สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ 99
ครูไทยมีส่วนลึกของจิตใจที่ดีตามลักษณะของคนเป็นครูในสังคมไทย ความสัมพันธ์ระหว่างครู
กับศิษย์มีลักษณะพิธีกรรมอันศักด์ิสิทธ์ิต้องตามวัฒนธรรมไทย (เช่น พิธีไหว้ครู) แต่ระบบการศึกษา
กลับใช้ความคิดเชิงกลไกมาก�ำกับครูจนกลายเป็นมิติการใช้อ�ำนาจ ดังน้ันการเปล่ียนให้ครูเป็น
ผู้อ�ำนวยการเรียนรู้ (coach) จงึ ยงั สามารถท�ำได้ถ้าลดความเครียดจากระบบอ�ำนาจลง แลว้ บ�ำรุงครู
ด้านจิตวญิ ญาณมากขนึ้
เกอื บทศวรรษแลว้ ทเ่ี ราพรำ่� พดู ทกั ษะศตวรรษที่ 21 คณะกรรมการอสิ ระเพอื่ การปฏริ ปู การศกึ ษา
(กอปศ.) มขี ้อเสนอให้จัดการศกึ ษาเป็นหลักสตู รอิงสมรรถนะ (Competency-Based Curriculum)
มันจะเป็นเพียงเอกสารหลักการเท่าน้ัน ถ้าเราไม่สามารถพัฒนาครูให้โค้ชการเรียนรู้จากฐานปฏิบัติ
เพอ่ื แก้ปญั หาหรอื สรา้ งความรูไ้ ด้ด้วยตนเองได้ (PBL RBL) ไม่มที างออกอ่นื นอกจากยอมรบั “ผล”
ท่ปี รากฏทัง้ 26 ขอ้ ทำ� ความเขา้ ใจ “เหตุ” แล้วคนท่ีรับผิดชอบในเหตตุ ่าง ๆ แก้ไขตนเอง
ทงั้ 26 ข้อทเ่ี ขียนเปน็ เพียงฝันร้ายซำ้� ซากทกุ คืน เพาะพันธ์ุปัญญาปลกุ ให้ครูตืน่ ฟื้นจิตวญิ ญาณ
ที่เสยี ไปให้กับซาตาน ผลท่ีเกิดกบั ครูสงั เคราะหไ์ ด้จากบทสัมภาษณค์ รู 24 ท่านทไี่ ดร้ บั เลอื กให้เป็นครู
ปญั ญาทีปกรเพาะพนั ธป์ุ ัญญา ตามทปี่ รากฏในหนังสอื “รอยจารึกครูปัญญาทปี กรเพาะพนั ธุ์ปัญญา”
ดังตอ่ ไปนี้
100 จากรากแก้วสู่ผลของต้นเพาะพันธุป์ ัญญา
ปรารถนาแหง่ เพาะพนั ธ์ปุ ัญญา
คำ� รอ้ ง: สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ ท�ำนอง: คงวุฒิ นิรันตสุข
Capo Fret No.3 (C to E) Intro: F / G / C / Em / Am / F / G / C / G7
C Am F G C Am F G
ฉนั ไกวชิงชา้ คว้าเมฆ ชงิ ชา้ ไกวกลบั ฉนั จับเพยี งลม ฉนั จมในความว่างเปลา่ ... ไรต้ น ... (หมื มม หืมมม)
5 3 2 3 1 6 1 2 1 6 3 1 2 2 5 3 2 1 5 1 2 1 2 3 2
C Am F G C Am
ล�ำธารน้�ำลน้ ไหลริน แทรกผา่ นซอกหนิ ปลากินตะไคร่ ใบไม้ไหลลอยเงาเมฆคล้อยเคลอ่ื น
3 3 5 5 2 1 1 6 6 1 1 2 3 2 3 5 5 3 2 3 5 1
F G C C7
ฉนั นกึ ถึงเพ่อื นบนเสน้ ทางเดนิ … (หมื ม หืมมม)
1 2 3 6 2 3 2 2 3 2 1
F G C Em Am F Fm Em Am
สายน้�ำมีวนั แห้งหาย ลมพดั มวลเมฆลอ่ งลอยสลาย ใบไม้กระจายละลวิ่ ปลิวร่อน ทับถมมัจฉาผกุ ร่อนในดนิ
1 1 6 6 1 2 3 5 3 2 3 1 5 6 1 2 1 1 3 2 1 2 1 7 6 7 5 5 1 1
F G C Em Am F G C C7
หินสงบน่ิงไร้กาลเวลา เคลื่อนไหวทง้ั มวลลว้ นคือมายา การศกึ ษา...พาไปหาอะไร?
1 6 6 1 3 2 1 2 5 3 5 3 5 3 2 1 6 5 6 2 2 3 2 1
F G C Em Am Dm G
* ฉันจะเป็นหนิ นงิ่ อยใู่ นลำ� ธาร หรอื เป็นสายนำ�้ ท่ซี อกแทรกผ่าน เป็นปลาแหวกวา่ ยระเรงิ ธารา
6 5 6 6 5 4 5 5 5 3 5 3 2 1 2 1 6 3 4 3 4 6 5 5 5
C Em Am Dm G C Am E7
หรอื เปน็ ใบไม้ไรค้ า่ ลอยลอ่ ง เปน็ เมฆขบั ขาวบนท้องนภา... เพาะพันธ์ปุ ญั ญาเจ้าปรารถนาสิง่ ใด?
