The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุชาติ เถาทอง. (2562).
วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขั้นสูง คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ บูรณาการความรู้ใหม่. ชลบุรี: บางแสนการพิมพ์.

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by artdesign.btu, 2022-08-02 00:02:13

ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุชาติ เถาทอง. วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขั้นสูง คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ บูรณาการความรู้ใหม่_e-book

ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุชาติ เถาทอง. (2562).
วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขั้นสูง คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ บูรณาการความรู้ใหม่. ชลบุรี: บางแสนการพิมพ์.

Keywords: สุชาติ เถาทอง,วิธีคิด,ศิลปะ,ออกแบบ,วิเคราะห์,สังเคราะห์,บูรณาการความรู้ใหม่,ศิลปกรรม,วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขั้นสูง,คิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ บูรณาการความรู้ใหม่

136 วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบขั้นสูง

วธิ คี ิดแบบหลงั ทันสมยั ใหมห่ รือหลังสมยั ใหม่นิยม ในการสร้างงานและออกแบบภาพ มแี นวทางและ
วิธีการโดยภาพรวมทางการสร้างสรรค ์ และสุนทรยี ภาพมีความสับสนว่นุ วายมาก ด้วยวิธคี ดิ เก่ยี วกบั การแสวงหา
ความรู้ ความจริงและความงามท่ีมองเห็นต่าง เหน็ ยอ้ นแยง้ กับสมยั ใหมน่ ยิ มในทกุ กรณ ี แบบตรงกันขา้ มและ
คนละขว้ั ทางความคิด (ตารางท่ี ๔) ซ่ึงหลกั คิดเดมิ แบบสมยั ใหม่นิยมนัน้ การคิดการสรา้ งงาน จะมแี นวของ
ความสบื เนื่องเชอ่ื มโยงแบบห่วงโซ่ไปเป็นลำ� ดับ
เป็นต้นวา่ จากตน้ ทางของผลงานแบบอย่างหนง่ึ จะสอ่ งทางไปสู่อกี ผลงานหนึ่งเปน็ ทอดๆ ไป ได้แก่
ลัทธเิ หมอื นจรงิ (Realism) ใหแ้ นวทางตอ่ แนวประทับใจนยิ ม (Impressionism) และศิลปินชว่ งต่อมากจ็ ะ
แสวงหาพัฒนาล่าความจรงิ ตามการรับรู้และมองเห็นได้ เพ่อื คน้ หาสจั จภาวะของการรับรู้ในแงม่ มุ แบบใหม่ จน
ผลงานศิลปะไดพ้ ัฒนาไปสู่ความเปน็ นามธรรม ความเปน็ สากลลกั ษณะอันเป็นเป้าหมายในทา้ ยท่ีสดุ ตามหลกั
ของส่เี หล่ยี มมมุ ฉากขยายตวั (ดูภาพท่ี ๓) และตามกรอบและหลักเกณฑข์ องทฤษฎกี ารรับรแู้ ละจิตวทิ ยาของ
เกสตัลต์
หลกั คิดอนั เปน็ ปรชั ญาแบบหลงั สมัยใหม่นิยมโดยรวม จะปฏเิ สธเรื่องของหลกั เกณฑ์ทฤษฎี และความ
เปน็ สากลและมองว่า “ความรคู้ วามจริงนน้ั อยูภ่ ายในตวั ตนของเราแต่ละคน” และ “เราเป็นผสู้ รา้ งความรู้ความ
จรงิ ข้นึ มา” ไปตามปรชั ญาความคิดและความเชือ่ อนั มสี งั คมวัฒนธรรมและกาลเทศะในยุคใหม่เปน็ บรบิ ทและ
เงอ่ื นไขใหก้ บั ตวั เรา มเี สรภี าพในการแสดงออกได้อยา่ งอิสระ โดยความคิดการสรา้ งงานและการออกแบบภาพ
ในช่วงน้จี ึงค่อนขา้ งให้ความสนใจโลกในมมุ มองใหม่อยา่ งทไ่ี ม่เคยมองมากอ่ นไม่วา่ จะเปน็ เรือ่ งธรรมชาติส่ิงแวดล้อม
ความเปน็ ทอ้ งถ่นิ นยิ ม (Localization) คนชายขอบและความเข้าใจข้ามวัฒนธรรม (Cross Culture) เปน็ ตน้
ผลงานจะน�ำเสนอความเป็นไปได้ในอกี ขวั้ หน่งึ เช่น ความคลุมเครอื ขดั แยง้ อสนุ ทรยี ะ ความไมเ่ ปน็
เหตุผล มีการหยิบยมื งานศิลปนิ อน่ื นำ� มาสรา้ งใหม่แบบลอ้ เลยี น โดยไม่คำ� นงึ ถึงความเปน็ ลขิ สิทธ์ขิ องผลงาน
หรือไมก่ ็แสดงออกดว้ ยภาพอยา่ งหยาบคาย น่ารังเกยี จน่าสะอิดสะเอยี น ของสนุ ทรแี บบสุดโต่งอย่างแทจ้ รงิ
พิจารณาถึงหลกั เกณฑแ์ ละกฎเกณฑ์ของศิลปะยุคนี้ จะไม่มแี บบแผนหรือหลักการอยา่ งตายตวั มีการน�ำเสนอ
อยา่ งตรงไปตรงมาแบบซ่อื ๆ บางครั้งกด็ ดู ิบ หยาบ (หยาบโลน) หยาบคาย เพื่อให้ผลงานเข้าถึงคนทว่ั ไปได้งา่ ย
คลา้ ยกบั อาหารจานดว่ น (Fast Food) ประการสำ� คัญจะอาศัยการบรู ณาการและการสงั เคราะหข์ อ้ มูล และ
สรรพสิง่ ใหผ้ สมผสานและหลอมรวมกนั เป็นแนวทางหลกั

วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบขน้ั สูง 137

ตารางที่ ๗ เปรียบเทยี บแนวคดิ และวธิ ีคิดของสมยั ใหม่นิยมและหลังสมัยใหมน่ ิยมบางประเดน็

ท่เี กี่ยวข้องกบั ศิลปะออกแบบ

ภาพที่ ๗๗ ตัวอยา่ งงานศลิ ปะหลงั สมยั ใหม่ของ เคียรต แฮรง่ิ (Keith Haring) “Untitled April, ๑๙๘๔
(ภาพขวา) แฮรง่ิ ใช้ร่างกายนายแบบ เพื่อน�ำเสนอผลงานด้วยแนวคิดเสียดสลี อ้ เลียนสังคม (ภาพซ้าย)
ทม่ี า : Klaus Honnef. Contemporary art. ๑๙๘๗ Taschen.

138 วธิ ีคดิ ทางศิลปะออกแบบข้นั สูง

ความคิดทส่ี ำ� คญั ของหลงั สมัยใหมน่ ยิ มคอื ทฤษฎไี มใ่ ชค่ �ำตอบสำ� เร็จรปู และ “ไม่เปน็ สากล” ซงึ่ ถอื วา่
มคี วามคิดเหน็ ที่ย้อนแย้งกับสมัยใหม่นยิ มเปน็ อย่างยงิ่ อานันท์ กาญจนพนั ธ ์ ใหข้ ้อคิดเห็นวา่ ทฤษฎีเปน็ การเสรมิ
วธิ ีคดิ มากกว่า และไม่สนใจใหค้ ำ� ตอบประเดน็ จงึ อยทู่ ีว่ ่า เรามีเครือ่ งมือทางความคดิ ซ่งึ พรอ้ มส�ำหรับจะนำ� ไป
ท�ำความเข้าใจตอ่ ความเคลือ่ นไหว ทเ่ี ปล่ียนแปลง อย่างสลบั ซบั ซ้อน ในยคุ สมัยใหมไ่ ด้เพยี งพอหรือไม่
หลกั ของความคิด และวิธคี ิดส�ำคัญของหลังสมยั ใหมน่ ยิ มไดแ้ ก ่ การท�ำความเขา้ ใจสงั คมวฒั นธรรมแบบ
มกี ารเคลื่อนไหวตลอดเวลาในแตล่ ะกาลเทศะ และมกี ารเปลี่ยนแปลงอย่อู ยา่ งสมำ�่ เสมอ ไมอ่ ยนู่ ิ่ง มที ง้ั ส่อื สงิ่ ท่ี
จบั ต้องไดแ้ ละจับต้องไม่ไดซ้ ้อนทับ หรอื แฝงเรน้ อย่ทู ่ัวไป การจะทำ� ความเข้าใจนามธรรมทางวัฒนธรรม (ไทย
- สากล) จงึ ต้องขุดเจาะหรือถอดรื้อ เพื่อเข้าใหถ้ งึ รหสั อันเปน็ ปมปรศิ นา ทัง้ น้ีเราจะพจิ ารณาเฉพาะส่งิ ที่เห็น
เพยี งส่วนเดยี วไม่ได้
“ความหลากหลาย” (Diversity) ในทางสังคมวฒั นธรรม ถอื เปน็ เรอ่ื งและมมุ มองใหม่มีผลต่อความเปน็
“พหวุ ัฒนธรรม” ในพ้นื ทีท่ ชี่ ุมชนและเมืองทม่ี คี วามแตกตา่ งหลากหลายกันไป การจดั ท�ำความเขา้ ถงึ ความรู้
ความจริงได้ครบทกุ มติ อิ ย่างครอบคลุมได้น้ัน ตอ้ งอาศยั วธิ คี ิดแบบซับซ้อนและสหสัมพนั ธ ์ (มีระดับความจริง
หลายระดับ) มาแทนมมุ มองเชงิ เดย่ี วในการทำ� ความเข้าใจความเปน็ เขา พรอ้ มกบั บริบททเ่ี ก่ียวขอ้ งทางภมู สิ ังคม
วฒั นธรรม และธรรมชาติ อนั เป็นภูมขิ องแผน่ ดนิ ท่ีมคี วามศกั ด์สิ ิทธิ์และจะตอ้ งไมไ่ ด้ แตเ่ ป็นจติ วิญญาณอยา่ ง
สำ� คัญของคนตะวนั ออก

ภาพที่ ๗๘ ซินด ี้ เชอรแ์ มน (Cindy Sherman)
“Untitled” ๑๙๘๕ น�ำเสนอภาพจริงและ
ภาพลวงบนเรือนร่างเช่น หน้าอก บน้ั ท้าย
สื่อความหมายแฝงถงึ สังคมปัจจบุ ันมีความ
สบั สนเก่ียวกบั เพศสภาพ (ภาพชดุ บน) เอ
อาร ์ เพ็งค์ (AR. Perck) “Incident in
N.Y.๓ – ๑๙๘๓. Ereignis in N.Y.๓”
(ภาพชดุ ลา่ ง) แสดงออกทางศลิ ปะดว้ ย
แบบอยา่ งและวิธกี ารแบบง่ายซือ่ ตรงไป
ตรงมาไมเ่ นน้ สุนทรียของการสรา้ งรปู และ
ความหมาย เชน่ สมยั เดิม
ทม่ี า : KLAUS HONNEF. Contemporary Art
๑๙๘๙ : Taschen.

วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้ันสูง 139

สรปุ

การคิดแบบก้าวหน้าและมีวธิ ีคดิ ตอ้ งเรมิ่ ตน้ จากหลกั คดิ และทฤษฎที างความคดิ ในการคดิ และการ
มองโลกในแง่มุมทแี่ ตกตา่ งออกไป จากสอื่ สิง่ ทค่ี นอืน่ เคยคดิ ไว้เดมิ มีลักษณะของแนวทางวธิ กี ารท่ีย้อนแย้ง
หรือนอกกรอบออกไปจากหลกั คดิ ทีเ่ คยยดึ ถอื กัน เพ่อื ใหม้ องเห็นรับรถู้ งึ ความเปน็ ไปได้ ด้วยแนวทางวธิ กี ารอน่ื
ที่ไดผ้ ลเชน่ เดยี วกนั เป็นการคดิ การมองที่มาของความร้คู วามจริงทางความคิดของโลก ทเี่ ปน็ ไปแบบความเจริญ
ทางความคดิ มีลักษณะคู่ขนานกันไประหว่างตะวนั ตกและตะวนั ออก และแตล่ ะเส้นทางล้วนตา่ งนำ� ไปสูค่ วามเป็น
สากล และสากลทางอดุ มคติไดเ้ ช่นเดยี วกันท้งั แบบมรี ากหรอื ไมม่ รี าก
การอาศัยมุมมองเชงิ ซอ้ น และอเนกนัยทางความคิด เป็นแนวทางความคดิ หน่ึงท่จี ะนำ� ไปสผู่ ลของความ
คดิ แบบกา้ วหน้า และมวี ธิ ีคิดแบบแปลกใหม ่ มสี สี นั และชีวิตชีวาไดส้ าระของค�ำตอบทเ่ี กี่ยวข้องเชือ่ มโยงระหวา่ ง
สือ่ ส่ิงต่างๆ ได้รอบด้านกับทั้งชว่ ยให้เขา้ ถึงสารัตถะแบบจับต้องไมไ่ ดท้ ่ีมีสนุ ทรยี และคุณคา่ แฝงเรน้ อย่โู ดยเฉพาะ
การคดิ ในส่ิงหรือเรอ่ื งท่คี นอนื่ ไมเ่ คยคดิ ไม่เคยมอง เชน่ ความคดิ นามธรรมไทย ภาพอุดมคติไทย หรือสนุ ทรยี
อุดมคตไิ ทย จากรากไทยสู่โลกใหมท่ ล่ี งลึกไปสงู Lifestyle และสิง่ แวดล้อมทางวฒั นธรรมในบริบทใหม่ หรือ
วธิ คี ดิ แบบหลังสมัยใหม ่ หลักคิดจากสิ่งเหล่านี้จะน�ำไปสู่การออกแบบและสร้างศลิ ปะแบบก้าวหน้า และมีวิธีคิด
ท่ดี นี า่ สนใจไดเ้ ชน่ เดยี วกัน



บทท่ี ๔

วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบสู่โลกใหม่

ความเปน็ อยแู่ ละ ความเป็นไปของโลกตามความเข้าใจใหมจ่ ากที่กลา่ วมาแลว้ ในบทกอ่ นนี้ ชวนให้ตอ้ งต้งั หลัก
คิดวธิ คี ดิ กนั ใหม่ ในการมองโลกใบน ี้ ที่มีความยุ่งเหยิงสลบั ซบั ซอ้ นในหลายๆ เรอื่ ง ไม่ว่าจะเปน็ Life Style รสนยิ ม
เพศสภาพและค่านิยม ความเชอื่ ท่มี าจากรากวฒั นธรรมอนั แตกตา่ งหลากหลายกันไป ปัจจยั และเงอ่ื นไขหลกั จะ
เชอ่ื มโยงกบั การพฒั นาอุตสาหกรรมในศตวรรษท ี่ ๒๑ ด้วยการเนน้ เทคโนโลยขี ับเคล่ือนนวัตกรรม ปญั ญาประดิษฐ์
และสอ่ื ใหม่โดยมีเรอ่ื งของบูรณาการ อันเป็นหลักคดิ และหลกั วชิ าเพอ่ื เกาะเกี่ยวกบั สรรพสง่ิ ให้เป็นหน่วยเดียวกัน และ
สามารถน�ำศกั ยภาพของกำ� ลงั พลังทไี่ ด ้ ไปใช้แก้ปญั หาในเรือ่ งต่างๆ ตอ่ ไป โดยมีแนวคดิ เพ่อื นน�ำไปสูจ่ ุดหมายดังน้ี
๔.๑ ตง้ั หลกั คิดใหม่
แนวคิด Post Western ของนกั วิชาการปัจจบุ ัน ไดต้ ้ังหลกั คิดใหม่และใหค้ วามสำ� คญั กบั ระบบคิดและ
ปญั ญาของกลุ่มชาติภาษาแตล่ ะยุคสมยั ท้ังในอดีตสมยั ใหม่และหลังสมยั ใหมอ่ ย่างเปดิ กวา้ งไมม่ ีอคตติ ่อกันในเชงิ อำ� นาจ
ดว้ ยการเปลีย่ นกรอบความคิดใหม ่ สร้างความเขา้ ใจใหม ่ ขอ้ เทจ็ จริงใหม่ทถ่ี กู กดทับอยู่
มีมมุ มองใหมว่ า่ แต่ละกลุ่มวฒั นธรรมหรอื อารยธรรมในแต่ละยคุ ล้วนมีความสามารถทดั เทียมกนั ในทาง
ศลิ ปะออกแบบ แมจ้ ะสร้างข้นึ มาภายใตข้ นบธรรมเนยี ม คตคิ วามเชือ่ ความสนใจ และเป้าหมายท่แี ตกตา่ งกนั
มนุษยใ์ นแตล่ ะวฒั นธรรมต่างมคี วามสามารถสร้างระบบคดิ ทีล่ กึ ซึ้งไดส้ อดคล้องกบั สงั คมวัฒนธรรมของเขามพี ัฒนาการ
ดา้ นความคิดและศลิ ปะทนี่ า่ สนใจ จากจุดเริ่มตน้ ไปสู่ความลงตัวพอดี หรอื Classic งดงามสมบูรณ์ตามอุดมคติของ
ตนเอง

ตวั อย่าง : ผลงานทางศิลปะ Classic ชั้นเอกของโลกในสุนทรยี ต่างวัฒนธรรมและอดุ มคติ

142 วธิ ีคิดทางศิลปะออกแบบขั้นสูง

การจะออกแบบและสรา้ งศิลปะ ในชว่ งเปลี่ยนผา่ นของโลกใหมต่ ามหลักคิด Post Western ปัจจบุ ัน
ท่ีมองความเจรญิ ทางความคิด ปรัชญา ความเชอื่ และศาสนา มีความเป็นไปแบบคขู่ นานระหวา่ งโลกตะวันตก
และตะวนั ออก และให้ความสำ� คญั กบั การมีอยู่ ด�ำรงอยู่ของผคู้ นหลากหลายวัฒนธรรม ในแต่ละกาลเทศะและ
การเปลี่ยนแปลงไปอยา่ งมีนัย ชวนใหค้ ดิ หาความหมายทแี่ ฝงซอ่ นอยโู่ ดยเฉพาะความคดิ นามธรรมทางวัฒนธรรม
หรอื สนุ ทรยี ทางอดุ มคติแบบจบั ต้องไมไ่ ด้ อันมบี ทบาทต่อภาพลักษณ์ภายนอกของ วฒั นธรรมทางจติ วิญญาณ
การตงั้ หลักคิดใหม ่ เพือ่ สรา้ งหลกั วชิ าใหม ่ หรือหลักการใหม่ทั้งความรแู้ ละความคิด เพอื่ ความกา้ วหนา้
จงึ มีความเปน็ ไปได้บนเสน้ ทางใหมๆ่ ทางการออกแบบและศิลปะไดม้ ากข้ึน เชน่ คดิ แบบสีเ่ หลยี่ มมมุ ฉากขยายตัว
หรือคิดแบบรัศมีของแสงทแ่ี ตกกระจายออกไปหลายทิศทาง โดยจะเริ่มตน้ คิดจากรากไทยสสู่ ากลหรือ คิดจาก
บรบิ ทใหม่ส่โู ลกใหม่อย่างใดอย่างหน่ึงได้ทุกแนวทาง ซึง่ การเปดิ วธิ ีคดิ เช่นน ้ี มคี วามสอดคลอ้ งกับธรรมชาตขิ อง
ศลิ ปะออกแบบท่ีเป็นศาสตร์ออ่ น (Soft Sciences) สามารถปรับขยบั ทางความคดิ ในลกั ษณะแบบยดื หยุน่ เพอื่
ค้นหาความเหมาะสมของรปู ความหมายทจี่ ะได้รับในแตล่ ะแนววิธีนัน้
ประเด็นความคดิ หลกั จะอย่กู บั การเปลยี่ นทศั นคติ ความเขา้ ใจและมุมมองต่อโลกเกยี่ วกับพื้นท่ ี และ
การรับร ู้ ซ่งึ ความคิดและการรบั รสู้ ่วนน ้ี จะมองเฉพาะสว่ นทเ่ี หน็ ได้ รับรู้ไดแ้ บบธรรมชาตปิ กติไม่ได ้ เนือ่ งจาก
พื้นท่มี ีความหมายทคี่ รอบคลมุ และกว้างกวา่ นนั้ ไม่ว่าจะเป็นวฒั นธรรมทางทศั น์ (Visual Culture) หรือพนื้ ที่
เชงิ นามธรรมทางอดุ มคตทิ ี ่ มปี ระดิษฐ์กรรมทางวัฒนธรรมและความซบั ซอ้ น
การตีความพน้ื จงึ สามารถมองในฐานะว่า มนั เป็นธรรมชาตหิ รอื ฐานะเปน็ โครงสร้าง ฐานะเปน็ วฒั นธรรม
แบบมคี วามซับซ้อนและ มคี วามสมั พันธก์ ันได ้ ในเรื่องนนี้ ั้น Lefebvre (๑๙๙๑) ได้แบง่ พ้ืนทีอ่ อกเป็น ๓ หนว่ ย
คือ “พืน้ ทท่ี างกายภาพ” (Physical Space) เป็นพืน้ ที่เชิงรปู ธรรม รบั รแู้ ละมองเหน็ ได ้ สามารถระบตุ �ำแหน่ง
ทต่ี ั้งและสัมผสั ได้ หนว่ ยทส่ี อง “ พื้นท่ีทางความคดิ ” (Mental Space) พื้นที่ถูกสร้างขึน้ มาจากการนึกคิดหรอื
จติ ภาพเปน็ ความเชอ่ื หรือทัศนคตภิ ายใน และแสดงออกไปส่พู นื้ ท่ีทางกายภาพ
หน่วยที่สามเป็น “พื้นทท่ี างสังคม” (Social Space) เปน็ พ้ืนทีป่ ระกอบสรา้ งขึน้ มา ระหว่างพน้ื ท ่ี
ทางกายภาพกบั พน้ื ทีท่ างความคดิ เปน็ พนื้ ที่ของการมีปฏิสัมพันธ์เพอ่ื สรา้ งตวั ตน ประสบการณร์ ่วมและความหมาย
โดยความเกี่ยวข้องระหว่าง ๓ หน่วย พน้ื ทนี่ ีจ้ ะเรียกวา่ เป็นความสัมพนั ธ์เชงิ พื้นท่ี ท่ีซอ่ นความหมายและความ
นัยแฝงอยู่มากมาย
ความเปน็ พนื้ ทท่ี างศลิ ปะออกแบบปจั จุบนั จึงกา้ วข้ามของ Space ในกรอบภาพสี่เหลีย่ ม Space ของ
ฐานท่ีตงั้ Space ของขอบเขตเวทีการแสดงอนั จำ� กดั และรวมไปถึง Space ในการติดตั้งการจัดแสดงภายใน
พพิ ธิ ภัณฑ์และ หอศิลปต์ ามหลกั คิดเดมิ เนอ่ื งจากจนิ ตนาการและความคดิ สรา้ งสรรค์ของมนษุ ย์ได้ น�ำพาความ
คิด วิธคี ิดให้ขยายพรมแดนออกไปสพู่ ื้นที่ของการรับร้ใู หมๆ่ สรา้ งความเปน็ ไปได้ใหม่ๆ เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ไดใ้ ช้จนิ ตนาการ เพอ่ื วาดภาพสัมพันธภาพว่า ตวั เองก�ำลังทอ่ งเทีย่ วไปบนล�ำแสงท่ียาวไกลล�ำแสงหน่ึงเป็นต้น
เช่นเดยี วกับคอมพวิ เตอร ์ เป็นพืน้ ทข่ี องการเช่ือมตอ่ กับชีวิตมนุษยจ์ นเกดิ เป็นโลก Online โลก Inter-
net โลกของไซเบอร ์ (Cyberspace) หรอื โลกเสมอื นชว่ ยให้เกิดความสัมพันธ์ บนพน้ื ที่ซ้อนพน้ื ท่ีอกี ทอดหน่งึ
พน้ื ทีโ่ ลกส่ือสารแบบใหม่ ได้กลายเปน็ วถิ วี ัฒนธรรมทางทัศน์ บนจอภาพและการออกแบบจอภาพทางศลิ ปะ
ออกแบบต่อมา

วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบขัน้ สูง 143

ภาพตัวอยา่ ง : การออกแบบจอภาพในวิธีตา่ งๆ

144 วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบข้ันสงู

๔.๒ ออกแบบและสร้างศิลปะแบบใหม่
การรกู้ ระจ่างแตอ่ ย่างเดยี วจากรากเหง้าความล่มุ ลึก ไปตามกฎแหง่ ความสมั พนั ธเ์ ช่ือมโยงของเนอ้ื หา
และทฤษฎใี นสาขาใดสาขาหนงึ่ บนหลกั วชิ าของฐานศาสตร์แห่งการรับรทู้ างการเหน็ อย่างเดยี ว เช่น ทัศนศิลป ์
ออกแบบผลติ ภัณฑ์ หรอื เซรามกิ ผลลัพธท์ ไ่ี ดไ้ ม่สามารถตอบโจทย์และปัญหาทางสงั คมวัฒนธรรมแบบซบั ซ้อนได ้
เนื่องจากทุกสรรพสิง่ บนโลกใบใหม่ ล้วนมรี ากเหง้ามคี วามเจรญิ รุ่งเรืองและตา่ งมคี ณุ คา่ และความส�ำคญั เทา่ เทียม
คู่ขนานกนั ไป ไม่มสี ่อื สิง่ ใดวฒั นธรรมแบบใด จะเหนอื กว่าวฒั นธรรมอน่ื
การจะท�ำความเข้าถึงรูปความหมาย ดว้ ยการมองเฉพาะสงิ่ ทเี่ หน็ ภายนอกอยา่ งเดียว หรอื แบบเฉพาะ
ที่จบั ต้องได้ โดยไม่ลงลกึ ไปสู่ความหมายแฝง คอื สงิ่ ที่ซอ่ นอยูแ่ บบจับต้องไมไ่ ดจ้ ะไม่ชว่ ยให้เข้าถึงความร้ ู ความจรงิ
และจิตวิญญาณแหง่ ความเป็นวัฒนธรรมได ้ เพื่อนำ� ไปสกู่ ารแตกหน่อ ต่อกงิ่ พืชพนั ธใ์ุ หมไ่ ดอ้ ยา่ งมชี วี ติ ชีวา
การสรา้ งสรรค ์ การประดษิ ฐ์คิดคน้ (invention) การสรา้ งนวัตกรรม (Innovation) นวตั ศลิ ป์
(Innovation Art) และการออกแบบใหม่ลว้ นต้องอาศัยเทคโนโลยเี ปน็ ตัวขบั เคลอ่ื น มีสื่อใหม่ (New Media)
เชน่ ดจิ ติ อล ชว่ ยใหส้ ่ือสารไดห้ ลากหลายชอ่ งทาง ไมว่ ่าจะเปน็ ภาพ เสียง ขอ้ ความต่างก็ไปดว้ ยกนั ตอบสนอง
ผู้บริโภคได้อยา่ งรวดเรว็ และไม่มีข้อจ�ำกัดด้านเวลา สถานท ี่ เพราะมเี ร่ืองของเครอื ขา่ ยจะถงึ กันหมดท่วั โลก
เครือขา่ ยอนิ เตอร์เน็ต (World wide web : www) บริการขอ้ มูลออนไลนเ์ ชิงพาณชิ ย์ (Commercial
On - line - Service) ความกา้ วหน้าลำ�้ ยคุ และทันสมยั ทงั้ หลายทงั้ ปวงได้นำ� มาส ู่ วธิ คี ดิ ในการสรา้ งศิลปะและ
การออกแบบ ท่มี ีส่อื ให้เลือกใชอ้ ยา่ งมาก ไมเ่ ป็นเพยี งสอ่ื ทางการเห็นในขอบเขตจ�ำกัดเทา่ นัน้ แต่มีการรบั รสู้ อื่ ใหม่
ประสบการณ์ร้สู ึกโดยรวม (Multi sense) และการเช่อื มโยงสหศาสตรอ์ น่ื ๆ (Multidisciplinary) ซง่ึ จะนำ� ไปสู่
การประยกุ ต์ การดัดแปลงส่ือตา่ งๆ ไปใชใ้ นสงั คมโลกใหม่ไดอ้ ย่างเหมาะสม

วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบขน้ั สูง 145

ชวนให้คดิ ตอ่ ของ Art ใน STEM

146 วธิ คี ิดทางศิลปะออกแบบขนั้ สูง

ปจั จุบนั สื่อใหม่และเทคโนโลยี ได้มบี ทบาทอยา่ งส�ำคญั ต่อการสร้างสรรคท์ างศลิ ปะและการออกแบบ
ให้บูรณาการเข้ามาประกอบ และผสมผสานกนั เพม่ิ มากขึ้น ไม่เพยี งการเน้นเฉพาะด้านหนง่ึ ดา้ นใด แต่เน้น
องคาพยพ ของความเปน็ ท้งั หมดของสอ่ื สิ่งน้ันได้แก ่ เปน็ หัว เป็นตวั เป็นแขน และเปน็ ขา แบบเกาะเก่ยี วกันไป
ของคน สตั ว ์ หรือส่งิ ของรวมไปถึงสง่ิ ท่ีมองไม่เห็น ทุกวนั นกี้ ารศึกษาไทยจะเนน้ เรอื่ งของ STEM บนฐานทาง
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นพ้นื ฐานการเรียนรูท้ สี่ �ำคญั ในทุกระดบั การศกึ ษา
หากถามวา่ STEM มสี ว่ นเก่ยี วขอ้ งกับศิลปะออกแบบหรือไม่ คำ� ตอบน้ีมมี าตงั้ แตห่ ลกั คดิ ทฤษฎีในการ
ออกแบบภาพและสรา้ งศลิ ปะ ตง้ั แตค่ ร้งั ศลิ ปะสมัยใหม่นิยมและ ถือวา่ เปน็ พ้ืนฐานส�ำคญั ในแนวทางการ
ออกแบบและสร้างงาน เชน่ มนิ ิมอลอารต์ Op-art Kinetic Art จนกา้ วข้ามมาส่สู มัยใหม่ยุคหลงั ในการน�ำ
เทคโนโลยีมาสร้าง Digital Art Robotic Art เปน็ ต้น
โรโบติกอาร์ต ถอื วา่ เปน็ การน�ำรูปแบบของเทคโนโลยหี ุ่นยนต์ หรอื เทคโนโลยรี ะบบอตั โนมัติมาบูรณาการ
กนั ด้วยหลักของการจัดวางแบบศิลปะและโรโบตกิ มีการก�ำหนดสรา้ งโปรแกรมให้สามารถตอบโต้กันมปี ฏสิ ัมพนั ธ์
ของผูช้ มด้วยคอมพวิ เตอรเ์ ซน็ เซอร ์ และวงจรควบคมุ ดว้ ยการแสดงออกในผลงานและสอ่ื จนกอ่ ปรากฏการณ์
ของการรับรู้แบบใหมๆ่ โดยมีเร่อื งราวและกระบวนการเชิงทดลองต่างๆ เป็นเป้าหมาย

ภาพท่ี ๗๙ เรย ์ ซีซาร์ (Ray Caesar) สรา้ งผลงานโรโบติกอาร์ตโดยใช้โปรแกรมดจิ ิตอลแอนเิ มชน่ั (Animation)
มาร่วมสรา้ งสอ่ื การรับรู้ใหม่ (ภาพขวา) เดวดิ คาเรพว์ (David Karave) ผลงานช่ือ “Home
Automation”
ท่ีมา : (http://Ihb.ggpht.com/hvow๒u๗k๔-M/s๘bj๑๐z_Q๖I/AAAAAAABsc๘/AozlaUDv-wFy/s๗๒๐/
Dum_fam.Jpg) (https://behld๓d.files.sordpress.com/๒๐๑๑/๐๓/ray-caesar-o๑.jpg)

วธิ ีคิดทางศิลปะออกแบบข้ันสูง 147

เมอ่ื โลกทางศลิ ปะออกแบบเป็นไปเช่นน ้ี การจะมวี ธิ ีคิดทีด่ แี ละมกี ำ� ลังพลัง แบบโดนจติ โดนใจและกอ่
ประโยชน์ประการหนึ่งประการใดของผลที่ไดร้ ับนัน้ ต้องมมี ิตมิ มุ มองในหลายดา้ นทง้ั ศาสตร์และศลิ ป์ มคี วาม
เขา้ ใจบรบิ ทของโลกใหมค่ วามแตกต่างหลากหลายและ โจทย์อนั เป็นปญั หาจริงจากการทบทวนข้อมลู งานวชิ าการ
และงานวจิ ัย งานสรา้ งสรรคศ์ ิลปะออกแบบทีเ่ ก่ยี วข้อง จนมีความอิม่ ตัวในระดบั หนง่ึ จงึ จะเพียงพอได้ โดยเฉพาะ
เรื่องของวธิ คี ดิ นัน้ จะต้องเนน้ “สหวิธที างความคิด” ใหม้ าก คือใหค้ วามส�ำคญั ถงึ บริบทปัจจัยที่เกยี่ วขอ้ งหลาย
ดา้ น ท้งั จบั ตอ้ งไดแ้ ละจบั ตอ้ งไม่ได้ เพือ่ แสวงหาความสมั พันธเ์ ชอ่ื มโยง ระหวา่ งสอ่ื ส่งิ หรอื เหตปุ จั จัยเหล่าน้นั ได้
อยา่ งครอบคลุม
วธิ คี ิดลกั ษณะนี้ เปน็ การคดิ แบบข้ามศาสตร์และสาขา หรือ “Cross Discipline” คดิ แบบหลายสาขา
(Multi Discipline) ดว้ ยการทลายพรมแดนของศาสตรแ์ ละสาขาวิชาเดมิ ศลิ ปะออกแบบเดิมไปสู่การแสวงหา
คุณสมบตั ิ คณุ ลักษณะอันโดดเด่นทมี่ ีอยใู่ นสอื่ สงิ่ หรอื สาขาวชิ าเดิม และสอ่ื สงิ่ และสาขาวิชาใหม่ ด้วยการถอดรือ้
และบรู ณาการจากการประกอบสรา้ ง การผสมผสานกันใหม ่ อาศัยวิธีการขยับปรับเปลยี่ นหรอื การเปล่ียนรูป
เปล่ยี นรากเดมิ สู่รากใหม ่ ผา่ นการออกแบบภาพรา่ ง (Sketch) หรอื ผา่ นแบบจาํ ลองขนาดเลก็ (Model) เพ่ือ
คน้ หาความเปน็ ไปได้แบบใหม่ๆ ผา่ นกระบวนการและมวี ธิ ีคิดท่แี ตกต่างไปจากเดิม

ตวั อยา่ ง : วิธีคิดแบบใหม่และแบบเดมิ

148 วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบขั้นสูง

๔.๓ คิดวิธกี ารขยบั ปรบั เปล่ยี น
“ความยดื หยนุ่ ” (Flexibility) เป็นความสามารถในการคดิ นอกกรอบของความคิด ทไ่ี ม่อยภู่ ายใต้
กฎเกณฑห์ รือความค้นุ เคยเดมิ ๆ การคดิ แบบนีจ้ ะชว่ ยใหม้ องเห็นสอ่ื สิง่ ต่างๆ ในแงม่ มุ ใหม ่ สามารถปรบั ขยบั
ปรับเปล่ียนได้แบบไมต่ ายตวั คือไมก่ �ำหนดแนวทางและเป้าหมายไวก้ อ่ นล่วงหน้า แต่เปดิ ความคิดใหก้ ว้างออกไป
ดว้ ยการค�ำนงึ ถงึ ความเป็นไปได้แบบใหมท่ างศิลปะออกแบบ ดว้ ยการปรับขยับความคิดความนา่ จะเป็นอยู่ไปมา
เพื่อเรียนร้ถู ึงธรรมชาติของการเปลย่ี นแปลง ซง่ึ จะปรากฏขนึ้ ให้เรยี นรูไ้ ดท้ กุ ขณะ
“ความคดิ ยดื หยนุ่ ” จะไม่ปิดกั้นความร้ ู ความคิดใหม่และยอมรบั ข้อมูลใหมท่ เี่ พม่ิ มากขน้ึ และยินดีรับฟัง
ความคิดทแี่ ตกต่างหรอื ตรงกันข้าม เพ่ือให้การพูดคุยสนทนาอยา่ งเป็นทางการหรือไมก่ ็ตาม ไดน้ ำ� ความรคู้ ดิ หรอื
ปัญญาของเรา ไดม้ โี อกาสลับสมองให้คมข้ึน ถอื ได้วา่ ความคิดยดื หยนุ่ คอื หัวใจของความสำ� เรจ็ ประการหนึ่ง
คนท่มี ีความคิดทำ� นองน้ีจะสามารถปรับตัว ปรับความคิดของตัวเองได ้ ขอ้ สำ� คญั ความคดิ แบบนี้จะสามารถ
ควบคุมสงิ่ ตา่ งๆ ทเี่ กิดขึน้ ได้ เช่น ศลิ ปะมีธรรมชาตเิ ปน็ ศาสตรอ์ ่อน มเี นือ้ หาทางอารมณ์จากการรบั รสู้ กึ ต่อ
สงิ่ ใดสงิ่ หน่งึ ใหเ้ ป็นไปทางความคดิ ได้อยา่ งหน่งึ อยา่ งใด แบบไม่ตายตัว เช่น เป็นไปในทางบวกหรือไปทางลบ
ซ่ึงไมส่ ามารถชแ้ี จงให้แน่นอนลงไปได้
ในการนนี้ ั้น หากมคี วามคดิ แบบยืดหยุ่น จะมองถึงความน่าจะเปน็ หรอื เป็นไปไดจ้ ากกรณีนน้ั มาหา
หนทาง ด้วยการมองถึงบริบทปัจจัยเก่ียวข้องในหลายๆ มติ ิ มองถึงสถานการณแ์ ละกาลเทศะอยา่ งรอบคอบ
โดยเฉพาะบริบททางสังคมวัฒนธรรมไทย พรอ้ มไปกับการคดิ ในหลายวิธีคดิ และหลายแบบ หลังจากนั้นจึง
คัดเลือกแบบและ วิธีคดิ ท่มี ีความเหมาะสมและน่าสนใจนัน้ น�ำมาใช้ตอ่ ไป
โทท ่ี บูซาน (Buzan, ๑๙๗๔) เรยี กวิธีการมองปัญหาจากแงม่ มุ ใหมๆ่ ด้วยการใช้วิธกี ารอยา่ ง
หลากหลายนว้ี า่ “การคิดแบบรัศมี” (Radiant thinking) คอื การคดิ หาหนทางเลือกท่หี ลากหลาย และดว้ ย
ทางเลอื กแบบใหมไ่ ดอ้ ยา่ งกา้ วหนา้ หรอื สรา้ งสรรค์กว่าเดมิ ซึ่งได้กลา่ วไวแ้ ลว้ ในเร่ืองความคิดกา้ วหนา้ ซงึ่ ใน
ทางศิลปะออกแบบการแสดงความคิดแบบยดื หยุ่น จะตอ้ งสะท้อนให้รบั รไู้ ด้ทางการเหน็ หรอื ทางผสั สะอนื่ ใด
ใหเ้ ขา้ ใจได้ ในการออกแบบภาพและหรือการสร้างรูปรา่ งรปู ทรงให้เหน็ ได ้ ด้วยการจดั รปู ลักษณใ์ ห้แสดงนัยใน
ความเปน็ ไปได้อยา่ งหนง่ึ อย่างใด จากการสมมตุ ิข้นึ มา ดว้ ยการ Renew Renovate, Reconstruction
Deconstruction เปน็ ต้น อาศัยวธิ ี “การซอ้ นกัน” “การเกี่ยวกัน” “การผสมผสานกัน” ของรูปร่าง รูปทรง
จนเกิดความหมายจากการจัดกระทำ� หรอื ออกแบบ

วธิ ีคิดทางศลิ ปะออกแบบขั้นสงู 149

ตวั อย่าง :

ทดลองความคิดแบบยืดหยุ่นเบือ้ งต้น ด้วยการออกแบบสัญลกั ษณ์ใหแ้ สดงนัยความ
เป็นไปไดแ้ บบเชือ่ มโยงความหมายของเสน้ + Front ของตัวอกั ษรวา่ ฉนั + เนอ้ื หาของฉัน
และสัญลกั ษณท์ างความคดิ จากการซ้อนประกอบ

150 วิธคี ิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สงู

การขยบั ปรับเปล่ยี นทางความคิดแบบยดื หยุ่นดว้ ยการ Renovate การ Reconstruction การ
สรา้ งทวนซ้�ำทางความคดิ ใหม่ จะน�ำมาของภาพความคิด หรอื จติ ภาพแบบใหม่ การรเิ รมิ่ คดิ แบบน้ ี อาจเรม่ิ ตน้
ด้วยการหยิบยืมสื่อสิ่งใดสงิ่ หนงึ่ อันมปี รัชญาชวนใหค้ ดิ แบบแตกหนอ่ ตอ่ กง่ิ ถึงความเป็นไปไดข้ องรปู นยั ความนยั
ในสัญลกั ษณแ์ บบแปลกใหมใ่ หแ้ ตกตวั ออกไปไดอ้ ีก เช่น “หยนิ - หยาง” จากลทั ธิเต๋าของจีน มีความหมาย
เชิงนยั ให้ชวนคิดตอ่ ไปสู่การออกแบบภาพสัญลกั ษณ ์ ด้วยการขยบั ปรับเปล่ียน เพอ่ื แสวงหาสอื่ ส่ิงแบบใหม่
(ตวั อยา่ งจากภาพท่ี ๗๘)
หยินหยาง และสมองสองดา้ นนำ� ทางไปสคู่ วามเปน็ ไปได้ใหมข่ องความคิด

ภาพท่ี ๘๐ หยนิ หยาง นำ� ทางไปสู่ความคดิ ของสือ่ สิ่งมีสองดา้ น ของค่ตู รงกนั ขา้ มด้วยการหยิบยมื ภาพ
Vitruvian Man ของดาวินซี มาแบง่ ออกเปน็ คู่ และนำ� มาตอ่ กนั มกี ารคิดขยบั ปรบั เปล่ยี นไปสู่
การออกแบบเชงิ นัย ดว้ ยภาพลายเส้นแสดงการเปล่ยี นรปู และความหมาย (Transformation)
จากรากเดมิ

