๑ ๒ ๑. ตำหนักพระบาทสมเดจ็ พระปิ่นเกลา้ เจา้ อย่หู วั ตำหนกั ทป่ี ระทับ
สถาปัตยกรรมแบบตะวนั ตกหลังแรกของกรุงรัตนโกสินทร์
๓ ๒. ท้องพระโรงตำหนกั พระบาทสมเดจ็ พระป่นิ เกลา้ เจา้ อย่หู ัว
๔ ๕ ๖ ประดษิ ฐานพระบรมรปู ขนาดครึ่งองค์พรอ้ มโต๊ะหมบู่ ชู า
๓. ภายในท้องพระโรงตำหนักพระบาทสมเดจ็ พระป่นิ เกล้าเจา้ อยู่หัว
๗ จดั แสดงนทิ รรศการเก่ยี วกับพระราชกรณยี กจิ
ของพระบาทสมเดจ็ พระป่ินเกล้าเจา้ อยูห่ วั
๔. แบบจำลองเรอื ยงยศอโยชฌิยา ๔ (หรอื ยงยศอโยธยา)
๕. ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ประดิษฐานพระบรมรูป
สมเดจ็ พระเจ้าตากสนิ มหาราชประทับยนื และทรงพระแสงดาบ
๖. เรือนเขียว เคยใช้เป็นอาคารโรงพยาบาลเมอ่ื ครัง้ พระราชวงั เดมิ เปน็ ท่ีตั้งของโรงเรยี นนายเรอื
50 ๗. ศาลศีรษะปลาวาฬซ่ึงเปน็ ที่เคารพสักการะของชาวเรอื
ด้านทิศตะวันตกของท้องพระโรงเป็นที่ต้ังของตำหนัก ต่อมา เมื่อศาลเดิมทรุดโทรมลง ไม่มีใครทราบว่ากระดูก
พระบาทสมเดจ็ พระปนิ่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซงึ่ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งขน้ึ ปลาวาฬหายไปไหน จนกระท่ังมูลนิธิพระราชวังเดิม ทำการ
เม่ือครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้า สำรวจก่อนบูรณะศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้พบ
กรมขนุ อศิ เรศรงั สรรค ์ เปน็ สถาปตั ยกรรมแบบตะวนั ตก ซง่ึ ไดร้ บั กระดูกปลาวาฬที่ใต้ถุนศาล จึงได้สร้างศาลขึ้นใหม่แล้วนำ
อิทธิพลมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา นับเป็นตำหนักที่ประทับ กระดกู ปลาวาฬมาไว้ดังเดมิ
แบบสถาปัตยกรรมตะวันตกหลงั แรกของกรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ริมกำแพงพระราชวังเดิม
รูปแบบอาคารเป็นตึกก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้น หลังคา เป็นท่ีตั้งของ “เรือนเขียว” เรือนไม้ช้ันเดียวยกพื้นสูง สร้างขึ้น
ทรงป้ันหยา หน้าบันตกแต่งปูนปั้นเป็นตราพระราชลัญจกรของ ในสมยั รชั กาลท่ ี ๕ เมื่อมีการสถาปนาโรงเรียนนายเรอื ข้ึนภายใน
พระบาทสมเด็จพระป่ินเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบัน ชั้นบนจัดแสดง พระราชวังเดิมเมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๓ เพื่อเป็นอาคาร
นิทรรศการเก่ียวกับพระบาทสมเด็จพระป่ินเกล้าเจ้าอยู่หัวและ โรงพยาบาลของโรงเรียนนายเรือ ภายหลังเม่ือโรงเรียนนายเรือ
มีห้องสมุดสำหรับประชาชนทั่วไปศึกษาหาความรู้ ส่วนชั้นล่าง ยา้ ยออกไป อาคารหลงั นไ้ี ดเ้ ปลยี่ นรปู แบบการใชง้ านมาโดยตลอด
จัดแสดงนิทรรศการเงินตราและเครื่องถ้วยโบราณ และเป็นท่ีตั้ง เช่น ใช้เป็นท่ีตั้งของสถานีวิทยุกรมส่ือสารทหารเรือและใช้เป็น
ของสำนกั งานมูลนธิ พิ ระราชวงั เดิม อาคารสโมสร
ใกล้กับตำหนักเก๋งค ู่ เป็นที่ต้ังของศาลสมเด็จพระเจ้า พระราชวังเดิมหรือพระราชวังกรุงธนบุรีเป็นโบราณ
ตากสินมหาราช สร้างขึ้นเม่ือคร้ังสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ สถานที่มีความสำคัญ ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร ์ และ
เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศม ี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ เสด็จมาประทับ ไดร้ ับการอนุรักษ์ให้คงสภาพดีเรือ่ ยมา องค์การยเู นสโก ภาคพ้นื
ณ พระราชวังเดิม ระหว่างพุทธศักราช ๒๔๒๔ - ๒๔๔๓ เอเชียแปซิฟิก จึงได้ประกาศให้พระราชวังเดิมหรือพระราชวัง
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างข้ึนแทนหลังเก่าท่ีทรุดโทรมลง กรุงธนบุรี ได้รับรางวัล “อนุรักษ์โบราณสถานชาติดีเด่น”
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นอาคารยกพ้ืนสูง (Award of Merit) ประจำปีพทุ ธศักราช ๒๕๔๗
มีใต้ถุนด้านล่าง รูปแบบอาคารเป็นสถาปตั ยกรรมไทยประเพณี ปัจจุบัน พระราชวังเดิมเปิดให้ประชาชนทั่วไป นักเรียน
ผสมผสานกบั สถาปตั ยกรรมตะวนั ตก ภายในอาคารประดิษฐาน นิสิตนักศึกษาที่สนใจเข้าเย่ียมชมและค้นคว้าข้อมูลได้ทุกวัน
พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ประทับยืนและ จันทร ์ - ศุกร์ (เว้นวันหยุดราชการและวันหยุดนักขัตฤกษ์) เวลา
ทรงพระแสงดาบ ๐๙.๐๐ - ๑๖.๓๐ น.
พื้นท่ีระหว่างศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับ
ตำหนักเก๋งคู่ เป็นท่ีต้ังของศาลศีรษะปลาวาฬ มีเร่ืองเล่าว่า
ในสมยั ต้นกรุงรัตนโกสินทรม์ ปี ลาวาฬตัวหน่งึ ลอยมาเกยตน้ื อยทู่ ่ี
ท่าน้ำพระราชวังเดิม ได้มีการสร้างศาลแล้วนำกระดูกปลาวาฬ
ดังกล่าวมาประดิษฐานไว้เป็นที่เคารพสักการะของชาวเรือ
51
เม่ือดอกประดู่บานทีว่ งั เดมิ นกั เรียนนายเรอื ขณะกำลงั เรียนหลกั สตู รการยิงปนื ใหญ ่
ใกลก้ ับทอ้ งพระโรงภายในพระราชวงั เดิม
เมื่อพุทธศักราช ๒๔๓๖ (รัตนโกสินทรศก ๑๑๒) (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ไมท่ ราบปีทถ่ี ่าย)
ขณะสยามต้องเผชิญกับวิกฤตภัยของลัทธิล่าอาณานิคม
กองทัพเรือสยามมิอาจต้านทานแสนยานุภาพของกองเรือรบ จากหลักฐานที่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษา พุทธศักราช
ฝร่ังเศสท่ีรุกล้ำเข้ามาในน่านน้ำเจ้าพระยาได้ เป็นผลให้สยาม ๒๔๔๙ ทำให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของพระราชวังเดิม
ต้องสูญเสียดินแดนฝ่ังซ้ายของแม่น้ำโขงและค่าปฏิกรรม เม่ือคร้ังได้รับการพัฒนาให้เป็นโรงเรียนนายเรือภายในพื้นท่ี
สงครามให้แกฝ่ รง่ั เศส พระราชวังเดิมว่า มีการก่อสร้างอาคารเรียนหรือ “ตึกใหญ่”
รัชกาลที ่ ๕ มีพระราชดำริว่า ควรท่ีจะพัฒนาศักยภาพ ๓ ชั้น โดยช้ันบนใช้เป็นห้องพักนักเรียน ส่วนช้ันกลาง
ของกองทัพเรือสยามให้เข้มแข็งทัดเทียมกับชาติตะวันตก เปน็ หอ้ งเรยี น และชนั้ ลา่ งเปน็ หอ้ งเกบ็ ของ (ปจั จบุ นั อาคารหลงั น้ี
เพื่อความม่ันคงของอธิปไตย การจ้างชาวต่างประเทศเป็น เป็นทตี่ ้งั ของกองบัญชาการกองทัพเรือ)
ผู้บังคับบัญชาการกองทัพเรือและป้อมนั้นไม่เป็นท่ีม่ันคงพอจะ สิ่งปลูกสร้างเดิมนั้น โปรดเกล้าฯ ให้รักษาไว้ คือ
รักษาสยามประเทศไว้ได ้ ควรจะต้องให้การศึกษาและฝึกหัด ท้องพระโรง จัดเป็นห้องฝึกสอนนักเรียนและเป็นที่ประชุม
ชาวสยามให้มีความรู้ความสามารถในกิจการกองทัพเรือ อาจารย์ พระตำหนักของพระบาทสมเด็จพระป่ินเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในช้ันแรกจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกยาเธอไปศึกษาวิชาการ จัดเป็นท่ีทำการของกรมยุทธศึกษาและกองแผนที่ทะเล
ทหารเรือยังประเทศยุโรปเพื่อนำความรู้ที่ได้รับกลับมาพัฒนา ศาลศีรษะปลาวาฬได้รักษาไว้ดังเดิม ตำหนักของสมเด็จ
กองทพั ในวันขา้ งหนา้ พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักร
ราชกิจจานุเบกษา พุทธศักราช ๒๔๔๓ ระบวุ า่ ภายหลัง พรรดิพงศ์จัดให้เป็นท่ีพักและที่เรียนของนักเรียนช่างกล
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระ ตึกริมกำแพงด้านตะวันออก ๒ หลัง (ตำหนักเก๋งคู่) จัดเป็น
จักรพรรดิพงศ์ส้ินพระชนม์เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๓ รัชกาลท ี่ ๕ ห้องรักษาการและเก็บของ ตึกริมกำแพง ดา้ นตะวนั ตกจดั เปน็
มีพระราชดำริว่า พระราชวังเดิมเป็นสถานที่สำคัญและว่างอยู่ ท่ีพักนักเรียน และสร้างเรือนใหม่ข้ึนหลังหน่ึงริมกำแพงด้านใต้
เป็นสถานที่ท่ีเก่ียวข้องกับความม่ันคงของราชอาณาจักรสยาม เพื่อเป็นที่รักษาพยาบาลนักเรียนผู้ป่วย รัชกาลที่ ๕ เสด็จ
มาทุกยุคทุกสมัย ควรท่ีจะพัฒนาให้เป็นสถานที่ราชการเพ่ือ
ประโยชนข์ องแผ่นดนิ กอปรกับพลเรือโท พระยาชลยทุ ธโยธนิ ทร์
(อองเดร ดู เปลซี เดอ ริเชอลิเออ หรือกัปตันริเชอลิเออ :
Andreas du Plésis de Richelieu) ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ
ในขณะนั้นได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระราชวังเดิมเพื่อ
เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ รัชกาลท ่ี ๕ จึงพระราชทานพื้นที่
พระราชวังเดิมให้เป็นโรงเรียนนายเรือ เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์
พทุ ธศักราช ๒๔๔๓ แต่การก่อสร้างและการปรบั ปรงุ สถานทไี่ ด้
เริ่มขึ้นราวพุทธศกั ราช ๒๔๔๖ แลว้ เสรจ็ เม่ือพุทธศกั ราช ๒๔๔๗
52
“หะเบสสมอพลนั ออกสนั ดอนไป
ลัดไปเกาะสชี ัง จนกระท่งั กระโจมไฟ
เทีย่ วหาขา้ ศึก มไิ ดน้ ึกจะกลบั มาใน
ถงึ ตายตายไป ตายใหแ้ กช่ าตขิ องเรา”
(ดอกประดู่ บทเพลงพระนพิ นธข์ องพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ
กรมหลวงชุมพรเขตรอดุ มศกั ดิ์)
พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ รองผู้บังคับการทหารเรือเป็นประธานคณะกรรมการปรับปรุง
(พระองค์เจ้าอาภากรเกยี รตวิ งศ ์ ตน้ ราชสกุล อาภากร) หลกั สตู ร ระหวา่ งทท่ี รงดำรงตำแหนง่ เจา้ กรมยทุ ธศกึ ษาทหารเรอื
ทรงใช้พระราชวังเดิมวางรากฐานการศกึ ษาวชิ าการทหารเรอื ของไทย ทรงใช้พระราชวังเดิมแห่งน้ีเป็นสถานท่ีปรับปรุงการศึกษาของ
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาต ิ ไม่ทราบปีทถ่ี า่ ย) โรงเรียนนายเรือให้เจริญและดีย่ิงขึ้น โดยทรงอำนวยการศึกษา
และเป็นพระอาจารย์โรงเรียนนายเรือด้วยพระองค์เองระหว่าง
“วนั ท่ี ๒๐ พฤษจกิ ายน ร.ศ. ๑๒๕ เราจฬุ าลงกรณ์ พุทธศกั ราช ๒๔๔๙ - ๒๔๕๔
ปร. ไดม้ าเปดิ โรงเรียนน้ี มีความปลมื้ ใจ ทรงอำนวยการสอนท้ังยุทธวิธีการรบ การเดินเรือ
ซง่ึ ไดเ้ หนการทหารเรอื มรี ากหย่งั ลงแล้ว” การช่าง การดับเพลิง การกีฬา ทรงให้นักเรียนนายเรือฝึกหัด
ยิมนาสติกเพ่ือสุขภาพพลานามัยที่ดี แข็งแรง ห้อยโหน
(พระราชหตั ถเลขาในสมุดเยี่ยมของโรงเรยี นนายเรือ) ทรงตัวได ้ ทั้งยังทรงจัดเพิ่มเติมวิชาสำคัญสำหรับชาวเรือ
เพือ่ ใหเ้ ม่ือสำเรจ็ การศึกษาแลว้ สามารถเดนิ เรือทางไกลในทะเล
พระราชดำเนินมาทรงเปิดโรงเรียนนายเรือเม่ือวันท่ี ๒๐ นำ้ ลกึ ได ้ คือ วชิ าดาราศาสตร ์ ตรีโกณมติ ิ พีชคณิต อทุ กศาสตร์
พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๔๙ กิจการของโรงเรียนนายเรือ การเดนิ เรอื เรขาคณิต ฯลฯ
เจรญิ ขน้ึ โดยลำดบั การศกึ ษาของโรงเรยี นนายเรอื ในชว่ งเวลานนั้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังทรงอำนวยการฝึกภาคสนามนักเรียน
เป็นการศึกษาตามหลักสูตรใหม่ท่ีได้รับการปรับปรุงข้ึน นายเรอื นำเรอื รบสยามไปอวดธงยงั ประเทศตา่ งๆ ดว้ ยพระองคเ์ อง
เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๘ โดยมีนายพลเรือตรี พระเจ้าลูกยาเธอ เช่น สิงคโปร ์ ปัตตาเวีย (ช่ือเดิมของกรุงจาการ์ตา ประเทศ
กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักด์ิ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) อินโดนีเชีย) ชวา เป็นต้น ทำให้นักเรียนนายเรือที่สำเร็จ
การศึกษามีความรู้ความสามารถ ปฏิบัติงานแทนนายทหาร
ต่างประเทศได้เป็นอย่างดี ทรงรักลูกศิษย์ของพระองค์ทุกคน
อย่างเสมอภาค โปรดท่ีจะเรียกลูกศิษย์ว่า “ลูก” เหล่านักเรียน
นายเรือจึงเรียกขานพระองค์ว่า “เสด็จเตี่ย” ด้วยความเคารพ
และศรัทธา
53
นักเรยี นนายเรือขณะกำลังศกึ ษาใช้กลอ้ งเซคแทนท์ ณ โรงเรยี นนายเรอื ภายในพระราชวงั เดมิ
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาต ิ ไมท่ ราบปที ี่ถา่ ย)
หนังสือมณใี นอาทิตยข์ องพระเจ้าวรวงศเ์ ธอ พระองค์เจ้า เรือหลวงพระรว่ ง (ภาพจากหอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ ไม่ทราบปีที่ถ่าย)
อาทิตย์ทิพอาภา พระโอรสในพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักด์ิ เล่าวา่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ มาอยทู่ ปี่ อ้ มเสือซ่อนเล็บ จังหวัดสมุทรปราการ โดยแลกสถานท่ี
