สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์ 149
เง่อื นไขนส้ี ำ� คญั อยา่ งไร?
พดู อยา่ งเปดิ ใจ ผมบอกตามตรงวา่ ประสบการณบ์ รหิ ารงาน สกว. ฝา่ ยอตุ สาหกรรมมากอ่ นทำ� ให้
ผมกลัว “กรรมตามสนอง” ถา้ ผมรับท�ำงานกับธนาคารโดยตรง เพราะผมรคู้ วามตอ้ งการผลงานของ
เอกชนผรู้ ว่ มทนุ ดวี ่าเขาคิดอย่างไร สมัยทเี่ ปน็ ผ้บู รหิ ารทุนท่ี สกว. ผมเป็นหนงั หน้าไฟระหว่างนกั วจิ ยั
ซงึ่ มกั จะทำ� งานชา้ กวา่ กำ� หนดและงานไมส่ มบรู ณเ์ พยี งพอทจ่ี ะเปน็ product กบั ผปู้ ระกอบการเอกชน
ที่เรง่ ผลงานและคาดว่าจะได้ผลงานทีส่ มบรู ณ์
ผมเคยสรปุ ปจั จยั ความสำ� เรจ็ กบั อ. ไพโรจนไ์ ดว้ า่ โชคดมี ากทเ่ี ปน็ บมจ. ธนาคารกสกิ รไทย เพราะ
หากเปน็ ทนุ จากแหลง่ อน่ื ทเ่ี ขาลงมาเลน่ ดว้ ย การกำ� กบั ของเขาจะทำ� ใหเ้ ราขาดอสิ ระในการ innovate
หรอื ทดลองวธิ ีการใหม่ ๆ ทีผ่ ดุ ขน้ึ มาขณะทำ� งาน
ไมง่ า่ ยนกั ทผ่ี ใู้ หท้ นุ จะปลอ่ ยใหท้ ำ� งานอสิ ระอยา่ งนี้ โดยเฉพาะเมอ่ื สกว. ตอ้ งเปน็ ผผู้ กู พนั กบั ธนาคาร
สกว.ยอมเส่ียงเหมือนเอาตนเองเป็นประกัน ผมจึงขอให้เครดิตแก่ ดร.สีลาภรณ์ท่ีเชื่อใจไว้วางใจผม
กับทนุ จำ� นวนมากแถมผกู พนั ระยะยาวใหอ้ ีกด้วย
การทำ� งานเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาทำ� ใหห้ ลายคนแปลกใจวา่ ผมเอาพละกำ� ลงั มาจากไหน ถา้ เขาทราบวา่
การท�ำงานท่ีมีความสุขน้ันยังไงก็มีแรงเสมอ เขาจะไม่ถามเช่นนี้ หากถามว่าจะให้น�้ำหนักของ
ความสขุ ทไี่ ด้รับระหว่าง สกว. กบั ธนาคารผมใหเ้ ครดิตฝา่ ยใด ผมมคี ำ� ตอบและคำ� อธิบายท่ี สกว.
ไมค่ วรเสยี ใจ ทนุ จากธนาคารเปน็ เงนิ ของเขาแท้ ๆ แตท่ นุ ของ สกว. มาจากภาษี สกว. เปน็ เพยี งผบู้ รหิ าร
ทนุ จากสาธารณะ (public fund)
การทำ� งานทม่ี คี วามเช่ือใจ (trust) ตอ่ กนั วางใจใหอ้ สิ ระท�ำงาน เกดิ เปน็ วัฒนธรรมท่สี ง่ ผลไปถงึ
กรรมการก�ำกับทศิ ทางโครงการเพาะพันธปุ์ ัญญา
150 จากรากแก้วส่ผู ลของต้นเพาะพันธปุ์ ญั ญา
กรรมการก�ำกบั ทศิ ทาง29
เป็นเรื่องปกติที่ สกว. และธนาคารจะต้ังกรรมการก�ำกับทิศทาง ให้เป็นตัวแทนฝั่งผู้ให้ทุนดูแล
การท�ำโครงการนี้ มันเป็นระบบ governance ปกติ ผมก็เคยเป็นกรรมการก�ำกับทิศทางการท�ำงาน
หลายโครงการ กรรมการประกอบด้วยตัวแทนฝ่ายราชการที่เป็นผู้ปฏิบัติ เช่น กระทรวงศึกษาธิการ
และผใู้ หญ่ที่เป็นทเี่ คารพของคนในวงการการศกึ ษา ผใู้ หญ่ในวงการการศกึ ษาเขา้ ใจความยากของงาน
ทส่ี ำ� คญั คอื ความเมตตา ผมคดิ วา่ ความเมตตาเปน็ ความโดดเดน่ ของกรรมการชดุ นท้ี พ่ี ลกิ กลบั บรรยากาศ
การชแี้ นะวพิ ากษ์วจิ ารณ์คาดคัน้ ผลงานมาเป็นการใหก้ ำ� ลงั ใจ
ผมเคยนง่ั ในหลายกรรมการมากอ่ น รเู้ ลยวา่ กรรมการบางทา่ นพอจะเขา้ ใจงานทนี่ กั วจิ ยั ท�ำ แตท่ ่ี
ไม่เข้าใจเลยคือ “บริบท” ท่ีเป็นเง่ือนไขเหนือการควบคุมของคนท�ำงาน นึกว่านักวิจัยได้เงินไปแล้ว
น่าจะมีอ�ำนาจเงินจัดการได้หมด งานวิจัยและพัฒนาการศึกษาและสังคมไม่ใช่งานวิทยาศาสตร์
ที่นักวิจัยควบคุมก�ำกับเครื่องมือในห้องปฏิบัติการได้ ทัศนคติของกรรมการก�ำกับทิศทางในโครงการ
เพาะพันธุ์ปัญญาช่วยให้คนท�ำงานผ่อนคลายความเหนื่อยล้าและทุกข์จากบริบทขัดแย้งของงาน
เหมอื นมารบั พลัง charge ไฟกลบั ไปสทู้ ี่หน้างานใหม่
ทีผ่ มรู้สึกได้คือความกังวลเร่ือง “ความเส่ยี ง” จากการคิดงานใหม่ ทผี่ มหากระบวนการใหม่ ๆ
มาใช้กับครูอยู่ตลอดเวลา กรรมการคงรู้สึกว่าการท่ีทุกอย่างอยู่ที่ผมคนเดียวคือความเสี่ยง (หากผม
ไม่สามารถท�ำได้ตลอดรอดฝั่ง) ทุกครั้งที่กรรมการถามหาผู้ท�ำงานแทน ผมก็หาค�ำตอบให้ไม่ได้
เพราะผมยังไม่สามารถหยั่งรู้ว่าวันหน้าผมจะเอาอะไรใหม่มาให้เพาะพันธุ์ปัญญา ผมขอขอบคุณ
ในความห่วงใยของกรรมการผู้ใหญ่ในวงการการศึกษาทุกทา่ น
ผมตีความโชคดีของผมว่า เพราะกรรมการทุกท่านเข้าใจความคิดระบบอนาล็อกของผม
จึงท�ำให้การก�ำกับทิศทางมีแนวทางอนาล็อกมากกว่าดิจิทัล งานเพาะพันธุ์ปัญญาส�ำเร็จเพราะ
ทกุ ท่านชว่ ยกันขบั เคลอื่ นแบบอนาลอ็ ก
29 ชื่อเตม็ คอื “คณะกรรมการกำ�กับดูแลทศิ ทางการดำ�เนินงานโครงการเพาะพันธุป์ ญั ญา (พัฒนายวุ วจิ ัย)”
สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 151
นาฬิกาดิจิทัลให้ข้อมูลเป็นจังหวะเมื่อมันเปลี่ยนตัวเลข ผู้ดูเวลาเห็น 10:32 นั้นความจริง
ไม่ทราบว่ามันเป็น 10 นาฬิกา 32 นาทีกับกี่วินาที จึงยืนยันความเชื่อว่า 32 นาที และความเชื่อ
จะเปล่ยี นอกี ครัง้ เมื่อตัวเลขเปลี่ยนเป็น 33 คนดเู วลาเห็นการเปลยี่ นแปลงเป็นจงั หวะ แต่นาฬิกาแบบ
อนาลอ็ กทำ� ให้คนดเู วลาเห็นความเปลย่ี นแปลงอย่างต่อเนือ่ งจากการเลือ่ นของเข็มวนิ าที
ความคดิ แบบดจิ ทิ ลั หมายถงึ การเหน็ ปรากฏการณเ์ ปน็ ทอ่ น ๆ แบบตวั เลขทกี่ ระตกุ ขน้ึ ครงั้ ละนาที
จาก 32 เปน็ 33 แลว้ 34.... ผมเชอื่ วา่ ไมเ่ หมาะกบั การกำ� กบั งานเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา เพราะเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา
มบี รบิ ทหลากหลายและความคลมุ เครอื ทเ่ี ปน็ พลวตั จากความตา่ งกนั เปน็ รายคนของครู เดก็ และพเ่ี ลยี้ ง
กรรมการส่วนใหญ่เข้าใจบริบทความคลุมเครือที่เป็นพลวัต จึงก�ำกับทิศทางแบบเปิดทางเลือก
ให้คนท�ำงาน บางทีผมแอบคิดว่ากรรมการท่านก็มีความคลุมเครือกับส่ิงท่ีผมท�ำด้วย ไม่ว่าจะเป็น
อยา่ งไร ผมพบจากบรรยากาศการประชมุ ทกุ ครง้ั วา่ ผมและกรรมการตา่ งกม็ คี วามสขุ ในการทำ� งานแบบ
คลมุ เครือเช่นนี้ นี่กระมงั ทก่ี ล่าววา่ ระบบทีเ่ ปน็ chaordic ต้องการคนเข้าใจและจดั การแบบคลุมเครอื
152 จากรากแก้วส่ผู ลของตน้ เพาะพันธปุ์ ญั ญา
พีเ่ ลี้ยง
การมแี ตเ่ สนาธกิ ารในหลายงานคอื ความลม้ เหลวเพราะไมม่ คี นสศู้ กึ ตวั จรงิ งานการศกึ ษาทง้ั หลาย
ไมป่ ระสบความสำ� เรจ็ เพราะขาดนกั รบแนวหนา้ ผมจงึ มองวา่ พเ่ี ลย้ี งเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาคอื นกั รบแนวหนา้
แบบหนว่ ยซลี ในศึกคร้งั นี้
ทำ� ไมงานการศึกษาตอ้ งการนกั รบทีอ่ ดทนแบบหน่วยซลี ?
โครงการพฒั นาการศกึ ษาทผ่ี า่ นมาทำ� เหมอื นงานรบั จา้ งเปน็ ครง้ั คราว นกั รบรบั จา้ งอบรมตาม
cookbook ทีก่ ำ� หนดมาจากสว่ นกลางโดยไมใ่ ยดวี า่ ครูและนักเรยี นแพอ้ าหารอะไรบ้าง ทรพั ยากร
การปรุงอาหารในพื้นที่ของเขามีอะไร ครูและเด็กทุกคนได้กินอาหารชาววัง “ย�ำใหญ่ใส่สารพัด”
เหมือนกันหมด ไม่ใยดีว่าเด็กอีสานชอบต�ำบักหุ่ง เด็กใต้อยากกินแกงไตปลา และเด็กเหนือเรียกร้อง
ข้าวซอย เพราะการใหอ้ ิสระของเพาะพันธป์ุ ญั ญา พ่เี ล้ียงจึงกลายเป็นคนช่วยปรงุ อาหารให้เหมาะกับ
โรงเรียน
เพราะชีวิตครูถูกท�ำให้จมอยู่กับเอกสารและรายงานที่คนรับต้องการผลเลิศในโครงการต่าง ๆ
เบื้องหลังผลเลิศนั้นไม่ต่างกับการประเมินผ่านเกณฑ์คุณภาพทุกด้านอย่างดีเยี่ยมของ สมศ. แต่
ผลสมั ฤทธก์ิ ารศกึ ษาของนกั เรยี นกลบั ถดถอย เหมอื นวา่ พลงั ทงั้ หมดของครถู กู ถา่ ยทอดมาท�ำรายงาน
เพื่อความพึงพอใจในการหลอกลวงตนเองของทุกคนในระบบการศึกษา พละก�ำลังและทรัพยากร
เวลาของครเู หลอื สนู่ กั เรยี นเพยี งนอ้ ยนดิ โครงงานฐานวจิ ยั จะถกู ปฏเิ สธหากครไู มม่ กี ำ� ลงั ใจและทพี่ งิ หลงั
พ่ีเลี้ยงท่ีถูกฝึกดีแล้วคือท่ีพักพิงยามครูอ่อนล้า เพราะความอ่อนล้ามีมากมายและไม่จ�ำกัดกาละเทศะ
พ่ีเล้ียงจึงต้องอุทิศตนท�ำงานหนัก ท�ำได้ทุกสถานการณ์เหมือนหน่วยซีล จึงไม่แปลกใจที่เราใช้ค�ำว่า
ครู “ภักด”ี ตอ่ แบรนด์เพาะพนั ธุ์ปัญญาเพราะเรามพี เ่ี ลี้ยงเปน็ ระบบ after-sale service
จติ ตปญั ญาศกึ ษาคอื เครอ่ื งมอื สำ� คญั ทส่ี รา้ งใหพ้ เ่ี ลยี้ งเขา้ ใจครแู ละเปน็ กลั ยาณมติ ร การบรหิ ารงาน
โดยให้อิสระและการตามหนุนก็ส�ำคัญไม่แพ้กัน งานน้ีส�ำเร็จได้เพราะให้อิสระในการจินตนาการและ
“ลองผิดจนเจอถูก” ท�ำให้เกิดนวัตกรรมของศูนย์พ่ีเล้ียงท่ีหลากหลายมาก ศูนย์พี่เล้ียงไม่ใช่ผู้รับ
การถ่ายทอดความรอู้ ย่างทท่ี กุ คนเข้าใจกนั แต่เป็นผรู้ บั “หลกั การ” ผา่ น workshop ท่ที �ำกับครแู ล้ว
ตคี วามเอาไปสรา้ งนวตั กรรมกระบวนการเปน็ ของตนเอง ทง้ั หมดคอื ปจั จยั หลกั ทเี่ ปน็ เครอื่ งปรงุ ความสขุ
ในการทำ� งาน เมอ่ื เหน็ การเปลยี่ นแปลงของครแู ละนกั เรยี นมนั จงึ กลายเปน็ passion ทเี่ สพตดิ (addict)
และเกดิ การเปล่ียนแปลงตนเองของพี่เลีย้ ง (transformation ) อยา่ งไมร่ ตู้ วั
สธุ ีระ ประเสริฐสรรพ์ 153
แต่ก็ใช่ว่าเพาะพันธุ์ปัญญาจะส�ำเร็จในด้านพี่เล้ียงเสมอไป เราเสียนักรบไปจ�ำนวนมาก บางคน
ขอออกจากสนามรบไปเองเพราะติดงานอื่นท่ีส�ำคัญกว่า บางคนมาร่วมศึกเพราะแบรนด์ สกว.
แลว้ มาคน้ พบภายหลงั วา่ ไมใ่ ชจ่ รติ ของตน ทพั ยอ่ ยใดทเ่ี สยี นกั รบ ทพั นน้ั จะออ่ นแอ เพราะนกั รบคนใหม่
เข้ามาฝึกปรือไม่ทันกับการเปล่ียนแปลงของครูที่เก่งขึ้นจากการปฏิบัติเองทุกวัน นักรบท่ีเข้าสู่
สนามรบโดยท่องต�ำราพิชัยสงครามได้คล่องเหมือนพระลงโบสถ์สวดปาติโมกข์จะถูกตีถอยร่น
ด้วยบริบทการศกึ ษาที่เป็นสนามรบที่ไมค่ นุ้ เคยของนักรบหนา้ ใหม่ ฉะน้นั จงึ ถอื ว่าเปน็ “ก�ำไร” ของ
อาจารย์มหาวิทยาลยั ที่มาเป็นพเ่ี ล้ยี งระยะยาว ที่ได้เรียนรู้ในสงิ่ ทไ่ี ม่สามารถหาไดจ้ ากต�ำราการจดั การ
การศึกษาเลม่ ใด
เม่ือสังเคราะห์จากการอ่านหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับครู ผมรู้สึกตัวว่าท�ำงานพลาด การท�ำ
workshop ท่ีมีท้ังครูและพ่ีเล้ียงอยู่ด้วยกันเป็นเรื่องท้าทาย เน้ือหาต้องเข้มข้นลึกพอส�ำหรับพ่ีเล้ียง
ให้เข้าใจหลักการ แต่ต้องตื้นพอท่ีครูเข้าใจ ครูมีความต่างท้ังวัย ประสบการณ์ และสาระวิชาที่สอน
การวางสมดุลเน้ือหาจึงเป็นงานยากมาก ทุกคนรู้ดีว่าผมจะไม่เคยมีเน้ือหาและการออกแบบ
Power Point ท่ีดีท่ีสุดจนกว่าจะเป็น workshop ตอนสุดท้ายของปี30 ท่ีกล่าวในตอนต้นว่า
ผมพลาดเพราะ (จากการอ่านหนังสือรอยจารึกบนเส้นทางครูเพาะพันธุ์ปัญญา และคุรุควรคารวะ)
ผมพยายามส่งมอบทุกอย่างที่คิดได้ให้กับครูและพี่เล้ียง จึงท�ำให้ครูรู้สึกยากเกินเข้าใจในครั้งแรก
ท่ีเข้าโครงการ โชคดีท่ีจิตตปัญญาศึกษาและกระบวนการของพ่ีเลี้ยงประคองครู (ไม่ทุกคน) ให้อยู่
กับเพาะพันธุ์ปัญญาต่อ ให้มากระจ่างและเกิดศรัทธาจาก workshop รอบ 2 ท่ีช่วยครูคลี่คลาย
ความสงสยั ท่ีเกิดจากการปฏิบัติในปแี รก
วัยของพี่เล้ียงเป็นเรื่องที่ต้องบันทึกเช่นกัน... พี่เลี้ยงอาวุโสท้ังวัยและประสบการณ์ช่วยได้มาก
หากทา่ นไมม่ ภี ารกจิ อนื่ มากขนึ้ ตามอาวโุ สของประสบการณ์ เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาเสยี พเี่ ลย้ี งเพราะขยบั ขน้ึ
สู่ต�ำแหน่งสูงหลายคนมาก บางคนขาดหายไป แต่บางคนใช้หน้าที่ในต�ำแหน่งท่ีสูงข้ึนมาหนุนงาน
เพาะพนั ธุป์ ัญญาในมหาวทิ ยาลัยได้อยา่ งดี
พ่ีเล้ียงอาวุโสในสายวิชาครุศาสตร์เป็นผู้มีบารมี ได้รับความเคารพนับถือในกลุ่มครูในพ้ืนที่
เป็นต้นทุนที่มีคุณค่าส�ำหรับการท�ำงานมาก แต่ก็มิใช่ว่าวัยหนุ่มสาวของพี่เล้ียงจะเป็นข้อด้อย พ่ีเล้ียง
กลุ่มนใี้ ช้พลงั ความคิด พลังกาย และความสดใสสรา้ งคณุ ค่าให้กับตนเองในมมุ มองของครู จากพีเ่ ลีย้ ง
ของครกู ลายมาเปน็ เพอ่ื นครวู ยั หนมุ่ สาวดว้ ยกนั และเปน็ ลกู หลานครอู าวโุ ส มคี วามผกู พนั ฉนั เครอื ญาติ
ตามวัฒนธรรมไทยได้
30 การเขยี นบทท่ี 1 จึงคอ่ นขา้ งยาก มคี วามร้สู กึ รกั พ่เี สยี ดายน้องกบั PowerPoint บาง slide
154 จากรากแกว้ สู่ผลของต้นเพาะพันธปุ์ ญั ญา
ความสวยงามเกิดในกลุ่มพี่เลี้ยงต่างวัยต่างประสบการณ์กันเองเม่ือเพาะพันธุ์ปัญญาเปิดโอกาส
ใหท้ �ำงานร่วมกนั พบปะแลกเปลย่ี นแบบเหย้าและเยอื น ทั้งหมดน้ีเปน็ การลงทนุ สร้าง soft culture
ที่ enrich การเรยี นรู้ระหวา่ งกนั
เมื่อเกิด soft culture แล้ว ส่ิงน้ีถูกถ่ายทอดไปยังความสัมพันธ์กับครู เปล่ียนการท�ำงานที่
ขบั เคลอ่ื นดว้ ย “แรงจงู ใจ” (motivation) มาเปน็ การขบั เคลอื่ นจากภายในตวั ครดู ว้ ย “แรงบนั ดาลใจ”
(inspiration) ครจู งึ มีความสขุ กบั งานเพาะพันธุ์ปัญญา แมว้ า่ จะทุกข์กับระบบของสถานศึกษา
“งานทางปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ต้องการแรงบันดาลใจไม่ใช่แรงจูงใจ” Daniel Pink
กล่าวในรายการ TED Talk31 (ช่ือเร่ือง The Puzzle of Motivation) การใช้แรงจูงใจขับเคล่ือน
เหมาะกับงาน routine ท�ำซ้�ำ ๆ ใครท�ำได้มากได้รางวัลโบนัส แต่ใช้ไม่ได้กับงานสร้างสรรค์ปัญญา
เพราะแรงจูงใจสร้างบรรยากาศบีบบังคับ เพาะพันธุ์ปัญญาเช่ือเช่นเดียวกัน ว่าการบริหารการศึกษา
ต้องบริหารแรงบันดาลใจ แล้วให้อิสระในการท�ำงานโดยมีเป้าหมายชัดเจน ส่ิงน้ีส�ำเร็จได้เม่ือพัฒนา
กระบวนทัศน์และเจตคติครูให้คล้ายพ่ีเล้ียง คือ มี 4 องค์ประกอบได้แก3่ 2 เจตนาดี (จิตสาธารณะ)
ฉลาดมีปญั ญา เรยี นรู้และกลา้ สรา้ งสรรคเ์ อง และขยัน
ท่สี ำ� คัญคอื ตอ้ งมีเป้าหมายให้ครูเปลยี่ นจาก “ศรทั ธาในผู้อื่นมาเปน็ ศรทั ธาในตนเอง”
31 https://www.ted.com/talks/dan_pink_on_motivation?language=en
32 นอกจากคณุ ลกั ษณะเพ่ือปฏิบัติ 6 ประการท่ีกล่าวในบทท่ี 1 (มี 3 ขอ้ ทคี่ ล้ายกนั คอื จิตเสียสละ หวังดีตอ่ ศิษย์
และความเพยี ร) ประเดน็ น้จี ะถกู ขยายความในบทที่ 5
5บทที่
การกระจายพนั ธ์ุ
156 จากรากแก้วสู่ผลของตน้ เพาะพนั ธ์ปุ ญั ญา
การกระจายพันธ์ุ
บทน�ำ
การขยายพนั ธต์ุ น้ ไมม้ ที ง้ั โดยเมลด็ ไปจนถงึ ตอน ตดิ ตา ทาบกงิ่ และเพาะเลย้ี งเนอ้ื เยอื่ หากถามวา่
เพาะพนั ธปุ์ ัญญาควรขยายโดยวธิ ีใด คำ� ตอบคือโดยเมล็ด ท�ำไมจึงเป็นเช่นน้นั ?