วธิ คี ิดทางศลิ ปะออกแบบขนั้ สูง 151

๔.๔ คดิ วธิ ีวิทยาหาหลกั วิชา
สอ่ื สง่ิ และศลิ ปวิทยาการ โลกศตวรรษที่ ๒๑ คอื โลกใบใหม่ มพี ฒั นาการและการเปล่ียนแปลงในเกอื บ
ทุกดา้ นจนมผี ลกระทบต่อชวี ิตความเปน็ อยขู่ องประชากรโลก ให้ต้องปรบั เปลี่ยนการดำ� รงชวี ิตตามอย่างแบบ
หลกี เล่ยี งไมไ่ ด ้ และในฐานะศลิ ปิน นักออกแบบเราจะเป็นอยู่กันตอ่ ไปอยา่ งไรในอนาคต กบั เส้นทางศิลปะ
ออกแบบอยา่ งรู้เทา่ ทนั
๔.๔.๑ รูอ้ จั ฉรยิ ภาพของนักคิดโลก การร้เู ขารู้เราน่าจะเป็นหนทางในวิธแี ละโอกาสใหมต่ ่อการ
กา้ วไปสอู่ นาคตที่ดีได้ หากย้อนไปในศตวรรษทีผ่ ่านมาทางศลิ ปะออกแบบ จะพบเหน็ ผลงานอัจฉรยิ ะที่มีบทบาท
ตอ่ การเปลีย่ นโลกมาตามลำ� ดบั ดว้ ยการคน้ พบแบบอย่างและวธิ กี ารแบบใหม่นานบั ประการ จนน�ำไปสูก่ ารแก้
ปญั หาทางการออกแบบ และการใชง้ านหรอื การสรา้ งสรรค์คณุ ค่าใหมท่ างสุนทรยี ให้เติบโตและกา้ วหน้าไป
นักออกแบบผมู้ อี จั ฉริยะตอ่ การเปลยี่ นแปลงโลกทางศิลปะออกแบบในศตวรรษที่ ๒๐ ไดแ้ ก ่ กลมุ่ ศลิ ปะ
แบบ “Art Nouveau” “Art deco” หรือศิลปนิ กลุ่มเดอสติล (De Stijl) ผมู้ อี สิ ระในการท�ำงานศิลปะและ
การออกแบบใหต้ า่ งไปจากแนวคิดเดิม ด้วยหลกั คิด “Simply the best” คือท่ดี ีทส่ี ุดของการออกแบบ เป็น
ความเรยี บง่าย มีการน�ำรปู ทรงรูปรา่ ง เรขาคณิต และเสน้ ตรง เสน้ ตงั้ เสน้ นอนเปน็ พืน้ ฐาน กับสีแม่สี ๒ - ๓ ส ี
ตามหลักคดิ ของมอนดรอี ัน เพ่ือสรา้ งสุนทรียใหมท่ างการออกแบบและศลิ ปะ (ดูภาพท่ี ๗๒) ดว้ ยดว้ ยสญั ลกั ษณ์
แบบเรยี บง่ายมีสุนทรยี
มสี ฟาน เดอรโ์ รห ์ (Mies Van der Rohe) นักออกแบบผู้โด่งดงั ดว้ ยวลีก้องโลกว่า “Less is More”
จากการทดสอบทดลองการออกแบบใหม่ ตามหลกั คิดว่า “น้อยแต่มากด้วยคณุ ประโยชน”์ จากการใช้ทศั นธาตุ
มลู ธาตุ มาจัดการออกแบบและสรา้ งงานใหเ้ กิดผล ในความเรียบงา่ ยของรปู ทรง รปู ร่าง ๒ มิต ิ ๓ มิติ แนวคิด
ของเขาไดม้ ีอิทธิพลอย่างกว้างขวาง ในวงการออกแบบไปทัว่ โลก และวงการศิลปะซง่ึ นำ� มาสูล่ ทั ธิ Minimalism
ตอ่ มา
เชน่ เดียวกับ เลอ คอร์บซู ีเย (Le Corbusier) นักออกแบบผู้สรา้ งแนวคดิ โมดุลาร์ (Modular) เป็น
ทอ่ี ยูอ่ าศยั ของผ้คู นไปตามสัดสว่ นต่างๆ และไดน้ ำ� ไปสู่การค้นพบ ทฤษฎกี ารสร้าง ทฤษฎกี ารอยู่อาศัยรว่ มกัน
เปน็ การออกแบบทแ่ี สดงถึงความเจรญิ กา้ วหน้าในกาลเวลาใหม่ และบนเทศะพื้นที่ใหม ่ ซง่ึ เปน็ เคร่อื งสะท้อนถึง
ประเพณกี ารใชช้ วี ิตรว่ มกนั ในสงั คมเมืองใหม่

152 วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขั้นสงู

ภาพที่ ๘๑ การออกแบบและศิลปะตามหลัก Form follow Function และ Function follow Form
ผลงานศลิ ปะของ Fabio Mauri : “Muro Occidentale O Del Pianto, ๑๙๙๓” เน้นรูปทรงจาก
การผสมผสานกันของรูปทรงสิง่ ของเหลอื ใช้ (ภาพ ๑) ผลงานออกแบบ Bookcases ของ Piccolo
Architetto (The Little Architect ๑๙๘๙) เนน้ การใช้สอยมากขนึ้ (ภาพ ๒) ผลงาน Wooden
Chair ของ Franco Raggi “Metamorfost & ๒” รปู ทรงและการใชส้ อยมคี วามกลมกลืนกัน (ภาพ ๓)
และ “Red & Blue Chair” ของ Gerrit Rietueld เนน้ การใชส้ อยและหลักความเรยี บงา่ ยแตง่ ดงาม
(ภาพ ๔)
ที่มา : Nally Bellati : New Italian Design. ๑๙๙๐ และ A century of Chair Design.
Rizzoli international Publication. N.Y. ๑๙๘๑ และ ๕๖th International Exhibition
La Biennale : Venezia ๒๐๑๕.

วิธีคิดทางศลิ ปะออกแบบขนั้ สูง 153

ความต้องการใชป้ ระโยชนจ์ ากพน้ื ทีอ่ าคาร ในมุมมองตามกาลเทศะท่เี ปลี่ยนไป ซ่ึงหลยุ ส์ เฮนรี ซัลลิ
แวน (Louis Henry Sullivan) นกั ออกแบบชาวอเมรกิ ัน ได้ชว่ ยเติมเตม็ การใช้พ้ืนท่อี าคารในสังคมเมืองใหม่ว่า
“Form is Follow Function” ด้วยการออกแบบพ้ืนท่ีภายนอกภายใน ให้เรยี บง่ายมคี วามสะดวกในการใช้
ประโยชนอ์ ย่างสมบูรณ์แบบ
เสน้ ทางออกแบบโฆษณา ผ้ทู รงอิทธพิ ลต่อการพัฒนา การเปลย่ี นแปลงในระยะเรมิ่ ต้นคือ เดวิด โอกลิ วี
(David Ogilvy) ดว้ ยการออกแบบแนวคดิ “จินตภาพของตรา” (Brand Image) บนความเชอ่ื ว่าสนิ ค้ามีลักษณะ
คลา้ ยคน คอื มีบคุ ลกิ ลกั ษณะและมีบุคลิกของสินค้า ผูค้ ดิ ออกแบบโฆษณาตอ้ งทำ� ความเข้าใจสนิ คา้ และผบู้ ริโภค
สินคา้ พร้อมกันไป สว่ น ลีโอ เบอรเ์ น็ทท์ (Leo Burnet) กบั มคี วามคดิ การออกแบบโฆษณาไปอีกเสน้ ทางก็คือ
ใหผ้ ู้บริโภคสื่อได้ “สัมผัสทส่ี ามัญ” ภายใตค้ วามปกติธรรมดา แต่แฝงความคดิ ไวอ้ ย่างลุ่มลกึ

ภาพท ่ี ๘๒ หลักคดิ แบบโมดลุ าร์
ของเลอ คอร์บูซเี ย เปน็ การสร้าง
หน่วยทีอ่ ยอู่ าศัย (Housing Unit)
และแนวทางการออกแบบทอี่ ยู่
อาศยั อยรู่ ่วมกัน และมมุ มองของ
แนวคดิ อนาคตนยิ มของทอี่ ย่อู าศยั
โลกใหม่
ท่มี า : Google

154 วธิ คี ิดทางศลิ ปะออกแบบขัน้ สงู

กรณศี ลิ ปนิ ผู้มบี ทบาทส�ำคญั ในศตวรรษทผ่ี ่านมา ได้แก ่ กลุ่มบาศกนยิ ม (Cubism) โดยการน�ำของ
ปาโบล ปิกัสโซ และ จอรช์ บราก ผูค้ ิดค้นข้นึ มหี ลกั สนุ ทรยี ศาสตรส์ ำ� คัญต่อการเปลย่ี นแปลงการออกแบบ
และการคดิ สร้างสรรค์ศิลปะก็คือ การศกึ ษาธรรมชาติทัง้ ท่ีเป็นทิวทัศน์ ภาพห่นุ นง่ิ และเรือนร่างมนษุ ย์ ดว้ ย
การตัดทอนส่ิงทไี่ ม่ต้องการ และเพิ่มเตมิ ดว้ ยการใช้เสน้ เรขาคณิต พ้ืนระนาบท่หี กั เหพลิกผนั กันไปมา ตามสภาพ
ของสือ่ ส่งิ ที่วาด และมีการจัดองค์ประกอบภาพ ให้เกดิ รูปความหมายใหม่ บาศกนิยมน้นั มพี ัฒนาการไป
เป็นลำ� ดับ เรม่ิ ตน้ จากความเป็นธรรมชาต ิ กา้ วไปสบู่ าศกนิยมวเิ คราะห ์ (Analytic Cubism) และบาศกนิยม
การสังเคราะห ์ (Synthetic Cubism) ลดทอนการเปล่ียนสภาพของภาพ ไปสู่ความเปน็ นามธรรมดว้ ยการ
ประกอบ ซอ้ น ผสมจากส่อื วสั ดุและเทคนคิ ตา่ งๆ
คติดาดา (Dadaism) เปน็ ขบวนการทางศิลปะ มหี ลกั ปรชั ญาและแนวความคิดในการสรา้ งสรรคผ์ ลงาน
แบบหลากหลาย ไม่เน้นเฉพาะเจาะจงทางใดทางหนงึ่ เป็นไปตามความชอบของแต่ละคน และมหี ลกั การ
สนุ ทรยี ศาสตร์รว่ มกันประการหนึง่ คอื การแสดงออกแบบเยาะเยย้ เสยี ดสี ถากถางทางสงั คมในแงล่ บ พรอ้ มกบั
เป็นปฏปิ กั ษ์ตอ่ หลักสนุ ทรยี ภาพ ตามทเี่ คยมีของศิลปะลทั ธติ า่ งๆ ดาดามีแนวคิดแบบหลงั สมัยใหมน่ ยิ มอยา่ งหน่งึ
คอื การหยิบยืมศลิ ปะลัทธิต่างๆ ที่เกิดขน้ึ ในเวลารว่ มสมัยกนั มาผสมปนเปกนั เชน่ บาศกนิยม อนาคตนิยม
(Futurist) และน�ำมาท�ำพร้อมไปกบั วสั ดสุ �ำเร็จรูปเช่น วงลอ้ จักรยาน โต๊ะ เก้าอี้ หลักการแนวคิดของคติ ดาดา
ตา่ งๆ ได้กลายเปน็ หวั ขบวนส่องทางความคิด ให้กับศิลปินช่วงหลงั ต่อมาไม่ว่าจะเปน็ Op-art ศลิ ปะแบบเหนอื
จริง Surrealism เปน็ ต้น
การคิดแบบก้าวหน้าของกลมุ่ ศลิ ปนิ ฮนั ส์ อาร์ป (Hans Arp) มารเ์ ซล ดูซอง (Marcel Duchamp)
ฟรองซสี ปีกาเนยี (Francis Picabia) ไดส้ ่องทางความคิดและแนวทางการสรา้ งสรรคศ์ ิลปะแบบใหมๆ่ แปลกๆ
และการปฏิเสธระเบียบกฎเกณฑท์ างศลิ ปะทเ่ี คยยึดถือกนั มานาน มกี ารใหค้ วามส�ำคญั ตอ่ สรรพสิ่งภายนอกรอบตวั
และพ้ืนท่ภี ายนอกส่ิงแวดลอ้ มในมิติแบบใหม ่ มกี ารยอมรับเอาผลผลิตของเทคโนโลยตี ่างๆ มาใช้สร้างศิลปะ
เงือ่ นไขและปัจจยั เหล่านลี้ ว้ นกอ่ ใหเ้ กดิ แรงบันดาลใจต่อการสรา้ งงานศลิ ปะแนวทางแบบใหม่ตามมาคอื Land Art
Earth Art Conceptual Art เปน็ ตน้

ภาพที่ ๘๓ มารเ์ ชล ดูซอง “โถปัสสาวะ” ตคี วามรูปสนุ ทรียใหม่ผา่ นสุขภณั ฑอ์ ันไรค้ ่าขาดความหมาย เช่นเดยี ว
กับ รอเบริ ต์ สมทิ สนั (Robert Smithson) “Spiral Jetty” ตคี วามพื้นทีท่ ะเลสาบ เกรตซอลตท์ ี
ยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ในผลงาน Land Art
ที่มา : John Russell. The Meaning of Modern Art. ๑๙๘๕.

วิธคี ิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สงู 155

๔.๔.๒ ร้คู ดิ ตอ่ คิดตา่ งแบบก้าวหน้าสร้างสรรค์ หรอื คดิ แบบสร้างสรรคแ์ ละความคดิ ลกั ษณะนี้
เป็นความหมายใกลเ้ คียงกับ “ความคิดกา้ วหนา้ ” ตามทกี่ ล่าวมาแลว้ ในขอ้ ๓.๑.๒ ความตา่ งจะมีอยูว่ ่าคดิ แบบ
สรา้ งสรรค ์ เปน็ ความสามารถทางสติปัญญาในระดบั สงู เน้นถึงความคิดใหม ่ ศลิ ปินนักออกแบบอาศัยการสร้าง
งานศิลปะออกแบบ เปน็ สือ่ ถา่ ยทอดและแสดงออกทางความคิดสว่ นตนออกมา ซงึ่ เป็นความคิดรเิ รม่ิ แสดงถึง
ความสามารถพิเศษของสมอง (คิด ชอบ รสู้ ึก) ให้คิดแปลกและแตกต่างไปจากเดิม หรอื การขยายขอบเขต
ความคิดออกไป จากกรอบความคิดเดิมทม่ี อี ยู่ ไปสคู่ วามคดิ แบบใหม่ที่ไม่เคยมีเคยเปน็ มาก่อน เพ่อื แสวงหา
ทดลองดว้ ยค�ำตอบ ทด่ี ีทีส่ ุดใหก้ บั โจทย์ ปญั หา หรอื ความปรารถนา อันเป็นความจำ� เปน็ ภายในของมนุษย์
“ความคดิ หมดอายุ” ทางความคิดถอื ว่าเป็นสงิ่ ท้าทาย (Challenge) และภัยคุกคาม (Threats) ทาง
ความคิดแบบใหม่ ไม่นำ� ไปสู่การออกแบบภาพและการสรา้ งสรรคแ์ บบใหม่ได้ เช่น การท�ำธรุ กจิ การค้าและบรกิ าร
จะมคี วามเกยี่ วข้องกับวัฏจักรของธุรกิจ มกี ารขยายตวั มากน้อยไปตามสถานการณ ์ และหรือตลาดการค้าบรกิ าร
มคี วามตอ้ งการอะไรใหม่ๆ หรอื อารมณค์ วามร้สู กึ ความพึงพอใจตอ่ สินคา้ บรกิ ารทีเ่ ปลย่ี นไปในแตล่ ะระยะ
เงื่อนไขและปัจจยั เหล่าน้ัน ตอ้ งพยายามกา้ วข้ามสัญญาณทบี่ ง่ บอกว่า ความคิดนนั้ ใชก้ ารไม่ไดแ้ ลว้ เป็นต้นวา่
“ส่งิ ท่คี ิดเป็นความคดิ ส�ำเรจ็ รปู ” หรอื “สตู รสำ� เรจ็ ” แบบตายตัว มีกระบวนการด�ำเนนิ การท่เี ป็นไปแบบ
เชือ่ มโยงต่อเน่ืองทางความคดิ ไปเป็นล�ำดบั จะออกนอกเสน้ ไมไ่ ด้ ปจั จัยนอ้ี าจเกดิ ขึน้ จากความคดิ แบบนนั้ ผลงาน
แบบน้เี คยประสบความส�ำเร็จ ได้รับรางวลั จากการคดิ และการสร้างงาน จึงไม่กลา้ เปลีย่ นแปลงพฒั นาใหม่

ภาพท่ี ๘๔ ตวั อยา่ งผลงานออกแบบมคี วามคดิ สร้างสรรคใ์ นดา้ นตา่ งๆ ได้แก ่ ส่ิงของ (Object) การออกแบบ
สไตล ์ (Design in Style) พนื้ ท่ ี (Space) การออกแบบการใช้ชวี ิต (Design Life) และข้อมูล
(Information) การออกแบบสื่อสาร (Communication Design)

156 วธิ คี ิดทางศลิ ปะออกแบบขน้ั สงู

การบม่ เพาะความคดิ ให้แก่กล้า ถือวา่ เป็นการลงทุนเก่ียวกับความคดิ ทจ่ี ับต้องไมไ่ ด้ แตเ่ ป็นทรัพยส์ นิ
ทางปญั ญาของวฒั นธรรมทางศิลปะออกแบบที่จบั ตอ้ งไมไ่ ด ้ เชน่ ทศั นศลิ ป ์ ออกแบบต่าง ดนตรี ภาพยนตร์
และความคิดดดี ีอยา่ งสร้างสรรค ์ จะมผี ลตอ่ การสร้างคุณคา่ ในตัวชนิ้ งาน และตามมาดว้ ยมูลคา่ ท่ีเกิดจากการ
ยอมรบั สอื่ สง่ิ ที่ดที างศิลปะออกแบบเหล่านัน้ โดยเฉพาะเร่ืองของเศรษฐกิจสร้างสรรค์หรืออุตสาหกรรมสรา้ งสรรค์
(Creative Industry) อันเกยี่ วข้องกับการสรา้ งสรรคน์ วตั กรรมหรอื นวัตศลิ ปผ์ ลผลิตจากความคดิ สรา้ งสรรค์ ซง่ึ
บรษิ ัทห้างรา้ น SME - STARTUP ล้วนต้องการให้ผลิตภัณฑข์ องตน มคี วามแตกตา่ งจากผ้อู ่นื ได้การยอมรับ
เพอ่ื ใหก้ จิ การมีความเตบิ โตอยา่ งรวดเร็ว และแบรนด์ (Brand) ของสินคา้ กต็ ดิ ตาตรงึ ใจจนลกู ค้าเกิดความ
จงรักภกั ดีตอ่ สนิ ค้าอย่างมั่นคง
“กุศโลบายการออกแบบ” คืออาวธุ ในทางการตลาด เพ่อื ใหก้ ารออกแบบกลายเปน็ เอกลักษณ ์ และ
เอกลกั ษณ์กลายเปน็ การสรา้ งแบรนด ์ ส่วนแบรนดจ์ ะสร้างชีวิตด้วยการใส่สัมผสั ทางอารมณ์ ความรูส้ กึ ให้กับวตั ถุ
เพอ่ื ให้ท�ำหนา้ ท่ีหรอื ประชาสัมพนั ธต์ ัวมนั เอง และสร้างคุณค่าใหก้ ับสนิ คา้ ไมว่ า่ จะเป็นการใชภ้ าษาโฆษณา
ใหเ้ ปน็ ทนุ ทางการคา้ เพอื่ จดุ ประกายการตลาดในการสัมผสั ความเลอค่า หรอื สนุ ทรียอดุ มคติในนวตั กรรมของ
ผลิตภัณฑแ์ บบใหม่ ซงึ่ ผลิตภณั ฑป์ ระเภทเดยี วกันไม่มเี ปน็ ต้น
เศรษฐกิจยคุ ๔.๐ เร่ืองของ “Life Style” เพศสภาพใหม ่ และรสนยิ มใหม่ทางศิลปะออกแบบ
นอกจากการให้ความส�ำคญั ทางกายภาพแลว้ เรื่องของอารมณ์ (จติ ชอบ ใจรู้สกึ ) จะได้รับการใส่ใจใหค้ วาม
ส�ำคัญ ในการสร้างประสบการณแ์ บบแปลกใหม่ จนถงึ ขน้ั พสิ ดาร ให้ลูกค้ามคี วามสุขไมร่ ลู้ ืม เปน็ ความสุขทไี่ ด้
รับรู้ความวจิ ิตรตระการตา สขุ ท่ไี ด้สมั ผัสในพหสุ ัมผสั (Multi Sensory) อนั ละเมยี ดละไมดว้ ยสายตาทม่ี องเหน็
ร่นื รมยจ์ ากการดมกล่นิ รสชาตอิ นั กลมกลอ่ มจากการล้มิ รส และการสัมผัสอย่างนุ่มนวลเบาบางดว้ ยมอื และกาย
ดงั น้นั เพือ่ ใหถ้ ึงซึ่งฝง่ั ฝนั ดงั กล่าว ควรเร่มิ ต้นดังนี้
(๑) ตอ่ ราก ต่อยอด และภาพต่อใหม ่ การออกแบบภาพความคดิ แบบก้าวหนา้ และการคิดแบบ
รากไทยสโู่ ลก หรอื คดิ แบบบริบทใหมส่ ู่โลกใหม่ล้วนเปน็ ปัญหาและความท้าทาย (Challenge) ทเี่ ปล่ียนแปลงไป
เพ่ือให้ศลิ ปะออกแบบสามารถ มีสว่ นส่งเสริมสงิ่ แวดล้อมทางวฒั นธรรมทเ่ี ห็นได้ หรือออกแบบการใช้ชวี ติ ในพืน้ ที่
การออกแบบส่ือสารจากขอ้ มูล หรือการออกแบบกระบวนแบบ (Style) จากสงิ่ ของเคร่ืองใช้ให้กา้ วหน้าพัฒนา
ไปสมู่ ติ ิแบบใหม่ สนองความต้องการของผ้บู รโิ ภคอย่างรอบด้าน กรณเี ช่น เร่ืองของศลิ ปะและออกแบบอยา่ ง
ไทย มีสิ่งบง่ ชถี้ งึ ตวั ผลงานโดยรวม มีความคดิ แบบซำ้� ซากอยู่ในวงั วนของกับดักทางความคดิ แบบเดิม มีการผลิต
ซ�ำ้ ไปมา ขาดวิธีคดิ อยา่ งเหมาะสมทส่ี อดคลอ้ งไปกบั บริบทของโลกใหม่เป็นตน้
การคน้ หาภาพต่อทางศิลปะและออกแบบไทยในโลกใหม ่ จึงเป็นสงิ่ ท่ที า้ ทายมาก เน่ืองจากยงั ขาดการ
ศึกษาค้นควา้ ถงึ ทางออกอยา่ งเหมาะสม ใหเ้ ป็นทยี่ อมรับได้ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การคิดแบบกา้ วหน้าสรา้ งสรรค์
จากรากวัฒนธรรมเดิม หรือวฒั นธรรมส่วนกลาง กับจากรากวัฒนธรรมสว่ นท้องถิน่ หรือวัฒนธรรมราษฎ์พนื้
บา้ นกต็ าม เมอื่ พเิ คราะห์ในรายละเอยี ด ต่างมที มี่ าท่ีไปของวฒั นธรรมอนั เปน็ คุณสมบตั เิ ฉพาะโดยรวมและย่อย
ท่ีรบั รูไ้ ด้ มีลักษณะแตกตา่ งกนั ไป ทงั้ นีย้ ังไม่ไดพ้ ิจารณาถึงส่งิ ทจี่ ับตอ้ งไมไ่ ดเ้ ป็นสื่อส่งิ แฝงเรน้ และซอ่ นอย ู่
ภายในทางความเช่ือ ความเปน็ นามธรรมทางความคดิ อะไรตา่ งๆ อีก ซ่งึ ล้วนเป็นสาระของรปู นามที่เคลื่อนไหว
เปลยี่ นแปลงดว้ ยเชน่ เดียวกัน