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ ี ๖ พลเรือเอก พระเจ้า กับโรงเรียนชุมพลทหารเรือ และได้ผลิตนายทหารของกองทัพ
บรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ทรงแสดงความ เรอื มาจนถงึ ปัจจบุ ัน
สามารถของนักเรียนนายเรือไทยให้เป็นที่ประจักษ ์ โดยเป็น ส่วนอาคารเดิมของโรงเรียนนายเรือภายในพระราชวัง
ผู้บังคับการนำเหล่านักเรียนนายเรือปฏิบัติภารกิจสำคัญ คือ เดิมน้ัน กองทัพเรือได้ดัดแปลงเป็นอาคารแบบไทย แล้วใช้เป็น
ทรงเลือกซ้อื เรอื รบหลวงลำแรกของไทย ณ ประเทศอังกฤษ และ ท่ตี ง้ั ของกองบัญชาการกองทพั เรอื มาจนทกุ วนั น้ี
สามารถนำ “เรือหลวงพระร่วง” เดินทางกลับถึงประเทศสยาม
ไดโ้ ดยสวัสดภิ าพ
โรงเรียนนายเรือตั้งอยู่ท่ีพระราชวังเดิมมาจนพุทธศักราช
๒๔๘๗ จึงได้ย้ายไปอยู่ท่ีอ่าวสัตหีบช่ัวคราวในช่วงสงครามโลก
คร้ังที ่ ๒ เมอื่ พุทธศักราช ๒๔๘๙ โรงเรียนนายเรือไดย้ า้ ยไปอยทู่ ่ี
ตำบลเกล็ดแก้ว อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุร ี แต่ประสบปัญหา
เนื่องจากสภาพโรงเรียนโดยรอบยังเป็นป่า มีไข้มาลาเรียระบาด
ในที่สุดเม่ือพุทธศักราช ๒๔๙๕ โรงเรียนนายเรือจึงต้องย้าย
54
พระราชวงั เดมิ สถานทส่ี ำคัญในการวางรากฐานกจิ การของกองทพั เรือและโรงเรียนนายเรอื ไทยในปจั จบุ นั
55
พระราชวงั บวรสถานมงคล
(วงั หนา้ )
ณ พ้ืนท่ีด้านทิศเหนือของพระบรมมหาราชวังเป็นท่ีตั้ง
ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
พระนคร โรงละครแห่งชาติ สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ และ
ทอ้ งสนามหลวงในปจั จุบัน
ในอดีต พ้ืนท่ีแห่งน้ีเคยเป็นท่ีตั้งของพระราชวังบวร
สถานมงคลหรือ “วังหน้า” ที่ประทับของพระมหาอุปราชแห่ง
ราชอาณาจักรสยาม เป็นศนู ย์กลางชมุ ชนหลากหลายวฒั นธรรม
และแหลง่ สรรคส์ รา้ งศลิ ปวฒั นธรรมไทยหลายแขนง
จวบจนปัจจุบัน พระราชวังบวรสถานมงคลได้พัฒนา
มาเป็นคลังวัฒนธรรมที่สำคัญของชาต ิ เป็นสถานที่เก็บรวบรวม
มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า เป็นสถานศึกษาท่ีผลิตบุคลากร
อันเป็นกำลังสำคัญของประเทศ และเป็นสถานท่ีเผยแพร ่
ศิลปวฒั นธรรมไทยใหเ้ ป็นทีร่ ู้จักแพรห่ ลายไปทัว่ โลก
56
57
ที่ประทบั ของมหาอปุ ราชแหง่ แผ่นดินสยาม พระบวรราชานุสาวรีย์
สมเดจ็ พระบวรราชเจ้า
จากพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลท่ ี ๑ กรมพระราชวังบวร
ฉบบั เจา้ พระยาทพิ ากรวงศฯ์ (ขำ บนุ นาค) ระบวุ า่ ภายหลงั จากท่ ี มหาสุรสงิ หนาท
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลท ี่ ๑ ประดิษฐาน
เสด็จปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ ์ ณ บริเวณด้านหนา้
เม่ือพุทธศักราช ๒๓๒๕ ได้ทรงสถาปนาเจ้าพระยาสุรสีห ์ วดั มหาธาตุยวุ ราชรงั สฤษฎ์ ิ
พิษณุวาธิราช (บุญมา) สมเด็จพระอนุชาธิราชเสด็จเถลิง
พระราชมณเฑียรท่ีพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถาน คร้ันสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหา
มงคล (วังหน้า) และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังบวรสถาน สุรสิงหนาทเสด็จมาประทับที่พระราชวังบวรสถานมงคล
มงคลเพื่อเป็นที่ประทับ ต้ังอยู่ทางทิศเหนือของพระบรม ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างหมู่พระราชมณเฑียรและถาวรวัตถุ
มหาราชวังใกลน้ ิวาสสถานเดมิ ของสมเดจ็ พระอนุชาธิราช เป็นการถาวร สันนิษฐานว่าคงใช้เวลาปลูกสร้างพอๆ กับ
พระราชวังบวรสถานมงคลเป็นช่ือท่ีใช้เรียกกันอย่างเป็น การสร้างพระบรมมหาราชวัง คือ ประมาณ ๓ ป ี จึงมีการฉลอง
ทางการ แต่โดยท่ัวไปมักนิยมเรียกว่า “วังหน้า” ตามตำแหน่ง พระราชวังบวรสถานมงคลพร้อมกับการสมโภชพระนครและ
ท่ีตั้งซ่ึงอยู่ด้านหน้าของพระบรมมหาราชวังเช่นเดียวกับ งานฉลองพระบรมมหาราชวงั เมื่อพุทธศักราช ๒๓๒๘
พระราชวังจันทรเกษม (วังหน้า) ที่ประทับของพระมหาอุปราช
แตค่ รั้งกรงุ ศรอี ยธุ ยาเป็นราชธานี พระราชวงั จนั ทรเกษม (วังหนา้ ) ทีป่ ระทบั ของพระมหาอุปราช
นอกจากนี ้ สาเหตทุ ีเ่ รียกว่าวังหนา้ นั้น เป็นเพราะยามศึก ในสมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา
สงคราม เมื่อจัดกองทัพตามกระบวนยุทธพิชัย พระมหากษัตริย์
จะเสด็จเป็นทัพหลวง ส่วนพระมหาอุปราชจะเสด็จเป็นทัพหน้า
ออกต่อตขี า้ ศึก จึงเรยี กพระมหาอปุ ราชว่า “ฝ่ายหน้า” และเรียก
พระราชวังของพระองค์ว่า “วังฝ่ายหน้า” ซ่ึงต่อมาทอนลงเหลือ
เพียงคำว่า “วังหน้า”
พระราชวงั บวรสถานมงคลสร้างขึ้นอย่างเร่งรีบพร้อมกับ
การสร้างพระบรมมหาราชวังเพ่ือให้ทันการพระราชพิธีปราบดา
ภิเษก เม่ือแรกสร้างจึงสร้างไว้เป็นการช่ัวคราวดังปรากฏ
ในพระนพิ นธเ์ รอ่ื ง ตำนานวงั หนา้ ของสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ
กรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า “...กำแพงพระราชวังใช้แต่เสา
ไม้ระเนียด พระราชมณเฑียรทำด้วยเครื่องไม้ มุงจากพอเสด็จ
ประทับช่ัวคราวท้ังพระราชวังหลวงวังหน้า...”
58
เสน้ ทางเข้าสู่หมพู่ ระมหามณเฑยี รของพระราชวังบวรสถานมงคล (ภาพจากหอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ ไมท่ ราบปีท่ีถา่ ย)
สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ กรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาท ภายหลังการทิวงคต พระราชวังบวรสถานมงคลถูก
ท ร ง ส ร้ า ง พ ร ะ ร า ช วั ง บ ว ร ส ถ า น ม ง ค ล อ ย่ า ง วิ จิ ต ร บ ร ร จ ง ปล่อยทิ้งให้รกร้าง เนื่องจากกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ด้วยทรงตั้งพระหฤทัยว่า เมื่อสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเสด็จ พระองค์ต่อมา คือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวง
สวรรคต ถึงเวลาพระองค์จะทรงครองราชสมบัติ จะไม่เสด็จมา อศิ รสนุ ทร (พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั รชั กาลท ่ี ๒)
ประทบั ณ พระบรมมหาราชวัง แตจ่ ะประทบั ณ พระราชวงั บวร ไม่ได้เสด็จมาประทับท่ีพระราชวังแห่งนี้ แต่โปรดประทับ
สถานมงคลตามแบบอย่างสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ณ พระราชวงั เดมิ ฝั่งธนบุร ี
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่การดังกล่าวไม่เป็นไปตามพระดำริ
ด้วยทิวงคตเสียก่อน เม่ือพุทธศักราช ๒๓๔๖ 59
วดั บวรสถานสุทธาวาส หรือ “วดั พระแก้ววงั หน้า” และทรงให้สร้างพระอารามข้ึนภายในพระราชวังบวรสถาน
(ภาพจากหอจดหมายเหตแุ หง่ ชาต ิ ไม่ทราบปที ถ่ี า่ ย) มงคล พร้อมกับทรงนำพระพุทธรูปสำคัญและเคร่ืองศิลา
โบราณต่างๆ มาประดับตกแต่ง พระเจดีย์ก็ถ่ายแบบตามอย่าง
ล่วงถึงสมัยรัชกาลท ี่ ๒ โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จ พระเจดีย์สำคัญ อาทิ พระธาตุพนม ภายหลังพระบาทสมเด็จ
พระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ ข้ึนเป็นกรม พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๔ พระราชทานนามวัดแห่งน้ี
พระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ ์ (ภายหลัง พระบาทสมเด็จ ว่า วดั บวรสถานสทุ ธาวาส หรอื “วดั พระแกว้ วังหน้า”
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที ่ ๖ ทรงให้ออกพระนามว่า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทิวงคตเม่ือ
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์) เสด็จเข้าประทับที่ พุทธศักราช ๒๓๗๕ โดยไม่มีการสถาปนากรมพระราชวังบวร
พระราชวังบวรสถานมงคลจนทิวงคต เมื่อพุทธศักราช ๒๓๖๐ สถานมงคลขน้ึ อีกตลอดรชั กาล ทำให้พระราชวงั บวรสถานมงคล
และไม่มีการสถาปนากรมพระราชวังบวรสถานมงคลขึ้นอีก ว่างลงอกี คร้ัง
ในรัชกาลนี้ เมอื่ รชั กาลท ี่ ๔ เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั ิ เมอ่ื พทุ ธศกั ราช
ในสมัยต่อมา พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒๓๙๔ โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ
รชั กาลท ่ี ๓ ทรงสถาปนาพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหมน่ื ศกั ดพิ ลเสพ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์เป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ขึ้นเป็นกรมพระราชวงั บวรมหาศกั ดพิ ลเสพ (ภายหลงั รชั กาลท่ี ๖ รับพระบวรราชโองการพระเกียรติยศเสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดิน
ทรงให้ออกพระนามว่า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ) องค์ท่ ี ๒ มีพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซ่ึงได้ประทับท่ีพระราชวังบวรสถานมงคลตลอดพระชนมชีพ โดยได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายจากพระราชวังเดิม มาประทับ ณ
พระราชวังบวรสถานมงคล พร้อมท้ังโปรดเกล้าฯ ให้เรียก
พระราชวังบวรสถานมงคลว่า “พระบวรราชวัง” และเรียก
พระราชวังหลวงวา่ “พระบรมมหาราชวัง”
พระบาทสมเด็จพระป่ินเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้าประทับ
ในพระบวรราชวังซ่ึงอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมาก ในสมัยนี้จึงมี
การปรับปรุง ซ่อมแซมพระบวรราชวังครั้งใหญ ่ โปรดเกล้าฯ ให้
สร้างพระที่น่ังคชกรรมประเวศเป็นองค์แรกข้ึนบริเวณด้านหน้า
พระท่นี ัง่ พทุ ไธสวรรย ์ ซ่งึ ใชเ้ ป็นพระท่ีนงั่ ในการเกยชา้ ง พระที่น่งั
องค์น้ีมีลักษณะคล้ายพระท่ีน่ังอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาทภายใน
พระบรมมหาราชวัง และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระท่ีนั่งบริเวณ
มุมข้างใต้และเหนือของพระท่ีน่ังอิศราวินิจฉัย ชื่อว่า พระท่ีนั่ง
มังคลาภิเษกและพระท่ีน่ังเอกอลงกตตามแบบพระที่น่ัง
60
พระท่ีนัง่ คชกรรมประเวศ (องค์หน้า) พระบาทสมเดจ็ พระปน่ิ เกลา้
เจา้ อยู่หวั โปรดเกล้าฯ ให้สรา้ งขน้ึ ดา้ นหนา้ พระทีน่ ง่ั พทุ ไธสวรรย์
(องคห์ ลงั ) ในพระราชวังบวรสถานมงคล
(ภาพจากหอจดหมายเหตแุ ห่งชาต ิ ไมท่ ราบปที ่ีถา่ ย)
พระบาทสมเดจ็ พระปิน่ เกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์ทรงจัดต้ังทหารวังหน้าขึ้น ได้มีการสร้าง
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ ไม่ทราบปีทถ่ี ่าย) สถานที่สำหรับการทหารขน้ึ ภายในพระบวรราชวงั เช่น โรงทหาร
โรงปืนใหญ ่ คลังสรรพาวุธ เป็นต้น รวมท้ังยังสร้างโรงช้างต้น
ดสุ ติ าภริ มย์ภายในพระบรมมหาราชวัง พระท่นี ่งั ทัง้ ๒ องค์มเี กย และมา้ ตน้ ตามแบบในพระบรมมหาราชวังดว้ ย
สำหรับทรงพระราชยาน รวมท้ังยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระท่ีน่ัง
สนามจันทร์และพลับพลาสูงตามแบบพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ นอกจากนี้ ยังทรงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์กลับมา
ปราสาทเหมือนอย่างพระบรมมหาราชวัง พร้อมท้ังทรงย้าย ประดิษฐาน ณ พระทนี่ งั่ พุทไธสวรรยด์ ังเดมิ หลงั จากรัชกาลท่ ี ๑
ตำหนกั แดงจากพระราชวังเดิมมาปลกู ไวท้ พ่ี ระบวรราชวงั ด้วย ทรงอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ภายหลงั สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ กรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาท
ทวิ งคต
61
พน้ื ทที่ อ้ งสนามหลวงในอดตี
พระราชวงั บวรสถานมงคล (วงั หนา้ ) ในอดตี
อาณาบรเิ วณพระราชวงั บวรสถานมงคลในอดตี แผนผงั แสดงอาณาเขตท้องสนามหลวงก่อนการตัดถนนราชดำเนินใน
ครอบคลมุ พื้นท่ีทอ้ งสนามหลวงทางดา้ นทิศเหนอื ภาพจากหนังสือสาส์นสมเด็จ เลม่ ๑ (พ.ศ. ๒๔๕๗ - ๒๔๖๕)
“...สถานที่ตา่ งๆ ในวงั หนา้ ทไ่ี ม่เปนส่งิ สำคัญ
จะลงทุนบรู ณปฏสิ ังขรณ์ขึน้ ใหม่
กไ็ ม่เปนประโยชนอ์ นั ใด
ควรรักษาไวแ้ ตท่ ี่เปนสง่ิ สำคญั ...”
