The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

E-book-40-จากรากแก้วสู่ผลของต้นเพาะพันธุ์ปัญญา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pimy_p77, 2020-08-09 22:15:03

E-book-40-จากรากแก้วสู่ผลของต้นเพาะพันธุ์ปัญญา

E-book-40-จากรากแก้วสู่ผลของต้นเพาะพันธุ์ปัญญา

เรอ�่ ง : สุธรี ะ ประเสร�ฐสรรพ

หนงั สอื ในโครงการเพาะพันธุป˜ญญา ลำดับท่ี 40

หนังสือชุด โครงการเพาะพันธปุ์ ัญญา ลำ� ดับที่ 40

ช่ือหนงั สอื จากรากแก้วส่ผู ลของต้นเพาะพนั ธ์ุปญั ญา

ผู้เขยี น สธุ ีระ ประเสริฐสรรพ์

บรรณาธกิ าร พมิ พลอย รัตนมาศ

ผ้ชู ่วยบรรณาธกิ าร แกว้ ขวญั เรอื งเดชา

พิมพค์ รง้ั ท่ี 1 กมุ ภาพนั ธ์ 2563

จำ� นวนพิมพ ์ 1,000 เลม่

จัดพมิ พ์โดย ส�ำนกั งานคณะกรรมการส่งเสรมิ วิทยาศาสตร์ วิจยั และนวัตกรรม (สกสว.)
ชั้น 14 อาคารเอส เอม็ ทาวเวอร์ เลขท่ี 979/17-21 ถนนพหลโยธิน
แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรงุ เทพมหานคร 10400
โทรศัพท:์ 0 2278 8200 (อัตโนมตั )ิ โทรสาร: 0 2298 0476
E-mail: [email protected] Homepage: https://www.tsri.or.th

ออกแบบและพมิ พ์ บรษิ ัท ซีโน พับลิชชิ่ง แอนด์ แพคเกจจิง้ จ�ำกัด

โทรศัพท:์ 0 2511 5715 โทรสาร: 0 2511 5719

ขอ้ มูลทางบรรณานกุ รมของหอสมุดแหง่ ชาติ
National Library of Thailand Cataloging in Publication Data

สุธรี ะ ประเสรฐิ สรรพ์.
จากรากแกว้ สผู่ ลของตน้ เพาะพันธปุ์ ัญา.-- กรงุ เทพฯ : สำ� นกั งานคณะกรรมการสง่ เสรมิ วิทยาศาสตร์
วิจยั และนวตั กรรม, 2563.
208 หนา้ .--(โครงการเพาะพนั ธ์ุปัญญา ลำ� ดับท่ี 40)

1. การศึกษา. 2. ครู I. สุธรี ะ ประเสรฐิ สรรพ์, II. ช่อื เร่อื ง.

370
ISBN 978-616-417-141-1

สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 3

ผู้สมควรไดร้ ับการกล่าวถงึ ในความดีงามของโครงการเพาะพันธป์ุ ัญญา ประกอบดว้ ย
ผสู้ นับสนุน ได้แก่ สำ� นักงานกองทุนสนบั สนนุ การวิจยั

(ปจั จบุ ันคือสำ� นกั งานคณะกรรมการสง่ เสริมวิทยาศาสตร์ วจิ ัยและนวตั กรรม)
และ บมจ. ธนาคารกสกิ รไทย

ทมี งานอาจารย์และบคุ ลากรสนับสนนุ ในศนู ย์พเี่ ล้ียงท้งั 8 หน่วยงาน
(ม.พะเยา ม. อบุ ลราชธานี ม.มหิดล ม.สงขลานครนิ ทร์ มรภ.ล�ำปาง

มรภ.ศรสี ะเกษ มรภ.สรุ าษฎรธ์ านี และมลู นิธิปัญญาวฑุ ฒิ)
ครแู ละนักเรยี นในโครงการเพาะพนั ธ์ุปญั ญา



สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 5

คำ� ขอบคุณจากใจชาวเพาะพันธุ์ปัญญา

ผมและชาวเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาอนั ประกอบดว้ ยพเี่ ลยี้ ง ครู และนกั เรยี นเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาขอขอบคณุ
บมจ. ธนาคารกสกิ รไทย โดยเฉพาะ คณุ บณั ฑรู ลำ�่ ซำ� และ ดร.อดศิ วร์ หลายชไู ทย และสำ� นกั งานกองทนุ
สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.)1 (ปจั จบุ นั คอื สำ� นกั งานคณะกรรมการสง่ เสรมิ วทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวตั กรรม
หรอื สกสว.) ทีน่ อกจากสนบั สนนุ ทรัพยากรจำ� นวนมากแลว้ ยังใหอ้ ิสระการท�ำงาน
บคุ คลสำ� คญั ทคี่ วรกลา่ วถงึ ดว้ ยความขอบคณุ ใน สกว. คอื ดร.สลี าภรณ์ บวั สาย ทเ่ี ปน็ ผเู้ หน็ ความ
ส�ำคัญของยุววิจัยจนผลักดันให้กลายมาเป็นเพาะพันธุ์ปัญญาแล้วยังดูแลให้ก�ำลังใจตลอดมา และ
รศ.ดร.ปัทมาวดี โภชนุกูล ท่ีรับไม้ดูแลเพาะพันธุ์ปัญญาต่อ ทุกท่านที่เกี่ยวข้องในฝ่ายสนับสนุนทุน
ยงั คอยเปน็ กองเชยี รใ์ ห้เพาะพันธุป์ ญั ญาเป็นที่ร้จู กั ของวงการการศกึ ษาอีกดว้ ย
ขอบคุณ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ท่ีเป็นแหล่งเรียนรู้ส�ำคัญให้เพาะพันธุ์ปัญญาหยิบยืมมาใช้
ขอบคณุ ดร.เจอื จนั ทร์ จงสถติ อยู่ หัวหน้าโครงการ Local Learning Enrichment Network (LLEN)
และ Teacher Coaching (TC) ทีผ่ มได้มโี อกาสร่วมงานด้วยเม่อื หลายปีกอ่ น ท�ำใหไ้ ด้เปดิ ตา สมอง
และความคิดจนเข้าใจการศึกษาของประเทศ ท่านยังกรุณารับเป็นประธานคณะกรรมการก�ำกับดูแล
ทศิ ทางการดำ� เนนิ งานโครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาทใ่ี หค้ ำ� แนะนำ� จนงานประสบความสำ� เรจ็ และขอบคณุ
กรรมการทุกทา่ นทใี่ หค้ �ำแนะน�ำทเี่ ปน็ ประโยชนแ์ กก่ ารท�ำงาน
ส�ำหรับส่วนตัวผมเองขอขอบคุณ ศ.ดร.ปิยะวัติ บุญ-หลง อดีตผู้อ�ำนวยการ สกว. ที่สนับสนุน
ให้ผมเรียนรู้งานวิจัยชุมชน (Community-Based Research) จนเปลี่ยนกระบวนทัศน์วิจัยของผม
มิฉะนั้นผมคงไม่สามารถน�ำ RBL เข้าสู่การศึกษาได้เช่นทุกวันน้ี ขอบคุณพ่ีเล้ียง ครูและนักเรียน
เพาะพันธุ์ปัญญาทุกท่าน ท่ีนอกจากท�ำงานยากล�ำบากด้วยความเพียรแล้วยังท�ำให้ผมได้รับการ
บม่ เพาะปัญญาจนกลายมาเป็นหนงั สือจ�ำนวนมาก ขอบคณุ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.สงขลานครนิ ทร์
ที่อนุญาตและสนับสนุนให้ผมท�ำงานนี้ (ทั้ง ๆ ท่ีไม่ใช่ภารกิจหลักของคณะ) ผมเช่ือว่าการสนับสนุน
ทั้งหลายของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เกิดจากปณิธานท่ีชาวสงขลานครินทร์ได้รับการปลูกฝังว่า
“ประโยชนข์ องเพอื่ นมนษุ ย์เปน็ กจิ ท่ีหนึ่ง”

สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์

หวั หนา้ หน่วยจัดการกลาง โครงการเพาะพนั ธปุ์ ญั ญา

1 ในหนังสือเล่มน้ีผมจะใช้ชื่อเดิม คือ สกว. เพราะต้องการให้เกียรติในฐานะที่เป็นแหล่งก�ำเนิดโครงการยุววิจัย
ท่ีพัฒนามาเป็นเพาะพันธุ์ปัญญา อีกทั้งสัญญาการท�ำงานในนาม สกว. และส้ินสุดการท�ำงานในปีงบประมาณ
ที่หนว่ ยงานนย้ี ังคงเป็น สกว. ผมต้องการจารกึ ชือ่ น้ีไว้

6 จากรากแกว้ สูผ่ ลของตน้ เพาะพนั ธ์ปุ ัญญา

กวŒ สผู‹ ลของตนŒ เพาะพนั

สารบญั
จากรากแ ธปุ ญ� ญา

1บทที่ 12 คำนำ
17 การเตร�ยมดิน
18 • บทนำ
20 • มองระบบการศึกษาแบบว�ศวกร
24 • ขนั้ ตอนการเกิดปญ˜ ญาของผูŒเรย� นในกระบวนการทำโครงงานฐานวจ� ยั
28 • ขอเปนš สะพานทอดผา‹ นความรูŒ…
30 • ปฐมบทเพาะพันธปุ ญ˜ ญา

2บทท่ี 35 รากแกวŒ
36 • บทนำ
38 • เป‡าหมายการศึกษา
46 • ความคดิ ในการศึกษา
53 • โครงงานฐานวจ� ยั เพ่อ� การเร�ยนรŒู
63 • กระบวนการ
72 • ว�จยั กบั บรบ� ทชวี �ต
84 • ชาวเพาะพนั ธปุ ญ˜ ญา
88 • สรุป

สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ 7

3บทท่ี
89 ผล
90 • บทนำ
92 • บทสังเคราะหจ ากการทำงานกบั ครู
101 • บทสงั เคราะหจ ากหนงั สือ “รอยจาร�กบนเสนŒ ทางครูเพาะพันธุปญ˜ ญา”
107 • บทสังเคราะหจากหนังสอื “คุรุควรคารวะ”
113 • บทสังเคราะหจากหนงั สือ “กลาŒ พนั ธผุ กูŒ าŒ วพŒน”

4 122 • บทสังเคราะหการเปลี่ยนแปลงของอาจารยพเ่� ลีย้ ง

บทท่ี
145 คนรดนำ้ พรวนดนิ
146 • บทนำ
148 • ผูŒใหŒทุนทำงาน
150 • กรรมการกำกับทศิ ทาง
152 • พ�เ่ ลีย้ ง

5บทท่ี 155 การกระจายพนั ธุ
156 • บทนำ
158 • ปจ˜ จัยและเงอ่� นไขความสำเร็จของเพาะพนั ธปุ ˜ญญา
160 • การรับรองเมลด็ พันธุ
164 • เชือ้ โรครŒายในดิน
166 • ความพยายามขยายพันธุ
168 • ปจ˜ จัยสนบั สนนุ และขดั ขวางความสำเรจ็ ของการขยายพนั ธุ
174 • กระบวนการทำศึก
175 • เสŒนทางทำศกึ

ภาคผนวก 178 บทสรุปงานวจ� ยั “การวเ� คราะหก ระบวนการจัดการเรย� นรูŒ
ตามแนวคิด RBL ในสถานศกึ ษา ภายใตŒโครงการเพาะพนั ธุป˜ญญา”

186 บทสรปุ งานว�จัยว�เคราะห Learning Analytic
สรปุ สาระสังเขปหนังสือในโครงการเพาะพนั ธุป˜ญญา

8 จากรากแก้วสู่ผลของตน้ เพาะพนั ธ์ุปัญญา

สารจากประธานคณะกรรมการกำ� กับดแู ลทิศทาง
การดำ� เนนิ งานโครงการเพาะพันธป์ุ ัญญา

การเพาะหวา่ นเมลด็ พันธ์ทุ างปัญญา จากโครงการเพาะพันธ์ปุ ญั ญา ซงึ่ เริ่มด�ำเนินการมาตัง้ แต่
ปี 2555 ได้งอกงามเติบโตสมบูรณ์ ดังผลท่ีเห็นจากการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผัน (transforming)
ของนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นการคิดเป็น คิดแบบเป็นเหตุเป็นผล คิดแบบวิจารณญาณ มีจินตนาการ
คดิ สร้างสรรค์ รวมทงั้ การพฒั นาทกั ษะการทำ� งานรว่ มกับผ้อู นื่ และทกั ษะชวี ติ ซง่ึ เปน็ ทกั ษะทางสงั คม
และอารมณ์ (life skills) ท่ีใช้เป็นเข็มทิศในการด�ำรงชีวิตและท�ำงาน ล้วนเป็นทักษะจ�ำเป็นส�ำหรับ
ศตวรรษท่ี 21 ผลลพั ธ์ทไ่ี ด้นนั้ มเี หตมุ าจากการเปลีย่ นกระบวนการเรยี นการสอนแบบที่คนุ้ ชนิ มาใช้
นวตั กรรมการพฒั นาการจดั การเรยี นรตู้ ามแนวคดิ RBL (Research-Based Learning) คอื ผลทเี่ กดิ จาก
เหตุที่อิงความรู้ หรือโครงงานฐานความรู้ ที่ใช้แนวคิดของการออกแบบการเรียนรู้แบบย้อนกลับจาก
ผลมาสเู่ หตุ ทีเ่ นน้ ให้นักเรียนเรยี นรูจ้ ากการปฏิบัตงิ านจริง นัน่ เอง
ความส�ำเร็จของโครงการมีหลายปัจจัย ที่ส�ำคัญ คือ มีทีมหน่วยงานกลางโดยเฉพาะอย่างย่ิง
รศ.ดร.สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์ ทที่ ่มุ เทท้งั พลังปัญญา พลงั ใจ กายและเวลา นำ� ทีมศูนยพ์ ่เี ล้ียงท้งั 8 แหง่
ซ่ึงช่วยให้ค�ำปรึกษาแก่ครูอย่างใกล้ชิด ด�ำเนินโครงการอย่างไม่ย่อท้อ ฟันฝ่าพายุ คลื่นลมต่าง ๆ
จนสามารถก้าวข้ามปัญหาและอุปสรรคมาได้และพบกับความส�ำเร็จท่ีน่าปล้ืมปีติ ส�ำหรับปัจจัย
ท่ีส�ำคัญอีกประการ คือ ครูในโครงการฯ ท่ีกล้าเปล่ียนแปลงและทุ่มเทกับการจัดการเรียนการสอน
แบบ RBL ได้ใช้ปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับนักเรียน เพ่ือกระตุ้นจินตนาการ กระตุ้นการอยากรู้อยากเห็น
ของนักเรียน และเปดิ กว้างใหม้ ีการอภิปราย จนเห็นผลเชงิ ประจักษ์ที่ตวั นกั เรยี น หวงั เปน็ อยา่ งยิ่งวา่
ผู้รว่ มเพาะหว่านเมลด็ พนั ธ์ุท่เี หน็ ผลเจรญิ งอกงามมาแล้ว จะชว่ ยขยายผลในวงกว้างตอ่ ไปด้วย
การด�ำเนินงานโครงการเพาะพันธุ์ปัญญานี้ เร่ิมจากความคิดริเริ่มและก้าวเดินสนับสนุนร่วมกัน
ระหว่าง บมจ. กสิกรไทยและส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ทั้งในด้านทรัพยากรและ
สติปัญญา เพ่ือหวังจะได้เห็นต้นกล้าคือเด็กและเยาวชนไทยเจริญเติบโตข้ึนอย่างแข็งแรงมีคุณภาพ
ในสังคมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการก�ำกับทิศทางฯ รวมท้ังในฐานะประชาชนคนหน่ึง
ขอขอบคุณองค์กรท้ังสองที่สนับสนุนให้เกิดนวัตกรรมการพัฒนาการเรียนรู้ที่เป็นคุณูปการต่อวงการ
การศกึ ษาไทย และขอบคุณกรรมการกำ� กับทิศทางฯ ทกุ ท่านซงึ่ เป็นผทู้ รงคณุ วฒุ แิ ละผ้มู ีประสบการณ์
สูงที่ได้ร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ อันเป็นประโยชน์อย่างย่ิงต่อ
การด�ำเนนิ งานของโครงการตลอดระยะเวลา 7 ปี

