชวงั เดมิ ๔๒
พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหนา้ ) ๕๖
พระราชวังบวรสถานภิมุข (วงั หลงั ) ๗๐
วังทา่ พระ ๗๘
วงั รมิ วัดโพธ์ ิ ๘๘
วงั บา้ นหมอ้ ๙๔
วงั ริมคลองบางลำพ ู ๑๐๒
พระราชวงั สราญรมย์ ๑๐๘
วังบูรพาภิรมย ์ ๑๑๔
วังกรมพระนราธปิ ประพันธพ์ งศ์ ๑๒๔
วังบางขนุ พรหม ๑๓๐
พระราชวงั ดสุ ิต ๑๔๔
สวนสุนันทา ๑๖๐
พระราชวังพญาไท ๑๖๖
วังนางเลิ้ง ๑๗๖
ตำหนกั จติ รลดา วังปารสุ กวัน ๑๘๖
วังปารุสกวนั ๑๙๖
วังจนั ทรเกษม ๒๐๔
วงั วรดศิ ๒๑๐
วงั เทวะเวสม์ ๒๒๒
ตำหนกั ปลายเนนิ ๒๓๖
วงั สวนผกั กาด ๒๔๖
วังสระปทุม ๒๕๖
สรปุ ๒๖๔
ภาคผนวก ๒๖๖

บทนำ

หลังการสิ้นสุดลงของราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
สรรพวิชาความร้ ู ศิลปวิทยา ตำรับตำราราชประเพณี คัมภีร์
ทางศาสนา และเหลา่ ชา่ งฝมี อื แขนงตา่ งๆ ลว้ นกระจดั กระจายและ
สญู สลายไปพร้อมกบั พระราชวังหลวง คงเหลือแตเ่ พยี งชาวสยาม
ไม่กี่หยิบมือท่ีได้ร่วมแรงร่วมใจกันกอบกู้ ฟื้นฟ ู และสถาปนา
อาณาจักรของชาวสยามขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นท่ีพ่ึงพาของสมณ
ชีพราหมณ ์ อาณาประชาราษฎร ์ หมู่มวลประเทศราชน้อยใหญ ่
และสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามท่ีบรรพบุรุษร่วมกัน
สรรค์สร้างให้คงอยู่คู่ราชอาณาจักรสยามสืบมาจนถึงปัจจุบัน

6

7

พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช พระราชกจิ จานกุ จิ ทส่ี ำคญั ประการแรก คอื การทำนบุ ำรงุ
ปฐมกษตั รยิ แ์ หง่ พระบรมราชจกั รวี งศ ์ (พระบรมฉายาสาทสิ ลกั ษณ ์ ขวัญกำลังใจให้แก่พสกนิกร ในยามที่บ้านเมืองต้องเผชิญกับ
ประดษิ ฐานอยทู่ มี่ ขุ กระสนั ดา้ นทศิ ตะวนั ออกของพระทนี่ ง่ั จกั รมี หาปราสาท) ศึกสงครามและวิกฤตภัยนานัปการ ได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา
พระนครตามแบบอย่างกรุงศรีอยุธยาบนมหาชัยภูมิที่เหมาะสม
“...ตง้ั ใจจะอปุ ถัมภก ยอยกพระพทุ ธศาสนา มีค่ายค ู ประตูเมือง และหอรบที่มั่นคงเพ่ือป้องกันภัยรุกราน
จะป้องกนั ขอบขณั ฑสมี า จากอริราชศัตรู
รกั ษาประชาชน แลมนตร.ี ..” พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑
ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบด ี (ขำ บุนนาค) ระบุว่า
(เพลงยาวรบพม่าทีท่ ่าดนิ แดง : รัชกาลท่ ี ๑ มีพระราชดำริว่า พ้ืนท่ีฝ่ังตะวันออกของกรุงธนบุรี
พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช) อีกฟากของแม่น้ำเจ้าพระยาน้ันเป็นชัยภูมิท่ีเหมาะสม เนื่องจาก
มีลักษณะเป็นหัวแหลม โอบล้อมด้วยลำน้ำถึง ๓ ด้าน อีกท้ัง
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช นอกคูเมืองด้านทิศตะวันออกยังเป็นทะเลตม ซึ่งหากขุดคลอง
รัชกาลที ่ ๑ เสด็จปราบดาภิเษกและสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เพ่ิมข้ึนจะช่วยป้องกันพระนครได้เป็นอย่างดี จึงโปรดเกล้าฯ ให้
ข้ึนเป็นราชธานีเม่ือพุทธศักราช ๒๓๒๕ ได้มีพระราชปณิธาน ย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีฝ่ังตะวันตกมายังฝ่ังตะวันออกของ
อันแน่วแน่ท่ีจะสถาปนาราชธานีแห่งใหม่นี้ให้เจริญรุ่งเรือง แม่น้ำเจ้าพระยา โปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ราหมณาจารยจ์ ัดพระราชพธิ ี
เป็นปึกแผ่นม่ันคง เป็นศูนย์กลางท้ังด้านการปกครอง การค้า กลบบัตรสุมเพลิง ชำระล้างแผ่นดินให้บริสุทธิ ์ และให้ต้ัง
ศาสนา และศลิ ปวฒั นธรรม ทย่ี งิ่ ใหญท่ ดั เทยี มกรงุ ศรอี ยธุ ยาในอดตี เสาหลักเมืองสำหรับพระนครขึ้นเป็นปฐมฤกษ์ เพื่อนำมาซึ่ง
ขวญั และกำลังใจแก่พสกนิกรโดยถ้วนหนา้

จากน้ัน โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคูคลอง ขุดรากก่อกำแพง
พระนคร สร้างป้อมปราการ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
พระราชวังหลวง และพระราชวังหน้า ต่อมา พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที ่ ๔ ทรงบัญญัติให้เรียก
พระราชวังหลวงว่า “พระบรมมหาราชวัง” ให้ใช้คำว่า “บรม”
สำหรับฝ่ายวังหลวง และ “บวร” สำหรับฝ่ายวังหน้า พระราชวัง
บวรสถานมงคลหรือวังหน้าจึงเรียกว่า “พระบวรราชวัง” และวัง
ของพระบรมวงศานุวงศ ์ วางตำแหน่งที่ตั้งของวังต่างๆ ให ้
ต้องตามตำราพิชัยสงครามและตามจารีตและธรรมเนียมที่
ถือปฏิบัติสืบมาแต่ครั้งโบราณที่มักใช้พระนครเป็นที่ม่ันในการ
รับศึกสงคราม

8

หนังสือพระราชวังและวังในกรุงเทพฯ ของหม่อมราชวงศ ์ กรุงรตั นโกสินทร์สถาปนาขึน้ ตามหลักยุทธพิชยั
แน่งน้อย ศักดิ์ศร ี ได้อธิบายถึงธรรมเนียมของการสร้างวังว่า ตำแหนง่ ทต่ี งั้ ของพระราชวงั และวงั เจา้ นาย
สมัยโบราณในยามศึกสงครามพระมหากษัตริย์และพระมหา จดั เรยี งรายใหส้ อดคลอ้ งกบั ชยั ภมู แิ บบ “นาคนาม”
อุปราชจะทรงช่วยกันปกป้องรักษาพระนครให้พ้นจากภัยรุกราน ตามตำราพชิ ยั สงคราม (ภาพจากหนงั สือพระราชวงั
ของอริราชศัตรู โดยพระมหากษัตริย์หรือ “พระราชวังหลวง” และวงั ในกรุงเทพฯ : หมอ่ มราชวงศแ์ น่งน้อย ศักดศ์ิ รี และคณะ)
เปน็ แม่ทัพใหญ่ คมุ ทัพหลวง พระมหาอปุ ราช “พระบัณฑรู ใหญ่”
หรือ “พระราชวังหน้า” เป็นทัพหน้าออกต่อตีข้าศึก และ ดว้ ยเหตนุ ี้ ประเพณกี ารศกึ ทพี่ ระมหากษตั รยิ ค์ มุ ทพั หลวง
“พระบัณฑูรน้อย” หรือ “พระราชวังหลัง” เป็นทัพหลัง พระมหาอุปราชคุมทัพหน้า พระราชวังหลังคุมทัพหลัง คงเป็น
คอยสนับสนุน ต้องตามตำราพิชัยสงคราม “นาคนาม” ดังน้ีว่า แต่เพยี งทฤษฎีในตำรา อย่างไรกต็ าม จารีตในการสรา้ งราชธานี
“มีแม่น้ำโอบรอบภูเขา หรือ ถ้าหาภูเขาไม่ได้ แต่แม่น้ำก็ได้ แหง่ ใหม่กย็ งั คงจัดวางพระราชวังและวงั ไวต้ ามตำแหน่งสำคญั ๆ
เรยี กว่า นาคนาม” ของพระนคร แม้จะไม่ได้ใช้พระนครเป็นฐานที่ม่ันรับศึก
แบบแผนการ “ย้ังทัพ” รับศึกในตำราพิชัยสงครามน้ีเอง อกี ต่อไปกต็ าม
ได้ถูกนำมาใช้เป็นรูปแบบการจัดวางตำแหน่งพระราชวังและวัง
เพ่ือเป็นท่ีม่ันรับศึกที่มาประชิดพระนคร นอกจากน้ี ยังมี
วังเจ้านาย ซึ่งล้วนแต่เป็นพระบรมวงศ์ผู้ชำนาญศึกและเป็นที่
ไว้วางพระราชหฤทัย ต้ังเรียงรายตามจุดยุทธศาสตร์สำคัญ
สองฟากฝัง่ แมน่ ำ้ เจ้าพระยา
ร้อยเอก นพดล ปาละประเสริฐ ได้ต้ังข้อสังเกตไว้ใน
วิทยานิพนธ์เร่ือง การเมืองไทยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง
จากสมัยเมืองคู่สู่สมัยราชอาณาจักร : กรณีศึกษาพัฒนาการ
ของวังอยุธยาและต้นกรุงเทพฯ ว่า ยุทธวิธีในการใช้พระนคร
เป็นท่ีม่ันรับศึกได้เปลี่ยนแปลงไปแต่คร้ังเสียกรุงศรีอยุธยา
ครั้งที่ ๒ โดยเปลี่ยนไปต้ังรับข้าศึกท่ีชายพระราชอาณาเขต
ดังปรากฏความในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค) ว่า
เม่ือคร้ังสงครามเก้าทัพเม่ือพุทธศักราช ๒๓๒๘ รัชกาลท ี่ ๑
ไมโ่ ปรดเกลา้ ฯ ให้ใช้พระนครเป็นท่ีมั่นรับศึก แต่โปรดเกล้าฯ ให้
แต่งกองทัพออกไปสกัดทัพข้าศึกที่ชายพระราชอาณาเขต
ทุกทิศทุกทาง

9

รังสรรคเ์ วียงวงั สบื สานราชประเพณี ดว้ ยเหตนุ ี้ พระราชวงั และวงั ทส่ี รา้ งขนึ้ จงึ ถอื เปน็ ทรพั ยส์ นิ
ส่วนพระองค ์ ซ้ือขายแลกเปล่ียนกันตามประเพณีบ้านเมือง
นอกจากการสถาปนาพระราชวังและวังพระบรมวงศ ์ เม่ือเจ้านายผู้ครองวังสิ้นพระชนม์ลง ถ้าทายาทมีกำลังในการ
ผู้ชำนาญศึกและเป็นท่ีไว้วางพระราชหฤทัยให้สอดคล้องกับ ดูแลรักษาวังจะพระราชทานวังให้ครองต่อไป เว้นแต่วังน้ัน
การต้ังม่ันป้องกันพระนครตามโบราณราชประเพณีแล้ว ยังเป็น มีความสำคัญต่อความม่ันคงของบ้านเมือง เช่น พระราชวังเดิม
ธรรมเนียมปฏิบัติที่พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัง พระราชวังบวรสถานมงคล รวมถึงวังท่ีทายาทไม่สามารถ
พระราชทานเจา้ นายฝา่ ยหนา้ (ฝา่ ยชาย) ตงั้ แตส่ กลุ ยศชนั้ เจา้ ฟา้ ปกครองและรักษาได้ จะโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายที่ทรงไว้วาง
ลงมาถึงหม่อมเจ้า พระราชหฤทัยเสด็จไปครองวงั นั้นแทน สว่ นทายาทเจา้ ผูค้ รองวงั
พระนิพนธ์ตำนานวังเก่าของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ มาแตเ่ ดมิ จะโปรดเกลา้ ฯ หาทปี่ ระทบั ใหใ้ หมต่ ามฐานานรุ ปู และ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพอธิบายถึงมูลเหตุของการสร้างวัง ฐานานศุ กั ดิ์
พระราชทานแก่เจ้านายว่า เป็นโบราณราชประเพณีที่ถือปฏิบัติ ในสมัยโบราณ เมื่อพระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯ ให ้
มาแต่คร้ังอยุธยา เม่ือเจ้านายฝ่ายหน้ามีพระชันษาประมาณ สร้างวังบริเวณใดจะโปรดเกล้าฯ ให ้ “กรมทหารช่างใน” สังกัด
๑๓ พรรษา ผา่ นพระราชพธิ ีโสกันต ์ (โกนจุก) (สำหรับสกุลยศชน้ั กรมนครบาล เป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้าง (ต้ังแต่รัชสมัย
พระองคเ์ จา้ ขนึ้ ไปถงึ ชน้ั เจา้ ฟา้ ) และเกษากนั ต ์ (สำหรบั สกลุ ยศชน้ั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท ่ี ๕ เปน็ ตน้ มา
หม่อมเจ้า) และทรงบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ถือว่าทรงบรรลุ การก่อสร้างพระราชวังและวังอยู่ในความรับผิดชอบของ
นิติภาวะเป็นผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์และถึงกำหนดจะต้อง “ออกวัง” กระทรวงวังและกระทรวงโยธาธิการ) แจ้งให้ราษฎรในท่ีน้ัน
เสด็จไปประทับนอกพระบรมมหาราชวังและเข้ารับราชการ รื้อถอนเหย้าเรือนย้ายไปอยู่ท่ีอื่น เพราะตามกฎหมายถือว่า
โดยจะเสด็จไปประทับอยู่กับเจ้านายท่ีออกวังแล้ว หรือประทับ แผ่นดินน้ันเป็นของหลวง กอปรกับที่ดินในสมัยนั้นราคาไม่แพง
ณ บ้านของขุนนางที่เป็นพระประยูรญาต ิ เพ่ือรอพระกรุณา บ้านเรือนราษฎรส่วนใหญ่เป็นเรือนเครื่องผูกหลังคามุงจาก
โปรดเกล้าฯ สร้างวังพระราชทานต่อไป สามารถรือ้ ถอน หาวสั ดอุ ุปกรณ ์ และปลกู สร้างใหมไ่ ดโ้ ดยงา่ ย
การสรา้ งวงั เจา้ นายเปน็ พระราชภาระของพระมหากษตั รยิ ์ ในสมัยรัชกาลท ี่ ๔ เมื่อมีการสร้างวังหลายแห่ง ทำให้
ที่จะต้องทรงตระเตรียมการ ต้ังแต่การจัดหาที่ดิน เลือกสรร ต้องเวนคืนโยกย้ายบ้านเรือนราษฎรเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้
ผู้ควบคุมงาน วัสดุ และกำลังคน พร้อมท้ังพระราชทานเงิน เกิดคำอุปมาอุปไมยว่าเมื่อผู้ใดถูกไล่ออกจากท่ีอยู่อาศัยจะเรียก
ค่าก่อสร้างด้วยเงินจาก “พระคลังมหาสมบัติ” ซ่ึงถือเป็น ว่าถูก “ไล่ท่ีทำวัง” ซึ่งเมื่อความทราบถึงพระเนตรพระกรรณ
พระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์มาแต่โบราณ จึงมีพระราชดำริว่าประเพณีดังกล่าวนั้นเป็นการอยุติธรรม สร้าง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ความเดือดร้อนให้แก่เหล่าอาณาประชาราษฎร์ จึงโปรดเกล้าฯ
รชั กาลท่ ี ๒ โปรดเกล้าฯ ให้ม ี “เงนิ พระคลังขา้ งที่” คอื เงนิ ซงึ่ แบง่ ให้พระราชทานเงินชดเชยแก่ผู้ถูกเวนคืนที่ต้องย้ายบ้านเรือน
ออกมาจากเงินพระคลังมหาสมบัติเก็บไว้ข้างพระแท่นท่ีบรรทม ออกไปเพื่อสร้างวัง และถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกัน
สำหรับนำไปใช้จ่ายส่วนพระองค์ ในสมัยรัชกาลท ่ี ๔ ทรงใช้เงิน ตั้งแต่นั้นมา นับเป็นจุดเริ่มต้นของกฎหมายเวนคืนที่ดินใน
พระคลังข้างที่ซ่ึงเป็นเงินส่วนพระองค์เป็นค่าใช้จ่ายในการ ประเทศไทย
กอ่ สรา้ งวงั พระราชทานแก่เจา้ นาย