(พระราชดำรสั ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว รชั กาลที่ ๕)
62
พระบาทสมเด็จพระป่ินเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พพิ ิธภณั ฑสถาน สำหรับพระนคร
เมอื่ พทุ ธศักราช ๒๔๐๘ ตำแหน่งกรมพระราชวงั บวรสถานมงคล (ภาพจากหอจดหมายเหตแุ หง่ ชาต ิ ไมท่ ราบปีทถ่ี า่ ย)
จึงว่างลง ๓ ป ี เมื่อรัชกาลที ่ ๔ เสด็จสวรรคตและพระบาท
สมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท ่ี ๕ เสดจ็ ขนึ้ ครองราชย ์ หอพระสมุดสำหรับพระนครเม่ือพุทธศักราช ๒๔๖๙ ให้อยู่ใน
ทรงสถาปนากรมหม่ืนบวรวิชัยชาญ (พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ สงั กดั ของราชบัณฑิตยสภา
บวรราโชรสรัตนราชกุมาร) พระโอรสของพระบาทสมเด็จ ต่อมา พุทธศักราช ๒๔๗๖ รัฐบาลไดต้ ัง้ กรมศลิ ปากรขึ้น
พระป่ินเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหาอุปราช พระองค์ประทับอยู่ท่ี พิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนครจึงเปลี่ยนมาสังกัดกอง
พระบวรราชวัง ๑๗ ป ี ก็เสด็จสวรรคต เมื่อพุทธศักราช ๒๔๒๘ โบราณคด ี กรมศิลปากร และมีการประกาศตั้งพิพิธภัณฑสถาน
รัชกาลท่ ี ๕ จึงทรงยกเลิกตำแหนง่ พระมหาอปุ ราชและสถาปนา สำหรับพระนคร เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เม่ือพุทธศักราช
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ขึ้นเป็นสมเด็จ ๒๔๗๗
พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ตามแบบอย่าง ปีเดียวกันนี ้ มีพระราชบัญญัติให้โอนกรรมสิทธิ์ท่ีดิน
ประเพณีการสืบราชสันตติวงศ์ในยุโรป หลังการเลิกตำแหน่ง ในเขตพระราชวังบวรสถานมงคลบริเวณท่ีเคยเป็นโรงทหาร
พระมหาอุปราช พระราชวังบวรสถานมงคลได้ชำรุดทรุดโทรม และคลังแสง ตำบลท่าพระจันทร์ เนื้อที่ประมาณ ๑๑,๕๙๙
จึงโปรดเกล้าฯ ให้ร้ือป้อมเขื่อนเพ็ชร ์ ด้านตะวันออกของ ตารางเมตร ให้แก่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (เดิมที่ทำการอยู่ท่ี
พระราชวังบวรสถานมงคลถึงบริเวณเขตพระราชฐานชั้นกลาง กรมประชาสัมพันธ์เดิม เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ปัจจุบัน คือ
ปรับพื้นท่สี นามม้าวังหนา้ ผนวกรวมเขา้ กับพ้ืนทีท่ ้องสนามหลวง สวนสาธารณะข้างสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล) โดยเปิด
ต่อมา พุทธศักราช ๒๔๓๐ โปรดเกล้าฯ ให้ย้าย การเรียนการสอนวชิ าสาขาตา่ งๆ มาจนถึงปจั จุบัน
พิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชนจากศาลาสหทัยสมาคม ปัจจุบัน พื้นท่ีพระราชวังบวรสถานมงคลเป็นที่ตั้ง
มาจัดที่พระท่ีน่ังส่วนหน้าของพระราชวังบวรสถานมงคล คือ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
พระท่ีน่ังศิวโมกขพิมาน พระท่ีนั่งพุทไธสวรรย ์ และพระท่ีน่ัง พระนคร โรงละครแหง่ ชาต ิ และสถาบันบัณฑติ พัฒนศลิ ป ์
อิศราวินจิ ฉยั
ลุถึงสมัยของรัชกาลท ่ี ๖ เจ้านายฝ่ายในของพระราชวัง 63
บวรสถานมงคลเหลือน้อยลง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปประทับ
ณ พระบรมมหาราชวัง พระราชทานท่ีพระวิมานและพระราช
มณเฑยี รตอนในใหเ้ ปน็ โรงทหาร ยา้ ยโรงราชรถมาสรา้ งดา้ นหนา้
สมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล
ท่ ี ๗ โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายกรมทหารไปอยู่วังจันทรเกษม
(กระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน) แล้วพระราชทานท่ีพระราช
มณเฑียรท้ังบริเวณให้เป็นที่ต้ังพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร
เพื่อเก็บรักษาหนังสือประเภทสมุดไทยและศิลาจารึกของ
พิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร นอกจากน ้ี ยังโปรดเกล้าฯ ให้นำศิลปวัตถุโบราณออก
จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานตามหลักวิชาสากล มีการแบ่ง
พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร โบราณวัตถุเป็น ๓ ประเภท และจัดแบ่งเป็นห้อง ได้แก ่
ศิลปวัตถุโบราณของไทย ๑ ห้อง เคร่ืองราชูปโภคและ
เม่ือกาลเวลาล่วงผ่าน พระราชวังบวรสถานมงคลได้ใช้ เคร่ืองต้น ๑ ห้อง และศิลปวัตถุจากต่างประเทศอีก ๑ ห้อง
ประโยชน์ในด้านอ่ืนๆ ด้วย โดยเฉพาะการพัฒนามาเป็น พิพิธภัณฑสถานนี้เปิดให้สาธารณชนได้เข้าชมเป็นคร้ังแรก
พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาต ิ พระนคร ศนู ยร์ วมมรดกทางวฒั นธรรม เป็นท่ีสนใจของประชาชนมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดแสดง
อันล้ำค่าของชาต ิ ท่ีแสดงให้เห็นถึงอารยธรรมของคนไทย เป็นพิเศษเน่ืองในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของทุกปี
ที่ได้รับการส่ังสมสืบทอดมาอย่างยาวนานและย้ำเตือนให้ เ มื่ อ กรม พระราช วั งบ วรวิ ชั ยช าญ เ ส ด็ จ ทิ วงค ต
คนร่นุ ใหมต่ ระหนักถงึ คุณค่าแหง่ ความเปน็ ไทย ในพุทธศักราช ๒๔๒๘ รัชกาลที ่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิก
การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ในสยามประเทศเร่ิมขึ้นในสมัยของ ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เป็นเหตุให้พระราชวัง
รัชกาลท่ี ๔ โดยทรงจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ข้ึนที่พระที่น่ัง บวรสถานมงคลหรือวังหน้าว่างลง พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้
ราชฤด ี ซึ่งต้ังอยู่บริเวณด้านข้างของพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ย้ายพิพิธภัณฑสถานมาอยู่ที่น่ี โดยใช้พื้นท่ีของพระราชวัง
มไหยสูรยพิมาน ต่อมา เม่ือมีการสร้างพระอภิเนาว์นิเวศน์ขึ้น บวรสถานมงคลบางสว่ น ไดแ้ ก ่ พระทนี่ ง่ั ศวิ โมกขพมิ าน พระทน่ี งั่
ภายในพระบรมมหาราชวัง ได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายโบราณวัตถุ พุทไธสวรรย์ และพระท่ีนั่งอิศราวินิจฉัยต้ังแต่พุทธศักราช
และสิ่งของหายากมาไว้ยังพระที่น่ังประพาสพิพิธภัณฑ ์ ในหมู่ ๒๔๓๐ เป็นต้นมา
พระอภิเนาว์นิเวศน์ ซึ่งนับเป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์หรือ
“รอยัล มวิ เซียม” (Royal Museum)
ในสมัยของรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้จัดต้ัง
พิ พิ ธ ภั ณ ฑ ส ถ า น ส ำ ห รั บ พ ร ะ น ค ร ข้ึ น ที่ ห อ ค อ ง ค อ เ ดี ย
หรือศาลาสหทัยสมาคมในปัจจุบัน เรียกว่า “มิวเซียม” หรือ
“พิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย” เมื่อพุทธศักราช ๒๔๑๗
ศิลาจารึกหลกั ท ่ี ๑ จดั แสดงภายในพิพิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร
64
ครั้งถึงสมัยของรัชกาลท่ี ๗ พระองค์ได้พระราชทาน
ส่วนพระราชมณเฑียรของพระราชวังบวรสถานมงคลทั้งหมด
และหอสมุดวชิรญาณ เพื่อจัดต้ังเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับ
พระนครเม่ือพุทธศักราช ๒๔๖๙ และต่อมาได้เปลี่ยนช่ือเป็น
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เม่ือพุทธศักราช ๒๔๗๗
ปัจจุบัน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาต ิ พระนคร จัดแสดง
โบราณวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์
ตั้งแต่ยุคทวารวดี ศรีวิชัย ลพบุรี และจัดแสดงศิลปวัตถุจาก
อาณาจักรล้านนา สุโขทัย อยุธยา ตลอดจนงานประณีตศิลป์
ของกรุงรัตนโกสนิ ทร์
สถาบนั บณั ฑิตพัฒนศิลป์
พระราชวังบวรสถานมงคลเป็นสถานที่ท่ีมีคุณค่า
ทางวัฒนธรรมเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะเป็นสถานที่
เก็บรวบรวมโบราณวัตถุอันล้ำค่าของชาติแล้ว ยังเป็นแหล่ง
สร้างสรรค์และสืบทอดศิลปวัฒนธรรมแขนงต่างๆ ทั้งด้าน
งานช่าง นาฏศิลป ์ การละคร และดนตรีไทย โดยเป็นที่ต้ังของ
สถาบันบณั ฑติ พัฒนศลิ ป์ (วิทยาลัยนาฏศิลปเ์ ดิม) จดั การศึกษา
วิชาศิลปะทางดนตรี ปี่พาทย ์ และการละคร โดยได้รวบรวม
ศิลปินท่ีเคยสังกัดกรมมหรสพหลวงและวังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น
วังบ้านหม้อ วังสวนกุหลาบ วังจันทรเกษม กลับมาฟ้ืนฟ ู
ศิลปวัฒนธรรมไทยขึ้นอีกคร้ัง ณ สถาบันแห่งน ี้ จนพัฒนา
มาเป็นสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ในปัจจุบัน ซึ่งเปิดทำการสอน
ในระดับปริญญาตรีทางด้านช่างศิลป์ นาฏศิลป ์ ดุริยางคศิลป์
และคีตศิลป์ ท้ังไทยและสากล แต่ละปีได้ผลิตศิลปินเพื่อ
สืบทอดมรดกทางศลิ ปะของชาตเิ ป็นจำนวนมาก
65
หนุ่ วังหน้า จัดแสดงภายในพพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร นอกจากน ้ี พระองคย์ งั ทรงตงั้ โรงงานการชา่ งขน้ึ ในวงั หนา้
(ภาพจากหนงั สือห่นุ วงั หน้า จดั พิมพโ์ ดยกรมศิลปากร) ท้ังช่างไม ้ ช่างหล่อ ช่างกลึง ช่างเคลือบ ของที่ประดิษฐ์คดิ ทำ
ล้วนเป็นฝีมืออันประณีต หาเสมอได้โดยยาก ฝีมือช่างวังหน้า
หุ่นละครวังหน้า จึงเป็นฝีมือช้ันสูงในงานศิลปะหลายแขนงท่ีได้รับการยกย่อง
และถอื เปน็ แบบอยา่ งของช่างไทยในสมัยหลงั
ไม่เพียงแต่เป็นที่ต้ังของศูนย์รวมมรดกทางวัฒนธรรม นอกจากจะมีพระปรีชาสามารถทางด้านงานช่างแล้ว
อันล้ำค่าของชาติ วังหน้าแห่งน้ียังเป็นแหล่งสร้างสรรค์ กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญยังมีความสนพระทัยทางด้านศิลปะ
ศิลปวัฒนธรรมหลายแขนง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์แห่งความ การละคร ทรงตั้งโรงละครและคณะงิ้วผู้หญิงท่ีเรียกกันว่า
ภาคภูมใิ จของชาวกรุงเทพฯ ในปจั จุบนั งิ้ววงั หนา้ งานประณตี ศิลปซ์ ่งึ เป็นทีร่ ้จู ักกนั ดีอกี ประการหนึง่ คอื
ในสมัยท่ีกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญดำรงตำแหน่ง งานการสรา้ งห่นุ
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระองค์มีพระปรีชาสามารถ พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างหุ่นข้ึน ๒ ชนิด คือ หุ่นจีน
รอบรู้ในการช่างต่างๆ ทั้งทรงมีฝีพระหัตถ์ในทางศิลปะและ และหุ่นไทย โดยสรา้ งห่นุ จนี ขน้ึ กอ่ น จากนน้ั จึงสร้างห่นุ ไทย
ประณตี ศลิ ปข์ องไทย โดยเฉพาะการเขียนเคร่อื งถ้วย ทีร่ ้จู กั กนั ด ี หุ่นไทยท่ีทรงคิดทำขึ้นใหม ่ ดำเนินวิธีการแสดงคล้าย
คือ กระโถนวังหน้า เป็นกระโถนเล็กๆ ท่ีเรียกว่า กระโถนค่อม หุ่นหลวงหรือหุ่นใหญ่อย่างโบราณ ที่มีมาแต่คร้ังกรุงศรีอยุธยา
ซงึ่ ทรงเขยี นเป็นภาพรามเกียรตป์ิ ดิ ทองสวยงามมาก คือ หุ่นมีแขนขาเต็มตัว มีไม้แกนกับสายใยชักอวัยวะต่างๆ
ของหุ่นให้เคลื่อนไหว แต่ทำตัวหุ่นให้มีขนาดเล็กลง มีโรงละคร
66 เล็กๆ คล้ายโรงละครฝรั่ง หากเล่นอย่างหุ่นไทย และเคยเล่น
ถวายรัชกาลท ่ี ๕ ทอดพระเนตรในงานสมโภชช้างเผือกท่ีหน้า
พระทนี่ งั่ สุทไธสวรรย ์ ดังปรากฏในหนังสือข่าวราชการ เมื่อวันท่ ี
๒๘ มิถนุ ายน พุทธศกั ราช ๒๔๑๙ ความตอนหน่ึงวา่ “พระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จออกประทับ ณ พลับพลาหน้าโรง
ทอดพระเนตรหุ่นอย่างใหม่ของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ได้ทรงคิดขึ้นใหม่นั้น ปลูกโรงลงในท้องถนนตรงหน้าพลับพลา
โรงนั้นยาวประมาณ ๑๐ วา ตัวหุ่นนั้นสูงประมาณ ๘ นิ้ว....
เมื่อเชิดน้ันไม่เห็นตัวคนเชิด แลเจรจาหรือพากย์ก็ดีไม่เห็น
ตัวคนพากย์คนเจรจา มีแต่ตัวหุ่นออกมาเต้นรำท่าทางต่าง ๆ
แลในโรงนนั้ รางพนื้ รางเพดานเพอื่ จะไดเ้ ชิดแลเหาะ...”
นอกจากน้ ี ยังมีหลักฐานปรากฏในราชกิจจานุเบกษาว่า
“ในงานทำบญุ วนั สมภพ ในสมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ยิ วงศ์
ครบ ๗๑ ปี กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล จดั ทำหนุ่ ไปชว่ ยเพลา ๑”
หุ่นวังหน้าของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ มีรูปแบบ ละครในของราชสำนกั เขมร
ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และถือได้ว่าเป็นงานวิจิตรศิลป์โดยแท้
เพราะได้รวมศาสตร์และศิลป์อันวจิ ิตรแขนงต่างๆ คือ จิตรกรรม เป็นเจ้าป้า ทรงเสกสมรสกับพระองค์เจ้าเฉลิมลักษณวงศ์
ประติมากรรม ประณีตศิลป ์ กลศาสตร์ นาฏศิลป ์ ดุริยางคศิลป ์ (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) และ
และวรรณศลิ ป์เขา้ ไวด้ ้วยกันอย่างลงตวั เป็นผู้รับทรัพย์มรดกละครของเจ้าจอมมารดาอำภาในรัชกาลที ่
ปจั จบุ นั หนุ่ จนี และหนุ่ ไทยของกรมพระราชวงั บวรวชิ ยั ชาญ ๒ ผู้เป็นย่า ขณะเกิดวิกฤตการณ์วังหน้า หม่อมเจ้าฉวีวาดได้
จัดแสดงอยู่ท่ีพระที่น่ังทักษิณาภิมุข พิพิธภัณฑสถานแห่งชาต ิ ประทับอยู่ในวังหน้า ด้วยเกรงราชภัยจึงได้หลบหนีออกจาก
พระนคร ซึ่งได้รับการซ่อมแซมอนุรักษ์ให้สวยงามโดยอาจารย์ สยาม โดยไดข้ นทรพั ย์สมบตั ิส่วนตัวพร้อมด้วยเครือ่ งละครหลวง
จกั รพนั ธ ์ุ โปษยกฤต ศิลปนิ แห่งชาต ิ ของคณะละครเจ้าจอมมารดาอำภา ซึ่งเป็นคณะละครที่มี
ชื่อเสียงในราชสำนักพร้อมด้วยดนตรีปี่พาทย์ จ้างเรือสำเภา
ไม่เพียงเท่านั้น ศิลปะการแสดงละครของวังหน้ายังได้ ล่องแม่น้ำเจ้าพระยาออกจากแผ่นดินสยามมุ่งหน้าตรงไปยัง
แพร่หลายไปไกลถึงต่างแดนด้วย เมืองเขมร ด้วยโขนละครถือเป็นเกียรติยศของบ้านเมือง สมเด็จ
ในสมัยของรัชกาลที ่ ๕ ได้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า พระนโรดมพรหมบริรักษ์เจ้าผู้ครองเขมรในขณะนั้นได้รับ
“วิกฤตการณ์วังหน้า” ขึ้น โดยเกิดเหตุระเบิดที่ตึกดินภายใน หม่อมเจ้าฉวีวาดและคณะละครไว้ในพระอุปถัมภ์ คณะละคร
วังหลวง กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ซ่ึงในขณะนั้นเป็นผู้มี ของเจ้าจอมมารดาอำภาจึงแพร่หลายไปในราชสำนักเขมรใน
อำนาจทั้งกำลังทหารและอาวุธยุทธภัณฑ ์ เกรงว่าพระองค์อาจ ฐานะละครในของเมืองเขมรและเป็นต้นแบบละครในของเขมร
ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว จึงเสด็จไป มาจนทุกวันน้ี
ประทับ ณ สถานกงสุลของอังกฤษและประกาศว่าพระองค์ทรง
อยู่ใต้บังคับของรัฐบาลอังกฤษ การกระทำเช่นนี้นับว่าล่อแหลม
ต่อสถานการณ์ทางการเมืองของสยามในขณะน้ันท่ีอาจตกเป็น
เมืองข้ึนของอังกฤษได้ แต่เหตุการณ์จบลงได้ด้วยความสงบ
โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ ์ (ช่วง บุนนาค)
ทู ล เ ชิ ญ ก ร ม พ ร ะ ร า ช วั ง บ ว ร วิ ชั ย ช า ญ ก ลั บ ม า ป ร ะ ทั บ ยั ง
พระราชวังบวรสถานมงคลดังเดิม อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์
ครง้ั น้ีไดท้ ำใหค้ ณะละครของไทยแพร่หลายไปยังราชสำนักเขมร
ในหนังสือโครงกระดูกในตู้ของพลตรี หม่อมราชวงศ์
คกึ ฤทธ ์ิ ปราโมช เลา่ วา่ หมอ่ มเจา้ ฉววี าด (พระธดิ าในพระองคเ์ จา้
ปราโมช กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ต้นราชสกุล ปราโมช) ซ่ึงทรง
67
ดแู ลทกุ ข์สุขมอญและมลายู วัดชนะสงครามหรือ “วัดตองปุ” ศนู ยก์ ลางการต้งั ถิ่นฐานของ
ชมุ ชนมอญที่อพยพเขา้ มาพ่ึงพระบรมโพธิสมภาร
ต้ังแต่สมัยกรุงธนบุรี ภายหลังเมื่อบ้านเมืองเริ่มเป็น (ภาพจากหอจดหมายเหตแุ ห่งชาต ิ ไมท่ ราบปที ่ีถ่าย)
ปึกแผ่นมั่นคง ส่งผลให้กลุ่มคนหลากหลายวัฒนธรรมอพยพ
เข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภารจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวมอญ เรียกว่า “วัดตองปุ” (ตองปุ หมายถึง เป็นที่รวมพลทหารท่ีจะไป
ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการสรรค์สร้างความเจริญให้แก่ ออกรบ) เพราะมีพระมอญรามัญนิกายมาจำพรรษาและคงจะม ี
ราชธาน ี สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราชโปรดเกลา้ ฯ ใหช้ าวมอญ กลุ่มวัฒนธรรมใกล้เคียงกันอพยพเข้ามาอยู่ด้วย (ดังปรากฏช่ือ
ตง้ั บ้านเรอื นอยอู่ าศัยท้ังสองฟากฝั่งแมน่ ้ำเจ้าพระยา บา้ นตะนาวทไ่ี มไ่ กลจากบริเวณวดั ตองปเุ ทา่ ใดนัก)
บางกอกเป็นที่ต้ังของชุมชนชาวมอญมาแต่สมัย ชาวมอญหรือชาวรามัญอยู่ในระบบเกณฑ์แรงงาน
กรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรุงธนบุรี เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) เช่นเดียวกับไพร่ท่ัวไป ไพร่หลวงรามัญจัดเป็นไพร่หลวงสังกัด
ต้นสกุล คชเสน ี เชื้อสายสกุลผู้ดีมอญได้นำชาวมอญอพยพ วังหน้า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท ่ี ๔
หนีภัยอังวะเข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภาร สมเด็จพระเจ้า ได้มีพระบรมราชวินิจฉัยไว ้ ดังความตอนหนึ่งว่า “...บุตรหมู่
ตากสินมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ต้ังบ้านเรือนบริเวณคลองมอญ รามัญ ห้ามไม่ให้เป็นข้าบ่าวข้าราชการมาแต่โบราณ ยอมให้มี
ฝั่งธนบุรีบ้าง และแถบนิวาสสถานของเจ้าพระยาสุรสีห ์ แต่พระราชวังบวรแห่งเดียว เพราะฉะน้ันตั้งแต่เคยเห็นมาใคร
พิษณุวาธิราช (สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหา ทลู ขอไมเ่ คยไดส้ กั ครง้ั หนงึ่ วา่ เปน็ ธรรมเนยี มมาแตแ่ ผน่ ดนิ ตาก...”
