86 วิธีคิดทางศลิ ปะออกแบบขั้นสงู
อารยธรรมทางศาสนาปรัชญาและทางความคดิ เหล่านี้ ต่างถือกำ� เนิดขนึ้ เปน็ แนวขนานเชื่อมโยงควบคู่
กันไประหวา่ งโลกตะวนั ตกกับโลกตะวนั ออก ไมใ่ ช่เปน็ แนวคิดทางตงั้ แบบตะวันตกนยิ มที่เคยยึดถือกนั มาจนกลาย
เป็นหลกั คิด และหลักวชิ าท่ีหยั่งรากลึกของความร้คู วามจรงิ ว่า อารยธรรมโลกมตี ้นกำ� เนดิ ทางตะวันตก และ
แพรก่ ระจายไปยังสว่ นอ่ืนของโลกจนถึงปจั จบุ นั และเปน็ ความเขา้ ใจเชน่ นน้ั มาโดยตลอด
วิธคี ิดการมองโลกตามมุมมองใหม่ จงึ ใหค้ วามสำ� คญั ในทกุ ศิลปวัฒนธรรมไปตามความคดิ ความเช่อื จาก
บรบิ ทวัฒนธรรมท่หี ลากหลาย อารยธรรมของอนิ เดีย จีน เปอร์เซีย อียิปต์ ต่างล้วนมีรากฐานทางวฒั นธรรม
มีความเจริญรุง่ เรอื งและแพรข่ ยายไปในแตล่ ะภมู ิภาค อันเป็นโลกทางอดุ มคตทิ ี่น�ำไปสู่ ความเป็นสากลทาง
อุดมคติของโลกใบใหม่นีด้ ว้ ยเชน่ เดยี วกนั ดังนั้นการตงั้ หลักคิดแบบกา้ วหน้าและมีวิธคี ิดทด่ี ีมีพลังได ้ จำ� เปน็
ตอ้ งมีความเขา้ ใจแกน่ สารขา้ งต้นอยา่ งถอ่ งแท้ก่อนน�ำไปใชป้ ระโยชน์ต่อไป
ภาพท่ี ๔๗ แสดงภาพและการออกแบบสะท้อนความเจรญิ กา้ วหน้าของดจิ ิตอลและ Media Literacy ในการ
พฒั นาศลิ ปะออกแบบใหพ้ ัฒนาดขี ้นึ สรา้ งปฏิสัมพันธท์ างโทรศพั ทส์ มารท์ โฟนผา่ นระบบ AR
ที่มา : Xia Fei “การสรา้ งศลิ ปะภาพเคล่ือนไหวเพอ่ื การน�ำเสนอแนวคิดปจั จบุ ันของพุทธศาสนาแบบทเิ บต
ท่ีสอดคล้องกบั พฤตกิ รรมการรบั รูข้ องเยาวชนจีน ดว้ ยการประยกุ ต์ใช้สอื่ มตั ตมิ เี ดยี สมัยใหม่”
วธิ คี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขน้ั สงู 87
โลกศตวรรษท่ ี ๒๑ มกี ารตง้ั คำ� ถามวา่ “เปน็ โลกใบเดมิ หรอื ไม่” เน่ืองจาก มกี ารเคลอื่ นไหว การ
เปลย่ี นแปลงแบบทีเ่ รียกว่า สดุ ขั้วสดุ โตง่ ของความคิด ความเชือ่ ในหลายกรณเี ชน่ เร่ืองของสุนทรยี ในความคิดเดมิ
กบั สนุ ทรียในความคดิ ใหม่ ลิขสิทธิ์กบั การหยิบยืมการเลยี นแบบ การนำ� เทคโนโลยมี ามีบทบาทการขับเคลอ่ื น
นวตั กรรม และการเปลี่ยนแปลงของโลกเขา้ สูย่ ุค ๔.๐ เปน็ ตน้ (ภาพที่ ๔๗)
มีการเน้นการใช้เทคโนโลยเี พอ่ื สรา้ งนวตั กรรมและการศึกษาดว้ ย Digital Skill Literacy ICT Literacy
Media literacy พร้อมไปกบั พฒั นาอตุ สาหกรรมด้วยความคิดสรา้ งสรรค์ มกี ารถ่ายทอด Renovate Review
Reconstruction จากผลติ ภัณฑ์และภมู ิปญั ญาท้องถิน่ เดมิ ให้เกดิ นวตั กรรมและคุณค่าและมลู ค่าเพิม่ ให้กบั สินคา้
และผลติ ภัณฑ์ในชมุ ชนเปน็ ตน้ ได้แก่ หนึ่งผลิตภณั ฑห์ นึง่ ชุมชน (OTOP) SME และ STARTUP (ตารางท่ี ๕)
ตารางที่ ๕ เปรียบเทยี บยุค ๔.๐
ประกอบกับ Life Style และวถิ ขี องผคู้ นในสังคมปัจจุบัน มีการเปดิ เผยสถานภาพและบคุ ลิกภาพ
ของความเป็นเพศสภาพใหม่เพิ่มมากข้นึ จนไม่สามารถจะจนิ ตนาการไดถ้ งึ ความนา่ จะเปน็ ของเพศอะไรท่ีจะ
บงั เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ต่อไป แตจ่ ากการส�ำรวจในเบ้อื งตน้ พบวา่ มีเพศสภาพตามตารางท่ี ๖
88 วธิ คี ดิ ทางศิลปะออกแบบขนั้ สูง
ตารางท่ี ๖ แสดงบุคลิกภาพของเพศสภาพในสงั คมไทย
ข้อมูลนไ้ี ด้ให้อะไรกับเราเกี่ยวกบั ความคิดก้าวหน้า “Advance Thinking” ตอ่ ไปในอนาคต ศลิ ปนิ และ
นักออกแบบมองเหน็ โอกาสอะไร บนเสน้ ทางสังคมที่มีความหลากหลายทางเพศ หรอื ความนยิ มทางเพศท่ขี ยาย
ตัวออกไปเชน่ นีใ้ นแงม่ มุ มองใดไดบ้ า้ ง
หากน�ำมาพิจารณารว่ มไปกับธรุ กจิ อินเทรนด์ (Intrend) หรือธรุ กจิ ดาวร่งุ พุง่ แรง ๕E ในอนาคตไดแ้ ก่
เรอ่ื งของ Environment Energy Education Entertainment และ Electronic ควบคู่กันไปจะพบวา่ ธุรกิจ
เก่ียวข้องกับ Entertainment และอตุ สาหกรรมบริการไดแ้ ก ่ โรงแรม รสี อร์ท สปา ร้านอาหาร ร้านเสรมิ สวย
Fitness Center เปน็ ต้น ธรุ กิจกลุ่มนมี้ ขี นาดใหญ่มากเพื่อขายสนิ ค้าและบริการ หากเป็นเช่นน้ถี ้านำ� กลุ่ม
เป้าหมายของเพศสภาพจากตารางที ่ ๖ มาลองคดิ โจทย์การออกแบบและศิลปะใหส้ อดคลอ้ งในวิธคี ดิ ใหม่ จะเป็น
อะไรไดบ้ า้ ง
ตวั อยา่ ง :
“การยกระดับภาพลกั ษณ์ใหมข่ องสาวประเภทสอง (กระเทย) ในมิตมิ มุ มองของ “กลมุ่
ดอกไมก้ ลายพันธ”์ุ สะท้อนผา่ นเคร่ืองประดับทีแ่ สดงความมอี ตั ลกั ษณแ์ ละความมีตวั ตนของพวกเขา
ในสังคมไทย เน่ืองจากทัศนคติของผคู้ นตอ่ ความเป็นกระเทยตามภาพทเี่ ห็นไมใ่ ช่สิง่ ทพ่ี วกเขาเปน็
และเป็นภาพปริศนาแห่งสญั ญะ และรสนิยมในบุคลิกภาพ การแต่งกายและเคร่ืองประดบั ที่แฝงเร้น
ของความเหมือนในความแตกต่างของความเปน็ สตรีข้ามเพศ และสามารถน�ำมาศกึ ษาวิจัยเพ่อื
ออกแบบนวัตกรรมของเครื่องประดบั ใหมใ่ หส้ อดคล้องกบั อตั ลักษณแ์ ละความมตี วั ตนของพวกเขา
ได้สมบูรณ์ขึน้ ”
วธิ คี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขนั้ สูง 89
๓.๑.๒ ความหมายของวธิ คี ดิ ค�ำนิยามของคณะกรรมการสภาวจิ ัยแหง่ ชาติสาขาปรชั ญา
หมายถึง หลกั การหรือเหตุผลในทางวัฒนธรรมที่ใหค้ ุณคา่ และความหมายตอ่ อุดมการณข์ องการด�ำรงชีวติ ของผคู้ น
ในสงั คม ประกอบไปด้วย ๓ ระบบหลกั คือ ระบบคุณค่าทางศลี ธรรมและจิตวิญญาณ ระบบภมู ิปัญญาสำ� หรบั
การจดั การกบั ความสมั พนั ธท์ างสงั คมของคน และความสัมพันธ์ระหวา่ งสงั คมกบั ธรรมชาติแวดล้อม และระบบ
อดุ มการณอ์ �ำนาจหน้าที่แสดงศกั ดิ์ศรีและสทิ ธขิ องความเป็นมนุษย ์ (ตามธรรมชาต)ิ
หมายถงึ การปฏบิ ตั ิหรอื การคดิ อันเกิดขนึ้ จากกระบวนการท�ำงานของสมอง มจี ดุ เร่ิมตน้ จากการตีความ
เน้อื หาทค่ี ดิ ชอบ และรู้สกึ จากเนือ้ หาน้ัน และน�ำมาสู่การรวบรวมความรขู้ อ้ มลู ไวใ้ นความทรงจำ� รวมถงึ การคิด
เพื่อตอบสนองทางความคิดหรอื จติ ภาพ (ภาพทางความคดิ ) ของเหตุผลทางสมองและอารมณ์ความรูส้ กึ ทางใจ
ทางสมองน้นั จะใชป้ รชี าญาณ (Intellect) ดว้ ยเหตผุ ล ตรรกะ เปน็ การวัดระบบระเบียบทางความคดิ สว่ น
อารมณ์ความรสู้ กึ ทางใจจะใชป้ ญั ญาญาณ (Intuition) ของสมองซีกขวาสะทอ้ นถงึ จติ วิญญาณ เพือ่ สื่อสารถึง
ความมีชวี ติ จติ ใจอนั เป็นนามธรรม ทม่ี ีคณุ คา่ อีกส่วนหนงึ่
“วิธคี ิด” กรณีทางศลิ ปะออกแบบจะเนน้ กระบวนการและวธิ ตี ่างๆแบบพหวุ ธิ ี (Multi Method) ดว้ ย
การนำ� สื่อสงิ่ จากหลายสาขาวชิ า (Course Discipline) และสหวทิ ยาการ (Multi Disciplinary) มาบูรณาการ
ประกอบหรือผสมผสานเพ่อื สรา้ งประสบการณก์ ารรบั รโู้ ดยรวม (Multi Sense) จากการเช่ือมโยงกับศาสตรอ์ ่ืนๆ
ในสังคมใหม่ และโลกใหม่ซึ่งจะแตกตา่ งกบั “แนวความคิด” ทีเ่ น้นวิธีการแบบเชอ่ื มโยงต่อเนอ่ื งกนั ไปตาม
กระบวนวธิ กี ารอย่างใดอย่างหนง่ึ
(๑) วธิ ีคิดแบบกา้ วหนา้ คอื ความคิดทกี่ ้าวไกล คิดถึงหรือคาดการณถ์ ึงสื่อสิ่งเหตกุ ารณ์ท่ีจะบังเกิดขึ้น
ในอนาคตไกลๆ ยาวๆ และสามารถนำ� ความคิดและวธิ คี ิดไปใช้ประโยชน์หรือแกป้ ญั หาได้อยา่ งดี เชน่ โลกปัจจุบัน
และอนาคตของศตวรรษท่ี ๒๑ ของยุคหลงั สมยั ใหมน่ ิยมหรือ ยคุ หลงั โครงสรา้ งนยิ ม (Post Construction)
การเคลื่อนไหวเปล่ยี นแปลงทางสงั คมวฒั นธรรม เป็นไปอยา่ งรวดเร็วในแทบทุกดา้ น และมีลักษณะเปน็ ไปแบบ
สบั สนวุ่นวาย อยา่ งขัดแย้งทางด้านความคิดในทกุ กรณ ี มีหลกั คิดความเช่ือของเหตุผลและการไดม้ าของความรู้
เหตุผล มลี กั ษณะความคดิ แบบยอ้ นแย้งกบั ยุคสมยั ใหมน่ ยิ ม หรอื ยุคโครงสร้างนิยมอย่างตรงกันขา้ มตามทก่ี ล่าว
ไปแล้วเบื้องต้น
วิธีคดิ ของปัจจุบันนีแ้ ละพรุ่งน้ี การคิดตอ้ งค�ำนึงถึงบริบทของโลกใหม่ และสังคมวฒั นธรรมไปตามสภาวะ
ของกาล (Time) และเทศะ (Space) ตามปรากฏการณท์ เ่ี ป็นจรงิ ตามการเคลอื่ นไหวเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ
ของพื้นทธี่ รรมชาตสิ ่ิงแวดลอ้ ม จากการรับรู้ได้ด้วยประสาทสมั ผสั ทั้ง ๕ ( ห-ู ตา-จมกู -ปาก-จับต้อง) มีความเปน็
รปู ลักษณแ์ บบจับต้องได้หรือ การหยงั่ รูไ้ ด้ตามความรสู้ ึกนกึ คิด อารมณค์ วามรู้สกึ ของจติ ใจดว้ ยจติ ภาพมโนภาพ
ของความรู้รปู ลกั ษณห์ รอื ไร้รปู ที่ถกู กอ่ รปู กอ่ รา่ งขึน้ ภายในจติ ที่ชอบและใจทีร่ ู้สึกตอ่ สือ่ ส่งิ ใดส่ิงหนง่ึ เปน็ ต้น จะเปน็
กระบวนการของดุลยภาพระหวา่ งความคิดเหตผุ ลและสมองของปรีชาญาณ และอารมณค์ วามรู้สึกของจติ ใจหรอื
ปญั ญาญาณ ซ่งึ องคป์ ระกอบทง้ั สองสว่ นนี้ วธิ ีคิดจะไปดว้ ยกัน ส่งเสริมเชอ่ื มโยงระหวา่ งกนั ไปมาจนไดผ้ ลของวิธี
คดิ ตามเป้าหมายทีต่ ้ังไว้
90 วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบขัน้ สงู
ความทา้ ทาย (Trai) ของโลกใหมย่ คุ ๔.๐ และศตวรรษท่ี ๒๑ ด้วยหลายเหตุปัจจยั และเงอ่ื นไขหาก
วิเคราะหถ์ ึงคำ� กญุ แจ (Keyword) ท่ีเป็นรหสั หลกั ของยคุ สมยั และนำ� ไปสู่วิธคี ดิ ใหมแ่ บบกา้ วหนา้ มีกำ� ลังพลงั และ
ไขข้อปริศนาจนน�ำไปสู่ค�ำตอบอย่างได้ผลดไี ดค้ อื คำ� ว่า “บรู ณาการ” (Integrate) “ผปู้ ระกอบการ” ทักษะทาง
ปัญญา และความรู้ใหม่ ความคดิ ใหม่เป็นตน้ โดยเฉพาะเรอื่ ง “บรู ณาการ” หากถามว่าท�ำไมต้องบูรณาการ
หรือบูรณาการแล้วไดอ้ ะไร ค�ำตอบคือ การนำ� หนว่ ยทีแ่ ยกออกจากกนั มารวมเข้าดว้ ยกันผนกึ ก�ำลงั กนั เพอื่ ใหเ้ กดิ
ผลและพลังการพัฒนา หรอื สร้างสรรคส์ อื่ สง่ิ ใหมใ่ ห้บังเกิดขน้ึ และกอ่ ความร้ชู ุดใหม่การรับร้ใู หม่ สีสันชีวิตชีวาใหม่
เปน็ ตน้
สังคมวัฒนธรรมปัจจุบันและอนาคต เรือ่ งของวถิ แี ละความเปน็ อยขู่ องพลเมืองในโลก จะมกี ารปฏิสมั พนั ธ์
กันอย่างท่ีไมเ่ คยมีมากอ่ น มีการสังสันทน์ทางวฒั นธรรม แลกเปล่ียนทางวฒั นธรรมและตัง้ ถนิ่ ฐานข้ามวฒั นธรรม
กันไปมา (Cultural Hybrid) จนกอ่ ก�ำเนดิ “วฒั นธรรมทางทัศน์” (Visual Culture) ในการเรียนรู้บนโลกใหม่นี้
ดังนน้ั การจะท�ำความเข้าใจหรอื เขา้ ถึงความรู้ ความจริงในบางสิ่งบางอย่างจงึ ไม่อาจจะมองด้วยการรับรู้ได้จากการ
เห็นไดแ้ บบปกตแิ ตจ่ ะ เหน็ ดว้ ยเง่อื นไขของ Cultural Bound อนั เป็นเงือ่ นไขหรอื อาณาเขตเกาะเก่ียวอย ู่
(ภาพท ี่ ๔๘)
ภาพท ่ี ๔๘ แสดงขอบเขตของ Cultural Bound ของวฒั นธรรมและศลิ ปวัฒนธรรมลกั ษณะต่างๆ มีความ
เป็นขั้วตรงกันข้ามระหวา่ งกนั เช่น วัฒนธรรมหลวงกับวฒั นธรรมราษฎร์ และแต่ละวฒั นธรรมได้เคล่ือนเขา้
ไปสงั สนั ทน์ แลกเปลี่ยนเรียนรรู้ ะหวา่ งกนั จนสาระความรู้ความจรงิ ทจ่ี ับต้องไดแ้ ละจับต้องไมไ่ ดเ้ คลอ่ื นเขา้
มาผสมผสานกนั การจะเข้าใจแกน่ สารในขอบเขตของภาพที่ ๔๘ จึงต้องวิเคราะหถ์ อดหาความหมายแฝง
เชิงรปู ธรรมและนามธรรมให้กระจ่างก่อน (ดภู าพท่ี ๓๖ ประกอบ)
วธิ ีคิดทางศลิ ปะออกแบบขั้นสงู 91
ความเป็นไปเชน่ น้นั การจะมวี ธิ คี ดิ แบบก้าวหนา้ ให้เกดิ ผลดจี งึ ต้องไตร่ตรอง และครุ่นคิดให้รอบคอบ
ดว้ ยการมองวัฒนธรรมหรือ ศลิ ปวัฒนธรรมไปตามสภาพที่เป็นจรงิ และมองถึงบรบิ ทเง่ือนไขเก่ยี วขอ้ งในหลายๆ
มิตไิ ด้แก ่ ภูมิทศั น ์ นิเวศวทิ ยา ภมู ิศาสตร์ และภูมหิ ลงั ด้วยวธิ ีคดิ แบบข้ามศาสตร์ทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับระบบระเบยี บ
ของวิชาความรใู้ นแต่ละสาขา (ดา้ น) เป็นการมองข้ามระบบและ ตรรกทางเหตผุ ล เพอ่ื แสวงหาแกนหลักและ
ตวั ร่วมของสาระอันเปน็ แก่นทางความคิด วธิ คี ดิ ในเร่ืองนนั้ หรือส่ิงนน้ั ร่วมกนั หรอื บูรณาการระหว่างศาสตรแ์ ละ
ระบบทแี่ ตกต่างกนั จนนำ� ไปสู่ระบบใหมท่ ่แี สดงใหเ้ ห็นถงึ การเรยี นรู้ การสร้างสรรคแ์ ละการผลติ ใหมอ่ ย่างกรณี
ทางศิลปะออกแบบเปน็ ต้น (ดูภาพท่ี ๑๓ : ตฤน กติ ตกิ ารอำ� พล)