10

พระมหากษัตรยิ ม์ ีพระราชภาระทตี่ ้องจดั เตรียมสร้างวังพระราชทานเจา้ นายผถู้ งึ วัยอนั ควร “ออกวงั ”
(ภาพจากจติ รกรรมฝาผนังวหิ ารพระพุทธไสยาสน์ วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม)

11

วงั เจ้านายเปรยี บเสมือนเปน็ “บา้ นหลวง” หรอื สถานทป่ี ฏบิ ัตริ าชการตามทีไ่ ดร้ บั พระบรมราชโองการ นบั เป็นการทำนบุ ำรุงรกั ษาบ้านเมอื ง
และการดแู ลทุกขส์ ุขของพสกนกิ ร (ภาพจากจิตรกรรมฝาผนงั ภายในพระอโุ บสถ วดั สุทศั นเทพวราราม)

12

รักษาประชาชนแลมนตรี เป็นสิ่งสำคัญในการสรรค์สร้างความเจริญให้แก่บ้านเมือง
ด้วยเป็นกำลังสำคัญในราชการสงคราม แรงงานก่อสร้าง และ
วัตถุประสงค์ในการสร้างวังพระราชทานเจ้านาย กลไกสำคัญทางเศรษฐกิจ อีกท้ังเมื่อบ้านเมืองกลับเป็นปึกแผ่น
นอกจากเพอื่ เปน็ ทป่ี ระทบั แลว้ ยงั เปรยี บเสมอื นเปน็ “บา้ นหลวง” มั่นคงจึงส่งผลให้กลุ่มคนหลากหลายวัฒนธรรมอพยพเข้ามา
สถานที่ปฏิบัติราชการสำคัญต่างพระเนตรพระกรรณตามที ่ พึ่งพระบรมโพธิสมภารเป็นจำนวนมาก พระมหากษัตริย ์
ได้รับพระบรมราชโองการ เช่น การป้องกันรักษาพระนคร ดูแล จะโปรดเกล้าฯ ให้กลุ่มคนเหล่าน้ีต้ังบ้านเรือนอยู่ในบริเวณ
ชุมชน และดแู ลพน้ื ท่ีสำคญั ทางเศรษฐกจิ รายรอบวัง “เจ้าต่างกรม” หรือเจ้านายท ี่ “ทรงกรม” ซ่ึงได้รับ
เม่ือแรกสถาปนากรุงรัตนโกสินทร ์ บ้านเมืองต้องเผชิญ มอบหมายให้ดูแลทุกข์สุขแก่ชุมชนน้ันๆ
กับภัยศึกสงคราม อีกทั้งสภาพความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น ภาวะ “เจ้าต่างกรม” หรือเจ้านายท ่ี “ทรงกรม” หมายถึง
บ้านแตกสาแหรกขาด และสูญส้ินขวัญกำลังใจหลังเหตุการณ ์ เจ้านายบางพระองค์ท่ีมีพระปรีชาสามารถในกิจการงานเมือง
เสียกรุง ด้วยเหตุน้ี การเลือกสถานที่สร้างวังจึงมาจากเหตุผล อุทศิ พระองค์ใหก้ ับงานราชการ มคี วามซ่อื สัตย์ พระมหากษตั รยิ ์
ดา้ นความความมน่ั คงเปน็ อนั ดบั แรก มกี ารแบง่ หนา้ ทรี่ บั ผดิ ชอบ จะโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายพระองค์นั้นมีไพร่พลจำนวนหนึ่ง
ในการรักษาพ้ืนที่ส่วนต่างๆ ของพระนคร ร้อยเอก นพดล มากน้อยตามพระอิสริยยศ เพ่ือให้เจ้านายทำหน้าท่ีปฏิบัติงาน
ปาละประเสริฐ ตง้ั ข้อสังเกตไว้ในงานวิทยานพิ นธเ์ ร่อื ง การเมือง ราชการแบ่งเบาพระราชภาระ พระมหากษัตริย์จะสร้างวัง
ไ ท ย ใ น ลุ่ ม น้ ำ เ จ้ า พ ร ะ ย า ต อ น ล่ า ง จ า ก ส มั ย เ มื อ ง คู่ สู่ ส มั ย พระราชทานให้เป็นท่ีประทับและให้ทรงกำกับกรมกองต่างๆ
ราชอาณาจักร : กรณีศึกษาพัฒนาการของวังอยุธยาและ ตามความถนดั ของแต่ละพระองค์
ต้นกรุงเทพฯ ว่า ตำแหน่งท่ีต้ังของพระราชวังและวังจะต้ังอยู่ เม่ือบ้านเมืองก้าวเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลงนับแต่สมัย
บริเวณจุดยุทธศาสตร ์ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งเส้นทางน้ำท่ีมุ่งเข้า รัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา วัตถุประสงค์ของการสร้างวังเจ้านาย
มายังพระนคร และตำแหน่งที่เป็นจุดอ่อนของพระนครและ จงึ เปลย่ี นแปลงตามไปดว้ ย ภยั ศกึ สงครามจากอาณาจกั รโดยรอบ
งา่ ยตอ่ การโจมต ี ซงึ่ บรเิ วณใดมกี ารวางตำแหนง่ ปอ้ ม หรอื วงั มาก เริ่มผ่อนคลายลง โดยมีภัยจากจักรวรรดินิยมตะวันตกเข้ามา
แสดงว่าบริเวณนนั้ เปน็ จุดยทุ ธศาสตร์สำคญั แทนท่ ี เป็นการศึกสงครามท่ีรบกันด้วยมาตรฐานทางวัฒนธรรม
พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายผู้ชำนาญ และความเจริญของบ้านเมือง
ในการศึกและเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยไปต้ังวังประทับ วตั ถปุ ระสงคใ์ นการสรา้ งวงั เจา้ นายยคุ นไ้ี ดใ้ หค้ วามสำคญั
เป็นประธาน ณ จุดยุทธศาสตร์สำคัญน้ันๆ พร้อมกับควบคุม ในฐานะส่วนหนึ่งของการรังสรรค์พระนครให้ม ี “ความศิวิไลซ์”
ไพร่พลจำนวนหน่ึง เป็นกองกำลังรักษาพระนคร ไม่เพยี งเท่าน้ัน ทัดเทียมชาติตะวันตก คติของการสร้างวังตามฐานานุศักด์ิ
หากเจ้านายพระองค์ใดมีความสามารถทางการค้าหรือมี เสื่อมความนิยมลง วังต่างๆ จึงสร้างด้วยวัสดุท่ีคงทนถาวร
ความสมั พนั ธท์ างเครอื ญาตกิ บั ชมุ ชนการคา้ ใด มกั จะโปรดเกลา้ ฯ มคี วามงดงาม โออ่ า่ หรหู รา และมคี วามประณตี ทางสถาปตั ยกรรม
ให้สร้างวังเป็นประธาน ณ ย่านการค้านั้น เพื่อให้ความสะดวก ตามแบบตะวันตก เพื่อแสดงให้ชาวต่างชาติประจักษ์ว่า
ดา้ นการคา้ กบั ชุมชน ชาวสยามมีความเป็นอยู่ที่ทัดเทียมนานาอารยประเทศ
ในสมัยตน้ กรุงรตั นโกสนิ ทร ์ การควบคุมไพร่พล “เลกสัก”
(คือการสักเคร่ืองหมายท่ีข้อมือเพื่อแสดงถึงมูลนายที่ตนสังกัด) 13

วังเจ้านายในสมยั ตน้ กรงุ รัตนโกสนิ ทรเ์ ป็นเรือนเครือ่ งสับ พระนิพนธ์เร่ืองตำนานวังเก่า ของสมเด็จฯ กรมพระยา
สร้างด้วยเครื่องไม้แก่น หลังคามุงกระเบื้อง จากภาพสันนิษฐานว่า ดำรงราชานุภาพได้อธิบายถึงความแตกต่างทางสถาปัตยกรรม
คือ วังรมิ ป้อมมหาไชย ซง่ึ ตอ่ มาเปน็ ทต่ี ั้งของวงั บรู พาภริ มย์ ของวังเจ้าฟ้าและวังพระองค์เจ้าว่า กำแพงวังเจ้าฟ้ากับกำแพง
(ภาพจากจติ รกรรมฝาผนงั วัดทองธรรมชาต)ิ วังพระองค์เจ้าแตกต่างกัน กำแพงวังเจ้าฟ้าจะมีใบเสมา
ส่วนกำแพงวังพระองค์เจ้าจะมีใบเสมามิได้ เพราะถือเป็นกฎ
สรรค์สร้างสถาปัตยาคาร มณเฑยี รบาลซง่ึ ถือปฏิบตั มิ าแต่ครั้งกรงุ เกา่
ตามฐานานศุ กั ด์ิและยคุ สมยั สาเหตุที่กำแพงวังเจ้าฟ้ามีใบเสมาอย่างกำแพงพระนคร
เนื่องจากในสมัยโบราณเจ้านายชั้นเจ้าฟ้าจะได้ออกไป
วังเจ้านาย ไม่เพียงแต่เป็นสถานท่ีปฏิบัติราชการ “กินเมอื ง” หรือครองหัวเมอื งตามราชประเพณ ี ต่อมา เมอื่ ยกเลกิ
ต่างพระเนตรพระกรรณ หากแต่สถาปัตยกรรมของวังยังเป็น ประเพณีกินเมืองในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
เคร่ืองแสดงถึงฐานานุศักดิ์หรือพระอิสริยยศของผู้อยู่อาศัย พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวังเจ้าฟ้าในกรุงศรีอยุธยา
สะท้อนออกมาด้วยรปู แบบท่ีเปน็ เอกลักษณ ์ ไม่ว่าจะเป็นกำแพง โดยให้มีกำแพงใบเสมาเพ่ือเป็นเครื่องหมายแสดงถึงสกุลยศ
วัง ประตูวัง และขนาดของตำหนักที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจแบ่ง ว่าเป็นเจ้านายช้ันเจ้าฟ้าที่ได้ครองเมืองแต่โบราณ และถือเป็น
รปู แบบและลกั ษณะของวงั ตามสกลุ ยศของเจา้ นายเปน็ ๒ ระดบั ธรรมเนียมปฏบิ ัตสิ บื มาจนถึงสมยั กรงุ รตั นโกสินทร ์
คือ วังเจ้าฟา้ และวงั พระองคเ์ จ้า นอกจากน้ ี วังเจ้าฟ้าและวังพระองค์เจ้ายังมีลักษณะ
แตกต่างกันท่ีท้องพระโรง ท้องพระโรงวังเจ้าฟ้าจะทำหลังคา
14 มีมุขลดเป็น ๒ ช้ัน ส่วนวังพระองค์เจ้าหลังคาจะทำมุขลด
เพียงช้ันเดียว ส่วนตำหนักที่ประทับวังเจ้าฟ้าและวังพระองค์เจ้า
มีแบบแผนเดียวกัน แต่มีขนาดต่างกัน คือ ท้องพระโรงหันหน้า
ด้านยาวออกสู่หน้าวัง ด้านหลังท้องพระโรงมีชานกว้างเท่ากับ
ความยาวของท้องพระโรง มีเรือน ๕ ห้อง ๒ หลังแฝดเป็น
ตำหนักใหญ ่ หันด้านสกัดสู่ท้องพระโรงและมีเรือน ๕ ห้อง
หลังเดียวเป็นตำหนักน้อย วางคู่ขนานกับตำหนัก ๒ หลังแฝด
ตำหนัก ๓ หลังนี้เป็นท่ีประทับ ท้ายตำหนักมีชาลาแล่นเช่ือม
ตำหนักทั้ง ๓ หลัง หัวและท้ายชาลาก้ันด้วยแผงลับแล
มปี ระตทู างลงได ้ ๒ ดา้ น รมิ ชาลาทา้ ยตำหนกั มเี รอื นฝากระดาน
ขนานไปกบั ท้องพระโรง เป็นทอ่ี ยูข่ องชายาและโอรสธิดา
การสร้างวังในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ล้วนสร้างด้วย
เคร่ืองไม้แก่น หลังคามุงกระเบ้ือง ครั้นถึงรัชสมัยพระบาท
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ในเขตพระราชฐาน

ช้ันในเร่ิมมีการสร้างตำหนักแบบก่ออิฐฉาบปูนแทนการสร้าง ตำหนักใหญ่วังบางขุนพรหม มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบเรเนซองส์
ดว้ ยเครอื่ งไม้ ทำใหอ้ าคารมีความคงทนแข็งแรงมากยิ่งขึ้น (Renaissance) ซงึ่ เป็นทนี่ ิยมในยโุ รปในสมยั รชั กาลที ่ ๕
นักวิชาการหลายคนต้ังข้อสังเกตว่าในสมัยรัชกาลที่ (ภาพจากนิตยสารเมืองโบราณ)
๑ - ๒ ตำหนักในเขตพระราชฐานช้ันในเดิมเป็นเคร่ืองไม้ท้ังส้ิน
เพิ่งมาเปลี่ยนเป็นก่ออิฐถือปูนในสมัยรัชกาลท ่ี ๓ ในรัชกาลน้ ี พระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม พระราชวงั ดสุ ติ มลี กั ษณะสถาปตั ยกรรม
เศรษฐกิจการค้าสำเภาระหว่างสยามและจีนเจริญรุ่งเรือง มีการ แบบนีโอเรเนซองส์ (Neo - Renaissance) และนีโอคลาสสิก
“เลือกรบั ” และ “ปรับใช้” วฒั นธรรมจนี ในราชสำนัก โดยเฉพาะ (Neo - Classic) (ภาพจากนิตยสารเมืองโบราณ)
สถาปัตยกรรมของวัดและวังอันเป็นเอกลักษณ์แห่งยุคสมัย
ด้วยรัชกาลท่ ี ๓ มีพระราชประสงค์ให้สร้างสถาปัตยกรรมวัด ล่วงถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
และวังให้มีความคงทนแข็งแรงตามแบบอย่างสถาปัตยกรรมจีน รัชกาลที ่ ๗ เนื่องจากเป็นยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำ อีกทั้งพระมหา
และมีความอ่อนช้อยงดงามตามแบบสถาปัตยกรรมไทย กษัตริย์ไม่มีพระราชโอรส จึงไม่มีการสร้างวังสำหรับพระเจ้า
ประเพณี กอปรกับการสร้างวัดและวังด้วยเคร่ืองไม้ติดไฟได้ง่าย ลูกยาเธอคงมีแต่วังในระดับพระองค์เจ้าหรือหม่อมเจ้า ซึ่งยังคง
ทำให้เกิดเพลิงไหม้ในพระนครอยู่บ่อยคร้ัง จึงมีการสร้างวัดและ เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวนั ตก
วงั แบบกอ่ อิฐถือปนู ในเขตพระนครเพ่มิ มากข้ึน
ต่อมา ในสมัยรัชกาลท ี่ ๔ เม่ือสยามเข้าสู่การเป็น 15
ส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจการค้าโลกภายหลังการทำ
สนธิสัญญาเบาว์ริงเม่ือพุทธศักราช ๒๓๙๘ จึงเร่ิมมีการติดต่อ
คา้ ขายกบั ชาตทิ างตะวันตก เพ่อื แสดงถึงความมีอารยะทดั เทยี ม
นานาประเทศ การก่อสร้างพระราชวังและวังในสมัยน้ี
จึงได้รับอิทธิพลของสถาปัตยกรรมตะวันตกเป็นอย่างมาก เช่น
หมู่พระที่น่ังในพระอภิเนาว์นิเวศน ์ พระท่ีน่ังอนันตสมาคม
(องค์เก่า) ในพระบรมมหาราชวัง ตำหนักเก๋งพระป่ินเกล้าฯ
ในพระราชวังเดมิ เปน็ ตน้
คร้ันถึงสมัยรัชกาลท่ ี ๕ รูปแบบของวังเปล่ียนแปลงไป
ตามความพอพระทัยของเจ้านายที่เป็นเจ้าของวัง มีการว่าจ้าง
สถาปนิกชาวตะวันตกเป็นผู้ออกแบบ ไม่เคร่งครัดเรื่องจารีต
ในการสร้างเช่นในอดีต เช่น วังเจ้าฟ้าบางแห่งไม่มีการสร้าง
กำแพงใบเสมา ไม่มีการสร้างท้องพระโรงด้วยรูปแบบ
อาคารไทยประเพณี แต่ให้ความสำคัญกับความงดงามทาง
สถาปัตยกรรมตามยุคสมัย

