The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุชาติ เถาทอง. (2562).
วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขั้นสูง คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ บูรณาการความรู้ใหม่. ชลบุรี: บางแสนการพิมพ์.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by artdesign.btu, 2022-08-02 00:02:13

ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุชาติ เถาทอง. วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขั้นสูง คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ บูรณาการความรู้ใหม่_e-book

ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุชาติ เถาทอง. (2562).
วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขั้นสูง คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ บูรณาการความรู้ใหม่. ชลบุรี: บางแสนการพิมพ์.

Keywords: สุชาติ เถาทอง,วิธีคิด,ศิลปะ,ออกแบบ,วิเคราะห์,สังเคราะห์,บูรณาการความรู้ใหม่,ศิลปกรรม,วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขั้นสูง,คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ บูรณาการความรู้ใหม่

บทท่ี ๒

กระบวนการและระดับทางความคดิ ศิลปะออกแบบ

ศลิ ปนิ และนักออกแบบมธี รรมชาติสว่ นตนคล้ายคลึงกนั คือ การแสวงหาความเปน็ ไปได้ใหม่ทางความคิด
เพ่ือให้ผลงานของเขามกี ารเปลย่ี นแปลง มคี วามก้าวหนา้ และพัฒนาอยู่เป็นลำ� ดบั จนสามารถสรา้ งการยอมรับจาก
สงั คมประเทศชาติและนานาชาตไิ ด้ ยง่ิ โลกของเรามคี วามแคบเข้ามาหากนั ทกุ ขณะดว้ ยปัจจยั จากเทคโนโลยสี ารสนเทศ
และการสอ่ื สารผ่าน SMART PHONE TABLET และเทคโนโลยีอ�ำนวยความสะดวกสารพดั แบบ การรบั รูแ้ ละเรียนรู้
ผ่านเคร่ืองมอื อนั ทรงอทิ ธิพลไดอ้ �ำนวยประโยชนใ์ ห้ศิลปนิ นักออกแบบตา่ งมีช่องทางหาความรู้ ช่องทางสอ่ื ไดห้ ลาย
ลักษณะ และหลายแบบเช่นเดียวกัน มีฐานความคดิ ตง้ั ตน้ จากความเขา้ ใจในแงม่ ุมตา่ งๆ ได้ใกล้เคยี งกัน มภี าพภาษา
ไวยากรณ์ และภาษาภาพทีน่ �ำมาใช้แสดงออกทางความคดิ หรือจิตภาพ (Idea) มคี วามคลา้ ยคลงึ และสอดคลอ้ งกันไป
โดยขาดความคิดวิธีคิดในแง่มุมและมมุ มองทีแ่ ตกแตกต่างออกไป มลี ำ� ดับและระดับทส่ี งู ข้ึน
๒.๑ กระบวนการและนัยทางความคิด
ความคิดคอื สงิ่ ซึ่งนึกรู้ข้นึ ในใจ ความรทู้ เี่ กดิ ขึน้ ในใจก่อใหเ้ กิดการแสวงหาความร้ตู ่อไป คลา้ ยกับสตปิ ญั ญาท่ี
จะทำ� สง่ิ ใดสงิ่ หนึ่งอยา่ งถกู ตอ้ งและสมควร (ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒) ความคดิ เน้นการใช้สมองและเนน้
พฤติกรรมม ี ลักษณะเฉพาะเปน็ ของใครของมันของคนแตล่ ะคน และมีลักษณะซับซอ้ น โดยผ้คู ดิ ตอ้ งมสี ตริ ู้ตวั อยู่เสมอ
ระหวา่ งการคดิ มวี ตั ถปุ ระสงคแ์ ละเปา้ หมายที่ชัดเจน และมีทักษะทางการใชภ้ าษาพดู เขียน และภาษาภาพ
ภาษาเสียงหรอื ภาษาอ่ืนใดท่ดี พี อ เพือ่ สามารถถา่ ยทอดความคิดและสื่อสารให้คนอ่นื เข้าใจไดต้ รงตามทผี่ คู้ ดิ ตอ้ งการ
๒.๑.๑ กระบวนการทางความคดิ ของสมองและใจ กระบวนการ หมายถึง สง่ิ ทเี่ ปล่ียนแปลงโดย
ต่อเนือ่ งกนั อาจเป็นสภาวะธรรมชาตหิ รือ เปน็ กิจกรรมที่มนุษย์กระทำ� ขึน้ อย่างต่อเน่ืองเปน็ ขัน้ ตอน เรื่องของการคดิ
ของมนุษย์ก็มีลักษณะเป็นไปเปน็ ขนั้ ตอนแบบต่อเนื่องเชอ่ื มโยงเชน่ เดียวกันทัง้ ทเี่ ป็นความคดิ จากการรับรู้ (Perception)
และความคดิ จากการนึกคดิ (Conception) ข้อ ๑.๒ บทท ี่ ๑ โดยมสี ิ่งเรา้ และแรงจูงใจ จนิ ตนาการ หรอื เงือ่ นปม
ปรศิ นาของโลกเป็นสอื่ ส่งิ กระตุ้น ใหต้ ้องปลกุ ความคิดและพฒั นาความคิดให้กา้ วหนา้ ขน้ึ ไป
กระบวนการความคิด เรมิ่ ตน้ ตั้งแต่การรบั รสู้ อ่ื สิง่ ตา่ งๆ ผา่ นประสาทสมั ผัสท้งั ๕ บวกกับการรบั ร้ทู างใจ
เม่ือรับรูแ้ ล้วก็จะเชอ่ื มโยงสือ่ สิง่ ทีร่ ับรใู้ หมน่ ้ ี เขา้ กับประสบการณเ์ ดิมท่สี ะสมอยูใ่ นคลงั สมองหรือลิน้ ชักสมอง เกดิ เป็น
มโนภาพ จนิ ตภาพใหม่ภายในสมองต่างๆ นานา และต่อมามโนภาพ จติ ภาพเหลา่ นี้จะถูกน�ำมาสมั ผัสกันข้นึ ภายใน
สมอง น�ำความไมเ่ ข้าใจสงสยั ดว้ ยการใชส้ มองและจติ ใจ (สมองซีกซา้ ยและขวา) ในการแสวงหาคำ� ตอบใหก้ ับตวั เอง
กระบวนการคดิ ของมนษุ ย์ จึงเป็นกระบวนการใชส้ มองเพื่อพฒั นามโนภาพใหม ่ จิตภาพใหมใ่ หบ้ งั เกิดขึ้น
ในระบบการรับรูแ้ ละนึกคิดของมนุษย์อยา่ งมีดลุ ยภาพ และถึงแม้กระบวนการคิดจะเป็นกระบวนการท่ีเกิดขึ้นในสมอง
แตส่ มองไม่ไดเ้ ป็นตวั กำ� หนดความคดิ (หรอื จติ ภาพ) ส่งิ ทีก่ ำ� หนดความคิดของทุกคนคือ “จิตใจ” ซึง่ หากจะเปรียบ
เรอ่ื งของความคิดกบั เทคโนโลยแี ลว้ สมองเป็นเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ (Computer) จติ ใจเปรียบเสมือนโปรแกรม
(Program) ทใี่ ส่เข้าไปในสมอง ดงั นั้นความคิดเปน็ อย่างไรนัน้ จะข้นึ อยกู่ บั จติ ใจ เปน็ ตัวก�ำหนดคอื จติ ท่ชี อบและใจ
ท่ีร้สู กึ ใหม้ ีความเป็นไปได้อยา่ งหน่ึงอยา่ งใดทางศิลปะออกแบบ

38 วธิ คี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขัน้ สูง

ตวั อย่าง :

ความคดิ จากการรบั รขู้ องบา้ นผา่ นกระบวนการคดิ จติ ใจ มกี ารเปรยี บเทยี บจากลกั ษณะท่ัวไป จนเหลือ
ลกั ษณะร่วมของบา้ นเปน็ สารตั ถะของบ้าน

กระบวนการคิดตอ้ งอาศยั องคป์ ระกอบ ๓ ชนดิ ใหเ้ กดิ การคิดทบ่ี รรลุผลสำ� เรจ็ จากวัตถุประสงค์ใน
แต่ละครง้ั ไดแ้ ก่
(๑) มโนภาพ หมายถงึ ความคดิ เปน็ ภาพข้ึนในใจอยา่ งหนง่ึ อย่างใด เปน็ การสรา้ งมโนภาพจากการ
สมั ผัสรทู้ ั้งทางตา หู จมกู ลน้ิ กายและใจ ก่อใหเ้ กดิ จินตนาการ ถึงความน่าจะเปน็ ในจติ ภาพหรือความคิด
ตา่ งๆ มาเปน็ ภาพในใจกอ่ น และจะคดิ เลอื กภาพท่ีจติ ชอบหรอื ใจรสู้ กึ ทตี่ รงกับความคิดของตนเอง เพอ่ื กอ่ ใหเ้ ปน็
สือ่ สิ่งอย่างสมบรู ณต์ อ่ ไป

ตวั อย่าง :

ศิลปนิ กอ่ นออกแบบภาพลกั ษณห์ รือจนิ ตภาพ
ภายนอกใหป้ รากฏ เขาต้องสรา้ งมโนภาพขึ้นมาภายใน
จิตใจเป็นรูปนยั นำ� ร่องหรือเรื่องราวตา่ งๆ เปน็ ภาพ
เคา้ เบอื้ งตน้ กอ่ น หลงั จากนั้นจงึ ใช้ภาษาภาพหรอื
จนิ ตภาพค่อยๆ แปลความเปลย่ี นรูปเรอ่ื งราวข้างต้น
หรือภาพเขาที่ชอบและรู้สึก ให้เปน็ รปู ธรรมขนึ้ ตาม
มโนภาพนนั้ ดว้ ยการวาดภาพออกแบบภาพเป็นผลงาน
ศลิ ปะและออกแบบตอ่ ไป ดังตวั อยา่ งรอ้ ยกรองความว่า
“ชอ่ ฟ้าก็เฟอื้ ยกลฟดั
ดลฟากฑิฆมั พร
บลาลีพิจติ รบวร
นพศนู ย์สร้างลอย”

วธิ ีคดิ ทางศิลปะออกแบบขนั้ สงู 39

ตัวอยา่ ง : จนิ ตภาพวรรณคดแี บบไทย ตัวอยา่ งมโนภาพของศิลปินไทย

- เหม เวชกร
- จักรพนั ธ ์ โปษยกฤต

40 วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบขนั้ สูง

(๒) ภาษา ในความหมายจะเกยี่ วข้องกับภาษาเขยี น ภาษาภาพ ภาษาเสยี ง ภาษากลนิ่ และรส เป็นตน้
ภาษาจะชว่ ยให้ศิลปนิ นกั ออกแบบคิดเรือ่ งราวตา่ งๆ ไดง้ ่ายขนึ้ ผา่ นภาษานน้ั ๆ มีความชัดเจนแบบมองร ู้ ดอู อก
ฟังรู้ ดูเป็น โดยเฉพาะภาษาเขยี นและภาษาพูด ผ่านถ้อยคำ� ตวั อักษรจะชว่ ยใหค้ ิดเรอ่ื งราวตา่ งๆ ออกมาได้
สะดวกขึ้นงา่ ยข้นึ ประการสำ� คัญภาษาเขียนและพดู จะเปรยี บไดก้ บั เครื่องมือชว่ ยใหศ้ ลิ ปนิ นกั ออกแบบพรรณนา
บรรยาย และอธบิ ายความคดิ จิตภาพของตนเอง เพือ่ สื่อสารให้ผู้อื่นได้รบั รู้อยา่ งชดั เจนมคี วามเปน็ เหตผุ ล
(๓) แนวความคิดหรอื ความคิดรวบยอด ในความหมายเป็นการคดิ รปู ลักษณะหนงึ่ ของศลิ ปนิ และ
นักออกแบบในการใช้ความคิดดว้ ยการจดั วตั ถ ุ สอ่ื สิง่ บคุ คล เหตุการณ์ และปรากฏการณ ์ ตา่ งๆ เข้าเป็น
หมวดหมู ่ เปน็ กล่มุ เปน็ พวก เปน็ ชนิด เปน็ ต้น (ภาพที่ ๒๓) การมแี นวความคดิ หรอื ความคิดรวบยอดจะ
สามารถชว่ ยใหเ้ รารับรู้สอ่ื สงิ่ ตา่ งๆ ไดง้ า่ ย และสามารถนำ� แนวความคิดนน้ั ไปสร้างความสัมพันธก์ ับขอ้ ความ
กับภาพ หรือหลกั เกณฑ์ตา่ งๆ ได้เชอ่ื มโยงกันและชว่ ยให้กระบวนการคดิ มปี ระสิทธิภาพเพมิ่ สงู ข้ึน (รายละเอียด
ดู ๒.๒.๑)
* กรอบแนวคิด (Conceptual Framework) เป็นการเสนอเหตุผลหรือหลกั การภายใตเ้ ง่ือนไขของทฤษฎี และ
รายงานการวจิ ยั ที่เกย่ี วข้อง เพือ่ ใหเ้ หน็ ถึงความสมั พนั ธ์เก่ียวข้องระหว่างเหตแุ ละผล บ่งชมี้ มุ มองลกั ษณะหรือ
ทิศทางของความสมั พนั ธเ์ ชอื่ มโยงกนั (ในวิจยั ถือวา่ เป็นแนวทางชว่ั คราวเพื่อคน้ หาคำ� ตอบ)
๒.๑.๒ นัยทางความคิด นยั คือขอ้ สำ� คัญเปน็ นยั แห่งเรื่องความหมาย ทั้งทีม่ นี ัยเดียว และ
หลายนัย การนำ� เสนอหรอื ส่อื สารทางความคิดด้วยภาษาพูด อา่ นและเขยี นด้วยอักษร และภาษาภาพ เสียง
การเคลื่อน กล่ิน การจับต้องและรสด้วยพหุสมั ผสั ทางภาษาศิลปะออกแบบน้นั นอกจากมคี วามสำ� คญั ตอ่ การ
สร้างความเขา้ ใจระหว่างกนั นัยเบอ้ื งต้นแลว้ การนำ� เสนอทางความคิดผ่านภาษาต่างๆ ของรูปรส กลนิ่ เสียง ห ู
และจบั ตอ้ ง ข้างต้น ยงั เป็นการนำ� เสนอแง่มุมและนยั สำ� คัญของประเดน็ ความคดิ ความหมายของส่ือสิง่ ที่ส่อนัย
ในการสื่อสารทางความคิดในแต่ละคร้ังดว้ ย ซ่ึงจะมคี วามในและระดบั ความนยั ของแต่ละภาษาทม่ี แี บบแผนและ
ไวยากรณ์ของภาษาตนเองเป็นการเฉพาะ เชน่ จากภาษาพูด อา่ น เขยี น ผา่ นคำ� ถอ้ ยค�ำ คำ� ส�ำคญั หรือค�ำกญุ แจ
อนั เปน็ คำ� หลักเพอ่ื จะไขไปสคู่ วามนยั ปรศิ นาแฝงหรือซ่อนอยใู่ นภาษาอกั ษรเหลา่ นัน้ (ตารางท่ ี ๒)
“อะไรคือสือ่ สงิ่ ท่ีส่อนยั ” (Implication) ส่ือสิ่งทีส่ ่อนยั หมายถึง ส่ือสิ่งหรือความหนึ่งๆ แหง่ เรื่องได้
สะท้อนแสดงถึงสื่ออีกส่งิ หนง่ึ หรือความหนงึ่ โดยปริยาย และมีความเชอื่ มโยงทางเหตุผลถงึ ความเปน็ ไปได้เหล่า
นั้น ตวั อย่างเช่น การมองเห็นธรรมชาติมีเมฆและทอ้ งฟ้ามดื คร้มึ มลี มเยน็ ๆ พดั มากระทบตัวเรา มีเสียงฟ้าร้อง
ฟ้าผา่ มาเปน็ ระยะมาแตไ่ กล ปรากฏการณจ์ ากธรรมชาติและการรบั รูไ้ ด้จากพหสุ ัมผัส (ภาพ เสยี ง การเคลื่อนไหว)
ไดส้ ื่อความนัยถึงสอ่ื อกี ความหนง่ึ จะมปี รากฏขึ้นคอื “ฝนจะตกใสไมช่ า้ ”

วิธีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบขน้ั สูง 41

ตารางที่ ๒ แสดงนยั ความหมายของค�ำถ้อยค�ำ

กรณ ี “รปู นัย” ทางจติ ภาพหรอื ความคดิ พจิ ารณาไดจ้ าก ภาษาหนงั สอื ท่สี ื่อได้ถึง ภาพพจน ์ ดว้ ย
ถ้อยคำ� ทีเ่ ป็นสำ� นวนโวหาร ทำ� ให้นึกเห็นเป็นภาพจากถอ้ ยคาํ ทเ่ี รยี บเรยี งอย่างมีชัน้ เชงิ เป็นโวหารเชน่
“น้ำ� นง่ิ ไหลลกึ ”
“นำ้� มาปลากนิ มด น้�ำลดมดกินปลา”
“นำ้� เชยี วอย่าขวางเรอื ”
หรือ ส่ือส่งิ ที่รับรผู้ า่ นภาษาภาพใหม้ องรู้ดอู อก ดว้ ยภาพเค้าของลกั ษณะรา่ ง โครงรูปหรอื เคา้ โครง
รปู โฉมเช่น รูปรา่ ง รูปทรง หรือสณั ฐาน (ภาพที่ ๒๔) สว่ น “นามนัย” ทางจิตภาพหรอื ความคิดน้ัน ค�ำวา่
“นาม” เป็นคำ� ชนิดหน่งึ ในไวยากรณ์ส�ำหรบั ใชเ้ รยี ก คน สตั ว ์ และส่ิงของตา่ งๆ นามนยั นั้นคือส่อื สง่ิ ท่ไี ม่ใช่รปู
ไม่สามารถรบั รู้ไดด้ ้วยตา ห ู จมกู ลิ้นกาย รู้ไดเ้ ฉพาะทางจติ เทา่ นัน้ มคี วามเป็นนามธรรมและนยิ มใชค้ กู่ ับ
รูปธรรม
ในทางศิลปะออกแบบ การถอดและแปลความคดิ ทางนามธรรมแบบไรร้ ูป ทม่ี ีคุณคา่ แฝงซอ่ นอย ู่ ไม่วา่
จะเปน็ นามนัยย้อนแย้ง เสียดส ี ล้วนต้องอาศัยการถอดรือ้ ผา่ นนัยแฝงอนั เปน็ แกนในทมี่ ีคณุ ค่า มคี วามส�ำคญั
สงู ยิ่งกวา่ นัยทางตรงซ่ึงเปรียบได้กับเปลือกนอกของรปู เท่าน้นั

