ห้องพระบรรทม ปัจจุบันเป็นท่ีประดิษฐานพระฉายาลักษณ์และจัดแสดงภาพพระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ
กรมหลวงพิษณโุ ลกประชานาถ
งามเลศิ ลำ้ สถาปัตยกรรม สำหรับรับรองแขก ทุกห้องประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์
ตำหนักปารุสกวันสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมตะวันตก และพระฉายาลักษณ์ของพระบรมวงศานุวงศ์ มีเฉลียงใหญ่
แบบคลาสสกิ เดมิ เปน็ ตกึ ๒ ชนั้ กอ่ อฐิ ฉาบปนู เนน้ อาคารชน้ั บน เป็นที่ประทับพักผ่อนและเล่นกีฬาในร่ม ช้ัน ๒ เป็นท่ีพำนักของ
ดูสูงโปร่งกวา่ ชัน้ ลา่ ง มผี งั เปน็ รปู ตัวแอล (L) ต่อมาไดต้ อ่ เติมเป็น หม่อมคัทริน พระชายา ลักษณะเป็นห้องชุด ประกอบด้วย
๓ ชนั้ เมอื่ พุทธศักราช ๒๔๕๔ หลงั คาเปน็ กระเบื้องวา่ ว ประดับ ห้องนอน หอ้ งแตง่ ตวั หอ้ งนำ้ และห้องนั่งเลน่ ส่วนตวั ต่อมาไดม้ ี
ลวดลายปูนปั้นที่กรอบหน้าต่างและท่ีใต้ชายคา ด้านหน้ามีมุข การดัดแปลงเฉลียงกน้ั เปน็ หอ้ งทรงพระอกั ษรของสมเดจ็ พระเจา้
ยน่ื ออกมาจากตัวตำหนัก เปน็ ที่เทยี บรถยนต์พระทีน่ ่ัง บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ จกั รพงษภ์ วู นาถ กรมหลวงพษิ ณโุ ลกประชานาถ
ช้ันล่างตำหนักประกอบด้วยห้องโถงใหญ่ใช้เป็น สว่ นชน้ั ๓ เปน็ หอ้ งชดุ ประกอบดว้ ยหอ้ งบรรทม หอ้ งแตง่ พระองค ์
ท้องพระโรง ต่อจากนั้นเป็นห้องรับแขก ห้องเสวย และห้องชุด และห้องสรง มหี ้องพระและห้องพระบรมอฐั ทิ ี่ชน้ั นี้
200
๑ ๒ ๑. ลายปนู ป้นั และรูปจักรกบั ตะบอง ตราประจำพระองคข์ อง
สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจกั รพงษ์ภวู นาถ
๓ ๕ ๖ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถประดบั อย่เู หนอื มุขหนา้ ตำหนกั
๔ ๒. ตำหนักใหญ่ วงั ปารสุ กวัน
๓. มขุ หน้าตำหนกั ปารุสกวัน
๔. หอ้ งเสวย ปัจจุบันได้รับการดดั แปลงใหเ้ ป็นหอ้ งประชมุ
๕. บนั ไดทางข้นึ ตำหนัก
๖. หอ้ งรบั รอง
201
ปัจจุบัน ตำหนักปารุสกวันเป็นท่ีตั้งของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ หน่วยงานซ่ึงดูแลความม่ันคงของประเทศ
จากวังเจ้านาย
สสู่ ถานท่ธี ำรงความม่นั คงของประเทศ
หลังจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์
ภูวนาถ กรมหลวงพษิ ณโุ ลกประชานาถเสด็จทิวงคต รัชกาลท่ี ๖
จึงมีพระบรมราชโองการให้โอนตำหนักปารุสกวันกลับคืนเป็น
ของพระคลังข้างที่ และโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ตำหนักปารุสกวัน
เป็นสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองสำคัญหลายคร้ัง รวมทั้ง
ซ่อมแซมตำหนักปารุสกวัน เพื่อใช้เป็นสถานท่ีประกอบพิธี
พระราชทานพระสุพรรณบัฏสถาปนาพระเจ้าวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าลักษมีลาวัณข้ึนเป็นพระนางเธอลักษมีลาวัณ
เม่ือพทุ ธศกั ราช ๒๔๖๔
202
ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ระเบียงชั้นที่ ๓ จัดเป็นนิทรรศการแสดงพระกรณียกิจ
รัชกาลที่ ๗ โปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมตำหนักและปรับปรุงสวน
ภายในบริเวณตำหนักปารุสกวันคร้ังใหญ่ เพื่อใช้เป็นท่ีประทับ ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ท่ีได้รับจากการปฏิบัติงานการข่าวตามปกต ิ
ของดยุคเดอบราบังค ์ (Duke of Brabant) มกุฎราชกุมารแห่ง หรือจากหน่วยข่าวกรองต่างๆ ที่มีอยู่ในขณะนั้น รวมทั้งข่าวท่ีได้
เบลเย่ียมและพระชายา และเป็นที่รับรอง ฯพณฯ ปอล เรโนลด์ จากวิธีการทางลับและข่าวจากแหล่งข่าวเปิดท่ีมีผลกระทบต่อ
(Paul Reynolds) เสนาบดขี องฝรงั่ เศส ประโยชนแ์ ละความมนั่ คงของประเทศ ซงึ่ จำเปน็ ตอ่ การตดั สนิ ใจ
หลังการเปล่ียนแปลงการปกครองเมื่อพุทธศักราช กำหนดนโยบายและท่าทีทางการเมืองภายในและต่างประเทศ
๒๔๗๕ คณะราษฎรใช้ตำหนักปารุสกวันเป็นสถานที่ราชการ ของรัฐบาล
และท่ีพักของบุคคลสำคัญ เช่น พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ปัจจุบัน ตำหนักปารุสกวันเป็นท่ีตั้งของสำนักข่าวกรอง
(ก้อน หตุ ะสงิ ห)์ นายกรฐั มนตรคี นแรกของไทย และนายพนั เอก แห่งชาติและเป็นกรรมสิทธ์ิของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหา
พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธนิ ) หัวหนา้ คณะราษฎร กษัตริย ์ มีการบูรณะครั้งใหญ่ระหว่างพุทธศักราช ๒๕๓๓ -
และยังใช้เป็นสถานท่ีประชุมของคณะราษฎรและสถานท่ี ๒๕๓๕ ตามข้อกำหนดของกรมศิลปากรและได้รับรางวัล
รบั แขกของรฐั บาลในบางโอกาส อนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่นประจำป ี ๒๕๓๖ จากสมาคม
ต่อมา เม่ือพุทธศักราช ๒๔๙๒ ตำหนักปารุสกวัน สถาปนกิ สยามในพระบรมราชปู ถัมภ์ นอกจากน้ี ภายในตำหนกั
ได้ใช้เป็นสถานที่ทำงานของคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเชีย ยังจัดแสดงนิทรรศการพระกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้า
และตะวันออกไกล (ECAFE) (ปัจจุบัน คือ คณะกรรมการ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ จกั รพงษภ์ วู นาถ กรมหลวงพษิ ณโุ ลกประชานาถ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิกหรือเอสแคป) และ โดยเฉพาะดา้ นความม่นั คงของประเทศ
ในพุทธศักราช ๒๔๙๕ เมื่อหน่วยงาน ECAFE ได้ย้ายออกไป
จอมพล แปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี จึงมอบตำหนัก
ปารุสกวนั หรอื ท่เี รียกว่า ตึกพลเรอื น ให้กรมตำรวจใชใ้ นราชการ
เพื่อดูแลทุกข์สุขของประชาชนและความมั่นคงของประเทศ
โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตเม่ือวันที ่ ๑๔
กุมภาพันธ ์ พทุ ธศักราช ๒๔๙๕
ครั้นพุทธศักราช ๒๔๙๗ กรมตำรวจได้มอบตำหนัก
ปารุสกวัน (ตึกพลเรือน) ให้กรมประมวลราชการแผ่นดิน สังกัด
ทบวงคณะรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (ต่อมา คือ กรมประมวล
ข่าวกลางและยกฐานะขึ้นเป็นสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เม่ือวันท ่ี
๒๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘) เพื่อเป็นศูนย์กลางรวบรวม
203
วงั จันทรเกษม
วังจันทรเกษมหรือสถานที่ตั้งของกระทรวงศึกษาธิการ
ในทุกวันนี ้ เป็นสถานที่ท่ีมีความสำคัญทางประวัติศาสตร ์ ซ่ึงมี
เร่ืองราวและพัฒนาการท่ีน่าสนใจ จากการเป็นท่ีต้ังของตำหนัก
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎ
ราชกุมาร สู่การเป็นท่ีต้ังของกรมมหรสพหลวง แหล่งสร้างสรรค์
และธำรงรักษาศิลปวัฒนธรรมของชาติ ก่อนจะพัฒนามาเป็น
กระทรวงศึกษาธิการ ศนู ย์กลางการศึกษาของชาตใิ นปัจจุบัน
204
205
วังสยามมกฎุ ราชกุมาร สมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช เจา้ ฟ้ามหาวชริ าวุธ สยามมกุฎราชกมุ าร
ทรงฉายพระรูปรว่ มกบั สมเด็จพระบรมชนกนาถ
วังจันทรเกษมหรือวังสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้า และสมเดจ็ พระบรมราชชนน ี
มหาวชริ าวธุ สยามมกุฎราชกุมาร ตัง้ อยูบ่ นถนนราชดำเนินนอก (ภาพจากหอจดหมายเหตุแหง่ ชาต ิ ราวพุทธศกั ราช ๒๔๔๖)
เชงิ สะพานมัฆวานรงั สรรค์ ใกลก้ ับลานพระบรมรปู ทรงมา้
เอกสารกระทรวงโยธาธกิ าร กจช. เอกสารรชั กาลท ่ี ๕ ยธ. บวรสถานมงคลในสมัยของพระองค ์ และเรียกวังน้ีว่า “วังจันทร
๘.๑/๒๔ ทำวงั จนั ทร์สำหรับสมเดจ็ พระบรมโอรสาธริ าช หนังสือ เกษม” ดว้ ยเหตนุ ้ี วังจันทนท์ ส่ี ร้างข้ึนในกรุงรัตนโกสินทร์จึงได้นำ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธถึงกรมขุน ช่อื ดงั กลา่ วมาใชเ้ ปน็ ช่อื วงั ดว้ ยเชน่ กนั วา่ “วังจนั ทรเกษม”
สมมตอมรพันธ์ุ ราชเลขาธิการ รัตนโกสินทรศก ๑๒๙ วังจันทรเกษมเร่ิมก่อสร้างตำหนักที่ประทับเม่ือ
(พุทธศักราช ๒๔๕๓) ระบุว่า พระราชวังแห่งนี้สร้างข้ึนจาก พุทธศักราช ๒๔๕๓ โดยรัชกาลท ่ี ๕ พระราชทานที่ดิน
พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ด้านทิศตะวันตก ซึ่งต้ังอยู่บริเวณ
รัชกาลท่ี ๕ เพ่ือให้เป็นท่ีประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ริมถนนเบญจมาศ (ต่อมาเปล่ียนช่ือเป็นถนนราชดำเนินนอก
เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร (พระบาทสมเด็จ ในสมัยรัชกาลที่ ๖) พร้อมเงินค่าก่อสร้างจำนวนหมื่นช่ังเพื่อ
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ ๖) เนอ่ื งจากตำหนักจิตรลดา สร้างวังแห่งน ี้ โดยมีการสร้างกำแพงวังตามอย่างโบราณ
(ปัจจุบันต้ังอยู่ภายในบริเวณวังปารุสกวัน) ท่ีโปรดเกล้าฯ ให้
สร้างขึ้นเม่ือครั้งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ
สยามมกุฎราชกุมารเสด็จกลับจากการศึกษาต่อ ณ ประเทศ
อังกฤษ คับแคบเกินไป จึงมีพระราชดำริท่ีจะสร้างวังแห่งใหม่
พระราชทานเพ่ือให้สมพระเกียรติยศตามอย่างวังจันทรเกษม
ทป่ี ระทับของพระมหาอุปราชในสมัยกรุงศรีอยุธยา
“วังจันทรเกษม” เดิมเรียกว่า “วังจันทน์” หรือ “วัง
จันทรบวร” เปน็ ทปี่ ระทบั ของพระมหาอุปราชา “วังหน้า” ในสมัย
กรงุ ศรอี ยธุ ยา สว่ นคำวา่ “เกษม” ไดน้ ำมาใชใ้ นรชั สมยั พระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท ี่ ๔ เม่ือครั้งพระองค์
เสด็จประพาสพระราชวังแห่งน ้ี ณ กรุงเก่า ดังที่สมเด็จพระเจ้า
บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานวุ ัดตวิ งศท์ รงอธบิ ายไวใ้ น
หนังสือสาส์นสมเด็จว่า วังจันทรเกษมท่ีรัชกาลท่ ี ๔ เสด็จ
พระราชดำเนนิ ไปประทบั นน้ั เดมิ เปน็ วงั หนา้ เรยี กวา่ “วงั จนั ทรบวร”
ทรงให้เปลี่ยนคำว่า “บวร” เพื่อไม่ให้ซ้ำกับช่ือของพระราชวัง
206
วงั จนั ทรเกษมเมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๙ โดยปเี ตอร ์ วลิ เลยี มส ์ ฮนั ท ์ สถานพยาบาลสำหรับข้าราชบริพาร ท้ังกรมทหารราชวัลลภ