ข้อคิด :
วิธีคิดเพ่ือหาความรคู้ วามจรงิ นน้ั การใชป้ ัญญาญาณของอารมณค์ วามรู้สึกอยา่ งเดยี วจะ
ตรวจทานวิชาความรูไ้ ด้ยากและมคี วามเป็นเหตผุ ลส่วนตนมาก ควรน�ำระบบเหตผุ ลดว้ ยปรชี าญาณ
ผสมผสานไปกับการหยง่ั ร้ดู ว้ ยปัญญาควบคูก่ นั ไป จะชว่ ยให้ผลของวธิ คี ดิ มีความน่าเชือ่ ถือและ
ยอมรับได้
(๒) ทฤษฎีเกีย่ วข้อง วิธคี ิดคือหัวใจของสุนทรยี ศาสตรแ์ ละคำ� วา่ “วธิ ีคดิ ” ที่เป็นพหูพจนเ์ น่ืองจาก
มหี ลายวธิ ี หลายแนวทาง และทศิ ทางเกาะเก่ียวซ่อนกนั อย่ ู เพ่ือน�ำทางไปสูว่ ธิ คี ดิ อยา่ งกา้ วหน้า และมคี วาม
สมบรู ณจ์ นนำ� ไปส่คู วามคดิ ใหม่ ความรใู้ หม ่ โดยมีทฤษฎีความคิดของเอด็ วาร์ด เดอ โบโน (Edword De Bono
: ๑๙๙๐) ไดน้ ำ� เสนอทฤษฎีทางความคิดแบบกา้ วหน้า และสร้างสรรคไ์ ว้ ๒ ทฤษฎีคือ Vertical Thinking หรือ
การคิดแบบแนวตง้ั ซึง่ มีการคดิ แบบคงที่จากข้อมูลหนง่ึ ไปยังอีกสภาวะ ๑ มคี วามต่อเน่อื งกนั ไป และ Lateral
Thinking หรือ การคิดแบบแนวนอนดว้ ยการสร้างความคิดหลากหลาย หรือสร้างทางเลือกท่ีหลากหลายเปน็
การคดิ ของการเคล่ือนออกไปจากแนวคิดหน่ึง แนวทางหน่งึ ไปยังแนวคดิ อ่ืนๆ เพ่ือหลกี หนจี ากแนวคิด วิธคี ดิ เดมิ
(ดูภาพท่ี ๔๘ ประกอบ และภาพที่ ๔๙)
92 วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบขั้นสูง
หยิงหยาง : สญั ลักษณ์ลัทธิเตา๋ มีความหมายถึงพลังกำ� ลัง ท่มี บี ทบาทตอ่ กนั
ของคู่ตรงข้ามก่อก�ำเนดิ ความสมดลุ ยแ์ ห่งจักรวาล สู่วัฒนธรรมและศิลปะ
ภาพท่ ี ๔๙ ตัวอย่างการทดลองหาความเปน็ ไปไดแ้ บบวธิ คี ดิ ใหม ่ ตามแนวคดิ ของทฤษฎีสมอง ๒ ซีก และ
หยนิ หยาง สะท้อนถึงความแตกตา่ งกันระหว่างความเป็นเหตุผล และอารมณค์ วามรูส้ ึก ความชวั่
ความดี เปน็ ต้น น�ำมาออกแบบภาพของสหี น้าทางวัฒนธรรมในรูปผสมแบบใหม่เชน่ อาฟริกา - ญ่ปี ่นุ
(ภาพขวา) และออกแบบภาพลายเส้นของสหี น้า ๒ ดา้ น ในภาพลกั ษณ์ท่ีแตกตา่ งกนั ตามแรงบันดาลใจ
จากแนวคดิ ข้างต้น (ภาพซา้ ย)
มุมมองสำ� คญั สำ� หรับวธิ ีคดิ เพื่อให้เกิดความกา้ วหน้าและพฒั นาข้นึ ไปได้แก ่ มองเชงิ เด่ียว (Linear
Perspective) คือมองไปในทศิ ทางหนงึ่ ทศิ ทางใดเท่าน้นั เชน่ การพัฒนาประเทศให้ทันสมัยคือการเปล่ยี นแปลง
ไปในทิศทางเดยี วนั่นคือ ทศิ ทางทพี่ ยายามเลียนแบบตะวันตกในทุกกรณ ี และมมุ มองเชิงซับซอ้ น (Complexity
Perspective) คอื มองวา่ ความรคู้ วามจรงิ ไมม่ ีระดับเดียว หากมหี ลายระดบั ซับซอ้ นทับกนั อยู่ และความส�ำเร็จ
เองก็ไมม่ สี ตู รสำ� เร็จ
นอกจากน้นั เพื่อความคิดแบบกา้ วหนา้ ใหก้ ้าวไกลได้หลายแงม่ ุม หลายทศิ ทางได้ตอ้ งเป็น “การคิดแบบ
อเนกนยั ” (Divergent Thinking) ซึ่งตรงกันข้ามกบั “ความคดิ แบบเอกนยั ” (Convergent Thinking)
เหตุเพราะการคดิ แบบเอนกนัย สามารถบูรณาการความคิดเชิงปริมาณและคณุ ภาพเข้าดว้ ยกนั จนน�ำไปสู่การ
ประดษิ ฐค์ ิดคน้ ส่งิ แปลกใหม่ รวมไปถึงน�ำไปสแู่ นวทางการแกป้ ญั หาให้ส�ำเรจ็ ลงด้วยดี
วิธีคิดทางศลิ ปะออกแบบขัน้ สูง 93
ดังน้นั หากจะสรุปถึงทฤษฎแี นวคิดและมมุ มองจากผู้รขู้ า้ งต้น ท่มี ีบทบาทตอ่ วิธีคดิ แบบก้าวหน้าของ
ศิลปะออกแบบ จะมีหลักคิดอันเปน็ แก่นสารสำ� คญั คอื “การคิดแบบแนวนอน” อย่างมคี วามหลากหลายหรือ
สร้างทางเลอื กอยา่ งหลากหลายดว้ ย “มุมมองเชิงซับซ้อน” ของตรรกะว่าความร้คู วามจรงิ ไม่มรี ะดับเดียว แต ่
มีหลายระดบั ซอ้ นทับกันอย ู่ และความส�ำเร็จไม่มสี ตู รส�ำเรจ็ นอกจากน้ัน การคดิ แบบอเนกนัยจะสามารถ
“บรู ณาการความคดิ ” เชิงปรมิ าณของความคิดเหตุผลแบบ “ปรชี าญาณ” และความคิดเชงิ คณุ ภาพของ
ความคิดแบบ “ปัญญาญาณ” ใหม้ กี ารผสมผสานกนั จนน�ำไปสู่การประดษิ ฐค์ ดิ ค้นนวัตกรรม งานสร้างสรรค ์
สิ่งแปลกใหมท่ ส่ี งู ค่าล�้ำค่าตอ่ ไปในอนาคต
ทดลองออกแบบจดั ระบบความสมั พนั ธ์จากข้อสรุปทฤษฎีทผี่ า่ นมา ด้วยการออกแบบแผนภาพวธิ คี ดิ ที่
ผสมผสานบนโครงสร้างแนวนอน และแนวตง้ั พรอ้ มกบั องคป์ ระกอบเก่ียวข้องตา่ งๆ (ภาพท ี่ ๕๐)
กำ� หนดความหมายของเสน้ เชิงในของแผนภาพ
ภาพท ่ี ๕๐ แสดงตวั อยา่ งวิธีคดิ จากการสรปุ ทฤษฎแี ละแนวคดิ ตามมุมมองจากผู้รู้ ดว้ ยการออกแบบแผนภาพ
วิธคี ดิ ใหมข่ องโครงสร้างหลกั ได้แก ่ เส้นแนวนอนทางความคดิ องคป์ ระกอบหลายสื่อสิง่ ปรีชาญาณ
และปัญญาญาณ กับบูรณาการทางความคิด โดยวธิ ีคิดครงั้ นี้อาศัยการเช่อื มโยงระหวา่ งทศั นศิลปแ์ ละ
โสตศิลป ์ เพอ่ื น�ำไปส่กู ารประยุกต์ต่อยอดทางอนิเมช่ันอารต์ ในรูปแบบใหม ่ (ภาพซ้าย) แสดงตัวอยา่ ง
แผนภาพ ๓ มิติ มองเห็นรปู แนวนอนซ้อนทบั กนั สร้างความเข้าใจในมิติด้านอื่นๆเพิม่ มากขึน้ (ภาพขวา)
94 วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบข้ันสงู
วิธีคิดแบบมงุ่ เป้าและความคิดกา้ วหนา้ มีความแตกต่างจากแนวความคิด ในสาระของการคดิ ทม่ี ีหลายมิติ
(กวา้ ง ยาว สงู หนา) คอื คดิ มองอย่างรอบด้าน และมมุ มองเพอ่ื หาความรู้ความจริงบางแง่มมุ บางเร่ืองจากการ
ถกู สิง่ อน่ื มาซ้อนทบั ไว้ การปรับขยับทางความคดิ ดว้ ยความยืดหยุ่นอยู่เปน็ ลำ� ดบั เพ่อื ค้นหาหรอื เขา้ ถงึ ความสมบูรณ ์
ดว้ ยการอาศยั วิธคี ิดอย่างคาดไมถ่ งึ อันเกิดจากความบังเอญิ หรอื เกดิ จากความเขา้ ใจและต้ังใจกต็ าม (ดภู าพท่ี ๕๐)
ยอ่ มน�ำผลของวิธีคดิ และการแสวงหาทไี่ ด้ น�ำไปส่คู วามก้าวหน้าในอนาคต
ทม่ี าของวธิ คี ดิ เกิดขน้ึ มาจากคนแต่ละคน ในสังคมวัฒนธรรมเปน็ ผ้สู รา้ งขน้ึ โดยเช่ือวา่ ความรคู้ วามจรงิ
ทัง้ หลายอยู่ภายในตวั “Knowledge is here” และตัวเราเปน็ ผสู้ ร้างมนั ขึ้นมาสะท้อนผา่ นสญั ลกั ษณ์และภาษา
ทางศิลปวัฒนธรรมด้านทัศนศลิ ป ์ นาฏศิลป์ (Drama) คีตศลิ ป ์ (Music) ออกแบบทางทัศน ์ (Visual
Communication Design) เปน็ ต้น การจดั ท�ำความเขา้ ใจวิธีคดิ และแนวความคดิ ให้กระจ่างในทกุ มิติ และแง่มุม
ไดด้ ี มคี วามจำ� เป็นต้องรับรูแ้ ละเรยี นรปู้ จั จัย และเงอื่ นไขทางสงั คมวัฒนธรรมนั้นๆประกอบควบคูไ่ ปด้วย
๓.๒ วธิ ีคดิ ทางศิลปะออกแบบไทยและสากล
วธิ คี ิดและสุนทรียศาสตร์แบบวฒั นธรรมไทยและวฒั นธรรมสากล เป็นสาระที่มคี วามเก่ียวขอ้ งกับความคิด
ในการสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปะและออกแบบมาเปน็ ลำ� ดบั และนับวนั จะทวีความจำ� เป็น และส�ำคัญเพม่ิ มากขึน้ ตอ่
การรบั รเู้ รียนรศู้ าสตรท์ างไทย ภมู ิปญั ญาไทย และสนุ ทรียศาสตร์ไทยใหล้ งลึกถงึ แก่นสารได้จริง เขา้ ถงึ องค์ความรู้
เรื่องราวของวฒั นธรรมทางวญิ ญาณแบบไทย และวฒั นธรรมการรับรู้แบบสากล อยา่ งกระจา่ งชดั ในหลายๆ มิติ
ภูมริ ู้เหล่านั้นจะเปน็ เครอ่ื งมอื นำ� ทางไปส่ ู วธิ คี ิดแบบก้าวหน้าของแบบไทยและสากลต่อไป
ความเชือ่ พน้ื ฐานเก่ียวกบั ศิลปวฒั นธรรมไทย ตามหลกั ฐานของโบราณวัตถ ุ ศลิ ปวตั ถุ และจารกึ จาก
อักษรลายลักษณ์ ต่างยืนยนั และเห็นพ้องต้องกนั วา่ ศลิ ปะไทยมีพฒั นาการมาจากวฒั นธรรมตะวนั ออก โดยมี
อนิ เดียและจนี เปน็ ต้นทางอารยธรรมสำ� คัญในภมู ิภาคน้ี สง่ ผา่ นวัฒนธรรมทางวตั ถแุ ละจติ ใจทางดา้ น ศาสนา
ปรชั ญา จริยธรรมและวัฒนธรรมมาส่ไู ทย โดยเฉพาะวธิ ีคดิ ทางด้านปรัชญาเชิงจริยธรรม และปรชั ญาชีวิต
เปน็ ต้น ส่วนวฒั นธรรมตะวนั ตกมกี รีกเปน็ อู่อารยธรรมสำ� คัญ ในเรื่องของปรัชญาเชิงความรู ้ ไดม้ อี ทิ ธพิ ลทาง
ความคดิ ความเช่ือ แผข่ ยายครอบคลมุ โลกตะวันตกและตะวันออกโดยผา่ นมายังอนิ เดยี จนน�ำไปสู่การสรา้ ง
พระพุทธรูปขึน้ เป็นครงั้ แรกในโลก
อารยธรรมทางศลิ ปะและออกแบบ (ประยกุ ตศ์ ลิ ป์) ของโลกเม่อื พจิ ารณาจากหลักฐานทางประวัติศาสตร ์
โบราณคดี ตามภมู ภิ าคตา่ งๆ ได้แก ่ อาฟริกา ตะวนั ออกกลาง อินเดีย จีน อเมริกาใต ้ และยโุ รป จะพบไดว้ า่
มอี ารยธรรมถอื ก�ำเนดิ ข้ึนในเวลาใกล้เคยี งกัน ในหลายแหล่งตามล่มุ นำ�้ สำ� คัญของโลก เชน่ ลุ่มน�้ำไนล์ของอียิปต์
ลมุ่ นำ้� สินธุอินเดีย ล่มุ น้�ำแยงซเี กยี งของจีน เป็นต้น มแี ก่นของศาสนาพทุ ธ ครสิ ต ์ พราหมณ์ ขงจอ๊ื ตา่ งเป็น
คตคิ ำ� สอนการถอื ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ท่ีหย่งั รากลึกลงไปสู่จติ วญิ ญาณของความคิด ความเชื่อ ความศรัทธาของผคู้ น
มาหลายพนั ปี
สรุปโดยสาระทั้งหลายล้วนเก่ียวข้อง กับวัฒนธรรมวิญญาณทผี่ ูกโยงอยู่กับศาสนาพทุ ธ ครสิ ต์พราหมณ์
หรอื ฮินดู และโลกทางอุดมคติ (Ideal World) กว่าสง่ิ ทีค่ ิดฝัน ถงึ ความเป็นไปได้ของโลกความคดิ ไปจนถงึ
จักรวาลทางอดุ มคติของดนิ แดน ๓ โลกตามทัศนะของพทุ ธศาสนา สะทอ้ นถงึ รูปลกั ษณข์ องดนิ แดนสามโลกจาก
ความคดิ ทางนามธรรมของการรบั รภู้ ูเขาสการ์มาตา (หรอื เอเวอเรสต์) คือจกั รวาลของชาวพทุ ธอันประกอบดว้ ย
โลกภูมิ สวรรค์ภูม ิ และนรกภมู ิ โดยกำ� หนดความมอี ยู ่ ด�ำรงอยู่และเปน็ ไปของมนษุ ย์ (ตนเอง) ไปตามกฎแห่ง
กรรมและวัฏจักรแหง่ ชีวติ ทีเ่ วยี นวา่ ยอยใู่ นโลกและจกั รวาลในภพชาติกอ่ น ๓ โลกภูมินี ้ และหยุดกรรมของ
ตนเองได้เมือ่ ถงึ “พระนพิ พาน” ดนิ แดนทเ่ี ป็นความสุขสูงสุด ของโลกไตรภูม ิ (ภาพท่ี ๔๑)
วธิ คี ดิ ทางศิลปะออกแบบข้ันสงู 95
ภาพท่ี ๕๑ ลายเส้นแสดงรปู จักรวาลทางอดุ มคตขิ องไทย เบ้ืองบนเป็น สวรรคภ์ ูมิ ตรงกลางเป็นมนษุ ยภ์ ูมิ
และเบ้อื งล่างลงไปเปน็ นรกภูมิ มีลกั ษณะตามความเชอื่ ว่ามสี ัณฐานกลมเหมอื นถว้ ย โอบล้อมดว้ ยน�ำ้
ในมหาสมุทรดว้ ยเขากําแพงจักรวาล มเี ขาพระสุเมรุตั้งอยรู่ ะหว่างกลางเปน็ แนวตั้งสูงเสียดฟ้า เบื้องลา่ ง
ของเขาพระสเุ มรุจมอย่ใู ตม้ หาสมุทร และมีปลาอานนทน์ อนหนุนจกั รวาลอย่ ู เขาพระสเุ มรุล้อมรอบด้วย
เขาทั้ง ๗ (เขาสัตตบรภิ ัณฑ์) มีแผ่นดนิ ทเี่ รยี กว่าทวีปท้งั ส่เี ป็นเกาะล้อมรอบ ๔ ทศิ ทิศใต้คอื ชมพูทวปี
มดี ินแดนหิมพานต์ตงั้ อย่แู ล้วมนุษยอ์ าศยั อยู่ ในที่น ้ี สว่ นเบอื้ งล่างใต้เมอื งบาดาลลงไป แสงสวา่ งจาก
ดวงอาทติ ยจ์ ะไปไมถ่ งึ เป็นนรกภูมิ มที ัง้ หมด ๘ ขมุ
ที่มา : ลายเสน้ โดยบรรยวัสถ์ ประเสรฐิ วรชัย
96 วธิ คี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขัน้ สูง
จกั รวาลทางอุดมคตติ ามทศั นะพทุ ธศาสนาไดส้ ะทอ้ นใหเ้ ห็นถึงความคิดเกยี่ วกบั ดาราศาสตร ์ โหราศาสตร์
และหลักศีลธรรม อันสืบเนอื่ งจากกฎแหง่ กรรม ในแต่ละภพชาติเชน่ สวรรคภ์ มู ิท้งั ๖ ชัน้ และนรกภูมิทง้ั ๘ ขุม
ในแต่ละชนั้ ตา่ งมี รูป - นาม (ความหมาย) ออกมาเป็นลักษณะให้มองเหน็ ได้ตามภูมิ เชน่ สวรรคภ์ มู ิ และนรกภมู ิ
ในทางพทุ ธศาสนาถอื ว่าอยใู่ นดนิ แดนตามภูมิทง้ั หมด เพราะถอื วา่ ยังอยู่ในกเิ ลสตณั หาและในกาม และมีความ
โลภความอจิ ฉารษิ ยากนั อยู่ ส่วนดินแดนท่อี ยเู่ หนอื กามภูขึ้นไปมสี องแดนคอื รปู ภูม ิ และอรูปภูมิ อันเปน็ ดนิ แดน
สุดยอดของพุทธ
ภาพที่ ๕๒ จิตรกรรมฝาผนังเรอ่ื งไตรภมู ิดา้ นหลังพระประธานในพระอุโบสถวดั ใหญ่อนิ ทาราม จงั หวัดชลบุรี
ที่มา : ภาพ ชัยยศ วนชิ วัฒนานวุ ัติ
ชมพทู วีปคือดินแดนทตี่ ั้งของปา่ หิมพานต ์ เป็นดนิ แดนของความคิดนามธรรมทางศลิ ปวฒั นธรรม และ
ให้กำ� เนดิ หลายส่ิงอยา่ งบนดนิ แดนแหง่ จินตนาการน้ ี เรม่ิ ตั้งแต่การประสตู ิของอดีตพทุ ธเจ้าในหลายพระองค์
จนมาถึง “พระพุทธโคดมพระพทุ ธเจ้า” พุทธประวตั ขิ องพระองคแ์ ละอดตี ชาต ิ ตา่ งถอื ก�ำเนดิ บนดินแดนแหง่ นี้
จนถึงการบรรลุถงึ นพิ พาน นอกจากนัน้ การเกดิ เปน็ มนุษย์จะเกดิ ได้บนชมพูทวีปเท่านัน้ และมแี ต่มนษุ ย์เท่านั้น