สุรสงิ หนาท) บา้ ง
ต่อมา ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระบวรราชเจ้า
กรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาททรงได้รับพระบรมราชโองการ
ให้ดูแลทุกข์สุขไพร่พลชาวมอญที่ต้ังบ้านเรือนอยู่รายรอบ
บริเวณวัดชนะสงคราม ซึ่งในอดีตชาวบ้านเรียกวัดน้ีว่า
“วดั กลางนา” เพราะสมยั นนั้ อย่กู ลางทุง่ นา หรือตามภาษามอญ
ชุมชนมอญ (ภาพจากจติ รกรรมฝาผนงั วัดบางแคใหญ่)
68
ปจั จุบนั พน้ื ที่บริเวณวัดชนะสงครามและสเุ หร่าจกั รพงษ์เป็นย่านทีอ่ ย่อู าศัยของชาวไทยและชาวไทยเช้ือสายจีน
นอกจากนี้ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลยังได้รับ สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวงั บวรมหาสุรสงิ หนาท
มอบหมายใหด้ แู ลไพรพ่ ลชาวมุสลมิ ซึง่ ถกู “เทครัว” (กวาดต้อน เสด็จปราบหัวเมืองมลาย ู เมือ่ พุทธศกั ราช ๒๓๒๘
ผู้คนตามจารีตในการทำสงครามสมัยโบราณ) คร้ังปราบปราม ได ้ “เทครัว” ชาวตานขี ึ้นมายังพระนครเปน็ จำนวนมาก
หัวเมืองมลายูเมื่อพุทธศักราช ๒๓๒๘ ซ่ึงสมเดจ็ พระบวรราชเจา้ (ภาพจากโคลงภาพพระราชพงศาวดาร รปู ที่ ๗๗
กรมพระราชวงั บวรมหาสรุ สงิ หนาทโปรดเกล้าฯ ให้ต้ังบ้านเรือน ตีเมอื งตานีไดป้ ืนใหญ ่ นายวร เขยี น)
อยู่ใกล้กับวังริมป้อมพระสุเมรุและวัดชนะสงคราม เรียกกัน
โดยท่ัวไปว่า ชุมชนชาวตาน ี มีสุเหร่าจักรพงษ์เป็นศาสนสถาน
ท่ีประชุมทำศาสนกจิ และศูนย์กลางของชุมชน
ปัจจุบัน ชุมชนหลากหลายวัฒนธรรม ท่ีเคยอยู่ในกำกับ
ดแู ลของกรมพระราชวงั บวรสถานมงคลยงั คงตง้ั ถน่ิ ฐานอยอู่ าศยั
อย่างมีความสขุ ภายใตร้ ่มพระบรมโพธสิ มภาร
69
พระราชวงั บวรสถานภมิ ขุ
(วงั หลงั )
ณ พื้นที่ปากคลองบางกอกน้อยที่เรียกกันแต่โบราณว่า
“ตำบลสวนลิ้นจ่ี” อันเป็นท่ีต้ังของโรงพยาบาลศิริราชในทุกวันนี ้
ใ น อ ดี ต เ ค ย เ ป็ น ที่ ต้ั ง ข อ ง พ ร ะ ร า ช วั ง บ ว ร ส ถ า น ภิ มุ ข ห รื อ
“พระราชวังหลัง” ที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข
เป็นสถานท่ีท่ีมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ด้วยเป็นจุด
ยุทธศาสตร์ท่ีสำคัญในการป้องกันรักษาพระนครเม่ือแรก
สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี
ลุกาลสมัยเม่ือสยามพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง
ทัดเทียมนานาอารยประเทศ พื้นที่แห่งนี้ยังคงความสำคัญ
ไม่เสื่อมคลาย ด้วยเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาการศึกษาของ
สตรีและการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย
70
71
ศูนยก์ ลางชมุ ชนหตั ถศลิ ป์ กรมพระราชวังบวรสถานภิมขุ มคี วามดคี วามชอบในราชการสงคราม
บ้านเกิดพระสุนทรโวหาร หลายครงั้ เชน่ สงครามรบพม่าทางเมอื งเหนือในสงครามเก้าทพั
สงครามตีพมา่ ทเี่ มืองทวาย (ภาพจากโคลงภาพพระราชพงศาวดาร
พระราชวังบวรสถานภิมุขหรือพระราชวังหลังสร้างขึ้น รปู ที่ ๗๙ ตคี ่ายปีกกาพม่าที่เมอื งทวาย พระโต เขียน)
ภายหลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ พระราชพงศาวดาร
กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที ่ ๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ฯ ในการป้องกันรักษาพระนครทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
(ขำ บุนนาค) ระบุว่า เม่ือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ใหม้ ีความม่ันคงย่ิงขึน้
จุฬาโลกมหาราช รัชกาลท่ี ๑ ทรงประกอบพระราชพิธีปราบดา ลักษณะของพระราชวังบวรสถานภิมุขน้ันเป็นเช่นไร
ภิเษกและสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เม่ือพุทธศักราช ๒๓๒๕ ไม่ปรากฏหลักฐานใดกล่าวถึง สันนิษฐานว่าลักษณะของ
โปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ระดษิ ฐานพระราชวงศ ์ และสถาปนาพระอสิ รยิ ยศ พระราชวังบวรสถานภิมุขน่าจะเหมือนกับวังเจ้าฟ้าในสมัย
พระบรมวงศานุวงศ ์ ตามลำดับ โดยเฉพาะทรงสถาปนาพระยา ตน้ กรุงรัตนโกสนิ ทร ์
สุริยอภัย (ทองอิน) ผู้สำเร็จราชการเมืองนครราชสีมา พระโอรส แม้จะมีการย้ายราชธานีมายังพ้ืนที่ฝ่ังตะวันออกของ
องค์ใหญ่ของสมเด็จพระเจ้าพ่ีนางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพ แม่น้ำเจ้าพระยา แต่ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร ์ พ้ืนท่ีฝั่งธนบุร ี
สุดาวด ี ขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวง ริมคลองบางกอกน้อยยังคงเป็นพื้นที่ที่มีการต้ังถิ่นฐานบ้านเรือน
อนุรักษ์เทเวศร์ ด้วยมีความดีความชอบมากย่ิงกว่าพระราช ของราษฎรอย่างหนาแน่น ด้วยเป็นถ่ินฐานเดิมของชุมชน
ภาคิไนย (หลาน) พระองคอ์ ่นื เพราะเปน็ กำลังสำคัญในการแจ้ง หลากหลายวัฒนธรรมท่ีเข้ามาพ่ึงพระบรมโพธิสมภารตั้งแต่
ข่าวจลาจลในกรุงธนบุรีและร่วมกับชุมชนชาวมอญปราบปราม สมัยกรุงธนบุร ี
พวกกบฏพระยาสรรค ์ ตามธรรมเนียมของบ้านเมืองที่ยึดถือปฏิบัติกันมาแต ่
ตอ่ มา เมื่อพทุ ธศกั ราช ๒๓๒๘ สมเดจ็ พระเจา้ หลานเธอ โบราณ ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินต้องทำราชการโดยสังกัด “มูลนาย”
เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์มีความดีความชอบในราชการ หรอื “เจา้ ต่างกรม” สันนษิ ฐานว่า กรมพระราชวงั บวรสถานภิมขุ
“สงครามเก้าทัพ” จึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้
สถาปนาข้ึนเป็นสมเดจ็ พระเจา้ หลานเธอ เจา้ ฟา้ กรมพระอนุรกั ษ์
เทเวศร ์ กรมพระราชวงั บวรสถานภิมุขหรือ “กรมพระราชวังหลงั ”
ตามแบบอย่างในสมัยกรุงศรีอยุธยา โปรดเกล้าฯ สร้างวัง
พระราชทาน ณ ตำบลสวนล้ินจี่ นิวาสสถานเดิมแต่ครั้ง
กรุงธนบุร ี ซึ่งต้ังอยู่ใกล้กับตำบลสวนมังคุด นิวาสสถานของ
พระมารดา (บรเิ วณวัดอมรนิ ทราราม)
บริเวณพื้นที่ตำบลสวนลิ้นจี่มีป้อมปราการเป็นแนว
ป้องกันทางปากคลองบางกอกน้อยมาแต่สมัยกรุงธนบุรี
กรมพระราชวังบวรสถานภิมุขจึงทรงได้รับมอบหมายหน้าที่
72
ปจั จบุ นั ชุมชนบา้ นชา่ งหลอ่ คงเหลือเพยี งไมก่ คี่ รวั เรือน ขันน้ำสำริดขนาดต่างๆ ทั้งท่ีใช้ตามบ้านเรือนท่ัวไปและขัน
ทีย่ ังสืบสานงานชา่ งฝีมอื ท่ีไดร้ ับการถา่ ยทอดมาจากบรรพบุรษุ ชุดพิเศษ เช่น ขันน้ำพานรองสำหรับทำบุญตักบาตร มาหลาย
ชว่ั อายคุ น
เป็นเจ้าต่างกรมท่ีได้รับพระบรมราชโองการให้ดูแลทุกข์สุข ไม่เพียงแต่จะเป็นศูนย์กลางของชุมชนหลากหลาย
ของราษฎรหลายชุมชนบริเวณสองฟากฝั่งคลองบางกอกน้อย วัฒนธรรม พระราชวังบวรสถานภิมุขยังเป็นบ้านเกิดของกวีเอก
เช่น ชุมชนบ้านช่างหล่อ ท่ีได้รับการขนานนามว่าเป็นแหล่งรวม แห่งกรุงรัตนโกสินทร ์ คือ พระสุนทรโวหารหรือ “สุนทรภู่”
ช่างฝีมือด้านการหล่อพระท่ีใหญ่ท่ีสุดของพระนคร ชุมชนนี้ สุนทรภู่เกิดและเติบโตท่ีพระราชวังหลัง ด้วยมารดาเป็น
สันนิษฐานว่าเป็นชุมชนท่ีอพยพหนีภัยสงครามมาจากกรุงเก่า พระนมของพระองค์เจ้าจงกล พระธิดาในกรมพระราชวังบวร
หรือเป็นชุมชนท่ีอพยพมาจากหัวเมืองเหนือ หรือเป็นคนพื้นถิ่นน้ี สถานภิมุข และถวายตัวเป็นข้าในกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข
มาแตด่ ัง้ เดมิ ต้ังแต่ยังเยาว ์ สุนทรภู่มีภรรยาชื่อ “จัน” เป็นข้าหลวงของ
ไม่ไกลจากชุมชนบ้านช่างหล่อเป็นท่ีตั้งของชุมชนบ้านบุ “เจา้ ครอกทองอยู่” หรอื “เจา้ ขา้ งใน” พระชายาในกรมพระราชวัง
ซ่ึงสันนิษฐานว่าเป็นอีกชุมชนหนึ่งที่อยู่ในสังกัดกรมพระราชวัง บวรสถานภิมุข ต่อมา สุนทรภู่ได้เป็นมหาดเล็กใน “วังเดิม”
บวรสถานภิมุข โดยมีเรื่องเล่าสืบกันมาว่าชาวบ้านบุได้อพยพ (ในพระราชวังหลัง) ของพระองค์เจ้าปฐมวงศ ์ พระโอรสองค์เล็ก
หนีภัยสงครามมาจากกรุงศรีอยุธยามายึดอาชีพทำขันลงหินหรือ ของกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข ด้วยเหตุน ี้ สุนทรภู่จึงผูกพัน
กับวังหลังเปน็ อนั มาก
“...ดวู ังหลังยงั ไมล่ มื ท่ปี ลื้มจติ
เคยมมี ติ รมากมายทั้งชายหญงิ
มายามดึกนึกถงึ ท่พี งึ่ พิง
อนาถน่ิงนอ้ ยหนา้ น้ำตานอง...”