(Peter Williams Hunt) นักบนิ ฝา่ ยสมั พันธมิตร (ปัจจุบัน คือ กรมทหารราบท่ี ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์) ดัง
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๔๘๙) เห็นได้จากหน้าบันช้ันนอกของตำหนักใหญ่ของเดิมเป็นรูป
พระเก้ียวทอดเหนือพานแว่นฟ้า มีฉัตรขนาบ ๒ ข้าง พานซ่ึง
ราชประเพณีของวังชั้นเจ้าฟ้า คือ มีใบเสมาบนกำแพง อย่างไร ประดิษฐานอยู่บนหัวช้างเอราวัณ ทางด้านซ้ายของช้างเป็นรูป
ก็ตาม การก่อสร้างวังจันทรเกษมยังไม่ทันแล้วเสร็จ รัชกาลที ่ ๕ ราชสีห์ถือรวงข้าวและเคียว ส่วนด้านขวาเป็นรูปคชสีห์ถือดาบ
ก็เสดจ็ สวรรคตเสยี ก่อน และโล ่ ด้านล่างใตช้ า้ งเอราวัณมอี กั ษรว่า “ราชวัลลภ” (ปจั จบุ นั
เม่ือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กระทรวงศึกษาธิการได้ก่อสร้างหน้าบันชั้นนอกขึ้นใหม่แทน
สยามมกุฎราชกุมารเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นเป็นรัชกาล หนา้ บนั ของเดมิ ) เป็นรูปเสมาธรรมจกั ร สญั ลกั ษณข์ องกระทรวง
ท่ ี ๖ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ โปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการสร้าง ศกึ ษาธกิ าร
วังต่อจนแล้วเสร็จ แต่พระองค์ก็มิได้เสด็จพระราชดำเนินมา เมื่อกรมมหรสพหลวงย้ายจากวังบ้านหม้อของเจา้ พระยา
ประทับท่ีวังจันทรเกษม พระราชทานตำหนักใหญ่ให้เป็นท่ีตั้ง เทเวศรวงศ์วิวัฒน ์ (หม่อมราชวงศ์หลาน กุญชร) มาตั้ง ณ
วังจันทรเกษม รัชกาลที่ ๖ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างอาคารเพิ่มเติม
ทางฝ่ังตะวนั ตกของคลองเมง่ เสง็ และถนนราชสมี าเปน็ โรงละคร
และโรงโขน รวมถึงที่พักตัวละคร อาคารท้ัง ๒ หลังนี้ใช้เป็น
หอพักนักเรียนฝึกหัดครูประถมมัธยมในเวลาต่อมา ปัจจุบัน
เรือนต่างๆ ที่เป็นโรงละคร โรงโขน ได้ถูกร้ือไปจนหมด และ
กลายเป็นทต่ี ั้งของคุรุสภาและหอ้ งสมดุ
ล่วงถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลท ่ี ๘ ได้
พระราชทานวังจันทรเกษมแก่กระทรวงธรรมการ แล้วทรง
เปลี่ยนช่ือใหม่ว่า โรงเรียนการเรือนวังจันทรเกษม แต่แล้วเมื่อ
พุทธศักราช ๒๔๘๓ โรงเรียนการเรือนวังจันทรเกษมก็ได้ย้ายไป
ยังสวนสุนันทา (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต)
กระทรวงธรรมการจงึ ได้กลบั เข้ามาอยใู่ นวังจันทรเกษม
ทุกวันน้ี วังจันทรเกษมเป็นท่ีทำการของกระทรวง
ศกึ ษาธกิ าร ตวั ตำหนกั ใหญเ่ ปน็ ทต่ี งั้ ของสำนกั งานปลดั กระทรวง
207
จากกรมมหรสพหลวง สู่กระทรวงศกึ ษาธิการ และโรงเรียนมหาดเล็กหลวง (โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยใน
ปัจจุบัน) โรงเรียนพรานหลวงทำการสอนอย่างโรงเรียนสามัญ
สมัยรัชกาลท ่ี ๖ เป็นยุคทองของศิลปวัฒนธรรมไทย ทั่วไป คือ ตอนเช้าเรียนวิชาสามัญท้ังหมด สว่ นตอนบา่ ยไปฝกึ
ด้วยพระมหากษัตริย์ทรงสนพระราชหฤทัยและทรงสนับสนุน ยังกรมกองศิลปะนั้นๆ เช่น กรมป่ีพาทย์หลวง ในวังจันทน์
ศิลปวัฒนธรรมทุกด้าน กรมโขนหลวง ทโ่ี รงโขนหลวงสวนมสิ กวนั เปน็ ตน้
ในพุทธศักราช ๒๔๕๔ เม่ือเจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์ หลังจากรัชกาลที่ ๖ เสด็จสวรรคต กรมมหรสพหลวง
กราบบังคมทูลลาออกจากราชการดว้ ยปญั หาสขุ ภาพ เปน็ ผลให้ ถูกยุบไปเขา้ กับกระทรวงวังเมื่อวันท่ี ๒๔ กรกฎาคม พทุ ธศักราช
กรมมหรสพหลวง วงั บา้ นหมอ้ ตอ้ งสน้ิ สภาพไปดว้ ย รชั กาลท ี่ ๖ ๒๔๖๙ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย โรงเรียน
จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายกรมมหรสพหลวงจากวังบ้านหม้อมาตั้ง พรานหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์จึงต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย
ที่วังจันทรเกษม เพ่ือเป็นแหล่งฝึกหัดโขน ละคร และดนตรี ต่อมาข้าราชการกรมมหรสพได้โอนไปสังกัดกรมศิลปากร
ปี่พาทย์ สืบทอดศิลปวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่ ดังปรากฏ ในเดือนกรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๗๘ นับได้ว่าวังจันทรเกษม
หลักฐานในสารานุกรมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เปน็ อกี วงั หนงึ่ ทเี่ ปน็ แหลง่ สง่ เสรมิ และสบื ทอดศลิ ปวฒั นธรรมไทย
ว่า หลังจากที่รัชกาลท ี่ ๖ เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อพุทธศักราช เปน็ ต้นเคา้ ของโรงเรยี นนาฏศิลป กรมศลิ ปากรในสมัยตอ่ มา
๒๔๕๓ โปรดเกล้าฯ ให้ต้ังกรมมหรสพข้ึนเป็นหน่วยราชการ ตง้ั แตพ่ ทุ ธศักราช ๒๔๗๙ เปน็ ตน้ มา กระทรวงธรรมการ
ขึ้นตรงต่อกรมมหาดเล็ก ให้ข้าราชการกรมมหรสพเป็นเสือป่า ได้ประกาศแผนการศึกษาแห่งชาติใหม่หลายฉบับ พร้อมกันน้ัน
กองพิเศษ เรียกว่า “ทหารกระบ่ี” รัชกาลท ่ี ๖ ทรงโปรดปราน ก็ได้ออกกฎใหม่ๆ เพ่ิมขึ้นเพ่ือให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง
ทหารกระบี่กองนี้มาก เป็นเหตุให้มีผู้เล่ือมใสนำเด็กเข้ามาเป็น เรื่องการศึกษาของชาติในขณะน้ัน ทำให้บริเวณที่ทำการ
นักเรียนฝึกหัดในกรมมหรสพจำนวนมาก ดังน้ัน จึงโปรดเกล้าฯ ของกระทรวงเดิมซ่ึงอยู่บนถนนจักรเพชรคับแคบเกินไป ในวันท่ ี
ให้ต้ังโรงเรียนสอนหนังสือไปด้วย โดยแยกเป็นหน่วยราชการ ๒๔ มิถนุ ายน พทุ ธศักราช ๒๔๘๓ (วนั เดยี วกับวนั เปดิ อนสุ าวรยี ์
กองโรงเรียนทหารกระบี่หลวง มีการสร้างห้องนอนเป็นทิวแถว ประชาธิปไตยบนถนนราชดำเนินกลาง) กระทรวงธรรมการ
อยู่ทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันตกของวังจันทรเกษม มีสนาม จงึ ยา้ ยมาอยทู่ ว่ี งั จนั ทรเกษมดงั รายงานการประชมุ คณะรฐั มนตร ี
และโรงพยาบาลตั้งอยู่ตอนหน้าของวัง ซึ่งในขณะนั้นเรียกว่า คร้ังท ี่ ๗๗/๒๔๘๒ ความว่า “...กระทรวงธรรมการรายงานว่า
สวนจนั ทร ์ (ทตี่ ง้ั ของกระทรวงศกึ ษาธกิ ารในปจั จบุ นั ) สว่ นดา้ นหลงั ทว่ี า่ การกระทรวงธรรมการ มสี ถานทคี่ บั แคบมากไมพ่ อกบั กจิ การ
เป็นสำนักงานใหญ่ของกรมมหรสพหลวง ใช้เป็นท้ังโรงละคร ทก่ี ำลงั ขยายตวั อยใู่ นเวลาน.้ี ..ไดพ้ จิ ารณาวา่ วงั จนั ทรเกษม ซงึ่ ใช้
และโรงโขน เปน็ โรงเรยี นการเรอื นอยนู่ ี้ มอี าณาเขตกวา้ งขวาง เหมาะสมที่จะ
ต่อมา เมื่อทรงต้ังกรมเสือป่าพรานหลวงรักษาพระองค์ ดดั แปลงเปน็ ทว่ี า่ การกระทรวงธรรมการได.้ ..ทปี่ ระชมุ ตกลงอนมุ ตั ิ
โรงเรียนจึงได้รับพระราชทานช่ือใหม่เป็น โรงเรียนพรานหลวง ให้ดำเนินการ...เป็นเงิน ๔๓,๐๐๐ บาท ส่วนท่ีว่าการกระทรวง
ในพระบรมราชูปถัมภ์ อยู่ในระดับเดียวกับโรงเรียนราชวิทยาลัย ธรรมการเดิมน้นั ใหข้ นึ้ ทะเบยี นเป็นราชพัสดุตอ่ ไป”
(โรงเรยี น ภ.ป.ร. ราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชปู ถมั ภ ์ ในปจั จุบัน)
208
วงั จนั ทรเกษมในปจั จบุ นั เปน็ ทตี่ ง้ั ของกระทรวงศึกษาธิการ
ในขณะน้ันตรงกับสมัยนายกรัฐมนตรี จอมพล แปลก เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๔ กระทรวงธรรมการได้เปล่ียนชื่อเป็น
พิบูลสงคราม และนาวาเอก หลวงสินธ์ุสงครามชัย (สินธ ุ์ “กระทรวงศึกษาธิการ” และมีหน้าท่ีเป็นศูนย์กลางเผยแพร่
กมลนาวิน) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ ต่อมา การศึกษาและวัฒนธรรมของประเทศมาจนถงึ ปัจจุบัน
209
วังวรดศิ
ณ พ้ืนท่ีกว่า ๑๐ ไร่ ตำบลบ้านนางเลิ้ง ริมถนน
หลานหลวง ซ่ึงอยู่ท่ามกลางความร่มร่ืนของแมกไม้ท่ีรายรอบ
บริเวณผสานกับความเงียบสงบ เป็นที่ต้ังของวังวรดิศหรือ
วังสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เจ้านายผู้มีบทบาทสำคัญในการสรรค์สร้าง “ความศิวิไลซ์”
ให้แก่สยามประเทศ ด้วยพระปรีชาสามารถ ท้ังด้านการศึกษา
การทหาร และการปกครอง จนไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปรยี บประดจุ
ดัง “เพชรประดับพระมหามงกุฎ” ของพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที ่ ๕ โดยทรงใช้นิวาสสถานแห่งน้ี
เปน็ ทงั้ ทปี่ ระทบั ทท่ี รงงาน และทส่ี รา้ งสรรคม์ รดกทางวฒั นธรรม
อันทรงคุณคา่ นานัปการแกส่ ังคมไทย
210
วงั วรดิศ คร้งั ประกอบพธิ ขี ึน้ ตำหนกั ใหม ่ เมื่อพทุ ธศกั ราช ๒๔๕๔ (ภาพจากหอจดหมายเหตแุ ห่งชาต ิ พทุ ธศักราช ๒๔๕๔)
212
ราชนิวาสสถานดศิ วรกมุ าร
เมอื่ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ
(พระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร มีความหมายว่า “ผู้มี
ความซื่อตรง” ต้นราชสกุล ดิศกุล) ทรงถึงวัยอันควรประกอบพิธี
โสกันต ์ (โกนจุก) เมื่อพุทธศักราช ๒๔๑๗ และทรงผนวชเป็น
สามเณรในปีต่อมา หลังทรงลาสิกขาแล้วจึงถึงคราวท่ีจะต้อง
เสดจ็ ประทบั นอกพระบรมมหาราชวงั ตามราชประเพณ ี ในชนั้ แรก
เสด็จไปประทับ ณ บ้านท่ีทรงรับทรัพย์มรดกมาจากเจ้าคุณตา สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ
คือ พระยาอัพภันตริกามาตย ์ (ดิศ โรจนดิศ) ริมถนนเจริญกรุง กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ
ฝ่ังเหนือ (เชิงสะพานดำรงสถิต) พร้อมด้วยเจ้าจอมมารดาชุ่ม ขณะดำรงตำแหนง่ เสนาบดี
กระทรวงมหาดไทย
พระชนน ี เรือนหลังน้ีสร้างด้วยเครื่องไม้ท้ังส้ิน มีตึกหลังเดียว (สมบัตขิ องเอกชน)
เรียกว่า “หอสูง” ซึ่งใช้เป็นสถานท่ีประทับ ภายหลังรัชกาลท่ี ๕
โปรดเกล้าฯ สร้างตำหนักใหม่พระราชทาน ณ ท่ีดินผืนน ้ี “...คนดจี ะบำเพ็ญประโยชนใ์ หค้ นอ่นื
พระราชทานชื่อว่า “วังวรดิศ” ซึ่งมีท่ีมาจากพระนามเดิมของ ตลอดจนชาติบา้ นเมืองของตนเองได้
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ คือ ต้องมีความสามารถจัดกิจการบ้านเรอื นของตนเอง
พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร และได้เสด็จมาประทับ ณ วังวรดิศ ใหเ้ รียบร้อยเสียก่อน ไม่รกเป็นรังหนู
ริมถนนเจรญิ กรุงตลอดรัชกาล ไม่ใชเ้ งินเกนิ รายไดใ้ นการกนิ อยู.่ ..”