มีปัญญาจะบรรลมุ รรคผลนพิ พานได ้ สตั ว์อืน่ และเทวดากไ็ มส่ ามารถตรัสรู้ตอ้ งมาเกิดเปน็ มนุษย์ก่อน
พิจารณาจากความนยั ข้างตน้ มนุษย์ เทวดา และพรหมท้งั หลายหากสิน้ อายุขยั จะมาเกิดบนแผน่ ดนิ
ชมพูทวีปทั้งสน้ิ รวมถึงพระพุทธเจา้ พระปจั เจกพทุ ธเจ้า พระอรหันตข์ ณี าสพ พราหมณ์ ฤษี เปน็ ตน้ เปรยี บได้
กบั เปน็ เสมือนเสน้ ทางผ่านไปสู่ไตรภมู ิ ระดบั ชัน้ ตามกรรมท่ไี ดก้ ระท�ำไวใ้ นแต่ละภมู ขิ องแต่ละภพชาต ิ หากด�ำรง
อย่ใู นกามภมู ิแล้ว การบรรลถุ ึงรปู ภมู ิ อรปู ภมู แิ ละดนิ แดนพระนิพพานอนั สงู สดุ ก็จะเปน็ ไปได้ยาก
วธิ ีคดิ ทางศิลปะออกแบบขนั้ สูง 97
๓.๒.๑ ความคิดนามธรรมกับภาพอุดมคติไทย การจะเขา้ ใจวิธคี ิดทางศิลปะออกแบบไทยให้
ชดั เจน ลุม่ ลกึ จนนำ� ไปส่กู ารออกแบบหรอื สรา้ งสรรคใ์ หเ้ กิดความก้าวหน้าและเปน็ ไปอย่างผู้ร้ไู ดน้ ้ันมคี วามจำ� เปน็
ตอ้ งเขา้ ใจสาระของความคิดนามธรรม หรือจติ ภาพไร้รูปของไทยเป็นเรื่องแรกก่อนวา่ คืออะไร มคี วามสำ� คญั
อยา่ งไรต่อศลิ ปะและออกแบบไทย และไทยรว่ มสมยั ต่อไปในอนาคต
ความหมายของความคิดนามธรรมคอื ความคดิ ภาพความคดิ หรอื จิตภาพภายในสมอง ท่ีเกิดข้นึ จาก
การเปลีย่ นแปลงระดับการมองปรากฏการณ์ธรรมชาต ิ ท่ีมีความเปน็ รูปประธรรมจากการรับรู้ทางตา หู จมกู
ปาก และให้มีความหมายเชงิ นัยอย่างใดอยา่ งหนึ่ง ของความเป็นนามธรรม และมโนภาพแบบใดแบบหน่งึ ซ่ึงมี
ลักษณะจ�ำเพาะเจาะจง และมโนภาพหรอื จติ ภาพแบบใหมท่ ่ีปรากฏขึ้นน ี้ จะมีความหมายต่อปรากฏการณอ์ ื่น
ทีม่ ีปรากฏการณ์ทำ� นองเดียวกันได้
“ภมู ปิ ัญญาทางความคดิ นามธรรมอยา่ งไทย” มีแนวทางกอ่ ภาพความคิด ด้วยการอาศัยการลดรูป
ความจรงิ ทางรปู ธรรมจากการรบั ร ู้ ท่มี องเหน็ ไดท้ างสายตา ให้ลดเหลือความจริงทางนามธรรมแบบกวา้ งๆ
แบบไม่จำ� เพาะเจาะจง ให้ออกมาเปน็ แก่นสารของหลกั การโดยภาพรวม เปน็ ความนา่ จะเปน็ ของความคิด
นามธรรมแบบใหม่และแกน่ สารหลกั การนีเ้ ป็นเหตุปัจจัยภายในท่ีไร้รูปและเปน็ ก�ำลงั พลงั แฝงเร้นของปรากฏการณ์
ท้งั หลายให้ด�ำรงอยู่และเปน็ ไป
ตวั อย่าง :
98 วิธคี ิดทางศิลปะออกแบบข้นั สงู
ความคิดนามธรรมของไทยและตะวนั ออก เปน็ วิธีการมองธรรมชาตจิ ดั ความสัมพนั ธ์ของตัวเองกบั
ธรรมชาติ สง่ิ อย่เู หนือธรรมชาติ อำ� นาจผู้มีอ�ำนาจและปรากฏการณร์ อบตัวทางสงั คมและวฒั นธรรม และ
คตคิ วามเชื่ออย่างตระหนกั รู ้ ดว้ ยการเขา้ ถงึ แบบหย่ังเห็นสงิ่ ท่ลี มุ่ ลึก หรือแก่นสารไรร้ ปู ภายในส่อื ส่งิ ทม่ี ี พลัง
อำ� นาจและซอ่ นตัวอยเู่ บือ้ งหลัง ทีต่ ้องสรา้ งความสัมพนั ธ์กับสง่ิ เหนอื ธรรมชาตเิ หลา่ นน้ั โดยเปน็ สว่ นหนง่ึ ของมัน
มันเป็นพลงั ก�ำลังทจี่ บั ตอ้ งไมไ่ ด้ แต่หยัง่ รู้ได้ดว้ ยญาณ (ชาน) ถงึ พลังอันศักดิส์ ทิ ธ์ิอยา่ งใดอย่างหนึง่
เป็นส�ำคญั ส่องผ่านมาส่อู ินทรียป์ ระสาทของตวั เรา โดยใหภ้ าพแทนความคิดไรร้ ูป มาสรู่ ูปทีม่ องเห็นไดว้ ่า
ส่ิงศักดิ์สทิ ธนิ์ ้ันเป็นรปู อะไร เช่น ภูต ผี ปีศาจ เทพาอารักษ์ มฤี ทธิเ์ ดชอยา่ งไร อยบู่ ริเวณไหน หลังจากนน้ั
จะใหน้ ามคือสว่ นของจติ ใจเปน็ ชือ่ นัน้ ช่อื นี้ และภาวะอารมณค์ วามร้สู กึ ท่ไี ดจ้ ะเปน็ เน้ือหาและสาระจากการหยั่งรู้
หนึง่ ๆ สว่ นมากจะสะท้อนออกมาของรปู สญั ลักษณ์ให้ปรากฏขึ้น
สังคมวฒั นธรรมไทยมองธรรมชาติ ปรากฏการณแ์ ละเหตุการณ์ มคี วามเกี่ยวข้องเชอ่ื มโยงกับเร่อื งของ
กาลและพ้นื ทีห่ รอื เทศะอย่างแนบแนน่ ๆ เช่อื วา่ ความเป็นไปของสรรพส่ิงและวถิ ชี วี ิตล้วนมีปัจจัยมาจากเวลาหรือ
กาล และพ้นื ทีห่ รือเทศะควบคกู่ นั โดยน�ำปรากฏการณ์เหตุการณ์และการเคล่ือนการเปลีย่ นแปลงในแต่ละกาล
มาเทยี บเคียงกนั เพ่ือระบุเรอ่ื งของวันเวลา เชน่ เวลากอ่ นเที่ยงวันจะเรยี กวา่ “เวลาเพล” อนั หมายถงึ ชว่ งเวลา
พระฉันอาหารกลางวันหรอื ฉนั เพล คำ� วา่ เวลาเพลจงึ เปน็ เหตกุ ารณท์ างวฒั นธรรมไทย เพ่ือใช้ระบเุ วลากอ่ นเท่ียงวนั
เชน่ เดียวกับคำ� วา่ “เคย้ี วหมากแหลก” เป็นเหตกุ ารณ์การกนิ หมาก ณ ขณะหนงึ่ ๆ ตอ่ การใชเ้ วลากว่าหมากจะ
แหลก มาระบุเวลาของการทำ� ส่ิงหน่งึ สิ่งใด ในช่วงสนั้ ๆ หรอื ค�ำว่าใช้เวลา “ลดั นวิ้ มอื เดียว” เปน็ ตน้
เร่อื งของพืน้ ท่ี (เทศะ) ในความหมายมันไม่ใชพ่ ื้นดนิ ของความว่างเปล่า มีความกวา้ ง ความยาว และ
ความสูงตามแบบที่ปรากฏ ในสภาพความเปน็ จรงิ บนพิกดั โลกตามความคดิ แบบสากล ซงึ่ นอกจากมีความ
ศักดสิ์ ิทธ์ิ มสี ือ่ ส่ิงไร้รูปที่มีพลังอำ� นาจสถิตอยู่แล้ว พ้ืนทีห่ รือเทศะคือสถานท่ีของการสร้างความสัมพนั ธแ์ ละความ
รว่ มมอื รว่ มใจ ระหว่างกนั ในชมุ ชน ทอ้ งถ่ิน และบา้ นเมือง เช่น บรู ณาภาพในชมุ ชนระหว่างบา้ น วดั และ
โรงเรยี นท่ีเรียกเปน็ ค�ำย่อวา่ “บวร” หรอื “การลงแขกลงขนั ” ทีช่ าวบา้ นในประชาคมรว่ มมอื ร่วมใจ และรว่ มแรง
เพือ่ ชว่ ยกนั เกย่ี วข้าวโดยไมค่ ิดค่าจา้ ง เปน็ ตน้ ความเป็นไปแห่งเทศะหรือพืน้ ทใ่ี นความนยั ดงั กลา่ ว ตา่ งลว้ นสะท้อน
ให้รบั รู้สกึ ได้ถงึ วถิ แี ห่งความคดิ นามธรรม อันเปน็ ความหมายท่ลี ุม่ ลึกของความมีตัวตนแบบไทยของเรา
ความคิดนามธรรมชว่ ยใหเ้ ขา้ ถงึ หลักการ กฎระเบียบ ระบบบางอยา่ งภายในปรากฏการณ์ทาง
ธรรมชาติ พ้นื ทีแ่ ละเหตุการณ์ ที่มผี ลต่อปรากฏการณอ์ ่นื ได ้ ทง้ั ส่ิงมชี วี ิตและไม่มีชีวิต หรือใหค้ ำ� อธิบายถงึ ความ
หมายไรร้ ปู ทางนามธรรมของความจริง อันเป็นกฎทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาต ิ และสัจธรรมในวัฏจกั รชีวิตของกฎ
ทางพทุ ธศาสนา ไมว่ ่าจะเป็นเรอื่ งของการเปล่ยี นแปลงหรือการเคลือ่ น (Move) ทางธรรมชาตแิ ละ อนจิ จฺ ํ
(ความไม่เท่ยี ง) อนั เป็นสังสารวัฏทางพทุ ธศาสนา ผา่ นสัญลักษณร์ ูปแทนความคิดตา่ งๆ เปน็ ต้น
วธิ คี ิดทางศิลปะออกแบบขนั้ สงู 99
ภาพท่ี ๕๓ ปรากฏการณธ์ รรมชาติแสดงการเคลื่อนไปของกาละเทศะชายฝัง่ ทะเลในเวลาเชา้ กลางวนั และคำ่�
(ภาพชดุ ซ้าย) ผลงานของดาว วาสกิ ศิริ “Quiet Encounters” ๒๐๐๑ – ๒๐๑๘ ขนาด ๕๐ x ๗๐ ซม.
และ ๘๐ x ๑๒๐ ซม. สะท้อนภาพการบันทกึ ภมู ิทศั น์จากการเคล่อื นไปของพ้ืนท่เี มอื งและชนบท
ปจั จบุ ัน จะมองเหน็ การเคลอื่ นของพืน้ ที่เมอื งและชนบทมีความเหลื่อมซ้อนกันจนไมส่ ามารถหาเส้นแบง่
ของปรากฏการณ์ทางวิถขี องสงั คมและ Life Style
ทมี่ า : Bangkok Art Biennale “ฺBeyond Bliss”
๓.๒.๒ วธิ ีคิดนามธรรมกบั สนุ ทรยี ศาสตรไ์ ทย ความคิดนามธรรมหรอื จติ ภาพนามธรรมของ
ศิลปะออกแบบไทย ตัง้ แต่สมยั กรงุ สุโขทยั ลงมา เป็นภาพสะทอ้ นของความร้คู วามจรงิ ทางอุดมคต ิ (Idealist)
บนโลกและกวา้ งไกลไปถึงจักรวาลทางอดุ มคต ิ (Ideal Reality) ของส่งิ อยู่เหนอื โลก เช่น ท้องฟา้ ดวงดาว
พระอาทติ ย์ พระจนั ทร ์ และจกั รวาลท่เี ก่ียวขอ้ งกบั วิถีชวี ติ การเปดิ เผยพรมแดนของความรู้ ความคิดและวิธีคดิ
ของไทยในสารไร้รปู และสนุ ทรียศาสตรข์ องอุดมคตยิ งั คงเปน็ ปรศิ นา ชวนใหเ้ ช่ือไปว่าศิลปะออกแบบไทย
ไม่มีความคดิ หรือวิธคี ดิ นามธรรมแบบโลกตะวนั ตก
ความจริงและขอ้ เทจ็ จรงิ เก่ยี วกับเร่อื งความคิดนามธรรมน้ัน บรรพบุรุษไทย ชา่ งไทย และผูร้ ู้ในอดตี
มีความคิดและ วิธกี ารมองโลกและพนื้ ทท่ี างธรรมชาต ิ ปรากฏการณ์ธรรมชาติในความคิดทีพ่ เิ ศษ ความน่า
อัศจรรยแ์ ละลกึ ซงึ้ มากกว่า การรบั รูท้ างการเหน็ ไดด้ ว้ ยตาเนอ้ื แบบปกติ เช่น ความวา่ ง (Space) ของผืนแผน่ ดนิ
เป็นป่าเขาแบบนเิ วศวทิ ยา โดยมนษุ ยส์ ามารถเข้าไปแผ้วถางในทร่ี กรา้ ง เพอ่ื ใชป้ ระโยชนอ์ ย่างหนึง่ อยา่ งใดได ้
ในพนื้ ที่วา่ งตามต้องการ
100 วธิ คี ิดทางศลิ ปะออกแบบข้ันสูง
กรณีความเช่อื ของไทย ในความวา่ งของท้องฟ้า ผืนปา่ และแผน่ ดนิ ท้องฟา้ และทอ้ งทะเล รวมไปถงึ
เรือกสวนไรน่ า ต่างลว้ นมีสง่ิ ศกั ดิ์สิทธิ์ไร้รปู ลกั ษณ์คุ้มครองปอ้ งกัน และดูแลอยู่ไดแ้ ก ่ ผ ี เจ้า เทพารักษ ์ และ
สิ่งศักดิ์สิทธเิ์ หลา่ น ้ี สามารถให้คุณโทษกับผู้คนทัง้ หลายได้ หากกระท�ำการส่งิ ใดไมช่ อบ ไม่ดีงามหรอื ผดิ ทำ� นอง
คลองธรรมบนพ้ืนที่
ภาพท ่ี ๕๔ ความคดิ นามธรรมของคตคิ วามเชอ่ื พน้ื ถน่ิ เกย่ี วกบั พืน้ ทลี่ มุ่ นำ้� บางปะกง – บางปลาสรอ้ ย มีความเชอ่ื
เก่ียวกับผตี ะเคียน เทพารักษ ์ ในธรรมชาต ิ จระเข้เจา้ ผที ะเลแม่น�ำ้ เจ้าพ่อสาครเปน็ ตน้ มีการ
ปลูกสร้างศาลเทพารกั ษส์ �ำหรับต้ังเจว็ด มรี ปู เทพารักษ์หรือเจ้าพ่อเจ้าแม่ในพื้นแผ่นไมก้ ระดาน พนื้ ที่
ล่มุ นำ�้ บางปะกงในอดีตมจี ระเขช้ ุกชมุ และดุร้ายมาก จนชาวบา้ นยกใหเ้ ป็นจระเขเ้ จ้าและน�ำไปสรา้ งเป็น
เจวด็ ไว้บชู า
วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบขัน้ สูง 101
ภาพท่ี ๕๕ เจวด็ รูปเทพารักษภ์ ายในศาลเจา้ พอ่ หลกั เมืองชลบุรี สร้างมาแต่คร้ังชว่ งกลางกรงุ ศรีอยุธยา
เปน็ ตน้ มาจนถึงรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยู่หัว (รชั กาลท่ี ๕) บริเวณส่วนฐานสลกั
ภาพสัตวท์ ี่ดุร้ายในทอ้ งถนิ่ มรี ปู จระเข้ เสือ หม ี เป็นส่วนประกอบ มีความแตกต่างจากเจว็ดในเมอื งหลวง
(ภาพซา้ ย) เจว็ดรูปเรือเจ้าทรงจระเข้ภายในศาลเจา้ พอ่ สาคร อ�ำเภอบางปะกง จังหวดั ฉะเชงิ เทรา
สะท้อนความเชือ่ ของชุมชนชาวน้ำ� อย่างมคี วามหมาย (ภาพขวา)
ความคิดนามธรรมในศลิ ปะออกแบบของไทยจะแฝงอยภู่ ายใต้รม่ เงาของพระพทุ ธศาสนา ศาสนาพราหมณ์
สนุ ทรียศาสตรแ์ ละปรชั ญาความเชื่อของวฒั นธรรมทางวิญญาณ (Spiritual Culture) ท่ยี ดึ โยงกนั อยา่ งมั่นคง
โดยให้ความสำ� คัญเชงิ บูรณาการระหวา่ งศาสนา ปรัชญา และสุนทรียศาสตรเ์ ป็นอันหนึ่งอันเดียวกนั ในจกั รวาล
ของอดุ มคติอย่างกวา้ งใหญ่ไพศาล ไม่สามารถจะหยง่ั ถงึ ได้ตามผัสสะจากการรบั ร้ปู กติ
มีความเป็นไปได้ทางความคิดศลิ ปะออกแบบอยา่ งอเนกอนนั ต ์ เป็นความงามทีป่ รากฏผา่ นรปู ลกั ษณ์
จากการสรรคส์ ร้าง ใหม้ คี ุณสมบตั ิของความเลอคา่ กวา่ ความงามปกต ิ เชน่ ในความเปรยี บวา่ ค้วิ โกง่ ดังคนั ศร
ตางามเหมือนตากวาง ผวิ งามเหมอื นพระจนั ทร์ เชน่ เดยี วกับการสรา้ งสรรคภ์ าพหญิงสาวให้งดงาม จะออกแบบ
ให้มีรูปสณั ฐานและทรวดทรงทีง่ ดงามดุจเดียวกับดอกบัว อันเปน็ ดอกไมท้ ส่ี ูงค่าในความหมายทางพทุ ธศาสนา
102 วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบขนั้ สงู
ภาพลักษณ์ของรูปใหม่ทีบ่ งั เกิดข้นึ เป็นสุนทรียทางอดุ มคติ
ภาพที่ ๕๖ สุนทรยี ทางอดุ มคต ิ ตามคตคิ วามเชอ่ื แบบอนิ เดียในพระพุทธรูปปางแสดงธรรมสกลุ ศิลปะคุปตะ
ทีส่ ารนาถพทุ ธศตวรรษท่ี ๙ - ๑๒ (ภาพทสี่ องจากซา้ ย) และพระพุทธรปู ปางมารวชิ ัยศิลปะสุโขทยั
พุทธศตวรรษที่ ๒๐ (ภาพซ้าย) ภาพชดุ ขวาสุด แสดงการเปรียบเทยี บพทุ ธลกั ษณะของพระพทุ ธรปู
ไทย - อินเดยี ด้วยสามเหลย่ี มทาลามตามหลัก ของพราหมณ ์ เพื่อคน้ หาลักษณะสุนทรียทางอดุ มคติ
กับการใช้สัดสว่ นทำ� จากหลักการเกลียวกน้ หอย (Golden Mean Tangle) ตามหลักของกรีก
(ภาพขวาสุด) สามเหลีย่ มทาลามจะมีรปู รา่ งของเส้นทน่ี �ำไปส่คู วามเปน็ อุดมคตทิ างตะวนั ออกมากกว่า
รูปสุนทรยี เกิดขึน้ จากความปิตยิ ินด ี และความพงึ พอใจทางจติ ใจ (ชอบ - ร้สู ึก) จาก Mental Image
หรือจนิ ตลักษณภ์ ายในผสมผสานกับ คณุ ธรรม (ดงี าม) และทางสนุ ทรยี ะควบคู่กนั ไป พร้อมกบั คติความเช่อื
ประจ�ำถน่ิ ของแตล่ ะวัฒนธรรมอนั แตกตา่ งหลากหลายกนั ไป จนน�ำไปสกู่ ารเนรมิตรปู สนุ ทรยี แบบไทย และ