ตน้ ทง่ี อกจากเมลด็ มขี อ้ ดคี อื มรี ากแกว้ และมโี อกาสกลายพนั ธ์ุ แตต่ น้ ทขี่ ยายโดยการตอน ตดิ ตา
ทาบก่งิ แมว้ า่ จะได้ผลเรว็ แตก่ ็ขาดรากแก้วของตนเอง
รากแกว้ สำ� คญั อยา่ งไร ทงั้ 4 บทกอ่ นหนา้ นอี้ ธบิ ายใหเ้ ขา้ ใจไดแ้ ลว้ แตท่ ำ� ไมผมจงึ เหน็ การกลายพนั ธ์ุ
เปน็ โอกาสทดี่ ี แทนการรกั ษาพนั ธุ์ใหค้ งทีแ่ ละขยายไดม้ ากทีส่ ุด อย่างการเพาะเล้ียงเน้อื เยอื่
การเพาะเล้ียงเน้ือเยื่อท�ำในขวดแก้ว ต้นอ่อนกินอาหารสังเคราะห์โตมากับบริบทที่จ�ำกัด แต่
การศกึ ษามีบรบิ ทเฉพาะ จงึ ตอ้ งการการขยายพันธ์ุทมี่ กี ารคดั สรรโดยสภาพแวดล้อม ปรบั ตัวให้เขา้ ได้
กับบรบิ ท จนสรา้ งนวัตกรรมเปน็ ของตนเองได้ หรือคือการกลายพันธ์ุนัน่ เอง น่ันคือเพาะพนั ธปุ์ ัญญา
ทีง่ อกจากเมลด็
ทเุ รยี นทกี่ ลายพนั ธท์ุ กุ ลกู ยงั คงเปน็ ทเุ รยี น เพาะพนั ธป์ุ ญั ญากเ็ ชน่ กนั หากใหโ้ อกาสตน้ เพาะพนั ธ์ุ
ปัญญาท่ีปลูกไว้ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดของตนเอง ก็ยังได้เป็นเพาะพันธุ์ปัญญาอยู่เช่นเดิม เพียงแต่เรา
ต้องจัดการให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลท่ีชอบ ให้เกษตรกรผู้ปลูกได้แลกเปล่ียนวิธีการดูแลรักษา ในที่สุด
กจ็ ะคดั ใหเ้ หลอื แตพ่ นั ธท์ุ คี่ วรแกก่ ารศกึ ษาไทยเอง ผปู้ กครองคอื คนซอื้ และ PLC คอื เวทที คี่ รเู พาะพนั ธ์ุ
ปญั ญามาเรยี นรใู้ หต้ น้ เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาออกผลดตี ามพนื้ ทที่ ตี่ า่ งกนั ในทสี่ ดุ เราจะไดน้ วตั กรรมการศกึ ษา
หลากหลายทม่ี แี กน่ ทม่ี าเดยี วกนั เหมอื นทเุ รยี นหลายสายพนั ธท์ุ ท่ี กุ ลกู ยงั คงมหี นามแหลมและกลนิ่ หอม
สุธรี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 157
บนทางแหง่ ความแตกต่าง เรายงั มแี นวทางสรา้ งสรรค์
ตน้ ไม้สอื่ สารแห่งสันตแิ ละแบ่งปนั ความรูส้ ึกของฉนั และของเธอ
ร่มเงาไม้คลายความรอ้ นรมุ่ ความอบอ่นุ จากภาษามีมาเสมอ
ฉันขอบคณุ ฉนั ขอโทษ ฉนั เขา้ ใจในเธอ ฉนั และเธอคอื หน่ึงเดยี วเกี่ยวสมั พนั ธ์
เราเรียนรจู้ ากชวี ิตพินิจได้ ดว้ ยการคิดเหตผุ ลใช.้ ..และรว่ มฝัน
จิตตปญั ญานำ� วิญญาณ์เรามาร่วมกนั เพือ่ สานฝนั สรา้ งตอ่ ทอความดี
รว่ มเพาะพนั ธ์ุปัญญาดว้ ยมงุ่ ม่ัน ท�ำความฝนั อนั ย่ิงใหญใ่ หเ้ ต็มที่
สรา้ งพลงั จากต้นกล้านา่ ยนิ ดี ตน้ กล้านีจ้ ะเตบิ ใหญอ่ ีกไมน่ าน
ปณธิ านของท่านอาจารย์ท้ังสองท่าน ความบากบน่ั ความทมุ่ เท...เกนิ กลา่ วขาน
พวกเราจะสูด้ ้วยกันกบั ทา่ นอาจารย์ จะสืบสานปณิธานใหเ้ ปน็ จรงิ
ชตุ มิ า ค�ำบุญชู
ศูนย์พเ่ี ล้ียงเพาะพันธุป์ ัญญา มรภ.ล�ำปาง
158 จากรากแกว้ ส่ผู ลของต้นเพาะพันธป์ุ ญั ญา
ปจั จยั และเง่ือนไขความส�ำเรจ็ ของเพาะพนั ธป์ุ ัญญา
1 มีทนุ มคี นเชือ่
2 หาคนทำงาน (พ�เ่ ลย้ี ง) ทีม่ เี จตนาดี ฉลาด เรย� นรูเปน ขยัน
3 ใหค นทมี่ ีคุณลักษณะขอ 2 “รแู กน” “เปา หมาย” “รขู ั้นตอนวธ� ีการ”
4 ใหอ ิสรภาพในการทำงาน เพ่อ� กลาสรา งสรรคส ง�ิ ใหมมาลองเองตามบรบ� ท
5 หมน่ั ลงโรงเรย� นชวนคนทำงานและครทู บทวนความสำเรจ็ เพ�อ่ ใหเ กดิ passion
6 หมนุ เกลยี วความสำเร็จโดยการชน่ื ชมผลงานทีเ่ ปน Best Practice
7 จะเกดิ “บารม”ี ตามลำดับชั้น จากน้นั หนนุ การใชบารมีใหข ยายตวั
เมอ่ื ทบทวนปจั จยั และเงอื่ นไขของความสำ� เรจ็ ผมเหน็ วา่ เพาะพนั ธป์ุ ญั ญามกี ารทำ� งาน 7 ขนั้ ตอน
ที่ต่อเนือ่ งกนั ซ่ึงขยายความไดด้ ังนี้
1. มที นุ มคี นเชื่อ ทนุ ทำ� งานเปรียบเหมือนน้�ำมันทีช่ ว่ ยให้คนท�ำงานเคล่ือนงานได้ ทุนแบง่ เป็น
2 ประเภท คือทุนขับเคล่ือนและทุนเพ่ือการเรียนรู้ “ทุนขับเคล่ือน” ใช้ท�ำความเข้าใจ
หลักการการจัดการเรียนรู้แบบเพาะพันธุ์ปัญญา เช่น จัด workshop พัฒนาครูและ
นกั เรยี น ทนุ ใหพ้ เ่ี ลย้ี งลงชว่ ยโรงเรยี น ทนุ ใหน้ กั เรยี นทำ� โครงงาน “ทนุ เพอื่ การเรยี นร”ู้ ไดแ้ ก่
การจัดประชุมแบบ PLC การออกชุมชน การจัดค่ายทักษะต่าง ๆ กระบวนการเวที
เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาไดท้ นุ เพราะมคี นเชอ่ื และทมี่ คี นเชอื่ เพราะมผี ลงานเดมิ ปรากฏเปน็ รปู ธรรม
ถา้ ไมม่ ีคนเชอ่ื และให้ทุนทำ� งาน การเปลย่ี นแปลงการศกึ ษาด้วยนวัตกรรมเพาะพนั ธปุ์ ญั ญา
ไม่สามารถเกิดได้
2. การที่ครูมีสมรรถนะโค้ชการเรียนรู้แบบเพาะพันธุ์ปัญญาได้นั้น ไม่ใช่เพียงมีความรู้จาก
workshop ท่ีจัดพัฒนาครูเท่านั้น แต่ต้องมีผู้ติดตามให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเน่ือง
เพาะพันธุ์ปัญญาสำ� เร็จได้เพราะมีกระบวนการพเ่ี ลย้ี ง และพี่เลีย้ งท�ำงานไดด้ เี มอ่ื เปน็ คนทมี่ ี
เจตนาดี ฉลาด เรยี นรูเ้ ปน็ และขยัน ซง่ึ ได้ให้เหตุผลไว้แล้วในบทท่ี 2
สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ 159
3. พัฒนาพีเ่ ลยี้ งท่ีมคี ณุ สมบัตขิ ้อ 2 ให้ “รูแ้ กน่ หรือหลกั การ ร้เู ป้าหมาย รูข้ น้ั ตอนและวิธีการ”
ของนวตั กรรมเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา แกน่ รไู้ ดจ้ ากการเรยี นรไู้ ปพรอ้ มกบั workshop ครู เปา้ หมาย
รู้เม่ือประชุมพี่เลี้ยงทุก 3 เดือนเพื่อทบทวนการท�ำงานและตรวจสอบเป้าหมาย รู้ข้ันตอน
และวิธีการเกิดจากการเรียนรู้ของพ่ีเล้ียงตามบริบทท่ีพบจากการท�ำงานกับครูและนักเรียน
(พเ่ี ลยี้ งจงึ ตอ้ งเรยี นรเู้ ป็น)
4. สกว. ให้อิสรภาพแกห่ น่วยจัดการกลางฯ หน่วยจัดการกลางฯ ถา่ ยทอดอิสรภาพการท�ำงาน
ให้พ่ีเล้ียง และพี่เลี้ยงถ่ายทอดต่อให้ครู การท�ำงานจึงเหมือนไม่ติดรูปแบบ เปล่ียนความ
กังวลต่าง ๆ ของคนท�ำงานเป็นความสนุก (ท่ีได้ลอง) อิสรภาพการท�ำงานเป็นเสน่ห์ของ
การท�ำโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา เพราะผมเช่ือในพื้นฐานว่าหากพ่ีเลี้ยงมีคุณสมบัติตาม
ขอ้ 2 และ 3 แลว้ เขาควรไดอ้ สิ รภาพในการคดิ งานเอง เพอ่ื ใหส้ รา้ งสรรคว์ ธิ กี ารทหี่ ลากหลาย
ไมต่ ดั สนิ ถกู หรือผิด วธิ นี ีจ้ ะทำ� ให้ศนู ยพ์ ีเ่ ล้ียงต่าง ๆ ไม่เปรียบเทียบ ไม่แข่งขันกนั เอง แต่จะ
เรียนรู้ด้วยกันเองอย่างเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน (หน่วยจัดการกลางฯ ต้องไม่ไปเก่ียวข้อง
แม้แต่การเขา้ รว่ มกล่มุ ไลนห์ รือสงั คมออนไลนต์ ่าง ๆ ของพเ่ี ลยี้ ง)
5. อิสรภาพมาคู่กับความรับผิดชอบ พ่ีเลี้ยงท่ีมีคุณสมบัติท้ัง 4 จะรับผิดชอบเองโดยอัตโนมัติ
หากชวนกนั ลงพนื้ ที่ คยุ กบั ครู ทบทวนความสำ� เรจ็ และเรอ่ื งราวดี ๆ คนทำ� งานจะตราตรงึ และ
เกดิ เปน็ ความหลงใหลในงาน (passion) ส่งิ ทเ่ี กดิ นีค้ ือฉนั ทะ ซงึ่ จะเปน็ จุดเริ่มตน้ ของความ
ส�ำเร็จในกิจการงานด้วยธรรมะข้ออิทธิบาท 4 เมื่อฉันทะเกิดจะท�ำงานด้วยแรงบันดาลใจ
มากกว่าแรงจูงใจ คือท�ำเพราะมีความสุขท่ีได้ท�ำ ไม่ใช่ท�ำเพราะได้รับผลตอบแทนแบบ
ค่าจ้างใหท้ ำ�
6. เวทีรวมเพ่ือชื่นชมความส�ำเร็จท่ีเป็น best practice เวทีใหญ่ประจ�ำปีคือพื้นที่ที่สร้าง
ความรสู้ กึ รว่ มวา่ เปน็ ครอบครวั ใหญค่ รอบครวั เดยี วกนั เวทยี อ่ ยประเดน็ เรยี นรตู้ า่ ง ๆ ในงาน
คอื พนื้ ทก่ี ารเปน็ เพอ่ื นทก่ี �ำลงั หาคำ� ตอบการเปน็ ครเู พาะพนั ธป์ุ ญั ญาดว้ ยกนั กระบวนการเวที
ทั้งหลายมีคุณค่าได้เม่ือตัดพิธีการท่ีแสดงสัญลักษณ์เชิงอ�ำนาจลงให้มากที่สุด ให้เหลือแต่
ความเท่าเทียมของผู้ที่ก�ำลังแสวงหาความรู้ ไม่ใช่พื้นท่ีอวดรู้ รางวัลเป็นส่ิงหลีกเล่ียงไมได้
แต่รางวัลต้องให้น้�ำหนักกับการสร้างการเรียนรู้ ไม่ใช่ที่ความเลอเลิศของโครงงาน เพ่ือให้
ครู นกั เรียน และโรงเรียนรสู้ ึกเทา่ เทยี มกนั
7. การท�ำงานระยะยาวท�ำให้เกิดบารมีในตัวพี่เลี้ยงและครู ต้องใช้บารมีให้เป็นประโยชน์
ในทางสรา้ งสรรค์ เชน่ เปน็ ตวั แบบ (role model) จากการทำ� งานทเ่ี ปน็ ผใู้ หม้ ากขนึ้ ใชบ้ ารมี
ใหเ้ ปน็ ด่ังผหู้ ว่านเมลด็ พนั ธ์ุเพาะพนั ธป์ุ ัญญาให้งานพฒั นาการศึกษาขยายตัวออกไป
160 จากรากแก้วสู่ผลของต้นเพาะพันธป์ุ ญั ญา
การรบั รองเมล็ดพนั ธ์ุ
มูลนิธิสดศรี-สฤษด์ิวงศ์ รายงานผลการวิจัยเชิงส�ำรวจเพื่อเปรียบเทียบการพัฒนาการศึกษา
ด้วยนวัตกรรมเพาะพันธุ์ปัญญากับนวัตกรรมอ่ืนรวม 13 โครงการ โดยสอบถามครูในโรงเรียน
เพาะพันธุ์ปัญญา ที่เป็นครูเพาะพันธุ์ปัญญาและท่ีไม่ใช่เพาะพันธุ์ปัญญาประมาณ 300 คน ให้ครู
เรียง “ล�ำดับ” โครงการท่ีมีผลต่อการพัฒนาครูและนักเรียน โดยก�ำหนดให้ครูตอบเฉพาะท่ีตนเอง
เคยมีประสบการณ์เท่าน้ัน ยกเว้นโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาที่อนุญาตให้ครูนอกโครงการประเมินได้
ถ้าครูมั่นใจว่ามีประสบการณ์มากพอ (กับเพ่ือนครูและกับนักเรียน) ท่ีจะประเมินได้ ผมจะยกผล
ที่เปรยี บเทยี บเพาะพนั ธป์ุ ญั ญากบั 2 โครงการหลกั ทม่ี คี รจู �ำนวนมากมปี ระสบการณร์ ว่ ม (จำ� นวนตอบ
มากทส่ี ุด) และเป็นโครงการที่ใชง้ บประมาณจ�ำนวนมากในการอบรมครู คือ สะเต็มศึกษา และคูปอง
พัฒนาครู โดยวเิ คราะหจ์ ากรอ้ ยละของการจดั ลำ� ดบั
ประเภทครู รอ้ ยละของลำ�ดับของสะเตม็ ศกึ ษาที่เกดิ ผลดีต่อการพฒั นาครู (นกั เรยี น)#
ลำ�ดบั 1 ลำ�ดบั 2 ลำ�ดบั 3 ลำ�ดับ 4 ลำ�ดับ > 4
ครเู พาะพนั ธ์ปุ ญั ญา* 11.4 (9.1) 82.8 (68.2) 31.4 (20.4) 0 (0) 2.84 (2.2)
ไมใ่ ช่ครเู พาะพนั ธ์ุปัญญา** 43.2 (36.6) 25.0 (24.4) 9.1 (26.8) 9.1 (4.9) 13.6 (7.3)
* ครูเพาะพันธุ์ปัญญาท้ังหมด 139 คน โดยไม่ตอบกรณีครู 94 คน กรณีเด็ก 95 คน อาจเพราะไม่ม่ันใจหรือ
ไมม่ ีประสบการณก์ บั การอบรมสะเตม็
** ไมใ่ ช่ครูเพาะพนั ธปุ์ ัญญาทัง้ หมด 103 คน โดยไมต่ อบกรณีครู 59 คน กรณเี ดก็ 62 คน อาจเพราะไมม่ ั่นใจหรือ
ไมม่ ปี ระสบการณก์ บั การอบรมสะเต็ม
# ค่าร้อยละของลำ� ดับนกั เรยี นอยใู่ นวงเล็บ
ตารางข้างต้นคือผลการเรียงล�ำดับของโครงการอบรมสะเต็มศึกษา มีครูเพาะพันธุ์ปัญญาเพียง
11.4% เท่าน้ันท่ีเห็นว่าการอบรมสะเต็มศึกษาเกิดผลดีกับตนเป็นอันดับ 1 (หมายความว่าชนะ
ท้ังเพาะพันธุ์ปัญญาและคูปองครู) แต่จ�ำนวน 82.8% คนเห็นว่าการอบรมสะเต็มเกิดผลดีอันดับ 2
ส�ำหรับครูท่ีไม่มีประสบการณ์เพาะพันธุ์ปัญญายังมีความเชื่อ (และให้ความเห็น) ว่าการอบรมสะเต็ม
ใหผ้ ลดีกับตนเป็นอนั ดับ 1 ถงึ 43.2% ลำ� ดับเชน่ นคี้ ลา้ ยกบั การเกิดผลดีกบั นักเรยี น (ตัวเลขในวงเล็บ)
คอื ครูเพาะพนั ธ์ปุ ัญญาจ�ำนวนมากถงึ 90.9% เหน็ วา่ ไม่ได้เกดิ ผลดกี บั นกั เรียนเป็นลำ� ดบั ท่ี 1 (68.2%
ใหล้ �ำดับ 2) ในขณะทีค่ รูไม่มีประสบการณ์เพาะพันธ์ปุ ญั ญาจำ� นวน 36.6% เห็นประโยชนก์ ับนกั เรียน
เป็นลำ� ดับที่ 1 แตค่ รูเกนิ ครึ่งที่เหน็ วา่ เป็นประโยชนก์ บั นักเรียนเป็นล�ำดบั 2 และ 3
สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 161
ส�ำหรับการเปรียบเทียบกับโครงการคูปองพัฒนาครูในตารางข้างล่างน้ี เราเห็นแนวโน้มการ
ให้ล�ำดับแบบเดียวกัน คือ ครูเพาะพันธุ์ปัญญาจ�ำนวนมากกว่าที่ให้คูปองพัฒนาครูเป็นประโยชน์กับ
ครเู ปน็ ล�ำดับที่ 2 (31.5%) และล�ำดบั ท่ี 3 (29.6%) สว่ นครทู ี่ไม่มปี ระสบการณเ์ พาะพันธ์ุปญั ญาเพยี ง
1 ใน 4 เท่านั้นที่ให้คูปองพัฒนาครูเป็นประโยชน์ล�ำดับ 1 ในขณะท่ีเกินคร่ึงที่เห็นว่าเป็นประโยชน์
เป็นลำ� ดับ 2 และ 3 รวมกัน กรณีนอ้ี ธบิ ายไดจ้ ากการท่ีโครงการคปู องครูมีหลกั สตู รหลากหลายมาก
ครูทุกคนไม่ได้เข้าอบรมหลักสูตรเดียวกัน ผลการให้ล�ำดับจึงไม่เด็ดขาดอย่างหลักสูตรสะเต็ม
(ครูท่ีให้สะเต็มเป็นอันดับ 2 อาจเป็นคนที่ให้คูปองครูเป็นอันดับ 1 เพราะเป็นโครงการท่ีครูเลือก
หลักสูตรได้ตรงความต้องการของครู) ครูทั้ง 2 กลุ่มน้อยกว่า 1 ใน 4 ที่เห็นว่าการอบรมคูปองครู
เกิดผลดีต่อนกั เรียนเป็นอันดบั 1
ประเภทครู ร้อยละของล�ำดบั ของคปู องพัฒนาครทู ่เี กดิ ผลดตี ่อการพฒั นาครู (นกั เรยี น)#
ล�ำดับ 1 ลำ� ดับ 2 ล�ำดบั 3 ล�ำดับ 4 ลำ� ดับ > 4
ครูเพาะพันธุป์ ญั ญา* 14.8 (18.0) 31.5 (32) 29.6 (34) 16.7 (10) 7.4 (6)
ไม่ใช่ครูเพาะพนั ธุ์ปัญญา** 25.6 (24.2) 28.2 (27.2) 28.2 (30.3) 5.1 (9.1) 12.8 (9.1)
* ครูเพาะพันธุ์ปัญญาท้ังหมด 135 คน โดยไม่ตอบกรณีครู 85 คน กรณีเด็ก 89 คน อาจเพราะไม่ม่ันใจหรือ
ไมม่ ีประสบการณ์กบั คูปองพัฒนาครู
** ไม่ใช่ครูเพาะพันธุ์ปัญญาทั้งหมด 97 คน โดยไม่ตอบกรณีครู 64 คน กรณีเด็ก 70 คน อาจเพราะไม่ม่ันใจหรือ
ไมม่ ีประสบการณก์ บั คูปองพฒั นาครู
# คา่ รอ้ ยละของล�ำดับนักเรยี นอยใู่ นวงเล็บ
162 จากรากแก้วสูผ่ ลของตน้ เพาะพันธ์ุปัญญา
เมอื่ พิจารณาวา่ ครูท้งั 2 กลมุ่ อยใู่ นบรบิ ทเดยี วกัน (โรงเรยี นเดียวกัน) และมปี ระสบการณส์ ะเต็ม