ต่อมา เมื่อพุทธศักราช ๒๔๕๓ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา
บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงและพระบาทสมเด็จ (พระราชเสาวนียข์ องสมเดจ็ พระศรพี ชั รินทรา บรมราชนิ นี าถ
พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หวั รัชกาลที ่ ๖ พระราชทานพระราชทรัพย์ พระบรมราชชนนพี ันปีหลวง
ส่วนพระองค์เป็นเงินจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท สร้างตำหนักใหม่
พระราชทานโอวาทในพธิ ีขนึ้ ตำหนกั ใหมว่ ังวรดศิ เม่อื พุทธศักราช ๒๔๕๔)
พระราชทานบนที่ดินแปลงใหญ่ประมาณ ๑๐ ไร่เศษ ริมถนน ท่ีดินผืนน้ีให้ใคร ให้เก็บไว้ดูเป็นตัวอย่างว่าทรงได้มาเพราะ
หลานหลวงของเจ้าจอมมารดาชุ่ม ซึ่งแต่เดิมเป็นสนามควาย หยาดเหงอื่ แรงกายจากการทรงงานหนักเพอ่ื แผ่นดนิ
(เจ้าจอมมารดาชุ่มได้ท่ีดินผืนน้ีโดยมีคนนำมาจำนองและหลุด นอกจากนี ้ การก่อสร้างตำหนักใหม่ยังได้รับความ
จำนอง) รวมกบั ที่ดินบรเิ วณโดยรอบ ทสี่ มเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ ร่วมแรงร่วมใจจากเจ้านายและเหล่าข้าราชการท่ีเป็นลูกศิษย ์
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้รับพระราชทาน เป็นรางวัลจาก ลกู หาจำนวนหน่ึงของสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เช่น
รัชกาลท ่ี ๕ จากการท่ีได้ทรงจัดการปกครองรูปแบบมณฑล พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาสตรศุภกิจ (พระองค์เจา้
เทศาภิบาลและกระทรวงมหาดไทยเป็นผลสำเร็จ หม่อมหลวง ทองแถมถวลั ยวงศ ์ ตน้ ราชสกลุ ทองแถม) ถวายหลงั คาและบนั ได
ปนัดดา ดิศกุล ทายาทวังวรดิศ กรุณาเล่าว่าสมเด็จฯ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร ์
กรมพระยาดำรงราชานุภาพเคยรับส่ังกับลูกหลานว่าไม่ให้ขาย (พระองค์เจ้ายุคลทิฆัมพร ต้นราชสกุล ยุคล) ประทานกระเบ้ือง
213
เกาะยอมุงหลังคา เป็นต้น เจ้าพระยายมราช (ป้ัน สุขุม) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพขณะทรงพระอกั ษร
กับข้าราชการกระทรวงมหาดไทยถวายเครื่องกลอนหน้าต่าง (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ไม่ทราบปที ่ีถา่ ย)
ประต ู และขอสับทั้งหมด สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินี
นาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และรัชกาลท ่ี ๖ เสด็จ ทรงพระอักษรไปถึงเวลาราว ๑๐ นาฬิกาครึ่ง ก็เสด็จ
พระราชดำเนิน มาทรงเป็นประธานในพิธีข้ึนตำหนักใหม่เม่ือ ลงจากตำหนักไปหาพระมารดา (เจ้าจอมมารดาชุ่ม) ไปถึง
พุทธศักราช ๒๔๕๔ โดยพระราชทานนามว่า “วังวรดิศ” ก็หมอบกราบและถามว่า “แม่สบายรึจ๊ะ” ต้องไปกราบทุกเช้า
เช่นเดยี วกับวงั ท่ีถนนเจรญิ กรงุ แล้วเสด็จกลับมาตรวจวัง จะสกปรกที่ไหนสักนิดก็ไม่ได้
ขณะท่ีสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพประทับ ณ ตรัสว่า การลงมาดูบ้านตอนน้ีเพ่ือให้โอกาสแก่คนที่มาเฝ้าจะได้
วังวรดิศ ทรงใช้สถานท่ีแห่งน้ีเป็นท้ังที่ประทับและที่ทรงงาน ไม่ต้องคอยนาน ถ้าวันใดไม่มีใครมาเฝ้าจะเสด็จกลับขึ้นไป
พระกิจวัตรประจำวันของพระองค์จะทรงต่ืนบรรทมเวลา ทรงพระอักษรต่อ จนถึงเวลา ๑๑ นาฬิกา จึงแต่งพระองค ์
ประมาณ ๗ นาฬิกา สรงพระพักตร์ทรงผ้าจีบ (ทรงโจงกระเบน เสด็จไปทรงงานภายนอกวัง เวลา ๑๓ นาฬิกา จึงเสด็จกลับวัง
เอง) ฉลองพระองค ์ แล้วเสด็จเข้าบูชาพระและพระบรมอัฐ ิ สรงน้ำ และเสวยกลางวัน แล้วเสด็จข้ึนไปบรรทมพัก ๑ ช่ัวโมง
ในห้องพระ เสวยเคร่ืองเช้าท่ีเฉลียงบนตำหนักในเวลาน้ี แลว้ แต่งพระองคไ์ ปในงาน ซึ่งมตี ้งั แต่การประชุมต่างๆ และงาน
เลขานุการถวายงานที่ทรงทำค้างไว ้ พร้อมกับทูลกิจธุระในวันนี้ พิธ ี ถ้าวันใดว่างก็เสด็จไปทรงกอล์ฟกับพระธิดา กลับวังราว
ให้ทรงทราบว่ามกี ำหนดอะไรบ้าง ถา้ เปน็ การเรง่ ด่วนก็ทรงต่อใน ๑๙ นาฬิกา ทรงพักครู่หนึ่งแล้วสรงน้ำลงมาเสวยเย็น เวลา
เวลาเสวย พระโอรส พระธิดา และพระนัดดามักจะเฝ้าในช่วงน ้ี ๒๐ นาฬกิ า เสดจ็ กลบั ขึ้นไปทรงอา่ นหนงั สือในมุง้ ลวด (ห้องทรง
พอเสวยเสร็จ ก็ทรงหยิบกระดาษดินสอติดพระหัตถ์เข้าไปใน งานกลางคืน) ที่เฉลียง ตรัสว่า “เช้าเขียนเป็นวิทยาทาน
ห้องเล็ก แล้วกลบั ออกมาทรงต่อทีโ่ ต๊ะทรงพระอักษร ค่ำต้องหาความรู้ต่อ มิฉะนั้นมันจะหมด คนที่นึกว่าตัวรู้พอแล้ว
นั้นเป็นคนตายแล้วเป็นๆ เพราะโลกหมุนอยู่ทุกนาที เราต้อง
สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพและเจา้ จอมมารดาชมุ่ พระมารดา
(ภาพจากหอจดหมายเหตแุ หง่ ชาต ิ ไมท่ ราบปถี า่ ย)
214
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงฉายพระรูปรว่ มกับพระอาคันตุกะจากต่างประเทศทม่ี าเยี่ยมเยียนวงั วรดิศ
ณ บริเวณหนา้ ตำหนกั ใหญ ่ (ภาพจากหอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ ไมท่ ราบปที ถ่ี ่าย)
เรียนตามมันไป จึงจะอยู่กับโลกโดยไม่โง่ได้” จนถึงเวลา วังวรดิศเป็นวังของเจ้านายไทยพระองค์สำคัญท่ีสถิต
๒๑ นาฬิกา จึงเข้าบรรทม ทรงใช้เวลาอย่างน้ีทุกวันโดยไม่ สถาพรคู่กับประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์มาถึง ๕ แผ่นดิน
เปลีย่ นแปลง และทรงตรงต่อเวลาเป็นอยา่ งยิ่ง มีความพยายามรักษาตัวตำหนักใหญ่ท่ีประทับไว้ในสภาพเดิม
สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพประทับ ณ วังวรดศิ ปจั จบุ ัน วังวรดิศจัดเป็นพพิ ธิ ภัณฑ ์ เปิดใหผ้ ูส้ นใจเขา้ ชม ขณะท่ี
เร่ือยมา ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเม่ือพุทธศักราช อาคารบางสว่ นยงั คงเปน็ ทพี่ กั อาศยั ของทายาทราชสกลุ “ดศิ กลุ ”
๒๔๗๕ ได้เสด็จไปประทับท่ีตำหนักซินนามอลฮอล เกาะปีนัง
ประเทศมาเลเซีย เพ่อื หลีกหนีความวุ่นวายทางการเมอื งขณะนั้น “...พระมหามงกุฎสง่างามด้วยประดับ
ครั้นพุทธศักราช ๒๔๘๔ เสด็จกลับประเทศสยาม เพชรนลิ จนิ ดาอันมีค่าฉันใด ข้าราชการทอ่ี ุตสาห์
เนื่องจากประชวรด้วยโรคพระหทัยพิการและเข้าประทับรักษา
พระองค์ ณ ตำหนักวังวรดิศ แต่พระอาการไม่ดีข้ึนและ พยายามช่วยกนั ทะนบุ ำรงุ บ้านเมอื ง
ทรุดหนักลงเร่ือยๆ จนกระทั่งส้ินพระชนม์เมื่อวันท ี่ ๑ ธันวาคม ใหม้ ีความเจริญสุข ก็เปรยี บเสมือนเพชรนิล
พุทธศกั ราช ๒๔๘๖ รวมพระชนมายุได้ ๘๑ พรรษา
เคร่อื งประดบั มหามงกฎุ ฉันนนั้ ...”
(พระราชดำรสั ของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจ้าอย่หู วั
พระราชทานแกส่ มเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
และเหลา่ ขา้ ราชการสมหุ เทศาภบิ าล)
215
หลายความทรงจำในวังแกว้ จากห้องเสวยเป็นห้อง Study หรือห้องศึกษาวิทยาการ
แตกฉาน ตกแต่งภายในให้มีบรรยากาศเหมือนวังโบราณ
เพียงก้าวแรกท่ีข้ามผ่านประตูวังวรดิศจะพบกับตำหนัก ในทวีปยุโรป มีธรรมาสน์สำหรับพระราชาคณะแสดงพระธรรม
หลังใหญ่ท่ีเปี่ยมไปด้วยความงดงามทางสถาปัตยกรรมแบบ เทศนา ห้อง Study แห่งนี้เคยเป็นสถานที่รับเสด็จพระบาท
ตะวันตก ซึ่งออกแบบโดยนายคาร์ล ดอห์ริ่ง (Karl Döhring) สมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
สถาปนิกเอกแห่งยุค ชาวเยอรมัน ท่ีได้รังสรรค์สถาปัตยกรรม รัชกาลที ่ ๘ คร้ังทรงมาเยือนวังวรดิศ ก่อนเสด็จสวรรคตเมื่อ
อนั งดงามรว่ มสมยั มากมาย เชน่ พระรามราชนเิ วศน ์ (พระราชวงั พทุ ธศักราช ๒๔๘๙
บ้านปืน) เมืองเพชรบุรี และตำหนักสมเด็จ วังบางขุนพรหม ส่วนระเบียงหลังตำหนัก สมเด็จฯ กรมพระยาดำรง
เปน็ ตน้ ราชานุภาพโปรดใช้พื้นที่ส่วนนี้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์
การที่ตำหนักของวังวรดิศมีลักษณะเป็นคฤหาสน์ แบบไทย เช่น เป็นที่เสวยพระกระยาหารกับพระโอรสและ
แบบยุโรปน้ันเป็นผลสืบเน่ืองมาจากพระราชดำริของรัชกาลที่ ๕ พระธิดา รับสั่งสนทนาหรือประทานเล่าเรื่องราวความรู้เพื่อเป็น
ซ่ึงนอกจากจะทรงปฏิรูปและพัฒนาบ้านเมืองให้มีความเจริญ วิทยาทานแก่ผู้สนใจ เช่น เร่ืองการตามเสด็จประพาสต้น
ในทุกๆ ด้านแล้ว ยังมีพระราชประสงค์สนับสนุนให้ชาวสยาม เร่ืองกำนันผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวใจการปกครองท้องถ่ินไทย
พัฒนาความเปน็ อยู่ภายในบ้านเรอื นของตน โดยใชว้ สั ดุก่อสร้าง เร่ืองพระโอวาทที่เมืองปัตตานี เป็นต้น ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็น
ที่ถาวรคงทน มีความงดงามทางสถาปัตยกรรม จึงมีพระบรม ห้องโถงบันไดเวียนซ่ึงเป็นส่วนเชื่อมต่อระหว่างช้ันล่างกับชั้นบน
ราชโองการใหพ้ ระบรมวงศานวุ งศแ์ ละข้าราชการช้ันผู้ใหญ่พัฒนา ของตวั ตำหนักใหญ ่
บ้านเรอื นของตนเพอ่ื เป็นตวั อยา่ งที่ดแี กร่ าษฎร
หลังคาของตำหนักใหญ่วังวรดิศเป็นทรงสูง มุงด้วย “...พระองค์ทา่ นทรงมีเรอื่ งคยุ กบั โอรสธิดา
กระเบ้ือง มีหน้าต่างระบายอากาศ (Dormer Window) เป็นรูป ได้ทุกองค์ ทงั้ ท่มี ชี ันษาและวิชาความร้ตู ่างกนั มาก
หลังคา ตัวอาคารมีความโดดเด่น ตรงมุมของอาคารเป็นเสาคู่
ขนาดใหญ่ลายปูนปั้นลักษณะคล้ายกลีบบัว ประตูและหน้าต่าง เรอื่ งของทา่ นมที งั้ กิจการบ้านเมือง
เป็นทรงโค้ง ตัวบานเป็นกระจก ตอนบนของขอบหน้าต่างเป็น เหตกุ ารณ์ในตา่ งประเทศ เรื่องต่ืนเตน้
ลายปูนป้ัน ภายในอาคารเป็นพ้นื ไม้ ฝากอ่ อฐิ ฉาบปนู และวชิ าความรู้ต่างๆ เร่ือยไปจนถึงละคร
ตำหนักใหญ่วังวรดิศม ี ๓ ชั้น หน้าวังหันไปทาง
ทิศเหนือ ช้ันล่างเป็นห้องรับแขกตกแต่งแบบจีนซึ่งแยกเป็น โขน หนงั เร่ืองตลกขบขนั ...”