แบบอินเดยี อันเป็นรากเหงา้ ของวัฒนธรรมทางวิญญาณ ในวัฒนธรรมตะวันออกน้ี (ภาพท่ี ๕๓) โดยมีหลักคิด
การสรา้ งดงั นี้
(๑) การสรา้ งรูปสนุ ทรียจากนามไรร้ ูป เนอื่ งจากภมู ปิ ัญญางานช่างศลิ ปไ์ ทยมาจากจักรวาลอุดมคต ิ
และวัฒนธรรมทางวิญญาณ อนั เกดิ ขนึ้ จากการผสมผสานคตคิ วามเช่ือ และจินตนาการในหลายด้านจาก Mental
Image คอื ความต้องการของจติ ใจภายใน ซงึ่ เปน็ แก่นสารหลกั มาเปน็ ลำ� ดบั ตง้ั สมัยสุโขทัยลงมาจนถึงปัจจบุ นั
มีการประยกุ ต์ดัดแปลง และกลัน่ กรองสาระของรปู นามอยา่ งไทยอนั มีคณุ คา่ (ตรง - แฝง) ในแตล่ ะช่วงเวลา
มาประกอบผสมผสานกันใหม่ จนสามารถก่อภาพลักษณไ์ ทยในปัจจบุ ันไว้ได้ พิจารณาวิเคราะห์ถงึ วธิ ีคดิ วิธีการ
และกระบวนการสร้างรูปสนุ ทรยี จะมีลำ� ดบั ดังนี้
(๑.๑) อาศยั การสร้างรปู สุนทรียไทยหรือสัญลักษณ์ จะอาศยั ญาณสมาธอิ ยา่ งสงบน่ิง แบบ
เพ่งจดจอ่ กบั จติ ภาพหรอื ความคดิ ภายในเปน็ วิถนี �ำทาง (หรอื ตัวแปรภายในตน) เพ่อื การสรา้ งรูปและนามผา่ น
Element และ Principle ภาพแทนความคิดของสญั ลักษณ์ต่างๆ ใหป้ รากฏ โดยรปู แบบต่างๆ เหล่านน้ั เกดิ ขึน้
จากการเคลือ่ นไป การไหลไปภายในกายและจิตภายในท่ชี อบและรูส้ กึ ให้แสดงออกมา (Mental Image)
วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบขั้นสูง 103
(๑.๒) อาศยั หลักคดิ และการคดิ คำ� นวณทางจินตนาการ ถงึ ความเป็นไปได้ของรปู สนุ ทรียท่ี
เคลื่อนไหวเปลี่ยนรปู อยูไ่ ปมา และหล่งั ไหลออกมาจากปรชั ญาทางความงามทางอดุ มคต ิ ท่เี หนอื กว่าความงาม
จากการรับรูธ้ รรมชาติแบบปกติ เป็นรปู สนุ ทรียทีล่ ะเอยี ดอ่อน ประณีต และวจิ ติ รของ Element ตา่ งๆ ที่
หลอมรวมกนั ตวั ผลงานจะสะท้อนถงึ สุนทรียอันสูงคา่
แผนภาพที่ ๒ แสดงสุนทรียทางอุดมคติไทย มีความเช่อื มโยงกับแก่นสารทฝี่ ังแฝงจาก
หลายองคป์ ระกอบ
(๑.๓) อาศยั มาตราเชงิ อดุ มคต ิ (Ideal Matra) ของหลักคดิ แบบพทุ ธศาสนาและ พราหมณ์
เชน่ สามเหลย่ี มทาลาม (Talam) ควบคูไ่ ปกบั การหยงั่ รู ้ จนิ ตนาการ และปฏภิ าณไหวพรบิ (Improvisation)
เพ่ือคน้ หาและเขา้ ถึงความไดส้ ดั สว่ นทางความงามของสุนทรยี เชิงอุดมคต ิ และสญั ลักษณท์ ีป่ รากฎเป็นรปู ธรรม
104 วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขน้ั สงู
ภาพท ่ี ๕๗ เปรียบเทยี บความคดิ นามธรรมของศลิ ปะตะวันตกและศิลปะไทย ของภาพพระแม่โพสพเทพี
ดินีเทอร์ เปน็ ภาพแทนความคิดเทพีแหง่ ธญั พืชของกรกี (ภาพซา้ ย) และพระแม่โพสพของไทย
(ภาพขวา) แสดงให้เห็นถึงการนำ� เสนอรปู แบบของความจรงิ จากการเหน็ ได้ และรปู แบบสัญลกั ษณ์
ทางอดุ มคติจากความรสู้ กึ นกึ คดิ ของโลกทางวิญญาณแบบไทย
ที่มา : สวุ ัฒน ์ แสนขัติยรัตน ์ “โพสทานชลี” คุณพระแม่โพศร ี เทวนารแี ห่งนาขา้ ว. ๒๕๖๑
วิธีคิดทางศิลปะออกแบบขัน้ สงู 105
(๒) รูปสนุ ทรยี มรี ากและไรร้ าก พฒั นาการของการสรา้ งรูปจากสง่ิ ไรร้ ูป ตามกระบวนการทางศิลปะ
ออกแบบของไทย ตั้งแตส่ มยั สุโขทยั จนถงึ ปัจจบุ นั ตา่ งล้วนอาศยั ปรชั ญาศาสนาพทุ ธและพราหมณ ์ กับ
สุนทรียศาสตรแ์ ละความเชอ่ื เปน็ แกน่ สารสำ� คัญต่อวธิ ีคิดการสรา้ งรูปสนุ ทรีย แบบไทยใหป้ รากฏขน้ึ และ
ความคดิ นีย้ งั เปน็ หลักของผู้มีความบันดาลใจจากศิลปวฒั นธรรมไทย ให้ยึดถอื ปฏบิ ัตอิ ยู่อย่างมั่นคง ซ่ึงมกี ระบวน
วธิ ีการของการกอ่ รูป ก่อรา่ งรปู สนุ ทรียทางอดุ มคตแิ บบหนึง่ แบบใด หรอื กระบวนแบบ (Style) ใดจะขน้ึ อยู่กับ
ความร้คู วามเข้าใจ และการเข้าถงึ สื่อสง่ิ ทีเ่ ปน็ วัฒนธรรมทางวญิ ญาณหรือจกั รวาลอดุ มคต ิ ท้งั ของวัฒนธรรมเดิม
(หลวง) และวัฒนธรรมพืน้ บ้าน (ราษฎร)์ มากนอ้ ยแตกตา่ งกันไปอย่างมนี ยั
ศลิ ปะและออกแบบไทย ต่างมีกระบวนการของวิธคี ิดด้วยการอาศยั รูปแบบหรือกระบวนแบบศิลปะไทย
ท่ีมลี กั ษณะเฉพาะของยคุ สมยั เช่น สโุ ขทัย อยุธยา ในสาระของความมีอัตลักษณข์ องวัฒนธรรมเดมิ หรือ
วฒั นธรรมพืน้ บ้าน หรอื ความ Classic ของรปู จากเส้น ส ี และเน้ือหาของความในตอนทีน่ า่ สนใจ เชน่
พระมหาชนก พระเวสสันดร สังขศ์ ิลปช์ ัย หรอื มารผจญ กอ่ นทีพ่ ระพทุ ธองค์จะบรรลุสมั โพธิญาณ มาผสมกบั
สญั ลักษณ์ไทยของรูปและเรือ่ งทไี่ ดม้ าจากความประทับใจ ความบันดาลใจเปน็ การสว่ นตนมาสรา้ งรปู สุนทรียไทย
ใหม่ ซงึ่ ยึดโยงเกาะเกี่ยวอย่กู ับวฒั นธรรมเดมิ หรือพื้นบา้ นอยู่มากเช่น ผลงานของ สวุ ัฒน ์ แสนขนั ตริ ัตน์
วรภศิ ร ์ สดประเสรฐิ
ภาพท่ี ๕๘ ส่เี หล่ยี มสัญศาสตรข์ องศลิ ปวัฒนธรรมไทย แสดงข้วั ทางความคิดของวัฒนธรรมเดิมและวฒั นธรรม
ใหม่แบบก้าวหนา้ ทม่ี าจากเงอื่ นไขและบริบทเก่ยี วขอ้ ง เพื่อนำ� สูก่ ารพัฒนาของวัฒนธรรมใหมแ่ ละ
วัฒนธรรมยมื
ทีม่ า : ปรับปรุงจากส่ีเหลี่ยมสญั ศาสตรข์ อง เจมส์ คลฟิ ฟอรด์ (James Clifford) : ๑๙๑๓ “On Collecting
Art and Culture”
106 วิธีคิดทางศลิ ปะออกแบบขน้ั สงู
ศิลปนิ ไทย มีหัวก้าวหน้าในความคิดของการสร้างรปู สนุ ทรยี ไทยใหม่ ท่ีย้อนแย้งกบั ขนบนยิ มของ
ชา่ งเขียนไทยเดมิ จะเกิดขน้ึ ในระยะแรกของช่วงการพัฒนาบ้านเมอื งให้ทนั สมยั รัชกาลพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ลงมา ดว้ ยการนำ� แนวคิดหลกั วชิ าการเขยี นภาพตามแนวทฤษฎีตะวันตก เกย่ี วกบั
เร่ืองแสงเงา มติ ริ ะยะใกลไ้ กลและทศั นียภาพวทิ ยา มาผสมผสานกบั รูปแบบทางอุดมคติแบบไทย เชน่ รูป
ตัวพระ ตวั นาง และปราสาทราชมณเฑียร
เกดิ การน�ำร่องของรปู แบบศิลปะไทยแบบประเพณแี บบใหม ่ และพฒั นาสืบตอ่ กันมาจนถึงสมเด็จ
กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ พระบดิ าของงานชา่ งไทยสมัยกรงุ รัตนโกสนิ ทร ์ พระองคไ์ ด้มกี ารตอ่ ยอดวิธกี าร
สร้างรปู สนุ ทรียของภาพพระนางแบบอยา่ งใหม ่ ด้วยการเขยี นให้มีความเป็นมนษุ ย์จริงมากขน้ึ สะทอ้ นผ่าน
กล้ามเน้ือและสดั สว่ นของความเป็นมนษุ ย์ตามการรบั รไู้ ด้แบบสากล ผสมผสานกบั สญั ลักษณ์ทางอดุ มคติแบบไทย
(ภาพท่ี ๕๙)
ภาพท่ี ๕๙ แสดงกระบวนการคิดแบบกา้ วหนา้ ของศิลปะไทย มีการผสมผสานสุนทรียต่างวัฒนธรรมของรปู
สนุ ทรียทางอดุ มคต ิ จาก Mental Image ของจติ วิญญาณแบบไทย กับรปู สนุ ทรียจากการรบั รทู้ างตา
Visual Image แบบสากลให้หลอมรวมกนั ซง่ึ ถือวา่ เปน็ การบกุ เบกิ การคดิ แบบนอกกรอบคร้ังส�ำคัญ
ในชว่ งรัชกาลที่ ๕ ลงมา
วิธคี ดิ ทางศิลปะออกแบบขนั้ สูง 107
การข้ามพรมแดนของศาสตร์ระหวา่ งสุนทรยี ศาสตร์ไทย และสุนทรยี ศาสตรต์ ะวันตก (สากล) ดว้ ย
การนำ� ไวยากรณ์ของศิลปะตะวันตกมาใช้ไดแ้ ก่ การจดั ภาพ การใช้ Element ของเส้น สี น�ำ้ หนกั แสงเงา
และมติ ติ น้ื ลึกเป็นตน้ โดยมปี รชั ญาและความคดิ นามธรรมแบบไทย ไมว่ ่าจะเปน็ ศิลปวฒั นธรรมในระดบั เฉพาะ
และยอ่ ยก็ตาม จะเปน็ แก่นสารหลักในการสร้างรปู สุนทรยี และสัญลกั ษณไ์ ทยข้ึนมาใหม ่ ซึง่ วิธคี ดิ แบบนีจ้ ะช่วย
ทำ� ใหศ้ ลิ ปะมีความคิดแบบกา้ วหนา้ ขึน้ ในบริบทของกาลเทศะแบบใหม่ เชน่ เดยี วกบั การหยบิ ยมื ศิลปวฒั นธรรมอื่น
มาตัดตอ่ ใหม่ ปรบั ขยบั โน่นนิดน่ีหน่อยก็ไดก้ ารยอมรับเชน่ เดียวกนั และนับไดว้ ่าเป็นคดิ แบบกา้ วหนา้ แต่
วฒั นธรรมยืมในสาระของความเขา้ ถึงรากเหงา้ ของการก่อรูปสนุ ทรยี ให้รับรู้ได้นน้ั จะมคี วามลุม่ ลึกหรือลกึ ซ้งึ กับ
ศิลปวฒั นธรรมนัน้ เพียงใดนัน้ คือค�ำถาม
ถา้ ผู้สร้างเข้าไม่ถงึ แกน่ ท่อี ยเู่ บ้อื งหลงั และ หรอื บริบทเก่ียวขอ้ งกบั การก่อรูปน้นั ๆ ผลทไี่ ดข้ องรปู สนุ ทรีย
ทางอุดมคติอาจจะดผู ดิ ฝาผดิ ตัว ผิดทผ่ี ิดทาง หรือตามสำ� นวนไทยว่า “หวั มังกุท้ายมงั กร” คือไม่กอ่ ให้เกิดความ
เช่ือมโยงระหวา่ งกนั ดขู ดั หูขัดตาแบบเขา้ ด้วยกันไม่ได้เปน็ ตน้ ซ่งึ ขอ้ คิดเหน็ นี้จะยึดถือสารตั ถะของวฒั นธรรม
ทางจติ วิญญาณ และจักรวาลทางอดุ มคติแบบไทยตามท่ีกลา่ วมาแลว้ และ ทีม่ าท่ไี ปอยา่ งมีระเบียบระบบของ
การสร้างรปู สุนทรยี เชน่ เดียวกบั สากล
อย่างไรก็ตาม วิธคี ดิ สรา้ งลกั ษณะไทยใหมแ่ ละ กา้ วไปสู่เวทรี ะดับนานาชาติในทศวรรษน้ ี มีศิลปินชั้นนำ�
ได้แก่ ฤกษฤ์ ทธิ์ ตรี ะวนิช นาวนิ ลาวัลยช์ ัยกุล และสาครินทร์ เครืออ่อน เขามีวธิ ีคดิ ในการสรา้ งรปู สนุ ทรีย
ขึน้ ใหม่ด้วยการหยบิ ยืมสญั ลักษณ์ไทยบางอยา่ งของวัฒนธรรมเฉพาะ (จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปตั ยกรรม
ฯลฯ) และวฒั นธรรมยอ่ ย (งานหตั ถกรรมเครอื่ งใช ้ ฯลฯ) มาตคี วามหมายใหม่ท่ ี สอดคลอ้ งกบั บรบิ ททางสงั คม
วฒั นธรรมท่เี ปล่ียนแปลงไป และอาศัยสัญลักษณภ์ าพแทนความคิด (Representation) เฉพาะเคร่ืองแตง่ กาย
เครอื่ งประดบั เคร่อื งตกแต่งบา้ น อาหารการกนิ อันเป็นรปู ลักษณภ์ ายนอกสามารถรบั รูไ้ ด ้ มาแทนคา่ ของ
ความเป็นไทย เปน็ ตน้
ภาพท ่ี ๖๐ ผลงาน “ผัดไทย” ของฤกษฤ์ ทธ์ ิ ตรี ะวนิช และผลงาน “นาข้าวข้ันบนั ได” สาครินทร ์
เครอื ออ่ น สรา้ งรูปสุนทรียขน้ึ มาใหม่ ดว้ ยการตีความค�ำวา่ ลักษณะไทยในบรบิ ทใหม ่ ของการนำ� เสนอ
แบบไทยใหมใ่ หผ้ ้ชู มมสี ว่ นร่วมกบั การเรยี นรู้แบบพหสุ มั ผัส (Multi Sensory) และการมีสว่ นในบริบท
และการน�ำเสนอทีแ่ ตกตา่ งกนั ไป ซ่งึ ใหก้ ารรับรใู้ หม่และการมปี ฏิสมั พนั ธ์ การมีส่วนร่วมจากการ
ชมผลงานทง้ั ๒ ชดุ น้ี
ทีม่ า : ArtBangkok.com , www.rcac๘๔.com
108 วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบขั้นสูง
“ผดั ไทย” ของฤกษฤ์ ทธ์อิ าศัยรูปนามของอาหารไทยมาสรา้ งใหเ้ ป็นผลงานจรงิ มีชวี ติ มคี วามเคลือ่ นไหว
มีกล่ิน มกี ารเปลย่ี นแปลง และแฝงความหมายท่ีมีสาระเกย่ี วกบั ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ดว้ ยการใชอ้ าหาร
ท่ีเรยี กว่าผดั ไทย เปน็ สอ่ื นำ� เสนอความคิดท่แี หลมคมและลุม่ ลกึ และใชก้ าลเทศะเปน็ กลยทุ ธเ์ พอื่ นำ� ไปสู่ผลสัมฤทธ์ิ
ของการแสดงงานคร้งั น้ี
เช่นเดียวกับ “นาข้าวขั้นบันไดแหง่ เมอื งกาสเซลิ ” (Terraced Rice Fiddles Art Project) นำ� เสนอ
แนวคิดเก่ียวกบั แรงงานในชุมชนและเทคนิคการเกษตรแบบดั้งเดิม มกี ารท�ำงานรว่ มกันกับอาสาสมัครท้ังชาวไทย
และชาวยโุ รป ในการปรบั เปล่ยี นพ้นื ทล่ี าบเนินเขาในสวน Berg Park Wilhemshohe ใหเ้ ป็นนาขา้ ว เป็นการ
ทำ� นาในสิง่ ท่แี ตกตา่ งในบริบทท่ีแตกตา่ ง และการหลอมรวม ๒ วัฒนธรรมท่ีแตกต่าง อย่างตรงกนั ข้าม ดว้ ย
ความรว่ มมือร่วมใจระหวา่ งกัน นบั ถือสนุ ทรียศาสตร์ประเพณี ทีอ่ ยบู่ นพนื้ ฐานของวฒั นธรรมดัง้ เดมิ หรอื พื้นบา้ น
อันมวี ิธกี ารลงแขกจากความร่วมมือ ร่วมใจกนั ภายในชุมชนไทยเดิม
๓.๒.๓ วิธคี ิดนามธรรมกบั สนุ ทรยี ศาสตร์สากล ความส�ำคญั เกี่ยวกบั สุนทรยี จากการรับรู ้
โลกภายนอก หรอื Visual Perception จากธรรมชาตแิ ละสอ่ื สง่ิ ดลใจ เปน็ ปัจจยั หลกั ของการคดิ และสร้าง
รูปสนุ ทรยี จากการรบั ร้หู รอื การเห็นได ้ (Visual Image) ให้ปรากฏเป็นรปู เร่ืองราวตา่ งๆ จากการสัมผัสได้
ด้วยอายตนะ และความรู้สกึ จากการกระทบภายนอก (Outward Contract) ได้แก ่ การเห็น การไดย้ นิ หรอื
บางกรณีจากการรวมกนั ของการรับรใู้ นแตล่ ะประสาทสัมผสั ใหผ้ สมผสานกนั เชน่ การรบั รูไ้ ดท้ างการเหน็ การรบั รู้
ได้ทางการไดย้ ิน (Audio Perception) ในแต่ละผสั สะการรบั ร้ไู ดท้ างการเคล่อื น (Dynamic Perception)
ผ่าน Element และ Principle ของศาสตร์การรบั ร ู้ จนเกดิ เป็นสนุ ทรยี ในรูปสือ่ ศลิ ปะผสมแบบใหมข่ ้ึน