ดร.เจอื จนั ทร์ จงสถติ อยู่
ประธานคณะกรรมการก�ำกับดูแลทศิ ทางโครงการฯ

สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 9

สารจาก บมจ. ธนาคารกสกิ รไทย

ตลอดระยะเวลากว่า 7 ปี ท่ีธนาคารกสิกรไทย ร่วมเป็นพันธมิตรกับส�ำนักงานคณะกรรมการ
ส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สนับสนุนโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา ท่ีปฏิรูป
กระบวนการเรียนการสอนของเยาวชนไทยให้เกิดการเรียนรู้และคิดในเชิงเหตุและผล และการลงมือ
ท�ำผ่านโครงงานฐานวิจัยในด้านต่าง ๆ ซึ่งโครงการฯ ประสบความส�ำเร็จอย่างมาก เกิดผลสัมฤทธิ์
เชิงประจักษ์ท่ีส�ำคัญ อาทิ วิธีการเรียนการสอนของครูที่เปล่ียนแปลงไป การเรียนรู้ของเยาวชน
ทแ่ี ตกตา่ งจากอดตี เปน็ เดก็ รนุ่ ใหมใ่ นศตวรรษที่ 21 ทพ่ี รอ้ มจะเตบิ โตไปกบั ทกั ษะสำ� คญั ในการดำ� รงชวี ติ
การเปน็ พลเมอื งทม่ี คี วามรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม และรว่ มสรา้ งใหป้ ระเทศไทยของเราใหพ้ ฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื
โครงการเพาะพันธุ์ปัญญาสัมฤทธ์ิผลได้จากองค์ประกอบท่ีเกื้อกูลกันหลายปัจจัย ตั้งแต่องค์
ความรทู้ ส่ี รา้ งขนึ้ จากทมี งานของ สกสว. ทมี วจิ ยั โครงการทเี่ ขม้ แขง็ นำ� ทมี โดย ดร.สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ์
ท่ีเป็นทั้งผู้ริเร่ิมแนวคิดและผู้น�ำปฏิบัติท่ีไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคใด ๆ ต้ังแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน
ภาวะผู้น�ำของครูตั้งแต่ระดับผู้อ�ำนวยการ ถึงครูผู้เปิดใจกว้างยอมรับกระบวนการใหม่ ๆ เพ่ือสร้าง
การเปลี่ยนแปลงให้เกิดกับระบบความคิดของนักเรียน โดยเฉพาะศูนย์พ่ีเล้ียงท่ีเป็นผู้ถ่ายทอด
กระบวนการเรียนรู้ผ่านโครงงานฐานวิจัยเพื่อสร้างความคิดท่ีเป็นระบบ นักเรียนท่ียอมเปิดโลกทัศน์
ตนเองท่ีจะมีส่วนร่วมในโครงการและมีศรัทธาต่อระบบความคิดใหม่ แม้ว่าโครงการนี้จะส้ินสุดลง
แตผ่ มเชอ่ื ม่ันในองค์ความรู้ วิธกี าร และกระบวนการของโครงการเพาะพนั ธ์ุปัญญา ที่บดั น้ีไดห้ ยง่ั ราก
ลงในระบบการศึกษา และสร้างความเปลยี่ นแปลงเป็นทเี่ รยี บร้อยแล้ว
ในนามตวั แทนของธนาคารกสกิ รไทย ผมขอขอบคณุ ทกุ ทา่ นทม่ี สี ว่ นส�ำคญั ในการดำ� เนนิ โครงการ
มาตง้ั แตเ่ รม่ิ ตน้ ขอใหท้ ุกท่านท่มี คี วามเชอ่ื เดียวกนั รว่ มสนบั สนุน เผยแพรป่ รชั ญา หัวใจและหลกั การ
ของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาอย่างต่อเน่ือง เพ่ือให้เยาวชนไทยสามารถดูแลและพัฒนาประเทศของ
เราได้อยา่ งจรี งั สบื ไป

ดร.อดศิ วร์ หลายชูไทย
เลขานกุ ารบริษทั และรองกรรมการผูจ้ ดั การอาวโุ ส

บมจ. ธนาคารกสิกรไทย

10 จากรากแกว้ สู่ผลของตน้ เพาะพันธปุ์ ญั ญา

สารจากสำ� นกั งานคณะกรรมการสง่ เสรมิ วทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวตั กรรม

โครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาเปน็ ทกี่ ลา่ วถงึ ในวงการการศกึ ษาวา่ เปน็ นวตั กรรมการสอนใหน้ กั เรยี น
คิดเป็นได้อย่างโดดเด่น ความส�ำเร็จท้ังหมดเกิดจากองค์ประกอบและเง่ือนไขหลายอย่างท่ีสนับสนุน
กันและกันดังท่ี รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ ได้เขียนแบบสะท้อนความคิดไว้ในหนังสือเล่มน้ี
ส�ำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หรือเดิมคือ ส�ำนักงาน
กองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั (สกว.) ในฐานะผสู้ นบั สนนุ ทนุ วจิ ยั รว่ มกบั บมจ. ธนาคารกสกิ รไทย รสู้ กึ ยนิ ดี
ที่เป็นการลงทุนท่ีเกิดประโยชน์กับการพัฒนาก�ำลังคนของประเทศ อย่างไรก็ตามความส�ำเร็จจะเป็น
ส่ิงท่ีเป็นไปไม่ได้หากไม่มีทีมงานน�ำความรู้ไปขับเคลื่อนแล้วสร้างความรู้กลับมาปรับปรุงการท�ำงาน
การสรา้ งความรจู้ ากการทำ� งานจงึ สำ� คญั มากสำ� หรบั ความเปน็ นกั วจิ ยั โดยเฉพาะการแกป้ ญั หาการศกึ ษา
ท่เี รื้อรงั มานาน และมผี ู้พยายามใช้หลักการหรอื ทฤษฎีตะวันตกจำ� นวนมากมาแก้ปญั หา
ทีมวิจัยเพาะพันธุ์ปัญญาได้สร้างหลักการและความรู้ขึ้นมาเอง โดยอาศัยพ้ืนฐานความเชื่อและ
วัฒนธรรมตะวันออก คือหลักพุทธศาสนาที่เช่ือว่าปัญญาเกิดจากความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง
เหตุกับผล อันเป็นที่มาของการให้นักเรียนท�ำโครงงานฐานวิจัยท่ีอิงแนวคิดเหตุและผล ถึงแม้เป็น
ความคิดทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็สามารถท�ำให้เกิดการบูรณาการได้กับทุกวิชา ใช้ได้กับครูทุกสาระ
นอกจากนน้ั ยงั สามารถบรู ณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งเขา้ กบั การทำ� โครงงานวทิ ยาศาสตร์
ได้อยา่ งกลมกลืน
หนงั สอื “จากรากแกว้ สผู่ ลของตน้ เพาะพนั ธป์ุ ญั ญา” เปน็ รปู แบบหนงึ่ ของการเขยี นรายงานวจิ ยั
ที่น่าช่ืนชม เพราะมีครบทั้ง บทน�ำ ทฤษฎี วิธีการ และผล อีกทั้งวิธีการเขียนยังท�ำให้วงการวิจัย
ของไทยได้รายงานวิจยั ท่นี ่าอ่านส�ำหรบั คนท่วั ไปได้
โครงการเพาะพันธุ์ปัญญาได้รายงานผลการวิจัยเป็นระยะ จึงปรากฏเป็นหนังสือถึง 40 เล่ม
ในระยะเวลา 7 ปี นับเป็นโครงการวิจัยท่ีผลิตหนังสือที่ถอดบทเรียนและความรู้จากการปฏิบัติวิจัย
ทม่ี ากทสี่ ดุ ของประเทศไทยโครงการหนง่ึ สกสว. จงึ ขอแสดงความชน่ื ชมในความสำ� เรจ็ และเชอื่ วา่ หนงั สอื
เล่มที่ 40 นี้จะเป็นหนังสือท่ีทรงคุณค่าทางวิชาการให้นักการศึกษาท�ำความเข้าใจ ใช้ประโยชน์เพ่ือ
พฒั นาการศกึ ษาของประเทศตอ่ ไป

ศ.นพ.สุทธิพนั ธ์ จติ พิมลมาศ
ผ้อู ำ� นวยการ สำ� นักงานคณะกรรมการสง่ เสริมวทิ ยาศาสตร์ วจิ ยั และนวัตกรรม (สกสว.)

สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 11

12 จากรากแก้วสผู่ ลของต้นเพาะพันธุป์ ญั ญา

คำ� นำ�

เพาะพันธุ์ปัญญามีจุดตั้งต้นจากประสบการณ์ 10 ปี (2545-2555) ในโครงการยุววิจัย สกว.
(ส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย) ประสบการณ์สอนคณะวิศวกรรมศาสตร์ท�ำให้ผมเห็นศักยภาพ
ของการแก้ปัญหาที่มีปลายเปิด (open-end solution)2 การเข้าไปคลุกคลีกับครูในโครงการยุววิจัย
ยางพาราท�ำให้ผมตระหนกในการสอนโครงงานของครู ความตระหนกเปล่ียนเป็นความตระหนักว่า
เราช่วยการศึกษาได้ ถ้าเรามีโอกาสเข้าไปช่วยงานการศึกษาในส่วนท่ีครูต้องท�ำอยู่แล้ว การช่วยคือ
การ empower ทางความคดิ การทำ� โครงงานแกค่ รู ให้การท�ำโครงงานเป็นการเรยี นรู้ของนกั เรียน
จากการค้นคว้ากระบวนการต่าง ๆ เพ่ือพัฒนาทักษะการสอนโครงงานของครู ผมเห็นความ
เป็นไปได้ทางกลยุทธ์การท�ำงานกับครู3 การลองผิดลองถูกของกลยุทธ์ต่าง ๆ ในโครงการยุววิจัย
ได้ถูกทดสอบครั้งใหญ่ในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา เพราะมีงานเพิ่มที่ต้องพัฒนาทีมงานให้ขยายผล
เป็น 800 โครงงานตอ่ ปี มากกวา่ โครงการยวุ วจิ ยั ยางพาราท่ีท�ำเพียงปีละ 50 โครงงาน
ในวนั ปดิ โครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาทจ่ี งั หวดั นา่ นเมอ่ื 11 พฤษภาคม 2562 ผมสรปุ ความรสู้ กึ ของ
การท�ำงานน้ีวา่ “จากกลา้ บ้า กลัว ส่รู ่ืนรมย์ปตี ิ”
“กลา้ ” เพราะประสบการณ์ 10 ปี ของยวุ วจิ ัยยางพาราท�ำให้รู้ว่าท�ำอย่างไร
“บา้ ” เพราะรับงานใหญ่กว่าทีค่ ิดจะทำ� ทง้ั จ�ำนวนและขนาดพื้นท่ี ตอ้ งสอนหนงั สอื ตามปกตอิ ยู่
เกอื บปลายสุดของประเทศแล้วยงั ต้องสละเวลาสว่ นตวั เดนิ ทางไปท่ัวประเทศ
“กลัว” เพราะรู้ต้ังแต่ต้นว่ามีอุปสรรคหลายอย่างที่ท�ำให้ล้มได้ง่าย ไหนจะความคาดหวังจาก
ธนาคารกสิกรไทยท่ีผมไม่รู้จักคุ้นเคยด้วย ไหนจะพี่เล้ียงท่ีไม่ทราบว่าเป็นใคร และไหนจะพ้ืนท่ีและ
โรงเรยี นใหมท่ ี่เราไมร่ ู้จักกนั มากอ่ น การทำ� งานปแี รกเป็นจุดวิกฤตทิ ี่ตอ้ งเอาให้ผา่ นให้ได้ ในฐานะผูน้ ำ�
โครงการจึงเป็นปีท่ผี มกลัวทส่ี ุด

2 ผมรับผิดชอบสอนวิชา Engineering design ที่ไม่มีค�ำตอบใดผิด มีแต่ท่ีเหมาะสมที่สุด ดังน้ันผมจึงยิ่งตระหนก
เมอ่ื เหน็ การสอนสะเตม็ ศกึ ษาในการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน ทใี่ หค้ มู่ อื แกค่ รแู ทนการฝกึ ใหค้ รมู จี นิ ตนาการในการสรา้ งโจทย์
และมวี ิจารณญาณสามารถตรวจสอบผลงานท่ีเป็น open-end solution
3 ความร้จู ำ� นวนมากได้จาก รศ.ไพโรจน์ ครี รี ัตน์ ที่ผม grant ทนุ ให้ทำ� โครงการยวุ วจิ ยั ยางพารา

สุธีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 13

“รื่นรมย์ปีติ” ท่ีผมถือเป็นรางวัลนั้นเป็นสิ่งได้มาภายหลัง ซ่ึงไม่มีอะไรอธิบายได้ดีกว่า
“ความศรัทธาของคร”ู ผมขอยกประโยคสุดท้ายของบทที่ 4 มากลา่ วใหท้ ราบวา่ ความรื่นรมย์เกดิ จาก
“ครูเปล่ียนจากศรัทธาในผู้อื่นมาเป็นศรัทธาในตนเองของครู” และเพราะความศรัทธาน้ีจึงเกิด
ปรากฏการณ์ท่ผี มกลา่ วใน Facebook เมื่อวนั ท่ี 18 ตลุ าคม 2562 วา่ “ผมไม่แปลกใจท่คี รูใชเ้ วลา
ปดิ เทอมออกค่าใชจ้ ่ายมารวมตัวกันทำ� PLC กนั เอง... ไม่แปลกใจที่ครภู าคกลางเดนิ ทางเกอื บ 10 ชม.
มาล�ำปางโดยรถไฟ พอๆ กับไมแ่ ปลกใจทคี่ รนู ่าน เชียงราย พะเยา ขับรถมาเอง 3-4 ชม. และอยู่ถึง
5 โมงเย็น... ไม่แปลกใจท่ีเป็น PLC ท่ีไม่มีค�ำส่ังจากผู้บังคับบัญชา พอๆ กับไม่แปลกใจที่เป็น PLC
ทไี่ ม่มวี ิทยากรข้างนอกมาบอกว่าทำ� ยงั ไง... ครูร้อยกวา่ คนสรา้ งปรากฏการณ์ประวัตศิ าสตร์การศกึ ษา
เช่นนี้ได้อย่างไร?... ถ้าไม่เพราะจิตวิญญาณครูเพาะพันธุ์ปัญญาและเป็นผู้ท่ี “รู้แล้วอย่างแท้จริง”...
ขอบคุณครูทุกท่านท่ีเช่ือมั่นในเพาะพันธุ์ปัญญา และมีความอดทนต่อความยากล�ำบาก พยายาม
เปล่ียนแปลงตนเอง”
ชอื่ “เพาะพนั ธป์ุ ญั ญา” ทำ� ใหผ้ มนกึ ถงึ ตน้ ไม.้ .. ตน้ ไมท้ ยี่ นื หยดั ตา้ นกระแสพายจุ นเตบิ ใหญม่ าได้
7 ปยี ่อมมีรากแกว้ การแพรพ่ ันธยุ์ อ่ มต้องมีผล และจะไม่ตายเพราะความแหง้ แล้งในขณะเป็นต้นออ่ น
หากมคี นดแู ล
หนงั สอื เล่มนจ้ี ึงเปน็ เร่ืองราวของ “จากรากแก้วสผู่ ลของตน้ เพาะพนั ธ์ปุ ัญญา”
ในตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 17 Johann Baptista van Helmholt สงสัยว่าต้นไม้สรา้ งมวลจากอะไร
เขาทดลองปลูกต้นไม้โดยระวังไม่ให้ดินหายไปจากกระถาง เมื่อผ่านไป 5 ปี เขาถอนต้นไม้มาช่ังได้
72 กก. แตด่ ินในกระถางหายไปเพยี งไมก่ ่ีสิบกรัม จึงไดข้ อ้ สรปุ ว่าต้นไม้ไมไ่ ด้สร้างตัวเองจากดนิ ยคุ น้ัน
คนยงั ไม่ทราบว่าอากาศมแี ก๊สอะไรบ้าง ไม่รจู้ กั กระบวนการสงั เคราะหแ์ สงของพชื เขาจึงสรปุ วา่ ต้นไม้
สรา้ งมวลขึ้นมาจากน�้ำท่เี ขารด
ในปพี ทุ ธศกั ราช 2562 หากถามคนทวั่ ไปทเี่ รยี นการสงั เคราะหแ์ สงของพชื แลว้ คำ� ตอบสว่ นมาก
คอื ต้นไมส้ ร้างมวลของมันขนึ้ มาจากดิน!! เพราะมันมมี วลเปน็ ของแข็ง รากชอนไชลงดนิ ท�ำใหเ้ ข้าใจว่า
ดนิ ขนึ้ มาทางราก
รากใช้ธาตุน้�ำล�ำเลียงสารอาหาร (nutrient หรือแร่ธาตุ) จากธาตุดินไปที่ใบเพื่อดึงเอาธาตุลม
CO2 จากอากาศมาใหธ้ าตไุ ฟ (แสงอาทติ ย)์ ปรงุ ดว้ ยกระบวนการสงั เคราะหแ์ สงเปน็ เนอื้ ไม้ ใบ ดอก ผล
ธาตุไฟเป็นพลงั งานซอ่ นอยใู่ นทุกสว่ นของตน้ ไม้ เนือ้ ไม้คายพลงั งานแสงอาทติ ย์ออกมาเปน็ ความรอ้ น
เม่ือเผาใหไ้ ม้กลายเปน็ ธาตุลม (CO2) อีกครง้ั หนึง่ ส่วนทเี่ ป็นอาหารให้พลังงานหน่วยเปน็ แคลอรี่
ต้นไม้พุ่มหนาสูงใหญ่ย่อมโค่นล้มง่ายด้วยพายุโหมหากไม่มีรากแก้วหยั่งลึก และไม่มีรากแขนง
แผก่ ระจายเกาะยึดพื้นดิน

