The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

E-book-40-จากรากแก้วสู่ผลของต้นเพาะพันธุ์ปัญญา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pimy_p77, 2020-08-09 22:15:03

E-book-40-จากรากแก้วสู่ผลของต้นเพาะพันธุ์ปัญญา

E-book-40-จากรากแก้วสู่ผลของต้นเพาะพันธุ์ปัญญา

สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 49

ขŒอมูล คดิ คิดแบบ Intellectual active เปšนพฤติกรรม เกิด “ฉลาดรŒ”ู
ขอŒ มลู คิด คิดดŒวยเหตุ-ผล ทำใหเŒ ขŒาใจ “คดิ รูŒ” (ภมู คิ ุŒมกันการใชŒชีวต� )

เปนš process
ไดปŒ ญ˜ ญารภูŒ าวะธรรมภายนอก

ขŒอมูล คดิ ไดŒปญ˜ ญา ”รŒคู ิด” ไดŒอภิปญ˜ ญา

ขŒอมลู

ไดปŒ ญ˜ ญารภูŒ าวะธรรมภายใน

ไมค‹ ิด
ไมค‹ ดิ แต‹มีสติอยก‹ู บั ปจ˜ จบ� ัน

ปัญญาภายนอกเกิดจาก “กระบวนการคิดจนรู้” จากข้อมูลจ�ำนวนมาก เมื่อรวมกับปัญญา
ภายใน จะกลายเป็นพฤตกิ รรม “รู้คดิ ” ซงึ่ เกดิ จาก “ฉลาดรู้ (literacy)” เราเรยี กวา่ เกิด “อภิปญั ญา”
(metacognition) เป็นภูมิค้มุ กันการใชช้ วี ติ
“อภิปญั ญา” หรือ “การรู้คิด” เป็นปัญญาเหนือการจำ� เป็นกระบวนการคิดของคน ๆ หน่ึง
ทเี่ ปน็ เหตเุ ปน็ ผล เปน็ การรจู้ กั คดิ วเิ คราะห์ จดั ระบบคดิ ของตนเอง สามารถเสาะหาขอ้ มลู เพอื่ นำ� มา
ประมวลประกอบการตัดสนิ ใจ หรอื มีจนิ ตนาการวางแผนการงานไดด้ ว้ ยตนเอง
ค�ำต�ำหนสิ �ำนวนไทย “ทำ� อะไรไมร่ ู้ (จกั ) คิด” บ่งบอกถึงวถิ ีการใชช้ วี ิตทปี่ ราศจากอภิปญั ญา อีก
นยั หน่งึ บ่งบอกวา่ คนเราควร “ฉลาดร”ู้ เพ่ือการกระท�ำทถ่ี ูกตอ้ งจากการ “ร้คู ดิ ”
อภปิ ัญญาจงึ เป็นเป้าหมายของการศกึ ษาจากการท�ำโครงงานฐานวจิ ัยของเพาะพนั ธ์ปุ ญั ญา ท่ีมี
บริบทสังคมและชวี ติ ประกอบ
เพาะพนั ธุ์ปัญญาสรา้ งอภิปัญญาแก่ผู้เรียนโดยใช้ RBL ให้ผเู้ รยี นรู้ตวั เอง (สติสัมปชญั ญะ) และ
พิจารณาไตร่ตรองถึงเหตุผลเร่ืองราวต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นอยู่รอบตัวอย่างละเอียด (โยนิโสมนสิการ) ผ่าน
การให้ผู้เรยี นวางแผนงาน และควบคุมก�ำกบั ตนเองในการท�ำงานวิจยั และการใหเ้ ขยี นอนทุ นิ สะทอ้ น
ความคดิ และประสบการณ์ต่าง ๆ (reflection)

50 จากรากแกว้ สผู่ ลของต้นเพาะพันธ์ปุ ญั ญา

สราŒ งป˜ญญาจากการพ่�งตนเอง
การศึกษา
คิดประเมินตดั สนิ ใจเพ่อ� ปฏบิ ัติ
ป˜ญญาจากการคิด ( �จนตมัยยป˜ญญา)
ค ูรส Œรางกระบวนการ Intellectual Active Learningคดิ สังเคราะหว�จัย
คดิ ว�เคราะห

เอาความรูŒไปใชŒ เรย� น

เขาŒ ใจความรูŒ คิด

รคูŒ วามรูŒ ฟง� ป˜ญญาจากการฟง� (สตุ มยปญ˜ ญา)
Passive learning

การศึกษาประกอบด้วย “เรยี น” และ “วจิ ยั ” สามขนั้ แรกเรยี นโดยรับความร้มู าท�ำความเขา้ ใจ
เพอ่ื เอาไปใชง้ านเมอ่ื จบการศกึ ษา คนจบการศกึ ษาทำ� งานไมไ่ ดเ้ พราะไมไ่ ดเ้ รยี นจากปฏบิ ตั ิ หรอื สอบได้
โดยไม่เข้าใจเน้ือความรู้ จึงไม่สามารถประยุกต์ความรู้มาใช้งานในสถานการณ์ใหม่ได้ สอบเพื่อให้ได้
คะแนนรบั รองว่า “รู้” ข้นั ท่ี 1 ยังไมเ่ พยี งพอในการเอาความรู้ไป “ใช้” ในขนั้ ที่ 3
เราไมส่ ามารถขึ้นตกึ ถงึ ชน้ั 3 โดยไม่ผา่ นบนั ไดชนั้ 2 ได้ฉันใด การเอาความรไู้ ปใชโ้ ดยไมม่ คี วาม
เข้าใจยอ่ มเปน็ ไปไมไ่ ด้ ฉนั น้ัน การเรยี นจึงต้องท�ำให้ถงึ จนิ ตมยั ยปญั า (ปัญญาจากการคดิ ) อย่างน้อยก็
ต้องคดิ จนเขา้ ใจความรจู้ ากความเปน็ เหตเุ ป็นผลทีเ่ กยี่ วโยงกัน
สามขั้นสุดท้ายเป็นทักษะการคิดข้ึนสูง (higher-order thinking skills) จากคิดวิเคราะห์สู่
สังเคราะห์และประเมนิ เพื่อตดั สินใจเอาไปปฏิบตั ิ เคร่ืองมอื ของ 3 ขั้นสดุ ท้ายคอื วจิ ัย เพราะผู้เรียน
ต้องบุกเข้าไปอยู่ในพื้นท่ีใหม่ ให้ได้ข้อมูลใหม่มาท�ำความเข้าใจความสัมพันธ์ (คิดวิเคราะห์) จน
สามารถสร้างความหมายใหมไ่ ด้ (คดิ สงั เคราะห)์ ปญั ญาจึงเกดิ เปน็ ของตนเอง
เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาจดั ใหเ้ กดิ กระบวนการนโี้ ดยสรา้ งบรรยากาศการเรยี นเชงิ รกุ ทางสตปิ ญั ญา ทคี่ รู
ใช้คาถาข้อ “ถามคือสอน” และนักเรียนลงมือท�ำโครงงานฐานวิจัยให้ได้ข้อมูลมาเข้ากระบวนการคิด
วเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะหจ์ ากสมองตนเอง แทนการไปถามความรผู้ อู้ น่ื แลว้ ใหส้ ถติ วิ เิ คราะหว์ า่ เชอ่ื มน่ั ได้

สุธีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 51

สงั เคราะหค วามหมายใหม‹ ซีกขวาจ�นตนาการ
ท่ีถกู ตอŒ ง ความหมายใหม‹จำนวนมาก

คดิ ตา‹ งในมุมใหม‹
ความหมายใหมจ‹ ำนวนมาก

บร�บทใหม‹ ขอŒ มูลมรี ะเบียบ จ�นตนการ

ประยุกตความรเูŒ ดิม มีตรรกะท่ถี ูก คดิ เหตุ-ผล วเ� คราะห
ซีกซาŒ ยใชกŒ รองความหมายใหม‹ เขาŒ ใจหลักว�ชา สมรรถนะคิด
จากสมอง
จำนวนมาก 2 ซกี

ความคดิ ขน้ั สูงจากการทำ� วิจยั ประกอบดว้ ยคิดวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และประเมนิ (เทียบไดก้ ับ
รู้ เข้าใจ เอาไปใช้ ของ 3 ขนั้ แรกท่ไี ด้จากการเรียน) คนเราตอ้ งประเมนิ สิง่ ทสี่ ังเคราะห์ไดเ้ พอื่ ตัดสนิ ใจ
(เอาความรทู้ ส่ี งั เคราะหไ์ ดไ้ ปใช)้ ขอ้ มลู ทกี่ ระจดั กระจายทำ� ใหค้ นงงและสบั สน... จนกระทงั่ เขาแยกแยะ
จัดหมวดหมู่ข้อมูล (วิเคราะห์แยกแยะ) แล้วเอาที่แยกแยะไปเชื่อมโยงกัน (วิเคราะห์เช่ือมโยง)
เม่ือผนวกกับหลักการบางอย่างจึงเกิดการสังเคราะห์ความรู้เป็นของตนเอง การสังเคราะห์จึงได้
ปัญญาสูงกวา่ การคิดวิเคราะห์ ปญั ญาจากการสังเคราะหป์ รากฏในชั่วขณะทค่ี นรอ้ ง “อ๋อ.. รู้แลว้ ”
ขณะคดิ วเิ คราะห์จะร้สู กึ งง สับสน ไมแ่ น่ใจ แต่เมอ่ื “อ๋อ... ร้แู ลว้ ” จะร้สู กึ โล่งเพราะความงง
สับสน ไม่แน่ใจหายไปจากการได้ปัญญา การศึกษาจากการท�ำโครงงานต้องให้นักเรียนไปถึง
การสงั เคราะห์ปญั ญาใหม่
กระบวนการได้ปัญญาเกิดจากการใช้สมอง 2 ซีกท�ำงานร่วมกัน ทั้งตรรกะและความเป็นเหตุ
เป็นผลและจินตนาการ สมองซีกซ้ายแยกแยะข้อมูลให้เป็นระเบียบง่ายต่อการเข้าใจ สมองซีกขวา
จินตนาการเห็นความหมายต่าง ๆ จ�ำนวนมาก แล้วส่งต่อให้สมองซีกซ้ายใช้หลักวิชาและความเข้าใจ
บรบิ ทกรองความหมายจำ� นวนมากให้เปน็ ความหมายท่ีถูกต้อง
สมองซกี ซา้ ยจงึ เหมอื นสติที่คุมให้จนิ ตนาการอยู่ในขอบเขตความถกู ตอ้ ง
เพาะพันธุ์ปัญญาพัฒนาครูและนักเรียนในการคิดวิเคราะห์และคิดสังเคราะห์หลังจากนักเรียน
ได้ข้อมูลจากการท�ำโครงงานแล้ว ผลการคิดจะเข้มข้นอีกครั้งถึง critical thinking เม่ือนักเรียน
น�ำเสนอด้วยโปสเตอร์ และ บทความวิชาการ (เขียนคือคิด) และการน�ำเสนอผลงานแบบถกเถียง
เพอื่ เขา้ ใจความจรงิ

52 จากรากแกว้ สผู่ ลของต้นเพาะพันธ์ุปัญญา

ตŒองการเอาชนะ ตอŒ งการความจร�ง คิดประเสร�ฐ ตอŒ งการความถูกตŒอง
(อัตตามจิ ฉาทิฐ)ิ (ตดั อตั ตาสมั มาทฐิ )ิ (สัมมาทฐิ ิ)
Critical
คิดว�พากษ Thinking คิดมวี �จารณญาณ
ปญ˜ ญาภายในฐานใจ
ปญ˜ ญาภายนอกฐานสมอง ใชคŒ วามรสูŒ กึ ความเขŒาใจ
ใชขŒ อŒ มลู เหต-ุ ผล ตรรกะ

การ ึศกษา ่ทีเต็มศักยภาพ ความตŒองการใชŒงาน คิดประเมนิ ตัดสนิ ใจเพ่อ� ปฏบิ ัติ

สาระว�ชา คดิ สงั เคราะห ว�จยั
คิดวเ� คราะห

เอาความรูŒไปใชŒ เรย� น
เขาŒ ใจความรŒู

รŒคู วามรŒู

เมอ่ื ผเู้ รยี นเอาผลทไ่ี ดจ้ ากความคดิ วเิ คราะหเ์ ชอื่ มโยงกบั ความรเู้ ดมิ (สาระวชิ า/ประสบการณท์ มี่ )ี
จะเกดิ การสงั เคราะหเ์ ปน็ ความรใู้ หม่ (เกดิ ปญั ญาใหมเ่ ปน็ ของตนเอง) และยกระดบั ไปสคู่ วามคดิ ประเมนิ
ตัดสินใจเมื่อต้องการเอาความรู้ใหม่ไปใช้งาน บางท่านถือว่าความคิดประเมินเป็น critical thinking
บางทา่ นเรียกอภิปัญญา เพาะพันธุ์ปัญญาเช่อื วา่ การศึกษาท่ีเต็มศักยภาพตอ้ งนำ� ไปสู่ “คดิ ประเสริฐ”
Critical thinking แบ่งออกเป็น “คิดวิพากษ์” และ “คิดมีวิจารณญาณ” คิดวิพากษ์หมายถึง
การใชฐ้ านคดิ (สมอง) โดยใช้ข้อมลู เหต-ุ ผลและตรรกะในการเอาชนะหรอื หาความจริง ในหลายกรณี
ความคดิ วพิ ากษถ์ กู ครอบง�ำด้วยอัตตาสรา้ งจติ ของการเป็น “นกั ตัดสิน” จึงมงุ่ เอาชนะผอู้ ื่น หากเปน็
จิตของ “นกั เรยี นรู้” การคิดวพิ ากษจ์ ะหา “ความจรงิ ” ดว้ ยการละอัตตา
Critical thinking ส่วนท่ีเป็นการคดิ มีวจิ ารณญาณเปน็ การใชป้ ัญญาฐานใจเต็มด้วยความเขา้ ใจ
ท่ีน�ำไปสู่ความต้องการความถูกต้อง (ถูกท�ำนองคลองธรรม) ความจริงจากการคิดวิพากษ์และ
ความถกู ตอ้ งจากคดิ มวี จิ ารณญาณจะรวมกนั เปน็ “คดิ ประเสรฐิ ”
กระบวนการที่น�ำไปถึงคิดประเสริฐสร้างการเรียนรู้ในทางกว้าง เกิดจากการใช้ความรู้ท่ีเรียน
ไปประยุกต์ใช้เพื่อความเจริญของผู้อื่น ดังน้ันโครงงานฐานวิจัยท่ีท�ำโจทย์แก้ปัญหาชุมชนจึงเป็น
การให้การศกึ ษาที่เตม็ ศักยภาพจากการเรียนทเ่ี อาการปฏิบตั ินำ� หน้า

สธุ ีระ ประเสริฐสรรพ์ 53

โครงงานฐานวิจยั เพื่อการเรียนรู้

หลักความเชอื่ ในการศกึ ษาแบบเพาะพนั ธปุ ญ˜ ญา

วจ� ยั เปšนกระบวนการพฒั นาปญ˜ ญา ว�จยั เปนš เครอ่� งมอื การศกึ ษา

ป˜ญญาจากการทำว�จัยเปšนป˜จจตั ตัง ว�จยั เปšนงานของนักเรย� น
(คนไหนทำคนนน้ั ได)Œ ว�จยั ใชŒกระบวนการ “ผลเกิดจากเหต”ุ

ปญ˜ ญา คอื ความเขาŒ ใจความเปนš จรง� ของธรรมชาติ

มนษุ ยเรย� นรูจŒ ากประสบการณ เร�ยนจากการทำงาน
การเร�ยนรูŒเกดิ ในพ้น� ทปี่ ลอดภัย โรงเรย� นอำนวยการเรย� นไม‹ใช‹อำนาจการสอน

Research-Based Learning (RBL) ที่เปน็ หลกั การจดั การศกึ ษาแบบท�ำโครงงานของเพาะพนั ธ์ุ
ปัญญาเกิดจากความเชื่อว่า การท�ำวิจัยคือห้วงเวลาที่ผู้น้ันหมกหมุ่นอยู่ในกระบวนการเรียนรู้เพ่ือ
พฒั นาปัญญา อีกทงั้ การไดป้ ัญญาจากการทำ� วจิ ัยเปน็ การร้เู ฉพาะตน (ผทู้ ำ� ) ดังนน้ั การท�ำวจิ ยั จงึ เปน็
กระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน เมื่อปัญญาเกิดจากการเข้าใจปรากฏการณ์ที่เป็นจริงของธรรมชาติ
และปรากฏการณ์ธรรมชาติอยู่ภายใต้กฎของเหตุและผล ดังน้ัน วิจัยจึงต้องเป็นกระบวนการภายใต้
หลักการ “ผลเกิดจากเหตุ” โดยนักเรียนใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากการท�ำงานในพื้นที่เป็นจริง
(authentic learning) ทั้งนค้ี รตู ้องเปลย่ี น mindset สร้างความสัมพนั ธ์ใหมก่ บั นกั เรยี น คือ ในฐานะ
โค้ชให้เรียนรู้จากปฏิบัติ เพ่ือให้โรงเรียนเป็นพ้ืนที่ปลอดภัย มีอิสระภาพท่ีจะคิดและเรียนรู้จาก
การท�ำงาน
การทำ� โครงงานจงึ ตา่ งจากการเรยี นสาระวชิ าปกติ ครตู อ้ งมองวจิ ยั ดว้ ยแวน่ (กระบวนทศั น)์ ใหม่
ครตู อ้ ง unlearn การสอนโครงงานแบบเกา่ และ relearn โครงงานฐานวจิ ยั แบบเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา
การเปล่ียน mindset เก่ียวกับการเรียนรู้ (learning) และวิจัยของครูจึงเป็นยุทธศาสตร์
การท�ำงานของเพาะพนั ธุป์ ัญญา

54 จากรากแกว้ ส่ผู ลของตน้ เพาะพนั ธปุ์ ญั ญา

เพาะพันธุปญ˜ ญา

Context-Based, Content-Integrated, Cause-Effect RBL
การว�เคราะห-สงั เคราะหต Œองเอาบรบ� ท
และสาระท่เี รย� นมาอธบิ ายไดŒ

Cause-Effect RBL

ท่ี สพฐ. ทำ ตŒองใชŒว�จยั จากหลักการ
“ผลเกิดจากเหต”ุ
Practice-oriented PBL

ตŒองมีว�ชาเร�ยนจากปฏิบัติ

การเรียนจากปฏิบัติท�ำให้มีประสบการณ์ ได้ทักษะการท�ำงานหรือการแก้ปัญหาเชิงปฏิบัติ
(psychomotor) แตเ่ พาะพนั ธป์ุ ญั ญาเชอื่ ในการหาความรทู้ เี่ ขา้ ใจความจรงิ ของธรรมชาติ ไมว่ า่ จะเปน็
ธรรมชาติวทิ ยาหรือสงั คมวทิ ยาวา่ ทกุ สง่ิ ยอ่ มเปน็ ผลของเหตุ สิ่งท่ปี ระสบคือผล หากตอ้ งการทราบว่า
ทำ� ไมปรากฏการณ์ (ผล) เปน็ เชน่ นนั้ ผเู้ รยี นตอ้ งสาวไปทเ่ี หตุ เปน็ กระบวนการคดิ ลดทอน (deductive
thinking) หากต้องการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงในอนาคตอันเป็นผลของเหตุปัจจุบัน ผู้เรียนต้อง
จินตนาการเพื่อประมวลเหตุทั้งหลายให้ท�ำนายผล ซ่ึงเป็นกระบวนการคิดแบบรวบยอด (inductive
thinking)
เมอื่ โครงงานมาจากเรอ่ื งราวของชมุ ชนทน่ี กั เรยี นอยู่ โครงงานนนั้ จะเสมอื นมชี วี ติ รว่ มกบั นกั เรยี น
การเข้าใจหลักเหตุและผล (cause and effect) ท�ำให้นักเรียนเอาสาระวิชาที่เรียนมาอธิบายเป็น
“เหตุผล (reason)” ประกอบความเปน็ เหตุเป็นผลได้ ท่ีส�ำคัญคอื กระบวนการคิดแบบ deductive
นอกจากสร้างจิตวิทยาศาสตร์แล้ว ในสาระสังคมยังท�ำให้นักเรียนเรียนรู้ปัจจุบันจากอดีต
(สังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ชุมชน) และกระบวนการคิดแบบ inductive ท�ำให้เขาคาดหวัง
อนาคต และวางแผนการสร้างเหตเุ สียต้ังแต่ปัจจุบนั
เพาะพันธุ์ปัญญาจึงท�ำให้การท�ำโครงงานเป็นการเรียนรู้ที่มีความจริงของชีวิต หรือ contex-
based, content-integrate, cause-effect RBL

สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์ 55

2 ประสบการณใหม‹ วิเคราะห บรู ณาการสาระอธบิ าย
ฐานวจ� ัย
โครงงาน 4 ความเขาŒ ใจ
1 ทำโครงงาน
5 สรปุ อยา‹ งมีตรรกะ คิดเชิงเหต-ุ ผล 3 ปญ˜ ญาเดิม
หวั ใจ าบ
สังเคราะห ปญหญมุานใเหกมลซียอวนปทญั ญ
6 ป˜ญญาใหม‹
7 เหน็ โจทยซับซŒอน

การทำ� โครงงานดง้ั เดมิ คอื การไดท้ ำ� โครงงาน (1) ทำ� ใหไ้ ดใ้ ชท้ กั ษะการทำ� (S) และมปี ระสบการณ์
เข้ามาทางผสั สะ (2) คือ ไดป้ ระสบการณใ์ หม่ ส่วนมากครูสอนใหน้ ักเรยี นเอาความคิด (idea) จากท่ี
เหน็ ผลงานคนอื่นเปน็ ต้นแบบท�ำโครงงาน เราจึงเห็นโครงงานเหมอื น ๆ กนั ไม่มบี ริบทของตนเอง ไม่มี
หลักการหรือเป้าหมายว่าท�ำเพื่อการเรียนรู้ (ท�ำเพื่อให้เสร็จ ๆ อันไหนดีก็ส่งประกวด) วิธีคิดแบบน้ี
เป็นสาเหตหุ นง่ึ ของปญั หาการสอนโครงงานสะเตม็
RBL คือ การ “เรียนรู้” ต่อจากการท�ำโครงงาน โดยดึงเอาปัญญา/ความรู้เดิมออกจากตัว
(3) มาใช้ความคิดเชิงเหตุและผลท�ำความเข้าใจประสบการณ์ (4) จนกระท่ังสามารถสรุปได้อย่างถูก
ตรรกะ (5) เพอื่ เกดิ เป็นปัญญาใหม่ (6) ไปซอ้ นทับยกระดับปัญญาท่ีมีอยเู่ ดิม (3) เปน็ การหมุนเกลียว
การเกิดปัญญา ปัญญาที่สงู ข้นึ น้ที �ำใหเ้ ห็นโจทยซ์ ับซ้อนขน้ึ (7) เพอื่ ท�ำโครงงานทใ่ี ช้ทกั ษะ (S) สูงขนึ้
หน้าท่คี รคู ือ โคช้ ใหผ้ ู้เรียนดงึ ปญั ญาทม่ี อี ยูอ่ อกมาสรา้ งปญั ญาใหม่ โดยมีความคดิ “ผลเกดิ จากเหต”ุ
เปน็ หลกั การสำ� คัญ
โครงงานฐานวจิ ัยของเพาะพันธ์ุปญั ญาตอ้ งมีสมมตุ ิฐานแบบวิทยาศาสตร์ คือ “ขอ้ สงสยั ใน
เหตุแห่งผล” (อย่างมีตรรกะ) การสอนต้องกระตุ้นความคิด ชักน�ำให้นักเรียนเกิดปัญญาเข้าถึง
สมมตุ ิฐานด้วยตนเอง โดยใหม้ ปี ระสบการณ์ “ผล” ทสี่ นใจ แลว้ ครูโค้ชทางความคิดดว้ ยคาถา “ถาม
คอื สอน” ไลถ่ ามไปท่ี “เหต”ุ ในระหวา่ งทางใหน้ กั เรยี นดงึ สาระวชิ ามาทำ� ความเขา้ ใจ จนความสมั พนั ธ์
ของเหตุและผลอม่ิ ตัวแลว้ ชกั น�ำรวบยอด (induce) จนร้อง “อ๋อ.. (ผล) มันนา่ จะเป็นเพราะเหตุน”้ี
จากน้ันชวนให้ออกแบบวิธีพิสูจน์ ซึ่งนักเรียนจะได้ problem solving skills และ creative
thinking แล้วเอาวิธีการที่คิดได้ท้ังหมดเข้ากระบวนการกลุ่มกล่ันกรองวิธีที่เหมาะสมที่สุดก็จะเกิด
critical thinking
เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาพยายามทำ� ลายกระบวนทศั น์ (paradigm) การทำ� วจิ ยั ทไี่ มค่ ดิ อะไรมากไปกวา่
การใชส้ ถติ เิ ปน็ เครอื่ งมอื หลกั ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการใชโ้ สตสมั ผสั ฟงั ผอู้ นื่ ใหผ้ เู้ รยี นมาใชก้ าย
สมั ผสั พสิ ูจนก์ ารมีอยู่จริงจากการคิด “ผลเกดิ จากเหตุ”

56 จากรากแกว้ สูผ่ ลของตน้ เพาะพนั ธป์ุ ัญญา B

C

RBL งาน Lab งานทดลอง

A

การทำ� โครงงานในโรงเรียนส่วนมากคือการทำ� จาก A ไป B เปน็ เสน้ ทางตรง ๆ เป็นโครงงานท่ีมี
วิธกี ารแนน่ อน ตกผลกึ เปน็ วิธีมาตรฐานทก่ี �ำหนดอุปกรณ์เครื่องมือแล้ว เชน่ การสกัดสาร x จากใบพืช
y เพอื่ เอามาใช้ก�ำจัดเช้อื ราในพืช z เปน็ ตน้ รวู้ ธิ ีสกัด รูว้ ิธีวเิ คราะห์สารสกัด รู้วิธที ดสอบเช้อื รา รวู้ ิธีวดั
คา่ และเครอ่ื งมอื ทใี่ ชท้ กุ ขนั้ ตอน จงึ เปรยี บไดก้ บั การทดลองหรอื การทำ� lab เพอ่ื ยนื ยนั สาระวชิ าทเ่ี รยี น
งานเช่นนีไ้ ด้พุทธพิ ิสยั เพียงการคิดวิเคราะห์ ไดท้ กั ษะพิสัยการใชเ้ ครือ่ งมือวทิ ยาศาสตร์ และแทบไมไ่ ด้
จติ พิสัยเลย
การใหท้ ำ� RBL ทเี่ ปลย่ี นเสน้ ทางเตบิ โตทางปญั ญา คอื งานทบี่ กุ ฝา่ ความไมร่ จู้ าก A ไป C งานทม่ี ี
บรบิ ทของชมุ ชน ทพี่ าผเู้ รยี นหลงทางอยใู่ น “เมฆหมอกของความไมร่ ”ู้ อนั ไดแ้ ก่ อปุ สรรค สถานการณ์
ที่เปลีย่ นแปลง ความไมแ่ น่นอน ความสบั สน และการเกิดอารมณ์ความร้สู กึ ภาวะของอารมณ์ความ
รู้สกึ ขณะอยูใ่ นเมฆหมอกของความไม่ร้คู ือโอกาสการเกดิ transformative learning หากครใู ห้
เดก็ เรยี นรจู้ ากอารมณค์ วามร้สู กึ นอกจากนกั เรยี นเป็นผู้สรา้ งปัญญา (constructivism) แลว้ ยงั
เป็นโอกาสเกิดการเรียนรไู้ ปสู่ความเปลย่ี นแปลง (transformation)
เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาทำ� ใหน้ กั เรยี นกา้ วขา้ มความสบั สนกบั ขอ้ มลู information และบรบิ ท จนกระทงั่
ไดข้ ้อมูลและ information สนับสนนุ กันเองให้ชกั นำ� (induce) หรือการสงั เคราะห์ให้คน้ พบของใหม่
แลว้ ทะลอุ อกจากเมฆหมอกของความไมร่ ู้
ไมม่ ีการข้นึ ไปชั้นท่ี 3 ของอาคารโดยไมผ่ ่านช้ันท่ี 2 ฉนั ใด การเรยี นท่ใี ช้ประโยชนไ์ ด้ ผ้เู รยี น
ย่อมต้องผ่านข้นั ความเขา้ ใจ ฉนั น้ัน

สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 57

สง�ิ ที่ทำใหŒเขาŒ ใจความรูŒ คอื ประยุกต เน้ือความรูŒ เพอ�่ ทำงาน
คดิ แบบ “ผลเกดิ จากเหต”ุ

เขŒาใจ เน้อื ความรŒู เพ่�อพัฒนาปญ˜ ญา

ร/Œู จำ เนอื้ ความรูŒ เพ่�อสอบ

รูแŒ ลวŒ ไมเ‹ ขาŒ ใจ

รูŒจากเห็น เขŒาใจจากหลกั ฐานและคิดเชิงเหต-ุ ผล ประยกุ ตใชŒความรจŒู ากเขŒาใจ

คนสมัยก่อนไม่เข้าใจปรากฏการณ์ฟ้าแลบฟ้าร้องจึงอธิบายด้วยเมขลาและรามสูร จนเม่ือ
เบนจามิน แฟรงคลิน พิสูจน์ทราบจากหลักฐานและความคิดแบบ “ผลเกิดจากเหตุ” ว่าฟ้าแลบคือ
การเคล่ือนที่ของประจุไฟฟ้า และฟ้าร้องคือเสียงจากการกระทบกันของอากาศหลังการเกิดฟ้าแลบ
ส่วนฟ้าผ่าคือการคายพลังงานมหาศาลเข้าท�ำลายเป้าหมายท่ีฟ้าแลบเคล่ือนลงมา การประยุกต์จาก
ความเข้าใจนคี้ ือสายล่อฟ้า ท่ปี ้องกันฟา้ ผา่ อาคารสงู
เพราะเข้าใจความเป็นเหตุเป็นผลของปรากฏการณ์ต่อเน่ือง จึงได้ค�ำอธิบายว่า “แสงฟ้าแลบ
ท่ีเราเห็นคือการเคลื่อนที่อันรวดเร็วของประจุไฟฟ้าพร้อมกับพลังงานมหาศาลท่ีปล่อยออกท�ำให้
อากาศขยายตัวออก แล้วมันถูกอากาศที่อยู่ถัดไป ที่มีความยืดหยุ่นดันกลับมากระทบกันเป็นคลื่น
ความดันอากาศ เกดิ เป็นเสยี งดังของฟา้ ร้อง ดงั น้นั ฟ้าแลบเป็นเหตุของฟ้าร้อง”
หากไมเ่ ขา้ ใจ เราจะไมแ่ กป้ ญั หาทเ่ี หตทุ แี่ ทจ้ รงิ เราจะปอ้ งกนั ฟา้ ผา่ ดว้ ยศาลเมขลาและรามสรู แทน
Workshop ความคิดเชิงความสัมพันธ์ของเหตุและผลจึงเป็นเครื่องมือส�ำคัญในการพัฒนา
กระบวนการทางปัญญาให้เร่ิมท�ำโครงงานฐานวิจัยได้ ด้วยเหตุนี้เพาะพันธุ์ปัญญาจึงพลิกความคิดให้
ครแู ละนกั เรยี นสมาทานหลกั การเหตแุ ละผล (แทนแบบสอบถามและสถติ )ิ ในการท�ำโครงงานฐานวจิ ยั

58 จากรากแกว้ สู่ผลของตน้ เพาะพนั ธป์ุ ัญญา

แดดเปนš เหตขุ อง ผล เหตุ ไอน้ำในอากาศ
ไอน้ำในอากาศ ไอน้ำในอากาศ เปšนเหตขุ องเมฆ
จรง�
จร�ง ดงั น้ัน แดดเปนš เหตุของเมฆ
เมฆ
แดด ว�เคราะหเ ชอื่ มโยง 2 ผล
เหตุ ไอนำ้ ในอากาศเปนš เหตขุ องเมฆ สงั เคราะหเปนš สรปุ
ว�เคราะหเช่ือมโยง 1 ดังนนั้ แดดเปšนเหตุของเมฆ
แดดเปนš เหตุของไอนำ้ ในอากาศ

จรง� จรง� ถกู ตรรกะ จร�ง

แดดระเหยนำ้ เปนš ไอน้ำในอากาศ
ซง่ึ ต‹อมารวมตวั เปนš เมฆ ดงั น้ัน “แดดเปนš เหตขุ องเมฆ”

“อวิชชาเป็นเหตุของมรณะ” เป็นการอธิบายเหตุและผลที่เข้าใจยาก จนกว่าอธิบายด้วยความ
เปน็ เหตเุ ป็นผลทลี่ ะเอียด 12 ประการของปฏจิ จสมุทปบาทตามบทสวดปฏจิ จสมุปบาท “อวชิ ชาปัจ
จะยาสังขารา” (เพราะอวชิ ชาเปน็ ปัจจยั สงั ขารจงึ มี) “สังขาระปจั จะยาวญิ ญานงั ” (เพราะสงั ขารเป็น
ปัจจยั วญิ ญาณจึงมี) ...... “ชาติปัจจะยาชะรามะระณงั ” (เพราะชาตเิ ป็นปัจจัยชรามรณะจงึ มี)
“ฟ้าแลบเป็นเหตขุ องฟา้ รอ้ งเพราะแสงเดินทางเร็วกวา่ เสียง” ซงึ่ เปน็ ค�ำอธบิ ายของคนในวงการ
ศกึ ษาจำ� นวนมาก ถอื วา่ เปน็ อวชิ ชาอยา่ งหนงึ่ เพราะพดู โดยขาดปญั ญาทเี่ ขา้ ใจปรากฏการณท์ เ่ี ปน็ เหตุ
เป็นผลอย่างแท้จริง เป็นการให้เหตผุ ลท่ีไมถ่ ูกตรรกะ
“แดดเปน็ เหตขุ องเมฆ” เพราะ “แดดเปน็ เหตขุ องไอนำ�้ ในอากาศ” และเพราะ “ไอนำ�้ ในอากาศ
เปน็ เหตขุ องเมฆ” เปน็ คำ� อธบิ ายทถ่ี ูกต้องเพราะเป็นสายโซแ่ ห่งเหตแุ ละผลทเี่ ช่อื มโยงถึงกัน
ความคิดเชิงเหตุ-ผล (cause-effect) จึงเป็นกรอบคิดส�ำคัญให้นักเรียนบูรณาการสาระ
อธิบายปรากฏการณ์ของความเป็นเหตุและผลระหว่างแดดกับเมฆได้ ไม่หลงผิดว่าเมฆเป็นเหตุของ
แดด (จากการสังเกตวา่ เมฆทำ� ให้มหี รอื ไม่มีแดด) เพราะสาระวิชาอธบิ ายวา่ แดดคือรงั สดี วงอาทิตยท์ มี่ ี
ท้งั ความสวา่ งและความรอ้ น ซงึ่ เมฆไมม่ ที ้ัง 2 อย่างน้ี
เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาจงึ เนน้ กระบวนการคดิ เชงิ เหต-ุ ผล เปน็ ตน้ ทางการคดิ ออกแบบการทำ� โครงงาน
ฐานวิจัยท่ีบูรณาการสาระท่ีเรียน และสร้างทัศนคติการใช้ชีวิตว่าต้องการผลแบบใดก็ต้องคิดให้ทราบ
เหตแุ ละสรา้ งเหตุนน้ั ผเู้ รยี นเปลีย่ นทัศนคตเิ ป็นผู้สร้างเหตุแทนการรอเสพผล

สธุ ีระ ประเสริฐสรรพ์ 59

การแตกกอ

การระบายลม

ระยะหา‹ ง แสงแดด เพลีย้ ผลผลิตขาŒ ว
ปก˜ ดำ กก/ไร‹

สารเคมี ขาŒ วลีบ
แมลงผสมเกสร

จำนวน
กอ/ไร‹

การคดิ เป็นภาพผงั เหตแุ ละผล (หางลกู ศรคอื เหตุ หวั ลกู ศรคอื ผล) เป็นเครอื่ งมือส�ำคญั ของ
เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ใจเรอ่ื งทงั้ หมดเปน็ ภาพของสายธารแหง่ เหตแุ ละผลทเี่ ชอ่ื มโยงกนั การ
ใชล้ กั ษณะเสน้ ระบทุ ศิ ทางความสมั พนั ธย์ งั ใหแ้ นวคดิ คณติ ศาสตร์ (เสน้ ทบึ หมายถงึ ผลแปรไปทางเดยี ว
กบั เหตุ ถา้ เหตเุ พมิ่ ขึ้นผลจะเพม่ิ เช่น หากแตกกอมากผลผลิตขา้ วจะมากข้ึนด้วย เสน้ ประเปน็ การแปร
สวนทางกนั เช่น ข้าวลีบมากทำ� ให้ผลผลติ ลดลง)
รูปข้างต้นใหค้ วามเข้าใจวา่ การใช้สารเคมสี ามารถใหผ้ ลผลิตท้ังเพิ่ม (เพราะก�ำจดั เพลย้ี ) และลด
ลงได้ (เพราะก�ำจัดแมลงผสมเกสร) สว่ นระยะปกั ด�ำทำ� ใหผ้ ลผลติ มีท้งั เพิม่ และลดอยา่ งละ 3 เสน้ ทาง
เหตคุ ือตัวแปรต้น (หรือตัวแปรควบคมุ ตัวแปรเปรยี บเทียบ) และผลคือตวั แปรตาม ผังเหต-ุ ผล
จึงเป็นจุดต้งั ตน้ ใหน้ กั เรียนออกแบบการท�ำวจิ ยั โดยใชห้ ลักสรา้ งเหตแุ ละสังเกตผล
ระบบคดิ แบบนจี้ งึ ทำ� ใหเ้ พาะพนั ธป์ุ ญั ญาวางรากฐานการคดิ ขน้ั สงู ใหค้ รแู ละนกั เรยี นไดเ้ ปน็ ผสู้ รา้ ง
ปญั ญาไดด้ ว้ ยตนเอง การทำ� วิจยั ทส่ี ร้างการเรียนรไู้ มต่ อ้ งการเครอื่ งมืออะไรมากมาย ยง่ิ ขาดเครือ่ งมือ
คอื โอกาสการเกดิ creative thinking และ problem solving skill (เชน่ หาการระบายลมไดอ้ ยา่ งไร?)
ความซับซ้อนของบริบทกระตุ้นการคิดซับซ้อน เช่ือมโยง สร้างความคิดเชิงระบบ และปัญญาเกิดแก่
ผู้ที่ต้องการเรียนรู้ได้ดีกว่าการมีเครื่องมือที่ซับซ้อน วิธีของเพาะพันธุ์ปัญญาจึงเหมาะกับโรงเรียนท่ี
ขาดแคลนเคร่อื งมือ โดยพัฒนาครใู ห้ไม่ขาดแคลนความคิด และกล้าคดิ

60 จากรากแก้วสู่ผลของต้นเพาะพนั ธุป์ ญั ญา

สารพษ� ในชาม

ปร�มาณน้ำติดมา

ความหนืดนำ้ ลวก ความเขมŒ ขนŒ สารพษ�

จำนวนแป‡งสะสม จำนวนสารพษ� สะสม

จำนวนนำ้ ทีม่ ี

จำนวนแปง‡ ละลาย จำนวนสารพ�ษละลาย
จำนวนเสŒนทีล่ วก จำนวนน้ำระเหย

จำนวนผกั ทีล่ วก

เวลา

เรอื่ งราวในชวี ติ ประจำ� วนั เกดิ จากการสงั เกตและสงสยั ในปรากฏการณบ์ างอยา่ ง การทมี่ นษุ ย์
สอ่ื สารด้วยประโยคที่มปี ระธาน กรยิ า และกรรมเป็นหลกั ฐานว่ามนษุ ย์สอ่ื สารดว้ ยระบบความคิด
เป็นเหตุเป็นผล (เหตุคือประธาน ผลคือกรรม กริยาคือกระบวนการท่ีเหตุท�ำให้เกิดผล) เนื่องจาก
ปรากฏการณ์มักจะเคลื่อนที่ตามเวลา จึงท�ำให้เหตุและผลมีมิติของเวลา เห็นพัฒนาการท่ีเคลื่อนย้าย
ตามเวลา เหมอื นเม่ือวานเป็นเหตขุ องปจั จบุ ัน และพร่งุ นีเ้ ปน็ ผลของปัจจบุ นั สรรพสิ่งลว้ นเปน็ ท้งั เหตุ
และผลเชือ่ มโยงกัน

สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ 61

“สงสยั จังวา่ นำ้� ลวกกว๋ ยเตย๋ี วนา่ จะเปน็ ท่ีสะสมของสารพษิ นะ”
“ท�ำไมละ่ ”

“ก็เธอคิดดูนะ ผักทีล่ วกมันมยี าฆา่ แมลงตดิ อยูใ่ ช่ไหม
พอไปลวกกบั น�ำ้ รอ้ นมันกล็ ะลายไปปนอยู่ในน้ำ� ลวกไง”

“กด็ สี ิ ผักที่เรากนิ สะอาดขึน้ ”
“ไม่ใชอ่ ย่างนนั้ สิ นาน ๆ ไปเธอคดิ ดูนะ สารพิษสะสมมากข้ึน
ในขณะที่น้�ำลวกงวดลง ความเขม้ ขน้ คราวน้เี ปน็ ไงละ่ ”

“นำ้� นน่ั เต็มดว้ ยสารพษิ สิ”
“มันกลายเปน็ ว่าเราเอาผักไปรับสารพิษเพมิ่ ขึน้ ใชไ่ หมละ่ ”

“เออจรงิ สิ แปง้ ละลายแลว้ น้�ำลวกมนั หนืดข้นึ
มนั กย็ ่งิ ตดิ กบั ผักและเสน้ มาใหเ้ รากนิ

ผังข้างบนสร้างจากระบบคิดเป็นเหตุเป็นผลจากเร่ืองราวใกล้ตัว การเห็นเรื่องราวเป็นความ
สัมพันธ์ของเหตุและผลท่ีต่อเนื่องกันไปท�ำให้นักเรียนมีสมมุติฐานว่าผล (สารพิษในชามก๋วยเต๋ียว)
เปล่ียนแปลงตามเวลา
โครงงานฐานวจิ ยั เกดิ จากเร่อื งราวใกลต้ ัว โดยครตู ้องชวนคดิ ชวนจินตนาการให้เห็นเหตุและผล
ของปรากฏการณ์ แบ่งงานเปน็ RBL ให้หาความสมั พันธ์ของแต่ละลูกศร ท�ำงานเปน็ ทมี เพ่อื เอาความรู้
มาตอ่ จ๊กิ ซอว์กัน

62 จากรากแก้วสูผ่ ลของตน้ เพาะพันธุป์ ัญญา

ซม. มีรายละเอียด
ขนาดไสเŒ ทียน เพ�มสารเคมีการเผาไหมŒ

เหตุ 2 อตั ราการเผาไหมŒ คณู

ก./นาที ก.
คูณ มวลเทยี นทหี่ าย คูณ

เวลา นาที ซม. ซม.
หาร ความยาวท่ีหายไป
เหตุ 1

เสŒนผา‹ นศูนยก ลาง ซม. มวล / ความยาว ก./ซม. ความยาวท่เี หลือ
เหตุ 3 ผล

พ้�นท่ี = พน�้ ท่ี ซม.2 มวล =
πD2/4 ปร�มาตร x ความหนาแนน‹

ปรม� าตร = ปรม� าตร / ความยาว ซม3/ซม.
พ้�นที่ x ความยาว

คณิตศาสตร์แฝงอยู่ในระบบคิดเหตุและผล เส้นทึบหมายถึงการบวกหรือคูณ และเส้นประคือ
ลบหรือหาร ความยาวเทียนทเ่ี หลือเปน็ “ผล” ท่ีข้นึ กบั “เหตุ” คอื ขนาดไสเ้ ทียน เวลา และเส้นผ่าน
ศนู ย์กลาง โดยผา่ นความเปน็ เหตุและผลจ�ำนวนมาก
ผังในรูปมีหน่วยและสมการท่ีอธิบายความสัมพันธ์เชิงคณิตศาสตร์รวมท้ังค�ำอธิบายท่ีเป็น
วิทยาศาสตร์ (chemistry of combustion) ดังนั้นการเข้าใจปรากฏการณ์เป็นผังจึงเป็นฐาน
คิดของสะเต็ม ตัวอย่างกรณีนี้คือการออกแบบสร้างเทียนท่ีจุดได้ 1 พรรษาพอดี (ตัวแปรต้นเวลา
ถูกเปลี่ยนเป็นตัวแปรตามมีก�ำหนด 90 วัน) ท�ำให้ผู้ออกแบบมีทางเลือกระหว่างขนาดไส้เทียนกับ
เส้นผา่ นศูนย์กลาง (หรือมวล)
หากต้องการเปลวไฟใหญ่ (ไส้ใหญ่) ก็ต้องใช้เทียนที่มีมวลมาก คนท่ีออกแบบเทียนต้องท�ำ
โครงงานฐานวิจัยในการหาอัตราการเผาไหม้ (ท่ีเป็นผลจากขนาดไส้เทียน) เพ่ือไปหามวลส�ำหรับ
การจุดได้ 90 วัน หรือกรณีท่ีก�ำหนดมวล (มีเทียนจ�ำกัด) คนที่แก้ปัญหาน้ีต้องท�ำโครงงานฐานวิจัย
หาขนาดไสเ้ ทียน (ท่เี หมาะสมกับมวลเทียนทม่ี ีอยู่) ส�ำหรบั การจุดตดิ 90 วนั
สะเต็มศึกษาคือการแก้ปัญหาด้วยระบบคิดผลเกิดจากเหตุ ต้องการผลอะไรก็ต้องสาวไปที่เหตุ
ที่สามารถสร้างได้ วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์จึงบูรณาการอยู่ในกระบวนการคิดแก้ปัญหาอย่าง
มเี หตมุ ผี ล การปูฐาน RBL ของเพาะพนั ธุป์ ญั ญาจึงเป็นสปริงบอรด์ ให้เรียนรูส้ ะเต็มไดถ้ กู ทาง

สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์ 63

กระบวนการ

กาย ปญ˜ ญา

AL

อารมณ สงั คม

กระบวนการ active learning หมายถงึ การจดั กระบวนการเรยี นรเู้ ชงิ รกุ ใหแ้ กผ่ เู้ รยี นใน 4 มติ ิ
คือ กาย ปัญญา อารมณ์ และสงั คม
Active learning ทางกาย คอื การเคลอ่ื นไหวเพ่ือให้กายตน่ื ตวั และปลกุ ประสาทรบั รู้ เกิดจาก
กระบวนการในห้องเรยี นของครูที่ใหน้ ักเรียนเคลือ่ นไหวเมื่อเริ่มตน้ หรือระหว่างคาบเรียน
Active learning ทางปัญญา คอื การถกู กระตนุ้ ให้คดิ จากค�ำถาม (“ถามคือสอน”) หรือจาก
ประสบการณเ์ พอื่ ใชส้ ตปิ ญั ญาสรา้ งความหมายจากสงิ่ รบั รทู้ างกาย (ตาเหน็ จมกู ไดก้ ลน่ิ ฯลฯ) เกดิ จาก
บรรยากาศท่ีสร้างพื้นท่ีปลอดภัยแก่นักเรียน โดยนักเรียนเรียนจาก “ถามคือสอน” ของครู เป็นการ
เรียนรทู้ างลึกในสาระวชิ า
Activelearningทางอารมณ์คอื กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ผี่ เู้ รยี นเกดิ ความรสู้ กึ มอี ารมณ์จากสง่ิ นอกกาย
มากระทบกบั ประสาทรับรู้ (ผสั สะ) ที่กระทบสะเทอื นใจ ซ่ึงจะท�ำให้การเรียนร้มู ีความหมายกับตนเอง
มากขนึ้ นักเรียนเรียนจาก “สะทอ้ นคิดคอื เรยี น” หรอื เขยี นอนทุ ิน (diary)
Active learning ทางสังคม คือ กระบวนการเรียนที่ผู้เรียนตื่นตัวกับสังคมและส่ิงแวดล้อม
เป็นพลเมืองตื่นรู้ (active citizen) เกิดจากการเรียนรู้ผ่านปัญหาของผู้อ่ืน หรือ service learning
ท�ำใหน้ กั เรียนเรยี นรใู้ นทางกว้างและขัดเกลาจติ ใจ
ดังนั้น RBL ของเพาะพันธุ์ปัญญาที่มีท้ังจิตตปัญญาศึกษาและโจทย์วิจัยชุมชนจึงเป็น active
learning ทคี่ รบท้งั 4 มติ ิ ท�ำใหไ้ ด้ทัง้ A (Attitude), S (Skill) และ K (Knowledge)

64 จากรากแก้วสผู่ ลของต้นเพาะพันธปุ์ ญั ญา

“สะทŒอนคดิ คอื เร�ยน”

สะ Œทอนคิด ชมุ ชนรว‹ มสคนิดบั วสเ� คนรุนากะาหร -เรส�ยังนเรคูŒราะห

ันกเร�ยนป ิฏ ับติ นำเสนอ
ิคดเ ิชงเหตุ - ผล
Research-
Based
Project

จต� ตปญ˜ ญาศกึ ษา
ครูเรย� นกระบวนการผ‹าน KM/PLC

“ถามคอื สอน” “เขย� นคือคดิ ”

เพาะพันธุ์ปัญญามอบบทบาทถามให้กับครู โดยใช้การถามท่ีออกแบบให้เป็นกระบวนการ
“ชักน�ำ” ให้นกั เรียนคิดจนรูไ้ ด้เอง “ถามคือสอน” เป็นคาถาข้อเปลีย่ นนิสัยเด็กไมใ่ ห้พ่งึ ค�ำตอบจากครู
ค�ำถามของครูไม่ใช่เพียงแค่ให้เด็กรู้เอง แต่ให้เด็กได้ “กระบวนการเรียนรู้” โดยอาศัยปรากฏการณ์
ทีเ่ กิดขึ้นจรงิ ตอ่ หนา้ ขณะน้ันมาตง้ั ค�ำถามเพอ่ื เช่ือมโยงเขา้ สูส่ าระทีเ่ รยี นมาแลว้ เปน็ การกระท�ำเพ่ือให้
เด็กดึงความรู้ออกจากตัวมาไขข้อสงสัยเอง ค�ำถามท่ีดีต้องท�ำให้เกิดค�ำถามย้อนกลับไปยังผู้เรียน
หมายความวา่ ทกุ ครงั้ ทนี่ กั เรยี นเอาคำ� ถามมาหาคำ� ตอบจากครู เดก็ จะได้ “คำ� ถามดกั ความคดิ ” กลบั ไป
ท�ำบ่อย ๆ จนครูคนเดิม (ครูบอกค�ำตอบ) หายไปจากมโนส�ำนึกนักเรียน จากน้ันเม่ือเกิดข้อสงสัย
เขาจะตั้งค�ำถามดักความคิดตัวเอง จนได้ค�ำตอบเอง แล้วเอาค�ำตอบมาหารือครู21 สะท้อนคิด
(reflection) คือการเรียนของนักเรยี น เพือ่ ให้เกดิ transformation จากการสะทอ้ นคดิ ในการกระท�ำ
(โครงงาน) ของตนท่ีเกิดผลกับผู้อื่นและสังคม ส่วนเขียนคือคิดหมายถึงการเขียนงานวิชาการและ
อนุทิน (diary) การเขียนงานวิชาการท�ำให้ความคิดละเอียดในการส่ือสารได้ตรงเป้าและครบถ้วน
ขณะเขียนอนุทินเป็นช่วงเวลาการปลดปล่อยความรู้สึก เป็นหลักฐานการเรียนรู้ด้านใจ (heart) และ
การเปล่ียนแปลง (transformation)

21 ค�ำอธิบายของครูแววดาว รู้เพียร (ครูแกนน�ำเพาะพันธุ์ปัญญา โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย) ในเวทีแลกเปล่ียนเรียนรู้กับ
คณะครุศาสตร์เม่ือ 25 ตุลาคม 2562 ผมเห็นว่าเป็นค�ำตอบที่กระจ่างไปถึงผลลัพธ์ที่เกิดท่ีนักเรียน ที่ครูอธิบายจาก
conceptualization ท่ีเกดิ แกต่ ัวครเู อง เปน็ หลักฐานของการเรียนร้แู บบสรา้ งความรู้ (ปรยิ ัต)ิ จากปฏิบตั ิ ผา่ นปฏเิ วธ ที่ควร
บันทกึ ไว้

สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 65
เพาะพันธุ์ปัญญาใช้จิตตปัญญาศึกษาพัฒนาครูด้านจิตวิญญาณก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อให้
ครูสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ท่ีปลอดภัย และครูเปิดใจเรียนรู้ส่ิงใหม่ ๆ การสลัดตนเองให้พ้นบ่วง
อ�ำนาจทค่ี ุ้นเคยเปน็ ปจั จัยสำ� คญั ของความส�ำเร็จของการเปน็ ครเู พาะพนั ธุ์ปัญญา
การท�ำโครงงานฐานวิจัยจ�ำเป็นต้องพัฒนาความคิดเชิงเหตุ-ผล เพื่อเกิดวัฒนธรรมการคิดแบบ
วิทยาศาสตร์ โดยต้องสามารถเข้าใจความหมายข้อมูลจากการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ ใช้โจทย์
โครงงานจากเรอื่ งราวในชมุ ชน ครทู ำ� หนา้ ทโี่ คช้ ใหน้ กั เรยี นไดส้ รา้ งปญั ญาจากการทำ� งาน การสะทอ้ นคดิ
และการเขียน
สามเหลย่ี มในวงกลมและคาถา 3 ขอ้ ของเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาถกู เรยี กขานวา่ “สามเหลย่ี มมหศั จรรย”์ 22
รเู้ หตุ รผู้ ล รตู้ น รปู้ ระมาณ รกู้ าล รชู้ มุ ชน รบู้ คุ คล คอื สปั ปรุ สิ ธรรม 7 ทท่ี �ำใหเ้ ปน็ สตั บรุ ษุ (คนด)ี
ลว้ นซ่อนอยใู่ นรปู ที่เปน็ กรอบการท�ำโครงงานฐานวจิ ยั ของเพาะพันธุป์ ัญญา

ถ้าจะเปลย่ี นจาก “บอกคือสอน” เป็น “ถามคอื สอน” ครูตอ้ งเข้าใจบทบาทของตนเหมอื นหมา
ต้อนแกะ (sheepdog) ในทงุ่ กวา้ ง

22 โดย ศ.เกียรตคิ ณุ สุมน อมรวิวฒั น์

66 จากรากแกว้ สูผ่ ลของตน้ เพาะพันธ์ปุ ัญญา B

A

หมาสามารถต้อนแกะผา่ นทงุ่ หญา้ กว้างเขา้ ประตคู อกไดเ้ มอ่ื หมามคี วามสามารถ 3 ประการ คอื
1) หมาตอ้ งรวู้ า่ ประตคู อกอยทู่ ไ่ี หน 2) หมาตอ้ งรวู้ า่ แกะอยหู่ า่ งประตคู อกในทศิ ทางใด และระหวา่ งทาง
ถึงประตูคอกน้ันแกะต้องเดินทางผ่านอะไรบ้าง และ 3) หมาต้องรู้ว่าต้องท�ำอย่างไรแกะจึงมีการ
ตอบสนองตามที่หมาต้องการ
เช่นเดียวกับหมาต้อนแกะ... การต้อนความคิดนักเรียนของครูในกระบวนการ “ถามคือสอน”
ครูต้องรู้ 3 ประการ คือ 1) ความรู้สุดท้ายที่จะพานักเรียนไปถึง 2) รู้ว่าความรู้ของนักเรียนขณะนี้
อยู่ตรงไหนเมอ่ื เทียบกบั ความรู้ปลายทาง และมเี ส้นทางเดินของความคดิ อย่างไร และ 3) ครตู อ้ งรูว้ ่า
ต้องถามอย่างไรใหน้ กั เรยี นคดิ จนบรรลถุ งึ ความรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง
เมือ่ ครูรู้ 1 และ 2 ครูสามารถวางแผนเส้นทางเดินของความคิดนักเรียน แล้วออกแบบย้อนรอย
(backward design) ต้อนความคิดด้วยค�ำถามให้นักเรียนวิเคราะห์เช่ือมโยงจนอ่ิมตัวและเกิด
การผุดบังเกิดของปัญญาที่ถึงความรู้ โดยร้อง “อ๋อ...” ข้ึนมาเอง เราเรียก “ถามคือสอน” เป็น
ทักษะปฏิบัติของครูเพื่อให้นักเรียนเป็นผู้บรรลุถึงปัญญาด้วยตนเอง เหมือนพระอาจารย์วิปัสสนาที่รู้
วาระจติ ของศษิ ย์
“ถามคือสอน” เป็นคาถาประจ�ำใจของครูเพาะพันธุ์ปัญญาทุกคน ครูเปลี่ยนจากบอกมาเป็น
ถามได้เมื่อครูพัฒนากระบวนการคิดของตนให้สามารถคิดวิเคราะห์ค�ำตอบนักเรียนและสังเคราะห์
เป็นค�ำถามใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง ครูเปล่ียนจากผู้บอกความรู้มาเป็นโค้ชความคิด ครูต้องเปล่ียนจาก
พระบ้าน (คามวาสี) เป็นพระป่า (อรัญวาสี) ให้ความส�ำคัญกับปฏิบัติ เฝ้าดูการปฏิบัติมากกว่า
การสอนศิษย์เพอื่ สอบนักธรรมบาลี

สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์ 67

กระบวนการ “ถาามคือสอน” ฟง� -คดิ -ถาม-ตอบ-จด (ส-ุ จ�-ป-ุ ว�-ลิ)

5 ฟ�ง ครูฟงทข่ี น้ั ความรสู งู กวา เดก็ คิดสงั เคราะห Q ทขี่ น้ั ครู
ครคู ิดวเิ คราะห A ท่ีข้ันเด็ก
6.2 คิดสงั เคราะห

5 ฟง� 6.1 คิดวเ� คราะห

4 ตอบ 6 คดิ 7 ถาม ครถู าม Q forward ทีข่ ้ันเด็ก
ออŽ ถาม-ตอบเชอื่ มกันผ‹านฟง� -คิด 1 ถาม
จด
3 คดิ
2 ฟง�

หัวใจนักปราชญ์ สุ-จิ-ปุ-ลิ ท่ีเคยเป็นบทบาทของนักเรียนถูกเปลี่ยนเป็นบทบาทร่วมกันของ
ครแู ละนักเรยี น... โดยสลับบทบาท ใหค้ รเู ปน็ ผูถ้ าม (ปุจฉา) ในหลกั การ “ถามคือสอน” นักเรียนเป็น
ผู้ตอบ (วิสัชนา) นักเรียนถูกฝึกให้ฟัง (2) และคิด (3) ผ่านการต้ังค�ำถามของครู (1) ค�ำตอบ
(4) ของนักเรียนจะเป็นส่ิงที่ครูตั้งใจฟัง (5) โดยขณะน้ันครูมีความรู้สูงกว่านักเรียน การฟังของครู
น�ำมาสูก่ ารคิด (6) วเิ คราะห์คำ� ตอบ (A) ของนักเรยี นวา่ เขาเข้าใจอะไรผิด ยงั ไม่รอู้ ะไร เพ่ือสังเคราะห์
เป็นคำ� ถาม (Q) ที่ครูจะถาม (7) กลับไปยงั นักเรียน
วงจรการสนทนาถาม-ตอบวนเวียนหลายรอบจนกระท่ังนักเรียนเช่ือมโยงค�ำตอบ ท้ังหมดของ
ตนเองจนรอ้ ง “อ๋อ” ขน้ึ มาเอง การรอ้ งอ๋อ นัน้ คอื การทผ่ี ู้เรียนขน้ึ ถงึ ขัน้ คิดสงั เคราะห์ คือ หลอมรวม
ท่ีวิเคราะห์ทั้งหมดเข้ากับความรู้เดิมจนผุดบังเกิดเป็นความรู้ใหม่ของตนเอง ทักษะส�ำคัญของ
ครเู พาะพนั ธุ์ปัญญาคอื การตัง้ ค�ำถามตอ้ นความคดิ นกั เรียน
Workshop พัฒนาครูของเพาะพันธุ์ปัญญาจึงมีแต่ตั้งค�ำถาม ครูไม่ได้มาร่วมเพ่ือรับความรู้
แตม่ าจมุ่ ตวั ในกระบวนการคดิ ของตนเอง จนรจู้ กั การเขา้ ถงึ ความรทู้ มี่ ขี นั้ ตอนการคดิ (metacognition)
เม่อื ครรู ู้ด้วยตนเอง ครูจะกล้าและเป็นอสิ ระทจ่ี ะออกแบบการสอนแบบ “ถามคอื สอน” เอง ถือเป็น
ความส�ำเร็จในการเปลี่ยนกระบวนทศั น์ใหค้ รูเปน็ โค้ช

68 จากรากแก้วสผู่ ลของตน้ เพาะพันธป์ุ ัญญา

We do not learn from
experience...we learn from
reflection on experience.