วิธกี ารคดิ เชน่ นี้ มีลกั ษณะของสนุ ทรยี ศาสตร์บรสิ ุทธิ ์ ไมม่ คี ณุ คา่ อนื่ เจือปน และเป็นสุนทรียศาสตร์
แบบตรงคอื การรับรู้สุนทรยี จากการกระทบผลงานโดยตรง หรือรปู สุนทรยี ไดโ้ ดยตรง มีความแตกต่างไปจาก
สนุ ทรียศาสตรแ์ บบอ้อมของไทยและตะวันออก จะมองจากส่งิ กระทบภายใน (Inward Contact) จากจติ สัมผัส
ของจติ ใจท่ชี อบและรสู้ กึ สร้างการรบั รรู้ ปู สนุ ทรียจากปรากฏการณ์หนง่ึ นั้น จะน�ำไปสคู่ วามสุขสงู สุดจาก
ความส�ำนกึ ได้ของความซาบซงึ้ กับสนุ ทรียหนึง่ ๆ ณ ขณะนนั้ เป็นความรูส้ ึกทางการรับรู้ (Sense Perception)
ไปตามความจรงิ ของมมุ มองทางโลกภายนอก (ตาเนือ้ )
เฮอแมน วอน เฮมโฮลต์ (Helmholtz Herman Von) ได้ใหแ้ นวคิดเก่ยี วกบั สรีรศาสตร์ทางการเหน็
(Physiological Optics) เพือ่ สถาปนาความเข้าใจใหมเ่ กีย่ วกบั ธรรมชาติการรับรู้ทางสายตาว่า มอี งค์ประกอบหลัก
ทเ่ี ปน็ เง่ือนไขต่อการรับรูท้ างการเหน็ คอื การรบั รแู้ สงในระดับความสว่างแตกตา่ งกัน ความลึกแสดงการเหน็ ๓ มติ ิ
และระยะหา่ ง (Distance) พน้ื ท่ีวา่ ง (Space) และสี (Color)
องค์ประกอบขา้ งตน้ มีบทบาทสำ� คญั ตอ่ การรับรู้ทางการเหน็ แนวใหม ่ ตอ่ การเปลยี่ นแปลง การเคลื่อน
ไปของการรับรู้รปู สนุ ทรียแบบใหม่ และแสดงนยั ผกผนั ทางการเห็น จากการรับร้ไู ด้แก่ รปู ทรงผืนภาพ (Form
& Space) การลวงตา (Illusion) การเห็นทท่ี ับซ้อน (Overlapping) เปน็ ตน้ เปน็ การรบั ร้บู ริสุทธข์ิ องการใช้
สีตัดกนั การใชค้ วามคลมุ เครอื ทางการเหน็ รูปทรงกับพน้ื ภาพ และการแสดงออกทซี่ ับซอ้ นตา่ งๆ
วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขั้นสงู 109
ภาพท่ี ๖๑ แสดงการตดั กันของสีล้อมรอบและใจกลาง ค.ศ.๑๘๖๐ ตามทฤษฎีของมิเชล เออแซน เชิพเริล
(Shevreu Michel Eugene)
ทีม่ า : Facebook : Nicoleh’s Art Class
ความจรงิ แท้ มีความสมบรู ณ์แบบในวิธีคดิ นามธรรมแบบสากล หรอื ตะวนั ตกจะฝงั ลกึ แฝงเรน้ และ
ซ่อนอยู่เบอื้ งหลงั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และสือ่ ส่งิ ในวิถีชวี ิตมนุษย์ และสงิ่ ทัง้ หลายรอบตัว การวเิ คราะห ์
ถอดรื้อ (Deconstruction) ตวั หมายของรูป และตัวหมายถึงของนาม หรือเนอ้ื หาเร่ืองราวจากสือ่ สิง่ ทีร่ ับรูไ้ ด้
ดว้ ยปรีชา ญาณของเหตผุ ลทางสมอง และรบั รสู้ ึกทางการรับไดท้ างปัญญาญาณ ของอารมณ์ความรสู้ กึ ทางจติ ใจ
เปน็ เครื่องมอื สำ� คัญตอ่ การแปลความหมายตคี วามหมาย เพอื่ การค้นหาความจรงิ จากสื่อสิง่ และปรากฏการณ์
จากการรับรไู้ ดใ้ นทกุ แงม่ มุ ไม่ว่าจะเปน็ สง่ิ ทไี่ ม่มชี วี ติ และสภาวะการด�ำรงอย่ขู องส่ิงมชี วี ิต ในทกุ ลักษณะตาม
การเคลือ่ นไหว และเปลย่ี นแปลงนบั ต้ังแต่ความเป็นรูปธรรม (รปู ลักษณ์) และนามธรรม (ไรร้ ปู ลกั ษณ์)
วิธีคดิ นามธรรมแบบสากลในโลกตะวันตก เป็นเร่อื งของระบบระเบยี บการหาความร้ ู ความจริงทาง
วิทยาศาสตร์ และมีบทบาทส�ำคญั ตอ่ วิธคี ดิ นามธรรมมาก โดยเฉพาะอย่างยงิ่ แนวทางและ วธิ กี ารรับรธู้ รรมชาติ
และสอื่ สง่ิ ตา่ งๆ ทสี่ ะท้อนปรากฏการณ์อะไรต่างๆ ให้สามารถรบั ร้ไู ดท้ ้ังรูป รส กล่นิ เสียง และการเคล่อื น
เปน็ ต้น ทั้งทร่ี บั รู้และจับต้องได้ (Tangible) มคี วามเปน็ รูปธรรม กบั รบั รู้สึกและจบั ต้องไมไ่ ด ้ (Intangible)
มีความเปน็ นามธรรม ได้แก่ เรือ่ งของคณุ ค่า อารมณ ์ ความรสู้ ึก ความงาม เป็นต้น
วิธคี ิดนามธรรมแบบตะวนั ตกสมยั ใหม่นยิ ม (Modernism) มีกระบวนการและวิธกี ารของการควบคมุ
ดว้ ยการจ�ำกดั เรอ่ื งการรบั รู้ปรากฏการณ ์ ของส่อื ส่งิ ใหเ้ หลอื แคบลงมา และมีความจำ� เพาะของคณุ สมบตั ทิ มี่ ี
ความเป็นรูปธรรม ของสื่อสง่ิ ทีส่ ามารถใช้ประสาทสัมผัส เพ่ือการรบั รแู้ ละศึกษาเรียนรู้ไดเ้ ท่านน้ั ในส่วนของนาม
ไร้รูปจบั ตอ้ งและรับรู้ไมไ่ ด้ ใชเ้ ครื่องมอื วัดไมไ่ ด ้ จะถูกคัดออกสกดั ออกไป โดยถือวา่ ไม่มอี ยจู่ รงิ หรือไม่เกย่ี วขอ้ ง
โดยตรงกบั สือ่ สงิ่ ทก่ี ำ� ลังศกึ ษาดงั นัน้ วิธีคิดนามธรรมสากลจึงมีลักษณะทเี่ รียกวา่ “การลดทอนความจรงิ ใหแ้ คบลง”
(ภาพท่ี ๖๒)
110 วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขัน้ สงู
ภาพท่ี ๖๒ รปู คนเหมอื น (Portrait) ของ ๔ ศลิ ปนิ ตามแนวคิดลัทธลิ ดทอน (Reductionism) ของศลิ ปนิ
สมัยใหม่จากความเหมือนจริง จนพฒั นาไปสูค่ วามเปน็ นามธรรม และพัฒนาตอ่ ไปจะเหลือนามธรรม
บริสทุ ธิไ์ มแ่ สดงรูปความจรงิ ของสื่อส่งิ ใดจะสะท้อนเฉพาะสุนทรยี ของ เสน้ สี รูปร่าง รูปทรง เทา่ นน้ั
การลดทอนความจรงิ ส่นู ามธรรม (Abstraction) จดั ไดว้ ่าเปน็ หลักการสร้างภาพ ออกแบบภาพแนวใหม่
อนั เกดิ ขึน้ จากการลดทอนสภาพความเหมือนจริง จากภาพลกั ษณท์ ดี่ ูรู้วา่ เป็นอะไร และคอ่ ยๆพัฒนาดว้ ยการ
ลดทอนจากรูปลกั ษณ์ ไปสู่ส่งิ ไร้รปู ลักษณ์และไร้รูปลักษณ ์ (Non Figurative) หรอื สู่ความเปน็ นามธรรม และ
นามธรรมบรสิ ทุ ธิ์ในท้ายที่สดุ ตัวอยา่ งของผลงาน ปาโบล ปิกัสโซ (ภาพท่ี ๕) พีต มอนดรอี ัน (ภาพท่ี ๑๕)
คอื ภาพคำ� อธิบายที่ชดั เจน
ความคิดนามธรรมแบบโครงสร้างนิยมของยคุ สมัยใหม ่ มแี บบแผนและกฎเกณฑอ์ ยา่ งเป็นระเบยี บระบบ
มคี วามเชอื่ มโยงกนั อย่างเปน็ ลำ� ดับ ตามวิธีคิดเชิงวิเคราะห์แบบวิทยาศาสตร์ ตามที่ระบไุ ว้แล้วในข้อ ๓ ทีผ่ ่านมา
ด้วยการคัดสรรความรูท้ ีม่ อี ย ู่ และนำ� มาประกอบรวมกนั เพื่อแสวงหาความเป็นสากลของรปู สุนทรยี ซ่งึ มกี าร
ก�ำหนดแนวทาง และสูตรไวเ้ บ็ดเสรจ็ ส�ำหรับน�ำไปใช้ในการคดิ หาหนทาง และการออกแบบภาพต่างๆ
วธิ คี ิดทางศลิ ปะออกแบบข้ันสงู 111
ต่อมาความคดิ ชดุ นี ้ ไดถ้ กู ทา้ ทายทางความคิดจากหลังสมยั ใหม่นิยม ที่มองเหน็ ความเป็นไปไดใ้ หม่ทาง
ศิลปะออกแบบ อยา่ งตรงกันขา้ ม กบั แนวคดิ สมัยใหมเ่ ดิมในทุกเร่อื งและทกุ มมุ มอง เกีย่ วกับการแสวงหาความรู้
และความจรงิ เช่น มองว่าความรคู้ วามจรงิ อยู่ภายในตวั ของแตล่ ะคน และเราเป็นผู้สรา้ งมันขนึ้ มาบนความคดิ
ความปรารถนา และความชอบ ชอบในสิง่ สุนทรยี หรอื อสุนทรยี อยา่ งนา่ ขยะแขยง หรอื คดิ นำ� ส่ือสง่ิ มลี ิขสทิ ธ์ิ
มาท�ำซำ�้ ใหมใ่ นมุมมองใหม่เปน็ ต้น
พน้ื ท่หี รอื เทศะ (Space) มกี ารตคี วามหมายใหมท่ ร่ี ะบุว่า ไมไ่ ด้หมายถึงพนื้ ทส่ี ำ� หรบั น�ำผลงานศิลปะ
ไปตดิ ตง้ั (Setup) ที่แสดงผลงาน หอ้ งนทิ รรศการ หอศิลป์ ฯลฯ แต่พนื้ ทคี่ อื เหตุการณ์ทป่ี รากฏและดำ� รงอย ู่
ถงึ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสรรพส่ิงต่องานศลิ ปะหนึ่งๆ เปน็ การแสดงให้เหน็ ถึงความเชอ่ื มโยงระหว่างศลิ ปะ พ้ืนที่
และความจรงิ ซง่ึ ความจริงของแต่ละพนื้ ท่ีต่างมปี ระวตั คิ วามเป็นมา ทงั้ ที่มองเห็นและมองไมเ่ ห็นเกาะเก่ียวเปน็
บรบิ ทท่ี ถูกกดทบั และแฝงเรน้ อยา่ งมีความหมาย
“รปู สุนทรยี เชงิ สมั พันธ์” (Relational Aesthetic) แบบอย่างศิลปะเชิงสัมพนั ธ์น้ ี มีความมุ่งหมายการ
สรา้ งศลิ ปะ ใหเ้ กดิ ความสัมพนั ธ์ระหว่างมนษุ ย ์ จากการมสี ว่ นร่วม และลงมอื กระท�ำกิจกรรมร่วมกนั ในแบบตา่ งๆ
ผลทไี่ ด้รบั มนั ไมใ่ ช่การเข้าชมกิจกรรมทางศิลปะดว้ ยสายตา ตามการรบั รูแ้ บบเดิม แต่ส่งิ ท่ไี ด้คอื “การมีสว่ นร่วม”
การสานสรา้ งความสัมพนั ธร์ ะหว่างกันในการทำ� กิจกรรม ของความเปน็ มนษุ ยใ์ นสุนทรียเชงิ สมั พนั ธ์หน่ึงๆ ทม่ี ี
การผนั แปรไปตามกาลและเทศะ อย่างมคี วามนยั ของความเชอื่ มโยงระหวา่ งศลิ ปะพืน้ ท่ีและความจรงิ โดยวธิ ีคดิ
นามธรรมกับสุนทรียศาสตรส์ ากลจะมีหลักการดังนี้
ภาพท่ี ๖๓ ผลงานศิลปะเชิงสมั พันธ์หรอื รูปสุนทรียเชิงสมั พนั ธ์ของศิลปนิ กับกจิ กรรมและพืน้ ท่สี ร้างการมสี ่วนรว่ ม
และการรับรูท้ างสนุ ทรยี แบบใหม่
112 วธิ ีคดิ ทางศิลปะออกแบบข้ันสูง
(๑) การสรา้ งรปู สุนทรยี จากการเคลอื่ น ยึดหลกั แสวงหาคน้ ควา้ หาความสจั จริง จริงไปตามมุมมอง
ทางโลกจากส่อื สิง่ ต่างๆ รอบตัว และปรากฏการณท์ รี่ ับรูไ้ ด้ดว้ ยอายตนะเป็นแกน่ สารหลกั กบั เรื่องกฎของ
การเปลยี่ น หรอื “การเคลอ่ื น” ในธรรมชาตสิ ง่ิ แวดล้อมของทกุ สรรพสงิ่ ไมว่ ่าจะเปน็ การเปลยี่ นของวนั เวลา เชา้
กลางวนั เยน็ การขึน้ ลงของน�ำ้ การเคล่ือนท่ีของคลื่นในทอ้ งทะเลทีร่ บั รูไ้ ด้มองเหน็ ได ้ และการเคล่อื นการ
เปลย่ี นแปลงในส่อื สิ่งทม่ี องไม่เหน็ เช่น การงอกงามเติบโตของต้นไม้ทค่ี ่อยๆพัฒนาการจากเมลด็ อนั เป็นจดุ เรม่ิ ตน้
และคอ่ ยๆแตกใบอ่อนทีละเลก็ ละนอ้ ยจนแตกก่งิ กา้ นสาขาเปน็ ต้นไมใ้ หญ่ เปน็ ตน้ ความเป็นไปเช่นน้นั จากส่ิงต่างๆ
และปรากฏการณท์ ีจ่ ับตอ้ งได้และไมไ่ ดก้ ็ตามต่างล้วนสามารถนำ� ความคดิ นามธรรมคือ การเคลอ่ื นและการ
เปล่ยี นแปลงทางธรรมชาต ิ ไปคน้ หาความรู้และความจริง ท่เี ป็นก�ำลงั พลัง (Energy) แฝงอยู่ในรปู ลักษณไ์ ด้
อยา่ งน่าสนใจ
การสรา้ งรูปสนุ ทรียแบบสากลหรือตะวันตกนัน้ จะอาศัยกฎของการเปลยี่ นแปลงจากการ “เคล่ือน”
ในธรรมชาตติ ามปรากฏการณ ์ เหตกุ ารณท์ ี่รับรูไ้ ดจ้ าก ภาพ เสียง กลน่ิ รส และความเคล่อื นไหว ความเปน็ ไป
ของสภาวะเหลา่ นัน้ ต่างลว้ นมีความเป็นมาและเป็นไป ตอ่ การรบั ร้ขู องมนษุ ย์แทบทง้ั ส้ินเชน่ การเคลือ่ นและ
การหมนุ เวียนของโลก รอบดวงอาทิตย์ไดน้ �ำไปสู่กลางวนั และกลางคืน น�ำ้ ขึ้นและน�้ำลง ความเป็นไปเช่นนั้น
ลว้ นมผี ลกระทบตอ่ ธรรมชาตสิ ่งิ แวดล้อม วิถีการดำ� เนนิ ชีวติ ของผูค้ นและเหตุการณ์ตา่ งๆ ตงั้ แตเ่ กดิ จนตาย
ในแต่ละกาลเวลาและเทศะของสถานที่
การเคลือ่ นไปของธรรมชาต ิ จึงเป็นปัจจยั และอิทธพิ ลส�ำคัญ ต่อการเปล่ยี นแปลงสรรพส่ิงบนพืน้ โลก
ทั้งทม่ี องเหน็ ไดแ้ ละมองเหน็ ไม่ได้ตามการรบั รู้ไดข้ องรูป และรับร้สู กึ ไดถ้ งึ นามไร้รูปกต็ าม ความเป็นเชน่ นน้ั เอง
ของธรรมชาติทร่ี ับรไู้ ด้จะมีกฎของการเคลอ่ื นทเ่ี ปน็ กำ� ลงั พลงั ซอ่ นอยูเ่ บอื้ งหลังของสอ่ื สิง่ ตา่ งๆ จึงถอื ว่าม ี
ความส�ำคัญส�ำหรบั โลกของการรบั รู้แบบตะวนั ตก และเป็นการคดิ นามธรรมท่ี เปล่ียนแปลงระดับการมอง
ธรรมชาติและปรากฏการณ์ จนสามารถคน้ พบหลักการบางอย่างของความหมายท่มี ตี ่อธรรมชาติและปรากฏการณ์
อ่นื ไดค้ อื “เรื่องของการเคล่อื นทแ่ี ละการเปลี่ยนแปลง”
เทยี บเคียงกบั ความคดิ นามธรรมของโลกตะวันออก ตามหลกั การทางพุทธศาสนา มกี ารมองการ
เปลี่ยนแปลงดงั กล่าว ในมมุ มองของความเกยี่ วโยงกับวฏั จกั รของชวี ติ มนุษย์ กับค�ำว่า “อนิจฺจํ” คือความ
ไม่เท่ยี งแทจ้ ีรังของสรรพสิ่ง ในโลกแหง่ สัจธรรมทที่ กุ คนต้องเกิด แก ่ เจบ็ และตายดว้ ยกนั ทั้งหมดท้งั สิ้น
การเคลือ่ นภายในท่เี กดิ ข้นึ จากพลงั แฝง (Inner Energy) ของสอ่ื ส่ิงและปรากฏการณ์ มีศกั ยภาพ
รอบตวั มนั เองจากก�ำลงั พลงั ท่ีซ่อนอย่ภู ายในของแรงการเคล่อื นภายใน ทสี่ ง่ ผลตอ่ การเปลยี่ นแปลง รปู ลักษณ์
ภายนอกให้รับรู้ไดแ้ บบมองรู้ดอู อกไดแ้ ก่ วงปีของตน้ ไม ้ ธรรมชาตขิ องใบไม้ รอยแตกร้าวของแจกนั เคลอื บโบราณ
เป็นตน้ สามารถรับรู้ไดจ้ ากพน้ื ผวิ ภายนอก เชน่ เสน้ ผวิ รูปรา่ ง รปู ทรงเชิงกายภาพ ทมี่ คี วามเช่อื มโยงกับ
พลังก�ำลงั แฝงภายใน (ภาพท่ี ๖๔)
วธิ คี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้ันสูง 113
ภาพที่ ๖๔ แสดงการเปลย่ี นแปลงจากพลงั แฝงในรปู ลกั ษณะต่างๆ กันและเปน็ ไปตามกฎของการเปล่ยี นแปลง
ตามหลกั วทิ ยาศาสตรท์ างการเหน็
ทีม่ า : Paul Jacques Grillo, Form Function & Design. ๑๙๗๕.