สัดส่วนกับห้องเสวย ห้องนี้จะไม่ค่อยได้ใช้ในยามปกติ เคยใช้
เป็นท่ีรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายรัชกาล (หมอ่ มเจา้ มารยาตรกญั ญา ดศิ กลุ : ในวงั แกว้ )
พระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศ รวมท้ังใช้เป็นที่ฝึกอบรม
นักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงในการศึกษาวัฒนธรรมตะวันตก
ก่อนไปศึกษาต่อ ณ ตา่ งประเทศ
216
๑ ๔ ๑. เฉลยี งหนา้ ตำหนกั ประดษิ ฐานพระรปู สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ
๒ ๒. หอ้ งเสวย
๕ ๓. ระเบยี งหลงั ตำหนกั เปน็ ทเี่ สวยและสถานทปี่ ระทานเลา่ เรอื่ งราว
๓ ความรเู้ พ่ือเปน็ วิทยาทานแก่ผู้สนใจ
๔. หอ้ ง Study ใชร้ บั รองแขกพเิ ศษและเปน็ สถานทท่ี รงสดบั พระธรรมเทศนา
เคยใชเ้ ป็นสถานท่ีรบั เสด็จพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหา
อานนั ทมหดิ ล พระอฐั มรามาธบิ ดินทร
๕. หอ้ งจนี ห้องรบั แขกตกแตง่ แบบจีน ใชร้ บั เสด็จ
และรับรองพระอาคันตกุ ะจากต่างประเทศ
217
๑. หอ้ งบรรทมหรอื ห้องเกยี รติสถติ ประดับ
ตกแตง่ ดว้ ยภาพถ่ายของเจ้านายราชสกุล ดศิ กลุ
และเปน็ สถานท่ีส้นิ พระชนม์ของสมเดจ็ ฯ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
๒. โถงระเบียงตำหนักใช้เปน็ สถานทบี่ ำเพ็ญกุศล
ในพิธมี งคลตา่ งๆ
๓. หอ้ งทรงพระอกั ษร สถานทสี่ ร้างสรรค์ตำรา
ความรู้อันทรงคณุ คา่
ขึ้นสู่ชั้นบนของตำหนักจะแลเห็นห้องบรรทม ซ่ึงปัจจุบัน ๔. หอ้ งทรงงานกลางคนื แสดงถงึ พระวริ ิยอุตสาหะ
คือ ห้องเกียรติสถิต (Hall of Fame) ประดับตกแต่งด้วย ๑ ๒ ในการคน้ ควา้ ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรง
ภาพถา่ ยของเจา้ นายในราชสกลุ ดศิ กลุ ทปี่ ระกอบคณุ งามความดี ๓ ๔ ๕ ราชานุภาพ นอกเหนือจากพระภาระอนั หนักอึง้
ให้แก่ประเทศชาต ิ และห้องเกียรติสถิตแห่งนี้ยังเป็นสถานท่ี จากราชการงานเมอื ง
ส้นิ พระชนม์ของสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพดว้ ย ๕. ห้องแตง่ พระองค ์ เก็บรักษาเคร่อื งแตง่ กาย
ส่วนพระองค์และเครือ่ งแบบนายทหาร
218 มหาดเลก็ รกั ษาพระองค์ของสมเด็จฯ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ห้องพระบรมอัฐิ เดิมใช้เป็นท้องพระโรงวังวรดิศ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๔ รัชกาล พระอัฐิสมเด็จพระบรม
โอรสาธริ าช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกฎุ ราชกุมาร และเคยใช้เป็นสถานทีต่ ้งั พระโกศพระศพของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ
เม่ือพุทธศักราช ๒๔๘๖
ด้านทิศตะวันออกของห้องบรรทมเป็นห้องทรงพระอักษร ตัวตำหนัก เป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จ
ส่วนด้านทิศตะวันตกเป็นห้องทรงงานกลางคืน ณ สถานท่ี พระเจ้าอยู่หวั ๔ รัชกาล คือ รชั กาลท่ ี ๑ รัชกาลที ่ ๒ รชั กาลที่ ๔
สำคัญทั้ง ๒ แห่งน้ ี เป็นท่ีรังสรรค์ผลงานพระนิพนธ์อันทรง รัชกาลท ่ี ๕ และพระอัฐิของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้า
คุณค่ามากมาย ทั้งทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคด ี มหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกของสยาม และ
ย้ำเตือนให้อนุชนรุ่นหลังสำนึกถึงเอกลักษณ์และคุณค่าของ เคยใช้เป็นสถานท่ีต้ังพระโกศพระศพของสมเด็จฯ กรมพระยา
ความเป็นไทย ดำรงราชานภุ าพเมอื่ สน้ิ พระชนม ์
ถัดจากห้องทรงพระอักษรเป็นห้องแต่งพระองค์ เก็บ เม่ือครั้งยังดำรงพระชนมชีพ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรง
รักษาเครื่องแต่งกายส่วนพระองค ์ และเคร่ืองแบบนายทหาร ราชานุภาพจะเสด็จเข้าไปกราบถวายบังคมพระบรมอัฐิเป็น
มหาดเลก็ รกั ษาพระองคข์ องสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ประจำทุกวัน รับส่ังว่าให้ดำรงรักษาไว้ให้จงได้ เพ่ือความเป็น
และทายาทราชสกุลดิศกุล พร้อมท้ังยังเก็บรักษามุ้งที่ทรงเคยใช้ สิริมงคลแก่ประเทศชาติและราชสกุล ภายหลังจากที่พระองค์
เมอ่ื คร้งั ยงั ทรงพระเยาว ์ ซงึ่ เจา้ จอมมารดาช่มุ เก็บรักษาไว ้ สิ้นพระชนม์แล้ว ได้อัญเชิญพระอัฐิของพระองค์มาประดิษฐาน
ห้องที่มีความสำคัญสูงสุดของตำหนักใหญ่วังวรดิศ คือ ณ ทน่ี ้ดี ว้ ย ส่วนชน้ั ที่ ๓ เปน็ ห้องใต้หลงั คา ใชเ้ ป็นหอ้ งเก็บของ
ห้องพระบรมอฐั ิ เดิมเปน็ ทอ้ งพระโรง ตง้ั อยู่ดา้ นทศิ ตะวนั ตกของ
219
พระนิพนธ์ด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีเป็นจำนวนมาก
ซึง่ เปน็ มรดกทางปญั ญาของชาวโลกมาจนกระท่ังทกุ วนั น ี้
ผลงานท่ีมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายของ
พระองค ์ เช่น พระนิพนธ์ไทยรบพม่า เที่ยวเมืองพม่า นิทาน
โบราณคด ี ตำนานพุทธเจดีย์ พระราชพงศาวดารฉบับพระราช
หัตถเลขา เป็นต้น ซ่ึงล้วนได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดแห่ง
วรรณกรรมความรู้ นอกจากนี ้ วังวรดิศยังเป็นที่ต้ังของหอสมุด
ดำรงราชานุภาพ ซ่ึงเป็นที่รวบรวมสรรพตำราและพระนิพนธ์
อันล้ำค่าของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพไว้อย่าง
ครบถว้ นดว้ ย
หอสมดุ ดำรงราชานภุ าพภายในวงั วรดิศเปน็ สถานที่เก็บรวบรวม ผลงานพระนิพนธ์ของสมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพจำนวนมาก
สรรพตำราและพระนิพนธข์ องสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สรา้ งคณุ ปู การอย่างใหญ่หลวงใหแ้ ก่แวดวงการศกึ ษา
เปิดให้ประชาชนทวั่ ไปเขา้ ชมและศกึ ษาหาความรู ้ ด้านประวตั ศิ าสตร์และโบราณคดีของไทย
สรรค์สร้างความร้แู ละภูมปิ ญั ญา
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าสมเด็จฯ กรมพระยาดำรง
ราชานุภาพมีพระปรีชาสามารถด้านงานประพันธ ์ โดยเฉพาะ
ทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีซ่ึงทรงสร้างคุณูปการ
ใหญ่หลวงต่อแวดวงการศึกษาของไทยจนทรงได้รับการถวาย
พระสมัญญาว่า “พระบิดาแห่งประวัติศาสตร ์ และโบราณคดี”
ทรงใช้วังวรดิศเป็นสถานท่ีทรงนิพนธ์หนังสือตำราต่างๆ ทำให้มี
220
ห่นุ กระบอกพระอภยั มณี หุ่นกระบอกของนายเหน่งแด่หม่อมเจ้าอิทธิดำรง พระโอรสใน
และนางเงอื ก จดั แสดงที ่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพซึ่งได้ทรงเล่นเชิดหุ่นกับ
พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาต ิ หม่อมราชวงศ์เถาะ พยัคฆเสนา มหาดเล็กของสมเด็จฯ
พระนคร กรมพระยาดำรงราชานุภาพเรือ่ ยมาระหวา่ งทาง
เม่อื กลบั ถึงกรุงเทพฯ หมอ่ มเจา้ อิทธิดำรงประชวร กระทง่ั
หนุ่ กระบอกวงั วรดศิ นยิ มเลน่ เรอื่ งพระอภยั มณ ี สน้ิ ชีพติ กั ษยั หมอ่ มราชวงศเ์ ถาะ พยคั ฆเสนา เกิดความคดิ ทจ่ี ะ
จากภาพเปน็ การแสดงห่นุ กระบอกเรื่องพระอภยั มณ ี เล่นหุ่น ด้วยระลึกถึงหม่อมเจ้าอิทธิดำรงที่ได้อภิบาลมาแต่ครั้ง
ตอนพระอภยั มณแี ละศรสี วุ รรณพบกับพราหมณ์ ยงั เยาว์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพจึงประทานเงินทุน
แก่หม่อมราชวงศ์เถาะ พยัคฆเสนา คิดทำหุ่นกระบอกขึ้นเม่ือ
ไม่เพียงเท่านั้น วังวรดิศยังเป็นแหล่งสร้างสรรค์ศิลปะ พุทธศักราช ๒๔๓๖ โดยดัดแปลงจากหุ่นกระบอกของนายเหนง่
การแสดงหุ่นกระบอก มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติ ให้เป็นหุ่นที่มีรายละเอียดเลียนแบบมนุษย ์ มีเอกลักษณ์เฉพาะ
และเปน็ ทีร่ ู้จักแพรห่ ลายท่วั โลก ดว้ ยการตกแต่งปักลายผ้าด้วยดน้ิ เงิน ดิ้นทอง เล่อื ม แบบเครอ่ื ง
ในหนังสือสาส์นสมเด็จหรือลายพระหัตถ์โต้ตอบระหว่าง โขนละคร อย่างงดงาม เรียกหุ่นที่คิดค้นภายในวังวรดิศนี้ว่า
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์และสมเด็จฯ กรม “ห่นุ คุณเถาะ” ตอ่ มา จึงเปล่ียนมาเรยี กว่า “หุ่นกระบอก”
พระยาดำรงราชานุภาพ ระบุว่า การละเล่นหุ่นกระบอกเริ่มขึ้น ความคิดริเริ่มก่อต้ังคณะหุ่นในวังวรดิศน้ ี ก่อให้เกิด
คร้ังแรกเมื่อราวพทุ ธศักราช ๒๔๓๕ ทเี่ มืองสโุ ขทัยโดยนายเหนง่ กระแสความนิยมของการเล่นหุ่นกระบอก ซ่ึงต่อมาภายหลังมี
เป็นคนคิดค้นดัดแปลงจากหุ่นไหหลำของจีน มาเป็นหุ่น คณะหุ่นกระบอกเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก จนเป็นมหรสพท่ีนิยม
แต่งอย่างไทย ใช้เลน่ หากนิ อยู่ท่ีเมอื งสุโขทยั จนมีช่อื เสยี ง ของชาวพระนครในเวลานั้น นิยมเล่นเรื่อง พระอภัยมณ ี ขุนช้าง
เมื่อสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จไปตรวจ ขุนแผน และลกั ษณวงศ์
ราชการทีห่ ัวเมอื งเหนอื ถงึ เมอื งอุตรดติ ถ ์ พระยาสโุ ขทยั ไดถ้ วาย คณะหุ่นกระบอกวังวรดิศหรือ “หุ่นคุณเถาะ” ได้รับ
การสืบทอดต่อมาโดยนายเปียก ประเสริฐกุล ต้ังแต่พุทธศักราช
๒๔๔๒ มาจนถงึ ครูชน้ื (ชูศรี) สกลุ แก้ว ศิลปินแห่งชาต ิ บุตรสาว
ของนายเปียก โดยครูชื้นเคยเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาการเชิด
หนุ่ กระบอกทค่ี ณะศลิ ปศาสตร ์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร ์ และนำ
หุ่นกระบอกของไทยเข้าร่วมแข่งขันกับประเทศต่างๆ ในเอเชีย
จนได้รับรางวัลชนะเลิศ ปัจจุบัน แม้ครูชื้นเสียชีวิตไปแล้ว
แต่ “หุ่นคุณเถาะ” ได้รับการส่งต่อให้ผู้สืบทอดที่เหมาะสม คือ
นายจักรพันธุ ์ โปษยกฤต ศิลปินแห่งชาติ สืบสานศิลปะการเชิด
หนุ่ กระบอกให้ดำรงอยู่คชู่ าวไทยตอ่ ไป
221
วงั เทวะเวสม์
ณ พื้นที่จำนวน ๒๔ ไร ่ ๓ งาน ๗๘ ตารางวา ซ่ึงม ี
อาณาบริเวณเช่ือมต่อกับวังบางขุนพรหมและวังปากคลอง
ผดุงกรุงเกษม เป็นที่ต้ังของวังเทวะเวสม์หรือวังสมเด็จพระเจ้า
บรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ เจ้านายผู้มีบทบาท
สำคัญในการวางรากฐานกิจการการต่างประเทศและธำรงรักษา
เอกราชอธิปไตยของสยามให้คงอยู่จวบจนปัจจุบัน
222
223
นวิ าสสถานเทวกุลวงศ์ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการ
ขณะดำรงตำแหนง่ เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ
เมอื่ พทุ ธศกั ราช ๒๔๓๕ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ (ภาพจากหอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ ไมท่ ราบปีทถี่ ่าย)
เจ้าอยู่หัว รัชกาลท ่ี ๕ มีพระราชดำริให้หาที่ดินแปลงใหม่เพ่ือ
สร้างวังพระราชทานพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ ์ ของพระคลังข้างท่ ี จึงยังมิได้มีการก่อสร้างวังพระราชทาน
วโรประการ (พระองค์เจ้าเทวัญอุไทยวงศ์ ตอ่ มา ไดร้ บั การเฉลมิ จนสิน้ รชั กาล
พระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะ
วงศ์วโรปการ ต้นราชสกุล เทวกุล) พร้อมกับวังของพระเจ้า “ดว้ ยฉนั ได้ออกวาจาไว้แต่เดมิ วา่ จะหาท่บี า้ นให้
น้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ (ภายหลังได้รับการเฉลิม กรมหลวงเทววงศ์ฯ ใหมต่ ำบล ๑ เพือ่ จะให้ไดเ้ ปน
พระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิวัด
นวศิ ษิ ฎ ์ ต้นราชสกลุ สวัสดวิ ัตน์) ทถ่ี นนพระรามท่ ี ๑ ดว้ ยเหตคุ อื อนั สงเคราะห์อย่างสวสั ดิโสภณ แลตามเหตทุ ี่
ทปี่ ระทบั ณ วงั สะพานถา่ น ซงึ่ ตงั้ อยรู่ มิ คลองคเู มอื งเดมิ หรอื คลอง เจ้าของบา้ นบ่นออดแอดวา่ บ้านเดิมใหญโ่ ตนัก
สะพานถ่าน (ท่ีเรียกว่าสะพานถ่านเพราะเป็นย่านการค้าถ่านท่ี
สำคัญของพระนคร) หลังวัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งประทับ กลวั ลกู จะครอบครองไปไม่ได.้ ..”
ระหวา่ งพทุ ธศักราช ๒๔๒๓ - ๒๔๖๑
รชั กาลท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ใหก้ รมพระคลงั ขา้ งท่ีจัดซื้อทีด่ นิ (พระราชหตั ถเลขาของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั
แปลงหน่งึ รมิ ถนนสามเสน ใกลก้ ับวัดนรนาถสนุ ทริการาม ซ่งึ ต้งั ขณะเสด็จพระราชดำเนนิ แปรพระราชฐานที่เกาะสีชงั
อยู่ระหว่างท่ีดินแปลงที่รัชกาลที่ ๕ ทรงเตรียมให้กรมพระคลัง ถงึ พระเจ้านอ้ งยาเธอ กรมหม่นื นเรศรวรฤทธ ิ์
ข้างท่ีจัดซื้อเพื่อสร้างวังพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ)
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ุฯ (ภายหลังได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศ
เป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ ุ
กรมพระนครสวรรค์วรพินิต) ซึ่งต่อมา คือ วังบางขุนพรหม
ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นท่ีดินท่ีจะทรงซ้ือเพ่ือสร้างวังพระราชทาน
พระเจ้าลกู ยาเธอ พระองคเ์ จา้ กติ ยิ ากรวรลกั ษณ ์ (ภายหลงั ไดร้ บั
การเฉลมิ พระอิสริยยศเปน็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระจันทบรุ ี
นฤนาถ) ซ่งึ ตอ่ มา คอื วังปากคลองผดุงกรุงเกษม
ทด่ี นิ แปลงนเี้ ปน็ ของนางเปย่ี ม มารดาของนางอมิ่ ภรรยา
จม่ืนประธานมณเฑียร ซ่ึงซื้อเลหลังมาจากพระคลังข้างที่
ในราคา ๘๐ ชั่ง รัชกาลท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ซ้ือที่ดินคืนจาก
นางอม่ิ ดว้ ยราคายตุ ธิ รรม และพระราชทานแกพ่ ระเจา้ นอ้ งยาเธอ
กรมหลวงเทวะวงศว์ โรประการ แต่ขณะนั้นที่ดินยังเป็นกรรมสิทธิ์
224
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล พระยาศุภกรณ์บรรณสาร (นุ่ม วสุธาร) กราบทูลสมเด็จฯ
ที่ ๖ ทรงอนุสรณถ์ ึงคุณความดีแหง่ สมเด็จพระมาตลุ า (สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการถึงทดี่ ินซึ่งจะสรา้ งวัง โดยทรงเลือก
กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการทรงเป็นพระเชษฐาร่วมพระ ทดี่ นิ แปลงเดมิ ท่ีรัชกาลที่ ๕ มพี ระราชดำริพระราชทาน ซ่ึงตัง้ อยู่
ชนกนาถและพระชนนีเดียวกับสมเด็จพระศรีพัชรินทรา ระหว่างวังบางขุนพรหมและวังปากคลองผดุงกรุงเกษม รัชกาล
บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) จึงมีพระราชดำริ ท ี่ ๖ มพี ระมหากรุณาธิคณุ ให้กรมพระคลงั ขา้ งทีซ่ ้ือทดี่ นิ เพมิ่ เติม
จะสรา้ งวงั พระราชทานเชน่ เดยี วกบั การสรา้ งวงั วรดศิ พระราชทาน ด้วยการสร้างวังบางขุนพรหมทำให้ท่ีดินท่ีจะสร้างวังเทวะเวสม์
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เหลือขนาดเล็กลง
โดยโปรดเกล้าฯ ให้อธิบดีกรมพระคลังข้างที่ในเวลานั้น คือ
“...การทท่ี รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหข้ า้ พเจา้
แผนท่ีบริเวณวังเทวะเวสม ์ สำรวจเม่ือพทุ ธศกั ราช ๒๔๖๔ ทำบา้ นใหมน่ ้ี พระเดชพระคณุ เปนลน้ เกลา้ ฯ
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแหง่ ชาต)ิ
หาทสี่ ดุ มไิ ดแ้ ลว้ แลเปนการไมเ่ ฉพาะ
แตท่ รงพระมหากรณุ าธคิ ณุ แกต่ วั ขา้ พเจา้ ผเู้ ดยี ว
หากจะตลอดถงึ บตุ รชายหญงิ ของขา้ พเจา้ ทง้ั หลาย...”