พระมหากษัตริยแ์ ละเจ้านายแหง่ พระบรมราชจกั รีวงศ์ทรงให้การสนับสนุนศิลปวัฒนธรรมทุกแขนง
(ภาพจากจติ รกรรมฝาผนงั ภายในวดั มชั ฌิมาวาส จงั หวดั สงขลา)

16

ส่งผ่านมรดกวฒั นธรรมลำ้ ค่าสสู่ งั คมไทย ไม่เพียงเท่านั้น ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างเจ้านาย
กับไพร่พล ยังทำให้มีการแลกเปล่ียนวัฒนธรรมราษฎร์เข้าไป
พระราชวังและวัง นอกจากจะเป็นสถานท่ีประทับ แพร่หลายอยู่ในวังเจ้านายหลายอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ของเจ้านายแล้ว ยังเปรียบเสมือนบ้านหลวงหรือสถานท่ีฝึกหัด มหรสพความบันเทิง เช่น ในสมัยรัชกาลท่ี ๒ ได้ทรงนำ
งานราชการและศิลปวิทยาการไทยทุกแขนงท่ีสืบทอดมาแต ่ วัฒนธรรมพืน้ บ้าน พระราชนิพนธ์เป็นกลอนบทละครทมี่ ีช่อื เสียง
ครั้งโบราณ และสร้างสรรค์ ส่งผ่านมรดกทางวัฒนธรรม เช่น ไกรทอง ขุนช้างขุนแผน สังข์ทอง เป็นต้น หรือพระบาท
อนั ลำ้ ค่าเหลา่ นั้นมาส่สู ังคมไทย สมเด็จพระป่ินเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดการ “แอ่วลาวเป่าแคน”
ก่อนการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินในสมัย ของชาวลาวเวียงจันทน์ และมีการดัดแปลงหุ่นกระบอกจีน
รัชกาลที ่ ๕ หน่วยงานและกรมกองต่างๆ ยังกระจัดกระจาย ให้เป็นหุ่นหลวงวังหน้า เป็นต้น ด้วยเหตุน้ี วังเจ้านาย จึงเป็น
และไม่มีสถานที่ราชการอย่างเป็นสัดส่วน จึงต้องอาศัย ท้ังที่ประทับ ท่ีทรงงาน สถานท่ีศึกษา เรียนรู้ ฝึกหัด และ
วังเจ้าต่างกรม เป็นสถานท่ีปฏิบัติงาน ภายในบริเวณวัง สรรค์สร้างศิลปวัฒนธรรมช้ันยอดของแผ่นดิน
และบริเวณโดยรอบ จึงเป็นที่พักอาศัยของข้าราชการและ ลกุ าลสมยั เมอื่ มกี ารเปลยี่ นแปลงการปกครอง พทุ ธศกั ราช
เหล่าไพร่พลที่เจ้านายพระองค์นั้นๆ ทรงกำกับอยู ่ หากเจ้านาย ๒๔๗๕ ไพร่พลและลูกหลานท่ีเคยสังกัดวังเจ้านายต่างแยกย้าย
พระองค์ใดมีความชอบในราชการสงครามจะได้รับพระราชทาน กระจัดกระจายกันไป และได้นำสรรพวิชาความรู้ที่ได้รับจากวัง
ไพร่พลเป็นบำเหน็จศึก ไพร่พลเหล่าน้ันมักจะตั้งบ้านเรือน ไปประกอบสัมมาอาชีวะเลี้ยงชีพและสืบทอดภูมิปัญญา
อยู่รายรอบวังเจ้านายในสงั กัดเช่นเดียวกนั จากรุ่นสู่รุ่นจนกลายเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ท่ียังคงเป็น
วังเจ้านายจึงมีหน้าที่ดูแลข้าราชการและไพร่พลในสังกัด เอกลักษณ์เชิดหน้าชูตาชาวกรุงเทพฯ มาจวบจนปัจจุบัน
รับภาระช่วยเหลือดูแลชุมชนต่างๆ ต้ังแต่การมอบข้าวปลา
อาหาร เครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีพ ตลอดจนวัสดุในการ
ก่อสร้างที่พักอาศัย และมีหน้าท่ีสำคัญในการฝึกหัดไพร่พล
ในสังกัดตามท่ีได้รับมอบหมาย เช่น งานช่างศิลา งานโยธา
งานชา่ งสบิ หม ู่ มหรสพ ใหส้ ามารถปฏบิ ตั งิ านรบั ใชร้ าชการแผน่ ดนิ
เจ้านายแต่ละพระองค์ต่างมีพระปรีชาสามารถ
และความสนพระทัยในศิลปวิทยาการอย่างหลากหลาย
เช่น งานช่าง งานศิลปะ การดนตรี การละคร นาฏศิลป ์
ข้าราชการและไพร่พลในสังกัดจะได้รับการถ่ายทอดฝึกหัด
ศลิ ปวิทยาการน้ันๆ จากวงั เจา้ นายดว้ ย

17

พระบรมมหาราชวงั

ณ ฟากน้ำฝั่งตะวันออก ตำบลบางกอก บนพื้นท ่ี
ขนาดใหญก่ วา่ ๑๕๒ ไร ่ ๒ งาน เปน็ ทตี่ ง้ั ของพระบรมมหาราชวงั
สถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์ ศูนย์กลางการปกครอง
ของราชอาณาจักร ทั้งยังเป็นสถานที่เก็บรวบรวม สร้างสรรค ์
และถ่ายทอดสรรพวิชาความรู้ ภูมิปัญญา และศิลปวัฒนธรรม
อันล้ำค่านานัปการที่ได้รับการสั่งสมสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น
มาหลายร้อยป ี จนกลายมาเป็นเอกลักษณ์แห่งความเป็นไทย
ท่ีดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกสารทิศให้เข้ามาสัมผัสวัฒนธรรมและ
ประเพณีอันงดงาม เป็นความภาคภูมิใจของคนกรุงเทพฯ และ
คนไทยท้ังชาติ

18

19

สมเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั รยิ ศ์ ึกทรงไดร้ ับการอัญเชญิ จากอเนกนิกรชนใหเ้ สด็จเถลงิ ถวัลยราชสมบัติข้ึนเป็นปฐมกษัตรยิ แ์ หง่ พระบรมราชจักรวี งศ์
(ภาพจากโคลงภาพพระราชพงศาวดาร รปู ที ่ ๗๒ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราชเสดจ็ พระราชดำเนนิ กลับจากเมืองเขมร นายอ้ิม เขยี น)

20

สถาปนากรุงเทพทวารวดี ในช้ันแรก โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชมณเฑียรอย่าง
เรยี บงา่ ย ลอ้ มดว้ ยปราการระเนยี ดไมไ้ วพ้ อเปน็ ทปี่ ระทบั ชวั่ คราว
พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ และโปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมพระราชมณเฑียรเม่ือวันท่ี ๑๓
ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศฯ์ (ขำ บนุ นาค) ระบวุ ่า เมือ่ พระบาท มิถุนายน พุทธศักราช ๒๓๒๕ และโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที ่ ๑ ปฐม พระราชวังบวรสถานมงคลข้ึนทางด้านเหนือของพระบรม
กษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทรงปราบปรามการจลาจล มหาราชวัง หลังการสร้างพระราชนิเวศน์และพระราชวัง
ท้ังปวงในกรุงธนบุรี จึงทรงได้รับการอัญเชิญจากอเนกนิกร บวรสถานมงคลแล้วเสร็จ จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธี
สโมสรสมมติให้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติผ่านพิภพกรุงเทพ ปราบดาภเิ ษกตามโบราณราชประเพณี เมือ่ วันจนั ทร ์ เดอื นแปด
ทวารวดีศรีอยุธยา เม่ือปีขาล จัตวาศก จุลศักราช ๑๑๔๔ บูรพาษาฒ ข้ึนค่ำหนึ่ง ปีขาล จัตวาศก จุลศักราช ๑๑๔๔
(พุทธศักราช ๒๓๒๕) (พทุ ธศกั ราช ๒๓๒๕)
พระองค์มีพระราชดำริว่า กรุงธนบุรีฟากฝ่ังตะวันออก ครั้นจุลศักราช ๑๑๔๕ ปีเถาะ เบญจศก (พุทธศักราช
เปน็ ชยั ภมู ทิ ดี่ กี วา่ ฝงั่ ตะวนั ตก อกี ทง้ั พระราชนเิ วศนม์ ณเฑยี รสถาน ๒๓๒๖) รัชกาลท่ ี ๑ โปรดเกล้าฯ ให้ต้ังกองสักเลกไพร่หลวง
ฝ่ังตะวันตกต้ังอยู่ในที่อุปจาร คือ ขนาบด้วยวัดแจ้ง (วัดอรุณ สมกำลังและเลกหัวเมืองเหนือท้ังปวง แล้วเกณฑ์ให้ทำอิฐ
ราชวราราม) และวัดท้ายตลาด (วัดโมลีโลกยาราม) ทำให้ ขึ้นใหม่บ้าง เกณฑ์ให้ไปร้ือกำแพงเมืองกรุงเก่าบ้าง เพ่ือนำอิฐ
คับแคบไม่สามารถรองรับการเจริญเติบโตของบ้านเมือง มาใชใ้ นการกอ่ สรา้ งพระนคร โปรดเกลา้ ฯ ใหร้ อ้ื ปอ้ มวไิ ชยเยนทร ์
ในอนาคตได ้ จึงมีรับสั่งให้พระยาธรรมาธิกรณ์ (บุญรอด) กับกำแพงกรุงธนบุรีฝ่ังตะวันออกเพ่ือขยายพระนครออกไป
กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมไพร่พลไปวัดกำหนดท่ีสร้าง ให้กว้างขวาง แล้วให้เกณฑ์ไพร่พลชาวเขมร ๑๐,๐๐๐ คน
พระนครและพระราชนิเวศน์มณเฑียรสถานแห่งใหม่ ณ ฟากน้ำ เขา้ มาขดุ คูพระนครฝัง่ ตะวันออก คอื คลองรอบกรงุ คลองหลอด
ข้างฝ่ังตะวันออก โปรดเกล้าฯ ให้เหล่าพราหมณาจารย์ต้ังพิธ ี (หลอดวัดราชบพิธและหลอดวัดราชนัดดาราม) และคลอง
ยกเสาหลักเมอื งขนึ้ เม่อื วนั อาทิตย์ เดือนหก ขน้ึ สิบคำ่ ฤกษ์เวลา มหานาค รวมทางนำ้ รอบพระนครท้ังสน้ิ ๑๗๗ เสน้ ๙ วา (๗.๒
ยำ่ ร่งุ แล้ว ๕๔ นาที กิโลเมตร) คร้ันขุดคลองเสร็จและเตรียมอิฐปูนไม้เรียบร้อยแล้ว
ครั้นประกอบพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคลแล้วเสร็จ โปรดเกลา้ ฯ ให้เกณฑ์ลาวเมืองเวียงจันทน์ ๕,๐๐๐ คน ขุดราก
โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ถาปนาพระบรมมหาราชวงั ขน้ึ บนทด่ี นิ แปลงใหญ ่ ก่อกำแพงและสร้างป้อมปราการรอบพระนคร
ซ่ึงตั้งอยู่ระหว่างวัดสลัก (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ิ) และ
วัดโพธาราม (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม) โดยท่ีดินผืนน้ี “พรรณพฤษ แลสงิ่ ของทังปวง
เป็นท่ีดินของพระยาราชาเศรษฐีและชาวจีน ซ่ึงต้ังเคหสถาน ซงึ่ มีในแผ่นดินทวั่ ขอบเขตรแดนพระนคร
อยู่มาแต่สมัยกรุงธนบุร ี
พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชาเศรษฐีและชาวจีน ซึง่ หาเจา้ ของหวงแหนมิได้นั้น
ไปต้ังบ้านเรือนอยู่ในสวนตั้งแต่คลองวัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิ ตามแต่สมณชพี ราหมณ
ราชาวาส) ไปจนถึงคลองวัดสามเพ็ง (วัดปทุมคงคา) แล้วให้
สถาปนาพระราชนิเวศนม์ ณเฑียรสถานบนทีด่ ินผนื นี ้ อนาประชาราษฎรจะปรารถนาเถดิ ”

(พระปฐมบรมราชโองการในการพระราชพิธีปราบดาภเิ ษก
เม่อื พทุ ธศักราช ๒๓๒๖)
21

ในปีเดียวกันนี ้ โปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขพระราชมณเฑียร แ ล ะ พ ร ะ ร า ช ม ณ เ ฑี ย ร ส ถ า น เ รี ย ง ร า ย เ ป็ น ร ะ ย ะ เ ดี ย ว กั น
สถาน และเสาระเนียดรายรอบพระบรมมหาราชวังจากเครื่องไม ้ มีหมู่พระมหามณเฑียรตรงกับพระที่น่ังวิหารสมเด็จมหา
เป็นก่อกำแพงอิฐ สร้างป้อม และประตูรายรอบพระบรม ปราสาทคร้ังกรุงเก่า พระที่น่ังอินทราภิเษกมหาปราสาท ตรงกับ
มหาราชวัง พร้อมท้ังก่อสร้างพระมหาปราสาทและพระราช พระทน่ี ง่ั สรุ ยิ าสนอ์ มรนิ ทรม์ หาปราสาท พรอ้ มกนั นนั้ โปรดเกลา้ ฯ
มณเฑียรสถานใหม่ โดยยึดแบบแผนผังจากพระราชวังหลวง ให้สถาปนาพระอารามหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวังอย่างวัด
กรุงศรีอยุธยาแทบทุกประการ กล่าวคือ สร้างพระบรมมหา พระศรีสรรเพชญ ์ เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตน
ราชวังชิดแม่น้ำ หันหน้าไปทางทิศเหนือ ให้แม่น้ำเจ้าพระยา ปฏิมากร (พระแก้วมรกต) พระราชทานนามพระอารามแหง่ นว้ี า่
อยู่ข้างซ้ายของพระบรมมหาราชวัง โดยให้กำแพงเมืองด้านข้าง “วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม” เพอื่ ใหค้ ล้องกับนามพระพุทธปฏมิ า
แม่น้ำเป็นกำแพงพระบรมมหาราชวังชั้นนอก พระมหาปราสาท

พระทีน่ ั่งดสุ ติ มหาปราสาทและท่าราชวรดฐิ ในรชั สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว
ถ่ายโดยหลวงอคั นนี ฤมิตร หรอื ฟรานซสิ จิตร (สมบัตขิ องเอกชน)

22

เม่ือการสร้างพระนครและพระบรมมหาราชวังแล้วเสร็จ มหรสพฉลอง ๓ วัน พร้อมสมโภชวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
โปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ระกอบพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษกขนึ้ อกี ครงั้ หนงึ่ แล้วพระราชทานนามพระมหานครแห่งใหม่ให้พ้องกับนาม
อย่างเต็มตำรา เมื่อจุลศักราช ๑๑๔๗ ปีมะเส็ง สัปตศก พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรว่า “กรุงเทพมหานคร
(พทุ ธศกั ราช ๒๓๒๘) เมอ่ื เสรจ็ การพระราชพธิ บี รมราชาภเิ ษกแลว้ บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพนพรัตนราชธานี
โปรดเกล้าฯ ให้มีการสมโภชพระนครโดยให้นิมนต์พระสงฆ ์ บูรีรมย์อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต
ทุกๆ พระอารามท้ังในกรุงและนอกกรุงข้ึนสวดพระพุทธมนต ์ สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธ์ิ” กรุงศรีอยุธยาจึงได้กลับ
บนเชิงเทินทุกๆ ใบเสมา ใบเสมาละหน่ึงรูปรอบพระนคร ฟื้นคืนสู่ความยิ่งใหญ่และสง่างามอีกคร้ังหนึ่ง ณ ริมฝ่ังแม่น้ำ
พระราชทานเงนิ และขอแรงใหข้ า้ ราชการเลย้ี งยาจกวณพิ ก มกี าร เจา้ พระยา กรงุ เทพมหานคร

“...อยธุ ยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
สิงหาสนป์ รางคร์ ตั น์บรร เจิดหลา้
บญุ เพรงพระหากสรรค์ ศาสนร์ ุง่ เรอื งแฮ
บงั อบายเบิกฟา้ ฝึกฟืน้ ใจเมอื ง ฯ...”