42 วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบขั้นสงู

ภาพท่ ี ๒๓ ตัวอย่างลายเส้นชุดบนแสดงรปู นยั แบบรูปธรรม ใหร้ ับรู้ไดข้ องภาษาภาพจากสอ่ื สิง่ ตา่ งๆ
ลายเสน้ ชุดลา่ งแสดงนามนยั ในแบบนามธรรม ใหร้ สู้ กึ ไดถ้ งึ ความหมายแฝงของสุนทรยี ด้วยจิตใจ
“รูปนามนัย” คือ ความเป็นรปู ธรรมและนามธรรมของลกั ษณะท่เี ป็นไปเองอย่างนน้ั ทางความคดิ ทาง
จติ ภาพ และสะทอ้ นออกมาให้เป็นภาพหรือรูปแทนสือ่ สิ่งตา่ งๆ สามารถรับรูแ้ ละสัมผัสไดท้ างศลิ ปะออกแบบ
แสดงให้เห็นถึงรปู ลกั ษณะทางโครงสร้างของวสั ด ุ วัตถ ุ รับรู้ได้ถงึ เทคนคิ วธิ กี ารในการประกอบสร้างออกมาเปน็
อาคาร บ้านเรอื น ผลติ ภัณฑง์ านศลิ ปะ อย่างเปน็ รปู ธรรมเป็นตน้ หรือนามความเป็นนามธรรมจะสะทอ้ นผ่าน
ความนัยของความหมาย เรอ่ื งนามธรรม เน้ือเรือ่ ง ความมงุ่ หมายเปา้ หมายเพอื่ แสดงสง่ิ ท่ไี มใ่ ช่รูป “ไรร้ ูป” คือ
จติ ใจถงึ ความคดิ ความรสู้ กึ สุข ทุกข์ ในสือ่ สิง่ ทีจ่ ิตชอบและใจรูส้ กึ อันเปน็ ความจำ� เป็นทางจติ ใจภายใน และ
เหตผุ ลทางจติ ใจเปน็ ประการสำ� คัญ (ภาพท ี่ ๒๓)

วธิ ีคดิ ทางศิลปะออกแบบขั้นสูง 43

ภาพท ี่ ๒๔ การประกอบรปู ทรงโครงสรา้ งทางศิลปะดว้ ยวธิ ีการต่าง ๆ เพื่อสะทอ้ นถงึ ความคิดและ
ความหมายใหม่ผ่านรปู และนาม เชน่ ๑.การเข้าแทรก ๒.การเสยี บ ๓.การบดิ ๔.การซ้อนและ
การประกอบสร้างอื่นๆ เช่น การตอ่ ก การเช่ือตอ่ ข การซอ้ น ค และการผสมผสาน ง
ภาพท ่ี ๒๕ สวนญีป่ ุ่นใช้องคป์ ระกอบพ้ืนฐานทีม่ อี ยู่ในธรรมชาต ิ เปน็ ความคิดนามธรรมแบบตะวนั ออกของ เซน
สร้างรูปนามนยั ผา่ นวัสดุธรรมชาต ิ ด้วยการปรงุ แตง่ อย่างเรียบง่าย จนเกิดเปน็ รูปทรงและเรื่องที่สะท้อน
ใหเ้ หน็ ถึงปรชั ญาเซนที่ลกึ ซ้งึ ผ่านรูปนามนัยดงั กล่าวเชน่ หิน น�ำ้ ตน้ ไม้ อยา่ งมคี วามหมายไมม่ ีทีส่ น้ิ สดุ

44 วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขน้ั สงู

“รูปและนาม” ในความเกยี่ วข้องกบั ความเป็นศลิ ปวทิ ยาทางศลิ ปะออกแบบหลังสมัยใหม่นิยม จะเทยี บ
เคียงไดก้ ับ “รูป - ความหมาย” ในความเปน็ “ตวั หมาย” ของรูปและตวั หมายถงึ ของความหมาย โดยมี
ความนยั ๒ ระดบั คอื ความหมายตรง (Denotative Meaning) เน้นความหมายตรงตามตัวอักษร หรือภาพ
ถกู คน้ พบในสิ่งทีภ่ าพน้ันๆ บง่ ช ี้ (Imply) และวิธกี ารท่ีภาพทั้งหลายแสดงตัวของมนั ออกมาอย่างไร ตอ้ งอาศัย
คน้ ลงไปถงึ สง่ิ ทมี่ ันอาจแสดงนยั
ความหมายแฝง (Connotative Meaning) เป็นความหมายในเชิงภาพ หรืออปุ มาอุปไมยสะท้อน
จากประสบการณท์ างอารมณ ์ หรอื ความคิดเห็นที่ยึดถอื กันมายาวนาน ความเชอื่ ตามขนบธรรมเนยี ม มลี กั ษณะ
ตรงกนั ขา้ มกับความหมายตามตัวอักษร การบ่งชี้ตรงๆ ความหมายแฝงอาจเป็นสากล หรือจ�ำกดั เฉพาะกลุ่ม เช่น
ชนชาต ิ ชนช้นั ของสังคมหรือเปน็ ส่วนตัว โดยสองความหมายเชิงนยั ท้งั ค ู่ ลว้ นมีส่ิงบง่ ชน้ี ัยแห่งเร่ืองอันม ี
แง่ปริศนา มีเคา้ อนั สำ� คัญท่ีแฝงซ่อนเร้นอยเู่ ปน็ สารัตถะ ความพิเศษท่ีตอ้ งมกี ารวเิ คราะห ์ ถอดรอ้ื และตีความ
เพ่ือค้นหารหสั อันเป็นเงอื่ นปมของรปู และความหมาย (ตรง - แฝง) ซง่ึ เป็นและต้องท�ำเหล่านั้นใหก้ ระจา่ งก่อน
(ภาพที่ ๒๖)

ภาพท่ ี ๒๖ รูปแกะสลกั ภาพเหตุการณ์ศิลปะคันธาราฐของอนิ เดยี ไมน่ ิยมแสดงรูปพระพทุ ธเจ้าอาศยั ภาพแทน
ของต้นโพธิ์ พทุ ธบลั ลงั กเ์ ป็นเคร่อื งแสดงนยั ใหร้ บั รแู้ ละเขา้ ใจได้ (ภาพซา้ ย) เช่นเดยี วกบั สัญชีพนรก
ในภาพไตรภมู ิสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาและกรุงธนบรุ ี สะท้อนภาพรปู นยั ความนัยขุมนรกในช้นั ต่างๆ อย่างมี
ชัน้ เชงิ ความคิดผ่านภาพแทนกรอบสี่เหลีย่ มเรียงไปเปน็ ล�ำดบั แสดงเฉพาะส่วนใบหนา้ ผ้ตู อ้ งโทษที่เงย
ขนึ้ มาและมีหอกดาบปักอยู่ ใหเ้ ป็นที่รบั รู้และส่อื ถึงความเปน็ สญั ชีพนรก (ภาพขวา)
ทีม่ า : สมุดภาพไตรภูมิฉบับกรงุ ศรอี ยธุ ยา ฉบบั กรงุ ธนบรุ ี เล่มท่ี ๒

วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบขั้นสูง 45

(๑) ภาพซ้อนนยั ความคิดของจติ ใจ การท�ำความเข้าใจเชงิ เหตผุ ลของความคดิ จิตภาพ มีองค์ประกอบ
ของความสมั พนั ธก์ นั ค่อนขา้ งซับซ้อน ในสมองและจิตใจของเรา โดยส่วนยอ่ ยสดุ ของเหตผุ ลในใจเรยี กว่า สงั กปั
(Apprehension) ซ่งึ มีภาพปรากฏขึ้น ๒ อย่าง ซอ้ นทับกันอยูไ่ ดแ้ ก่ ๑. มโนภาพหรือแนวความคดิ (Con-
cept) คอื ความคิดเหน็ เปน็ ภาพขึ้นในใจ เป็นความคดิ เข้าใจท่วั ไปในสอ่ื สิ่งตา่ งๆ เชน่ ถึง ภาพ คน สตั ว์
สิง่ ของ เขา้ ใจอะไร สิ่งนั้นเป็นมโนภาพหรอื แนวความคิด ๒. จินตภาพ (Image) หรือภาพลักษณเ์ ป็นภาพความ
เขา้ ใจปรากฏอยใู่ นความทรงจำ� หรือภาพเฉพาะหนว่ ยในความทรงจำ� ก่ภี าพก็ไดจ้ �ำนวนจนิ ตภาพเทา่ นัน้ เชน่
ภาพคนรกั ที่ก�ำลังคิดถงึ จนิ ตภาพ ภาพสถานท่ีท่องเท่ียวที่ชอบเป็น จินตภาพเปน็ ต้น
ข้อสงั เกตวา่ มโนภาพหรือแนวความคิดนั้น เปน็ ภาพความเข้าใจทว่ั ไปเช่น “คน” เราเขา้ ใจวา่ อะไรโดย
ไมจ่ ำ� เพาะเจาะจงวา่ เปน็ คนไหน สว่ นจินตภาพหรอื ภาพลกั ษณน์ ้ัน จะเป็นภาพเฉพาะหน่วยทป่ี รากฏในความทรง
จ�ำว่าเป็นใคร เชน่ คนรัก ในการนน้ี กั ออกแบบและศลิ ปิน อาจมีภาพความคิดขึน้ มาในจติ ใจท้ังมโนภาพและ
จินตภาพพรอ้ มกนั ไดป้ ระการสำ� คัญคนแต่ละคนจะมีจติ ภาพของภาพความคดิ ไม่เหมอื นกันเช่น คนในความหมาย
ของศิลปินและคนในความหมายของนักออกแบบท่ีเขากำ� ลงั คิดถึงเปน็ ตน้

ภาพที ่ ๒๗ แสดงการแตกตวั ของแผนภาพ ตามความคิดจิตภาพของลักษณะทวั่ ไป คือ มโนภาพ และ
ลักษณะเฉพาะ มคี วามเจาะจงคอื จินตภาพออกเป็นหน่วยย่อยๆ บางหน่วยยอ่ ยถ้ารวมภาพความคิด
ระหว่างมโนภาพและจินตภาพรว่ มกนั ไดจ้ ะกอ่ ให้เกิดรปู ความหมายใหมป่ รากฏ เช่น มโนภาพ สัตวน์ ้�ำ
กบั จินตภาพของสัตวห์ นิ พานตจ์ ะไดแ้ บบหน้าตาของสัตวผ์ สมพนั ธใ์ุ หมก่ อ่ กำ� เนิดข้ึน

46 วธิ คี ิดทางศิลปะออกแบบข้นั สูง

เนอ่ื งจากวา่ ศลิ ปินนักออกแบบเปน็ ผมู้ คี วามอยากรอู้ ยากเห็นและกระหายใครเ่ รียนรู้อนั เปน็ นิสัยประจำ� ตัว
และจะไม่ยอมรบั ของรปู ความหมายจากมโนภาพและจนิ ตภาพ ในรปู ความใดความหนึง่ โดยทันท ี หากตอ้ งนำ� รปู
ความนัยท้งั ๒ มาคิดพจิ ารณาเปรยี บเทียบกันดวู า่ ท้ัง ๒ หน่วยเขา้ กันได้ดเี หมาะสมหรอื ไม่ และถ้าจติ ชอบและใจ
รู้สกึ และเหน็ วา่ หนว่ ยย่อย ๑ หนว่ ยยอ่ ยใด มีส่วนเหมอื นกนั มสี ่งิ ใดเป็นตวั รว่ มแต่ละครั้ง จติ ใจก็จะดำ� เนนิ การ
ต่อไปทันท ี เพื่อแสวงหารปู ความนยั ใหมๆ่ ให้ปรากฏขน้ึ ทางความคิด

ตารางท่ี ๓ แสดงฐานันดรทางภาษาไทยภาคกลาง

เมอื่ มกี ารคิดตัดสนิ ใจเลอื กหนว่ ยย่อยทีเ่ ขา้ กนั ได้ ระหว่างมโนภาพหรือแนวความคิดกบั จนิ ตภาพหรอื
ภาพลกั ษณอ์ ย่างใดอยา่ งหนง่ึ ของสงั กัป ก็จะกอ่ ให้เกดิ รปู ความหมายลกั ษณะหนึ่งลักษณะใดของความน่าจะเป็น
หรอื เป็นไปได้ใหม่ของนยั ขา้ งต้นบงั เกดิ ข้ึนวา่ ควรจะเป็นอะไรและเปน็ อยา่ งไร เชน่ ความเป็นบา้ นสากลทว่ั ไปสู่
บ้านคนตายของสุสาน พีระมดิ หรอื จากสตั วน์ ้�ำส ู่ สัตว์หมิ พานตเ์ ปน็ ต้น (ภาพที่ ๒๗) ดว้ ยการตดั สินและการ
อา้ งเหตผุ ล (Argument) ด้วยถ้อยค�ำ ประโยค วล ี หรือใช้เหตผุ ลตามกฎไวยากรณข์ องแตล่ ะภาษา เชน่
ภาษาภาพ ภาษาเสยี ง ดว้ ยการออกแบบภาพให้มองรกู้ ารเล่นดนตรีใหฟ้ งั ออก ตามขอ้ สรปุ ท่ีมอี ยูใ่ นจิตใจ
(ภาพที่ ๒๘)
เนื่องจากวา่ ภาษาทุกภาษา มีกฎไวยากรณข์ องตนควบคุม และมกี ารน�ำไวยากรณ์ไปใชแ้ ตกต่างกนั ไป
ตามระเบยี บของภาษานัน้ ๆ และถึงแม้จะใชใ้ นภาษาเดียวกนั เช่นภาษาหนังสอื ของไทยเรา กจ็ ะมีถ้อยคำ� ความ
หมาย ทไ่ี มส่ ามารถก�ำหนดให้ตายตวั ลงไปไดย้ าก มีความแตกต่างกนั ไปตามสงั คมวัฒนธรรมและเงอ่ื นไขของ
โลกใบใหม่ (ตารางที่ ๓) ในกรณีของภาษาทางศิลปะออกแบบเอง การนำ� เพียงมลู ธาตุ (Element) หลักการ
(Principle) มาส่อื สารภาษาเพยี งภาคสว่ นเดยี วเพอ่ื ใหเ้ ข้าใจ เขา้ ถึงรปู ความหมายอนั มคี วามเป็นนามธรรมโดยรวม
เป็นเร่อื งและวธิ ีการท่ียากยง่ิ และหากตอ้ งสอื่ สารใหค้ นทว่ั ไป ได้เข้าใจถึงความรู ้ ความจริง คุณค่าทางสนุ ทรีย
ต่างๆ อย่างถึงแก่นดว้ ยแล้ว การใช้ภาษาภาพหรอื ภาษาศลิ ปะและไวยากรณศ์ ิลป์ดว้ ยตวั มันเองจงึ เปน็ เรือ่ งทีย่ าก
นอกจากพวกใชจ้ ะภาษาศิลปะเฉพาะกลุม่ เดยี วกนั

วิธีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบขนั้ สงู 47

ภาพท่ี ๒๘ แสดงความเป็นไปไดข้ องมโนภาพ (Concept) ด้านซา้ ยและจินตภาพ (Image) ดา้ นขวา
ในการคิดถงึ ลักษณะทั่วไปของสอ่ื สงิ่ และการคิดถึงลกั ษณะเฉพาะจนน�ำไปสู่การคัดเลือกภาพความคิด
ท่ีมีลักษณะรว่ ม และลกั ษณะเขา้ รูปและเร่ืองเดียวกันของสองหนว่ ย เปน็ ภาพความคิดใหม่บังเกดิ ข้ึน

48 วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สงู

ทางออกของปัญหาน้คี อื การหยบิ ยืมภาษาหนังสอื ภาษาเขียน ภาษาพดู ของภาษาใดภาษาหนึ่ง เช่น
ภาษาไทย น�ำมาใช้ถา่ ยทอดความคดิ แปลความถอดความคดิ จากภาษาศิลปะหรอื ภาษาภาพ ออกมาตรงๆ
ตามทมี่ อี ยู่ในใจและตามแนวทางทอ่ี อกแบบไว้ ดว้ ยการจดั ระเบยี บและล�ำดบั ก่อนหลงั ของการสร้างสรรค์ศิลปะ
หรือออกแบบสื่อสิ่งตา่ งๆ ใหม้ คี วามต่อเนื่องกนั ไป (Consistency) ในแต่ละบทตอนและใช้ภาษาหนังสอื ให ้
สละสลวยมคี วามเข้าใจง่ายเป็นตวั ส่อื
๒.๑.๓ การจดั ระเบียบภาษาความคิดและเหตผุ ล เนอื่ งจากภาษาเปน็ เครือ่ งมือในการสอ่ื สาร
ความรู ้ ความคดิ และความร้สู กึ ระหว่างกลุม่ ผใู้ ชภ้ าษากลุ่มเดยี วกนั ความรูส้ ึกนกึ คดิ เหลา่ นเ้ี ปน็ สอ่ื ส่ิงที่เกดิ ควบคู่
กับมนษุ ยม์ าโดยตลอด เริม่ ตง้ั แต่มนุษยย์ งั ไมม่ ีภาษาหนังสือใช ้ อาศัยอวัยวะของรา่ งกายเชน่ มือ หนา้ ตา และ
สญั ญาณสื่อภาษาความหมายตา่ งๆนาๆ จนกา้ วไปสกู่ ารใช้ภาษาภาพ Holographic ในยุคต้นประวัติศาสตรแ์ ละ
การคดิ ภาษาหนังสือและอกั ษรตา่ งๆ ตามมา เรอ่ื งของภาษาความคิดนั้น มที ง้ั ที่เป็น “วจั นภาษา” คอื ภาษาถอ้ ยคำ�
ในการสื่อความหมายส่อื ผ่านเสยี ง ภาษาพูด และผา่ นตวั อักษรภาษาเสยี ง กับ “อวจั นภาษา” คือ ภาษาทไี่ ม่ใช่
ถ้อยคำ� สื่อความหมาย แตผ่ า่ นส่อื ส่ิงตา่ งๆ เชน่ สญั ญาณธง ไฟ สหี นา้ ท่าทางเปน็ ตน้ (ตารางท่ี ๔)

ตารางที่ ๔ แสดงภาพสื่อสารแบบอวัจนภาษา

การใชภ้ าษาเพ่ือสอื่ ความคดิ ถา่ ยทอดความคิดของผสู้ ง่ สารคือศิลปินนกั ออกแบบ ต้องอาศัยทักษะสี่ดา้ น
คือ การฟงั การพดู การอา่ น และการเขียน เปน็ สะพานเช่ือมตอ่ ให้เกิดความร้ ู และความเขา้ ใจของผูร้ ับสาร
ถ้าหากมกี ารร้อยเรยี งจัดระเบยี บของความคดิ ผา่ นภาษาไดเ้ หมาะสมกจ็ ะสง่ ผลกระทบต่อผู้รบั สาร ในการรบั ร้สู กึ
ไดด้ ้วย โดยแสดงออกดว้ ยอาการหัวเราะ ดใี จ รอ้ งไห้ โกรธ มคี วามสขุ เปน็ ตน้

วธิ ีคดิ ทางศิลปะออกแบบข้นั สงู 49

ดงั น้นั เมอื่ การคิดเปน็ เร่ืองของการใชส้ มอง จติ ใจเปน็ เร่อื งของจิตชอบและใจรสู้ ึกมลี ักษณะเฉพาะของการ
เปน็ มนษุ ย์ และมรี ูปแบบกระบวนการคดิ ท่ีซบั ซ้อน โดยผ้คู ิดจะต้องมสี ตแิ ละรู้ตัวอยเู่ สมอ ระหว่างการคิดว่า
ตนเองมีวตั ถุประสงค์ มเี ปา้ หมาย หรือแนวความคิด คืออะไร
กระบวนการของเหตผุ ล คอื การมองหาเง่อื นไขของสอื่ สิ่งท้ังปวงที่ถูกก�ำหนดเง่อื นไข (Condition of
Condition) “สว่ นการใช้เหตุผล” คือการคน้ หาเงอ่ื นไขทง้ั ปวงทีม่ ตี ่อสอื่ สงิ่ เช่น โลก วญิ ญาณ ชวี ิต ศลิ ปะ
ในโลกของความเป็นไปไดท้ ่ถี ูกกำ� หนดเงื่อนไขข้ึน เชน่ เง่อื นไขของนายสทุ ธิ คือความเปน็ มนษุ ยแ์ ละในหลัก
วฏั จกั ร อันเปน็ สจั ธรรมทางพทุ ธศาสนา ได้ระบุความเปน็ มนษุ ย์ไวแ้ ล้ว ดังน้นั นายสทุ ธิเป็นมนุษย์จงึ ถกู กำ� หนด
เง่อื นไขดว้ ยความตาย อนั เปน็ ธรรมดา
เรอ่ื งของเหตผุ ลจึงอยูใ่ นสมองทคี่ ิด โดยการแสดงออกผา่ นเคร่ืองหมาย (Signs) หรือรูปความหมายที่
สามารถรบั รู้ได้ระหวา่ งกันเช่น ภาษาต่างๆ ซงึ่ การใช้ภาษาหนังสอื ภาษาเขียนให้มีพลังและมีเหตุผลยอมรับได้น้ัน
จะตอ้ งอาศัยการจัดระเบียบความคดิ เช่น ระหว่าง Concept เปน็ ความเข้าใจลักษณะทวั่ ไปสากล กับ Image
เป็นความเข้าใจภาพจำ� เพาะอยู่ในความทรงจ�ำ มลี ักษณะเฉพาะหนว่ ยวา่ อะไรคอื ลักษณะร่วม หรือลกั ษณะเฉพาะ
ของหน่วยทัง้ สองที่มีความเกี่ยวข้อง เช่อื มโยงกนั ใหเ้ กดิ รูปความคดิ ใหม่ๆ แปลกๆ