หรอื คปู องพฒั นาครเู หมอื นกนั แตเ่ มอื่ ครมู ารบั การอบรมกบั เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาแลว้ จงึ บอกไดว้ า่ นวตั กรรม
เพาะพันธุ์ปัญญาให้ผลดีกับครูมากกว่าท้ังสะเต็มและคูปองพัฒนาครู จึงท�ำให้ท้ัง 2 ตารางข้างต้น
ลำ� ดบั ท่ี 1 ของแถวแรก (ครเู พาะพนั ธป์ุ ญั ญา) มรี อ้ ยละสงู กวา่ ลำ� ดบั ที่ 1 ของแถวที่ 2 (ไมใ่ ชค่ รเู พาะพนั ธ์ุ
ปัญญา) ซงึ่ จะยนื ยนั อีกครงั้ ในตารางตอ่ ไปนี้
ประเภทครู รอ้ ยละของลำ� ดบั ของเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาทเ่ี กดิ ผลดตี อ่ การพฒั นาครู (นกั เรยี น)#
ล�ำดบั 1 ล�ำดบั 2 ล�ำดับ 3 ล�ำดับ 4 ลำ� ดับ > 4
ครูเพาะพนั ธปุ์ ัญญา* 79.7 (84.0) 12.0 (11.2) 6.0 (3.2) 0.7 (0) 1.5 (1.6)
ไม่ใชค่ รเู พาะพันธ์ุปญั ญา** 74.5 (78.7) 18.2 (14.9) 3.6 (4.3) 0 (0) 3.6 (2.1)
* ครูเพาะพันธุ์ปัญญาท้ังหมด 139 คน โดยไม่ตอบกรณีครู 6 คน กรณีเด็ก 14 คน อาจเพราะไม่มั่นใจหรือ
ไมม่ ปี ระสบการณก์ ับการเพาะพันธุ์ปญั ญา
** ไม่ใช่ครูเพาะพนั ธปุ์ ญั ญาทัง้ หมด 105 คน โดยไมต่ อบกรณคี รู 55 คน กรณเี ด็ก 63 คน อาจเพราะไมม่ ่นั ใจหรือ
ไม่มปี ระสบการณก์ ับการเพาะพันธ์ปุ ญั ญา
# คา่ รอ้ ยละของลำ� ดับนกั เรยี นอยใู่ นวงเล็บ
เมื่อพิจารณาการเรียงล�ำดับของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา จึงไม่แปลกใจที่ครูเพาะพันธุ์ปัญญา
ลงมตใิ หเ้ ป็นอนั ดับ 1 ถึง 79.7% คน และเพียง 20.2% เท่านัน้ ทีเ่ ป็นอันดบั 2 ข้นึ ไป ล�ำดับทีเ่ ปน็
ผลดกี บั นกั เรยี นกม็ แี นวโนม้ เหมอื นครู (84.0% ใหอ้ นั ดบั 1 และ 16% คนใหอ้ นั ดบั 2 ขน้ึ ไป) ทนี่ า่ สนใจ
คือคาดได้ว่าผลท่ีเกิดกับทั้งครูและนักเรียนน่าจะเด่นชัดมาก จนแม้แต่ครูท่ีไม่มีประสบการณ์
เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาจำ� นวนมากกย็ อมรบั วา่ เกดิ ผลดกี บั ทงั้ ครแู ละนกั เรยี นเปน็ อนั ดบั 1 คอื มากถงึ 74.5%
และ 78.7% ตามลำ� ดบั ในขณะที่ 25.4% และ 21.3% เหน็ วา่ อนั ดับ 2 ขึน้ ไป ตามล�ำดบั )
เมื่อน�ำล�ำดับท้ังหมดมาหาค่า weighted average ผลการเปรียบเทียบแสดงได้ในรูป 2 รูป
ต่อไปน้ี33 (เนื่องจากเป็นคะแนน weighted average ของ “ล�ำดับ” ดังน้ันคะแนนน้อยหมายถึงดี
คา่ ท่นี อ้ ยท่ีสุดท่เี ปน็ ไปไดค้ ือ 1.00 เกดิ เมอ่ื ครทู ุกคนเห็นเปน็ เอกฉันท)์
33 ได้ plot เปรยี บเทียบเฉพาะที่มคี รูใหค้ วามเห็นมากกว่า 25 คน จงึ รวมโครงการอื่นดว้ ย
สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 163
Weight Average แตละโครงการที่มผี ลตอครู (sample > 25)
4.5 คานอ ยแปลวา ดี (คานอ ยทสี่ ุดที่เปนไปไดคอื 1)
4.0
3.5 คโรณุ สงพเธรร�ยฐรนม LAeBcaatrsinveiidntyg โรงเรย� น คูปองครู ดคว ยุณปบลลูรูกกัณฝษางณกาะร
3.0 คณุ ภาพ
2.5 ประจำตำบล
2.0
1.5
1.0
0.5
0
เพาะพันธุปญ ญา STEM สพฐ
เพาะพนั ธุป ญ ญา ไมใชเ พาะพันธุป ญ ญา
Weight Average แตละโครงการท่มี ีผลตอ นกั เรย� น (sample > 25)
4.5 คา นอ ยแปลวาดี (คานอยทีส่ ดุ ทีเ่ ปนไปไดคอื 1)
4.0
3.5 คโรณุ สงพเธรรย�ฐรนม ปรคโะรุณจงำเภรต�ยาำพนบล ดคว ยุณปบลลรู ูกกัณฝษางณกาะร คปู องครู LAeBcaatrsinveiidntyg
3.0
2.5
2.0
1.5
1.0
0.5
0
เพาะพันธุป ญ ญา STEM สพฐ
เพาะพันธปุ ญ ญา ไมใชเ พาะพันธุปญญา
ตารางท้ัง 3 และรูปอีก 2 รูปจึงยืนยันแก่กันว่า เม่ือครูได้มีประสบการณ์เรียนรู้หลักการและ
พัฒนาตนเองจากการร่วมโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาแล้ว ผลดีน้ันตกแก่ครูและนักเรียนอย่างชัดเจน
และเหน็ ได้จนเป็นที่รบั รู้ท้ังครูท่ีอยแู่ ละไมอ่ ยใู่ นโครงการเพาะพันธ์ปุ ัญญา
164 จากรากแกว้ สผู่ ลของตน้ เพาะพนั ธุป์ ัญญา
เชอื้ โรครา้ ยในดนิ
เมอ่ื วนั ที่ 5 ตลุ าคม 2557 ระหวา่ งทำ� โครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญามเี หตกุ ารณใ์ หผ้ มตอ้ งบนั ทกึ ดว้ ย
ความรสู้ กึ รนุ แรงในหวั เรอ่ื ง “อาชญากรรมทางปญั ญา” เปน็ เรอื่ งเกยี่ วกบั การประเมนิ ตา่ ง ๆ ทดี่ เู หมอื นดี
แต่ความคมของดาบอีกข้างหน่ึงกลับพลิกมาท�ำร้ายการศึกษา เหมือนเชื้อโรคร้ายในดินของการขยาย
พันธ์ุเพาะพนั ธป์ุ ัญญา... ความดังนี้
มีงานวิจัยพบว่ารถที่ท�ำประกันชั้น 1 มีโอกาสประสบอุบัติเหตุมากกว่า เพราะคนขับประมาท
ด้วยถือว่ามปี ญั หาอะไรก็มคี นจา่ ยให้ บางคนคดิ เลยไปถึง “ไมเ่ คลมไม่คมุ้ ”
การประเมนิ และการใหร้ างวลั กเ็ ชน่ กนั ทำ� ใหเ้ กดิ อาชญากรรมทางปญั ญา คณุ ธรรมและจรยิ ธรรม
ได้ง่าย
ผมได้ยนิ เสยี งบ่นดัง ๆ มานานแล้ววา่
“วันน้ีครูขอลามาท�ำเพาะพันธุ์ปัญญาไม่ได้ เพราะโรงเรียนก�ำลังประเมินเข้ารับรางวัล”
ผพู้ ูดหนั ซา้ ยหันขวาแลว้ พูดเสยี งเบา “ต้องเตรียมเอกสารใหพ้ ร้อม”
“เอกสารผักชี โกหกให้ดูด”ี ผมตอ่ ให้
“เตรยี มซอ้ มเด็กใหแ้ สดงใหด้ ูด้วย” ครสู ำ� ทบั เรือ่ งงาน
ผมทราบมาวา่ สงิ่ นจ้ี ำ� นวนมากเปน็ ความตอ้ งการของ ผอ. เพอ่ื ใหต้ นเองมปี ระวตั ผิ ลงานใชข้ อยา้ ย
ไปอยู่โรงเรยี นที่ดกี ว่า หรือไดเ้ ลื่อนข้นั ความดีความชอบ
ผมเรียกส่ิงน้ีว่าเป็นอาชญากรรมทางปัญญา เพราะโรงเรียนมุ่งปั้นเด็กจ�ำนวนน้อยไปอวด
เอารางวัลนั้นมาบ�ำเรอ ผอ. โรงเรียนท�ำให้ครูต้องละเลยเด็กอีกจ�ำนวนมาก จึงถือเป็นอาชญากรรม
ทางปญั ญา ละเมิดสทิ ธมิ นษุ ยชน ค้ามนุษย!์ !
การท�ำเอกสารป้นั แตง่ เร่อื งราวให้ดูดี ท้ัง ๆ ทไี่ มไ่ ดท้ ำ� จริง เป็นเร่อื งทรี่ ้กู ันท่วั บ้านทั่วเมอื ง เปน็
อาชญากรรมทางคุณธรรม จริยธรรมอย่างโจ่งแจ้ง เป็นอาชญากรรมในสถานที่ควรบ่มเพาะคุณงาม
ความดใี หเ้ ยาวชน!!
สุธรี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 165
เมื่อการแข่งขันท่ีผลประโยชน์เป็นของครู และ ผอ. นักเรียนก็กลายเป็นม้า ให้ครูเป็นจ๊อกกี้
มี ผอ. เป็นเจา้ ของคอกรบั รางวลั
คนที่ set ระบบเชน่ น้ี คดิ วา่ การแขง่ ขนั เปน็ สง่ิ กระตนุ้ คณุ ภาพ หารไู้ มว่ า่ มนั มดี า้ นมดื ปรากฏการณน์ ี้
ด�ำรงอยู่เพราะ “วัฒนธรรมหลอกตนเอง” ให้หัวกะทิที่ลอยอยู่ข้างบนสร้างความเช่ือว่าท้ังภาชนะนั้น
คือความเข้มข้น หวานมนั ปดิ ตาตนเองไม่ยอมมองเหน็ หางกะมิทก่ี น้ ภาชนะ หรอื “ธุระไม่ใช่ ในเมือ่
หางกะทคิ อื ส่งิ ไร้ประโยชน”์
มคี นใหข้ อ้ สงั เกตวา่ รถทป่ี ระสบอบุ ตั เิ หตบุ อ่ ย คอื รถทเ่ี จมิ ดว้ ยเกจอิ าจารยช์ อื่ ดงั ประมาทเพราะ
เชอ่ื อทิ ธฤิ ทธค์ิ มุ้ ครอง ย่งิ มปี ระกาศคุณงามความดจี ากการประเมินมาเพ่ิมใน portfolio มนั กเ็ หมอื น
ไดร้ ับกรมธรรมช์ น้ั 1 แถมมากับแป้งเจมิ
เพราะ portfolio คือตราบาปจากการก่ออาชญากรรม เพราะระบบคิดที่เช่ืออิทธิฤทธิ์ของ
แป้งเจิม การศกึ ษาไทยจึงวิ่งลงเหว
อาชญากรรมเกดิ จากอาชญากร ระบบบรหิ ารการศกึ ษาไทยเปน็ ระบบทส่ี รา้ งมาเฟยี มาทำ� คลอด
อาชญากร
ปฏิรปู ไม่ส�ำเร็จหากไม่ลา้ งบางมาเฟยี
ลา้ งบางมาเฟยี ไม่สำ� เร็จ หากไม่เห็นมาเฟีย หามาเฟียจากเร่ืองทเี่ ขยี นนีใ้ ห้เจอ
166 จากรากแกว้ สู่ผลของต้นเพาะพันธปุ์ ญั ญา
ความพยายามขยายพันธุ์
สง่ิ ทป่ี ระสบความสำ� เรจ็ มักถกู เรียกร้องให้ขยายผล เพาะพนั ธ์ปุ ญั ญาก็ไมพ่ น้ กรณีน้ี ในระยะที่ 2
ของโครงการ (ปีการศึกษา 2560-2561) ทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างคาดหวังให้เพาะพันธุ์ปัญญาขยายตัว
เข้าสู่ระบบการศึกษา คณะกรรมการก�ำกับทิศทางมีข้อเสนอแนะให้การท�ำงานระยะท่ี 2 มุ่งเป้าไปที่
การสรา้ งความยง่ั ยนื ในระบบการศกึ ษา ซง่ึ หมายความวา่ เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาตอ้ งทำ� งานกบั กลไกการศกึ ษา
ท่มี อี ยู่ แตเ่ ช้อื โรคร้ายในดนิ ยงั คงตามหลอกหลอนการขยายผล ดงั เรอื่ งราวที่ปรากฏในตอนน้ี
แนวโน้มความเป็นไปได้เกิดเม่ือ สพฐ. ร่วมสนับสนุนให้ศึกษานิเทศก์ท่ีอยู่ในพื้นท่ีเพาะพันธุ์
ปญั ญาเขา้ มารว่ มเรยี นรอู้ ยา่ งเขม้ ขน้ เปน็ เวลา 5 วนั เมอ่ื วนั ท่ี 7-11 พฤษภาคม 2561 เปน็ ประสบการณ์
ที่ทมี เพาะพนั ธุป์ ญั ญาได้เรียนรปู้ ญั หาใหญ่ คือ มมุ มอง (perception) ของศกึ ษานเิ ทศก์ไม่สอดคล้อง
กับแนวทางเพาะพนั ธ์ปุ ัญญาเลย34 O-Net ยงั คงเปน็ เป้าหมายการศึกษาในความคดิ ของศึกษานิเทศก์
อย่างไรก็ตามในตอนจบวันที่ 5 ยังพอมีศึกษานิเทศก์จ�ำนวนหนึ่งถอนความคิดเดิม ให้การยอมรับผล
ด้านสมรรถนะและการเปลี่ยนแปลงเติบโตของนักเรียน ศึกษานิเทศก์ส่วนน้ีติดตามเรียนรู้จาก
กิจกรรมเพาะพันธุ์ปัญญาอย่างต่อเน่ืองหลังจากนั้น ซ่ึงกลายมาเป็นก�ำลังในหลายพื้นที่ และต่อมา
ศกึ ษานเิ ทศกท์ มี่ าจาก อบจ. ศรสี ะเกษไดเ้ ปดิ โอกาสใหเ้ พาะพนั ธป์ุ ญั ญานำ� เสนอตอ่ ทป่ี ระชมุ ผรู้ บั ผดิ ชอบ
การศึกษาขององค์การบริหารส่วนจังหวัดท่ัวประเทศในคราวประชุมที่จังหวัดศรีสะเกษเมื่อวันท่ี
21 มิถุนายน 2561 แม้ว่า อบจ. ศรีสะเกษจะน�ำเพาะพันธุ์ปัญญาไปเป็นนวัตกรรมของโรงเรียน
ในสังกัด อบจ. ในโครงการเขตนวัตกรรมการศึกษาศรสี ะเกษ แตส่ �ำหรับ อบจ. อนื่ เหมือนรับทราบแล้ว
เลือนหายไปกบั กาลเวลา
ในโอกาสที่รัฐบาลมีโครงการคูปองครู โครงการเพาะพันธุ์ปัญญาประสบความส�ำเร็จในการ
เสนอหลักสูตรการสอนโครงงานฐานวิจัยและสะเต็มศึกษาในปีงบประมาณ 2559 แต่ในปีถัดมา
หลักสูตรของโครงการฯ ไม่ผ่านการพิจารณา (ทั้งคุณภาพและวิทยากร) จากสถาบันคุรุพัฒนา
จงึ ไมส่ ามารถดำ� เนนิ การตอ่ ได้ แมว้ า่ ตอ่ มาเพาะพนั ธป์ุ ญั ญามโี อกาสนำ� เสนอในทปี่ ระชมุ คณะกรรมการ
การศึกษาข้ันพ้ืนฐานเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 และมีความเห็นของกรรมการหลายท่านให้บรรจุ
เป็นหลักสูตรคูปองพัฒนาครู รวมท้ังได้มอบหมายให้ผู้รับผิดชอบ (ใน สพฐ.) ติดตามเรียนรู้ แต่
ไม่ปรากฏว่ามีการด�ำเนินการใด ๆ จากผู้ที่ได้รับมอบหมายเลย สถาบันคุรุพัฒนายังคงยืนยันตาม
เกณฑเ์ ดมิ อยา่ งไรกต็ ามแนวคดิ สะเตม็ ศกึ ษาของเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาไดร้ บั ใหข้ ยายผลกบั วศิ วกรในโครงการ
FabLab ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2561) และในงานมหกรรมการศึกษา EDUCA
Thailand 2561-62
34 จ�ำนวนมากคือคนก�ำลังเกษียณในอีก 4 เดือนข้างหน้า บางคนเพิ่งบรรจุใหม่ต้องหลบการอบรมไปรายงานตัวก็มี
การตอ่ ตา้ นไม่ยอมรับสิ่งใหมป่ รากฏชัดใน 3 วนั แรก
สุธรี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 167
โครงการเพาะพันธุ์ปัญญามีโอกาสอีกคร้ังเม่ือน�ำเสนอต่อคณะกรรมการร่วมรัฐ-เอกชนใน
โครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาเม่ือ 29 ตุลาคม 2561 แม้ว่ามีเอกชนให้ความสนใจ แต่น�ำไปใช้เพียง
6 โรงเรียนของ บ. น�้ำตาลมติ รผล จำ� กัด35 สำ� หรับเอกชนรายอ่ืนทมี่ ีมหาวทิ ยาลัยในพ้ืนทีเ่ ป็นหุ้นส่วน
ยงั คงปลอ่ ยใหเ้ ป็นการจดั การของมหาวทิ ยาลัยอย่างเชน่ ทผี่ ่านมา
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรธี รรมราชนำ� ไปใช้กับนักศกึ ษาฝึกประสบการณ์ โดยท�ำอยา่ งเขม้ ขน้
เป็นเวลากว่า 2 ปี แต่ก็มีอุปสรรคมากมาย ต่อมาที่ประชุมสภาคณบดีคณะครุศาสตร์ ม.ราชภัฏ
ท่ัวประเทศได้พยายามขยายผลสู่การผลิตครูท่ัวประเทศ โดยท�ำผ่านความร่วมมือในโครงการ CCR
(Contemplative Education, Coaching, Research-Based Learning) กบั สกว. แมว้ า่ โครงการ
ในช่วงแรกจะมีปัญหากับการท�ำความเข้าใจเพาะพันธุ์ปัญญา แต่คณะท�ำงานได้พยายามแก้ไขโดย
ตั้งทีมขับเคลื่อนมาเรียนรู้เพื่อขยายผลเอง อาจกล่าวได้ว่าการผลิตครูรุ่นใหม่ให้สามารถโค้ชการสอน
ตามรูปแบบเพาะพันธุ์ปัญญายังไม่ประสบความส�ำเร็จ แต่ท่ีสามารถกล่าวว่าประสบความส�ำเร็จคือ
การขยายผลในโรงเรียนพระปรยิ ัติธรรมแผนกสามญั ใน 60 โรงใน 5 จังหวดั ภาคเหนอื
35 เพราะโรงเรยี นกรบั ใหญว่ อ่ งกศุ ลกจิ จ. ราชบรุ ี ซงึ่ เปน็ โรงเรยี นในอปุ ถมั ภข์ อง บ. นำ้� ตาลมติ รผล จำ� กดั อยใู่ นโครงการ
เพาะพนั ธป์ุ ัญญา และผู้รบั ผดิ ชอบของ บ. น�้ำตาลมิตรผล จ�ำกัด ตดิ ตามงานมาโดยตลอด
168 จากรากแกว้ สู่ผลของตน้ เพาะพนั ธุป์ ัญญา
ปัจจยั สนับสนุนและขดั ขวางความส�ำเรจ็ ของการขยายพนั ธุ์
เนอื้ ความตอนนเี้ ขยี นเพอ่ื ถา่ ยทอดประสบการณค์ วามส�ำเรจ็ และไมส่ �ำเรจ็ ในการขยายเพาะพนั ธ์ุ
ปัญญาเข้าสู่กลไกการศึกษา เพื่อให้ผู้อ่านทราบบริบทการศึกษาท่ีเป็นอุปสรรคต่อการน�ำนวัตกรรม
การศกึ ษาเขา้ สโู่ รงเรียน
การศกึ ษาไทยมนี วตั กรรมจำ� นวนมากทท่ี ำ� ใหค้ รปู วดหวั วนุ่ วายกบั การรบั ของใหมม่ าใช้ หลายครง้ั
ของใหม่เข้ามาแทรกทั้ง ๆ ที่ของเก่าจ�ำนวนมากยังคาอยู่ จึงเกิดสถานการณ์มีโครงการจ�ำนวนมาก
สะสมในโรงเรียนท่ีต้องส่งรายงาน ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพาะพันธุ์ปัญญาก็เป็นหน่ึงในนวัตกรรมเหล่าน้ัน...