(นิราศนรนิ ทร ์ : นายนรินทรธเิ บศร์ (อนิ ))

23

รว่ มรงั สรรค์เมอื งสวรรค์ ผสมผสานกับรูปแบบทางสถาปัตยกรรมท่ีมีมาแต่เดิม อาคาร
ถาวรวัตถุต่างๆ ล้วนสร้างขึ้นด้วยวัสดุท่ีคงทนถาวรประดับ
พระบรมมหาราชวงั ไดร้ บั การรงั สรรคข์ นึ้ อยา่ งวจิ ติ รบรรจง ตกแต่งดว้ ยศิลปะสมยั นยิ มอย่างเรเนซองส ์ ทำให้สถาปตั ยกรรม
โดยเหล่าช่างฝีมือผู้ชำนาญการท่ีได้รับการสืบทอดศิลปะวิชา ในยุคนม้ี คี วามงดงาม เปน็ เอกลักษณ ์ และนำสมยั
มาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สถานท่ีแห่งน้ีจึงเปรียบดังเพชรน้ำเอก ภายในพระบรมมหาราชวังแบ่งออกเป็นเขตต่างๆ
แห่งสถาปัตยกรรมไทย ซ่ึงเป่ียมไปด้วยความงดงามทางศิลปะ ตามพื้นที่ใช้สอย โดยกั้นเขตด้วยอาคาร ถนน พระระเบียง
และภมู ปิ ัญญาที่บรรพชนไดส้ ง่ั สมสบื ทอดมาอย่างยาวนาน กำแพงแกว้ เขอ่ื นเพชร และเตง๊ (เปน็ อาคารแถวหรอื ทมิ สรา้ งขน้ึ
ตลอดระยะเวลากว่า ๒๐๐ ปี นับแต่สถาปนา เพื่อก้ันเขตพระราชฐานช้ันในกับพระราชฐานช้ันนอกและใช้เป็น
กรุงรัตนโกสินทร์ พระบรมมหาราชวังได้มีการสร้างสรรค์ ที่อยูข่ องผู้ปฏิบตั ิงานในเขตพระราชฐานชั้นใน) แบง่ เปน็ ๓ สว่ น
ถาวรวัตถุและศิลปกรรมอย่างงดงามตามยุคสมัย เป็นบทบันทึก คือ
แห่งประวัติศาสตร์ท่ีบอกเล่าเรื่องการสืบทอดศิลปวัฒนธรรม พระราชฐานชนั้ นอก นับตัง้ แต่ประตูวเิ ศษไชยศรีถงึ ประตู
แตค่ รง้ั บรรพชน ตลอดจนการเลอื กรบั และปรบั ใชว้ ฒั นธรรมใหม่ พิมานไชยศรี เป็นท่ีตั้งของท่ีทำการหน่วยงานราชการและ
เพอื่ ใหส้ ยามกา้ วทนั ความเปลย่ี นแปลงของโลกไดอ้ ยา่ งทนั ทว่ งที วัดพระศรรี ัตนศาสดาราม
เม่ือแรกสถาปนาพระบรมมหาราชวัง นอกจากป้อม พระราชฐานช้ันกลาง นับต้ังแต่ประตูพิมานไชยศร ี
ปราการ พระอโุ บสถวัดพระศรรี ตั นศาสดาราม พระมหาปราสาท ถึงประตูสนามราชกิจ เป็นท่ีประทับและเสด็จออกว่าราชการ
และพระมหามณเฑียรแล้ว ส่ิงก่อสร้างท้ังหลายล้วนสร้างด้วย ของพระมหากษัตริย์ต้ังแต่รัชกาลท่ี ๑ ถึงรัชกาลที่ ๕
เครอ่ื งไมท้ ้งั สน้ิ เปน็ ต้นว่า ตำหนักฝา่ ยใน ศาลาลกู ขนุ และคลัง ในสมัยหลังใช้เป็นสถานท่ีประกอบพระราชพิธีสำคัญและ
ท้งั ปวง รับรองพระราชอาคันตุกะ
ล่วงถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชฐานชั้นใน ต้ังแต่ประตูสนามราชกิจไปจรด
รัชกาลท ี่ ๓ เครื่องไม้ท่ีได้สร้างมาแต่คร้ังรัชกาลที่ ๑ ได้ชำรุด เต๊งด้านทศิ ใต ้ ในอดีตเป็นท่ปี ระทับของพระมเหสี เทวี พระราช
ทรุดโทรมลง จึงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนเป็นก่ออิฐถือปูน รูปแบบ ธิดา และข้าราชบริพารฝ่ายในที่เป็นหญิงล้วน ปัจจุบัน
สถาปัตยกรรมในพระบรมมหาราชวังจึงเปี่ยมไปด้วยความโอ่อ่า เปล่ียนแปลงประโยชน์ใช้สอยไปเพ่ือการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม
หรูหรา มีการผสมผสานระหว่างรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบไทย ไทย และเพ่อื การศึกษาหลายโครงการ
ประเพณีที่อ่อนช้อยงดงาม และสถาปัตยกรรมจีนที่มีความ พน้ื ทแ่ี ละสถานทสี่ ำคญั ตา่ งๆ ภายในพระบรมมหาราชวงั
คงทนแข็งแรงอย่างลงตัว นอกจากจะมคี วามงดงามทางดา้ นสถาปตั ยกรรมและศลิ ปกรรมแลว้
นับแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังแฝงไปด้วยเรื่องราวอันทรงคุณค่า ท่ีมีความสำคัญต่อบริบท
รัชกาลท ่ี ๔ เป็นต้นมา เม่ือมีการพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมกับ การพัฒนาและความเปล่ียนแปลงของกรุงรัตนโกสินทร ์ และ
ชาติตะวันตก รูปแบบสถาปัตยกรรมในพระบรมมหาราชวัง บอกเลา่ ถงึ รากเหงา้ ของความเปน็ ไทยทบ่ี รรพชนไดม้ านะอตุ สาหะ
ไดร้ บั การปรบั ปรงุ ใหม้ คี วามงดงามแบบอารยะ เพอ่ื แสดงใหช้ าต ิ รว่ มกนั สรรค์สรา้ งใหอ้ ยู่คกู่ รงุ เทพฯ มาจนทกุ วันน้ี
ทางตะวันตกประจักษ์ว่าชาวสยามมีความเป็นอยู่ท่ีดีไม่แพ้
ชาตใิ ดในโลก ในยคุ น ี้ มกี ารนำสถาปตั ยกรรมแบบตะวนั ตกเขา้ มา

24

ภาพถ่ายทางอากาศแสดงพืน้ ท่พี ระบรมมหาราชวัง เม่อื พุทธศักราช ๒๔๘๙ โดยปเี ตอร ์ วลิ เลียมส ์ ฮันท ์ (Peter Williams Hunt) นกั บนิ ฝ่ายสมั พนั ธมติ ร
(ภาพจากหอจดหมายเหตแุ หง่ ชาต ิ พุทธศักราช ๒๔๘๙)

25

วดั พระศรรี ตั นศาสดาราม พระพทุ ธมหามณรี ตั นปฏมิ ากรหรอื พระแกว้ มรกต พระพทุ ธรปู คบู่ า้ น
คเู่ มอื งของไทย ประดษิ ฐานภายในพระอโุ บสถวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม
วดั พระศรรี ตั นศาสดารามหรอื ทรี่ จู้ กั กนั ในชอื่ “วดั พระแกว้ ”
เป็นท่ีประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้ว เดิมพระมณฑป เป็นที่ต้ังของหอไตรตั้งอยู่กลางสระน้ำ แต่เกิด
มรกต พระพทุ ธรูปคบู่ า้ นคเู่ มืองของไทย รัชกาลท่ ี ๑ โปรดเกลา้ ฯ เพลิงไหม้ขณะงานสมโภช จึงโปรดเกล้าฯ ให้ถมสระและสร้าง
ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามขึ้นพร้อมกับการสถาปนา พระมณฑปขึ้นแทนท ่ี
พระบรมมหาราชวังเมื่อพุทธศักราช ๒๓๒๖ เพื่อเป็น พระระเบียง มีภาพเขยี นจติ รกรรมฝาผนังเร่ืองรามเกยี รติ์
พระอารามหลวง สำหรับประกอบพระราชพิธีสำคัญทางศาสนา จำนวนทั้งส้ิน ๑๗๘ ห้อง ซึ่งได้ช่ือว่าเป็นจิตรกรรมฝาผนังท่ียาว
แ ล ะ พ ร ะ ร า ช พิ ธี ส ำ คั ญ ที่ เ กี่ ย ว เ น่ื อ ง กั บ พ ร ะ ม ห า ก ษั ต ริ ย ์ ท่ีสุดในโลก เขียนข้ึนคร้ังแรกในสมัยรัชกาลท ี่ ๑ แต่ไม่ปรากฏ
เช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาและ หลักฐานว่าโปรดเกล้าฯ ให้เขียนข้ึนและสำเร็จลงเมื่อใด ต่อมา
วัดอรุณราชวรารามในสมัยกรุงธนบุรี วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในสมัยรัชกาลท ่ี ๓ โปรดเกลา้ ฯ ให้เขียนข้ึนใหม่ทั้งหมด
ต้ังอยู่ในเขตพระราชฐานช้ันนอก มีแต่เขตพุทธาวาส ไม่มีเขต พระสวุ รรณเจดยี ์ (พระเจดยี ท์ อง) สรา้ งขน้ึ ในสมยั รชั กาลท ่ี ๑
สงั ฆาวาส จงึ ไม่มีพระภิกษุสงฆจ์ ำพรรษา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างอุทิศพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบรมราช
ถาวรวัตถุภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ท่ีสร้างข้ึนใน ชนกและพระบรมราชชนนีและมีการสร้างพระเศวตกุฎาคาร
รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช ได้แก ่ วิหารยอด ซ่ึงมีเอกลักษณ์อันงดงามคือหลังคาทรงมงกุฎประดับ
พระอุโบสถ ภายในประดิษฐานพระแก้วมรกต ใช้เป็น ด้วยเคร่ืองกระเบื้อง ในสมัยรัชกาลท่ี ๔ มีการสร้างอาคาร
สถานที่ประกอบพระราชพิธีต่างๆ อาทิ พระราชพิธีศรีสัจจ เพ่ิมเติมอีกหลายหลัง เช่น ปราสาทพระเทพบิดร ประดิษฐาน
ปานกาล (ถือนำ้ พระพพิ ฒั น์สตั ยา) พระบรมรูปพระมหากษัตริย ์ ๘ รัชกาล พระศรีรัตนเจดีย์
พระมณฑป ประดิษฐานตู้พระอภิธรรมและพระไตรปิฎก ประดษิ ฐานพระบรมสารีรกิ ธาตุ
ฉบับทองใหญ่ที่ได้รับการสังคายนาในสมัยรัชกาลที่ ๑

พระอุโบสถ วดั พระศรีรัตนศาสดาราม สร้างข้นึ ในสมัยรชั กาลท่ ี ๑
เพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏมิ ากรหรอื พระแก้วมรกต

26

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ต่อมา เม่ือพุทธศักราช ๒๓๓๒
ได้เกิดอสนีบาตตกหน้าบันมุขเด็จ และไหม้เครื่องบนพระมหา
ปราสาทจนหมดสิน้

อนั ฟา้ ลงในวงั ครงั้ นี้ จะเกดิ สวสั ดมี ยี ง่ิ ใหญ่
จะมพี ระอานภุ าพปราบไป ในทศทศิ สบิ ประการ
แลว้ จะแผอ่ าณาจกั รขอบเขต ทวั่ ประเทศทศิ าสาร
จะเพม่ิ พง่ึ พระบรมสมภาร ยงั สถานนเิ วศนอ์ ยธุ ยา

(เพลงยาวถวายพยากรณเ์ มื่อพระทีน่ ัง่ อนิ ทราภิเษกมหาปราสาท
ตอ้ งอสนบี าต : สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ กรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาท)

พระทีน่ ง่ั อินทราภเิ ษกมหาปราสาทเคยประดษิ ฐาน พระทน่ี งั่ สรรเพชญปราสาทครั้งกรุงเกา่ (จำลอง)
ณ ตำแหนง่ พระท่ีนั่งดุสิตมหาปราสาทในปัจจุบัน (ภาพจากเมืองโบราณ)
(ภาพจากโคลงภาพพระราชพงศาวดาร รปู ที่ ๘๒)

หมพู่ ระท่ีนง่ั อินทราภิเษกมหาปราสาท

เขตพระราชฐานช้ันกลาง ด้านทิศตะวันตกของพระบรม
มหาราชวัง บริเวณที่ตั้งของพระท่ีนั่งดุสิตมหาปราสาท ในอดีต
เคยเป็นท่ีตั้งของหมู่พระที่น่ังอินทราภิเษกมหาปราสาท
ซ่ึงรัชกาลที ่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างข้ึน เมื่อพุทธศักราช ๒๓๒๖
เป็นหมู่พระท่ีน่ังองค์แรกในพระบรมมหาราชวัง พระราชทาน
นามว่า พระที่นั่งอินทราภิเษกมหาปราสาท มีความหมายว่า
มหาปราสาทท่ีสถิตของท้าวสักกะเทวราชหรือพระอินทร์
ผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ และเป็นเทพที่ปกปักรักษา
พระบวรพทุ ธศาสนา
หมู่พระที่นั่งอินทราภิเษกมหาปราสาทประกอบด้วย
องค์พระท่ีนั่ง พระปรัศว ์ ซ้าย - ขวา และเรือนจันทน์ พระที่น่ัง
องค์นี้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นให้มีขนาดสูงเท่ากับพระที่นั่ง
สรรเพชญปราสาทครั้งกรุงเก่า เพ่ือใช้เป็นสถานท่ีประกอบ

27

พระท่ีนงั่ ดสุ ิตมหาปราสาท สรา้ งขนึ้ ในสมยั รัชกาลท ่ี ๑ แทนทีพ่ ระที่นัง่ อินทราภิเษกมหาปราสาทที่ถูกเพลิงไหม้