วธิ ีคิดทางศิลปะออกแบบข้ันสงู 157

ความเป็นไดใ้ นการเร่มิ ต้นทางความคิด สามารถนำ� ร่องได้จากวธิ ีคดิ และความถนัดตามความสนใจส่วนตน
จากแบบหนึง่ แบบใดไดแ้ ก ่ มีรากหรือไรร้ ากทางวฒั นธรรม สว่ นการจะก้าวหนา้ สรา้ งสรรค์ไดน้ ้ัน จำ� เปน็ ตอ้ ง
อาศัยกระบวนการตามองคป์ ระกอบตา่ งๆ เขา้ รว่ มด้วยดงั น้ี

ตวั อย่าง : สร้างภาพตอ่ จากความคิดนามธรรมให้เป็นรปู ธรรมด้วยวิธกี ารสรา้ งภาพแบบตา่ งๆ

บุญเสรมิ วัฒนกิจ ผลงานชือ่ “เคียงไหล่ถวายพระพร” น�ำเสนอผลงานภายใต้แนวคิด
“มลงั เมลอื งเรอื งรงุ้ ” ในการประกวดจติ รกรรมเอเชียพลัส ดว้ ยการเปดิ พ้นื ท่ีและมุมมองใหมท่ างการ
สร้างสรรค์จิตรกรรมรว่ มสมยั มีการหยิบยมื สมมตภิ าวะของความคดิ นามธรรมของบุคคลาธษิ ฐาน
จากเทพชุมนุมอย่างไทยเดมิ เขา้ กบั สจั ภาวะทางการรับรู้ใหม่ของภาพบคุ คลที่มชี วี ติ จิตใจซอ้ นลงไป

158 วิธีคิดทางศลิ ปะออกแบบขั้นสูง

(๑.๑) การระดมความคดิ (Bฺ rainstorm) เปน็ กระบวนการกลมุ่ มคี วามจ�ำเป็น และมีความส�ำคญั ใน
ยุคปัจจุบนั เพ่ือใหเ้ วทีนเ้ี ป็นพน้ื ท่ีส�ำหรับร่วมกันหาทางออกในทางศิลปะออกแบบให้ก้าวหนา้ และเกดิ ประโยชน์
ร่วมกันโดยรวมจากความคดิ อา่ นดีๆ ความมปี ระสบการณท์ แ่ี ปลกใหม ่ จากกลุ่มผ้คู นหลากหลายสาขาวชิ าชพี ยงิ่
ยคุ ปัจจุบนั การทำ� งานศิลปะออกแบบมีการทำ� งานเปน็ ทมี เป็นกลมุ่ โดยเปน็ การรวมกลุ่มของนกั ออกแบบ
ศิลปิน สถาปนกิ วศิ วกร เปน็ ต้น มคี วามเชย่ี วชาญเฉพาะดา้ นจากหลายสาขาวชิ า (Cross Discipline) เพ่ือ
ตอบโจทย์ปัญหาใดปญั หาหนง่ึ ทม่ี ีความสลับซับซอ้ น และมีความเก่ยี วขอ้ งเช่ือมโยงกบั คนและงานในหลายสว่ น
การทำ� งานจงึ มลี ักษณะของการร่วมกนั คดิ ร่วมกนั ท�ำ ร่วมกนั รับผิดชอบ จนสำ� เร็จโครงการ
การระดมความคดิ จากผเู้ กี่ยวขอ้ ง ต้องไม่ลำ� เอยี งและให้ความสำ� คญั ทกุ ความคดิ ท่ดี มี ีประโยชน ์ ถึงแม้จะ
เปน็ ความคิดแบบแปลก ดูสุดโต่งทางความคิดมากเกินไป กค็ วรน�ำออกมารวบรวมไว้ให้หมด ด้วยการจัดกลมุ่
จัดพวกใหเ้ ข้าชดุ อยา่ งเหมาะสม หวั ขอ้ ทจ่ี ะระดมความคิดควรเปน็ ประเด็นท่ีด ี มคี วามน่าสนใจเก่ียวขอ้ งกับ
งานทีจ่ ะทำ� และความสนใจของผเู้ ข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นต้นวา่ “ศิลปะไทยตายแลว้ จริงหรอื ไม่” “ไขรหสั ลบั
รสนยิ มศิลปะข้ามเพศ” “ออกแบบเปลี่ยนโลกมืดดว้ ยพหุสมั ผัส” การระดมความคดิ จะชว่ ยให้ไดส้ าระแบบใหม่
แปลกไม่เคยคิดว่าจะมีจะเป็นและส่องทางความเป็นไปได้ในการแก้ปญั หา อันเป็นทางออกท่ลี �ำพังตัวคนเดยี ว
อาจมองไม่เหน็ ส่งิ อนั เปน็ ปรศิ นา รหสั ของคำ� ตอบในนามธรรมอันเลอคา่ หรอื แนวทางอนั มหัศจรรยเ์ ชน่ น ้ี ทั้ง
หลายท้ังปวงในทา้ ยทส่ี ดุ จะช่วยใหไ้ ด้ชุดค�ำตอบไว้ใหเ้ ลือกใชเ้ ลอื กชมไดต้ ามอธั ยาศัย
“การต่อยอดแตกหน่อ” (Branch Out) จากประเด็นคำ� ถาม และค�ำตอบแบบกระจัดกระจายและ
ไมเ่ ป็นระเบียบในการระดมความคดิ ให้มคี วามเปน็ ไปได้ใหม ่ จึงมคี วามลกึ ซ้ึงมากกวา่ เดมิ ทั้งน้เี พ่อื ใหเ้ ทคนิคนี้
มคี วามสมบูรณ์แบบขนึ้ ให้ทดลองออกแบบภาพความคิดด้วย “แผนท่ีความคิด” (Mind Mapping) ชว่ ยน�ำ
ความเชงิ สาระอย่างเปน็ ลำ� ดับตอ่ เน่ืองกนั ไป

ตวั อย่าง :

วธิ คี ิดทางศลิ ปะออกแบบขัน้ สูง 159

(๑.๒) ทบทวนเอกสารส่ือสิง่ การทบทวนหมายถึงการคิดยอ้ นกลบั (Feedback) เพ่อื ท�ำความเขา้ ใจ
เร่ืองน้ันสอ่ื สิ่งนน้ั ทางศลิ ปะออกแบบ เพ่ือคน้ หาความหมายอะไรใหม่ในรูปของ ค�ำสำ� คัญ (Keyword) หรือค�ำ
กุญแจ คำ� นิยาม และการสรปุ ความ สว่ นมากจะเป็นการทบทวนจากผอู้ ่ืน ที่ไดเ้ คยคิดเคยเขียนหรอื ไดท้ �ำอะไร
ไวบ้ นโลกน้ี (ไทย - ตา่ งประเทศ) มคี วามเปน็ ปจั จบุ นั (Update) มคี วามทันสมัย มคี วามนา่ เช่อื ถือท้ังตัวผเู้ ขียน
และผลงานเปน็ ต้น เพื่อให้สามารถคน้ พบสาระในเบื้องต้นหรือขอ้ สรุปในการน�ำไปใช้ตอ่ ไป เช่นค�ำกลา่ วอา้ งวา่
งานวิจัยสร้างสรรค์ งานออกแบบของเราน้ันใหม่จรงิ ไมใ่ ชเ่ ปน็ การกล่าวอา้ งอยา่ งเลอ่ื นลอยขาดฐานจากการ
ทบทวนรองรับ ใหม้ คี วามน่าเชื่อถอื
“การทบทวน” กนิ ความถึง “การตคี วาม” พน้ื ท่ใี นมติ ิมุมมองใหมท่ แี่ ตกตา่ งไปจากเดมิ และเปน็ ไป
ตามการเคลือ่ นการเปล่ียนไปของกาลและเทศะอยู่เปน็ ล�ำดับ ทั้งที่มองเหน็ ไดแ้ ละมองไมเ่ ห็น ดงั ความคดิ ของ
ซลี ส์ เดอลสิ (Gilles Deleuze) และ เฟลิกซ ์ กัตตารี (Felix Guattali) ท่เี ขาไม่เหน็ ด้วยกับวิธคี ดิ แบบรากไม้
มาจากจดุ ก�ำเนดิ เดยี วกนั เนน้ ความเป็นศูนย์กลางเดยี วแต่เขามคี วามเช่ือในระบบคิดแบบเชอ่ื มตอ่ (Connection)
การคิดข้าม (Transversal) หรอื คดิ ในเชงิ บวกหรือเพม่ิ (Addition) และมองสรรพสิ่งในฐานะเหตุการณ ์ (Event)
หรอื การเกดิ ขน้ึ แตไ่ ม่ใช่สิ่งที่เกดิ ขนึ้ ซึ่งเรยี กว่า Rhizome หรอื ความหลากหลาย (Multiplicity)
การตคี วามพื้นทใ่ี นความนัยข้างตน้ เป็นการมองและทำ� ความเขา้ ใจในมมุ มองใหม ่ ที่เน้นถงึ ความ
หลากหลายของผคู้ นสงั คมวัฒนธรรมตามการเกิดข้ึน แบบทีม่ ีและท่ีเป็นในแต่ละแหง่ จากเหตกุ ารณท์ ่ีเหน็ ได ้
คลา้ ยการแตกหน่อของต้นไม ้ สามารถเชือ่ มต่อโดยไม่มีจุดเรมิ่ ต้นและจุดส้ินสดุ ชว่ ยใหว้ ิธีคดิ แบบนีจ้ ะเร่ิมตรงไหน
เมอื่ ไหรก่ ไ็ ด ้ มีลกั ษณะของพชื ทใ่ี ชก้ ารแตกหนอ่ ขยายพนั ธ ุ์ สามารถตดั แบง่ แยกส่วนของเหง้าไปเพาะชำ� หรอื
ปลูกใหมไ่ ด้

ภาพท่ี ๘๕ แสดงสหสาขาวิชาทางทัศนศลิ ปแ์ ละสหศิลป ์ มอี งคป์ ระกอบร่วมกนั คอื มูลฐาน วธิ กี าร และหลักการ
ถ้าน�ำคณุ สมบตั ิของรูปเรอื่ ง เนอ้ื หาที่มคี วามหมาย มาบรู ณาการรว่ มกันอยา่ งเหมาะสมจะสะท้อนส่อื สิง่
แบบใหม่ทางศิลปะจากการเชอื่ มต่อและผสมผสานได้อย่างน่าสนใจ

160 วิธคี ิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สงู

(๑.๓) เทคนิคแบบก้าวหน้า ตามตัวอย่างเทคนิคการออกแบบการจัดรูปภาพในหลักเกสตัสทแ์ ละอ่ืนๆ
ถึงการจัดรปู เหมอื นกัน รปู ต่อเน่อื งกัน รูปบดิ ล้อม รปู ซ้อนทับกัน เป็นต้น เป็นเทคนิคพืน้ ฐานทวั่ ไป สำ� หรับ
การสร้างงานศลิ ปะและออกแบบ สว่ นการจะทำ� ใหเ้ กดิ แบบมลี กั ษณะกา้ วหน้าสร้างสรรค ์ จนเกิดภาพต่อใหม่
ในระดับสงู ตามคำ� กุญแจหลักของหนังสือเลม่ น ้ี คอื “วิธคี ิดทางศิลปะออกแบบขนั้ สงู ” น้นั หากอาศัยเทคนคิ
วิธกี ารเดิมในข้อ ๓.๒.๒ (๑) หรือ “การคดิ แบบลดทอน” ท�ำใหน้ อ้ ยและเรยี บง่ายเพยี งเท่านน้ั ภาพต่อที่
ปรากฏกจ็ ะไม่นา่ สนใจ และดซู �้ำซากจนเกินไป
ความเปน็ ไปได้ของเทคนิคแบบก้าวหน้า อาจต้องเร่มิ จากการทบทวนทางความคิดและวธิ คี ดิ เป็นปฐม
ด้วยการค้นหา คน้ คว้าถงึ สอื่ ส่ิง พนื้ ทีห่ รอื เหตุการณใ์ นบริบททผี่ อู้ ่ืนไมเ่ คยมองและมอง ข้ามไป หากแตม่ ีความ
หมายอืน่ ทยี่ ังซ่อนเรน้ แฝงอย ู่ เชน่ มีความเปน็ นามธรรมทางสนุ ทรียแบบอุดมคต ิ เป็นจิตวิญญาณทางวฒั นธรรม
ตะวันออก หรือผิวสมั ผัสของโลกมดื ท้ังหลายท้งั ปวงเหลา่ นน้ั ถ้าไดม้ กี ารคิดหาวิธอี ยา่ งเหมาะสมจะชว่ ยใหค้ ้นพบ
ความรทู้ างศิลปะออกแบบใหม่ จนถงึ ขนั้ เทคนคิ วธิ กี ารพัฒนาและนำ� ไปสู่การสรา้ งนวัตกรรม นวตั ศลิ ป ์ ให้เกิดข้ึน
ได้
โลกปัจจบุ ันหรอื ยุคอตุ สาหกรรม ๔.๐ มีคำ� กุญแจส�ำคญั และเป็นหลักคอื “บรู ณาการ” หมายถงึ การ
ทำ� ให้ ครบถ้วนสมบรู ณ์ ด้วยการพจิ ารณาสรรพสิง่ ในลักษณะขององค์รวม (Holistic View) อนั เกดิ จากการ
รวมตวั กนั เชอ่ื มโยงกนั ของส่งิ หนง่ึ กับหลายสิ่ง หรือองค์ประกอบย่อยกบั องค์ประกอบหลัก อยา่ งมีความสมดุล
และกลมกลืน กระบวนทัศน์ทเี่ ปล่ียนแปลงเช่นนกี้ ารจะเกิดเทคนคิ แบบกา้ วหน้า สรา้ งภาพตอ่ ใหมไ่ ดม้ คี วามจ�ำเปน็
ต้องมองกวา้ ง มองรอบ มองลกึ และมองสงู แบบ ๓๖๐ องศาให้ครบมิติเพอ่ื นำ� สาระท่ไี ด้ไปสูก่ ารบูรณาการของ
ความรคู้ วามคิดใหม่
วิธีคิดสำ� คัญคือ ต้องเรมิ่ ตน้ จากความคดิ ข้ามศาสตร ์ และสหวทิ ยาการทางความคิดสรา้ งสรรค์ศลิ ปะและ
การออกแบบ ดว้ ยความคิดแบบซบั ซ้อนและเป็นพหวุ ิธ ี จากการประกอบซ้อนและผสมระหว่างศาสตรเ์ ดยี วกัน
แบบข้ามสาขา และข้ามศาสตร์จากต่างสาขาเป็นตน้ เชน่ ข้ามสาขาภายในทัศนศลิ ป ์ (ภาพที่ ๘๓) หรือข้ามสาขา
ในฐานศาสตรอ์ นื่ ในการรับรทู้ างเสยี งคือดนตรี การรบั รู้ทางการเคลื่อนไหวคือ ศลิ ปะการแสดงหรือนาฏศิลป ์
เพ่ือผสมผสานร่วมกันระหว่างศาสตรท์ างศลิ ปกรรมด้วยกัน เพือ่ แสวงหาวิธีคดิ และเทคนิควธิ แี บบแปลกใหม ่
จากการรบั รทู้ ่จี ะน�ำไปสู่ส่งิ ท่ีเรยี กวา่ “พหสุ ัมผัส” และผลงานชิ้นใหม่
การบรู ณาการจากการน�ำความรขู้ ้ามฐานศาสตร ์ (ศลิ ปกรรมศาสตร ์ มนุษยศาสตรแ์ ละ วทิ ยาศาสตร์)
และการผสมผสานสหสาขาวิชาศิลปะ จากฐานศาสตร์เดียวกัน (ทัศนศลิ ป์ โลกศลิ ป ์ และโสตทศั นศิลป์) มาใช้
เพ่ือรวมกนั ให้เกิดผลงานสรา้ งสรรคข์ ึน้ ใหม่ ผลติ ภณั ฑ์ใหมเ่ ปน็ ศลิ ปะภาพลักษณ์ทีเ่ กิดจากการผสมผสานศลิ ปะ
ทางภาพ ศิลปะทางเสยี ง มาหลอมรวมอยูใ่ นผลงานช้ินเดยี วกนั ทง้ั นก้ี ารด�ำเนินการเพื่อนำ� ไปสผู่ ลสัมฤทธไ์ิ ด้นน้ั
ตอ้ งมวี ธิ ีและวิถี (Means) ของส่ือส่ิงอันเปน็ หนทางในการน�ำไป ให้ไดส้ ื่อสง่ิ อกี อยา่ งหนง่ึ อนั เปน็ เปา้ หมาย
หรอื ผล (End) ตามต้องการ

วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้นั สูง 161

การแสดงความเช่อื มโยง (Relation) ทางความคิด ในการผสมผสานศิลปะใหม้ องเห็นภาพ และมีความ
เขา้ ใจไดอ้ าจสะท้อนผ่านแบบแผน ตาราง และเน้ือหา นำ� เข้าสู่ประสบการณ์ของการเรยี นรู้ร่วมกันไดแ้ ก่
คุณสมบตั ิเน้ือหา โดยคณุ สมบัตขิ องมูลธาต ุ (Element) ศลิ ปะธาตอุ นั เปน็ คา่ จ�ำเพาะ และหลักการ (Principle)
อันเทียบเคียงได้กบั ไวยากรณศ์ ลิ ปะ จนนำ� ไปสกู่ ารถอดรือ้ หรือถอดรหสั เพ่ือแยกแยะและคน้ หาแกน่ อนั เปน็
ลกั ษณะร่วมกัน อันเปน็ แกน่ สารของแตล่ ะคณุ สมบตั ิ ไปตามล�ำดบั กอ่ นหลงั จากการรบั ร ู้ และคุณสมบัติที่ได้
จากการผสมผสานกนั จะเกดิ การรบั รู้ใหม่ ประสบการณ์และความซาบซึง้ ในคุณคา่ ใหม่ (ตาราง ก และ ข
ประกอบ)
ทดลองค้นหาคณุ สมบตั แิ ละ แกน่ สารจากศิลปะภาพลักษณท์ างทศั นศิลป ์ โสตศลิ ป์ และโสตทศั นศลิ ป์
จากตาราง ก และ ข ทีก่ �ำหนดให้ เพื่อหาค�ำตอบใหมข่ องคณุ สมบตั จิ ากการผสมผสานสุดทา้ ยตามการรบั รใู้ หม ่
คณุ สมบตั ิของเน้ือหาอาจเริ่มต้นจาก “ศิลปภาพลกั ษณ์ไทยรว่ มสมัย” หรือ “ศิลปภาพลักษณไ์ ทยท้องถิ่น”
(ดูบทท่ี ๕ สหวทิ ยาการวิเคราะห์ (๕.๑)

ตาราง ก แสดงหวั ข้อ คุณสมบัติและลกั ษณะร่วมท่ีแยกแยะไปตามลำ� ดับของส่อื ส่ิงทเ่ี กี่ยวขอ้ งกนั

ตาราง ข องคป์ ระกอบลักษณะร่วมของพหสุ ัมผัส

162 วิธีคิดทางศลิ ปะออกแบบข้นั สูง

ภาพตัวอยา่ ง :

