186 วิธีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้ันสูง
ยกตวั อย่าง :
วรรณคดีเรื่อง “ระเด่นรันได” โดยพระมหามนตรีในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็
พระน่งั เกล้าเจ้าอยหู่ วั (รชั กาลที ่ ๓) ทกี่ ลา่ วชมความงามของนางประแดะว่า
“สูงระหงทรงเพรยี วเรยี วชะลูด
“งามละมา้ ยคลา้ ยอฐู กะหลาป๋า”
“อฐู กะหลาป๋า” เป็นอุปมาหรือข้อความทยี่ กมาเปรียบรปู ร่างของนางประแดะ
ทัศนศลิ ป์ สามารถอุปมาทางสายตาแปลความไปสอู่ ุปมาทางภาษา เพ่อื อธบิ ายถงึ สุนทรียทาง
ศลิ ปะที่รบั รไู้ ด้เชน่ ภาพทิวทศั น์แม่นำ�้ เจ้าพระยายามพลบคำ�่ วา่
“ลำ� นำ้� เจ้าพระยายามนไี้ หลเอ่อื ยอยา่ งระหอ้ ยสรอ้ ยเศร้า”
“ระห้อยสร้อยเศรา้ ” เปน็ อปุ มาหรอื ขอ้ ความท่ยี กมาเปรียบกบั แมน่ ้�ำเจ้าพระยายามพลบค่ำ�
๕.๒ การวเิ คราะหอ์ ย่างมวี ิธี
การวิเคราะห์โดยเปา้ หมายเพื่อการแสวงหา ถอดรหสั ลกั ษณะปรศิ นาของความเปน็ สากลหรือ Universal
และความเปน็ ลักษณะเฉพาะหรือ Particular ในมติ ิมุมมองใหม่ใหม้ คี วามกา้ วหน้า และสรา้ งสรรค์ใหเ้ ป็นไป
ตามวัตถปุ ระสงคท์ ตี่ ั้งไว ้ ส่วนการจะไปถงึ ฝ่ังฝันไดม้ ากนอ้ ยเพยี งใดได้นั้น จะขน้ึ อยู่กบั เหตปุ จั จัยในหลายๆ ด้าน
โดยเฉพาะอย่างยง่ิ เรื่องของพลวตั ของโลกใหม ่ โจทยข์ องชาตแิ ละของโลกใหม่ การเปล่ียนกระบวนทศั น์ทาง
ปรัชญาและทฤษฎีความเช่อื จากสมยั ใหมน่ ิยมสูห่ ลงั สมยั ใหม่นยิ ม รวมไปถงึ ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยีเพ่ือ
น�ำไปสกู่ ารขับเคลื่อนนวตั กรรม นวตั ศิลป ์ เปน็ ต้น
วธิ ีการวเิ คราะห์ การรอ้ื สร้างในความหมายปจั จบุ ัน จงึ เปน็ การแยกแยะใหเ้ หน็ ถงึ ความแตกต่างของ
ความเป็นสื่อสิง่ ใหม ่ และค้นหาเหตุผลของสือ่ สิง่ ท่ปี รากฏขึ้นวา่ มีท่มี าจากสาเหตใุ ด มคี วามสัมพนั ธเ์ ชือ่ มโยงกนั
อย่างไรกบั สื่อสงิ่ อืน่ และเป็นการคาดการณอ์ นาคตหรอื การทำ� นายพยากรณ์ถึงความเป็นไปได ้ ความน่าจะเปน็
ไปได้ท่ีจะบงั เกิดขึน้ เพื่อหาแนวทางแกไ้ ขปญั หาต่อไป
๕.๒.๑ มองเห็นปญั หาและเจตจ�ำนง ปัญหาในความเข้าใจนั้นมคี วามเกย่ี วข้องกบั ความ
จำ� เปน็ ภายนอกทางดา้ นรา่ งกาย เพอื่ ความต้องการในเรือ่ งของปจั จยั ส ่ี ได้แก ่ อาหาร เครอ่ื งนุ่งหม่ ท่ีอยู่อาศัย
และยารกั ษาโรค กบั ความจ�ำเปน็ ภายในทางด้านจิตใจ คือความต้องการในเร่ืองของจติ ชอบและใจรสู้ กึ ปจั จยั
ขอ้ หลังนเ้ี ป็นปัญหาทมี่ ีความส�ำคญั ควบคไู่ ปกับความต้องการทางกาย หรอื ประโยชน์ใช้สอยเช่นเดียวกัน มนั
เหมือนกับทฤษฎสี มอง ๒ ซกี ตามทก่ี ลา่ วมาแลว้ ในบทท่ี ๑ คอื มนั ต้องทำ� งานรว่ มกันอย่างมดี ุลยภาพ ระหว่าง
เร่อื งของเหตุผลในสมองซกี ซ้าย และอารมณ์ความรู้สึกในสมองซีกขวา
ดังนัน้ การรบั รเู้ รียนรเู้ รอ่ื งของศิลปะออกแบบ การมองสรรพส่ิง พืน้ ที่และเวลาอยา่ งเข้าใจเฉพาะสงิ่
ภายนอกรปู ภายนอกอาจไมเ่ พยี งพอ แตต่ อ้ งเข้าถงึ แก่นของสื่อสง่ิ นน้ั ท่มี องไม่เหน็ ทีซ่ ่อนลึกลงไปพรอ้ มกันไปดว้ ย
เนอ่ื งจากแก่นสว่ นนน้ั เป็นตวั ก�ำหนดรปู กายภายนอก ถงึ ความมแี ละความเปน็ ของมนั อย่างหนึ่งอยา่ งใด ซึ่งการรู้
ถงึ เบอ้ื งหลังภาพ และเขา้ ถึงอตั ชีวประวตั สิ ว่ นตนของผสู้ ร้างสรรคแ์ ละการออกแบบอย่างลุม่ ลึกในหลายๆ มติ ิ จงึ
จะช่วยใหก้ ารอธบิ ายถงึ ความรคู้ วามจรงิ ในส่วนปริศนานี้เป็นทีย่ อมรับได้
วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขั้นสูง 187
ภาพท่ี ๙๑ ผลงานศิลปะออกแบบสะทอ้ นถงึ คุณค่าอนั ขจรทางสนุ ทรยี ท้ังมีสุนทรียและอสุนทรีย ให้การรบั รสู้ กึ ถงึ
รูปความหมายใหมจ่ ากการเคลอ่ื นไปของค่าตา่ งๆ เหลา่ นนั้ ไดแ้ ก ่ เสน้ ส ี รปู รา่ งรูปทรง การแสดงออก
ทีม่ า : Fine Art Magazine
188 วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขนั้ สงู
(๑) คดิ เหน็ ปัญหาตระหนกั ถึงปญั หา ปัญหาทางศิลปะออกแบบคอื อะไร จนน�ำไปสู่การ
รวบรวมขอ้ มูลและวเิ คราะห์ร้อื สรา้ งตอ่ ไป ซ่ึงปญั หาเป็นทั้งค�ำถามเพอ่ื การศกึ ษาวิเคราะห์ข้อมูล และเปน็
เจตจำ� นงหรือความปรารถนาส่วนตน ในการท�ำความเข้าใจใคร่หาค�ำตอบหรอื การกระท�ำเพ่อื สะทอ้ นความนึกคิด
ความรู้สึกในเร่อื ง ท่ตี อ้ งการ อันเป็นวตั ถุประสงค์ในการปฏิบตั สิ ร้างสรรคท์ างวชิ าการวิจัย หากวเิ คราะห์ปัญหา
ทางศลิ ปะออกแบบ อาจไมใ่ ชป่ ญั หาในความหมายของการศกึ ษาวจิ ัยแบบปกติ แต่เป็นความจำ� เปน็ ภายในหรือ
ปญั หาภายใน (จิตใจ) เพื่อต้องการหาคำ� ตอบในการปฏิบัตสิ ร้างสรรค์และการออกแบบ เชน่ แสวงหาความนา่
สนใจมชี วี ิตชวี า ความสมบรู ณล์ งตวั หรอื ความโดดเดน่ ไปตามเจตจ�ำนงนั้น
ความนัยของปัญหาทางศิลปะออกแบบนนั้ มีความเกยี่ วข้องกบั ศิลปวทิ ยา ๓ ด้านคอื ทฤษฎี
ปฏบิ ัตอิ อกแบบหรอื สรา้ งสรรค์และคุณค่าทางสุนทรยี ค�ำถามคือคิดเหน็ ปญั หาเกย่ี วกับเรือ่ งอะไร มีวธิ คี ิดอย่างไร
และมวี ิธวี ิทยาการวิเคราะหจ์ ดั ระบบอย่างไร เชน่ เปน็ เรื่องเชิงทฤษฎีของความคดิ ความจ�ำและความเขา้ ใจ
ทางเหตุผล เพอื่ น�ำไปสขู่ อ้ มูลและข้อเทจ็ จรงิ ทางเนอื้ หาสาระ หรือความร้สู ึกทางการรบั ร ู้ การคดิ สคู่ ุณค่าสุนทรีย
เพอ่ื นำ� คณุ คา่ ไปส่กู ารตดั สินคณุ คา่ สนุ ทรยี ภาพเปน็ ตน้ โดยหลกั การขา้ งตน้ นอกจากคดิ หาทางแก้ปัญหาภายใน
ทางทฤษฎี และคณุ คา่ เปน็ การเฉพาะดา้ นแล้ว ศลิ ปวทิ ยาท้งั ๓ จะมคี วามเกยี่ วขอ้ งกบั เงื่อนไข เหตุปัจจัย
ในหลายๆ ด้านทางสังคมวัฒนธรรมและตวั แปรใหม่ๆ ทีเ่ ข้ามาใหต้ ้องครุ่นคดิ วิเคราะห์พจิ ารณาถึงปญั หาดังกลา่ ว
ควบคไู่ ปด้วย
เร่อื งของวธิ คี ิดในการมอง และการท�ำความเข้าใจให้รแู้ จง้ แทงตลอด และเหน็ ภาพรวมของปญั หาทาง
ศิลปวทิ ยากบั สอ่ื ส่ิงหรอื สาขาท่เี กีย่ วข้องกบั ปญั หาหน่ึงๆ จะตอ้ งคดิ หาหนทางไปพร้อมกนั ว่า มีเหตปุ จั จยั ใด
เกย่ี วขอ้ งบ้าง “อย่ามองแบบแยกส่วน” เช่นสงั คมไทยในอดีตอาศัยหลักคดิ ของคำ� วา่ “บวร” คือ บ = บ้าน
ว = วัด และ ร = โรงเรียน ช่วยสรา้ งบูรณาภาพในสังคมและการอยรู่ ่วมกัน พง่ึ พาอาศัยกนั อยา่ งสันตสิ ขุ
มาโดยตลอด
มีเหตปุ ัจจยั หลายส่วนทตี่ ่างเกื้อหนนุ ระหวา่ งกนั อยา่ งลมุ่ ลกึ มากกวา่ ความเปน็ วัด บ้าน และโรงเรียน
แบบปกติ เชน่ วา่ ความเป็นวัดนอกจากเปน็ พน้ื ที่ เพอื่ การยกระดับจติ ใจผคู้ นแลว้ ยงั เปน็ พน้ื ทเี่ พื่อการศกึ ษา
การรกั ษาพยาบาล การชา่ งเพ่อื บา้ นและชมุ ชนโดยรอบวัดพร้อมกนั ไปอีกดว้ ย ดังนน้ั การมองดว้ ยการวเิ คราะห์
จ�ำแนกแจกแจงตามสือ่ ส่ิงทีเ่ หน็ จงึ ไม่สามารถถอดร้อื หาแก่นของความรคู้ วามจริงที่ซอ่ นอยเู่ บอื้ งหลงั ได้เชน่ เดยี วกับ
หลักการของ STEM หรอื ASTEM ตามท่ีกลา่ วมาแลว้
วิธีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบขน้ั สงู 189
ภาพที่ ๙๒ ผลงานศลิ ปะออกแบบของแตล่ ะคน ลว้ นสะท้อนหลกั คดิ ส่วนตนและหลกั ปรชั ญาอนั เปน็
ความเข้าใจโลกและชวี ติ ผา่ นผลงานศิลปะออกแบบ การจะเขา้ ถึงแก่นของผลงาน มีความจำ� เป็น
ตอ้ งวเิ คราะห ์ ถอดรือ้ สาระความหมาย และคุณค่าทางสุนทรียที่ซ่อนอยู่ออกมาใหเ้ ข้าใจได้
190 วธิ ีคดิ ทางศิลปะออกแบบข้ันสูง
นอกจากนั้นการจะวเิ คราะห์ไดก้ ระจ่างนอกจากคิดเห็นปญั หาได้แลว้ จะตอ้ งคดิ ถึงคณุ คา่ ความสำ� คัญ
ของสรรพสิง่ ทีจ่ ะทำ� การศึกษาวิเคราะหด์ ้วยวา่ มคี ุณค่าอะไร อยา่ งไรโดยเฉพาะคำ� วา่ อยา่ งไรคอื ค�ำขยายอะไร
ใหม้ คี วามชัดเจนและลงลึกในตัวคณุ ค่าเพ่ิมมากขนึ้ คลา้ ยกบั วา่ คุณคา่ อะไรเปน็ การพูดถงึ คณุ คา่ หรือคุณสมบัติ
ของสง่ิ ภายนอกเชน่ พระพุทธรูปสมัยสโุ ขทัยมีสุนทรียทางรปู ทรง ศลิ ปะหรือ Classic ท่ีสุดของไทย สว่ นคณุ ค่า
อย่างไรคือ คุณสมบัตภิ ายในดว้ ยการพิเคราะหข์ ยายลกึ ลงไป ถึงความเป็นพระพุทธรูปสมัยสโุ ขทยั หมวดใหญ ่
ท่จี ัดไดว้ า่ เป็นหมวดพระพทุ ธรูปที่มีสุนทรียลงตวั มากทีส่ ุด มรี ูปสนุ ทรียทางอุดมคตขิ องมวลรูปทรงทไ่ี ด้สัดส่วน
ตามมาตราอดุ มคติของสามเหลยี่ มทาลาม (Talam) อันเปน็ รากฐานการสรา้ งพระพุทธรูปแบบคุปตะ ยุค Classic
ของอนิ เดียเป็นต้น
การรู้ถงึ คุณคา่ และขอ้ มลู เชิงคณุ คา่ หรอื คุณค่าขจร (Pervasive Quality) ที่มีอาการเล่อื นไหล
เปล่ียนแปลงไปตามการรบั รู้การสัมผสั รูต้ อ่ สอื่ สิ่งใดสง่ิ หนึ่ง ในช่วงขณะใดขณะหนึ่งต่อค่าทางสุนทรียน้ันๆ ที่มีทั้ง
รูปธรรมและนามธรรมมคี วามส�ำคัญยิ่งต่อการ วิเคราะห์ข้อมลู ทางศลิ ปะออกแบบในหัวขอ้ ตอ่ ไป คอื ความส�ำคัญ
ทางสนุ ทรียแบบทจ่ี บั ตอ้ งได้และจับต้องไมไ่ ดผ้ ่านงานศลิ ปะออกแบบในสาขาตา่ งๆ กนั ไปการรู้ถงึ คุณคา่ ข้างต้น
จะชว่ ยใหส้ ามารถถอดสาระ (ตรง - แฝง) อันเปน็ รหสั และปริศนาของเร่อื งราวตา่ งๆ เหล่านนั้ ได้
(๒) รูถ้ งึ ข้อมลู คอื มคี วามรูข้ ้อเท็จจรงิ ประสบการณส์ ง่ั สมและสือ่ สารสนเทศ เพอื่ ใช้เป็นคลงั ประกอบ
การคดิ แกป้ ัญหา และเลอื กใชข้ อ้ มูลได้อย่างเหมาะสม และข้อมลู เพ่ือน�ำมาใช้ทางศิลปะออกแบบในปัจจุบัน
มใี หเ้ ลอื กจ�ำนวนมาก ไดแ้ กเ่ ป็นตวั เลขและไม่เปน็ ตัวเลข ภาษาภาพ ภาษาเสยี ง ภาษาการเคลือ่ นไหว และ
ภาษาจากสื่อใหมท่ างเทคโนโลยีปัจจุบนั เปน็ ตน้ ในวิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบข้ันสูง การวิเคราะห์ต้องร้ถู งึ ข้อมลู
ในมติ ขิ องพหุสมั ผัสจากการรับรู้ให้เพ่มิ มากขน้ึ โดยเฉพาะข้อมลู นามธรรมจับตอ้ งไม่ไดแ้ ละหรือขอ้ มลู ทางใจ
(Spiritual Data) และความจ�ำเป็นทางจิตใจและความร้สู ึกนกึ คดิ ภายในตน
ขอ้ มลู ทางศลิ ปะออกแบบส่วนหลงั น้ ี เปน็ การศึกษาจากผลงานทัศนศลิ ป ์ คตี ศิลป ์ ศลิ ปะการแสดงและ
การออกแบบสาขาตา่ งๆ คณุ สมบตั ิของข้อมูลประเภทเหล่าน ี้ จะมคี วามแตกตา่ งจากขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณทัว่ ไป คอื
“มีเนอื้ หาทางอารมณ์” และกอ่ ใหเ้ กิดสุนทรียารมณ์ไดอ้ ย่างรวดเร็ว ขณะได้รับรู้สกึ จากการดภู าพเขียนอนั วิจติ ร
ชมการแสดงหรอื ภาพยนตร์นา่ ตนื่ ตาตื่นใจ และฟังดนตรีอนั ไพเราะเพราะพรงิ้
ความมีเสนห่ แ์ ละมีเนอ้ื หาทางอารมณ์ส่วนเหลา่ น้ี จะสร้างความประทับใจความสนใจจนนำ� เราให้ตกอยู่
ในพวงั ของหว้ งสุนทรยี ารมณ์น้ันๆ จนตกอยใู่ นสภาวะท่เี รยี กวา่ ความประทบั ใจจนพูดไม่ออก หรือหากจะพูดก็
จะเป็นเพยี งคำ� พูดพรรณาจากความซาบซึง้ ของการได้รบั สนุ ทรยี ภาพหน่ึงๆ เท่านนั้ ในหลายกรณหี าแก่นสาร
อะไรไมไ่ ดเ้ ปน็ แตเ่ พียงการใช้คำ� พูดแบบสวยหรู ด้วยการประดิษฐ์ถอ้ ยคำ� ทไี่ พเราะกินใจ
การร้ถู งึ ข้อมลู ทางศลิ ปะออกแบบและข้อมลู เก่ยี วข้องอย่างรอบด้าน ๓๖๐ องศาและลุ่มลึกในศาสตร์สาขา
ท่ตี นเองถนดั และสนใจ มคี วามจำ� เป็นอยา่ งย่งิ เพอื่ ใช้เปน็ ฐานข้อมูลประกอบการวเิ คราะห ์ การอภปิ รายผล
การศึกษาวิจยั และการตัง้ โจทย์หัวข้อการศกึ ษาวจิ ยั สร้างสรรคห์ รอื ออกแบบในเบ้อื งตน้ ใหม้ ีน้�ำหนักและความ