พระท่นี งั่ ดุสติ มหาปราสาท พระท่ีนั่งดุสิตมหาปราสาทตามช่ือสวรรค์ชั้นดุสิต ที่สถิตของ
พระโพธิสัตว์ก่อนตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตามความเช่ือ
เม่ือพระที่นั่งอินทราภิเษกมหาปราสาทถูกเพลิงไหม้ แต่โบราณว่าพระมหากษัตริย์เป็นพระมหาสัตว์จุติลงมาเพ่ือ
ทงั้ องคจ์ นหมดสิ้น รัชกาลท ี่ ๑ ทรงพระปรวิ ติ กวา่ จะเป็นลางรา้ ย ปกครองโดยราชธรรมและชน้ี ำหนทางใหเ้ หลา่ อาณาประชาราษฎร ์
แต่เหล่าพระบรมวงศ์และขุนนางต่างพากันถวายพยากรณ์ว่า กา้ วขา้ มห้วงแหง่ วฏั สงสาร
เป็นเหตุมงคล จึงโปรดเกล้าฯ สร้างพระที่น่ังองค์ใหม่โดยเล่ือน
องค์พระท่ีน่ังมาทางทิศเหนือเล็กน้อย พระราชทานนามว่า

28

พระโกศพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทมีการเปลี่ยนแบบแผนจาก
รัชกาลท ี่ ๕ ประดษิ ฐานเหนอื พระเบญจาทองคำ พระทน่ี ่งั อนิ ทราภิเษกมหาปราสาทโดยแยกเปน็ พระท่นี ่งั ๒ องค์
ณ พระทีน่ ั่งดุสติ มหาปราสาทเมอื่ พทุ ธศักราช ๒๔๕๓ คือ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นสถานท่ีประกอบพระราชพิธี
(ภาพจากหอจดหมายเหตแุ หง่ ชาต ิ พทุ ธศักราช ๒๔๕๓) ตา่ งๆ และพระที่นัง่ พมิ านรัตยาเปน็ สถานทป่ี ระทับโดยเช่อื มต่อ
ถึงกันด้วยมุขกระสัน และโปรดเกล้าฯ ให้ลดขนาดองค์พระท่ีนั่ง
ล ง ใ ห้ เ ท่ า กั บ พ ร ะ ท่ี น่ั ง สุ ริ ย า ส น์ อ ม ริ น ท ร์ ม ห า ป ร า ส า ท ใ น
พระราชวงั หลวง กรุงศรีอยธุ ยา
พระท่ีนั่งดุสิตมหาปราสาทใช้เป็นท่ีเสด็จออกว่าราชการ
แผ่นดินเม่ือเสด็จมาประทับ ณ หมู่พระท่ีน่ังองค์น้ ี ต่อมาเม่ือ
รัชกาลท ่ี ๑ เสด็จสวรรคต ไดใ้ ชพ้ ระทนี่ งั่ องค์นี้เป็นที่ประดษิ ฐาน
พระบรมศพ และถอื เปน็ ธรรมเนยี มในการประดษิ ฐานพระบรมศพ
พระมหากษัตริย์ในรัชกาลต่อมา ตลอดจนพระศพสมเด็จพระ
อัครมเหสแี ละพระบรมวงศช์ นั้ สงู บางพระองค ์ เชน่ สมเดจ็ พระเจา้
พ่ีนางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ สมเด็จพระเจ้าพ่ีนางเธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี กรมสมเด็จพระศรีสุลาลัย
พระบรมราชชนนพี นั ปหี ลวง สมเดจ็ พระนางนาฏโสมนสั วฒั นาวด ี
บรมอรรคราชเทว ี ในรชั กาลที ่ ๔ เปน็ ตน้

“...ลศุ กั ราช ๑๑๖๑ ปมี ะแม เอกศก สมเดจ็ ตรสั สาเจา้ ราษฎรแต่งขาวไวท้ กุ ข์ในงานพระบรมศพพระบาทสมเดจ็
กรมพระศรีสุดารักษ์ เสด็จสสู่ วรรคาไลย... พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว ณ พระท่ีนงั่ ดสุ ิตมหาปราสาท
สมเดจ็ ตรัสสา เจ้าฟา้ กรมพระยา เม่อื พุทธศักราช ๒๔๕๓
เทพสุดาวดี เสด็จส่สู วรรคาไลย เชิญพระโกษ (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาต ิ พทุ ธศกั ราช ๒๔๕๓)

ไวท้ นี่ ง่ั ดสุ ติ มหาปราสาท ฟา้ ผา่ ปราสาทแตไ่ มไ่ หม.้ ..”

(จดหมายเหตคุ วามทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทว)ี

29

หมู่พระมหามณเฑยี ร หรือ “พระมหามณเฑียร” การเรียกชื่อพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน
พระที่นั่งไพศาลทักษิณ และพระท่ีน่ังอมรินทรวินิจฉัยมไหสูรย
ถัดจากพระท่ีน่ังดุสิตมหาปราสาทมาทางทิศตะวันออก พมิ าน เพง่ิ มาเรียกกันในสมยั รัชกาลท ี่ ๓
ของพระบรมมหาราชวังเป็นท่ีต้ังของหมู่พระมหามณเฑียร ในหนังสือสถาปัตยกรรมพระบรมมหาราชวังของ
มีแผนผังทอดยาวไปตามแนวทิศเหนือ - ใต้ ประกอบด้วย หม่อมราชวงศ์แน่งน้อย ศักดิ์ศร ีิ และคณะ อธิบายว่า พระที่นั่ง
พระท่ีนั่ง ๓ องค์ เช่ือมต่อถึงกัน คือ พระที่น่ังจักรพรรดิพิมาน จักรพรรดิพิมานเป็นหมู่พระท่ีน่ัง ซ่ึงรัชกาลท ี่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้
พระท่ีน่ังไพศาลทักษิณ และพระท่ีน่ังอมรินทรวินิจฉัยมไหสูรย สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นพระราชมณเฑียร (พระวิมานที่บรรทม)
พิมาน ตอ่ มา รัชกาลท ี่ ๓ พระราชทานนามว่า พระท่ีนัง่ จกั รพรรดิพิมาน
ร้อยเอก นพดล ปาละประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญเร่ือง มีความหมายว่า พระวิมานที่ประทับของ “พระจักรพรรดิราช”
พระราชวังและวังอธิบายว่า ในสมัยรัชกาลท ่ี ๑ - ๒ พระท่ีนั่ง พระมหากษตั ริยผ์ ยู้ ง่ิ ใหญ่ตามความเช่ือทางพระพทุ ธศาสนา
ในหมู่พระมหามณเฑียรไม่มีนามเรียกแยกเป็นองค ์ แต่เรียก พระที่นั่งจักรพรรดิพิมานเชื่อมต่อกับพระท่ีนั่งองค์อื่น
รวมกนั ทั้งหม่วู ่า “พระท่นี ่ังจักรพรรดิพมิ าน” แตถ่ ้าเรยี กแยกเปน็ ด้วยห้องโถงที่เรียกว่า “ท้องพระโรง” เชื่อมต่อกับพระท่ีน่ัง
องค์ๆ จะเรียกพระท่ีน่ังบุษบกมาลาว่า “ท้องพระโรง” เรียก ไพศาลทักษิณ ท้องพระโรงด้านใต้ เรียกว่า “ท้องพระโรงหลัง”
พระที่นั่งไพศาลทักษิณว่า “พระทนี่ ั่งสิบเอด็ ห้อง” หรอื “พระท่นี ่งั ขนาบด้วยพระปรศั ว์ซา้ ยและพระปรศั ว์ขวา
หน้าพระโรงใน” เรียกพระที่นั่งจักรพรรดิพิมานว่า “พระวิมาน”

หม่พู ระมหามณเฑียร ตัง้ อยูใ่ นเขตพระราชฐานช้นั กลางในพระบรมมหาราชวงั
เคยเปน็ พระวิมานท่ีบรรทมของพระมหากษัตรยิ ห์ ลายรัชกาล

30

พระที่น่ังจักรพรรดิพิมานใช้เป็นมณฑลสถานประกอบ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวประทับเหนอื พระทนี่ ั่งภัทรบฐิ
พระราชพธิ เี ฉลมิ พระราชมณเฑยี รซงึ่ เปรยี บไดก้ บั พธิ ขี น้ึ บา้ นใหม ่ ทรงหลง่ั ทักษโิ ณทกในการพระราชพิธบี รมราชาภิเษก
เม่ือพระมหากษัตริย์เสด็จขึ้นครองราชย์ทุกรัชกาล นอกจากนี้ (ภาพจากหอจดหมายเหตุแหง่ ชาต ิ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๙)
ยงั เคยใชเ้ ปน็ พระวมิ านทบ่ี รรทมของพระมหากษตั รยิ ห์ ลายรชั กาล
ในสมัยรัชกาลท ่ี ๓ โปรดเกล้าฯ ให้มีการเวียนเทียนรอบ ของพระท่ีน่ังภัทรบิฐ ท่ีประทับซึ่งทอดอยู่ภายใต้นพปฎล
พระท่ีนั่งจักรพรรดิพิมานในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มหาเศวตฉตั ร (ฉตั ร ๙ ชนั้ ) และพระทน่ี ง่ั อฐั ทศิ อทุ มุ พรราชอาสน ์
แทนการเสด็จเลียบพระนครตามโบราณราชประเพณ ี โดยโปรด พระราชอาสนร์ ปู ๘ เหลยี่ ม ซง่ึ ทอดอยภู่ ายใตส้ ปั ตปฎลเศวตฉตั ร
ประทับ ณ พระที่น่ังองค์น้ีตลอดรัชกาล และพระท่ีนั่งองค์น ้ี (ฉัตร ๗ ชั้น) ซึ่งสร้างข้ึนในสมัยรัชกาลท่ ี ๑ เพื่อใช้เป็นสถานที่
ยังเป็นสถานท่เี สดจ็ สวรรคตของพระองค์ด้วย ประกอบพระราชพิธบี รมราชาภเิ ษก
หนังสือประวัติต้นรัชกาลท ่ี ๖ พระราชนิพนธ์ในพระบาท พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที ่ ๒ ฉบับ
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ ี ๖ เล่าว่า ในสมัย เจ้าพระยาทพิ ากรวงศ์ฯ (ขำ บุนนาค) ระบวุ า่ ในสมยั รัชกาลที ่ ๒
รัชกาลที่ ๔ ไม่โปรดประทับ ณ พระท่ีน่ังจักรพรรดิพิมาน โปรดเกล้าฯ ให้ใช้พระที่นั่งไพศาลทักษิณสำหรับการพระราชพิธี
(ประทบั ระหว่างพุทธศกั ราช ๒๓๙๔ - ๒๔๐๒) แต่โปรดประทับ บรมราชาภิเษกของพระองค์แทนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ณ พระอภิเนาว์นิเวศน ์ พระราชมณเฑียรท่ีโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง เนื่องจากใช้เป็นที่ตั้งพระบรมศพสมเด็จพระบรมชนกนาถ
ขึ้นใหม่จนสิ้นรัชกาล (พระอภิเนาว์นิเวศน์มีพระท่ีนั่งองค์สำคัญ จึงถือเป็นธรรมเนียมที่จะใช้พระท่ีนั่งองค์น้ีต้ังการพระราชพิธ ี
คอื พระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม (องคเ์ กา่ ) สรา้ งขนึ้ ดว้ ยสถาปตั ยกรรม บรมราชาภเิ ษกสืบตอ่ มาจนถึงรัชกาลปจั จบุ ัน
แบบตะวันตกเพื่อใชเ้ ป็นสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมอื ง) พระที่น่ังไพศาลทักษิณยังเคยใช้เป็นที่ประทับเสวย
คร้ันถึงสมัยรัชกาลท ี่ ๕ เมื่อแรกเสวยราชสมบัติไม่โปรด พระกระยาหารและบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นการภายใน
เสด็จประทับ ณ พระอภิเนาว์นิเวศน์ แต่พอพระราชหฤทัย โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลท่ ี ๓ โปรดเสวยกลางวัน ณ พระท่ีน่ัง
จะประทับ ณ หมู่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เช่นเดียวกับ องค์น้ีตลอดรัชกาล นอกจากน้ ี ภายในพระท่ีนั่งไพศาลทักษิณ
พระราชานกุ จิ ครงั้ รชั กาลท ่ี ๓ ตอ่ มา โปรดประทบั ณ หมพู่ ระทนี่ งั่ ยังมีพระวิมานพร้อมทั้งเครื่องบูชาแบบจีน ซ่ึงรัชกาลที่ ๔
จักรีมหาปราสาทท่ีโปรดเกล้าฯ ให้สร้างข้ึนใหม่ พระท่ีน่ัง โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งขนึ้ เพอ่ื เปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานพระสยามเทวาธริ าช
จักรพรรดิพิมานจึงใช้เป็นท่ีเก็บของมีค่าส่วนพระองค์และ
ปิดตายมืดครึ้มจนมีเสียงร่ำลือว่าผีดุ ต่อมา ในสมัยรัชกาลที ่ ๖ 31
โปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมพระที่น่ังองค์น้ีครั้งใหญ่และไม่โปรดให้
ปล่อยทิ้งร้างอีกต่อไป โดยโปรดประทับ ณ พระที่นั่งจักรพรรดิ
พิมานเมื่อคราวทรงพระประชวรหนัก และเสด็จสวรรคต
ณ พระท่นี งั่ องค์นี้

พระท่นี ง่ั ไพศาลทักษณิ (แปลวา่ ผู้เป็นใหญใ่ นทิศข้างใต ้
คอื ชมพทู วปี ซึ่งหมายถงึ พระเจา้ จกั รพรรดิราช) ตงั้ อยดู่ ้านเหนอื
ของท้องพระโรงหน้า ต่อจากพระที่น่ังจักรพรรดิพิมาน เป็นท่ีต้ัง

พระท่ีนั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมานตั้งอยู่ด้านเหนือ พระท่นี ง่ั อมรินทรวนิ จิ ฉยั มไหสรู ยพมิ าน ใชเ้ ป็นสถานทีเ่ บกิ เจา้ นาย
ของพระที่น่ังไพศาลทักษิณ เช่ือมต่อด้วยพระทวารท่ีเรียกว่า ขนุ นาง และเจา้ ประเทศราชเข้าเฝา้ ฯ (ภาพจากโคลงภาพพระราช
“พระทวารเทวราชมเหศวร” (ในอดีตเรียกกันว่า “พระทวารา”) พงศาวดารรปู ท ่ี ๘๙ องเชยี งสือสามิภักด ์ิ พระจ่าง เขียน)
ซึ่งเป็นทางเสด็จออกสู่ท้องพระโรงที่ประดิษฐานพระท่ีน่ังบุษบก
มาลามหาจักรพรรดิพิมาน ประดิษฐานพระแท่นมหาเศวตฉัตร ตามธรรมเนียมของการสร้างพระมหามณเฑียรท่ีประทับ
หรือพระราชบลั ลงั ก์สำหรบั เสดจ็ ออกขุนนางว่าราชการ แตถ่ า้ ใช้ ย่อมจะมี “หอพระ” เช่นเดียวกับ “ห้องพระ” ของบ้านสามัญชน
เวลาเสด็จออกมหาสมาคมในการพระราชพิธีจะมีการเชิญ ในหมู่พระมหามณเฑียรน้ีมีหอพระ ๒ หอ หอหนึ่งประดิษฐาน
พระท่ีน่ังพุดตานกาญจนสิงหาสน์ทอดเหนือพระราชบัลลังก์ พระพุทธรูปสำคัญเพื่อทรงสักการบูชา พระบาทสมเด็จ
โดยสองข้างพระท่ีน่ังพุดตานกาญจนสิงหาสน ์ ตั้งโต๊ะทอง พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามว่า หอพระสุราลัยพิมาน
ทอดเครือ่ งราชปู โภค หรือ “หอพระเจ้า” ตามชื่อสมเด็จพระบรมราชชนน ี กรมสมเด็จ
พระศรีสุลาลัย (เจ้าจอมมารดาเรียม) อีกหอหนึ่งประดิษฐาน
หนังสือพระราชานุกิจ จัดพิมพ์โดยสำนักราชเลขาธิการ พระบรมอัฐิของสมเด็จพระบรมราชบุพการี อาท ิ พระบรมอัฐิ
อธิบายไว้ว่า พระท่ีนั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมานใช้เป็น ของสมเด็จพระชนกาธิบด ี (ทองดี) หรือสมเด็จพระปฐม
ท้องพระโรงสำหรับพระมหากษัตริย์เสด็จออกมหาสมาคม บรมราชชนก เป็นต้น หอน้ีมีนามว่า หอพระธาตุมณเฑียร
ในการพระราชพิธีต่างๆ ใช้เป็นสถานที่สำหรับถวายภัตตาหาร หอพระทั้ง ๒ หอตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
เลี้ยงพระและทรงสดับพระธรรมเทศนา สถานที่เบิกเจ้านาย ของพระทนี่ ง่ั ไพศาลทกั ษณิ เชอ่ื มตอ่ กนั กบั พระทน่ี งั่ ดว้ ยโถงเลก็ ๆ
ขนุ นาง และเจา้ ประเทศราชเข้าเฝา้ ฯ ประภาษด้วยอรรถคดี และ เรียกวา่ “มุขกระสนั ” ทง้ั ๒ ขา้ ง
ยังใช้เป็นท่ีเสด็จออกรับทูตานุทูตในบางโอกาส และถือเป็น
ธรรมเนียมปฏิบัติสืบมาแต่ครั้งรัชกาลที ่ ๑ ที่พระมหากษัตริย์
จะเสด็จออกมหาสมาคมเป็นครั้งแรก ณ พระท่ีนั่งองค์นี้
นอกจากนั้น พระท่ีน่ังองค์น้ียังใช้เป็นมณฑลสถานประกอบ
พระราชพิธีสำคัญ เช่น พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาและ
พระราชพิธฉี ลองสริ ริ าชสมบตั ิ เปน็ ตน้
นอกจากพระที่น่ังท้ัง ๓ องค์แล้ว ในบริเวณหมู่พระมหา
มณเฑียรยังมีพระปรัศว์ซ้ายและพระปรัศว์ขวา ตั้งอยู่ขนาบ
ท้องพระโรงหลัง ใช้เป็นที่ประทับของพระมเหสีหรือข้าทูลละออง
ธุลีพระบาทฝ่ายในท่ีโปรดเกล้าฯ ให้มาประทับตามธรรมเนียม
พระปรัศว์ทั้ง ๒ หลังน ้ี ได้รับพระราชทานนามใหมใ่ นสมัยรชั กาล
ท ่ี ๖ ว่า “พระที่น่ังเทพสถานพิลาศ” และ “พระท่ีน่ังเทพอาสน์
พิไล”