(นริ าศพระประธม : สนุ ทรภู่)
ชุมชนบา้ นบสุ บื ทอดงานหัตถศิลป์การทำขันลงหนิ สุนทรภู่เกิดและเตบิ โต
ท่ีพระราชวังหลัง
73
อาคารโรงเรยี นกุลสตรีวงั หลงั (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ไม่ทราบปที ถ่ี า่ ย) นายแพทยแ์ ซมมวล เรโนลส์ เฮาส์
หรือหมอเหา มชิ ชนั นารชี าวอเมริกนั
สังกัดคริสตจกั รเพรสไบทีเรียน
ผกู้ ่อตง้ั โรงเรียนกุลสตรีวังหลงั
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
ไม่ทราบปีทีถ่ ่าย)
หลงั จากกรมพระราชวงั บวรสถานภมิ ขุ ทวิ งคต รชั กาลท ่ี ๑ ชาวพระนครเรียกกันโดยทั่วไปว่า “หมอเหา” และนางแฮเรียต
มไิ ดท้ รงแตง่ ตง้ั ใหผ้ ใู้ ดดำรงตำแหนง่ กรมพระราชวงั บวรสถานภมิ ขุ ภริยาได้ขอซื้อที่ดินส่วนหนึ่งของพระราชวังบวรสถานภิมุขจาก
อีกต่อไป ตำแหน่งกรมพระราชวังหลังจึงได้สิ้นสุดลง บริเวณ พระคลังข้างที ่ เพ่ือก่อสร้างโรงเรียนสตร ี คือ “โรงเรียนสตร ี
พระราชวังหลังมีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นหลายส่วน เพื่อเป็นที่ต้ัง แฮเรียต เอ็ม เฮาส์” หรือท่ีเรียกว่า “โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง”
ของวังพระโอรสในกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข ๓ วัง และมี ซ่ึงถือเป็นโรงเรียนสตรีที่เปิดสอนวิชาสามัญแห่งแรกในสยาม
หม่อมเจ้าและเชื้อสายของเจ้านายทั้ง ๓ พระองค์ ประทับอยู่ เปิดทำการเม่ือวันท ่ี ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๑๗
จนถึงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ในขณะท่ีเขตพระราชวังบวรสถานภิมุขส่วนที่เหลือยังคงไม่ได ้
รัชกาลท่ี ๓ เชื้อสายกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขไม่มีกำลัง ใช้ประโยชน์อันใดจึงมีต้นไม้ขึ้นปกคลุม ภายหลังกิจการของ
พอทจี่ ะดูแลรักษาพระราชวงั หลัง จงึ ปลอ่ ยให้ทง้ิ ร้างวา่ งเปลา่ ไป โรงเรียนกุลสตรีวังหลังได้เจริญก้าวหน้ามากข้ึนจึงย้ายโรงเรียน
ลุถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปตั้งยังสถานที่ใหม่ ณ ถนนสุขุมวิท (ซอยวัฒนา) คือ โรงเรียน
รัชกาลท่ ี ๕ คณะมิชชันนารีนำโดยชาวอเมริกัน ช่ือ นายแพทย ์ วฒั นาวทิ ยาลัยในปัจจบุ ัน พนื้ ท่พี ระราชวงั หลงั จงึ ว่างลงอกี ครัง้
แซมมวล เรโนลส ์ เฮาส์ (Dr.Samuel Reynolds House) หรือที่
74
จนเมื่อพุทธศักราช ๒๔๒๙ คณะกรรมการคอมมิตต ี สมเดจ็ พระเจา้ ลกู ยาเธอ
กรมพระนครบาลมีมติขอพระราชทานพ้ืนท่ีพระราชวังหลัง เจ้าฟ้าศริ ริ าชกกธุ ภณั ฑ ์
ข้างทิศใต้ ซึ่งเคยเป็นที่ต้ังของ “วังใหญ่” หรือวังกรมหม่ืน (ภาพจากหอจดหมายเหตุ
นราเทเวศร์ พระโอรสในกรมพระราชวังบวรสถานภิมุขที่ร้าง แหง่ ชาต ิ ถา่ ยราว
มาตั้งแต่ปลายสมัยของรัชกาลท ่ี ๓ เพ่ือสร้างโรงพยาบาลหลวง พทุ ธศกั ราช ๒๔๓๐)
แหง่ แรกของสยาม และคณะกรรมการคอมมิตตีได้ซื้อที่ดินจาก
ราษฎรเพ่ิมเติมเพ่ือทำท่าน้ำและเตรียมการสร้างโรงพยาบาล เม่ือเสร็จงานพระเมรุสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้า
ในการน ี้ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พระราชทาน ศิริราชกกุธภัณฑ์แล้ว รัชกาลท่ี ๕ โปรดเกล้าฯ ให้รื้อโรงเรือน
พระราชทรพั ยส์ ว่ นพระองค์เป็นทุนต้ังต้นจำนวน ๑๖,๐๐๐ บาท ต่างๆ ตลอดจนเครื่องสังเค็ดจากพระเมรุมาสร้างโรงพยาบาล
ปีต่อมา สมเด็จพระเจา้ ลูกยาเธอ เจ้าฟา้ ศริ ิราชกกธุ ภณั ฑ์ ในพนื้ ทพี่ ระราชวงั หลงั ทตี่ ระเตรยี มไวแ้ ตต่ น้ พรอ้ มทง้ั พระราชทาน
สน้ิ พระชนมด์ ว้ ยโรคภยั ยงั ความอาลยั แกร่ ชั กาลท ี่ ๕ เปน็ อนั มาก ทรัพย์ของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์
ได้มีพระราชดำริว่าความทุกข์ของพระองค์ยังมีมากถึงเพียงน ี้ จำนวน ๕๖,๐๐๐ บาท เป็นทุนสร้างโรงพยาบาลเพื่ออุทิศ
ความทุกข์จากโรคภัยของราษฎรที่ยากจะได้รับการดูแลรักษา พระราชกศุ ลพระราชทานแก่พระราชโอรส
คงย่ิงกว่าหลายเท่าจึงมีพระราชปณิธานแน่วแน่ที่จะสร้าง รัชกาลท่ี ๕ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโรงพยาบาล
โรงพยาบาลหลวงขึ้นเพ่ือบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก ่ เม่ือวันท่ ี ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๓๑ พระราชทานนาม
พสกนิกร โรงพยาบาลนี้ว่า “โรงศริ ิราชพยาบาล” แต่ในระยะแรก คนท่วั ไป
มักเรียกกันว่า “โรงพยาบาลวังหลัง” ต่อมา มีการจัดซื้อที่ดิน
อาคารโรงศริ ิราชพยาบาลเมอื่ แรกสรา้ ง เพิ่มเติม ทำใหพ้ นื้ ท่ซี ่ึงเคยเป็นที่ตั้งของพระราชวงั บวรสถานภมิ ุข
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ ไมท่ ราบปที ถ่ี ่าย) รวมอยูใ่ นกรรมสิทธ์ขิ องโรงศิรริ าชพยาบาลท้ังหมด
แม้จะไม่มีอาคารหรือสิ่งก่อสร้างเดิมของพระราชวัง
บวรสถานภิมุขเหลืออยู่ในปัจจุบัน หากแต่อาณาบริเวณแห่งน้ี
ยังคงเป็นทีเ่ รียกขานว่า “วงั หลงั ” หรอื “ศริ ิราชพยาบาล” ซ่งึ เปน็
อนุสรณ์แห่งพระเมตตาของพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราช
จักรีวงศ์ที่มีต่อพสกนิกรเช่นเดียวกับพระราชวังบวรสถานภิมุข
ในอดตี ทไ่ี ดป้ กปกั รักษาพระนครและดแู ลชุมชนใหร้ ่มเย็นเปน็ สุข
75
พฒั นาการศกึ ษาสตรี นักเรียนและครโู รงเรยี นกลุ สตรีวงั หลัง
และการแพทย์แผนปัจจุบัน (ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ไม่ทราบปีท่ีถ่าย)
พระราชวังบวรสถานภิมุขหรือพระราชวังหลังเป็นพ้ืนท่ ี โรงเรียนวฒั นาวทิ ยาลัยมจี ุดเริ่มต้นมาจากโรงเรียนกุลสตรีวังหลงั
ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของกรุงรัตนโกสินทร์มาอย่าง
ยาวนาน เม่ือสยามกำลังพัฒนาบ้านเมืองเพ่ือก้าวเข้าสู ่ “ความ พื้นท่ีบริเวณพระราชวังหลังยังได้รับการพัฒนาให้ใช้
ศวิ ไิ ลซ์” ตามอยา่ งนานาอารยประเทศ พน้ื ที่แหง่ นไี้ ดเ้ ป็นสถานท่ี ประโยชน์ในด้านอื่นๆ คือ จัดต้ังเป็นโรงพยาบาล เพื่อช่วยเหลือ
ก่อต้ัง “โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง” โรงเรียนสตรีแห่งแรกของสยาม รักษาราษฎรผู้ทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นแหล่ง
ซ่ึงนับเป็นก้าวสำคัญของการมอบโอกาสทางการศึกษาให้แก่ สร้างสรรค์บุคลากรทางการแพทย์ที่สำคัญของไทย โดยมี
สตรีไทย ท่ีแต่เดิมการศึกษาวิชาสามัญของสตรีสยามเป็นเร่ือง สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
ซ่ึงเป็นไปได้ยาก เพราะการศึกษาของสตรีจำกัดอยู่ในชนชั้นสูง
และเป็นวิชาเฉพาะ เชน่ การบา้ น การเรอื น เย็บปักถักรอ้ ย ฯลฯ
สตรีไม่มีโอกาสได้ศึกษาวิชาสามัญเช่นบุรุษ แต่เม่ือมีการตั้ง
โรงเรียนกุลสตรีวังหลังข้ึน ปรากฏว่ามีคนมาลงช่ือรอเข้าเรียน
เป็นจำนวนมากจนกระทั่งทพ่ี ักไม่เพยี งพอ
บันทึกความทรงจำของนางเอ็ดน่า บรูเนอร์ บัลค์ลีย์
(Mrs. Edna Bruner Bulkley) มิชชนั นารีชาวอเมริกัน ผูเ้ คยเป็น
อาจารย์สอนที่โรงเรียนกุลสตรีวังหลังในสมัยของรัชกาลท ี่ ๕
เล่าว่า โรงเรียนกุลสตรีวังหลังเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในเรื่อง
ของระเบียบวินัยและมารยาทของนักเรียน เป็นโรงเรียนหญิง
แห่งเดียวในสยามขณะน้ันท่ีจัดหลักสูตรการเรียนการสอน
ต า ม ม า ต ร ฐ า น ท่ี รั ฐ บ า ล ก ำ ห น ด ใ ช้ ส ำ ห รั บ โ ร ง เ รี ย น ช า ย
จนนักเรียนหญิงชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนสตรีวังหลังได้รับ
อนุญาตให้เข้าร่วมสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวงกับนักเรียนชาย
จากโรงเรยี นรัฐบาลอน่ื ๆ
เม่ือมีงานต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองหรือพระราช
อาคันตุกะจากต่างประเทศ โรงเรียนกุลสตรีวังหลังมักจะได้รับ
การร้องขอจากราชสำนักให้ส่งนักเรียนไปทำหน้าท่ีต้อนรับ
แขกเมืองท่ีเป็นสตรีอยู่เสมอ เพราะทางการไม่มีสตรีท่ีสามารถ
พูดภาษาอังกฤษได้ นับเป็นคุณูปการสำคัญของโรงเรียนกุลสตร ี
วังหลงั ทไี่ ดส้ ร้างให้แกบ่ า้ นเมือง
76
(ต้นราชสกุล มหิดล) เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐาน สมเด็จพระมหติ ลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก
กิจการการแพทยแ์ ผนปจั จุบนั ของไทย เจ้านายผวู้ างรากฐานการแพทย์แผนปัจจบุ นั ของไทย
เช้าวันหน่ึง ในพุทธศักราช ๒๔๕๘ พลเอก สมเด็จ (ภาพจากหอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ ไม่ทราบปีทถี่ า่ ย)
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ผู้บัญชาการ
ราชแพทยาลัย (ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการ
สาธารณสุขไทย) ไดท้ ลู เชิญสมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหดิ ลฯ เสดจ็ ประพาส
ไปตามลำคลองโดยเรือยนต์ เมื่อเสด็จพระดำเนินมาถึง
ปากคลองบางกอกน้อยบริเวณพระราชวังหลัง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ
โรงศิริราชพยาบาลสมัยนั้น ทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ยาก
ของราษฎรท่ีได้รับความทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บ อีกท้ัง
สถานพยาบาลและบุคลากรไม่เพียงพอกับคนไข้ที่มารับ
การรักษา ส่งผลให้ญาติเอาคนไข้มาท้ิงไว้ให้นอนตายอยู่ใต้
ต้นไม้เป็นที่น่าเวทนา ด้วยพระเมตตาท่ีมีแก่พสกนิกร สมเด็จ
เจ้าฟ้ามหิดลฯ จึงทรงต้ังพระปณิธานมุ่งม่ันท่ีจะศึกษาวิชา
การแพทย์เพื่อกลับมาช่วยเหลือพสกนิกรของพระองค์ จึงได้
เสด็จพระดำเนินไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
สมเดจ็ เจา้ ฟา้ มหดิ ลฯ ทรงเขา้ เรยี นวชิ าการชา่ งสขุ าภบิ าล
วชิ าเตรียมแพทย์ วิชาแพทย์ และสาธารณสขุ ศาสตร์ โดยลำดับ
เมื่อเสด็จนิวัตพระนครเม่ือพุทธศักราช ๒๔๖๓ ได้ทรงทำตาม
พระปณิธานท่ีทรงต้ังไว้ ทรงอุทิศกำลังพระวรกายตรากตรำ
ด้วยพระวิริยอุตสาหะปรับปรุงและพัฒนาโรงเรียนแพทย ์
“ราชแพทยาลัย” (Royal Medical College) และโรงพยาบาล
ภายในพระราชวังหลังให้เข้าสู่มาตรฐานสากล ทรงจัดต้ัง
วิทยาลัยแพทยศาสตร์ ทรงสอนนักศึกษา และทรงงาน
ด้านสขุ ภาพอนามยั ของประชาชนด้วยพระองค์เอง จนอาจกลา่ ว
ได้ว่า พระราชวังหลังแห่งนี้เป็นจุดเร่ิมต้นของการสรรค์สร้าง
บุคลากรทางการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย ซึ่งยังคงสืบทอด
พระปณิธานในการดูแลรักษาสุขภาพอนามัยของอาณา
ประชาราษฎรม์ าจนทกุ วนั น้ ี
เคร่ืองมอื แพทยข์ องสมเด็จพระบรมราชชนก
77
วังท่าพระ
ท่ีต้ังของมหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ในอดีต
เคยเป็นที่ประทับของเจ้านายและเป็นที่ต้ังของกรมช่างสิบหม ู่
มาแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร ์ จวบจนปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้ยังคง
ธำรงบทบาทสำคัญในฐานะ “ตักศิลาแห่งงานศิลป์” ของกรุง
รัตนโกสินทร์ เป็นแหล่งสร้างสรรค์บุคลากรผู้มีความรู้ความ
สามารถที่ได้สืบทอดศิลปวัฒนธรรมอนั ดีงามใหค้ งอยคู่ ู่แผ่นดนิ
78
79
จากประตทู ่าช้างสูว่ ังทา่ พระ งานฉลองพระศรีศากยมนุ ี หน้าพระตำหนกั นำ้ (ตำหนกั แพ)
(ภาพจากโคลงภาพพระราชพงศาวดาร รูปท ี่ ๘๗
วังท่าพระต้งั อยู่ทางดา้ นทิศเหนอื ของพระบรมมหาราชวงั ฉลองพระศรีศากยมนุ ี นายวร เขียน)
ใกล้กับท่าช้างวังหลวง สร้างขึ้นพร้อมๆ กับการสถาปนากรุง
รัตนโกสินทร ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สันนิษฐานว่าแต่เดิมวังท่าพระมิได้เรียกขานเช่นปัจจุบัน
รชั กาลท่ี ๑ โปรดเกลา้ ฯ ให้สรา้ งวังจำนวน ๓ วัง ตั้งแต ่ “ท่าช้าง” แ ต่ เ รี ย ก กั น ต า ม พ ร ะ น า ม ข อ ง เ จ้ า น า ย ท่ี ม า ป ก ค ร อ ง วั ง
(เป็นท่าอาบน้ำของช้างฝ่ายพระราชวังหลวง) ขึ้นไปถึงหน้า เช่น “วังกรมขุนกษัตรานุชิต” “วังกรมหม่ืนเจษฎาบดินทร์”
ประตูวิเศษไชยศร ี เพ่ือพระราชทานแก่เหล่าเจ้านายผู้รับใช ้ หรือเรียกกันตามตำแหน่งที่ตั้งของวัง เช่น วังตะวันตก
ใกลช้ ดิ เบื้องพระยุคลบาท วังถนนหน้าพระลาน ดังที่กล่าวมาแล้ว
พระนิพนธ์ตำนานวังเก่าของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ ในพุทธศักราช ๒๓๕๑ รัชกาลท่ี ๑ มีพระราชศรัทธาใน
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ระบุว่า วังแรกต้ังอยู่ใกล้กับประตู พระบวรพุทธศาสนา โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดมหาสุทธาวาส
ท่าช้าง (ต่อมาเรียกประตูท่าพระ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของท่าช้าง (วัดสุทัศนเทพวราราม) ข้ึน ณ พ้ืนที่ใจกลางพระนคร และให้
วังหลวง) เรียกว่า “วังถนนหน้าพระลาน วังตะวันตก” หรือ อัญเชิญพระศรีศากยมุนีจากวัดมหาธาตุเมืองสุโขทัยมา
“วงั ทา่ พระ” พระราชทานสมเดจ็ พระเจา้ หลานเธอ เจา้ ฟา้ สพุ นั ธวงศ ์ ประดิษฐาน ณ วัดสุทัศนเทพวราราม โดยชะลอองค์พระลงมา
กรมขุนกษัตรานุชิตหรือ “เจ้าฟ้าเหม็น” พระราชโอรสในสมเด็จ ตามลำนำ้ เจา้ พระยา
พระเจา้ ตากสนิ มหาราชกบั เจา้ ฟา้ ฉมิ ใหญ ่ พระราชธดิ าในรชั กาลท ี่ ๑ ขณะอัญเชิญพระพุทธรปู ผ่าน “ประตทู ่าชา้ ง” ดว้ ยขนาด
ถัดจากวังท่าพระมาทางทิศตะวันออก เรียกว่า “วังถนน ของพระพทุ ธรปู ท่ีใหญโ่ ต ทำให้ไม่สามารถอญั เชิญองคพ์ ระผา่ น
หน้าพระลาน วังกลาง” (ปัจจุบันเป็นท่ีต้ังของคณะโบราณคดี ประตไู ด้ รชั กาลท ี่ ๑ จงึ โปรดเกลา้ ฯ ให้รื้อกำแพงประตูนั้นออก