14 จากรากแก้วสผู่ ลของตน้ เพาะพนั ธป์ุ ญั ญา

การศึกษาไทยคือต้นไม้ใหญ่ทางปัญญาท่ีถูกพายุท้ังภายในและภายนอกกระหน�่ำรุนแรง
พายุภายนอกเป็นปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ มันเป็นไปตามฤดูกาลเปลี่ยนแปลงอันรุนแรง (disrupt)
ของโลก เราตอ้ งยอมรับการเปล่ยี นแปลงภายนอกและจดั การกบั พายภุ ายใน
พายภุ ายในคอื ความปรารถนาดที ป่ี ราศจากความเขา้ ใจของกลไกกำ� กบั การศกึ ษา จงึ ทำ� ใหก้ งิ่ กา้ น
อ่อนแอ ไมส่ ามารถล�ำเลยี งนำ�้ และธาตุอาหารจากดินไปสู่ใบท่ีอยู่ปลายกงิ่ กา้ นได้ ในขณะท่ีพายภุ ายใน
เป็นส่งิ ท่ีเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาเขา้ ไปจัดการยาก ความเปน็ ไปไดค้ ือบำ� รุงรากแก้วใหแ้ ขง็ แรง อยา่ ใหไ้ มต้ ้นนี้
ลม้ ก่อนเวลาอันควร รอใหอ้ อกผลรนุ่ ใหม่ เก็บเมล็ดพนั ธ์ุไปขยายผลในดนิ แดนอันอดุ มสมบูรณ์
“จากรากแกว้ สผู่ ลของตน้ เพาะพนั ธป์ุ ญั ญา” จงึ เปน็ หนงั สอื สงั เคราะหป์ รากฏการณท์ างการศกึ ษา
ในระยะ 7 ปีของโครงการ
เพาะพันธ์ุปญั ญามี “รากแก้ว” คือ หลกั การสรา้ งการเรียนรู้จากการท�ำโครงงานฐานวิจัย (RBL)
เพราะเชื่อว่าการท�ำวิจัยคือกระบวนการสร้างปัญญาให้มนุษย์ ดังนั้นวิจัยคือเครื่องมือของการศึกษาท่ี
ผปู้ ฏิบัติคอื นักเรยี น ครเู ป็นโคช้ การเรียนรูจ้ ากการปฏิบตั ขิ องนกั เรียน
“ผล” ของเพาะพนั ธุป์ ัญญาคือการเปล่ยี นแปลงของครูและนักเรยี น
คนในวงการการศึกษาจำ� นวนมากเห็นและพอใจส่วนผล ไมค่ อ่ ยเข้าใจเหตแุ ละกระบวนการของ
เหตทุ นี่ ำ� ไปสผู่ ล เหมอื นเหน็ ผลไมแ้ ตไ่ มเ่ หน็ รากใตด้ นิ นวตั กรรมการศกึ ษาจำ� นวนมากจงึ ถกู นำ� ไปปฏบิ ตั ิ
เหมอื นการถา่ ยเอกสาร ไม่เข้าใจกระบวนการ “รดนำ�้ พรวนดนิ ”
หนังสอื “จากรากแก้วส่ผู ลของตน้ เพาะพันธ์ปุ ญั ญา” ประกอบดว้ ย 5 บท
บทที่ 1 การเตรียมดิน ดินท่ีอุดมสมบูรณ์ย่อมท�ำให้ต้นไม้เติบโต แข็งแรง บทนี้เขียนลักษณะ
เล่าความในใจกับคนใกล้ชิด ให้ทราบการก่อก�ำเนิดเพาะพันธุ์ปัญญาท่ีมีโครงการยุววิจัย สกว. เป็น
พ้ืนฐานประมาณ 10 ปี เปรยี บเสมอื นพน้ื ดนิ อดุ มสมบรู ณ์ พร้อมทจ่ี ะขยายพนั ธุเ์ ป็นเพาะพันธุ์ปญั ญา
เม่ือ “ธรรมะจดั สรร”
บทท่ี 2 รากแก้ว รากแก้วฝังลึกลงดิน เป็นแกนของรากแขนงขยายสู่รากฝอย บทนี้อธิบาย
หลักการ RBL ของเพาะพนั ธปุ์ ญั ญา มีความยงุ่ ยากพอควรในการเขียนบทนเ้ี พราะระหวา่ งทาง 7 ป4ี
มีเร่ืองราวมากมายจนเกรงว่าจะเขียนไม่หมด บทน้ีผมเขียนให้หนักแน่นเชิง concept ออกจะเป็น
แนววิชาการตรงไปตรงมาสักหน่อย ผู้อ่านต้องตั้งใจมากกว่าปกติ โดยเฉพาะผู้ท่ีไม่คุ้นเคยกับ
เพาะพนั ธ์ุปญั ญา

4 7 ปกี ารทำ� งานแต่ 6 ปกี ารศึกษา จึงมีครูและนักเรียน 6 รนุ่

สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 15

บทท่ี 3 ผล ผลเปน็ ปลายทางของการปรงุ อาหารของตน้ ไม้ เป็นตน้ ทางของเมล็ดท่จี ะแพรพ่ นั ธุ์
ต่อไป ต้นเพาะพันธุ์ปัญญาออกผลตั้งแต่ปีแรก ระยะเวลา 7 ปีท่ีผ่านมาเปลี่ยนผลท่ีเกิดจากต้น
“วัยสอนเป็น” มาเป็นผลจากต้น “วัยสาวสมบูรณ์” ผลของต้นเพาะพันธุ์ปัญญาท่ีผู้อ่านได้ลิ้มลอง
ในบทน้ี คือ สิ่งท่ีเกิดกับครู นักเรียน และพ่ีเล้ียง จากความหนักทางวิชาการของบทที่ 2 ผมเขียน
ให้ผอ่ นปรน รสชาตผิ สมมที ัง้ ความขมปนหวาน
บทที่ 4 คนรดน�้ำพรวนดิน ต้นไม้วัยอ่อนเป็นช่วงอ่อนแอท่ีสุด หากไร้คนรดน้�ำพรวนดินดูแล
ก�ำจัดวัชพืช ต้นพันธุ์ย่อมไม่สามารถมีชีวิตรอดจนถึงทุกวันน้ีได้ ต้นเพาะพันธุ์ปัญญาเติบโตแข็งแรงได้
เพราะการทำ� งานหนนุ หลงั ของคนทส่ี นบั สนนุ ตงั้ แตแ่ หลง่ ทนุ จนถงึ พเ่ี ลย้ี ง บทนเ้ี ขยี นดว้ ยความประทบั ใจ
ในลีลาอา่ นเพลนิ ๆ เหมือนผองเพอ่ื นมาลอ้ มวงทำ� AAR
บทที่ 5 การกระจายพันธุ์ ต้นไม้พันธุ์ดีย่อมมีคนต้องการขยายพันธุ์ต่อไป พื้นท่ีเพาะปลูก
มีความส�ำคัญไม่ด้อยไปกว่าคนปลูก ในบทท่ี 4 บทน้ีกล่าวถึงการจัดการการศึกษาเพ่ือให้เกิดพ้ืนที่
ที่เหมาะแก่การเจริญพันธุ์ของเมล็ดพันธุ์ของต้นเพาะพันธุ์ปัญญา เพราะมันเป็นต้นท่ีขยายพันธุ์ยาก
ผมจงึ เขียนตรงไปตรงมาถงึ ปัญหาท่ีอาจกระทบความรู้สกึ บางคน
ผมเป็นเหมือนคอนดักเตอร์วงดนตรีที่รับโจทย์การควบคุมวง คอนดักเตอร์คนนี้มีบทเพลง
และท่วงท�ำนองในใจ ความไพเราะของเสียงบรรเลงไม่สามารถออกจากไม้บาตองที่แกว่งไกว...
หากนกั ดนตรไี มเ่ ลน่ เครอื่ งดนตรขี องตนและนกั รอ้ งไมข่ บั รอ้ ง ขอบคณุ นกั ดนตรี นกั รอ้ งทปี่ รากฏเรอื่ งราว
ในหนงั สอื เลม่ นี้
หนังสือ “จากรากแก้วสู่ผลของต้นเพาะพันธุ์ปัญญา” คือ เล่มสุดท้ายของโครงการเพาะพันธุ์
ปัญญา... เขียนให้เป็นความทรงจ�ำแก่ชาวเพาะพันธุ์ปัญญาท้ังหลาย... เฉกเช่นเน้ือร้องท่อนหน่ึงของ
บทเพลงอำ� ลาโครงการทีเ่ ขียนวา่ “พลังของพวกเรา ลลุ ่วงลาแลว้ ... เอย่ ค�ำอำ� ลา”

สธุ ีระ ประเสริฐสรรพ์
หวั หนา้ หน่วยจดั การกลาง โครงการเพาะพันธ์ปุ ัญญา

คณะวศิ วกรรมศาสตร์ ม. สงขลานครนิ ทร์
16 กนั ยายน 2562

16 จากรากแกว้ สูผ่ ลของตน้ เพาะพนั ธป์ุ ัญญา

“การเรียนความรู้ แม้มากมายเพียงใด บางทีก็ไมช่ ว่ ยให้ฉลาดหรอื เจริญไดเ้ ทา่ ไรนกั
ถ้าหากเรียนรู้ไมถ่ กู ถว้ น ไม่รู้จริงแท้ การศึกษาหาความรู้จึงสำ� คัญตรงทีว่ า่

ตอ้ งศึกษาเพ่ือใหเ้ กดิ “ความฉลาดรู้” คอื ร้แู ลว้ สามารถนำ� มาใช้ประโยชน์ไดจ้ รงิ ๆ
โดยไมเ่ ป็นพิษเป็นโทษ การศึกษาเพ่ือความฉลาดรู้มขี ้อปฏิบัติทีน่ ่าจะยดึ เปน็ หลกั
อย่างน้อยสองประการ ประการแรก เมอ่ื จะศึกษาสิ่งใด เร่ืองใดให้รูจ้ รงิ
ควรจะไดศ้ ึกษาให้ตลอดครบถ้วนทกุ แงท่ กุ มมุ ไมใ่ ช่เรยี นรูแ้ ตเ่ พียงบางสว่ นบางตอน
หรอื เพง่ เล็งเอาเฉพาะบางแงบ่ างมมุ อกี ประการหนง่ึ ซึง่ จะต้องปฏิบัติ
ประกอบพรอ้ มกันไปด้วยกันเสมอ คือตอ้ งพจิ ารณาศกึ ษาเร่ืองนน้ั ๆ
ด้วยความคิดจติ ใจทต่ี ้ังมนั่ เปน็ ปกติ และเทยี่ งตรง เปน็ กลาง...”
พระบรมราโชวาทในพระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร
มหาภูมพิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
พระราชทานแก่บัณฑติ มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวโิ รฒ
22 มถิ นุ ายน 2524

1บทที่

การเตรยี มดนิ

18 จากรากแกว้ สูผ่ ลของตน้ เพาะพนั ธ์ุปัญญา

การเตรียมดิน

บทนำ�

เมื่อผมต้องท�ำงานกับคนในวงการการศึกษามากข้ึน ผมพบว่าเพาะพันธุ์ปัญญามีความเป็น
“ลกู ทุ่ง”มาก แมจ้ ะบอกว่า “มหี ลักการแตก่ ็เหมอื นไรห้ ลกั การ”
“ลกู ทงุ่ ” เปน็ ศพั ทเ์ กา่ หมายถงึ ทำ� อะไรแบบซอื่ ๆ ไรม้ ารยา การทำ� งานแบบลกู ทงุ่ หมายความถงึ
การลยุ ทำ� ไปดว้ ยความเชอื่ และสญั ชาตญิ าณ ไมส่ นใจทฤษฎอี ะไรมาก ตอนหลงั ๆ มคี นนกึ วา่ ผมเชยี่ วชาญ
เร่ืองการศึกษา จึงถูกเชิญให้ร่วมให้ความเห็นในหลายงาน จึงยิ่งรู้สึกถึงความเป็นลูกทุ่งชัดเจนขึ้น
เพราะทฤษฎีการศึกษาท่ีเขายกมาน้ันมีการจัดกลุ่ม จัดล�ำดับข้ันตอนชัดเจน และมีหลักการบางอย่าง
ลึกซ้งึ อยา่ งเป็นนามธรรม
เป็นธรรมชาติของคนเรียนวิศวกรรมศาสตร์ที่จะจัดเร่ืองราวเป็นข้อ ๆ หรือเป็นกลุ่มเป็นล�ำดับ
ดังนั้นความรู้ของเพาะพันธุ์ปัญญาก็มีจัดแบ่งท�ำนองทฤษฎีฝร่ังเหมือนกัน เมื่อผมรื้อ PowerPoint
จ�ำนวนมากมาดูเพ่ือเขียนหนังสือเล่มนี้ ผมพบว่าบางเวลาจัดไม่เหมือนกันท้ัง ๆ ที่เป็นเรื่องเดียวกัน
สรุปว่าเป็นการจัดแบบตามใจฉันตามท่ีนึกได้ขณะน้ัน ส่ิงน้ีท�ำให้รู้สึกว่า แม้จะกล่าวว่ามีหลักการ
แต่กเ็ หมอื นไรห้ ลกั การ พดู ให้ดีหนอ่ ยคอื “หลกั การมคี วามเปน็ พลวัต ที่เปลยี่ นไปเรอ่ื ย ๆ นั้นกเ็ พราะ
มันก�ำลังพฒั นา”
ดังนนั้ หากถามหาความแนน่ อนผมจะบอกวา่ “ไม่แนน่ อน” เพราะถ้าใหผ้ มท�ำอีกสักปี ผมกจ็ ะมี
ส่งิ ท่ที �ำใหม้ นั ไมแ่ น่นอน อยา่ งไรก็ตามผมขอยืนยันวา่ เพาะพันธุ์ปัญญามีหลกั การ (แน่นอน) ขอ้ ความ
ในหนังสือหลายเล่มรวมทัง้ เลม่ นี้ยนื ยนั ถงึ หลักการอันเป็นแกน่ (core principle) เพาะพนั ธ์ปุ ัญญาได้
ผมออกจากงานที่ สกว. ในเดอื นธนั วาคม 2552 ชว่ งกำ� ลงั เคลยี รง์ านและเตรยี มตวั กลบั หาดใหญ่
ปลายเดือนกรกฎาคมมีเหตุให้ใช้ความคิดเก่ียวข้องกับการศึกษา บทนี้ผมจะเล่าเบ้ืองหลังท่ีเป็น
(สว่ นหนงึ่ ของ) ความคิดดา้ นการศกึ ษาของผมตั้งแตย่ ังอยู่ สกว. ทผ่ี มจดบนั ทึกไว้

ปญั ญาจะแผ่เผย บม่ เิ คยมทิ ้อถอย
เพาะพันธ์ุ ฤ หยุดคอย ณ วิจัยวจิ ารณ์หมาย
เพ่งพศิ พินิจการณ์ สรุ ิฉานตะวนั ฉาย
มดื ฟ้าทิวากลาย ก็อรุณอรา่ มตา
สอ่ งฟ้าสสิ อ่ งใจ ณ หทัยถวลิ หา
ดุ่มเดินลมุ รรคา มนชื่นมโนรมย์

สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์

อินทรวิเชียรฉนั ท์ 11
จากงานพัฒนาพ่ีเล้ยี งดว้ ยกระบวนการจิตตปัญญาศึกษา
ด้วยสุทรยี ในพรรณพฤกษา สวนทวชี ลรสี อรต์ เชยี งใหม่

12-13 มิถุนายน 2558

20 จากรากแก้วสผู่ ลของต้นเพาะพันธ์ุปญั ญา

มองระบบการศึกษาแบบวิศวกร5

อยดู่ ี ๆ ดร.สลี าภรณม์ าตามไปประชมุ บอกวา่ มาฟงั ความวนุ่ วายของระบบกระทรวงศกึ ษาฯ หนอ่ ย
แล้วช่วยท�ำความเข้าใจตามความคิดวิศวกร การอธิบายของ ดร.เจือจันทร์ ท�ำให้ผมเข้าใจว่าท�ำไม
กระทรวงนี้จึงเป็นแดนสนธยาในการบริหารงาน ท�ำไมไม่มีรัฐมนตรีคนไหนแก้อะไรได้ แต่ก็ท�ำให้ผม
มีบทบันทึกการเรยี นรู้อีก 1 เร่อื ง
ในศาสตร์ทางวศิ วฯ นน้ั การที่ระบบทำ� งานได้ตามเป้ามนั จะต้องมกี ารตรวจสอบและควบคมุ

SENSOR

103OF

EXCHANGER

PUMP Pinch it down Do what I’m told! Hey,
VALVE POSITIONER exactly one full turn. Do what I’m told! Wake up Boss..!!
Nothing more, nothing less. Get off my back!
Do you think V.P. means IT’s up to 1030F
VALVE Vice President?
TRANSMITTER
DAILY DEGREE
H1o0ld0inogFat

VALVE ACTUATOR Pdtiohnnec’htsttbeuaarcnmko, n It’s 3 degrees more than
CCEONNTTRRAOLL the daily operation

T STEAM Boss LLER

o valve positioner. TO CONTRO

รูปข้างบนเปน็ ระบบทำ� น้ำ� ร้อนจากไอน�้ำโดยใช้เคร่ืองแลกเปล่ียนความร้อน (heat exchanger)
เริ่มจาก sensor ตรวจพบว่าอุณหภูมิ (103ºF) เกินค่า 100ºF ท่ีต้องการ เจ้า transmitter คือ
ผสู้ ง่ สญั ญาณมนั จงึ แจง้ หนว่ ยควบคมุ (central control) หรอื boss ทราบ เพอ่ื ตดั สนิ ใจสงั่ การใหร้ ะบบ
ที่ทำ� หน้าท่ีปิด-เปดิ วาลว์ (valve actuator) หรวี่ าลว์ ไอนำ�้ (steam valve) ลง 1 รอบ รูปน้ีมขี ้อคดิ
2 อยา่ ง

5 เป็นบันทึกเขียนวันท่ี 3 สิงหาคม 2552 จากการหารือเม่ือ 31 กรกฎาคม 2552 กับ ดร.สีลาภรณ์ บัวสายและ
ดร.เจอื จนั ทร์ จงสถิตอยู่ เพื่อเข้าใจระบบการศึกษาของกระทรวงฯ และให้ความเห็นจากสายตาคนนอก

สธุ ีระ ประเสริฐสรรพ์ 21

1. Boss หรือ controller ต้องฉลาดที่รู้ว่าอุณหภูมิที่เกินไป 3 องศานั้น แก้ได้โดยหรี่วาล์ว
ลง 1 รอบ
2. ผู้จัดการ (valve positioner) ไม่ควรเข้าไปยุ่งเป็นภาระ (ข่ีหลัง) คนปรับวาล์ว (valve
actuator) ปล่อยให้คนในระบบท�ำงานไปตามหน้าท่ีท่ีเขารู้ว่าปฏิบัติอย่างไร ภาษาใน
วงการศึกษาคือ ครูร้ดู ีกวา่ คนส่งั ดงั น้นั อยา่ ......... (เติมคำ� ในชอ่ งวา่ ง 10 คะแนน)...........