ภาพที่ ๒๙ สงั สารวัฏหรอื วัฏจักรแหง่ สัจธรรม
ของมนุษย์ ไมม่ ีใครสามารถหลีกหนพี น้
ในเบอ้ื งปลาย คอื ไปไม่กลบั หลับไมต่ ืน่
ฟื้นไมม่ ี และหนไี มพ่ ้น
ความคดิ เห็น (Opinion) ตวั แปรจิตวทิ ยาท่รี าชบัณฑิตยสถานให้คำ� นิยามว่า หมายถึง ทรรศนะทีเ่ ห็นว่า
เป็นจริงจากการใชป้ ัญญา (เชาว์ปญั ญา) ความคิดประกอบ ถงึ แมว้ า่ จะไม่ไดอ้ าศัยหลักฐานพสิ จู นย์ นื ยันได้เสมอไป
การดูถงึ ความสมเหตสุ มผลของการบรรยาย พรรณนา อธิบายอย่างสอดคล้องกนั เพ่อื ให้เข้าใจความคิดและ
การสร้างสรรค์ทางศลิ ปะใหก้ ระจ่างมีความน่าเช่ือถอื ก็เปน็ การใชเ้ หตผุ ลเร่อื งส�ำคญั ของมนษุ ย์ ชว่ ยให้การใช้
ความคดิ อยา่ งมีสำ� นกึ ร ู้ สามารถคดิ เชื่อมโยงจากความคิดหน่ึงภาพหนง่ึ กับอกี ความคดิ หนง่ึ ภาพหนึ่งได ้ และ
สามารถหาข้ออา้ งเพื่อสนับสนุนความคดิ ความเชือ่ ของตน โดยสามารถจ�ำแนกแยกแยะวา่ อะไรทีส่ นุ ทรยี อะไรที่
อสุนทรยี อะไรถูกอะไรผิด การรู้จกั หลักการใช้เหตุผลอย่างถกู ต้องมผี ลให้การประเมนิ ตดั สินผดิ พลาดได้นอ้ ยที่สดุ

50 วธิ คี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้นั สูง

“การสร้างเหตุผล” เพอื่ ชว่ ยใหค้ �ำบรรยาย การอธิบาย และการวิเคราะห์สังเคราะห์ ได้การยอมรับมาก
ขน้ึ มีความน่าเชอื่ ถือดีขน้ึ นั้น เร่อื งของการอ้างเหตุผล จึงเป็นเครื่องมือสำ� คญั โดยมีวธิ ีหลักดงั นี้
(๑) การอ้างเหตุผลแบบนิรนัย (Deductive Reasoning) การอ้างเหตผุ ลด้วยการใชเ้ หตผุ ลจากการ
อาศยั ส่งิ ทีย่ อมรบั ว่าเป็นจริง เช่น ทฤษฎี กฎ คำ� สอน นยิ าม มาเป็นเหตุและสนับสนนุ อีก ส่ิงหนง่ึ เพอื่ นำ� ไปสู่
ข้อสรปุ ว่า ส่ิงนน้ั จริงหรอื ไม่ โดยหาขอ้ พิสูจน์อนื่ มาโต้แย้ง หรอื หาเหตผุ ลหักร้าง ถ้า “ขอ้ อา้ งเริม่ ต้นผิด” ผล
หรือขอ้ พสิ ูจนก์ ผ็ ิดตามไปด้วย

ตวั อยา่ ง :

ค่าความจริงมอี ยูว่ ่า คนทุกคนต้องตายตามหลกั วฏั จักรทางพุทธศาสนา นาย ก เป็นคน
(นีค่ ือการอา้ งเหตุผล) ดังน้นั นาย ก ต้องตาย (ข้อสรุป) การอ้างเหตุผลและการสรุป เป็นกลวิธี
ทางความคิดแบบแนวคิด (Concept) ในเรอ่ื งข้างตน้ มี ๓ แนวคดิ ประสานกนั อยู่ คือ
๑. นาย ก เป็นคน
๒. เพราะทุกคนตอ้ งตาย
๓. นาย ก จึงต้องตาย

(๒) การใช้เหตุผลแบบอปุ นยั (Inductive Reasoning) การใชเ้ หตุผลจากข้อสงั เกตเฉพาะเจาะจง
เป็นรายกรณ ี หรอื ผลทไี่ ดจ้ ากการทดลอง และการสุม่ ถูกหลักเกณฑ์ จนแบ่งตวั แทนประชากรไดจ้ ากหลายๆ คร้งั
ดว้ ยตัวอย่างมากเพียงพอถูกหลักทางสถิต ิ แล้วนำ� มาสรุปเปน็ ความรู้หลักการแบบทวั่ ไป และมีการสรปุ แบบ
“ความนา่ จะเปน็ ” ความสมเหตผุ ลแบบอปุ นัย อาศยั การทดลองซำ�้ ๆ หลายๆ ครง้ั และพิจารณาปัจจยั อื่น
คณุ สมบตั ทิ แ่ี ตกต่างกนั ผลการทดลอง หรือมปี ระสบการณ์ที่มากพอที่จะปักใจเชอื่ ได้ แตไ่ มส่ ามารถแน่ใจใน
ผลสรปุ เตม็ ท่ีในการอนมุ าน เราจึงไมส่ ามารถสรุปวา่ ท้ังหมดเป็นเช่นนัน้ ได้
วธิ อี ปุ นัยทางศลิ ปะออกแบบ คือการอา้ งเหตุผลหรอื การหาข้อสรปุ ทีเ่ ร่มิ ต้นดว้ ยความรู้ทไี่ ดม้ าจาก
การสังเกตปรากฏการณจ์ ากการปฏิบัติ การกระทำ� (Action) และการสะทอ้ น (Reflection) ออกมาแบบ
จำ� เพาะเจาะจงเพียงจำ� นวนหนึง่ แล้วนำ� ไปสขู่ ้อสรุปท่เี ป็นหลักเกณฑท์ ่ัวไป ส่วนวา่ ขอ้ สรปุ จะเป็นอย่างไรจะ
ข้ึนอย่กู ับความรู้หรือ ข้อสังเกตทไี่ ด้จากกรณศี ึกษาทถ่ี กู สงั เกตเหลา่ น้ี ผลท่ีได้จากวธิ ีการข้างตน้ จะทำ� ให้เกดิ ผล
ของความนา่ จะเป็นอยา่ งหนงึ่ อย่างใด ตามการปฏิบตั กิ ารกระท�ำนัน้ ๆ และถอื เป็นสมมติฐานลักษณะหนง่ึ ที ่
น่าจะเปน็ ทัง้ น ้ี หากมกี ารทำ� การทดลอง การทดสอบตอ่ ไปเร่อื ยๆ ในวธิ กี ารข้างต้น ย่งิ ทดสอบมากย่งิ ไดผ้ ล
มากกว่าเดมิ และมีความน่าจะเป็นมากขน้ึ ด้วย

วธิ ีคิดทางศลิ ปะออกแบบขัน้ สูง 51

ตวั อย่าง :

“การบกุ เบกิ การรับรูเ้ รียนร้ผู า่ นการวาดเสน้ พหุคณู อย่างมกี ารตระหนกั รู้ในจำ� นวนมาก
มหาศาลหลายพันภาพแบบซ้�ำไปซ�ำ้ มา มลี กั ษณะหลายแบบ หลายวิธีการวาดเสน้ แบบมนี ัยส�ำคญั
และวัตถุประสงค์เป็นเป้าหมาย จะสามารถสร้างประสบการณจ์ ากการวาดเสน้ จากการกระท�ำ
(Action) และไดส้ าระเชิงนัยท่ีสะท้อน (Reflection) ผ่านการปฏบิ ตั ิภาพแล้วภาพเลา่ ในแงม่ มุ
การรับรูแ้ ละเรียนรู้ตา่ งๆ กนั ไป จนสามารถน�ำมาวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะหผ์ ลกึ ความคิดทไี่ ดจ้ าก
การกระทำ� นน้ั ๆ และกอ่ ใหเ้ กิดความรู้ ข้อค้นพบทีเ่ ปน็ ไปไดจ้ ากการวาดเสน้ พหุคณู นน้ั ต่อมา ไดแ้ ก ่
แบบอยา่ งใหม ่ วธิ กี ารใหม ่ กระบวนแบบ (Style) ใหม ่ อตั ลกั ษณ์ใหม่ในมิติใหมข่ องการวาดเส้น
เปน็ ตน้

การอ้างเหตผุ ลให้มมี าตรฐานจนเปน็ ทยี่ อมรบั ได้ทางวิชาการนัน้ ตอ้ งอาศยั เกณฑ์เปน็ เคร่อื งมอื น�ำทาง ดงั น้ี
ขอ้ แรก : แจม่ แจ้ง (Clarity) หมายถึง ประโยคตามความทเ่ี ขยี นแสดงให้เห็นถงึ แนวการเขยี นอย่าง
เหมาะสม ชดั เจน ไม่คลมุ เครือ ไม่เลอื่ นลอย
ข้อที่ ๒ : แน่นอนแมน่ ย�ำ (Accuracy) หมายถึง ประโยคตามความที่เขยี นเป็นความจริง ตรวจสอบได้
มเี หตผุ ลอยา่ งเหมาะสม
ข้อที่ ๓ : กระชบั พอดี (Precision) หมายถึง มีรายละเอยี ดพอดีในการอธบิ ายความหมาย สามารถ
ระบุได้เฉพาะเจาะจงมาก ใหค้ วามกระจา่ งชัดมาก
ขอ้ ที่ ๔ : ตรงประเด็น (Relevance) หมายถึง ประโยคตามความท่เี ขียนเกี่ยวขอ้ งกบั ประเด็นออกมา
จากเน้ือเรอ่ื ง
ขอ้ ที่ ๕ : ลุ่มลกึ (Depth) หมายถงึ ประโยคตามความทีเ่ ขียน มเี งื่อนไขโดยเหตุผลและหลกั ฐาน
แสดงสาระจากเน้อื งาน
ขอ้ ท่ี ๖ : โจง่ แจง้ (Breadth) หมายถงึ ประเดน็ จากประโยคและความที่เขียน ได้รับการรบั รองในทกุ
แนวทาง จดั เตรยี มอย่างมดี ลุ ยภาพ การใช้เหตุผลมคี วามแจม่ ชัด ชดั เจน ความละเอยี ดลออกระชบั ตรงประเด็น
และมคี วามลมุ่ ลึก
ขอ้ ที่ ๗ : ชแี้ จงเหตุผลดว้ ยตรรกะ (Logic Reason) หมายถงึ ประโยคตามความท่ีเขยี น เขียนจากสติ
อย่างแทจ้ รงิ สงิ่ เหล่านเี้ ขยี นมาจากสงิ่ ทีก่ ล่าวอ้างไว้กอ่ นหน้าน้มี คี วามสมำ�่ เสมออยกู่ บั รอ่ งกับรอย ไมเ่ ปลี่ยนแปลง
ไมท่ �ำใหเ้ กิดส่ิงท่แี ยง้ กนั ในประโยคและความแตก่ อ่ น

52 วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขน้ั สูง

๒.๒ การไต่ระดับความคดิ
หมายถงึ การใช้ความคดิ จติ ภาพ มรี ะดบั ท่ีสูงขน้ึ กว่าทั่วไป แสดงถึงการไตร่ ะดับขนึ้ ไปของความรู้ทาง
ศิลปะออกแบบท่สี งู กวา่ ปกตติ ามความคิดเดมิ หรือกอ่ นหน้าน้นั ทใ่ี ชก้ ันอยแู่ บบซำ�้ ซากแบบจำ� เจหรอื แบบสูตรส�ำเร็จ
การไต่ระดบั ความคดิ จะช่วยให้เกิดการเปลย่ี นแปลงสื่อส่ิง และนวัตกรรมใหก้ ้าวขา้ มความคิดจากวงั วนความคิด
เดมิ ๆ ใหส้ ามารถต่อยอดพฒั นาจน เกดิ ความเจริญกา้ วหนา้ ในท้ายท่สี ดุ
การไตร่ ะดบั นัน้ ตอ้ งใช้ความนึกคดิ คิดเหน็ ต่างไปจากความคดิ และเหตุผลปกติ ในชวี ติ ประจำ� วัน และ
แสดงใหเ้ ห็นถึงสาระของผลจากความคิด ทไ่ี ด้มีระดบั ความคิดทส่ี งู ข้ึนกว่าเดิม ดว้ ยสือ่ สิง่ ความนัยสำ� คญั เป็น
เครื่องบ่งช้ีใหร้ บั รแู้ ละเข้าใจไดเ้ ชน่ คดิ ท�ำความสะอาดบ้าน การทำ� สวนปลูกต้นไม ้ อนั เปน็ ภารกิจท่ัวไปในชีวิต
จนกา้ วไปสู่คิดทำ� โต๊ะเกา้ อ้ี ปลูกโรงเรอื น และพฒั นาไปถงึ คดิ สรา้ งสรรค์ศลิ ปะออกแบบดว้ ยผลงานทางทศั นศิลป ์
(Visual Arts) หรือผลงานออกแบบผลติ ภัณฑ์ทางวัฒนธรรม (Cultural Product Design) เพอ่ื เปน็ สนิ ค้าส่งออก
เป็นตน้ (ภาพท ่ี ๓๐)

ภาพท ่ี ๓๐ แสดงระดับของค�ำกริ ยิ าเกยี่ วขอ้ งกับการท�ำ การสรา้ งและผลการท�ำ การสรา้ งเกย่ี วเนือ่ งจากการคดิ
ความคิด แต่ละสง่ิ จากระดับทวั่ ไปจนถึงระดับทส่ี งู ขนึ้

วิธีคดิ ทางศิลปะออกแบบขนั้ สงู 53

ถอ้ ยคำ� (Word) คำ� สำ� คัญ (Keyword) หลายคำ� ทางภาษาหนงั สือตา่ งม ี ระดบั ของความนัยท่สี ามารถ
สอ่ื ความคิดความรแู้ ละความร้สู ึกผ่านคำ� ศัพทต์ ่างๆเหลา่ นนั้ จนมผี ู้เคยกลา่ วไวว้ า่ “ภาษาคืออารมณ์ของความคดิ ”
ดงั น้ันการรจู้ ักเลือกถอ้ ยคำ� ค�ำสำ� คัญ หรอื คำ� กญุ แจหลกั เพ่อื นำ� ไปใช้เขยี นหรอื ไขไปสปู่ รศิ นาความนยั ทดี่ ี มี
ความหมายแฝง หรือซ่อนอยทู่ างความคิด จะเปน็ หนทางนำ� ไปสู่การไตร่ ะดับความคิดให้สูงขน้ึ ได้ ขอใหพ้ จิ ารณา
ถึงชดุ ของค�ำในภาพที่ ๓๑

ภาพท่ี ๓๑ แสดงชดุ ของคำ� ถอ้ ยค�ำในความนยั มีการไตร่ ะดบั ทางความคิดท่สี ูงขึน้ ในการนำ� ไปใช้เพือ่ การส่อื สาร
ความรู ้ ความคิด ความสามารถและค่าสนุ ทรยี ผา่ นคำ� ต่างๆ นั้นตั้งแต ่ ก – จ

54 วิธคี ิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สูง

แนวคิดทฤษฎขี องเบจจามิน เอส บลมู (Benjamin S Bloom) ของการเรียนร้ใู นศตวรรษที่ ๒๑ ต่าง
ลว้ นแสดงใหเ้ ห็นและคำ� นงึ ถึงการพฒั นาการเรียนรู้ของนกั เรยี น และนักศกึ ษาในศตวรรษใหม ่ ให้ความสำ� คญั กับ
ถอ้ ยสำ� คัญหลักในการเรียนร ู้ เริ่มตน้ ต้ังแต่การสอนใหเ้ กิดเรอ่ื งของ “ความจำ� ” เป็นพื้นฐานเบ้ืองตน้ และค่อยๆ
ให้พวกเขาเกดิ “ความเข้าใจ” ทีส่ ูงขน้ึ เพื่อสามารถมีหลักคดิ เรยี นรอู้ ย่างมีวจิ ารณญาณ รู้เข้าใจสือ่ สิ่งตา่ งๆ ดว้ ย
ความคิดของตนเอง ไมต่ ้องใหใ้ ครมาคอยบอกคอยสอน ซ่งึ เม่ือไต่ถึงระดบั การเรยี นรู้ผา่ นความเข้าใจขึ้นไปแล้ว

ภาพที่ ๓๒ การเรียนรูใ้ นศตวรรษที่ ๒๑ ของ Bloom’s Taxonomy แสดงด้านพุทธพิสยั (Cognitive Domain)
ผา่ นภาพสามเหลี่ยมและระดับของคำ� และถ้อยคำ� จากดา้ นล่างสุดของค�ำว่า “ความจำ� ” และค่อยๆ
ไต่ระดับของค�ำขึน้ ไปจนถงึ ยอดสุดของสามเหลีย่ มของค�ำวา่ “การสร้างสรรค”์
เช่นเดียวกบั ด้านทกั ษะพิสยั จะน�ำไปสูย่ อดของ “การปฏิบตั ิดว้ ยความเป็นธรรมชาติ” และการสรา้ ง
นวัตกรรมในอนาคตของโลกใบใหม ่ อยา่ งถ่องแทด้ ้วยตนเองไปได้ ประสบการณ์ความเข้าใจเหล่าน ี้ จะช่วยให้
สามารถนำ� ความจำ� จากความรไู้ ปส่กู ารประยุกตส์ ิง่ ตา่ งๆ ใหเ้ กิดประโยชน์เป็นผลติ ภัณฑ์ทางศลิ ปวฒั นธรรม
นวัตกรรมวัฒนธรรม หรอื นวตั ศิลป ์ (Innovation Art) โดยมีคำ� สำ� คัญสดุ ยอด คือ “การสรา้ งสรรค์” ในการ
Renovate Reconstruction หรอื Reuse ประยกุ ต์และพัฒนาใหง้ านศลิ ปะออกแบบ มีรปู ลักษณะวิธีการ
ของความคิดแบบแปลกใหม่อยเู่ สมอ
๒.๒.๑ การไต่ระดบั ความคิดทางศิลปะออกแบบ เนือ่ งจากปัจจยั เง่ือนไข และโจทย์ของ
โลกใหมม่ ีการเคลือ่ นไหวเปลีย่ นแปลงไปอยา่ งรวดเร็ว และเคลอ่ื นไปอยา่ งเรว็ มากๆ แบบการเคลือ่ นของเสียง
ไมส่ ามารถจะหยิบจับแก่นสารอะไรกับโลกนีม้ ากนกั มีความเปน็ ไปของกระบวนทัศนค์ วามคดิ แบบยอ้ นแย้ง
เสยี ดส ี และ มีสังคมแบบสับสนอลหมา่ น ปะปนกันว่นุ วายไปหมดท้ังเรอ่ื งของความร้ ู ความจรงิ สนุ ทรยี
มีวธิ คี ิดแนวใหม ่ ต่างมีความคดิ เห็นสวนทางกับ แนวทางของการแสวงหาความร้ ู ความจริงและสนุ ทรยี ของ
สมยั ใหมน่ ยิ มเดมิ