ลายพระหตั ถ์สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการ
ถงึ พระยาศุภกรณบ์ รรณสาร อธบิ ดีกรมพระคลังข้างที่
สำนักราชเลขาธิการ ในพระบรมมหาราชวัง,
เรอื่ งสรา้ งวงั และมรดก สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ๕๔/๙๕
(เอกสารสำเนา)
วงั เทวะเวสมต์ ง้ั อยู่บริเวณ
ด้านหลังวัดนรนาถสนุ ทรกิ าราม
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาต ิ
พุทธศักราช ๒๔๘๙)
225
สมเดจ็ ฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการทรงฉายภาพรว่ มกบั หมอ่ มใหญแ่ ละพระประยรู ญาต ิ ณ วังเทวะเวสม ์ เมอ่ื พุทธศักราช ๒๔๖๖
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแหง่ ชาต)ิ
วังเทวะเวสม์เร่ิมดำเนินการก่อสร้างต้ังแต่พุทธศักราช สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการและครอบครัว
๒๔๕๗ ควบคุมงานโดยพระยาทิพโกษา รวมเป็นเงินท่ีขอรับ ทรงย้ายจากวังสะพานถ่านมาประทับ ณ วังเทวะเวสม์ในปี
พระราชทานค่าก่อสร้างเป็นจำนวนทั้งสิ้น ๖๐๙,๕๕๐ บาท เดียวกันนี ้ โปรดให้ย้ายรูปหล่อช้างจากวังสะพานถ่านซ่ึงเป็น
แล้วเสร็จเม่ือพุทธศักราช ๒๔๖๑ สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์ สัญลักษณ์ของกรมท่ามาประดับไว้หน้าพระตำหนักใหญ ่ มีการ
วโรปการทรงคืนวงั สะพานถา่ นให้แกก่ รมพระคลงั ข้างที ่ ดว้ ยทรง บำเพ็ญพระกุศลข้ึนพระตำหนักใหม่พร้อมกับทรงบำเพ็ญ
ถือว่ามิใช่กรรมสิทธ์ิส่วนพระองค ์ ซึ่งต่อมาได้สร้างเป็น “ตลาด พระกศุ ลฉลองพระชนั ษาครบ ๖๐ พรรษา เมอ่ื วนั ท ่ี ๑๑ และ ๑๒
บำเพ็ญบุญ” (ปัจจุบัน คือ อาคารพาณิชย์ของเอกชน) ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๖๑ การน ี้ รัชกาลท่ี ๖ มีพระมหา
กรุณาธคิ ณุ เสด็จพระราชดำเนนิ มาทรงรว่ มงาน
226
ตำหนกั ใหญว่ ังเทวะเวสม์ (ด้านขา้ ง) เมอ่ื พุทธศักราช ๒๔๖๕ ต่อมา เม่ือกระทรวงสาธารณสุขจัดตั้งหน่วยงานใหม่
(ภาพจากหอจดหมายเหตแุ หง่ ชาต ิ พทุ ธศักราช ๒๔๖๕) ขยายหนว่ ยงานเดมิ และเพม่ิ บคุ ลากรเพอ่ื รองรบั งานใหมท่ เ่ี กดิ ขนึ้
ทำให้พ้ืนท่ีวังเทวะเวสม์คับแคบลง กระทรวงสาธารณสุขจึงหา
สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการประทับ ณ วัง สถานท่ีใหม่เพ่ือขยายท่ีทำการของกระทรวงให้กว้างขวางขึ้น
เทวะเวสม์จนสิ้นพระชนม์เม่ือพุทธศักราช ๒๔๖๖ วังเทวะเวสม ์ กอปรกับธนาคารแห่งประเทศไทย (วังบางขุนพรหม) มีปัญหา
จงึ ได้แบง่ เป็นมรดกแกท่ ายาทหลายส่วน ความคับแคบของพื้นที่เช่นเดียวกัน จึงปรึกษาหารือจนได้ข้อยุติ
ต่อมา เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๓ กระทรวงสาธารณสุข วา่ ธนาคารแหง่ ประเทศไทยจะเปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบคา่ ใชจ้ า่ ยทงั้ หมด
ซึ่งมีที่ทำการอยู ่ ณ วังศุโขทัย โดยเช่าจากสำนักงานทรัพย์สิน ในการสร้างที่ทำการใหม่ของกระทรวงสาธารณสุขบนเนื้อท่ ี
ส่วนพระมหากษัตริย์ต้ังแต่พุทธศักราช ๒๔๘๕ ต้องย้ายออก ๔๐๐ ไร่ บริเวณทงุ่ ศรธี ญั ญา จงั หวัดนนทบุรี เพ่อื แลกเปลี่ยนกบั
เพ่ือให้สำนักพระราชวังจัดเตรียมวังศุโขทัยให้เป็นที่ประทับ วังเทวะเวสม์ โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้นกว่า ๒,๐๐๐ ล้านบาท
ของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณ ี จึงได้ขอซ้ือวังเทวะเวสม์เป็น เริ่มก่อสร้างเมื่อพุทธศักราช ๒๕๓๒ แล้วเสร็จเมื่อพุทธศักราช
ที่ทำการกระทรวงสาธารณสุข มีอาคาร ๖ หลัง เนื้อท่ ี ๑๔ ไร่ ๒๕๓๗ และย้ายกระทรวงสาธารณสุขออกไปในเดือนกันยายน
๓ งาน ๙ วา แล้วย้ายที่ทำการกระทรวงมายังวังเทวะเวสม ์ ปีเดียวกัน และได้เชิญพระอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เมือ่ วนั ที ่ ๑๔ พฤศจกิ ายน พุทธศกั ราช ๒๔๙๓ กรมพระยาชัยนาทนเรนทรไปประดิษฐาน ณ ที่ทำการกระทรวง
คร้ันพทุ ธศักราช ๒๕๐๕ กระทรวงสาธารณสุขขอซือ้ ทดี่ นิ สาธารณสุขแห่งใหม ่ กระท่ังเม่ือธนาคารแห่งประเทศไทยย้าย
ของหมอ่ มเจา้ อัจฉราฉวี เทวกุล พร้อมทัง้ ส่งิ กอ่ สรา้ ง มีตกึ ๓ ชัน้ เข้าสู่วังเทวะเวสม์ จึงได้ย้ายรูปหล่อช้างกลับมาต้ังบริเวณจุด
อีกหน่ึงหลังเพื่อขยายบริเวณท่ีทำการของกระทรวงสาธารณสขุ เดิมจวบจนปัจจุบัน และมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินราชพัสดุและ
และได้ย้ายรูปหล่อช้างหน้าพระตำหนักใหญ่ไปไว้ริมน้ำ และ อาคารส่ิงปลูกสร้างท้ังหมดบริเวณวังเทวะเวสม์ให้แก่ธนาคาร
ประดษิ ฐานพระอนสุ าวรยี ส์ มเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยา แห่งประเทศไทย
ชัยนาทนเรนทร (พระองค์เจ้ารังสิตประยุรศักด ิ์ ต้นราชสกุล
รังสติ ) พระบดิ าแห่งการสาธารณสุขไทยแทนท่ ี 227
สถาปัตยกรรมแห่งยุคสมัย มีพระบรมรูปรัชกาลท ่ี ๔ และรัชกาลท ่ี ๕ ขนาดครึ่งพระองค ์
แกะจากศิลาขาวประดิษฐานอยู่บนแท่น บนผนังห้องมีพระบรม
วังเทวะเวสม์มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบนีโอ สาทิสลักษณ์รัชกาลที่ ๖ ท่ีได้รับพระราชทานคราวขึ้นตำหนัก
คลาสสิก (Neo - Classic) มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของ ใหญ่ ห้องรับแขกชั้นล่างสำหรับรับแขกที่เป็นข้าราชการ
สถาปัตยกรรมให้เข้ากับการใช้สอยและสภาพภูมิอากาศ ช้ันผู้ใหญ่ และใช้เป็นสถานที่รับรองแขกสำคัญระดับชาติ
แบบไทย เช่น มีกันสาดย่ืนออกมาเหนือหน้าต่างเพื่อกันแดดฝน อ ยู่ เ ส ม อ เ ม่ื อ ท ร ง ด ำ ร ง ต ำ แ ห น่ ง เ ส น า บ ดี ก ร ะ ท ร ว ง ก า ร
มีช่องระบายอากาศจำนวนมากเพื่อช่วยระบายความร้อนในตัว ต่างประเทศ ส่วนข้าราชการระดับรองลงมาจะเข้าเฝ้าท่ีลาน
อาคาร ด้านหน้าตำหนัก
ตำหนักใหญ่วังเทวะเวสม์ออกแบบและก่อสร้างโดย ช้ันท ี่ ๒ ประกอบด้วย ท้องพระโรงหรือโถง จำนวนและ
นายเอ็ดเวิร์ด ฮีลีย ์ (Edward Healey) สถาปนิกชาวอังกฤษ ตำแหน่งห้องต่างๆ ในช้ันนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับชั้นท่ี ๑
แห่งบริษัทสยามอาร์คิเทกต์ เป็นอาคารสูง ๔ ชั้น มีการนำ ห้องรับแขกซึ่งตรงกันกับห้องรับแขกช้ันล่างนับเป็นห้องท่ีสำคัญ
องค์ประกอบสถาปัตยกรรมยุคกรีกและโรมัน เช่น เสา บันได ที่สุดของวัง คือ สำหรับรับแขกช้ันเจ้านาย และใช้เป็นห้อง
บวั เชิงผนัง กันสาด เพดาน บานประตู และหนา้ ต่างมาประยุกต์ ประกอบพธิ สี งฆ์ พิธแี ต่งงาน และเปน็ ท่ตี ้งั พระโกศทองน้อยเม่ือ
เป็นเครอ่ื งประดับตกแตง่ อาคาร สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการส้ินพระชนม์และเม่ือ
ชั้นท่ี ๑ ประกอบด้วย ท้องพระโรงหรือโถงหน้า ห้อง หมอ่ มใหญถ่ ึงแก่อนิจกรรมกไ็ ด้ต้งั ศพ ณ จุดเดยี วกันนี้
บิลเลียด ห้องเสวย ห้องพักอาศัย ห้องเก็บของ และห้องรับแขก
รปู ด้าน (Elevation) ทิศตะวันตก
ของตำหนักใหญ ่ ออกแบบและกอ่ สร้าง
โดยนายเอด็ เวริ ์ด ฮลี ีย์ สถาปนิก
ชาวองั กฤษแห่งบรษิ ัทสยามอารค์ เิ ทกต์
228
๑ ๒ ๑. ทางเขา้ ตำหนกั ทำมขุ ย่ืน เฉลียงของทง้ั ๒ ชน้ั ตกแต่งราวระเบยี งด้วยลูกมะหวดปนู ปัน้ มีเสากลม (Ionic)
ตกแตง่ แบบเสา รองรับเฉลียง บริเวณลานดา้ นหนา้ ตำหนกั เคยใชเ้ ปน็ สถานท่ีรับรองขา้ ราชการกระทรวงการตา่ งประเทศ
๒. ภายในตำหนกั ตกแต่งดว้ ยเสาแบบคลาสสกิ หลายแบบและใช้ซ้มุ โค้งแบบอารเ์ คด (Arcade) ตามแนวทางเดิน
๔ ๓. หอ้ งรบั รองชั้นท ี่ ๑ ตกแต่งสไตล์คลาสสิก ใชส้ ำหรบั รบั รองแขกที่เป็นขา้ ราชการช้นั ผใู้ หญ ่
๓ ๔. ห้องรับรองชน้ั ท่ี ๒ ตกแต่งสไตล์คลาสสกิ เชน่ เดยี วกัน นับเปน็ หอ้ งท่สี ำคญั ทีส่ ดุ ของวงั เทวะเวสม์ ใชส้ ำหรบั รับรองแขก
ชัน้ เจา้ นาย ประกอบพธิ สี งฆ์ พิธแี ต่งงาน และเปน็ ทต่ี ง้ั พระโกศทองน้อยเม่ือสมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการส้นิ พระชนม ์
229
ตำหนกั หมอ่ มเจา้ ปรดี ิเทพย์พงษ์ เทวกุล
ตึกของหม่อมต่างๆ เป็นตึกก่ออิฐถือปูนรวม ๕ หลัง ทำเหมือนกันทุกหลัง ส่วนหลังคาเป็นทรงจ่ัวยอดแหลม ประดับ
สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการทรงให้นายช่างกรม ไม้ฉลุลาย เป็นลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ ์
สุขาภิบาล คือ นายเอมิลโย โจวันนี อูเจนโย กอลโล (Emilio ในสมัยรัชกาลที ่ ๖
Giovanni Eugenio Gollo) วิศวกรชาวอิตาเลียน (ต่อมาได้รับ ตำหนักหม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ ์ เทวกุล ออกแบบและ
พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาศิลปะศาสตร์โสภิต) เป็น กอ่ สร้างโดยนายกอลโล เปน็ เรอื นไม ้ ๒ ชั้น ทรงปน้ั หยา ทำด้วย
ผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง ลักษณะทางสถาปัตยกรรม ไม้เกือบท้ังหลัง มีเพียงบันไดหน้าที่ทำด้วยหินอ่อน หม่อมเจ้า
ประยุกต์มาจากรูปแบบนีโอคลาสสิก ลักษณะโดยรวม ปรีดิเทพย์พงษ์มิได้ประทับอย่ ู ณ ตำหนักน ้ี จนกระท่ังประมาณ
230
ตกึ ของหมอ่ มตา่ งๆ เปน็ ตึกกอ่ อฐิ ถอื ปูน กำแพงวงั ดา้ นถนนสามเสนเดมิ เปน็ รว้ั เหลก็ เมอื่ แรกสรา้ ง
ลกั ษณะทางสถาปตั ยกรรมประยกุ ต์มาจากรปู แบบนีโอคลาสสกิ จะใช้รั้วเก่าของพระท่ีน่ังอนันตสมาคมที่จะร้ือออกบางส่วน
นำมาใช้ล้อมเป็นร้ัวรอบบริเวณ แต่มีการเปล่ียนแปลงภายหลัง
พุทธศักราช ๒๔๖๗ มีการปรับปรุงตำหนักนี้ใหม ่ ห้องใต้ถุน ทำเปน็ ก่ออิฐถอื ปนู ประตเู หล็กใหญแ่ ละประตเู ลก็ ๒ ข้าง สั่งทำ
แต่เดิมท่ีต้ังพระทัยจะให้เป็นห้องเก็บของ แต่ปรากฏว่าน้ำซึม จากห้างแบรโ์ รล ์ บราวน ์ นำเขา้ จากประเทศอังกฤษ เหนือประตู
เข้าไปจนลงไปว่ายน้ำได้ และบ่อน้ำดังกล่าวได้ใช้ประโยชน์ วังมีนามวงั “เทวะเวสม์” และ “DEVAVES”
เม่ือยามกรุงเทพฯ ขาดแคลนน้ำประปาระหว่างสงครามโลก กำแพงกั้นระหว่างวังเทวะเวสม์และวังบางขุนพรหม
คร้ังที ่ ๒ หม่อมเจ้าปรีดิเทพย์พงษ์และครอบครัวย้ายเข้าสู่ ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงบางส่วน ส่วนกำแพงกั้นระหว่างวัง