การออกแบบรปู แทนความคิดจากลักษณะเฉพาะของศาสตร์สาขาตา่ งๆ ทางศิลปกรรมศาสตรใ์ ห้
กระจา่ งได้ (ดตู าราง ข) ดว้ ยการค้นหาลักษณะร่วมและสรา้ งรปู ภาพสัญลักษณ์เทคนคิ วธิ แี บบสอดคลอ้ งกันไป
ระหว่างภาษาทางการเหน็ ภาษาทางการได้ยิน และภาษาทางการเคลอื่ นไหว จำ� เปน็ ตอ้ งมีความพิถพี ิถนั
เนื่องจากวา่ ภาษาทางศิลปะมีเน้อื หาทางอารมณ ์ มีการเปลีย่ นแปลงตลอดเวลาไปตามการรับร้ ู หน่ึงการถอดรหสั
รูปนัยและความนัยอนั เป็นแกน่ สาร เพอ่ื สร้างขึน้ เป็นภาพแทนจึงตอ้ งรอบคอบใหม้ าก ในชนั้ ต้นควรมกี ารทดสอบ
Pre Test - Post Test เพือ่ หาข้อสรปุ ให้แน่ใจก่อน อาศยั เครือ่ งมือทางศลิ ปะและภาษาภาพไว้ สอบถามความคดิ
การรับรคู้ วามหมายจากแบบทดสอบท่ีก�ำหนดไวต้ ามตวั อยา่ ง
การตั้งโจทยข์ องวิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบน�ำร่อง ดว้ ยค�ำกญุ แจว่า การบูรณาการก็ดี หรือ สหวทิ ยาการกด็ ี
หรือข้ามศาสตรส์ าขาก็ดี เพื่อการผสมผสานกนั หมายความวา่ มีความคดิ แบบซับซอ้ นและมี ความเป็นเทคนิค
แบบพหุวธิ ไี ปตามศาสตร์สาขาท่เี ขา้ มาเชื่อมโยงกัน เกาะเก่ยี วกันและผสมผสานกันจนเกิดเปน็ ภาพค�ำตอบของ
หน่วยแบบใหม่จากสอ่ื สง่ิ ต่างๆ เหลา่ น้ัน ท่มี าประกอบรวมกนั หรือผสมผสานกันใหเ้ กิดผลลัพธอ์ ยา่ งใดอยา่ งหนงึ่
ตามเปา้ หมายที่กำ� หนดไว้ ในข้ันนี้ควรพจิ ารณาและเลอื กเทคนคิ การออกแบบภาพ และสรา้ งภาพเพ่อื ใหไ้ ด้ผล
ตามน้นั ว่าควรจะใช้เทคนิคแบบใด

วธิ ีคิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สูง 163

ภาพที่ ๘๖ ชนิ วตั น ์ ประยรู รัตน ์
บูรณาการสหศลิ ป์แบบไทยและ
แอนเิ มชั่น ๓ มติ ิ เรอื่ งรามเกยี รต์ิ
แสดงการผสมผสานระหวา่ ง
เนื้อเร่อื ง ตวั ละครและฉาก
การเคล่อื นไหว และเสียงด้วย
การใชโ้ ปรแกรม ๓ มิติ ออกแบบ
ภาพและอนื่ ๆ
๔.๔.๓ รกู้ ลยทุ ธแ์ ละการวางแผน กลยุทธ์ (Strategy) เป็นยุทธวธิ ี แผนการเพือ่ นำ� ไปสู่ความส�ำเร็จ
ในทางศิลปะออกแบบ คลา้ ยกบั การเตรียมการเพ่ือน�ำไปใชอ้ อกแบบ และสรา้ งศิลปะท่เี ป็นโครงการและงาน
ขนาดใหญ่ มคี วามเกีย่ วขอ้ งกนั ของขอ้ มลู หลายสงิ่ หลายอย่าง ตอ้ งใช้เวลา คนและทนุ ด�ำเนินการมาก และ
ท้ังหมดจะรว่ มกนั ทำ� งานเปน็ ทีมจากนักวิชาการ วิชาชพี หลายดา้ น การด�ำเนนิ การดงั กล่าวตอ้ งมกี ารคิดและ
การวางแผนร่วมกนั เกย่ี วกับแผนด�ำเนนิ การและแผนปฏบิ ัติอย่างรอบคอบมกี ารแจกแจงรายละเอียดของ
แต่ละฝา่ ยที่ตอ้ งปฏิบตั ิ รวมไปถึงเรอื่ งของงบประมาณ เวลา และอุปกรณ์เครอ่ื งมือเคร่ืองใช้
นักออกแบบและศิลปินท่ีประสบความส�ำเร็จ ล้วนมกี ลยทุ ธเ์ ปน็ เขม็ ทศิ หรอื แผนทน่ี �ำทางวชิ าชีพ เชน่
“เราจะไปถงึ เป้าหมายได้อย่างไร” อันเปน็ การคิดแบบมีกลยทุ ธ์ มีการวางแผนและเตรียมการในทกุ สง่ิ อย่างไว้
รอบดา้ น เพือ่ ไว้ใช้ในการดำ� เนินชวี ิต และการคิดแกป้ ัญหาการทำ� งานแบบทมี่ ีความสลับซบั ซอ้ นมาก และมี
ความเก่ยี วข้องกับเหตปุ ัจจัยหรอื บรบิ ทหลายด้าน เปน็ ตน้ หลกั การเช่นนจี้ ะช่วยให้มองเหน็ ทางออกได้อย่างเกดิ ผล
การคดิ แบบมกี ลยทุ ธ์ มคี วามเกยี่ วขอ้ งกบั การวิเคราะหจ์ ุดออ่ น จดุ แขง็ โอกาส และอุปสรรค หรือ
(SWOT-Analysis) ในการถึงสว่ นทซ่ี อ้ นทบั มแี ก่นสารเพอ่ื นำ� ออกมาใช้ประโยชน์ และการแกป้ ญั หาในการทํางาน
อาจเร่ิมตั้งแตก่ ารวิเคราะห ์ SWOT ตนเองวา่ มีจดุ แข็งและจดุ อ่อนอะไร คลา้ ยกับการวพิ ากษต์ นเองใหร้ ะลกึ
รู้ถงึ ศกั ยภาพท่ีซอ่ นอยภู่ ายในตัวเอง และจดุ ออ่ นทเี่ ป็นปัญหาตอ่ ตนเองและผ้อู ืน่ มกี ารแจกแจงแยกย่อยให้
ครอบคลมุ ค�ำสำ� คัญของ SWOT น้นั ประเด็นคอื การวเิ คราะห์ตนเองตอ้ งประเมินอย่างเป็นจรงิ ตามข้อเทจ็ จริง
เพราะจะช่วยให้มองเห็นทางออกของตนเองได้

164 วธิ คี ิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สูง

สังคมวัฒนธรรมโลกปจั จบุ นั มีความสลับซ้อน มคี วามวุน่ วายในทุกเรือ่ งและมคี วามอ่อนไหวและเปราะบาง
ทางความรสู้ ึกนึกคิดของผคู้ นในทกุ ระดับ ซึง่ การจะถอดหาความร้คู วามจริงในหลายกรณี จะอาศยั ขอ้ มูลจำ� เพาะ
เทา่ ท่ีรับรแู้ ละมองเห็นได้ จงึ ไม่พอเพยี งต่อการทำ� ความเข้าใจเข้าถึงสื่อส่งิ นน้ั สังคมวัฒนธรรมนน้ั หรอื ความเป็น
เพศสภาพของกลุ่มประชาคมทมี่ ีความเปน็ ตัวตน มีชวี ิตและเคลอื่ นไหวอยู่
การมีกลยุทธ์ทางความคิด จะช่วยในการมองเห็นถึงความสัมพันธข์ องเหตปุ ัจจัยเหล่าน้นั ไดร้ อบดา้ น
อยา่ งมีหลักและระบบ ด้วยการสรา้ งความมสี ว่ นรว่ ม การมีปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งกนั จนน�ำไปสูก่ ารคาดการณ ์
การพยากรณ์ถึงความนา่ จะเป็น และเป็นไปได้ของเรอ่ื งเหล่านน้ั ปัญหาเหลา่ น้นั วา่ ควรจะดำ� เนินการออกแบบ
ภาพ และสร้างสรรคศ์ ลิ ปะตอ่ ไปอยา่ งไร การวิเคราะห์ SWOT นค้ี ลา้ ยเปน็ เคร่ืองมอื เพือ่ ชว่ ยใหเ้ ห็นถงึ ทางออก
ของปัญหาและเป้าหมายทด่ี ี แบบมีหลกั การรองรบั จากบริบทความจริงรอบดา้ น
ทดลองหาแนวทางและเปา้ หมายการส่งเสริมศลิ ปะจิตรกรรมไทย สู่โลกจากการวเิ คราะห์ SWOT ใน
เบือ้ งต้นดังนี้

วธิ คี ดิ ทางศิลปะออกแบบขั้นสูง 165

การวางแผน (Planning) ศิลปะออกแบบเรอ่ื งของการวางแผน ถือวา่ เปน็ กลยทุ ธ์ส�ำคญั อกี สว่ นหน่งึ
เพอื่ ชว่ ยใหม้ องเห็นภาพการด�ำเนินงาน และการปฏิบตั กิ ารทจี่ ะมงุ่ ไปส่เู ปา้ หมายร่วมกัน ซ่ึงการวางแผนใน
ความหมายนั้นมที ง้ั ระยะยาว (Long Term) ระยะกลาง (Middle Term) และระยะส้ัน (Shot Term)
เปน็ การกำ� หนดระยะเวลา ไปตามขนาดและปรมิ าณของเนื้องานวา่ มีมากนอ้ ยเพยี งใด ตอ้ งจัดสรรคน เงนิ
วสั ดุอุปกรณ์ และจดั การให้พอเหมาะไดอ้ ยา่ งไรเป็นตน้ (หลกั การ ๔ M คือ MAN MONEY MATERIAL และ
MANAGEMENT)
การวางแผนในมติ ิของนักออกแบบและศลิ ปนิ ปจั จุบนั นับไดว้ ่าเป็นเครอื่ งมืออนั ทรงประสทิ ธิภาพเพือ่ ช่วย
ให้สามารถจดั การวางแผน ๔ M ใหไ้ ปถงึ เป้าหมายไดเ้ ปน็ อย่างด ี และชว่ ยอดุ ช่องว่างของความเป็นปจั เจก
ลกั ษณ ์ (Individual Quality) ของทมี งานได้ เน่ืองจากภายในการวางแผนแตล่ ะครั้ง มันจะถูกบรรจุขอ้ สรปุ
ความคิดดีๆ และสร้างสรรค์พร้อมไปกับการคิดอย่างมีแบบแผน เพอื่ หาทางออกในปัญหาอนั ซับซ้อนของ การคดิ
วเิ คราะห์และการใช้เหตผุ ลอยา่ งมอื อาชีพ เพอ่ื นำ� องค์กรและโครงการไปสู่เป้าหมายท่ีตอ้ งการรว่ มกนั

ตัวอยา่ ง :

การใชท้ ฤษฎี PDCA ของ ดบั เบิ้ลย ู เอ็ดเวริ ค์ เดมนิง่ (W. Edward & Deming)
มาปรับใชก้ บั การวางแผนและกระบวนการสร้างงานและการออกแบบต้ังแตต่ ้นทางถงึ ปลายทาง
สามารถแสดงให้เหน็ ถึงขั้นตอนการปฏบิ ัติการและร้วู า่ จะต้องท�ำอะไรบ้างอยใู่ นขน้ั ตอนไหน มเี วลา
มากนอ้ ยเพยี งใด จะปฏบิ ตั อิ ย่างไร มวี ิธกี ารควบคมุ แบบไหน เปน็ ต้น

วธิ ีคดิ ที่ดดี ว้ ยการวางแผนเปรยี บได้กับมีเข็มทศิ แผนทแี่ ละ GPS นำ� ทาง ช่วยอ�ำนวยความสะดวก
ในการคน้ หาเส้นทางลดั เสน้ ทางใหม่และเสน้ ทางทไ่ี มค่ นุ้ ชนิ โดยไม่ตอ้ งลองผิดลองถกู ซงึ่ เสียเวลาเสียพลังงานมาก
ย่งิ การใชว้ ิธีคิด แบบสหวทิ ยาการข้ามศาสตรส์ าขาทางศิลปะออกแบบ เน้นถึงกระบวนการศึกษาวิจยั ที่มคี วาม
เก่ียวโยงกนั จากเสน้ ทางของศาสตร์อย่างหลากหลายมาเบ้ืองตน้ ก่อน หลงั จากน้นั จึงน�ำมารวมกันเปน็ หนว่ ยใหม ่
ซง่ึ ทีม่ ามคี วามซับซ้อนของกระบวนการไดม้ าของส่ือสงิ่ มมี าก การใช้การวางแผนอยา่ งเป็นล�ำดบั ก่อนหลัง และ
ระดับของสอื่ ส่ิงไปตามเหตุผล จะช่วยให้การเรยี นร้กู ารวเิ คราะห ์ และการออกแบบมคี วามสะดวกและง่ายยงิ่ ขน้ึ
เช่นเดียวกับทางปฏบิ ัตสิ รา้ งสรรค์เชงิ วิชาการ และวจิ ัยศลิ ปะในระดับสงู กระบวนการศกึ ษาวิจยั เพื่อให้
ไดค้ วามรู้ใหม่น้นั ไมใ่ ช่การวาดภาพ การป้นั รปู ตามอารมณ ์ ตามจินตนาการ หรอื ตามใจทีฟ่ ุ้งฝนั เพ้อฝันไร้
เหตุผล และไรห้ ลักการทางปญั ญาความคดิ ซง่ึ นกั วิชาการในศาสตร์อ่ืนเข้าใจกนั แตค่ วามจริงแล้วการปฏบิ ัติ
สร้างสรรค์ศลิ ปะ มีกระบวนการท�ำงานเป็นระบอบระบบ มขี ัน้ ตอนและมกี ระบวนการเรมิ่ ต้น และกระบวนการ
ส้นิ สุดแบบต่อเนือ่ งกันไปเปน็ ลำ� ดับ การอาศัยการวางแผนการทำ� งานในระดบั สงู เชน่ ดุษฎีนิพนธ ์ (Dissertation)
ดว้ ยการก�ำหนดระยะเวลาการเรียนตลอดหลกั สตู ร ๓ ปี และรายละเอยี ดการพัฒนาของดุษฎีนพิ นธ ์ ไปตาม
การวางแผนการเรยี นรู้อย่างสอดคล้องกนั จนถงึ สอบจบสดุ ท้าย จะชว่ ยให้นักศึกษาสามารถก�ำหนดเป้าหมาย
และสาระของความรู้ความจรงิ ตามการดำ� เนินงานไดอ้ ย่างกระจา่ งมีความน่าเชอื่ ถอื

166 วิธคี ิดทางศิลปะออกแบบข้นั สงู

ตวั อยา่ ง : ความเป็นไปได้ในการวางแผนการระดบั ดุษฎนี ิพนธ์

๔.๔.๔ ร้วู ธิ วี ทิ ยาเช่อื มโยงความรู้ หลังจากมีวธิ คี ิดมคี วามรเู้ ป็นพื้นฐานเบอ้ื งตน้ แล้วตอ่ ไปต้องมี
“วิธีวิทยา” (Methodology) ในการใช้วิธคี ิดและความรูข้ ้างต้นเหลา่ นนั้ ด้วยวิธีวทิ ยาการเช่อื มโยงความคิด
น�ำไปใชใ้ นสถานการณท์ ีเ่ ปลย่ี นแปลงไป หรือมีความเคลอื่ นไหวอยเู่ ป็นลำ� ดับดว้ ยวธิ ีทางวิชาการ ในการอธิบาย
และบรรยายปรากฏการณห์ นึ่งๆ ซง่ึ วธิ ีวิทยามีความหมายเกี่ยวกบั วธิ กี ารคน้ หาทฤษฎีแหง่ ความรู้ (Epistemology)
ทางปรัชญาและการแสวงหาความจรงิ จากคำ� ถามตอ่ ไปนี้
- เขามองปญั หาน้อี ยา่ งไร
- มวี ธิ ีคดิ อย่างไร
- มีวธิ วี ิทยาในการจดั ระบบ

วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบข้ันสงู 167

จดั ความเชื่อมโยงเพ่อื ความเขา้ ใจอย่างไร
การคดิ อย่างเป็นระบบ (Systematized Thinking) หมายถึงการคดิ เร่อื งใดอย่างครบระบบ มีระบบ
ระเบยี บ เชอ่ื มโยงเป็นเหตุผล ตอ่ เนอื่ งเปน็ ขน้ั ตอนครบถว้ นกระบวนการ และจะได้ค�ำตอบทส่ี มบูรณ์ กล่าวได้ว่า
การคดิ แบบนีเ้ ปน็ การคิดอย่าง “รอบคอบ” และเป็นไปอยา่ งพินิจพิเคราะห ์ เคล่ือนไปครบระบบในแตล่ ะขั้น
จนครบกระบวนการ สามารถมองเห็นสว่ นประกอบหลกั องค์ประกอบและปจั จัยเงื่อนไขเก่ียวข้องเป็นต้น
การคิดอย่างเปน็ ระบบมคี วามนา่ เชื่อถอื และยอมรับไดน้ น้ั ตอ้ งคดิ อย่างเป็นกระบวนการ (Processing)
เช่น “Pre production” “Production” และ “Post Production” แสดงโครงรา่ งทางความคดิ กระจา่ งชดั
และมีการมองแบบ องค์รวม มองเหน็ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างกนั เหมอื นกบั การมองเหน็ ช้างท้งั ตวั มองเห็น
องคาพยพของช้างในแต่ละส่วนทั้งหมด โดยการคดิ อยา่ งมีระบบมีวิธวี ทิ ยาเกยี่ วขอ้ งกบั ประเด็นตอ่ ไปนี้คอื
๑. การคิดเชงิ ปรัชญาศิลปะ (Art Philosophical Thinking) หมายถงึ การคดิ อยา่ งลึกซง้ึ เพ่อื เขา้ ถึงแก่น
สารหรือสารตั ถะของความรู้ความจริงทางศิลปะ ทัง้ ทจ่ี บั ตอ้ งไดแ้ ละจบั ตอ้ งไม่ได ้ ท้ังทางตรงและทางออ้ มและ
ความหมายแฝงประกอบร่วมกันไป มีหลักการแนวทางหรอื อดุ มการณ์สร้างงานคือทม่ี าของปรชั ญาศลิ ปะ
ธรรมชาตขิ องปรชั ญาศลิ ปะไม่มีระบบตายตวั จะเป็นไปตามปรชั ญาของแต่ละบคุ คล เปน็ ปฏิกริ ิยาทางความคดิ
ตอ่ ปญั ญาทีเ่ กดิ ข้นึ เฉพาะหน้า ของนักปรชั ญาแตล่ ะคน โดยกลา่ วอ้างถึงความเป็นปรัชญาส�ำหรบั คนอืน่ ด้วย
เพ่ือน�ำไปสู่ความเข้าใจสอ่ื ส่งิ ใหมๆ่ เกยี่ วกบั วิถขี องมนุษย ์ เชน่ เดยี วกับศิลปะคือการปฏบิ ตั สิ รา้ งสรรค ์ เพ่ือเสนอ
แนวทางใหมข่ องความเปน็ อยขู่ องมนษุ ย์ เทียบเคียงได้กับ “ปรชั ญาเป็นการแสวงหา” “ศลิ ปะเปน็ การแสดงออก
ตวั วิธีอยา่ งแนบเนียน” หรือ “ความสนใจร้บู อ่ เกิดปรัชญา” “ความสนใจเสวยอารมณ์เปน็ บอ่ เกดิ ศิลปะ” ดังนน้ั
ปรัชญา + ศิลปะ จึงมีความสัมพันธ์กนั อยา่ งใกลช้ ิด สามารถแบง่ ออกได้เปน็ ๒ ภาคดังน้ี
(๑.๑) ปรชั ญาวา่ ดว้ ยศลิ ปะ (Philosophy of Art) หรือ “ปรัชญาศิลปะ” คอื ความร้ถู ึง
หลกั การหรอื แนวคดิ แนวทางของศลิ ปนิ ผปู้ ฏิบัตสิ รา้ งสรรคท์ ุกสาขาต้องน�ำมาใช ้ เพื่อเป็นแนวปฏิบัตสิ รา้ งสรรค์
สว่ นตน และตระหนกั ถึงการน�ำสนุ ทรยี ศาสตรม์ าช่วยในการศกึ ษา และปฏิบตั ิสรา้ งสรรคศ์ ิลปะ ปญั หาของภาคน้ี
เกย่ี วขอ้ งอยู่กบั เรอ่ื งของสุนทรียธาตุเชน่ ว่า มจี ริงหรือไม ่ เกดิ ขึ้นไดอ้ ย่างไร แสดงออกอย่างไร ความงามคือ
อะไร เป็นตน้
(๑.๒) ปรัชญาในศิลปะ (Philosophy in Art ) หมายถึงความคดิ ปรชั ญาทปี่ รากฏอยูใ่ นศลิ ปะ
ต่างๆ ทางทัศนศิลป์ ดรุ ยิ างคศลิ ป ์ ศิลปะการแสดง ศิลปะผสม (ลลี าศ ภาพยนตร์) เปน็ ต้น การสรา้ งสรรค์
ศิลปะของศลิ ปนิ ในแตล่ ะกาลเทศะและรปู แบบจะมีความเชือ่ ปรชั ญาบริสุทธป์ิ ระจำ� ใจ และจะปรากฏออกมา
ในผลงานสรา้ งสรรค์ของเขา ไมว่ า่ เขาจะจงใจหรือไมก่ ็ตาม เชน่ สังคม จิตวทิ ยา อุดมการณ์ เป็น “แง่ปรชั ญา”
แฝงอย่ดู ้วย
ศลิ ปินเปน็ ผู้มีสถานภาพเชิงซ้อนคอื เปน็ ศลิ ปนิ ผสู้ รา้ งศิลปะส่วนหน่ึง และนักปรชั ญาทส่ี ะทอ้ นปรัชญา
ทางความงาม ความคิด การสรา้ งศิลปะนน้ั ออกมา ใหเ้ ขา้ ใจไดอ้ ีกสว่ นหนึง่ ศลิ ปินทุกคนสามารถสรา้ งปรชั ญา
ศิลปะของตนเองได้ ศิลปินนักออกแบบทีฝ่ กึ ฝนมาอย่างเข้มขน้ ทางดา้ นปรัชญา และทฤษฎศี ลิ ปะ จะทำ� ให้เขา
มีความเฉียบคมทางความคิด ฝมี อื และสายตาในการสรา้ งสรรค์ กล่าวได้วา่ ศลิ ปนิ ใช้ศลิ ปะเปน็ สอ่ื ปรชั ญา
เชน่ เดยี วกับนักปรัชญาใช้วรรณกรรมปรชั ญา เปน็ สื่อเสนอปรชั ญาของตน