มหาวิทยาลัยศิลปากร) พระราชทานแก่พระเจ้าลูกยาเธอ เมอื่ อญั เชญิ พระพทุ ธรปู ไปประดษิ ฐานเปน็ ผลสำเรจ็ กโ็ ปรดเกลา้ ฯ
พระองค์เจ้าอรุโณทัย (ภายหลังในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ ให้ก่อกำแพงขึ้นใหม ่ ทำให้ประตูและท่าน้ำแห่งนี้มีช่ือเรียก
พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท ี่ ๓ ทรงได้รับการอุปราชาภิเษก อีกช่ือหนึ่งว่า “ประตูท่าพระ” และเป็นช่ือเรียกของ “วังท่าพระ”
เปน็ กรมพระราชวงั บวรมหาศักดพิ ลเสพ) ในเวลาตอ่ มา
ถัดจากวังกลางมาทางทิศตะวันออกจนถึงมุมถนน
หน้าพระธาต ุ ตรงประตูวิเศษไชยศรี เรียกว่า “วังถนน
หนา้ พระลาน วงั ตะวนั ออก” พระราชทานแกพ่ ระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ
กรมหลวงเทพพลภักด์ ิ (พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอภัยทัต)
สมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท ี่ ๔
โปรดเกล้าฯ ให้รวมวังหน้าประตูวิเศษไชยศรีกับวังกลางเป็น
วังเดียว กลายเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ (สมเด็จเจ้าฟ้า
ชายกลาง ต้นราชสกุล มาลากุล) เม่ือสิ้นพระชนม์จึงตั้งเป็น
โรงงานชา่ งสิบหม่ ู
80
วงั ท่าพระ (ขวา) ในสมยั รชั กาลที ่ ๗ จากภาพ เปน็ การลอ่ “พระเศวตรจุ ริ าภาพรรณ”
ชา้ งตน้ ของพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยู่หัว ไปอาบนำ้ ณ ทา่ ชา้ งวงั หลวง (ภาพจากหอจดหมายเหตุแหง่ ชาต ิ ไมท่ ราบปีทีถ่ ่าย)
เมื่อสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้าสุพันธวงศ ์ กรมขุน รวมทั้งเป็นท่ีอยู่ของช่างต่างๆ ประมาณว่ามีช่างหลวงอาศัย
กษัตรานุชิตถูกสำเร็จโทษ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ในวังท่าพระขณะน้ันไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ คน กรมขุนราชสีหวิกรม
นภาลัย รัชกาลที่ ๒ ได้พระราชทานวังท่าพระเป็นท่ีประทับ ได้ประทบั อยู่วงั ทา่ พระจนส้ินพระชนม์
ของพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหม่ืนเจษฎาบดินทร ์ (พระบาทสมเด็จ ครั้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๓) และโปรดเกล้าฯ ให้กำกับ รัชกาลที่ ๕ ได้พระราชทานวังท่าพระให้เป็นท่ีประทับของ
กรมช่างสบิ หม ู่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอดุลยลักษณสมบัติ (พระองค์เจ้า
ครั้นเม่ือพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหม่ืนเจษฎาบดินทร์ อุไร ต้นราชสกุล อุไรพงศ)์ ทรงกำกบั กรมชา่ งศิลา ประทบั อยจู่ น
เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติขึ้นเป็นรัชกาลท ี่ ๓ ได้พระราชทานวัง สิ้นพระชนม ์ จากนั้นพระราชทานวังท่าพระให้สมเด็จพระเจ้า
ท่าพระให้เป็นท่ีประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้า บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ ์ (พระองค์เจ้า
ลกั ขณานคุ ณุ (พระองคเ์ จา้ สงั ข ์ พระบดิ าของสมเดจ็ พระนางนาฏ จิตรเจริญ ต้นราชสกุล จิตรพงศ์) เจ้านายผู้ครองวังท่าพระเป็น
โสมนัสวัฒนาวดี พระมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า พระองคส์ ดุ ท้าย
เจา้ อยู่หวั รัชกาลที ่ ๔) จวบจนสิน้ พระชนมใ์ นสมยั รัชกาลที ่ ๓ เมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงย้าย
กาลต่อมา รัชกาลท่ี ๔ พระราชทานวังท่าพระให้เป็น ไปประทับ ณ ตำหนกั ปลายเนนิ รมิ ถนนตรง (ถนนพระรามท่ ี ๔)
ที่ประทับของพระองค์เจ้าชุมสาย (ภายหลังได้รับการสถาปนา คลองเตย และภายหลังจากท่ีพระองค์ส้ินพระชนม์ ทายาท
เป็นกรมขุนราชสีหวิกรมในรัชกาลท่ ี ๔ ต้นราชสกุล ชุมสาย) ราชสกุลจิตรพงศ์ได้มอบวังท่าพระให้ทางราชการ ซึ่งต่อมา
ทรงกำกับกรมช่างศิลาและช่างสิบหมู่ ได้ทรงใช้วังท่าพระ ได้เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันการศึกษาวิชาศิลปะข้ันสูงของไทย
เปน็ สถานทต่ี งั้ ของกรมชา่ งสบิ หมแู่ ละสถานทที่ รงงานชา่ งทกุ ชนดิ คอื “มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร”
81
สถาปัตยกรรมวงั ท่าพระ ให้สำรวมเมื่อเข้าไปในท้องพระโรง และถูกสอนให้กราบเสาลอย
ต้นหนึ่ง เน่ืองจากเป็นเสาท่ีพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ เม่ือก่อน
เมื่อย่างเข้าสู่วังท่าพระจะพบกับกำแพงและประตูวัง เสวยราชย์ประทับพิงเวลาทรงงาน ท่านเล่ากันว่าเม่ือเสาต้นนี้
ที่สร้างขึ้นตามจารีตประเพณีการสร้างวังเจ้านายแต่โบราณ ยังเป็นเสาไมเ้ ปลือย ยงั ไม่ไดต้ กแต่งทาสี ไมจ้ ะตกน้ำมนั ซง่ึ เป็น
โดยกำแพงวังทำเป็นรูปใบเสมาล้อมรอบแสดงถึงสกุลยศ สัญญาณแห่งความศักดิ์สิทธิ์ย่ิงนัก พวกเด็กๆ ในวังจะถูกกำชับ
ชัน้ เจา้ ฟ้าของเจ้านายผ้คู รองวัง กำแพงตลอดจนประตูวงั ท่าพระ นักหนาว่าอย่าปืนป่ายเสาต้นน้ีเป็นอันขาด จำได้ว่าผมเลยกลัว
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงเป็นผู้ออกแบบ ลนลานไปหมด...” ปัจจุบัน ท้องพระโรงวังท่าพระเป็นท่ีต้ัง
ด้วยพระองค์เอง ของหอศลิ ป์ มหาวิทยาลัยศลิ ปากร จดั แสดงผลงานศิลปะตา่ งๆ
เม่ือเข้ามาภายในบริเวณวังท่าพระจะพบกับท้องพระโรง ถัดจากท้องพระโรง มีระเบียงเช่ือมต่อไปยังพระตำหนัก
ซ่ึงหันหน้าออกสู่ถนนหน้าพระลาน งดงามด้วยสถาปัตยกรรม ท่ีประทับซึ่งยังเหลืออย ู่ ๒ หลัง คือ ตำหนักกลางและตำหนัก
ไทยประเพณีที่สร้างขึ้นในสมัยของรัชกาลท ี่ ๒ เพื่อเป็นทป่ี ระทบั พรรณราย สร้างตามสถาปัตยกรรมยุโรป ศิลปะแบบอิตาเลียน
ของพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าทับ กรมหม่ืนเจษฎาบดินทร์ เรเนซองซ ์ (Italian Renaissance) โดยนายจีโออาคิโน แกรซ ี
ดังจะเห็นไดจ้ ากท้องพระโรงแห่งน้เี ป็นทอ้ งพระโรงขนาด ๕ ห้อง (Gioachino Grassi) สถาปนิกชาวออสเตรียซึ่งเป็นผู้ออกแบบ
หลังคาช้ันเดียวไม่มีมุขลด หน้าบันกรุไม้แบบลูกฟักหน้าพรหม พระราชวงั บางปะอนิ วงั บรู พาภิรมย์ และวัดนิเวศธรรมประวตั ิ
คูหาหน้าบันประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส ์ แต่ไม่ม ี ตำหนักกลางและตำหนักพรรณรายเรียกตามพระนาม
นาคสะดุ้ง ทำแบบรวยระกามอญ เครื่องตกแต่งหน้าบันท้ังหมด ของพระสัมพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรรณราย พระมารดา
ทาสีดนิ แดง ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ ์ ทุกวันน้ ี
เดิมหลังคาท้องพระโรงวังท่าพระเป็นหลังคามีมุขลด ตำหนักแห่งน้ีใช้เป็นอาคารเรียนของคณะมัณฑณศิลป์ โถง
๒ ชนั้ แบบทอ้ งพระโรงวงั เจา้ ฟ้า เนอื่ งจากเคยเป็นทีป่ ระทับของ ด้านล่างของตำหนักใช้เป็นสถานท่ีจัดนิทรรศการแสดงผลงาน
สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจา้ ฟา้ สพุ นั ธวงศ ์ กรมขุนกษัตรานุชิต ทางศิลปะของนักศึกษา
หรือ “เจ้าฟ้าเหม็น” คร้ันเม่ือพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าทับ ด้านทิศตะวันออกของท้องพระโรงเป็นท่ีตั้งของศาลา
กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เสด็จมาประทับท่ีวังท่าพระ จึงเปล่ียน ดนตรีในสวนแก้ว (ภายในสวนปลูกต้นแก้วเป็นระยะๆ จึงเรียก
เคร่ืองบนหลังคาท้องพระโรงให้เป็นมุขลดชั้นเดียวดังปรากฏ ว่า “สวนแก้ว”) มีศาลาเรือนไม้หลังเล็กมีฝาด้านหลังเพียง
ในปจั จบุ นั ด้านเดียว ทาสีเขียว มีลวดบัว เท้าแขนและเชิงชายเป็นไม้
จำหลกั ลาย ลกู กรงเฉลยี งเปน็ เหลก็ หลอ่ แบบยโุ รปสมยั วคิ ตอเรยี น
ท้องพระโรงแห่งนี้เคยใช้เป็นท่ีเสด็จว่าราชการและเป็น เมื่อครั้งประทบั ณ วงั ทา่ พระ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานริศรา
สถานท่ีทำงานของช่างฝีมือเม่ือครั้งกรมหม่ืนเจษฎาบดินทร์ นุวัดติวงศ์ทรงใช้ศาลาน้ีเป็นท่ีทรงดนตรีและใช้ลานด้านหน้า
ทรงกำกับกรมช่างสิบหมู ่ หนังสือก้าวเข้าสู่ควอร์เตอร์สุดท้าย ศาลาเปน็ สถานทฝี่ กึ หดั ละครดกึ ดำบรรพ ์
แห่งชีวิต ของหม่อมราชวงศ์จักรรถ จิตรพงศ ์ เล่าว่า เม่ือครั้ง ปัจจุบัน บริเวณสวนแก้วจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ
พระโกศพระศพของสมเด็จฯ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวัดติวงศ ์ กลางแจ้ง ส่วนศาลาดนตรียังคงอนุรักษ์ไว้และจะเปิดใช้เพื่อ
เสดจ็ ปขู่ องท่าน ประดิษฐาน ณ ท้องพระโรงวงั ท่าพระ ลกู หลาน จดั กจิ กรรมทางวัฒนธรรมท่ีสำคญั เท่านน้ั
ราชสกุลจิตรพงศ์ต้องไปเฝ้าพระศพเพื่อรอการพระราชทานเพลิง
ณ ท้องสนามหลวงตามราชประเพณี “...เด็กๆ จะถูกสั่งสอน
82
๑ ๒ ๑. ศาลาดนตรใี นสวนแกว้ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศท์ รงใชเ้ ปน็ ทท่ี รงดนตร ี
๓ ๔ ๕ เมอื่ ครงั้ ประทบั ณ วงั ทา่ พระ และใชล้ านดา้ นหนา้ ศาลาเปน็ สถานทฝ่ี กึ ซอ้ มละครดกึ ดำบรรพ ์
๒. ตำหนกั พรรณรายเปน็ ทปี่ ระทบั ของพระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ พรรณราย พระมารดา
ของสมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ ์ ปจั จบุ นั ตำหนกั แหง่ นใ้ี ชเ้ ปน็ อาคารเรยี นของคณะมณั ฑณศลิ ป์
๓. ทอ้ งพระโรงวงั ทา่ พระสรา้ งขนึ้ เพอื่ เปน็ ทป่ี ระทบั และทท่ี รงงานชา่ งของพระเจา้ ลกู ยาเธอ กรมหมนื่ เจษฎาบดนิ ทร ์
(รชั กาลท ่ี ๓) เมอื่ ครงั้ ทรงกำกบั กรมชา่ งสบิ หมแู่ ละประทบั ณ วงั แหง่ น ้ี
๔. ปจั จบุ นั ภายในทอ้ งพระโรงเปน็ ทตี่ ง้ั ของหอศลิ ป ์ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร สำหรบั จดั แสดงผลงานศลิ ปะตา่ งๆ
๕. กำแพงวงั ทา่ พระเปน็ กำแพงรปู ใบเสมาแสดงถงึ พระอสิ รยิ ยศชน้ั เจา้ ฟา้ ของเจา้ นายผคู้ รองวงั
83
ตักศลิ าแห่งงานศิลป์ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองค์เจ้าชุมสาย กรมขนุ สหี ราชวิกรม
พระหัตถ์ซ้ายทรงวงเวียนแสดงถึงพระปรชี าสามารถดา้ นงานช่าง
เป็นเวลายาวนานกว่า ๒๐๐ ปี นับแต่แรกสถาปนา (ภาพจากหอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ ถา่ ยเมื่อปลายรัชกาลที่ ๔)
วังท่าพระจวบจนพัฒนามาเป็นมหาวิทยาศิลปากรในปัจจุบัน
สถานท่ีแห่งนี้ได้มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงาน เม่ือสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เสด็จมา
สืบทอดศิลปวัฒนธรรมไทย เป็นแหล่งผลิตบุคคลากรด้าน ประทับทว่ี ังทา่ พระในสมัยรัชกาลท่ี ๕ พระองคท์ รงเปน็ เจา้ นายท่ี
ศิลปวัฒนธรรมของชาติจนได้รับการยกย่องว่าเป็น “ตักศิลา มีพระปรีชาสามารถด้านงานช่างและศิลปะ จนทรงได้รับการ
แหง่ งานศลิ ปข์ องกรงุ รัตนโกสินทร”์ ยกย่องในหมู่พระประยูรญาติ ว่าเป็น “นายช่างใหญ่แห่งกรุง
รัตนโกสินทร์” ขณะที่ประทับ ณ วังท่าพระ ได้ทรงสร้างสรรค ์
นับแต่อดีต เจ้านายผู้ทรงครองวังท่าพระล้วนสนพระทัย ผลงานการออกแบบศิลปกรรมอันโดดเด่นไว้เป็นจำนวนมาก
ในงานดา้ นศลิ ปะและวฒั นธรรม ทรงมีฝีมอื และความเชี่ยวชาญ เช่น พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม สถานีรถไฟ
ในดา้ นงานชา่ งตา่ งๆ บางพระองคไ์ ดร้ บั ความไวว้ างพระราชหฤทยั บางกอกน้อย พระที่นั่งราชฤดี (ศาลาสำราญมุขมาตย์)
ให้บังคับบัญชากำกับ “กรมช่างสิบหมู่” ทำให้วังท่าพระเป็น ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร พระอุโบสถวัดราชาธิวาส
แหล่งรวมของเหล่าช่างฝีมือ ซ่ึงได้รังสรรค์ผลงานศิลปกรรม เป็นตน้
ตกทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติไว้มากมาย
ในสมัยที่พระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
(รัชกาลท่ี ๓) เสด็จประทับ ณ วังท่าพระ ทรงใช้ท้องพระโรง
เป็นท่ีว่าราชการ สถานที่ออกแบบทรงงานช่าง และโรงงานของ
ช่างฝีมือไปพร้อมๆ กนั ซึ่งได้สร้างสรรคผ์ ลงานศิลปกรรมชิ้นเอก
ของชาติไว้เป็นจำนวนมาก เช่น สวนขวาในพระบรมมหาราชวัง
วัดราชโอรสาราม พระปรางค์วดั อรณุ ราชวราราม เป็นต้น
ต่อมา เม่อื พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ กรมขุนราชสีหวกิ รมเสด็จ
มาประทบั ณ วงั ท่าพระ ทรงไดร้ ับความไว้วางพระราชหฤทัยให้
กำกับกรมช่างสิบหมู่และกรมช่างศิลา ต่อจากสมเด็จเจ้าพระยา
บรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค) ได้ทรงใช้ท้องพระโรง
วังท่าพระเป็นสถานท่ีทรงงานเช่นเดียวกับเมื่อคร้ังสมเด็จ
พระบรมชนกนาถ (รัชกาลท ่ี ๓) ได้เสด็จมาประทับและ
สร้างสรรค์มรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าไว้แก่แผ่นดิน เช่น
พระบรมบรรพต (ภเู ขาทอง) พระปรางคว์ ดั พระศรรี ตั นศาสดาราม
พระท่ีนั่งภูวดลทัศนัย พระที่น่ังชยั ชมุ พล พระทน่ี งั่ อนนั ตสมาคม
(องคเ์ กา่ ) ในพระบรมมหาราชวงั เป็นต้น
84
มหาวทิ ยาลัยศิลปากร สถาปนาขนึ้ เมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๖ ในกรมศิลปากรใช้พ้ืนท่ีวังท่าพระ วังกลาง และวังตะวันออกก่อ
เพอ่ื เปน็ แหล่งผลิตบุคลากรสืบสานงานด้านศิลปวฒั นธรรมของชาติ ต้ังเป็นโรงเรียนประณีตศิลปกรรม สังกัดกรมศิลปากร เมื่อพุทธ
ศักราช ๒๔๗๖ และยกฐานะเปน็ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร เมอ่ื พทุ ธ
แม้ภายหลังสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ศักราช ๒๔๘๖ นับเป็นปฐมบทของการศึกษาศิลปะตามแบบ
ได้ทรงย้ายไปประทับ ณ ตำหนักปลายเนิน ด้วยปัญหา อยา่ งศลิ ปะตามหลกั วิชา (Academy Art) ของตะวันตก เปน็ ตน้