ตำหนักแห่งน้ีประมาณพุทธศักราช ๒๔๖๘ ประทับอยู่ตราบจน เทวะเวสม์กับวังปากคลองผดุงกรุงเกษมเดิมเป็นรั้วสังกะส ี
ส้ินชพี ติ ักษัยเมื่อพทุ ธศักราช ๒๕๑๒ ในเวลาต่อมาได้พังทลายหรือถูกรื้อไป ดังน้ัน ระหว่างวัง
เรือนแพเป็นอาคารไม้สักช้ันเดียว หลังคาปีกนก มุง ทั้ง ๒ แห่ง จึงไม่มีรั้วกั้น มีเฉพาะลำคลองขวางก้ันและมีการ
กระเบื้องว่าว ฐานล่างเป็นเสาคอนกรีต มีระเบียงทั้ง ๒ ข้าง สร้างประตูน้ำสำหรับกักน้ำไว้ใช้และระบายน้ำท้ิง ด้านบนเป็น
ด้านหน้ามีระเบียงกว้างสำหรับพักผ่อน ประดับตกแต่งอาคาร สะพานข้ามไปมาระหว่าง ๒ วัง สะพานข้ามคลองน ้ี ครั้งหนึ่ง
ด้วยลวดลายฉลุไม้ตามแบบเรือนขนมปังขิง ภายในอาคาร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ประทับรถยนต์
เดมิ มกี ารแบ่งพื้นทใี่ ช้สอยเป็น ๒ ห้องใหญ ่ คือ หอ้ งสว่ นตัวและ พระท่ีนั่งมาจอดในวังเทวะเวสม์ แล้วเสด็จพระราชดำเนินข้าม
ห้องโถงกว้าง มีทางเดินเชื่อมระหว่างห้องยาวตลอดตัวอาคาร สะพานไปทรงพบหมอ่ มราชวงศส์ ริ กิ ติ ์ิ กติ ยิ ากร (สมเดจ็ พระนางเจา้
สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ) พระคู่หม้ัน ที่ตำหนักของพระบิดา
ในวังปากคลองผดงุ กรงุ เกษม
เรอื นแพเป็นอาคารไมส้ ัก หน้าจ่วั
231
ช้ันที่ ๓ เป็นท่ีต้ังของห้องทรงงาน ห้องสมุด ห้องทรง เมื่อคราวทรงผนวชและเรียบเรียงหนังสือธรรมวินัยให้ได้ทรง
พระอักษร และห้องบรรทมของสมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ ์ ศึกษาเป็นจำนวนมาก
วโรปการ ซ่งึ มักจะทรงงานและเสวยพระกระยาหารไปพรอ้ มกัน หอ้ งใตห้ ลงั คายงั เปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานพระบรมอฐั แิ ละพระอฐั ิ
ห้องสมุดซ่ึงเป็นห้องทรงพระอักษรด้วย มีโต๊ะทรงงานไม้ ของพระบรมวงศ ์ ได้แก ่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา
ตัวใหญ่ มีตู้และช้ันหนังสือมากมาย และยังมีเครื่องส่องภาพ สุดารัตนราชประยูร สมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา
ทเ่ี รยี กกนั ว่า “ถ้ำมอง” อีกหลายเครื่อง สมเด็จพระนางเจ้าสนุ ันทากุมารรี ัตน์ พระบรมราชเทวี อัครมเหส ี
ห้องสมุดของสมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปี
มีท้ังหนังสือภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ หนังสือส่วนใหญ่ หลวง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีพัฒนา พระเจ้า
จะประทับตราพระนามเทวะวงศ์วโรปการ มีวันเดือนปีระบ ุ บรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเสมอสมัยหรรษา สมเด็จพระบรม
บางเล่มทรงลงพระนามด้วยลายพระหัตถ ์ ปัจจุบัน หนังสือ โอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร และ
สว่ นใหญเ่ กบ็ รกั ษาไว ้ ณ โรงเรยี นราชิน ี ชน้ั เดยี วกันนีย้ งั เปน็ ห้อง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุณากรรณอนันตนรไชย
ทป่ี ระทบั ของพระโอรสและพระธดิ าท่ีประสูตแิ ตห่ ม่อมใหญ่ เม่ือสมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการส้ินพระชนม์แล้ว
ช้ันท ่ี ๔ หรือท่ีเรียกว่าห้องใต้หลังคา เป็นท่ีตั้งของ พระอฐั บิ างสว่ นเกบ็ รกั ษาไวท้ ห่ี อพระนาค ในพระบรมมหาราชวัง
ห้องพระ มีพระพุทธรูปโลหะองค์ใหญ่หลายปาง และเป็นท่ี และส่วนหน่ึงนำมาเก็บไว้ท่ีห้องใต้หลังคาน้ีเช่นกัน ปัจจุบัน
ประดิษฐานพระอัฐิของสมเด็จพระสังฆราช (สา) ซ่ึงเป็นพระ พระอัฐิเหล่าน้ีย้ายไปบรรจ ุ ณ ศาลาราชสกุลเทวกุล วัดราชา
กรรมวาจาจารย์ของสมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ธิวาส เม่อื พุทธศกั ราช ๒๔๙๒
ห้องท่ีเคยเปน็ หอ้ งทรงงานและหอ้ งสมุด
232
๑ ๒
๓
๔
๑. ระเบยี งด้านบนตำหนัก เหน็ สะพานพระราม ๘
๒. โถงทางเดินบนชน้ั ท่ ี ๓
๓. หอ้ งที่เคยเปน็ หอ้ งบรรทมสมเด็จฯ
กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ
๔. ห้องทเี่ คยเป็นห้องของหมอ่ มเจา้ บรรสานสนทิ เทวกลุ
233
วางรากฐานมรดกลำ้ คา่ สสู่ งั คม เทวะประดิทนิ พระพทุ ธศักราช ๒๔๖๒
อาจกล่าวได้ว่า วังเทวะเวสม์เป็นแหล่งสร้างสรรค์
ศลิ ปวฒั นธรรมทส่ี ำคญั อกี แหง่ หนงึ่ ของพระนคร ดว้ ยเปน็ สถานท่ี
สำคัญในการวางรากฐานให้แก่กิจการการต่างประเทศของไทย
และนบั เป็นจดุ เรม่ิ ต้นของปฏิทินที่ใชก้ นั อยใู่ นปจั จบุ ัน
หลายคนอาจเคยสงสัยว่า การเรียกชื่อเดือนตามปฏิทิน
ท่ีใช้กันอยู่ในทุกวันน้ีมีที่มาอย่างไร ในอดีต ประเทศสยาม
ใช้การดูความเปลี่ยนแปลงของดวงจันทร์เป็นเคร่ืองกำหนดวัน
เดอื น และป ี ขา้ งขนึ้ ขา้ งแรม หรอื ทเ่ี ราเรยี กวา่ ปฏทิ นิ ตามระบบ
จนั ทรคติ
สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการทรงเป็นคนไทย
คนแรกทพ่ี ฒั นาปฏทิ นิ สากลตามระบบสรุ ยิ คตแิ ละนำมาเผยแพร่
ในสยาม สมเดจ็ ฯ กรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการเมอ่ื ครงั้ ทรงดำรง
พระอสิ รยิ ยศเป็นกรมหม่ืนเทวะวงศ์วโรประการ ทรงใช้เวลาว่าง
จากราชการ ศึกษาทงั้ ภาษาไทย ภาษาองั กฤษ และคณติ ศาสตร ์
โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์น้ันทรงเรียนตามวิธีไทยในสำนัก
ขุนโชติพรหมา (เสิม) เจ้ากรมโหร จนทรงทราบวิชาโหราศาสตร์
และสามารถคิดทำปฏิทินไทยใช้ตามระบบสุริยคติขึ้นเรียกว่า
“เทวะประดิทิน” และนำทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลท่ ี ๕ ซ่ึงในเวลา
ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้เป็นประเพณีตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน
พุทธศักราช ๒๔๓๒ อันเป็นต้นแบบของปฏิทินท่ีใช้กันทุกวันน้ี
ในการนี ้ ได้ทรงคิดตั้งชื่อเดือนมกราคมถึงธันวาคมให้ได้ใช้กัน
สบื มา นอกจากโหราศาสตรแ์ ลว้ พระอจั ฉรยิ ภาพทท่ี รงมคี วบคกู่ นั
คือ ดาราศาสตร์และคณติ ศาสตร ์
234
สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการและขา้ ราชการกระทรวง เม่ือเสด็จมาประทับ ณ วังเทวะเวสม์ในสมัยรัชกาลท ่ี ๖
การตา่ งประเทศ (ภาพจากหอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ ไม่ทราบปที ่ถี า่ ย) ทรงอุทิศกำลังพระวรกายด้วยความมานะอุตสาหะในการวาง
รากฐานใหแ้ กก่ จิ การการตา่ งประเทศของไทย
สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการทรงได้รับยกย่อง สมเด็จฯ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการเป็นข้าราชการ
ให้เป็น “พระบิดาแห่งการต่างประเทศของไทย” ตลอดระยะ ที่ทรงงานหนักไม่มีวันหยุดพักทั้งกลางวันและกลางคืน แม้จะ
เวลากว่า ๓๐ ปี ท่ีทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวง เป็นวันหยุดสำหรับพระราชพิธีต่างๆ หรือวันเสาร์ - อาทิตย ์
การต่างประเทศ ได้ทรงนำพาสยามประเทศฝ่าวิกฤตจักรวรรดิ ยังเสด็จไปทรงงานท่ีศาลาว่าการต่างประเทศ บ่อยครั้งท ี่
นยิ มหลายตอ่ หลายครง้ั ทรงมบี ทบาทสำคญั ดา้ นการทตู ทรงเปน็ ทรงเครื่องยศเสด็จไปงานพระราชพิธี เสร็จแล้วเลยเสด็จไป
ผู้เจรจาข้อพิพาทกับฝร่ังเศสเมื่อคร้ังวิกฤตการณ ์ ร.ศ. ๑๑๒ ศาลาวา่ การ โดยนำเครอ่ื งแตง่ พระองคไ์ ปเปลย่ี น ณ ทนี่ น้ั เมอ่ื ทรง
(พุทธศักราช ๒๔๓๖) ทรงเสนอให้มีการตั้งสถานทูตสยามขึ้น ประชวรก็โปรดให้พนักงานนำหนังสือราชการซึ่งทรงเรียกว่า
ในต่างประเทศท่ียุโรปและสหรัฐอเมริกา และทรงได้รับเกียรติ “หนังสือเวร” บรรจุหีบห่อขนาดย่อมมาถวายเพื่อทรงงาน ณ วัง
ให้เป็นตัวแทนของสยามประเทศไปร่วมงานและพิธีสำคัญ เทวะเวสม ์ ทรงตรวจข้อราชการ ร่างหนังสือ และพิมพ์ดีด
ของรัฐบาลและราชสำนักยุโรปในหลายโอกาส ด้วยพระองค์เอง
“พระกระแส” หมายถึงคำส่ังท่ีพระองค์ทรงจดในหน้า
บันทึกเร่ืองต่างๆ ที่ประทานแก่ข้าราชการกระทรวงการต่าง
ประเทศ เป็นส่ิงท่ีมีคุณค่า เป็นคำสอนทั้งในทางปฏิบัติและทาง
วิชาการทูต และกลายเป็นข้อปฏิบัติที่นักการทูตของไทย
ไดย้ ดึ ถือและปฏบิ ตั ิมาจวบจนปัจจบุ นั
ขา้ ราชการกระทรวงการต่างประเทศ
(ภาพจากหอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ ไมท่ ราบปที ่ีถา่ ย)
235
ตำหนักปลายเนิน
ท่ามกลางความร่มร่ืนของแมกไม้นานาพันธ์ุริมถนน
พระรามที่ ๔ เป็นที่ต้ังของตำหนักปลายเนิน อันประกอบด้วย
หมู่เรือนไทยหลังใหญ่ท่ีประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ ์ เจ้านายผู้ท่ีทรงได้รับการ
ยกยอ่ งวา่ เป็นนายชา่ งใหญ่แหง่ กรงุ สยาม ผ้ทู รงใช้ตำหนกั แหง่ นี้
เป็นทั้งท่ีประทับและที่ทรงงาน โดยได้ทรงรังสรรค์ผลงานที่เปี่ยม
คณุ คา่ ให้แกแ่ ผน่ ดินไว้เปน็ จำนวนมาก
จวบจนปัจจุบัน ตำหนักปลายเนินยังคงสืบสาน
พระปณิธานของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ในการเป็นแหล่งถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรมไทยแขนงต่างๆ ให้แก่
เยาวชนและผู้สนใจ สืบสานมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าน ้ี
ให้คงอยูค่ สู่ ังคมไทยสบื ต่อไป
236
237
ตำหนัก “สมเด็จคร”ู นายช่างใหญแ่ ห่งกรงุ สยาม สมเด็จฯ เจ้าฟา้ กรมพระยานรศิ รานุวดั ติวงศ์
ทรงได้รับการยกยอ่ งวา่ เป็นเลิศในเชิงช่างและงานวจิ ติ รศลิ ป ์
ตำหนักปลายเนินหรือวังสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ (ภาพจากหอจดหมายเหตแุ ห่งชาต ิ ไมท่ ราบปีท่ถี า่ ย)
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ต้ังอยู่ ณ ตำบลคลองเตย
รมิ ถนนตรง (ปัจจบุ นั คอื ถนนพระรามท ่ี ๔) ซ่งึ เปน็ สะพานคอนกรตี ที่ทรงสรา้ งไว้เพ่ือใชข้ ้ามคลองพอด ี เนินน้ี
สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ ์ (พระองคเ์ จา้ เดิมใช้เป็นที่สังเกตของคนท่ีไม่รู้จักวัง จึงทรงเรียกตำหนักของ
จติ รเจริญ ตน้ ราชสกุล จติ รพงศ์) โปรดใหส้ ร้างตำหนักแหง่ นี้ขึน้ พระองค์ตามลกั ษณะสถานทต่ี งั้ ว่า “ตำหนกั ปลายเนิน”
เม่ือพุทธศักราช ๒๔๕๔ เพ่ือเป็นสถานที่พักตากอากาศรักษา ตำหนักปลายเนินยังเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “ตำหนัก