การควบคุมระบบเขียนเป็นไดอะแกรมใช้ท�ำความเข้าใจการท�ำงานแบบวิศวฯ ได้ตามรูปน้ี
ผมอธบิ ายต่อ อ.สลี าภรณ์ และ อ.เจอื จนั ทร์ว่า ให้นกึ ถึงลกู ลอยทค่ี มุ ระดบั น้�ำ

Ref signal Error Signal กาŒ นวาลว วาลว น้ำในถัง

CONTROLLER System input SYSTEM System output OUTPUT

Measured output ลูกลอย

SENSOR

Reference signal หมายถงึ ระดบั นำ้� ทต่ี อ้ งการ (ทเ่ี ราตงั้ ลกู ลอยไว)้ Measured output หมายถงึ
ระดบั นำ้� ทล่ี กู ลอย (sensor) วดั ไดข้ ณะใดขณะหนงึ่ ระดบั นำ้� ทวี่ ดั ไดถ้ กู เปรยี บเทยี บกบั ระดบั ทตี่ อ้ งการ
หากยงั ต่�ำกว่าทต่ี อ้ งการมันจะส่งสญั ญาณเปน็ error signal ไปยังกา้ นวาล์วของลูกลอย (controller)
และส่ังการให้วาล์ว (system) เปิดปล่อยน้�ำเข้าถัง ระดับน�้ำที่ปรากฏก็จะถูกตรวจจับโดยลูกลอย
กลายมาเปน็ measured output signal วนกลับมาเปรียบเทียบกับระดับที่ตอ้ งการ จนกระทั่งเมื่อ
measured output เท่ากับ reference signal (error signal เปน็ ศนู ย)์ วาล์วจะปดิ นำ้� ใหห้ ยดุ ไหล
สิ่งที่ไดค้ อื output เปน็ น้�ำในถงั ท่รี ะดับท่ีตอ้ งการ
รูปท่ีมีกล่อง 3-4 กล่องนี้เขาเรียก control diagram ขอให้จ�ำรูปท่ีมี 3-4 กล่องน้ีไว้ให้ดี
ในตอนทา้ ยผมจะใชไ้ ดอะแกรมแบบนอ้ี ธบิ ายระบบคณุ ภาพการศกึ ษา โดยเรยี กสน้ั ๆ วา่ “ระบบควบคมุ ”

สพฐ. โรงเร�ยน นักเรย� น
Ref signal SYSTEM System output OUTPUT
Error Signal CONTROLLER System input

Measured output สทศ.

SENSOR

22 จากรากแกว้ สูผ่ ลของต้นเพาะพนั ธุ์ปญั ญา

ระบบควบคมุ ในมมุ มองแบบวศิ วกรใชอ้ ธบิ ายกบั ระบบสถานศกึ ษาดงั รปู นี้ Ref signal คอื คณุ ภาพ
นักเรียนที่ต้องการ โรงเรียนคือระบบที่ท�ำงาน (system) สพฐ. เป็นผู้ก�ำกับควบคุม (controller)
ใสท่ รพั ยากร (system input) ใหโ้ รงเรยี นเพอื่ ทำ� งานสง่ ผลออกมาเปน็ นกั เรยี น (ทมี่ คี ณุ ภาพ) สว่ น สทศ.
คือ หนว่ ยตรวจวดั (sensor) สิง่ ที่ สทศ. วัดขณะน้ีคอื คะแนน O-Net
ปญั หาของระบบนเี้ กดิ จากการควบคมุ ทแี่ ตล่ ะหนว่ ยในระบบอาจไมเ่ ขา้ ใจภาพการควบคมุ ทงั้ หมด
แตล่ ะหนว่ ยจงึ ไม่ประสานการทำ� งานกัน ทำ� ให้ภาระงานเกนิ ก�ำลงั ครู ดึงครูออกจากบทบาทหน้าทคี่ รู
ดงั จะเห็นไดจ้ ากที่
1. สมศ. ประเมินสถานศกึ ษา (system) แต่ไมท่ ราบว่าเปน็ การวดั เพ่อื เปา้ หมาย measured
output signal ของ สทศ. หรอื ไม่?
2. สพฐ. ไมย่ อมทำ� งานสว่ นที่เป็นวชิ าการ สนใจแตส่ ว่ นอำ� นาจ คอื คนกบั เงนิ จึงไมไ่ ดท้ �ำงาน
ตาม error signal input (คุณภาพวิชาการ) ที่ออกจาก สทศ. (อาจจะพยายามท�ำแต่
ท�ำไมเ่ ปน็ การศกึ ษาจึงเปน็ อย่างที่เห็น)
เมอื่ เรามีโครงสรา้ งการควบคมุ งานแต่ measured output ไม่เขา้ ใกล้ reference signal สกั ที
(ยิ่งนานวนั เข้าก็ยิ่งมี error signal ทีใ่ หญ่ขึ้น) แปลวา่ … นอกจากระบบไมไ่ ด้ทำ� งานอย่างเหมาะสมแล้ว
ผมเดาว่าระบบต่าง ๆ ไม่เข้าใจว่าตนเองก�ำลังท�ำอะไรอยู่ในระบบ หรือไม่เห็นบทบาทของตนใน
reference signal เช่น ในกรณเี คร่อื งทำ� นำ�้ ร้อน เม่ือ controller สั่งหร่วี าล์ว แต่ valve actuator
กลบั เปดิ วาล์ว... (อาจเพราะ valve actuator ไม่ทราบวา่ การหร่ีนนั้ ต้องหมนุ ซ้ายหรือหมนุ ขวา หรือ
valve positioner แทรกแซงใหท้ ำ� อยา่ งอ่นื )
เพราะระบบการศกึ ษามีปัญหาจงึ ทำ� ให้นานวนั คณุ ภาพย่งิ ลดลง (error signal มากขน้ึ ) เพราะ
นักเรยี นและผู้ปกครองต้องการ measured output signal ทีส่ งู กวา่ reference signal (ตอ้ งการ
ระดับนำ�้ ท่สี ูงกว่าท่กี �ำหนด) เพราะความเหลอ่ื มลำ�้ ของคณุ ภาพสถานศกึ ษาท�ำใหน้ ักเรียนตอ้ งสอบแข่ง
เข้าเรียนต่อ ดังน้ันโรงเรียนติวจึงเป็นสิ่งเติมเต็มแก่ระบบ โดยเป็นเหมือนกับก๊อกน้�ำเข้าอีกก๊อกหน่ึง
ท่ีเป็นระบบอิสระ จะเติมน้�ำเพิ่มเท่าใดก็ได้ (ถ้ามีเงินจ่าย) ย่ิง error signal และความเหลื่อมล�้ำ
มีมาก ธุรกจิ ตวิ ก็ยงิ่ เฟอื่ งฟู

สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ 23

การควบคุมจะตอ้ งมที งั้ เครอ่ื งมอื และคน ดังนัน้ เราตอ้ งเข้าใจวงจรการควบคมุ ท่ีองคก์ รเหลา่ นั้น
มอี ยู่ รปู งา่ ย ๆ ขา้ งตน้ จงึ ซบั ซอ้ นเพมิ่ ขนึ้ โดยผมเพม่ิ diagram ทแี่ ทนวงจรควบคมุ เขา้ ไปทอี่ งคก์ รตา่ งๆ
ดงั รปู ต่อไปน้ี

Ref sig สพฐ. Ref sig รร.
วงจรควบคุม สมศ.
วงจรควบ ุคม สพฐ.
วงจรควบคุม รร. Ref sig สมศ.

Ref signal Error Controller System System System Output
signal input output
สพฐ. โรงเร�ยน นกั เร�ยน
สทศ .
Measured output
Sensor
วงจรควบคุมระบบการศึกษา

วงจรควบ ุคม สทศ.

Ref sig สทศ.

การบูรณาการงานเพื่อคุณภาพการศึกษาจะเกิดได้เมื่อวงจรควบคุมทั้งหลายท�ำงานร่วมกัน
โดยมี reference signal เดียวกัน (เสน้ ประเช่อื มตอ่ ถึงกันท่ี reference signal input ของวงจรหลกั )
ในฐานะวศิ วกรปญั หานจี้ ะถกู พิจารณาแบบอำ� นาจนยิ ม คอื เขา้ ไปจัดการดว้ ยการควบคุมก�ำกับ
ใช้ KPI เปน็ ตวั บบี การทำ� งาน ซงึ่ เปน็ ความคดิ ทไี่ มต่ า่ งจากทกี่ ระทรวงฯ ใชอ้ ยู่ เชน่ ผมตอ้ งเขา้ ไปแทรกแซง
(intervene) ระบบเดิมให้ได้ คือ จัดการทั้ง controller, system และ sensor ให้ สพฐ. ท�ำงาน
วชิ าการให้เปน็ ใหโ้ รงเรยี นพัฒนาตนเองได้ ให้ สทศ. มี measured output ทเ่ี ป็น “หน่วย” เดียวกบั
reference signal (ไมใ่ ช่ O-Net เพียงอยา่ งเดียว) แตโ่ ดยธรรมชาตขิ องระบบราชการ หน่วยต่าง ๆ
จะมวี งจรควบคมุ (control loop) ของตนเอง (เชน่ กรรมการของตนเอง) การจะแทรกแซงกต็ อ้ งเขา้ ใจ
วงจรควบคุมหนว่ ยตา่ ง ๆ ใหช้ ดั แจง้ (และหาทางเขา้ ไปแทรกแซง การแทรกแซงทัง้ หมดคือการปฏิรูป
ทัง้ ระบบ ซึ่งมคี นพยายามมานานแลว้ แต่ไมส่ �ำเร็จ)

24 จากรากแกว้ สผู่ ลของต้นเพาะพันธุ์ปัญญา

รปู ขา้ งตน้ ทเี่ ขยี นนน้ั ซบั ซอ้ นนอ้ ยกวา่ ทรี่ บั ฟงั มามาก ผมคดิ วา่ ทงั้ ระบบมวี งจรควบคมุ แบบตา่ ง ๆ
ประกอบกันอยู่ไม่น้อยกว่า 50 วงจร (เฉพาะส�ำนักต่าง ๆ ใน สพฐ. ก็มีนับสิบส�ำนัก) มีท่ีสนับสนุน
และขัดกัน มีท่ีเป็นส่วนเกิน (redundant) หรือถ่วงงาน ฯลฯ คนของกระทรวงศึกษาต้องเห็นภาพ
วงจรควบคุมท้งั หมดแล้วสร้างเสน้ ทางปอ้ นกลับ (feedback) รว่ มกนั หาจุดคานงดั เพอื่ ปรับปรุงระบบ
การเปลยี่ นแปลงนตี้ ้องเกิดจากภายใน คอื ร้ปู ัญหาเชงิ ระบบของตนแลว้ ปฏริ ปู ตนเอง
ผมเขยี นวเิ คราะหก์ ารควบคมุ แบบคนใสแ่ วน่ วศิ วกร คอื มองความเปน็ ระบบ แตร่ ะบบมนั ซบั ซอ้ น
เกินเข้าใจส�ำหรับคนท่ีอยู่แต่หน้างานของตน อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าท่ีเขียนด้วยแว่นวิศวกร
ก็เพียงท�ำให้เราเข้าใจความเป็นระบบ การจัดการด้วยความคิดแบบนี้จะเน้นที่การควบคุมก�ำกับ
เป็นแนวคิดท่ีมองการจัดการการศึกษาแบบราชการ ยึดติดมาตั้งแต่ประเทศไทยมีกระทรวงธรรมการ
เมื่อ ร.ศ. 111 (พ.ศ. 2435) คอื มองการจัดการแบบ “กลไก” การบริหารระบบสรา้ งปญั ญาตอ้ งค�ำนงึ
ถึงระบบ “อินทรยี ์” (organics) ทซ่ี อ้ นทบั อยู่ด้วย
ความจริงเส้น feedback ในไดอะแกรมพอจะถือได้ว่ามีความเป็นอินทรีย์อยู่บ้างเพราะท�ำให้
ระบบปรับตัวได้เหมือนส่ิงมีชีวิต เสียแต่ว่าระบบการศึกษาของเราให้ความส�ำคัญกับเส้น feedback
นอ้ ยมาก หลักฐานคือครมู ีแต่ท�ำรายงานสง่ เพื่อเอามากองเป็นเศษกระดาษที่ไมม่ ีใครอ่าน
ขน้ั ตอนการเกดิ ปญั ญาของผ้เู รียนในกระบวนการทำ� โครงงานฐานวิจยั
ข้อความต่อไปนี้คือบันทึกความเข้าใจท่ีผมมีต่อการเกิดปัญญาหากเราจัดให้วิจัยเป็นเครื่องมือ
การศกึ ษา ผมเขยี นไวใ้ นหวั ขอ้ “กระบวนการวจิ ยั ทำ� ใหเ้ กดิ การพฒั นาความคดิ ไดอ้ ยา่ งไร?” ดงั ตอ่ ไปนี้ 6
เราสามารถแบง่ กระบวนการพฒั นาจากการทำ� วจิ ัยได้ 3 ระยะ และ 10 ขั้นตอนดงั น้ี
ระยะที่ 1 จุดเรมิ่ ต้นที่ตนเอง ระยะนมี้ ี 3 ขัน้ ตอนที่ปฏิบัตกิ ับตนเองเท่านัน้ คอื
1. สังเกต (โดยอายาตนะ ดู ฟงั สัมผัส) เปน็ กระบวนการ “รบั เข้า”
2. คิดใครค่ รวญประมวลกับประสบการณข์ องตน เปน็ กระบวนการ “ด�ำเนินการ” ตอ่ ยอดจาก
การรบั เขา้
3. บนั ทึกสงิ่ ท่สี งั เกตและใครค่ รวญ เปน็ กระบวนการ “เกบ็ ไว”้
ท้งั 3 ขน้ั ตอนเปน็ การทำ� งานกับตนเอง ที่ถือว่าเป็นจดุ เรม่ิ ตน้ ของการเปน็ นักวิจัย คนส่วนมาก
จะทำ� ได้ที่ขน้ั ตอนท่ี 1 เท่าน้นั คือรับเข้าอย่างเดียวโดยไมด่ ำ� เนนิ การ (process) ตอ่

6 เปน็ บนั ทกึ ลงวนั ที่ 4 สงิ หาคม 2552

สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์ 25

ระยะที่ 2 ท�ำรว่ มกับคนอ่นื ระยะนมี้ ี 3 ขั้นตอนทีต่ อ้ งปฏบิ ตั ิรว่ มกับผอู้ ่ืน คือ
4. นำ� เสนอสง่ิ ทตี่ กผลกึ จากความคดิ ใครค่ รวญตอ่ ผอู้ นื่ (กลั ยาณมติ ร) เพอื่ ใหเ้ ขาปจุ ฉา (ตง้ั คำ� ถาม)
เพ่อื ให้เราวสิ ชั นา (ใหค้ ำ� ตอบ) คนอนื่ ยอ่ มเหน็ ไม่เหมือนกบั ท่ีเราใครค่ รวญ คำ� ปจุ ฉาของเขา
คือบันไดชนั้ ดี
5. ฝึกปจุ ฉาการนำ� เสนอของคนอื่น เราสลับบทบาทกบั กลั ยาณมติ ร คดิ ตา่ ง ตัง้ ค�ำถาม
6. ฝกึ วสิ ชั นาทค่ี นอนื่ ปจุ ฉาคนอนื่ และฝกึ ปจุ ฉาทค่ี นอน่ื วสิ ชั นาคนอน่ื เมอ่ื เกดิ กลมุ่ กลั ยาณมติ ร
ความคิดจะหลากหลาย เราเป็นผู้ฟังเร่ืองที่เขาสนใจถกความจริง แล้วลองคิดว่าถ้าเป็นเรา
เราจะปจุ ฉาหรอื วสิ ชั นาอะไร (ทตี่ า่ งออกไป) กลมุ่ กลั ยาณมติ รทำ� ใหป้ ญั ญาทงั้ กลมุ่ ขยายกวา้ ง
ขา้ มศาสตร์
การมีผูอ้ ืน่ เป็นคู่ปจุ ฉา-วิสชั นาทำ� ใหไ้ ดล้ ับความคิด ท้งั 3 ขอ้ น้ีมีความเหมอื นกันคือประกอบด้วย
วฏั จกั รของ “รบั เขา้ -ดำ� เนนิ การ-สง่ ออก-รบั เขา้ -ดำ� เนนิ การ-สง่ ออก...” กระบวนการนจ้ี ะทำ� ใหค้ รบวงจร
วิชาการ การมีส่วนร่วมท�ำให้คนในวงจรได้ช่วยกันพัฒนามุมมองให้หลากหลายข้ึน เป็นกระบวนการ
เร่งการเกิดปัญญา (พระธิเบตใช้วิธีน้ีมาก) เป็นท่ีน่าเสียดายว่าเวทีการน�ำเสนอผลงานวิชาการต่าง ๆ
มกั จะไม่ให้ความส�ำคญั นี้ โดยเฉพาะจากซีกผู้เข้าฟงั 7
ระยะท่ี 3 สร้างปัญญาด้วยตนเอง ระยะนี้เป็นการกลับมาพัฒนาปัญญาด้วยกระบวนการ
ทค่ี ดิ ดว้ ยตนเอง ซ่งึ มี 4 ข้นั ตอน
7. ฝกึ ต้งั สมมตุ ิฐาน
8. ออกแบบงานวิจยั และทำ� วิจยั จนครบกระบวนการ
9. ใชค้ ุณธรรมเปน็ ฐานสังเคราะห์ความร้อู งคร์ วมรว่ มกบั บรบิ ท
10. ฝกึ เขียนเก็บความรูเ้ ป็นขมุ ทรพั ย์หรอื แก่นความรู้เก็บไว้
ขั้นตอนที่ 7-9 นี้คือการท�ำวิจัยให้เป็นน่ันเอง8 เราจะเห็นว่าตั้งแต่ข้ันตอนที่ 4 เป็นต้นมานั้น
การ “ดำ� เนนิ การ” จะเกดิ คกู่ บั การ “รบั เขา้ ” และทส่ี ำ� คญั คอื หากไมม่ กี ารดำ� เนนิ การกจ็ ะไมเ่ กดิ ขน้ั ตอน
4-9 และไม่เกิด “ปญั ญา” เม่ือท�ำถึง 10 แล้วเราควรเอา 10 วนกลบั ไปที่ 4 เพอื่ ท�ำใหป้ ัญญาเจริญข้นึ
จากการแลกเปลยี่ นกบั ผอู้ นื่ หากเราทำ� วฏั จกั ร 4-10 หลาย ๆ รอบมนั จะเปน็ เกลยี ว (spiral) ทย่ี กระดบั
การพฒั นาปญั ญาได้ และหากคนในข้นั ตอน 4-6 มีครบทกุ ภาคี (stakeholders) ความ “มบี รบิ ท” จะ
ถกู ยกมากำ� กบั การเกิดปญั ญาใหส้ อดคล้องกบั ความจรงิ หลายมิติ 9