แต่ก็ปฏิเสธไม่ไดว้ ่าทเ่ี ขยี นในหวั ขอ้ “การรบั รองเมล็ดพันธ”ุ์ นนั้ เปน็ ความจริง
ทำ� ไมส�ำเร็จท่ี อบจ. ศรสี ะเกษ
ถา้ รองนายก อบจ. ทสี่ นใจการศกึ ษา (คณุ อภศิ กั ด์ิ แซจ่ งึ ) ไมม่ าเหน็ การเปลยี่ นแปลงของนกั เรยี น
3 โรงในสงั กดั อบจ. ทเี่ ขา้ รว่ มโครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา ความคดิ ขยายผลและการมี Letter of Intend
กับ สกว. และ มรภ.ศรีสะเกษจะเกิดข้ึนไม่ได้ และถ้า มรภ.ศรีสะเกษไม่รับเอาการพัฒนาการศึกษา
เป็นภารกิจเพ่ือสังคม ย่อมไม่มีคนท�ำงานกับพื้นท่ีจนได้รับการยอมรับให้เป็นนวัตกรรมในโครงการ
เขตนวตั กรรมการศึกษาศรสี ะเกษ
เบ้ืองหลังความส�ำเร็จมีเรื่องราวปริศนามากมาย ท�ำให้ความส�ำเร็จน้ีต้องฝ่าฟันกับครูและ ผอ.
ที่ไม่ต้อนรับเพาะพันธุ์ปัญญา ท้ัง ๆ มีปรากฏการณ์ดี ๆ จากนักเรียนเพาะพันธุ์ปัญญาท่ีเป็นตัวแทน
ผลงานต่าง ๆ ของโรงเรียน ผมตีความจากปฏิกิริยาไม่ยินดีต้อนรับเพาะพันธุ์ปัญญาว่าเกิดจาก
ความกลวั กลวั วา่ เพม่ิ ภาระ กลวั วา่ ตนเองไมม่ คี วามสามารถตามทนั ครใู นโครงการฯ และไมใ่ ชโ่ ครงการ
ท่ตี นเองเป็นคนตน้ คิด ฯลฯ
หากไม่เพราะการต่อสู้อย่างสุดฤทธิ์และการอดทนรอจังหวะของครูเพาะพันธุ์ปัญญาบางท่าน
เราจะไม่เห็นความส�ำเร็จท่ีกลายมาเป็นนวัตกรรมการศึกษาของโรงเรียนสังกัด อบจ. ศรีสะเกษเกือบ
40 โรง ในโครงการเขตนวตั กรรมการศึกษา
สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 169
ทำ� ไมส�ำเรจ็ กบั โรงเรยี นร่วมพัฒนา บ. นำ�้ ตาลมิตรผล
เมื่อเพาะพันธุ์ปัญญามีโอกาสน�ำเสนอแนวทางปฏิรูปการเรียนรู้กับภาคเอกชนท่ีร่วมโครงการ
โรงเรยี นร่วมพฒั นาน้ัน แมว้ า่ จะมีผแู้ สดงความสนใจจำ� นวนมาก แต่ก็มเี พียง บ. น�้ำตาลมติ รผล จำ� กัด
เท่านั้นท่ีนัดคุยในรายละเอียดการท�ำงานด้วยกัน ท่ีเป็นเช่นน้ีเพราะโรงเรียนกรับใหญ่ว่องกุศลกิจ
จังหวัดราชบุรี (ท่ีเป็นโรงเรียนในอุปถัมภ์ของตระกุลว่องกุศลกิจ) เป็นโรงเรียนเพาะพันธุ์ปัญญา
ทีมการศึกษาของ บ. น้�ำตาลมิตรผล จ�ำกัด ได้ติดตามการท�ำงานเพาะพันธุ์ปัญญามาตลอด จึงเห็น
การเปลี่ยนแปลงท่ีเป็นรูปธรรมในนักเรียน ท�ำให้บรรลุผลเป็นการท�ำงานร่วมกันในโครงการโรงเรียน
รว่ มพฒั นา ประกอบกบั บ. นำ�้ ตาลมติ รผล จำ� กดั ทมุ่ เทใหก้ บั การศกึ ษามาก มที มี ทำ� งานทเ่ี ปน็ ผรู้ ู้ เขา้ ใจ
บรบิ ทการศกึ ษาจนสามารถจดั การใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงทโ่ี รงเรยี นได้ เชน่ กรรมการสถานศกึ ษาและ
ผู้อ�ำนวยการโรงเรยี น
ในขณะท่ีโครงสร้างการจัดการโครงการโรงเรียนร่วมพัฒนาก�ำหนดให้มีมหาวิทยาลัยเป็นพ่ีเลี้ยง
ทางวิชาการ แตด่ ้วยความเช่อื ว่ามหาวิทยาลัยเกง่ วชิ าการ เอกชนจำ� นวนหนง่ึ จึงปล่อยใหม้ หาวิทยาลยั
จัดการ มหาวิทยาลัยจ�ำนวนหน่ึงจึงใช้รูปแบบเดิมที่เคยท�ำมาก่อน การเปล่ียนแปลงการศึกษาโดย
โครงการโรงเรยี นรว่ มพฒั นาคงยากทจี่ ะประสบความสำ� เรจ็ ในผลสมั ฤทธกิ์ ารศกึ ษาดา้ นสมรรถนะหลกั
(core competency) ตามหลักสตู รฐานสมรรถนะ เพราะเป็นสิ่งทวี่ ธิ ีการเก่า ๆ ไม่สามารถบรรลผุ ลได้
ความสำ� เรจ็ กบั โรงเรยี นรว่ มพฒั นา บ. นำ้� ตาลมติ รผลจงึ เกดิ จากมที มี ภายในทเี่ อาใจใสก่ ารศกึ ษา
วิเคราะหป์ ญั หาอย่างจริงจัง แก้ปัญหาเชงิ โครงสร้างทเี่ ป็นอุปสรรค และแสวงหาภาคีร่วมใหม่ ๆ
170 จากรากแก้วสู่ผลของต้นเพาะพนั ธ์ุปัญญา
ทำ� ไมส�ำเรจ็ กับโรงเรยี นพระปรยิ ัตธิ รรม
โรงเรียนพระปรยิ ตั ิธรรมแผนกสามัญขาดแคลนองค์ความรู้การจัดการการศึกษา เพราะไมไ่ ดร้ ับ
ความเหลียวแลจากทั้ง สพฐ. และส�ำนักพระพุทธศาสนาเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะเป็นการศึกษา
ท่ีถูกลืมจากสังคมว่าประเทศเรายังมีการจัดการการศึกษาท่ีเด็กด้อยโอกาสต้องห่มบวชเป็นเณร
เพอื่ ไดโ้ อกาสการศกึ ษาและยังชีพ
เพราะมคี �ำวา่ “แผนกสามัญ” ต่อท้าย โรงเรยี นพระปริยตั ิธรรมฯ สอนวิชาสามัญ 8 สาระตาม
หลกั สูตรแกนกลางของ สพฐ. และอกี 3 สาระในวิชาพระพุทธศาสนา สามเณรจงึ เรียนมากกวา่ ปกติ
แต่มีครูน้อยกว่าปกติ เนื่องจากส่วนมากอยู่ห่างไกลความเจริญ ครูฆารวาสส่วนมากเป็นครูอัตราจ้าง
ทพ่ี รอ้ มจากไปเมอื่ ถกู เรยี กบรรจุ ครฆู ารวาสมจี ดุ ออ่ นเรอ่ื งความคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ และครทู เี่ ปน็ สงฆ์
ไมเ่ ชยี่ วชาญวชิ าพน้ื ฐานตามหลกั สตู ร สพฐ. แตโ่ รงเรยี นแบบนม้ี จี ดุ เดน่ คอื ผอ. ไมย่ า้ ย (ผอ. เปน็ พระสงฆ)์
โรงเรียนยดึ โยงกบั ชมุ ชน (วฒั นธรรมภาคเหนือชุมชนจะผลัดเวรท�ำงานให้วดั ) ครใู หค้ วามเคารพ ผอ.
(สว่ นหนง่ึ เพราะสถานภาพพระสงฆ)์ นักเรียน (สามเณร) มีวนิ ยั (ดว้ ยกรอบนักบวช) และมีทมี พเ่ี ลี้ยง
ของหนว่ ยงานรฐั สนบั สนนุ ยาวนาน (โครงการวิทยาศาสตรใ์ นถ่ินทรุ กันดาร สวทช.)
ปัจจุบนั โรงเรยี นพระปรยิ ัติธรรมฯ ได้รับการสนับสนนุ จาก บรษิ ทั ชับบ์สามัคคปี ระกนั ภัย ใหต้ ้ัง
ศูนย์เรียนรสู้ ะเต็มและปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง (SEEEM) ตามแนวคิดเพาะพันธป์ุ ัญญา 12 แห่ง
ใน 5 จังหวัดภาคเหนือ
ความส�ำเร็จของโรงเรียนพระปริยัติธรรมเกิดได้ง่ายกว่าโรงเรียน สพฐ. เพราะพี่เลี้ยง สวทช.
เข้าใจเพาะพันธุ์ปัญญาแล้วประสานการท�ำงานกับ ผอ. โรงเรียนให้เข้าใจการจัดการการศึกษาจาก
การทำ� โครงงานฐานวจิ ยั 36 และมีผ้ใู จบุญสนบั สนนุ “กระบวนการเรยี นร”ู้ มากกว่าการสร้างถาวรวัตถุ
36 ทีม สวทช. ท่ีมีบทบาทมากคือ อ. ผ่องพรรณ เอกอาวุธ ที่ธรรมะจัดสรรให้ผมรู้จักเมื่อครั้งเป็นทีมงานประเมิน
โครงการน�ำวิทยาศาสตร์สู่โรงเรียนในถิ่นทุรกันดารของ สวทช. ก่อนเริ่มท�ำเพาะพันธุ์ปัญญา 2 ปี และเป็น
ผดู้ ำ� เนนิ การให้ ผอ. โรงเรยี นตา่ ง ๆ เรยี นรกู้ ระบวนการคดิ แบบวทิ ยาศาสตร์ (คดิ เชงิ เหต-ุ ผล) จาก workshop หลายครง้ั
สุธรี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 171
ทำ� ไมไม่ส�ำเร็จกบั โครงการคูปองพฒั นาครู
โครงการคูปองพัฒนาครูปีแรกท�ำด้วยความเร่งรีบ ไม่มีโครงสร้างการจัดการคุณภาพที่ชัดเจน
จึงถูกติงจากสังคมครูว่าหลายหลักสูตรไร้คุณภาพทางวิชาการ ปีที่ 2 แทนท่ีจะเอาผลการประเมิน
ของครู (ทตี่ อ้ งประเมนิ online หลงั จบการอบรม) มาประกอบการพจิ ารณา คณะทำ� งานกลบั ตงั้ เกณฑ์
ทเ่ี ปน็ เงอ่ื นไขใหห้ ลกั สตู รเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาไมผ่ า่ นการรบั รอง เชน่ ไมม่ สี าระวชิ ารองรบั (หลกั สตู รอบรม
เพาะพนั ธุ์ปัญญาเปน็ การพฒั นากระบวนการคดิ ) วทิ ยากรไม่มปี ระสบการณ์สอนการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน
เกิน 10 ปี เปน็ ตน้
ความต้องการคุณภาพผสมกับความหวาดกลัวการถูกต�ำหนิจากงานปีแรกและการยึดติดกับ
สาระวิชาเกินไป ท�ำให้หลักสูตรเพาะพันธุ์ปัญญาไม่สามารถผ่านการรับรองจากสถาบันคุรุพัฒนาได้
เรื่องน้ีสะท้อนความจริงว่าการบริหารจัดการการศึกษาของส่วนกลางมองทุกส่ิงมีมาตรฐานเดียวกัน
เพ่ือคงความเท่าเทียม ทุกอย่างต้องด�ำเนินการเหมือนกัน ความจริงของบริบทมีน้�ำหนักน้อยกว่า
ความคิดจากสว่ นกลาง
ระบบลงทะเบียนข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา
โครงการพัฒนาครูรปู แบบครบวงจร (คูปองคร)ู
172 จากรากแก้วสผู่ ลของต้นเพาะพันธ์ุปัญญา
ทำ� ไมไมส่ �ำเรจ็ กับการผลิตครูของคณะครศุ าสตร์ มรภ.