32

พระท่นี ่งั บษุ บกมาลามหาจักรพรรดิพิมาน ภายในท้องพระโรงพระที่น่งั อมรนิ ทรวนิ ิจฉัยมไหสรู ยพิมาน 33
ถือเปน็ ธรรมเนยี มปฏิบตั ิสบื มาแต่ครั้งรัชกาลท ่ี ๑ ทพี่ ระมหากษัตริยจ์ ะเสดจ็ ออกมหาสมาคมเป็นครัง้ แรก ณ พระทน่ี ่ังองคน์ ้ ี
(ภาพจากหนงั สอื Palaces of Bangkok : Royal Residences of the Chakri Dynasty)

สว่ นสำคัญทสี่ ดุ ของพระทีน่ ง่ั องค์น ้ี คือ ท้องพระโรงกลาง
ใช้เป็นสถานท่ีต้อนรับพระราชอาคันตุกะและเสด็จออกให ้
คณะทูตานุทูตต่างประเทศถวายพระราชสาส์นและสาส์นตราต้ัง
หรือเข้าเฝา้ ฯ ถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสต่างๆ
ในรัชกาลปัจจุบัน พระท่ีน่ังด้านหลังของพระที่นั่งจักรี
มหาปราสาทได้ถูกร้ือลงเนื่องจากทรุดโทรมเกินจะบูรณะ และ
มีการสร้างพระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน ์ พระที่น่ังสมมติเทวราช
อุปบัติ และพระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬารองค์ใหม ่ เพื่อใช้เป็น
สถานที่ประกอบพระราชพิธีและจัดงานเล้ียงรับรองระดับ
ประเทศ และยังมีพระท่ีน่ังเทวารัณยสถานเพ่ือเป็นพระที่นั่งโถง
ทรงปราสาทประจำรชั กาลด้วย

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยหู่ วั
และสมเด็จพระนางเจา้ รำไพพรรณ ี พระบรมราชนิ ี เสดจ็ ออก ณ สหี บญั ชร
พระทน่ี ง่ั จกั รมี หาปราสาท เน่ืองในพระราชพิธบี รมราชาภิเษก
เมอ่ื วันท ่ี ๒๗ กมุ ภาพันธ ์ พุทธศักราช ๒๔๖๘
(ภาพจากหอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ พทุ ธศักราช ๒๔๖๘)

พ้ืนที่ระหว่างหมู่พระมหามณเฑียรและพระท่ีน่ังดุสิต พระที่น่งั จกั รมี หาปราสาท ในพระบรมมหาราชวงั
มหาปราสาทเป็นที่ตั้งของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ซึ่งเป็น
พระท่ีนั่งท่ีรัชกาลท่ ี ๕ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างข้ึนเม่ือพุทธศักราช
๒๔๑๘
เม่ือเริ่มก่อสร้างพระที่น่ังองค์น ี้ รัชกาลท่ ี ๕ มีพระราช
ประสงค์จะก่อสร้างองค์พระท่ีน่ังด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรม
ตะวันตกแบบเรเนซองซ์ที่มีหลังคาทรงโดม แต่มีผู้ทัดทานถึง
ความเหมาะสม และเพ่ือเป็นเครื่องเฉลิมพระเกียรติในภายหน้า
จึงโปรดเกล้าฯ ให้แก้ไขเป็นหลังคาเคร่ืองยอดปราสาทแบบไทย
เข้ากับอาคารแบบตะวันตกได้อย่างลงตัว นับเป็นสัญลักษณ์
แห่งยุคสมัยท่ีสยามเร่ิมพัฒนาบ้านเมืองให้ทัดเทียมนานา
อารยประเทศ

34

หมู่พระทนี่ ง่ั ในสวนศวิ าลัย สวนศิวาลยั เรยี กกนั เป็นสามญั ในหมู่ชาววังว่า “สวนเตา่ ”
เปน็ ที่สำราญของเจ้านายฝา่ ยใน
ด้านทิศตะวันออกเขตพระราชฐานช้ันกลางถัดจาก (ภาพจากหอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ ไม่ทราบปีที่ถา่ ย)
หมู่พระมหามณเฑียรเป็นที่ตั้งของสวนศิวาลัยหรือ “สวนขวา”
รัชกาลท ี่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างข้ึนสำหรับเป็นท่ีประพาส พระพุทธรตั นสถานภายในสวนศิวาลยั ตงั้ อยใู่ นเขตพระราชฐานชั้นใน
สำราญพระราชอิริยาบถ แต่ไม่ได้สร้างใหญ่โตนัก เพียงแต่ (ภาพจากหนงั สอื พระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู วั
ขดุ สระและสรา้ งพระตำหนกั ทองทีป่ ระทบั ไวก้ ลางสระหลงั หนง่ึ กับงานศิลปะและงานออกแบบ)
ตอ่ มา ในสมัยของรชั กาลที ่ ๒ สวนขวาได้รบั การปรับปรุง
ให้งดงามและน่าร่ืนรมย์ด้วยรูปแบบ “สวนกระบวนจีน” มีการ 35
ขุดสระ ก่อเขามอ เลี้ยงเต่า เล้ียงปลา ปลูกไม้ดอก ไม้ผล
ทุกฤดูกาล ด้วยมีพระราชประสงค์ให้ปรากฏพระเกียรติยศไปใน
นานาประเทศว่า ราชอาณาจักรสยามได้กลับมาเข้มแข็งมั่นคง
เป็นราชธานีท่ีมีความสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองเฉกเช่นครั้ง
กรุงศรอี ยธุ ยาในอดตี
ครั้นสมัยของรัชกาลท ี่ ๓ สวนขวาที่เคยงดงามได้ลด
ความสำคัญลง รัชกาลท ี่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้ร้ือเขามอไปถวายยงั
พระอารามต่างๆ เพ่ืออุทิศพระราชกุศลถวายสมเด็จพระบรม
ชนกนาถ ตอ่ มา ในสมยั ของรชั กาลท ี่ ๔ สวนขวาได้เปน็ ทีต่ ั้งของ
พระอภเิ นาวน์ เิ วศน์ พระราชมณเฑียรทปี่ ระทับทโี่ ปรดเกล้าฯ ให้
สร้างข้นึ ใหม่ดว้ ยสถาปัตยกรรมแบบตะวนั ตก
ในสมัยรัชกาลที ่ ๕ พระอภิเนาว์นิเวศน์ทรุดโทรมลง
เกนิ กวา่ จะบรู ณะได ้ จำตอ้ งรอื้ ถอนไปเกอื บหมดสน้ิ พน้ื ทส่ี ว่ นใหญ ่
ของสวนขวาเดิมได้รับการปรับปรุงเป็นพื้นที่สวนท่ีเรียกว่า
“สวนศิวาลัย” เป็นท่ีสำราญของเจ้านายฝ่ายใน คงเหลือ
แต่อาคารสำคัญ เช่น พระพุทธรัตนสถาน และพระท่ีนั่ง
มหิศรปราสาท และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระท่ีนั่งเพ่ิมขึ้นอีก
๒ องค์ คือพระที่นัง่ ศวิ าลัยมหาปราสาทและพระที่น่ังบรมพิมาน
โดยทรงต้ังพระราชหฤทัยจะให้เป็นท่ีประทับของมกุฎราชกุมาร
ปจั จบุ นั พระทน่ี ง่ั บรมพมิ านใชเ้ ปน็ สถานทรี่ บั รองพระราชอาคนั ตกุ ะ
จากตา่ งประเทศ

ศนู ยก์ ลางศิลปวฒั นธรรมสยาม กฎหมายตราสามดวง โปรดเกลา้ ฯ ให้อาลักษณช์ บุ เสน้ หมกึ สามชุด
แตล่ ะชุดประทบั ตรา ๓ ดวง คือ ตราพระราชสหี ์ ตราพระคชสีห์
หลังการส้ินสุดลงของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา และตราบวั แกว้ เพ่ือใช้เป็นหลักสำคัญในการปกครองราชอาณาจักร
พระพุทธศาสนาอันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนต้องมัวหมอง
ไปพรอ้ มกบั ภยั สงคราม ศลิ ปวฒั นธรรม พระราชกำหนดกฎหมาย (ต้นฉบับ) ในตู้ประดับมุกทรงมณฑปภายในพระมณฑป
ต่างๆ อันเป็นหลักในการปกครองบ้านเมืองได้กระจัดกระจาย วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพ่ือเป็นต้นฉบับสำหรับตรวจทาน
สูญหาย จวบจนเมื่อมีการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร ์ อาณาจักร ความถูกตอ้ งต่อไปในภายภาคหน้า
ของชาวสยามขน้ึ มาใหม ่ พระบรมมหาราชวงั แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร ์ ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ทำนุบำรุงรักษากิจการข้างฝ่าย
ก็ได้เป็นสถานที่สำคัญในการฟ้ืนฟู รวบรวม และสร้างสรรค์ พุทธจักร หากแต่พระบรมมหาราชวังยังเป็นศูนย์กลางการฟื้นฟู
ต้นแบบท่ีสำคัญของศิลปวัฒนธรรมไทยทุกแขนง ไม่ว่าจะเป็น พระราชกำหนดกฎหมาย อันเป็นหลักสำคัญในการปกครอง
ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี สถาปตั ยกรรม จติ รกรรม และ พระราชอาณาจักร รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมพระราช
ประติมากรรม ซึ่งได้รับการสั่งสมสืบทอดมาอย่างยาวนาน กำหนดกฎหมายเก่าท่ีกระจัดกระจายมาชำระ พร้อมทั้งเพ่ิม
จนพัฒนามาเป็นรากฐานของวัฒนธรรมไทยในปัจจุบัน พระราชกำหนดกฎหมายใหมใ่ หส้ อดคลอ้ ง เหมาะสมกบั กาลสมยั
พระบรมมหาราชวังเป็นศูนย์กลางในการฟ้ืนฟู และรวบรวมข้ึนเป็นประมวลกฎหมาย เมื่อพุทธศักราช ๒๓๔๗
พระบวรพุทธศาสนาให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจราษฎร ประพฤติ เรียกว่า กฎหมายตราสามดวง โปรดเกล้าฯ ให้รักษาไว้ท ี่
แต่คณุ งามความดี สรรคส์ ร้างสังคมใหส้ งบสุข เมอ่ื แรกสถาปนา ห้องเครื่องชุดหนึ่ง หอหลวงชุดหน่ึง และศาลหลวงอีกชุดหนึ่ง
ราชอาณาจกั ร รัชกาลท่ี ๑ โปรดเกล้าฯ ใหช้ ำระพระพุทธศาสนา เพ่ือเปน็ หลกั ในการปกครองบา้ นเมอื งใหป้ กตสิ ุข
ท่ีมัวหมองแต่ครั้งเสียกรุงให้บริสุทธ ิ์ โปรดเกล้าฯ ให้สังคายนา
พระไตรปิฎก เมื่อพุทธศักราช ๒๓๓๑ เพ่ือให้หลักธรรมคำสอน
ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกต้องตามพระธรรมวินัย
เป็นหลักปฏิบัติท่ีดีงามให้แก่ภิกษุสงฆ์และฆราวาส ทั้งยัง
โปรดเกลา้ ฯ ใหค้ ดั ลอกพระไตรปฎิ ก ถวายไปยงั พระอารามท่วั ทั้ง
พระราชอาณาจกั ร และใหป้ ระดษิ ฐานพระไตรปฎิ กฉบบั ทองใหญ ่

พระไตรปฎิ กฉบบั ทองใหญ ่ ประดิษฐานภายในต้ปู ระดบั มุกทรงมณฑป
ภายในพระมณฑปวัดพระศรรี ัตนศาสดาราม

36

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราชโปรดเกลา้ ฯ ใหฟ้ ้นื ฟูโบราณราชประเพณอี นั ดงี ามนานัปการ
(ภาพจากจิตรกรรมฝาผนัง วดั อัมพวันเจตยิ าราม สมุทรสงคราม)

พระบรมมหาราชวังยังเป็นศูนย์กลางในการรักษา ทำนุบำรุงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีเดิมไว้ไม่ให้สูญส้ิน
ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม อันเป็น อาทิ พระราชพิธีสิบสองเดือนท่ีถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่
เครื่องบำรุงขวัญกำลังใจไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน โปรดเกล้าฯ ให้ ครั้งกรุงศรีอยุธยา

37

หากการฟ้ืนฟูพระพุทธศาสนาและพระราชกำหนด
กฎหมายเปรียบเสมือนการสร้างความเข้มแข็งให้แก่บ้านเมือง
ศิลปวัฒนธรรมและงานช่างฝีมือก็เปรียบได้กับศิราภรณ์
อันงดงามอันเป็นเครื่องประดับเกียรติยศแห่งแผ่นดิน