114 วิธีคิดทางศิลปะออกแบบข้นั สูง
สรปุ ความคดิ นามธรรมแบบไทยและสากลหรือตะวันตก มีสาระโดยรวมดังน ้ี “ความคดิ นามธรรมไทย”
จะมองชวี ติ ธรรมชาติ โลกและจักรวาลอยใู่ นอุดมคติเดียวกนั และมนุษย์เปน็ สว่ นหน่งึ ของธรรมชาติ มีความสัมพนั ธ์
กนั แบบไมแ่ ยกสว่ น โดยมนษุ ย์ เทวดาต่างตกอยใู่ นกฎแหง่ กรรมดว้ ยกันทัง้ สิน้ อันมผี ลสืบเน่ืองมาจาก บาป บุญ
คุณ โทษทสี่ ัง่ สมมาแตอ่ ดีตชาต ิ และก่อให้เกดิ สถานภาพและฐานานศุ ักดไ์ิ ม่เทา่ เทียมกัน สะทอ้ นผา่ น ไตรภูมิ
ซงึ่ มรี ะดบั ชน้ั ของสวรรค์ภูม ิ และนรกภูมทิ ีล่ ดหลนั่ กนั ไป
ความคิดนามธรรมไทย ไมน่ ำ� เสนอภาพความคดิ ตามการรับรู้แบบตรงไปตรงมาแบบสากลหรือตะวนั ตก
แตจ่ ะใช้ภาพแทนความคิดเป็นสัญลกั ษณ ์ หรอื บคุ ลาธษิ ฐานส่อื ความหมายถึงสื่อสิ่ง เช่น ความขลังและกำ� ลงั
พลังของมวลเทพ ความมีจิตวิญญาณ หรอื ปรากฏการณอ์ ยา่ งใดอยา่ งหน่งึ หรือไม่ก็สะทอ้ นผา่ นเหตุการณ ์
พิธกี รรมในการบอกความหมาย ความคิดนามธรรมทเี่ ป็นอบุ ายแฝงอยูใ่ นประเพณีและความเชื่อตา่ งๆ “ความคิด
นามธรรมสากล” แบบวทิ ยาศาสตร์อาศยั ปรากฏการณร์ ปู ธรรมลกั ษณะหนง่ึ ดว้ ยประตู ประสาทสมั ผัส เพ่ือ
คน้ หากฎเกณฑ์หรอื ความคิดนามธรรมท่ีอยูเ่ บื้องหลัง เชน่ เรอื่ งกฎของความโนม้ ถว่ ง ด้วยการสกดั เอาเฉพาะ
ปรากฏการณข์ องรูปทส่ี ามารถใช้ประสาทสัมผสั ศกึ ษาได้เทา่ น้ัน จนเหลือรูปธรรมที่แคบลงมา
ความคดิ นามธรรมสากล ยดึ ถอื ความเปน็ มนุษย์คอื ศูนยก์ ลางและมีสถานะสงู กว่าสงิ่ อ่นื อาศัยการรับรู้
และความบันดาลใจจากส่งิ ภายนอกตวั จบั ต้องได ้ เพอื่ คน้ หาความเปน็ รปู ธรรม และแสวงหากฎเกณฑท์ เ่ี ปน็
พลังแฝงร่วมกันอยูภ่ ายในสภาวะสิ่งเหลา่ นน้ั เชน่ กำ� ลังพลงั จากการเคล่อื น ความเปล่ยี นแปลงของสงิ่ ตา่ งๆ ใน
ธรรมชาติ
๓.๓ คดิ แบบกา้ วหนา้ กบั บริบทไทยใหม่
ความคดิ หรอื จติ ภาพ (Idea) คอื ดลุ ยภาพระหว่างสมองกับจติ ใจ มกี ารทำ� หนา้ ทอ่ี ยา่ งสอดประสานกนั ไป
ของเหตผุ ลและอารมณค์ วามรู้สึก โดยสมองจะเป็นเรอื่ งของการคิด จิตจะเป็นเร่ืองของการชอบ และใจจะเปน็
เรอื่ งของความรสู้ ึก นักออกแบบและศิลปนิ ตอ้ งอาศยั ศกั ยภาพของสมอง และจติ ใจให้ทำ� งานประสานกนั ไป
ส่วนวา่ การประกอบหรอื ผสมผสานในสัดสว่ น และอตั ราส่วนของสมอง และจติ ใจระหวา่ ง ปรีชาญาณ และ
ปัญญาญาณจะมีมากน้อยเพียงใดนั้น จะขน้ึ อยู่กบั ความถนดั ความสามารถของแต่ละคนเป็นกรณไี ปและไม่
สามารถกำ� หนดใหเ้ ป็นหลกั เกณฑห์ รอื ทฤษฎีแบบตายตัวได ้ เพราะมีความเชอื่ มโยงกบั ปจั เจกลกั ษณ ์ (Individual
Quality)
การคิดแบบก้าวหนา้ ทางศลิ ปะออกแบบ จึงเป็นการแสวงหา คน้ ควา้ บนเสน้ ทางอนั เหมาะสมของคน
แตล่ ะคน ในโลกท่ีเปน็ ไปไดอ้ ันแตกต่างหลากหลาย ไม่มสี ูตรสำ� เรจ็ หรือทฤษฎแี บบตายตัว จนน�ำไปสู่การค้นพบ
กระบวนแบบ (Style) อันเปน็ ลักษณะเฉพาะตนในทางศลิ ปะ หรือการคน้ พบวธิ ีการแกป้ ัญหาสอ่ื สง่ิ เพ่ือนำ� มา
ใช้ประโยชนท์ างการออกแบบของสังคมปัจจุบนั แตเ่ นอื่ งจากโลกใบใหม ่ มกี ารเปล่ียนแปลงทางสงั คมวฒั นธรรม
เทคโนโลยีและกระบวนทัศนท์ างความคิดความเชอื่ อยา่ งรวดเรว็ มกี ารแข่งขนั กบั ทางเศรษฐกิจการคา้ และ
อุตสาหกรรมดว้ ยเทคโนโลยดี จิ ติ อลแบบใหมๆ่ และความคดิ สรา้ งสรรค์แบบใหม่และกา้ วหนา้ ดงั นน้ั การคดิ
แบบเดิมกบั การมองโลกแบบเดิม และการผลิตซ้ำ� ทางศิลปวฒั นธรรมในทางศลิ ปะรว่ มสมยั จงึ ไมต่ อบโจทย ์
ความตอ้ งการของสงั คมวัฒนธรรมโลกปจั จุบัน
วิธีคดิ ทางศิลปะออกแบบขน้ั สงู 115
ตวั อยา่ ง : การออกแบบความคดิ ทางศลิ ปะออกแบบใหก้ ้าวหน้า
(ชุด ก)
116 วิธคี ิดทางศิลปะออกแบบข้นั สูง
(ชุด ข)
ผลงานการออกแบบของ กรกต อารมณด์ ี
วธิ คี ิดทางศลิ ปะออกแบบขั้นสูง 117
เมอ่ื สังคมวฒั นธรรมปัจจบุ นั เป็นเช่นน้นั การคดิ อา่ นเพื่อการออกแบบและสรา้ งรปู ความคดิ แบบกา้ วหนา้
บนเส้นทางศิลปะและการออกแบบต่างๆ จงึ เป็นโจทย์ท่ีสำ� คญั โดยเฉพาะ ปัญหาและคุณคา่ ความส�ำคญั ของ
ทรพั ยากรทางศิลปวฒั นธรรมไทย จะทำ� อย่างไรให้กา้ วหนา้ มคี วามเป็นสากลด้วยหลักวา่ “คิดแบบรากไทยสูโ่ ลก”
หรอื “รากส่โู ลก” “คดิ แบบไร้รากส่โู ลก” หรอื “บริบทใหม่สโู่ ลกใหม”่ เพื่อต้องการจะกา้ วข้ามปญั หาเดมิ ท่ี
ศิลปวัฒนธรรมไทยถกู แชแ่ ขง็ มาเปน็ เวลานาน และก้าวสโู่ ลกใหม่ได ้ อาจต้องหาวิธกี ารอย่างเหมาะสม และ
ก�ำหนดแนวทางให้สอดคล้องกบั บรบิ ทของสงั คมวัฒนธรรมไทย ภายใต้หลกั คิดวา่ “เทคโนโลย ี นวัตกรรมสากล
จิตวญิ ญาณ ไทยแบบก้าวไกลสสู่ ากล” เป็นต้น มีแนวทาง
๓.๓.๑ คดิ จากรากไทยส่โู ลก สำ� นกั งานศิลปวฒั นธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรมได้ให้
ความหมาย “ศิลปวฒั นธรรมร่วมสมยั ” หรือสร้างสรรค์ขน้ึ ใหมอ่ ยู่รว่ มกันในสังคมปัจจุบนั ในวันเวลาเดยี วกัน
โดยมวี ัฒนธรรมเป็นฐานรากส�ำคัญในการสรา้ งสรรค์คอื “มีราก” เป็นแกน หรอื สร้างสรรคข์ ึ้นใหมโ่ ดยไมม่ ี
กระบวนแบบหรอื แนวความคิดของสังคมและวัฒนธรรมปจั จุบันพืน้ ฐานคอื “ไร้ราก” และสุดท้ายสร้างข้นึ ใหม่
จากความคดิ และการประยกุ ต์อยา่ งบรู ณาการสอดคล้องกัน และสง่ ผลต่อกันและกันระหวา่ งศลิ ปวฒั นธรรมโดย
“มรี ากน�ำทาง”
การออกแบบและสร้างรปู ความคิดแบบกา้ วหนา้ บนรากเหง้าและภมู ิปญั ญาไทยลักษณะน้ ี ตอ้ งดึงหรือ
สกัดนำ� เอาแกน่ ของความเป็นไทยใหไ้ ดว้ า่ คืออะไร หรืออย่างไร และจะนำ� ไปสู่สากลโลกไดอ้ ย่างไร แน่นอนว่า
ความเป็นไทยหรือลักษณะรปู ไทยจะไมเ่ สถียร (Static) มีการเคลอื่ น (Move) เคลอ่ื นไหว (Movement) เปน็
พลวตั (Dynamic) คือมีการเคลือ่ นทไ่ี มอ่ ยนู่ ่งิ ทงั้ รูปนอกอันเป็นเปลือกและรูปในอันเปน็ แก่นเกี่ยวขอ้ งกบั พลงั
กำ� ลังของนามทจ่ี ับตอ้ งไม่ได้ เปน็ สง่ิ แฝงเร้นอยู่ภายในหรอื Inner Energy และมผี ลต่อรปู นอกให้เปลยี่ นไปดว้ ย
เช่นเดียวกนั เช่น อารมณค์ วามรสู้ กึ ของการสะท้อนออกมา สูร่ ูปลักษณ์แบบใดแบบหน่ึง ลว้ นมีผลต่อการเคลือ่ น
การเปลย่ี นรปู และร่างภายนอกอยเู่ ปน็ ล�ำดบั จนก่อให้เกดิ ความคดิ ใหม ่ แบบกา้ วหนา้ ของแบบอย่างศลิ ปะไทย
ให้พัฒนาไปอย่อู ย่างตอ่ เนือ่ ง
การถอดรปู ความคิดใหม ่ จากแบบอยา่ งเชิงวเิ คราะห ์ ในแตล่ ะยุคสมัยตามพฒั นาการของศลิ ปะไทย
ตั้งแตส่ มัยสโุ ขทัยถึงปจั จบุ ัน (รชั กาลท่ี ๑๐) ในสาขาทศั นศลิ ป์หรอื จิตรกรรม ประติมากรรม ในกรอบของค�ำ
กญุ แจ (Keyword) หรอื คำ� สำ� คัญ ได้แก ่ “รูปการหรอื เหตกุ ารณ”์ “เทศหรือพนื้ ท”่ี และ “การเคลือ่ นหรือ
การเคลื่อนไหว” เพอื่ ถอดรปู ความคดิ และความหมายใหม่ ทีซ่ ่อนแฝงอยภู่ ายในทศั นศลิ ป์ไทย ซง่ึ เป็นปัจจยั สำ� คัญ
ตอ่ ความกา้ วหนา้ มาเป็นระยะดงั นี้
(๑) รปู หรือภาพแบบ ๒ มติ ิและ ๓ มติ ิ ลกั ษณะไทยลว้ นก่อรปู และภาพขน้ึ มาจากจักรวาลทางอุดมคติ
และวัฒนธรรมทางวญิ ญาณไปตามการคดิ คำ� นวณทางจติ ภาพความคดิ ฝนั เพื่อเขา้ ถงึ รูปสุนทรยี อนั สงู คา่ ไปตาม
การหยั่งเห็นดว้ ยปัญญา จากการวเิ คราะหแ์ ละกลนั่ กรองรูป หรือภาพออกมาให้ปรากฏ เช่น กรณีพระพุทธรูป
หมายถงึ รูปแทนพระสัมมาสมั พทุ ธเจ้า สร้างขนึ้ จากมหาคุณลกั ษณะอันเปน็ เลศิ ประเสริฐเหนอื มนุษยท์ ้งั ปวง
และพทุ ธลกั ษณะกบั ลกั ษณะมหาบุรุษในคัมภีรม์ หาปุริสลกั ขณะของพราหมณ ์ แลว้ น�ำมาหลอมรวมจนบงั เกิด
เป็นรูปแทนของพระองคข์ ้ึน
118 วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขั้นสงู
เช่นเดียวกับรปู หรือภาพทางจิตรกรรมไทย แสดงคุณลักษณะทางรปู ร่าง (Shape) มากกว่าเหตผุ ลทาง
รูปทรง (Form) มลี ักษณะแบนแบบ ๒ มติ ิ คือมคี วามกว้างและความสงู (ไมแ่ สดงความลกึ ) มกี ารแสดงความ
หมายของรูปหรอื ภาพด้วยอากัปกริ ิยา ทา่ ทาง สีหน้า และการเคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติของคนหรอื สัตว์ที่เปน็
อยู่ตามธรรมชาติ ยกเว้นรูปหรอื ภาพของฐานานุรปู และฐานานศุ ักดใิ์ นระดบั สูง เช่น พระมหากษตั ริย์ พระ
โพธสิ ัตว์ การเขียนมลี ักษณะไม่เน้นบุคลกิ หรอื ลกั ษณะอนั ต่างบนสหี น้าทา่ ทาง มกี ารเขยี นใบหน้ามีรูปภาพแบบ
เหมอื นกนั ทง้ั หมด ในองคป์ ระกอบภาพขนาดใหญ่ มีใบหนา้ เปน็ อย่างไรพิมพเ์ ดียวกนั หรือ “รดั รูป” (Stereotype)
ตามการเรยี กขานของช่างเขียนไทยเป็นตน้
“การสรา้ งความคดิ ของรปู ใหม่” ชา่ งไทยเดิมมแี นวคดิ การผกู ท�ำรูปและภาพใหใ้ หม ่ หรอื กา้ วหนา้ ขน้ึ ได้
ดว้ ยวธิ กี ารตา่ งๆ คอื การดดั แปลง ตอ่ ยอด การเลยี นแบบ และมวี ิธีคิดหลักทีส่ ำ� คญั คอื “การสรา้ งสตั ว์ผสม
พนั ธใ์ุ หม”่ ขน้ึ เชน่ นำ� รา่ งกายของสตั วป์ ระเภท ๔ เทา้ มาต่อเข้ากบั รา่ งกายท่อนบนของร่างกายคน กำ� เนิด
รปู ใหมข่ องภาพนรสหี ์ มรี า่ งกายท่อนบนเป็นคนท่อนล่างเป็นราชสีหต์ งั้ แต่สะโพกลงไป นำ� ศรี ษะสัตวต์ ่างๆ มาตอ่
เข้าแทนหวั คน กำ� เนดิ รูปใหมข่ องพระพิฆเณศวร มรี ่างกายท่อนลา่ งเปน็ ชายหนมุ่ ค่อนข้างเจ้าเนอ้ื มีเศียรเปน็ ชา้ ง
หรอื น�ำอวยั วะของสตั ว์มาประติดประต่อและผสมกับร่างกายของคน กำ� เนดิ เปน็ รูปครุฑ มีร่างกายท่อนบนเปน็ คน
ศรี ษะเป็นนกอินทรยี ์ แขนเปน็ แขนคนแตม่ กี รงเล็บอย่างนก กายท่อนลา่ งเป็นไก่มหี างเป็นพวงแขง็ มเี ดอื ยแหลมคม
เป็นตน้
แนวความคิดของสัตวพ์ นั ธผุ์ สมทไี่ ด ้ มกี ารพัฒนารปู และภาพสัตว์พันธผุ์ สม ในแบบอย่างและช่ือใหมอ่ กี
ในชั้นหลงั ไดแ้ ก ่ “สญั ลกั ษณ์แห่งวิชา” จากการประกอบผสมของลกู หวั ช้างมนุษยผ์ ู้ชายและนาค “สญั ลกั ษณ์
แห่งอวชิ า” จากการประกอบผสมของรูปหัวจระเข ้ เขาววั นาค และมนษุ ยผ์ ู้ชาย เปน็ ต้น สวุ ฒั น ์ แสนขัตยิ รตั น ์
ถอื เปน็ การสรา้ ง สัตวพ์ นั ธ์ุผสม ในจกั รวาลแห่งอดุ มไทยใหก้ ้าวหน้าขน้ึ (ภาพที่ ๖๕)
ภาพท่ี ๖๕ แสดงการออกแบบลายเส้น เพื่อพัฒนาจนิ ตภาพสมมุติของสัญลกั ษณ์แหง่ วชิ า (ภาพชดุ บน)
และสัญลกั ษณ์แห่งอวชิ า (ภาพชดุ ลา่ ง)
ทมี่ า : สวุ ัฒน ์ แสนขตั ยิ รัตน์ : จิตตาวรตารแหง่ หิมพานต์. ๒๕๕๗
วิธคี ิดทางศิลปะออกแบบขนั้ สูง 119
ความคิดอยา่ งมแี นวคดิ ส�ำคัญอกี ประการหน่ึงคือ การเขียนภาพสิ่งก่อสรา้ งขนาดใหญแ่ ละ มีความสลบั
ซบั ซ้อนในองค์ประกอบของอาคาร - เรือน มกี ารเหล่ือมบงั กันอยู ่ เนอ่ื งด้วยรปู ภาพมีลักษณะโอ่อา่ อลังการไป
ตามสภาพเช่น ภาพประสาท พระราชมณเฑียร มโี ครงสรา้ งและองค์ประกอบท�ำเป็นมขุ ๔ มขุ หรือ ๓ มขุ
โดยตามการรับรู้ได้แบบปกติ จะไมส่ ามารถมองดูไดค้ รบทกุ ดา้ นในจดุ เดียวกัน แตด่ ว้ ยความคดิ อันเป็นเลศิ ของ
ชา่ งไทยเดิม ไดค้ ิดแกป้ ัญหาให้ผชู้ มสามารถแลเห็นส่วนต่างๆ ขององค์ประกอบอาคารไดม้ ากกวา่ ๒ ด้านจาก
จดุ จดุ เดยี ว
มีการออกแบบภาพดว้ ยการคล่ดี ้านตา่ งของอาคารในท่ไี มส่ ามารถมองเหน็ ออกมาตามลำ� ดบั และจดั เลย้ี ง
ใหอ้ ยู่ในแนวระบบเดียวกันหมด ด้วยวธิ ีการ “คลี่” (Unfolded) ด้านขา้ งทั้งสองด้านออกมาเรียงขนานกลับ
ดา้ นท่ีอยู่ตรงหน้า จงึ ปรากฏรูปใหเ้ หน็ ได้ท่วั ไป (ภาพที่ ๖๖)
ภาพท่ี ๖๖ การคล่ดี า้ นข้างของปราสาทจตุรมขุ และหนา้ บนั ๔ ดา้ น ออกมาเรียงขนานกับดา้ นหนา้ (ภาพซา้ ย)
เปรียบเทยี บกบั ภาพมหาปราสาทในจติ รกรรมฝาผนังและปราสาทต่างๆ ในพระบรมมหาราชวงั
ทมี่ า : จุลทัศน์ พยาฆรานนท์. “ลักษณะจิตรกรรมไทย” ไทยศกึ ษา : อารยธรรม เล่มที่ ๒ หน่วยที่ ๑๑
120 วธิ คี ิดทางศิลปะออกแบบขัน้ สงู
การคิดแกป้ ญั หาจากการรับรูท้ างการเหน็ ได้ เพยี งจุดเดยี วและสามารถมองเหน็ สภาพของสิง่ ปลูกสรา้ ง
แบบไทยมอี งค์ประกอบอาคารแบบสลับซอ้ นได ้ ถอื วา่ เป็นนวัตกรรมทางการแกป้ ัญหาทางการมองเหน็ ภาพ
แบบ ๒ มติ ิ คร้ังส�ำคญั ทไ่ี ม่ค่อยมีใครถอดรหัสความรขู้ องภูมิปญั ญาชา่ งไทยมากนัก เชน่ เดียวกับการน�ำเสนอ
สง่ิ ทอี่ ยใู่ นต�ำแหนง่ ซอ่ นเร้น ในสว่ นของนรกภูมทิ ่ีมอี ยู่ถงึ ๘ ขมุ การจะน�ำเสนอดว้ ยภาพแทนความคิด
(Representation) ใหเ้ ขา้ ใจตามสภาวะเป็นจริงเช่นน้นั คงไมใ่ ช่เรอ่ื งง่าย แตด่ ว้ ยการแกป้ ญั หาทางความคิด
ของช่างไทย ได้นำ� เสนอภาพให้มองเหน็ สิง่ ตา่ งๆ ภายในบ่อและขมุ นรกในแต่ละขมุ ดว้ ยการยกพื้น (Elevation
Plane) ส่วนปากบอ่ หรอื ขุมนรกใหก้ ลับตงั้ ข้ึนใหม่ มตี ำ� แหนง่ ขนานกับสายตา จนผู้ชมสามารถมองเห็นส่ิงที่
ซ่อนเรน้ ใหร้ บั รไู้ ด้ทงั้ หมด (ภาพท่ี ๖๗)
ภาพท่ี ๖๗ การแกป้ ัญหาทางการรบั รจู้ ากการมองเห็น ภาพสง่ิ ทซ่ี อ่ นเร้นด้วยวธิ ีการยกพืน้ ให้กลบั ขน้ึ ตัง้ ขนาน
กับสายตา เป็นความคดิ แบบก้าวหน้าทางทศั นศิลปใ์ นสมยั รตั นโกสนิ ทร์ตอนตน้
ที่มา : ปรบั ปรุงจากสมุดภาพไตรภูมฉิ บับอนรุ ักษอ์ กั ษรธรรมอสี านของนพวงษ ์ เบา้ ทอง พ.ศ. ๒๕๕๖
วิธีคิดทางศลิ ปะออกแบบขั้นสงู 121
(๒) กาล (Time) เวลาและเหตุการณ์ พิจารณาถงึ ความคิดแบบก้าวหนา้ จากภาพลักษณ์ไทย ไดจ้ าก
ภาพเลา่ เรอ่ื งพรรณนาเหตกุ ารณ์ ไปตามความคดิ และความมงุ่ หมายของไทยเดมิ จะพบว่าไมแ่ สดงสภาพกาลเวลา
ในเหตกุ ารณแ์ ละสง่ิ แวดลอ้ มเช่น เชา้ กลางวัน กลางคืน หรือ ผู้ชมตอ้ งใช้ความคิดค�ำนึงในการรับชม พร้อม
ไปกับการตคี วามหมายของกาลเวลาไปตามเหตกุ ารณใ์ นเรอ่ื งวา่ ภาพนน้ั อยใู่ นชว่ งเวลาใด
ตอนมหาภิเนษกรมณ์ ไดร้ ะบเุ หตุการณ์เจ้าสิทธตั ถะได้เสดจ็ ออกจากพระราชวงั ในเวลา “กลางคนื ”
เจา้ ชายได้ทรงมา้ ตลอดราตร ี “รงุ่ เช้า” จึงเสด็จลงพักริมแม่น้ำ� อโนมานที แลว้ ทรงตัดพระเมารีด้วยพระองค์
แสดงวา่ ทรงตัดความผกู พันตอ่ ชวี ติ ทางโลกียวสิ ัย ภาพเขียนไทยเดิมจะไมแ่ สดงหรอื บง่ บอกวา่ เวลาใด แต่จะ
แสดงความเปน็ “สมมตภิ าวะ” ของเหตกุ ารณ์ว่า เน้อื หาก�ำลงั เดนิ เร่ืองไปถึงชว่ งใดเวลาใดเปน็ ต้น