วิธีคดิ ทางศิลปะออกแบบขัน้ สูง 55

ประกอบกบั โลกปจั จุบันคือ ยคุ สารสนเทศ (Information Aid) และการจดั การความร ู้ (Knowledge
Management) ท่ผี คู้ นสามารถเขา้ ถึงขอ้ มูลสื่อสารไดโ้ ดยง่าย และรบั รู้เรียนรู้ไดอ้ ย่างเท่าทนั เทยี มกันในทกุ
ภมู ภิ าคของโลกเชน่ การเปลย่ี นแปลง การเคลือ่ นไหวใดๆ ทางศิลปะออกแบบ เทคโนโลยแี ละหรือนวัตกรรม
ทางปญั ญาอน่ื ใด จากการประดษิ ฐ์คิดคน้ ของชาตหิ นง่ึ ชาติใดก็ตาม เมอ่ื มกี ารคน้ พบข้ึนในอีกซกี โลกหนึ่ง ความ
ล�ำ้ สมยั ของสือ่ สารสนเทศยุคปัจจุบัน ไดเ้ ป็นเครือ่ งมือใหโ้ ลกอีกซีกหนึง่ ไดร้ ับรู้ เรียนรู้ไดไ้ ปพรอ้ มกันเชน่ เดยี วกนั
ความรูจ้ ากการรบั รู้และเรยี นรจู้ ากขอ้ มูลสารสนเทศผา่ นสื่อดิจติ อล ส่อื ศลิ ปะออกแบบใหมแ่ ละหรอื ผ่าน
iPhone Tablet อ่นื ใดอยา่ งเทา่ เทียมกัน มผี ลใหศ้ ลิ ปนิ - นักออกแบบตา่ งมีข้อมลู ความรแู้ ละชุดความรู้
ส�ำเรจ็ รูปแบบใหม่แบบเหมอื นๆ กนั ดว้ ย มีเคร่ืองมือ เครอ่ื งใช้ แบบก้าวหน้า เพ่อื ใชอ้ อกแบบผา่ นโปรแกรม
และซอฟตแ์ วรต์ ่างๆ แบบคล้ายคลึงกนั มีคุณภาพและมาตรฐานของผลงานออกแบบศลิ ปะ อยู่บนระดับ
ใกลเ้ คียงกันเป็นต้น
การจะน�ำความคดิ ทางศิลปะออกแบบของเรา ใหไ้ ตร่ ะดับท่ีสงู กวา่ ชาติอน่ื หรอื คิดเปล่ียนโลกเราจะ
พง่ึ เฉพาะเคร่ืองมือเคร่ืองใช้ทางเทคโนโลยีเพยี งสว่ นเดยี วไม่ได ้ หากต้องอาศยั มนุษย ์ (ศลิ ปิน - นกั ออกแบบ)
เป็นเคร่ืองมอื ทท่ี รงพลังทางความคดิ และปญั ญาเข้ามาเป็นหลกั โดยอาศัยหลกั คิดของหวั ข้อตอ่ ไปน้ี เป็นพลงั
ขบั เคล่อื นการไต่ระดบั ทสี่ งู ข้ึน
(๑) การคิดแบบมีแนวทาง-เป้าหมาย หมายถึง การคิดถงึ ผลท่ไี ด้รบั ถึงจดุ หมายทจ่ี ะไปของการคดิ ใน
แต่ละครงั้ วา่ จะไดอ้ ะไรบ้าง มกี ารระบถุ งึ ผลท่ีไดอ้ ยา่ งชัดเจน คลา้ ยกับการปกั ธงไวเ้ ปน็ นัยเปน็ เปา้ นำ� รอ่ ง นำ� ทาง
ให้ดำ� เนินการไปตามเส้นแนวทก่ี �ำหนดไว้ ไมใ่ หอ้ อกนอกลู่นอกทาง โดยมกี ารคิดแบบมงุ่ เป้าดังนี้
(๑.๑) ความคดิ (Idea) หรือจติ ภาพเปน็ ภาพรูปที่เกดิ ข้นึ ในใจมีความเปน็ แผน คดิ เหน็ มโนคต ิ
รูปความคดิ สามารถปฏิสนธิขึน้ ในจติ ใจได้ ๒ ทาง คือ จากการรบั รู้ (Perception) และจากการเกิดขึ้นในใจ
(Conception) ตามท่กี ลา่ วไวใ้ นบทท ี่ ๑ (๑.๒.๑ และ ๑.๒.๒) แตว่ า่ เร่ืองของการรบั รู้เช่นท่วี า่ ไม่ใชค่ วามคดิ
เปน็ เพยี งการนกึ คดิ ตามอายตนะหลกั ของการรบั รหู้ นง่ึ ๆ จากการเหน็ ของรูปที่มองรู้ การรบั เสียงทฟ่ี งั ออก และ
มคี วามเปน็ รปู ธรรมเชน่ คน ตน้ ไม้ การจะเปน็ ความคิดโดยนยั น้ีได ้ คอื Conception จะเกิดข้ึนจากเม่ือเรา
นึกถึงส่ิงทรี่ บั รมู้ าแล้ว และไม่มสี ่ิงนน้ั ตรงหน้าจงึ จะเป็นความคดิ

56 วิธคี ิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สงู

ภาพท ่ี ๓๓ การคดิ ออกแบบนอกกรอบ แบบเสียดสสี ะทอ้ นถงึ ความเปน็ ไปไดใ้ หมจ่ ากการหยบิ ยืมภาพ
The Great wave of Kanagawa by Hokusai (ภาพบน) ส่กู ารคดิ ต่อการออกแบบภาพ ๓ มิติ และ
๒ มติ ิ ผสมผสานกนั ก่อเนอื้ หาแบบชวนให้คิดถึงความฉงนสนเทห่ ์

วธิ ีคิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สงู 57

“ความคดิ ” หรอื จิตภาพ คอื สิง่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในใจ (Conception) รบั รูส้ ึกนกึ คดิ ด้วยจติ ภาพทช่ี อบและ
ใจร้สู ึก ถงึ ความเป็นไปของภาพการนกึ คดิ ซ่ึงมคี วามเป็นนามธรรมท่ีเกิดจากการหย่งั รหู้ รอื หย่งั เหน็ (Intuition)
ด้วยปัญญาหรือญาณท่ีทะลลุ งไป และมลี ักษณะซบั ซ้อนมากกว่าการคิด และขอ้ คดิ แบบปกติท่ีมีลกั ษณะฉาบฉวย
คิดแบบคร่าวๆ ตืน้ ๆ และไมม่ กี ารจดั ระเบียบและตรวจสอบการคดิ ขอ้ คดิ เหลา่ น้ัน
สว่ นความคิด มคี วามแยบคายจากจติ ภาพท่ีเกดิ ขึ้น เมือ่ กอ่ ข้ึนในจติ ใจเมอื่ ใด จะรับหน้าทีน่ ำ� ความคิดน้ี
ส่งตอ่ ไป หากคิดอยา่ งรอบคอบลกึ ซ้ึง ประกอบดว้ ยเหตุผลทอี่ อกมาจะเป็น “แนวคดิ ” (Concept) และหากคดิ
ด้วยความแปลกพิเศษ ผลท่อี อกมาจะเปน็ “จนิ ตนาการ” (Imagination) โดยเป็นการคิดที่ไกลจากความเปน็ จริง
ไกลจากเหตผุ ลมีความแปลกพสิ ดาร (ภาพท ี่ ๓๓)
“ความคดิ ใหม้ องเหน็ แนวหรอื เปา้ หมาย” เปน็ ส่งิ ส�ำคัญมาก เพราะทำ� หนา้ ทีเ่ หมอื นผ้บู กุ เบกิ หรือ
ตัวสตาร์ท ทำ� ให้ใจวง่ิ เขา้ ไปหานำ� วตั ถหุ รอื สิ่งตา่ งๆมาพจิ ารณาประมวลกันเขา้ ใหเ้ กิดเป็นแนวคิด จินตนาการ
อยา่ งหน่งึ อยา่ งใด ท้งั น้ีจะบรรลุเป้าหมายเกิดแนวทางได้นน้ั จะตอ้ งไมส่ รา้ งรายละเอยี ดกับทุกสงิ่ พยายามคิด
ให้กวา้ ง รวมๆ ใหญ่ๆ เพ่ือมองใหเ้ หน็ ภาพรวมด้วยการขมวด ผสมผสาน ผนวกข้อมูลให้เป็นภาพเดยี ว คลา้ ย
การมองเห็นช้างทั้งตัวเป็นหน่วยเดียวกนั
การคดิ ด้วยวิธกี ารน ี้ จะช่วยให้เราจำ� อะไรไดง้ า่ ยขึ้น ไม่แยกความคดิ ออกเป็นส่วนๆ เป็นหน่วยเลก็
หนว่ ยนอ้ ย คลา้ ยกบั การหาภาพแทนความคิดทีส่ ลับซบั ซอ้ น และยงุ่ เหยงิ เปน็ “ภาพแทน” หรือ “ตัวแทน”
ท่สี ร้างออกมาในรปู คำ� หรือภาพ ส่วนภาพกเ็ ป็นการวาดแบบหยาบๆ พอเป็นเค้าน�ำความคดิ

ตัวอย่าง : การออกแบบภาพจากความคิด

58 วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขนั้ สูง

๑.๒ แนวความคิด คือความคดิ มีแนวปฏบิ ตั เิ ชน่ แนวคิดในการปฏิบัตสิ ร้างสรรค์ศลิ ปะหรือการ
ออกแบบ ภาพทางทศั นใ์ หม้ องเห็นได ้ แนวความคดิ จะประกอบไปด้วยความคิดหรอื จิตภาพแบบมคี วามหมายรวม
ตวั กันเขา้ อยา่ งมีเหตุผล ปกติแล้วเปน็ การคิดเชงิ เหตุผลแบบหนึง่ เชงิ เด่ยี ว (Linear Perspective) คือคดิ ไปใน
ทศิ ทางหนึง่ ทิศทางใดเท่านั้น เช่นการพัฒนาประเทศใหท้ นั สมัย คือการเปลย่ี นแปลงไปในทศิ ทางเดยี วกนั คอื
การเลียนแบบตะวนั ตกใหม้ ากทส่ี ุด เพราะมองว่าทศิ ทางข้างตน้ เป็นสากล เช่นเดยี วกบั การสรา้ งงานศิลปะ
ออกแบบให้ยดึ หลักแนวทางทฤษฎกี ารลดทอน (Reduction) ตามแบบสากลลักษณะ ใหผ้ ลงานออกมามีความ
เรียบงา่ ยงดงาม ตามหลักคิด Less is more ของ มีส ฟานเดอร์ โรท์ เป็นตน้
แนวความคดิ ความคดิ หรือภาพความคิดมแี นวในเรอื่ งเดียวกนั หรือสอดคลอ้ งกนั เก่ยี วขอ้ งกนั ของ
หลายๆ ความคดิ โดยใชจ้ ิตใจเป็นตวั กลนั่ กรอง เพ่อื น�ำสงิ่ ไม่เกย่ี วข้องออก และอาศัยตวั ร่วมทค่ี งอยูม่ าเปน็ ตัว
เช่อื มโยง ให้เกดิ ภาพความหมายอยา่ งมีระบบระเบียบ และด้วยการดงึ เฉพาะแกน่ สารของเน้อื หาทสี่ �ำคัญท่สี ดุ
มาใชส้ ร้างสรรค์
เรือ่ งของแนวความคิด อาจไมใ่ ชก่ ารคดิ เรือ่ งใหมห่ ากเป็นผลทีเ่ กิดขึ้นจากการสอบทานสือ่ ส่ิงเดิม ผลงาน
ศิลปะออกแบบเดมิ เพือ่ หาความหมายในมติ ิมุมมองใหม ่ ด้วยวิธีการการปรบั ปรงุ ใหม ่ (Renovate) การสร้าง
ทวนซำ�้ ใหม่ (Reconstruction) ให้สอดคล้องกบั บริบททางสงั คมวฒั นธรรมเพม่ิ มากข้นึ วธิ ีการขา้ งตน้ อาจมาจาก
แนวความคดิ การคดิ คน้ หาความตา่ งของค�ำ อนั เปน็ กญุ แจทม่ี อี ยเู่ ดิมให้ถึงแก่นมากข้นึ ให้เห็นถึงสื่อส่ิงไร้รปู
และมีความหมายแฝงอยู่ทีค่ นอน่ื มองข้าม จนน�ำไปส่คู วามคดิ อนั เปน็ ของแทส้ ื่อใหม่ข้ึน

ตวั อย่าง :

กรณคี วามคดิ ตา่ งของคำ� และความนยั ในหลายความหมายเดมิ เช่น “เอกลกั ษณ์ทาง
วฒั นธรรม” ของสังคมปัจจบุ ันมีวิถีและการเคล่ือนไหวเขา้ มาของผู้คนต่างวฒั นธรรมเพมิ่ มากขน้ึ
มีการตงั้ หลกั ปักฐานจนถงึ ข้นั มีสว่ นร่วมการสร้างบา้ นแปลงเมือง ใหเ้ ปล่ียนรปู ใหม่ตา่ งไปจากเดิม
ในสงั คมวฒั นธรรมเมืองใหมอ่ ยา่ งเปน็ รูปธรรม การจะยังคงใชค้ �ำว่าเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่ ู
เช่นเดิมในกาลเทศะใหม่ข้างตน้ จึงเปน็ การใช้คำ� อย่างไมเ่ หมาะสมจึงเกิดมีความคิดและการบญั ญัติ
ของคำ� ใหม่ย้อนแยง้ กบั คำ� เดิม เชน่ “อัตลกั ษณ์วฒั นธรรม” หรือ “พหุลักษณ์วัฒนธรรม” เป็นตน้
การคิดเชิงมโนทศั น์แบบมีแนวปฏบิ ตั ิไดน้ น้ั ต้องมคี วามสามารถในการประสานข้อมลู คำ� สำ� คัญ ศัพท์เซต
ท้ังหมดท่ีมอี ยู่แล้ว เกย่ี วกับเรอ่ื งใดเรอื่ งหนึง่ อย่างประสานกลมกลืนกัน เพ่อื สรา้ งแนวความคดิ หรอื ความคดิ
รวบยอดเก่ียวกับเรอ่ื งนนั้ ในแง่มุมทแี่ ปลกแตกต่างออกไป เน้นการคิดหา “แก่น” หรอื ลักษณะสำ� คญั ท่บี ่งบอก
ความเป็นแนวคดิ ของสิง่ ทรี่ ับรู้ ชว่ ยให้สามารถแยกแยะ “แกน่ ” ออกจาก “กระพ้”ี แยกแยะองคป์ ระกอบที่ไมใ่ ช่
สาระสำ� คัญของสิ่งนั้นได ้ เพ่ือหาตัวร่วมลกั ษณะร่วมอันเป็นแก่นตอ่ ไป ซง่ึ “แกน่ ”จะทำ� หนา้ ท่ีเปน็ “กรอบ”
เปน็ การท�ำความเขา้ ใจสิง่ ใหม่ท่ีเรารบั รู้ได้ อยา่ งกระจ่างเขา้ ใจงา่ ยและมคี วามชดั เจน
การรูถ้ งึ แนวคดิ จะชว่ ยให้ศิลปินนกั ออกแบบ บ่งช้ีใหเ้ ห็นแกน่ อันเป็นคุณสมบัต ิ ลกั ษณะ (ทัว่ ไป - เฉพาะ)
และตัวร่วมอนั เป็นลกั ษณะเด่นทบ่ี ่งบอกความเปน็ หมวดหมู่ของสง่ิ นนั้ สามารถใช้ตัวรว่ มในการประเมินว่าสง่ิ ใหม่
ทร่ี บั ร้เู ป็นพวกเดียวกนั หรือไม ่ แล้วจึงประสานให้เกิดความเช่อื มโยง สมั พนั ธก์ นั ของสง่ิ ใดส่งิ หน่ึง หรือหลายส่ิง
ด้วยการเปรียบเทียบเพอ่ื ถอดให้เป็นสากล (Generalization) หรอื ลักษณะเฉพาะ (Particular)

วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบขั้นสงู 59

ตัวอยา่ ง : Concept คอื อะไร + เชอ่ื มโยงกนั อยา่ งไร

ภาพท่ี ๓๔ ภาพลา่ งแสดงการไต่ระดบั ของแนวความคดิ เฉพาะเจาะจง หรือแนวคิดพิเศษจากดา้ นลา่ งของ
สามเหลยี่ มทม่ี คี วามเปน็ รูปธรรมของรูป และเรือ่ ง มเี น้ือหารายละเอยี ดมาก และไตร่ ะดบั แนวความคดิ
ย่อยๆ (Sub - concept) ข้นึ ไปสูแ่ นวความคดิ รวมหน่วยครอบคลุมหลายส่อื สิ่งจนไปส่แู นวความคดิ หลกั
(Cor - concept) มคี วามครอบคลุมหลายจ�ำพวกหลายสงิ่ เช่น แนวความคิดจติ รกรรม แนวความคดิ
ของวจิ ิตรศิลป ์ จนถงึ ปลายยอดของสามเหลย่ี มคอื แนวความคดิ ของศิลปะ มีความคิดนามธรรมหรอื
ทวั่ ไปและมแี นวความคิดสากลของสากลลักษณะ