7 ผมมาเห็นบันทึกนี้ในขณะเขียนหนังสือเล่มสุดท้ายในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา อ่านแล้วรู้เลยว่ามันคือกระบวนการ
“ถามคือสอน” ท่ผี มประดษิ ฐ์ขน้ึ มาเป็น 1 ใน 3 คาถาหลักในปที ่ี 2 ของเพาะพนั ธป์ุ ัญญา หรือในอีก 5 ปถี ัดมา (ปี 2557)
8 ทั้ง 10 ขัน้ ตอนนเี้ หน็ ชดั วา่ แนวคดิ ขอ้ 3 และ 10 กลายมาเปน็ คาถาขอ้ ที่ 3 “เขยี นคือคดิ ” สว่ นคาถาขอ้ ที่ 2 “สะทอ้ นคิด
คือเรยี น” เทียบได้กับขอ้ 2 และ 9
9 เป็นที่น่าเสียดายว่าวงการสัมมนาวิชาการของเรามักจะไม่ครบภาคี ซ่ึงผมมักจะเรียกว่าเป็นการสัมมนาแบบ “ผลัดกัน
ปรบมอื ” ผมเคยเสนอกระบวนการน้ใี นฐานะที่ปรึกษางานวิจัยของ มรภ. หลายแหง่ แตไ่ ม่ส�ำเร็จ

26 จากรากแกว้ สผู่ ลของต้นเพาะพนั ธปุ์ ญั ญา

การใชค้ ณุ ธรรมในขน้ั ตอนที่ 9 น้นั ส�ำคญั มาก (คณุ ธรรมเป็นคณุ สมบัตทิ ดี่ ีภายในจิตใจ ท่ที �ำให้
บุคคลท�ำความดโี ดยไมฝ่ นื ใจ) เพราะความรเู้ ป็นดาบ 2 คมเสมอ การไดค้ วามรแู้ ละใช้ความรจู้ งึ ต้องมี
คณุ ธรรมก�ำกับไว้
ผลลัพธ์เกิดกับนักวิจัยเป็นปัญญาขั้นสูง คนผู้น้ันจะมีกระบวนทัศน์ในวัฒนธรรมวิทยาศาสตร์
มีการใชป้ ัญญาตดั สนิ ใจในชีวิตประจ�ำวันไดอ้ ย่างมวี ิจารณญาณ สะท้อนไดจ้ ากลกั ษณะตอ่ ไปน1้ี 0
1. แยกออกระหว่างความจรงิ กับคณุ คา่
2. สามารถวเิ คราะห์ความเช่อื ถอื ไดข้ องขอ้ มูล
3. สามารถวเิ คราะห์ความเทย่ี งตรงและนำ�้ หนักของค�ำกลา่ วอา้ งได้
4. แยกออกระหวา่ งเหตผุ ลทส่ี อดคลอ้ งกบั ไมส่ อดคลอ้ ง
5. ตรวจจบั ความลำ� เอยี ง (bias) ได้
6. ตรวจพบสมมตุ ิฐานทถี่ กู มองขา้ มได้
7. ตรวจพบข้อกลา่ วอา้ งที่คลมุ เครือหรือไรเ้ หตุผลได้
8. รูส้ กึ ถงึ ความไม่สม�่ำเสมอของตรรกะท่ีกลา่ วอ้าง
คนที่มีปัญญาจนสามารถมีคุณลักษณะ 8 ประการข้างต้น คือ คนท่ีให้ความส�ำคัญกับเหตุผล
มากกวา่ อารมณ์ จะพัฒนาไปเป็นคนที่สนใจภาพรวม (macro) มากกว่าสนใจในรายละเอียดปลีกย่อย
อยา่ งเดยี วจนลมื เรอื่ งใหญ่ ทำ� ใหม้ หี ลกั ในการทำ� งานหรอื คดิ 11 หากเกดิ ไดใ้ นคนหมมู่ ากกจ็ ะพฒั นาไปสู่
สงั คมประชาธิปไตยอยา่ งแท้จรงิ
ประเทศทเ่ี ปน็ ประชาธปิ ไตยอยา่ งแทจ้ รงิ และคนในประเทศใชช้ วี ติ อยา่ งฉลาดรเู้ ทา่ ทนั นา่ จะเปน็
ยุคท่เี รยี กวา่ “ยคุ พระศรีอารย์” หรอื Uthopia นัน่ เอง
บนั ทกึ การศกึ ษา 2 เรอื่ งขา้ งตน้ อธบิ ายมมุ มองของผมกอ่ นออกจาก สกว. และกลายมาเปน็ พนื้ ฐาน
การท�ำโครงการเพาะพนั ธ์ุปัญญาในเวลาต่อมา
ประสบการณ์ยุววิจัยต่าง ๆ ท่ีกล่าวในค�ำน�ำท�ำให้ผมพอจะเห็นแสงสว่างท่ีปลายอุโมงค์มืดของ
การศึกษาไทย ความจริงต้องยกอานิสงค์ให้กับงาน “วิจัยเพื่อท้องถ่ิน” (Community-Based
Research, CBR) ของ สกว.

10 คณุ ลักษณะเหลา่ น้เี หมอื นกบั ผทู้ รงคุณวฒุ ทิ ่ปี ระเมินคุณภาพผลงานวจิ ยั (reviewer)
11 เทียบเคียงได้กับการมี “อภปิ ญั ญา” (meta-cognition)

สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์ 27

CBR เป็นงานที่เปล่ียนกระบวนทัศน์ (paradigm) นักวิจัยอย่างผม ผู้ท่ีคล่ังไคล้การค้นหา
ความรู้ใหม่ในหน้าท่ีอาจารย์มหาวิทยาลัย ยังจ�ำได้ถึงความเห็นที่ผมบอก ศ.ดร.ปิยะวัติ ว่า “ผมเห็น
โจทย์ CBR แลว้ ไม่เห็นวา่ เปน็ งานวจิ ยั ไดอ้ ย่างไร?”
เมอ่ื เปลยี่ นกระบวนทศั น์ ผมจงึ รตู้ วั วา่ ตนเองเขา้ ใจวจิ ยั เพยี งซกี เดยี ว ถอื วา่ เปน็ อวชิ ชาโดยแทจ้ รงิ
ของคนท่ีเรียนสูงระดับปริญญาเอกวิศวกรรมศาสตร์เช่นผม มาถึงขณะน้ีมันน่าละอายว่าเป็นค�ำถาม
ของคนท่ีไม่รู้เรื่องวิจัยแต่อวดว่ารู้ CBR ท�ำให้ผมเข้าใจวิจัยในฐานะเคร่ืองมือพูนพลังทางปัญญา
ของมนุษย์ และมนษุ ย์ทกุ คนมสี ทิ ธิและมศี ักยภาพที่จะใชว้ จิ ยั พัฒนาสตปิ ัญญาของตนเอง.... “วิจัยคือ
เคร่อื งมือของการศกึ ษา”
เมือ่ สำ� รวจกรอบความคิดของครใู นเรือ่ งวจิ ัยแลว้ ผมตระหนกอย่างมาก ถึงกับเคยกล่าว (และจะ
กล่าวเช่นนต้ี อ่ ไป) วา่ เป็นการสอนวจิ ยั สมัย “กอ่ นพุทธกาล” คอื เช่อื วา่ ความรู้อยู่ทีผ่ อู้ น่ื การหาความรู้
โดยแบบสอบถามแบบสัมภาษณ์ไม่ตา่ งอะไรกับเจ้าชายสิทธัตถะไปถามทางพน้ ทุกข์จากดาบส ซง่ึ ไม่มี
ทางเข้าถึงโพธิปัญญาได้เลย ท่านเปลี่ยนกระบวนทัศน์ด้วยตนเองตามหลัก “ผลย่อมเกิดจากเหตุ”
เม่อื มีทกุ ข์เปน็ ผล การพน้ ทกุ ตอ้ งรูเ้ หตุแห่งทกุ ข์ คอื สมทุ ัย
การไดป้ ญั ญาจากวจิ ยั ตอ้ งใชร้ ะบบคดิ “ผลเกดิ จากเหต”ุ เปน็ จนิ ตมยปญั ญาแทนการไปฟงั ขอ้ มลู
คนอนื่ ซงึ่ เปน็ เพยี งสตุ มยปญั ญาเทา่ นนั้ วจิ ยั ดว้ ยปญั ญาจากการคดิ แบบ “ผลเกดิ จากเหต”ุ นไี้ ดผ้ ลเปน็
“ปจั จัตตงั ” ดังนั้นนกั เรียนคอื ผู้ทำ� วิจัย ไมใ่ ชค่ ร!ู !
แต่ปัญหาของผมคือจะเอาวิจัยในหลักคิดน้ีเข้าต่อกรกับวิจัยสมัยก่อนพุทธกาลท่ีครูคุ้นเคย
ได้อย่างไร? ทำ� อย่างไรใหค้ รูที่ศรทั ธาวถิ ีพ้นทกุ ข์ของดาบสหันมาสมาทานวิธีของพระพทุ ธองค์ ครูต้อง
รแู้ จง้ ดว้ ยตนเองกอ่ นจงึ จะถา่ ยทอดกระบวนการสรา้ งปญั ญาใหน้ กั เรยี นได้ คงมเี พยี งหนทางแหง่ ปญั ญา
เทา่ น้ันท่จี ะล้างศรทั ธาเดิมของครูได้
นอกจากนนั้ ... วจิ ยั ตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ชวี ติ เพอื่ ใหเ้ ชอ่ื มความรทู้ เี่ รยี นกบั การใชง้ านในชวี ติ วจิ ยั ตอ้ งมี
เงื่อนไข “วิชาความรู้ต้องเป็นตัวหมุนเกลียวปัญญาโดยมีปัญหาท่ีมีบริบทเป็นจุดต้ังต้น” เราจะท�ำให้
ครูเห็นโจทย์วิจัยจากเร่ืองรอบตัวอย่างไรในท่ามกลางข้อความ “รายงานการท�ำโครงงาน file word
แก้ไขได้” ทก่ี ระจายทางส่ือสังคมออนไลน์ถึงครูทุกคนแลว้

28 จากรากแก้วสู่ผลของต้นเพาะพันธปุ์ ัญญา

ขอเป็นสะพานทอดผา่ นความรู.้ ..

“เราจะเปน็ สะพานใหเ้ ธอเดนิ ผา่ นขา้ มไป เปน็ บนั ไดใหไ้ ดป้ นี สฝู่ นั เปน็ ดวงไฟทค่ี อยสอ่ งใหห้ นทาง
เปน็ ทกุ อยา่ งใหท้ กุ ฝนั ... หนงึ่ สมองรอ้ ยเรยี นสจู่ ดุ หมาย หนงึ่ ความฝนั ฝนั ทไี่ มย่ าวไกล สหู่ วั ใจนกั สรา้ งฝนั ...
แม้ว่าสายน้�ำจะเชี่ยวกราก ลมพายุจะโหมพัดกระหน่�ำ เราจะยืนหยัดไปด้วยกัน อุปสรรคก็จะพลัน
แหลกทะลาย...”
“จะเป็นสะพานทอดผ่านสายน�้ำพาข้ามสายชล น�ำปัญญาและความรู้สู่ทุกแห่งหน พาข้ามพ้น
อวชิ ชาพฒั นาไทย.... นกั วจิ ยั เปน็ ใครกนั หรอื ชา่ งเลอื่ งชอ่ื เหมอื นเทวดา แตค่ วามรกู้ ลบั ถกู ลมื ไรค้ นบชู า
กลี่ า้ นคนไทยทย่ี งั เฝา้ รอ ขอขา้ มฝง่ั ดว้ ยความเหนอ่ื ยลา้ เฝา้ หาคนนำ� พาขา้ มไปฝง่ั นน้ั .... ขอเปน็ สะพาน
ทอดผ่านความรู้ มอบให้สู่คนธรรมดา น�ำพาชีวิตท่ีงามอย่างในความฝัน ไม่ว่าจะเหน่ือยเพียงไหน
ขอให้เรามองไปจดุ น้นั น�ำความรสู้ คู่ วามฝนั ของเราทกุ คน...”
ยอ่ หนา้ แรกเปน็ สว่ นหนงึ่ ของเพลง “ปณธิ าน สกว.” สว่ นยอ่ หนา้ ท่ี 2 เปน็ เนอื้ เพลง “สะพานสานฝนั ”
เพลงแรกแต่งในช่วงท่ีการสนับสนุนงานวิจัยในการศึกษาไทยก�ำลังเฟื่องฟู จึงเต็มไปด้วยถ้อยค�ำ
แสดงความฮึกเหิมในเนื้อร้อง ส่วนเพลงที่ 2 แต่งเพ่ือตั้งค�ำถามเกี่ยวกับการวิจัยในการศึกษาไทย
เพราะขณะน้นั งานวจิ ัยด้านการศกึ ษาทผี่ มรับผดิ ชอบก�ำลังอยู่ในภาวะวิกฤต12

12 งานสนบั สนุนการวจิ ัยในการศึกษาไทยในสภาวะวิกฤตทิ ก่ี ลา่ วถงึ หมายถึงโครงการ IRPUS

สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 29

จากคำ� นำ� คงทราบแลว้ วา่ ผมมปี ระสบการณส์ นบั สนนุ โครงการยวุ วจิ ยั ตา่ ง ๆ ของ สกว. มาประมาณ
10 ปี เพลงที่ 3 แต่งใหก้ บั โครงการยุววจิ ยั ยางพารา เน้อื เพลงเป็นกาพย์ยานี 11 ใจความว่า

“ยางหยาดเป็นหยดขาว ดุจราวมุกมณี

แรงโหมพละพลี หวงั จะมียางหยาดยาว

แม้หยาดแลว้ หยุดขาด ความรู้อาจสกุ สกาว

หยดยางมเี รอ่ื งราว มากดง่ั ดาวพราวนภา

ยุววจิ ยั ยาง คือเส้นทางการคน้ หา

มณอี ยู่พนา ประกายจ้าด้วยวิจยั

มณีคอื นักเรียน ต้องคอยเพยี รเจียระไน

สขี าวพสิ ทุ ธใิ์ ส รอกา้ วไปในทางฝัน

หยิบยางมาเกี่ยวเน่ือง คน้ หาเรอื่ งมาเกย่ี วพนั

สกว. สร้างทางนนั้ ให้สร้างสรรค์ปญั ญางาม”

เพลงนี้แต่งจากความประทับใจในความส�ำเร็จของโครงการยุววิจัยยางที่ รศ.ไพโรจน์ คีรีรัตน์
ทุ่มเทแรงกายและแรงใจขับเคลื่อนเป็นเวลา 10 ปี เป็นโครงการท่ีสร้างการเรียนรู้อย่างมหาศาลและ
เปน็ ทมี่ าของโครงการเพาะพนั ธ์ปุ ัญญา
ผมหยิบเรื่องราวนี้มาบันทึกเพ่ือสะท้อนแนวคิดการใช้ประโยชน์วิจัยในแง่การพัฒนาคนที่ก่อตัว
ใน สกว. ช่วงก่อนปี 2550 ให้การกลั่นประสบการณ์มาเป็นแนวคิดที่สะท้อนออกมาเป็นเนื้อเพลง
ซ่ึงน่าจะท�ำให้ผู้สนใจเข้าใจจากการสื่ออีกรูปแบบหนึ่ง เป็นตัวอย่างของวิธีการเรียนรู้ด้วยจิตตปัญญา
ศกึ ษา ซึง่ เปน็ เครอ่ื งมือหลกั ของเพาะพันธ์ปุ ญั ญา13

13 ในหนังสือเล่มนี้จะพบเครื่องมือจิตตปัญญาศึกษาซ่อนอยู่ เช่น ร้อยกรองท่ีพี่เลี้ยงฝึกกันท่ีสวนชลพฤกษ์ เชียงใหม่
ทผี่ มนำ� มาคน่ั บท/ตอนต่าง ๆ ของหนังสอื เสยี ดายทีผ่ มไม่ได้เกบ็ บทประพันธข์ องกลุม่ พ่ีเลย้ี งไวค้ รบทุกศูนย์