การแก้ปัญหาอย่างย่ังยืนคือแก้ท่ีต้นเหตุ เราไม่อาจแก้ปัญหาครูประจ�ำการ 4 แสนกว่าคนโดย
ละเลยการผลิตครูได้ มหาวิทยาลัยราชภัฏพยายามผลิตครูให้สามารถสอนแบบครูเพาะพันธุ์ปัญญา
ได้ โดยมคี วามร่วมมอื กับ สกว. ในโครงการ CCR เพอ่ื ให้นักศึกษาครศุ าสตรฝ์ ึกประสบการณ์ในสถาน
ศึกษา (ปี 5) ได้เรยี นรู้การสอนโครงงานแบบเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา มรภ.นครศรธี รรมราชน�ำร่องกอ่ น 2 ปี
โดยจัด workshop ใหอ้ าจารยค์ ณะครุศาสตร์ (อาจารย์นิเทศ) และนกั ศกึ ษา
การฝึกประสบการณ์ให้นักศึกษาเรียนรู้การเป็นโค้ชสอนโครงงานฐานวิจัยต้องการการ
เปล่ียนแปลงหลายด้าน ซึ่งเพาะพนั ธุ์ปญั ญาพบวา่ หากประเดน็ ตอ่ ไปนไี้ มถ่ กู แก้ไขก็จะยากทจี่ ะประสบ
ความสำ� เร็จ
1. นักศึกษาต้องฝึกตนเองจากมหาวิทยาลัยให้เข้าใจจิตตปัญญาศึกษา กระบวนการคิดเชิง
เหตุ-ผล ความคิดเชิงออกแบบ (คิดสร้างสรรค์) โดยเรียนจากการลงมือท�ำ (ปฏิบัติ) ก่อน
พิจารณาประสบการณ์จากปฏิบัติจนเข้าใจ (ปฏิเวธ) แล้วค่อยอธิบายด้วยความรู้ใหม่
ทสี่ ร้างขึน้ (ปริยตั )ิ วธิ นี ก้ี ลบั ทิศกบั ที่เป็นอยใู่ นปัจจบุ ัน
2. แก้ปัญหา mindset การท�ำวิจัยท่ีใช้สมมุติฐานสถิติ (statistical hypothesis) มาเป็น
สมมุติฐานที่ “สงสัยในเหตุแห่งผล” เพื่อเปล่ียนวิธีการหาข้อมูลจากการส�ำรวจสัมภาษณ์
เป็นการทดลองเชิงประจักษ์ และบูรณาการสาระวิชามาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเหตุ
กับผล
3. แก้ความเข้าใจท่ีเห็นว่าวิจัย คือ เป็นงานพัฒนาวิชาชีพครู ท่ีผ่านมาครูท�ำวิจัยนับได้เป็น
ลา้ น ๆ ชนิ้ (ครไู ด้ คศ. 3, 4 มากขน้ึ ) แตผ่ ลสมั ฤทธก์ิ ารเรยี นของนกั เรยี นไมด่ ขี น้ึ เปน็ หลกั ฐานวา่
ท้ัง ๆ ทรี่ ้ทู ฤษฎี constructivism, learning by doing, experiential learning ตลอดจน
หลักของกาลามสตู ร แต่ไม่มใี ครเห็นว่านกั เรียนควรเป็นผู้ปฏบิ ตั วิ จิ ยั อาจารย์นิเทศการสอน
ต้องเข้าใจวิจยั ตามหลักเพาะพนั ธ์ปุ ัญญาในระดับใหค้ �ำแนะน�ำและประเมนิ ได้
4. เพิ่มหลักสูตรการโค้ชการท�ำโครงงานฐานวิจัยเชิงเหตุ-ผล โดยเน้นปฏิบัติและถอดความรู้
จากปฏบิ ัติท่ที ำ� ให้สามารถโคัชใหน้ ักเรียนทำ� วิจัยให้เปน็ (ไมใ่ ชใ่ หน้ กั ศกึ ษาท�ำวิจัยเปน็ ) ท้ังนี้
ควรเชญิ ครูแกนน�ำเพาะพันธุป์ ัญญาเปน็ อาจารยพ์ ิเศษ
สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 173
5. โรงเรียนทีฝ่ ึกประสบการณต์ ้องมหี ลักสูตรโครงงาน เชน่ วชิ า Independent Studies (IS)
นักศึกษาต้องมีโอกาสฝึกสอนวิชาโครงงาน (โดยปกตินักศึกษาฝึกสอนตามวิชาเอกของตน
เช่น ภาษาไทย วิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์) และต้องให้ความสำ� คญั กับ “แก่น” ของการฝกึ
ท่ีแท้จริง ซ่ึงต้องอาศัยกลไกสนับสนุนเชิงโครงสร้างท่ีเข้มแข็ง และมุ่งม่ัน ผ่านเครือข่ายที่มี
ศกั ยภาพในการฝกึ เชน่ ฝกึ กบั ครแู กนนำ� เพาะพนั ธป์ุ ญั ญา และอาจารยม์ หาวทิ ยาลยั ราชภฏั
มีโอกาสรว่ มเรยี นรดู้ ว้ ย
6. ต้องเปลี่ยนเง่ือนไขท่ีให้นักศึกษาฝึกประสบการณ์ท�ำวิจัยในชั้นเรียนเพ่ือเปล่ียน/แก้ปัญหา
นกั เรยี น มาเป็นทำ� วิจัยในชนั้ เรยี นเพอื่ เปลย่ี นตนเอง (เปน็ การศึกษาของตนเอง)
7. เพ่ือไม่ให้เป็นการสูญเปล่า จึงควรเน้นพัฒนานักศึกษาท่ีรู้ชัดว่าจะจบออกไปเป็นครู
(เช่นนักศึกษาในโครงการครูคืนถ่ิน)
8. ผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ในการผลติ ครตู อ้ งมคี วามเขา้ ใจทช่ี ดั เจนของ RBL และสนบั สนนุ โดยสรา้ ง
เงอ่ื นไขทีเ่ อื้อ
ทั้ง 8 ข้อคือเงื่อนไขในการผลิตครูรุ่นใหม่ให้มีทักษะโค้ชการเรียนจากการท�ำโครงงานฐานวิจัย
ของนักเรียนได้ เป็นเงื่อนไขที่เก่ียวพันกับหลักสูตร อาจารย์ผู้สอนในคณะครุศาสตร์ คุรุสภา และ
โรงเรียน.... แต่จากประสบการณ์เพาะพันธุ์ปัญญา ผมคิดว่าถึงแม้จะจัดการได้ครบ 8 เง่ือนไขก็ยัง
ไม่การันตีวา่ จะส�ำเรจ็
174 จากรากแกว้ ส่ผู ลของตน้ เพาะพันธ์ุปัญญา
กระบวนการท�ำศกึ
หากถามวา่ เราควรจดั โครงสรา้ งอะไรอยา่ งไรเพอ่ื ใหเ้ ออื้ ตอ่ การจดั การเรยี นการสอนตามนวตั กรรม
เพาะพันธป์ุ ญั ญา ผมนา่ จะมีค�ำตอบใหส้ ว่ นหนงึ่ ดงั นี้
1. จัดการให้ผู้ปกครองและชุมชนพึงใจในการเปลี่ยนแปลงของลูกหลานจากการจัดการศึกษา
ด้วยนวัตกรรมเพาะพันธุ์ปัญญา เพ่ือปลุกชุมชน ปราชญ์ท้องถิ่น กรรมการสถานศึกษา
ให้เข้าใจการศึกษาที่แท้จริง อย่าปล่อยให้โรงเรียนหรือเขตการศึกษาผูกขาดความคิด
การพัฒนาลูกหลานตนเองให้ออกไปเป็นเคร่ืองมือเศรษฐกิจเพื่อผู้อื่น แต่ต้องส่งเสียง
ใหเ้ กดิ การกระจายอำ� นาจการศกึ ษาอยา่ งแทจ้ รงิ และรว่ มกนั สรา้ งระบบนเิ วศการศกึ ษาใหม่
(new education ecosystem) เสียงสะทอ้ นจากผู้ปกครองและชุมชนเป็นเครอ่ื งมือสำ� คัญ
ส�ำหรับใช้ขับเคล่ือนเชิงนโยบาย จะท�ำให้ครบองค์ประกอบสามเหล่ียมเขย้ือนภูเขา คือ
1) มอี งคค์ วามรเู้ พาะพนั ธป์ุ ญั ญาชดั เจนแลว้ 2) มนี โยบายรฐั สนบั สนนุ (เชน่ ปฏริ ปู การศกึ ษา
หลักสูตรฐานสมรรถนะ เขตนวัตกรรมการศึกษา การปฏิรูปการผลิตครู เป็นต้น) และ
3) มกี ลไกขบั เคล่อื นทางสังคม
2. แกว้ ธิ กี ารประเมนิ ผลสมั ฤทธก์ิ ารศกึ ษาใหว้ ดั สมรรถนะแทนความรู้ เลกิ ทศั นคติการประเมนิ
ท่ีให้เด็กสอบผ่านให้ครูช้ันต่อไปแก้ปัญหาโดยการไม่ให้เด็กตกซ�้ำช้ัน เพราะในท่ีสุดวิธีนี้
จะท�ำใหเ้ ด็กจะจบการศึกษาโดยไมม่ ีการศกึ ษา เป็นช่วงชีวิตทสี่ ูญเปลา่
3. เตรียมโครงสร้างในโรงเรียน โดยมีวิชาเพาะพันธุ์ปัญญาเป็นหลักสูตรเพ่ิมเติมสถานศึกษา
จัดภาระให้ครูสอนเป็นทีมบูรณาการสาระ จัดเวลาคาบยาว 2-3 ชม. และห้องเรียนที่
สรา้ งบรรยากาศรสู้ กึ ปลอดภยั และสรา้ งสรรค์ โรงเรยี นสนบั สนนุ การออกพน้ื ท/่ี การมสี ว่ นรว่ ม
ของชมุ ชน เปดิ เวทนี ำ� เสนอแกค่ รู นกั เรียน ชมุ ชน
4. พฒั นาครใู หม้ คี วามสามารถจดั กระบวนการจติ ตปญั ญาศกึ ษา มรี ะบบคดิ เหต-ุ ผล การออกแบบ
การสอนโครงงานฐานวิจัย ความสามารถโค้ชให้เกิดความคิดวิเคราะห์-สังเคราะห์-วิพากษ์
มีทักษะการถาม สะท้อนคิด feedback การเขียนและน�ำเสนอ และสามารถคล่ีโจทย์
โครงงานนกั เรยี นมาเปน็ แผนการสอนบูรณาการศาสตรไ์ ด้เองโดยการท�ำ PLC ของกล่มุ ครู
5. เพาะพันธุ์ปัญญาเปรียบเสมือนระบบปฏิบัติการกลางของการศึกษา ที่บูรณาการเทคนิค
ตา่ ง ๆ มากมาย ผทู้ ที่ �ำงานในระบบปฏบิ ตั กิ ารคอื application ตา่ ง ๆ รปู แบบการสอน RBL
มีหลากหลายเหมอื น application ทท่ี ำ� งานตอบสนองความตอ้ งการต่างกนั
6. พฒั นาครูและศกึ ษานิเทศก์ให้เขา้ ใจการสอนบนระบบปฏิบตั กิ ารเพาะพันธ์ุปญั ญา และร้จู กั
ประยกุ ตเ์ ขา้ สกู่ ารสอนสะเตม็ ศกึ ษาและปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง (SEEEM) การพฒั นาครู
ใหค้ นุ้ เคยกบั การสอนแบบเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาจำ� เปน็ ตอ้ งสรา้ งอาจารยม์ หาวทิ ยาลยั เปน็ พเ่ี ลยี้ ง
สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ 175
เส้นทางท�ำศึก
คนจำ� นวนมากตอ้ งการคำ� ตอบวา่ หากเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาตอ้ งการทำ� ศกึ ในการเปลย่ี นแปลงการศกึ ษา
ผมจะจัดทพั อยา่ งไร คำ� ตอบอธบิ ายดว้ ยรูปข้างล่างน้ี
จัดงานเฉลิมฉลอง
เพอ่� สราง network
4
หนนุ กำลงั ใจ ตดิ อาวธุ หลักการ
กำลังปญ ญา 2 ป กระบวนการ
3 วิธกี ารเพาะพันธุปญญา
2
ทพั เสรม� (พ�่เลีย้ งชุมชน) ครูในกลุม หรอ� องคกร ทพั หลวง
5 1 เกลี้ยกลอม
วนกลับเปน ทัพหนา
สรางเวทีใหก ระบวนการครู ทัพหนา ครูเพาะพันธป ญ ญา
ฝก งานใหก ลา
176 จากรากแกว้ สผู่ ลของตน้ เพาะพันธุป์ ัญญา
ครูเพาะพันธุ์ปัญญาที่ร่วมท�ำศึกมา 6 ปีจ�ำนวนหลายร้อยคนคือทัพหน้า ทัพหน้าไม่ต้องการ
อาวธุ ใด ๆ เพราะครกู บั ครดู ว้ ยกนั เองคยุ กนั รเู้ รอ่ื งกวา่ ผอู้ น่ื ใดทงั้ สน้ิ ทพั หนา้ มหี นา้ ทเี่ กลยี้ กลอ่ มกลมุ่ ครู
หรือองค์กรครูใหเ้ ช่อื ในกระบวนการเพาะพันธ์ปุ ญั ญา วธิ กี ารคอื “ยทุ ธศาสตร์ให้เห็น ฮ. กอ่ น ก.” ฮ.
คอื ผลลัพธก์ ารจดั การเรยี นรู้ทม่ี อี ยูม่ ากมาย โดยเฉพาะการเปลย่ี นแปลงของนักเรียน (ใหน้ กั เรยี นเป็น
ผ้บู อกเอง) การศึกทไ่ี ดผ้ ูค้ นมาสวามภิ ักด์ิโดยไมต่ ้องใช้อาวธุ คือ การศึกทชี่ นะใจไม่ใชช่ นะกาย
ทพั หลวงเขา้ เสรมิ ดว้ ยอาวธุ ปญั ญา ปฏริ ปู ความคดิ เกย่ี วกบั การจดั การการศกึ ษา ตดิ อาวธุ หลกั การ
กระบวนการ วิธีการเพาะพนั ธุ์ปญั ญาจนกล้าที่จะเปลยี่ นห้องเรยี นตนเอง
จัดทัพเสริมคือพ่ีเล้ียงและชุมชน ทัพน้ีเป็นเสมือนกองเสบียงคอยหนุนก�ำลังใจก�ำลังปัญญาเป็น
เวลา 2-3 ปี มกี ารจัดเฉลมิ ฉลองชยั ชนะเป็นระยะ ๆ เพื่อสร้างก�ำลังใจและความเปน็ เครือข่ายต่อกัน
สร้างเวทีให้เป็นสนามรบใหม่ของครูเพ่ือให้กล้าออกไปเผชิญเอง ครูจะหลุดพ้นจากการเป็น
ครูแบบเดิม มีความมั่นใจในการเป็นครูกระบวนกรเพาะพันธุ์ปัญญา ครูเหล่าน้ีมีปัญญาเป็นอาวุธใน
ตวั เอง พรอ้ มทีจ่ ะทำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ ทัพหนา้ ในวงจรใหม่
กระทรวงศกึ ษาธิการมีงบประมาณปลี ะ 5 แสนลา้ นบาท งบโครงการคปู องพฒั นาครูปลี ะ 4-5
พนั ลา้ นบาทคดิ เปน็ เพยี ง 1% ของงบประมาณทงั้ หมด งบประมาณสว่ นนเ้ี พยี งปเี ดยี วคดิ เปน็ กวา่ 30 เทา่
ของที่โครงการเพาะพันธุ์ปัญญาใช้ถึง 6 ปี เราไม่ได้ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการท�ำศึกเลย เพียงแต่เรา
จัดกองทัพออกศึกไม่เป็น และเราไม่มีอาวุธใหม่ในการทำ� ศกึ ต่างหาก
ภาคผนวก
178 จากรากแก้วสผู่ ลของต้นเพาะพนั ธ์ปุ ัญญา
ภาคผนวก 1
บทสรปุ งานวจิ ัย “การวเิ คราะหก์ ระบวนการจัดการเรยี นรตู้ ามแนวคดิ
RBL ในสถานศกึ ษา ภายใต้โครงการเพาะพันธปุ์ ญั ญา”
เม่ือปี พ.ศ. 2560 สกว. มอบให้ ผศ.ดร.เลขา ปยิ ะอัจฉรยิ ะ และคณะ ท�ำวิจัย “การวิเคราะห์
กระบวนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด RBL ในสถานศึกษา ภายใต้โครงการเพาะพันธุ์ปัญญา”
ซ่ึงน�ำเสนอผลการพฒั นาครูไว้ว่า37
“เมอื่ เปรยี บเทยี บผลการพฒั นาทกุ ดา้ น พบวา่ ครมู แี นวโนม้ ของสมรรถนะและคณุ ลกั ษณะส�ำคญั
เมอ่ื จดั การเรยี นรแู้ บบ RBL สงู กวา่ กอ่ นจดั การเรยี นรแู้ บบ RBL” รปู ตอ่ ไปนอี้ ธบิ ายรอ้ ยละของสมรรถนะ
ท่เี พิม่ ขึน้
เปด โอกาสใหสะทอ นคิด 33.07%สรางสติรสู ึกตัวในชัน้ เร�ยน
49.09% 50
40
38.33%30 จดั การเร�ยนรูเชิงรกุ
20
10
0
กระตนุ การเรย� นรูเชงิ ลกึ กระตนุ การคิดเพอ�่ การเรย� นรู
48.37% 42.24%
นำเสนอการเร�ยนรสู ิง� ใหม
45.54%
ภาพ radar chart แสดงพัฒนาการความก้าวหนา้ (ร้อยละท่เี พ่ิมขน้ึ ) ในดา้ นต่าง ๆ
ของครูในโครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา
สง่ิ ทป่ี ระสบความสำ� เรจ็ มากทส่ี ดุ คอื การทคี่ รเู ปน็ ผรู้ บั ฟงั มากกวา่ สง่ั การในชนั้ เรยี น ซง่ึ มพี ฒั นาการ
เรียงตามลำ� ดบั ได้แก่ การเปิดโอกาสให้สะทอ้ นคดิ (49.09%) กระตุน้ การเรยี นรเู้ ชงิ ลึก (48.37%) น�ำ
เสนอการเรียนรู้ส่ิงใหม่ (45.54%) กระตุ้นการคิดเพื่อการเรียนรู้ (42.24%) การจัดการเรียนรู้เชิงรุก
(38.33%) และการสร้างสตริ ้สู กึ ตัวในช้นั เรยี น (33.07%)
37 ภาคผนวกนม้ี าจากบางสว่ นของ Executive summary ของรายงานวจิ ยั ผสู้ นใจสามารถดผู ลทง้ั หมด (โดยเฉพาะท่ีขาดหายไป
คอื การเปล่ยี นแปลงและกระบวนการของคร)ู ได้จากรายงานฉบับสมบูรณ์ที่ สกสว.
สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 179
ในรายงานวิจัยฉบับเดียวกันน้ันได้น�ำเสนอผลการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของนักเรียน
ผลปรากฏในรายงานผ้บู ริหาร ดังน้ี
“ผลการวิจัยได้วิเคราะหค์ วามสำ� เร็จของผู้เรยี นใน 3 ด้าน ด้านแรก ทักษะการเรยี นรู้ ซึง่ จ�ำแนก
เปน็ 4 ทกั ษะสำ� คญั ประกอบดว้ ยการคดิ แบบมวี จิ ารณญาณ การคดิ สรา้ งสรรค์ ทกั ษะการสอื่ สาร และ
ทักษะในการทำ� งานรว่ มกับผู้อื่น ดา้ นท่ีสอง ทกั ษะชวี ิต และ ด้านท่ีสาม ทักษะการสรา้ งสมั พันธภาพ
ระหวา่ งบคุ คล พบวา่ นกั เรยี นมที กั ษะทกุ ดา้ นเมอ่ื เรยี นรใู้ นโครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาสงู กวา่ กอ่ นเรยี นรู้
อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 ดังปรากฏในรูป โดยนักเรียนมีพัฒนาการก้าวหน้าจากเดิม
เรียงตามล�ำดับดังน้ี ความคิดสร้างสรรค์ (35.02%) ทักษะการสื่อสาร (32.34%) การคิดแบบ
วจิ ารณญาณ (31.80%) ทกั ษะชวี ติ (27.27%) ทกั ษะความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล (26.62%) และทกั ษะ
การท�ำงานร่วมกบั ผู้อ่ืน (25.57%)”
ทักษะความสมั พนั ธร ะหวา งบคุ คล 31.80%การคดิ แบบว�จารณญาณ การคดิ สรางสรรค
26.62% 40 35.02%
30
ทักษะชีวต� 20
27.27% 10
0
ทักษะการสื่อสาร
32.34%
ทักษะการทำงานรว มกับผอู นื่
25.57%
ภาพ radar chart พฒั นาการความก้าวหนา้ (ร้อยละที่เพิ่มขึน้ ) ในด้านต่าง ๆ
ของนกั เรยี นในโครงการเพาะพนั ธปุ์ ญั ญา
180 จากรากแกว้ สู่ผลของต้นเพาะพันธป์ุ ัญญา
นอกจากนั้นจากความเห็นของครูทุกพื้นท่ี ได้ข้อสรุปวา่ นกั เรียนท่ผี ่านโครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา
มีการเปลี่ยนแปลงทีม่ ลี ักษณะเดน่ ดงั ตาราง
อันดับ การเปลย่ี นแปลงเด่น
1 ความกล้า (คิด พดู ทำ� ทดลอง เส่ยี ง)
2 ความอดทนมงุ่ มนั่ (รับมือกับการเริม่ ใหมเ่ มอ่ื ผดิ การแก้ไข และทำ� ซ้�ำไดด้ ขี นึ้ )
3 ท�ำงานเป็นระบบ (มผี ังกระบวนการ ทำ� ตามข้ันตอน มอบหมายความรบั ผดิ ชอบ
ตรวจประเมนิ และปรับแก)้
4 มีเหตผุ ลและวฒุ ภิ าวะ (คดิ วิเคราะห์ สังเคราะห์ สร้างสรรค์ เอาใจเขามาใสใ่ จเรา
ควบคมุ อารมณ์ได้เม่ือคดิ ตา่ ง)
5 สนใจปรากฏการณ์ในชุมชน (กลา้ เผชญิ โลกท่แี ปลกใหมจ่ ากความเคยชิน
สนใจสง่ิ ต่าง ๆ ทเ่ี กิดในชมุ ชน)
6 เปลย่ี นวิธีเรียน (สบื คน้ มากกว่าฟงั ทดลองกอ่ นตดั สินใจเชอ่ื เรียนรู้ด้วยความสนุก
มจี ติ อาสาในส่งิ ที่ตนถนดั ก�ำกับการเรยี นรขู้ องตนเองได้)
ดร.เลขาและทมี งานวจิ ยั การเปลย่ี นแปลงของครแู ละนกั เรยี นเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา เนอ่ื งจากรายงาน
วิจยั ไมไ่ ด้เนน้ สว่ นท่เี ป็นกระบวนการสร้างเหตุ ผอู้ า่ นจึงมกั จะสงสยั วา่ ผลเกดิ ได้อย่างไร แตเ่ ม่ือได้อา่ น
หนงั สอื เลม่ นจ้ี บ ผมเชอื่ วา่ ผอู้ า่ นเขา้ ใจไดเ้ องวา่ เพราะเหตใุ ด... หากเขา้ ใจในหลกั “ผลยอ่ มเกดิ จากเหต”ุ
สุธีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 181
ภาคผนวก 2
บทสรุปงานวจิ ัยวิเคราะห์ Learning Analytic
เมอ่ื ส้ินสุดโครงการฯ ส�ำนกั งานคณะกรรมการสง่ เสรมิ วทิ ยาศาสตร์ วิจยั และนวัตกรรม (สกสว.)