ช่างเขียนภาพจติ รกรรมฝาผนงั

ชา่ งแกะ มที ้ังแกะดวงตรา พระราชลัญจกร พระพุทธรปู เม่ือสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ มีพระราช
ลายหน้าบนั บานประตู และหนา้ ตา่ ง ปณิธานแน่วแน่ที่จะฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมไทยให้เจริญรุ่งเรือง
เฉกเช่นครั้งบ้านเมืองด ี โดยโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมเหล่า
พระบรมมหาราชวังเป็นศูนย์รวมแห่งศาสตร์และศิลป ์ ช่างฝีมือจากทั่วทุกสารทิศขึ้นเป็น “กรมช่างสิบหมู่” มีหน้าที่
สะท้อนออกมาด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม สรรค์สร้างงานศิลปกรรมต่างๆ ท่ีเป็นของหลวงตามพระบรม
อันงดงาม เลอค่า ที่เกิดจากการรังสรรค์ของเหล่าช่างฝีมือเอก ราชโองการทั้งที่เกี่ยวกับงานในราชสำนัก และงานเก่ียวกับ
แห่งยคุ ทเี่ รยี กวา่ “ช่างหลวง” หรอื “ชา่ งสิบหมู”่ (เปน็ คำทเี่ ลอื น ก า ร พ ร ะ ศ า ส น า เ พื่ อ ร่ ว ม กั น ส ร้ า ง ส ร ร ค์ ก รุ ง รั ต น โ ก สิ น ท ร์
มาแต่คำว่า “สิปปะ” เป็นภาษาบาล ี มีความหมายนัยเดียวกับ ให้งามสง่าทัดเทียมกรุงศรีอยุธยาในอดีต
คำว่า “ศลิ ปะ” ในภาษาสนั สกฤต) ไม่วา่ จะเป็นช่างเล่ือย ช่างกอ่ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ เป็นยุคทองของศิลปกรรมและ
ช่างรัก ช่างมุก ช่างเขียน ช่างแกะ ช่างสลัก ช่างกลึง ช่างหล่อ งานช่าง กรมช่างสิบหมู่เฟื่องฟูมาก ด้วยพระมหากษัตริย์ทรง
ช่างป้ัน ช่างหนุ่ ช่างบ ุ ชา่ งปนู ช่างหุงกระจก ช่างประดับกระจก เอาพระราชหฤทัยใส่ และมีพระปรีชาสามารถด้านงานช่าง
ช่างหยก ชา่ งชาดสสี ุก ช่างดีบุก ช่างต่อกำปน่ั ชา่ งทอง เปน็ ตน้ ทั้งงานแกะสลัก งานป้ัน และงานเขียนหน้าหุ่น ทรงฝาก
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรา ฝีพระหัตถ์ในงานช่างมากมาย ท่ียังปรากฏหลักฐานอยู่จนถึง
นุวัดติวงศ์ทรงรวบรวมรายชื่อช่างสิบหมู่จากทำเนียบศักดินา ปัจจุบัน เช่น หน้าหุ่นหลวงคู่หนึ่งเรียกกันว่า “พระยารักน้อย”
พลเรือนและทหาร พระราชพงศาวดาร พระราชบัญญัติใน และ “พระยารักใหญ่” ภาพลายรดน้ำที่พระท่ีน่ังสนามจันทร์
รัชกาลท่ ี ๔ ได้ช่างถึง ๒๙ ประเภท ในพระบรมมหาราชวัง พระพักตร์พระพุทธปฏิมากร พระพุทธ
ธรรมิศรราชโลกธาตุดิลก ภายในพระอุโบสถวัดอรุณราชวราราม

38

และทรงปั้นหุ่นพระพกั ตร ์ พระพทุ ธจุฬารักษ ์ พระปฏิมาประธาน หนา้ ห่นุ หลวง
ในพระอุโบสถวัดราชสิทธาราม ซ่ึงรัชกาลท ่ี ๓ เมื่อครั้งทรง พระยารกั น้อย พระยารักใหญ่
ดำรงพระอิสริยยศพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหม่ืนเจษฎาบดินทร์ ฝีพระหัตถร์ ชั กาลท ่ี ๒
ทรงรว่ มปน้ั สว่ นพระวรกายดว้ ย บานประตไู มแ้ กะสลกั ณ พระวหิ าร
พระศรีศากยมุน ี วัดสุทัศนเทพวราราม มีการสลักลายพันธ์ุ โขน มหรสพประจำราชสำนัก
พฤกษาซับซ้อนกันหลายช้ัน งามวิจิตรน่าพิศวง ซ่ึงบานประตูไม้ ซึง่ เปน็ ท่รี ู้จกั แพร่หลายไปทว่ั โลก
จำหลักลายบานน้ีในหนังสือสาส์นสมเด็จ ระบุว่า เป็นผลงาน
ซ่ึงรัชกาลท่ ี ๒ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างข้ึนเพ่ือแข่งฝีมือกับ
บานประตูไม้จำหลักคู่หน่ึงท่ีได้มาแต่หัวเมืองเหนือ
รัชกาลที ่ ๒ โปรดการทรงงานและกำกับงานช่างหลวง
ด้วยพระองค์เอง ในหนังสือพระราชานุกิจ ซ่ึงจัดพิมพ์โดย
สำนักราชเลขาธิการ ระบุว่า โปรดเกล้าฯ ให้ต้ังโรงงานสำหรับ
กรมช่างมหาดเล็กขึ้นในพระบรมมหาราชวัง เม่ือว่างจาก
พระราชกิจจะเสด็จลงประภาษการช่าง ณ โรงงานช่างหลวง
ทุกๆ วัน ครั้นเวลาบ่ายอันเป็นเวลาสำราญพระราชอิริยาบถ
เสด็จออกประทับที่เฉลียงท้องพระโรง ทรงรับฟังรายงาน

ช่างเขยี นเปน็ งานหลักใช้กับงานช่างอืน่ ทกุ ประเภท เช่น งานแกะ การก่อสร้างบ้าง และเบิกกวีเข้าเฝ้าฯ ทรงพระราชนิพนธ์
งานสลัก งานปั้น งานหุ่น งานประดับมุก งานประดับกระจก เป็นต้น บทละครท่ีมีช่ือเสียงปรากฏมาจนทุกวันน ้ี เช่น บทละครนอก
เร่อื งไกรทอง สังข์ทอง คาวี ไชยเชษฐ ์ เป็นต้น
นอกจากเป็นสถานท่ีรังสรรค์ผลงานอันวิจิตรงดงาม
ของบรรดาช่างหลวงที่มีฝีมือเป็นเลิศในแผ่นดินแล้ว พระบรม
มหาราชวังยังเป็นสถานท่ีฟื้นฟูและสร้างสรรค์ผลงานมหรสพ
และการละเล่นนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็น โขน รำไทย หนังใหญ่
ละคร ระบำ ง้ิว หุ่น มโหร ี ฯลฯ ซ่ึงเป็นศิลปวัฒนธรรมไทย
อันเป็นเอกลักษณ์และน่าต่ืนตาตื่นใจที่ได้รับการสืบทอดและ
เผยแพร่ จนเป็นท่ีรู้จักแพร่หลายไปท่ัวโลกในปัจจุบัน

39

สาวชาววังจะได้รับการอบรมฝึกหัดงานฝีมือ ซ่ึงถือว่า
เป็นวิชาท่ีคู่กับหญิงไทยมาแต่โบราณ เช่น การเย็บปักถักร้อย
ตดั เยบ็ เสอื้ ผา้ สบงจวี ร การปกั ดา้ ย ปกั ไหม ปกั ดนิ้ ทง้ั เครอ่ื งละคร
พดั ยศ เครอื่ งยศผชู้ าย และงานดอกไม ้ เชน่ รอ้ ยมาลยั ทำตาขา่ ย
คลุมไตร ดอกไม้แขวนท้ังแบบพวงหรือกระเช้า ตลอดจน
งานจัดพาน จัดขวด ปักดอกไม้ จัดดอกไม้ช่อสำหรับงานมงคล
ทำบหุ งา และยังมีงานพบั ผา้ เชด็ หน้าเป็นรูปตา่ งๆ
สาวชาววังยังได้รับการถ่ายทอดตำรับอาหารไทย ไม่ว่า
จะเปน็ อาหารวา่ ง ของคาว ของหวาน การจัดลูกไมพ้ าน (การจัด
สำรบั ผลไมป้ ระเภทหน่ึง) และจดั ผกั ลงจาน

การทำขนมลกู ชบุ ชาววงั ต้องอาศัยทง้ั ศาสตร์และศิลป์
ตลอดจนความประณีตในการทำทุกขนั้ ตอน
จนเป็นทเ่ี ลื่องลือถึงรสชาตแิ ละการตกแตง่ รูปลักษณท์ สี่ วยงาม

ไมเ่ พยี งแตจ่ ะเปน็ แหลง่ สรา้ งสรรคศ์ ลิ ปะและงานชา่ งไทย งานแกะสลกั ผกั และผลไม ้ นบั เป็นศิลปะอันลอื ช่ือของสาวชาววัง
ทุกแขนง หากแต่ภายในเขตพระราชฐานช้ันในของพระบรม ท่ีตอ้ งอาศยั ทั้งความประณีต สมาธิ และความคดิ สร้างสรรค ์
มหาราชวังยังถือเป็นแหล่งอบรมกุลสตรีไทยที่มีช่ือเสียง
ของแผ่นดิน เปรียบเสมือนโรงเรียนการเรือนและโรงเรียน
การชา่ งของสตรี (Finishing School) ในยุคนัน้
เนอื่ งจากเสนาบดแี ละขนุ นางผใู้ หญม่ กั นยิ มสง่ บตุ รหลาน
ของตนเข้าอบรมบ่มนิสัยและเรียนรู้มารยาทและการช่างต่างๆ
ของสตรีจากเจ้านายฝ่ายใน เพื่อให้มีคุณสมบัติท่ีเพียบพร้อม
ดว้ ยวชิ าความร ู้ กริ ยิ า มารยาท และความสามารถในการครองเรอื น
จนเป็นท่ีร่ำลือถึงความงามสง่าและความรู้ความสามารถของ
“สาวชาววงั ”

40

นอกจากนั้น ยังมีงานเครื่องสำอาง เช่น การทำน้ำอบ นกั ศึกษาวทิ ยาลยั ในวังหญิง
น้ำปรุง อบผ้า ย้อมผ้า คว่ันเทียน และทำธูป การศึกษาแบบ ขณะกำลงั เรยี นการประดิษฐ์ดอกไมส้ ด
ประเพณีอันดีงามนี ้ ส่งผลให้สตรีชาววังได้รู้และปฏิบัติตัว
ให้เหมาะสมกับการเป็นกุลสตร ี เขตพระราชฐานชั้นในของ วิทยาลัยในวังจัดตั้งข้ึนโดยกรมการศึกษานอกโรงเรียน
พระบรมมหาราชวังจึงเปรียบได้เสมือนมหาวิทยาลัยของสตร ี เม่ือวันที ่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๙ ตามคำขอของ
ในสมยั นนั้ สำนกั พระราชวงั และเรม่ิ เปดิ ทำการสอนเมอ่ื วนั ท ี่ ๒๐ พฤษภาคม
ไม่เพียงเท่านั้น ตามตำหนักเจ้านายฝ่ายในจะมีการสอน พุทธศกั ราช ๒๕๒๙ โดยใชส้ ถานทีบ่ รเิ วณอาคารเรอื นห้องเคร่อื ง
อกั ขรวธิ เี บอื้ งตน้ แกเ่ จา้ นายเลก็ ๆ กอ่ นจะเขา้ เรยี นในขนั้ สงู ตอ่ ๆ ไป สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
เช่น ตำหนกั ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจา้ บุตรี กรมหลวง ภายในเขตพระราชฐานชนั้ ใน พระบรมมหาราชวงั
วรเสรฐสุดา โดดเด่นด้านการศึกษาทางอักษรศาสตร์เน่ืองจาก ปัจจุบนั วิทยาลัยในวงั แบง่ เป็น ๒ ส่วน คือ
ทรงมีความสนพระทัยวชิ าความรทู้ างหนงั สือเป็นพิเศษ วิทยาลัยในวังหญิง ตั้งอยู่ท่ีพระตำหนักสวนกุหลาบ
ในสมัยรัชกาลท ่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ให้จัดต้ัง โรงเรียน ในเขตพระราชฐานชั้นใน เปิดสอนวิชาการทำอาหารไทยในวัง
การศึกษาทางวิชาอักษรศาสตร์ไทยสำหรับพระเจ้าลูกเธอ การแกะสลักผักผลไม ้ งานดอกไม้สด การประดิษฐ์ดอกไม้
และสตรีฝ่ายใน ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าประตูพิมานไชยศรี ร้อยมาลัยและงานใบตอง การสอนปกั สะดึงด้วยมือแบบโบราณ
ด้านทิศตะวันตก วิชาท่ีสอนได้แก่ศีลธรรม ศาสนา วรรณคด ี วิทยาลัยในวังชาย ตั้งอยู่ที่อาคารหออุเทศทักษิณา
การช่าง หัตถกรรม ฯลฯ ซ่ึงนับเป็นก้าวสำคัญของการนำไปสู่ ริมถนนหน้าพระลาน เปิดสอนวิชางานเขียน งานแกะสลัก
การกอ่ ตงั้ โรงเรยี นสตรตี ามแบบตะวนั ตก คอื โรงเรยี นสนุ นั ทาลยั งานลงรักปิดทอง งานลายรดน้ำ งานป้ันปูนสด งานเบญจรงค์
หรือโรงเรียนราชินี ในเวลาต่อมา งานปกั จักรอตุ สาหกรรม
จวบจนปัจจุบัน ศิลปวัฒนธรรมไทยแขนงต่างๆ จาก
พระบรมมหาราชวัง ยังได้รับการสืบทอดสู่คนรุ่นต่อไป 41
โดยภายในเขตพระราชฐานชั้นในของพระบรมมหาราชวัง
มีการจัดตั้ง “โรงเรียนผู้ใหญ่พระตำหนักสวนกุหลาบ” (วิทยาลัย
ในวัง) (Phratamnak Suankulap Adult Education School)
ซึ่งเป็นโรงเรียนในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ
และการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กระทรวงศึกษาธิการ
ก่อตั้งข้ึนตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี ที่จะให้มีการถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับ
งานช่างประดิษฐ์ของสตรีให้แพร่หลายในวงกว้าง เป็นการ
สืบสาน ฟ้ืนฟูช่างฝีมือไทย อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย และ
ฝึกสอนวชิ าให้แกผ่ ้ทู ีต่ ้องการนำไปประกอบอาชพี

พระราชวังเดมิ

ที่ต้ังของกองบัญชาการกองทัพเรือทุกวันน ้ี ในอดีต
เคยเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ท่ีสำคัญของราชอาณาจักรมาต้ังแต่
สมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมา ในสมัยกรุงธนบุรีได้เป็นที่ต้ังของ
พระราชวงั หลวงกรุงธนบุรี ศูนย์กลางการปกครองราชอาณาจักร
และเป็นท่ีพึ่งของเหล่าอาณาประชาราษฎร์หลากเช้ือชาต ิ
หลายศาสนา ทอ่ี พยพเข้ามาพงึ่ พระบรมโพธิสมภาร
ลถุ งึ สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร ์ สถานทแี่ หง่ นยี้ งั คงความสำคญั
ในฐานะพื้นที่ยุทธศาสตร์ไม่เปลี่ยนแปลง โดยเป็นท่ีประทับ
ของเจ้านายผู้ชำนาญในการศึกท่ีได้รับมอบหมายหน้าท่ีสำคัญ
ในการรักษาพระนครฟากฝั่งตะวันตก
จวบจนรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั
รัชกาลท่ ี ๕ พระราชวังเดิมได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่ง
สรรค์สร้างบุคลากรของกองทัพ ผู้ทำหน้าท่ีปกป้องรักษาน่านน้ำ
อธิปไตยของชาต ิ ซ่ึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของการวางรากฐาน
กองทัพเรือของไทยให้เจริญก้าวหน้ามาจนกระท่ังทุกวันน้ี