30 จากรากแก้วสผู่ ลของต้นเพาะพันธุป์ ัญญา

ปฐมบทเพาะพันธ์ุปญั ญา

เม่ือเร่ิมงานเพาะพันธุ์ปัญญา ผมไม่เคยคิดว่างานน้ีมีคุณค่าควรแก่เป็นประวัติศาสตร์อะไร
ไม่เคยคดิ วา่ จะเขียนหนงั สอื ได้มากมาย ขณะนั้นคดิ แคอ่ ยากสานงานต่อหลงั ออกจาก สกว. จงึ ไมเ่ คย
จดจ�ำรายละเอียด เรื่องต่อไปน้ีเขียนจากความทรงจ�ำราง ๆ ที่ดึงมาจากปฏิทินท�ำงานใน Google
Calendar บันทึกไวใ้ หท้ ราบ “ธรรมะจดั สรร” อันเป็นปฐมบทการเกิดเพาะพนั ธ์ุปญั ญา
หลายครั้งที่ผมต้องตอบค�ำถามว่า “เป็นอาจารย์สอนวิศวกรรมศาสตร์แล้วมาท�ำการศึกษา
ได้อย่างไร?” หากให้เล่าท่ีมาต้องใช้เวลานานมาก ผมเช่ือว่าเป็นธรรมะจัดสรรให้ชีวิตต้องมาท�ำงานน้ี
และกลายมาเป็นความลุ่มหลง (passion) ท่ีอธิบายยากเพราะเป็น “ปัจจตัง” สรุปส้ัน ๆ ว่า
ความลมุ่ หลงมันเกดิ จากประสบการณ์ที่เหน็ ความเปลยี่ นแปลง
ผมสนับสนุนการวิจัยในการศึกษาข้ันพื้นฐานทั้งอย่างลับ ๆ และอย่างเปิดเผยมาก่อน ในฐานะ
ผอ. ฝา่ ยอตุ สาหกรรมของ สกว. ผมไมม่ ีอะไรตอ้ งทำ� เก่ียวกับโครงงานวจิ ัยของนกั เรยี น การสนบั สนุน
ทุนยุววิจัยยางพาราในปี 2545 จึงเป็นอย่างลับในบทบาทผู้บริหาร แต่ผมลงไปเล่นเองบนเวที
เมือ่ มีโอกาสจึงถือเป็นการเปดิ เผย
ประการแรกผมขอแสดงความขอบคุณ ศ.ดร.ปิยะวัติ บุญ-หลง ผู้อ�ำนวยการ สกว. สมัยน้ัน
ที่สนับสนุนท้ังทางลับและเปิดเผย (ตามนิยามท่ีผมกล่าวข้างต้น) ผู้ที่อยู่เบ้ืองหลังที่อดกล่าวถึงไม่ได้
อีกท่าน คือ อ.วราภรณ์ ขจรไชยกุล นักวิชาการยางพาราท่ีวงการยางให้ความเคารพ อ.วราภรณ์
ลาออกจากกระทรวงเกษตรฯ มาดูแลงานวิจัยยางพาราท่ีอยู่ในฝ่ายอุตสาหกรรม ท่าน “อิน” กับ
งานน้ีมาก งบประมาณสนับสนุนยุววิจัยยางพาราจึงมาจากชุดโครงการวิจัยแห่งชาติยางพารา
ท่ีท่านดแู ลอยู่ หลงั ผมออกจากงาน สกว. ไดไ้ มน่ าน งานวิจยั ด้านยางพาราเปล่ยี นเป็นโครงการมงุ่ เป้า
ของส�ำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โครงการยุววิจัยยางพาราจึงขาดการสนับสนุน
ปกี ารศกึ ษา 2555 เปน็ รุ่นสุดทา้ ย (เป็นพระเครื่องคงราคาดี)

สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 31

ผมรู้สึกเสียดายอยากหาทุนมาท�ำต่อ ขณะน้ันไม่ได้คิดถึง สกว. เพราะ สกว. เองเป็นผู้ตัดสิน
โชคชะตาในสงิ่ ท่ีผมก�ำลงั มี passion14 ตอนน้นั เกิด สสค. (สำ� นกั งานส่งเสริมสงั คมแห่งการเรียนรแู้ ละ
คุณภาพเยาวชน) ผมเขา้ ใจผดิ วา่ สสค. มีเงนิ ทุนมากเพราะเห็นให้ทุนหลักแสนบาทแก่ครจู �ำนวนมาก
สร้างนวัตกรรมการศึกษา สสค. จึงเป็นสถานีต่อไปท่ีผมจะไปคุยด้วย แต่จากการเลียบ ๆ เคียง ๆ
เหน็ ท่าวา่ สถานนี ้ีไม่น่ามผี ู้โดยสารซ้ือตว๋ั ผมจงึ สบั รางใหมข่ บั ไปสถานีมลู นิธิสยามกัมมาจล เพราะรู้ว่า
เขาสนใจการศกึ ษา โดยเฉพาะแนวปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
ผมออกจาก สกว. เดอื นธนั วาคม 2552 แต่ ดร.สีลาภรณ์ บวั สาย ผอ. ฝา่ ย 4 (ฝ่ายชุมชนและ
สงั คม) ขอใหช้ ว่ ยเปน็ ทป่ี รกึ ษางานของมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั และงานชมุ ชน ผมจงึ ยงั เขา้ ไปประชมุ ท่ี สกว.
เนืองนติ ย์ น่าจะราว ๆ เดือนเมษายนหรือพฤษภาคม 2555 (คนไข้ ICU ยุววิจยั ยางพาราก�ำลังหมด
ออกซเิ จน) ผมมปี ระชมุ อะไรไมท่ ราบที่ สกว. ระหวา่ งรอประชมุ ผมเปดิ คอมพวิ เตอรข์ ดั เกลา proposal
ท่ีเขียนค้างอยู่ที่โชฟาหน้าห้องประชุมช้ัน 14 ตึก SM Tower หวังจะไปเสนอมูลนิธิสยามกัมมาจล
ขอทุนท�ำโครงการยวุ วจิ ยั ยางพาราต่อปกี ารศึกษา 2556 ดร.สีลาภรณ์ เขา้ มาทักวา่
“เขยี นอะไรอยู่”
“หาตงั คท์ ำ� งานยวุ วจิ ยั ยางใหไ้ พโรจน”์ ดร.สลี าภรณท์ ราบแลว้ วา่ ยวุ วจิ ยั ยางพาราตอ้ งยตุ โิ ครงการ
“เขยี นเสรจ็ ยัง”
“ยัง”
“เอามาเท่าที่เขยี นกอ่ น เดีย๋ วจะไปพบคณุ แจง จะฝากตอ่ ให้คณุ บัณฑรู ” ดร.สีลาภรณ์หมายถงึ
คุณจรรจรยี ์ บุรณเวช และคณุ บัณฑูร ล่�ำซำ� แหง่ ธนาคารกสกิ รไทย15 “วนั กอ่ นเขาถามว่ามโี ครงการ
การศึกษาอะไรทน่ี า่ สนใจบา้ ง”
ผมไมร่ จู้ กั ทง้ั คณุ จรรจรยี แ์ ละคณุ บณั ฑรู แลว้ เอกสารทไ่ี มส่ มบรู ณน์ น้ั นำ� ไปสู่ ดร.อดศิ วร์ หลายชไู ทย
(รองกรรมการผจู้ ดั การอาวุโส) ทีต่ ่อมากลายเปน็ “โครงการเพาะพันธ์ุปัญญา”

14 การเปลี่ยนแปลงใน สกว. หลังยุค ศ.ดร.ปิยะวัติ บุญ-หลง ท�ำให้โครงการวิจัยนอกกลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัยถูกลด
ความส�ำคัญลง เช่น โครงการ Industrial Research Projects for Undergraduate Students (IRPUS) ถูกยบุ ทิ้งไปเปน็
โครงการแรกทั้ง ๆ ท่ีพัฒนาผลงานขึ้นมาจนมี budget line เฉพาะของตนเองจากส�ำนักงบประมาณแล้ว (แบบเดียวกับ
โครงการปริญญาเอกกาญจนาภเิ ษก หรอื คปก.)
15 ดร.สลี าภรณเ์ คยร่วมงาน “โครงการการศกึ ษาไทยในยุคโลกาภิวฒั น์” ที่เปน็ โครงการ CSR ของธนาคารกสิกรไทยมากอ่ น

32 จากรากแก้วส่ผู ลของต้นเพาะพนั ธป์ุ ัญญา

เมื่อจะเขียนเล่าท่ีมาของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาเป็นปฐมบท ผมไล่ดูปฏิทินงานพบบันทึก
ในปี 2555 ลงไวว้ า่

15-16 มีนาคม 2555 “งานยวุ วิจัยยางพารา”

15 พฤษภาคม 2555 “งานยุววจิ ัยเศรษฐกิจชมุ ชน”

23 กรกฎาคม 2555 “เสนอ proposal กสิกร16”

1 สงิ หาคม 2555 “ประชุมพ่ีเล้ยี งงานกสิกร”

7-9 กนั ยายน 2555 “workshop งานกสกิ ร”

งานยุววิจัยยางพารากลางเดือนมีนาคม 2555 คือฉากปิดของโครงการยุววิจัยยางพารา
รุ่นปกี ารศกึ ษา 2554 หมายความว่าขณะนนั้ เหลือรุ่นปกี ารศึกษา 2555 อีกรนุ่ เดียว อันเป็นกำ� หนด
เสน้ ตายท่ผี มตอ้ งหาทุนมาทำ� ต่อ เป็นช่วงจังหวะที่ ดร.สีลาภรณท์ เี่ ปน็ “แม่ยก” โครงการยุววจิ ยั และ
กลายมาเป็น“แม่ส่ือ” เอากระดาษไมก่ ่ีแผน่ ไปหารอื กับผ้บู ริหารธนาคารกสิกรไทย

ผมเคยทำ� หนา้ ที่ “อปุ ราช สกว.” ไปครองหวั เมอื งปกั ษใ์ ตเ้ มือ่ ครั้ง สกว. รเิ ริม่ งาน Area-Based
Collaborative Research for Development” หรือท่ีเรียกสั้น ๆ ว่าโครงการ ABC สกว. ริเร่ิม
งาน ABC โดยมอบหมายรอง ผอ. ฝา่ ยตา่ ง ๆ ไปคดิ งานและวิธีท�ำงานเชงิ พนื้ ท่ี ผมรับผิดชอบงานใน
5 จังหวัดภาคใต้ (สงขลา ตรัง สตูล พัทลุง นครศรีธรรมราช) มี 3 ประเด็นท่ีผมสนับสนุน คือ
การท่องเท่ียวท่ีเป็นการเรียนรู้ชุมชน หวังสูงมากว่าจะผันเงินอบรมดูงานของราชการให้มาซ้ือ
package ท�ำความรู้จักชุมชนผ่านประสบการณ์ท่องเที่ยว เร่ืองเศรษฐกิจผมเน้นการให้ชุมชนเป็น
เครือข่ายการผลิต (supply chain network) ให้อุตสาหกรรม เพ่ือให้การผลิตในชุมชนมีทางออก
ของผลผลิต ในขณะเดียวกันการผลิตระดับอุตสาหกรรมก็ได้ประโยชน์ไม่ต้องจ้างงานเข้าโรงงาน17
ส่วนเครือข่ายการผลิตและบริโภคระดับจังหวัดผมใช้งานวิจัย Input-Output Table ระดับจังหวัด
มาช้ีเป้างานวิจัยกลุ่มนี้ ประเด็นสุดท้ายคือการพัฒนาคนผ่านระบบการศึกษา ในพื้นที่ 5 จังหวัด
มีมหาวทิ ยาลยั 7 แห่ง (มรภ.สงขลา ม.สงขลานครินทร์ ม.ทกั ษิณ ม.วลยั ลักษณ์ ม.ราชมงคลศรีวชิ ัย
และ ม.หาดใหญ)่ ควรชว่ ยการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน โดยงานหลกั คอื “ยวุ วจิ ยั เศรษฐกจิ ชมุ ชน” ใหน้ กั เรยี น
รูจ้ ักเศรษฐกจิ ฐานทรพั ยากรในพืน้ ท่ตี นเอง

16 ขณะนน้ั ยังไม่มชี อ่ื เพาะพันธ์ปุ ัญญา ปฏทิ นิ งานจึงลงวา่ “กสิกร”
17 เช่นชาวสวนยางน่าจะท�ำน้�ำยางข้นแทนการขายน�้ำยางดิบ การขนส่งจะลดลง ของเสียจะไม่ไปกระจุกที่โรงงานน�้ำยางข้น
แต่อินทรีย์สารจะกระจายกลับคืนสวนยาง เทคโนโลยีการผลิตน�้ำยางข้นระดับชาวบ้านพัฒนาโดยคณะวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ม.สงขลานครนิ ทร์ ปตั ตานี หรือการผลิตช้นิ ส่วนยางส�ำหรบั อตุ สาหกรรมเฟอรน์ เิ จอร์โดยชมุ ชนก็อย่ใู นแนวคดิ นี้

สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 33

งาน ABC มีอายุยาวกว่างานยุววิจัยยางพารา ยุววิจัยเศรษฐกิจชุมชนจึงเป็น show case
ให้ทีมงานธนาคารกสิกรรู้จักการศึกษาที่นักเรียนเป็นนักวิจัย นับว่าเป็นโชคท่ีเศรษฐกิจชุมชนเป็น
เรื่องทธ่ี นาคารเขา้ ใจง่ายกว่างานยวุ วจิ ัยยางพารา
15 พฤษภาคม 2555 จึงเป็นปฐมฤกษ์ท่ีทีมกสิกร (น�ำโดย ดร.อดิศวร์ หลายชูไทย) ลงไปดู
นักเรียนยุววิจัยเศรษฐกิจชุมชนน�ำเสนอผลการศึกษาเศรษฐกิจในชุมชนใกล้โรงเรียน ผมจ�ำเรื่องราว
ที่น่าประทบั ใจไดเ้ ก่ยี วกับการทำ� วิจยั น้ำ� ผึ้งในพรคุ วนเคร็งที่เดก็ เข้าใจผ้งึ ในปา่ พรุ รูว้ า่ น้�ำผึ้งมาจากไหน
วธิ ใี หผ้ ง้ึ ทำ� รงั ชมุ ชนกำ� หนดกตกิ าการเปน็ เจา้ ของกนั อยา่ งไร นอกจากนนั้ เราไดท้ ราบเรอื่ งราวเศรษฐกจิ
เกี่ยวกับเทศกาลแข่งนกกรงหวั จกุ การเล้ียงววั ชน ความโดดเดน่ ไมไ่ ดม้ ีเพียงกรอบคดิ ยวุ วจิ ยั เศรษฐกจิ
ชมุ ชนเท่านัน้ แตม่ ันคือการได้เห็นการเปลย่ี นแปลงของนกั เรยี นทีอ่ ธบิ ายความรูท้ ่เี กิดจาก “ร้จู รงิ จาก
การปฏบิ ตั เิ อง” จึงเป็นเหตใุ หเ้ กิดผลของวนั ท่ี 23 กรกฎาคมที่ลงบนั ทึกวา่ “เสนอ proposal กสิกร”
สัญญาท�ำงานเร่ิม 1 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันเรียกประชุมพี่เล้ียงจาก 8 มหาวิทยาลัย เป็นครั้ง
แรกที่ผมมีโอกาสเห็นหน้าคนที่ผมจะโค้ชให้เป็นพ่ีเลี้ยงเพื่อโค้ชครูให้ไปโค้ชนักเรียนอีกทอดหน่ึง
ใบหน้าทกุ คน innocence กับโครงงานฐานวจิ ัยแบบยุววจิ ยั 18 ยกเวน้ บางคนทเี่ คยร่วมงานกบั ยวุ วจิ ัย
มาก่อน เช่น อ.ไพโรจน์ คีรีรัตน์ (ม.สงขลานครินทร์) และ อ.บัณฑิต อินณวงศ์ ม.ศิลปากร
(เคยรว่ มงานครุวจิ ัย) ผมกับ อ. ไพโรจน์มีเวลา 6 เดอื นทีต่ อ้ งชว่ ยกนั พัฒนาทักษะอาจารยม์ หาวิทยาลยั
สาขาตา่ ง ๆ การประชุมวนั ท่ี 1 สงิ หาคม ทำ� ให้ทุกคนรู้เพียงวา่ เปน็ โครงการการศกึ ษา แต่ไมท่ ราบว่า
ทำ� อยา่ งไร สรปุ การประชมุ วา่ เราจะเรยี นรไู้ ปดว้ ยกนั จาก workshop ทกี่ ำ� หนดไว้ 3 วนั ตน้ เดอื นกนั ยายน
7-9 กันยายน 2555 ตารางงานเขียนว่า “workshop งานกสิกร” เป็นวันที่ปฏิทินการศึกษา
ถูกฉีกเข้าสู่วันใหม่ ที่อาจารย์มหาวิทยาลัย 30 กว่าชีวิตเรียนรู้เกี่ยวกับการศึกษาและ RBL
(Research-Based Learning) ตามแบบฉบบั เพาะพนั ธป์ุ ญั ญา workshop จดั ทโี่ รงแรม Vic 3 สนามเปา้
โชคดีทขี่ ณะเขยี นเรือ่ งนี้ (กันยายน 2562) Facebook ของ ดร.น�้ำคา้ ง (ม.มหิดล) ขน้ึ เตอื นเหตุการณ์
อดีตใหท้ ราบ และ ดร.น�้ำคา้ ง แชรป์ ระสบการณ์น้ีใน Facebook อกี ครัง้ ดว้ ยข้อความวา่ “8 กนั ยายน
2012 เปน็ วนั แรก.. ของการกา้ วเทา้ เขา้ สโู่ ครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาในฐานะพเ่ี ลย้ี งเตม็ ตวั ยงั จำ� ไมเ่ คยลมื
workshop แรก 3 วนั เกย่ี วกบั Systems Thinking ที่เลน่ เอามนึ กลับบ้าน ทง้ั ๆ ที่คิดว่าตนเองใช้หลัก
เหตุ-ผลมาตลอด วันน้ันเพิ่งเข้าใจว่า เมื่อความรู้ที่มีไม่เพียงพอหลายครั้งเรากลับใช้เหตุผล (reason)
ไมใ่ ช่ เหตุ-ผล (cause-effect)”

18 สกว. เป็นคนหาทีมพ่ีเล้ียงให้ผม คัดมาจากโครงการที่ สกว. ฝ่ายชุมชนและสังคม (ดร.สีลาภรณ์ เป็น ผอ. ฝ่าย)
เคยสนับสนุนเก่ียวกับการศึกษา เช่น โครงการ LLEN (Local Learning Enrichment Network) และ TC (Teacher
Coaching)

34 จากรากแก้วสผู่ ลของต้นเพาะพนั ธปุ์ ัญญา

ราว ๆ มีนาคม 2556 พี่เล้ียงได้รับแรงบันดาลใจจากการได้สัมผัสนักเรียนยุววิจัยยางพารา
รุ่นสุดท้ายในงานปิดที่โรงแรมรัชดาซิต้ี จากน้ันอีก 2 เดือนถัดมา... เราเร่ิมงานท่ีไม่รู้แน่ชัดกันกับ
นักเรยี นเพาะพนั ธุป์ ญั ญาร่นุ 1 ปกี ารศกึ ษา 2556 ...
และแล้วการย่างเท้าเข้าสู่ “เมฆหมอกของความไม่รู้” และเร่ืองราวของเพาะพันธุ์ปัญญา
กเ็ รม่ิ ขน้ึ แบบเทพนทิ าน... “กาลครัง้ หนง่ึ นานมาแลว้ ....”