เป็นไปได้ โดยข้อมูลเพ่อื น�ำมาใช้ในการวิเคราะหจ์ ะประกอบด้วยคือ
วธิ คี ดิ ทางศิลปะออกแบบขัน้ สงู 191
(๒.๑) ข้อมลู เชิงทฤษฎแี ละความรคู้ ือขอ้ มูลท่ไี ดจ้ ากการรู้ถงึ รทู้ ั นและก้าวทันความเปลย่ี นแปลงทาง
ทฤษฎีและความร ู้ รู้ถงึ แกน่ สารอนั เป็นปัจจัยสำ� คัญและรูว้ า่ ส่งิ ทร่ี นู้ ั้น มีประโยชนอ์ ย่างมากต่อการนำ� ไปใช้ไดจ้ รงิ
ในสังคมใหมแ่ ละโลกใบใหมน่ ี้ ทีม่ ีวธิ ีคดิ และมมุ มองเกีย่ วกบั ความรู้ความจริงมคี วามแตกตา่ งหลากหลายกันไป
มคี วามเปน็ ไปได้และความจริงในแต่ละเส้นทางไดแ้ ก ่ ๔ แกนศาสตร์ทางศลิ ปะประกอบด้วย ประวัตศิ าสตรศ์ ิลปะ
สนุ ทรยี ศาสตร์ ทฤษฎศี ลิ ปะ และศิลปวิจารณ์ ซึง่ ทง้ั ๔ แกนล้วนเป็นหลกั วชิ าและแก่นของการเรยี นรกู้ ารวิจัย
ทางศิลปะออกแบบ ใหม้ เี หตุผลและความนา่ เชอ่ื ถอื มคี วามทนั สมัยและก้าวหน้าเพือ่ แกป้ ญั หาสรรพส่งิ ในสงั คม
วฒั นธรรมใหล้ ุลว่ งไป
การสร้างศลิ ปะและออกแบบในสมัยใหม่ยุคหลงั มีวธิ ีคิดแบบรื้อสร้าง และสรา้ งทวนซ�ำ้ ใหม่
(Reconstruction) ด้วยการอาศยั จากการทบทวนข้อมูลเดิม การสรา้ งสรรคแ์ ละการออกแบบเดมิ เพอื่ ค้นหา
สื่อส่ิงที่แฝงเรน้ หรือซอ้ นทบั กนั อยู ่ มองและรับรดู้ ้วยอายตนะแบบปกตอิ าจไมเ่ หน็ และรับรู้ไมไ่ ด ้ ต้องอาศยั วธิ ี
การรอ้ื สร้างและถอดรอื้ ขอ้ มลู จากส่ือส่ิงเหลา่ นั้นเชน่ “นามธรรมไรร้ ูปทางสากลลักษณะ” ว่ามันมคี ณุ สมบตั ิ
(Property) คณุ ลักษณะ (Quality) เป็นอยา่ งไรในความเป็นสมัยใหม่นิยม หรือหลังสมยั ใหม่นิยมเป็นต้น
การรถู้ งึ ขอ้ มูลสอ่ื ใหม่ (New Media) ทางศิลปะออกแบบ เพือ่ นำ� ไปสู่ศิลปะแบบก้าวหนา้ ออกแบบ
ทันสมัยและน�ำไปส่โู ลกใหมไ่ ด้จงึ เป็นเรอ่ื งทีผ่ เู้ ก่ียวข้องตอ้ งมีความตนื่ ตัว และคน้ หาแนวทางเพื่อวธิ กี ารแบบใหมๆ่
ใหพ้ บทำ� อย่างไรจึงจะสามารถสรา้ งความแตกตา่ ง ในโลกทีม่ กี ารแข่งขันทางธุรกิจการค้า และอตุ สาหกรรมสงู
ท�ำอย่างไรจะทำ� ใหส้ นิ ค้าและ Brand มคี วามเปน็ มากกวา่ เครื่องหมายการค้า ดว้ ยการยกระดับความชน่ื ชมภักดี
ตอ่ องคก์ รและกระบอกเสียงใหม้ ั่นคง
การจะร้แู บบนไี้ ด้ ตอ้ งรู้ถงึ ขอ้ มูลจากการทบทวนวรรณกรรมและงานสร้างสรรคม์ าเปน็ อยา่ งดีจนสามารถ
กลั่นสาระอนั เป็นแกน่ สารในความมีความเป็นสากลลกั ษณะของนามธรรมไรร้ ูปทางศิลปะทั้งสองได้ ซึง่ การรถู้ ึง
ขอ้ มูลเชน่ น ้ี จะมีความรสู้ กึ และลกึ ซึ้งในรูปและความนัยขนั้ สงู ดว้ ยกระบวนการศกึ ษาขอ้ มูลวเิ คราะห์ข้อมลู มาแล้ว
เป็นอยา่ งดี จนสามารถค้นพบค�ำตอบอนั เป็นปรศิ นาได้
ความเป็นไปไดข้ องโจทย์ชาตแิ ละโลกมีความจ�ำเปน็ ตอ้ งรู้ถึงข้อมลู ส่ือแบบใหม่เพม่ิ ขน้ึ ไมว่ ่าจะเป็น
กาลเวลาแหง่ ยคุ สมัย Universal Element in Art & Design และ Universal Principle in Arts Design
สรา้ งและออกแบบแผนการพฒั นาศลิ ปะและออกแบบในมมุ มองใหม่ๆ สร้างโอกาสทางธุรกิจใหมด่ ้วยการรบั รู้
และสัมผสั กบั คณุ ค่าในส่ือสง่ิ ที่ไม่รู้ลืม ในมติ แิ ละนยั ใหม ่ (ตารางท่ี ๙) ซ่งึ การมองเห็นโอกาสจากการศึกษาขอ้ มูล
และการทบทวนวรรณกรรม สอ่ื สารสนเทศอยา่ งเข้าใจและเขา้ ถงึ คณุ สมบัติ และคณุ คา่ ของมนั อย่างแทจ้ ริงแลว้
จะชว่ ยใหม้ ีทางออกทด่ี แี ละมีพลงั เสมอ
192 วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบขน้ั สงู
ตารางท่ี ๑๐ ขอ้ มลู จากสื่อใหมท่ างศลิ ปะออกแบบ
(๒.๒) ขอ้ มูลเชงิ ปฏบิ ตั ิและสร้างสรรค ์ กจิ กรรมการปฏบิ ัติและสร้างสรรคท์ างศิลปะออกแบบ เป็น
กระบวนการของทักษะทางปัญญา (Intellectual Skill) เช่นเดียวกนั ทผี่ ่านมามคี วามเขา้ ใจว่าเรอ่ื งของทฤษฎี
และปฏิบัตสิ ร้างสรรค์ จะเปน็ ขั้วตรงกนั ขา้ ม มองการปฏบิ ัติเป็นเพียงเร่ืองของทักษะพิสัย (Skill Motor)
ต้องอาศัยฝีมอื และความช�ำนาญจากการปฏิบัติการกระทำ� งานหน่งึ ๆ ใหเ้ กดิ ผลเป็นทพี่ ึงพอใจ
ปัจจุบันการปฏบิ ัติ เปน็ เรอื่ งของทกั ษะทางปญั ญาชนดิ หน่ึง เราสามารถคดิ ผา่ นงานศลิ ปะออกแบบได ้
คดิ วเิ คราะหป์ ฏิภาณไหวพริบจากการแกป้ ัญหาในการทาํ งานหนง่ึ ๆ ได้ ดังน้ันข้อมลู และปรากฏการณจ์ าก
การปฏิบตั สิ รา้ งสรรค ์ ในการทำ� อะไรให้งานหัตถกรรมเดมิ ภมู ิปัญญาเดมิ ให้ยกระดบั ข้ึนเปน็ นวัตกรรมใหม่ หรือ
คิดทำ� ใหเ้ กิดความกา้ วหนา้ มีความคิดสร้างสรรค์แบบใหม่ได ้ กระบวนการตามหลักการของ จอห์น ดิวอ ี้
ท่รี ะบุถึงวธิ ี (Mean) ผล (End) และความเชือ่ มโยง (Relation) เพือ่ สะท้อนใหเ้ ห็นถึงความเกีย่ วข้องระหวา่ ง
เหตุและปัจจัย หรือเหตแุ ละผลจากการกระท�ำแบบเช่ือมโยงกนั ไปเปน็ ล�ำดับ ช่วยใหอ้ ่านขอ้ มูลจากกระบวนการ
ไดส้ ะดวกยงิ่ ขน้ึ
การรถู้ ึงข้อมลู วา่ มีวธิ ีทำ� อยา่ งไร (How to Do) ดว้ ยการก�ำหนดลำ� ดับและลกั ษณะการท�ำงานปฏิบตั ใิ ห้
เป็นขัน้ ตอนได้แก่ ก่อนสรา้ งสรรค์ - ระหว่างสร้างสรรค์ - และหลังสรา้ งสรรค ์ หรอื Pre Production -
Production - Post Production จะช่วยให้เกิดความสะดวกราบรื่น ในการปฏิบตั เิ ป็นการเฉพาะกบั สง่ิ นั้น
และเผยใหเ้ หน็ ถึงผลสัมฤทธข์ิ องการปฏบิ ัติหน่ึงๆ อนั เปน็ ข้อมลู ของแบบทีท่ �ำซ้�ำได้
วธิ ีคิดทางศิลปะออกแบบขัน้ สูง 193
ภาพที่ ๙๓ ผลงานของรอย ลิชเชนสตีน (Roy Lichtenstein) “In the Car” (๑๙๖๓) ศลิ ปินกลมุ่ Pop Art
ด้วยการนำ� ภาพการต์ นู มานำ� เสนอปรชั ญาตามหลักคิดสว่ นตนในความเปน็ เอกภาพใหม่ ด้วยการใช้
Manga Color บนผืนผา้ ใบและขยายภาพการต์ ูนเดิม ใหม้ ีขนาดโตขึ้นดว้ ยเทคนิคของหนว่ ย
การออกแบบของพนื้ ท่วี า่ ง พื้นทีจ่ ุดเปน็ การเฉพาะดว้ ยการใช้เสน้ เนน้ ยำ้� รายละเอยี ดและแบบแผน
การท�ำงานอยา่ งเรยี บงา่ ยเป็นต้น
ทมี่ า : Judith Collins : John Welchman and other. Techniques of Modern Artists. ๑๙๘๓
194 วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบขนั้ สงู
การรู้ขอ้ มลู จากการปฏบิ ตั ิท่ีลกึ ลงไปสงู ขน้ึ ไปคอื “การรู้ขอ้ มลู อะไรที่ทำ� ” (What to Do) ด้วยการ
แจกแจงลักษณะการรู้นั้น มีการระบเุ จาะจงลกั ษณะและวิธีการปฏิบัตแิ บบมที างเลือกว่า เส้นทางใดมคี วาม
เหมาะสมและเป็นไปได ้ เพื่อน�ำไปสูเ่ ป้าหมายทีก่ ำ� หนดไว ้ โดยต้องเปดิ เผยใหม้ องเห็น การก�ำหนดกฎเกณฑ ์
หรอื การเนน้ ยำ�้ ขอบข่ายของการกระท�ำในเส้นทางท่พี ิจารณาว่าเหมาะสม และเกิดประโยชนส์ งู สุดในทางศลิ ปะ
และการออกแบบ อาจกล่าวได้ว่ากระบวนการทดลองปฏิบตั ทิ างศิลปะ (Artistic Method) หรอื เชงิ คณุ คา่ นั้น
เปน็ วธิ กี ารเรียนร้เู ชิงคุณคา่ และมวี ธิ ีการทดลองอย่างได้ผลสมบูรณ์เช่นเดยี วกับทางวิทยาศาสตร์
การเรียนรจู้ ากการปฏบิ ตั สิ รา้ งสรรค ์ “Learning by Doing” ขอ้ มลู ส่วนนี้จะได้จากประสบการณ์
ตามผัสสะโดยตรง (Sensation) จากข้อมลู ความร้ทู สี่ ะทอ้ นออกมาให้รบั รู้และรู้สกึ ได ้ อนั เกดิ จากประสาทสัมผัส
ทางตาหจู มูกหรอื กายปะทะสมั ผัสจากการกระทบรู้ (Transaction) ขณะปฏบิ ัติสรา้ งสรรคห์ รือออกแบบกต็ าม
ซง่ึ การสมั ผสั รโู้ ดยตรงแบบนี้จะได้ความรโู้ ดยตรง (Direct Knowledge) จากส่อื สงิ่ ที่เราสร้างข้นึ มาไปตาม
การครนุ่ คิดพจิ ารณาหรอื การแสวงหา การทดลอง การผจญภยั เป็นตน้
การศึกษาขอ้ มลู และสรา้ งขอ้ มูล (สรา้ งงานศลิ ปะออกแบบ) จากการปฏิบัติสรา้ งสรรค์จะดำ� เนินการ
ควบคกู่ ันไป ศิลปินนักออกแบบจะเปน็ ทง้ั ผศู้ กึ ษาข้อมลู และสร้างข้อมลู หรอื สร้างงานพรอ้ มกนั ไปในกระบวนการ
ก่อนหรอื หลงั การสรา้ งสรรค์ ตามทก่ี ล่าวมาแล้วถึงหัวข้อทำ� อย่างไร ดังนน้ั การรจู้ กั บนั ทึกและเกบ็ ข้อมูลจากส่ือส่ิง
จากประสบการณข์ ณะทำ� งานในแตล่ ะขณะหรือสร้างข้อมูลในแตล่ ะข้นั ตอนขณะท�ำงานต้องด�ำเนนิ การควบคู่กนั ไป
เพ่ือให้สาระแกน่ สารทีไ่ ด้รบั มีความครบถ้วนสมบูรณ์
ตารางที่ ๑๑ ข้อมลู วฒั นธรรม ๔ ภาค
วธิ ีคิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สูง 195
(๒.๓) ข้อมลู เชิงคุณคา่ และคณุ ภาพ ขอ้ มูลสว่ นนี้มคี วามเกย่ี วขอ้ งกับสุนทรยี ศาสตรห์ รือศาสตรเ์ ชงิ
คุณค่าและสุนทรีย ไมว่ า่ จะเปน็ สุนทรยี ทางธรรมชาต ิ หรอื สนุ ทรยี ทางศิลปะก็ตาม ข้อมูลเชิง “คุณค่า” ใน
ความท่ัวไปหมายถงึ สิ่งทม่ี ปี ระโยชน์หรือมมี ูลค่าสงู แตกตา่ งจากคำ� ว่า “คุณภาพ” อนั หมายถึงลกั ษณะเด่นของ
บุคคล หรือสิ่งของ ข้อมูลลักษณะน้ไี ด้จากการรบั ร ู้ การรูจ้ ากความซาบซ้ึง ความคุ้นเคยและการระลกึ ได้ ข้อมลู
เชิงคณุ คา่ ไดแ้ ก่ “วตั ถศุ ิลปะ” จะใหค้ า่ ของรสเมือ่ รับรูว้ ตั ถศุ ลิ ปะนีจ้ ะได้สนุ ทรยี รสเกดิ ขนึ้ เปน็ รสชาตจิ ากการรบั
รสู้ กึ ทางความคดิ ไปตามจิตชอบและใจรูส้ ึก
ขอ้ มูลเชิงคุณค่ามหี ลายประเภท คอื เป็นไปตามระเบยี บของการประเมนิ ค่าวตั ถุ ความประพฤตแิ ละ
ความคดิ วา่ มีคุณค่าทางอารมณ์มากนอ้ ยเพียงใด เราประเมินและตดั สนิ ด้วยค�ำว่า สวยงาม นา่ เกลยี ด น่าทึ่ง
แปลก หรือมคี วามตื่นตาตืน่ ใจ มีสีสัน มีความน่าสนใจเป็นต้น ซง่ึ ประเภทของคณุ คา่ เหล่านยี้ ังสามารถ
พิจารณาไปตามระดบั อ่ืนๆ ได้อกี ไดแ้ ก่ตามขอบเขตคอื แบง่ เรือ่ งของคุณค่าออกไปเปน็ “คณุ ค่าท่วั ไป”
(Generically Value) อนั เปน็ คุณค่าส่วนรวมของศิลปะหน่วยใดหนว่ ยหนึง่ และคุณคา่ เฉพาะ (Specifically
Value) อนั เป็นคณุ คา่ ท่ปี ระเมนิ ให้เฉพาะสว่ นใดส่วนหนง่ึ ของศลิ ปะหน่วยหนงึ่ ได้แก่ ศิลปวฒั นธรรมท้องถน่ิ
สว่ นกลางและระดบั สากล ตามท่ีกลา่ วมาแลว้ ในบทที่ ๒ (การไตร่ ะดบั ความคดิ ทางศิลปะออกแบบ เรอื่ งของ
ลกั ษณะทั่วไปหรอื สากลกบั ลกั ษณะเฉพาะ)
พิจารณาตามความสำ� คัญของขอ้ มูลเชิงคณุ ค่าทางสุนทรีย (Aesthetic Value) ยังแบ่งออกได้เป็น
๒ ลักษณะคอื คณุ คา่ ภายใน และคุณคา่ ภายนอกโดยเฉพาะเรื่องของคณุ คา่ ภายในอันสะทอ้ นถึงคติความเชอ่ื
ค่านยิ มความเป็นอดุ มคตขิ องชาติ หรือของท้องถ่ินภูมิภาคที่ต่างแฝงเรน้ ความหมายแฝงในเชิงคุณค่าภายในอะไร
ตา่ งๆ ไวม้ ากมาย (ตารางท่ี ๑๑) การศึกษาข้อมลู วัฒนธรรม ๔ ภาค เหลา่ นี้ ต้องเข้าถงึ แก่นทซ่ี อ่ นอยู่ เชน่
ภาคเหนอื หรือลา้ นนาต้องพจิ ารณาวิเคราะหถ์ งึ อิทธพิ ลหรือการหยบิ ยืมศิลปะจากพมา่ ผ่านรปู แบบลวดลาย
การวาดภาพและการแกะสลัก เชน่ เดียวกบั ความนัยจากสง่ิ ปลกู สรา้ งเรอื นพน้ื ถ่ิน สถูปเจดีย์ทต่ี า่ งมีการผสมผสาน
แบบอย่างพมา่ ให้ตคี วามไดเ้ ปน็ ต้น
เรือ่ งคณุ ค่าภายในเป็นเร่ืองของข้อมลู แฝงความหมายแฝง ในทางวฒั นธรรมไทยและตะวันออก จะเป็น
คณุ ค่าทางปญั ญา (Intellectual Value) และทกั ษะทางปญั ญาจากความคดิ อุดมคต ิ จากการคิดการปฏบิ ตั ิ
ด้วยการแก้ปัญหาอย่างชาญฉลาด เพือ่ ให้ไดศ้ ลิ ปะออกแบบอย่างไทย มีความงดงามและลงตัวกับบริบทสงั คมไทย
พรอ้ มมีคุณคา่ ทางจติ ใจ (Spiritual Value) ท่ีสอดประสานไปกบั ศลี ธรรมจรรยาทางศาสนาและวัฒนธรรมควบคู่
กนั ไป
การศึกษาข้อมลู เชิงคณุ คา่ ต้องเขา้ ใจสือ่ สิ่งและเข้าถงึ แก่นเชน่ ค่าเฉพาะของมลู ธาต ุ ทศั นธาตุและ