“สมมติภาวะ” เป็นความคดิ นามธรรมลกั ษณะหนงึ่ ของไทยดว้ ยการใชส้ อื่ สิ่งตา่ งๆ เปน็ สิง่ แทนความหมาย
อีกสงิ่ หน่งึ หรือความหมายหนึ่ง ได้แก่ สแี ดงชาดมคี วามหมายแสดงสภาพความสวา่ ง ความว่างเปล่า หรือ
อากาศ เช่น เขยี นภาพพ้ืนทส่ี วรรค ์ พ้นื หลังภาพในวมิ าน แสดงความเปน็ หว้ งอวกาศอนั สดใส เชน่ เดยี วกับ
วธิ ีคิดในการแบ่งแยกกาลเวลา เหตุการณภ์ ายในเร่อื งใหแ้ ยกออกจากกันด้วยเสน้ สบิ เทา เสน้ คดกรชิ เสน้ ฮ่อ
จากการคดิ ประดิษฐข์ ึน้ ใหม ่ หรอื ด้วยแนวกำ� แพง คคู ลอง ต้นไม ้ โขดหินอันเปน็ เสน้ แบง่ โดยธรรมชาติแวดลอ้ ม
เพื่อให้รับรู้และเขา้ ใจได้ถงึ ช่วงเวลาในแตล่ ะขณะ และของเรอ่ื งใหแ้ ยกออกจากกนั
ภาพท่ี ๖๘ การออกแบบเสน้ แบ่งค่นั ภาพเหตกุ ารณแ์ ละกาลเวลาดว้ ยวิธีการต่างๆ กนั
กาลเวลาและการเคลือ่ นไปตามจกั รวาลทางอดุ มคติไทย มีความสัมพนั ธเ์ ช่ือมโยงกับธรรมชาติ และวถิ ี
ผคู้ นตามคติความเชื่อไตรภมู ิ และเป็นพลงั กำ� ลงั ภายใน ท่ีมีบทบาทต่อวถิ ีไทยในทางศลี ธรรม การประพฤติ
ปฏบิ ัตมิ าโดยตลอด ไมว่ า่ จะเปน็ เรื่องของบาป บุญ คณุ โทษ โลกน้ีโลกหน้าและกฎแหง่ กรรมเปน็ ตน้ ซง่ึ ความเชอ่ื
ทางพทุ ธศาสนาดงั กลา่ ว มักจะสะท้อนใหผ้ คู้ นได้เกิดความตระหนักถงึ สจั ธรรมดังกลา่ ว ผ่านสัญลกั ษณท์ างศลิ ปะ
และอบุ ายวิธใี นการสอนต่างๆ กันไป
พุทธศาสนา มแี ก่นธรรมเกีย่ วขอ้ งกับคำ� สอนใน “ไตรลักษณ”์ สะท้อนถึงความปกตธิ รรมดาของ
การเคลอ่ื นทไี่ ปของสรรพสงิ่ ท่ีมีเวลาและความเสอื่ ม กับความสญู สลายเปน็ กระบวนการปจั จยั ทสี่ รา้ ง
ความเปลยี่ นแปลง “อนจิ จฺ ”ํ ความไม่เทยี่ ง การไม่คงท่ี ไมย่ ง่ั ยนื เป็นภาวะการเกดิ ขึน้ แลว้ เสอ่ื มสลายไป
“ทุกข์” ความเป็นทุกข์และ “อนัตตา” ความไมใ่ ชต่ วั ตน ความไมม่ ตี ัวตน อันเป็นหลกั สามสง่ิ ของศาสนาพทุ ธ
ท่กี ล่าวถึงทกุ สรรพส่งิ ในโลกลว้ นตอ้ งอยู่ภายใตเ้ งื่อนไขของความเปลี่ยนแปลงไมม่ ีส่งิ ใดคงอยยู่ ง่ั ยืนถาวร
122 วธิ คี ดิ ทางศิลปะออกแบบข้ันสูง
ความไมเ่ ท่ยี งแท้ไปตามกฎของค�ำว่า อนจิ จฺ ํ ของสรรพส่งิ บนจกั รวาลทางอุดมคตนิ ้ี เปน็ การแปรเปลี่ยน
การเคลอ่ื นไปตามสัจภาวะทางธรรมชาติ และทางธรรมทีม่ นุษย์โลกและเทวโลกทุกส่ิงอนั ไมส่ ามารถจะหลกี หนี
พ้นได้ ตา่ งก็ต้องอย่ใู นวฏั จักรน้ ี ความคดิ นามธรรมเกีย่ วขอ้ งกบั แก่นธรรมว่า อนจิ จฺ ํ เป็นค�ำกญุ แจหลกั ที่
สามารถน�ำไปไขสปู่ ริศนาธรรมทแ่ี ฝงซอ่ นอย ู่ ในวิถีมนษุ ยไ์ ด้แทบทกุ เรอื่ ง ตั้งแต่เกิดจนตายของความเป็นไป
แบบพืน้ ๆ จนถึงแบบลุม่ ลึก
ตวั อยา่ ง : กาละในมิตขิ องจิตกรรมไทย
จุดเด่นภาพ “เหตุการณ์” แสดงหลายเหตุการณ์และเน้ือหาในภาพเดียวกันจากตน้ เรื่องเร่ิมจากขา้ งบนสดุ
และเคล่ือนเวยี นลงมาขา้ งล่าง มกี ารแสดงหลายตอน เหตุการณ์และเวลาส่วนมากมคี วามเกี่ยวขอ้ งกับเนอ้ื หาของ
มนุษย์กับมนุษย์ มนุษยก์ ับธรรมชาติและจกั รวาล และมนุษยก์ บั คุณธรรม ผา่ นเนือ้ เรอ่ื งเกี่ยวกบั พระพุทธศาสนา
ขนบธรรมเนยี มประเพณ ี ประวตั ศิ าสตร ์ วรรณคดี เปน็ ต้น เน้ือหาเกย่ี วขอ้ งกบั มนษุ ย์หรือสามญั ชน จะม ี
การแสดงเหตุการณ์ของภาพได้ค่อนขา้ งอสิ ระกว่า เรอ่ื งเกยี่ วกบั ฐานานุศักด ิ์ ภาพเก่ยี วกบั ชาวบา้ น จะเห็นถึง
ความเปน็ วิถดี ้ังเดิม ความเป็นยุคสมัยผ่านรูปสญั ลักษณ์ตา่ งๆ เปน็ ความหมายแฝงหรอื สง่ิ ซ่อนเร้นท่สี ะท้อน
สัจจสภาวะ ของความเปน็ มนุษย์ทม่ี ีลมหายใจ สัญลักษณ์ไทยที่มสี ีสนั มคี วามสัมพนั ธเ์ ชอ่ื มโยงกับเหตกุ ารณ์
พนื้ ที่อยา่ งมคี วามหมาย แสดงออกซึง่ อากัปกริ ยิ า อารมณ์ความรู้สกึ ผ่านสหี นา้ และทา่ ทาง
วธิ ีคดิ ทางศิลปะออกแบบขั้นสูง 123
ความคดิ ไทยเดิม มีการนำ� เสนอดลุ ยภาพระหว่างสมมตภิ าวะ ของรปู ภาพสญั ลกั ษณ์ทางอดุ มคติ ของ
ฐานานรุ ปู และฐานานศุ กั ดิ์ของผคู้ นระดบั สูงประกอบผสมไปกับ สจั ภาวะของชาวบ้านและเหตุการณ์ท่ีเก่ยี วขอ้ งกัน
อนั เป็นรูปสนุ ทรียทางอดุ มคตขิ องรูปพระนาง ปราสาทราชวงั ส่วนหน่งึ กับสุนทรยี จากการเลียนแบบรปู เหตุการณ์
ของชาวบ้านอีกสว่ นหนึ่ง แสดงถงึ พัฒนาการทางสัญลักษณใ์ นสองความคดิ ตา่ งระดับน้ี
เร่ืองของความเป็นจรงิ บรรยากาศ ความมมี ิตลิ กึ ตน้ื แบบตาเห็น จะได้รบั การพัฒนาและต่อยอดอย่าง
จรงิ จัง ในช่วงการพฒั นาประเทศใหท้ ันสมยั ของรชั กาลที่ ๕ มาเป็นลำ� ดบั ตามอทิ ธพิ ลตะวนั ตกทเ่ี ขา้ มา จนตอ่ มา
สัญลกั ษณ์แบบไทย ได้ก้าวหน้าเตม็ รูปแบบของลูกผสมในชว่ งของสมเดจ็ กรมพระยานรศิ รานวุ ัดติวงศแ์ ละลกู ศิษย ์
สว่ นรูปจากรากไทยตามแบบอดุ มคติด้ังเดิม ยงั ขาดการศกึ ษาและแสดงให้เหน็ ถึงความกา้ วหนา้ และพฒั นาบน
เส้นทางไทยแบบรว่ มสมยั ตอ่ มา
ตวั อยา่ ง : เทศะในมติ ิของจติ กรรมไทย
124 วธิ ีคิดทางศลิ ปะออกแบบข้ันสงู
(๓) เทศะ (Space) และพืน้ ท ่ี มคี วามคดิ นามธรรมเกี่ยวกบั สิง่ ศักดส์ิ ิทธ ์ิ ส่ิงเหนือธรรมชาติ ในพื้นที่
ไปตามการหยง่ั รู้ เชน่ ผีสางนางไม ้ เทพารักษ์ เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองดแู ล และความเชือ่ เก่ียวกบั ไตรภมู ิ
อนั เก่ียวข้องกบั วิถีชวี ิตในหลายๆลกั ษณะ การกระทำ� ส่งิ หน่ึงสิ่งใดลงบนพ้นื ท ่ี จงึ ตอ้ งขอขมาลาโทษ เซ่นสรวง
บดั พล ี ให้เจา้ ท ี่ เจ้าทาง เจา้ ปา่ เจา้ เขาไดท้ ราบเสียกอ่ น ในทางพทุ ธศาสนาอาณาบรเิ วณของเขตพน้ื ท่ีวดั หรอื
ธรณีสงฆ์ มกี ารแบง่ พน้ื ท่ไี ปตามการใชส้ อยได้แก่ เขตพทุ ธาวาส ประกอบดว้ ย อโุ บสถ วิหาร เขตสงั ฆาวาส
ประกอบด้วย กุฏิ หอฉัน เขตปรก ประกอบดว้ ย ปา่ หรือสวนเพื่อใชเ้ ป็นพ้นื ทีน่ ัง่ สมาธหิ รือพักผอ่ น เปน็ ต้น
มเี ขตพ้นื ทอ่ี นั เป็นสมมติภาวะของการวางผังวัดตามอุดมคตคิ ือ การจำ� ลองจกั รวาล เช่น วดั สทุ ศั น์เทพ
วราราม มีการวางต�ำแหนง่ เขตพุทธาวาส ใหม้ ีความหมายของมหานครทีต่ ้งั อยู่บนเขาพระสเุ มร ุ พระวหิ ารหลวง
ถูกกำ� หนดให้เป็นอาคารประดิษฐานของดาวดงึ ส์เทวโลก ศาลาโถง ๔ หลัง หมายถงึ จตุโลกบาลทง้ั ๔ บนสวรรค์
ช้ันท่ี ๑ ของจักรวาล พระเรียงลอ้ มรอบพระวิหาร หมายถงึ ภูเขาสตั บริภณั ฑ์ เปน็ ต้น
พืน้ ทใี่ นบรบิ ทของถ่ินที่อย่อู าศัย มีความหมายแฝงเก่ียวข้องกับภมู สิ ัณฐานและสงั คมวฒั นธรรมในแตล่ ะ
ทอ้ งถิน่ เช่น บาง (บางปลาสรอ้ ย บางปะกง) มาบ (มาบชลูด มาบข่า) โคก (โคกสะอาด โคกไทย) ดอน
(กลางดอน ท้ายดอน) หรือบา้ น (บา้ นบาตร บ้านน ุ บ้านชา่ งหล่อ) มีความเกาะเกยี่ วไปกับเสน้ ทางสัญจร และ
การประกอบอาชีพในกลุ่ม และบางพนื้ ทล่ี งลกึ ไปถงึ ถ่ินที่อยตู่ ามชาติพนั ธ์ุไดแ้ ก ่ ยา่ นไทย ย่านจนี บา้ นแขก
บา้ นลาว
ความคดิ ก้าวหนา้ เกย่ี วกับพ้นื ทห่ี รอื เทศะ ชา่ งไทยไดพ้ ยายามผูกโยงเนื้อหาเกยี่ วกับจักรวาลในอุดมคต ิ
มาชะลอไวบ้ นพนื้ ทีโ่ ลก ในรูปแทนความหมายทางสญั ลักษณ์ของ “เขามอ” สถปู เจดยี ์ ปรางค์ และเคร่อื ง
ประกอบพิธกี รรม เชน่ บายศรีปากชาม มกี ารพลีพระเกตุ บษุ บกมหาพชิ ัยราชรถ ด้วยรูปจำ� ลองเขาพระสเุ มรุ
และปา่ หมิ พานตม์ ารวมไวด้ ้วยกัน มีขนาดใหญ่เลก็ ลดหล่ันกันไปตามการใชง้ าน
การแสดงออกของรูปและพน้ื ที ่ ทางการออกแบบและศิลปะไทย มวี ิธกี ารคดิ ก่อรูปภาพใหเ้ กดิ การรับรู้
ในมติ ิใหมแ่ บบนา่ สนใจ เชน่ การสลับด้านไปมาของรูปภาพต่างๆ ทุกรูป การซอ้ นกนั ของรูปภาพ การกลับคา่
ทศั นียวสิ ยั ของเสน้ นำ� สายตาเป็นเส้นคูข่ นานให้เกดิ ความ ลกึ ลงไปในทศิ ทางเดยี วกนั ซง่ึ วิธีการข้างต้นเป็นวิธ ี
การควบคมุ การนำ� เสนอรปู และความหมายของรูปภาพใหอ้ อกมาในลกั ษณะ ๒ มติ ิ ตามแบบไทยเดิม
วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้ันสูง 125
ภาพที่ ๖๙ การสรา้ งรูปภาพจากสัญลักษณต์ ามคณุ สมบตั เิ ฉพาะของจิตรกรรมไทยจากการวิเคราะห ์ เพ่อื สรา้ ง
การรับรูใ้ หม่ทางการเหน็ ของจิตรกรรมไทยแบบร่วมสมัย
126 วิธีคิดทางศลิ ปะออกแบบขั้นสงู
(๔) การเคลอ่ื น (Move) ตามความคดิ แบบไทย ไม่ใช่เปน็ การเคลื่อนแบบการรับรู้ไดท้ างการเห็นของ
ชว่ งเวลาและปรากฏการณเ์ กี่ยวเน่ืองไปตามการขึ้นลงของดวงอาทิตย์ ใหเ้ ขา้ ใจได้ถงึ การเคลอื่ นการ เปล่ยี นแปลง
ของสรรพส่ิงบนพื้นโลก ซึง่ เป็นไปตามหลกั ของวิทยาศาสตร์ทางการรับรู้แบบสากล ทง้ั นค้ี วามคิดและความเข้าใจ
ของไทย อาจมองปรากฏการณ์และภาวการณข์ องการเคลอ่ื น การหมนุ ไปและการเวียนไปในอีกนัยหนึ่ง เปน็
เรื่องของคติความเช่อื ประเพณี ความมีศิรมิ งคลและอปั มงคล อนั มพี ธิ ีกรรมเป็นองคป์ ระกอบเพื่อสรา้ งความ
ศกั ด์ิสทิ ธใ์ิ นพธิ ี เช่น การเคลอ่ื นในขบวนบวชนาค รูปขบวนตอ้ งเดินเวยี นทกั ษิณาวรรต หรอื เวยี นขวารอบ
องคพ์ ระประธานในพระอโุ บสถ เพื่อความเปน็ สริ มิ งคล ในทางตรงกนั ข้ามการเคลือ่ นในขบวนแหศ่ พจะเดินเวียน
อุตราวรรต หรือเวียนซา้ ยรอบพระเมรุ เปน็ ต้น
ตัวอย่าง :
“การเคล่ือนหรือการหมุนเวยี น” ในสงั คมไทย มคี วามคดิ นามธรรมที่ยึดโยงอยกู่ บั
สงั สารวัฏ และ อนิจจฺ ํ ทางพุทธศาสนาอยมู่ าก โดยเฉพาะความเปน็ ไปของกฎแห่งกรรม อนั
สบื เนื่องจากผลของการกระทำ� อยา่ งหนึ่งอย่างใด และอรยิ สัจ ๔ (ทุกข ์ สมุทยั นิโรธ และมรรค)
ความจรงิ ๔ ประการ ทจ่ี ะน�ำสตั ว์โลกใหพ้ ้นทุกข์ได้ ซ่ึงการกระทำ� ท้ังหลายทัง้ ปวงของสรรพสตั ว์โลก
ต่างลว้ นอยู่ในวงั วนแห่งการเกิดจาก การเวยี นว่ายตายเกดิ ของความไมเ่ ทย่ี งแท้จรี งั ตามการ
เคลือ่ นท่ีไปของสอื่ สงิ่ ท่ีมีเวลาและความเสอ่ื ม ความสูญสลาย ปรัชญาทางพทุ ธศาสนานีไ้ ดม้ ีสว่ น
อย่างส�ำคญั ตอ่ “ศลิ ปะแบบเฉพาะกาล” (Temporary Art) และ “งานแนวไม่จีรงั ทางศลิ ปะ”
(Actual Time) อาศยั คณุ สมบัตขิ องธรรมชาต ิ กอ่ ใหเ้ กิดความเสื่อมสภาพในตวั มันเอง หรอื
ความสมั พันธ์กับเหตปุ จั จยั อื่น เช่น กลศาสตร์ เทคโนโลยี (ภาพที่ ๗๐)
วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้ันสงู 127
ภาพท่ี ๗๐ สุดศริ ิ ปุยอ๊อก “Pumpkin Project” ๒๕๕๔ แกะสลกั ฟักทองด้วยแบบอยา่ งและลวดลาย จาก
การแกะอยา่ งวจิ ิตรไว้ใหร้ บั รู้ชน่ื ชมชวั่ ขณะหน่ึงๆ บนวัสดชุ ัว่ คราวแบบไมจ่ ีรงั จะมกี ารแปรเปล่ยี น
จนไมค่ งเหลอื อะไรไว้ตามแนวคิด “ศลิ ปะไม่จรี งั ”
ท่มี า : https://www.facebook.com/sudsiri.puiock
การเคลอื่ นในทางศิลปะออกแบบคอื การสรา้ งสมมุตภิ าวะ ด้วยสญั ลกั ษณแ์ ทนความหมายของสอ่ื ส่งิ ทาง
นามไร้รูปใหป้ รากฏเป็นรูป เปน็ ภาพขนึ้ สว่ นหนงึ่ กับอกี ส่วนหน่งึ ไดร้ ับแรงบนั ดาลใจจากการเคลอื่ นตามธรรมชาติ
ของคน สัตว์ และปรากฏการณร์ อบตัวกับความเคลือ่ นไหวในนาฎลกั ษณม์ าดัดแปลงใหเ้ กิดเป็นรูปภาพใน
อากปั กิรยิ าท่าทางของภาพเขยี น และภาพป้นั พระนางและยักษข์ องไทย อนั ประกอบไปกับเครื่องแตง่ กาย และ
ถนิมพิมพาภรณ์ ของเครอื่ งประดบั กายอยา่ งครบครนั ไปตามฐานานศุ กั ดแิ์ หง่ รปู กายนัน้ (สีตามระดบั ฐานะ
มงกุฎ ชฎา ฯลฯ)
128 วธิ ีคดิ ทางศลิ ปะออกแบบข้ันสูง
นาฎลักษณ์คือการเคลือ่ นด้วยภาษากายส่อื ถงึ ความหมายของการเคล่ือนผา่ นทา่ ทางขององคาพยพของ
เรอื นร่างในอวัยวะสว่ นตา่ งๆ มสี ่วนหลักสำ� คัญในการส่อื ความหมายทางอารมณ์ ความรู้สกึ คือ ควิ้ มอื แขน
เท้า เป็นตน้ เช่น รกั โกรธ ดีใจ เสียใจ (เศรา้ ) มศี ลิ ปนิ ชอื่ พิเชษฐ์ กลัน่ ช่ืน ได้เข้าถงึ สมมตภิ าวะแห่งนาฎ
ลกั ษณ์ไทยไดก้ ระจา่ ง มีการตีความหมายของภาษาท่าทาง ตามแนวธรรมเนียมนยิ มเดิม ผสมผสานกบั สุนทรีย
ร่วมสมัย ดว้ ยการออกแบบท่าเตน้ และการออกแบบหวั โขน และเคร่อื งแตง่ กายข้ึนมาใหม ่ ผ่านการใช้โทนสีดำ�
และเงิน จนศิลปะการแสดงไทยใหมไ่ ด้การยอมรับอยา่ งกว้างขวาง (ภาพท่ี ๗๑)
ภาพที่ ๗๑ พเิ ชษฐ ์ กลน่ั ชืน่ “Black & White” ประสบความสำ� เร็จในการสร้างสรรคศ์ ิลปะการแสดงแบบ
รว่ มสมัย ดว้ ยการลดทอนความอลงั การของรปู ภายนอกใหเ้ หลอื เฉพาะแก่นของนาฏลกั ษณไ์ ทย
ผสมผสานส่อื เสยี งแบบใหม่
ท่ีมา : www.google.co.th
การเคลือ่ นในจิตรกรรมไทยประเพณี มีคุณลักษณะของรูป เสน้ ทา่ ทางทใ่ี ห้ความร้สู กึ ในความ
เคล่ือนไหวทเ่ี กดิ จากกำ� ลงั พลังภายนอกแบบมองเห็นได ้ เชน่ การเคลอ่ื นของน�้ำ คน และสตั ว์ และภายใน
อันเกดิ จากการแสดงออกในรูปลักษณะต่างๆ กนั ไป อาทิ การประกอบผลงานจากมลู ธาต ุ ทัศนธาต ุ และรูปรา่ ง
รปู ทรงเข้าด้วยกัน ให้เกิดสุนทรยี ในรูปลกั ษณเ์ หลา่ นน้ั ได้แก่ ค�ำว่า อ่อนช้อย สง่างาม งดงาม รนุ แรง เปน็ ต้น
ล้วนเกดิ ข้นึ จากปัจจยั ของก�ำลงั พลังภายใน (Inner Energy) จากการเคลื่อนไหวภายในของรปู และองค์ประกอบ
เกยี่ วข้องตา่ งๆ
วิธีคิดทางศิลปะออกแบบข้นั สงู 129
ในเรอื่ งนี้ ชลดู น่ิมเสมอ ได้ช้ใี หเ้ หน็ ถงึ สญั ลักษณส์ ากล ของความเคลอื่ นไหวภายในจติ รกรรมไทยดว้ ย
เสน้ แสดงนยั ประกอบการวเิ คราะห์รปู ทรง กลมุ่ รปู ทรงจนนำ� ไปสูก่ ารเข้าถงึ ความเคล่ือนไหวทท่ี รงพลงั ของก�ำลงั
พลงั ท่ีมองไมเ่ หน็ ซ่งึ ชว่ ยใหเ้ กดิ ความคิดความเขา้ ใจทกี่ า้ วหนา้ ดว้ ยการเข้าถึงนามธรรมไร้รูปทางศลิ ปะ ในงาน
จิตรกรรมไทยอีกขนั้ หนึง่ (ภาพท่ี ๗๒)
ภาพที่ ๗๒ พระโมคคัลลานะเนรมติ เปน็ ครฑุ เขา้ ตอ่ สกู้ ับพระยานาคนันโทปนนั ทะ พระที่นั่งพทุ ไธสวรรย์
กรุงเทพฯ (ภาพ ๑) และเส้นแสดงความเคลอื่ นไหวของทว่ี า่ งทั้งภายในและภายนอกรปู ทรงมี
การเคลอ่ื นไหวอยา่ งรุนแรง (ก) (ภาพ ๒) พระราชพิธอี ภเิ ษกสมรสพระเจ้าสทุ โธทนะ กบั พระนาง
สริ มิ หามายา และแสดงความเคลอื่ นไหวที่เกิดจากโครงสร้างหรือเสน้ แกนของภาพ (ข)
ท่ีมา : ชลูด นม่ิ เสมอ. การเขา้ ถึงศิลปะในงานจติ รกรรมไทย. ๒๕๓๒.