2บทที่

รากแกว้

36 จากรากแกว้ ส่ผู ลของต้นเพาะพันธปุ์ ญั ญา

รากแก้ว

บทนำ�

เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาเปน็ ไมย้ นื ตน้ จงึ มรี ากแกว้ หมายถงึ มแี กน่ ความรแู้ ละกระบวนการเปน็ ของตนเอง
การเขา้ ใจเพาะพันธป์ุ ัญญาจึงเรมิ่ จากการเข้าใจแกน่ แทท้ ี่เปน็ รากแกว้ ของตน้ เพาะพันธุป์ ัญญา
โครงการเพาะพันธุ์ปัญญาพัฒนาครูและพี่เลี้ยงด้วยรากแก้วในช่ือ RBL ด้วยระยะเวลา 7 ปี
ของการท�ำงานเราจึงมีรากแขนงจ�ำนวนมากท่ีเช่ือมต่อรากแก้ว รากแขนงท�ำหน้าที่ทั้งเป็นจุดเชื่อมต่อ
ระหวา่ งรากแกว้ กบั รากฝอย และคำ้� ยนั ตน้ เพาะพนั ธป์ุ ญั ญา เพอ่ื ใหอ้ งคาพยพทงั้ มวลยนื หยดั ในหลกั การ
ของรากแก้ว
บทนส้ี งั เคราะหก์ ระบวนการรากแกว้ และการเชอ่ื มตอ่ กบั รากแขนงของเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาออกมา
เป็นสาระส้ัน ๆ โดยไม่มีค�ำอธิบายละเอียดบอกที่มาที่ไปหรือเบื้องหลังของข้อสรุปที่สังเคราะห์ได้
ข้อเขียนในบทนี้จึงเหมาะส�ำหรับผู้ท่ีคุ้นเคยกับเพาะพันธุ์ปัญญาอ่านเพื่อเตือนความจ�ำ หรือไว้ย้�ำ
ความเขา้ ใจเมอ่ื ตอ้ งการขยายตน้ เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาโดยไมก่ ลายพนั ธ์ุ โดยควรทบทวนเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา
จากภาพด้วยตนเองก่อน จากน้ันจึงอ่านข้อความที่เขียน ส�ำหรับผู้อ่านท่ัวไป... ส่ิงที่เข้าใจยาก
สามารถเปลย่ี นเปน็ งา่ ยไดเ้ มอ่ื ศกึ ษาเรอ่ื งราวของเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาไดจ้ ากหนงั สอื 39 เลม่ ทเี่ ผยแพรแ่ ลว้
(www.พพปญ.net)

สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 37

อุปสรรคมิอาจกั้น แมฉ้ ากช้ันแกร่งดงั ผา

หอ่ หุม้ ตามเวลา สธู่ าราหากนิ เอง

ทักษะของชวี ติ ช่างนา่ คิดดัง่ บทเพลง

ท�ำนองที่คร้นื เครง เม่ือบรรเลงอาจบรรลยั

ต้องสร้างภมู คิ มุ้ กัน เปน็ แสงจันทรอ์ ยใู่ นใจ

ความมดื ในหทยั ฉันมีไฟจากดวงจันทร์

ทกั ษะของการคิด จะพาจิตอยคู่ งม่ัน

อุปสรรคไวฝ้ า่ ฟนั เพราะตวั ฉนั ฝันจะเป็น

ตวั ฉนั เปน็ ไมใ้ หญ ่ ทีใ่ ครๆ กม็ องเห็น

ยนื หยัดให้ร่มเยน็ แมแ้ สนเขญ็ กไ็ ม่ตาย

รากฉันเปน็ รากแกว้ ฉะไหนแล้วจะกลบั กลาย

ฉะไหนฤๅจะดับหาย ไม่สลายเพยี งสายลม

กาพยย์ านี 11
สธุ ีระ ประเสริฐสรรพ์
จากงานพฒั นาพเ่ี ลี้ยงดว้ ยกระบวนการจติ ตปญั ญาศกึ ษาด้วยสุทรยี ในพรรณพฤกษา
สวนทวชี ลรสี อร์ต เชียงใหม่
12-13 มถิ นุ ายน 2558

38 จากรากแกว้ สู่ผลของต้นเพาะพนั ธุ์ปญั ญา

เปา้ หมายการศกึ ษา

คณะกรรมการอสิ ระเพอ่ื การปฏริ ปู การศกึ ษา (กอปศ.) ไดท้ ำ� วจิ ยั จากหลกั 7 ประการ ไดแ้ ก่ นโยบาย
และความต้องการระดบั ชาติ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ศาสตร์พระราชา พระราโชบาย/พระราชด�ำริ
เอกลกั ษณ์ความเปน็ ไทย พฒั นาการตามวยั และความแตกต่างของผู้เรยี น และมาตรฐานสากล ได้เป็น
สมรรถนะ 10 ประการส�ำหรับการปฏริ ูปการศกึ ษาไทย ประกอบดว้ ย
กลุ่มท่ี 1 คนไทยฉลาดรู้ (Literate Thais) จำ� นวน 4 สมรรถนะ ได้แก่ ทักษะภาษาไทยเพอื่
การสอ่ื สาร ทกั ษะคณติ ศาสตรใ์ นชวี ติ ประจำ� วนั ทกั ษะการสบื สอบทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละจติ วทิ ยาศาสตร์
และทกั ษะภาษาอังกฤษเพ่อื การสอ่ื สาร
กลุ่มที่ 2 คนไทยอยู่ดีมีสุข (Happy Thais) จ�ำนวน 2 สมรรถนะ ได้แก่ ทักษะชีวิตและ
ความเจริญแห่งตน และทกั ษะอาชพี และการเปน็ ผู้ประกอบการ

คน(LไitทerยateฉTลhaาisด) รŒู

นปจ˜ จบ� นั (Current Issues) การสบื สอบ บรบ� ท (Conte xt)

คณิตสาสตร ทางวท� ยาศาสตร
ในชวี ต� ประจำวนั (Scientific Inqulry &

Scientific Mind)
ภาษาอังกฤษ
เพ่�อการสอ่ื สาร
(English for

Communication)
ประเ ็ดนสำ ัคญใ (Mathematics
In Everday Life)
Sคubjนe(ไctHa/ทpDpiยysciอTphliย‹ูainseดี)Aมrีeaสุs)ขภาษาไทย
เพ่อ� การส่อื สาร
(Thai Language for
Communication)

พ พลเมอื งต่นื รูŒ สมรรถนะหลกั ทกั ษะชวีิ ต� และ
และมสี ำนกึ สากล ของผŒูเร�ยน ความเจรญ� แหง‹ ตน
ประสบการณ / กิจกรรม (Experi (Active Citizen with (Life Skill and
Global Mindedness) (Student Core Personal Growth)
ลเมืองไท(Active ยThaiใส‹ใจสังคมCitizens) Competecies)

การทำงานแบบรวมพลัง ทักษะอาชพี และ
เปšนทีมและมภี าวะผŒนู ำ การเปนš ผŒูประกอบการ
(Collabolation (Career Skills and
Teamwork and การรเŒู ท‹าทนั ทักษะ Entrepreneurship)
Leadership) สอ่ื สารสนเทศ การคดิ ข้นั สงู
และดจิ �ทัล และนวตั กรรม
(Media, Information (Higher-Order
ences and Digital Literacy: Thinking Skill and ว�ชาสาขา (

/ Activities)MIDL) Innovations) /

สาระ

คนไทยสามารถสูง
(Smart Thais)

สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ 39

กล่มุ ท่ี 3 คนไทยสามารถสงู (Smart Thais) จ�ำนวน 2 สมรรถนะ ได้แก่ ทักษะการคิดขั้นสูง
และนวตั กรรม และทักษะการรเู้ ทา่ ทนั ส่ือ สารสนเทศ และดิจทิ ลั
กลุ่มท่ี 4 พลเมอื งไทยใสใ่ จสังคม (Active Thai Citizens) จำ� นวน 2 สมรรถนะ ได้แก่ ทกั ษะ
การท�ำงานแบบรวมพลังเป็นทีมและมีภาวะผนู้ �ำ และทักษะพลเมอื งตื่นรูท้ ่มี ีส�ำนึกสากล
สมรรถนะสว่ นมากไมไ่ ดอ้ งิ สาระวชิ า (content-free competency) สมรรถนะเหลา่ นพี้ สิ จู นว์ า่
สำ� เรจ็ ไดจ้ ากการเรยี นจากการทำ� โครงงานฐานวจิ ยั เพาะพนั ธป์ุ ญั ญา หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษม์ อี ยทู่ ค่ี รแู ละ
นักเรยี นในโครงการ

Attitude Feel

Performance Competence Skills Do

Education Learning Knowledge Think
Outcome outcome Affective Feel
Learning Psychomotor Do
Cognitive Think

ผลลัพธ์การศึกษาต้องสัมฤทธิผลท้ังการเรียน (learning) และการกระท�ำกิจ (performance)
ผลลัพธ์การเรียนรู้ (learning outcome) ประกอบดว้ ย 3 โดเมน คอื ปัญญาคิดคลอ่ ง (cognitive)
ความคล่องแคล่วทางกาย (psychomotor) และจิตใจดีงาม (affective) การกระท�ำกิจให้ส�ำเร็จผล
เกิดจากสมรรถนะ (competency) ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความสามารถของบุคคลในการ
น�ำความรู้ (knowledge) ทกั ษะ (skills) และคุณลกั ษณะ/เจตคติเฉพาะของตน (attribute/attitude)
มาประยกุ ต์ใช้ในงานหรือในสถานการณต์ า่ ง ๆ ได้จนประสบความส�ำเรจ็ สมรรถนะจงึ เป็นผลรวมของ
ความรู้ (K) ทักษะ (S) คุณลักษณะหรือเจตคติ (A) ที่ท�ำให้บุคคลประสบความส�ำเร็จในการท�ำงาน
การแกป้ ัญหา และการดำ� รงชีวติ

40 จากรากแกว้ ส่ผู ลของต้นเพาะพนั ธ์ุปัญญา

การทบี่ คุ คลทำ� งานไดส้ ำ� เรจ็ ตอ้ งอาศยั “สมบตั ิ 4” คอื “คน” “การกระทำ� ” “กาละ” “เทศะ”
คอื มผี ้กู ระทำ� มกี ารกระท�ำทีถ่ ูกวธิ ี กระท�ำในเวลาและสถานท่ีท่ีเหมาะแก่การกระท�ำนน้ั
ในดา้ นการกระทำ� (perform) นน้ั ตอ้ งอาศยั สมรรถนะ ไดแ้ ก่ มที กั ษะทำ� มคี วามรแู้ ละนำ� ความรู้
มาหนุนการกระท�ำตามสถานการณ์ได้ มีเจตคติ แรงจูงใจ และคุณลักษณะที่ส่งเสริมพฤติกรรม
ให้การกระท�ำน้ันบรรลุผล เจตคติที่ส่งเสริมการกระท�ำ คือ ฉันทะ ธรรมข้อแรกของอิทธิบาท 4
(ธรรมะของการกระท�ำไปส่คู วามสำ� เร็จของงาน)
ในหลวงรัชกาลท่ี 9 มีพระราชด�ำรัสแก่บัณฑิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเม่ือวันที่
22 มิถนุ ายน 2524 ทีอ่ ัญเชญิ มากอ่ นเริ่มบทที่ 1 คือ ใช้ทักษะ (S) กระท�ำกจิ ให้ส�ำเรจ็ ด้วยความรูท้ ่ี
ครบถ้วนทกุ แงท่ ุกมมุ (K) และจิตใจท่ีต้งั มัน่ เป็นปกติ และเทยี่ งตรง เป็นกลาง (A) เป็นอัจฉริยะภาพ
ของพระองค์ทา่ นกอ่ นการปฏริ ูปการศกึ ษาด้วยหลักสูตรอิงสมรรถนะถึงเกือบ 4 ทศวรรษ
สมรรถนะเกิดขึ้นได้ เมื่อบุคคลมีโอกาสได้ฝึกใช้ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่ตนมีในการ
ท�ำงานแกป้ ญั หาในสถานการณ์ต่าง ๆ จนเกิดความชำ� นาญและความมัน่ ใจ การเรียนแบบท�ำโครงงาน
(PBL, RBL, STEM) จึงสร้างสมรรถนะได้หากครูเข้าใจกระบวนการโค้ชผู้เรียน เพาะพันธุ์ปัญญามี
เป้าหมายให้ครูมีสมรรถนะการเป็นโค้ชให้เกิดการเรียนรู้จากการท�ำโครงงานฐานวิจัยของนักเรียน
ครเู พาะพนั ธป์ุ ญั ญาจงึ ต้องมที ้ัง A จากจติ ตปัญญา S จากการการประชุมเชิงปฏบิ ตั กิ าร และ K จาก
การแลกเปล่ียนกนั เอง (PLC)

สุธรี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 41

Core competency (content-free) + Content specific competency

ความรูŒ (K) ทกั ษะ (S) เจตคติ (A)

หนุน ทำ ส‹งเสรม�

Reflection ประยกุ ตใชŒ (Application) PLC
เพราะอะไร/พัฒนาสมรรถนะ
งาน (Task) ในบรบ� ท
no
การลงมือทำ (Perform)

คิด รสŒู เู‹ รย� นรŒู ผลงาน ตวั ชีว้ ดั ความสำเร็จ
มีสมรรถนะ certify ตามประสงค
ป˜ญญาและเจตคติ
yes

สมรรถนะประกอบด้วยสมรรถนะหลัก (core competency) คือความสามารถท่ีไม่เกี่ยวกับ
สาระวิชา เช่น ความสามารถคิดข้ันสูง จิตวิทยาศาสตร์ พลเมืองต่ืนรู้ เป็นต้น และสมรรถนะเฉพาะ
(content-specific competency) ซึง่ เปน็ ความสามารถใชป้ ระโยชนจ์ ากสาระวิชาในการท�ำงาน เช่น
ใชภ้ าษาในการสอื่ สาร ใชค้ ณติ ศาสตรใ์ นชวี ติ ประจ�ำวนั การเรยี นสาระถกู กำ� หนดใหเ้ รยี นเพอ่ื ใชง้ านเปน็
ใช้ภาษาเพื่อการส่ือสาร ไม่ใช่เพ่ือจ�ำไปสอบ เรียนคณิตศาสตร์เพ่ือสร้างสมการจากปรากฏการณ์
ไม่ใช่ให้คนอืน่ สรา้ งสมการท่ีไม่มบี ริบทมาให้เราแก้
สมรรถนะหลกั พฒั นาผา่ นการปฏบิ ตั แิ ละสะทอ้ นคดิ จนเกดิ transformation สว่ นสมรรถนะ
เฉพาะเกิดจากความรู้ความเข้าใจเน้ือหาท่ีเรียนจนสามารถประยุกต์ได้ (Bloom’s cognitive
domain ขั้นท่ี 1-3) สมรรถนะหลักเป็นความต้องการเพ่ือเกิดสังคมท่ีดี และสมรรถนะเฉพาะ
ใช้เพ่อื ประโยชนแ์ ห่งตน
สมรรถนะท้ัง 3 มิติ (ASK) จะร่วมกันท�ำงาน หนุน ส่งเสริมจนเกิดเป็นผลของการกระท�ำ
ท่ีน�ำไปเทียบกับความส�ำเร็จท่ีพึงประสงค์ การจัดการศึกษาต้องเข้าใจการประเมินสมรรถนะตาม
ตัวช้ีวัด และหากไม่สัมฤทธ์ิผล ครูต้องใช้กระบวนการ PLC เป็นวงจรพัฒนาสมรรถนะตนเอง...
เป้าหมายเพอื่ สมรรถนะของศษิ ย์
เพาะพันธุ์ปัญญาเน้นการพัฒนาสมรรถนะหลักด้วยกระบวนการคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์และ
ท�ำโจทย์ที่เป็นประโยชน์สาธารณะ และกระบวนการท�ำงานจะท�ำใหผ้ เู้ รียนเกดิ สมรรถนะเฉพาะไดเ้ อง

42 จากรากแก้วสูผ่ ลของตน้ เพาะพันธปุ์ ญั ญา

A สะทอŒ นคดิ คือเร�ยน (สราŒ ง A)

K การกระทำ

เขย� นคือคิด (สรŒาง K)