John Dewey

ELCexyapcrleenrsiinengtial ACT

Concrete Experience
Facts (What Happened?)

Theory of Action

Apply Reflect

Active Experimentation Reflective Observation
Futures(What Will I Do?) Feelings (What Did I Experience?)
Implement Revised Theory Assess Behavior & Consequences

สะทŒอนคิดคือเร�ยน

Conceptualize
Abstract Conceptualization
Findings (Why Did This Happen?)
1. David Kolb Schon Revise Theory
2. Roger Greenaway Compiled by Andrea Corney
3. Chris Argyris & Donald
www.edbatista.com/2007/10/experiential.html

John Dewey ผู้ต้ังหลักการเรียนจากปฏิบัติ (Learning by Doing) ท่ีวงการการศึกษาไทย
ชอบกลา่ วอา้ ง ไดก้ ลา่ วคำ� เตม็ ๆ วา่ “เราเรยี นจากการสะท้อนคิดจากประสบการณ”์ หมายความว่า
ท่านให้มีประสบการณ์ จากนั้นเอาผัสสะที่ได้รับมาสู่การคิดไตร่ตรอง (reflection) ซึ่งตรงกับ
“สะท้อนคดิ คอื เรยี น” ของเพาะพันธป์ุ ัญญา

สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 69

David Kolb กล่าวถึงการเรยี นรู้จากประสบการณว์ ่าเกดิ เปน็ วงจร “ลงมือท�ำ” “สะทอ้ นคดิ ”
“จับหลักการ” และ “เอาไปใช้ในสถานการณ์ใหม่” ซ่ึงถูกให้ความหมายเทียบเคียงโดย Roger
Greenway และ Chris Argyris กับ Donal Schon วา่ คอื จากขอ้ เท็จจรงิ ทีป่ รากฏหรอื ทฤษฎปี ฏบิ ตั ิ
ไปสู่ความรู้สึกหรือการประเมินพฤติกรรมหรือผลต่อเนื่อง ซ่ึงส่งต่อไปยังข้อค้นพบหรือทบทวนทฤษฎี
เพอ่ื เอาไปประยกุ ต์ใช้ในอนาคตหรอื ลองเอาทฤษฎใี หมไ่ ปทดสอบ
อทิ ธบิ าท 4 เริ่มจากการมีฉนั ทะ ซ่งึ แปลว่า “ความอยากให้ดี ใหส้ �ำเรจ็ ” คนทีม่ ฉี ันทะจะไม่หาย
อยากหากงานท่ีท�ำน้ันยังไม่ดีหรือไม่ส�ำเร็จ ฉันทะจึงน�ำไปสู่ความพยายาม (วิริยะ) การใส่ใจ (จิตตะ)
และการคิดใคร่ครวญทบทวน (วิมังสา) หรือคือ reflection น่นั เอง ไมม่ ี reflection ไมม่ ีการเรียนรู้
ท่ีสงู ข้นึ เพราะขาด KM กบั ตนเอง หรอื ตนเองไมไดเ้ ป็นเจ้าของการเรียนรู้
ฉนั ทะในการเรียนการสอนแบบ RBL ถอื เป็น transformation อยา่ งหน่งึ ของครูและนกั เรยี น
เกิดไดเ้ มอ่ื ทำ� งานแล้วหมนั่ ทบทวนด้วยค�ำถาม 7 ข้อ ที่เป็น self-reflection คอื 1) ฉนั ควรวางแผน
ขน้ั ตอนการทำ� อยา่ งไร? 2) มอี ะไรทฉี่ นั ยงั ไมก่ ระจา่ งบา้ ง? 3) ฉนั สามารถอธบิ ายไดไ้ หมวา่ ไดเ้ รยี นอะไร?
4) เม่ือติดขัดฉันควรถามหาความช่วยเหลืออะไร? 5) ท�ำไมฉันหาค�ำตอบหรือได้ทางแก้ปัญหาผิด?
6) ฉนั สามารถเอาสิ่งท่ีรคู้ รั้งน้ไี ปปรบั ใชก้ ับบริบทอ่ืนได้อย่างไร? และ 7) คราวหน้าฉันจะท�ำให้ดกี วา่ น้ี
ไดอ้ ยา่ งไร?
สะท้อนคิดจึงเปน็ คาถาการเรียนรู้ทสี่ ำ� คัญส�ำหรับครแู ละนักเรียนเพาะพนั ธุ์ปัญญา

70 จากรากแก้วสผู่ ลของต้นเพาะพนั ธุ์ปญั ญา

การท�ำวิจัยแก้ปัญหาใกล้ตัวคือการศึกษา เพราะได้พัฒนากระบวนการคิดจนเกิดปัญญา และ
กระบวนการส�ำคัญของการพัฒนาปัญญา คือ การน�ำเสนอ (ฐานล่างสุดของ learning pyramid)
เพาะพันธป์ุ ัญญาจงึ มคี าถา “เขยี นคือคดิ ”
เขียนคือคดิ หมายถึงการพฒั นาความคดิ ระหวา่ งเขียน ท�ำได้ 2 ทาง คอื 1) เขยี นอนทุ นิ (diary)
เปน็ การบนั ทึกอารมณ์ความรสู้ กึ เอาไว้ทบทวนเจตคตติ นเองทีม่ ีต่อสงิ่ ต่าง ๆ ทป่ี รากฏเข้ามาระหว่าง
การทำ� งาน สะทอ้ นคิดกับตนเอง (self-reflection) เพอื่ น้อมตนให้เช่อื มโยงกับสรรพสิง่ สรรพปรากฏ
เป็นเสน้ ทางของการเรยี นร้สู ูค่ วามเปลี่ยนแปลง (transformation) และ 2) เขยี นงานวิชาการ ทเ่ี ปน็
โอกาสใหเ้ พง่ ความคดิ ใหแ้ หลมคมและขดั เกลาภาษาไมใ่ หม้ คี วามหมายคลมุ เครอื เพราะตอ้ งสอื่ สารเรอ่ื ง
ยากจากงานวจิ ยั ใหค้ นทว่ั ไปเขา้ ใจ ใชก้ ารอธบิ ายดว้ ยหลกั เหตแุ ละผล ทมี่ เี หตผุ ลทางวชิ าการสนบั สนนุ
อธบิ ายผลงานจากการวิเคราะหข์ ้อมูลสู่คิดสงั เคราะห์ ทีท่ �ำใหผ้ ุดบงั เกิดปัญญาใหม่
เขียนคือคิดของเพาะพันธุ์ปัญญาเป็นการเขียนที่สมองสังเคราะห์ได้ ไม่ใช่เขียนเท่าท่ีตาเห็น
ตัวเลขแล้วเช่ือเพราะสถติ ิบอกว่า “เช่ือถือได”้
การเขยี นท�ำให้มีเวลาใครค่ รวญกับการเรียนรู้ของตนเอง “เขียนคอื คิด” จึงเปน็ คาถาการเรียนรู้
ของเพาะพันธุป์ ญั ญาที่ครแู ละนกั เรยี นถกู คาดหวังใหป้ ฏบิ ตั ิ

สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ 71

พ.ค. - ส.ค. ก.ย. - ม.ค. ก.พ. - เม.ย.

สอนโครงงานแบบบูรณาการ

จต� ตป˜ญญา พัฒนาครู น.ร. ทำ RBP รายงานวจ� ัย

ทักษะโจทยว จ� ัย ทักษะคดิ ว�เคราะห-สังเคราะห เวทีนำเสนองาน
KM/PLC
ทกั ษะคดิ เหต-ุ ผล

ฝกƒ ทักษะ 1 ฝกƒ ทักษะ 2 ฝกƒ ทักษะ 3 PDCA ของครู
คดิ วเ� คราะห- สงั เคราะห
เขŒาใจและ คิดเชิงเหตุ-ผล คดิ ประเมิน
จต� ใจพรอŒ ม คดิ วพ� ากษ

การพฒั นาครใู หเ้ กง่ ขน้ึ ไมใ่ ชก่ ารอบรม แตผ่ า่ นการลงมอื ทำ� งานทไ่ี มค่ นุ้ เคย โดยมพี เ่ี ลย้ี งชว่ ย
เหลืออยา่ งต่อเนอื่ ง
โครงงานฐานวิจัย (Research-Based Project) เป็นของใหม่ส�ำหรับครู และการท�ำหน้าที่
โคช้ การเรยี นรขู้ องนกั เรยี นจากการท�ำโครงงานฐานวจิ ยั (Research-Based Learning) ยงิ่ เปน็ ของใหม่
ทง้ั ในเชงิ เน้ือหาและบทบาท
เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาฝกึ ทกั ษะครดู ว้ ยการประชมุ ปฏบิ ตั กิ ารอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ไดแ้ ก่ ความเขา้ ใจการสอน
โครงงานแบบบรู ณาการเพอ่ื ใหค้ รเู ขา้ ใจการบรู ณาการหลายสาระวชิ าในการทำ� โครงงานเดยี ว และเปน็
ผู้อ�ำนวยการเรียนรู้ของนักเรียน จิตตปัญญาศึกษาท�ำให้ครูเข้าใจความเป็นมนุษย์ การจัดบรรยากาศ
และการสือ่ สารทสี่ รา้ งการเรยี นรู้ โดยเฉพาะ reflection ทจ่ี ะท�ำให้เกิดจติ พิสัย
ทักษะท่ี 2 คือการคิดเชิงเหตุและผลเพื่อให้ครูมองสรรพสิ่งเป็นความสัมพันธ์อย่างเป็นเหตุ
เป็นผลต่อกัน เพื่อเข้าใจตัวแปรและสมมุติฐานอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ช่วยให้ครูหลุดพ้นจากการ
ท�ำวิจัยที่อิงสถิติ (พิสูจน์ statistical hypothesis) ทักษะขั้นน้ีท�ำให้ครูโค้ชนักเรียนให้เห็นโจทย์
โครงงานฐานวิจยั (RBP) ได้
ทักษะที่ 3 คือการคิดวิเคราะห์และสงั เคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยเพือ่ หาความหมายใหม่ ใหเ้ ปน็
ความรดู้ ว้ ยตนเอง (constructivism)
ข้ันสุดท้ายคือกระบวนการเวทีท่ีพัฒนาทักษะการส่ือสารอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อให้เกิด
การคดิ ประเมินและวพิ ากษ์ (critical thinking)
เพาะพันธุ์ปัญญาเช่ือในการฟื้นฟูจิตวิญญาณความเป็นครู เช่ือในศักยภาพว่าครูสามารถพัฒนา
ตนเองใหโ้ ค้ชโครงงานฐานวจิ ยั ได้ งานทพ่ี ลกิ กระบวนทัศน์ (paradigm) เดมิ ของครูตอ้ งตอ่ เนื่องท้ังปี
ใชร้ ะบบพเ่ี ลย้ี งทว่ี างตวั เปน็ กลั ยาณมติ รเปน็ ตวั เชอ่ื มระหวา่ งความร/ู้ หลกั การและการปฏบิ ตั ทิ โี่ รงเรยี น

72 จากรากแกว้ สู่ผลของต้นเพาะพันธป์ุ ัญญา

วิจยั กับบรบิ ทชีวติ

1. มคี วามสงสยั ในปรากฏการณ์ (ผล) 1. สงสยั วา่ ทำ� ไมดนิ ป้ันแตก
2. คาดการณ์เหตแุ หง่ ผลจากความรู้เดิม 2. แตกเพราะดนิ ดงึ กนั จากการหดตวั ขณะแห้ง
(สมมตุ ิฐาน)
3. ใช้ Creative thinking ออกแบบ RBL 3. ดินเหนียวผสมนำ�้ ปัน้ เป็นลูกบาศก์
โดยสรา้ งเหตุ สังเกตผล โดย วัดความชืน้ สงั เกตการหดปรมิ าตร
• เหตุต้องเปน็ สิ่งทีส่ รา้ งได้ • ช่ังน�้ำ ชั่งดิน ผสม ปน้ั ตาก
ควบคุมได้ วดั ได้ ช่ังน้�ำหนักทหี่ าย
• ผลเป็นสิ่งทส่ี ังเกตได้ วดั ได้ • หาปรมิ าตรการหดตัวของลูกบาศก์
4. อธบิ ายความสัมพันธ์ของเหตแุ ละผล 4. เขยี นกราฟ ดินหดตัวเมื่อแห้ง
ดว้ ยความรู้ ส่วนแห้งก่อนดึงสว่ นแหง้ ชา้ ใหข้ าด
5. ใชต้ รรกะสรุปเป็นความรู้ใหม่ 5. ดินปั้นในข้อ 1 แตกเพราะหดตวั ไมพ่ รอ้ มกนั
ด้วยความคดิ สงั เคราะห์ ดงึ กัน แกป้ ญั หาได้โดย...

สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ 73

เคร่ืองปั้นดินเผาแตกร้าวขณะผ่ึงแห้งรอเผาคือ
ข้อสงสัย (หรือปัญหาท่ีต้องการแก้ไข) ประสบการณ์
เห็นดินท้องนาแตกระแหงหน้าแล้งเป็นปรากฏการณ์
ใหเ้ ห็นความสัมพนั ธร์ ะหว่าง “แหง้ ” กับ “แตก” รอ่ ง
ขนาดใหญ่ท�ำให้รู้ว่าปริมาตรหายไป ซึ่งหมายถึงการ
หดตัว ปรากฏการณ์น้ีท�ำให้เราเช่ือมโยง “แห้ง” “หด
ตัว” และ “แตก” เขา้ ด้วยกนั จนิ ตนาการเป็นขอ้ สงสัย
(สมมุติฐาน)
หากไม่มีสมมุติฐานที่เชื่อมโยงความเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน นักเรียนจะไม่สามารถออกแบบ
การทดลอง (สรา้ งเหตุ สงั เกตผล) ได้ โครงงานจงึ เปน็ แค่เพียงสงั เกตปรากฏการณร์ ะหว่างเหตตุ น้ ทาง
กับผลปลายทาง การท�ำอย่างนี้ได้เรียนรู้เพียง what คือเกิดอะไร และจะไม่สามารถหลุดพ้นจาก
การท�ำวจิ ยั แบบเดิม ๆ คือคิดถึงแต่เคร่อื งมอื ทเ่ี ป็นแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบสำ� รวจ ฯลฯ
เพราะสงสัยอย่างเป็นเหตุเป็นผล จึงใช้ความคิดสร้างสรรค์ออกแบบการท�ำงานพิสูจน์ความ
สัมพันธ์ระหว่างเหตุ คือ “การหดตัวเมื่อแห้ง” และผล คือ “การแตกร้าว” เมื่อรู้เหตุของผลที่ไม่
พงึ ประสงค์ (เครอื่ งปน้ั แตกรา้ ว) การแกป้ ญั หาจงึ ท�ำไดโ้ ดยลดการหดตวั ดว้ ยการผสมทราย (ซงึ่ ไมห่ ดตวั
เม่ือแห้ง)
ประสบการณ์ดึงเชือกขาดท�ำให้เช่ือมโยงระหว่าง “แตก” เข้ากับ “ดึง” จินตนาการเห็นว่า
ดินส่วนที่แห้งก่อนจะแข็งคงท่ีขยับไมได้ ดินท่ีแห้งจึงออกแรงดึงเมื่อดินส่วนท่ีแห้งภายหลังพยายาม
หดตวั หากตงั้ เปา้ ทา้ ทายใหว้ ดั คา่ แรงดงึ เมอื่ ดนิ หดตวั นกั เรยี นทที่ ำ� โครงงานนจ้ี ะใชค้ วามคดิ สรา้ งสรรค์
ในการแก้ปัญหาซับซ้อนข้ึน แต่ได้ค�ำตอบส�ำคัญเพราะเจาะลึกไปที่สาเหตุ (กลไก) พ้ืนฐาน ช่างปั้น
แก้ปญั หาโดยใชผ้ ้าคลมุ ใหท้ ุกสว่ นแห้งพร้อม ๆ กนั เพราะกลไกมันเปน็ เชน่ นี้ จินตนาการทเ่ี ชือ่ มโยง
ความสมั พันธ์ของเหตุและผลจึงเปน็ บอ่ เกดิ ของความคิดสร้างสรรค์
การทำ� โครงงานทค่ี นุ้ เคยหรอื ทำ� ตาม ๆ กนั มาไมต่ อ้ งใชจ้ นิ ตนาการอะไรมาก แตเ่ พาะพนั ธป์ุ ญั ญา
ให้หลักคิด “ผลเกิดจากเหตุ” และจินตนาการถึงเหตุของเหตุ และผลของผล การท�ำโครงงานของ
เพาะพันธุ์ปัญญาจึงอธิบายได้ถึง why เพราะอธิบาย why จึงดึงความรู้ในสาระวิชาออกจากตัวเอง
เพราะสาระวชิ าถูกเอาออกมาใชจ้ งึ เหน็ คณุ ค่าการเรยี น และรู้ why ในการเรียน เพราะรู้ why ของ
การเรยี นจงึ ....