ไวยากรณ์ทางศิลปะอนั เป็นลักษณะเฉพาะหรือลกั ษณะร่วมระหว่างกันวา่ มสี าระอะไรบ้าง ในขั้นต้นจะตอ้ ง
แยกแยะคำ� กญุ แจหลกั ๓ ค�ำ ใหอ้ อกจากกนั ไดแ้ กค่ ำ� วา่ คุณสมบัต ิ คณุ ภาพ หรือคุณลักษณะ และคณุ คา่ ตาม
ตวั อยา่ ง
196 วิธีคดิ ทางศิลปะออกแบบขนั้ สงู
ตวั อยา่ ง :
ขอ้ มลู เชงิ คณุ สมบตั ิ มีความเกีย่ วข้องกับลักษณะทางกายภาพภายนอกของรูปความหมายเนอ้ื หาท ่ี
บ่งบอกถึงความมีความเป็นมาของสื่อส่ิง อนั มลี ักษณะอย่างหน่ึงอยา่ งใดเป็นการเฉพาะ เชน่ “วัฒนธรรมอีสาน”
มี “คุณสมบัต”ิ ของความเปน็ วิถีของผู้คนที่ยดึ โยงอย่กู บั ฮตี ๑๒ คลอง ๑๔ และความเชื่อเกย่ี วกบั ผฟี า้ และ
ปตู่ าเป็นตน้ ส่วน “คณุ ภาพ” ในความเป็นวัฒนธรรมอสี าน มีความเป็นอยู่อยา่ งเรียบง่าย สอดคล้องไปกับ
ภมู ิวัฒนธรรมในแต่ละท้องถ่ิน โดยมอี าหารการกินจะไดร้ บั ความนยิ มไปทั่วโลก (สากล)
สว่ นเร่อื งของ “คณุ คา่ ” ในวฒั นธรรมอสี าน ข้อมูลส่วนนีจ้ ะเป็นการรถู้ ึงเขา้ ถงึ พลังลำ�้ ลกึ อยูภ่ ายใน
ทางจิตวญิ ญาณขณะเมอื่ รบั ประสบการณท์ างสุนทรยี ะจากการด ู การชม การฟัง และการลิม้ รส ทีส่ ือ่ สิง่ นน้ั
ใหต้ อ่ เรา เราร้สู กึ อยา่ งไรซึง่ เปน็ เรื่องของจิตใจลว้ นๆ กับสภาวะของค่าสนุ ทรียะท่ีอยตู่ รงหน้าและการเล่อื นไหล
เปล่ยี นแปลงของค่าอยตู่ ลอดเวลา ไปตามการขจรของค่าหน่งึ ๆ กบั ประสบการณห์ นึ่งๆ
ในการรบั ข้อมลู เชงิ คุณค่าเช่นน ้ี ตอ้ งบอกและอธิบายถึงอารมณค์ วามรู้สึกที่ได้ ดว้ ยประสาทสมั ผสั
ของเราท้งั กายและใจว่า “มคี วามรู้สกึ อย่างไร” “อะไรและอยา่ งไร” ของคณุ ค่าทไ่ี ดร้ บั รูส้ กึ กบั ค่าขจรหนง่ึ น้ัน
มีความซาบซึ้งอะไร กนิ ใจอะไร หรอื ความมชี ีวติ ชีวาแบบใหม่ๆ ท่บี งั เกิดข้ึน ของความเป็นสนุ ทรยี รว่ มสมยั
ออกแบบรว่ มสมัยอย่างมีสีสันอะไรอย่างไรเป็นตน้ ท้งั นี้ เพ่อื ให้การบันทึกขอ้ มูลเปน็ ไปดว้ ยความมรี ะเบยี บระบบ
และมคี วามต่อเนือ่ งอย่างมีลำ� ดับ และระดับความชดั เจน สามารถตรวจสอบและทวนสอบส่วนตนได ้ ควรแสดง
รายการขอ้ มูลสง่ิ ทไี่ ด้รบั มาก่อนหลังในรปู ของตารางเชน่
วธิ ีคดิ ทางศิลปะออกแบบข้นั สูง 197
ตารางที่ ๑๒ ตัวอย่างรายการแสดงสง่ิ ทีเ่ กดิ ข้ึน (Chronological) กอ่ นหลงั ในพน้ื ทบ่ี รรจุขอ้ มลู
๕.๓ การวเิ คราะห์อยา่ งมีหลกั คิด
การคิดเชิงวิเคราะหด์ ้วยหลกั คดิ จะชว่ ยให้การคิดและแนวความคดิ ตา่ งๆ อยู่บนฐานของตรรกะ มหี ลักคิด
ของเหตผุ ลและมีความนา่ จะเป็นไปได ้ มผี ลอยา่ งส�ำคัญใหก้ ารคดิ จนิ ตนาการหรือสรา้ งสง่ิ ใหม่จะไดร้ บั การ
ตรวจสอบวา่ ความคดิ ใหมน่ ้นั ใช้ได้จรงิ หรอื ไม ่ และถ้าจัดสร้างหรอื ออกแบบอย่างใดอย่างหนึ่งใหใ้ ชไ้ ด้จริง ควรมี
แนวทางวิธีการเปน็ อย่างไรเปน็ ต้น เมือ่ ไดค้ ำ� ตอบกระจา่ งแลว้ จงึ นำ� ไปเชื่อมโยงความสัมพันธร์ ะหว่างสื่อส่งิ ที่
จินตนาการขึ้นมา กบั การน�ำมาใชใ้ นโลกแหง่ ความเปน็ จริงเชน่ สิง่ ประดิษฐ์ นวตั ศิลป ์ การออกแบบตา่ งๆ
ในปัจจุบัน
198 วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้ันสงู
๕.๓.๑ แสวงหาความนา่ จะเปน็ คอื การแสวงหาท่มี ีความสอดประสานม ี Consistency
กับปัญหา คุณคา่ ความสำ� คญั และข้อมูลทีไ่ ดใ้ นข้อ ด้วยวิธดี ังน้ี
(๑) การวิเคราะห์การรอ้ื สร้างค้นหาคณุ สมบัต ิ ด้วยการแยกแยะและถอดหาคณุ ลักษณะทีเ่ ป็นจุดแขง็
มีความเกี่ยวโยงกบั หัวขอ้ ทศ่ี ึกษาและปญั หาทเ่ี ก่ียวข้องไปเป็นล�ำดบั เชน่ การวิเคราะหว์ ัฒนธรรมอาเซียน
รสนยิ มอาเซยี น อะไรท่ีน่าจะเป็นไปได้ มองเหน็ ผลลัพธใ์ นเบ้อื งต้น และมโนภาพโดยรวมของคุณสมบัติ
Lifestyle รสนยิ มอยา่ งหนง่ึ อย่างใด เช่นแบบอย่างของการออกแบบผลิตภณั ฑท์ สี่ อดคลอ้ งไปกับคตคิ วามเชื่อ
ทางศาสนา
การเก็บขอ้ มูล การจัดจ�ำแนกแจกแจงอย่างเปน็ ระบบ ระเบยี บในรปู ของตาราง แผนภาพ และกราฟสถติ ิ
มาแลว้ อย่างครอบคลมุ ไดห้ ลักฐานข้อมูลอม่ิ ตวั มีความชดั เจนด ี จะช่วยให้การวิเคราะหว์ ัฒนธรรมของความ
เฉพาะดา้ นจากสื่อสงิ่ เหล่านั้น ได้ผลกระจ่างชัดตามไปดว้ ย “กรณีศึกษาอตั ลกั ษณ์เครือ่ งประดับกลุ่มประเทศ
อาเซยี น เพือ่ การออกแบบร่วมสมยั ” ของ ศมลพรรณ ภูเ่ ล็ก คอื ผลการศกึ ษางานเครื่องประดบั ทีม่ คี ุณคา่
เพ่อื การส่งออกในประชาคมภูมภิ าคอาเซยี น ซึ่งอุตสาหกรรมด้านนีม้ ีมูลค่าการสง่ ออกเปน็ ลำ� ดบั ที่ ๓ ของประเทศ
ในวงเงิน ๔๐๘,๐๔๐ ลา้ นบาท ซ่ึงตลาดเครื่องประดับมกี ารขยายตวั อย่อู ย่างตอ่ เนอื่ งแตข่ าดการศกึ ษาเรือ่ งน้ี
อยา่ งจริงจงั
ภาพที่ ๙๔ ตวั อยา่ งการออกแบบ
เคร่ืองประดับบางส่วนของพมา่
(ภาพล่าง) และเคร่อื งประดับ
ลักษณะตา่ งๆ จากการออกแบบ
ร่วมสมยั ด้วยการอาศยั การ
Renovated แบบอย่างเดมิ
ขึ้นมาใหม่ ใหส้ อดคล้องกับ
Lifestyle รสนยิ ม และคติ
ความเช่อื
ท่มี า : ศมลพรรณ ภเู่ ล็ก. การศึกษา
อตั ลกั ษณ์เคร่อื งประดับกลุ่ม
ประเทศอาเซยี นเพือ่ การออกแบบ
รว่ มสมัย
วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบขัน้ สูง 199
การวิเคราะหเ์ พอ่ื การค้นหาถึงความน่าจะเปน็ จะช่วยน�ำไปสคู่ วามเขา้ ใจรูปความหมายทมี่ ีความซับซอ้ น
และมองเห็นผลลพั ธ ์ หนา้ ตาของผลงานออกแบบหรอื ศิลปะในเบอื้ งต้น หรอื การเสนอแบบจ�ำลองน�ำร่อง ผา่ น
มโนภาพโดยรวมอย่างหนึง่ อย่างใดถือเปน็ เปา้ หมายสำ� คญั ย่งิ วิเคราะหค์ วามคิดนามธรรม สุนทรียนามธรรม
และมรดกวัฒนธรรมท่จี ับตอ้ งไม่ได ้ (Intangible Culture) มีความหมายแฝงอย่างลมุ่ ลึก ถา้ การวเิ คราะห์
สามารถค้นพบแกน่ ของคุณสมบัติจากเน้อื หาภายในอันสลบั ซับซ้อนได้วา่ ส่ือสงิ่ นั้นมอี ะไรประกอบอยูบ่ ้าง
เรมิ่ ต้ังแตโ่ ครงสรา้ งของรูป โครงสรา้ งของวัตถสุ อ่ื และโครงสรา้ งทางความหมาย มีส่วนประกอบผสมและ
ซ้อนสัมพนั ธก์ ันอย่างไร
ตัวอยา่ ง : การวิเคราะหถ์ ึงอัตลักษณศ์ ลิ ป์อสี านใต้
200 วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สงู
การวิเคราะห์เช่นนี้ ต้องพยายามค้นหาสาเหตุของการเกิดภาพ หรอื สิ่งทปี่ รากฏตามที่มันเป็น
(โครงสร้างทางรูป โครงสรา้ งทางวตั ถุส่อื จากตวั อยา่ ง) อยา่ ดว่ นสรุปอย่างใดอย่างหน่ึงตามที่เหน็ แตค่ รั้งแรก
จนกวา่ จะมกี ารวิเคราะหอ์ ยา่ งครบถว้ นรอบคอบ ยง่ิ หากเปน็ การศึกษาในระดับสูงมากเทา่ ใด ยง่ิ ตอ้ งมีความ
รอบคอบและสาวลงลึกไปจนถงึ สาเหตขุ องปญั หามากข้ึนเทา่ นน้ั
อาศัยการวิเคราะห์ดว้ ยหลักเกณฑเ์ ฉพาะถึง ความพิเศษแหกคอกของคุณสมบัติผลงาน หรือใช้ทฤษฎี
ภูเขานำ�้ แขง็ ที่เกยี่ วขอ้ งกับจิตสำ� นึก (Conscious) จติ ไร้ส�ำนึก (Sub - Conscious) อย่ภู ายในจิตใจเปน็ ความ
นึกคิด รสู้ ึก ส�ำนึกและไร้สำ� นกึ เชน่ เดยี วกับภูเขาน้�ำแข็งใต้น้�ำ จากสงิ่ ท่มี องเหน็ ได้เฉพาะสว่ นโผลพ่ น้ น�้ำกับสว่ น
ท่อี ย่ใู ต้น้�ำ การรับรู้เราไม่สามารถคาดคะเนได้วา่ มีลักษณะเป็นอยา่ งไร มคี วามลกึ ต้นื มากนอ้ ยเพยี งใด
ตวั อยา่ ง :
วิธีคดิ ทางศิลปะออกแบบขนั้ สงู 201
การมองเหน็ ความนา่ จะเปน็ ของสัญญาณเชิงนยั ท่ีบง่ ชี้ ของสอ่ื สงิ่ มที ้งั แสดงรูปและไรร้ ปู จะเป็นไปตาม
รูปความหมายและคุณสมบัติของความเป็นสากล ความเปน็ ท้องถ่ิน ความเป็นสมัยใหมแ่ ละหรือสิ่งท่หี ยิบยืมมา
เชงิ วฒั นธรรม การจะอ่านหรอื การรอ้ื สร้างให้เกิดผลไดน้ นั้ ในความเปน็ ไปไดแ้ ละเกดิ ผลจริง ตอ้ งอาศัยหลกั
สญั ศาสตร์ (Semiotics) หรือสญั วทิ ยา เข้ามาช่วยถอดความร ู้ ความคิดและความหมายจากสัญลกั ษณ์
เครื่องหมายซึ่งเป็นภาพตวั แทน ของสงิ่ แทนของความคิด แนวคดิ และความหมายในส่งิ ที่อ้างถึงโดยศึกษา
วเิ คราะห์จากการสะท้อนออกมาในรูปความคือ
(๑) รปู สัญญะ (Signifier) คือตวั หมาย
(๒) ความหมายสัญญะ (Signified) คอื ตัวหมายถงึ (ตรง - แฝง)
“การถอดรือ้ ความร ู้ ความจริงในเชิงภาษาศาสตร”์ น้ัน จะมีความเกยี่ วข้องกับคำ� (Word) และความคิดอันเป็น
Concept ของค�ำ การวเิ คราะห์และตคี วามภาษาข้างตน้ ไดต้ อ้ งอ่านภาษาและไซเบอรใ์ หอ้ อก ดว้ ยการรื้อสร้าง
คือการวิเคราะห์ตัวบท ภาษาเขียน ไซเบอร์อย่างพินิจพเิ คราะห์ เพอ่ื ค้นหาความขัดแยง้ การแบ่งแยกแตกต่าง
ของภาษาท่ีมีความเล่ือน หรือการเคลอ่ื นไปเวียนไปอย่างไม่มที ส่ี น้ิ สุด ของภาษาจากถอ้ ยค�ำ ความหมายและ
การทับซอ้ นกนั จากมายาคติทีเ่ ขียนขึ้น
โรลองค ์ บารท์ (Roland Barth) นกั สญั วิทยาไดน้ ำ� การวเิ คราะหส์ ัญญะวิทยา ไปใช้กับวัฒนธรรมศกึ ษา
และใหค้ วามหมายสญั ญะนน้ั มอี ยู่ ๒ ระดับคือ “ความหมายตรง” (Denotation) คือสิง่ ท่สี ร้างขน้ึ อย่างเป็น
ภาวะวิสยั (Objective) เปน็ ความหมายทีผ่ ู้ใช้เขา้ ใจตามอกั ษรและเป็นทย่ี อมรับท่ัวไป และ “ความหมายแฝง”
Connotation ทีเ่ กดิ ขึ้นจากการตคี วามโดยอตั วสิ ัย (Subjective) และขนึ้ อยกู่ ับตวั บุคคลและประสบการณ์
ต่างๆ หรือบรบิ ททางสงั คมวฒั นธรรมหนึ่งๆ ในผลงานท่ีเรียกวา่ “มายาคติ” (Mythologies) อนั หมายถงึ
การส่อื ความหมายดว้ ยคติความเชอื่ ทางวฒั นธรรม และถกู ท�ำให้เป็นท่ีรบั ร้เู ชน่ เดียวกบั วา่ เปน็ ธรรมชาติเชน่ น้ัน
ตัวอย่าง
แผนภาพ ก การถอดรอื้ รูปความหมายทางวฒั นธรรม
202 วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้นั สูง
แผนภาพ ข
การจะวิเคราะห์เพ่อื คน้ หาคณุ สมบัตสิ ่ิงประกอบสร้างทางวัฒนธรรม ใหเ้ ข้าถงึ ตามท่ีมันเปน็ ปกติได้
มคี วามจ�ำเป็นต้องถอดรอื้ ความเข้าใจทก่ี ลายเป็นอื่น อนั เป็นมายาคติทซี่ อ้ นทบั ของสัญญะใหมว่ ่า มีกระบวนการ
อะไรทกี่ ่อให้เกดิ การเปลี่ยนแปลง ลดทอน หรือปกปดิ อำ� พรางในฐานะการเปน็ สัญญะของสอ่ื ส่งิ ในวัฒนธรรม
ใหก้ ลายเป็นอน่ื เปน็ สิง่ ปกติธรรมดา
ในการวิเคราะห์ถอดร้อื ภาษาภาพ นกั วิชาการดา้ น Visual Culture ได้ประยกุ ต์ค�ำวา่ Signifier
จนิ ตภาพอันเป็นตัวหมาย และ Signified ความหมายหรอื ตัวหมายถงึ ซงึ่ เป็นสาระเกี่ยวกบั รูปนยั และความนัย
การวิเคราะหส์ รา้ งต้องอา่ นภาษาภาพใหอ้ อกเช่น มลู ธาต ุ หลักการอันเป็นไวยากรณ์ทางศลิ ปะออกแบบ และ
การแสดงออกในอักขรวิธีต่างๆ อนั เป็นรูปภายนอกท่สี ะทอ้ นให้เห็นได้ถงึ โครงสร้างทางรูป และโครงสร้างทาง
เนื้อหาสาระ มีความเกาะเก่ียวกันใหเ้ กดิ เป็นผลงานศลิ ปะนั้นขึ้นมา
วิธีคิดทางศิลปะออกแบบข้ันสูง 203
อกี สว่ นคอื การถอดร้อื ถอดหาจติ วิญญาณ คือขอ้ เทจ็ จรงิ ที่ประสาทหรอื สายตา ต้องการคน้ หาเปน็
ภาวะสมมติหรอื ภาวะนามธรรมไร้รปู เป็นสงิ่ แฝงอยู่เบื้องหลงั ส่งิ ที่ไดเ้ หน็ อนั เป็นตวั หมาย การมชี ีวติ และตวั ตน
อนั เป็นความเป็นจรงิ ทางศิลปะ (Artistic Reality) และถือเปน็ ความจ�ำเปน็ ทางใจและความปรารถนาใน
การแสวงหาความรขู้ องโลกทางอุดมคตขิ องโลกตะวันออกอีก ซีกหนง่ึ เช่นเดยี วกับ ตัวอย่าง
ตัวอยา่ ง : การรื้อสร้าง (Deconstruction) หาความรู้ความจริงทางศลิ ปะ
(๒) แสดงขอ้ อ้างความนา่ จะเปน็ ดว้ ยเครื่องมือชว่ ยคิด โลกแหง่ ความน่าจะเปน็ และเปน็ ไปได้ทาง