130 วิธคี ดิ ทางศลิ ปะออกแบบขัน้ สงู
ภาพการเคลือ่ น นอกจากสะทอ้ นผ่านสมมติภาวะของจติ รกรรมไทยวา่ รูปภาพเป็นเชน่ น้ัน และสัจจภาวะ
จากการเคล่อื นในทา่ ทางของนาฏศิลป ์ ในสภุ าษิตและสำ� นวนโวหารไทยเดมิ ตา่ งมีอบุ าย วิธคี ิด คตสิ อนใจดว้ ย
รอ้ ยกรองอย่างมคี วามหมาย และบางสภุ าษติ และส�ำนวน มีความเกีย่ วขอ้ งกบั การเคล่ือนที่ของน�ำ้ ไปเทียบเคยี ง
กบั วถิ ชี ีวิต และปรากฏการณ์ความเปน็ ไปตา่ งๆ เพื่อใหส้ งั คมไทยได้ตระหนกั ถงึ การคลองตนและการปฏบิ ัตติ น
ใหเ้ หมาะสม เช่นส�ำนวนวา่ “นำ้� มาปลากนิ มด น้ำ� ลดมดกินปลา” “น้ำ� เชย่ี วอย่าขวางเรอื ”
๓.๔ คิดวธิ ใี หม่ตอบโจทยโ์ ลกใหม่
กาลเวลาและเทศะของพืน้ ที่ทางสงั คมวัฒนธรรมปจั จุบัน มกี ารเคล่ือนไหว มีการเปลย่ี นแปลงไปทุกขณะ
ทง้ั ทมี่ องเหน็ ได้และไม่ได ้ พร้อมไปกบั โลกของเรามขี นาดเล็กลงเขา้ ทกุ วันเนื่องมาจากปจั จยั ของเทคโนโลยี
สารสนเทศและเงอื่ นไขของประชากรโลกเพม่ิ ปริมาณมากขน้ึ และมกี ารอพยพและเคลือ่ นยา้ ยแรงงานข้ามชาต ิ
ไปสปู่ ระเทศอ่ืนอยเู่ ปน็ ระยะ มีการเติบโตของธุรกจิ การตลาด และอุตสาหกรรมในตลาดใหม่ของโลกเชน่ จีนและ
อนิ เดีย โดยอาศยั เทคโนโลยีเชน่ Virtual reality (VR) และ Augmented Reality (AR) มาสง่ เสรมิ นวัตกรรม
ทางออกแบบ การประดษิ ฐค์ ดิ คน้ เพอื่ น�ำไปสูก่ ารแข่งขันในตลาดสากล ด้วยการยกระดับมาตรฐานและคุณภาพ
สินคา้ ให้สูงขน้ึ
ศิลปะออกแบบและสอื่ เทคโนโลยีใหมท่ ่ีกา้ วข้ามเทคโนโลยจี ากระบบอนาลอ็ ก หรือสอื่ เดมิ มาเป็นระบบ
ดิจทิ ลั และไปส่เู ทคโนโลยอี ตั โนมัติหรอื ศลิ ปะห่นุ ยนต ์ (Robot Art) และพนั ธกุ รรมใหค้ วามเปน็ เลศิ ทางด้าน
ความซบั ซอ้ นของแนวคิดดา้ นนวัตกรรมเทคโนโลยี มคี วามเกยี่ วข้องกับสังคมและวฒั นธรรม ด้วยการผสมผสาน
ความหลากหลายของอุปกรณแ์ ละชุดคำ� ส่ังท่แี ตกต่างกนั ซ่ึงมกี ารเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาไมว่ ่าจะเปน็ เร่อื งของ
ทรานสมชิ ชัน คอนโทรล (Transmission Control) โพรโทคอล และอินเตอรเ์ นต็
ศลิ ปนิ นกั ออกแบบสื่อเทคโนโลยสี มยั ใหม ่ ใชเ้ ทคโนโลยีเพือ่ การค้นคว้าทดลอง การแสดงความคดิ เหน็
และได้ใหค้ �ำนิยามสอ่ื ใหมว่ ่า “สื่อศลิ ปะ” แกเ่ ทคโนโลยีเหลา่ น้นั ดว้ ยคณุ สมบัตอิ ันเป็นจุดแขง็ และโอกาสใน
การน�ำไปใช้อย่างไมอ่ าจจะจนิ ตนาการได ้ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ สอื่ ใหม่ในบทบาททางสุนทรียศาสตร์ เปน็ ภาพลกั ษณ์
ทางอดุ มคติของความเป็นวฒั นธรรมใหมแ่ บบกา้ วหน้าของวฒั นธรรมจอภาพ ผา่ นไซเบอรส์ ะท้อนถึงกาลเทศะใน
ปรากฏการณท์ างสังคมวัฒนธรรมท่ีหลากหลาย มีความเก่ยี วขอ้ งกบั Internet การสอื่ สารเครอื ข่ายและบล็อก
เกมส์ Online เป็นต้น “สื่อก้าวหน้า” (Meta Media) แบบล้�ำยคุ มาพร้อมกับแนวคดิ และปรัชญายคุ หลังสมัย
ใหม่นิยม ในแนวทางการนำ� ผลงานเดิม มาปรับปรุงใหม่หรอื สรา้ งขึ้นซ�ำ้ ใหม่ (Renovate) การสร้างทวนซ้�ำใหม ่
(Reconstruction) มากกว่าจะสร้างสรรคใ์ หม่ (ภาพท่ี ๗๓)
วิธคี ิดทางศลิ ปะออกแบบข้ันสงู 131
ภาพที่ ๗๓ ลลิ เลย่ี น ซคอวท์ (Lillian Schwartz) ผลงานชอ่ื “Comparison of Leonardo’s Self – Portrait
and the Monalisa” (ภาพซ้าย) วคิ เตอร์ วาซาลี (Victor Vasarely) ผลงานช่ือ “Gordes
Cristal” ใชพ้ ลงั งานจากไฟฟา้ มาสรา้ งรปู ลูกบาศก ์ ใหเ้ กิดแสงสคี วามเคล่อื นไหวมกี ารเชญิ ผู้ชมเข้าร่วม
ในการแสดง
ท่ีมา : (https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/๘/๘e/DaVinci_MonaLisa๑b.jpg)
(https://i.pinimg.com/๒๓๖x/de/๙๖/bb/de๙๖bb๖๙๔d๑๘๗๔๙e๘b๘๕c๓๕c๖๑bb
c๓๕d-vasarely-kinetic-art.jpg)
ในเส้นทางศลิ ปะร่วมสมยั ของโลก มกี ารเคล่ือนไหวของการจัดกิจกรรม Art International Workshop
เกดิ ข้ึนในหลายพน้ื ทีท่ ั่วโลกทัง้ ในทวปี เอเชียและยุโรปเอง เพอ่ื การสงั สรรค์การแลกเปล่ยี นความคดิ การทำ� งาน
ทางศลิ ปะให้กวา้ งขวางออกไป และสามารถรับรแู้ ละเขา้ ถึงวิธคี ิด และจติ วญิ ญาณทางวัฒนธรรมในแตล่ ะชนชาติ
อยา่ งใหเ้ กียรติกัน ต่อมากิจกรรมทางศิลปะนานาชาติในหลายพื้นท ่ี ไดม้ กี ารยกระดับกิจกรรมการแสดงให้
ก้าวหนา้ ข้ึนไปสู่ความเป็น “ART BIENNALE” กระจายไปทว่ั โลก ประเทศจีนมกี ารตื่นตวั เป็นอย่างสงู มีการ
จดั เทศกาลขึน้ ท่หี ลายมณฑลไดแ้ ก่ ปักกิง่ เซ่ียงไฮ ้ และคุณหมงิ เปน็ ต้น เชน่ เดียวกบั สิงคโปร์และไทยซ่งึ มีกา ร
จดั เทศกาล ART BIENNALE ในระยะเวลาไลเ่ ลี่ยกนั ในภมู ภิ าคอาเซียน
132 วธิ คี ดิ ทางศิลปะออกแบบขนั้ สูง
บริบทของโลกใหม่โดยสงั เขปน้ ี บอกอะไรแก่ศลิ ปินและนกั ออกแบบไทยเรา ให้ตระหนักรู้และสรา้ ง
ความตน่ื ตัวตอ่ การคดิ คน้ แสวงหาแนวทางและเส้นทางศิลปะออกแบบท่ีเหมาะสมมีความกลมกลนื และบูรณาการ
ไปกบั บรบิ ทของโลกซงึ่ ความคดิ แบบก้าวหน้าในบรบิ ทใหม่น้ี จะเร่ิมต้นคิดค้นการสรา้ งสรรคร์ ปู แบบข้ึนใหม ่
โดยไมม่ กี ระบวนแบบ หรือแนวความคิดของสังคมวฒั นธรรมปจั จุบนั เปน็ พ้นื ฐาน หรือไม่ต้องมรี ากไทยก็เป็นไปได ้
ความท้าทายในวิธีคดิ แบบใหม ่ ถือว่าเป็นการเปดิ โลกของศิลปะออกแบบ (รว่ มสมัยใหม)่ ให้กา้ วขา้ มพรมแดน
ของข้อจ�ำกัดทางวฒั นธรรมใหห้ มดไป
๓.๔.๑ ปรบั ขยับทางความคดิ มงุ่ สสู่ ากล ความคิดในทางศลิ ปะออกแบบตามรากใหม่ของ
สมัยใหมน่ ยิ ม เป็นการแทนค่าของความจรงิ ไปตามการรบั รู้ใหม่ เปน็ การเปล่ียนแปลงการรับรจู้ ากความเหมือน
จรงิ ตามการเหน็ ได้แบบปกติในระยะแรก ไปสูก่ ารแสดงนัยทางการรบั ร้ ู เพอื่ การแสวงหาและการแสดงการเห็นได้
แนวใหม ่ ซ่ึงเป็นการรับรู้แบบบริสุทธิแ์ ละเรียบง่าย มีความเป็น Universal และ General ของรปู ภาพทางทศั น์
มหี ลกั ปรัชญาความคิดแบบวิทยาศาสตรเ์ ทคโนโลยี เปน็ พืน้ ฐานสำ� คญั ในการออกแบบภาพ และการสร้างสรรค์
ศลิ ปะแบบรากใหมน่ ้ี
บทบาทส�ำคญั ตอ่ ความกา้ วหนา้ คอื การบูรณาการระหวา่ งความคิดสรา้ งสรรค์ และการใชอ้ ารมณ์
ความรู้สกึ ร่วมกัน และนำ� ไปสู่การปฏิบตั ิเพอื่ บรรลถุ งึ จดุ หมายทีต่ อ้ งการ หลกั การส�ำคัญทถ่ี อื วา่ เป็นแก่นสารของ
ยคุ ใหม่ก็คือ “การเขา้ สคู่ วามเป็นนามธรรม” และ “ความเป็นนามธรรมในศลิ ปะ” และ “การออกแบบ” ด้วย
การอาศัยหลกั การลดทอน
หลักการลดทอน จะเรม่ิ จากสภาพความเป็นจริงเหมอื นจริงแบบธรรมชาติ ทม่ี องเหน็ ตามการรับรู ้ ให้
ลดทอนความจริงใหล้ ดนอ้ ยลงไปตามล�ำดบั จนเหลอื เฉพาะแกน่ ของนามธรรมบริสทุ ธิ์ (Pure Abstract) และมี
ความแบนราบทางกายภาพแบบสากล ของรูปทรงเรขาคณิต (Geometric Form) รูปทรงอิสระ (Free Form)
อย่างเรียบง่าย (Simplicity)
ภาพที่ ๗๔ ผลงานจิตรกรรมของปเี อต์ มอนดรอิ ัน สะท้อนถงึ ความเรยี บง่ายและนามธรรมอนั บรสิ ุทธ์ิ
ตามลกั ษณะของรูปทรงนยิ มตามช่ือภาพดังน้ี
ท่ีมา : www.tencves.com
วิธีคิดทางศลิ ปะออกแบบข้ันสูง 133
แนวคิดลดทอนเชิงวิเคราะห์ เน้นการคดิ ใครค่ รวญพนิ ิจพิจารณา เพอื่ การจำ� แนกแยกแยะของรายละเอยี ด
ด้วยปญั ญาจากความกระจ่างของความร้ใู หมท่ ่ไี ดร้ บั อนั เปน็ รากฐานสำ� คัญของศิลปะนามธรรม (Abstract Art)
และความแบนของภาพในกลมุ่ สมัยใหม ่ ซง่ึ ถือว่าเปน็ กระบวนแบบ (Style) เฉพาะของศลิ ปนิ และนกั ออกแบบ
ในชว่ งเวลาน้นั ดว้ ย (มวี ิธีการออกแบบและสรา้ งภาพใหเ้ กดิ ความแบนในมติ ใิ หม่ ด้วยการจัดวางพืน้ ท่ี ความลกึ จริง
และความลึกแบบลวง (Illusion) ทางการเห็นขึ้นใหม ่ (ภาพที่ ๗๓)
แนวความคดิ แบบน ้ี ถอื ว่าเป็นการแสวงหาความเคล่ือนไหวแบบใหม่ ทเ่ี กิดขึ้นจากหลักการสรา้ งภาพ
และพฒั นาผลงานของศลิ ปนิ จนแปรเปลี่ยนเป็นทฤษฎสี ่วนตนแบบเฉพาะบุคคล ขอ้ สำ� คัญแนวทางทฤษฎีทศ่ี ลิ ปนิ
นักออกแบบหรือนกั ทฤษฎีคดิ คน้ ข้ึน สามารถน�ำไปใชเ้ ปน็ หลักส�ำหรบั ออกแบบและสร้างงานศิลปะได้ และมี
ความแตกตา่ งไปจาก “ความแปลกใหม่” ที่มีการคดิ ค้นมากอ่ นหนา้ น้ี
ภาพท่ี ๗๕ โจเซฟ อลั เบอร ์ (Joseph Albers) แสดงการคดิ ออกแบบภาพลวงในผลงานช่อื “ชดุ โครงสร้าง
ค.ศ. ๑๙๕๓ - ๑๙๕๘” (ชุดภาพซ้าย) สะทอ้ นการลวงตาจากการเคลอื่ นไหว (Illusion :Movement
Effects) สรา้ งปริศนาการเหน็ รูปทรงทเี่ ปน็ ไปไมไ่ ด้และความคลุมเครือทางการรับรู้ และ เอ็มซี เอสเชอร์
(Mc. s Escher) ศลิ ปินผ้คู ิดค้นภาพของมวล - รูปทรง และพนื้ ภาพ (Figure & Ground Ambiguous)
คลา้ ยทัศนียภาพผูกผนั แบบเปน็ ไปไม่ได้ ใหก้ ารรบั รู้ภาพลวงตาแบบใหม่ ภาพ “Sky and Water, One”
Lichen Water, ๑๙๓๘ (ขวาบน) และ “Zaal ๑๑ Metamorphose ๑๑๑๐๓ (ขวาล่าง)
134 วิธีคิดทางศลิ ปะออกแบบขั้นสูง
เร่มิ ตน้ จากทฤษฎกี ารรับรูท้ างการมองเหน็ (Theory of Perception) ของ เฮอแมน วอน เฮมโฮลท์
(Herman Von Helmholtz) เกย่ี วขอ้ งกับการรบั รูแ้ สงและระดับคา่ ของความแตกตา่ งกนั ความลกึ ที่นำ� ไปสู่การ
มองเห็น ๓ มิตพิ ้ืนทว่ี ่าง และส ี เพื่อสรา้ งระนาบของพน้ื ภาพ ในความแบนของศลิ ปะแบบใหม ่ ใหเ้ ป็นสนามแห่ง
การรบั ร ู้ (Visual Field) มกี ารจัดระเบียบ ทัศนธาตุ มูลธาต ุ ตามหลักการใหม่ ดว้ ยการนาํ จิตวทิ ยาเกสตลั ท ์
(Gestalt Psychology) ของการจดั ระเบียบรปู ภาพเก่ยี วขอ้ งกับ “ความเหมอื น” “ความต่อเนอ่ื ง” “ความ -
ใกลเ้ คยี ง” มาจดั หมวดหมหู่ รอื จดั สนามแหง่ การเหน็ จากการรบั ร ู้
หลกั คดิ ของเกสตลั ต์ คอื การปรากฏของสว่ นย่อย สื่อส่ิงใดจะถกู ผสานรวมกนั ภายในโครงรา่ งและ
กลายเป็นส่วนรวมท้ังหมด ซึง่ ความเป็นส่วนรวมภาพรวมจะไดร้ บั อิทธิพลจากสว่ นย่อยๆ ท่ีเขา้ ไปประกอบนั้น
และสร้างความเปน็ สากล มคี วามเปน็ ภาพของรปู ลักษณ์ใหม ่ แนวทางของเกสตลั ตร์ ว่ มกบั ทฤษฎี การลดทอนได้
พัฒนางานศิลปะไปสู่ Minimal Art และการออกแบบไปสู่ “Less is More” ภายในศตวรรษที่ ๒๐ (ภาพท่ี ๗๖)
วธิ คี ิดทางศลิ ปะออกแบบข้ันสูง 135
มนิ มิ อลอารต์ หรือ Minimal Design หรอื Minimalist Design ด้วยหลักการคิดคอื นอ้ ยคอื มาก
หรือออกแบบทำ� ใหเ้ รยี บง่ายทีส่ ดุ มีประโยชน์สูงสุด ดว้ ยการตัดทอนสิง่ ทไ่ี มจ่ ำ� เป็นออก ให้คงเหลือแกน่ สารทม่ี ี
ความเรยี บง่ายแตง่ าม อาศยั สาระตามความจรงิ ทีม่ องเหน็ ด้วยโครงสรา้ งพืน้ ฐานทางเรขาคณิต และวสั ดุจ�ำพวก
ไม้อดั โลหะ เหล็ก วัสดุที่ผลติ ผา่ นกระบวนการอุตสาหกรรม เป็นต้น หลกั ของแนวงานแบบน้ ี จะไมค่ �ำนงึ ถงึ
ความหมายของรปู ทรงที่แขวนหรอื ตัง้ อยู่ แตใ่ ห้รบั รู้ถึงรูปทรงที่สุนทรียภาพกินเนื้อทใี่ นอากาศหรอื พ้ืนท่ีวา่ ง
ปลอ่ ยความคดิ ใหล้ ่องลอยไปกบั ผลงานอย่างเงียบๆ ในความเป็นสัจจภาวะ ตามความเป็นจริงและความก�ำกวม
จากการรบั รูห้ นึง่ ๆ
ภาพท่ี ๗๖ ผลงานศลิ ปะออกแบบแนว “มนิ มิ อลอาร์ต” และ “มนิ ิมอลลสิ ดไี ซน”์ ภาพชดุ บนจากซ้าย ไดแ้ ก่
โทน่ี สมทิ ซ ์ (Tony Smith) “Cigarette, model : ๑๙๖๑” โรเบริต์ สตีเวนสัน (Robert
Stevenson) “Untitled” ๑๙๖๖ และ ชารล์ แมททอกซ์ “Green Triangle with Re Cule”
๑๙๖๖. ภาพชดุ ลา่ งจากซา้ ย
ทม่ี า : American Sculpture of the Sixties. ๑๙๖๗.
๓.๔.๒ แสวงหาทดลองกับวธิ คี ิดแบบก้าวหนา้ เมอ่ื แนวทางและวิธกี ารทางศิลปะออกแบบ
เดิมเรมิ่ ผลติ ซำ้� ไปซ้�ำมา ในแนวงาน Minimal Art & Design จนไมเ่ หลอื อะไรใหล้ ดทอนรปู ๒ มติ ิ - ๓ มติ ิอกี
ต่อไป จนศลิ ปินนักออกแบบเกิดความเบื่อหนา่ ยในแนวคดิ น้อยนยิ ม “Less is More” ในการคดิ ออกแบบและ
พฒั นา ผลงานแบบเรียบง่ายตอ่ ไป ศิลปินนักออกแบบในระยะหลงั จงึ คิดคน้ และแสวงหาเส้นทางสรา้ งงานแบบ
ใหมด่ ว้ ย Conceptual Art ดว้ ยการอาศยั พ้นื แผ่นดินในการคิดสร้างศิลปะ ไปตามการรับรแู้ ละปรากฏการณ์
บนพน้ื ท่ี แบบใหม ่ ไดแ้ ก ่ Land Art - Earth Art เปน็ ตน้ จนในชว่ งทา้ ยศตวรรษที่ ๒๐ ศิลปะออกแบบไดก้ ้าว
ไปสูศ่ ิลปะหลงั สมยั ใหมน่ ิยม (Post Modern) อย่างเตม็ รูปแบบ