60 วธิ คี ดิ ทางศิลปะออกแบบข้ันสงู

วิเคราะห์แกน่ แนวความคดิ จากภาพท ี่ ๓๔ ซา้ ย แสดงใหเ้ หน็ ถงึ การเคลื่อนขน้ึ ลงหรอื ไตข่ ้นึ ลงของ
แกน ๒ ขว้ั คือ บนมแี นวความคิดสากลและ มีความเปน็ นามธรรมความหมายทางสญั ลกั ษณอ์ ย่มู าก สว่ นขั้วลา่ ง
มีแนวคดิ เฉพาะเจาะจงและพเิ ศษ มีความเป็นสัญลักษณ์น้อยลงเป็นรูปธรรมมากขนึ้ การเคล่อื นข้ึนลงของ
แนวความคดิ หลัก ถ้าเคลือ่ นไตร่ ะดับขน้ึ ไปข้างบนอีกขั้วหนงึ่ ดว้ ยแนวความคิดย่อยทางศิลปะจติ รกรรม ทัศนศลิ ป์
วจิ ติ รศิลป์ และศลิ ปะ (ภาพท่ี ๓๔ ขวา) กจ็ ะมสี ว่ นใหผ้ ลงาน มีความหมายทางสญั ลักษณม์ ากขึ้นตามล�ำดบั
และครอบคลมุ คุณสมบัติความเปน็ ศลิ ปะ ไดก้ ว้างขวางหลายพวกหลายส่งิ โดยเฉพาะมีความเปน็ นามธรรมและ
สากลลกั ษณะทางศลิ ปะอยา่ งแท้จรงิ
แนวความคิดทางศิลปะออกแบบจะข้ึนอยู่กับหลกั การและวิธีการแสวงหาความคิดอะไรใหมๆ่ จาก ๒ ขว้ั
แนวความคดิ และ ๒ ขว้ั รปู ธรรมและนามธรรม ความเป็นไปไดท้ างความคิดจะขึ้นอยู่กับการเคลือ่ นหรือไต่ขึน้
ลงไปมา เพือ่ หาความพอดแี ละความลงตัวกับตนเอง ซึ่งแน่นอนว่าแตล่ ะคนมีระดบั ความคิดแนวคิดไมเ่ หมือนกนั
ดงั นั้นแกน่ ของแนวความคิดทางศลิ ปะออกแบบ โดยรูปและความนยั ตามหลกั การนี้ บง่ บอกสาระถงึ การแสวงหา
แนวความคิด แนวทางทเ่ี หมาะสมและพอดกี บั ตัวผูส้ รา้ งงาน บนหลัก ๒ ขั้วแนวความคดิ ๒ ข้วั รูปธรรมและ
นามธรรม บนแกนแนวคิดยอ่ ยๆ การเคลอ่ื นข้นึ ลงเพื่อแสวงหาแนวคิดย่อยๆ ทนี่ า่ จะเป็นทางศิลปะออกแบบ
ล้วนมีผลตอ่ ความมีความเปน็ สากลลกั ษณะทม่ี คี วามเปน็ นามธรรม และความเปน็ ลกั ษณะเฉพาะของความเปน็
รูปธรรมดว้ ย

วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบขัน้ สูง 61

ภาพที่ ๓๕ ตวั อย่างผลงานของกสุ ตาฟ คล้มิ ศิลปะประยุกต์สมัย Art Nouveau ต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐
ทสี่ ะทอ้ นพฒั นาการของแนวคิดทางศิลปะ จากลกั ษณะเฉพาะเจาะจง มีความเป็นรูปธรรมคอ่ ยลดทอน
เนื้อหาและอาศัยตัวร่วมของหนว่ ยสัญลักษณ์มากๆ ขึน้ จนมคี วามเป็นนามธรรมของแนวความคดิ
ทางศิลปะของภาษาสากล

62 วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบขั้นสูง

(๑.๒.๑) แนวความคดิ ทางศิลปะและออกแบบ (Concept of Art & Design) ในโลกใหมม่ ี
ประเดน็ แนวความคดิ เปดิ (Open Concept) ไม่มเี งื่อนไขส�ำคัญอะไร จะเป็นตัวอย่างของแนวความคดิ ได้
เพราะไมม่ ีลกั ษณะเฉพาะสำ� คญั รว่ มกัน ในงานศลิ ปะจึงต้องเปิดแนวความคิด เพือ่ การสรา้ งสรรคใ์ หมๆ่ ให้เข้ามา
รวมอยู่ในศลิ ปะได้ เชน่ สหศิลป ์ สหศาสตร ์ สหวทิ ยาการ (Multidisciplinary) Digital art and Media
New Media Art ถา้ เป็นแนวความคิดปิด (Closed Concept) งานสร้างสรรคใ์ หมท่ ่เี กิดขน้ึ อยา่ งตอ่ เน่อื งทุก
ลมหายใจเข้าออก ก็จะไม่อยใู่ นขา่ ยของศลิ ปะเพราะถกู แนวความคดิ ปดิ มันไว้
การแบง่ แนวความคิดทางศลิ ปะออกแบบ ควรแบ่งออกเป็นกลมุ่ ใหญๆ่ ตามการรับรู้ทางอายตนะ เชน่
การรับรู้ทางตาเป็นศาสตรส์ าขาทศั นศิลป์ (Visual Art) การรับรทู้ างหเู ป็นศาสตร์ทางโสตศลิ ป ์ (Audio Art)
และรวมแนวความคดิ การรับรู้ทางศลิ ปะใหเ้ ปดิ กวา้ งเข้าไว ้ กำ� หนดแนวคิดยอ่ ยๆ (Sub - Concept) ของศาสตร์
ทางศิลปะ และออกแบบก็ตามแบบเปดิ ท้ายไวว้ า่ และ “การสรา้ งสรรคอ์ ่ืนๆ” ทร่ี บั รดู้ ว้ ยการเห็น และการ
ออกแบบด้วยส่อื เทคโนโลยแี บบใหม่ๆ ทีเ่ กย่ี วข้อง เนอ่ื งจากวา่ การสร้างสรรคเ์ ป็นวิธีการพเิ ศษของมนษุ ย์ ถ้า
การสรา้ งสรรคม์ แี นวความคดิ ทีถ่ กู ปิดไว ้ และจะเปน็ การสรา้ งสรรคไ์ ดอ้ ย่างไร ถ้าเปน็ เชน่ นน้ั แนวความคิด ของ
สุนทรยี ะหรอื ความงามก็ต้องปิดไว้เชน่ เดียวกนั
มีวธิ ีการสร้างแนวความคิดทางศิลปะออกแบบได้อย่างไร” ปัญหาหนกั อกหนกั ใจของศลิ ปินหรอื นัก
ออกแบบประการหน่ึง จะมวี ธิ ีการสรา้ งแนวความคิดได้อย่างไรในเบ้อื งต้น จุดเรม่ิ สตารท์ ตรงนี้สำ� คัญมาก ศิลปะ
ศิลปนิ มอื ใหม่ นับว่ามคี วามยากอย่พู อสมควร เพราะไม่รู้ว่าจะสร้างอยา่ งไร เร่มิ จากอะไรกอ่ นหลงั และยิง่ มี
ความคาดหวงั ให้แนวความคิดของเราโดนจิต โดนใจ มพี ลงั ของแนวคดิ ในการสร้างผลกระทบ (Impact)
ตอ่ สังคมประเทศชาต ิ มีความคิดความร้ใู หม่ต่อแวดวงวิชาการดว้ ยแล้ว การสรา้ งแนวคดิ ทางศิลปะออกแบบ
ย่ิง เพ่ิมความซับซอ้ นเป็นเทา่ ตวั
การเรมิ่ ต้นที่ดีจะช่วยให้เกดิ ความสำ� เร็จได้ด้วยความคดิ อย่างมหี ลัก มีแนวทางเปน็ เกณฑ์กวา้ งๆ ไวน้ ำ� ทาง
เบ้ืองตน้ ขอใหด้ ูท่ี Model ของภาพที่ ๓๖ (สรปุ จากภาพท ี่ ๓๔) เป็นหลัก โดยแสดงความน่าจะเปน็ ของการ
สรา้ งแนวความคดิ ของความสัมพันธบ์ น ๒ เสน้ แกนตดั กนั ระหวา่ ง ๒ ขวั้ ความหมาย เส้นแกนแนวตัง้ ขวั้ บนเป็น
สากลลกั ษณะ หรอื ลกั ษณะท่ัวไปมคี วามเปน็ นามธรรม และเสน้ แกนแนวนอนขว้ั ซา้ ยเป็นแนวความคิดหลัก
(Cor - Concept) และข้วั ขวาเปน็ แนวความคิดย่อย (Sub - Concept) โดยแนวความคดิ ของเรา จะแสวงหา
หนทางถึงความนา่ จะเป็น ของรูปความและตัวร่วมระหว่างกนั ทางศิลปะออกแบบบนสองเสน้ แกนสองข้วั นก้ี ัน
ไปมาอยา่ งไมร่ จู้ บ

วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สูง 63

ภาพที่ ๓๖ แสดง Model น�ำรอ่ งในการแสวงหาและการสร้างแนวความคิดทางศลิ ปะออกแบบใหม้ ีความสัมพันธ์
เชอ่ื มโยงบน สองเสน้ แกนสองขั้วตดั กัน ค้นหารปู ความ ลักษณะ (สากล - เฉพาะ)และตวั ร่วมทเ่ี หมาะสม
กับตัวเรา ให้ดภู าพท่ ี ๓๗ ประกอบในล�ำดับต่อไป
ถ้ารสู้ ากลลักษณะ (Universal) ของเส้นแกนแนวตั้งทางศิลปะออกแบบจะช่วยให้เขา้ ใจแกนแนวความคดิ
ของศลิ ปะออกแบบได้ดวี า่ มหี ลักการ วธิ กี าร วสั ดสุ อ่ื สิง่ และปรัชญาทางความคดิ ความเชือ่ เปน็ อยา่ งไร เป็นตน้
ท้งั ยังชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจศลิ ปะลัทธเิ หนอื จริง (Surrealism) ได้ดขี น้ึ โดยรวมวา่ มีแกนแนวความคดิ เปน็ อยา่ งไรของศลิ ปนิ
ในลัทธนิ ีก้ บั ชว่ ยให้เข้าใจจิตรกรรม ซาลวาดอร์ ดาลี (Salvador Dali) ท่ีเป็นแนวความคดิ ยอ่ ยของ Surrealism
ของเสน้ แกนแนวนอนขว้ั ซ้ายไดด้ ขี ึน้ ตามล�ำดับด้วย
นอกจากนน้ั การรถู้ งึ แกน่ ความคดิ อันเป็นผลกึ ความคิดแบบใหญๆ่ กวา้ งๆ มคี วามเป็นสากลจะชว่ ยให้
เข้าใจแนวความคดิ เรอ่ื งนน้ั ในส่วนแนวความคิดย่อยๆ (Sub - Concept) ลงมาอย่างเข้าใจ ร้แู ละเข้าถงึ
ความพิเศษเฉพาะของศลิ ปะแบบน้นั

64 วธิ คี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้นั สูง

มีความเป็นไปไดว้ ่า การแสวงหาและการสร้างแนวความคดิ ทางศิลปะออกแบบ ส�ำหรบั ผเู้ ริ่มตน้ สามารถ
อาศยั หลกั จาก Model ภาพท่ี ๓๗ ได้ (มกี ารพัฒนามาจากภาพที่ ๓๖ และภาพท่ี ๓๔ ตามล�ำดับ) จะช่วย
ให้การสรา้ งแนวความคิด มที างออกบนความสัมพันธข์ องสองเสน้ แกนตัดกันสองขวั้ น้ไี ดอ้ ย่างมีแนวปฏบิ ตั ิ และ
มีหลักวชิ าทยี่ ดึ โยงกนั ใหท้ ดลองหาพื้นทีแ่ ละจดุ ยืนกับเป้าหมายของตนเองจาก Model น�ำทางนี้

ภาพที ่ ๓๗ แสดงรายละเอยี ดของสองเส้นแกน ๒ ข้ัวตัดกนั (ก) และ (ข) กับ (ค) และ (ง) ถ้าแนวความคดิ
หลักเคลือ่ นไปยงั ขว้ั แนวความคิดย่อยบนเส้นแกนแนวนอน ก็จะก่อใหเ้ กดิ แนวคดิ ย่อยๆ มากเช่นเดยี วกบั
ลักษณะเฉพาะของความเปน็ รูปธรรมบนเสน้ แกนแนวตงั้ ถา้ เคลื่อนขึ้นไปส่ขู ว้ั สากลลกั ษณะก็จะมีความ
เปน็ นามธรรมมาก มีสัญลักษณ์ของรปู ความตัวแทนของสอ่ื สง่ิ ตา่ งๆ ขอ้ สำ� คัญการเคลอ่ื นไปมาและตดั กัน
ของ ๒ เส้นแกนขา้ งต้นจะกอ่ ใหเ้ กิดรูปนยั และความนัยของภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเสน้ แกน ๒ ข้วั
ตดั กันไปมา ใหร้ ูปความคดิ และความหมายใหมข่ องจิตภาพและแนวความคิดอย่างน่าสนใจ

วธิ ีคดิ ทางศิลปะออกแบบขัน้ สงู 65

ภาพที ่ ๓๘ แสดงรายละเอยี ดของสองเสน้ แกนสองขวั้ ตัดกนั ก และ ข กับ ค และ ง ถ้าแนวความคดิ หลัก
เคลื่อนไปยงั ขวั้ แนวความคดิ ย่อยบนเส้นแกนแนวนอน ก็จะกอ่ ให้เกดิ แนวคดิ ย่อยๆ มากเชน่ เดยี วกบั
ลกั ษณะเฉพาะของความเปน็ รูปธรรมบนเส้นแกนแนวตงั้ ถา้ เคลอ่ื นขนึ้ ไปสู่ขั้วสากลลกั ษณะกจ็ ะมีความ
เป็นนามธรรมมากสญั ลักษณ์ของรปู ความ ตวั แทนของสอ่ื สิ่งตา่ งๆ ขอ้ ส�ำคัญการเคลอ่ื นไปมาและตดั กัน
ของสองเส้นแกนข้างต้น จะก่อใหเ้ กดิ รูปนัยและความนัยของภาพตา่ งๆ ท่ีเกิดข้นึ จากเสน้ แกนสองขว้ั ตดั
กันไปมา ใหร้ ูปความคดิ และความหมายใหมข่ องจิตภาพและแนวความคิดอยา่ งน่าสนใจ

66 วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้ันสูง

ภาพที่ ๓๙ แสดงภาพร่างตัวอย่างภาพร่างทัศนศิลปจ์ ากแนวความคดิ หลักแบบไทยรว่ มสมัยดว้ ยการหยบิ ยมื
ข้อมลู ทางศิลปวัฒนธรรมจากหลายภูมิภาคของไทย ไปสู่การประกอบสร้างทศั นศิลป์

วิธีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้ันสงู 67

ตัวอยา่ ง :

แนวความคิดลทั ธบิ าศกนยิ ม (Cubism) มแี รงบันดาลใจมาจากผลงานและความคิดของ
ปอล เซซาน (Paul Cezanne) ให้ความส�ำคญั กับเรอ่ื งของปรมิ าตรในสรรพสิ่งท้งั หลายมกี าร
ลดตดั ทอนส่งิ ที่ไมต่ อ้ งการและเพ่ิมเตมิ ด้วยการใช้เสน้ เรขาคณติ เน้นให้เหน็ พน้ื ระนาบทห่ี ักเห
ราวกับหนา้ ตดั ของเพชร พลกิ ผนั ไปตามสภาพของสรรพสง่ิ ท่ีวาดขน้ึ มกี ารจัดองค์ประกอบภาพ
ท้งั ที่เป็นส่วนประกอบหลกั และรอง โดยแนวความคดิ หลกั ของลัทธิบาศกนยิ มมีแนวความคิดยอ่ ย
ของศิลปินในกลมุ่ น้เี ชน่ ปกิ สั โซ ปราก ดังแผนภาพตวั อยา่ ง

68 วธิ ีคดิ ทางศิลปะออกแบบข้ันสงู

ตวั อย่าง :

ถ้าเราเข้าใจแนวความคิดหลักของการออกแบบเฟอรน์ เิ จอร์และเกา้ อ้ี เราจะออกแบบ
แนวความคดิ ย่อยของเฟอรน์ ิเจอรแ์ ละเก้าอ้ีได้อย่างถกู ต้องใช้ประโยชนไ์ ด้ดดี ว้ ยการนำ� แนวความคิด
ของนกั ออกแบบนามกระเด่อื งช่อื มสี ฟานเดอร์ โรห์ (Mies Van Der Rohe) ที่กลา่ วถึงอมตะ
วาจาในวงการออกแบบวา่ “Less is More” หรือนอ้ ยแตม่ ากดว้ ยคุณประโยชน์ของการออกแบบ
เฟอร์นเิ จอร์และเก้าอ ้ี ใหม้ กี ารใช้มลู ธาตุในสดั ส่วนแบบนอ้ ยแต่ได้ผลการใช้งานมาก ด้วยรปู แบบ
เรยี บงา่ ย มีความซับซ้อนของความคดิ การออกแบบ แฝงอยใู่ นความเรยี บงา่ ยน้นั ในผลิตภณั ฑ์
เฟอรน์ เิ จอรข์ องเขา

การสรา้ งแนวความคดิ ทางศลิ ปะออกแบบ มอี สิ ระในการสรา้ งงานมาก เนื่องจากสามารถเลอื กใชส้ ื่อวสั ด ุ
เทคนคิ วธิ ีการได้หลายชนดิ ย่ิงผสู้ ร้างหรอื ผอู้ อกแบบ มีความคดิ แบบนามธรรมของสากลลกั ษณะอย่างกระจา่ ง
เขาสามารถขา้ มศาสตรไ์ ปเลอื กใชแ้ นวคิดทฤษฎ ี วิธีการบางส่วนจากศาสตร์อน่ื มาประยุกตใ์ ช้กบั ศาสตร์ทาง
ศิลปะออกแบบได้อย่างเหมาะสม เชน่ เร่อื งของ Multimedia Intermedia Interdisciplinary เปน็ การขา้ ม
ศาสตร์ไปมาระหวา่ งศลิ ปะออกแบบกับศาสตรอ์ นื่ แสวงหาความเป็นไปได้ใหมอ่ ย่างเหมาะสม
ทงั้ น้ผี ้สู ร้างจะตอ้ งเข้าใจและรู้ตวั เองในเบื้องตน้ วา่ มีความรัก หรือมองเหน็ ปัญหาอะไร และมีเป้าหมาย
ของแนวความคิดครงั้ นีม้ ุ่งไปสอู่ ะไร คลา้ ยคิดคาดการณ์ คิดคาดเดา หรอื คดิ ฝนั อะไรสกั อย่างหน่งึ เป็นจิตภาพ
ท่ีก่อเค้ารางข้ึนในจติ ใจทชี่ อบและรสู้ ึก การมีหลกั คิดของจดุ เรมิ่ ตน้ ท่ดี ี จะนำ� ไปส่แู นวความคิดทมี่ ีตัวก�ำกบั ควบคุม
ไม่ให้หลงทิศหลงทาง ไม่วา่ จะเปน็ เร่อื งเฉพาะดา้ นจากส่ิงแวดลอ้ มไกลตวั จนไต่ระดบั ไปส่เู รือ่ งราวของความเป็น
สากลส่งิ ท่วั ไป มีความเป็นนามธรรมไร้รูปไรน้ ามมากย่ิงขนึ้

วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขั้นสงู 69

ภาพที ่ ๔๐ การออกแบบตามแนวความคิดของมสี ฟานเดอโรห์ แสดงใหเ้ ห็นแบบอย่างของเกา้ อ้มี ีการออกแบบ
ภาพความคิดยอ่ ยๆ แตกออกเป็นรูปลักษณะแบบผลิตภณั ฑแ์ ปลกแตกตา่ งกนั ไปมีความเรียบงา่ ยของ
รูปทรงและใช้วัสดอุ ย่างเหมาะสม มีความเปน็ มากกว่าไว้ใช้นงั่ แบบปกติหากให้รับสัมผสั ถงึ สนุ ทรียอนั
เลอคา่ มรี สนิยมวิไลแหง่ ยุคสมยั ใหม่
แนวความคดิ แบบสากลลกั ษณะนส้ี ำ� หรบั บางคน แนวความคดิ นีอ้ าจกว้างและเป็นกลางเกินไปไม่เหมาะ
กบั แนวทางส่วนตน เพ่ือใหเ้ กิดการคดิ สร้างต่อไปไดแ้ ละมีชีวติ ใหม่ทางศิลปะบังเกิดขึน้ ศิลปนิ อาจขยายไปหาแนว
ความคดิ ยอ่ ย (Sub - Concept) อีกขัว้ หนึ่ง ค สูง แ ละ ข สู่ ก จากภาพที ่ ๓๘ ให้พอเหมาะกับขนาด
ความรักชอบและเป้าหมายของตนเอง อาจลองจบั แนวความคดิ ของทัศนศิลป ์ (Visual Art) ส่อื ผสม (Mixed
Media) และอื่นๆ ทมี่ ลี กั ษณะของรปู ความหมายไม่ซับซอ้ นเปน็ เบื้องต้นก่อน แตต่ รงกับความรกั ความชอบของ
ตนเอง หลงั จากนน้ั จงึ ค่อยไตร่ ะดบั ไปสูค่ วามเปน็ สากล
ศิลปนิ จึงเป็นผยู้ กระดบั ยกฐานะของสอื่ ส่ิงธรรมดาทีส่ ดุ ไปสู่ความสงู สง่ ที่สุด เร่ิมต้นจากลักษณะเฉพาะ
ของทัศนศลิ ป์แบบพเิ ศษมีรายละเอียดย่งุ เหยงิ คลีค่ ลายไปสูส่ ากลลักษณะทางศิลปะมคี วามเรียบงา่ ย (ภาพท่ี ๔๐)
เหมือนแนวความคดิ ย่อยในแบบ Minimal Art หรอื Simplicity ที่คดิ วา่ Less is More “ข้อสำ� คัญ” สากล
ลกั ษณะทางศิลปะในความนยั นี้ ไม่ไดข้ ้นึ อยู่กบั แบบอยา่ งนามธรรม ในเสน้ แกนแนวตงั้ ก สู่ ข อย่างตายตวั
ความเปน็ สากลลักษณะนัน้ ศิลปนิ หรือผู้สร้างแนวความคิดเปน็ ผู้กำ� หนดเปา้ หมายของเขา บางทคี วามเปน็ สากล
ลกั ษณะอาจจะปรากฏในสง่ิ ทเ่ี ป็นลกั ษณะเฉพาะในงานแบบเหมอื นจรงิ ทางศิลปะ มีรายละเอียดและสว่ นยบิ ยอ่ ย
มาก โดยไมต่ อ้ งลดทอนตามหลกั Simplicity กไ็ ด้

70 วธิ คี ิดทางศลิ ปะออกแบบข้นั สงู

ภาพท่ี ๔๑ ตวั อย่างการคลคี่ ลาย
และพัฒนาการของ
แนวความคดิ มีลักษณะ
เฉพาะจากการรบั รเู้ รือ่ ง
“แสงและเงา” ของ
ปรชี า เถาทอง สะท้อนให้
เห็นถึงแนวความคิดยอ่ ยๆ
ท่เี ปล่ียนรูปเปลี่ยนนาม
ของความเป็นรปู ธรรม
แบบไทย ไปตาม
ประสบการณ์สถานการณ์
ท่ีเคล่ือนไหวไป จนใน
บางชดุ ของแนวความคดิ
ย่อยได้คลคี่ ลายไปสู่สากล
ลักษณะด้วยสัญลักษณ์
และความเป็นสนุ ทรยี แห่ง
นามธรรมอย่างไทยแบบ
มคี วามหมาย
ทีม่ า : ศนู ย์ศิลปแ์ สงเงา
ปรชี า เถาทอง

วธิ ีคิดทางศลิ ปะออกแบบข้ันสงู 71

หวั ใจส�ำคญั ของการสรา้ งงานศิลปะท้งั สองแบบ (ลักษณะสากล - ลกั ษณะเฉพาะ) คอื ความเขา้ ใจใน
แนวความคิดของศิลปะทัง้ สองคือต้องมีความชัดเจนในทุกระดบั ของแนวความคดิ ย่อยๆ โดยเฉพาะในระดับของ
สากลลักษณะ อนั เป็นหวั ใจของแนวความคิดหรอื เปน็ ตวั แนวความคิดเอง ดังนน้ั การหาแนวทางเป้าหมายหรือ
จดุ ยืนของการสรา้ งสรรค์ศลิ ปะ จะต้องวางต�ำแหน่งของตวั เรา ใหเ้ หมาะสมบนเส้นแกนแนวต้ังท่เี ชื่อมโยงระหวา่ ง
“ความเปน็ สากลลักษณะกับความเป็นสากลเฉพาะหรือพเิ ศษ” ก - ข มคี วามสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาตแิ ละศิลปนิสยั
ของตนอาจมกี ารเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละสมัยแต่ละชว่ งของชวี ิตแต่ละโครงการไปตามประสบการณแ์ ละแนว
ความคดิ ทางศิลปะที่เปล่ียนแปลงควบคูก่ ันไป จนเกดิ แนวความคดิ ใหม่ๆ เกดิ ขึ้นไม่รจู้ ักจบส้ิน
(๑.๓) จินตภาพสมมติ (Image in Hypothetically) เปน็ การคดิ การออกจินตภาพสมมติแบบภาพ
ความคิด แบบมแี นวทางเปา้ หมายอีกวธิ ีหนงึ่ ตอ่ จาก “แนวความคดิ ” ท่ผี า่ นมาและการคิดแบบเป็นค�ำทถี่ ูกบญั ญัติ
ข้นึ มาเพ่ือใช้ในทางวชิ าการศิลปะจากการสมาสของคำ� วา่ “จนิ ตภาพ” และ ค�ำวา่ “สมมติ” ของความหมายวา่
ภาพที่เกิดจากการนึกคดิ หรอื คดิ วา่ ควรเปน็ เช่นนั้น กบั รสู้ ึกนึกเอาเองมาเป็นความหมายของ “จินตภาพสมมต”ิ
วา่ ภาพทเ่ี กิดจากการนึกคดิ หรอื รสู้ กึ เองว่าควรเป็นเช่นนนั้ เพือ่ นำ� มาใชก้ ับกระบวนการแสวงหาและทดลองทาง
ความคิด (จิตภาพ) และมโนภาพ สู่การออกแบบภาพลกั ษณ ์ หรอื จินตภาพแบบนา่ จะเป็นให้รับรู้ไดด้ ว้ ยรปู
ความหมายของเคา้ โครงน�ำร่องแบบตา่ งๆ หลากหลายกนั ไปผา่ น ภาพรา่ ง (Sketch) แบบจ�ำลอง (Model)
ทางศลิ ปะออกแบบ
ท่มี าของคำ� สำ� คัญว่า จนิ ตภาพสมมตมิ วี ิธกี ่อมโนภาพได้ ๒ ช่องทาง คือ จากการรบั ร้ ู (Perception)
ดว้ ยอายตนะภายนอกผ่านภาพ เสยี ง กล่นิ รส และสัมผสั จับต้องได ้ เป็นจินตภาพทางการเห็น หรือจินตภาพ
ภายนอกในทางทศั นศิลป ์ และจากการนึกคดิ (Conception) ตามการตระหนกั รู้ หยงั่ ร ู้ ด้วยตวั เองเป็น
จนิ ตภาพทางใจ (Mental Image) หรอื จนิ ตภาพภายใน ท้งั สองกรณีต่างลว้ นนำ� มาซง่ึ ตวั ขับเคลื่อนมโนภาพ
ทางจิตภาพที่สมองคดิ จติ ชอบ และใจรสู้ ึกออกมา ผา่ นรปู นัยความนัยของความนา่ จะเปน็ แบบน้นั แบบนี้จาก
การรบั ร้ภู ายนอกและการนึกคิดภายใน เช่น ลกั ษณะเฉพาะหนว่ ย แบบจำ� เพาะเจาะจง หรือลกั ษณะสากลทั่วไป
แบบสากลลักษณะ มคี วามเป็นนามธรรมสงู
โดยในเบือ้ งตน้ กระบวนการกอ่ มโนภาพจะเปน็ การคาดการณ์ คาดเดาถงึ ความน่าจะเป็น และเปน็ ไปได้
ถงึ ภาพความสมบูรณแ์ ละลงตัวท่ีคาดวา่ จะได้วา่ มรี ูปลกั ษณะหนา้ ตาเป็นอยา่ งไร ไว้ลว่ งหน้าจากการนกึ คิด
จติ ภาพและมโนภาพท่ีคอ่ ยๆ ถกู กอ่ รปู ก่อร่างจากภาพเคา้ แบบสลวั ลางและค่อยๆ ประกอบซ้อนผสมใหเ้ หน็
ภาพลักษณ์ (จินตภาพ) ชัดขึน้ สมบูรณ์ข้ึนทลี ะนอ้ ย
อาการจากการคาดเดา คาดการณถ์ ึงจินตภาพ (ภายนอก - ภายใน) ทจ่ี ะออกมา มคี วามน่าจะเปน็ ตรง
จิตภาพ จิตใจและความรู้สกึ แบบใดแบบหน่ึงกด็ ี หรอื คดิ ว่าจินตภาพจากมโนภาพควรจะเปน็ เชน่ ไร อยา่ งไร
โดยยงั ไมต่ รงใจตรงความคิดความรู้สึกจากภาพที่ผุดขน้ึ เหล่าน้ันกด็ ี ยงั ต้องมีการแสวงหาทดลองผ่านกระบวนการ
ทางความคิด เพ่อื ค้นหาภาพลักษณอ์ ย่างสมบรู ณแ์ บบให้มากกด็ ี การคาดการคาดเดาข้างตน้ จึงเป็นส่ิงช่วั คราว
แนวความคดิ ช่วั คราว และความนา่ จะเปน็ ของจนิ ตภาพแบบช่ัวคราว ไดถ้ ูกสมมตขิ น้ึ ชว่ั ขณะ เพื่อแสวงหาส่งิ ที่
ตรงจติ ใจตอ่ ไป

72 วิธีคิดทางศิลปะออกแบบข้นั สงู

จนิ ตภาพสมมต ิ จงึ เป็นกระบวนการทางความคดิ จติ ภาพ เพอื่ แสวงหาทดลองในหลายแบบและคัดสรร
สื่อส่งิ ทีเ่ ข้ารปู นยั ความนัยจากความนึกคิดท่ีชอบ และรสู้ กึ ผ่านการออกแบบหน่งึ ๆ ที่ยังไม่ตรงจติ ใจหรือจนิ ตภาพ
หนึ่งๆ ยงั มลี ักษณะแบบช่ัวคราว หรือสมมุตติ อ้ งรอกระบวนการคน้ คว้า ทดลอง หาความสมบูรณค์ วามลงตวั
ถึงความนา่ จะเป็นจากส่งิ ท่เี ราคาดคิดนนั้ ในหลายเสน้ ทางและหลายชุดของความคดิ ทถ่ี กู ออกแบบไว ้ (ดกู าร
ทดลองจินตภาพสมมตแิ ละแผนภาพท่ี ๑)

แผนภาพท่ี ๑ แสดงการคน้ คว้าทดลองจากจนิ ตภาพสมมตุ ิ ดว้ ยการแสวงหาและผจญภยั หาความเป็นไปไดข้ อง
รูปนยั ความนยั ใหม่ๆ ทต่ี รงจิตใจ (ชอบ - รู้สึก) และตรงภาพสมมติที่นึกคดิ ผา่ นการทดลองด้วยการ
ออกแบบภาพรา่ งทางความคิด (จติ ภาพ) ทีก่ อ่ ขึ้นในใจสูภ่ าพลักษณภ์ ายนอก และหาความเชอื่ มโยง
ระหว่างจินตภาพชัว่ คราวต่างๆ เหล่าน้นั หาลกั ษณะรว่ มและคณุ สมบตั ิ ท่ีเกาะเกี่ยวกนั จนสามารถ
ประกอบรูปความหมายของจนิ ตภาพสมมตทิ ่ตี รงจิตใจ ตามการคาดการณ์ และมีความนา่ จะเป็นในทีส่ ุด

วธิ ีคิดทางศลิ ปะออกแบบข้ันสูง 73

๑.๓.๑ การทดลองหาจินตภาพสมมตผิ ่านภาพรา่ ง การพฒั นาความคดิ จิตภาพดว้ ยมโนภาพ
สจู่ นิ ตภาพใหป้ รากฏขึ้นนนั้ เนอ่ื งจากวา่ กระบวนการทผ่ี ่านมายงั ไมไ่ ด้ลงมือปฏิบตั ิหรอื กระท�ำการอยา่ งหนงึ่ อย่างใด
เพื่อใหจ้ ินตภาพสมมุติสามารถสะท้อนออกมาให้มองรู้ดอู อกไดต้ ามการคาดการณ ์ ความปรารถนาหรอื ความสงสัย
ทเี่ ปน็ ขอ้ ค�ำถามค้างคาอยภู่ ายในใจ ดังนนั้ ขน้ั ตอนตอ่ ไปนคี้ ือกระบวนการทชี่ ว่ ยศิลปินนักออกแบบให้มีทางออก
ในการนำ� ไปปฏิบตั จิ รงิ ไดต้ ามลำ� ดบั ดงั นี้

ประเด็นชวนคดิ :

ขอเปดิ ความคดิ บนหนทางการคิดและจินตนาการ เพอื่ สรา้ งภาพร่างหรอื ออกแบบภาพรา่ ง
ให้มคี วามน่าจะเปน็ แหง่ ภาพสมมตนิ วี้ ่า รู้จกั ตกแต่งเค้าลางของภาพความคดิ ฝนั สว่ นตน รู้จกั คดิ
ดดั แปลง ประกอบ ผสมผสานใหพ้ อเหมาะกบั คนแต่ละคน จนสามารถสรา้ งภาพความคิดของ
ตัวร่วมจากสื่อสิ่งใหม่ๆ จากสิ่งท่ไี ม่ตรงจิตตรงใจให้เข้าร่องลอย นอกจากน้นั ต้องอาศยั ปัญญา
ความสามารถอนั ลึกลับซบั ซ้อนของญาณวิถี รู้แจง้ ตลอดในความคิด นำ� สัญญาณเชิงนยั อันมีคา่
เหล่าน้ันมาประกอบสรา้ งรูปความนยั และสอ่ื สง่ิ ท่เี ลอื กใช้ ให้สามารถสะท้อนถงึ มโนภาพและ
จนิ ตภาพของตนเอง ให้สมบูรณ์ตามเป้าประสงค์ จนความบันดาลใจ ความพงึ พอใจกบั จติ ภาพ
สมมติมีการเข้ารปู เขา้ เร่อื งในที่สดุ

ขนั้ แรก : กอ่ ภาพความคดิ จากมโนภาพภายในใจ ให้ออกมาเป็นภาพร่างทางศลิ ปะออกแบบ สามารถ
มองรู้ดอู อกตามจินตภาพสมมุติเบ้ืองตน้ หรอื ชว่ั คราวทกี่ ำ� หนดไว ้ (เช่นแนวความคิด ภาพพจน ์ คือถ้อยค�ำทเ่ี ปน็
สำ� นวนโวหารทำ� ใหน้ กึ เหน็ เปน็ ภาพ มกี ารท่ีเรียบเรยี งอย่างมีชั้นเชงิ เปน็ โวหาร มเี จตนาให้มปี ระสิทธผิ ลตอ่
ความคิด ความเข้าใจ) เหตุว่าทำ� ไมถึง “ช่วั คราว” เพราะวา่ จติ ภาพมโนภาพทางความนกึ คิด ความจ�ำของ
ความนา่ จะเป็นยังไม่ยุติวา่ จะลงเอยแบบใดลกั ษณะใด และมสี ่ือสิ่ง ส่ิงกระทบสิ่งเร้าชวนให้คดิ ต่อพฒั นาต่อ
(Generative) และผู้สรา้ งเองยงั ไม่ปักใจลงไปว่าจะสรุปภาพความคดิ ใหเ้ ปน็ ลักษณะหนง่ึ ลักษณะใด ยังตอ้ งการ
แสวงหาพฒั นาผ่านจนิ ตภาพชว่ั คราว แนวคดิ ชวั่ คราวเพือ่ รอการทดลองค้นหารปู ความท่ียังเป็นขอ้ ปรศิ นาและ
สงสยั ปลีกย่อย หรอื ความมีสุนทรยี ของแบบ ผา่ นภาพรา่ งทางความคดิ ตอ่ ไป
แบบร่างข้นั ต้น (Preliminary Sketch) หรอื แบบจำ� ลองขัน้ จะต้น (Preliminary Model) เพือ่ การ
ทดลองคน้ หาจินตภาพสมมติท่ตี รงใจตรงเปา้ หมายทก่ี ำ� หนดไว้น้นั จะเป็นแบบร่าง (Sketch) แบบจ�ำลอง
(Model) ดว้ ยเคา้ โครงอย่างคร่าวๆ ด้วยวธิ กี ารเขียนออกแบบภาพแบบหยาบๆ งา่ ยๆ พอใหร้ ับรแู้ ละสือ่ สาร
ความนกึ คิดได้ มที ัง้ แบบ ๒ มิต ิ และ ๓ มติ ิ เป็นไปตามลกั ษณะของงาน และวตั ถปุ ระสงคท์ ีก่ �ำหนดไว้
(ศลิ ปะวิจัยภาพท่ ี ๒๖ หนา้ ๑๘๐)

74 วธิ ีคดิ ทางศิลปะออกแบบข้นั สงู

ภาพที่ ๔๒ แบบการทดลองก่อรปู ความหมายผ่านจินตภาพสมมุตชิ ่ัวคราว ดว้ ยภาพรา่ งนำ� ร่อง A B และ C
(ภาพซ้าย) การทดลองประกอบรปู ความหมาย เพ่ือแสวงหาความนา่ จะเปน็ แบบใหม่ๆ แบบตรง
ความชอบและใจร้สู ึกสว่ นตน ดว้ ยชุดข้อมลู จากภาพซ้าย เปน็ จินตภาพทสี่ มบูรณท์ างความคดิ ใน
ระดับหน่งึ และพรอ้ มทจ่ี ะพฒั นาใหเ้ ตบิ โตต่อไป

ตวั อย่าง :

จินตภาพสมมตขิ องชดุ มะละกา (ภาพท ่ี ๔๒) เพ่ือศกึ ษาวเิ คราะหช์ ัว่ คราว รูปซ้อน
วฒั นธรรมผสมแบบมะละกาของศลิ ปกรรมหลายชนชาติ (จีน อนิ เดยี โปรตุเกส ฮอลันดา มสุ ลมิ )
แสวงหาคณุ สมบัตคิ า่ เฉพาะทางรปู ความหมายของตวั ร่วมระหวา่ งกันอนั สะทอ้ นถงึ รปู ซ้อนวฒั นธรรม
ผสมของกระบวนแบบ ความเปน็ พหุลักษณ์ผ่านการสร้างสรรค์ศลิ ปะรว่ มสมยั สว่ นตน โดยอาศยั
การศึกษาสร้างสรรคน์ ำ� รอ่ ง ดว้ ยการพิสจู นท์ ดลองด้วยภาพร่างจำ� นวนหลายชน้ิ

วิธีคดิ ทางศิลปะออกแบบข้ันสงู 75

นอกจากนัน้ จะตอ้ งคดิ พฒั นาเปน็ ภาพร่างในเบื้องต้นหรือช่ัวคราวในหลายๆ แบบ (ภาพท ่ี ๔๒) เท่าที่
ความคดิ จนิ ตนาการจะนำ� ไป และขอ้ มูลยงั ไมอ่ ่ิมตัวพอจนเป็นทยี่ ุติระดับหนงึ่ ได ้ หรือบางภาพรา่ ง ภาพความคดิ
ช่ัวคราวข้างต้น ภาพท่ีไดย้ งั มีทั้งแบบหรอื ส่วนทพี่ งึ พอใจ กับไมพ่ งึ พอใจคละเคลา้ กันไป บนเส้นทางการคน้ คว้า
ทดลองจินตภาพสมมตนิ ีจ้ นสว่ นหรอื แบบชั่วคราวที่พัฒนาได้เติบโตเข้ารปู ความตามที่ก�ำหนดไว้และมีความสมบูรณ์
ตรงใจ ตรงจนิ ตภาพสมมตใิ นท้ายทสี่ ดุ