168 วธิ คี ิดทางศิลปะออกแบบขัน้ สูง

“ภาพซอ้ นของปรชั ญาศลิ ปินและศิลปะ”

ศิลปะท่ีศลิ ปินใช้ส่อื ปรัชญา จะมวี ธิ วี ิทยาของวิธคี ดิ กระบวนการและความเชอ่ื มโยงกัน อย่างมคี วาม
สมเหตสุ มผลของความรู้หรอื ทฤษฎคี วามร ู้ (Theory of Knowledge) เพ่ือน�ำมาสอบสวน คน้ หาและตอบ
ปัญหาถงึ ความเปน็ ไปได้ของสุนทรยี ภาพ โดยหลักการแสวงหาความรู้ สำ� หรับสุนทรยี ภาพทางทฤษฎีความรู้
มอี ยมู่ าก ส่วนท่ไี ดร้ บั ความนิยมทฤษฎหี นึ่งคือ ทฤษฎปี ระสบการณน์ ิยม (Empiricism) เปน็ ความรู้ผา่ น
ประสาทสัมผสั ดว้ ยการลงมอื ท�ำ ลงมอื ปฏิบัตจิ นได้ค่าทางศิลปะตามต้องการ
การเรยี นรจู้ ากการปฏบิ ัตติ ามนยั ความนีจ้ ะเกี่ยวข้องกับวิธีวทิ ยา หรือการคน้ หาทฤษฎีความรทู้ างปรัชญา
และการแสวงหาความจริงทางศิลปะเพือ่ การบรรยาย อธิบายปรากฏการณ์และการใช้เหตุผลในการท�ำความเขา้ ใจ
เรือ่ งราวต่างๆ มีการแบง่ ระดับของความจริง การพิสจู น์ทดสอบความเป็นสากลจากความเปน็ ทฤษฎไี ดแ้ ก่
ทฤษฎีหลัก (Grand Theory) ในทางศลิ ปะ จะอยูใ่ นทฤษฎรี ะดบั กลางและทฤษฎีรากฐาน เนือ่ งจากการ
ตรวจสอบพสิ จู น์ความจรงิ ยงั ไมเ่ ป็นสากล มีความถูกตอ้ งแมน่ ย�ำไมค่ รอบคลุม ใชไ้ ดเ้ ฉพาะด้านและบางกลุ่ม

วธิ คี ิดทางศลิ ปะออกแบบขน้ั สูง 169

การก�ำหนดทฤษฎีหรือหลักการ เพ่อื ช่วยให้เขา้ ใจแก่นสารหรือหลักปฏิบัต ิ เป็นการกำ� หนดเปา้ หมายทาง
สนุ ทรียศาสตรแ์ ละสุนทรยี ภาพ ใหส้ อดคลอ้ งเช่อื มโยงกับสำ� นกั ปรัชญาศลิ ปะทัง้ หลาย และนำ� มาประยุกตใ์ ช้ให้
เหมาะสมกับหลกั การปรชั ญาของกลมุ่ หรือทฤษฎีความรูอ้ ันเป็นสาระส�ำคัญเช่นทฤษฎีการลอกเลยี นแบบธรรมชาต ิ
(Imitation Theory) ทฤษฎกี ารแสดงออก (Emotion Alistic Theory) ทฤษฎีรูปทรงนยิ ม (Formistic Theory)
ยุคหลังสมัยใหมน่ ยิ มตอ่ มา มคี วามคดิ ยอ้ นแยง้ กบั หลกั ทฤษฎสี มยั ใหมน่ ยิ มเดมิ มองวา่ ทฤษฎีไม่ใช่คำ� ตอบ
สำ� เร็จรปู อีกตอ่ ไปและไม่เป็นสากล หากแตม่ ลี ักษณะการเสริมวิธีคิด เสริมมมุ มอง หรอื เสรมิ ความเขา้ ใจ
ค�ำตอบเป็นเรอื่ งของเรา สาระส�ำคญั ขึ้นอย่กู ับเรา และเรามวี ธิ ีคดิ และมมุ มอง ในการสร้างความเข้าใจ
เหลา่ น้ันหรือไม่ ประเดน็ คือการคิดเชิงปรชั ญาศิลปะแบบไมม่ ีวธิ ีคิด ผลทีเ่ กดิ ขึน้ จะเป็นไดเ้ พียงชา่ งเทคนิค
ช่างฝมี อื และทกั ษะพิสยั ทางศิลปะ ดว้ ยเหตุวา่ มีความคิดวธิ คี ิดไม่ลึกซงึ้ มคี วามต้ืนเขนิ ผลทีไ่ ดจ้ ึงดูพนื้ ๆ ไม่น่า
สนใจ
มอรสิ ไวทซ์ (Moris Veitch) แสดงทฤษฎคี วามรูท้ างปรัชญาศลิ ปะสมยั ใหมย่ คุ หลัง ไวอ้ ยา่ งน่าสนใจ
คือ หนา้ ที่ของทฤษฎไี ม่ใช่การพฒั นาไปสทู่ ฤษฎอี ยา่ งสมบูรณ์ทสี่ ุด แต่ช่วยให้เกิดความเข้าใจในธรรมชาตศิ ลิ ปะ
อย่างละเอียดทสี่ ุด ไม่ใช่การหาคำ� นิยามทแี่ ทจ้ ริง แต่เปน็ การหาคุณสมบตั ทิ ่ีจำ� เปน็ ของงานส่วนใหญ ่ และอาจไม่
พบในงานทกุ ชิน้ กับทง้ั ถา้ ไม่ถามว่า “ศิลปะคอื อะไร” หรอื นิยามท่ีสมบูรณท์ ส่ี ดุ ของศิลปะคอื อะไร แล้วตั้ง
ค�ำถามใหม่วา่ “อะไรคอื ธรรมชาติของศลิ ปะ” นค่ี ือคำ� ถามท่สี น้ั แตต่ อ้ งการคำ� ตอบยาวมาก
(๒) การคดิ เชงิ สารตั ถะศิลปะ (Art Essence Thinking) หมายถงึ การคิดเพอ่ื ให้เข้าถึงสาระ แก่น
หรือสารตั ถะส�ำคญั และความหมายท่แี ท้จรงิ ของส่อื สงิ่ เหล่านนั้ ทด่ี �ำรงอยอู่ ยา่ งไมเ่ ปลี่ยนแปลง เม่อื พจิ ารณา
จาก รูปนอกจะไมส่ ามารถเข้าใจและรับรถู้ ึงความเป็นสือ่ สงิ่ เฉพาะมีความแตกต่างจากสอ่ื สิ่งอน่ื อย่างใด เม่อื มีการ
ลอกเปลือกข้างนอกออก ย่งิ ลอกลงลกึ ไปมากเท่าใดก็จะมองเหน็ เนอื้ แท้ท่เี ป็นแกน่ ปรากฏอยู่ภายใน ถงึ ความเปน็
จรงิ ทซี่ ่อนอยู่หรอื แสดงอยขู่ า้ งในสอ่ื สิง่ น้ัน การคดิ เชิงสารัตถะจึงเป็นการแสวงหาความหมายท่แี ท้จรงิ ของสอ่ื สิ่ง
ตา่ งๆ เช่น ความหมายเบื้องหลงั ของขนบธรรมเนียมประเพณี วฒั นธรรม ค�ำพูด และการแสดงออก การอาศัย
การถอดร้อื รือ้ สร้าง (Deconstruction) และการลอกเปลือกของรูปลักษณะภายนอกออกกอ่ น ด้วยวิธกี ารหน่ึง
วิธีการใด จึงจะสามารถเขา้ ถึงสาระความหมายของความเป็นแกน่ ท่ีแอบแฝงอยูภ่ ายในหรอื เบ้ืองหลังได้
การท�ำความเข้าใจคน สังคมและวัฒนธรรมการคดิ พจิ ารณาจากการรับร้เู ท่าทีเ่ หน็ เท่าทไ่ี ดย้ นิ ได้ฟงั
ในเบื้องแรกแลว้ ด่วนประเมินตัดสินโดยทันที ย่อมจะเกดิ ความคลาดเคลอื่ นไดง้ า่ ย เหตเุ พราะขาดความรอบคอบ
และมองสรรพสิ่งและปรากฏการณ์ท่เี คลือ่ นไหวเปลย่ี นแปลง อยา่ งทม่ี นั ควรจะเปน็ หรอื ทมี่ ันเป็นวา่ มันมเี งอ่ื นไข
ปจั จัยอ่ืนใด ทสี่ ง่ ผลมายงั สงั คมวฒั นธรรมทางทัศนใ์ หม ่ การผลิตวาทกรรมด้วยค�ำอธิบายชดุ ใหม่ เปน็ ต้น

170 วธิ คี ิดทางศิลปะออกแบบขัน้ สูง

แนวทางการแสวงหาสารตั ถะทางศลิ ปะให้เกิดผลนนั้ ตอ้ งอาศยั การคดิ อย่างลกึ ซงึ้ จึงจะเข้าถงึ แก่นของ
ความรู้ความจริงได ้ อนั เปน็ องค์ประกอบส�ำคญั ของนักปรัชญาศิลปะ หากไม่เชน่ นนั้ จะกลายเป็นช่างเทคนคิ การ
คดิ มกี ารคดิ ตืน้ เขิน ซ่งึ จะน�ำความบกพร่องผดิ พลาดมาสู่การศึกษาวิจัยได้ ดงั นน้ั จงึ ควรมหี ลกั คิดเพื่อเปน็ แนวทาง
แสวงหาสารตั ถะทางศลิ ปะบางประเด็นดังน้ี
- การจัดหมวดหม ู่ (Categorizing)
- การแยกแยะส่วนเฉพาะกับส่วนท่ัวไป (Particularization VS Generalization)
- การเช่ือมโยงนามธรรมกับรปู ธรรม (Abstractization VS Concretization)
- การแยกแยะเร่อื งเจาะจงกับเร่ืองสากล (Specification VS Universalization)
- การแยกแยะสัมพันธ์กับสัมบรู ณ ์ (Relativization VS Absolutization)
- การแยกแยะรูปแบบกบั สาระ (Form VS Substance)
- การแยกแยะเง่อื นไขจ�ำเป็นกับเง่ือนไขพอเพียง (Necessary Condition VS Sufficient Condition)

ตามตวั อยา่ งบางส่วน :

วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบข้นั สูง 171

การใหเ้ หตผุ ลของความคิดเชงิ ปรัชญาศลิ ปะ ใหถ้ ึงสารัตถะตามหลกั ขา้ งต้น ต้องมคี วามเขา้ ใจหลกั การ
การเข้ารหัส (Encoding) เพอื่ ชว่ ยใหส้ ญั ลักษณท์ ี่ใชม้ ีความกระจ่างชัดข้นึ และเพือ่ แปลงขอ้ มูลไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้
และการถอดรหสั (Decoding) การดึงออกจากสัญลักษณ์ในสัญญาณสอ่ื สารข้อมูลต่างๆ เปน็ ต้น โดยเฉพาะโลก
ยุคใหม่ เร่อื งสอ่ื ใหม่ และสารสนเทศลว้ นมอี ิทธพิ ลตอ่ วถิ ีมนษุ ยใ์ นทกุ กรณี ผ่านภาษาการสอื่ สารทางเทคโนโลยี
ตา่ งๆ กนั ไป การจะเขา้ ถงึ แกน่ จากส่ือสิ่งท่มี ีความเคลือ่ นไหว มีก�ำลังพลงั และบางส่วนไมแ่ สดงลกั ษณ ์ การจะ
เข้าใจไดถ้ งึ แกน่ สารของมนั จงึ ต้องอาศยั การเข้ารหสั และถอดรหัส เป็นเครอื่ งมอื เข้าช่วย เพ่ือเปิดสญั ญาณเชงิ นยั
ของรหัสออกมาให้ประจักษ์
พร้อมไปกับหลกั การ อนั สืบเน่ืองมาจากการรบั วฒั นธรรม มาจากภายนอกเป็นวฒั นธรรมใหม่ หรือ
วฒั นธรรมยืมอันเปน็ อิทธพิ ลตอ่ วัฒนธรรมพนื้ บ้าน ให้เกิดความคดิ ทเี่ ปล่ียนไป มคี วามคดิ แบบกา้ วหนา้ มากย่ิงขนึ้
ด้วยการปรบั เปล่ยี นสือ่ สงิ่ แบบเดมิ ๆ จนเป็นทยี่ อมรับของทอ้ งถนิ่ หรือภมู ิภาค การเข้าถงึ วัฒนธรรมด้วยหลกั การ
ออกแบบสัญศาสตรท์ างศลิ ปวฒั นธรรมของเจมส์ คริฟฟอรค์ จะเป็นเคร่ืองมือท่ชี ่วยให้เขา้ ถึงแก่นสารของข้อมลู
ทีแ่ ฝงอยเู่ บอื้ งหลังและบางส่วนก็เป็นรากของวฒั นธรรมสว่ นกลางและวฒั นธรรมส่วนทอ้ งถ่นิ ทางศิลปะออกแบบ
ควบคูก่ ันไป
(๓) การคดิ เชิงทฤษฎี การคิดจากความร้ทู ฤษฎศี ลิ ปะออกแบบหรอื ทฤษฎีเกี่ยวเนอื่ งจากศาสตร์อืน่ ใด
ลว้ นเปน็ ตัวกำ� หนดโครงสรา้ งความร ู้ ของการศกึ ษาวิจัยอยู่เบื้องหลัง ทง้ั ภาคการออกแบบสร้างสรรค์ และภาค
การรับร้ ู การตัดสนิ คณุ ค่าทางศลิ ปะ จากความร้เู บือ้ งหลงั นี้ เปน็ จุดรวมของความคดิ หรอื การรแู้ จ้ง แทงตลอด
อย่างรทู้ ันและรู้ถึง (Instantive Knowing) แสดงใหเ้ หน็ การน�ำแนวคิด มาเป็นทฤษฎไี ด้ ซง่ึ การพฒั นาเชงิ
ความคิดแล้วน�ำมาใช้เปน็ หลกั การและหลกั วิชา จนน�ำไปสูท่ ฤษฎีสามารถนำ� ไปใช้ได้เปน็ รูปธรรมจริงไดแ้ ก่ ทฤษฎี
การเลยี นแบบนิยม (Imitationalistic Theory) ทฤษฎรี ปู ทรงนยิ ม (Formistic Theory) ทฤษฎอี ารมณน์ ิยม
(Emotionalistic Theory) และทฤษฎคี �ำนวณทางจนิ ตนาการ (Calculative Imagination Theory)
(ตารางที่ ๕)
โดยเฉพาะทฤษฎีคำ� นวณทางจินตนาการจะเกย่ี วข้องกับศิลปวัฒนธรรมตะวนั ออกดว้ ยศิลปนยิ มสัญลกั ษณ์
ท่ีมาจากรากฐานวฒั นธรรมพราหมณ์และพุทธ มีลักษณะเฉพาะแตกตา่ งจากศิลปะแบบอื่นตามทก่ี ล่าวมาแล้วใน
บทท่ี ๓ ความมลี กั ษณะเฉพาะของศิลปะตะวันออก เกิดขน้ึ จากการสงั เคราะหท์ างความคิด ความรู้สกึ ทางสมอง
ด้วยการอาศยั กำ� ลงั พลังของจินตนาการ ใหม้ ปี ฏิสนธสิ ภาวะหรอื เง่อื นไขของรูปนามให้บังเกิดข้ึน (จิตชอบ-ใจรสู้ กึ )
และอาศยั การค�ำนวณเชิงจินตนาการผา่ นอดุ มคติลงมาสู่ ชีวติ และผลงานสรา้ งสรรคท์ างศลิ ปะออกแบบ

172 วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบขน้ั สูง

โดยเฉพาะทฤษฎคี �ำนวณทางจนิ ตนาการจะเก่ยี วขอ้ งกบั ศิลปวฒั นธรรมตะวนั ออก ดว้ ยศิลปนยิ ม
สัญลกั ษณ์ทีม่ าจากรากฐานวัฒนธรรมพราหมณ์และพุทธ มลี กั ษณะเฉพาะแตกตา่ งจากศิลปะแบบอน่ื ตามท ี่
กลา่ วมาแล้วในบทท ่ี ๓ ความมีลักษณะเฉพาะของศลิ ปะตะวันออก เกิดขนึ้ จากการสงั เคราะหท์ างความคดิ
ความรสู้ ึกทางสมอง ด้วยการอาศัยก�ำลงั พลังของจนิ ตนาการ ใหม้ ปี ฏิสนธสิ ภาวะหรอื เงอื่ นไขของรูปนามให้
บงั เกดิ ขน้ึ (จิตชอบ - ใจรู้สกึ ) และอาศัยการค�ำนวณเชงิ จนิ ตนาการผ่านอดุ มคตลิ งมาส ู่ ชวี ิตและผลงาน
สร้างสรรค์ทางศลิ ปะออกแบบ
ทฤษฎีตามความหมายน้ี “ศลิ ปะคอื การแสดงออกสะท้อนถึงอดุ มคติทางสนุ ทรีย” เป็นจักรวาลทาง
อดุ มคติตามข้อก�ำหนด และขอบขา่ ยมิติของศลิ ปะตะวนั ออก ซึ่งมีอิทธิพลตอ่ การสร้างสรรค์ในศิลปวัฒนธรรมไทย
มาเป็นลำ� ดับ จนไดพ้ ฒั นาแบบอย่างให้มีลักษณะไทยเองตอ่ มา โดยยังคงยดึ ถือแบบแผนของทฤษฎีเดิมไดแ้ ก่
รปู ปรากฏเปน็ นมิ ิตภายนอก สัญลกั ษณ์ภายนอกจะน�ำไปสูเ่ น้ือหาสาระความคิดเชงิ จนิ ตนาการภายใน รปู แบบ
ไรม้ ิติตนื้ ลกึ กาลเวลาไมเ่ น้นจดุ สนใจเฉพาะที่ แตไ่ ดส้ ร้างจินตลกั ษณ์ (Mental image) ต่อภาพความจรงิ ลวง
จากความลึกต้ืนเป็นตน้
การคดิ เชงิ ทฤษฎที างศิลปะออกแบบปจั จบุ นั มที ฤษฎแี ละหลกั วชิ าทสี่ ามารถน�ำมาใช้สร้างหลักของ
ความรู้เบื้องหลงั ให้กับการศึกษาวจิ ยั และสรา้ งสรรค์ไดม้ าก ตามทรี่ ะบุไว้เก่ียวกบั ทฤษฎีการลดทอน ทฤษฎีเกสตลั ท์
และยงั มที ฤษฎกี ารสรา้ งความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) สร้างสรรค์นยิ มทใ่ี ห้สาระความจริงในความ
เก่ียวขอ้ งกบั จติ ใจแบบหลากหลายทางด้านสังคม และประสบการณ์เฉพาะทีแ่ ละเฉพาะทาง ซง่ึ มีอสิ ระในดา้ น
รปู แบบและเน้ือหา ทย่ี ึดโยงอยู่กับผสู้ รา้ งสรรคแ์ ตล่ ะคนเปน็ เกณฑ์
โดยเฉพาะทฤษฎแี บบ “Related Art” หรือ “ศลิ ปะเชงิ สัมพันธ”์ ระหวา่ งคนพนื้ ที่และกจิ กรรมใน
แต่ละช่วงเวลา เน้นปรากฏการณข์ องความมีอยู่ และเป็นไปตามสภาวะการณแ์ ละการมีปฏสิ มั พันธข์ องผคู้ นที่
เขา้ ไปมสี ่วนรว่ มกับโครงการทางศลิ ปะนั้น อย่างเป็นธรรมชาต ิ ไมว่ า่ จะเป็นภายในวัดภายในป่า หรอื พ้ืนท ่ี
ชายขอบของดินแดนรัฐชาตเิ ปน็ ตน้
การคิดสรา้ งทฤษฎีในบางกรณี อาจเรมิ่ ตน้ จากการสังเคราะห์ผลงานวิจัยหรอื งานสรา้ งสรรค์ที่มผี ทู้ ำ� ไวแ้ ล้ว
เชน่ ขอ้ มูลทางศิลปวัฒนธรรม เหตกุ ารณ์ท่ีผ้เู ขยี นได้รวบรวมไวแ้ ล้ว มาสร้างเปน็ ทฤษฎีใหม่ทไี่ ม่เคยมใี ครทำ� มากอ่ น
เป็นหลกั คดิ ทไ่ี ด้จากการถักทอ ผสมผสานขอ้ มูลจากคนอน่ื น�ำมาเชอ่ื มโยงเหตผุ ลและจดั เรยี งในรปู ลกั ษณ์ใหม่
หรอื ผลกึ ความคดิ ใหมข่ น้ึ แนวทางจากหลกั คดิ น ี้ คาดวา่ จะเปน็ ทางออกของการสร้างสรรคศ์ ิลปะใหม่ในอนาคต
เพิ่มขึ้น