ไดส้ นบั สนนุ ใหม้ ลู นธิ สิ ดศร-ี สฤษดว์ิ งศ์ ศกึ ษาผลสมั ฤทธกิ์ ารถา่ ยทอดความรแู้ ละทกั ษะทเ่ี ปน็ องคค์ วามรู้
และกระบวนการของเพาะพันธุ์ปัญญา 4 ระดับ 3 ขั้นตอน คือ จากหน่วยจัดการกลางไปยังพ่ีเลี้ยง
จากพี่เล้ียงสู่ครู และครูสู่นักเรียน มูลนิธิฯ ออกแบบวิธีการวิจัยโดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่
(big data analytics) และ learning analytics โดยไดต้ อ่ ยอดการพฒั นา machine learning model
สำ� หรบั การประเมนิ ผลการเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 และการรเู้ ทา่ ทนั สอ่ื และเทคโนโลยี ทเ่ี รยี กโดยรวมวา่
3R, 7C ได้แก่ Reading, WRiting และ ARithmetics และ Critical thinking & problem
solving, Creativity & innovation, Cross-cultural understanding, Collaboration, teamwork
& leadership, Communications, information & media literacy, Computing & ICT literacy,
Career & learning skills โดยผู้วิจัยได้ท�ำระบบจัดหมวดหมู่องค์ความรู้แบบอัตโนมัติ เพ่ือพัฒนา
การเรยี นการสอน (knowledge sharing platform with text mining and knowledge)
ขอ้ มูลที่ใชว้ ิเคราะห์ คอื เอกสารการอบรมของหนว่ ยจัดการกลาง หนังสอื ในโครงการเพาะพนั ธ์ุ
ปัญญา รายงานกิจกรรมกับศูนย์พ่ีเลี้ยงและโรงเรียน รายงานความก้าวหน้าและฉบับสมบูรณ์ของ
โครงการวิจัย รายงานการท�ำงานของศูนย์พ่ีเล้ียง รายงานการประชุมต่าง ๆ แผนการสอน เอกสาร
ประกอบการสอนและบันทกึ การสอนของครู รายงานโครงงานและ reflection ของนักเรียน เป็นต้น
โดยโครงการวจิ ยั จะวเิ คราะหท์ ง้ั 8 ศนู ยพ์ เี่ ลย้ี งและโรงเรยี นตน้ แบบ 16 โรงเรยี น เพอื่ ความกระชบั
ภาคผนวกนี้จะน�ำเสนอเพียงผลการวิเคราะห์ของศูนย์พ่ีเลี้ยงมหาวิทยาลัยพะเยา คุณครูต้นแบบ
และนักเรียนห้องเพาะพันธุ์ปัญญาโรงเรียนแม่จันวิทยาคม จ.เชียงราย38 ไฟล์ทั้งหมดก่อนการท�ำ
preprocessing มจี ำ� นวน 1,545 ไฟล์ โดย normalized จำ� นวนนบั เพอ่ื ชดเชยจำ� นวน file และยอ่ หนา้
ทไ่ี มเ่ ทา่ กัน ซ่งึ ไดผ้ ลการวิเคราะห์ตอ่ ไปนี้
38 เทา่ ทีไ่ ดข้ อ้ มลู จากโครงการวจิ ยั ขณะเขียนหนังสือเล่มนี้ สามารถดขู ้อมลู ทั้งหมดไดจ้ ากรายงานวจิ ยั ฉบับสมบูรณ์ที่ สกสว. หรือ
มูลนิธิสดศรี-สฤษดวิ์ งศ์
182 จากรากแก้วสผู่ ลของตน้ เพาะพันธป์ุ ญั ญา
ผลการวเิ คราะห์
Results: Frequency count for 21st Century skills by the Tagger Bot Learning analytics
system from all documents
Explore 21C skill Tag Name
Wisdom Collaboration Communication Creativity and Critical Decision Flexibility and ICT Information Initiative and
Cultivatiin.. Accountability Media literacy Skill Skill Innovation Thinking Skill Adaptability Literacy Literacy Skill self-direction Productivity
1. Center 136 1,173 1,139 1,716 158 1,963 96 1,218 976 84 99 109
2. Phayao 136 1,173 1,139 1,716 158 1,963 96 1,218 976 84 99 109
University
mentors
3.teacher 1 62 78 68 6 79 3 55 65 15 9 9
4. students 15 55 103 79 4 78 6 66 56 3 1 15
Count of Tag
1 2,289
ตารางข้างบนแสดงจ�ำนวนนับ (ท่ี normalized แล้ว) โดยทั่วไปพบว่าข้อมูลที่แสดงถึงทักษะ
แห่งศตวรรษท่ี 21 ของครู (แผนการสอน เอกสารและบนั ทกึ การสอน) และนกั เรียน (รายงานโครงงาน
ขอ้ เขยี นสะทอ้ นคดิ ) มจี ำ� นวนนบั ไมต่ า่ งกนั มาก จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ การถา่ ยทอดระหวา่ งครแู ละนกั เรยี น
คอ่ นขา้ งไดผ้ ล อยา่ งไรกต็ าม หากพจิ ารณาระหวา่ งพเ่ี ลย้ี งกบั ครู พบวา่ จำ� นวนนบั ตา่ งกนั มาก ซง่ึ แสดงถงึ
ชอ่ งวา่ งทคี่ รรู บั องคค์ วามรแู้ ละทกั ษะจากพเี่ ลยี้ ง ในขณะทจ่ี ำ� นวนนบั ของพเี่ ลยี้ งกบั หนว่ ยจดั การกลาง
มีความต่างเฉพาะบางประเด็น ซึ่งแสดงว่าพเ่ี ล้ียงรับถา่ ยทอดบางประเด็นต่าง ๆ ได้ไม่ครบ แตส่ ามารถ
พฒั นาตนเองไดใ้ นบางประเดน็ (ทม่ี จี ำ� นวนนบั มากกวา่ หนว่ ยจดั การกลาง) โดยเฉพาะ flexibility และ
creativity and innovation ซง่ึ คาดวา่ เกดิ จากทพ่ี เี่ ลยี้ งตอ้ งประยกุ ตใ์ ชต้ ามบรบิ ททเ่ี ปน็ จรงิ ซงึ่ ตา่ งจาก
หนว่ ยจัดการกลางทีเ่ นน้ แกน่ ของเพาะพันธปุ์ ัญญาท่คี อ่ นข้างไมข่ ึ้นกบั บรบิ ท
ขอ้ คน้ พบนส้ี รปุ วา่ การถา่ ยทอดองคค์ วามรแู้ ละทกั ษะทร่ี ะหวา่ งคหู่ นว่ ยจดั การกลาง-พเี่ ลยี้ ง และ
คร-ู นกั เรยี นเปน็ ไปดว้ ยดี แตย่ งั มปี ญั หาทรี่ อยตอ่ ทค่ี รรู บั จากพเี่ ลย้ี ง หรอื ครมู คี วามสามารถในการดดู ซบั
(absorbability) คอ่ นขา้ งตำ�่ เพอ่ื ความชดั เจนจงึ วเิ คราะหก์ ารเรยี ง “ลำ� ดบั ” (จากมากไปนอ้ ย) ของทง้ั
4 “ระดับ” (หนว่ ยจดั การกลาง พี่เลีย้ ง ครู นักเรียน) ได้ดงั ตารางข้างลา่ งน3้ี 9
39 “ลำ� ดบั ” ท่ีมากของ “ระดับ” ใดระดบั หนึง่ ไมไ่ ด้หมายความวา่ มจี �ำนวนนบั นอ้ ยกว่าระดับอนื่ อกี 3 ระดบั
(ดตู ารางตวั เลขจำ� นวนนบั )
สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 183
ทักษะศตวรรษท่ี 21 ได้เป็นลำ�ดับทขี่ องการถ่ายทอดท้ัง 4 ระดับ
Accountability หนว่ ยฯ พเี่ ลี้ยง ครู นกั เรียน
Media literacy
Collaboration skill 8 12 12 7
Communication skill
Creativity and innovation 5 3 56
Critical thinking
Decision skill 3 4 21
Flexibility and adaptability
ICT literacy 2 6 32
Information literacy skill
Initiative and self-direction 7 7 10 10
Productivity
1 2 13
11 9 11 9
4 1 64
6 5 45
12 11 7 11
10 10 9 12
9 8 88
เมอ่ื พจิ ารณา “ลำ� ดับ” ของทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 โดยเอาจ�ำนวนนับของหน่วยจดั การกลาง
เปน็ เกณฑ์อา้ งอิง การวเิ คราะห์ 4 ลำ� ดบั แรกมีขอ้ คน้ พบทีเ่ กย่ี วพนั กันอยา่ งนา่ สนใจ ดังน้ี
ลำ� ดบั 1 ของหนว่ ยจดั การกลางคือ Critical Thinking พบว่าทง้ั 4 ระดบั ไมต่ า่ งกนั มาก (ลำ� ดบั
1, 2, 1, 3) การท่นี กั เรียนนบั ไดเ้ ปน็ ล�ำดบั 3 เพราะการท�ำโครงงานท�ำใหเ้ ขาได้ทักษะอ่นื มากกว่า
ลำ� ดบั 2 ของหนว่ ยจดั การกลางคอื Communication Skill (ลำ� ดบั 2, 6, 3, 2) ทงั้ ครแู ละนกั เรยี น
ได้ล�ำดับใกล้เคียงกับหน่วยจัดการกลาง แต่น่าสังเกตว่าพ่ีเล้ียงสูงเป็นล�ำดับ 6 จึงอาจเป็นสาเหตุ
ทีเ่ กดิ ชอ่ งวา่ งในการถา่ ยทอดจากพ่เี ลี้ยงไปยังครู ดังทว่ี ิเคราะหผ์ ลจากตารางก่อนหนา้ นี้
ลำ� ดบั ที่ 3 ของหน่วยจดั การกลางคอื Collaboration Skill (ล�ำดับ 3, 4, 2, 1) ลำ� ดับ 1 ของ
นักเรียนสะท้อนผลจากการทำ� งานกลุ่ม สว่ นครทู ีไ่ ด้ลำ� ดบั 2 อาจหมายถึง PLC และการท�ำงานเปน็ ทมี
ที่เปน็ จุดเด่นของโรงเรียนแม่จนั วิทยาคม
ลำ� ดับท่ี 4 ของหน่วยจดั การกลางคือ Flexibility and Adaptability (ลำ� ดบั 4, 1, 6, 4) จดุ เดน่
ของศนู ย์ ม.พะเยา คือ พีเ่ ลี้ยงมคี วามยืดหย่นุ ในการท�ำงาน (ลำ� ดบั 1) ถา้ หากครไู ม่ติดกรอบมากนกั
(ลำ� ดับ 6) ก็อาจแก้ปัญหาการถ่ายทอดระหวา่ งพ่เี ลี้ยงกบั ครูได้
ขอ้ สรุปจากทั้ง 4 ลำ� ดบั ของ 4 ระดบั (หนว่ ยฯ พีเ่ ลย้ี ง ครู นักเรยี น) แสดงความเปน็ ไปได้วา่ ยังมี
ชอ่ งวา่ งของการสอ่ื สารระหวา่ งอาจารยม์ หาวทิ ยาลยั (พเ่ี ลยี้ ง) กบั ครู และในขณะทอี่ าจารยม์ หาวทิ ยาลยั
คอ่ นขา้ งคดิ งานไดอ้ สิ ระ แตก่ ารตดิ กรอบของครอู าจเปน็ อกี ปจั จยั หนงึ่ ทข่ี ดั ขวางการรบั องคค์ วามรแู้ ละ
ทกั ษะจากพี่เลยี้ งก็เป็นได้
184 จากรากแก้วสู่ผลของต้นเพาะพนั ธ์ปุ ญั ญา
คดิ ถึงฉันบา้ ง
ค�ำรอ้ ง: สุธีระ ประเสรฐิ สรรพ์ ท�ำนอง: คงวฒุ ิ นริ นั ตสขุ
Capo Fret No.2 (C to D) Intro: F / G / C / Em / Am / F / G / C / G7
Cmaj7 F Cmaj7 F
หกปลี ่วงแล้ว เติมฝนั เพริศแพรว้ เตม็ หว้ งหทยั โบกมอื อำ� ลา เบกิ ฟา้ บอกใจ เม่อื ยามอุทยั
5 3 2 3 5 3 5 3 3 5 5 6 5 3 2 3 3 5 2 3 2 1 6 1
Dm7 G C G7
กุมมือ .... เอ่ยคำ� ...... คิดถึงฉนั บา้ ง
4 4 3 5 3 3 2 1
Cmaj7 F Cmaj7 F
วนั ถงึ จดุ หมาย โอฉ้ นั ใจหาย ภาพฉายความจ�ำ มวลมิตรท้ังผอง ร่วมร้องล�ำนำ� บทเพลงยามค�่ำ
5 3 2 3 5 3 2 3 5 2 1 1 5 3 5 3 5 5 3 3 1 2 1 1
Dm7 G Am E7
ดารา … พร่างพราว …... คิดถงึ ฉันบ้าง
4 4 3 5 3 3 2 1
F G C Em Am F G C Em Am
* จากวนั คืนที่ลำ� บาก จนวันพรากทร่ี ำ� พัน วันน้ันมาถึงแลว้ เพอื่ นแกว้ จ�ำใจจาก
6 4 4 5 3 2 2 3 3 3 2 1 4 5 4 3 2 3 3 2 2 1
Dm7 G C Em Am Dm7 G F G / G7 C G7
ฝากเพลงเพ่ือคำ� นึง คิดถึงวนั เก่า ๆ พลังของพวกเรา ลุล่วงลาแล้ว... เอย่ คำ� อำ� ลา
5 4 5 3 2 3 3 2 1 1 5 4 5 3 2 4 3 4 5 5 3 2 1
Cmaj7 F Cmaj7 F
** กุมมอื มองตา แล้วกลา่ วคำ� ลา หัวใจเหน็บหนาว ขอบคุณนะเพอื่ น ยำ้� เตอื นทุกคราว มองฟา้ หาดาว
5 3 3 3 3 5 2 3 2 1 6 1 5 3 5 3 5 3 5 3 1 2 2 1
Dm7 G Am G
เมอื่ คดิ ... ถึงกัน ...... คิดถึงฉันบ้าง
3 4 3 5 3 3 2 1
Solo: Cmaj7 / F / Cmaj7 / F / Dm7 / G / Am / E7
ซ�้ำ * / **
F G C C7 F G C Cm Cmaj7
เมอ่ื คิด ... ถึงกนั ...... คดิ ถึงฉนั บ้าง เม่ือคิด ... ถงึ กัน ...... คดิ ถึงฉันบ้าง
3 4 3 2 2 3 2 1 3 4 6 5 1 3 3 1
สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 185
ความดีความงามของหนังสือเลม่ น้ีมีได้เพราะคนในครอบครัว คอื
คุณพอ่ -คณุ แม่ ธวชั -สมุ น ประเสรฐิ สรรพ์
ภรรยาและลกู สาวทัง้ สองคน
(ศ. ดร.พูนสขุ พญ. ฟ้าใส เภสชั กรหญงิ สายธาร ประเสรฐิ สรรพ์)
พีส่ าว (ผศ. สธุ ารี ประเสริฐสรรพ์)
ที่รับภาระทางบา้ นเมอื่ ผูเ้ ขยี นตอ้ งเดินทางรอนแรมทำ� งานโครงการเพาะพันธ์ุปญั ญา
สแกนเพอ่ื รับชมวิดีโอเกี่ยวกบั เพาะพนั ธปุ์ ัญญา
รายการ The Researcher รายการแทนคุณแผน่ ดิน
คุรุควรคารวะ การเรียนรู้บนเส้นทาง
สายเพาะพันธ์ปุ ัญญา
186 จากรากแกว้ สู่ผลของตน้ เพาะพันธ์ปุ ญั ญา
สรุปสาระสังเขปหนังสอื ในโครงการเพาะพนั ธุ์ปัญญา
หนงั สือล�ำดับที่ 01 โครงงานฐานวจิ ยั : กระบวนการเรยี นรู้ใหมข่ องการศกึ ษาไทย
เป็นหนังสือเล่มแรกท่ีเขียนก่อนเร่ิมโครงการเพาะพันธุ์
ปัญญา ผมเขียนจากการตกผลึกท่ีพยายามอธิบายว่าวิจัย
คอื กระบวนการของการศกึ ษา เพราะสรา้ งกระบวนการคดิ
อยา่ งมเี หต-ุ ผลมตี รรกะ เขยี นสำ� หรบั เตรยี มพเี่ ลยี้ งใหเ้ ขา้ ใจ
การศึกษาทีใ่ ช้โครงงานฐานวจิ ัยเปน็ เครอ่ื งมอื หนงั สอื เลม่
นแี้ บ่งออกเป็น 3 ตอน คอื
ตอนที่ 1 ทำ� ไมตอ้ งโครงงานฐานวจิ ยั เนอ่ื งจากเปน็ คำ� ใหม่ (ตลุ าคม 2555) 82 หน้า
ท่ีประดิษฐ์ขึ้นมาเพ่ือโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา
จึงต้องอธิบายต้ังแต่ทฤษฎีการศึกษาแบบต่างๆ
เพื่อชี้ให้เห็นว่าในที่สุดแล้วการศึกษาต้อง
พัฒนากระบวนการคิดของนักเรียน และควร
เปลี่ยนการท�ำโครงงานที่ท�ำอยู่ให้เป็นโครงงาน
ฐานวจิ ัย
ตอนที่ 2 การเรยี นรบู้ นฐานวจิ ยั (RBL) ในโรงเรยี น อธบิ ายการเรยี นรจู้ ากระบบคดิ เหต-ุ ผล จติ ตปญั ญา
ศกึ ษา และ PLC ทเ่ี ปน็ เครอ่ื งมอื หลกั ของโครงการเพาะพนั ธปุ์ ญั ญา ปิดทา้ ยตอนนี้ดว้ ย RBL
ท่สี อดคล้องกบั ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ตอนท่ี 3 วิธกี ารของโครงงานฐานวิจัยในโรงเรยี น เพ่อื ใหค้ รูเพาะพันธปุ์ ญั ญาเข้าใจวา่ การท�ำโครงงาน
ฐานวิจัยประกอบด้วยอะไรบ้าง มีความต้องการพิเศษในการเตรียมครูและนักเรียนอย่างไร
บทน้ีจึงกล่าวถึงการหาโจทย์ที่เป็นโครงงานฐานวิจัยและกระบวนการพัฒนาครูที่โครงการ
เพาะพนั ธ์ุปัญญาจะจดั ให้
สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 187
หนังสอื ลำ� ดับที่ 02 หลักการเขียนข้อเสนอโครงงานฐานวิจัย
การเขียน proposal งานวิจัยแบบเพาะพันธุ์ปัญญา
เป็นเรื่องใหม่ส�ำหรับครู สพฐ. เพราะเราใช้หลักคิด
“ผลเกดิ จากเหต”ุ มาเปน็ แกนของสมมตุ ฐิ าน และตอ้ งการ
ให้นักเรียนท�ำวิจัยที่ค้นหาหลักฐานเชิงประจักษ์ท่ีสามารถ
อธิบายหรือบูรณาการสาระวิชาที่เรียนได้ ผมจึงเขียน
หนังสือเล่มน้ีเตรียมไว้ให้พ่ีเล้ียงท�ำความเข้าใจก่อน และ
กระจายให้ครูในโครงการทุกคน หนังสือเล่มน้ีมีเนื้อหา
ประกอบดว้ ย หลกั การของโครงการเพาะพนั ธป์ ญั ญา หลกั
การทว่ั ไปของการเขยี นขอ้ เสนอโครงการวจิ ยั แลว้ แบง่ ออก
เปน็ การเขยี นโครงงานประเภทวทิ ยาศาสตร์ สงั คมศาสตร์
มนษุ ยศาสตร์ โดยมีภาคผนวกเป็นตวั อย่าง
(พฤศจิกายน 2555) 63 หน้า
หนงั สอื ล�ำดับท่ี 03 แนวคดิ โครงงานฐานวิจยั เศรษฐศาสตรส์ ำ� หรับนักเรยี น
หากต้องการให้การท�ำโครงงานสอดคล้องกับชีวิตจริง (กรกฎาคม 2556) 41 หนา้
นักเรียนต้องบูรณาการสาระวิชาสังคมศาสตร์และ