ศิลปะออกแบบในยคุ ใหม่ นนั้ มสี ่ือใหม่ มเี ครอ่ื งมืออำ� นวยความสะดวกช่วยคิด และมีแนวทางของกระบวนทศั น์
ทางความคิด ความร้ทู ี่เปดิ กวา้ งออกไปใหค้ ิดต่อ คดิ ตามและคิดตา่ งอยา่ งหลากหลายท้ังในโลกของความจริง
และโลกแห่งจินตนาการหรอื อดุ มคติ เหตปุ จั จัยดังกล่าวได้น�ำพาศิลปะออกแบบใหก้ ้าวไปส่คู วามเป็นไปไดใ้ นโลก
ทเี่ ปน็ ไปไดอ้ ย่างอเนกอนันต ์ จนเกิดค�ำถามว่า อะไรคือความร้แู ละความจริงทางศิลปะออกแบบ (Probability)
และเปน็ ไปได้ (Possibility) บนเสน้ ทางทีม่ ันควรจะเป็น
(๒.๑) ภาพการวิเคราะห์นำ� ทาง อะไรเป็นไปไม่ได้และอะไรเปน็ ไปได ้ ของความเปน็ เชน่ นั้นทางศลิ ปะ
ออกแบบ หรือการจะกล่าวอา้ งถงึ ความนา่ จะเป็น ดว้ ยการบรรยายอย่างเล่อื นลอยของเหตุผลส่วนตนถา่ ยเดี่ยว
หรอื อาศัยท่วงทำ� นองแหง่ โลกสดุดีดว้ ยภาษาพระ ภาษาหมอ ซึง่ เขา้ ใจได้ยากและเปน็ ไปคนละทิศละทางกบั
ภาพลักษณ์ที่ปรากฏอยตู่ รงหน้า อาจไมช่ ่วยให้ความเปน็ ไปไดท้ างศิลปะออกแบบกา้ วไปสู่ข้อเทจ็ จรงิ ได้
204 วิธีคิดทางศิลปะออกแบบข้ันสูง
การอธิบายและวเิ คราะหอ์ ยา่ งมหี ลกั การ และเกณฑ์ประกอบควบคกู่ ันไป จะช่วยนำ� สาระท่ีไดร้ ับไปสู่
ความเข้าใจในรปู ความหมายท่มี ลี กั ษณะสลับซบั ซอ้ น และมองไม่เหน็ ให้เปิดเผยคณุ คา่ ออกมาใหป้ ระจักษ์ไดน้ ้ัน
ต้องอาศยั เคร่ืองมอื ชว่ ยคดิ จากแผนภมู ิ แผนภาพ กราฟ และตาราง ซึง่ การวิเคราะห์ผา่ นเครือ่ งมอื ช่วยคดิ
ในเบือ้ งต้นจากแบบอย่างของเครอ่ื งมือที่มีความสอดคลอ้ งกบั ข้อมูลไปเปน็ ล�ำดบั จะช่วยให้ข้ออา้ งความนา่ จะเป็น
ของเหตผุ ล มนี �ำ้ หนักและความน่าเชื่อถือเกิดขึน้ เชน่ ตัวอย่างจากแผนภาพแสดงการถอดรอื้ โครงสรา้ งของ
ทศั นธาตทุ ีม่ อี ิทธพิ ลตอ่ การเคลอ่ื นไหวของ ตฤน กฤตตกิ ารอ�ำพล เพื่ออ้างถึงรปู ร่าง รูปทรง และพนื้ ผิวท่ีมี
ผลการเคลอื่ นไหวและการบำ� บดั เด็กออทิสติก เปน็ ตน้
ตัวอย่าง :
วธิ ีคิดทางศิลปะออกแบบข้ันสงู 205
เช่นเดียวกบั การวเิ คราะห์ภาพ “Guernica” ของปกิ สั โซ ในป ี ค.ศ.๑๙๓๗ ไดส้ รา้ งข้นึ เพ่อื แสดงการ
สนบั สนุนรัฐบาลฝา่ ยนยิ มระบบสาธารณรฐั ของสเปน กลมุ่ ตรงกันขา้ มกบั จอมพลฟรงั โกเปน็ พวกนยิ มระบบกษัตรยิ ์
ภาพเขียนขนาดใหญช่ น้ิ นีถ้ ูกสรา้ งเพือ่ เปน็ อนสุ รณแ์ หง่ ความทารุณโหดรา้ ยจากพวกนาซีเยอรมัน ได้สง่ ฝงู เคร่อื งบนิ
ทงิ้ ระเบิดมาโจมตีและทำ� ลายเมือง Guernica ลงจนยบั เยิน ภาพของปิกสั โซ เรอื่ งน้ีไดส้ ะทอ้ นใหร้ บั รูถ้ งึ เนอ้ื หา
ของความปา่ เถอ่ื น และความทารุณของสงคราม และรบั รสู้ ึกไดผ้ ่านสญั ลกั ษณใ์ นรปู ความนยั อันเปน็ ปรศิ นา ผา่ น
รปู ร่างและรปู ทรงของตวั เรอื่ ง เพอื่ ใหเ้ กิดความแจม่ ชดั ทดลองวิเคราะหแ์ ละรื้อสรา้ งคน้ หารปู ความหมายตรง
และความหมายแฝง ผา่ นสญั ลกั ษณจ์ ากผลงานของปีกัสโซด่ ้วยแผนภาพต่อไปน้ี
ภาพที่ ๙๕ รื้อสรา้ งและวิเคราะหภ์ าพ “Guernica” ของปกี ัสโซ เพือ่ คน้ หาสญั ลกั ษณข์ องรูปความหมาย
(ตรง - แฝง) ทีส่ อ่ื ถงึ “ความทารุณโหดรา้ ย” “ความทกุ ขข์ องประชาชน” และ “ความนัยอื่น”
ในทางนามธรรมของความคดิ
206 วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบขั้นสงู
การวเิ คราะห์เพอื่ แสวงหาความคดิ ความหมาย และการแสดงออกทางศิลปะออกแบบเพ่ือ ใหไ้ ดแ้ ง่คิด
หรือมมุ มองใหมจ่ ากภาพ “Guernica” ดว้ ยวิธกี ารร้อื สรา้ งนั้น ไมไ่ ด้หมายถึงการท�ำลายหากคอื การ ปรับขยับ
หรือปรบั เปล่ียนบางสว่ นเพื่อให้ได้สิ่งทีด่ ีกวา่ และกรอบภาพการรบั รู้ใหมๆ่ การปรับเปล่ียนหนงึ่ ๆ น้ัน หรือ
Deconstruction อนั หมายถึงการรือ้ สรา้ งดังแผนภาพ
ตัวอย่าง :
ทดลองการปรับขยบั ภาพ Guenica เพือ่ คน้ หารปู กบั พน้ื ท่ีว่างในการจัดองค์ประกอบเดมิ ไปสู่
แงม่ มุ มองใหม่ เพ่อื รบั รู้เรยี นรูถ้ ึงการเคลื่อนเปลยี่ นของพ้นื ทีว่ า่ งกับรปู สัญลกั ษณใ์ นส่วนย่อยทถ่ี ูกถอด
ออกไป ดังภาพดา้ นลา่ งนี้
๑. พ้ืนทีว่ ่างสีเขม้ แสดงการ
วเิ คราะห์ องคป์ ระกอบทิศทาง
๒. แสดงการปรับและเปล่ียน
รปู พืน้ ใหมแ่ ละตดั ทอน
บางสว่ น สรา้ งการรบั ร้ใู หม่
วธิ ีคิดทางศิลปะออกแบบข้ันสงู 207
การวิเคราะหด์ ว้ ยเครอื่ งมือชว่ ยคดิ นอกจากการอาศัยกรอบภาพวิเคราะห์ (ภาพวิเคราะห์)
(Flowcharts) ตามที่กลา่ วแลว้ อาจอาศยั เสน้ เชงิ นยั เข้ามาชว่ ยถอดความรู้ความคิดความหมายจากผลงาน
ศลิ ปะออกแบบได้เช่นเดยี วกนั เพอื่ ให้เสน้ เชิงนยั บนภาพหรอื ผลงานเปน็ เครื่องหมายบง่ ชถี้ ึงสาระทเ่ี ราคิดเห็นวา่
เป็นอะไรและอย่างไร เชน่ เปน็ ตวั ชใ้ี ห้รบั รูถ้ ึงองคป์ ระกอบของภาพผลงาน กลุ่มของเรอื่ งราว การเคลอ่ื นไหว
ของภาพ ความลึกตน้ื และทศิ ทางเปน็ ตน้ ชว่ ยให้นามธรรมทางความคิดในการวิเคราะห์สื่อสง่ิ ใดส่ิงหนง่ึ มีความ
เปน็ รูปธรรม เพ่มิ ความเขา้ ใจในเป้าหมาย หรือเจตนาของผู้วิเคราะหเ์ พ่ิมมากขึน้ ว่าตอ้ งการร้ือถงึ การคิดในแง่ใด
มุมใดต่อภาพข้อมลู น้นั และชว่ ยให้ส่ือส่ิงทีท่ ำ� การวิเคราะห์เกิดความน่าเช่อื ถอื (ภาพท่ี ๙๓)
ภาพที ่ ๙๖ วเิ คราะหผ์ ลงาน “The last Supper” ของลโี อนาโด ดาวนิ ช ี ดว้ ยเส้นเชิงนัยแสดงองคป์ ระกอบ
ภาพแบบ Symmetry Balance มกี ลุม่ ภาพของอคั รสาวกทีแ่ ยกออกเปน็ สองฝงั่ และทุกคนในแตล่ ะ
กลุม่ ล้วนมเี รือ่ งราวความสนใจ มุ่งไปที่พระเยซอู นั เป็นศนู ยก์ ลางภาพ (Point of Interest) ดว้ ยการใช้
เสน้ ตง้ั เสน้ เฉยี ง วงกลม รปู อิสระ ลกู ศร เป็นเครื่องหมายของเสน้ เชิงนยั จนน�ำไปสู่ความเข้าใจถึง
สิ่งท่ีวเิ คราะหก์ ระจ่างข้ึนในแงม่ ุมต่างๆ กนั เช่น การจดั ภาพ การแสดงกลุ่มความหมายของภาพ
208 วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขัน้ สูง
(๒.๒) ภาษาการรื้อสรา้ งถอดความนยั อาศยั เคร่ืองมือ “ภาษาศาสตรแ์ นวโครงสรา้ ง” ของ
เฟอตนิ านด์ เดอซอซูร์ (Ferdinand De Saussure) ชว่ ยสรา้ งความน่าจะเปน็ (Probability) หรอื โอกาส
ที่น่าจะเป็นเช่นนนั้ อันเปน็ ความเช่ือพ้นื ฐานที่ได ้ ซ่ึงหลักการทางสัญวิทยา (Semiology) ของภาษาศาสตร์
แนวโครงสร้างน้ ี มมี ุมมองว่าสิ่งตา่ งๆ ไม่มีความหมายในตัวเอง ความหมายของสิง่ ต่างๆ เกดิ จากระบบความ
สมั พนั ธ์ของภาษาท่สี ร้างขนึ้ จากความแตกตา่ ง ความตรงกนั ข้ามของหน่วยยอ่ ยต่างๆ ทไ่ี ดเ้ กิดจากคณุ สมบตั ิเฉพาะ
ของแตล่ ะหนว่ ยยอ่ ย แต่ความหมายของหนว่ ยย่อยเปน็ ผลจากความแตกต่างของหน่วยย่อยด้วยกนั เอง อยู่ภายใต้
หรือเป็นส่วนหนงึ่ ของระบบใหญเ่ ทา่ นั้น
ดงั น้ันเอกลกั ษณ์ภาษาศาสตรแ์ นวโครงสร้างของซอชรู จึงเปน็ เรอื่ งเปรยี บเทียบความแตกต่าง
(Relational Identity) พฒั นาไปสู่การศึกษาตวั ตน ความเป็นอ่ืน (Self other) หรอื เอกลักษณแ์ ละความ
แตกต่าง (Identify Difference)
หากนำ� สาระขา้ งตน้ มาใชเ้ ปน็ หลกั คดิ ควบค่ไู ปกบั ฌาคส์ แดรดิ า (Jacques Derrida) ดว้ ยการวิเคราะห์
และอา่ นตัวบท (ภาษาเขียน) อย่างพนิ ิจพิเคราะห์ เพ่อื คน้ หาความขัดแย้งในตนเองของภาษา เชน่ ความหมาย
ของค�ำและความหมายหลากเลือ่ นไปอยา่ งไมม่ ที ่ีส้นิ สุด ซึ่งวิธีนจี้ ะช่วยใหเ้ ขา้ ถึงความหมายแฝง ทถ่ี ูกตัวบดกดทบั ไว้
รวมไปถึงเงอื่ นไขในการสร้างความหมายของตัวบทอกี ด้วย
กรณีศึกษาเรือ่ งวัฒนธรรมทเ่ี ป็นขอ้ ตกลงร่วมทางสังคม ใชแ้ นวความคดิ ที่ตอ้ งการสอ่ื ถึงกันและมีภาษา
เปน็ รหัสประเภทหนึง่ เรียกวา่ “สัญญะ” (Sign) เกดิ ข้ึนจากการเกาะเก่ียวกันของสัญญะจ�ำนวนหนง่ึ ที่เรียกวา่
“รปู สญั ญะ” (Signifier) และความหมายสัญญะ (Signified) การรอ้ื สร้างวัฒนธรรมแต่ละวัฒนธรรมทมี่ คี วามเชื่อ
คา่ นิยมและประเพณีซอ้ นทับกนั อยเู่ ปน็ ชั้นๆ จนมีสาระเชิงนยั ของภาษารหสั ประเภทหน่ึงอันเปน็ ปริศนา การ
รือ้ สร้างจะช่วยถอดปรศิ นาของภาษาทางวัฒนธรรมทแ่ี ตกตา่ ง หรือตรงกนั ข้ามได้กระจา่ งได้แก่ “วฒั นธรรมหลวง
หรือส่วนกลาง” กับ “ วฒั นธรรมราษฎร์หรอื สว่ นท้องถน่ิ ” “วฒั นธรรมอนรุ กั ษ”์ กบั “วัฒนธรรมพัฒนา”
“วฒั นธรรมสมยั ใหม”่ เพื่อคน้ หา “วฒั นธรรมร่วมสมยั ” เปน็ ต้น
การรอ้ื สรา้ งความรูค้ วามจรงิ มาทดลองปรบั ใช้ทางสญั วิทยาวัฒนธรรมตามแผนภาพ (ดภู าพท่ี ๕๘
ประกอบ) เพื่อวิเคราะห์วฒั นธรรมหน่ึงวฒั นธรรมใดจากคู่ตรงข้ามตามทกี่ ลา่ วมาจะพบถงึ ถ้อยคำ� วลแี ละประโยคได้
บ่งบอกถึงความหมายแฝงของตวั หมายถึงคอื “ความหมายสญั ญะ” อยู่มากเช่นคำ� วา่ วฒั นธรรมท้องถิ่นเป็นของ
ภมู ภิ าคใดท้องถ่ินไหน เป็นวัฒนธรรมแบบใด ได้แก ่ ศาสนา ประเพณ ี ศิลปกรรม ความเช่ือ คติชนวิทยา
เปน็ ตน้ หรือตวั หมายนย้ี ังมคี วามเกี่ยวข้องกบั คำ� ว่าวัฒนธรรมเลียนแบบ การหยิบยืม รวมไปถึงการอนรุ ักษ์กบั
การสรา้ งสรรค์และพฒั นาเปน็ ตน้
การอา่ นสญั ญะจากถ้อยค�ำ สาํ นวน และวลจี งึ ตอ้ งถอดความ และรอ้ื สรา้ งภาษาทางวัฒนธรรม หรือ
สัญญะทางวฒั นธรรมอนั เป็นรหัสปรศิ นาให้รอบคอ ถึงความน่าจะเป็นหรือโอกาสที่จะเปน็ เช่นน้นั ของวฒั นธรรม
ทอ้ งถิน่ จากภาษา ย่ิงเปน็ ภาษาพ้นื เมอื งในทอ้ งถนิ่ การใช้ถ้อยคำ� และความหมายจะยิง่ มีความเคลื่อนเปลี่ยนตามไป
ดว้ ยเช่น ภาคกลางเรียกสถานทีท่ �ำพธิ กี รรมของสงฆว์ า่ “โบสถห์ รืออโุ บสถ” ทางภาคอสี านเรยี กวา่ “สมิ ” หรอื
ภาพจิตรกรรมฝาผนงั ภายในสิมจะเรียกวา่ “ฮปู แต้ม” และเรียกประเพณีสบิ สองเดือนวา่ “ฮตี สิบสอง” กบั
ครรลองท่ีคนอีสานต้องยึดถอื วา่ “คลองสิบหก” เป็นต้น
วธิ ีคิดทางศิลปะออกแบบข้ันสงู 209
ยิง่ สาวลึกลงไปถึงความหมายแฝงของภาษาจากสอื่ สงิ่ ในปริศนาของรปู สญั ญะ เช่นพระอุโบสถอสี าน
หรอื สมิ จะย่ิงร้ถู งึ แบบอย่างพระอุโบสถ ศก๑ ศก๒ จากกรมศลิ ปากรและหรือกรุงเทพฯ ทมี่ อี ิทธพิ ลตอ่ สิม
อสี านปัจจุบัน เช่นเดียวกับความเปน็ ญวน ความเป็นตะวนั ตกในสิม ความหมายแฝงขา้ งตน้ การอ่านเฉพาะ
เน้อื ความเท่าที่เห็นของความเปน็ สิมอีสานจึงยงั เขา้ ไมถ่ ึงปริศนาอันซ่อนเง่ือนปมอะไรต่างๆ อีกมาก
๕.๔ แสดงความเปน็ ไปได้ดว้ ยสถติ แิ ละการเปรียบเทยี บ “ความเปน็ ไปได”้ (Possibility) สงิ่ ทน่ี ่าจะ
เกิดข้นึ ได้หรอื พัฒนาขน้ึ ได ้ ความหมายของคำ� กญุ แจน้ีมคี วามแตกตา่ งไปจาก “ความน่าจะเป็น” ท่ผี า่ นมา
ด้วยเหตุว่า ความหมายของความเป็นไปไดจ้ นนำ� ไปส่ ู ความน่าเชือ่ ถือและยอมรับได้จากการวเิ คราะหแ์ ละรอ้ื สรา้ ง
ก็คอื ต้องอาศัยแนวทางเชงิ คณุ ภาพและเชงิ ปรมิ าณควบค่กู ันไป ใหห้ ลกั การทั้ง ๒ วิธีช่วยสง่ เสริมสนบั สนนุ
การวเิ คราะหห์ รือการรื้อสรา้ งใหม้ คี วามครบถ้วนสมบรู ณ ์ ตามวิธีดงั น้ี
(๕.๔.๑) การแจกแจงแบบสถิตแิ ละตวั เลข เพือ่ แสดงจำ� นวนความน่าจะเป็นหรอื เปน็ ไปได้ด้วย
การแสดงคา่ ของสถิติ หรอื สัดสว่ นเปอร์เซ็นต์ของตวั เลขการใช้จรงิ อาจเป็นการคดิ คำ� นวณและแสดงเป็นค่า
เปอรเ์ ซน็ ตแ์ บบงา่ ยๆ ได้เช่น แสดงจ�ำนวนกลมุ่ เป้าหมายของข้อมลู เพอ่ื ใชใ้ นการศึกษาวัฒนธรรมบูรพาทศิ
จากตัวอยา่ งตารางที ่ ๑๓
ตารางที่ ๑๓ : แหลง่ ขอ้ มลู จ�ำแนกตามประเภทและสาขาฯ ของ อบต.