42

43

กรุงธนบุรศี รีมหาสมทุ ร “จงึ แตง่ ฐานทตี่ ัง้ ภูมชิ ัย
ใหส้ ถติ ถาวรไป ตราบเทา้
พระราชวังเดิมหรือพระราชวังหลวงกรุงธนบุรี คือ กลั ปาวสานใน ธรณศิ
พระราชวังของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชหรือพระเจ้า ธนบุรนิ ทรป์ ิน่ เกลา้ ตรสิ ร้างเวียงสถาน”
กรุงธนบุรี เม่ือครั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธาน ี พระราชพงศาวดาร
กรุงธนบุร ี ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่า สมเด็จพระเจ้า (โคลงเฉลิมพระเกยี รติพระเจ้ากรุงธนบรุ ี : นายสวนมหาดเลก็ )
ตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังเดิมขึ้น
เม่ือพุทธศักราช ๒๓๑๐ บนพื้นที่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ แผนผงั พนื้ ทบ่ี ริเวณปากคลองบางกอกใหญ่และป้อมปราการ
เจ้าพระยาบริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ โดยใช้พ้ืนที่ภายใน เมืองบางกอกในรัชสมยั สมเด็จพระนารายณม์ หาราช
บริเวณกำแพงป้อมวิไชยประสิทธิ์ (ในสมัยกรุงศรีอยุธยา เขยี นโดยเมอซเิ ออร์ วอลลันด ์ เดส์เวอรเ์ กนส์ นายทหารชาวฝร่งั เศส
ป้อมสองฟากฝั่งแม่น้ำแห่งน้ีเรียกรวมกันว่า ป้อมวิไชยเยนทร์ เม่ือพทุ ธศกั ราช ๒๒๓๑
หรอื “ปอ้ มบางกอก”) ท่ีสรา้ งขึ้นในสมยั ของสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช พระราชวังเดิมมีอาณาเขตด้านทิศเหนือจรดคลอง เป็นเมืองเล็ก เหมาะสมกับกำลังไพร่พลและราษฎรในเวลาน้ัน
นครบาล ดา้ นทิศตะวันตกจรดวดั โมลโี ลกยาราม (วัดท้ายตลาด) อีกทั้งแวดล้อมด้วยที่ราบซ่ึงเป็นเลนและโคลนตม ทำให้ป้องกัน
โดยมีวัดอรุณราชวราราม (วัดแจง้ ) เป็นพระอารามหลวงภายใน การบุกของข้าศึกได้ด ี ทั้งอยู่ใกล้ทะเล ซึ่งใช้เป็นเส้นทางไปสู่
พระราชวงั เช่นเดียวกับวดั พระศรีสรรเพชญ์คร้งั กรุงเก่า หัวเมอื งชายทะเลด้านตะวันออกไดโ้ ดยสะดวก
ท่ีตั้งของพระราชวังเดิมมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ในชั้นแรก พระองค์มีพระราชประสงค์ฟน้ื ฟูกรงุ ศรีอยธุ ยา
มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยเป็น “เมืองหน้าด่าน” คือ ให้กลับคืนเป็นราชธานีดั่งเก่า ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ได้ทรงสร้าง
เป็นด่านภาษีแห่งแรกท่ีเรือสินค้าผ่านเข้า - ออก เรียกว่า มณเฑียรสถานท่โี อ่อ่าและงามสง่าแต่อย่างใด เพยี งโปรดเกลา้ ฯ
“ขนอนบางกอก” และเป็นเมืองสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่มีป้อม
อยู่สองฝ่ังแม่น้ำ ในบันทึกของบาทหลวงตาชาร์ด (Tachard)
ซึ่งเดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาเมื่อพุทธศักราช ๒๒๒๘
กล่าวยกย่องถึงความสำคัญของพื้นที่บริเวณนี้ว่า เปรียบเสมือน
“กญุ แจสูร่ าชอาณาจกั รสยาม”
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราช
และปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชาท ่ี ๔ หรือสมเด็จ
พระเจ้ากรุงธนบุร ี ทรงเลือกพ้ืนที่แห่งนี้เป็นสถานท่ีก่อสร้าง
พระราชวังเพ่ือเป็นพระตำหนักช่ัวคราว โดยมีพระราชดำริว่า
พ้ืนท่ีแห่งน้ีมีความสำคัญทางยุทธศาสตร ์ เป็นเมืองหน้าด่าน
สำคัญใกล้ทะเล มีป้อมปราการเป็นชัยภูมิ กอปรกับกรุงธนบุรี

44

สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชทรงกอบกูเ้ อกราช ขบั ไลอ่ รริ าชศตั รู และสถาปนากรงุ ธนบุรีขน้ึ เพ่ือเป็นท่พี ึ่งของเหล่าสมณชีพราหมณ์
และอาณาประชาราษฎร์ (ภาพจากจติ รกรรมภายในพระราชวังเดมิ กรุงธนบุรี)

ให้สร้างค่ายด้วยไม้ทองหลางท้ังต้นเป็นท่ีมั่นช่ัวคราว ต้ังแต่ ภิเษกเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช)
มุมกำแพงเมืองเก่าไปจนถึงวัดบางหว้าน้อย (วัดอมรินทราราม) เป็นนายงาน เกณฑ์ท้ังฝ่ายทหารและพลเรือนไปร้ืออิฐกำแพง
วกลงไปถึงริมแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วขุดคูน้ำรอบพระนคร โดยนำ เมืองเก่ามาก่อกำแพงและป้อมตามที่ถมเชิงดินท้ังสองฝ่ังแม่น้ำ
มูลดินที่ได้จากการขุดคูพระนครขึ้นไว้เป็นเชิงเทินตามริมค่าย โดยเอาแม่น้ำไว้ตรงกลาง ให้เป็น “เมืองอกแตก” อย่างเมือง
ด้านใน และโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาจักรี (ต่อมา ปราบดา พษิ ณโุ ลก (สองแคว)

45

มัสยิดต้นสน บริเวณคลองบางกอกใหญ ่ ศาสนสถานของชาวมุสลิม
ทเ่ี ขา้ มาพง่ึ พระบรมโพธิสมภาร

โบสถ์ซางตาครูสต้ังอยู่บริเวณชุมชนกุฎีจีน เป็นศูนย์กลางชุมชน ชาวมสุ ลิมประกอบพธิ ลี ะหมาด
คริสตังเชื้อสายโปรตุเกสที่อพยพมาจากกรุงศรีอยุธยา โดยได้รับ (ภาพจากหนงั สอื ศาสนสถานใต้ร่มพระบรมโพธสิ มภาร)
พระราชทานท่ีดินจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชให้ตั้งบ้านเรือน
และศาสนสถานทางด้านทิศตะวันออกของพระราชวังเดิม

เม่ือสร้างพระราชวังหลวงแล้วเสร็จ บ้านเมืองเป็น ด้านทิศตะวันออกของพระราชวัง พ้ืนที่แห่งนี้เป็นท่ีต้ังของชุมชน
ปึกแผ่นมั่นคง เศรษฐกิจการค้ากลับฟื้นฟูขึ้น ส่งผลให้ราษฎร ชาวจีนเก่าแก่ที่ตั้งถ่ินฐานมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ดังปรากฏ
หลากเช้ือชาติหลายศาสนาต่างอพยพเข้ามาพ่ึงพระบรม “ศาลเจ้าเกียนอันเกง” ซ่ึงเป็นสถานที่เคารพสักการะของชาวจีน
โพธิสมภารต้ังถิ่นฐานในกรุงธนบุรีเป็นจำนวนมาก โปรดเกล้าฯ ท่ีมีมาก่อนสมัยกรุงธนบุรี เมื่อชาวคริสตังเช้ือสายโปรตุเกสย้าย
ให้ราษฎรเหล่านี้ ต้ังบ้านเรือนอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ รายรอบ เข้ามาตง้ั รกรากแถบนี ้ จึงเรียกวา่ “ฝรงั่ กฎุ ีจนี ”
พระราชวังหลวง เช่น โปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินและวัสดุ นอกจากน ี้ พระองค์ยังได้พระราชทานท่ีดินให้ชาวมุสลิม
ก่อสร้างบ้านเรือนและศาสนสถานให้พวกคริสตังเช้ือสาย ตงั้ บา้ นเรอื นริมคลองบางกอกใหญ่ใกล้กับพระราชวังหลวง เช่น
โปรตเุ กสซง่ึ มคี วามดคี วามชอบในราชการสงคราม ณ ตำบลกฎุ จี นี ชุมชนมุสลิมมัสยิดต้นสนหรือกุฎีใหญ ่ ชุมชนมุสลิมมัสยิด

46

พระราชวังเดิม กรงุ ธนบุรี เมื่อครงั้ เปน็ ที่ตง้ั ของโรงเรียนนายเรือในสมัยรชั กาลท ี่ ๕ ถ่ายจากวงั จักรพงษ์ ทา่ เตียน
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ ไมท่ ราบปที ่ถี ่าย)

บางหลวงหรือกุฎีขาว ซึ่งชุมชนเหล่านี้ยังคงตั้งถ่ินฐานบ้านเรือน ลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (พระบาทสมเด็จพระพุทธ
อาศยั อยอู่ ยา่ งสงบร่มเย็นสืบมาจนถึงปัจจุบนั เลิศหล้านภาลัย รัชกาลท ี่ ๒) เพ่ือประหยัดพระราชทรัพย ์
ครั้นถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จ ในการสร้างวังใหม่ ขณะเดียวกันยังทำหน้าที่ดูแลป้องกัน
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลท่ ี ๑ โปรดเกล้าฯ ให้ พระนครทางด้านน้ีด้วย พระราชดำริดังกล่าวได้รับการสืบทอด
ย้ายราชธานีมาฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาและสร้าง มาจนถงึ สมัยรชั กาลท่ ี ๕
พระราชวังหลวงแห่งใหม่ขึ้น พระราชวังหลวงกรุงธนบุรี พระราชวังเดิมเป็นสถานที่เสด็จพระราชสมภพของ
จงึ ไดร้ บั การเรยี กขานว่า “พระราชวังเดิม” นบั แตน่ น้ั เป็นตน้ มา พระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ถึง ๓ พระองค์ คือ
ด้วยพระราชวังเดิมต้ังอยู่บนพ้ืนที่ที่มีความสำคัญทาง พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓ พระบาท
ยุทธศาสตร ์ รัชกาลท ่ี ๑ จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศ ์ สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท ่ี ๔ และพระบาท
ที่ไว้วางพระราชหฤทัยเสด็จมาประทับ เช่น สมเด็จพระเจ้า สมเด็จพระป่ินเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่ึงล้วนเป็นพระราชโอรส
หลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงธิเบศรบดินทร์ และสมเด็จพระเจ้า ในรัชกาลท่ี ๒ ท้ังหมด

47

งามเลศิ ลำ้ พิษณกุ รรมเศกสร้าง “ภูมสถานทีส่ ถิตย์ไท้ ไชยสถาน
พ่างพิษณุกรรมชำนาญ เศกสร้าง
พระราชวังเดิมเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ราชวังมขุ พิมาน มูลเกดิ มนี า
และเป็นท่ีประทับของเจ้านายพระองค์สำคัญมาอย่างต่อเน่ือง เรอื นรตั นซ์ า้ ยขวากวา้ ง เพยี บพน้ื ภวู ดล ฯ”
ส่ิงก่อสร้างและอาคารภายในพระราชวังเดิมจึงได้รับการทำนุ
บำรุงสืบมา ตลอดระยะเวลากว่า ๒๐๐ ปี แม้จะมีความ (โคลงเฉลิมพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี : นายสวนมหาดเล็ก)
เปล่ียนแปลงภายในพระราชวังเดิมมาโดยตลอด หากแต่ยังคง
ได้รบั การรักษาให้อย่ใู นสภาพเดมิ มากทสี่ ุด เพ่ือเปน็ แหล่งศกึ ษา ด้านทิศตะวันออกของท้องพระโรงเป็นท่ีต้ังของตำหนัก
ค้นคว้าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของคนรุ่นต่อไป เก๋งคู ่ ตำหนักเก๋งคู่หลังใหญ่สร้างข้ึนเม่ือคร้ังพระบาทสมเด็จ
โบราณสถานท่ีสำคัญภายในพระราชวังเดมิ ไดแ้ ก ่ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จ
ท้องพระโรง สร้างข้ึนพร้อมกับการสถาปนากรุงธนบุรี พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้ากรมขนุ อิศเรศรงั สรรค ์ เสด็จมาประทับ
เม่ือพุทธศักราช ๒๓๑๐ เป็นอาคารสถาปัตยกรรมไทยสมัย ณ พระราชวังเดิม ระหว่างพุทธศักราช ๒๓๖๗ - ๒๓๙๔
อยุธยาตอนปลาย มีพระท่ีนั่ง ๒ องค์เช่ือมต่อถึงกัน พระท่ีน่ัง โปรดเกลา้ ฯ ให้สร้างข้ึนพร้อมกับซ่อมแซมปรับปรุงตำหนักเก๋งคู่
องค์ทิศเหนือ เรียกว่า “ท้องพระโรง” หรือ “วินิจฉัย” ใช้เป็นที่ หลงั เลก็ ซงึ่ สรา้ งขนึ้ ในสมยั สมเดจ็ พระบรมชนกนาถ (รชั กาลท ่ี ๒)
เสด็จออกขุนนาง ภายในท้องพระโรงด้านทิศใต้มีส่วนยกพื้นสูง รูปแบบอาคารเป็นลักษณะผสมผสานระหว่าง
เรียกว่า “มุขเด็จ” เป็นท่ีประทับของสมเด็จพระเจ้าตากสิน สถาปัตยกรรมไทยและจีน ปัจจุบัน ภายในอาคารเป็นสถานท่ี
มหาราชขณะเสด็จออกว่าราชการ โดย ๒ ข้างของมุขเด็จ จัดแสดงเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าตากสิน
มีอัฒจันทร์ทางขึ้นลง เช่ือมต่อกับโถงท้องพระโรงด้านล่าง มหาราชและประวัติศาสตร์สมัยธนบุรีท้ังทางด้านสังคม
สำหรับขุนนางเข้าเฝ้าฯ สันนิษฐานว่าท้องพระโรงแห่งน้ี เศรษฐกจิ ศาสนา และศิลปวฒั นธรรม พร้อมจดั แสดงภาพเขยี น
เป็นสถานท่ีตัดสินโทษสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ภายหลัง แผนท ่ี และโบราณวตั ถอุ ันทรงคณุ คา่
เหตุการณ์จลาจลปลายสมัยกรุงธนบุร ี ปัจจุบัน กองทัพเรือ ตำหนักเก๋งคู่หลังเล็กสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒
ใช้ท้องพระโรงส่วนน้ีเป็นสถานที่จัดงานและประกอบพิธีสำคัญ ครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้า
ต่างๆ กรมหลวงอิศรสุนทร เสด็จมาประทบั ณ พระราชวังเดิม ระหว่าง
พระที่นั่งองค์ทิศใต้หรือ “พระที่นั่งขวาง” เป็นส่วน พุทธศกั ราช ๒๓๒๘ - ๒๓๕๒
ของพระราชมณเฑียร คือ สถานที่บรรทมซึ่งเป็นท่ีประทับ รูปแบบอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบจีน ปัจจุบัน
ส่วนพระองค์ ปัจจุบัน กองทัพเรือได้ใช้พระที่นั่งองค์นี้เป็น ภายในอาคารใช้เป็นสถานที่จัดแสดงข้อมูลเกี่ยวกับพระราช
ทรี่ บั รองบคุ คลสำคญั และใชเ้ ปน็ หอ้ งประชมุ ในบางโอกาส กรณียกิจด้านการศึกสงคราม โบราณวัตถ ุ และอาวุธโบราณ
ในรชั สมยั สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช

48

๑ ๒ ๑. ท้องพระโรงเป็นท่ีเสดจ็ ออกขุนนาง
๒. โถงทอ้ งพระโรงด้านล่างสำหรับขุนนางเขา้ เฝ้าทูลละลองธลุ ีพระบาท
๓ ๔ ๓. พระที่นงั่ ขวางเปน็ สถานท่บี รรทม ปัจจบุ ัน กองทพั เรือใชพ้ ระท่นี ั่งองค์น้ี
๕ เป็นท่รี บั รองบุคคลสำคัญและใชเ้ ปน็ ห้องประชุมในบางโอกาส
๖ ๔. ตำหนกั เกง๋ คู่

๕. ตำหนักเกง๋ คู่หลังเลก็ ปจั จุบัน ภายในอาคารใช้เปน็ สถานทีจ่ ดั แสดง
พระราชกรณยี กจิ ในด้านการศึกสงคราม
๖. ตำหนกั เกง๋ คู่หลังใหญ ่ ปัจจบุ ัน ภายในอาคารใช้เปน็ สถานทจี่ ดั แสดง
พระราชกรณียกิจของสมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราชและ
ประวัตศิ าสตรก์ รุงธนบุรีในด้านสังคม เศรษฐกิจ ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม

49


Click to View FlipBook Version