พระองค ์ ด้วยขณะประทับ ณ วังท่าพระ ทรงประชวรด้วย คลองเตย” ตามช่ือตำบลที่ต้ังของวัง ส่วนคำเรียกว่าตำหนักหรือ
พระโรคพระหทัยโตและหลอดลมอักเสบเร้ือรังเป็นเวลานาน วังนั้น ตามเอกสารที่ปรากฏอยู่ไม่กล่าวถึงช่ือตำหนักว่าเป็นวัง
หลายป ี เจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน ์ (หม่อมราชวงศ์หลาน ปลายเนินและไม่มีประกาศตั้งตำหนักปลายเนินขึ้นเป็นวัง
กญุ ชร) ซ่งึ ปว่ ยดว้ ยโรคเดียวกัน จงึ ได้ทูลเชิญใหเ้ สด็จมาประทับ แต่ประการใด โดยทั่วไปจึงเรียกกันว่าตำหนักปลายเนิน
ณ บ้านพักตากอากาศของตน ณ ตำบลคลองเตย ซ่ึงมีอากาศ
บริสุทธ์ิ เมื่อเสด็จมาประทับ ณ บ้านพักของเจ้าพระยาเทเวศร
วงศ์วิวัฒน ์ ช่วยให้พระพลานามัยของพระองค์ดีข้ึน สมเด็จฯ
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์จึงมีพระดำริที่จะหาซ้ือที่ดิน
ทต่ี ำบลแห่งนเ้ี พ่ือปลูกเปน็ ตำหนกั ส่วนพระองค ์
ในการสร้างตำหนัก ไดท้ รงหาซ้อื ทน่ี าประมาณ ๔ ไร่ครึ่ง
ต่อมา มีชาวนาที่เคยขายที่ถวาย ขายท่ีเพิ่มเติมอีกเป็นจำนวน
๑๐ ไร ่ จากน้ัน โปรดให้หาซื้อเรือนไทยโบราณเพื่อนำมาสร้าง
เป็นทีป่ ระทบั
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงอธิบาย
ท่ีมาของชื่อ “ตำหนักปลายเนิน” ในหนังสือสาส์นสมเด็จว่า
ชื่อน้ันมีที่มาจากตำแหน่งท่ีต้ังของตำหนัก ด้วยในสมัยก่อน
ระดับพ้ืนถนนพระรามท่ ี ๔ ต่ำกว่าในปัจจุบันมาก เนื่องจาก
มีการสร้างทางรถไฟพาดผ่านถนนสายดังกล่าว ซึ่งต้องวางราง
รถไฟใหส้ งู กวา่ พนื้ ถนนปกต ิ เพอ่ื ปอ้ งกนั นำ้ ทว่ ม จงึ ทำใหบ้ รเิ วณน้ ี
มีลักษณะเหมือนเนินเขา ในสมัยโบราณเมื่อยังใช้รถม้าในการ
สัญจร เวลารถม้าจะข้ามเนินมักมีปัญหาเรื่องม้าไม่มีแรงลากรถ
ต้องช่วยกันเข็นรถ พอรถม้าข้ามมาได้สุดเนินก็จะถึงท่ีราบ
238
ตำหนกั ปลายเนินกอ่ นบรู ณะ ราวพทุ ธศักราช ๒๕๐๐ (ภาพจากหนงั สอื ก้าวเขา้ สู่ควอรเ์ ตอร์สุดท้ายแหง่ ชวี ติ : หมอ่ มราชวงศ์จักรรถ จิตรพงศ)์
เพราะเป็นท่ีประทับของเจ้านาย แต่โดยส่วนพระองค์แล้วทรง ประชวรทุกครั้งที่เสด็จพระดำเนินกลับไปประทับท่ีวังท่าพระ
เรยี กว่า “บา้ นปลายเนิน” พระองค์จึงทรงย้ายมาประทับท่ีตำหนักปลายเนินเป็นการถาวร
ในช้ันแรก สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ่ จะเสด็จพระดำเนินกลับไปประทับท่ีวังท่าพระเฉพาะฤดูหนาว
มีพระประสงค์จะใช้ตำหนักปลายเนินเป็นเพียงที่ประทับ หรอื เมอื่ มงี านพระราชพธิ เี ท่านนั้
พักผ่อนนอกเมืองเป็นคร้ังคราวในฤดูร้อน แต่เม่ือทรงพระ
239
สถาปตั ยกรรมแห่งตำหนกั ปลายเนิน พวกเด็กเล็กในตำหนักเห็นเป็นเรื่องสนุกก็ร้องเพลงขอฝน
พวกผู้ใหญ่ต้องร้องหา้ มดว้ ยกลัววา่ ฝนจะตกลงมาตามทข่ี อจริงๆ
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงเป็น ซ่ึงสะทอ้ นให้เห็นความเชอื่ ของคนโบราณ
ผู้ออกแบบตำหนักปลายเนินพร้อมทั้งเรือนของเหล่าบริวาร ตำหนักที่ประทับส่วนพระองค์ม ี ๒ หลัง คือ ตำหนักโถง
ทุกหลงั ด้วยพระองคเ์ องทัง้ หมด และตำหนักบรรทม โดยตำหนักโถงมีลักษณะคล้ายกับศาลา
หนังสือก้าวเข้าสู่ควอร์เตอร์สุดท้ายแห่งชีวิตของ การเปรยี ญคอื ยกพนื้ สงู ยาวสามหอ้ ง มเี ฉลยี งรอบ ตำหนกั หลงั น ้ี
หมอ่ มราชวงศ์จักรรถ จิตรพงศ ์ ทายาทตำหนักปลายเนนิ เลา่ ว่า เคยเป็นหอนั่งของพระยาราชมนตรี (ภู่) อธิบดีกรมพระคลัง
ภายในตำหนักปลายเนินมีตำหนักไทยหมู่ใหญ่ต้ังเป็นประธาน มหาสมบัติ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งตำหนักไทยหมู่น้ีสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ รชั กาลท ี่ ๓ เดมิ ตำหนกั หลงั นป้ี ลกู อยทู่ ที่ า่ พระ รมิ แมน่ ำ้ เจา้ พระยา
ทรงประกอบขนึ้ จากเรอื นไทยเกา่ ๆ ทเี่ จา้ ของรอื้ ขาย ปลกู ตดิ ตอ่ กนั สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงรับซ้ือไว้ใช้เป็น
ทอดยาวจากทศิ ตะวนั ตกไปยงั ทศิ ตะวนั ออก มนี อกชาน เชอ่ื มตอ่ ที่รับแขกและใช้ทำพิธ ี เช่น เล้ียงพระ ภายในตำหนักโถง
โดยตลอด ซึ่งวิธีจัดหมู่เรือนไทยเช่นน้ีผิดไปจากประเพณีการ แบ่งออกเป็นห้องก้ันด้วยตู้หนังสือ ๓ ตู้เรียงกัน ตู้กลางตอนบน
ปลูกเรือนแต่โบราณ ที่มักจัดเรือนหมู่ใหญ่ๆ เป็นกลุ่มรอบชาน แขวนรปู เขยี นพระพุทธลลี า ปางเสด็จลงจากดาวดงึ ส ์ ปางแสดง
หรือล้อมรอบหอนั่งตรงกลาง สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา ยมกปาฏิหาริย ์ บนตู้ทั้งซ้าย - ขวา ด้านหน่ึงเป็นรูปพระสาวก
นริศรานุวัดติวงศ์ได้จัดหมู่เรือนไทยใหม่ให้เรือนทุกหลังรับลมได้ ดา้ นหนงึ่ เป็นรูปเทพยดากำลังเหาะมาเฝ้า รูปท้ังสามน ้ี เป็นภาพ
ตามฤดกู าล ร่างด้วยสีเทียน (Crayon) เพื่อเป็นแบบลองเขียนท่ีพระอุโบสถ
หม่อมเจ้าดวงจิตร จิตรพงศ ์ พระธิดาในสมเด็จฯ เจ้าฟ้า วดั ราชาธวิ าส
กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงกล่าวถึงลักษณะของตำหนัก ภายในตำหนักมีท้ังห้องพักอาหารและเป็นท่ีอยู่ของ
ปลายเนินเมื่อแรกสร้างว่า ตำหนักทุกหลังมุงหลังคาด้วยจาก มหาดเล็กที่มาถวายการรับใช้เรียกว่า “ห้องเวร” ถัดไปทาง
บางตำหนักเช่นตำหนักโถง มีฝาทำเป็นแผงมีไม้ประกบเป็น ทศิ ตะวนั ตกทรงดดั แปลงเปน็ หอ้ งทรงงานเรยี กวา่ “หอ้ งทรงเขยี น”
กรอบสามารถค้ำเปิดขึ้นได ้ แต่ต่อมาทรงเปลี่ยนเป็นฝาไม ้ ซ่ึงเป็นห้องที่ทรงใช้บ่อยมากท่ีสุดต้ังแต่เสด็จมาประทับที่ตำหนัก
มีหน้าต่างกว้างแบบใหม ่ เน่ืองจากพอถึงฤดูฝนเวลามีพายุ แห่งน ี้ ถัดจากห้องทรงเขียนจะมีทางเช่ือมออกไปยังตำหนัก
ประตูหน้าต่างท่ีทำด้วยไม้เปิดยากเพราะโดนความช้ืน อีกทั้ง หลังในทเ่ี ป็น “ตำหนกั บรรทม”
หลังคามุงจากก็ต้องเปลี่ยนทุก ๒ - ๓ ปี ซ่ึงสิ้นเปลือง นอกจากตัวเรือนไทยที่โดดเด่นซึ่งใช้เป็นที่ประทับแล้ว
คา่ ใชจ้ ่าย พระองค์จงึ ทรงเปล่ยี นเปน็ มงุ ด้วยกระเบ้ืองไม้สกั แทน ยังมีเรือนไทยที่เช่ือมกับชานด้านนอกอีก ๓ หลังซึ่งเป็นท่ีพำนัก
การเปล่ียนหลังคามีเร่ืองเล่าว่าต้องกระทำเป็นพิธีด้วย ของพระชายา พระโอรส และพระธดิ า
การหาฤกษ์เพ่ือไม่ให้ตรงกับวันที่ฝนตก จากนั้นก็รีบรื้อหลังคา
เก่าออกเปลี่ยนหลังคาใหม่โดยต้องรีบมุงให้เสร็จโดยเร็ว
240
๑ ๒ ๑. ตำหนกั ปลายเนนิ ในปจั จบุ นั ยงั คงมสี ภาพทส่ี มบรู ณ์
๓ ๔ ๕ ๒. ภายในตำหนกั โถงดา้ นทศิ ตะวนั ออก เดมิ ใชเ้ ปน็ ทร่ี บั แขก บนผนงั ตทู้ ใ่ี ชเ้ ปน็ ฝากน้ั แขวนภาพเขยี นฝพี ระหตั ถร์ ปู พระพทุ ธลลี า
ปางเสดจ็ ลงจากดาวดงึ ส ์ ดา้ นซา้ ยและขวาเปน็ รปู พระสาวกและรปู เทพยดา ภาพเขยี นฝพี ระหตั ถท์ ง้ั ๓ ภาพใชเ้ ปน็ ตน้ แบบ
ในการเขยี นภาพจติ รกรรมทพ่ี ระอโุ บสถวดั ราชาธวิ าส
๓. หอ้ งในตำหนักโถงดา้ นเหนอื เดิมใช้เป็นห้องมหาดเลก็ อยเู่ วร ปัจจุบันใชเ้ ก็บตูห้ ัวโขนและตูไ้ มส้ กั
๔. หอ้ งบรรทม ภายในตง้ั พระแทน่ ของพระองคเ์ จา้ พรรณราย (พระมารดาของสมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ)์ บนพระแทน่ ใชต้ งั้
ตน้ แบบพระบรมรปู ปฐมบรมราชานสุ รณ ์ (พระบรมรปู พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช รชั กาลท ่ี ๑)
ซง่ึ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศท์ รงออกแบบและปนั้ โดยศาสตราจารยศ์ ลิ ป ์ พรี ะศรี
๕. หอ้ งทรงเขยี น ภายในแขวนภาพฝพี ระหตั ถต์ า่ งๆ และตง้ั โตะ๊ ทเี่ คยประทบั สำหรบั ทรงพระอกั ษร
241
แหลง่ สรรค์สร้างงานศิลป์ ภาพเขยี นฝีพระหัตถ์เล่าเร่อื งมหานิบาตชาดก “พระมหาชนก”
(เพียรกลา้ ) ทรงเขยี น ณ ตำหนักปลายเนิน เมื่อพทุ ธศักราช ๒๔๖๘
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงมีความ เพ่อื ให้ไดภ้ าพพระโพธสิ ัตวท์ แี่ หวกว่ายนำ้ ดว้ ยความเพยี รพยายาม
สามารถเป็นเลิศทางด้านศิลปกรรมและงานช่างจนทรงได้รับ อย่างแท้จรงิ โปรดให้ ม.จ. ยาใจ พระธิดาลงไปว่ายน้ำจริงๆ
การยกย่องในหมู่พระประยูรญาติว่าเป็น “นายช่างใหญ่แห่ง เพือ่ เป็นแบบต่อหนา้ พระพักตร ์
กรุงสยาม” ได้ทรงใช้ตำหนักปลายเนินเป็นสถานท่ีทรงงานและ
รงั สรรคผ์ ลงานศลิ ปวฒั นธรรมไวเ้ ปน็ มรดกของแผน่ ดนิ จำนวนมาก แบบใหม่ที่ผสมผสานระหว่างศิลปะการละครของไทยทเี่ นน้ การรำ
ผลงานอันโดดเด่นท่ีได้สร้างสรรค์ข้ึน ณ ตำหนักแห่งนี้ เข้ากับศิลปะการแสดงของตะวันตก ท่ีเน้นเสียงร้องไว้ด้วยกัน
มีทั้งผลงานดา้ นศิลปกรรม สถาปัตยกรรม และนาฏศลิ ป์ ผลงาน อย่างลงตัว โดยตัวละครจะต้องเป็นท้ังผู้ร้อง รำ และเจรจาเอง
ด้านศิลปะ เช่น งานออกแบบพระราชลัญจกรพระบาทสมเด็จ โดยไม่มีคนพากย์ดังแต่ก่อน ทั้งยังมีการใช้องก์และฉาก
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๖ และพระบาทสมเด็จพระ ประกอบการแสดงเป็นคร้ังแรก สำหรับเรื่องที่ใช้เล่นละคร
ปกเกลา้ เจ้าอย่หู ัว รัชกาลที่ ๗ ภาพปกและภาพประกอบหนงั สือ ดึกดำบรรพ์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงนำ
ธรรมาธรรมะสงคราม ภาพทศชาติชาดกท่ีทรงออกแบบภาพ เร่ืองท่ีใช้เล่นละครนอกและละครในมาปรับปรุงบทใหม ่
ประกอบเขียนถวายสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวร ซึ่งทรงนิพนธ์ไว ้ ๘ เร่ือง คือ สังข์ทอง คาว ี อิเหนา สงั ขศ์ ลิ ปช์ ยั
สริ วิ ัฒน ์ (หมอ่ มเจา้ ภชุ งค์ ชมพนู ุท) สมเด็จพระสงั ฆราชพระองค์
ท ่ี ๑๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และแบบร่างพระเมรุของสมเด็จ
พระศรพี ชั รนิ ทรา บรมราชนิ แี ละรชั กาลท ่ี ๖
ผลงานด้านสถาปัตยกรรม เช่น งานออกแบบวิหาร
พระร่วงโรจนฤทธิ ์ และบันไดปรางค์มุขด้านเหนือขององค์
พระปฐมเจดีย ์ จังหวัดนครปฐม อนุสาวรีย์ทหารอาสาสมัย
สงครามโลกคร้ังที่ ๑ และอุทกธารหรือประติมากรรมพระแม่
ธรณีบีบมวยผม เป็นตน้
นอกจากนี้ ผลงานลายพระหัตถ์โต้ตอบกับสมเด็จ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ หรือท่ีรู้จักกัน
ในช่ือ “สาส์นสมเด็จ” เป็นบันทึกที่อัดแน่นไปด้วยความรู้อันทรง
คุณค่ายิ่งทั้งประวัติศาสตร ์ โบราณคด ี ภาษา ศิลปะ วฒั นธรรม