เศรษฐศาสตร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงงานฐานวิจัย
หนังสือเล่มนี้อธิบายหลักการเศรษฐศาสตร์ในชุมชนให้
นักเรียนเข้าใจความสัมพันธ์และความสมดุลระหว่าง
ทรพั ยากร อาชีพ และการไหลของเงนิ ที่เกดิ จากกิจกรรม
เศรษฐกิจของชุมชน นักเรียนจะได้เข้าใจความเกี่ยวพัน
ของเศรษฐกิจจุลภาค (ครัวเรือน) กับมหภาค (ชุมชน)
และการพึ่งพิงแบบเครือข่ายเศรษฐกิจตามหลักปรัชญา
เศรษฐกจิ พอเพยี ง ดเู หมอื นเปน็ เรอ่ื งเขา้ ใจยาก แตก่ ารเขยี น
จะตรงไปตรงมา ไมซ่ บั ซอ้ น จงึ อ่านง่ายท้งั ครูและนักเรียน
แมจ้ ะไม่มีพ้นื ฐานเศรษฐศาสตร์ก็ตาม
188 จากรากแกว้ สู่ผลของตน้ เพาะพันธุ์ปัญญา
หนังสอื ลำ� ดบั ที่ 04 หลักการเขียนบทความวิชาการ
หลกั คดิ เพ่อื เมลด็ พันธุ์โครงงานฐานวจิ ัย
ทักษะการน�ำเสนอผลงานวิชาการโดยการเขียนส�ำคัญกว่า
การพูดมาก เพราะผู้เขียนต้องกล่ันกรองความคิดมาเขียน
ระหว่างเขียนต้องหาค�ำอธิบายท่ีเอาสาระวิชามาสนับสนุนให้
ผู้อ่านเช่ือในส่ิงท่ีผู้เขียนวิเคราะห์-สังเคราะห์ได้ การเขียนจึง
เป็นกระบวนการท่ีสร้างทั้งความคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์
แตค่ รแู ละนกั เรยี นขนั้ พนื้ ฐานมจี ดุ ออ่ นในการเขยี นงานวชิ าการ
โครงการเพาะพันธุ์ปัญญาจึงผลิตหนังสือเล่มน้ีออกมาให้อ่าน
ง่าย ใหห้ ลกั การเพื่อนำ� ไปประยกุ ต์ใช้เอง หนังสอื แบ่งออกเปน็
4 บท ได้แก่ 1) ภาษากับความเป็นวชิ าการ 2) หลักการเขยี น
บทความวิชาการ 3) ศิลปะการเขียนบทความวิชาการ และ
4) การสรา้ งเครอื่ งมอื ฝกึ ตนเอง มภี าคผนวกใหเ้ หน็ ตวั อยา่ งของ (ธันวาคม 2556) 136 หนา้
การเขียนงานวิชาการ 4 ชนิด ได้แก่ งานวิจัยเชิงวิเคราะห์และค�ำนวณ งานเชิงทดลองวิทยาศาสตร์
งานท�ำส่ิงประดิษฐ์ และงานเชิงข้อมูลส�ำรวจ ปิดท้ายด้วยตัวอย่างการ edit บทความวิชาการให้รู้ว่า
การเขียนท่ีดี (จากการแก้ไข) เป็นอยา่ งไร
หนงั สือลำ� ดับท่ี 05 รอยจารึกบนเส้นทางเพาะพันธุ์ปญั ญา
ปีแรกของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาเป็นปีแห่งการเรียนรู้ส�ำหรับ
ทุกคนทีร่ ่วมในกระบวนการ ผมมีหนา้ ท่ี coach พีเ่ ล้ยี ง ตอบค�ำถาม
ปลุกเร้าการท�ำงาน จึงจ�ำเป็นต้องรักษาไฟการท�ำงานให้ลุกโชน
ต่อเน่ืองไว้ เพราะผมทราบดีว่าความส�ำเร็จอยู่ท่ีการเกาะติดงาน
อย่างต่อเน่ืองของพี่เล้ียง ซึ่งจะท�ำให้โครงการเพาะพันธุ์ปัญญาต่าง
จากโครงการพัฒนาอ่ืนท่ีท�ำระยะสั้น เสร็จแล้วทิ้งหายไป เม่ือครู
มีปัญหาตอนเอาไปท�ำต่อก็ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร เน่ืองจากพี่เลี้ยงอยู่
กระจัดกระจาย จึงเป็นข้อจ�ำกัดของการใส่ความคิดการท�ำงานที่
พ่ีเลี้ยง interface กับครูและนักเรียน ผมจึงเขียนเป็นบทความส้ัน
จากประสบการณ์ที่ผมเดินทางไปรับรู้งานตามศูนย์ต่างๆ ส่งให้
พ่เี ล้ียงอ่านและเรยี นรู้ หนงั สอื เล่มนี้มี 2 ตอน โดยตอนแรกเป็นการ
รวบรวมบทความจำ� นวน 47 บทความของผมเอง ตอนท่ี 2 เปน็ ขอ้ เขยี น (มกราคม 2557) 456 หน้า
ประสบการณ์การทำ� งาน 1 ปี ของพี่เลีย้ งท้งั 8 ศนู ย์ หนงั สอื น้จี งึ เหมาะสำ� หรับผู้อ่านทต่ี อ้ งการทราบเบ้ืองหลงั
และแนวคดิ การท�ำงานโครงการเพาะพนั ธุ์ปญั ญา
สุธีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 189
หนังสอื ลำ� ดบั ท่ี 06 ถามคือสอน ทกั ษะประเมนิ เพอื่ พัฒนาการเรยี นรู้
(มิถุนายน 2557) 141 หนา้ “ถามคือสอน” เป็นวาทกรรมของโครงการเพาะพันธุ์
ปัญญาท่ีต้องการเปล่ียนครูให้เป็นผู้ถามให้นักเรียนรู้เอง
จากการคดิ การเปน็ ครตู ั้งค�ำถามให้นกั เรยี นรู้โดยการร้อง
“อ๋อ” ไดเ้ องเปน็ เรอ่ื งยาก เพราะครตู อ้ งวิเคราะห์ค�ำตอบ
ของนักเรียนมาเป็นค�ำถามอย่างต่อเนื่อง ต้องรู้บริบทของ
นักเรียน จึงจะดึงเร่ืองใกล้ตัวมาเป็นตัวอย่างการถามได้
หนงั สอื เลม่ นม้ี ี 2 สว่ น สว่ นแรกเขยี นแบบเลา่ เรอ่ื งตวั อยา่ ง
การใช้เทคนิค “ถามคือสอน” ที่ผมมีประสบการณ์ท�ำกับ
นักเรียนและครูในโอกาสต่าง ๆ มี 9 ตอนที่เป็นการถาม
ดว้ ยเทคนคิ ต่าง ๆ สว่ นท่ี 2 เป็นการตคี วาม embedded
formative assessment จากบันทึกของ ศ.นพ.วิจารณ์
พานชิ เพอ่ื อธบิ ายวา่ ปฏบิ ตั กิ าร “ถามคอื สอน” สอดคลอ้ ง
กับ EFA อย่างไร
หนังสือลำ� ดับท่ี 07 เทคนิคกระบวนการ Active Learning:
จากการประเมนิ สูพ่ ัฒนาการเรยี นรู้
Active Learning เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีนักเรียนเป็น
เจ้าของการเรียนรู้เอง ดังนั้นครูต้องรู้จักกระบวนการ
ห้องเรียนที่ท�ำให้นักเรียน engage กับการเรียนของตน
ถอื เปน็ classroom skill ของครยู คุ ใหม่ หนงั สอื นรี้ วบรวม
กระบวนการต่าง ๆ โดยไดร้ ับความอนเุ คราะหจ์ าก ศ.นพ.
วจิ ารณ์ พานชิ ใหค้ ดั บางตอนจากบนั ทกึ เรอ่ื ง “ประเมนิ เพอื่
มอบอ�ำนาจ” ท่ีท่านเขียนใน www.gotoknow.org.th
มาพมิ พเ์ พอ่ื แจกครเู พาะพนั ธปุ์ ญั ญาเป็นการเฉพาะ
(กรกฎาคม 2557) 31 หน้า
190 จากรากแกว้ สผู่ ลของตน้ เพาะพันธ์ปุ ัญญา
หนังสอื ล�ำดับที่ 08 สะทอ้ นคิดคือเรยี น: ความร้สู กึ ในความงามท่ีผลบิ าน
หาก “ถามคอื สอน” การเรียนก็ต้องมาจากการสะทอ้ นคดิ ของ
ผเู้ รยี นเอง การสะทอ้ นคดิ เปน็ การเรยี นรอู้ กี มติ หิ นง่ึ ทไี่ มใ่ ชส่ าระ
วิชาการ ไมใ่ ชเ่ พอ่ื สอบ O-Net แตเ่ ป็นการเรียนรู้โดยการหนั มา
พจิ ารณาตนเอง พจิ ารณาอยา่ งใครค่ รวญกบั สงิ่ ทตี่ นเองประสบ
(self-reflection) จึงเป็นการเรียนรู้จากภายในอย่างลึกซึ้ง
เหมาะกบั การเรียนรเู้ พ่ือความเปลยี่ นแปลง (Transformative
Learning) โครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาสนบั สนนุ ใหน้ กั เรยี นเขยี น
บนั ทกึ การเรยี นรตู้ ลอดการทำ� งาน หนงั สอื เลม่ นเี้ ปน็ การตคี วาม
การเรยี นรขู้ องนกั เรยี นโดยพเี่ ลย้ี งทงั้ 8 ศนู ย์ หากคำ� วา่ ”ลกู ศษิ ย”์
หมายถงึ นกั เรยี น หนงั สอื นเี้ หมาะสำ� หรบั ครทู จ่ี ะใชเ้ ปน็ แนวทาง
เพอ่ื เขา้ ใจลกู ศษิ ยใ์ นฐานะ “ลกู ” สำ� หรบั ครทู ตี่ อ้ งการปรบั มมุ มอง (มีนาคม 2558) 145 หนา้
และการทำ� งานของตนเอง กส็ ามารถอา่ นเพอ่ื เขา้ ใจในฐานะ “ศษิ ย”์ ไดเ้ ชน่ กนั ทส่ี ำ� คญั คอื เขา้ ใจตนเอง
ในฐานะ “คร”ู ในศตวรรษที่ 21 ทไี่ ม่ใช่ผสู้ อน แต่อ�ำนวยการเรียนรขู้ องลกู ศษิ ย์
หนังสือลำ� ดับท่ี 09 ฤดกู าลเรยี นรูท้ ่ีแจ้ห่มวิทยา (มนี าคม 2558) 110 หน้า
โครงการเพาะพันธุ์ปัญญาโรงเรียนแจ้ห่มวิทยา (ล�ำปาง) คือ
ความอัศจรรย์ในความส�ำเร็จ เป็นตัวอย่างการเรียนรู้และ
สร้างแรงบันดาลใจให้กับอีกหลายโรงเรียน ขณะท่ีท�ำโครงงาน
ขนาดใหญ่ ทั้งนักเรียนและครูต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย
ไม่เว้นแม้แต่กับคนรอบข้าง แต่ด้วยคุณสมบัติพิเศษของครู
ความส�ำเร็จระดับน่าอัศจรรย์จึงเป็นจริง หนังสือน่าอ่านเล่มนี้
ตีความพัฒนาการของครูและนักเรียนที่เกิด transformative
learning จาก diary หลายเลม่ ทคี่ รแู ละนกั เรยี นบนั ทกึ ระหวา่ ง
การเรียนรู้ เป็นหนังสือที่ผู้อ่านบางคนยอมรับว่าตื้นตันใจจน
นำ�้ ตารน้ื จนแทบอยากกราบครู
สธุ ีระ ประเสริฐสรรพ์ 191
หนังสอื ลำ� ดับที่ 10 หลกั การคิดวเิ คราะหแ์ ละสังเคราะห์ขอ้ มลู
กระบวนการคิดที่ส�ำคัญในการสร้างปัญญาให้แก่ตนเองคือ คิด
วเิ คราะหแ์ ละคดิ สงั เคราะห์ คนจำ� นวนมากแยกความคดิ ทงั้ 2 ประเภท
ออกจากกันไม่ได้ คือไม่รู้ว่าตอนไหนก�ำลังใช้ความคิดอะไรอยู่
นอกจากนน้ั หลายคนตดิ การทอ่ งนยิ ามวา่ “วเิ คราะห์ คอื .... สงั เคราะห์
คอื ....” หนงั สอื เลม่ นเ้ี ขยี นใหค้ รเู ขา้ ใจวา่ การคดิ วเิ คราะห-์ สงั เคราะห์
มีข้ันตอนอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างการวิเคราะห์และสังเคราะห์
ความหมายจากข้อมูล ผมเขียนโดยตั้งใจให้เป็นหนังสือท่ีครูและ
นกั เรยี นใชใ้ นการวเิ คราะหแ์ ละสงั เคราะหข์ อ้ มลู จากการท�ำโครงงาน
ฐานวิจัย เพอื่ ใหข้ อ้ มูลมคี วามหมายมากกว่าท่ีตาเหน็ เมื่อใดก็ตามท่ี
ข้อมูลจากการท�ำงานถูกสังเคราะห์ให้มีความหมายท่ีลึกซ้ึง เม่ือนั้น
คือการเกิดของปญั ญาดว้ ยตนเอง หนังสอื มี 2 ตอน ตอนที่ 1 เป็น
กระบวนการฝกึ ตนเองจากขอ้ มลู ตวั อยา่ ง ตอนท่ี 2 เปน็ การวเิ คราะห์ (มิถนุ ายน 2558) 91 หนา้
สังเคราะห์ข้อมูลของผมเอง แล้วถอยออกมาถอดความคิดให้ผู้อ่านทราบว่าความคิดท่ีได้ความหมายข้อมูล
เชน่ น้ันเกดิ ไดอ้ ย่างไร เรยี กว่าเป็นการทำ� KM (knowledge management) กับตวั เอง
หนังสอื ล�ำดับที่ 11 สะเต็มศกึ ษา: ความทา้ ทายใหมข่ องการศกึ ษาไทย
เมอ่ื มีคนพยายามพฒั นาการสอน STEM ให้การศกึ ษาไทย ผมกลับ (ตุลาคม 2558) 177 หน้า
เห็นต่างในความหมาย STEM ในส่วนที่เก่ียวกับวิธีการสอนและ
สาระวิชา ผมจึงเขียนหนังสือเล่มน้ี ข้อความที่พอจะสรุปเป็นใจ
ความส�ำคญั คอื “....STEM ไมใ่ ชก่ ารศกึ ษาประเภททอ่ งนยิ ามความรู้
ไมใ่ ชก่ ารศกึ ษาทแ่ี ยกสว่ น ท่แี ยก S ออกจาก M แยก E ออกจาก S
และ M และเขา้ ใจ T วา่ เปน็ คอมพวิ เตอรห์ รอื อปุ กรณอ์ เิ ลก็ ทรอนกิ ส์
แตเ่ ห็นความสัมพนั ธข์ อง E และ T ที่ทำ� งานรว่ มกัน เพือ่ เอา S ในรูป
M มาจัดให้เปน็ T ตวั ใหม.่ ...”เปน็ สรุปทเี่ ข้าใจเมอื่ อา่ นทัง้ เลม่ แล้ว
จะทราบว่าผมเข้าใจ STEM education อยา่ งไร ตา่ งจากท่ีครไู ดร้ บั
ผา่ นการอบรมอยา่ งไร หนงั สือมี 6 ตอน คือ 1) ความเขา้ ใจ STEM ที่
เป็นอยู่ 2) STEM ทค่ี ดิ แบบวิศวกร 3) ท�ำสิ่งทห่ี ลงคิดวา่ เป็น STEM
ให้เปน็ STEM ได้อยา่ งไร 4) อะไรท�ำใหค้ รูสอน STEM ได้ 5) STEM ในความคิดโลกวทิ ยาศาสตรเ์ ชงิ กลไก และ
6) บทสรปุ ทงั้ 6 ตอนเปน็ มมุ มองของวศิ วกรทสี่ นใจการศกึ ษา และเชอ่ื โดยสนทิ ใจวา่ STEM คอื ทศิ ทางการสอน
ยคุ ใหมท่ ส่ี ามารถใช้ concept ของ E มาบรู ณาการการทำ� โครงงานได้ แตต่ อ้ งเขา้ ใจอยา่ งทผี่ มเขยี นในหนงั สอื นี้
192 จากรากแกว้ ส่ผู ลของต้นเพาะพนั ธปุ์ ัญญา
หนงั สอื ลำ� ดบั ท่ี 12 ถามคอื สอน กระบวนการพัฒนาครูเพ่ือสอนคดิ
หนงั สือล�ำดับที่ 6 อธิบายวา่ “ถามคือสอน” คอื อะไร เก่ยี วกบั (พฤศจิกายน 2558) 139 หนา้
หนา้ ทคี่ รใู นการประเมนิ เพอ่ื พฒั นา (formative assessment)
อย่างไร แต่ยังค้างคาว่าโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาจะพัฒนาครู
ไดอ้ ยา่ งไร? เปน็ เวลาเกอื บปคี รงึ่ ทผ่ี มทำ� ความเขา้ ใจกระบวนการ
คิดถอยหลังและถามเดินหน้า (backward thinking and
forward questioning) และออกแบบกระบวนการพัฒนาครู
ให้เข้าใจจนน�ำไปปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ผมเขียนเป็นหนังสือ
ประเภทถอดความรู้ โดยใช้กระบวนการ backward thinking
ของผู้ที่จะเป็นโค้ชความคิด หนังสือนี้มี 4 บท ท่ีถอดความรู้
มาจากการฝกึ ครู ประกอบดว้ ย 1) หลกั การ Socratic Teaching
กับเพาะพันธุ์ปัญญา 2) ถามคือสอนแบบเพาะพันธุ์ปัญญา
3) หลักการเกิด backward thinking และ forward
questioningและ 4) การฟงั ของครู
หนงั สอื ลำ� ดับท่ี 13 กระบวนการเรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงจากการท�ำโครงงาน
มนษุ ย์สร้างสงั คมและเศรษฐกจิ จากกิจกรรมทีใ่ ช้ประโยชนจ์ าก (มกราคม 2559) 114 หน้า
การพิชิตธรรมชาติ การเข้าใจปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจึงเริ่ม
ด้วยการเข้าใจระบบธรรมชาติ หนังสือเล่มนี้ตีความปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวทางของสภาวธรรม (ชาติ) ใช้การ
ท�ำโครงงานเกษตรอินทรีย์เรียนรู้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
จากความสมดุลในสภาวะที่ก�ำลังเปลี่ยนแปลง เห็นสรรพส่ิง
ในธรรมชาติประกอบเป็นระบบพลวัติ ท่ีทุกอย่างก�ำลังอยู่ใน
สภาพสมดลุ ในขณะใดขณะหนง่ึ แตข่ ณะใดขณะหนง่ึ กก็ ลบั เปน็
ขณะท่ไี ม่คงท่ี ความสมดุลจงึ เปน็ ความนิ่งความคงท่ี ในระบบที่
กำ� ลงั เคลอ่ื นไหวเพอื่ จดั สมดลุ ใหมน่ น่ั เอง หนงั สอื เลม่ นนี้ ำ� เสนอ
เทคนิคการสอนท่ีถอดบทเรียนของครูต้นแบบ และน�ำเสนอ
ตวั อยา่ งโครงงานทสี่ รา้ งกระบวนการเปลยี่ นแปลง (transform)
ผ้เู รียนให้เขา้ ใจปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง
สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 193
หนังสือลำ� ดบั ที่ 14 สะเต็มศึกษา: ปญั ญาจากกระบวนการออกแบบเชงิ วิศวกรรม
การออกแบบเชิงวิศวกรรมเป็นหัวใจของสะเต็มศึกษา เพราะเป็น (กมุ ภาพนั ธ์ 2559) 123 หน้า
กระบวนการแกป้ ญั หา ทบ่ี รู ณาการศาสตรค์ วามรเู้ ขา้ สคู่ วามตอ้ งการ
และความสอดคล้องกับบริบท หนังสือเล่มนี้วิเคราะห์และวิพากษ์