ข้อคดิ :

“การพฒั นาภาพร่างทางความคิดหรือจติ ภาพ ในหลักการทเ่ี ป็นไปแบบการหาความ
น่าจะเป็นในขั้นตน้ ใหม้ กี ารนำ� ร่องนำ� ทางโดยสงั เขปไวก้ ่อน ด้วยภาษาลายลักษณ์ของความคดิ
จติ ภาพน�ำร่อง และภาพลกั ษณผ์ ่านภาพร่างนำ� ทาง เพ่ือให้ภาพร่างทางความคดิ พรอ้ มจะรับร้ ู
เรยี นรู้ จากข้อมลู ของภาพร่างทางความคดิ อื่นความคิดใหม่ทจี่ ะบังเกดิ ข้นึ ให้ภาพความคิดเดิมได ้
มกี ารคล่ีคลาย เติบโตเพมิ่ ขน้ึ มีความสมบรู ณ์และกระจ่างชัดมากกวา่ ตรงใจมากกว่า”

ภาพที่ ๔๓ การทดลองจนิ ตภาพสมมติของ Cake Baskin Robins ๒๐๑๕. ผ่าน Model และ Panel Drawing
แบบต่างๆ ของอเลซซานโดร เมนดินิ (Alessandro Mendini) นักออกแบบชาวอิตาเลยี น
ทมี่ า : Alessandro Mendini : The Poetry of Design

76 วธิ คี ดิ ทางศิลปะออกแบบขน้ั สงู

๒.๓ ตัวบง่ ช้ีการไตร่ ะดบั ความคิด
การพิจารณาและประเมินถงึ การไต่ระดบั ความคิดในแตล่ ะระดับทางศลิ ปะออกแบบ ไม่ว่าจะเปน็ สาขา
ทัศนศลิ ปแ์ ละสาขาออกแบบ นบั เป็นเรอ่ื งทส่ี รา้ งปัญหาใหก้ ับคณาจารย์ทร่ี ับผิดชอบในการสอนระดบั อดุ มศึกษา
มาโดยตลอดวา่ จะพจิ ารณาและประเมนิ ด้วยเกณฑ์และตวั บง่ ช้ีอะไร และอย่างไร เนื่องจากวา่ ผลงานส่วนมาก
จะเปน็ ตวั งานจากการปฏิบตั แิ ละสรา้ งสรรค์ศิลปะออกแบบ ดว้ ยรูปแบบ แนวทางและวิธีการของแตล่ ะคนเป็น
คนๆ ไป ตามความสนใจความสามารถเฉพาะตนและยิ่งการสร้างสรรค์ขน้ั สงู ในระดับบณั ฑติ ศกึ ษาสาขาทัศนศิลป ์
ยง่ิ ทวีความแตกตา่ งของความคิด วธิ คี ิดและการแสดงออก ให้ขยายความคิดและคุณค่าทางความคดิ อนั มุ่งเน้นถงึ
ความสมบูรณล์ งตวั ในความคิดและผลงานทกี่ ว้างออกไปทุกขณะจนยากจะหาข้อยุติได้
ตวั บง่ ชี้ การไตร่ ะดับทางความคดิ ของศลิ ปะออกแบบ ในเรอ่ื งของเกณฑก์ ารพจิ ารณาตรวจสอบ หรือ
การประเมนิ ถงึ คณุ ค่าของผลงานสร้างสรรค ์ ส่ิงประดิษฐ์และนวัตกรรมทางออกแบบ หรือ นวตั ศลิ ปน์ ้ันจะอาศัย
แนววธิ ีทางศิลปะ (Artistic Method) เป็นองค์ประกอบหลกั เชน่ วธิ คี ิด การแสดงออก ความเปน็ ไปไดใ้ นโลก
ของศิลปะ และความมีเหตุผลทางความจริงแบบเชงิ ปริมาณจะเป็นองค์ประกอบรอง โดยจะให้ความสำ� คญั ตาม
ลำ� ดับดังน้ี
๒.๓.๑ แสดงความรูค้ ิดหาแนวทางใหม่ ในการวิจัยสร้างสรรคห์ รือการประดษิ ฐค์ ดิ คน้ และ
นวตั กรรมทางศลิ ปะออกแบบใหก้ ้าวหน้าพัฒนาจนนำ� ไปส่กู ารแข่งขนั ในระดับสากลได้มากนอ้ ยเรอ่ื งของการคิดคน้
การคดิ สร้างสรรค์ผลงานบนหนทางใหม่ๆ บนเส้นทางธุรกิจการตลาดใหมๆ่ นบั เปน็ เรื่องท้าทายในศตวรรษที่ ๒๑
น้ ี เนื่องจากวา่ โลกมีการเปล่ยี นแปลง ก้าวหนา้ และสับสนวนุ่ วายในหลายมติ ิ ไมว่ ่าจะเป็นเรื่องของความร้คู วาม
จริงเรอื่ งของเพศสภาพเร่อื งของเทคโนโลยี เรื่องของสนุ ทรยี ภาพ เปน็ ตน้ ซ่ึงเร่ืองราวของความย้อนแยง้ ดงั กลา่ ว
ไมส่ ามารถจะกำ� หนดตัวบง่ ชี้และค�ำตอบของชุดความรู้เดยี วแบบสูตรส�ำเร็จได้เนอ่ื งจากมคี วามเป็นไปไดอ้ ะไรใหม่ๆ
ท่แี ฝงซอ่ นอย่จู �ำนวนมากอันเป็นเงือ่ นปมปรศิ นาใหน้ กั ศิลปะออกแบบต้องแสวงหาและสบื ค้นกนั ต่อไป
การแสดงออกทางความคิด เพือ่ ให้สามารถแก้ปญั หาแบบมคี วามสลบั ซบั ซอ้ น และเขา้ ใจได้ยากของ
โจทยใ์ หมข่ องโลก จงึ เปน็ เร่อื งและปัญหาที่มีความทา้ ทายให้ศิลปินนกั ออกแบบ ต้องขบคดิ ในความคิดชุดใหม ่
วธิ ีการและเทคโนโลยแี บบใหม่ด้วยหลกั คดิ ของ “การคิดนอกกรอบ” “การคิดย้อนแยง้ ” และ “การคิดใหม่
ท�ำใหม่” เพ่ือให้ไดค้ ำ� ตอบของความรู้ใหม่ในการนำ� ไปใชแ้ ก้ปัญหาได้จรงิ เป็น “การเปลย่ี นสื่อส่งิ รอบตัว”
เปลยี่ นวิธคี ิดออกแบบเพ่ือเปลีย่ นโลกหรอื ธรรมชาต ิ ให้เปลยี่ นรูปใหม่สรรสร้างสภาพแวดลอ้ มรอบตวั ใหด้ ีขึ้นมี
ความแตกตา่ งไปจากเดมิ

วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้ันสงู 77

ภาพท ่ี ๔๔ นวัตกรรมส่ือดิจิทลั สะทอ้ นภาวะสมบูรณ์จากรูปแบบสนั นษิ ฐานของโบราณสถาน ณ อุทยาน
ประวัติศาสตร์สุโขทยั - ศรีสัชนาลัย ของสุริยา รตั นวงศ์กลุ ท่ีงา่ ยตอ่ การเรยี นร้แู ละท�ำความเข้าใจ
ดว้ ยขอ้ มลู บนสือ่ ดิจทิ ลั สร้างรูปแบบการศกึ ษา“ประวัตศิ าสตรแ์ นวใหม”่ จากการเท่ยี วชมโดยใช้
อปุ กรณ์สื่อสารเคลอ่ื นท่ี ช่วยให้การรับร้เู รียนรูป้ ระวัตศิ าสตรศ์ ิลปะและศลิ ปกรรมไทย ภายในวัด
เจดีย์เจด็ แถว กลายเป็นเร่ืองสะดวกและงา่ ยย่ิงขน้ึ สามารถเรียนรู้ เข้าถึง สภาวะ-สมบรู ณ์จากรปู แบบ
สันนิษฐานในแต่ละองค์ประกอบและรายละเอียดของแผนผงั วัด องค์สถูปเจดีย์และรายละเอียดใน
แต่ละสว่ นได้ดว้ ยตนเองตามความสนใจและอัธยาศยั

78 วิธคี ิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สูง

นอกจากนั้น การรจู้ กั เลอื กใช้วสั ดแุ บบพืน้ บ้านเหลอื ใช้ มคี วามธรรมดาให้มีคุณค่าและมลู ค่าด้วยความคดิ
ใหม่ๆ ไปสสู่ ากลได ้ สามารถแข่งขนั กบั ประเทศอ่ืนๆ ได ้ นำ� รายไดเ้ ขา้ ประเทศปีละจ�ำนวนมหาศาลก็เป็นตวั บ่งช้ี
ถึงการไตร่ ะดบั ทางความคดิ ทน่ี ่าพอใจ เน่อื งจากวา่ การน�ำสอ่ื สิง่ แบบธรรมดาพน้ื บ้านหรือวสั ดุหรอื ใชใ้ หส้ ามารถไป
สูส่ ากลได้ “โกอินเตอร์” ไดน้ ั้น นกั ออกแบบตอ้ งใชค้ วามคิดอยา่ งมาก ในการดึงศักยภาพของวสั ดุสื่อสงิ่ อันไร้ค่า
ทีป่ ระเทศไทยมีอยมู่ ากและมอี ยู่เหลือเฟือออกมาใช้สรา้ งคณุ คา่ ดว้ ยคุณสมบตั ใิ หม่ที่แปรรปู ไปหรอื น�ำมาผสมผสาน
กบั วสั ดวุ ิธีการอืน่ เช่น จกั สาน + เซรามกิ ส์ + โคมไฟ เปลีย่ นรูปใหม่เป็น “โคมไฟเซรามิคด้วยการสานไทย”
เป็นตน้
การคดิ การท�ำเชน่ น้นั ตอ้ งอาศัยศักยภาพการแก้ปญั หากบั งานทมี่ คี วามสลับซบั ซ้อน ดว้ ยเคร่ืองมือวิธีการ
หลายส่ิงในหลายดา้ นประกอบไปกับความคดิ สร้างสรรค ์ และบวกกบั รสนิยมแบบสากล ความมมี าตรฐานคณุ ภาพ
แบบสากลทเี่ ขา้ ตาโดนใจผ้บู รโิ ภคชาวตา่ งชาติได ้ จนนำ� ไปสผู่ ลิตภณั ฑ์ทีม่ ีศกั ยภาพในการแขง่ ขันกบั สนิ คา้ อื่นๆ
ในตลาดโลกได้อย่างยัง่ ยนื นอกจากนัน้ ผลิตภัณฑธ์ รรมชาตทิ ่ีอาศัยวตั ถุดิบจากผืนน�ำ้ ผืนดิน และผนื ปา่ ยังชว่ ย
เพม่ิ มลู คา่ หลายเทา่ ตัวให้ของเหลือใช้ต่างๆ เหลา่ นั้น ไดม้ คี วามเป็นมติ รกับส่ิงแวดล้อมอีกดว้ ย การใช้วัสดรุ ีไซเคลิ
วสั ดุรักษ์โลก เปน็ ตน้ อันเป็นคุณคา่ ทสี่ ำ� คัญของศตวรรษที ่ ๒๑ น ้ี
๒.๓.๒ แสดงความรู้คิดประดษิ ฐส์ ร้างสรรค ์ ในระบบเศรษฐกิจขบั เคลือ่ นด้วยนวตั กรรม
(Innovation Driven Economy) สคู่ วามมั่งคงั่ และความยั่งยนื ได้นัน้ องคป์ ระกอบของ “ความคิดสรา้ งสรรค์”
ตา่ งลว้ นมีส่วนสำ� คญั ต่อการสร้างผปู้ ระกอบการของ STARTUP และการพัฒนาวิสาหกจิ ขนาดกลางและขนาด
ยอ่ ม (SME) ให้มคี วามเจรญิ ก้าวหนา้ ขนึ้ จนสามารถแขง่ ขันกบั ผปู้ ระกอบการภายในและตา่ งประเทศได้ ด้วยการ
ใช้เทคโนโลยแี ละนวตั กรรม เปน็ ตัวขับเคลอื่ นธรุ กจิ ข้างต้น
หวั ใจของหวั ข้อนี ้ อันเป็นตัวบ่งช้คี ือ “ความร้คู ิดสิ่งใหม”่ (Think Idea) “ ความรคู้ ดิ ในส่ิงทร่ี แู้ ลว้ ในแง่
มุมใหม่” (Re Think Idea) และ “ไมค่ ิดติดยดึ ละทิ้งความรคู้ ดิ เดิม” (Did Un think ) กา้ วไปสู่ความรู้คิดใน
ความเปน็ ไปได้ใหมๆ่ ทางศลิ ปะออกแบบในโลกปัจจบุ ันและเง่อื นไขของสงั คมวฒั นธรรมปัจจบุ นั เช่น การเข้าใจ
และเขา้ ถึงภูมิทัศนว์ ัฒนธรรมในมิตมิ ุมมองใหม่ อนั เป็นปรากฏการณข์ องวัฒนธรรมทางทัศน์ (Visual Culture)
เป็นภาพเกย่ี วกบั โลกรอบตวั ท่เี รารบั รู้ นึกคดิ และเข้าใจทม่ี คี วามเป็นสหวิทยาการมีความสลบั ซับซอ้ นเป็นเสมือน
ภาพๆ หน่ึงประกอบข้ึนจาก สื่อ สงิ่ สัญลกั ษณ์ เครื่องหมาย ดัชนี แสง สแี ละ ความเคล่ือนไหว เปน็ ต้น
การคดิ ประดษิ ฐ ์ สร้างสรรค์ศลิ ปะออกแบบในกาละเทศะแบบใหม ่ ท่มี กี ารเคล่ือนไหวเปล่ยี นแปลงอย่าง
ฉับพลัน และมีความสดุ ขวั้ สดุ โตง่ ทางความคดิ กบั ความมคี วามเป็นตามวถิ เี ดิมในหลายขวั้ เช่น สุนทรีย อสุนทรีย
ลอกเลยี น หยิบยืม สร้างสรรค ์ ผสมผสาน เหตปุ จั จยั ของวธิ ีคดิ ใหม่ลว้ นมีผลกระทบต่อการสร้างชดุ ความคดิ ใหม ่
และการแสวงหาโอกาสความน่าจะเป็นชดุ ใหม่ๆ แปลกๆ อยูต่ ลอดเวลา ตราบใดถา้ ความคิดหยุดน่งิ กเ็ ปรียบ
ไดก้ บั “การตายของเรา” เป็นการตายทางความคิด การแสดงออก ในเสน้ ทางศิลปะออกแบบทีไ่ ม่ก้าวหน้าและ
พฒั นาขึน้ ไป

วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้นั สูง 79

๒.๓.๓ แสดงความรคู้ ิดถึงประโยชน์พึงได ้ ประโยชน์ในความหมายน้ีเกีย่ วข้องกับประโยชน ์
ทางกายและประโยชน์ทางใจ โดยเกณฑก์ ารพจิ ารณาตวั บง่ ชี้ทางความคิดของประโยชน์ทีไ่ ดน้ น้ั ตอ้ งอาศัย
ตวั ผลิตภัณฑ์ หรือสิ่งประดษิ ฐค์ ิดค้นหรอื นวตั กรรม (นวตั ศิลป)์ เป็นสอ่ื สิง่ แสดงให้รบั รู้ได้เช่น แสดงความรคู้ ิดถงึ
การออกแบบเซรามิคและเฟอร์นเิ จอร์แบบใช้งาน “อเนกประสงค์” เฟอรน์ ิเจอรช์ นิ้ นน้ั ต้องแสดงการออกแบบ
องค์ประกอบหลกั และองค์ประกอบย่อยของชนิ้ งานเพ่ือสนองการใช้งานและประโยชน์ในหลายลักษณะ เช่น
การนั่งได้ การนอนได ้ การเก็บของได้ การพับเกบ็ และเคลอื่ นยา้ ยไดโ้ ดยง่ายและไมก่ ินเนือ้ ท ่ี เช่นเดียวกบั
เซรามกิ จะมีคุณสมบตั ขิ องตวั ผลงานมผี ลท่ไี ด้มากกว่าความเป็นภาชนะเคร่อื งใช้ปกต ิ แต่ตวั ชิน้ งานเปน็ ไดท้ ง้ั
ภาชนะ เคร่ืองใช ้ โคมไฟ สื่อสิ่งตกแต่งและความเป็นอะไรใหมๆ่ ทางศลิ ปะของแสงสบี นผนงั หอ้ งยามคำ�่ คืน
ไดอ้ ีกดว้ ย

ตัวอยา่ ง :

ผลงานเซรามิกทางศลิ ปะของสุทธิน ี สขุ กลุ มแี รงบันดาลใจจากสุนทรยี ทางธรรมชาติที่
ปรากฏอยู่รอบตวั โดยเฉพาะความงดงามของธรรมชาติใต้ท้องทะเลลกึ เช่น ปะการงั ดอกไม้
ทะเล มรี ปู ทรง พน้ื ผิว สีสันอันงดงามตระกาลตา และปรากฏการณข์ องความเปน็ ไปของ
ธรรมชาติต่างๆ เหล่านน้ั อนั น่าตืน่ ตาต่ืนใจ สุทธินีไดอ้ าศยั สภาวการณ์ของธรรมชาติ เป็นแรงดลใจ
ผ่านรปู ทรง และองค์ประกอบของเซรามิกศลิ ปะส่วนตนในหลายชุด ด้วยการสรา้ งสรรคด์ ลุ ยภาพ
ระหวา่ งโลกของการรับรูภ้ ายนอก และโลกของความคดิ จนิ ตนาการภายในนำ� มาผสมผสานผ่านรปู
ทรงเซรามิกทางศิลปะแบบใหม่ๆ ได้อย่างมีสีสนั และชวี ติ ชีวา
กรณผี ลงานของเสกสรรค ์ ตันยาภริ มย ์ นอกจากจะสรา้ งงานท�ำนองเดียวกนั กับสุทธินีแลว้
ยังสรา้ งรูปลักษณะของเซรามิกแบบอเนกประสงค์ ดว้ ยการสร้างให้เซรามกิ มผี ลท่ีไดจ้ ากเทคนคิ และ
วสั ดุมมี ากกวา่ ความเป็นรปู ทรงทางสุนทรีย ให้ความสขุ ทางสายตาเท่านัน้ แตค่ วรน�ำคุณสมบตั ิของ
วัสดเุ ซรามิกมาน�ำเสนอความเป็นไปได้อนื่ ๆ น�ำไปใช้ประโยชน์ในการรับรู้อืน่ ๆ ไดอ้ กี เขาจงึ สรา้ ง
ตวั งานให้มรี ปู ทรงเป็นส่เี หลย่ี มแบน ท่เี กดิ จากการผสมผสานของใยแกว้ หลากสสี ันแบบโปรง่ แสง
จงึ ชว่ ยใหต้ ัวผลงานเซรามคิ มีคณุ สมบตั ิพิเศษเพิ่มขนึ้ คือ เวลามีแสงส่องสว่างผา่ นตวั ผลงาน ผ่านรูป
ทรงสีเ่ หลี่ยมจะกอ่ ใหเ้ กดิ ปรากฏการณ์ของสีแสงวบู วาบไปมา และไปปรากฏสสี นั เชงิ นยั ของสุนทรยี
ทางนามธรรม บนผนงั กำ� แพงห้องได้อีกส่วนหนงึ่ ผลงานของเสกสรรคจ์ ึงมีคณุ คา่ ทางการรบั รู้
สุนทรยี มากกว่าความเป็นเซรามกิ ศลิ ปะแบบปกติ