วรรณกรรม ฯลฯ กไ็ ดร้ งั สรรคข์ น้ึ ณ พระตำหนกั แหง่ นีเ้ ช่นเดียวกนั
นอกจากสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ ์
จะทรงใช้ตำหนักปลายเนินทรงงานด้านศิลปกรรมและงานช่าง
ยังทรงใช้ตำหนักแห่งนี้เป็นสถานที่คิดค้นและพัฒนาละคร
ดึกดำบรรพ์ร่วมกับเจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์ เป็นละคร
242
การแสดงละครดกึ ดำบรรพ์ ณ บรเิ วณสวนหลงั ตำหนักปลายเนิน ในงานวนั นรศิ
ภาคต้นและภาคปลาย กรุงพาณชมทวีป รามเกียรต ์ิ ตอน ทั้งความงามและความร่มร่ืนเหมือนเมื่อครั้งท่ียังประทับ
สูรปนักขา อุณรุท และมณีพิชัย จึงอาจกล่าวได้ว่าละคร เนื่องดว้ ยทายาทราชสกุล จิตรพงศ ์ ตา่ งช่วยกนั ดแู ล รกั ษา และ
ดึกดำบรรพ์เป็นอีกขั้นหน่ึงของการพัฒนาละครไทยให้เป็นแบบ ซ่อมแซมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ตำหนักปลายเนินคงความเป็น
สมัยใหมม่ ากยงิ่ ข้นึ สถานที่อันทรงคุณค่า ให้ความรู้ด้านประวัติศาสตร ์ ชีวประวัติ
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ประทับ ของนายช่างเอกแห่งกรุงสยาม งานศิลป์ในทุกสาขาท้ัง
ณ ตำหนักปลายเนินเป็นเวลายาวนานถึง ๓๐ ป ี จนกระท่ัง สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม วรรณกรรม
สิ้นพระชนม์เม่ือพุทธศักราช ๒๔๙๐ แม้ว่าพระองค์จะทรง นาฏยศาสตร์ รวมทั้งดุริยางคศิลป์
จากไปแล้วกว่า ๖๕ ป ี แต่ตำหนักปลายเนินก็ยังคงสภาพเดิม
243
ธำรงยืนหยดั ศลิ ปวฒั นธรรมไทย
ทุกวันน ี้ ตำหนักปลายเนินยังคงสืบสานพระปณิธานของ
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ในการเป็นแหล่ง
สืบทอดศิลปวัฒนธรรมของชาต ิ โดยมีการใช้พื้นท่ีบริเวณ
ตำหนักปลายเนินเป็นสถานที่ฝึกสอนนาฏศิลป์ ดนตรีไทย
ตลอดจนกิรยิ ามารยาทไทยอันงดงามให้แกเ่ ยาวชน
การเรียนการสอนรำไทยนั้นจะแบ่งตามระดับของความ
สามารถและระยะเวลาที่เรียน หากเป็นนักเรียนท่ีเพ่ิงเข้าเรียน
จะต้องทำพิธีบูชาครูเพ่ือความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง โดยมี
อาจารย์ราฆพ โพธิเวส ศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้นำนักเรียนใหม่
ประกอบพิธีคำนับครู และคุณครูรัตติยะ วิกสิตพงศ ์ เป็นผู้ดูแล
และจดั หาครูผสู้ อนนกั เรียน
สำหรับการเรียนการสอนจะเริ่มต้ังแต่ขั้นพื้นฐาน
ซง่ึ เป็นการวางรากฐานให้นกั เรียนรูจ้ ักทา่ รำเบือ้ งตน้ เช่น การจีบ
การประเท้า การตั้งวง รวมทั้งการจับจังหวะ หากเป็นระดับชั้น
ทส่ี งู ขน้ึ ไปจะสอดแทรกเรอื่ งของระบำซง่ึ เปน็ การรำประกอบเพลง
เขา้ ไปดว้ ย เชน่ ระบำไก ่ ระบำนก รำอธษิ ฐาน ทงั้ น ้ี เพอ่ื ใหน้ กั เรยี น
ร้จู กั ฝกึ การจับจังหวะและเปน็ การผอ่ นคลายอิริยาบถไปดว้ ย
นอกจากการเรียนการสอนนาฏศิลป์และดนตรีไทยแล้ว
ยังสอนเรอื่ งกิรยิ ามารยาทและความกตัญญกู ตเวทใี ห้แกน่ กั เรยี นด้วย
การรำประกอบเพลงหรอื ระบำสำหรบั นกั เรียนระดับชัน้ ทีส่ ูงข้นึ นอกเหนือจากการเรียนการสอนดังกล่าว ยังสอดแทรก
ซ่ึงได้ผ่านการเรยี นการสอนในท่ารำเบือ้ งต้นมาระยะเวลาหน่ึงแล้ว การสอนกริ ยิ ามารยาททีน่ ักเรียนทกุ คนจะต้องปฏบิ ตั คิ ือ การไหว้
ครูอาจารย์ผู้สอน การเดินค้อมตัวเมื่อผ่านหน้าผู้ใหญ ่ ซ่ึงถือว่า
244 เปน็ มารยาททง่ี ดงามและเปน็ เอกลกั ษณข์ องคนไทย
ด้านการเรียนการแสดงโขนน้ันก็คล้ายกันกับการเรียน
รำไทย ที่จะมีการแบ่งนักเรียนออกตามระดับความสามารถและ
ระยะเวลาท่ีได้ฝึกฝนมา โดยสอนต้ังแต่ขั้นพื้นฐานทั้งการตบเข่า
เพ่ือฝึกการจับจังหวะอันเป็นส่ิงสำคัญของการแสดงโขน
การเต้นเสาเพ่ือฝึกกำลังขาเพราะโขนเป็นการแสดงท่ีใช้ระยะ
ว่องไว” และเช่นเดียวกันกับการเรียนรำไทยที่นักเรียนโขนทุกคน
จะต้องไหว้ครอู าจารยผ์ สู้ อนทกุ ครงั้ เพอื่ สอนใหเ้ ดก็ มสี มั มาคารวะ
และรู้จักกตัญญูต่อวิชาที่ได้ร่ำเรียนมา นอกจากน ้ี ยังมีการเรียน
ดนตรไี ทยทง้ั จะเข ้ ระนาด ขมิ และป ่ี ซงึ่ กระจายกนั อยทู่ วั่ ตำหนกั
เพ่อื ไม่ใหเ้ สยี งของเคร่อื งดนตรรี บกวนกันเอง
การเรียนการสอนทั้งหมดน้ีเป็นการซ้อมเพื่อจัดแสดง
ในงานวันนริศ อันเป็นวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จฯ เจ้าฟ้า
กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซ่ึงตรงกับวันท่ี ๒๘ เมษายน
ของทกุ ป ี มลู นธิ นิ รศิ รานวุ ดั ตวิ งศจ์ ะจดั งานขนึ้ ทต่ี ำหนกั ปลายเนนิ
เพ่ือเป็นการน้อมรำลึกถึงสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรา
นุวัดติวงศ์ และเปิดให้เข้าชมในส่วนของตำหนักอันเคยเป็น
ท่ีประทับส่วนพระองค ์ อีกทั้งยังมีการแสดงละครดึกดำบรรพ ์
โดยคณะวังปลายเนินในสวนหลังตำหนัก มีพิธีมอบทุน
การศึกษาแกน่ ิสติ นกั ศกึ ษา และนักเรยี นท่ีมคี วามสามารถดา้ น
ศิลปะแขนงต่างๆ เรียกว่า “ทุนนริศรานุวัดติวงศ์” เพ่ือส่งเสริม
การศกึ ษาและการสบื ทอดงานวจิ ติ รศลิ ปข์ องไทย ซง่ึ งานดงั กลา่ ว
ได้จดั มาอยา่ งตอ่ เน่ืองเป็นประจำทุกป ี
คุณครแู ละนกั เรยี นขณะกำลงั ฝึกออกทา่ ทางโขนตวั ลิง การเรยี นระนาดของบรรดานักเรียนรุ่นเล็ก
ทก่ี ำลังฝกึ จบั จงั หวะตามท่ีครสู อน
เวลานาน ผู้แสดงจึงต้องมีร่างกายท่ีแข็งแรงสมบูรณ ์ จากน้ัน
จึงเข้าสู่การเรียนแม่ท่าของแต่ละตัวซึ่งได้แก่ ตัวพระ ตัวยักษ ์
และตัวลิง อาจารย์เฉลิมศักด ิ์ ปัญญวัตวงศ์ (ผู้กำกับการแสดง
โขนศาลาเฉลิมกรุง) กล่าวถึงท่ารำของโขนแตล่ ะตัวว่า “ท่ารำจะ
ขึ้นอยู่กับการประดิษฐ์โดยครูอาจารย์ผู้สอน ซ่ึงแต่ละท่าของ
ตัวละครโขนเหมือนกันตรงที่เป็นท่าทางเลียนอย่างธรรมชาติ
แต่แตกต่างกันตรงที่การแสดงออกไม่เหมือนกัน เช่น ยักษ์ต้อง
แสดงออกถึงความดุดัน แข็งกร้าว ลิงต้องแสดงออกถึงความ
245
วังสวนผักกาด
ความเจริญเติบโตของสังคมเมืองจากการพัฒนา
ด้านวัตถุดูจะสวนทางกับการพัฒนาด้านจิตใจอย่างไม่หยุดยั้ง
ส่งผลให้คนไทยจำนวนมากหลงลืมคุณค่าของความเป็นไทย
และมรดกทางวัฒนธรรมท่ีบรรพบุรุษได้ร่วมกันสรรค์สร้างและ
สืบทอดจนเป็นเอกลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของชาต ิ
ในปจั จุบัน
ท่ามกลางความมืดมนจากปัญหานานัปการ ยังม ี
“วังสวนผักกาด” ซึ่งเป็นดังแสงสว่างเรืองรองแห่งความหวัง
เป็น “คลังวัฒนธรรม” ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนใจกลางย่านธุรกิจ
สำคัญของกรุงเทพฯ ท้าทายความเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึน
เป็นแหล่งเรียนรู้ทางศิลปวัฒนธรรมเพ่ือธำรงไว้ซึ่งเอกลักษณ์
แห่งความเป็นไทย และรักษาไว้เป็นมรดกของชาติสำหรับ
คนรุ่นต่อไป
246
247
ภณั ฑสถานแหง่ ความผกู พนั
วังสวนผักกาดเป็นที่ประทับของพระเจ้าวรวงศ์เธอ
กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต (พระองค์เจ้าจุมภฏพงศ์บริพัตร)
และชายา คอื หมอ่ มราชวงศพ์ ันธท์ุ ิพย์ บรพิ ตั ร (สกลุ เดมิ เทวกลุ )
หรอื “คณุ ทา่ น” ของชาววงั สวนผกั กาด
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อพุทธศักราช ๒๔๗๕
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิตเสด็จหลีกหนี
ความวุ่นวายทางการเมืองไปประทับ ณ ตำหนัก ถนนเนลันด์
ตำบลจีปะกันด ี เมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย ร่วมกับสมเด็จ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ ์ุ กรมพระนคร
สวรรค์วรพินิต พระบิดาและสมาชิกราชสกุลบริพัตร ในระหว่าง
สงครามโลกครั้งท่ี ๒ ทูลกระหม่อมบริพัตรสิ้นพระชนม์เม่ือวันท ่ี
๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๘๗ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหม่ืน
นครสวรรค์ศักดิพินิตจึงเสด็จไปประทับ ณ ประเทศอังกฤษ
พร้อมด้วยพระชายาระยะหน่ึง และเสด็จกลับประเทศสยาม
เม่ือพุทธศกั ราช ๒๔๙๐
พิพธิ ภณั ฑ์วคิ ตอเรียและอลั เบิร์ต (Victoria and Albert Museum) พระเจา้ วรวงศ์เธอ กรมหมืน่ นครสวรรค์ศักดิพนิ ิตและชายา
หมอ่ มราชวงศ์พันธ์ุทพิ ย ์ บริพัตร
248 (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ไมท่ ราบปีทถ่ี ่าย)
“...ขา้ พเจา้ จงึ ไดก้ ราบทลู ดว้ ยวา่ ตอ่ ไปภายหนา้
ถา้ ประทานตำหนกั ไทยนใี้ หเ้ ปน็ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแลว้
กน็ า่ จะใหช้ อ่ื วา่ “พพิ ธิ ภณั ฑจ์ มุ ภฏ - พนั ธท์ุ พิ ย”์
เลยี นแบบพพิ ธิ ภณั ฑว์ คิ ตอเรยี - อลั เบติ
ณ กรงุ ลอนดอน ประเทศองั กฤษ เสดจ็ ในกรมฯ
ทรงเหน็ ดว้ ยกบั ความคดิ นท้ี นั ทถี งึ กบั รบั สง่ั วา่
ถา้ ประทานจะประทานทง้ั วงั สวนผกั กาด...”
(หม่อมเจา้ สุภทั รดิศ ดิศกลุ : พิพธิ ภัณฑ์วังสวนผักกาด ศิลปวัฒนธรรม
ปที ี่ ๘ ฉบับท่ี ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๐)
ภายใตค้ วามงดงามของหมเู่ รือนไทยทแี่ วดล้อมไปดว้ ยแมกไมอ้ ันร่มรนื่ เปน็ ที่ตง้ั ของแหล่งเรยี นรศู้ ิลปวัฒนธรรมไทยอันลำ้ ค่าใจกลางกรุง
ตอ่ มา เมือ่ พุทธศกั ราช ๒๔๙๕ ทรงซื้อท่ีดินแปลงหนึ่ง ณ ตกแต่งตำหนักด้วยโบราณวัตถุไทยซึ่งพระบิดาได้เคยทรง
ตำบลปทุมวัน เนื้อที่ประมาณ ๖ ไร่ ซ่ึงเดิมเคยเป็นสวนผักกาด รวบรวมไว้แต่กอ่ น รวมทัง้ ท่ีทรงซอ้ื หามาเพมิ่ เตมิ เมอ่ื จดั ตำหนกั
ของชาวจนี สรา้ งตำหนกั เพือ่ พกั ผ่อนพระอิริยาบถในช่วงวันหยุด เรียบร้อยแล้ว มีพระดำริว่า เมื่อสิ้นพระชนม์จะประทานวังสวน
สุดสัปดาห์ทรงเรียกตำหนักแห่งใหม่นี้ว่า “วังสวนผักกาด” และ ผักกาดท้ังวังให้เป็นพิพิธภัณฑ์ของชาต ิ และเพื่อเป็นอนุสรณ์
ได้ยา้ ยมาประทบั เป็นการถาวรในเวลาต่อมา ของพระองค์และชายา เช่นเดียวกับพิพิธภัณฑ์วิคตอเรีย
เมื่อเสด็จมาประทบั ณ วังสวนผกั กาด พระเจ้าวรวงศเ์ ธอ และอัลเบิร์ต ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพื่อเป็นแหล่ง
กรมหม่ืนนครสวรรค์ศักดิพินิตได้โปรดให้ร้ือตำหนักทรงไทย เก็บรวบรวมและศกึ ษาวฒั นธรรมไทยแกช่ นรนุ่ หลัง
ของพระบิดาท่ีอัมพวามาปลูกไว้ท่ีวังสวนผักกาด และทรงเริ่ม
249