ทม่ี า : สชุ าติ เถาทอง. ศิลปวฒั นธรรมและภมู ิปญั ญาพ้ืนถิ่นภาคตะวนั ออก พ.ศ. ๒๕๔๔
210 วธิ ีคิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สูง
ขอ้ มูลและสถิติเชงิ วเิ คราะหเ์ หล่าน ี้ มนั บอกอะไรแก่เราและสามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ทางสถิติอ่นื ๆ
ต่อไปเชน่ การบรหิ ารจัดการ การทอ่ งเท่ียว การส่งเสริมท้องถนิ่ และศลิ ปวัฒนธรรม เปน็ ฐานความรทู้ ี่มองเหน็
จ�ำนวนและคณุ ภาพคุณค่าของศลิ ปวัฒนธรรมในภาคตะวันออก ได้อย่างครอบคลุมในหลายดา้ น ช่วยสร้าง
ความพร้อมในการวางแผน การเตรียมการบรหิ ารจัดการไดอ้ ย่างแมน่ ตรง ตามประเภทของศิลปวฒั นธรรม
และเขตพน้ื ที่ขององค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบล (อบต.) ทร่ี ับผิดชอบ
ข้อมลู ประกอบการวิเคราะหใ์ นรปู ตารางน้ ี หากนำ� ไปผนวกหรือเชอื่ มโยงกบั เน้อื หา อนั เปน็ แกน่ สาร
จากการวิเคราะห์ดว้ ยแลว้ จะชว่ ยให้มองเหน็ ถงึ ความเป็นไปได้ใหมๆ่ ของข้อมูล ประเภทหน่ึงประเภทใด ได้แก ่
จติ รกรรม ประตมิ ากรรม สถาปตั ยกรรม และภูมิปญั ญาพน้ื ถนิ่ ยกตัวอยา่ งการพฒั นาถนนสุขมุ วทิ - อา่ งศิลา
เป็น “ถนนภมู ปิ ัญญาจากศลิ า” หรือ “ถนนสายศิลา” เนอื่ งจากถนนสายอา่ งศลิ าได้พาดผา่ นชุมชนตหี นิ ใน
สองฟากฝง่ั ถนนสะท้อนถึงพัฒนาการทางภมู ปิ ญั ญางานช่างฝมี อื พืน้ บา้ นย่านอ่างศลิ าและเสม็ดมากวา่ ๑๐๐ ปี
หรือพัฒนาเส้นทางเดนิ ทพั ของพระเจ้าตากสินจากจงั หวัดนครนายกไปสูจ่ ังหวัดจนั ทบรุ ี (จนั ทบรู ) ใหเ้ ป็น
“เสน้ ทางกูช้ าตพิ ระเจ้าตากสนิ ชายฝ่ังทะเล” EEC หรือ Eastern Economic Corridor เป็นตน้
พจิ ารณาถึงความเป็นไปไดข้ องขอ้ มูล และตัวเลขจากสถติ ิในแผนภาพตัวอยา่ ง มหี ลกั ฐานชวนใหค้ ิด
ต่อไปได้วา่ เสน้ ทางกชู้ าติของพระเจ้าตากสินไดเ้ ดนิ ทัพผ่านชุมชนโบราณก่อนประวตั ศิ าสตรท์ ัง้ บนแผน่ ดินและ
ใตน้ �ำ้ อย่างมนี ยั สำ� คญั นบั ต้งั แตส่ มยั ก่อนประวัตศิ าสตร์ทีโ่ คกพนมดีและพานทอง ก่อนประวตั ิศาสตร์ไทยสมยั
ทวารวดีและเขมรในประเทศไทยท่ีสระแก้ว - ปราจีนบรุ ี และพนัสนคิ ม พรอ้ มไปกับโบราณคดใี ตน้ ำ้� บนเสน้ ทาง
กชู้ าติทางเรอื ใบ บริเวณจนั ทบรุ ี ระยอง และชลบุรีอีกหลายแหลง่ เปน็ ตน้ (ภาพที่ ๙๗)
วธิ คี ิดทางศลิ ปะออกแบบข้นั สูง 211
ภาพที ่ ๙๗ ขอ้ มูลเชิงวิเคราะหใ์ นการออกแบบแผนทีม่ คี วามเก่ยี วเน่ืองกับเสน้ ทางกชู้ าตขิ องพระเจา้ ตากสิน
ทเ่ี ดนิ ทัพผา่ นจังหวดั ชมุ ชนโบราณและแหล่งทอ่ งเทย่ี วทางวฒั นธรรมมจี ำ� นวนมาก (ดสู ถิตจิ ากแผนภาพ
ในตัวอย่างท่ีผา่ นมามกี ารจ�ำแนกตามยุคสมัย)
ที่มา : ปรบั ปรุงจาก “เส้นทางกูช้ าตขิ องพระเจา้ ตากสนิ ” โดยชยั ยศ วนชิ วฒั นานุวัต ิ และคณะ
212 วธิ คี ิดทางศิลปะออกแบบขนั้ สูง
(๕.๔.๒) การวิเคราะหเ์ ชงิ เปรียบเทยี บ การแสดงความเป็นไปไดใ้ ห้มีความนา่ เช่อื ถอื ทางศิลปะ
ออกแบบ นอกจากอาศัยตัวเลขและสถติ มิ าเป็นหลกั ฐานประกอบการวเิ คราะหแ์ ลว้ เรือ่ งของการเปรียบเทียบ
เพ่อื การวเิ คราะหใ์ นลักษณะตา่ งๆ ผลทีไ่ ดเ้ ป็นแนวทางและวธิ กี ารหนึ่งทชี่ ่วยเพมิ่ นำ้� หนกั ให้เกิดการยอมรับ
จากการวเิ คราะหห์ นงึ่ นนั้ เพ่อื บ่งชีว้ า่ การวิเคราะห์เปรียบเทยี บจากเครือ่ งมือนัน้ น�ำมาสู่ผลลพั ธ์หนึ่งน้นั ได้จริง
ยิ่งเปน็ เชงิ ปรมิ าณดว้ ยแล้วค่าของสถิตติ ้องเท่ยี งตรง
การเปรียบเทยี บเชงิ วเิ คราะห์ เพอื่ ใหเ้ กิดผลดีมกี ารยอมรบั ได ้ ไมค่ วรพิจารณาถึงความเป็นเหตเุ ป็นผลกัน
ของคำ� ตอบท่นี า่ เช่ือถือเพยี งตัวอย่างเดยี ว ภาพเดี่ยว ด้วยวธิ กี าร “ลากเข้าความ” หรือ “ ตั้งธงไว้กอ่ น”
โดยขาดการวิเคราะห์เปรยี บเทียบให้เข้าใจกับงานอนื่ ส่ือสงิ่ อืน่ อย่างครอบคลมุ ก่อนการพิจารณาประเมนิ ตดั สิน
ถึงการจะด�ำเนินการส่งิ หนง่ึ ส่ิงใดต่อไป
กรณีการวิเคราะห์เชิงคุณค่า (Value) ผ่านงานศลิ ปะออกแบบจากขอ้ มลู นามธรรมไรร้ ปู หรือมีคา่ ขจร
ทางสุนทรียภาพท่ีไหลเคลื่อนอยู่ไปมาและให้สาระทางอารมณค์ วามรู้สึกตา่ งๆ กนั ไปการวิเคราะหจ์ ากปรากฏการณ์
เชิงคณุ ค่าเชน่ นี้ ผู้วเิ คราะห์ตอ้ งหา “ตวั เลือกที่พึงพอใจ” (Preference) ไดแ้ ก่ “ความมีสุนทรียะหรอื ไม่มี
สนุ ทรียะ” “ความชอบหรือความไมช่ อบ” หรอื การรับรู้สกึ ในเชงิ คณุ คา่ อื่นเชน่ “ความมชี ีวิตชวี า” ความมสี ีสนั
ใหมๆ่ ” ดว้ ยการเปรยี บเทยี บกบั อกี สงิ่ หนง่ึ หรือหลายสิ่งเพ่ือค้นหาความแตกต่าง และความเหมอื นของคณุ คา่
ทางสุนทรยี หน่งึ ๆ นน้ั
อาศยั ตวั บง่ ชีท้ างคุณสมบตั ิทางศิลปะไดแ้ ก่ (๑) สว่ นประกอบการรับร้ทู างทัศน์ (๒) โครงสรา้ งในผลงาน
(๓) ความรู้สึกในผลงาน (๔) เทคนิควิธีการ และ (๕) ความพเิ ศษพสิ ดาร เปน็ เกณฑห์ าตัวเลือกท่พี ึงพอใจวา่
คณุ สมบัตแิ ตล่ ะข้อได้บรรลผุ ล และมีความสอดคลอ้ งหรือไม ่ เชน่ จติ รกรรม ลัทธิ Surrealism ตอ้ งสะท้อนถึง
ความแปลกประหลาดในโลกแหง่ จนิ ตนาการอันไร้ขอบเขต ผ่านรปู และเนอ้ื หาอย่างพสิ ดารเป็นต้น ถ้าผลงาน
จติ รกรรมแนวทางกระบวนแบบน้ี ไมเ่ ปน็ ไปตามคุณสมบตั ขิ องขอ้ ๕ ดังกลา่ วคือความพเิ ศษพสิ ดารก็ไม่
สอดคล้องกบั ลัทธิข้างตน้
ดงั นั้น การเปรยี บเทยี บเชงิ คุณคา่ ศลิ ปะหรือวฒั นธรรมเช่นน ้ี จึงเป็นวิธีการจบั คู่หรือเทยี บเคยี งกันว่า
คณุ สมบตั ชิ ี้แนะการเห็นอยู่ในแบบใด หมวดใดแลว้ วิเคราะหห์ าความสอดคล้อง และความบรรลุผลถึงคณุ คา่ ตา่ งๆ
เหลา่ นัน้ มีการเปรียบเทยี บผลงานชิน้ น้ีชิ้นนน้ั ทค่ี ลา้ ยคลึงกัน หรอื ตา่ งกนั กับงานศิลปะแบบอ่นื ไม่วา่ จะเป็น
ช่วงเวลาเดียวกัน อย่ใู นกลุ่มหรอื ลทั ธเิ ดียวกันเปน็ ต้น ทง้ั นกี้ ารเปรยี บเทียบเพ่อื ประเมินถึงคณุ ค่าทางสุนทรียกบั
ผลงานศลิ ปะท่ีมคี ณุ คา่ ใหไ้ ดก้ ารยอมรบั ตอ้ งหาเกณฑแ์ ละตัวบ่งชีอ้ ยา่ งชดั เจน และการประเมินตอ้ งมคี วาม
รอบคอบ มเี หตุผลด้วยการอาศยั ความเท่ียงธรรมก�ำกับตามไปด้วย
วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบขัน้ สงู 213
สรปุ
การวเิ คราะห์ - การรือ้ สร้าง และการสรา้ งทวนซ�้ำใหม่เปน็ ค�ำกญุ แจส�ำคญั ในการน�ำไปใช้จ�ำแนก
แยกแยะ จดั กล่มุ ความรใู้ หเ้ ปน็ ทีเ่ ข้าใจได ้ โดยมกี ารรื้อสร้างโครงสร้างของสื่อสงิ่ ทม่ี กี ารทับซอ้ นของความคิด
ความเช่อื อนั เป็น “มายาคต”ิ ส�ำคญั ในสัญญะทางภาษาภาพและภาษาเขยี นของรูปสญั ญะ และความหมาย
สัญญะทัง้ ความหมายตรงและความหมายแฝง การจะท�ำความเขา้ ใจปริศนาแหง่ สัญญะตามหลกั สญั วทิ ยาก็คือ
ตอ้ งรอื้ สร้างชุดของคำ� ชดุ ของภาพหรอื องค์ประกอบภาพ และความหมายซ่ึงเป็นคู่ตรงกนั ข้าม เพ่อื ดึงรหสั อันเปน็
ปริศนาและแกนของลกั ษณะร่วมใหอ้ อกมา และนำ� สาระท่ีไดไ้ ปประกอบสร้าง ด้วยท่วงทำ� นองและกระบวน
แบบใหมท่ างศลิ ปะออกแบบ อาศัยสหวทิ ยาการวิเคราะห์เพอื่ การขยายความเข้าใจ การเรยี นรขู้ า้ มศาสตร์และ
พรมแดนทางวทิ ยาการด้วยการนำ� ไปสคู่ วามเป็นสหศลิ ป์ท่ีตอ้ งอาศยั พหุสมั ผสั ของการรับรทู้ างอายตนะ เพอื่
รับรู้สกึ ถงึ ศลิ ปรสแบบผสมและองค์ความร้ทู ี่เกิดจากการบูรณาการขา้ มศาสตร์และสาขาเหล่านนั้
การจะใหเ้ กดิ การยอมรบั และมคี วามนา่ เชือ่ ถอื ในการวิเคราะหไ์ ด้ ตอ้ งมีหลกั คิดวิธีคิดและเครื่องมอื
ชว่ ยคิดอย่างมคี วามเข้าใจ ระหวา่ งที่มาอนั เปน็ เหตุและเจตจ�ำนงที่เปน็ เป้าหมายและวตั ถปุ ระสงคข์ องการ
วิเคราะห์ควบคู่ไปกบั คุณคา่ ความสำ� คัญ อนั เปน็ ความปรารถนาและความจำ� เป็นภายในของศิลปะ รวมไปถึง
ขอ้ มลู เก่ยี วข้องเพอื่ นำ� มาสนับสนนุ การคิดสร้างทางวชิ าความร้ ู ปรัชญาความรทู้ างศลิ ปะออกแบบให้หนักแนน่
ได้แก่ ข้อมลู ทางทฤษฎ ี ขอ้ มลู ทางศิลปะ และขอ้ มลู ทางคุณคา่ โดยจ�ำแนกแก่นสารระหว่างคณุ ภาพ คณุ ลกั ษณะ
และคณุ ค่าทงั้ ภายในและภายนอกให้ออกจากกัน
สรา้ งการวเิ คราะหด์ ้วยการอาศัยเครอ่ื งมืออยา่ งมีหลกั ไมว่ า่ จะเป็นการแสวงหาความนา่ จะเป็น ดว้ ย
วธิ ีการวิเคราะหโ์ ดยท่ัวไป หรอื การรื้อสรา้ งด้วยการอาศัยสัญวทิ ยา เพ่อื ถอดรปู สญั ญะของตวั หมาย และรปู
ความหมายของตัวหมายถึงผ่านแผนภาพ ตาราง แผนภูมิ แบบจ�ำลอง พรอ้ มไปกบั เครอื่ งมอื ชว่ ยคิดใหม้ พี ลัง
ได้แก ่ มภี าพวเิ คราะหน์ ำ� ทางจากการใช้เสน้ เชิงนยั กำ� กับชว่ ยใหเ้ ข้าใจถึงความคดิ ผวู้ ิเคราะหก์ ลับกรณศี กึ ษาน้ันๆ
รวมไปถึงการร้ือสร้างภาษาแบบสัญวทิ ยา (ภาพ – ภาษา) เพือ่ แสวงหาความเป็นมายาคติ และสุดท้ายแสดง
ความเปน็ ไปไดด้ ว้ ยสถิติการเปรียบเทียบ เพอื่ ให้ความรูแ้ ละคณุ คา่ ทางสุนทรียภาพทีไ่ ด้มีการยอมรับต่อไป
บทที่ ๖
บูรณาการและสังเคราะหผ์ ลกึ ความคิดใหม่
การสงั เคราะห ์ (Synthesis) และบูรณาการ (Integration) เปน็ คำ� กุญแจสำ� คญั ในการสร้างสรรคส์ ่ือส่ิง
นวตั กรรมและนวตั ศลิ ป์ (Innovation Art) กบั กอ่ ชดุ ความรู้ องค์ความรทู้ างศลิ ปะออกแบบในมิตมิ มุ มองใหม่
ให้บงั เกดิ ขน้ึ เปน็ หลักวชิ าทีเ่ ก่ยี วข้องกบั ปรัชญาความร ู้ (Philosophy of Knowledge) ทฤษฎีความร ู้ (Theory of
Knowledge) และหลักการส�ำคญั เพือ่ นำ� ไปสู่การส่ือสารกบั หลกั ปฏิบัติงานให้ลุล่วงต่อไป
โลกศตวรรษที่ ๒๑ มีความสลบั ซ้อนของสังคมวฒั นธรรม และมีความต่อเนอ่ื งเช่อื มโยงระหว่างกันให้แคบ
เขา้ มาจนกลายเป็นประชาคมเดยี วกันของประชาคมโลกใน ๒ ฐานพัฒนา ไดแ้ ก ่ สังคมโลกาภิวัตน์ (Globalization)
และทอ้ งถ่นิ นิยม (Localization) ในยุคหลงั ตะวันตก (Post Western) มีหลักคดิ ของการมองความเจริญทาง
ความคิดและปรชั ญาทางความคิดของโลกบนหลักคดิ ว่า ตา่ งวฒั นธรรมตา่ งก็มที ี่มาที่ไปอนั เป็นรากเหง้าของความมี
ตัวตน และความเจรญิ รุ่งเรอื งอันเป็นแบบเฉพาะในแต่ละทอ้ งถิน่ และภมู ิภาคผสมผสานไปกบั สังคมวัฒนธรรมใหมท่ าง
อตุ สาหกรรม ธุรกจิ การค้าและบรกิ ารซงึ่ มคี วามสลบั ซบั ซ้อนในการจะท�ำความเข้าใจ
การจะพัฒนาไปสู่คำ� ตอบของโจทยใ์ หมข่ องโลกใหม่ทางศลิ ปะออกแบบเชน่ ทีว่ ่าน ี้ การจะรกู้ ระจา่ งแต่
อยา่ งเดียว หรือการรเู้ ฉพาะด้านของศาสตร์สาขาใดสาขาหนึ่ง ในมติ ิเดยี วมุมมองเดยี ว หรือการมองแบบแยกสว่ น
เปน็ เอกเทศเช่นทเี่ ปน็ มา จะไม่สามารถตอบโจทย์อนั เป็นปรศิ นาแห่งความสลับซ้อนได ้ และไมช่ ว่ ยใหค้ �ำตอบท่ีได้นั้น
จะเป็นประโยชน์ทใี่ ช้ได้จริงกบั สังคมพหวุ ัฒนธรรมอันยุ่งเหยิงน้ี
ดงั นนั้ หลกั คดิ ใหมแ่ บบก้าวหนา้ เพ่ือเข้าถงึ แก่นและสารัตถะแห่งปัญหาหรอื ทมี่ าไดต้ รงและชัดคือ จะตอ้ ง
มองถึงภาพรวมหรือองค์รวมของเหตปุ ัจจยั ท่ีเกาะเก่ยี วเช่อื มโยงระหว่างกัน ใหเ้ ห็นถึง “องคาพยพ” ของส่อื สิ่ง
อันเปน็ องค์ประกอบน้อยใหญ่ที่เกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธ์และผลกึ รวมกนั อย่ขู องความเป็นส่อื สง่ิ นนั้ ความเปน็ เช่นนั้นให้
กระจ่างทั้งส่ิงทม่ี องเหน็ และส่งิ ที่ถกู ทบั ซอ้ นและแฝงอย่ภู ายใน
องั คาร กัลยาณพงศ์ มโี ลกทศั นก์ ารมองภาพของสรรพส่งิ มีความสมั พนั ธเ์ ชอ่ื มโยงกันและ
สะท้อนผ่านการเขียนกวีนิพนธ์ ได้อยา่ งลึกซึง้ กนิ ใจ มคี วามบางตอนวา่
“โลกนอ้ี ยู่ด้วย มณเี ดยี วนา
ทรายและส่ิงอ่ืนมี ส่วนสรา้ ง
ปวงธาตตุ ำ่� กลางด ี ดลุ ยภาพ
ภาพจกั รพาลมรา้ ง เพราะนำ�้ แรงไหน”
อังคารมองโลกบนฐานขอ้ เท็จจริงดว้ ยภาษากว ี ใหเ้ ห็นถึงทกุ สรรพสิ่งทงั้ มีค่าและไร้ค่า ต่างล้วนมีส่วน
ก่อรปู กอ่ ร่าง สรา้ งโลกใบนมี้ าดว้ ยกนั ใหภ้ าพความเปน็ ไปท่ีมีความสมดลุ กลมกลนื กัน และสภาพ
ความเปน็ เช่นนีจ้ ะหมดไปเพราะการกระทำ� ด้วยน้�ำมือมนษุ ย์
216 วธิ ีคิดทางศิลปะออกแบบข้ันสงู
ความเป็นสหวิทยาการหรือสหสาขาจากศาสตร์หลายดา้ นเพอ่ื น�ำมาสู่ความเป็น “แกนหลัก” สำ� หรับ
การสงั เคราะห ์ หรอื กอ่ “ชุดความคิด” ท่ีจะน�ำสหวทิ ยาการเขา้ มาประกอบผสมผสานให้เกดิ การผนึกกำ� ลัง
ร่วมกันหรอื หลอมรวมกันไดอ้ ยา่ งสมบูรณ ์ โดยต้องคดิ ออกแบบ “โครงความคิดน�ำทางภาวะสมบรู ณ์น�ำร่อง”
ก่อนเพือ่ ให้มองเห็นแนวทางทจี่ ะสร้างสื่อสงิ่ ใหมแ่ ละชุดความรู้ใหม่จากการผสมผสานนั้นทางศลิ ปะออกแบบ
ไดอ้ ยา่ งครอบคลมุ มีประสิทธภิ าพและประสิทธผิ ลในมติ ิทางวชิ าการสร้างสรรค์แบบใหม่ๆ ตอ่ ไป
๖.๑ หลักการสองความนยั
การเพิ่มศกั ยภาพทางวิธคี ิด และการทำ� งานตามประเดน็ ข้างต้นทางศลิ ปะออกแบบ ให้เกิดประสิทธิภาพ
และประสิทธิผลตามวตั ถปุ ระสงค์ หรือเป้าหมายท่วี างไวไ้ ดน้ น้ั มคี วามจำ� เป็นตอ้ งมองเหน็ สัมพนั ธภาพระหวา่ งกัน
และเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ จากการผสม การประกอบ การเชอ่ื มโยงกนั การรวมกนั การประสาน และ
ผนวกเขา้ มาหากนั ให้เกิดผลใหมใ่ นความนัยขอคำ� กญุ แจหลักต่อไปนี้
๖.๑.๑ สังเคราะห์ (Synthesis) หมายถงึ การผสมผสานอย่างสนิทแนบเนยี น หรอื อย่าง
กลมกลืนจากสว่ นประกอบหลักและย่อยต่างๆ ให้เกดิ เปน็ รูปความหมายของสื่อสง่ิ ใหมท่ ่มี คี ณุ สมบตั ิเฉพาะ ให้เกดิ
เป็นรปู ความของส่อื ส่ิงใหมท่ ีม่ คี ุณสมบัตเิ ฉพาะ และความเปน็ เอกลกั ษณ์อย่างใหมท่ ่ตี ่างมคี วามหมายเชงิ นัยของ
ค�ำหลายคำ� ทเ่ี กย่ี วข้องกบั การสังเคราะห์ไดแ้ ก ่ Synthesis Syntheses : การน�ำสงิ่ ใดๆ มาสรา้ งข้ึนรูป การสร้างคำ�
การปะติดปะตอ่ Synthesizer : ผู้ผลติ วสั ดสุ ังเคราะห ์ ผู้สร้างความคดิ สิง่ ของ ฯลฯ ขึ้นใหม่ด้วยการนำ� ของเดมิ
มารวมสังเคราะห์ข้นึ และ Synthesize Synthesize : สรา้ งขึน้ โดยนำ� ของบางอย่างมารวมกนั เป็นส่งิ ใหมเ่ ปน็ ต้น
การคดิ สงั เคราะห์ให้เกดิ ผลดีไดน้ นั้ จะต้องมองเห็นภาพรวมของปัญหาวา่ มอี ะไรบ้าง เห็นถึงเหตผุ ลท่มี ี