พระพลานามัย แต่ยังทรงส่งเสริมงานศิลปกรรมของไทย กำเนิดของการสร้างสรรค์ศิลปะสมัยใหม่ในประเทศไทย
ด้วยการสนับสนุนให้ผู้มีความร ู้ ความสามารถในด้านศิลปะและ วังท่าพระได้มีบทบาทสำคัญท่ีรังสรรค์งานศิลปกรรมไทยและ
การช่างได้แสดงความสามารถตามความถนัด ทรงสนับสนุนให้ มีส่วนช่วยธำรงรักษาและเผยแพร่งานศิลป์อันล้ำค่าให้อนุชน
นายคอรร์ าโด เฟโรช ี (Corrado Feroci) หรือศาสตราจารย์ศิลป ์ รุ่นหลงั ได้ภาคภูมิใจจนทกุ วนั น้ ี
พีระศร ี ประติมากรชาวอิตาเลียน เข้ามารับราชการตำแหน่ง
ช่างปั้นในกรมศิลปากร เมื่อพุทธศักราช ๒๔๖๖ ซึ่งต่อมา
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศร ี ได้ร่วมกับผู้เช่ียวชาญด้านศิลปะ
85
ศาสตราจารยศ์ ิลป์ พรี ะศรี อนุสาวรีย์นายคอร์ราโด เฟโรชี (Corrado Feroci) หรอื
กบั มหาวทิ ยาลัยศิลปากร วังทา่ พระ ศาสตราจารยศ์ ิลป์ พีระศร ี ตั้งอยู่ดา้ นหน้าคณะจติ รกรรม
ประตมิ ากรรม และภาพพมิ พ ์ มหาวทิ ยาลัยศิลปากร วังท่าพระ
วังท่าพระนับเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนการสอนศิลปะ
สมัยใหม่ในประเทศไทย โดยการบุกเบิกของศาสตราจารย์ศิลป์ ตลอดระยะเวลา ๓๙ ปเี ศษทรี่ บั ราชการอยใู่ นประเทศไทย
พรี ะศร ี ซง่ึ ไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ บดิ าแหง่ ศลิ ปะสมยั ใหมข่ องไทย ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้อุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้กับการ
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี มีชื่อเดิมว่า คอร์ราโด เฟโรช ี สร้างสรรค์งานศิลปะ ผลงานของท่านมีปรากฏอยู่มากมาย
(Corrado Feroci) เกิดท่ีเมืองฟลอเรนซ์ เมืองศูนย์กลางของ ทั้งพระบรมรูปรัชกาลท่ ี ๑ หรือพระปฐมบรมราชานุสรณ์
ศิลปวัฒนธรรมแขนงต่างๆ ของประเทศอิตาลี จบการศึกษาจาก ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า พระบรมรูป
สถาบันศิลปะชั้นสูงของเมืองฟลอเรนซ์ ในสาขาเอกวิชา สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่วงเวียนใหญ ่ รูปหล่อพระพักตร์
ประตมิ ากรรม ศาสตราจารยศ์ ลิ ปเ์ ขา้ มารบั ราชการในประเทศไทย สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ ์ อนสุ าวรยี ท์ า้ วสรุ นารี
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ ี ๖ ที่จังหวัดนครราชสีมา รวมทั้งรูปป้ันทหาร ตำรวจ และพลเรือน
โดยเข้ามาทำหน้าที่ควบคุมการปั้นหล่อพระบรมรูปและ ท่อี นสุ าวรียช์ ยั สมรภูมิ
อนุสาวรีย์ต่างๆ นอกจากหน้าที่ดังกล่าวแล้ว ท่านยังจัดตั้ง ศาสตราจารย์ศิลป ์ พีระศรี ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ ๗๐ ป ี
โรงเรียนประณีตศิลปกรรมข้ึน โดยมีความต้ังใจที่จะให้เป็น ผลงานช้ินสุดท้ายท่ีท่านยังทำไม่เสร็จก็ถึงแก่กรรมเสียก่อน คือ
สถาบันสอนศิลปะแก่คนไทย ให้สามารถทำงานได้โดยไม่ต้อง พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน
จ้างศิลปินชาวต่างชาติหรือส่งงานไปทำยังต่างประเทศ ด้วย ทา่ นไดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ ผสู้ รา้ งยคุ ใหมใ่ หก้ บั วงการศลิ ปะไทย
ความดีความชอบของท่านทำให้รัฐบาลไทยแต่งตั้งให้เป็น
อาจารย์ประติมากรรม ซ่ึงมีฐานะเทียบเท่าอธิบด ี และเม่ือ
โรงเรียนประณีตศิลปกรรมได้ยกฐานะข้ึนเป็นมหาวิทยาลัย
เมื่อวันท ี่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๘๖ ท่านก็ได้รับการ
แตง่ ต้ังใหเ้ ป็นคณบด ี คณะประติมากรรม
เร่ิมแรก มหาวิทยาลัยศิลปากรเปิดการเรียนการสอน
อยู่เพียง ๒ คณะ คือ คณะจิตรกรรมและคณะประติมากรรม
ซงึ่ ตอ่ มาเปลยี่ นชอื่ เปน็ คณะจติ รกรรม ประตมิ ากรรม และภาพพมิ พ ์
จากนนั้ พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๘ จงึ ได้จัดตั้งคณะสถาปัตยกรรมไทย
(ปัจจุบันคือ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์) และคณะโบราณคดี
ขึ้น และคณะสุดท้ายท่ีก่อต้ังข้ึนคือ คณะมัณฑณศิลป์ โดยมี
ปณิธานที่จะสร้างสรรค์ศิลปะ วิทยาการ และภูมิปัญญา
เพือ่ สงั คม ให้งานศลิ ปะของชาติพฒั นาและก้าวหน้าสบื ไป
86
สมเดจ็ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานวุ ัดติวงศท์ รงฉายพระรปู ร่วมกบั ศาสตราจารยศ์ ิลป์ พรี ะศร ี ผอู้ อกแบบพระบรมรปู พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจา้ อยูห่ ัว รชั กาลท่ ี ๖ ซึง่ เปน็ ต้นแบบของเดิม กอ่ นจะมกี ารปรับเปลีย่ นในภายหลัง เมื่ออญั เชิญไปประดิษฐาน ณ บรเิ วณด้านหน้าสวนลุมพินใี นปัจจุบนั
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแหง่ ชาติ ไม่ทราบปีทถ่ี ่าย)
ปัจจุบัน ทุกวันที่ ๑๕ กันยายน ซ่ึงเป็นวันคล้ายวันเกิด มหาวิทยาลัยและวงการศิลปะไทย โดยจัดพิธีที่อนุสาวรีย์
ของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร ศาสตราจารย์ศิลป ์ พรี ะศร ี ซ่ึงตง้ั อย่ดู า้ นหนา้ ของคณะจติ รกรรม
จะทำพิธีสักการะเพ่ือรำลึกถึงเกียรติคุณของท่านที่มีต่อ ประติมากรรม และภาพพิมพ์
87
วังรมิ วัดโพธ์ิ
หลายคนคงเคยได้ไปสักการะพระพุทธไสยาสน์
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระพุทธรูปคูบ่ ้านคู่เมืองทง่ี ดงาม
องค์หนึ่งของกรุงเทพฯ แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าใต้ฐานพระวิหาร
ทปี่ ระดษิ ฐานองคพ์ ระพทุ ธปฏมิ าเคยเปน็ ทตี่ ง้ั ของ “วงั รมิ วดั โพธ”ิ์
วังเจ้านายผู้ซ่ึงรังสรรค์ผลงานบันทึกความทรงจำอันทรงคุณค่า
ท่ียังประโยชน์มหาศาลมาสู่การศึกษาประวัติศาสตร์สมัย
กรงุ ธนบุรแี ละสมัยกรุงรตั นโกสนิ ทร ์ ซง่ึ เปน็ เรอ่ื งราวทไ่ี ม่สามารถ
หาอ่านไดจ้ ากพระราชพงศาวดาร
88
89
นิวาสสถาน “เจ้าครอกวัดโพธ์ิ” นอ้ งนางเธอเปน็ พระองคเ์ จา้ ก ุ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ รา้ งวงั พระราชทาน
ณ นิวาสสถานเดิมของกรมหม่นื นรนิ ทรพทิ ักษ ์ บริเวณอาณาเขต
วังริมวัดโพธิ์หรือวังพระองค์เจ้าก ุ (พระบาทสมเด็จ วัดโพธ์ดิ ้านทิศเหนือใกลก้ บั พระบรมมหาราชวัง
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท ่ี ๔ โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา ในสมยั ตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร ์ อาณาเขตพระบรมมหาราชวงั
พระอฐั ขิ น้ึ เปน็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงนรนิ ทรเทว ี ทรงเปน็ ดา้ นทศิ ใตย้ งั อยเู่ พยี งแนว “แถวเตง๊ ” (เปน็ อาคารแถวทมิ สรา้ งขนึ้
ต้นราชสกุลนรินทรกุล) ตั้งอยู่บริเวณท่ีเป็นพระวิหารพระพุทธ เพ่ือกั้นเขตพระราชฐานชั้นในกับพระราชฐานช้ันนอกและใช้เป็น
ไสยาสน์ วัดพระเชตุพนวมิ ลมังคลารามในปจั จุบัน ที่อยู่ของผู้ปฏิบัติงานในเขตพระราชฐานช้ันใน) พ้ืนท่ีตั้งแต่เขต
พระนิพนธ์ตำนานวังเก่าของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระบรมมหาราชวังลงไปจนถึงวัดพระเชตุพนฯ เป็นบ้านเรือน
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ระบุว่า วังริมวัดโพธ์ิเป็นวังท่ี ของเสนาบด ี เช่น บ้านเจ้าพระยารัตนาพิพิธท่ีสมุหนายก
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลท่ ี ๑ บ้านเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) ท่ีสมุหพระกลาโหม
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานแก่กรมหม่ืนนรินทรพิทักษ ์ และวังของกรมหม่นื นรนิ ทรพิทกั ษ์หรอื “วังรมิ วดั โพธิ”์
พระนามเดิม “หม่อมมุก” บุตรเจ้าพระยามหาสมบัต ิ (ผล) เมื่อกรมหมื่นนรินทรพิทักษ์และกรมหลวงนรินทรเทว ี
ซ่ึงเป็นพระภัสดา (สาม)ี ของพระเจา้ นอ้ งนางเธอ พระองค์เจ้ากุ ส้ินพระชนม์ พระโอรส ๒ พระองค ์ คือ พระสัมพันธวงศ์เธอ
ด้วยเหตุท่ีวังของพระองค์ตั้งอยู่ริมวัดโพธาราม (วัด กรมหมนื่ นรนิ ทรเทพ (พระองคเ์ จา้ ชายฉมิ ) และพระสมั พนั ธวงศเ์ ธอ
พระเชตุพนวิมลมังคลาราม) คนทั่วไปจึงขานพระนามพระองค์ กรมหมื่นนเรนทรบริรักษ ์ (พระองค์เจ้าชายเจ่ง) ได้ประทับ
เจ้ากุอีกพระนามหน่ึงว่า “เจ้าครอกวัดโพธิ์” (คำว่า “เจ้าครอก” ณ วงั ริมวดั โพธิ์สืบตอ่ มา
ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความ ล่วงถึงพุทธศักราช ๒๓๗๕ พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้า
หมายว่า เจ้าโดยกำเนิดหรือท่ีสถาปนาขึ้น, เรียกพระราชโอรส เจ้าอยู่หัว รัชกาลท ี่ ๓ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงถวายผ้า
และพระราชธิดาช้ันเจ้าฟ้าว่า เจ้าครอกฟ้า, เรียกพระองค์เจ้า พระกฐิน ณ วัดพระเชตุพนฯ โดยกระบวนพยุหยาตราทาง
และหมอ่ มเจา้ ว่า เจ้าครอก) สถลมารคได้ทอดพระเนตรท่ัวพระอารามแล้วทรงเห็นว่า
วังริมวัดโพธิ์อยู่ติดกับอาณาเขตเดิมของวัดพระเชตุพนฯ ถาวรวัตถุซ่ึงสมเด็จพระบรมอัยกาธิราชทรงสถาปนาไว ้
ทางด้านทิศเหนือ คือ บริเวณซ่ึงเป็นที่ตั้งของวิหารพระพุทธ ชำรุดทรุดโทรมปรักหักพังตามกาลเวลา จึงมีพระราชดำร ิ
ไสยาสนใ์ นปจั จบุ นั ซ่ึงเป็นนิวาสสถานเดมิ ของหมอ่ มมกุ เมอื่ ครั้ง ที่จะบูรณปฏิสังขรณ์และขยายอาณาเขตพระอารามออกไป
รับราชการเป็นนายกวดหมุ้ แพร มหาดเลก็ ในสมัยกรงุ ธนบรุ ี ให้กว้างขวาง และมีพระราชศรัทธาสร้างพระพุทธไสยาสน์
คร้ันรัชกาลท่ี ๑ เสด็จปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์ ถวายเป็นพุทธบูชา เพื่อให้พุทธศาสนิกชนระลึกถึงพระมหา
แหง่ พระบรมราชจกั รวี งศ ์ ทรงประดษิ ฐานพระราชวงศต์ ามลำดับ กรุณาธิคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้สถาปนาหม่อมมุก พระภัสดาของพระน้องนางเธอเป็น
“เจ้าต่างกรม” ท่ีกรมหม่ืนนรินทรพิทักษ ์ และสถาปนาพระเจ้า
90
ภาพถา่ ยทางอากาศแสดงท่ีตั้งของพระวหิ ารพระพทุ ธไสยาสน์ วัดพระเชตพุ นฯ และถนนท้ายวงั ซง่ึ เคยเปน็ ทต่ี ง้ั ของวังรมิ วดั โพธ์ิในอดตี
ถ่ายโดยปเี ตอร ์ วิลเลยี มส์ ฮันท ์ (Peter Williams Hunt) นกั บินฝา่ ยสัมพันธมติ ร เมือ่ พุทธศกั ราช ๒๔๘๙
(ภาพจากหอจดหมายเหตแุ หง่ ชาติ พทุ ธศักราช ๒๔๘๙ )
รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้เหล่าขุนนางย้ายไปตั้ง “ทศิ เหนือขยายยา่ นด้าน แดนใหม่ เพอ่ มนา
บ้านเรือน ณ บริเวณอ่ืน อาท ิ โปรดเกล้าฯ ให้ลูกหลาน นเรศเร่อมกอ่ กระแพง ดบั นัน้
เจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) ไปตัง้ บ้านเรอื นอย่ ู ณ สวน พทุ ธไสยาสน์ใหญ่ใส่ สมท่ี ลานแฮ
กาแฟฝง่ั ธนบรุ ี โปรดเกลา้ ฯ ใหร้ อื้ วงั รมิ วดั โพธแ์ิ ละสรา้ งพระวหิ าร ก่ออฐิ ปูนปน้ั ห้นั แห่งสถาน”
พระพทุ ธไสยาสนข์ น้ึ เพอื่ ประดษิ ฐานพระพทุ ธไสยาสนข์ นาดใหญ่
ปั้นโดยพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหม่ืนภูมินทรภักดี (พระองค์เจ้า (โคลงดั้นเรือ่ งปฏิสงั ขรณ์วดั พระเชตพุ นฯ
ลดาวัลย์ ต้นราชสกุล ลดาวัลย์) ซึ่งทรงกำกับกรมช่างสิบหม ู่ พระนพิ นธข์ องสมเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานชุ ติ ชิโนรส)
ขณะที่วังของพระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนรินทรเทพและ
พระสัมพันธวงศ์เธอ กรมหมื่นนเรนทรบริรักษ ์ โปรดเกล้าฯ ให้
สรา้ งวังใหม่ใกลก้ บั ปอ้ มมหาไชย
91
รงั สรรค์บนั ทกึ เหตกุ ารณ์ จดหมายเหตคุ วามทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี
และตำรับอาหารทรงคุณค่า ยอดของวรรณกรรมความเรยี งประวัตศิ าสตร์
ทม่ี คี ณุ ค่ายง่ิ ฉบับหนง่ึ ของไทย
ในยามปจั ฉมิ วัย ขณะทีป่ ระทบั ณ วังรมิ วดั โพธ์ ิ พระเจา้
บรมวงศ์เธอ กรมหลวงนรินทรเทวีได้ทรงบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อรัชกาลท ่ี ๕ ทรงหนังสือฉบับนี้ จึงมีพระราชดำริว่า
ทที่ รงไดพ้ บเหน็ ตงั้ แตช่ ว่ งปลายกรงุ ศรอี ยธุ ยา จลุ ศกั ราช ๑๑๒๙ จดหมายเหตุเร่ืองน้ีแปลกประหลาดกว่าหนังสือฉบับอ่ืน
(พทุ ธศกั ราช ๒๓๑๐) ถงึ จลุ ศกั ราช ๑๑๘๒ (พทุ ธศกั ราช ๒๓๖๓) ด้วยโวหารถ้อยคำเป็นสำนวนผู้หญิง อีกท้ังผู้แต่งหนังสือเรื่องน้ี
รวมเวลา ๕๓ ปี เปน็ บันทกึ ความทรงจำอนั ทรงคณุ ค่าท่ีบอกเล่า เป็นผู้รู้เรื่องราวภายในราชสำนักมาก จึงมีพระบรมราชวินิจฉัย
เร่ืองราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของการสถาปนากรุงเทพฯ ว่าผู้แต่งเรื่องน้ีน่าจะเป็นพระองค์เจ้ากุหรือพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
และเร่ืองราวในสมัยกรุงธนบุรแี ละต้นกรุงรัตนโกสินทร์ กรมหลวงนรนิ ทรเทว ี พระนอ้ งนางเธอในรัชกาลท่ ี ๑
ต้นฉบับจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวง เรื่องราวที่แต่งในหนังสือน้ัน รัชกาลที่ ๕ มีพระราช
นรินทรเทวีท่ีหอพระสมุดวชิรญาณได้รับมอบจากพระราชวัง วิจารณ์ว่าเป็นเร่ืองแปลกจากพระราชพงศาวดารหลายเร่ือง
บวรสถานมงคล (วังหน้า) เป็นสมุดไทย สมเด็จฯ กรมพระยา จึงทรงพระอุตสาหะแยกข้อความในหนังสือน้ัน แล้วพระราช
ดำรงราชานุภาพทรงคัดสำเนาจากสมุดไทย จากน้ันทรงนำข้ึน นิพนธพ์ ระราชวิจารณ์ไปทุกๆ ข้อ จนหมดฉบบั
ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลท ี่ ๕
“แตเ่ ปนเคราะห์ดีทส่ี ุดที่จดหมายกรมหลวง
นรนิ ทรเทวฉี บบั นี้ ไม่ปรากฏแก่นกั เลงแตง่ หนังสือ
ในรัชกาลท่ี ๔ ฤาในรชั กาลปัจจบุ ันน้ี ตกอยใู่ นก้นตู้
ไดจ้ นถึงรตั นโกสินทรศก ๑๒๗ น้ี นับว่าเปนหนังสือ
พรหมจารี ไม่มดี ว้ งแมลงได้เจาะไชเลย
ความยังคงเกา่ บรบิ ูรณ.์ ..”