การใช้ Engineering Design Process ทกี่ ำ� ลงั ดำ� เนนิ อยใู่ นการอบรม
ครูให้น�ำไปใช้สอนสะเต็ม ว่าเป็นการเข้าใจผิดในสาระการออกแบบ
เชงิ วศิ วกรรม การออกแบบเชงิ วศิ วกรรมตอ้ งการ approach ทตี่ า่ งจาก
ที่คุณครูทั้งหลายก�ำลังถูกใส่ชุดความคิดว่า เป็นกิจกรรมที่ท้าทาย
และบีบคั้นจากการแข่งขันเหมือนเกมโชว์ ข้อเขียนในหนังสือจะให้
ความเข้าใจใหม่ว่า การออกแบบเชิงวิศวกรรมเกิดจากกระบวนการ
คดิ ทเี่ ขา้ ใจหลกั การอนั เปน็ กฎธรรมชาตอิ ยา่ งลกึ ซง้ึ กอ่ นแลว้ แตกยอ่ ย
เปน็ รายสาระวิชา ท่ีเอามาแก้ปญั หาที่ท้าทายความต้องการเอาชนะ
ธรรมชาติ ซ่ึงผมเชื่อวา่ จะสรา้ งการเรยี นรู้สะเต็มอย่างถูกตอ้ ง
หนงั สือลำ� ดบั ที่ 15 การเข้าใจวทิ ยาศาสตรท์ ค่ี รบถ้วน: เป้าหมายสูงสดุ ของสะเตม็ ศกึ ษา
หนังสือเล่มนี้พยายามขยายความสะเต็มศึกษาในส่วนท่ีขาดหายไป (มิถุนายน 2559) 112 หนา้
คือส่วนการเข้าใจวิทยาศาสตร์ในมิติการพัฒนาปัญญาภายในของ
มนุษย์ ชี้ให้เห็นว่าธรรมชาติภายในมนุษย์อยู่ภายใต้กฎเดียวกับ
ธรรมชาตภิ ายนอกมนษุ ย์ มนษุ ยใ์ ชห้ ลกั ความเขา้ ใจเหตแุ ละผลสรา้ ง
ปญั ญาภายนอก จนสามารถเปลยี่ นวทิ ยาศาสตรใ์ หเ้ ปน็ เทคโนโลยรี บั
ใช้ความสุขจากการเสพของมนษุ ย์ ซง่ึ เปน็ มรรควิถขี องสะเต็มศกึ ษา
ทว่ั โลก อกี มมุ หนงึ่ ของการศกึ ษาวทิ ยาศาสตรค์ อื การใชห้ ลกั เดยี วกนั
นพ้ี ฒั นาปญั ญาภายใน เพอื่ ใหม้ นษุ ยอ์ ยรู่ ว่ มกบั สง่ิ แวดลอ้ มทางสงั คม
ที่เป็นสุข หากเจตนาจะให้สะเต็มศึกษาเป็นเครื่องมือพัฒนาปัญญา
มนุษย์อย่างเต็มท่ี กระบวนการท�ำโครงงานต้องให้เกิดปัญญาที่เห็น
ธรรมชาติและมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นระบบในสภาวะสมดุล เข้าใจ
ธรรมชาติภายในของตนเองก่อน พัฒนาปัญญาภายในของตนเอง
แล้วจึงประยุกต์ใชป้ ญั ญาภายนอก
194 จากรากแก้วสผู่ ลของตน้ เพาะพนั ธุ์ปัญญา
หนงั สือลำ� ดบั ท่ี 16 ถอดรหัสการสอนสะเต็ม (สงิ หาคม 2559) 150 หน้า
เป็นหนังสือล�ำดับท่ี 4 ของสะเต็มศึกษา ท่ีชี้ให้เห็นว่าสะเต็ม
ศึกษาที่เป็นของไทยเองน่าจะเป็นอย่างไร แต่ก่อนจะถึงจุด
“นา่ จะเปน็ อยา่ งไร” เราตอ้ งรกู้ อ่ นวา่ ครสู ะเตม็ ตอ้ งพฒั นาไปใน
ทศิ ทางใด มที กั ษะอะไร ไดท้ ักษะอยา่ งไร หนงั สอื เลม่ น้ไี ขรหสั
ทักษะครูสะเต็มแบบไทย ๆ ประกอบด้วย 3 บท ท่ีกล่าวถึง
ความเข้าใจสะเต็มที่แตกต่าง ทักษะการเป็นครูสะเต็ม การ
ถอดรหัสลีลาครูสะเต็มจากประสบการณ์ และแนวคิด RBL
ของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาและจากคู่มือกิจกรรมสะเต็ม
ของ สสวท. ฉบบั เพิ่มเติมปี พ.ศ. 2559 เปน็ หนังสอื ทางเลือก
ของการเป็นครูสะเต็มที่จะปลุกพลังทางความคิดและปัญญา
ให้แกร่ง... จนกล้าแผ้วถางทางด้วยตนเอง อ่านแล้วเหมือน
มไี ฟฉายกำ� ลงั สงู ในทางมอื เปลยี่ วเดยี วดายของเสน้ ทางการเปน็
ครสู ะเตม็
หนงั สือลำ� ดบั ที่ 17 รอยจารึกบนเสน้ ทางครเู พาะพันธ์ปุ ญั ญา
ครคู อื บคุ คลสำ� คญั ทส่ี ดุ ของระบบการศกึ ษา โครงการเพาะพนั ธ์ุ (มนี าคม 2560) 272 หน้า
ปญั ญามีเป้าหมายพัฒนาครู มีคุณครูจำ� นวนมากท่เี ปน็ ตัวแทน
ความสำ� เรจ็ ในจำ� นวนนคี้ รู 24 ทา่ นไดร้ บั เลอื กใหเ้ ปน็ ครปู ญั ญา
ทปี กรเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา ซงึ่ แปลวา่ ครผู เู้ ปน็ แสงสวา่ งแหง่ ปญั ญา
ของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา หนังสือเล่มน้ีไม่เพียงบอกเล่า
ความรู้สึกจากประสบการณ์ของครู 24 ท่านที่ใช้ศรัทธาต่อ
อาชีพครูฝ่าฟันสอนโครงงานฐานวิจัย (RBL) แต่ยังแฝงด้วย
ข้อเรียนรู้ส�ำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาการศึกษาไทยผ่านการ
พฒั นาครู ทเ่ี ราไดย้ นิ จากปากครชู ดั เจนมากคอื “ขอจติ วญิ ญาณ
ของครคู นื มาแลว้ ครจู ะเปน็ บคุ คลเรยี นรู้ ครจู ะเปลยี่ นการศกึ ษา
ด้วยครูเอง” อะไรคือเคร่ืองมือส�ำคัญของเพาะพันธุ์ปัญญา?
ท้ังส้ินทั้งมวลออกมาจากค�ำสัมภาษณ์ของครู 24 ท่าน ใน
หนังสือเล่มน้ี
สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 195
หนังสอื ลำ� ดบั ที่ 18 ผนึกความรู้ : ชดุ งานวจิ ยั ฉบับเคี้ยวง่าย Re-learing
จากเรียนรสู้ ู่เรียนคดิ
เป็นหนังสือรวบรวมการตกผนึกของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา
ซ่ึงสรุปได้ว่า งานวิจัยด้านการศึกษาของ รองศาสตราจารย์
ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผา่ นมา
มุ่งคลายปมปัญหาของระบบการศึกษาไทยอย่างลงลึกถึง
ระดับพลิกฟื้นจิตวิญญาณครู จัดสมดุลเชิงอ�ำนาจใหม่ระหว่าง
“ผสู้ อน” กบั “ผถู้ กู สอน” พรอ้ ม ๆ กบั ออกแบบกระบวนการเรยี น
การสอนท่ยี กระดับจากการ “เรยี นร”ู้ สูก่ าร “เรยี นคิด” ให้ทงั้
ครูและผู้เรียนได้ฝึกการต้ังค�ำถาม การสังเกต ทดลอง ฝึกฝน
ทักษะการคิดอย่างอิสระ คิดอย่างมีตรรกะ คิดอย่างเป็นเหตุ
เปน็ ผล มใิ ชเ่ พียงการท่องจำ� เหมือนเชน่ ในอดตี
(กนั ยายน 2559) 127 หนา้
หนงั สือลำ� ดับที่ 19 เพาะพนั ธ์ุปัญญา: การสร้างปัญญาจากโครงงานฐานวจิ ัย
เล่มแรกของชุด 5 เล่มเปิดโรงด้วยการท�ำความเข้าใจผู้อ่าน (มนี าคม 2561) 128 หน้า
เกย่ี วกบั การศกึ ษาทใี่ ชก้ ารทำ� โครงงานเปน็ เครอ่ื งมอื การศกึ ษา
ไทยกล่าวถึงการท�ำโครงงานด้วยค�ำว่า PBL บ้าง PjBL บ้าง
แต่เพาะพันธุ์ปัญญาใช้ RBL ซ่ึงย่อมาจาก Research-Based
Learning ปัญหาการเรียนจากการท�ำโครงงานไม่ว่าจะเป็น
ประเภทใดอยทู่ ค่ี ำ� สดุ ทา้ ย “LEARNING” วา่ ครจู ะสอนนกั เรยี น
อยา่ งไรใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ (learning) จากการทำ� งาน การทำ� งาน
ไมใ่ ชก่ ารฟงั รบั ความรจู้ ากปากครู แตเ่ ปน็ กระบวนการเกดิ ทกั ษะ
จากการปฏิบัติ หลายคนจึงคิดว่าการท�ำโครงงานได้ทักษะการ
ทำ� งานหรอื ทกั ษะพสิ ยั นอ้ ยคนเขา้ ใจการสรา้ งจติ พสิ ยั และพทุ ธิ
พสิ ยั แกน่ กั เรยี น เพราะไมเ่ ขา้ ใจแกน่ แทข้ องการเรยี นจากปฏบิ ตั ิ
เลม่ นจี้ งึ บอกเลา่ หลกั การศกึ ษาจากปฏบิ ตั ขิ องเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา
ทีน่ ักเรยี นไดค้ รบทง้ั 3 พิสัยของการศึกษา
196 จากรากแก้วส่ผู ลของต้นเพาะพันธุ์ปญั ญา
หนังสือลำ� ดับท่ี 20 เพาะพันปญั ญา: ปญั ญาจากเหตุผลในเหตุ-ผล
การเรยี นรขู้ องมนุษยเ์ กดิ จากประสบการณส์ งสัย สมองเด็กเล็ก (มีนาคม 2561) 128 หนา้
จงึ เตม็ ดว้ ย “ทำ� ไม” เมอื่ ปะทะกบั ประสบการณใ์ หมท่ ไ่ี มส่ ามารถ
อธิบายด้วยความรู้หรือประสบการณ์เดิมที่มีอยู่ “ท�ำไม” เป็น
สญั ชาตญาณการถามหาเหตแุ หง่ ผล ความคดิ เชงิ เหตแุ ละผลจงึ
เปน็ หวั ใจของการทำ� โครงงานฐานวจิ ยั ทบ่ี รู ณาการปญั ญาชดุ เดมิ
ใหเ้ กดิ ปญั ญาชดุ ใหม่ แตก่ ารศกึ ษาทผ่ี า่ นมาเชอื่ ในวจิ ยั ทตี่ อ้ งการ
รู้ “อะไร” (what) ไม่แยแสกับการตอบค�ำถาม “ทำ� ไม” (why)
เล่มที่ 2 น้ีแสดงให้เห็นว่า... จนกว่าเราเข้าใจความเป็นเหตุ
เปน็ ผล (cause-effect) วา่ ไมใ่ ชส่ งิ่ เดยี วกนั กบั เหตผุ ล (reason)
เราจึงเข้าใจโครงงานฐานวิจัยแบบเพาะพันธุ์ปัญญาว่าสร้าง
ปัญญาได้อย่างไร การพัฒนาความคิดเชิงเหตุและผลจึงเป็น
สาระหลกั ของเลม่ น้ี
หนังสือลำ� ดับท่ี 21 เพราะพนั ธป์ุ ัญญา: ปญั ญาจากโจทย์โครงงานฐานวิจัย
หากเดินดูโครงงานวิทยาศาสตรใ์ นงานนทิ รรศการของนักเรียน (มีนาคม 2561) 112 หน้า
เราจะพบรปู แบบ 2 ลกั ษณะ คอื งานทเี่ ปน็ วทิ ยาศาสตร์สดุ ยอด
ทคี่ ดิ ไมถ่ งึ ผลงานแขง่ กนั นำ� เสนอขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากอปุ กรณท์ นั สมยั
ของโรงเรยี นใหญ่ กบั ผลงานจากโรงเรยี นขาดแคลนทำ� โครงงาน
สิ่งประดิษฐ์ได้เครื่องมือต่าง ๆ ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน โครงงาน
แบบแรกอุดมด้วยวิชาการเกินวัยนักเรียนและห่างชีวิตจริง
โครงงานแบบหลังใกล้ชีวิตแต่ไร้วิญญาณวิชาการ ทั้ง 2 แบบ
เกิดจากการต้ังโจทย์ท่ีเลียนแบบมาจากนิทรรศการท่ีเวียน
กันดู การได้โจทย์ใหม่ท่ีมีวิชาการสมวัยและตรงกับชีวิตจริง
ตอ้ งการทกั ษะการโคช้ โดยครทู ม่ี ปี ระสบการณเ์ หน็ โจทยต์ า่ งจาก
งานวจิ ัยเชิงสถิตทิ ตี่ นเรียนมา เลม่ ที่ 3 ของชดุ น้ีบอกเล่าหนทาง
เดินใหมข่ องครทู ีส่ อนโครงงานฐานวิจยั แบบเพาะพันธ์ุปัญญา
สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ 197
หนังสอื ลำ� ดบั ท่ี 22 เพราะพันปญั ญา: ปญั ญาในการออกแบบ RBL
การออกแบบกิจกรรมโครงงานฐานวิจัยเป็นขั้นตอนส�ำคัญของ (มนี าคม 2561) 112 หน้า
การเรยี นรเู้ พราะเปน็ “ลายแทง” ปฏบิ ตั ไิ ปสปู่ ญั ญา จากความคดิ
ท่ีอยู่ในหลุมด�ำของวิชาสถิติ ครูไม่เคยน�ำพานักเรียนรู้จัก
เครอื่ งมอื อน่ื นอกจากแบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ แบบสำ� รวจ
ท่ีมีแต่ชักจูงให้นักเรียนมีทัศนคติตามหาความรู้ท่ีผู้อื่น ไม่เช่ือ
ในศักยภาพตนเอง การท�ำโครงงานฐานวิจัยแบบเพาะพันธุ์
ปัญญาคือการหาความรู้ด้วยตนเองจากการ “สร้างเหตุแล้ว
วัดผล” เพอื่ พิสจู นส์ มมตุ ฐิ านเชิงเหต-ุ ผล เม่ือไมม่ หี ลุมดำ� ใหถ้ ูก
ดูดกลืนจินตนาการ การออกแบบจึงเป็นการคิดเชิงสร้างสรรค์
และคดิ แก้ปญั หาเต็มที่ การออกแบบเป็น “คำ� ตอบปลายเปิด”
ท่ีมีศักยภาพสร้างการเรียนรู้ได้ถึงความคิดวิพากษ์ (critical
thinking) ที่การศึกษาไทยเรียกหา การออกแบบกิจกรรมท�ำ
โครงงานฐานวิจัยจึงถูกนำ� มารอ้ ยเรียงในเลม่ ที่ 4 นี้
หนงั สอื ลำ� ดับท่ี 23 เพราะเพาะพันธพ์ุ ันปัญญา: ปัญญาการศกึ ษาจึงผลิบาน
คิดวิเคราะห์และคิดสังเคราะห์เป็นนิยามท่ีท่องกันมา โดยไม่มี (มนี าคม 2561) 128 หน้า
ประสบการณถ์ อดความรวู้ ่าคอื อะไรและเกิดไดอ้ ยา่ งไร เมอื่ ตดิ
ที่นิยาม... การท�ำโครงงานจึงไม่สามารถพัฒนาความคิดขั้นสูง
ของผู้เรียนได้ การคิดสังเคราะห์คือการเกิดปัญญาใหม่ซ่ึงเป็น
ขั้นตอนหลังจากผู้เรียนคิดวิเคราะห์จนอิ่มตัว... แล้วทันใดนั้น
ดงึ ปญั ญาเดมิ มาประมวลทวี่ เิ คราะหไ์ ดจ้ นผดุ บงั เกดิ เปน็ ปญั ญา
ใหมแ่ กต่ นเอง การคดิ สงั เคราะห์จึงเป็นการไดป้ ญั ญาเฉพาะตน
ครผู สู้ อนโครงงานตอ้ งเขา้ ใจกระบวนการเกดิ ความคดิ วเิ คราะห์
และสังเคราะห์ จากนั้นใช้ข้อมูลวิจัยมากระตุ้นให้นักเรียนผุด
บังเกดิ ปัญญาใหม่ได้เอง โครงงานฐานวจิ ยั ในระบบคดิ เหตุและ
ผลเปน็ เครอ่ื งมอื หนง่ึ ใหเ้ กดิ กระบวนการคดิ ขนั้ สงู แตป่ รศิ นาวา่
ท�ำอยา่ งไรน้ัน เล่ม 5 มีค�ำตอบ
198 จากรากแก้วส่ผู ลของตน้ เพาะพันธ์ปุ ญั ญา
หนงั สือล�ำดับท่ี 24 เพาะพันธป์ุ ัญญาดว้ ย PLC (พฤษภาคม 2561) 98 หน้า
การเรียนรู้ทด่ี ีคือเรยี นรู้จากประสบการณ์ วธิ ีพัฒนาครูที่ดีทส่ี ดุ
คือให้ครูเรียนรู้กันเองโดยเอาที่ครูเรียนรู้จากประสบการณ์มาสู่
กระบวนการสรา้ งการเรยี นรขู้ องกลมุ่ ครู เราเรยี ก PLC ดงั นน้ั PLC
จงึ สำ� คญั ทตี่ วั L การประเมนิ การเรยี นรทู้ ด่ี ที ส่ี ดุ คอื การประเมนิ
เพื่อพฒั นา (formative assessment, FA) ทงั้ PLC และ FA
คือกิจกรรมทท่ี �ำใหค้ รฟู ้นื ศกั ดศิ์ รีการเปน็ ครกู ลับมา ศกั ดิศ์ รคี รู
หายไปเพราะผู้เกี่ยวข้องการศึกษาปรามาสพลังพัฒนาตนเอง
ของครู อีกท้ังมี mindset เพียงว่าต้องเอาผู้ทรงคุณวุฒิจาก
ข้างนอกมาอบรมครู แม้ว่าจะไม่มีประสบการณ์สอนจริง
ในห้องเรยี น หนังสือ “เพาะพนั ธุ์ปัญญาด้วย PLC” เลม่ นแี้ บง่
เนอ้ื หาออกเปน็ 2 ตอน คอื อธบิ ายการจดั การ PLC ทใ่ี ชห้ ลกั การ
FA ท่ีมีการจัดการความรู้ (Knowledge Management,
KM)เปน็ เครอ่ื งมอื และตอนท่ี2เขยี นจากประสบการณภ์ าคสนาม
ของ PLC ในมมุ มองของพเ่ี ลยี้ งในโครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาเอง
หนงั สอื ล�ำดับท่ี 25 หลักการสรา้ งการเรยี นรูจ้ ากโครงงานวทิ ยาศาสตร์และสะเต็ม
โครงงานมีภาพลักษณ์เป็นส่ิงประดิษฐ์เพื่อแข่งขันเอารางวัล (พฤศจิกายน 2561) 142 หนา้
มาช้านานจนถูกตั้งค�ำถามว่านักเรียนได้เรียนรู้จากการท�ำ
โครงงานหรือเป็น nominee ของครูในการล่ารางวัลกันแน่?
เม่ือมีสะเต็มศึกษาและมาตรฐานการศึกษา ว.4.1 ยิ่งเกิด
ค�ำถามว่าครูจะสอนโครงงานเพ่ือเป้าหมายการเรียนรู้ของ
นักเรียนไดอ้ ยา่ งไร? เราจะเปลย่ี น mindset การสอนโครงงาน
แบบเดิมให้เป็นการบูรณาการสาระเพ่ือสร้างการเรียนรู้
ไดอ้ ยา่ งไร? โครงงานวทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ การหาความรใู้ น “โลกแหง่
ความเป็นจริง” แต่โครงงานสะเต็มเป็นการบูรณาการความรู้
ใน “โลกแหง่ ความเปน็ จรงิ ” หากขาดการคดิ แบบวศิ วกร... การ
ทำ� โครงงานสะเตม็ ยอ่ มไมม่ คี วามเปน็ จรงิ ของชวี ติ หนงั สอื เลม่ น้ี
ใหค้ ำ� ตอบแกค่ รทู ตี่ อ้ งการสอนโครงงานใหบ้ รรลมุ าตรฐาน ว. 4.1