ความเช่ือมโยงกันตามสภาพการณ ์ หรอื ปรากฏการณจ์ ากการรับรู้ไดอ้ ยา่ งชัดเจน จนปัจจัยเหลา่ นน้ั ไดก้ อ่ ประกาย
แนวคดิ อย่างหนึ่งอยา่ งใดใหป้ รากฎข้ึน จนน�ำไปสู่การตระหนักรูด้ ว้ ยการประมวล เรียงรอ้ ยหลอมรวมกันให้เปน็
ผลกึ ความคดิ อยา่ งใหมข่ ้ึน เช่น ทัศนศลิ ปเ์ กิดจากการผสมผสานกันระห่าง จติ รกรรม ประติมากรรม ภาพพมิ พ์
และภาพถา่ ย และทศั นธาตุและการประกอบ ผสมผสานระหวา่ งกนั ในสอื่ ท่มี องเหน็ ไดแ้ บบเดยี วกัน จงึ มีการ
บัญญตั ศิ ัพท์ใหมท่ างศลิ ปะดว้ ยค�ำสมาสว่า “ทศั นศิลป”์ (Visual Arts) ซึง่ รวมศิลปะทางการเหน็ ๔ สาขาเขา้ ไว้
ดว้ ยกนั เช่นเดียวกับคำ� ว่า “สหศลิ ป”์ (Multimedia Art) “นวตั ศิลป”์ (Innovation Art)
การบัญญัติขนึ้ ใหม ่ หรอื สร้างขึ้นใหม่ของคำ� และผลงานทางทัศนศลิ ป์ - สหศิลป์ ล้วนก่อกำ� เนดิ ขึน้ จาก
ความจำ� เป็นทางวชิ าการและการสร้างสรรค์ศิลปะออกแบบนั้นประการหนงี่ การน�ำรปู ความหมายจากศลิ ปะ
สาขานัน้ ๆ หรือฐานศาสตร์เดียวกันหรอื ตา่ งฐานศาสตร์ มารวมกันเพอื่ ถอดหาความใหมจ่ ากการประกอบกันข้ึน
ในทางศลิ ปสงั เคราะหข์ องประเภทใดประเภทหน่ึงได้แก ่ ทัศนศิลป ์ โสตศิลป์ และโสตทัศนศลิ ป ์ เช่นภาพใหม่
ทางทศั นศลิ ปไ์ ดแ้ ก่ ภาพที่เกดิ ข้นึ จากภาษาทางการเห็น (Visual Language) คอื ทัศนธาตุที่ใชร้ ว่ มกนั หลกั การ
(Principle) สอ่ื ไวยากรณท์ างทศั น์ (Visual Grammar) ทีใ่ ช้ร่วมกัน สามารถสร้างขึ้นด้วยรูป ๒ มติ แิ ละ ๓ มิติ
รว่ มกันและใชส้ ่ือวสั ดุและเทคนคิ ผสมผสานกันจนเกดิ ผลทางการรบั รอู้ ยา่ งใหม่ข้ึน
วิธีคิดทางศิลปะออกแบบข้ันสูง 217
ค�ำวา่ “สังเคราะห”์ ตามความเขา้ ใจทั่วไป มักเขา้ ใจว่ามีความเกย่ี วข้องทางวทิ ยาศาสตรเ์ ท่านนั้ เชน่
เคม ี และมมี มุ มองของคำ� ว่าสงั เคราะห์ ในสาระของสารประกอบทางเคมีมากกว่า ความจริงแลว้ ในทางศิลปะ
มีศลิ ปินเอกของโลกคือ ปิกสั โซ และชอร์ชบราก ไดน้ �ำความหมายของการสังเคราะห ์ มาใช้สรา้ งงานศิลปะ
ของเขาข้นึ มาในนามบาศกนิยมสงั เคราะห์ หรือ Synthetic Cubist เชน่ ผลงานชื่อ “Seated Woman”
(๑๙๒๖ -๑๙๒๗) และ “Musical Form” (๑๙๑๓) (ภาพท่ี ๙๕) มีการสังเคราะห์สอ่ื วสั ดุและผลงานของภาพ
ทปี่ รากฏออกมาดว้ ยการค�ำนึงถงึ ความสัมพนั ธข์ องช่องว่างกับลลี าของเสน้ สแี ละความสมดลุ ของการจดั ภาพสู่
ความเป็นหนว่ ยใหมข่ องนามธรรมทางภาพลักษณ์ทีส่ ะท้อนใหร้ ับร้สู ึกได้ เปรยี บไดก้ ับกระบวนการรวบรวมองค์
ประกอบท่แี ตกตา่ งกนั ของความคดิ ส่ือส่งิ น�ำมาผสมผสานให้เกดิ ความกลมกลืนกันจนกลายเปน็ สิ่งใหม่
ภาพท่ี ๙๘ ชอรช์ บราก ในแนวทางบาศกนยิ มสังเคราะห์มีบทบาทตอ่ งานศิลปะออกแบบในยคุ หลังต่อมา
มีการรอ้ื สร้างคณุ สมบัติทางมลู ธาตุ และหลักการจดั ภาพแบบผลงานบาศกนยิ มและน�ำไปประกอบ
สร้างขึ้นใหม่
218 วธิ คี ิดทางศลิ ปะออกแบบขน้ั สงู
๖.๑.๒ บูรณาการ (Integration) ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้ใหค้ วามหมายคำ� ว่า
“บูรณาการ” ไวด้ ้วยกนั ๒ ความหมายคือ
ความหมายแรก คือการท�ำให้เป็นเนือ้ เดยี วกันโดยรวม หรือผสมผสานส่วนตา่ งๆ เขา้ ดว้ ยกันเชน่
การสอนภาษาแบบบูรณาการหมายถงึ การรวมทักษะการพดู ฟัง อ่าน เขยี นไว้ในวิชาเดียวกนั หลกั สูตรแบบ
บูรณาการส�ำหรบั ภกิ ษุสามเณร เป็นหลักสูตรที่รวมหลักสตู รธรรมศกึ ษา บาลศี ึกษา และสามัญศกึ ษา ให้เปน็
หลักสูตรเดียว
ความหมายทส่ี อง หมายถงึ เชอ่ื มหรอื ประกอบกบั สงิ่ อ่นื หรือหนว่ ยงานอืน่ เช่น โรงเรยี นหลายแหง่
บรู ณาการภูมปิ ัญญาท้องถ่นิ เข้ากบั ศาสตรส์ มัยใหม ่ เพ่อื ให้เกิดการพัฒนาองคค์ วามรู้ท่ีมรี ากฐานจากความเป็นไทย
และน�ำไปส่กู ารพัฒนาประเทศท่ยี ่งั ยนื นอกจากนยี้ ังมคี วามหมายเกี่ยวกับค�ำในภาษาไทยอกี หลายค�ำท่ีสอดคลอ้ ง
กัน คอื การเช่อื มโยง การรวมกนั การผนวก การประสานและการเตมิ เต็ม
การบูรณาการเปน็ กระบวนการท่อี ยากใหเ้ กิดความสมั พันธ์แบบองคาพยพ แบบองคร์ วม ให้สว่ นตา่ งๆ
รวมกันเป็นหนึง่ ประสานสมั พันธ์อย่างเปน็ เอกภาพทำ� ให้เกดิ ความสมบูรณ์ การบรู ณาการจึงเปน็ การนำ� สว่ นต่างๆ
มารวมกัน แต่ไมใ่ ชร่ วมแบบกลไกแบบเคร่อื งจกั ร แต่แบบมีชวี ติ แบบองคาพยพมักใช้คำ� วา่ “ผนกึ พลงั ”
(Synergy) เพ่อื อธบิ ายการรวมกนั เขา้ ในลักษณะนี้ ถ้ามกี ารประสานกันอยา่ งกลมกลืน กจ็ ะเกดิ พลังทวีคูณ
ไมใ่ ชเ่ พียงบวก + แต่ได้มากกวา่ สอง
การบรู ณาการ จงึ เปน็ การพิจารณาส่ือสง่ิ ในลกั ษณะของภาพรวมหรอื องค์รวม (Holistic View) ซงึ่ จะ
เกิดภาวะดังกล่าวไดน้ ัน้ มาจากเหตุปจั จยั หลายประการเช่นหนว่ ยย่อยหรอื องคป์ ระกอบมีความสมั พนั ธร์ ะหว่างกัน
มคี วามเกยี่ วข้องเช่ือมโยงกนั ความครบถ้วนบริบูรณเ์ กดิ จากการรวมกัน ของหนว่ ยย่อยอย่างประสานสัมพันธ์
และกลมกลืนอย่างมีดุลยภาพ จนเกดิ “สภาวะท่ตี อ้ งการ” ของการบรู ณาการในมิตใิ หมๆ่ ท่มี ีความแตกตา่ ง
จากภาวะ และคุณสมบัติขององค์ประกอบหรอื หนว่ ยยอ่ ยเดิม
สรุปค�ำว่าบรู ณาการในความหมาย จะประกอบด้วยมติ ิความนยั ดงั น้คี อื “การรวมกัน” (Aggregation)
“ความสอดคล้อง” (Alignment) “ความสมดุล” (Balance) และ “ความสมบรู ณ์ครอบคลุม”
(Comprehensiveness) นำ� ไปสภู่ าพรวม ส่วนประกอบ หลกั การ กระบวนการ วธิ ีคดิ และผลผลติ ทเ่ี กิดขน้ึ
หากถามวา่ อะไรคือลกั ษณะร่วมกนั และแตกต่างกนั ของคำ� ว่า “สังเคราะห”์ และ “บรู ณาการ” เพื่อ
ให้สามารถน�ำไปใชท้ างการวจิ ยั และสร้างสรรค์ทางศิลปะออกแบบ ใหเ้ กิดผลดขี องทั้งสองคำ� กุญแจสำ� คัญ
“ลกั ษณะของความนัยร่วมกนั ” ของสองคำ� กญุ แจโดยสรปุ ไดแ้ ก่ ความมีการเชือ่ มโยง ความสัมพนั ธ์
เช่ือมโยงระหว่างกันด้วยการดงึ เฉพาะแนวคิด คณุ สมบตั ิของสือ่ สิ่งท่แี ตกต่างกันหรือ ตรงกันข้ามมาท�ำใหเ้ กดิ
การรวมกนั ภายใน “โครงความคิด หรือแกนหลัก” เพ่อื นำ� ทางภาวะสมบูรณ์วา่ กอ่ สิง่ ใหม่กว่า โดยมี
จนิ ตนาการสรา้ งสรรค์ใหค้ วามน่าจะเปน็ ของผลเกิดขึ้น และมคี วามคดิ ยดื หยุน่ ช่วยปรบั ขยับการรวมกนั ประสาน
ให้เขา้ ร่องเข้ารอย
“ลักษณะแตกต่างกนั ของความนยั ” ในสองคำ� กญุ แจได้แก่ คำ� ว่า “สงั เคราะห”์ จะเปน็ การวิเคราะห์
หรอื สรา้ งด้วยการค้นหาลักษณะร่วมกนั หรอื เหมือนกนั จากส่ือสิ่งทแ่ี ตกต่างกันและน�ำคณุ สมบัตติ ่างๆ นน้ั มา
ผสมผสานถกั ทอหรือหลอมรวมเข้าด้วยกนั จนนำ� ไปส่ผู ลของการสงั เคราะห์ที่เป็นสิง่ ใหม่ทางศิลปะออกแบบ
อนั เปน็ ผลรวมของรูปพรรณสันฐานใหมท่ ่มี คี ณุ คา่ และมลู ค่า หรือล้�ำคา่ เลอค่านนั้
วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบขน้ั สงู 219
ในหลักคิดใหม่การเริ่มต้นสังเคราะห์เพื่อการสร้างสรรคศ์ ลิ ปะออกแบบวิธดี ำ� เนินการไม่ต้องเร่มิ จากศนู ย ์
สามารถหยบิ ยืมน�ำส่ือสง่ิ ทค่ี นอน่ื คิด หรอื ได้ปฏบิ ตั ิมาแลว้ มาใช้ประโยชน์ ดว้ ยการพิจารณาจากเรื่องเดยี วกัน
ส่ือสงิ่ เดยี วกันในหลายๆ แหล่งท่ีมีความเก่ียวขอ้ งกนั โดยตรง หรอื เกย่ี วข้องทางอ้อมแลว้ น�ำมาผสมผสานกัน
ให้เกดิ เปน็ ทางออกของปญั หา กบั ท้ังข้อมูลจากการสังเคราะหไ์ ด ้ จะน�ำไปสู่การต่อยอดความรแู้ ละมองเหน็
ความเปน็ ไปได้ใหม่ๆ ทางศิลปะออกแบบตามมาอีกดว้ ย
ภาพท่ี ๙๙ แสดงบูรณาการรปู ทรงสนุ ทรยี จากชน้ิ ส่วนของเครือ่ งเล่นเพอ่ื การบ�ำบดั เดก็ ออทิสติก โดยแตล่ ะ
เครอ่ื งเลน่ แต่ละชิ้นเล็กใหญ ่ จะมีผลตอ่ การบำ� บดั แต่ละส่วนของกล้ามเนือ้ มดั ใหญ่ และมดั เล็กของเดก็
ไดอ้ ย่างได้ผล
ทีม่ า : ตฤณ กติ ตกิ ารอำ� พล. ประตมิ ากรรมเพอ่ื การบำ� บัดเด็กออทิสติก. ๒๕๖๐
220 วิธีคดิ ทางศิลปะออกแบบข้นั สงู
คำ� วา่ “บูรณาการ” จะเปน็ การน�ำส่วนยอ่ ยของหลายสื่อสิง่ มลี ักษณะแตกต่างขดั แยง้ ตรงกันขา้ ม
ให้เป็นภาพรวมหรอื องค์รวมของส่วนทั้งหมดท่ีใหญก่ ว่า ด้วยการประสานศักยภาพของความถนดั ความสามารถ
และการรว่ มคิดร่วมท�ำไปดว้ ยกนั ดว้ ยการดึงความสามารถก�ำลงั พลังท่ีมีอยูข่ องแต่ละสอ่ื สง่ิ และผูค้ น หรอื
คณุ สมบัติ คุณค่าใหเ้ กดิ การควบรวมเพอื่ เป็นการผนกึ พลงั ในการขับเคล่ือนงาน และส่อื สงิ่ ในมิติใหม่ทางศลิ ปะ
ออกแบบ
โลกทัศนใ์ หมย่ คุ ๔.๐ คำ� กุญแจ “บูรณาการ” มีความสำ� คัญทสี่ ดุ โดยเฉพาะหลักคิดและหลักการใหม่
ทม่ี องแบบองคร์ วม ภาพรวม หรือมองแบบประสานข้ัวตรงกนั ขา้ มมองแบบ Win-Win ดว้ ยการไมย่ ึดติดกับ
กรอบแบบเดมิ ใหเ้ ห็นทางออกของโอกาสและความเป็นไปไดแ้ บบใหม ่ ด้วยการขยายกรอบความคดิ เดิมให้
เปิดกว้างเชน่ เดียวกับความคิดสรา้ งสรรค ์ มีการบรู ณาการสมอง ๒ ซกี ระหวา่ งเรอ่ื งของเหตผุ ลกับเร่อื งของ
อารมณ์ความรูส้ ึก (ปริมาณ - คุณภาพ) ซง่ึ เคยท�ำหน้าท่แี ตกตา่ งกันทางความคดิ และความรูส้ ึกให้เช่อื มโยงกนั
ประสานกนั เพ่อื ผนกึ กำ� ลังศกั ยภาพของสมอง ๒ ซีก มาชว่ ยตอบโจทยท์ ี่มคี วามสลบั ซอ้ น และไดค้ �ำตอบของ
เหตผุ ลท่ีเปน็ ไปได้แบบใหม่อยา่ งหลากหลาย
๖.๒ ผลกึ พลังน�ำการเปล่ียนแปลงใหม่
การสังเคราะห ์ และการบูรณาการในหวั ขอ้ น้ตี ้องการแสดงให้เขา้ ใจไดถ้ งึ การเคลอ่ื นไหว การเปลี่ยนแปลง
ทางศลิ ปะออกแบบ หากนำ� หลักการแกน่ สารแหง่ การปฏบิ ตั ขิ องทง้ั ๒ แนวทาง มาใชไ้ ดอ้ ยา่ งสอดคลอ้ งกันไป
กับโจทย์และเร่ืองทัว่ ไปของบุคคล หรอื เร่ืองระดบั ชาต ิ - ท้องถิน่ ที่มีความซับซอ้ นการน�ำคำ� กญุ แจท้ังสองไปใช้
และกอ่ ให้เกดิ ผลสำ� เรจ็ ตามเปา้ หมายท่ีกำ� หนดไวไ้ ด้น้ัน ผใู้ ช้ตอ้ งมคี วามรอบคอบและตระหนกั รู้ไดว้ ่า ควรจะใช้
หลักการของคำ� กญุ แจไหนในสถานการณ์ - ปรากฏการณแ์ บบใด
กรณเี ชน่ การคิดเชงิ บูรณาการ จะมคี วามเหมาะสมกับปัญหาและโจทย์แบบมีความสลบั ซับซ้อน มผี ล
กระทบในทางสงั คม วฒั นธรรม หรอื ส่งิ แวดล้อมในวงกวา้ ง การตัดสินใจกระทำ� การอยา่ งหนง่ึ อย่างใดจะมผี ล
กระทบต่อผคู้ น วถิ ีชวี ติ วฒั นธรรมและส่งิ แวดลอ้ มโดยภาพรวมเปน็ ตน้
การเรม่ิ วิธคี ดิ จึงต้องพิจารณาพิเคราะห์ ถึงภาพรวมองค์ประกอบของปญั หาท่เี ก่ยี วขอ้ ง ใหก้ ระจา่ งก่อน
ในเบ้อื งต้นว่า มใี คร อะไร และทีไ่ หนบา้ ง หลงั จากนน้ั จงึ มาประเมินและตดั สนิ ใจวา่ ควรจะด�ำเนินการอยา่ งไร
ต่อไป เช่นนค้ี วรทำ� อย่างไรทีจ่ ะลดความซ�้ำซอ้ น ส้นิ เปลือง และชว่ ยแกป้ ญั หาไดเ้ บด็ เสรจ็ มีความมั่นคงและ
ยัง่ ยืนในชุมชนนั้น
วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบข้นั สงู 221
ตวั อยา่ ง : แผนภาพแสดงกระบวนการบรู ณาการเพอ่ื ค้นหาภาพของความรู้จาก “การใชศ้ ิลปะยกระดบั
ภาพลักษณ์สนั ทนาการอย่างมมี ิตรภาพ และภราดรภาพข้ามวัฒนธรรมอาเซยี น”
222 วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้นั สงู
หรือการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC มียทุ ธศาสตร์ทต่ี อ้ งการยกระดับจงั หวัด
ชลบรุ ี ให้เปน็ ศูนยก์ ลางนวตั กรรมของ EEC เพอ่ื รองรบั การพัฒนาสงั คม ธรุ กิจอตุ สาหกรรมการบริการและ
การทอ่ งเที่ยวในภาพรวม โดยเฉพาะมีนโยบายและแผนงานท่ีจะฟ้ืนฟ ู และพฒั นาชายหาดบางแสนเมืองแสนสขุ
ใหเ้ ป็นสถานทท่ี อ่ งเทีย่ วและเมืองนา่ อยใู่ นมติ ิใหม่ท่ีสอดคล้องไปกบั ภูมทิ ัศน์ทางธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมของ
ท้องถิน่ เปน็ ต้น
ตวั อย่าง :
ภาพที่ ๑๐๐ แนวคดิ การออกแบบเบ้อื งตน้ โครงการปรับปรุงพืน้ ทบ่ี รกิ ารนักทอ่ งเท่ียวเทศบาลเมอื งแสนสุขเป็น
กจิ กรรมเกี่ยวกับธรรมชาติและศลิ ปะ เนน้ การพักผอ่ นด้วยการออกแบบ Landscape ให้ดึงดดู
ความสนใจและปรับให้เข้ากับธรรมชาตเิ ดมิ
ท่ีมา : เทศบาลเมอื งแสนสขุ
วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบข้ันสงู 223
๖.๒.๑ สรา้ งสรรค์สิง่ ใหม ่ สังเคราะหแ์ ละบูรณาการต่างลว้ นเป็นหลักการหรอื หลกั ปฏบิ ัติที่มี
วัตถปุ ระสงค ์ เพือ่ ชว่ ยขยายขอบเขตของการคดิ หรอื จิตภาพทางศลิ ปะออกแบบ ให้ครอบคลมุ ครบถ้วนมา
เชื่อมโยงกันอย่างสมเหตสุ มผล และเพื่อสรา้ งส่งิ ใหมห่ รือการหาขอ้ สรปุ ให้ข้อมูลทมี่ อี ยูอ่ ย่างกระจดั กระจาย
ดว้ ยการร้อยเรียงประเดน็ ตา่ งๆ มาผูกโยงเข้าด้วยกนั อยา่ งเหมาะสม หรือการปรบั ขยับประกอบส่ือส่งิ ใหผ้ สม
ผสานกนั ไดต้ รงตามวัตถปุ ระสงค์ (ตามที่กล่าวมาแลว้ ในตวั อยา่ ง) และชว่ ยใหม้ องเหน็ ความเป็นไปไดใ้ หมท่ าง
การสร้างสรรค์ศลิ ปะออกแบบ รวมไปถงึ แนวทางแกป้ ญั หาอยา่ งชัดเจนไปตามกรณี
การคิดสังเคราะห์ เป็นแนวทางหนึ่งท่ีนำ� มาใช้ในการคิดเชิงสร้างสรรคศ์ ิลปะออกแบบได ้ “เป็นการ
สงั เคราะหเ์ ชงิ สรา้ งสรรค”์ เพือ่ ใหเ้ กิดผลึกความคิดใหม ่ ผสมผสานและหลอมรวมความคดิ ใหม่ เพื่อใหไ้ ด้ส่ือสิง่
ใหม่ๆ ทม่ี ีลักษณะแหวกแนว นอกรอบ นอกกระแส เป็นไปแบบไม่เคยมใี ครเคยคิดมาก่อน อันเกดิ ขึน้ จาก
ผลรวมของสอื่ ส่ิงตา่ งๆ ท่เี รานำ� มาสังเคราะหร์ วมกัน
ความเป็นสิง่ ใหมต่ ามความนัยน้ ี มีท่มี าทีไ่ ปไดใ้ นหลายกรณเี ชน่ เกดิ ขึน้ ได้จากการคิดวิเคราะหข์ ้อมลู
เอกสารวรรณกรรมทเี่ กีย่ วขอ้ ง งานศลิ ปะออกแบบทสี่ นใจ จนเกดิ ความคิดจาการมารวมตวั กนั เป็นสง่ิ ใหม่ข้ึน
ซึง่ จะพบไดว้ ่าผลงานศิลปะ และผลติ ภณั ฑ์ทางการออกแบบต่างๆ ในโลกปจั จุบนั ส่วนหน่ึงเกดิ จากการประยกุ ต์
Renovate Renew และ Reuse อีกสว่ นหนง่ึ เกิดจากการสังเคราะหไ์ ด้กอ่ ใหเ้ กิดสิง่ ใหมท่ ใี่ ชก้ ารไดอ้ ยา่ ง
สอดคล้องกลมกลนื ไปกบั บรบิ ทของโลกท่เี ปลย่ี นแปลงไป
ภาพท่ี ๑๐๑ ผลงานออกแบบของ อเลสซานโดร เมนดินิ
สะทอ้ นให้เห็นถงึ การผสมผสานงานศลิ ปะและออกแบบ
เขา้ ไวด้ ว้ ยกัน
ทีม่ า : The Poetry of Design. Alessandre Mendini.