74 จากรากแก้วสู่ผลของตน้ เพาะพันธป์ุ ัญญา

Lift High speed,
Aerofoil Reduced pressure

เขาŒ ใจกฎท่เี ปšนกลไกธรรมชาติ

กฎของธรรมชาติ 2 Low Speed, ส�ิง ่ีท E ิคด
Increased pressure

ใชŒประโยชนก ฎธรรมชาติ 2
เพอ่� เอาชนะกฎธรรมชาติ 1

LIFT

กฎของธรรมชาติ 1 GRAVITY
GRAVITY

เป้าหมายของสะเตม็ ศกึ ษาคอื ให้ผูเ้ รียนเข้าใจการเกิดเทคโนโลยีเพอ่ื สร้างนวัตกรรมไดเ้ อง คนที่
สรา้ งเทคโนโลยีคอื วิศวกร (Engineer) โดยเขาใช้วทิ ยาศาสตร์ (Science) ผ่านคณติ ศาสตร์ (Mathe-
matics) เราสามารถอธบิ ายได้ว่า “STEM คอื การศึกษาท่ีเข้าใจจริตของยักษ์ เพอ่ื หาทางยใุ ห้ยกั ษ์
จ�ำนวนมากจดั ทพั รบกับยักษท์ ม่ี นษุ ยไ์ ม่ชอบ”
ยกั ษค์ ือกฎธรรมชาติ เช่น ความรอ้ นต้องเคลื่อนย้าย (ถ่ายเท) จากแหล่งอณุ หภมู สิ งู ไปยังแหล่ง
อณุ หภมู ติ ำ่� เสมอ กาแฟรอ้ นจงึ เยน็ เทา่ อณุ หภมู หิ อ้ ง ดว้ ยกฎของยกั ษต์ นนี้ เมอื่ คนอยรู่ วมกนั ในหอ้ งปรบั
อากาศอุณหภูมิจะเพ่มิ ขึ้นเพราะคนปล่อยความรอ้ นออกมาจากตวั (ท่ี 37 องศา) และมีความร้อนจาก
ภายนอกผา่ นเขา้ มาทางผนงั เครอ่ื งปรบั อากาศคอื เทคโนโลยี (T) ทเี่ อาความรอ้ นจากอณุ หภมู ติ ำ�่ ไปทง้ิ
ที่อณุ หภมู ิสูง (นอกหอ้ ง) ซงึ่ ฝนื กฎธรรมชาตทิ เ่ี ปน็ ยักษ์

สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 75

มนุษย์ไม่สามารถเอาตัวเองไปรบกับยักษ์ได้ เคร่ืองปรับอากาศเป็นการรวมกองทัพยักษ์อ่ืน ๆ
ยักษ์เคมีเป็นยักษ์ตนแรกที่มนุษย์เอามาเป็นพวก มนุษย์เอาสารเคมีมารวมกันเป็นสารท�ำความเย็น
(refrigerant) โดยมียกั ษ์ฟสิ กิ ส์ในชอ่ื คอมเพรสเซอร์ท�ำหนา้ ทใี่ หย้ กั ษเ์ คมมี คี วามดนั เหมาะแก่การสูก้ ับ
ยักษ์ท่ีเราไม่ชอบ คือเอาความร้อนออกไปทิ้งข้างนอกห้อง คอมเพรสเซอร์ท�ำงานได้เพราะมียักษ์แม่
เหลก็ และขดลวดมาหมนุ มนั ในนามมอเตอร์ และมยี กั ษไ์ ฟฟา้ ทำ� ใหย้ กั ษม์ อเตอรห์ มนุ ไดอ้ กี ชน้ั หนงึ่ ยกั ษ์
ไฟฟ้าเองกม็ าจากเทคโนโลยีโรงไฟฟ้าท่เี ปล่ยี นยกั ษ์เคมี (ถ่านหนิ แกส๊ ธรรมชาต)ิ ให้เปน็ ไฟฟา้
เครื่องปรับอากาศคือการรวมกองทัพยักษ์ท่ีจัดการโดยมนุษย์ท่ีเรียก “วิศวกร” พวกเขาใช้
คณติ ศาสตรม์ าผกู รวมยกั ษท์ งั้ หลายเปน็ กองทพั ใหเ้ ปน็ เทคโนโลยเี ครอ่ื งปรบั อากาศ (air conditioning
technology )
เคร่ืองบินในรูปข้างต้นเป็นการต่อสู้ระหว่างยักษ์แรงโน้มถ่วงที่ท�ำให้ของหนักตกสู่พื้นโลก (law
of gravity) ยกั ษท์ ีเ่ อาชนะไดค้ อื ยักษก์ ฎความคงตวั ของพลงั งาน (law of energy conservation)
มนุษย์ใช้คณิตศาสตร์ค�ำนวณแพนปีกที่เหมาะสมให้อากาศมีความเร็วสูงท่ีผิวด้านบน ยักษ์กฎความ
คงตัวพลงั งานจงึ ยอมลดความดนั ลงให้เกิดเปน็ แรงยกจากความดนั ใต้ปีกเอาชนะยักษ์แรงโนม้ ถ่วงได้
นกั วทิ ยาศาสตรค์ อื คนทคี่ น้ พบยกั ษแ์ ลว้ เอามาเขยี นเปน็ ความรใู้ หเ้ ราเรยี น นวิ ตนั เปน็ นกั วทิ ยาศาสตร์
ค้นพบยักษ์แรงโน้มถ่วง เบอร์นูลีเป็นนักวิทยาศาสตร์พบยักษ์การเปล่ียนพลังงานของอากาศท่ีไหล
ผ่านแพนปีก เรารู้ขนาดและรูปร่างปีกได้จากคณิตศาสตร์ ซ่ึงก็เป็นยักษ์ท่ีค้นพบโดยนักคณิตศาสตร์
อีกเช่นกัน
เพาะพันธุ์ปัญญาสอนให้ครูเข้าใจสะเต็มง่าย ๆ ว่า “ถ้าโครงงานไม่สามารถอธิบายยักษ์และ
วิธกี ารจดั ทพั ยกั ษ์ได้ โครงงานน้นั ไมใ่ ชส่ ะเต็ม”

76 จากรากแก้วสู่ผลของต้นเพาะพนั ธ์ุปัญญา

เทคโนโลยี เมื่อโครงงานสะเต็มไม่ใช่การท�ำชิ้นงาน
(สง่ิ ประดษิ ฐ)์ แลว้ พยายามหา S-T-E-M ในชนิ้ งาน
วศิ วกรรมศาสตร์ การเรยี นสะเตม็ จงึ ตอ้ งตงั้ หลกั จากความเขา้ ใจวา่
คณิตศาสตร์ Engineering เป็นฟันเฟอื งที่มี Science และ
Mathematics เป็นฐาน วิศวกรรมศาสตร์คือ
การหลอมรวมความรทู้ งั้ 2 ใหเ้ ปน็ Technology
การอยรู่ ว่ มของ S-T-E-M จงึ มลี �ำดับช้ัน
เทคโนโลยีไม่ใช่ส่ิงท่ีเกิดมาโดยไม่ต้องคิด...
ก่อนการหลอมรวมวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์
ให้เป็นเทคโนโลยีวิศวกรต้องคิดถึงความต้องการ
ของผใู้ ชเ้ ทคโนโลยี เพราะเขาเหลา่ นน้ั คอื ผจู้ า่ ยเงนิ
ให้ได้เทคโนโลยี ดังน้ันส่ิงท่ีก�ำกับความคิดของ
วิศวกรคอื ความต้องการของลกู คา้ และคแู่ ข่ง

วิทยาศาสตร์

ถา้ เปน็ ของใหมท่ ไ่ี มเ่ คยมมี ากอ่ น เทคโนโลยนี นั้ ยอ่ มเรยี กลกู คา้ มาจา่ ยเงนิ ไดง้ า่ ย หากวศิ วกรเรมิ่ งาน
จากการวิเคราะห์กิเลสผู้ซื้อ ความสะดวกสบายการใช้ชีวิตคือกิเลสอย่างหนึ่ง เราจึงเห็นเทคโนโลยี
อ�ำนวยความสะดวกให้มนุษย์ รถยนต์และเครื่องบินเกิดได้เพราะสนองกิเลสความสะดวกสบาย
ไดด้ ีกวา่ เกวยี น
แต่ถ้าเป็นของท่ีมีอยู่แล้วในท้องตลาด วิศวกรต้องวิเคราะห์คู่แข่งเพ่ิมอีกอย่างหน่ึง การสร้าง
เทคโนโลยีเพ่ือแย่งลูกค้าจากคู่แข่งไม่มีทางส�ำเร็จหากของท่ีเราสร้างไม่มีนวัตกรรมเอาชนะคู่แข่ง
ในจุดท่ลี กู ค้าอยากได้
การเรียนสะเต็มให้เอาไปใช้ได้ตามความเป็นจริงจึงต้องเรียนตามบริบทการเป็นวิศวกร ไม่ใช่
นักการศึกษา

สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์ 77 การพัฒนา
อ ‹ยาง‹ ่ัยง ืยน
ทิศทางการศกึ ษาเพ�่อการพัฒนา Thailand 4.0 อยา‹ งยั่งยนื
่ยังยืน
ฐานกาย
ัพฒนา
ป˜ญญา

ฐานใจ ฐานคิด

เพาะพันธุ์ปัญญาเร่ิมจากแนวความคิดการท�ำโครงงานฐานวิจัยโจทย์นอกห้องเรียนที่ใช้หลัก
เหตุ-ผลแทนการส�ำรวจและสถิติ ซึ่งท�ำให้ผู้เรียนพัฒนาปัญญาท้ัง 3 ฐาน คือสมอง กาย และใจ
(cognitive, psychomotor, affective domains) เม่ือการศึกษาไทยน�ำเอาสะเต็มศึกษาเข้ามาใน
ปที ่ี 2 ของการทำ� งานพฒั นาครู เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาจงึ สรา้ งสะเตม็ เปน็ ของตนเอง เรยี ก RBL-Based STEM
ทส่ี ามารถบรู ณาการวทิ ยาศาสตรแ์ ละคณติ ศาสตรเ์ ขา้ สกู่ ระบวนการคดิ แบบผงั เหต-ุ ผลไดอ้ ยา่ งกลมกลนื
เม่ือเริ่มงานระยะท่ี 2 (ปีที่ 5-6) ท่ีมีเป้าหมายสร้างความยั่งยืนโดยให้เพาะพันธุ์ปัญญาเป็นที่
ยอมรบั ของการศกึ ษาไทย เพอื่ ใหก้ ลไกของกระทรวงศกึ ษาธกิ ารรบั ไปปฏบิ ตั ิ โครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา
ได้สร้างความท้าทายใหม่โดยพัฒนาความคิดครูให้เข้าใจปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและความคิด
เชงิ ระบบของโลก 2 โลก ไดแ้ ก่ โลกอนิ ทรยี แ์ ละโลกกลไก จงึ เกดิ แนวคดิ การทำ� โครงงานฐานวจิ ยั SEEEM
ต่อยอด RBLข้ึนไป การท�ำโครงงาน SEEEM ท�ำให้ผู้เรียนเข้าใจทั้งการพัฒนา (development)
จากผลผลติ สะเตม็ และความยัง่ ยืน (sustainability) จากปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
SEEEM ทำ� ใหร้ วู้ ธิ จี ดั ทพั ใหย้ กั ษร์ บกนั แตพ่ อควร ไมใ่ หโ้ ลกกลไกบดขยโี้ ลกอนิ ทรยี จ์ นแหลกลาญ
พัฒนาการตอ้ งมตี ่อไป แต่ความย่ังยืนตอ้ งคงอยู่
เพราะความคิดเชิงเหตุ-ผลที่ต่อยอดเป็นความคิดเชิงระบบให้เข้าใจท้ังโลกกลไก (สร้างกลไก
ผ่านกองทัพยักษ์เพื่อเอาชนะธรรมชาติ) และโลกอินทรีย์ (โลกของสิ่งมีชีวิตท่ีระบบวิวัฒนาการท�ำให้
เปราะบางตอ่ การเปลีย่ นแปลง) SEEEM ของเพาะพนั ธปุ์ ัญญาไดเ้ ปลยี่ นความขัดแย้งของสะเตม็ ศึกษา
และปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งใหเ้ ปน็ การอย่รู ่วมกันอยา่ งกลมกลนื

78 จากรากแกว้ ส่ผู ลของตน้ เพาะพันธ์ปุ ญั ญา

CT = Creative Thinking ใส‹ C&EE&M C = Context
ใส‹ C&EE&M
ความเปนš ปศพพ.
ใส‹ S&M&CT

หุŒมฉนวนแบบ E ความย่ังยืนของธรรมชาติ

ควมเปšนฉนวน SEEEM RBL-SEP การเสยี ทรัพยากร

RBL-STEM ปร�มาณทงิ�
ความรอŒ นเขาŒ
ใส‹ S&M ความเร็วนำ้ แขง็ ละลาย ใส‹ C&EE&M
เง�นที่เสยี
ใส‹ S&M

สะเตม็ มี S และ M ผนวกอยู่ในระบบคิดเหตุและผลโดยปรยิ าย นกั เรยี นต้องรจู้ ักใช้ S และ M
มาสร้าง T ไม่ใช่สร้างสิ่งท่ีไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น T แล้วพยายามบอกว่าเป็นโครงงานสะเต็ม โดยหา
S, T, E, M ออกมาจากโครงงาน เพราะเราไม่สามารถเทนำ้� ออกจากขวดเปลา่ ได้
เชน่ กนั ... การสอนโครงงานปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งไมใ่ ชท่ ำ� โครงงานแลว้ หา 3 หว่ ง 2 เงอื่ นไข
จากงานมาอธิบายใหเ้ ป็นโครงงานเศรษฐกิจพอเพยี ง เพราะ “ความเปน็ ” ตอ้ งมีอย่กู อ่ นตัง้ แต่คิดท�ำ
สะเต็มอยู่ในระบบคิดของ E ในการใช้ S และ M มาสร้าง T เอาชนะธรรมชาติ ปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียงอยู่ในระบบคิดท่ีเห็นสรรพส่ิงสรรพปรากฏมีความสัมพันธ์ท่ีอิงอาศัยกัน เกิดเป็น
ระบบนิเวศที่มีพลวัตเคล่ือนไปตามเหตุและผลแห่งกฎวิวัฒนาการของธรรมชาติ ปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียงจงึ เปน็ หลักของวิถชี ีวติ เพื่อความยั่งยนื

สธุ ีระ ประเสริฐสรรพ์ 79

ชวี ติ เปน็ โลกววิ ฒั นาการ เปลยี่ นแปลงชา้ ๆ ปรบั ตวั ตามสภาพแวดลอ้ ม การปรบั ตวั ของสรรพสงิ่
ท�ำให้สภาพแวดล้อมเป็นพลวัติด้วย สะเต็มเป็นโลกพัฒนาการ เกิดจากการดัดแปลงเอาชนะ
ธรรมชาติ ซึ่งเป็นตัวการเร่งความเป็นพลวัติของธรรมชาติ จึงกระทบรุนแรงต่อส่ิงมีชีวิตท่ีอยู่ใน
โลกวิวัฒนาการ กลายเป็นสรรพปรากฏที่หลายคนยากจะเข้าใจได้... ยกเว้นเมื่อเราเห็นโลกทั้ง
2 อย่างเป็นระบบ
วิทยาศาสตร์ให้ความรู้ว่าน�้ำแข็งละลายเร็วในถังโลหะ น้�ำแข็งคือน้�ำคลองท่ีผ่านกระบวนการ
ทางเคมี ฟิสิกส์ให้เป็นน�้ำสะอาด ใช้พลังงานไฟฟ้าท�ำให้เป็นน้�ำแข็ง การท�ำน้�ำเหลวให้เป็นน้�ำแข็งคือ
สะเต็ม และการละลายของน�้ำแข็งคือการท�ำงานของยักษ์ ถังโลหะที่เร่งเปล่ียนน�้ำแข็งให้เป็นน้�ำเหลว
เพื่อเททงิ้ จงึ ไม่เปน็ ถังปรัชญาของเศรษฐกิจพอพียงเมื่อเทยี บกบั ถังพลาสติก (ทเ่ี ป็นฉนวนมากกวา่ )
ถงั โลหะไมเ่ ปน็ ฉนวนท�ำใหน้ ำ�้ แขง็ ละลายเรว็ สง่ ผลตอ่ เนอ่ื งใหเ้ สยี เงนิ มากขนึ้ สญู เสยี ทรพั ยากร
จงึ ไมเ่ ปน็ ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง การทำ� โครงงานหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเหตุ (ความเปน็ ฉนวน)
และผล (ความเรว็ การละลาย) คอื RBL ทเ่ี ขา้ ใจยกั ษ์ การทำ� โครงงานทใี่ ชค้ วามรเู้ รอื่ งฉนวนและหลกั คดิ
แกป้ ัญหาอย่างวิศวกรรมศาสตรเ์ อาฉนวนมาหุม้ ถังเพื่อแกเ้ หตใุ ห้คา่ ฉนวนเพ่มิ ข้นึ (ซีกซา้ ยของรูป) คอื
สะเตม็ บนฐาน RBL เพราะไดพ้ ยายามเอาชนะยกั ษท์ เี่ ราไมช่ อบ และทำ� โครงงานเพอื่ เขา้ ใจความเปน็ เหตุ
เปน็ ผลระหวา่ งการละลายนำ้� แขง็ ทง้ิ กบั ผลทเ่ี กดิ กบั เศรษฐกจิ และธรรมชาติ (ซกี ขวาของรปู ) คอื ปรชั ญา
ของเศรษฐกิจพอเพียงบนฐาน RBL
การเรียนรู้ท้ังหมด คอื SEEEM ทเี่ ปน็ นวตั กรรมทางความคดิ ของเพาะพันธุป์ ญั ญาในการผนวก
สะเต็มเข้ากับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยแทน T (ของ STEM) ด้วย E (Economics) และ
E (Ecology) ใหเ้ หมาะกบั นกั เรียน... ท่ีควรเรียนเพ่ือการมชี วี ติ อยกู่ ับอาชีพบนฐานทรัพยากร

80 จากรากแกว้ สผู่ ลของต้นเพาะพนั ธ์ปุ ัญญา

ความเปนš ปศพพ.

หŒมุ ฉนวนแบบ E ความย่งั ยืนของธรรมชาติ

ความเปšนฉนวน SEEEM RBL-SEP การเสยี ทรพั ยากร

ความรอŒ นเขาŒ RBL-STEM ปร�มาณทิ�ง

STEM ความเรว็ น้ำแข็งละลาย SEP

เงน� ทเ่ี สีย

SEEEM

RBL-STEM RBL-SEP

หŒุมฉนวนแบบ E RBL ความเปนš ปศพพ.
ควมเปนš ฉนวน ความยง่ั ยืนของธรรมชาติ
ควมเปšนฉนวน การเสียทรพั ยากร
ความรอŒ นเขาŒ ความรŒอนเขŒา ปรม� าณท�งิ
ความเร็วนำ้ แขง็ ละลาย ความเร็วนำ้ แข็งละลาย
RBL-STEM เง�นทีเ่ สีย
RBL-SEP

เรื่องเดียวมีหลายมุมมอง เมื่อต้องการพิสูจน์สมมุติฐานที่อิงกฎธรรมชาติ เราใช้วิธีสร้างเหตุ
และสังเกตผล ซ่ึงคือการเรียนรู้กฎธรรมชาติด้วยการท�ำวิจัย RBL ในกรณีนี้ คือ รู้ค่าฉนวนของวัสดุ
วดั ความรอ้ นที่ผา่ นฉนวนเพอ่ื เอาไปอธิบายความเร็วในการละลายของน�้ำแข็ง
เม่ือบูรณาการ RBL กับสะเต็ม การแก้ปัญหาคือการแก้เหตุ ในกรณีน้ีคือหุ้มฉนวนด้วยความรู้
ทางวิทยาศาสตร์เก่ียวกับฉนวน เลือกใช้ฉนวนด้วยความคิดทางวิศวกรรมศาสตร์ท่ีมีคณิตศาสตร์
เปน็ เครอื่ งมือ เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาสร้างโครงงานสะเตม็ ขึ้นจากฐาน RBL เรยี ก RBL-STEM
ในพ้นื ที่ซ้อนทับของ RBL และปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง คือ RBL-SEP ซึ่งเปน็ พน้ื ทเ่ี รียนรู้
ความเป็นเหตุเป็นผลของ RBL ท่ีถูกใช้เพ่ือน�ำความคิดนักเรียนให้หาข้อมูลมาอธิบายความสัมพันธ์
ระหว่างเศรษฐกิจและทรัพยากรจากการละลายของน้�ำแข็ง เพื่อเข้าใจการใช้ชีวิตให้พัฒนาต่อไป..
อยา่ งยั่งยนื

สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ 81

SEEEM คือการเรียนรู้จากการแลกเปล่ียนเรียนรู้ของ RBL, RBL-STEM และ RBL-SEP เป็น
กระบวนการท่ีผู้เรียนร่วมกันพิจารณา 1) ความเป็นไปตามกฎธรรมชาติของ RBL 2) เข้าใจการใช้
ประโยชนจ์ ากกฎธรรมชาติเพ่ือแก้ปัญหาด้วย RBL-STEM (ในกรณีน้คี ือสรา้ งฉนวน หรือในกรณีอ่ืนคือ
สร้างนวตั กรรม) และ 3) เขา้ ใจผลกระทบที่โลกพัฒนาการมีต่อโลกววิ ัฒนาการของ RBL-SEP ในทสี่ ดุ
เห็นสรรพส่ิงและสรรพปรากฏเช่ือมโยงถึงกันอันเกิดจากการกระท�ำของมนุษย์ เรียนรู้การมีตัวตน
ทเ่ี ล็กกว่าธรรมชาติ รจู้ กั การถนอมการกระท�ำเพื่อความยั่งยืนแก่โลก
SEEEM เปน็ แนวทางใหน้ กั เรยี นเรยี นรกู้ ารมองโลกอยา่ งบรู ณาการ ทค่ี วามรตู้ า่ ง ๆ เชอ่ื มโยงถงึ กนั
ให้ครูทุกสาระทำ� งานร่วมกนั ในโครงงานเดยี ว ใหภ้ าษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์
ศลิ ปะ ฯลฯ มาอยใู่ นทีท่ เี่ ดียวกนั สภาพการเรียนเปน็ แทง่ ความร้จู ะหายไป