(พระราชวิจารณ์ของพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจา้ อย่หู ัว
เรื่องจดหมายเหตคุ วามทรงจำของพระเจา้ ไปยกิ าเธอ
กรมหลวงนรนิ ทรเทว ี (เจา้ ครอกวัดโพธิ)์ )
92
หนงั สอื จดหมายเหตคุ วามทรงจำของกรมหลวงนรนิ ทรเทวี ขนมจีบไทยไม่เหมือนกับขนมจีบซาลาเปาที่เรา
นอกจากบันทึกเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมือง ยังมีการบันทึก รับประทานกันในภัตตาคาร วิธีปั้นขนมจีบเป็นงานประณีต
เรื่องราวอันพิสดารซ่ึงเป็นเรื่อง “ปกปิด” และ “มิดเม้น” พิถพี ิถนั และตอ้ งใช้ฝมี ืออย่างมาก เร่มิ ดว้ ยแป้งซึ่งต้องนวดและ
ในสมัยน้ัน กอปรกับผู้แต่งมีความเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ต้มถึง ๓ น้ำ จนแป้งนุ่มและเนียนมือ การผัดไส้และการป้ัน
ได้อย่างถูกต้องแม่นยำและบันทึกเหตุการณ์ด้วยความซ่ือตรง ต้องนำแป้งมาแบ่งเป็นก้อนกลมๆ ไม่ใหญ่นัก แผ่แป้งให้แบน
ไม่มีข้อความท่ีเป็นอัศจรรย์อย่างจารีตในการบันทึกพระราช แล้วจึงข้ึนให้เป็นกระพุ้ง ป้ันควงให้เป็นทรงต้ัง ต่อจากนั้นจึงพับ
พงศาวดารท่ัวไป แม้จะมีความคลาดเคลื่อนเรื่องเวลาบ้าง เป็นจับเล็กๆ เล่ากันว่า ขนมจีบลูกเล็กๆ ลูกหน่ึงน้ัน ถ้าเป็นคน
แต่ไม่มีข้อความใดท่ีเป็นเท็จ จึงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งท่ีมีคุณค่า มีฝีมือจะสามารถพับได้ถึง ๒๐ จีบ แล้วจึงใส่ไส ้ ค่อยรวบปาก
ทางประวัตศิ าสตร ์ ป้ันเป็นรูปหัวนกและนำไปนึ่ง เม่ือสุกแล้วจะต้องให้ได้ลักษณะ
นอกจากพระอัจฉริยภาพในด้านการทรงพระอักษรแล้ว งดงาม คือ ขนาดกำลังด ี รูปร่างสวย เน้ือแป้งบางใสจนเห็นไส ้
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนรินทรเทวียังทรงได้รับการ จงึ จะเป็นขนมจบี ฝีมือชาววัง
ยกย่องว่ามีความเป็นเลิศในด้านการประกอบอาหาร มีสูตร มีเรื่องเล่าว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ตำรบั อาหารทข่ี นึ้ ชอ่ื ลอื ชาเปน็ จำนวนมากโดยเฉพาะ “ขนมไสห้ ม”ู รัชกาลท่ี ๒ ทรงโปรดปราน “ขนมไส้หมู” ของเจ้าครอกวัดโพธ์ิ
หรือ “ขนมจีบไทย” เปน็ อย่างยิ่ง เสวยแต่ละครั้งไดห้ ลายองค ์ (คำ)
ปัจจุบัน ขนมจีบไทยตำรับวังริมวัดโพธิ์ยังคงได้รับ
การสบื ทอด โดยมกี ารเปิดการเรยี นการสอนร่วมกบั หลักสูตรการ
ทำขนมไทยท่วี ิทยาลัยในวังหญงิ ในพระบรมมหาราชวัง
“ขนมจีบเจา้ จบี ห่อ งามสมส่อประพิมประพาย
นกึ นอ้ งนงุ่ จบี ถวาย ชายพกจบี กลบี แนบเนยี น”
(กาพย์เหช่ มเครื่องคาวหวาน : พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั )
ขนมไส้หมหู รอื ขนมจบี ไทยสตู รตน้ ตำรับวังริมวดั โพธิ์
93
วังบา้ นหม้อ
วังบ้านหม้อเป็นวังที่สร้างขึ้นในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ซ่ึงหลงเหลืออยู่เพียงไม่ก่ีแห่งในกรุงเทพฯ ท่ียังคงรักษารูปแบบ
และความงดงามทางสถาปัตยกรรมไทยยุคต้นกรุง อันควรค่า
แก่การศึกษาและอนุรกั ษไ์ ว้ให้ลกู หลาน
วังแห่งน้ียังเคยเป็นท่ีตั้งของกรมมหรสพหลวง จึงเป็น
แหล่งสร้างสรรค์ศิลปวัฒนธรรมท่ีสำคัญของกรุงเทพฯ ท้ังด้าน
นาฏศิลป์ โขน ละคร และการดนตรีไทย ซ่ึงได้เผยแพร่ออกไป
ในวงกว้าง จนเป็นรากฐานและแบบแผนของการเรียนการสอน
ศิลปวัฒนธรรมไทยแขนงตา่ งๆ ของกรมศลิ ปากรในทุกวนั นี ้
94
95
เจ้าพระยาเทเวศรวงศว์ ิวฒั น์ (หม่อมราชวงศ์หลาน กุญชร) พระนิพนธ์ตำนานวังเก่าของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจา้ กรมมหรสพหลวง ทายาทวังบ้านหมอ้ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ระบุว่า วังบ้านหม้อสร้างขึ้นใน
(ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาต ิ ไมท่ ราบปที ถ่ี า่ ย) รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ ี ๓
เพื่อเป็นท่ีประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิทักษ
จากตลาดคา้ หม้อสวู่ ังเจา้ เทเวศร ์ พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า
นภาลัย รัชกาลท ่ี ๒ และเจ้าจอมมารดาศิลา ทรงกำกับกรม
วังบ้านหม้อหรือวังพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิทักษ อศั วราช (กรมมา้ ) ตอ่ มา ในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้
เทเวศร ์ (พระองค์เจ้ากุญชร ต้นราชสกุล กุญชร) ตั้งอยู่บนถนน เจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๔ ได้ทรงกำกับกรมคชบาล (กรมช้าง)
อัษฎางค์ ริมคลองคูเมืองเดิม ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ท่ีตั้ง อีกตำแหน่งหนึง่
ของวังบ้านหม้อเป็นย่านที่อยู่อาศัยของชาวมอญผู้ประกอบ แต่เดิมพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิทักษเทเวศร์มิได้
อาชีพค้าขายหม้อดินเผา จึงเป็นที่มาของช่ือ “ตำบลบ้านหม้อ” ประทับ ณ วังบ้านหม้อ ในสมัยของรัชกาลที่ ๒ เม่ือทรงเจริญ
และเมื่อมีการสร้างวังเจ้านายขึ้น ณ บริเวณน้ ี จึงเรียกช่ือวังว่า พระชันษาต้องออกวัง สมเด็จพระบรมชนกนาถ พระราชทานวัง
“วังบา้ นหมอ้ ” ตามชือ่ ตำบลด้วย แก่พระองค์และเจ้าพี่เจ้าน้องท่ีประสูติแต่เจ้าจอมมารดาศิลา
อีก ๒ พระองค ์ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภค
96 ภูเบนทร์ (พระองค์เจ้าพนมวัน ต้นราชสกุล พนมวัน) และ
พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงภวู เนตรนรนิ ทรฤทธ ์ิ (พระองคเ์ จา้
ทินกร ต้นราชสกลุ ทนิ กร)
ต่อมา เม่ือพุทธศักราช ๒๓๗๔ ในสมัยรัชกาลที่ ๓
ได้เกิดเหตุไฟไหม้วังสนามชัยที่ประทับของกรมหม่ืนสุนทรธิบดี
(พระองค์เจ้ากล้วยไม ้ ต้นราชสกุล กล้วยไม้) ซ่ึงอยู่ตรงกันข้าม
กับกลุ่มวังท้ายหับเผย กรมหมื่นสุนทรธิบดีสิ้นพระชนม์ใน
กองเพลิงพร้อมท้ังเหล่าบริวาร ไฟไหม้ไปตลอดจนถึงตำบล
บ้านหม้อทำให้เกิดเป็นที่ว่างข้ึน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ
พิทักษเทเวศร ์ จึงกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชา
นุญาตสร้างวังที่ประทับของพระองค์ในบริเวณดังกล่าว ซ่ึงเป็น
ท้ังท่ีประทับและสถานที่ทำราชการไปด้วย ต่อมาเป็นท่ีรู้จักกัน
ในชื่อ “วังบา้ นหมอ้ ”
ท้องพระโรงวงั บา้ นหมอ้ (ภาพจากหอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ ไมท่ ราบปที ถ่ี า่ ย)
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิทักษเทเวศร์เสด็จประทับ เจา้ พระยาเทเวศรวงศว์ วิ ฒั น ์ (หมอ่ มราชวงศ ์ หลาน กญุ ชร)
ณ วังบ้านหมอ้ จนส้ินพระชนม์ ในสมัยของรชั กาลท ี่ ๔ พระโอรส พระโอรสของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิงหนาทราชดุรงค์ฤทธ ์ิ
องคใ์ หญ ่ คอื พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ สงิ หนาทราชดรุ งคฤ์ ทธ์ิ ได้ปกครองวังบ้านหม้อสืบมา เม่ือเจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์
ไดป้ ระทบั ณ วงั บา้ นหมอ้ จนสนิ้ พระชนมเ์ มอ่ื พทุ ธศกั ราช ๒๔๒๓ ถึงแกอ่ นจิ กรรม ทายาทราชสกลุ กญุ ชรยงั คงอาศยั ณ วงั บา้ นหมอ้
ตอ่ มา จนอาจกลา่ วไดว้ า่ วงั บา้ นหมอ้ เปน็ วงั เพยี งไมก่ แี่ หง่ ซง่ึ ยงั คง
สภาพความเปน็ วงั มาจนกระทง่ั ถงึ ปจั จบุ นั
97
สถาปัตยกรรมวังเจา้ นายยคุ ตน้ กรงุ เป็นดอกพุดตานตั้งแต่แรกผลิดอกจนกระท่ังคล่ีบาน นอกจากน้ ี
ใต้ท้องพระโรงยังมีคุก ด้วยวังบ้านหม้อมีคนอาศัยอยู่ในวัง
วังบ้านหม้อเป็นวังเจ้านายที่เหลืออยู่เพียงไม่ก่ีแห่ง จำนวนมาก ย่อมเกิดเหตุกระทบกระท่ังอยู่บ่อยคร้ัง ใต้ถุน
ในกรงุ เทพฯ ทย่ี งั คงรกั ษารปู แบบและลกั ษณะทางสถาปตั ยกรรม ท้องพระโรงจงึ จัดทำเปน็ คุกเพอ่ื ขังคนโทษ
ของวังในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ในสมัยท่ีเจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์ปกครองวัง
เป็นมรดกทางสถาปัตยกรรมของกรุงเทพฯ ท่ีน่าสนใจและ บ้านหม้อและเป็นเจ้ากรมมหรสพหลวง ได้เคยใช้ท้องพระโรง
นา่ ศกึ ษาเปน็ อยา่ งยงิ่ แห่งนี้เป็นสถานที่ฝึกซ้อมละครดึกดำบรรพ์ โขน ละคร
วังบ้านหม้อสร้างข้ึนในสมัยรัชกาลที ่ ๓ สิ่งก่อสร้างต่างๆ และดนตรีไทย จนอาจกล่าวได้ว่า ท้องพระโรงวังบ้านหม้อ
ล้วนเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ปัจจุบันยังคงเหลืออาคาร เป็นสถาบันนาฏศิลป์และดนตรีไทยท่ีเก่าแก่อีกแห่งหนึ่ง
เม่ือแรกสร้าง ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร ์ ของกรุงเทพฯ
คอื ทอ้ งพระโรงและศาลาหน้าทอ้ งพระโรง
ท้องพระโรงวังบ้านหม้อเป็นเครื่องไม้ของเดิมท้ังหลัง ทกุ วนั น ี้ โถงทอ้ งพระโรงวงั บา้ นหมอ้ ไดร้ บั การขนึ้ ทะเบยี น
สร้างตามสกุลยศของวังเจ้านายชั้นพระองค์เจ้า เห็นได้จาก เป็นโบราณสถานแห่งชาติโดยกรมศิลปากร ภายในท้องพระโรง
ทอ้ งพระโรงมลี กั ษณะเปน็ เรอื นไทยขนาด ๕ หอ้ ง หลงั คาชนั้ เดยี ว เป็นท่ีตั้งพระเสล่ียงและต่ัง ซึ่งเป็นของเดิมทำจากไม้สลักลาย
ไม่มีมุขลด หน้าบันกรุไม้เป็นลูกฟักหน้าพรหม กรอบคูหา ปิดทองประดับกระจก อีกทั้งยังเป็นที่จัดเก็บของใช้สำคัญ
หน้าบันประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ เช่นเดียวกับ ของเจ้านายทุกพระองค์ในวังบ้านหม้อ มีเคร่ืองถ้วยเบญจรงค ์
ท้องพระโรงวังท่าพระ ตัวเรือนเป็นฝาปะกน บานประตูหน้าต่าง และตะเกยี งนำ้ มนั ท่ีสลักตราประจำราชสกุลกุญชรลงบนกระจก
เป็นไม้แผ่นใหญ่ ฝังเดือยเป็นบานพับ กลางบานมีไม้อกเลา เป็นรูปพระรามแผลงศร ซึ่งตะเกียงดังกล่าวเคยแขวนรอบ
ปิดทับรอยต่อ ตอนล่างมีหย่องจำหลักลายดอกพุดตาน ด้านใน พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามในวันสำคัญทางพระพุทธ
ของบานประตูเขียนสีเป็นรูปม่านสองไข มีพวงมาลัยห้อย ศาสนา
กรอบบานจำหลักไม้เป็นลายดอกพุดตานปิดทอง ซึ่งเป็น นอกจากท้องพระโรงแล้ว ภายในวังบ้านหม้อยังมีศาลา
พระราชนยิ มในรชั กาลที่ ๓ หน้าท้องพระโรง ซึ่งเคยใช้เป็นสถานที่รับเสด็จพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท ี่ ๕ และแขกบ้านแขกเมือง
ด้วยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิทักษเทเวศร์ เมอ่ื มาชมการแสดงละครดกึ ดำบรรพ์ โขน ละคร และดนตรไี ทย
ทรงกำกับกรมอัศวราช (กรมม้า) และกรมคชบาล (กรมช้าง) ที่เจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์จัดถวาย และ “ดอกไม้สด” หรือ
ท้องพระโรงแห่งน ี้ จึงมี “เกย” (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตย หม่อมหลวงบุปผา นิมมานเหมินทร์ (กุญชร) บุตรีคนหน่ึงของ
สถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ น. เกยขนาดเล็กเคลื่อนย้ายไปได้ เจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์เคยใช้ศาลาหน้าท้องพระโรงแห่งน ้ี
สำหรับเจ้านายใช้เป็นท่ีเสด็จขึ้นหรือลงพาหนะ) สำหรับข้ึนลง เป็นที่น่ังเขียนหนังสือ ซ่ึงเป็นวรรณกรรมอมตะหลายต่อ
ช้างและม้าที่ด้านสกัดของท้องพระโรง ภายในท้องพระโรงยังมี หลายเร่ือง อาท ิ “หน่ึงในร้อย” ซ่ึงได้รับการยกย่องให้เป็น
ประติมากรรมประดับตกแต่งที่เล่ืองชื่อในด้านความคิด วรรณกรรม ๑๐๐ เร่ืองทคี่ นไทยควรอ่าน
สร้างสรรค์และความประณีต คือ ลายฉลุไม้รอบกรอบหน้าต่าง
98
๑. ทอ้ งพระโรงวงั บา้ นหมอ้ เคยใชเ้ ปน็ สถานทฝี่ กึ ซอ้ มละครดกึ ดำบรรพ ์
๑ ๒ เมอ่ื ครงั้ เจา้ พระยาเทเวศรวงศว์ วิ ฒั นป์ กครองวงั น ้ี และศาลาหนา้ ทอ้ งพระโรง
๓ ๔ เคยเปน็ ศาลาทป่ี ระทบั ของรชั กาลท ี่ ๕ เมอ่ื เสดจ็ พระราชดำเนนิ มาทอดพระเนตร
๕ ละครดกึ ดำบรรพ ์ ณ วงั บา้ นหมอ้
๒. ทอ้ งพระโรงเปน็ ทตี่ ง้ั พระเสลยี่ งครงั้ รชั กาลท ่ี ๓
๓. หนา้ บนั ทป่ี รบั ปรงุ ใหม ่
๔. บรรยากาศภายในทอ้ งพระโรง
๕. บานหนา้ ตา่ ง
99