วธิ ีคดิ ทางศิลปะออกแบบขั้นสูง 173

สรปุ

วิธีคดิ ทางศิลปะออกแบบสูโ่ ลกใหม่ การเร่มิ ตน้ แสวงหาต้องมคี วามรอบคอบ และพลังดว้ ยการต้งั หลกั คดิ
กระบวนการคิดใหเ้ หมาะสมและเป็นไปตามแกน่ ของความรู้ ความจรงิ เหลียวหน้าและหลังด้วยการต้งั หลักคิด
ทางศลิ ปะออกแบบในปจั จบุ ัน หลักคิดสำ� คญั คือ การมองความคดิ ความรูท้ างปรชั ญา ศาสนา และศิลป
วฒั นธรรมของโลก จะมีความเจริญรงุ่ เรืองค่ขู นานกนั ไป ระหวา่ งตะวันตกและตะวันออก ไมเ่ ปน็ แบบเส้นตัง้
โดยมีตะวนั ตกเปน็ ศนู ยก์ ลางตามที่เคยยดึ ถือกนั มา การจะคดิ การณ์สิ่งใดทางศลิ ปะออกแบบเพอื่ โลกใหมน่ ้ีตอ่ ไป
ทั้งแบบมีรากและไร้รากทางวัฒนธรรม จ�ำเปน็ ต้องทำ� ความเข้าใจบริบท และเงือ่ นไขของโครงการและงานให้
รอบคอบเสยี ก่อน และมีความตระหนกั ว่าวชิ าความร้ขู องศาสตรแ์ ต่ละสาขามคี วามเป็นสหวิทยาการและสหสาขา
วชิ าทีส่ รา้ งข้นึ จากการบูรณาการ การประกอบสรา้ งจากความเปน็ สหจากหลายส่ือส่ิง การคดิ สร้างศลิ ปะออกแบบ
จึงต้องคิดวิธกี ารขยบั ปรบั เปลีย่ นหรือหาความยืดหยนุ่ ในการแสวงหาความเป็นไปได้ในแนวทางต่างๆ กนั เพ่ือน�ำ
ศิลปะการออกแบบได้มกี ารพฒั นาร้คู ดิ ตอ่ คดิ ตา่ งแบบกา้ วหน้าสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นตอ่ ราก หรือต่อยอด เพ่อื
สรา้ งภาพต่อใหม่พร้อมๆ ไปกับการระดมความคิด การทบทวนเอกสารส่อื สิง่ และการตคี วามเพ่อื นำ� มาส่สู าระ
ที่มองเหน็ ไดร้ บั รู้ได้ กบั ส่อื สงิ่ ความนัยท่ีแฝงอยอู่ ยา่ งไร้รปู และทา้ ยสดุ ส�ำหรับศลิ ปนิ และนกั ออกแบบต้องปลูกฝัง
เรียนรู้กค็ อื การคิดอย่างมกี ลยทุ ธท์ ่จี ะชว่ ยให้เขา้ ใจปญั หาไดอ้ ย่างรอบด้าน จนสามารถหาทางออกกับเรอ่ื ง
เหล่าน้นั คลา้ ยการพยากรณห์ รือคาดการณ์งานและแผนงานว่าควรจะไปทางใด ไมต่ อ้ งลองผิดลองถูกหรอื ผจญภยั
กับการทำ� งานโดยตลอด โดยมีวิธีวิทยาช่วยเชือ่ มโยงความคิด ความรใู้ หก้ ระจ่างชัดข้ึน ได้แก ่ ทางปรัชญา
ความคิดสารัตถะ และการคิดเชิงทฤษฎีในมิตมิ มุ มองใหม ่ ทสี่ อดคล้องและมีปฏิสมั พนั ธ์ไปกับผคู้ นกาลเทศะ
อย่างมคี วามหมาย



บทที่ ๕

การวเิ คราะหก์ ับเคร่ืองมือช่วยพลังคดิ

ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั โลกเดิม “โลกเปรียบไดก้ บั ต�ำราเลม่ หน่งึ ” เป็นสอื่ สิง่ ทต่ี ้องอาศยั การอ่านการเรยี นร้จู าก
ภาษาลายลกั ษณ ์ เพอ่ื ช่วยใหเ้ ขา้ ใจสรรพส่ิงไดง้ ่ายชดั เจน ปจั จุบนั “โลกเปรยี บไดก้ ับภาพภาพหนง่ึ ” เปน็ ส่อื สงิ่ ทรี่ บั รู้
และมองเห็นไดจ้ ากวฒั นธรรมทางทศั น์ (Visual Culture) ผา่ นภาษาภาพจากสิ่งแวดลอ้ มสง่ิ ปลกู สร้างรอบตวั จาก
เคร่ืองหมาย สญั ลกั ษณ ์ Billboard และหรือผา่ นวัฒนธรรมจอภาพของ Smartphone Tablet ดว้ ยภาษาภาพ
เพ่ือการสอ่ื สารในโลกยุคใหม่
ภาพของโลกในความหมายใหมท่ างจิตภาพหรอื ความคดิ คอื โลกทเ่ี กิดข้นึ จากการนึกคดิ การเขา้ ใจและการ
ค้นคว้าได้ในฐานะของภาพภาพหน่ึง (The World Conceive and Grasped as Picture) เปน็ โลกจากการประกอบ
ผสมไปด้วยเคร่ืองหมาย สัญลักษณ ์ ภาพถ่ายและบรบิ ททางกาลเทศะ ในสังคมใหม่ทีม่ ีการทบั ซอ้ นกันอย่างย่งุ เหยิง
สบั สน และมคี วามท้าทายต่อการค้นหาความหมาย ในการศกึ ษาวเิ คราะห์วัฒนธรรมทางทัศน ์ ในรูปและความหมาย
ที่จบั ต้องได้และจบั ต้องไมไ่ ด้ ผ่านศัพท์ทางภาษาลายลกั ษณ์และภาพภาษาภาพลกั ษณ์ ให้เข้าถงึ แก่นของความจริงและ
ความรู้
๕.๑ การวิเคราะห์และรือ้ สรา้ งแก่นความรู้
การวิเคราะหท์ างศิลปะออกแบบโดยปกติ การจะเขา้ ถึงความร ู้ และความจรงิ ของสอ่ื สิง่ และของตวั มนั เอง
ไดอ้ ย่างกระจ่างในทุกมิติน้นั มีความเปน็ ไปได้ยาก เนือ่ งจากความจรงิ จากการรบั ร้ทู างการเหน็ กด็ ี การไดย้ ินกด็ ีลว้ นมี
การเคลื่อน การซ้อนกันของภาพตวั แทนทางความคดิ และมายาคติท่ีมีอยแู่ ล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรอ่ื งของคา่ นยิ ม ความเช่ือ
ความรู้สกึ นึกคดิ เป็นต้น การจะเข้าใจและเขา้ ถึงแก่นแหง่ สารัตถะจากสื่อส่ิงนั้นไดแ้ บบทเ่ี รยี กวา่ รูแ้ จง้ แทงตลอดหรือ
มองเห็นแบบทะลุปรโุ ปรง่ ได้ การพินจิ พจิ ารณาเราจะเอาเฉพาะส่ิงทม่ี องเห็นได้เพียงสว่ นเดียวคงจะไม่ได้ แต่ต้อง
วิเคราะหแ์ ละรอื้ สรา้ งทางภาษาความคิด (จติ ภาพ) และภาษาภาพนัน้ วา่ มันถูกกอ่ ความคิด หรือสร้างภาพแทน
ความคิดนั้นข้ึนมาได้อย่างไร โดยเฉพาะสาระทถี่ ูกซ้อนทับอยูแ่ ละเป็นปจั จยั ต่อการก่อรูปกอ่ ความของสื่อสิ่งนน้ั ให้รับรู้ได้
มนั เปน็ อยแู่ ละเป็นไปอยา่ งไร
๕.๑.๑ การวเิ คราะห ์ (Analysis) หมายถงึ ความหมายในการจำ� แนกแจกแจงองค์ประกอบต่างๆ
ของส่อื สิ่ง หรอื รูปความเรือ่ งใดเรอ่ื งหนงึ่ และหาความสมั พนั ธ์เชงิ เหตุผลระหวา่ งองคป์ ระกอบหลกั และองคป์ ระกอบ
รว่ มเหลา่ น้นั เพอ่ื ค้นหาสาเหตุทีแ่ ทจ้ ริงของสือ่ สง่ิ หรือรูปความทเ่ี กิดขนึ้ ดว้ ยการวเิ คราะห์เปน็ แนวทางบนหลักการวา่
“ส่อื ส่ิงท้งั หลาย มรี ปู และความหมายท่ีปรากฏข้ึนนน้ั ยอ่ มมที ี่มาและที่ไป มีเหตแุ ละมผี ล
และมอี งค์ประกอบหลกั และองค์ประกอบยอ่ ย ความหมายตรงและความหมายแฝงซ่อนอยู่
ภายใน ซึ่งรูปความหมายที่ปรากฏนนั้ มที ง้ั สิง่ ท่สี อดคล้องเชอ่ื มโยงกัน หรือตรงกันข้ามย้อนแยง้
กับสอ่ื สง่ิ และรูปความหมายทีป่ รากฏใหร้ ับรไู้ ด”้

การวิเคราะห์จะช่วยใหก้ ารทำ� ความเขา้ ใจเหตปุ ัจจยั ขา้ งต้น มีความกระจ่างขึ้น ไดร้ บั ร้ถู งึ ความเปน็ มาท่ผี ่านมา
และความเปน็ ไปขา้ งหน้า ถึงความรคู้ วามจรงิ เกี่ยวกบั สื่อสง่ิ นัน้ เรื่องนนั้ ในแงม่ มุ ตา่ งๆนอกเหนือจากส่งิ ท่ปี รากฏและ
รบั รูไ้ ดเ้ ชน่ ใคร (Who) ท�ำอะไร (What) ท่ไี หน (Where) เม่อื ไร (When) อย่างไร (How) เพราะเหตใุ ด ทำ� ไม
(Why) เทา่ นั้น แต่เป็นการวเิ คราะห์ท่ลี งลกึ ถงึ รากเหงา้ ของส่ือส่ิงน้ันเรื่องนน้ั และถงึ ตน้ ตอของเหตุปจั จยั ดงั กล่าว

176 วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขนั้ สูง

ความคดิ เชิงวิเคราะห์ทางศลิ ปะออกแบบข้นั สงู นั้น เป็นการคดิ วิเคราะห์จากข้อมูลทมี่ ีความลุม่ ลึก
มคี วามสลับซับซอ้ น มีเนอ้ื หาทางอารมณแ์ ละมคี วามเปน็ นามธรรมสงู จบั ตอ้ งได้ยาก ซงึ่ การวิเคราะห์แยกแยะ
จากขอ้ มลู จับต้องไม่ได้และไร้รูปเพื่อแสวงหาแกน่ สารในมมุ มองใหม ่ ไมว่ ่าจะเปน็ สุนทรียทางอดุ มคตไิ ทย
จติ วิญญาณไทยหรอื อุดมคตสิ ากล จึงเปน็ วธิ ีการวิเคราะห์ที่ตอ้ งอาศัยความรอบคอบ
อาศัยการคร่นุ คดิ พิจารณาอย่างพถิ พี ิถนั เพือ่ อธิบายรูปนัยและความนยั ถงึ สื่อสิ่งท่ีบง่ ชีถ้ ึงคุณสมบัตติ า่ งๆ
ได้แก่ “คา่ เฉพาะของมูลธาตุ ทัศนธาต”ุ แบบเฉพาะเจาะจงอันเป็นแก่นสารส�ำคญั ทบ่ี ่งบอกความไมเ่ หมอื นใคร
ความมีตัวตนกับจิตวิญญาณและ “หลกั การ Principle” อันเป็นไวยากรณ์ทางศลิ ปะออกแบบ บอกถึงการ
ประกอบสร้างในทว่ งทำ� นองต่างๆ ของรูปและความหมาย ท้ังท่เี ปน็ แบบสากลและแบบเฉพาะของบคุ คลและ
ท้องถ่ิน

ตารางที่ 8 ลักษณะขอ้ มลู สนุ ทรยี ทางอดุ มคตไิ ทย

วิธีคิดทางศลิ ปะออกแบบขัน้ สูง 177

การคดิ วิเคราะห์ จะช่วยให้การคดิ จินตนาการหรือการสร้างสรรค์ส่อื สิง่ ใหมท่ างศลิ ปะออกแบบ ลักษณะ
ไรร้ ูป และสะท้อนความเป็นอุดมคติอันลึกซึ้ง ให้มีความน่าจะเปน็ มากยงิ่ ขน้ึ มคี วามนา่ เชื่อถอื ของกระบวนการ
ไดม้ าของความรูค้ วามจริง ท่ผี า่ นการวิเคราะห์ตามหลักการและเหตุผลมาเป็นลำ� ดบั เร่มิ ตงั้ แตก่ ารศกึ ษาข้อมลู ดิบ
และสารสนเทศจากวรรณกรรม การสนทนา วัตถุ พื้นท่ีสงิ่ แวดล้อมในเบอ้ื งตน้ และตามดว้ ยจดั การขอ้ มลู
สารสนเทศหรอื ข้อมูลดิบ ให้เขา้ ใจง่ายใหอ้ ยู่ในรปู แบบของตาราง แผนภูมิ แผนภาพ และหมวดหมู่
ตอ่ มาจึงไปสู่การวิเคราะหห์ าความร ู้ แยกแยะ ถอดประกอบความรูจ้ ากขอ้ มูลเชงิ คณุ ค่าหรือสุนทรยี
อดุ มคติในแตล่ ะประเด็น เช่นองคป์ ระกอบหลกั และองคป์ ระกอบย่อย ความหมายตรงและความหมายแฝงจน
ได้สาระของชุดความร้ใู นประเดน็ ตา่ งๆ ท่ที ำ� การศกึ ษาวเิ คราะหไ์ ด้ (ดภู าพที่ ๘๕) จนสามารถนำ� สาระแกน่ สาร
ที่ได ้ น�ำไปผสมผสานหรอื ประกอบสร้างความร้แู บบใหมข่ น้ึ มา เป็นความรูค้ วามคิดใหมผ่ า่ นจนิ ตนาการหรอื
การสรา้ งสรรคท์ างศิลปะออกแบบทน่ี ำ� ไปใช้ได้จรงิ ทำ� ได้จริง และมคี วามน่าจะเปน็ ตามวัตถุประสงคท์ ี่ก�ำหนดไว้

ภาพที่ ๘๗ ระบอบการวิเคราะห์และสร้างความรู้
ทฤษฎกี ารวิเคราะหท์ างศลิ ปะออกแบบมนี ักวิชาการหลายทา่ นได้น�ำเสนอไว้ ไม่วา่ จะเป็น ยีน เอ มิทเลอร์
(Gene A. Mittler) เอ็ดมนั ดเ์ บริ ก็ เฟลด์แมน (Edmund Burke Feldman) และ มอนโร เบยี สลยี ์ (Monroe
C. Beardsley) เปน็ ตน้ ทฤษฎีเหล่านมี้ ุง่ จะสร้างความเข้าใจผลงานศลิ ปะออกแบบ ด้วยการวิเคราะห ์
การตีความ และประเมินผลไปตามล�ำดบั ด้วยการบรรยายพรรณณาและวิเคราะห์ไปตามท่คี ิดเหน็ โดยเฉพาะการ
วิเคราะห์จะเร่มิ มองหาความหมายของข้อสันนษิ ฐาน หรอื ข้อสมมตฐิ านและความเชอ่ื พน้ื ฐานดว้ ยความคดิ เหน็
ความรู้สึกท่ีศลิ ปะช้ินนัน้ ใหแ้ ก่ตน ซึง่ สว่ นมากแล้วจะมีความคดิ เห็นมากกวา่ หน่งึ ประเด็นได้

178 วธิ คี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขนั้ สูง

เบยี สลยี ใ์ ห้ขอ้ คิดเหน็ ในทฤษฎเี หตผุ ลการวิเคราะห์อยา่ งมีจดุ หมาย โดยกลา่ วถึงเหตุผล ๓ ข้อหลกั สำ� คัญ
ในการวเิ คราะหค์ อื เหตุผลในการสรา้ งงาน เหตุผลตามความรูส้ กึ และเหตผุ ลอยา่ งมจี ุดหมาย หลักการส�ำคญั
การวเิ คราะหอ์ ย่างมจี ดุ หมายน้นั มีความจ�ำเปน็ ตอ้ งยดึ ๒ หลักคือ
๑. หลกั เกณฑ์ทั่วไป (General Canons) สามารถนำ� ไปใช้ได้กบั งานศลิ ปะทศั นศลิ ป์หรอื ออกแบบทัว่ ไป
มคี วามเกยี่ วขอ้ งกบั การวเิ คราะหใ์ นองคป์ ระกอบย่อยไดแ้ ก่ เรอ่ื งของเอกภาพ เรื่องของความลกึ ล้�ำ และเรือ่ งของ
ความเข้มขน้ ที่สะท้อนออกมาให้รบั รสู้ ึกได้ถงึ ความตัง้ ใจ ความสง่างาม ความเศร้าสะเทือนใจ เป็นต้น
๒. หลักเกณฑ์เฉพาะ (Specific Canons) เปน็ การนำ� ไปพจิ ารณาผลงานศิลปะออกแบบอยา่ งเฉพาะ
เจาะจง มีคุณลักษณะ คุณสมบตั ิ มคี วามแหกคอกนอกกรอบ มคี วามแปลกพสิ ดารไม่เหมือนใคร ไมส่ ามารถ
ใช้กฎเกณฑท์ ัว่ ไปตามขอ้ หนงึ่ ได ้ ตอ้ งสร้างเกณฑต์ ัวบ่งชเ้ี ปน็ การเฉพาะ ส�ำหรบั การวเิ คราะหง์ านชนดิ น้นั ขน้ึ มา
เช่น พจิ ารณาถึงคณุ สมบตั ิ “นอกกฎ” นัน้ ควบคูไ่ ปกับคุณสมบตั อิ นื่ เปน็ ต้น
๕.๑.๒ สหวทิ ยาการวเิ คราะห ์ (Interdisciplinary Analysis) การวเิ คราะห์ทางศิลปะ
ออกแบบข้ันสูงและก้าวหน้านน้ั จะมจี ดุ เร่มิ ตน้ จากปัญหาและวิธคี ิดแบบพหวุ ิธีคือการมองแบบความเช่ือมโยงของ
หลายศาสตรส์ าขา มสี ว่ นเกีย่ วขอ้ งกบั ปญั หาและโจทยใ์ นการแสวงหาค�ำตอบ เช่น ศลิ ปกรรมศาสตร ์
วิทยาศาสตร์ สงั คมศาสตร ์ การจัดการแก้ปญั หาและโจทย์ ต้องมกี ารศกึ ษาวิเคราะห์คุณสมบัติ คณุ ลักษณะของ
แต่ละสาขาเหลา่ น้ันใหเ้ ข้าใจถึงแก่น อนั เป็นปจั จยั เก่ียวขอ้ งกนั ให้กระจา่ งก่อน โดยเฉพาะคน้ หา “ลักษณะร่วม”
หรือตัวแกน่ แกนของสหศาสตร์เหลา่ นัน้ วา่ คอื อะไรและเป็นอย่างไร และ “ลักษณะต่างลกั ษณะท่ีแปรเปลีย่ น” วา่
คืออะไร และเป็นอยา่ งไรเปน็ ตน้
สหวิทยาการวเิ คราะหค์ อื ความสามารถในการจำ� แนกแยกแยะองคป์ ระกอบของสือ่ สิ่ง ในสหศาสตร์
สหศิลป ์ และสหสาขา และค้นหาเหตปุ ัจจัยอนั เปน็ ลกั ษณะรว่ มที่แทจ้ ริงทีเ่ ก่ยี วข้องในปญั หาและวิธคี ดิ หน่ึงๆ
ว่าประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง ยกตวั อย่างเบอื้ งต้น (ภาพที่ ๘๘) การบรู ณาการทางศลิ ปะออกแบบจะให้ได้ผลตาม
วตั ถปุ ระสงค์หรอื เป้าหมายท่ีก�ำหนดไว้ ตอ้ งมาจากการกำ� หนดแกนความคิดของหัวข้อหลักใหเ้ ขา้ ประเดน็ และ
แนวทางของการบรู ณาการระหว่างองคป์ ระกอบหลกั หรือยอ่ ย กับความสัมพันธเ์ ชอ่ื มโยงของสาเหตอุ ย่างหนึ่ง
อย่างใดหรือ ความสัมพนั ธล์ กั ษณะ ๑ ลักษณะใดอนั เปน็ แกนหรือหลกั คดิ ให้ชัดเจน ด้วยการกำ� หนดหัวขอ้ ค�ำ
สำ� คญั ประเด็นเหล่านน้ั มาวางเรยี งระดบั หรือลำ� ดับไวว้ ่าสอ่ื ส่ิงใดมาก่อนหลงั มคี วามส�ำคัญแทนความจ�ำเป็นมาก
น้อยดว้ ยการค�ำนึงถึงเหตผุ ลและความเปน็ ไปได้ท่ีจะน�ำไปส่ชู ุดความคดิ ใหม ่ ความรู้ใหม่ จากการบูรณาการนัน้
(ดูแผนภาพประกอบ) ดังนัน้ การจดั เรยี งหัวข้อค�ำสำ� คัญประเดน็ ในการความคิดได้เหมาะสมจะช่วยผนึกก�ำลัง
ระหว่างองค์ประกอบกับความสัมพันธเ์ ช่อื มโยงใหก้ ่อความรู้ใหม่อนั เป็นผลรวมทไ่ี ด้รับตามมา

วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบขนั้ สงู 179

ภาพท่ี ๘๘ โครงสร้างสหศาสตรก์ ารวเิ คราะห์ประกอบแกนความคิดของหวั ข้อหลกั ทางศิลปกรรมศาสตร์