82 จากรากแกว้ ส่ผู ลของตน้ เพาะพันธป์ุ ญั ญา

Optimization & Compensation SPEroEjEeMctBalance & Sustainability

Man & Nature Harmonization

Systems Thinking of 2 Worlds
สะ Œทอน ิคด ชุมชนร‹วมสคนิดับวสเ�คนรุนากะาหร-เรสย� ังนเครูŒราะห

ันกเร�ยนปฏิ ับ ิตนำเสนอ
คิดเชิงเห ุต-ผล
STEM Education SEP Education
ReBsaesaerdch-
Project
จ�ตตปญ˜ ญาศกึ ษา
ครเู รย� นกระบวนการผ‹าน KM/PLC

“ถามคือสอน” “เขย� นคือคดิ ”

RBL คอื การสรา้ งความรู้ด้วยระบบคดิ “ผลเกิดจากเหต”ุ อันเปน็ หลักส�ำคัญของการเกดิ ปญั ญา
ของมนุษย์ จึงเปรียบดังพื้นปฐพีที่ให้สะเต็มและปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตอกเป็น “เสาเข็ม”
มี “ความคดิ เชงิ ระบบของ 2 โลก (Systems Thinking of 2 Worlds) “เป็น “คาน” รองรบั โครงงาน
SEEEM
โลก 2 โลก คือ โลกอินทรีย์และโลกกลไก ความคิดเชิงระบบของโลกอินทรีย์ คือ ความคิด
ท่ีเข้าใจในธรรมชาติของความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตท่ีอยู่ร่วมกันเป็นระบบนิเวศ ความคิดเชิงระบบ
ของโลกกลไกท�ำให้เข้าใจเหตุ-ผลและเหตุผลของกฎธรรมชาติ เพ่ือให้มนุษย์ดัดแปลงธรรมชาติ
มารบั ใชค้ วามตอ้ งการ (กเิ ลส) ของมนษุ ย์ โลกอนิ ทรยี จ์ งึ เปน็ โลกของปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
และโลกกลไกคือโลกสะเต็ม

สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 83

โครงงาน SEEEM คือโครงงานท่ีมีเน้ือหาให้นักเรียนบูรณาการความสนใจใน 3 มิติ ได้แก่
1) ความกลมกลืนเป็นหน่ึงเดียวกันของมนุษย์และธรรมชาติ (man and nature harmonization)
อันเป็นฐานคิดส�ำคัญของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ 2) การสมประโยชน์มากท่ีสุดและการชดเชย
(optimization and compensation) เม่ือมีการได้ประโยชน์ย่อมมีการเสียประโยชน์ ดังนั้น
ผู้ท่ีสมประโยชน์มากที่สุดต้องมีการชดเชยให้กับผู้ท่ีเสีย และ 3) ความสมดุลและย่ังยืน (balance
and sustainability) เพราะสมดุล (จากการเดินในเสน้ ทางสายกลาง) เปน็ เหตขุ องความย่งั ยืน ซง่ึ เปน็
การพฒั นาในอุดมคตทิ ่ีในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานไว้เป็นมรดกของโลก
SEEEM หมายถงึ การเรียนรูจ้ ากการท�ำโครงงานฐานวิจัย (Research-Based Project) ท่ี
บรู ณาการวทิ ยาศาสตร์ (Science) วศิ วกรรมศาสตร์ (Engineering) คณติ ศาสตร์ (Mathematics)
โดยใชโ้ จทยจ์ ากชวี ติ จรงิ ของชมุ ชนทดี่ ำ� รงชพี บนฐานทรพั ยากรธรรมชาติ นกั เรยี นทำ� โครงงานเกยี่ ว
กบั อาชีพเพอื่ ตอบสนองความต้องการทางเศรษฐกจิ (Economy) โดยเข้าใจความสมดลุ ในการใช้
ประโยชนจ์ ากนิเวศนธ์ รรมชาติ (Ecology)
เพาะพนั ธุป์ ัญญามอบหลักคดิ ใหค้ รวู า่ โจทย์ SEEEM มลี ักษณะดังนี้
1. เหน็ supply and value chain ทเี่ ข้าใจการแบง่ ปันผลประโยชน์
2. เหน็ การอยอู่ ย่างสมดลุ อยา่ งพ่งึ พากนั ของสรรพชีวิตในโลกอินทรีย์ (organic world)
3. เหน็ การใชป้ ระโยชน์ของโลกกลไก (mechanistic world) ท่ีไมเ่ กินก�ำลังของโลกอนิ ทรยี ์
4. สร้างความเข้าใจว่ามนุษย์เป็นส่วนหน่ึงของธรรมชาติ ต้องใช้ความคิดพิชิตธรรมชาติของ
สะเตม็ อย่างระมดั ระวัง
5. สร้างแนวคดิ holistic optimization

84 จากรากแกว้ สู่ผลของตน้ เพาะพนั ธป์ุ ัญญา

ชาวเพาะพนั ธปุ์ ญั ญา

หวังดี กลŒาหาญ
ตอ‹ ศษิ ย

จ�ตใจ เพย� ร
เสยี สละ

เปดใจ อดทน
เรย� นรŒู

ชาวเพาะพนั ธ์ุปัญญาผทู้ ่ีผมใหเ้ ครดิตต่อความสำ� เร็จมากที่สดุ คือครูและพเี่ ล้ยี ง
งาน coach โครงงานฐานวจิ ยั เปน็ สง่ิ ใหมส่ ำ� หรบั ครู และมคี วามยากทค่ี รตู อ้ งเปลยี่ นกระบวนทศั น์
หลายอย่างทั้งกระบวนการความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับนักเรียน ทั้งความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับวิจัย
และทั้งความล�ำบากของบริบทรอบด้านในโรงเรียน การมี growth mindset ที่ท�ำให้ครูฟันฝ่า
จงึ เปน็ ปจั จัยส�ำคัญทส่ี ดุ ของความสำ� เร็จ เพราะถา้ ครไู ม่ลกุ ขน้ึ มาสู้ เพาะพนั ธป์ุ ัญญากไ็ ม่สามารถ
เกดิ ขนึ้ มาในวงการการศึกษาได้ ครจู งึ เปน็ “ครุ คุ วรคารวะ”23 แรกท่ผี มขอชืน่ ชม
ครทู ำ� ใหเ้ พาะพนั ธป์ุ ญั ญาสำ� เรจ็ เพราะสมบตั ิ 6 ประการ ไดแ้ ก่ ครเู ปน็ ผหู้ วงั ดตี อ่ ศษิ ย์ ความกลา้ หาญ
ความเพยี ร ความอดทน การเปิดใจเรยี นรู้ และมจี ติ ใจเสียสละ
เพาะพันธุ์ปัญญาเข้าสู่โรงเรียนโดยไม่มีระบบอ�ำนาจสั่งการลงมา สมบัติทั้ง 6 ประการจึงเป็น
คาแรกเตอร์ส่วนตัวของครู ที่ท�ำให้กระบวนทัศน์เปล่ียนไป ครูบางท่านเปล่ียนกระบวนทัศน์ก่อน
แล้วจึงเกิดสมบัติท้ัง 6 จากการปฏิบัติ กระบวนทัศน์และสมบัติครูเพาะพันธุ์ปัญญาจึงเป็นทั้งเหตุ
และผลตอ่ กัน

23 “คุรุควรคารวะ” เป็นหนังสือในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาล�ำดับที่ 30 เขียนถึงการท�ำงานเป็นครูและศิษย์ต่อกันและกัน
ของพ่เี ล้ียงและครู

สุธรี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 85

ความส�ำเร็จของการเปล่ียนกระบวนทัศน์ครูอยู่ที่กระบวนการเพาะพันธุ์ปัญญาที่ 1) มีพ่ีเล้ียง
เปน็ กลั ยาณมติ ร 2) กระบวนการ workshop ทคี่ รูพบการเปล่ียนแปลงทางจติ ใจและความคดิ ความ
เช่ือใหม่ และ 3) การเปล่ียนแปลงอย่างเดน่ ชัดของนกั เรยี นที่ไม่มีการสอนแบบใดเปล่ียนไดม้ าก่อนใน
ประสบการณ์ของครู
ทงั้ 3 ประการทเ่ี ปลย่ี นกระบวนทศั นค์ รนู น้ั เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาพบวา่ การเปลยี่ นครอู ยทู่ กี่ ระบวนการ
ในการจัดการความสัมพันธ์ในข้อ 1 และ 2 จนกระท่ังเกิดผลเป็นข้อ 3 ครูจึงสมาทานวิธีการของ
เพาะพนั ธปุ์ ัญญาอย่างสมบรู ณ์
พี่เลี้ยงเพาะพันธุ์ปัญญาเป็น “คุรุควรคารวะ” คนส�ำคัญ ถึงแม้จะเขียนต่อจากครู แต่ไม่ได้
หมายความว่าด้อยล�ำดับกว่าครู เพราะทั้งพี่เล้ียงและครูเป็นคู่แฝดที่ต้องท�ำงานไปด้วยกัน ถ้าไม่มีครู
งานการศึกษาจะไมถ่ ึงเดก็ และถ้าไม่มพี เ่ี ลีย้ งครกู ท็ �ำไม่ได้

86 จากรากแกว้ สผู่ ลของต้นเพาะพันธุ์ปญั ญา

ฉลาด

ความ แรง
ล‹ุมหลง บันดาลใจ

ขยนั พ�เ่ ล้ียง เร�ยนรŒู

เจตนาดี

งานการศึกษาแบบเพาะพันธุ์ปัญญาไม่สามารถส�ำเร็จได้จากการปล่อยครูให้ไปท�ำเองหลัง
การอบรม นอกจากภาระประจ�ำท่ีท�ำไม่ทันแล้ว การท�ำของใหม่ย่อมต้องการการจัดการหลายอย่าง
แม้หากว่าครูสามารถจัดการภายในโรงเรียนได้ด้วยตนเอง แต่ก็ยังมีอุปสรรคทางวิชาการและ
กระบวนการ (ท่เี ปน็ ของใหม่ส�ำหรับคร)ู เพือ่ รกั ษาแรงบนั ดาลใจใหต้ อ่ เนอื่ งในระหวา่ งทาง ครูตอ้ งการ
คนช่วยเหลืออย่างตอ่ เน่ือง คนทท่ี ำ� หน้าท่ีนีค้ อื “พ่ีเล้ียง”
พเ่ี ล้ยี งตอ้ งสมบูรณ์ดว้ ย 4 องค์ประกอบ คือ ฉลาด เป็นผูเ้ รียนร้ขู องใหม่ มเี จตนาดี และขยนั
เพราะฉลาดจงึ เขา้ ใจเรอ่ื งเชิงหลกั การไดง้ า่ ย ปรบั การใชป้ ัญญาตามสถานการณเ์ ฉพาะ เรยี นรู้ของ
ใหมเ่ รว็ และเพราะขยนั จงึ ไมด่ ดู ายในงาน หมนั่ ตดิ ตามชว่ ยเหลอื ดว้ ยเจตนาดี ทง้ั 4 ประการนหี้ นนุ ให้
พเี่ ลยี้ งทำ� ตวั เปน็ เพอ่ื นทป่ี รารถนาดตี อ่ ครู (กลั ยาณมติ ร) ซงึ่ ครไู มเ่ คยพบมากอ่ น ทอี่ าจารยม์ หาวทิ ยาลยั
ปรญิ ญาสูง ๆ จะรับฟงั ครู จงึ เปน็ ของใหมท่ ่ีสรา้ งความไว้วางใจแกค่ รู แลว้ พัฒนาเปน็ ความผูกพันของ
ท้ังสองฝ่าย
บุคคลที่มีครบ 4 ประการจะต้องถูกท�ำให้มีแรงบันดาลใจในการลงมือท�ำ เม่ือท�ำแล้วเกิด
ความลุม่ หลงในงานทีท่ �ำ ดงั นน้ั “แรงบันดาลใจ” คอื สิ่งแรกทต่ี ้องพฒั นาให้เกิดในตัวพี่เลยี้ ง
เพาะพันธุ์ปญั ญาสร้างแรงบนั ดาลใจหลายอย่างให้พ่เี ล้ยี ง เชน่ ใหท้ ราบความจริงที่น่าตกใจของ
การศึกษาที่จะเป็นปัญหาในอนาคตของชาติ การให้พบของจริงท่ีเชื่อว่าการศึกษาคือการสร้างปัญญา
ของมนุษย์ โดยน�ำไปดูการเปล่ียนแปลงของชาวบ้านท่ีท�ำงานวิจัยท้องถิ่น (แบบท่ีผมประสบมาก่อน)
ใหเ้ ชอ่ื วา่ พเี่ ลยี้ งทำ� กศุ ลสรา้ งชวี ติ ใหมใ่ หค้ นจำ� นวนมากไดผ้ า่ นการทำ� งานเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา ความลมุ่ หลง
เกิดเมอ่ื พี่เลยี้ งเห็นคณุ ค่าของตนเองและมคี วามสุขจากผลของงานทีป่ รากฏในครูและนกั เรยี น

สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 87

ความรูŒ / ประสบการณ

การจัดการ ความ ความ
จรง� ใจ
ตั้งใจ ทักษถะก‹ารยะทบอวดนการ

ทรัพยากร

ความรแู้ ละประสบการณจ์ ากการทำ� งานการศกึ ษามากวา่ 10 ปกี อ่ นทำ� โครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา
(พ.ศ. 2546-2555) ถอื เปน็ สมบตั ยิ ง่ิ ใหญ่ โดยเฉพาะความรใู้ นหลกั การเกดิ ปญั ญาจากปฏบิ ตั วิ จิ ยั เปน็ ตน้
ทนุ สำ� คญั ท่ที ำ� ให้เข้าใจการศกึ ษาและปญั หาการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน
ความสำ� เรจ็ เกิดจาก “ธรรมะจดั สรร” ให้ผมมีโอกาสลองงานยุววจิ ยั ท่ี สกว. ผู้สนับสนุนให้เกดิ
ธรรมะจัดสรรคอื ศ.ดร.ปิยะวัติ บญุ -หลง (ผ้อู ำ� นวยการ สกว.ขณะน้ัน) ท่ไี มเ่ คยปฏิเสธการลองงานใหม่
ในกระบวนทศั นใ์ หมข่ องคำ� วา่ “วจิ ยั ” นอกจากความรแู้ ละประสบการณแ์ ลว้ ยงั ทำ� ใหผ้ มรทู้ งั้ การจดั การ
และกระบวนการถ่ายทอดงาน (การเรยี นรู้จากการท�ำ workshop)
ล�ำพังทรัพยากรจากส�ำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยและ บมจ. ธนาคารกสิกรไทย ไม่อาจ
ช่วยให้เพาะพันธุ์ปัญญาส�ำเร็จได้เช่นปัจจุบัน หากไม่มีปัจจัยที่ส�ำคัญมากอีกปัจจัยหน่ึง นั่นคือ
อสิ รภาพในการทำ� งาน
งานทเี่ ปน็ innovation ตอ้ งการอสิ รภาพในการสรา้ งสรรคง์ าน จงึ ถอื วา่ ความสำ� เรจ็ เกดิ จาก
ความไวว้ างใจของ สกว. และ บมจ. ธนาคารกสกิ รไทยด้วย ท่ปี ล่อยให้ทมี เพาะพนั ธุ์ปญั ญาทำ� งาน
อย่างอสิ ระ สามารถทดลองแนวคิดใหม่ ๆ ได้
หากทกุ ฝา่ ยมคี วามจรงิ ใจและความตงั้ ใจในเจตนาทเี่ ปน็ กศุ ล งานทเ่ี คยลม้ เหลวซำ้� ซากโดยวธิ อี น่ื
ยอ่ มประสบความสำ� เร็จได้ คนท่ีจะจดุ เทียนให้คนอ่ืนตอ้ งมเี ทยี นสว่างในตน เทียนของคนจุดจะสง่ ตอ่
ความสว่างไสวไดน้ น้ั ย่อมไมเ่ กดิ จากการใชแ้ สอ้ ำ� นาจมาฟาดฟนั

88 จากรากแกว้ ส่ผู ลของต้นเพาะพนั ธป์ุ ัญญา

สรุป

1. พื้นท่ีสมองของมนุษย์สัมพันธ์กับประสาทรับรู้ สมองที่เก่ียวข้องกับการได้ยินมีขนาดเล็ก
กวา่ การเหน็ และเลก็ กวา่ สมั ผสั ทางกาย มนษุ ยเ์ รยี นรจู้ ากสมั ผสั ทก่ี ายทำ� งานและสะทอ้ นคดิ
จากปรากฏการณ์ของผัสสะ ดังนั้นแทนการพัฒนาครูให้ถ่ายทอดความรู้ เราต้องพัฒนาครู
ให้มี coaching skill ให้นักเรียนสร้างความรู้ขึ้นมาเอง โดยให้นักเรียนท�ำงานท่ีเป็น
กระบวนการหาค�ำตอบด้วยหลักการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผลของ
ปรากฏการณ์ชุมชน การโค้ชต้องให้ถึงความสามารถสังเคราะห์ความรู้โดยเช่ือมโยงข้อมูล
วิจัยกับหลักการหรือทฤษฎีได้ (สร้างปริยัติจากการมีปฏิเวธจากท่ีปฏิบัติ) ต้องพัฒนาครู
ใหก้ ลา้ ทจี่ ะออกจากกบั ดกั ของการวเิ คราะหท์ างสถติ ิ มาเปน็ การสอนนกั เรยี นใหต้ ง้ั สมมตุ ฐิ าน
จากการตั้งขอ้ สงสยั ในเหตุแหง่ ผล ตามหลักธรรม “ผลย่อมเกดิ จากเหตุ”
2. มนุษย์เก็บสิ่งที่ตนเองสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อมเป็นความรู้และการกระท�ำ (ท่าทาง ข้ันตอน)
เอาความรู้มาตอบปัญหาต่าง ๆ เอาการกระท�ำมาท�ำตามเม่ือถูกส่ัง เมื่อตอบถูกท�ำถูก
จะเปล่ียนจิตใจจากตอบหรือท�ำตามสั่งเป็นเต็มใจอยากตอบหรือท�ำ ไปสู่อาสาตอบหรือท�ำ
จนถงึ ภมู ิใจท่ีไดต้ อบหรอื ทำ� ถา้ การคดิ และทำ� เปน็ ไปในทางที่ดี จติ ใจกจ็ ะเปลีย่ นไปทางดไี ด้
การออกแบบกิจกรรมการเรียนต้องอย่าห่างไกลความสามารถเดิมจนผู้เรียนรู้สึกไร้
ความสามารถ และผู้เป็นครูต้องให้ feedback ที่เกิดความรู้สึกดี (constructive and
positive feedback)
3. การพฒั นาคา่ นยิ มและจรยิ ธรรมเปน็ การผสมผสานระหว่างความรู้ ความคดิ ความรสู้ กึ และ
การลงมอื ทำ� โดยเรม่ิ จาก 2 คำ� ถามในการประเมนิ เชงิ จรยิ ธรรมวา่ (1) ทำ� ไปทำ� ไม? (2) ทำ� แลว้
ใครได้ใครเสีย? ให้คิดเปลี่ยนการกระท�ำเพื่อตนเองเป็นเพ่ือผู้อื่น จากนั้นส่งเสริมให้ท�ำแล้ว
feedback ผลดีที่เกิดกับผู้อื่น เพื่อผู้เรียนจะรู้จักค่านิยมและเหตุผลเชิงจริยธรรมในการ
กระท�ำของตน จากนัน้ ครลู ดการสง่ั ใหท้ ำ� (การบังคับจากภายนอก) แต่เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี น
ใช้เหตุผลของตนเอง เป็นการบังคับด้วยวินัยตนเอง (การบังคับจากภายใน) แล้วฝึกให้
ประเมนิ ตนเอง (feedback กบั ตนเอง หรอื นกั เรยี นเปน็ เจา้ ของการเรยี นร)ู้ ใหย้ อมรบั ตนเอง
มีเกณฑ์ของตนเอง (ไม่ใช่ตามเกณฑ์ผู้อื่น) พึงพอใจกับความส�ำเร็จตามเกณฑ์ของตนเอง
ผู้เรียนก็จะรู้สึกเป็นอิสระมีความสุขในการกระท�ำเพ่ือเรียนรู้ มี inspiration น�ำ เรียกว่า
เกิด “ฉันทะ” เป็นจุดเร่มิ ต้นของอทิ ธบิ าท 4 ซึ่งครตู อ้ งใหน้ ักเรียนท�ำใหถ้ ึง “วมิ งั สา” เพ่ือให้
เกิดการเรียนรู้จากการสะท้อนคิด