80 วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขนั้ สูง

ภาพที่ ๔๕ ผลงานเซรามิกทางศลิ ปะของ สทุ ธินี สขุ กลุ (ภาพบน) เสกสรรค ์ ตันยาภิรมย์ (ภาพลา่ ง)
แสดงการวิเคราะห์ดว้ ยเส้นเชิงนัย ของแสงสีฉายส่องไปบนผนงั ห้องจนเกิดภาพสีสันอย่างน่าสนใจ

วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้ันสงู 81

ประโยชนท์ างกายแสดงใหร้ บั รไู้ ดถ้ ึงผลลัพธ์การออกแบบ หรือศลิ ปะบางลักษณะเชน่ Relational Art
Public Art Environmental Art New Media Art สามารถรับรู้และเข้าใจได้ในระดบั หนง่ึ ถงึ การเข้าไปมี
ส่วนรว่ ม การมปี ฏิสัมพันธท์ างกายภาพกบั ตวั ผลงาน ในทางตรงอยา่ งใดอย่างหนึง่ ตามทศี่ ิลปินไดอ้ อกแบบ
ความคิดไว ้ สว่ นประโยชนท์ างใจอนั เป็นเรอ่ื งนามธรรมและจับตอ้ งได้ยากถงึ คุณคา่ ทางใจนี้ จะมวี ิธแี สดงใหร้ ับรู้สึก
ไดถ้ งึ ผลได้อย่างไรว่า มคี วามสอดคล้องกบั เปา้ หมาย วตั ถปุ ระสงค ์ หรือแนวความคดิ ที่ก�ำหนดไว้ เชน่ “เรอื่ งของ
การรบั รทู้ างความคิดหรือสุนทรยี แบบใหม่” “เรอื่ งของความคดิ ทางนามธรรมไทยอันสงู ค่า” วลีข้างตน้ ลว้ นเปน็
ประโยชนท์ างใจ และสนองความจำ� เปน็ ภายในและจติ ใจมีความสำ� คญั ทางการสร้างสรรคศ์ ิลปะขั้นสงู จะมีแนวทาง
วธิ ีการแสดงตัวบง่ ช ้ี ถงึ การไต่ระดับทางความคิดน้ไี ด้อย่างไร
ในเบอื้ งตน้ การอาศัยตวั ผลงานศิลปะเปน็ ตวั บง่ บอกในสารตั ถะอันส�ำคญั และสูงค่าย่งิ นี ้ อาจมคี วามเปน็ ได้
ส�ำหรบั กลุ่มผูอ้ ยู่ในแวดวงเดียวกัน และใช้ภาษาศลิ ปะแบบเดียวกันเป็นเคร่อื งมือสื่อสาร หรือกลมุ่ ผสู้ นใจศิลปะ
จริงๆ จงั ๆ มีการคอยเฝ้าตดิ ตามความก้าวหน้า และพัฒนาไปของศลิ ปะศิลปนิ อยูเ่ ป็นลำ� ดบั กลุม่ คนพวกน ้ี
จะอา่ นคณุ ค่าสุนทรียและความเป็นนามธรรมอันสงู ค่าในตวั ผลงานได้ออก และสามารถบอกไดว้ ่าผลงานของใคร
กา้ วหน้าเติบโตไปมากน้อยอย่างไร การจะรบั ร้เู ข้าใจและเขา้ ถงึ คณุ ค่าทางศลิ ปะและสุนทรียอันขจรเล่อื นไหลอยู่
ไปมาเปน็ ล�ำดบั นับเป็นส่งิ ทีย่ ากย่ิง
ทางออกต่อปัญหาน้กี ็คือ การใช้ภาษาหนงั สือไม่ว่าจะเป็นภาษาเขยี น หรือภาษาพดู สว่ นตนมาเปน็
เครอ่ื งมือชว่ ยขยายความเปน็ นามธรรมทางศิลปะหรอื สุนทรยี อนั สงู ค่าท่แี ฝงซอ่ นอยใู่ นตัวหมายถึง ของส่อื สง่ิ ใด
สง่ิ หน่งึ ภายในตัวผลงานศิลปะ ให้เปน็ ทเี่ ข้าใจไดว้ ่าคอื อะไร และอย่างไร เชน่ “การแสดงการรบั ร้ใู หม่ทาง
สนุ ทรียแบบใหม”่ ตอ้ งอธิบายให้เข้าใจว่า อะไรคอื ผลของการรบั ร้ใู หมใ่ นผลงานของเรา ผ้ชู มจะไดร้ ับอะไร
อยา่ งไร ตอ้ งขยายความและบอกถึงความรู้สึกของจติ ใจที่ผชู้ มจะได้รับสัมผสั กับผลึกความคดิ ใหมน่ ีแ้ ละเปน็ สนุ ทรีย
แบบใหม่ด้วย
ค�ำตอบต่อกรณีนี ้ อาจจะไดช้ ุดคำ� อธบิ าย ค�ำส�ำคัญ วล ี อปุ มาอปุ มัยและอะไรใหม่จากการตคี วาม
ผลงานสว่ นตนตามมา เชน่ “สสี นั ท่วงทำ� นองแบบนามธรรมสูงคา่ ” “สุนทรียเปล่ียนรูปเดมิ แสดงคา่ รปู นยั ใหม่”
หรอื การตีความหมายวา่ “เสน้ ในภาพไทยรว่ มสมยั มีการเคลอ่ื นไหวของเสน้ แบบระห้อยสรอ้ ยเศรา้ ” เปน็ ตน้
ประโยชนพ์ ึงได้ว่าจะ “ขนึ้ ห้งิ หรือเขา้ หา้ ง” ทางศลิ ปะออกแบบอกี ประการหน่ึง คือ เป็นความคาดหวัง
ของผ้สู ร้างงานและออกแบบส่ือสิง่ คอื ผลกระทบ (Impact) ตอ่ ชุมชนสงั คมประเทศชาต ิ และนานาชาติจาก
ผลงานนน้ั ว่า สงิ่ ที่ได้กระท�ำมาแล้วได้มผี ลกระทบมากน้อยเพียงใด มีผลตอ่ การนำ� ไปใชป้ ระโยชนไ์ ดจ้ ริงหรอื ไม่
เชน่ ชมุ ชนเทศบาลเมืองหาดเจ้าสำ� ราญ จงั หวดั เพชรบุรี ตดิ ตง้ั ถาวรผลงานรูปทรงปลาวาฬในบริเวณวงเวยี น
กอ่ นลงสู่หาดฯ ขนาดสงู ราว ๓ เมตร ท�ำด้วยโครงโลหะและชนิ้ สแตนเลสทีเ่ กดิ จากการประกอบของปลากะตกั
ขนาดเลก็ จำ� นวนมากหลายพันตัว เกาะเก่ียวกนั ท่ีมาจากการศึกษาวจิ ัยของสรไกร รงุ่ เรือง เช่นเดยี วกับการน�ำ
องค์ความรู้ จากการศึกษาวิจยั ลูกกล้งิ และตราประทับดินเผาบ้านเชียง นำ� ไปสูก่ ารออกแบบลวดลายในงาน
ออกแบบผลิตภณั ฑ์ของชุมชนบา้ นเชียงของกนษิ ฐา เรืองวรรณศักด์ิ ได้ชว่ ยสร้างประโยชน์และผลกระทบต่อ
ชุมชน และชาวบ้านในการนำ� ความร้ทู ไี่ ด้รบั ไปพฒั นาตอ่ เป็นผลติ ภณั ฑ์ชุมชนต่อมา และช่วยสร้างรายไดจ้ าก
การน�ำองคค์ วามร้ทู ีไ่ ด้รบั จากกนษิ ฐาไปต่อยอดและใช้ประโยชน์

82 วิธีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบขนั้ สูง

ภาพท่ี ๔๖ ผลงานประติมากรรมนำ�้ ผุหลอดสีด้านหนา้ อาคารคณะศลิ ปะกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั บูรพาของ
กมล ทัศนาญชล ี (ภาพบน) การออกแบบผลติ ภณั ฑช์ มุ ชนบา้ นเชียงได้รบั แรงบนั ดาลใจจากลกู กล้งิ
ดินเผาของกนิษฐา เรืองวรรณศักด ์ิ (ภาพซ้าย) ประตมิ ากรรมกับส่ิงแวดลอ้ มของสรไกร เรอื งรงุ่ ได้
แรงบนั ดาลใจจากปลาวาฬบลูด้า ณ หาดเจา้ ส�ำราญ (ภาพขวา) ผลงานทงั้ สามได้สรา้ งคุณค่าและมลู ค่า
อันเปน็ ประโยชน์ กบั สงั คมและชมุ ชนไดโ้ ดยตรง

วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบขั้นสงู 83

สรปุ

เรื่องของความคดิ คือส่งิ ซ่ึงนกึ รู้ข้ึนในใจ หรือจติ ภาพในสมองจนน�ำไปสู่ความรูท้ ่ีเกิดขนึ้ และก่อใหเ้ กดิ การ
แสวงหาความรู้ให้งอกงามต่อไป ความคิดนี้เปรียบไดก้ บั “สติปญั ญา” มีความเกยี่ วขอ้ งกบั เหตุผลทางสมอง
เปน็ หลัก เพอ่ื จะทำ� สงิ่ ใดสิ่งหนงึ่ อย่างถกู ตอ้ งสมควร ลักษณะความคดิ เช่นทว่ี ่า มีความเป็นตวั ตนของใครของมัน
ไม่เกีย่ วขอ้ งกัน ด้วยการนำ� เสนอหรือสือ่ สารความเขา้ ใจผ่านผลงานหนงั สอื และภาษาภาพตา่ งๆ
กระบวนการทางความคดิ จะอาศัยเหตผุ ลทีม่ าคือ มาจากการรบั รู้โลกภายนอกผ่านอายตนะและทกั ษะ
ให้ร้สู กึ ได้ และผา่ นการนึกคิดทางสมองดว้ ยจติ ทจ่ี นิ ตนาการคดิ ฝนั ไป โดยกระบวนการทางความคิดจะเกีย่ วขอ้ ง
กับระบบการทำ� งานของสมอง ๒ ซกี คือ สมองดา้ นซา้ ยเปน็ เรือ่ งของความคดิ เหตุผล ส่วนด้านขวาเป็นเร่ือง
ของอารมณ์ความรสู้ ึก และความเป็นไปอย่างไรอยา่ งลึกซึง้ จะขนึ้ อยูจ่ ิตใจ ทเี่ กิดจากจติ ที่ชอบและใจท่รี ู้สกึ ให้
เปน็ โน่นนี่น่นั เปน็ ภาพความคิด ให้หมุนเวยี นเปล่ยี นไป จนหาจุดส้นิ สุดมไิ ด้
ความคดิ เองสามารถแสดงนัยทางความคิด ให้เปน็ ไปอยา่ งหนึง่ อย่างใดได ้ เชน่ ผ่านภาษาหนงั สอื
แสดงการเคล่อื น แสดงจ�ำนวน แสดงเสียง บง่ บอกถึงความเรว็ มากน้อย สงู ต่ำ� เป็นต้น มีรูปนามนัยหรอื
ความนัยเป็นตัวแสดงถึงระดบั ของความนยั ตา่ งๆ วา่ มคี วามหมายตรงหรอื ความหมายแฝงท่ีซ่อนเร้นใหต้ ้อง
วิเคราะห์ ตคี วามถอดหาปริศนาแฝงทีซ่ ่อนอยมู่ ากน้อยอย่างไร
ความคิด แนวความคดิ และจนิ ตภาพสมมตุ ลิ ว้ นเปน็ ค�ำกญุ แจส�ำคัญของการไต่ระดับทางความคดิ ของ
ศลิ ปะออกแบบ มรี ะดบั ตั้งแต่แนวความคิดหลกั (Cor - Concept) และแนวความคดิ ยอ่ ย (Sub - Concept)
ที่แตกความคิดออกไปเป็นแนวทางวิธีการยอ่ ยๆ ต่างๆ กันไป มีท้ังลกั ษณะแบบเฉพาะ (Particular & Specific)
และสากลลกั ษณะ (Universal) มคี วามเปน็ สัญลกั ษณแ์ ละนามธรรมสูง การแสวงหาทดลองหาความนา่ จะเป็น
หรือเป็นไปไดท้ างศิลปะออกแบบในแนวทางใหม่ๆ จะอาศยั หลกั “ สอง เสน้ แกนสองขว้ั ตดั กนั ” เพ่อื พสิ จู น์
ทราบถึงแนวทางวธิ กี ารแบบเหมาะสมกับตัวเราได้
กรณตี วั บ่งช้กี ารไต่ระดับทางความคดิ ต้องพจิ ารณาและประเมินคุณคา่ และความคดิ ความหมายจาก
การแสดงถึงความรู้คิดหาหนทางการคิดและสร้าง หรอื ออกแบบภาพอะไรใหม่ๆ อยา่ งมีความน่าเช่ือถอื และ
ยอมรับได้ ต่อมาคอื ต้องสะท้อนใหร้ บั รู้ไดด้ ้วยอายตนะภายใน ภายนอกถึงความรู้คดิ ประดิษฐ ์ และสรา้ งสรรค์
ผา่ นผลงานศิลปะออกแบบ บ่งชไี้ ด้ถงึ สุนทรยี อนั สูงคา่ เหนือกาลเทศะของปจั จุบนั หรอื ความกา้ วหนา้ ของการคดิ
ประดิษฐท์ ่เี อือ้ ต่อสงั คมร่วมสมัยไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ประการสุดทา้ ยของตวั บ่งช้กี ารไต่ระดับ คือคอื แสดงให้รบั รไู้ ด้
ถึงประโยชน์อนั พึงม ี พึงได้ของความคิดนนั้ ๆ ที่ก่อผลกระทบ (Impact) ตอ่ ชุมชน สังคม เมือง ชาติ
นานาชาติไดอ้ ยา่ งเป็นรูปธรรม



บทที่ ๓

คิดแบบก้าวหนา้ และมวี ธิ ีคดิ

การคดิ แบบม ี “วิธีคิดก้าวหน้า” (Advance Thinking) ให้ความคดิ หรอื แนวความคดิ ได้เคล่อื นไปข้างหนา้
ไกลๆ ยาวๆ จนสามารถคน้ พบคำ� ตอบทางความคิดอะไรใหม่เพ่ือใชแ้ กป้ ัญหาสิง่ หนง่ึ ส่งิ ใด หรอื ทำ� สื่อสิ่งใหม่ใหท้ นั
สมยั ก้าวทนั การเปลย่ี นแปลงของโลกศตวรรษที่ ๒๑ คือโลกยุคเทคโนโลยขี บั เคล่อื นนวตั กรรมและปัญญาประดิษฐ์
ถือไดว้ า่ มคี วามส�ำคญั กบั สังคมยคุ ปจั จบุ ันมาก เน่ืองจากเปน็ ยคุ ท่ีให้ความส�ำคญั กับความคดิ วธิ คี ดิ เพื่อน�ำไปสูก่ ารสรา้ ง
ผู้ประกอบการอย่างมืออาชีพ สร้างนวัตกรรมและอุตสาหกรรมสร้างสรรค ์ (Creative Industry) ให้สามารถแข่งขัน
กับนานาชาตไิ ด้
๓.๑ ความเข้าใจความหมายและทฤษฎี
ความเข้าใจเดมิ เกี่ยวกบั ความคิดและมโนภาพของการมองโลก มคี วามเชอื่ ไปในแนวทางของมมุ มองเชิงเด่ียว
(Linear Perspective) คอื จะมองไปในทิศทางใดทิศทางหน่งึ เทา่ นน้ั หรอื ยอมรับเหตผุ ลแบบ Vertical Thinking
มลี กั ษณะแบบเสน้ ต้งั ของเสน้ ทางจากจุดหนึ่งไปยังอกี จดุ หนง่ึ แบบตอ่ เน่ืองกันไปอยา่ งคงท่ี เพอ่ื เปน็ การแสวงหา
ความคิดและค�ำตอบแบบตายตวั
โดยการมองสรรพสิง่ ภายนอกเช่นนนั้ จะทำ� ให้เขา้ ใจว่าสอื่ สงิ่ ไมม่ ีความแตกตา่ งกนั และแนวความคดิ รวบยอด
(Concept) ทีม่ าจากหลักการขา้ งตน้ จะมคี วามเปน็ สากล (Universal) และมองค�ำตอบและเหตุผลไปในทศิ ทางหน่ึง
ทิศทางใด ตามมาตรฐานของกระแสหลัก เชน่ กรกี คอื ต้นก�ำเนิดอารยธรรมตะวันตกและพัฒนากันต่อๆ มาบน
เสน้ ทางหลกั วิชาและความรู้จากรากเดียวกนั เปน็ ต้นวา่ ทฤษฎีของการรับรูท้ างศลิ ปะออกแบบ แบบสากลนยิ ม
(Universalism) ทฤษฎกี ารลดทอน (Divisionism) Abstraction จนน�ำไปสู่อมตะวาจาทางศิลปะการออกแบบวา่
“Less is More” เปน็ ตน้
๓.๑.๑ ความเขา้ ใจตามมมุ มองใหม่ หลักคดิ และสาระจะไปสอดคล้องกบั โลกของความจรงิ ตาม
ปรัชญาความเช่อื ทางศลิ ปศาสตร์ มนษุ ยศาสตร์ และทฤษฎกี ารมองแบบ Complexity Perspective หรอื เชิงซับซ้อน
มคี วามเชือ่ วา่ ความส�ำเรจ็ ไม่ไดม้ ีสตู รสำ� เร็จเหมือนอาหารส�ำเร็จรปู แต่มันมหี ลากหลายแปรเปลยี่ นไปตามบริบท
กาละและเทศะและมองเร่ืองของอารยธรรมไปในหลักการทแ่ี ตกต่างออกไปคอื มีความคดิ แบบแนวขนานเชื่อมโยง
(Lateral Thinking) บนหลักคดิ ทว่ี า่ ความคิด แนวความคิดจะมีการสร้างวิธีการคิดแบบหลากหลาย หรอื สรา้ ง
ทางเลอื กท่แี ตกต่างไปตามแนวนอนแบบขนานเชอื่ มโยงกนั ไป เป็นการคดิ ที่เคล่อื นออกไปจากแนวคดิ หนึง่ หรือ
แนวทางหนงึ่ ไปยงั แนวคิดอนื่ ๆ
สอดคล้องกับหลกั คดิ ของ คารล์ แจสเปอร ์ (Karl Jasper) และนักประวตั ิศาสตรค์ นสำ� คญั ของโลกหลาย
ส�ำนกั ต่างมมี มุ มองเรือ่ งของศาสนา ปรัชญาทางความคดิ และศิลปวฒั นธรรมของโลก ในชว่ ง ๖๐๐ - ๔๐๐ ปกี ่อน
ครสิ ตกาล ลว้ นมีการถือก�ำเนดิ ความเจริญในช่วงระยะเวลาใกล้เคยี งกนั เร่มิ ตง้ั แตป่ รัชญาแนวคิดของโซโรแอสเตอร์
(Zoro Aster) ประมาณ ๑,๐๐๐ - ๖๐๐ ปกี ่อน ค.ศ. ๖๕๐ ปกี ่อน ค.ศ. พระพทุ ธเจ้า ๖๒๓ - ๕๔๐ ปีกอ่ น
ค.ศ. ขงจอ้ื ๕๕๑ - ๔๗๙ ปีกอ่ น ค.ศ. พระเยซ ู ตน้ ค.ศ. และพระมะหะหมดั ค.ศ. ๕๗๐ - ๖๓๒


Click to View FlipBook Version