สหวทิ ยาการวเิ คราะห ์ เพอื่ ค้นหาสาระแกน่ สารภายในโครงสร้างท่กี �ำหนดไว้นั้น นอกจากจะสามารถ
วเิ คราะห์ถงึ องค์ประกอบหลกั และย่อยกบั ความสมั พนั ธ์กนั ได้แลว้ จะตอ้ งพจิ ารณาว่า อะไรเชื่อมโยงกับอะไร
มากน้อยเพียงใด ยง่ิ ลงลึกไปจนถึงอัตราสว่ นเชงิ ปรมิ าณว่า มากนอ้ ยเพยี งใดให้กระจ่างชดั ด้วยแล้ว จะช่วยตอบ
โจทยว์ ธิ ีวจิ ัยแบบผสมระเบยี บวิธไี ดด้ ี
การวเิ คราะห์สหสาขาทางศิลปะออกแบบ เพือ่ การจ�ำแนกแยกแยะถอดหาคุณสมบตั ิ คุณค่าจำ� เพาะ
หรอื สาเหตแุ ละลักษณะของความสัมพนั ธ ์ ให้เป็นรูปธรรมและความรทู้ างศลิ ปะ ตอ้ งอาศยั “ประสาทสัมผัส
เชิงวเิ คราะห”์ (Critical Sensibility) มนั เป็นความสามารถในการตอบโต้จากปรากฏการณแ์ ละการรับรู้ทาง
สนุ ทรยี ภาพหน่ึงๆ ด้วยการสงั เกต การจ�ำแนกแยกแยะ และการรับร้จู ากความรู้สึกตา่ งๆ ท่ีไดร้ ับจากขอ้ มลู
ประสบการณ์น้ีเป็นความสามารถส่วนตนทางความรู้สกึ ความออ่ นไหวทางความร้สู กึ (Sensibility) ไปตามผัสสะ
แหง่ การรับรู้ (ตา หู จมูก ปาก และจับตอ้ ง) เป็นพหสุ ัมผัส (Multisensory) จากปฏิกิรยิ าตอ่ การรับรสู้ กึ
และสมั ผัสร้ถู งึ คุณค่าบางอย่างภายในสื่อส่งิ เหล่านนั้ แล้วถอดหาคุณสมบตั ทิ างเนื้อหา (ภาพท่ี ๘๙)

180 วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบข้นั สงู

ภาพที่ ๘๙ แผนภาพแสดงระบบของการรบั รู้สุนทรียภาพและภาพจากประสาทสัมผสั มาเป็นล�ำดบั จนนำ� ไปสู่
แก่นสารของสนุ ทรยี รสจากการรับรู้
“พหุสัมผัส” คำ� กญุ แจนม้ี ีความส�ำคญั ต่อผู้วเิ คราะห ์ เพือ่ ถอดหาสาระตวั รจู้ ากประสาทสัมผัสของรูป
รส กลิ่น เสยี ง และสมั ผสั ไดจ้ ากอายตนะในเบ้ืองตน้ ว่า สุนทรยี วตั ถุน้ัน มรี ปู เสยี ง กล่ินรส และ สัมผสั ได้
เป็นอะไร มีความนา่ สนใจหรือไมอ่ ยา่ งไร จนพฒั นาไปสตู่ วั ถูกรูท้ จี่ ิตชอบและใจรู้สึกมากยง่ิ ข้ึนของรปู แบบไดร้ ปู
ไดท้ รง เสยี งมีทว่ งทำ� นองอันไพเราะ หรือกายไดส้ ัมผสั ผวิ พ้ืนอันน่มุ นวล อนั เป็นคุณค่าทางสนุ ทรียภาพและ
สนุ ทรยี รสหรอื รสชาตทิ างสุนทรียความงามทีไ่ ด้รับรูส้ ึกจากการรบั รู้ ซงึ่ ถือว่าเปน็ แกน่ สารสำ� คญั ของรปู รส กลนิ่
เสยี ง และสัมผัสทสี่ ำ� คญั จากการใชพ้ หุสมั ผัสวิเคราะห์
ศิลปะออกแบบปจั จุบนั นยิ มใช้สื่อศลิ ปะใหมจ่ ากวทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลย ี มาผสมผสานไปกับวิธีคดิ จาก
สหวิทยาการแบบขา้ มศาสตร์สาขา โดยไม่แบ่งแยกเป็นการเฉพาะไปในทิศทางเดียวเชน่ แต่ก่อน กบั ทง้ั มีการ
ตีความหมายพื้นท่แี ละเวลา ในมุมมองของความคิดแบบใหม่เชน่ “ความไมจ่ รี งั ” “การเปลี่ยนแปลงและการ
เคลอ่ื นท”่ี “การมีปฏสิ ัมพันธร์ ะหวา่ งกันทัง้ หมดทง้ั สิน้ ” โดยมแี กนความคดิ วธิ คี ิดหลักจะอาศยั การบูรณาการ
และความเกาะเกี่ยวเชือ่ มโยงของงานศิลปะออกแบบ ทีส่ รา้ งขนึ้ เพอ่ื สื่อสงิ่ ใหมแ่ ละความรูใ้ หม่

วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบขน้ั สงู 181

เพอ่ื ความเขา้ ใจในหวั ข้อน้ีให้ทดลองนำ� ศิลปะ ๓ สาขาวิชาคือ ทัศนศิลป ์ ดรุ ิยางคศิลป ์ และศลิ ปะการ
แสดง (ภาพท่ี ๘๘) นำ� มาลองจัดตามรูปสหวิทยาการวเิ คราะหเ์ พอ่ื ค้นหา “คา่ เฉพาะ” อันเป็นตัวร่วมของค�ำ
กุญแจคือ (๑) บรเิ วณว่าง (Space) (๒) รูปทรง (Form) (๓) คณุ คา่ (Merit) ตามคุณสมบัตเิ ชงิ เนื้อหาได้แก่
ลักษณะไทยร่วมสมยั อาศัยแบบแผนจากรากเดมิ และวธิ ีการใหมข่ องส่ือใหม่ใหเ้ ข้ามาประกอบและผสมผสานกนั
ในการนต้ี อ้ งวิเคราะห์ ๓ สหสาขา อนั เป็นฐานศาสตร์ทางการเห็น การไดย้ นิ และการเคลอ่ื นไหว
ทางศิลปะวา่ มลี ักษณะร่วม ตัวร่วมอนั เปน็ แกนของบริเวณว่าง รูปทรงและคุณคา่ ตามคณุ สมบตั ขิ องเนือ้ หา
ลักษณะไทยร่วมสมยั อะไรบา้ ง ท่ีมรี ากจากแบบแผนไทยเดมิ อาจจะเป็นแบบไทยประเพณีของภาคกลาง หรือ
ไทยทอ้ งถ่นิ ของภาคเหนอื - อีสาน ตามท่มี ีความสนใจ (ดู ตารางที่ ๘ ประกอบ) หลงั จากน้นั ทดลองวิเคราะห์
ผ่านตารางที่ ๙

ตารางที่ ๙ วิเคราะห์ลักษณะรว่ มของ ๓ คำ� กุญแจเพอ่ื ถอดหาลกั ษณะไทยร่วมสมัยแบบภาคกลาง

จาก ๓ สาขาวิชา

182 วธิ คี ดิ ทางศิลปะออกแบบขั้นสูง

ลกั ษณะไทยรว่ มสมัยจากการแสดงโขนร่วมสมัยในชดุ “I am a Demon และ Black & White” ของ
พิเชษฐ ์ กลัน่ ช่ืน ตามทกี่ ลา่ วมาแลว้ ถอื ไดว้ ่า เปน็ ตัวอย่างการตคี วามลกั ษณะรว่ มของสหสาขาจากมุมมองใหม่
ของชดุ เคร่อื งแตง่ กายโขน ท่าเตน้ และดนตรีประกอบเปน็ การน�ำร่องและบกุ เบกิ การบรู ณาการทางศลิ ปะ
ไทยร่วมสมยั แบบใหมใ่ หก้ ้าวไปข้างหนา้ กรณที ศั นศลิ ปร์ ่วมสมยั ดภู าพที่ ๙๐ การตีความพ้นื ท่ีเขามอของสองศิลปนิ

ภาพที่ ๙๐ ผลงานช่อื “Across the Universe and Beyond ๒๐๑๘” สะทอ้ นลกั ษณะการผสมผสานและ
การเชอื่ มโยงจากการตคี วามพืน้ ทเี่ ขามอวดั อรุณราชวรมหาวหิ าร จัดวางแบบร่วมสมยั ตามคตไิ ตรภมู ิ
ของสนทิ ศั น์ ประดษิ ฐท์ ศั นยี ์ (ภาพ ๑) และกฤษ งามสม ตคี วามพน้ื ทีเ่ ขามอ วดั ประยูรวงศาวาส
บรเิ วณบ่อน้ำ� ที่อดุ มดว้ ยเต่าและปลาดกุ เปน็ ผลงานประตมิ ากรรมเตา่ หลกั ท่ีแบกวตั ถไุ ว้บนหลังสะท้อน
สญั ญะเชิงนยั ของความเช่ือจากสงั คมไทย (ภาพ ๒)
ท่ีมา : Bangkok Art Biennale ๒๐๑๘

วิธคี ิดทางศิลปะออกแบบข้นั สูง 183

๕.๑.๓ การร้อื สร้าง (Deconstruction) แนวทางการวิเคราะห์อีกลักษณะหน่งึ เพ่ือการอา่ น
การถอดรอื้ ภาษาทางการเห็น การได้ยินและการเคลื่อนไหวด้วยการสลายความเปน็ หนว่ ยของภาพตวั บท และ
มายาคต ิ (Myth) ทแี่ ฝงซอ่ นอยู่ด้วยกันน�ำไปสู่การสรา้ งความเข้าใจใหม ่ ตามวิธสี ลับที่สลับทางเพื่อเปิดพ้นื ท ่ี
ท่ถี กู ปดิ บงั กดทบั และแทนดว้ ยส่ือสิง่ อนื่ สรา้ งความเปน็ ไปได้แบบอน่ื ๆ ภายในรอ่ งรอยเดิมรากเดิม ฌาคส์
แดริดา (Jacque Derrida) เปน็ ผู้บญั ญตั คิ �ำวา่ Deconstruction ขนึ้ มา เพอื่ ใชถ้ อดประกอบส่วนของ
โครงสร้างทางรปู และหรือถอดรหสั รูปนยั ความนยั หรือความหมายแฝงบางประการ เป็นศพั ทเ์ ทคนิคทางดา้ น
ปรัชญามาสวู่ รรณกรรมและศิลปะออกแบบ ปจั จุบนั ค�ำน้ีจะหมายถงึ “การฉีกทิ้ง” “การรอ้ื ทำ� ลาย” อันเป็น
การปรบั เปลยี่ นบางส่วน เพอ่ื ให้ได้สิ่งดีท่สี ดุ และนำ� สงิ่ ท่ีได้จากการปรบั ปรงุ แก้ไขนัน้ มาประกอบกนั และสรา้ ง
สือ่ ส่ิงน้ันขน้ึ มาใหม่ดงั แผนภาพ

สมยั ใหมน่ ยิ มให้ความส�ำคัญกบั ทฤษฎกี ารสร้างความรู้ด้วยตนเอง หรือสร้างสรรค์นิยม (Constructivism)
ด้วยหลักคิดทวี่ า่ ความรู้ความจรงิ อยูภ่ ายในตัวตนของเรา มีวิธีวทิ ยาของการแปลตรรกวิทยาจากความรสู้ ว่ นตน
ให้มคี วามกระจา่ งชัด และมวี ตั ถุประสงคข์ องการหาคำ� ตอบ ที่มคี วามสอดคล้องกนั
สมยั ใหม่ยคุ หลงั ตอ่ มา ได้ก�ำเนดิ แนวคิดการรือ้ สร้าง เพ่อื แสวงหาความรู้ความจรงิ ทางศลิ ปะออกแบบ
ข้ึนใหม ่ ด้วยการละท้งิ แนวทางการออกแบบท่ีว่าง และรปู ทรงต่างๆจากหลกั การเดมิ ด้วยการใหค้ วามสำ� คญั กบั
การคิดจากขา้ งนอกสขู่ า้ งใน (Structure and Proposal) ส่คู วามคดิ ใหมท่ ่เี นน้ ประโยชน์ใชส้ อย จากขา้ งในสู่
ขา้ งนอก ส่วนสมยั ใหมย่ คุ หลังจะให้ความสำ� คญั ทง้ั สองสว่ นไปดว้ ยกัน แบบผสมผสานท้ังสองแนวกับบริบทสังคม
ใหมโ่ ดยรวมคือที่ตงั้ รูปทรง และสัญลกั ษณ์เป็นส�ำคญั

184 วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบขั้นสงู

การร้อื สรา้ ง เพอ่ื น�ำไปสู่สงิ่ ใหมว่ ตั ถุใหม่จะใช้วธิ ขี ยบั รื้อกฎเกณฑ์เดมิ ทง้ั หลาย เชน่ การย้าย หมนุ
การซอ้ นทับ ดว้ ยการเบีย่ งแกนหรอื แนวในแต่ละชนั้ (Layer) ตลอดเวลา ช่วยให้เกิดรปู ทรงภายนอกแบบใหม่
ทแ่ี ปลกตา และมคี วามซบั ซอ้ นกว่าเดิม ทั้งนี้จะไมค่ �ำนงึ ถงึ บริบทคงท่ขี องท่ีตงั้ แต่จะแสวงหาการประกอบกัน
ใหม่อยู่ตลอดเวลา ลักษณะเหมอื นการถักทอ การประสานกนั ไปมาแล้วเกิดรปู แบบ รปู ทรง ลวดลาย ในส่ือสิ่ง
ที่คาดไม่ถึง เชน่ การ Deprogram Cross Program ร้อื โปรแกรมใหม่ น�ำมาแยกพิจารณาแล้วนำ� ไปประกอบใหม่

ตวั อยา่ ง :

การวเิ คราะหก์ ารแยกแยะ จดั กลมุ่ ประเภทของส่อื สิง่ ด้วยการถอดออกและการร้อื สรา้ งจากการขัดกัน
(Interrupt) การแบง่ แยก (Division) และการแตกแยกออกเป็นส่วนสว่ น (Disintegrate) ล้วนมเี ปา้ หมาย
ร่วมกันคอื การแสวงหาชดุ ความรคู้ วามคิดใหม่ๆ จากการศกึ ษานั้นๆ ทเ่ี รยี กว่าการสรา้ งทวนซำ�้ ใหม ่
Reconstruction และ Re-Structure ด้วยความอสิ ระทางความคดิ เพ่อื ออกแบบและสรา้ งสอื่ สงิ่ ใหม ่ หรอื
ทฤษฎีความรปู้ รชั ญาความร้ขู องศลิ ปนิ และนักออกแบบในระดับบัณฑิตศึกษาท่สี ูงขน้ึ

วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบข้ันสงู 185

๕.๑.๔ การตีความ (Interpret) หมายถึงการตคี วามแปลความหมาย ความรสู้ ึกและ
อารมณ์ท่ีรับรไู้ ดแ้ ละไม่ได้ ด้วยการท�ำความเข้าใจและให้เหตุผลแก่สือ่ สิ่งท่ตี อ้ งการจะวิเคราะห์ เพอื่ แปรความนยั
จากสญั ญาณบางประการท่ีไม่ปรากฏโดยตรงของสื่อส่งิ และใหค้ วามคิดความหมายอกี ส่ิงหน่งึ ท่ตี ่างไปจากส่ือส่ิงท่ี
ปรากฏเดิม
เพ่อื ใหก้ ารตีความ มีก�ำลังพลังในการสรา้ งความรู้อยา่ งเขม้ ขน้ และลมุ่ ลึกได้อย่างถงึ แกน่ สิ่งทต่ี ้องทำ� คือ
คน้ หาใหพ้ บวา่ มีความหมายอะไรท่ซี อ่ นอยู่ในสิ่งท่ปี รากฏนัน้ มตี ั้งแตร่ ะดบั ผวิ เผินจนกา้ วไปสู่ระดับลึกลงไป
หรอื อยเู่ บื้องหลังของสิ่งทป่ี รากฏ เน่อื งจากเรอื่ งความร้คู วามจริงสิ่งทเี่ ห็นอาจไม่ใช่ส่งิ ท่ีเป็น สิง่ ทเ่ี ป็นอาจไมใ่ ช่
สงิ่ ทีค่ ดิ กไ็ ด้ การตคี วามใหเ้ ขา้ ถงึ สาระท่แี ฝงหรือซอ่ นอย ู่ จงึ ตอ้ งแหวกและเจาะเข้าไปใหถ้ กู จุด
การตีความจึงเป็นการใชค้ วามคดิ จากสัญญาณเชงิ นยั ท่ไี ดจ้ ากการวเิ คราะหข์ อ้ มูลแล้วสร้างความรขู้ ึ้น
จากสงิ่ ท่ีร้อู ย่กู ่อน หรอื ส่งิ ท่ีตกลงกนั แล้วเป็นจดุ ตั้งต้น ดว้ ยการระบถุ ึงความหมายอกี นัยหนึ่งทตี่ า่ งออกไปโดยมี
หลกั คิดว่า
“การตคี วามไม่ใชจ่ นิ ตนาการหรือ พูดคิดไปตามความรู้สึกหรอื Sense แต่ควรตีความตามตาเหน็ และ
ขอ้ มลู ทีม่ ีอยเู่ ปน็ เครื่องประกอบไม่ใชก่ ารตคี วามเกนิ กวา่ ทีต่ าเห็นและข้อมูลท่มี อี ยู ่ โดยในเรอ่ื งนี้ ฟรีแมน ทลิ เด้น
(Freeman Tilden) จากหนังสือ “Interpreting Our Heritage” ได้ให้หลักสำ� คญั ของการตคี วามมรดกทาง
วัฒนธรรมไว้วา่
ให้ตีความในสง่ิ หรือแงท่ ีส่ ิง่ นนั้ ไม่ไดแ้ สดงใหเ้ ห็นทนั ที หากแตใ่ หพ้ ยายามบรรยายใหเ้ ห็นคุณลกั ษณะส�ำคญั
ท่ีเป็นประโยชน์แกผ่ ชู้ ม โดยการส่อื ความหมายหรือการตีความ จะต้องเกย่ี วขอ้ งกับข้อมลู แตไ่ ม่ใช่การนำ� เสนอ
ข้อมลู โดยตรง อีกทัง้ การตีความต้องมงุ่ เนน้ ไปส่ ู การนำ� เสนอความหมายในองคร์ วมหรือภาพรวมมากกวา่ เพยี ง
บางสว่ น
ในทางศลิ ปะนัน้ การตคี วามผวู้ ิเคราะห์จะกล่าวถึงอธบิ ายถึงความหมายของผลงานศลิ ปะทมี่ ตี อ่ ตนเองซ่งึ
ความหมายในท่นี ้ีหมายถงึ ความหมายของศลิ ปะทีม่ ตี ่อชวี ิตความเปน็ อยขู่ องมนษุ ย์โดยทวั่ ไป ดว้ ยการหาข้อสรุป
ความเชอื่ พนื้ ฐานทีเ่ กี่ยวข้องกับความคิด หรือหลกั การท่สี ามารถชว่ ยยนื ยันวา่ ทำ� ไมผลงานศลิ ปะน้ัน จึงมผี ลต่อ
ความคดิ เหน็ เชน่ น้นั เฮอร์มีน ไฟน์สไตน ์ (Hermine Feinstein) เจ้าของทฤษฎกี ารตคี วามศลิ ปะดว้ ยอุปมา
อุปไมยได้ระบุไว้วา่
ศลิ ปะคอื ภาษาของสัญลกั ษณแ์ บบใดแบบหนง่ึ ที่ถูกสร้างขนึ้ เพ่อื เปน็ สง่ิ แทนอกี ส่ิงหนง่ึ ซึง่ สัญลักษณม์ ีทง้ั
แบบออ้ มค้อม (Discursive) และไมอ่ อ้ มค้อม (Presentational) ลักษณะภาษาแบบอ้อมค้อมคือ ภาษาลายลักษณ์
และภาษาโอษฐลักษณ์ จะมีความหมายกระจา่ งในตวั เองต้องอาศยั การบรรยายและอธบิ ายจงึ จะเขา้ ใจได้ เชน่
คำ� ว่า “สตรี” มีแต่คนทีใ่ ชภ้ าษาไทย จงึ จะรไู้ ด้ว่าหมายถึงอะไรเปน็ ต้น สว่ นลักษณะไม่อ้อมค้อมคอื ศลิ ปะเป็น
สัญลักษณ์ซง่ึ รวมความหมายทง้ั หมดอย่ภู ายในตวั มันเอง เช่น “ผูห้ ญิง” ไมว่ ่าชาตใิ ดกร็ บั รไู้ ดเ้ ปน็ สญั ลกั ษณ์ของ
ผหู้ ญงิ โดยรวมเปน็ ตน้
การศึกษาและตคี วามน้ันสญั ลักษณ์ภาพและสัญลกั ษณ์ภาษาไมส่ ามารถทดแทนกนั ได้ เพราะไม่เหมอื นกัน
แตส่ ญั ลกั ษณ์ ๒ ชนิดจะชว่ ยกนั ได ้ สง่ เสรมิ การเรยี นรแู้ ละความเขา้ ใจ การพฒั นาความเขา้ ใจศิลปะใหล้ ึกซงึ้ โดย
ไฟน์สไตน์ไดใ้ หห้ ลกั การไวว้ า่ ภาษาศิลปะคอื สญั ลกั ษณ์แบบหน่งึ ภาพทางตาและภาษาสามารถใช้อปุ มาอปุ ไมย
(Metaphor) ด้วยการยกสง่ิ อ่ืนมาเปรียบเทียบกับส่งิ ที่เดน่ ชัดกว่า เพอ่ื ช่วยใหเ้ ข้าใจสง่ิ อ่ืนดขี ้นึ และเขม้ ขน้ ข้ึน
เช่น มองเหน็ ภาพสมมติภาวะทางอุดมคต ิ หรือสัจภาวะทางการรับร้จู รงิ


Click to View FlipBook Version