3บทท่ี

ผล

90 จากรากแก้วส่ผู ลของต้นเพาะพันธปุ์ ัญญา

ผล

บทนำ�

รูปในหน้าถัดไปมีความขดั แยง้ หลายประการดังปรากฏในรอ้ ยกรองท่พี รรณนา ในกระถางบรรจุ
ดว้ ยดนิ ทป่ี รงุ แตง่ แตต่ น้ ไมท้ ถี่ กู ถอนมาปลกู มไี มค้ ำ�้ ยนั กลบั เหยี่ วเฉา คงไมไ่ ดด้ อกผลอะไร ตา่ งกบั ไมเ้ ลก็
ต้นหนึ่งที่ชอนไชผา่ นกรงตะแกรงข้ึนมาอวดยอด ไมเ้ ลก็ งอกเองตามธรรมชาติ
เมื่อรากล�ำเลียงน้�ำและสารอาหารข้ึนสู่ใบ กระบวนการของธรรมชาติท�ำให้ต้นไม้สะสมอาหาร
เพ่ือขยายพันธ์พืชต่อไป “ผล” ย่อมเกิดจาก “เหตุ” เมื่อเราสร้างความงดงามให้เหตุ ผลท่ีได้ย่อม
เปลง่ ปลัง่ งดงามดว้ ย
บทนส้ี งั เคราะหผ์ ลของเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาผา่ นความทรงจำ� จากการทำ� workshop พฒั นาครู และ
การจารจารกึ ของหนังสือ 3 เล่ม คือ รอยจารกึ บนเส้นทางครูเพาะพันธ์ปุ ัญญา ครุ คุ วรคารวะ กล้าพันธุ์
ผู้กา้ วพ้น และปดิ ท้ายดว้ ยข้อเขยี นสะท้อนคิดของพเี่ ลยี้ งทมี่ องตนเองเป็น “ผล” ของการท�ำงาน

สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 91

ไม้งามตามก�ำเนดิ งามพราวเพริดนอกกระถาง
ไมใ้ หญถ่ ูกจัดวาง ไม่สล้างไมส่ ดใส
แมป้ ยุ๋ จะมมี าก กลบั มอิ าจเติบโตใหญ่
ทนแทรกกลบั ผลใิ บ โผล่ชอนไชใครถนอม?
เดก็ เดก็ กเ็ ชน่ กนั หยดุ ปิดก้ันเฝา้ อาทร
กอ่ นเฉาเพราะถกู ตอน กลายเป็นขอนทีแ่ หง้ ตาย

กาพย์ยานี 11
สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ์
จากงานพฒั นาพ่เี ล้ยี งด้วยกระบวนการจิตตปัญญาศึกษาด้วยสุทรยี ในพรรณพฤกษา
สวนทวชี ลรสี อรต์ เชยี งใหม่
12-13 มถิ ุนายน 2558

92 จากรากแก้วสผู่ ลของตน้ เพาะพันธปุ์ ญั ญา

บทสังเคราะห์จากการท�ำงานกับครู

ผมจ�ำเป็นต้องกล่าวความเป็นจริงของครู24 แม้ว่ามันอาจรู้สึกไม่เหมาะไม่ควร แต่เพราะ
ความเป็นจริงหลายประการที่จะกล่าวถึงนี้ท�ำให้เพาะพันธุ์ปัญญาเข้าใจปัญหาการศึกษามากข้ึน
จึงขออภัยหากค�ำกล่าวจากการสังเคราะห์ประสบการณ์ต่อไปนี้กระทบกระเทือนความรู้สึกผู้อ่าน
ทีเ่ ปน็ ครู ผมขอให้วางใจเปน็ กลาง ครูจำ� นวนมากไม่ได้เป็นอยา่ งท่ผี มจะกล่าว แต่ก็ต้องยอมรบั ว่า
มีไม่น้อยเช่นกันท่ีเป็นเช่นน้ี... เพราะครูเป็นบุคคลส�ำคัญท่ีสุดในระบบการศึกษา หากเราไม่ยอมรับ
ความจริงที่เปน็ จุดอ่อนของครู การศกึ ษาจะหาทางออกไมไ่ ด้ 25
1. แม้ว่าโดยเน้ือของความรู้ครูรู้จักค�ำกล่าว “ผลเกิดจากเหตุ” แต่ครูขาดความคิดเชิงเหตุ
(effect) และผล (cause) หลายครง้ั จงึ แสดงออกเปน็ ความสบั สนระหวา่ งเหตกุ บั ผล แมก้ ระทงั่
เร่ืองง่าย ๆ เช่น สับสนว่า “เมฆเป็นเหตุของแดด” (เพราะเมฆบังแดด) เมื่อขาดความคิด
เชิงตรรกะด้วยแล้ว ครูจึงให้เหตุผล (reason) ผิดว่า “ฟ้าแลบเป็นเหตุของฟ้าร้องเพราะ
แสงเดนิ ทางเรว็ กวา่ เสยี ง” กลา่ วไดว้ า่ ปรากฏการณน์ แี้ สดงถงึ การรจู้ กั ความรเู้ พยี ง “ถอ้ ยคำ� ”
แตไ่ มไ่ ด้ใช้ความรูม้ าอธบิ ายดว้ ยความคิดผลเกิดจากเหตทุ ่ีควรเขา้ ใจวา่ “เพราะสง่ิ นจ้ี ึงท�ำให้
เกิดสิ่งนั้นต่อเน่ืองกันไปเป็นสายธารของเหตุและผล” จึงเป็นเรื่องยากท่ีจะให้ครูเข้าใจ
การท�ำวิจัยท่ีเกิดปัญญาจากการเชื่อมโยงความเป็นเหตุและผลที่มีสาระวิชาหรือหลัก
การร่วมอธิบายให้เหตุผล อาจกล่าวได้ว่าการเรียนวิจัยของครูท่ีผ่านมาได้สร้าง mindset
ท่ีไม่เอ้ือให้ออกแบบการสอนท่ีผู้เรียนสร้างความรู้เอง (constructivism) เป็นรากเหง้า
ของปญั หาการสอนโครงงานวิทยาศาสตร์และสะเต็มศกึ ษา
2. ครขู าดการรแู้ จง้ ในสาระทสี่ อนจนไมส่ ามารถประยกุ ตค์ วามรไู้ ด้ ตวั อยา่ งเชน่ ครจู ำ� นวนไมน่ อ้ ย
บอกว่า “หาพ้ืนที่เงาใต้ต้นไม้ได้โดยวัดความยาวเส้นรอบรูปของเงาเอามาบวกกัน จากนั้น
หาพน้ื ทจ่ี ากเสน้ รอบรปู ” หรอื หาความชน้ื ดนิ โดยใชต้ าดสู ี ใชม้ อื จบั ความนม่ิ /กระดา้ ง ดตู น้ หญา้
ดไู สเ้ ดอื น ฯลฯ หรอื คำ� วา่ ประสทิ ธภิ าพทถ่ี กู ใชจ้ นไมท่ ราบความหมายทถี่ กู ตอ้ ง เราจงึ เหน็ ครู
ใหน้ กั เรยี นหาประสทิ ธภิ าพ (สงิ่ ประดษิ ฐ)์ จากแบบสอบถามความพงึ พอใจ เปน็ ตน้ เปน็ เพราะ
ไม่รู้ว่าเงาคืออะไร ความช้ืนในสสารคืออะไร หรือประสิทธิภาพคืออะไร มีหน่วยเป็นอะไร
ครทู จี่ บวทิ ยาศาสตรโ์ ดยตรงแมจ้ ะเขา้ ใจเนอื้ หาความรแู้ ละมที กั ษะทเ่ี ขม้ ขน้ กวา่ แตก่ ารจดั การ
เรียนรู้ยังจ�ำกัดเท่าที่คู่มือครูให้รายละเอียด การติดคู่มือท�ำให้ครูไม่สามารถจินตนาการหา
พ้ืนที่เงาได้ การติดท่ีส�ำรวจความพึงพอใจ (ในรูปแบบงานวิจัยที่ครูท�ำ) จึงท�ำให้นึกว่า
หมายถงึ ประสิทธิภาพ

24 ขอขอบคณุ ศนู ยพ์ ี่เลย้ี งมลู นธิ ิปัญญาวฒุ ฑิ ม.มหิดล ทมี่ สี ว่ นร่วมให้ความเหน็ จากประสบการณ์การท�ำงานกบั ครู
25 ขอ้ เขยี นน้ีไม่ไดต้ งั้ ใจต�ำหนิใคร เป็นขอ้ เขียนจากประสบการณ์ของหน่วยจดั การกลางและพ่ีเล้ียงเพาะพนั ธุ์ปัญญาพบ
ในการท�ำงานกบั ครู และไมไ่ ด้หมายความวา่ ครูทุกทา่ นในระบบการศกึ ษาไทยเปน็ เชน่ น้ี

สุธีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 93

3. ครทู ไี่ มใ่ ชค่ รวู ทิ ยาศาสตรเ์ ขา้ ใจผดิ วา่ ตนไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งมกี ระบวนการคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ จงึ ปฏเิ สธ
การสอนโครงงานแบบบูรณาการ ความเข้าใจผดิ น้ลี ามเขา้ สคู่ รวู ิทยาศาสตรท์ แ่ี สดงท่าทไี มย่ อมรบั
ครูสาระอ่ืนร่วมงาน แสดงให้เห็นว่าการศึกษาผลิตครูให้สอนตามแท่งความรู้ การจัดการเรียนรู้
ทกี่ ำ� หนดใหม้ สี าระวชิ าเปน็ แกนหลกั ทแ่ี ยกครอู อกจากกนั ตามหมวดทตี่ อ้ งรบั ผดิ ชอบ ใหค้ วามรสู้ กึ
เปน็ เจา้ ของวชิ า ครขู าดการสอ่ื สาร (PLC ) ทมี่ เี ปา้ การพฒั นาผเู้ รยี นแบบองคร์ วม ครจู งึ แยกตวั ออกจาก
การสอนโครงงาน ศักยภาพที่ท�ำให้โครงงานเป็นวิชาที่บูรณาการเข้าสู่ชีวิตจึงไม่สมบูรณ์ ปัญหาน้ี
เกิดจากระบบวัดและประเมินผลที่สร้างตัวชี้วัดรายสาระมากมาย ท�ำให้ครูต้องเร่งการสอน
แท่งความรู้ของตนจนไมม่ ีเวลาคิดเรื่องการบูรณาการสาระวิชา
4. การสอนคณิตศาสตร์ถูกแยกออกจากโลกความเป็นจริงของชีวิต นักเรียนเข้าใจว่าคณิตศาสตร์
เรยี นเพอื่ แกโ้ จทยห์ รอื สมการ (มองเหน็ เฉพาะตวั เลข ขาด sense ของขนาดและไมเ่ หน็ ความสำ� คญั
ของหน่วย) ผู้สอนม่งุ เนน้ ท่ีจะไดค้ ำ� ตอบโดยเรว็ ที่สุดจากการประมาณคา่ ค�ำตอบ หรอื เอาตัวเลอื ก
มาแทนค่าในสมการแทนท่ีจะเป็นการแก้สมการหาค�ำตอบ (โดยเฉพาะโรงเรียนติว) วิธีนี้ท�ำให้
ท้งั นกั เรยี นและครแู ยก physical world ออกจาก mathematical world จึงขาดทักษะการเห็น
เรื่องราวเป็นสมการคณิตศาสตร์ ไม่อาจใชค้ ณติ ศาสตร์เปน็ เครอื่ งมอื แกป้ ญั หาในชวี ติ ประจ�ำวันได้
เพราะต้งั สมการเองไมเ่ ป็น
5. การอบรมการสอนสะเตม็ ทำ� ใหค้ รสู บั สน แยกไมอ่ อกระหวา่ งโครงงานสงิ่ ประดษิ ฐ/์ วทิ ยาศาสตรก์ บั
สะเต็ม กล่าวคอื สร้างชน้ิ งานจากกระบวนการคดิ วา่ “นา่ จะท�ำอย่างน”้ี แลว้ ใหม้ องหา S-T-E-M
ในชิ้นงานนั้น โดยคิดว่าท้ัง 4 สาระอยู่ในระนาบเดียวกัน มองเห็น T เพียงการใช้ (ให้มาอยู่ใน
ชนิ้ งานแทนการสรา้ ง T) มองเห็น E แบบเดียวกับสาระวิชา S หรอื M แต่ในโลกความเปน็ จรงิ
การสรา้ งนวตั กรรม (T) เปน็ กระบวนการของวศิ วกรรมศาสตร์ (E) เรม่ิ จากรเู้ ปา้ หมายของเทคโนโลยี
(T) แล้วสาวความต้องการผ่านวิทยาศาสตร์ (S) และคณิตศาสตร์ (M) (ที่อยู่ในสาระวิชาหรือ
หลกั การ) ไปทเ่ี หตุ จากนน้ั จงึ สรา้ งเหตทุ ก่ี ลายมาเปน็ ชนิ้ งาน (โครงงานหรอื T) จงึ จะเปน็ การเรยี นรู้
ที่บรู ณาการ S และ M เพือ่ ใหไ้ ด้ T มาแก้ปัญหา กลา่ วอกี นัยหนึง่ คอื E สรา้ ง T จาก S โดยมี M
เปน็ เครือ่ งมือ เปน็ กระบวนการที่ S-T-E-M อยู่ตา่ งระนาบกัน
6. การสอนโครงงานส่วนมากคือการทดลอง โดยมีเครื่องมือและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็น
ไฟฉายส่องน�ำทาง นอกจากท�ำให้ติดเครื่องมือและกระบวนการส�ำเร็จรูปแล้ว ยังท�ำให้ครู
ขาดจินตนาการ ไม่มี creative thinking skill ในการโค้ชนักเรียนให้ท�ำโครงงานฐานวิจัย
ที่นอกลู่การใช้เครื่องมือได้ โครงงานในชุมชนส่วนมากยังเป็นการส�ำรวจสภาพปัจจุบัน ไม่ใช่
การเข้าใจปรากฏการณ์จากความเป็นเหตุเป็นผล จึงเสียโอกาสการเรียนสังคมศาสตร์อย่างเป็น
วทิ ยาศาสตร์ นกั เรยี นจงึ เขา้ ใจสงั คมศาสตรเ์ พยี งเรอื่ งราวของสงั คม ไมใ่ ชก่ ารทำ� ความเขา้ ใจเหตผุ ล
ทสี่ ังคมปรากฏเร่ืองราวเชน่ น้นั

94 จากรากแกว้ ส่ผู ลของตน้ เพาะพันธุป์ ญั ญา

7. การไม่เข้าใจหลักการว่างานวิจัยท่ีสร้างปัญญาเร่ิมจากสมมุติฐานในการ “สงสัยในเหตุแห่งผล
อยา่ งมหี ลกั การและตรรกะ” และการทำ� โครงงานคอื “การสรา้ งเหตแุ ละสงั เกตผล” เมอ่ื ผนวกกบั
การขาดจินตนาการออกแบบการทดลองโดยไม่พ่ึงเคร่ืองมือส�ำเร็จรูป ท�ำให้ครูไม่กล้าท่ีจะโค้ช
นักเรียน ตัวอย่างเช่น ครูไม่สามารถคิดออกแบบการหาพน้ื ท่ีเงาของตน้ ไม้ได้ หรือแมก้ ระท่ังเสนอ
การใช้ประสาทตาและกายหาความช้ืนดิน เพราะไม่ทราบว่าความช้ืนดินคืออะไร (หลายคนเป็น
(คแรรูว่ธิทายตาุ)ศเาพสียตงร์)3ห-4ร%ือแมแ้จตะ่ไมรับ่เขท้ารใาจบว่าวเ่ารตา้นจไะมอ้สอรก้าแงตบัวบเกอางรจทาก�ำงาCนOเ2พื่อโดใยหม้ไดีด้คิน�ำใหตอ้เพบียวง่าสมาวรลอตา้นหไามร้

สร้างมาจากธาตุลม (CO2) ก่ีเปอรเ์ ซ็นต์

8. ความบบี คัน้ รอบตัวครทู �ำให้ครสู รา้ งความสมั พนั ธ์ท่ไี มส่ ง่ เสริมการเรียนรูข้ องนกั เรียนอยา่ งไม่ร้ตู วั
จนกลายเปน็ วธิ ปี กตทิ ค่ี รใู ชอ้ ำ� นาจกบั นกั เรยี นทงั้ ๆ ทมี่ เี จตนาดตี อ่ นกั เรยี น วชิ าจติ วทิ ยาการเรยี นรู้
ที่ครูผ่านการศึกษาและอบรมเป็นส่วนท่ีถูกลืมชั่วคราว (หรือถาวร) ในชีวิตการท�ำงานของครู
จงึ ทำ� ใหก้ ระบวนการสอนมรี ปู แบบคงท่ี ไมส่ ามารถเปน็ backward design หรอื active learning
ที่มีนกั เรียนเป็นศูนยก์ ลางการเรียนได้

9. ครไู มร่ จู้ กั คดิ สงั เคราะห์ ครรู เู้ พยี งวา่ คดิ สงั เคราะหเ์ ปน็ พทุ ธพิ สิ ยั ขน้ั ทอี่ ยตู่ อ่ จากคดิ วเิ คราะห์ บอ่ ยครงั้
ครกู ลา่ วตามนิยามวา่ “คิดวเิ คราะห์คอื แยกแยะ คิดสงั เคราะหค์ ือรวม” เม่ือเกิดความรู้จากข้อมูล
หรือปรากฏการณ์และหากถามหากระบวนการคิดท่ีเกิดปัญญาถึงข้ันสังเคราะห์คนส่วนมาก
(ไม่เฉพาะครู) ไม่สามารถอธิบายได้ การไม่เข้าใจกระบวนการเกิดปัญญาจากการคิดท�ำให้ครู
ไม่สามารถออกแบบถอยหลังเพอื่ จดั กระบวนการ “ถามคอื สอน” ได้ ครูจงึ ยังเปน็ ผบู้ อกความรู้

10. ศกึ ษานเิ ทศก์เปน็ ระบบท่ลี ม้ เหลวของการจดั การการศึกษาไทย ครู (โดยเฉพาะมธั ยม) มีทัศนคติ
ที่ไม่ยอมรับความสามารถของศึกษานิเทศก์ ซึ่งเป็นความจริงท่ีศึกษานิเทศก์ไม่สามารถเป็นท่ีพ่ึง
ของครูได้ เพราะระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ศึกษานิเทศก์ได้รับการพัฒนาน้อยมาก
จงึ ไมเ่ ขา้ ใจการเรยี นรขู้ องเดก็ ยคุ ใหม่ เมอื่ ศกึ ษานเิ ทศกก์ ลายมาเปน็ คนคอยตามงานโครงการตา่ ง ๆ
ให้เขตฯ การปรากฏตัวของศึกษานิเทศก์จึงเป็นท่ีรังเกียจของครู ระบบหนุนเสริมการท�ำงาน
ของครูเป็นอัมพาตมานานนับทศวรรษ ทัศนะการเป็นกัลยาณมิตรสูญหายไปในความสัมพันธ์
ของครูและศึกษานิเทศก์

สุธีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 95

11. คณะกรรมการสถานศกึ ษาคอื กลไกทถ่ี กู ละเลย สถานศกึ ษาตง้ั กรรมการสถานศกึ ษาใหเ้ ปน็ ไปตาม
พ.ร.บ. แตไ่ มม่ ใี ครชว่ ยพฒั นาความรคู้ วามเขา้ ใจในเรอื่ งการศกึ ษาใหก้ รรมการสถานศกึ ษา สว่ นมาก
กรรมการคอื ผเู้ กษยี ณอายทุ เี่ คยทำ� งานการศกึ ษามากอ่ น (ศ.น. ผอ.) จงึ มมี มุ มองการศกึ ษาแบบเดมิ
ประกอบกบั ผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ในกลมุ่ ผปู้ กครองไมไ่ ดร้ บั การสง่ เสรมิ ใหเ้ ขา้ ใจเปา้ หมายการพฒั นา
มนุษย์ (ลกู หลาน) จากการศึกษา จึงมีภาพลวงตาผลสัมฤทธิก์ ารศึกษาแบบทก่ี ระทรวงฯ เห็น คอื
ประเมนิ จากความจำ� (ความรู)้ ทค่ี รูถ่ายทอดจากตำ� รา ผู้ปกครองและกรรมการสถานศึกษายังถูก
กระหน่�ำด้วยความคิดว่า คะแนนสอบคือดัชนีความส�ำเร็จในการพัฒนาคน ทุกคนท่ีเก่ียวข้อง
จงึ จบั มือเดินไปทางเดียวกนั เรียนเพอ่ื สอบขนึ้ ชั้นไปเรือ่ ย ๆ ให้พ้นความรบั ผดิ ชอบของตน
12. ความเข้าใจผิดว่าการท�ำโครงงานมีเป้าหมายท่ีแข่งขันล่ารางวัลเกียรติยศกลับมาท่ีโรงเรียน ครูจึง
เอาใจใสเ่ คยี่ วเขญ็ ฝกึ เดก็ ไมก่ คี่ นอยา่ งหนกั และเพราะมผี ลประโยชนร์ ว่ มกนั การแขง่ ขนั หลายกรณี
กลายเป็นประเดน็ จรยิ ธรรม ความเขา้ ใจผดิ น้ีถูกซ�้ำเตมิ ดว้ ยระบบการสอบเข้าเรียนต่อทเี่ ด็กตอ้ งมี
ผลงาน แทนท่ีการแข่งขันจะสร้างการเรียนรู้ให้กับเด็กทั้งหมด กลับกลายเป็นการสร้าง fixed
mindset และสง่ ผลให้เดก็ จำ� นวนมากถกู ทอดท้งิ
13. ผู้อ�ำนวยการโรงเรียนคือผู้ที่มีอ�ำนาจมากที่สุดในโรงเรียน แต่กลับเป็นผู้ที่รู้เรื่องการศึกษาและ
ปรัชญาการศึกษาน้อยท่ีสุด การท�ำงานของ ผอ. ไม่ได้สัมผัสปัญหานักเรียน ครอบครัวนักเรียน
และความตอ้ งการของนกั เรียนรายคน การบริหารจึงมองภาพ macro ท่เี ขา้ ใจวา่ ครูและนักเรียน
ทกุ คนเหมอื นกนั หมด คลา้ ยสง่ิ ไมม่ ชี วี ติ จติ ใจทอี่ ยใู่ นสายพานการผลติ สรา้ ง KPI ให้ ผอ. แมว้ า่ จะมี
ผอ. ที่เขา้ ใจปญั หา แต่ปัญหาหลายอย่างในโรงเรยี นท�ำให้ ผอ. เลอื กท่ีจะอะลมุ่ อลว่ ยลดการปะทะ
กับคนส่วนบางคนใช้อ�ำนาจเพราะกลัวแรงปะทะจากข้างบน ย่ิงนานวัน ผอ. ย่ิงเป็นผู้ไม่รู้เรื่อง
การจัดการการเรียนรู้ และกลวั คนอน่ื รูว้ ่า ผอ. ไมร่ ู้
14. มีทั้งครูที่อยากท�ำงานเพ่ือนักเรียนแต่เบื่อระบบท่ีไม่เข้าใจการท�ำงานของครู จึงหลีกเลี่ยงอยู่ใน
comfort zone ของตน การอบรมทผ่ี า่ นมาแทบไมเ่ คยถกู เอามาใชเ้ พอื่ พฒั นาหอ้ งเรยี น เมอื่ สะสม
มากเข้าครจู ึงรูส้ กึ สับสน รสู้ ึกว่ายาก ครจู งึ อยใู่ น comfort zone เชน่ เดมิ หากมีงานทีค่ รูร้สู กึ วา่
ยากและไม่มีคนคอยโค้ชตามหลังให้ครูจะกลัวการท�ำไม่ถูกต้อง และจะเล่ียงงานน้ัน จะเห็นว่า
ในหลายกรณคี รสู ง่ รายงานโดยไมเ่ ขา้ ใจงานทต่ี นเองสง่ ไป (มปี ระกาศทาง social ใหค้ รลู อกรายงาน
มากมาย) โครงการจ�ำนวนมากท่ีผ่านมาทางเขตฯ ไม่บูรณาการกันครูจึงต้องรายงานซ้�ำซ้อน
ดา้ นผรู้ บั กถ็ อื เพยี งวา่ ไดร้ ายงานแลว้ รายงานเหลา่ นมี้ จี ำ� นวนมากเกนิ กวา่ ทเี่ ขตจะวเิ คราะหเ์ พอ่ื ทำ�
continuous improvement loop ได้

96 จากรากแกว้ ส่ผู ลของต้นเพาะพนั ธ์ุปญั ญา

15. โรงเรียนเป็นกระโถนของหน่วยงานรัฐและท้องถิ่น มีโครงงานจำ� นวนมากที่ไม่เก่ียวกับการศึกษา
ฝากใหโ้ รงเรยี นทำ� เปน็ การแทรกแซงกระบวนการในโรงเรยี นโดยใชป้ ระโยชนจ์ ากครแู ละนกั เรยี น
เพ่อื KPI ของหน่วยงานอ่นื หลายงานเป็นสิ่งทีป่ ฏเิ สธไมไ่ ด้ สภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของงาน
ที่หลั่งไหลเขา้ โรงเรียนกระทบการจดั การการศึกษาในโรงเรียนอยา่ งมาก
16. การประเมนิ ครมู สี ว่ นทำ� ลายโรงเรยี น เพราะทกุ คนประเมนิ แบบ summative กลา่ วคอื ดทู ผ่ี ลงาน
สดุ ทา้ ยแทนการพฒั นาของผเู้ รยี น (formative assessment) เพราะการประเมนิ ผลงานไมค่ ำ� นงึ ถงึ
ฐานเดิมของนักเรียนหรือบริบทของโรงเรียนที่มีไม่เท่ากัน การให้รางวัลจากการประเมินแบบ
summative ยงิ่ สร้างความเหลือ่ มลำ้� ทางการศึกษาเมือ่ ครแู ย่งชงิ เดก็ เก่งมาท�ำผลงานใหค้ รู วิธนี ี้
ได้สร้าง fixed mindset ให้ท้ังเด็กเก่งและเด็กหลังห้อง ครูหมดเวลาไปกับเอกสารและพิธีการ
ต้อนรับผู้ทรงคุณวุฒิ ฯ ท่ีดูเหมือนเป็นวัฒนธรรม “โต๊ะผ้าจีบระยับ ประดับเอกสารเรียงราย
เดก็ ไหว้เข้าแถว” แสดงการยกยอ่ งบารมขี องบรรดาผู้ทรงคณุ วฒุ ทิ ี่มาประเมนิ ไปเสยี สิ้น
17. ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง คือ การลงมอื ทขี่ าดการเรียนรใู้ ห้ถงึ แก่น การจดั การศึกษาท�ำใหร้ ู้
เพยี งรปู 3 หว่ ง 2 เงอ่ื นไขของกรอบคดิ ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง การทำ� โครงงานปรชั ญาของ
เศรษฐกจิ พอเพยี งจงึ คลา้ ยสะเตม็ คอื ทำ� งานบางอยา่ ง (สว่ นมากการเกษตร) แลว้ พยายามแคะเอา
3 ห่วง 2 เงื่อนไขออกมาจากงาน การเสนองานให้ตรวจก็คือผักชีให้ดูป้ายดูแปลงแทนการดูผล
ทคี่ วรเกดิ เปน็ transformative learning ของนักเรียน
18. การปดิ กนั้ สงิ่ ใหม่ ครจู ำ� นวนหนง่ึ คดิ วา่ ตนเองสอนมานาน มศี ษิ ยไ์ ดด้ จี �ำนวนมาก จงึ ตดิ กบั ของเดมิ
ประกอบกับการพัฒนาท่ีผ่านมาไม่ได้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ครูจึงปฏิเสธท่ีจะ
เรียนรูข้ องใหม่ ใช้ความคดิ ทีป่ ิดกัน้ ชน้ี �ำว่าส่งิ เหลา่ น้ีเคยได้ยินแลว้ รแู้ ลว้ เคยท�ำมาแล้ว
19. ครูตั้งค�ำถามไม่เป็น ธรรมชาติการเป็นครูท่ีผ่านมาท�ำให้ครูไม่สามารถยับยั้งการบอกได้ง่าย
การตั้งค�ำถามของครูส่วนมากเป็นการตั้งเพ่ือเค้นค�ำตอบว่านักเรียนจ�ำเรื่องที่ครูสอนได้หรือไม่
ค�ำถามจึงเป็นปลายปิดที่ต้องการค�ำตอบเดียว คือ ค�ำตอบท่ีครูต้องการ ไม่เปิดพื้นท่ีให้นักเรียน
กลา้ คดิ ตา่ งกลา้ ตง้ั คำ� ถามทต่ี นเองใครร่ ู้ (ทต่ี า่ งจากทค่ี รบู อก) การตง้ั คำ� ถามของครจู งึ เปน็ คำ� ถามที่
“ถามใหก้ ลวั ”มากกวา่ การ “ถามใหก้ ลา้ ” หรอื “ถามใหเ้ กง่ ” เพราะระบบคดิ แบบ “ผลเกดิ จากเหต”ุ
ไม่สมบูรณ์ครูจึงไม่สามารถวิเคราะห์ความเป็นเหตุเป็นผลเพ่ือ backward การต้ังค�ำถามท่ีต้อน
ความคิดนักเรียนให้เกิดปัญญาได้ด้วยตนเอง (ให้นักเรียนวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้ได้เอง)
ประกอบกับการขาดความรอบรู้ในบริบท ครูจึงไม่สามารถต้ังค�ำถามปลายเปิดแบบเหน่ียวน�ำ
ใหน้ กั เรยี นดงึ สงิ่ ทรี่ ู้แลว้ เอามาประกอบเปน็ ความรูใ้ หมไ่ ด้

สธุ ีระ ประเสริฐสรรพ์ 97

20. ปัญหาการเขียนท่สี งั เคราะหค์ วามรู้ ครตู ิด format การท�ำวิจัยทเี่ รยี นผ่านมา ไม่กล้าตีความใหม่
แล้วเอาหลักการทฤษฎีมายืนยัน (หรือสร้างทฤษฎีเอง) อีกทั้งฝากการวิเคราะห์ไว้กับสถิติ
จึงเขียนผลเป็นตัวเลขตามท่ีตามองเห็น ไม่ใช่ตามที่สมองเห็น จึงเป็นปัญหาเม่ือต้องโค้ชนักเรียน
ให้สังเคราะห์ความรู้จากการท�ำวิจัย ผลการท�ำโครงงานฐานวิจัยจึงได้ความรู้ผิวเผินระดับ
ข้อมูลเท่าน้ัน แสดงถึงการขาดความคิดระดับวิเคราะห์เช่ือมโยงท่ีจะเป็นฐานให้เอาหลักการ
มาผสานใหเ้ ป็นการสังเคราะหท์ ผ่ี ดุ ความรู้ใหมข่ ้นึ มา
21. ปญั หาการจบั แกน่ ของเรอ่ื งราวในการจดั การความรแู้ ละ PLC การจบั แกน่ ความรเู้ ปน็ กระบวนการ
คดิ ท้งั แบบ deductive และ inductive รวมกัน เปน็ กระบวนการคิดทส่ี าบสญู ไปจากครู ครูฟัง
เรอื่ งราวตา่ ง ๆ แลว้ ไมส่ ามารถวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะหใ์ หเ้ ปน็ “แกน่ ความร”ู้ อนั เปน็ หลกั การทวั่ ไป
(general concept) เพ่ือเอาไปประยุกตใ์ นสถานการณใ์ หมไ่ ด้ การพัฒนาตนเองจากการท�ำ PLC
จึงเปน็ ไดเ้ พียงการเอารูปแบบท่สี ำ� เรจ็ มาใชต้ าม ๆ กัน
22. ครไู มก่ ลา้ แสดงความคดิ เหน็ ครขู าดความพยายามรว่ มเรยี นรใู้ น workshop ตา่ ง ๆ เพราะการอบรม
ทผ่ี า่ นมาสว่ นมากทำ� ใหค้ รคู นุ้ ชนิ กบั การรบั ความรจู้ ากวทิ ยากรอยา่ งเดยี ว เมอ่ื ตอ้ งแสดงความเหน็
ใน workshop ต่าง ๆ ครูจึงไม่ต่างจากนักเรียน คือ เงียบเพราะกลัวแสดงความเห็นแล้วผิด
(โดยเฉพาะเมอื่ มนี กั เรยี นอยรู่ ว่ มใน workshop) แมแ้ ตก่ ารแสดงความรสู้ กึ (reflection) ทไี่ มม่ ถี กู
หรอื ผดิ ครกู ไ็ มก่ ลา้ แสดงออกในความรสู้ กึ ของตน ครอู ยใู่ น passive mode แมใ้ นการพฒั นาตนเอง
ของครู
23. ประสบการณ์วิจัยของครูท�ำให้เห็นเพียงการเปรียบเทียบ (ตามหลักสถิติ) ครูขาดทักษะการเห็น
ความเปล่ียนแปลงของผลที่มีแนวโน้มต่อเน่ืองตามการแปรของเหตุหรือสภาพพลวัตตามเวลา
สิง่ นี้บอกได้จากผลการวจิ ัยทเ่ี ป็นตาราง (หรือ pie/bar chart) มากกวา่ กราฟเส้นต่อเนอ่ื ง จงึ เปน็
ปัญหาการโค้ชโครงงานฐานวิจัยที่ต้องการให้นักเรียนรู้จักแนวโน้มต่อเนื่องที่ต่อยอดเป็น
function คณติ ศาสตรไ์ ด้
24. การผูกขาดอาชีพครู ท้ัง ๆ ท่ีโลกเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว แต่วงการครูกลับ inbreed ความเชื่อว่า
เป็นครูได้เพราะจบครูหรือสอบผ่านข้อสอบมาตรฐานท�ำให้ปิดโอกาสคนที่จบวิชาอ่ืนมาท�ำ
อาชีพครู ตัวอย่างคือสะเต็มศึกษาที่ปิดกั้นความคิดแบบวิศวกรรมศาสตร์ในการสร้างนวัตกรรม
(เห็นวิศวกรรมศาสตร์เป็นสาระที่ต้องค้นหาจากโครงงานส่ิงประดิษฐ์เท่าน้ัน) การเรียนการสอน
จงึ ตดิ รปู แบบทคี่ รขู องครขู องครสู อนกนั มา การพยายามเอานวตั กรรมการเรยี นการสอนแบบใหม่
ของ สพฐ. กย็ งั เชอ่ื ในการลอกรปู แบบมาจากความสำ� เรจ็ ของตา่ งประเทศ ประเทศจงึ ขาดนวตั กรรม
การศกึ ษาเปน็ ของตนเอง

98 จากรากแกว้ สู่ผลของต้นเพาะพันธ์ปุ ัญญา

25. การไมร่ จู้ กั active learning และการจดั ความสมั พนั ธเ์ พอ่ื บรรยากาศการเรยี นรู้ ครเู ขา้ ใจวา่ active
learning คอื การจดั กระบวนการใหผ้ เู้ รยี นไมง่ ว่ ง เราจงึ เหน็ เปน็ การจดั กจิ กรรมทมี่ กี ารเคลอ่ื นไหว
และเสียงดัง Active learning ท่ีเป็นการพัฒนาปัญญาคือบรรยากาศห้องเรียนตรงกันข้าม
มนั เปน็ เสยี งทเี่ บาสงบดว้ ยการปรกึ ษาหารอื จากการเรยี นรเู้ ชงิ ลกึ ของปญั ญา (intellectual active)
การตน่ื ตวั ทางกายเปน็ ความจำ� เปน็ เพื่อปลุกประสาทการรบั รู้ แต่การตืน่ ตวั ทางสติและปญั ญาคอื
หัวใจของการศึกษา นอกจากนั้นการเรียนรู้เชิงรุกทางอารมณ์เป็นส่ิงที่ขาดหายไปจากการศึกษา
ครจู ึงสอน active learning ได้เพียงทางกาย (hand) ขาดทางปัญญา (head) และจติ ใจ (heart)
26. การจัดกระบวนการให้เกิด critical thinking ยังเป็นปัญหาในหมู่ครู เพราะไม่สามารถด�ำเนิน
กระบวนการ (conduct) การเรียนรู้เป็นกลุ่มให้นักเรียนวิพากษ์ความคิดได้ หากไม่เป็นผู้ติดกับ
บทตัดสินการวิพากษ์เสียเอง ครูจ�ำนวนมากไม่สามารถด�ำเนินกระบวนการกลุ่มให้เอาการ
วิพากษ์น้ันมาเรยี นรใู้ นมิติท่แี ตกตา่ งได้
ผู้อ่านที่เป็นครูและอดทนอา่ นมาจนครบ 26 ขอ้ ถือว่าสอบผา่ นการวางใจเปน็ กลาง ผมยงั เชื่อวา่
ครสู ามารถแกป้ ญั หาท้ัง 26 ข้อเพ่ือพัฒนาตนเองได้ ถ้ารวู้ า่ ผลเกิดจากเหตุอะไร... แล้วหาทางแก้ท่ีเหตุ
หากให้กล่าวโดยสรุปจากประสบการณ์ท�ำงานเพาะพันธุ์ปัญญา ผมสรุปได้ว่าครูขาดทักษะการ
คดิ กระบวนการวทิ ยาศาสตรก์ บั ทกั ษะการสรา้ งความสมั พนั ธก์ บั นกั เรยี นใหท้ นั โลกการศกึ ษาทกี่ ำ� ลงั ถกู
disrupt นอกจากไมม่ เี วลาใหค้ รไู ดพ้ ฒั นาตนเองแลว้ ครยู งั ขาดทกั ษะสรา้ งการเรยี นรใู้ หเ้ ปน็ สมบตั ขิ อง
ตนเอง ชวี ติ ครถู กู กำ� หนดใหเ้ ปน็ ผรู้ บั ความรู้ (จากการอบรม) จากผอู้ นื่ จนครขู าดความเชอื่ มนั่ ในตนเอง
ขาดความกลา้ หาญทจี่ ะรงั สรรคว์ ธิ กี ารเปน็ ของตนเอง ทงั้ นเ้ี พราะกระบวนการวดั และประเมนิ ผลทำ� ให้
ครไู มม่ ที างเลอื กนอกจากการรบี มอบความรใู้ หม้ ากทสี่ ดุ สอนใหน้ กั เรยี นรจู้ กั สำ� รอกความรอู้ อกมาตอน
สอบให้มากท่สี ุด
อาชพี ครเู คยเปน็ ทเี่ คารพยกยอ่ งในสงั คมไทยจนถอื เปน็ DNA เคารพครใู นสายเลอื ดคนไทย หาก
พจิ ารณาอยา่ งเปน็ ธรรม ความเปลยี่ นแปลงทส่ี งั คมไทยรสู้ กึ ตอ่ ครเู ปลยี่ นไปเพราะ “ครเู ปน็ ผถู้ กู กระทำ� ”
มากกวา่ ครเู ปน็ ผกู้ ระทำ� ตนเอง สงั คมเหน็ แตผ่ ลทปี่ รากฏในตวั ครู แตไ่ มเ่ หน็ เหตทุ คี่ รเู ปน็ ฝา่ ยถกู กระทำ�
เปน็ การยากท่จี ะแก้ความคิดสงั คมให้พจิ ารณาไปท่ีเหตุ เพราะการศกึ ษาทผี่ า่ นมาหลายทศวรรษไมไ่ ด้
บม่ เพาะระบบคิดใหค้ นส่วนมากสาวหาเหตุแห่งผล การขาดตรรกะในการสรปุ ผลและการเอาแต่ใจตน
ท�ำใหช้ ี้โทษผูอ้ ื่นมากกว่าชว่ ยกันหาทางแก้ไข


Click to View FlipBook Version