224 วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบข้ันสงู
การสงั เคราะห์ทางศลิ ปะออกแบบช่วยน�ำทางไปส่กู ารสร้างสิ่งใหม ่ ด้วยการอาศยั สอ่ื สง่ิ รูปความหมาย
จำ� เพาะจากองคป์ ระกอบตา่ งๆ ทต่ี รงตามวัตถุประสงค์นำ� ไปผสมผสานกับองค์ประกอบอ่ืนๆ เช่น จติ วทิ ยา
เทคโนโลยไี ปตามสดั สว่ น และขนาดอย่างเหมาะสม เพอื่ สร้างรูปความหมายใหม่ๆ ให้ปรากฏข้นึ โดยสงิ่ ใหม่
จากการสังเคราะห์น้ัน จะเกดิ ขึ้นใน ๒ ลักษณะคอื
(๑) รปู ลกั ษณ์ - ภาพลักษณ ์ มีการเปลีย่ นแปลงไม่หลงเหลือสภาพของสอ่ื สง่ิ เดมิ เคา้ เดิม จนไม่ทราบได้
วา่ มที มี่ าเดิมจากแหล่งใดเรอื่ งใด ด้วยเหตุผลว่า รูปลกั ษณ ์ - ภาพลักษณ ์ ใหมท่ บี่ งั เกิดขึ้นมีการผสมผสานกับ
องคป์ ระกอบอื่นๆ จนไมค่ งสภาพเคา้ เดิมให้รบั ร้ไู ด้
(๒) รูปลกั ษณ์ - ภาพลักษณ์ มกี ารผสมผสานรวมกนั ของส่ือส่ิง และรูปความหมายจากส่วนประกอบ
ต่างๆ ไดเ้ ปลย่ี นรูปเป็นสอื่ ส่ิงใหม่ แตส่ ภาวะของรปู ลกั ษณแ์ ละภาพลักษณ์ใหมน่ น้ั ยงั สามารถสังเกตเหน็ สว่ น
ประกอบย่อยๆ ของส่อื สิ่งเดิมให้รับรู้ได้
ธรรมชาตกิ ารคิดสังเคราะห์ทางศลิ ปะออกแบบนั้น ผลท่ีไดร้ ับจากกระบวนการวธิ หี นึ่งๆ จะก่อรูป กอ่ ร่าง
และความหมายใหป้ ระจักษถ์ ึงสง่ิ ใหมอ่ ยู่ทุกขณะ เหตเุ ป็นเชน่ นีส้ บื เน่อื งมาจากการสังเคราะห ์ ดว้ ยหลกั การ
ของวิธคี ดิ ใหม่ ไมไ่ ดม้ วี ธิ ตี ั้งต้นจากการเลยี นแบบท�ำซ้ำ� ท�ำตามและนำ� มาใชเ้ ป็นหลกั หากอาศัยและหยิบยืม
เพยี งบางสว่ นจากศลิ ปะออกแบบ มาชว่ ยสรา้ งแรงบนั ดาลใจ ผา่ นกระบวนการตีความหมายในแงม่ ุมที่ตา่ งออกไป
จากเดิม เชน่ การตีความศลิ ป ์ พีระศรี ในภาพลกั ษณใ์ หมข่ องศลิ ปนิ ปัจจุบนั ซ่ึงย้อนแยง้ ไปจากความเชอ่ื
ความศรทั ธาเดิมจากการยกย่องเทิดทูน น�ำมาสกู่ ารลอ้ เลียนจนกอ่ ภาพลกั ษณ์ถึงความเปน็ มนษุ ยเ์ ชน่ ปกติ
วธิ ีคิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สูง 225
ภาพท่ี ๑๐๒ ตัวอย่างผลงานศลิ ปะบางส่วนอาศัยการหยิบยืมภาพลักษณ์ศลิ ป ์ พรี ะศรี และบุคคลท่วั ไป
มาตีความหมายใหมใ่ นมุมมองที่แตกต่างและย้อนแย้งกบั ความเขา้ ใจเดมิ ให้เป็นบุคคลทสี่ ามารถ
แตะตอ้ งได ้ ทำ� นองเสยี ดสลี ้อเลยี น
ทม่ี า : สำ� นกั งาน Fine Art กรุงเทพฯ
226 วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบขั้นสูง
ผลทไ่ี ดข้ องความรแู้ ละสงิ่ ใหมจ่ ากการบูรณาการทางศิลปะออกแบบ คอื ชว่ ยให้เห็นภาพรวมของสอื่ สง่ิ
เหลา่ นัน้ และจะช่วยให้เข้าใจถงึ ขอ้ บกพรอ่ งต่างๆ ท่ีบังเกดิ ขึ้นจนนำ� ไปสู่แนวทางการแก้ปัญหา การสรา้ ง
ความร่วมมอื ร่วมใจระหว่างกนั และส่วนรวมได้รับประโยชน์แบบ Win-Win ส่วนในการสรา้ งและออกแบบ
สือ่ สง่ิ ใหม่น้ัน การบูรณาการจะกลนั่ กรองไปสู่ผลึกความคดิ หรอื แกน่ สารของคุณสมบัตทิ ่ีเขา้ กันได ้ และมองเหน็
ความเปน็ ไปได้แบบใหมๆ่ จากการผสมและหลอมรวมกนั วธิ กี ารนจ้ี ะลดความขัดแย้งแตกตา่ งระหว่างวสั ดุ วตั ถุ
สือ่ สง่ิ เหลา่ นน้ั เน่ืองจากได้นำ� คุณสมบัตริ ว่ มมาใชป้ ระโยชนท์ ่ีจะไดร้ ับรว่ มกนั
๖.๒.๒ แนวความคดิ ใหม ่ การสังเคราะห์เพอื่ การสรา้ งสิง่ ใหม ่ นอกจากมีความเกย่ี วขอ้ งกับ
สงิ่ ประดษิ ฐ์คิดค้นนวตั ศลิ ป์ และผลงานทางศลิ ปะและสาขาไปตามแนวความคดิ วธิ คี ดิ ต่างๆ กนั ไปแลว้ ยงั มี
การสร้าง “แนวคิดใหม่” หรือ หรือความคิดแบบก้าวหน้าท่เี กดิ ขน้ึ จากการพฒั นาแนวคิดใหมข่ ้ึนมาเป็นหลักคดิ
หลกั วิชา และหลกั การใหย้ ดึ ถือปฏิบตั กิ นั ตอ่ ไป ประการสำ� คญั เปน็ การสร้างแนวคดิ ใหม่ในวตั ถุประสงคห์ รอื
แนวคดิ ท่ไี ดก้ �ำหนดไว ้ เพื่อยนื ยนั ถึงผลท่ีไดร้ บั จากการศกึ ษาวิจยั หนงึ่ ๆ ว่ามีผลกระทบหรือ Impact ถงึ ผล
ของความรู้ใหมท่ ีไ่ ด้วา่ เป็นอย่างไร จากการสังเคราะหน์ ั้นเชน่ “ปรัชญาความร้ใู หม”่ “แบบจำ� ลองความรู้ใหม”่
“แนวความคดิ ใหม่” ทางศิลปะออกแบบ
ส่งิ ใหม่จากการบรู ณาการทางศิลปะออกแบบ เกดิ จากการขยายขอบเขตความคิด หรือการคดิ แบบ
ประสานประโยชนใ์ นลักษณะของภาพรวมหรือองคร์ วมจากองคป์ ระกอบหลักและย่อย ท่เี ช่ือมโยงกนั ในสิง่ ท ี่
เป็นไปไดไ้ ม่วา่ จะเปน็ สหวทิ ยาการ และคู่ตรงข้ามจนสามารถมองเหน็ ความเป็นไปไดใ้ หม่ๆ หรือแนวทางแก้ปัญหา
และสร้างสรรคไ์ ด้อย่างเป็นรปู ธรรม เกดิ เป็นสิง่ ใหมท่ ี่มีความสมบรู ณ์มากขนึ้ กว่าเดิม สามารถนำ� ไปประยุกต์ใชไ้ ด้
ต่อไป เป็นตน้ ว่า มกี ารนำ� ความรแู้ ละประสบการณท์ ่ีได ้ มาจัดระเบียบใหม่ให้มีความเหมาะสมเป็นองคค์ วามรู้
ชว่ ยครผู ู้สอน โดยการสอนต้องสอนให้ผูเ้ รียนเกดิ กระบวนการเชือ่ มโยงความคิดขึน้ ในเนือ้ หา ดว้ ยการใชว้ ธิ กี าร
อยา่ งหลากหลาย ซ่ึงจะเป็นการบรู ณาการทั้งดา้ นเน้อื หาสาระ และวธิ ีการจากศาสตร์ด้วยการนำ� มาผนกึ กำ� ลัง
รว่ มกัน
๖.๓ กอ่ แกนและโครงนำ� ทางสรา้ งภาวะสมบูรณ์
การจะสรา้ งส่ิงใหมแ่ ละได้ความร้ใู หมจ่ ากการบูรณาการ และการสงั เคราะห์อยา่ งมีหลักวิชา การได้มา
ซ่ึงคำ� ตอบอนั เป็นเปา้ หมายปลายทางนั้น ไมส่ ามารถดว่ นสรุป และคาดการณเ์ อาเองตามการวเิ คราะหท์ แี่ สดงถึง
ผลไวร้ ะดับหนึง่ แลว้ เปน็ ชุด กลุ่ม ชนิดหรือประเภทเป็นตน้
เน่ืองจากสาระของความรูท้ ไี่ ด้ยังเปน็ เพียงแนวคดิ หรอื ชดุ ความรู้ความเข้าใจย่อยหน่งึ ๆ มลี ักษณะทยี่ ัง
กระจดั กระจาย ขาดการหาความรคู้ วามจรงิ และความเปน็ ไปไดใ้ นมติ ิอื่นเช่นการประสานเชื่อมโยงหรอื ผนวก
แต่ละชดุ ความรู้ยอ่ ยเหล่านั้นเข้ามารวมกัน เพอ่ื ให้ได้ผลการศึกษาวิจัยไปสแู่ นวทางใหมท่ ่มี ีประโยชน์และคณุ ค่า
เพม่ิ มากย่งิ ขึ้น ตามวัตถปุ ระสงคท์ ต่ี ้งั ไว้
การผนกึ พลังให้เพ่มิ พูนและให้สมบรู ณ์อยา่ งครอบคลมุ ในหลายมิตจิ นสามารถตอบ “วัตถปุ ระสงค์”
ได้ลมุ่ ลกึ มคี วามลกึ ซ้งึ และครอบคลุมมคี วามจำ� เป็นตอ้ งอาศยั “โครงความคดิ ” และ “แกนหลัก” นำ� ทางภาวะ
สมบรู ณ์ใหม ่ เปน็ เคา้ โครงหรือแกนท่ไี ด้ถกู ออกแบบข้นึ เป็นการเฉพาะ ด้วยการก�ำหนดลกั ษณะคณุ สมบัต ิ และ
ขอบเขตของสอ่ื สิง่ ประเดน็ สำ� คญั ทีจ่ ะบรู ณาการและสงั เคราะห์วา่ มอี ะไรบ้าง ขอ้ สำ� คญั คือ มีการจดั ลำ� ดับแนวคิด
คณุ สมบตั ิเฉพาะเน้อื หาเฉพาะท่เี กีย่ วขอ้ งมาจดั เรียงไว้ตามแนวแกนหลัก และโครงความคดิ นำ� ทางใหม่ เพือ่ ให้
สาระที่ได้สามารถตอบวัตถปุ ระสงคท์ ก่ี ำ� หนดไว้
วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบขั้นสงู 227
๖.๓.๑ บูรณาการเชื่อมโยง “แกนหลัก” คอื ความหมายในการเชื่อมโยงแนวคดิ ตา่ งๆเข้าหา
แกนหลักอันเปน็ รูปเคา้ ภาวะสมบรู ณ์นำ� ทาง หรือวตั ถปุ ระสงค์ของเร่อื งทีต่ ้งั ไว้ (ดูตวั อย่างข้อ ๖.๒) ด้วยการ
เชื่อมโยงใหค้ รอบคลุมในหลายมติ แิ ละครบถว้ นสมบูรณอ์ ยา่ งมีเหตุผล เพ่อื ใหแ้ กนหลักนั้นช่วยควบรวมและ
ผนกึ ก�ำลงั สิ่งทีต่ รงขา้ มและขดั แย้งกนั ใหไ้ ปในทศิ ทางเดยี วกนั
ตวั อย่าง : การรบั รูส้ นุ ทรียอุดมคติแบบไทยจากพหุสมั ผัส
228 วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขั้นสงู
ผลงานของ พเิ ชษฐ ์ กล่ันช่นื
วธิ คี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้นั สงู 229
แกนหลักทางความคดิ จะเกดิ ข้ึนจากวัตถปุ ระสงค์หรอื เร่อื งในการคดิ เปน็ หนว่ ยหลกั ไมว่ า่ จะเป็นสังคม
วฒั นธรรม เนอ้ื หาจบั ต้องไดแ้ ละไมไ่ ดเ้ พือ่ เช่ือมโยงกบั สอ่ื สิง่ ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกัน ในส่วนประกอบยอ่ ยตา่ งกนั ทง้ั ทเ่ี ป็น
คูต่ รงกนั ข้ามขดั แย้งกนั หรือมคี วามย้อนแย้งกนั จนไมส่ ามารถจะรวมเข้าดว้ ยกันได้ เพอ่ื หาจดุ รวมจดุ ตา่ งๆใน
ความแตกต่างหลากหลายน้ันๆ ในแกนหลักทางความคิดดว้ ยการจดั สาระทเ่ี ก่ียวขอ้ งในสว่ นประกอบย่อ (๑) - (๔)
โดยภาพรวมน�ำมาเรยี งตามแนวแกน และแสวงหาแกน่ สารร่วมท่จี ะนำ� ไปสูก่ ารผนึกพลงั หรอื หาทางเลือกใหม่ๆ
ในแกนหลักน้ี
๖.๓.๒ สงั เคราะห์ผสมผสานในโครงความคิด คือการคน้ หารูปโครงน�ำร่องเพ่อื อาศัยเป็นท ี่
ผสมผสานส�ำหรับการสังเคราะหใ์ ห้เกิดผลึกความคดิ ใหม่ ส่อื สงิ่ ใหมท่ างศิลปะออกแบบ ดว้ ยการคัดกรองเฉพาะ
สอื่ สิง่ อันเป็นแก่นสาร แนวความคิดและคณุ สมบัติทเ่ี ก่ยี วข้อง มาจดั เรยี งล�ำดับแถวตาม “โครงความคิด” เพอื่
ตอบวัตถปุ ระสงคแ์ ละหาวธิ ีแกป้ ัญหา และสร้างสิง่ ใหม่
ตวั อย่าง :
การจดั วางหรอื การเรียงล�ำดับในโครงความคิดหรอื – แกนความคิด ใหต้ อบวตั ถุประสงค์ไดถ้ กู ต้องและ
สอดคล้องกันไป ในเบอ้ื งแรกต้องใช้จนิ ตนาการสร้างสรรค์ ความเป็นไปได้ของสรรพส่งิ ทีเ่ กยี่ วข้องกนั กบั
แกนความคดิ - แกนหลักมสี าระเฉพาะอะไรบา้ ง คณุ สมบัติอะไรบ้าง ทง้ั นี้เปน็ การจนิ ตนาการผา่ นข้อมูลท่ไี ด้
ไมใ่ ชค่ ดิ ฝนั เอาเอง สรา้ งภาพเอาเอง การคิดเองแบบนน้ั ไมไ่ ดช้ ว่ ยให้การจัดเรียงแถวในโครงความคิดใหม้ ีความ
นา่ เช่ือถอื ได ้ เพราะต้ังหลักผดิ พลาด เช่น “พระพุทธรูปสโุ ขทยั ทกุ องค์มีลกั ษณะ Classic หมด” คำ� ตอบท่ีได้
เป็นเชน่ นน้ั หรอื ไม ่ เน่ืองจากการกำ� หนดพุทธลกั ษณะคำ� วา่ Classic ของสโุ ขทยั ไมไ่ ดห้ มายรวมพระพุทธรูป
ทุกหมวดของสุโขทยั หากบ่งชลี้ งไปเฉพาะ “หมวดใหญ”่ อนั เป็นหมวดพระพทุ ธรปู สโุ ขทยั ทเ่ี นรมิตพทุ ธ
ลกั ษณะได้อย่างมสี นุ ทรียและลงตัวท่ีสุด (ดูภาพท่ี ๗)
230 วิธคี ิดทางศิลปะออกแบบขั้นสูง
นอกจากนน้ั การจัดเรยี งโครงความคิดและแกนหลักต้องมี “ความคดิ ยืดหยุน่ ” สามารถปรบั ขยบั ได้
ทกุ ขณะเพ่ือนำ� เอาแนวคดิ ท่ีดี คุณสมบตั เิ ฉพาะอย่างเหมาะสม สือ่ สง่ิ ที่สอดคลอ้ งกบั วัตถปุ ระสงค์ หรือเรื่องท่ี
กำ� หนดไว้มาใช้จัดเรยี งสลับไปสลบั มาบนโครงความคดิ ของแกนหลักใหส้ อดรับกนั ไป ยิง่ ชุดความคิดมีลักษณะ
ไรร้ ูปจบั ต้องไมไ่ ด้แตม่ ีความหมายแฝงทีถ่ ูกทบั ซอ้ นดว้ ยบริบททางวฒั นธรรมยคุ ใหม ่ จนท�ำใหค้ วามจรงิ ทเี่ ห็น
คลาดเคลือ่ นไป และตวั หมายถึงท่ีแฝงน้ี มสี ว่ นสำ� คัญอยา่ งมากต่อค�ำตอบอันเป็นปริศนา ในวตั ถปุ ระสงค ์
ขอ้ หนึ่งข้อใดอกี ด้วย ความเปน็ เชน่ นี้ของข้อมลู หรอื แนวคดิ จงึ ต้องไดร้ บั การพิจารณาอย่างรอบคอบ
๖.๔ อาศัยคำ� กญุ แจก่อผลกึ ความสมบรู ณ์
“คำ� กญุ แจ” ในความหมายนีเ้ ป็นหลกั คิดท่ีช่วยท�ำใหเ้ กิดการกอ่ ความรแู้ ละสง่ิ ใหม่ให้บงั เกดิ ขึน้ ได้แกค่ �ำวา่
“การผสมผสาน” “การปรับส่วนผสม” “การปรับขยับ” “การถกั ทอ” และ “การเช่อื มโยง” ซึ่งวธิ ีการกอ่ ผลึก
ความสมบรู ณ์ในหวั ข้อนี้ จะเป็นการกระท�ำให้เกดิ ความรู้ผ่าน “โครงความคดิ จากการสงั เคราะห”์ และ
“แกนหลกั จากการบูรณาการ” (ตามหัวขอ้ ท่ี ๖.๓) ด้วยค�ำกุญแจส�ำคัญดังกลา่ วโดยอาศัยหลกั การท่จี ะน�ำไปสู่
การปฏบิ ตั ทิ ี่สอดคล้องกนั และ การจดั เรยี งแนวคิดคุณสมบตั ิเน้อื เรอ่ื งตามแนวแกนกับ[การคดิ แบบยืดหย่นุ
เปน็ เครื่องมือทีช่ ว่ ยปรับขยบั สว่ นผสมใหส้ มบูรณข์ นึ้
ในการคดิ หาความรจู้ ากการบูรณาการด้วยการเชื่อมโยงแลว้ มคี ำ� ในภาษาไทยหลายคำ� ทสี่ ่ือความหมาย
ค่อนขา้ งสอดคลอ้ งกันได้แก ่ การประสาน ควบรวม ผลึกกำ� ลงั และการเติมเตม็ เช่นเดียวกับการคดิ หาความรู้