KA

ความรŒู หนนุ คุณธรรม สง‹ เสร�ม

อักษร S ท่ีหน้าอกของซปุ เปอร์แมนบ่งบอกว่าเป็นผู้กระท�ำ การท�ำงานของซุปเปอร์แมนต้องใช้
พละกำ� ลงั และเจตนาดตี ่อชาวโลก การทำ� งานที่เปน็ การเรยี นร้เู ราใชท้ ักษะ (S) ท�ำ แต่ต้องมคี วามรทู้ ่ี
ถกู ตอ้ ง (K) หนนุ และเจตคติทด่ี ี (A) ส่งเสริมการกระทำ� ท้งั ความรู้และเจตคติที่ดอี าจจะเทียบได้กบั
“ความรแู้ ละคณุ ธรรม” ทเ่ี ป็นเงอ่ื นไขของปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งได้เชน่ กัน
ทส่ี �ำคัญควรเอาใจใส่ คือ การ “เรยี นรู้” ต่อจากการกระทำ� ไดแ้ ก่การเกิดเจตคติ (A) จาก
กระบวนการสะทอ้ นคดิ ใหเ้ กดิ transformation (“สะทอ้ นคดิ คอื เรยี น”) และการสรา้ งความรู้ (K)
เองจากการเขียนงานวิชาการ (journaling) จากผลการท�ำโครงงานฐานวิจัย (“เขียนคือคิด”)
โดยใชค้ วามคดิ ใหถ้ งึ คดิ วพิ ากษเ์ ชงิ วชิ าการเพอื่ สรปุ เปน็ “ความจรงิ ” เขยี นทส่ี ะทอ้ นคดิ ทบทวนตนเอง
เพอื่ บม่ เพาะความคดิ มีวจิ ารญาณใน “ความถกู ตอ้ ง”
เพาะพันธุ์ปัญญาจึงมีคาถาส�ำหรับนักเรียนและครูว่า “สะท้อนคิดคือเรียน เขียนคือคิด” และ
critical thinking เปน็ การรวมกนั ของ “ความจรงิ ” และ “ความถกู ตอ้ ง” ยกระดบั เปน็ “คดิ ประเสรฐิ ”

สุธีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 43

A สะทอŒ นคดิ คือเร�ยน (สรŒาง A)

K การกระทำ

เขย� นคือคิด (สรŒาง K)

ทำงานบนฐานความรูŒเดมิ แลวŒ เร�ยนรสูŒ รŒาง K และ A A สะทอŒ นคิดคอื เรย� น (สรŒาง A)

K การกระทำ

เข�ยนคอื คิด (สรŒาง K)

KA

ความรูŒ หนนุ คุณธรรม สง‹ เสร�ม

ทำงานบนฐานความรŒเู ดิมแลŒวเรย� นรสูŒ รŒาง K และ A

การเรยี นรู้เกิดจากการทำ� ซำ้� ๆ เพ่มิ ความยากและความซับซ้อนในวงจรท�ำซ้�ำ ทกุ ครง้ั ทที่ �ำงาน
นกั เรยี นจะเกดิ K และ A ใหมเ่ ปน็ ของตนเอง การทำ� โครงงานครง้ั ตอ่ ไปใหเ้ ขาเอา K และ A ใหมม่ าหนนุ
และสง่ เสริมการกระทำ� (S) เกิดเปน็ เกลยี ว (spiral) ของ ASK ทีย่ กระดบั ขนึ้ ไป ในระหวา่ งนีน้ ักเรยี นได้
ผลลพั ธก์ ารเรยี นรคู้ รบทง้ั พทุ ธพิ สิ ยั จติ พสิ ยั และทกั ษะพสิ ยั เปน็ ความสำ� เรจ็ รวมของผลลพั ธก์ ารศกึ ษา
(education outcome)
การเรียนรู้แบบเพาะพันธุ์ปัญญาจึงท�ำต่อเนื่อง 2-3 ปี เม่ือนั้นครูจะเช่ียวชาญ (master)
การโค้ชให้นักเรียนท�ำโครงงานฐานวิจัย และนักเรียนได้ผลลัพธ์การศึกษาครบทั้ง 3 โดเมน และมี
สมรรถนะการทำ� งานให้ไดผ้ ลสำ� เรจ็ เปน็ ผู้ไดร้ บั การศกึ ษาจนเกิดอภปิ ัญญา (metacognition) 19

19 “อภิปัญญา” หรอื “การรคู้ ดิ ” เป็นปัญญาเหนือการจำ� เป็นกระบวนการคิดของคนคนหนึ่งทีเ่ ปน็ เหตเุ ป็นผล เป็นการรู้จักคิด
วิเคราะห์ จัดระบบคิดของตนเอง สามารถเสาะหาข้อมูลเพื่อน�ำมาประมวลประกอบการตัดสินใจ หรือมีจินตนาการวางแผน
การงานได้ด้วยตนเอง อภิปัญญาเกิดกับคนท่ีหม่ันพิจารณาไตร่ตรองถึงเหตุผลเร่ืองราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่รอบตัว คนที่มี
อภปิ ัญญาจะไมห่ ลงเช่ืออะไรที่ไมม่ เี หตุมีผล ไม่ถกู ตรรกะ

44 จากรากแกว้ สูผ่ ลของตน้ เพาะพันธป์ุ ัญญา

ทฤษฎี 10 นักเร�ยนเร�ยน 70:20:10
Collaborative Learning 20
ใหŒมปี ระสบการณจ ากการทำงาน
ปฏบิ ัต+ิ สะทŒอนคิด 70 กลม‹ุ ทสี่ ัมพันธก บั ชมุ ชน
ฝƒกอบรม คูปอง 10 (social/service Learing)
PLC แลกเปลยี่ นเร�ยนรูŒ 20 แลวŒ เอามาสะทŒอนคดิ ไดŒ 90
เรย� นจากการปฏบิ ัติงานของตน 70
สมรรถนะเรม� จากการทำงาน
Student engagement แลวŒ ตอ‹ ดวŒ ยเรย� นรูŒ

ครูพัฒนา 70:20:10

ทำงานหนาŒ ท่คี รู และKM/PLC ไดŒ 90

ว�จารณ พานิช “การพฒั นาคุณภาพโรงเร�ยนสก‹ู ารเรย� นรูขŒ องผูเŒ รย� น”

มนุษย์เรียนรู้จากผัสสะ (การกระทบกันของส่ิงภายนอกกับประสาทรับรู้ของเรา) ต้ังแต่อดีต
ความรู้เกิดจากประสบการณ์ทั้งส้ิน จนกระท่ังเกิดระบบการศึกษาที่ใช้วิธีถ่ายทอดความรู้จาก
ครูสู่นักเรียนจึงท�ำให้รูปแบบการศึกษาเปลี่ยนไป การฟัง (บรรยาย) เป็นการ “ได้รู้” ท่ีต่�ำสุดและ
ถกู หลอกงา่ ย รเู้ พราะคนอน่ื บอก การเหน็ กอ็ าจไมใ่ ชค่ วามจรงิ สงิ่ ทเ่ี หน็ หลอกเราได้ เหน็ ไมง้ อเมอื่ ปกั ใน
น้�ำแตเ่ มอื่ เอามอื ลบู ดจู ึงรวู้ า่ ตรง การหกั เหแสงหลอกตาเรา มนษุ ยเ์ ราพสิ จู น์ความจรงิ ดว้ ยกายสมั ผัส
มากกวา่ การฟงั หรอื เห็น การเรยี นท่เี กดิ ปัญญาจงึ ตอ้ งเอากายเขา้ ไปสมั ผสั คอื ลงมอื ทำ�
“เรยี น” ตา่ งจาก “เรยี นร”ู้ การศกึ ษาทจี่ ดั ใหเ้ รยี นโดยฟงั ครบู รรยายเพอื่ สอบความรทู้ ค่ี รปู อ้ นให้
ไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยที่มีเทคโนโลยีหาข้อมูลได้ดีกว่าครู (Google)20 การศึกษา
จึงหวนกลับไปสู่รูปแบบเดิมก่อนมีโรงเรียน คือ ผู้เรียนเรียนจากปฏิบัติ โดยมีครูเป็นโค้ชการสร้าง
การเรียนรู้

20 การรับความรู้แบบเดิมยังจ�ำเป็น เพราะเป็นทางลัดให้ผู้เรียนเข้าใจสาระวิชาท่ีบรรพบุรุษหาไว้ แต่นักเรียนควรเป็นผู้มีใจใฝ่รู้
และไดร้ บั การฝกึ ทักษะการคน้ หาความรู้เอง

สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 45

วชิ าทเ่ี ปดิ โอกาสนคี้ อื วชิ าโครงงาน การปฏบิ ตั โิ ครงงานเพอ่ื ประโยชนผ์ อู้ น่ื พรอ้ มกบั การสะทอ้ นคดิ
คือการเรียนรู้ถึงร้อยละ 70 การท�ำงานเป็นกลุ่มท่ีบูรณาการความรู้และทักษะได้สร้างสมรรถนะ
ทางสังคมและการท�ำงานได้ร้อยละ 20 โดยการเรียนความรู้ทฤษฎี/หลักการนั้นมีน�้ำหนักเพียง
ร้อยละ 10 เท่านั้น การเรียนเนื้อความรู้ไม่ใช่ช่องทางหลักของการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ นักเรียน
จ�ำเป็นต้องรทู้ ฤษฏี/หลักการ แตเ่ พ่อื เอามาหนนุ การเรยี นรจู้ ากปฏบิ ตั ิ
เมื่อครูไมใ่ ช่ผูบ้ อกความรู้ ครตู อ้ งพัฒนาตนเองจากการท�ำงาน (student engagement) และ
แลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างกัน (KM/PLC) มากกว่าไปอบรมจากผู้อ่ืน เพราะความรู้ของครูในการ
โค้ชนักเรียนให้เรียนรู้จากการท�ำโครงงานย่อมเป็นองค์ความรู้ของครูเอง ที่คนนอกไม่สามารถรู้ได้
ชัดแจง้ เทา่ ครู
ท�ำงานแล้วสะทอ้ นคดิ และแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ระหว่างกนั จงึ เป็นวิธีการของเพาะพันธุ์ปญั ญา

46 จากรากแก้วสูผ่ ลของตน้ เพาะพนั ธปุ์ ัญญา

ความคิดในการศกึ ษา

ป˜ญญาภายใน พัฒนาตนเอง
การศึกษาทหี่ ายไป การประยกุ ตใชปŒ ˜ญญา

เขาŒ ใจความจร�งของ วงจรพัฒนา
ธรรมชาติภายใน มนษุ ย

ความเขาŒ ใจ “ผลเกิดจากเหต”ุ รูŒ/จำรวมกับ
ประสบการณใหม‹

เขาŒ ใจความจร�งของ วงจรพฒั นา
ธรรมชาติภายนอก อารยธรรม

การศึกษาทเี่ ปšนอยู‹ การประยุกตใชŒป˜ญญา
ป˜ญญาภายนอก พฒั นาอารยธรรม

การศกึ ษาทใี่ ชห้ ลกั คดิ “ผลเกดิ จากเหต”ุ สรา้ งวงจรพฒั นาทงั้ ปญั ญาภายนอกและปญั ญาภายใน
ปญั ญาภายนอกคอื การรจู้ กั กฎธรรมชาตนิ อกตวั มนษุ ย์ ความรนู้ นี้ ำ� ไปสกู่ ารพฒั นาการ (development)
ของอารยธรรม ซึ่งทแี่ ทแ้ ลว้ คอื การเอาธรรมชาตมิ ารบั ใช้ความตอ้ งการ (กิเลส) ของมนุษย์ ท่ีแสดงออก
เป็นการขยายตัวของเศรษฐกิจในระบบทนุ นยิ ม การศกึ ษาในวงจรนีจ้ ึงปลูกฝังให้มนษุ ย์เปน็ เคร่ืองจักร
เศรษฐกจิ
การศึกษาท่แี ท้จรงิ คอื การพฒั นามนุษย์ เพ่อื ให้เกดิ สังคมอารยะของความเปน็ มนษุ ย์ ซ่ึงคอื
การศกึ ษาทพี่ ัฒนาปัญญาภายใน สว่ นนีเ้ ป็นการศึกษาทห่ี ายไป
ความวนุ่ วายไมส่ งบสขุ ของโลกเพราะการศกึ ษาเนน้ การวดั และประเมนิ ทม่ี งุ่ เปา้ หมายการจบออก
ไปเพอื่ แขง่ กันพชิ ติ ธรรมชาติให้เปน็ ผลทางเศรษฐกจิ เพยี งด้านเดยี ว
เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาเตมิ เตม็ การศกึ ษาโดยใชจ้ ติ ตปญั ญาศกึ ษาพฒั นาครใู หส้ รา้ งพน้ื ทป่ี ลอดภยั สรา้ ง
ความสมั พนั ธท์ ปี่ ระเทอื งตอ่ การเกดิ ปญั ญาภายในแกน่ กั เรยี น จติ ตปญั ญาศกึ ษาเปน็ ปจั จยั หนนุ การเรยี น
ในคาถา “สะทอ้ นคิดคอื เรียน” ท่สี ร้างการเปลีย่ นแปลงจากภายใน (transformative learning)

สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 47

คิดดŒวยอารมณ คิดแบบ Intellectual active
ทำใหปŒ รงุ แตง‹ คดิ ดŒวยเหตุ-ผล ทำใหŒเขŒาใจ

คิด

ไม‹ไดปŒ ญ˜ ญา ขŒอมลู ไดปŒ ญ˜ ญา
รูŒโลกภายใน รŒูโลกภายนอก

ไม‹ไดŒปญ˜ ญา ไดŒปญ˜ ญา

ไม‹ไดปŒ ญ˜ ญา ไดปŒ ญ˜ ญา
รูŒโลกภายนอก รูŒโลกภายใน

Intellectual ไมค‹ ิด ไมค‹ ิดแตม‹ ีสติ
passive
อย‹ูกับป˜จจบ� ัน

ปัญญาภายนอกเกดิ จากการคดิ วเิ คราะหเ์ ชื่อมโยง
“ประสบการณ”์ กับ “ความจริงและหลักการ”

แตป่ ญั ญาภายในเกดิ จากการมี “สต”ิ รู้และอยกู่ ับปจั จบุ ัน
ในทางกลับกนั ความคิดท่ขี าดสติทำ� ให้ปรงุ แตง่ ฟงุ้ ซ่าน

ไม่อาจทำ� ให้เกิดปัญญาภายในได้
และการไม่คิดเลยก็ยอ่ มจะไมเ่ กดิ ปัญญาภายนอก

48 จากรากแกว้ สู่ผลของต้นเพาะพันธ์ปุ ัญญา

จากหนงั สือ “ความสงบ” นมี้ สี องประการคอื “ความสงบอยา่ งหยาบ”
การฝึกสมาธเิ จริญภาวนา อยา่ งหน่งึ และ “ความสงบอย่างละเอยี ด” อกี อยา่ งหนึ่ง
โดย พระโพธิญาณเถร
(หลวงพอ่ ชา สุภัทโท) “อยา่ งหยาบ” น่ันคอื เกดิ จากสมาธิ ทเ่ี มอื่ สงบแล้ว
ก็มีความสุข แลว้ ถอื เอาความสุขเปน็ ความสงบ
อีกอยา่ งหน่ึงคือ “ความสงบทเ่ี กดิ จากปญั ญา”
นไ้ี มไ่ ด้ถอื เอาความสุขเปน็ ความสงบ
แตถ่ อื เอาจติ ท่รี จู้ กั พจิ ารณาสขุ ทกุ ข์เป็นความสงบ
ความสงบจงึ ไม่ใชค่ วามสุข

ฉะน้ันความสงบทเ่ี กดิ จากปัญญานั้นจงึ ไมใ่ ช่ความสุข
แตเ่ ป็นความสงบ เพราะว่าความสุขความทุกข์นีเ้ ป็นภพ เปน็ ชาติ

เปน็ อปุ าทาน จะไม่พ้นจากวฏั สงสาร เพราะติดสุขตดิ ทุกข์
ความสขุ จึงไม่ใช่ความสงบ ความสงบจงึ ไม่ใช่ความสขุ

ฉะนั้น “ความสงบทเ่ี กิดจากปัญญา” นัน้ จึงไมใ่ ช่ “ความสขุ ”
แตเ่ ปน็ “ความรู้เหน็ ตามความเป็นจริงของความสขุ ความทกุ ข์

แล้วไม่มอี ปุ าทานมนั่ หมายในสขุ ทกุ ข์ทีม่ ันเกดิ ขน้ึ มา
ทำ� จิตให้เหนอื สขุ เหนือทุกขน์ นั้ ” ทา่ นจึงเรียกวา่
เป็นเป้าหมายของพระพทุ ธศาสนาอยา่ งแท้จรงิ

การศกึ ษาท่ีเป็นอยพู่ ยายามให้ผ้เู รยี นคิดตามลำ� ดบั ของพุทธพิ สิ ัย (cognitive domain) หวงั ให้
เขา้ ใจโลกทป่ี รากฏในนามสาระวชิ าทเี่ รยี น หวงั ใหจ้ บการศกึ ษาออกไปพฒั นาใหเ้ กดิ ความเจรญิ แกส่ งั คม
และประเทศ แตก่ ารศกึ ษาเพอื่ จติ พสิ ยั (affective domain) กลบั ถกู ละเลย ไมเ่ นน้ หาตวั ชว้ี ดั ทแ่ี ทจ้ รงิ
ไมไ่ ด้ การศกึ ษาเพื่อพัฒนาตนเองจึงขาดหายไป.. พร้อมกับความสุขของทั้งครแู ละนกั เรียน
เพาะพันธุ์ปัญญาพัฒนาครูและนักเรียนให้ได้ท้ังปัญญาภายนอกและภายใน เราประเมินความ
สำ� เรจ็ ทกี่ ารเปลยี่ นแปลงของครแู ละนกั เรยี น เมอื่ จะพฒั นาปญั ญาภายนอกเราใชก้ ารทำ� งานและการตงั้
ค�ำถามของครูใหเ้ กดิ intellectual active process และพัฒนาปญั ญาภายในดว้ ยจิตตปัญญาศกึ ษา
และ self-reflection (สะทอ้ นคดิ คือเรยี น)


Click to View FlipBook Version