จากการสังเคราะห์ มคี วามเกี่ยวขอ้ งกับการผสมผสาน การถกั ทอ และการหลอมรวม กม็ คี ำ� ในภาษาอังกฤษ
หลายค�ำทส่ี ่ือความหมายแบบสอดคลอ้ งกันไป ได้แก่ Synthesize Synthesizer ท่หี มายถงึ การสร้างข้ึน
โดยน�ำของหลายอย่างมารวมกนั เปน็ ส่งิ ใหม่ หรือผูส้ ร้างความคิดส่ิงของขนึ้ ใหม่ การนำ� ของเดมิ มารวมสังเคราะห์ขนึ้
เป็นต้น ตามรายละเอยี ดการสังเคราะห์เชิงวธิ กี ารดงั น้ี
๖.๔.๑ ผสมผสานส่อื สง่ิ หมายถึงกระบวนการรวบรวมสาระแก่นสารและแนวคิดในองค์
ประกอบทแ่ี ตกตา่ งกัน ไมว่ า่ จะเป็นความคดิ สิ่งของ คุณสมบัต ิ คณุ ลกั ษณะ และรปู ความหมายเปน็ ต้น ด้วย
การนำ� มาผสมผสานศกั ยภาพของคณุ สมบตั คิ ณุ ลกั ษณะ ของแต่ละองค์ประกอบ ที่วางเรยี งเปน็ แกนไว้ให้ผสาน
เช่อื มโยง ใหเ้ กดิ ความกลมกลืนกนั ภายในโครงรา่ งทางความคิดเดยี วกัน จนแปรสภาพเปลย่ี นรูปเป็นสงิ่ ใหมต่ าม
การ ผสมผสานหนึ่งนนั้ จะเป็นการเปล่ียนภาพลักษณ์ทางศิลปะออกแบบเดิม ใหม้ ีลักษณะใหมท่ แ่ี ตกตา่ งไป
จนไม่หลงเหลือเคา้ โครงเดมิ ใหร้ ับร้ไู ด้ ตัวอยา่ ง การใชจ้ ินตนาการสร้างสรรค์ด้วยการผสมผสานสอ่ื สิง่ ทีไ่ มส่ มั พนั ธ์
กัน ใหก้ อ่ ผลความเปน็ ไปไดใ้ หมแ่ ละใชง้ านได้
วธิ คี ิดทางศิลปะออกแบบขั้นสูง 231
ภาพที่ ๑๐๓ ผลงาน “สู่พทุ ธภมู ”ิ ส่ือประสมแนวการตดิ ต้งั ของ อภชิ ัย ภริ มยร์ กั ษ ์ ไดร้ บั แนวความคิดและ
แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ตอนเสด็จลงจากดาวดงึ สส์ ู่มนษุ ยโลก ณ ใกล้เมอื งสงั กัสสะพระอนิ ทร์
ทรงเนรมติ บนั ไดแกว้ สำ� หรบั พระพุทธองค์ บันไดเงนิ ส�ำหรบั ท้าวมหาพรหม และบนั ไดทองสำ� หรบั
พระอินทรเ์ อง โดยอภิชัยมีการตีความหมายบันไดทัง้ สาม ดว้ ยภาพแทนความคดิ ใหม่ของบนั ไดทางข้ึน
แบบสามัญ
รปู พรรณสันฐานใหมท่ ไี่ ด้จากการผสมผสานจะสะทอ้ นถึงลักษณะเดน่ ทางความคดิ ของเราท่ีมเี อกลักษณ์
ของตัวตน ในการแสดงออกทางความคิดและปรชั ญาความร้ ู อันเป็นหลกั ทมี่ คี วามเข้าใจโลกและชีวติ ทางศลิ ปะ
ออกแบบอยา่ งถงึ แกน่ ดงั นน้ั การผสมผสานจงึ ตอ้ งเขา้ ถึงแนวความคดิ และคณุ สมบัต ิ อนั เป็นลักษณะเฉพาะ
ของสอื่ ส่ิงแบบมีความโดดเดน่ หรือมลี ักษณะร่วมกนั ในความหลากหลายนัน้ “Unity in Diversity” ดว้ ยการ
คัดสรรกลั่นกรองถึงแก่นสารหรอื คณุ ค่าเฉพาะ แลว้ นำ� มาผสมผสานภายในโครงความคิดทกี่ �ำหนดไว้
ความลุม่ ลกึ ของการผสมผสานในระดับทสี่ งู ข้นึ ไปคอื การผสมผสานของส่อื ส่ิงตา่ งชนดิ เขา้ ดว้ ยกนั และมี
คณุ สมบัตเิ ฉพาะ และธรรมชาตเิ ฉพาะตวั ท่ีไร้รปู และสนุ ทรยี ทางนามธรรมอนั จบั ต้องไม่ได้ แตต่ ้องนำ� คุณคา่ เฉพาะ
นนั้ มาสร้างสรรคใ์ หเ้ กดิ ความเป็นไปไดใ้ หม่ๆ ทางศลิ ปะออกแบบ เช่น “สนุ ทรียนามธรรมในศลิ ปกรรมไทย”
“ผวิ สัมผสั ทางวัฒนธรรมไทยสสู่ ากล” โดยการจะก่อรูปความหมายแฝงท่ีไรร้ ูปดงั กลา่ ว ใหเ้ กดิ เป็นส่งิ ใหม ่
แนวคดิ ใหมไ่ ด้นั้น ตอ้ งถอดรื้อความนยั หรอื ปริศนาที่ถูกทบั ซอ้ นใหก้ ระจ่างก่อนจะมองเฉพาะรปู นอกจากทเี่ หน็
อยา่ งเดยี วไมไ่ ด้
232 วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขัน้ สงู
สนุ ทรียหรอื ความงามอย่างไทย โดยเฉพาะทางศลิ ปะออกแบบดา้ นวิจิตรศลิ ป์ (Fine Art) และ
ประณีตศลิ ป์ อนั เปน็ ศลิ ปะประยุกต์นน้ั รปู ลกั ษณภ์ ายนอกทีร่ บั รู้ได้เปน็ เพยี งสมมติภาวะทีถ่ กู สรา้ งหรือออกแบบ
ขึ้นไว ้ ถึงภาพความเปน็ ส่ิงแทนสง่ิ หน่งึ สิง่ ใด จากอุดมคติทางความคิด ท่ีคิดฝันขนึ้ เปน็ ภาพสะท้อนถึงวัฒนธรรม
ทางวิญญาณของความเช่อื ทางศาสนาพทุ ธเปน็ หลกั และเป็นของจักรวาลทางอุดมคตทิ ี่กวา้ งใหญไ่ พศาลโดยเฉพาะ
อย่างยงิ่ สมมตภิ าวะทางศิลปะไทย จะบง่ บอกถงึ แกน่ สารของสนุ ทรยี ที่ผสมผสานกนั ระหว่างความดี ความจริง
และความงามควบค่กู ันอยา่ งเปน็ องค์รวม
การผสมผสานรปู ภาพกบั พืน้ ผิว หรือผสมผสานกนั ระหว่างภาพจากการวาดเสน้ (Drawing) ภาพวาด
(Painting) และส่งิ พิมพต์ ่างๆ (Printing) มบี ทบาทอย่างมากตอ่ ศลิ ปะออกแบบในสาขาวิชาต่างๆ ดว้ ยการอาศัย
คุณสมบัตเิ ฉพาะและเทคนิควธิ ีการในสาขาทีแ่ ตกตา่ งกัน มาผสมผสานกันไปในผลงานเดียวกัน เปน็ ต้นวา่ ใช้
เทคนคิ การตัดแปะหรอื Collage น�ำเอาสง่ิ ตา่ งๆ มาปะติดปะต่อกัน และการวาง Layer ของการใช้สื่อสิง่
ซอ้ นกนั เปน็ ช้ันๆ และมกี ารใชผ้ ิวสมั ผสั ผสม ปะปนกนั ไปมาระหว่างความแบนแบบ ๒ มติ ิ และความลกึ แบบ
๓ มติ ใิ หส้ ลบั กนั ไปมาเป็นต้น
ตวั อย่าง : อาศยั คำ� กุญแจของหลกั การ (Principle) ผนกึ ความสมบูรณ์
วิธีคดิ ทางศิลปะออกแบบขัน้ สูง 233
การผสมผสานสาระและส่ือสง่ิ เพ่ือให้ไดผ้ ลแบบเขา้ ทีห่ รอื เขา้ ทาง ในการออกแบบและสรา้ งสรรค์
ทางศิลปะหนงึ่ ๆ นัน้ ตอ้ งอาศัยการปรับขยับเป็นล�ำดบั คอื การทำ� ใหอ้ ย่ใู นสภาพทีเ่ หมาะสมหรอื ดีข้ึนและการขยับ
คอื การเคลอ่ื นท ่ี การเล่อื น ด้วยการยักยา้ ยถ่ายเทระหวา่ งสงิ่ หนึ่งกับอีกส่งิ หนงึ่ เพอื่ ใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงของ
สื่อสง่ิ เดิมไปสูร่ ูปลักษณ์ใหม่ การรับรู้ใหม ่ สุนทรยี แบบใหม่ และปรากฏการณ์แบบใหม่เปน็ ต้น
ซึ่งแก่นสารของความรู้ และการรบั รใู้ หมท่ ่ไี ดร้ บั เกิดจากผลของการผสมผสานให้สื่อส่ิงเดิม แปรสภาพ
ทไี่ ปเปน็ อีกส่งิ หน่ึงรูปลักษณห์ นึง่ ไมใ่ ช่แบบทม่ี าเดิม ใหค้ ุณค่าทางสุนทรียและการรับรู้ใหมท่ แ่ี ปลกตาออกไป
(ตัวอย่างข้อ ๖.๔) หรอื การปรับขยบั ใหร้ ูปร่างรูปทรง มกี ารเคลือ่ นเลอ่ื นเปลยี่ นไป มีทว่ งทดี ี มีช้ันเชิงดี
มรี ูปลกั ษณะทีเ่ ข้าทีแ่ ละเข้าทางตรงตามวตั ถุประสงคท์ ี่ก�ำหนดไว้
๖.๔.๒ ถักทอความร ู้ “ถักทอทางศลิ ปะ” หมายถงึ การนำ� สาระความรแู้ ละสื่อสิ่งของเส้นลาย
สีสัน มาปรับขยับให้เกิดการประสานกัน หรอื ขดั แยง้ กันบนแนวเส้นนอนกบั เสน้ ยืน จนมีผลให้สิ่งเดมิ เปลีย่ นรปู
ไปสภู่ าพและลวดลายใหม่ สีสนั ใหม่โดยการถักทอจากคำ� กุญแจนจ้ี ะกระท�ำภายใต้ “โครงความคดิ หรอื โครงเร่ือง”
เดียวกนั เพื่อนำ� ไปสภู่ าพจากการถักทอเดยี วกนั
ผลทไ่ี ดจ้ ากการถักทอในแตล่ ะขณะภายใต้โครงความคิดหรือแกนหลัก (ขอ้ ๖.๓) จะช่วยใหเ้ กดิ ภาพ
เครอ่ื งหมาย สญั ลักษณ ์ ทีม่ คี ุณสมบตั ิและคณุ ลกั ษณะเฉพาะเจาะจงตามวตั ถปุ ระสงคท์ ่ีตง้ั ไว้ เปน็ รปู ความหมาย
ที่เปน็ ผลจากการขัดสาน หรือสอดประสานกันไป มาระหว่างเสน้ ยนื ของมูลธาตุ (ทศั นธาตุ Visual Element)
ไดแ้ ก ่ เส้น ส ี รูปรา่ ง รูปทรง ฯลฯ กบั เส้นนอนของหลักการทางทศั นศิลป ์ (Visual Principle) และคณุ สมบตั ิ
(เนือ้ หาองค์ประกอบ) ท่ีขดั สาน สอดไขวก้ นั ไปมาตามตัวอยา่ ง “การถักทอความรทู้ างศิลปะออกแบบ”
ดงั ภาพด้านล่าง
234 วิธีคดิ ทางศิลปะออกแบบขัน้ สูง
ตัวอย่าง :
การถักทอก็เชน่ เดยี วกับการผสมผสาน คอื ต้องคดั สรรกลัน่ กรองคุณสมบตั ขิ องส่อื ส่งิ ใน
การออกแบบหรือสร้างสรรค ์ และมคี วามเฉพาะของเร่อื งและคณุ ค่าทางสุนทรียมคี วามพิเศษเป็นต้นวา่
สะท้อนถงึ ความหมายอันลุ่มลึกไดแ้ ก่ ความหมายตรงและความหมายแฝง การดึงสาระของความคิด
นามธรรมเชน่ น ้ี ต้องอธบิ ายความหมายของสาระท่ไี ร้รปู ลักษณน์ ีว้ ่า คอื อะไรและอย่างไรกบั มีคุณค่า
ทางสุนทรียนามธรรม อันเป็นคุณค่าเฉพาะแบบลกึ ซ้งึ ตอ่ การน�ำมาใชถ้ ักทอใหเ้ กดิ ผลของสงิ่ ใหม่ได้
อยา่ งไร กรณีศึกษาเช่น
ความเป็นชิโนโปรตุกรสิ ในทางสถาปัตยกรรม คอื การผสมผสานคติความเช่อื ของจนี
โปรตุเกส ส่ศู ิลปะออกแบบจากการผสานองค์ประกอบส่วนใหญ่และย่อย ให้เกิดความ
พอเหมาะพอเจาะมีความพอด ี โดยเฉพาะการประกอบรูปสนุ ทรียนามธรรมจากรูป
และกระบวนลวดลายของจีนทีเ่ ปน็ ภาพอุดมคตจิ ากการคดิ ประดษิ ฐ์ทางมโนคติ กบั
รปู และลวดลายของโปรตเุ กสใหเ้ กาะเก่ียวเชื่อมโยงเขา้ หากนั ในองค์ประกอบของ
สถาปตั ยกรรมแบบชิโนโปรตุกริส ไดแ้ ก่ ประต ู หน้าตา่ ง ซ้มุ อาคาร ได้อย่างลงตวั
และเกดิ สุนทรียแบบใหม่ นามสถาปัตยกรรมแบบใหม่
๖.๔.๓ เช่อื มโยงสรา้ งสมั พันธภาพ ความหมายของ ค�ำกญุ แจนมี้ สี องความนัย สนธกิ นั คือค�ำ
ว่า “เชอื่ ม” ทำ� ให้เกดิ เปน็ เนอ้ื เดยี วกนั ทำ� ให้ประสานกันกบั ค�ำวา่ “โยง” ผูกใหต้ ิดกนั เพอื่ ลากจงู ไปเช่น โยง
เรือ ให้การโยงไปถงึ คนอน่ื ไปสูเ่ ป้าหมาย โดยการเชอ่ื มโยงจะมีการยดึ โยงกบั “แกนหลัก” และวัตถุประสงคเ์ พ่อื
ให้ ไปในทศิ ทางเดยี วกัน
เชือ่ มโยงสรา้ งสมั พันธภาพ
วิธีคดิ ทางศิลปะออกแบบข้นั สงู 235
ค�ำนจี้ ะเนน้ ความส�ำคัญในการเชือ่ มโยงสรรพสิ่งตา่ งๆ เชน่ ขอ้ มลู ขา่ วสาร แนวความคดิ มมุ มอง
แบบแผน ทฤษฎีตงั้ แต่ ๒ ลักษณะขึน้ ไป มีลกั ษณะเหมือนกนั และขัดแย้งเปน็ คา่ ตรงกนั ข้ามกนั หรอื คณุ คา่
ขัว้ ตรงกนั ข้ามกนั (สนุ ทรยี – อสนุ ทรยี ) เพอื่ น�ำศกั ยภาพ คุณสมบตั หิ รอื คณุ ค่าจากเดิมต่างแยกสว่ น ไมร่ วมกัน
ใหม้ ีความเชือ่ มโยงและสรา้ งสัมพนั ธภาพในระหวา่ งสรรพสง่ิ เหลา่ น้นั ให้สมบูรณ์มากขน้ึ และนำ� ไปสคู่ วามหมายใหม ่
(ดู ๖.๓.๑)
การเชื่อมโยง หรอื สัมพันธภาพแบบเชอ่ื มโยง จะเปน็ การผนกึ พลังในเชิงบูรณาการ ด้วยการผสาน
ศักยภาพของส่อื สง่ิ แนวความคดิ ทม่ี ีความแตกต่าง ให้มารวมเขา้ ด้วยกัน มีความผสมกลมกลนื กนั และสร้างสรรค์
กำ� ลงั พลังใหม่ๆ ทางศลิ ปะออกแบบใหส้ งู ขึน้ ค�ำสำ� คัญนหี้ ากใช้ยดึ โยงไปกบั “แกนหลักทางความคดิ ” ตามที่
กลา่ วมาแล้วจะชว่ ยใหค้ ำ� อธิบายถงึ เหตผุ ลแบบสหวิทยาการ และสหวชิ าจากทเ่ี คยมีความสลับซบั ซอ้ น มคี วาม
แตกต่างระหวา่ งกัน ใหผ้ นวกรวมกนั หรือควบรวมกนั จนมคี วามครบถว้ นสมบูรณ์มากยง่ิ ขึ้น
๖.๕ น�ำเสนอขอ้ ค้นพบใหม่
วิธีคิดทางศลิ ปะออกแบบขนั้ สงู จดุ หมายปลายทางจะตอ้ งนำ� เสนอสารตั ถะส�ำคญั และใหมข่ องการศกึ ษา
คน้ ควา้ และสร้างสรรค์ ผา่ นความคดิ และวธิ คี ิดอนั เปน็ ความปรารถนาหรอื ปรัชญาส่วนตน ดว้ ยการแสดง
ข้อคน้ พบใหม่จากการกำ� หนดคุณสมบตั ิ คุณลกั ษณะและขอบเขตของสือ่ สิง่ ท่ีจะบรู ณาการและสังเคราะห ์ อาศยั
การคดั สรรกลั่นกรองเฉพาะคุณสมบัต ิ และเนอื้ หาทเี่ กย่ี วข้องมาจัดเรยี งไว้ตามแกนของโครงน�ำทางสร้าง
ภาวะสมบรู ณ ์ (ดู ๖.๓) และอาศยั คำ� กญุ แจสำ� คญั คือ ผสมผสาน ถักทอ และเชือ่ มโยง ที่จะนำ� ไปส่ปู ริศนา
ของความรู้ใหม่และ สงิ่ ใหม่ทางศิลปะออกแบบและนวัตกรรมโดยสามารถแสดงผลข้อค้นพบได้ในหลายลกั ษณะคือ
๖.๕.๑ ขอ้ ค้นพบจากความรใู้ หม ่ คอื เป็นความรูจ้ ากการศกึ ษาวิจัย และวจิ ัยสรา้ งสรรคท์ าง
ศลิ ปะออกแบบ อนั แสดงใหร้ บั รู้และรับรูส้ กึ ได้ถงึ ความเป็นผลึกความร้ ู “แกน่ สารหรอื สารัตถะ” ท่หี มายความถึง
ภาวะอันเป็นเนื้อแทข้ องการค้นพบสิง่ ใหม่ความรใู้ หม่ใหป้ รากฏข้นึ ในโลก เชน่ ในการวจิ ยั สรา้ งสรรค ์ ความเป็น
แก่นสารทีไ่ ดร้ ับซึ่งนอกจากไดส้ นุ ทรียศาสตรแ์ บบไม่ซ้�ำกันแล้ว ยงั หมายรวมไปถึงข้อคน้ พบใหม่จากการปฏบิ ัติ
สรา้ งสรรค์อกี สว่ นหนงึ่ ดว้ ย จะเปน็ ความรูใ้ หมจ่ ากการปฏิบัตกิ ารกระท�ำ (Action) และการสะท้อน
(Reflection) ผา่ นภาพแบบใหม่ๆ จากกระบวนการทำ� การแก้ปัญหาดว้ ยปฏิภาณไหวพรบิ เพื่อค้นหาสุนทรยี
อนั ทรงค่าทเ่ี กิดขน้ึ จากการผสมผสาน หรือถักทอภายในโครงความคดิ และแกนความคิดหน่ึงๆ