6 5 3 5 3 2 1 6 3 4 3 4 5 6 6 5 6 5 5 5 2 2 3 5 2 3
F Fm Em Am F G Em Am
** หินปรารถนาวันใหม่ อยใู่ กล้ขุนเขาอุม้ นำ�้ มีเมฆคล�้ำฝนฉ่�ำปฐพี วนั ที่นทีเต็มด้วยฝงู ปลา
3 1 2 3 2 1 1 7 6 6 5 1 1 6 3 3 1 1 2 2 3 5 5 3 2 3 2 1
F G C Em Am F Fm C
วันที่มายา กลบั กลายเป็นจริง เพาะพนั ธ์ุปัญญาอยากได้ทุกส่งิ เหมือนหินในล�ำธารการศกึ ษา
1 6 1 1 5 1 2 2 5 3 3 3 2 3 2 1 1 1 2# 2 1 1 7 1
Solo: C / Am / F / G / C / Am / F / G / C / C7
ซ�ำ้ * / **
F Fm C C7 F G F Fm Cmaj7
เหมือนหินในลำ� ธารการศึกษา … เหมือนหนิ ในล�ำธารการศกึ ษา
1 1 2# 2 1 1 7 1 1 1 3 2 2 1 7 1
สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 101
บทสงั เคราะห์จากหนังสอื “รอยจารึกบนเสน้ ทางครูเพาะพนั ธ์ุปัญญา”
ครูเพาะพันธุ์ปัญญา 24 ท่านได้รับคัดเลือกให้เป็นครูปัญญาทีปกรเพาะพันธุ์ปัญญาของทั้ง
8 ศนู ยพ์ เ่ี ลยี้ ง แตล่ ะทา่ นใหส้ มั ภาษณใ์ น 3 ประเดน็ หลกั คอื แรงบนั ดาลใจการเปน็ ครเู พาะพนั ธป์ุ ญั ญา
อุปสรรคและการแก้ไข และความภูมิใจในการท�ำงานนี้ บทสัมภาษณ์ของครูทั้ง 24 ท่านปรากฏ
เป็นหนงั สือ “รอยจารึกบนเส้นทางครูเพาะพันธุป์ ัญญา” หนว่ ยจดั การกลางโครงการเพาะพันธุป์ ญั ญา
ตคี วามเป็นบทสังเคราะห์ และน�ำเสนอ ขอ้ สงั เคราะห์ทง้ั ส้นิ 17 ข้อสรุปได้ดังน้ี26
1. ครูที่เข้าร่วมส่วนมากไม่ทราบมาก่อนว่า Research-Based Learning (RBL) คืออะไร
จ�ำนวนไม่น้อยเข้าร่วมเพราะชอบค�ำว่า “เพาะพันธุ์ปัญญา” ท่ีให้ความหมายเชิงบวกของ
การศึกษา มีบางท่านท่ีผู้บริหารให้เข้าร่วมเพราะภาพลักษณ์การได้ทุนจาก สกว. น่ายินดี
ทส่ี ว่ นหนง่ึ เขา้ รว่ มเพราะเคยอยใู่ นโครงการยวุ วจิ ยั ยางพารา เคยรบั ทนุ โครงการวทิ ยาศาสตร์
ทอ้ งถน่ิ หรอื โครงการดา้ นการศกึ ษาอน่ื ของ สกว. มากอ่ น เชน่ Local Learning Enrichment
Network (LLEN) และ Teacher Coaching (TC) สะท้อนให้เห็นวา่ brand เกดิ แลว้ ใน
เบอ้ื งตน้ โดยชอื่ โครงการและหนว่ ยงานสนบั สนนุ ปรากฏการณท์ ค่ี รสู มคั รเขา้ โดยไมถ่ กู บงั คบั
จากผกู้ ำ� กบั เหนอื ตน ( ผอ. หรอื สพฐ.) หมายความวา่ ครกู ลมุ่ นก้ี ำ� ลงั แสวงหากระบวนการใหม่ ๆ
เอามาใช้ในอาชีพตน เราสามารถกล่าวได้ว่าในเบื้องต้นครูมาด้วยแรงจูงใจ (motivation)
มากกว่าแรงบนั ดาลใจ (inspiration)
26 หนว่ ยงานทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การศกึ ษาหากตอ้ งการน�ำความรนู้ ไ้ี ปใชป้ ฏริ ปู การศกึ ษา ควรเรยี นรบู้ รบิ ททเ่ี กย่ี วขอ้ งดว้ ย
102 จากรากแกว้ ส่ผู ลของต้นเพาะพนั ธ์ปุ ญั ญา
2. แรงบนั ดาลใจเกดิ เมอ่ื รว่ มแลว้ เหน็ คณุ คา่ ของ RBL แสดงใหเ้ หน็ วา่ ความสำ� เรจ็ เกดิ จากศรทั ธากอ่ น
แต่จะไม่ส�ำเร็จเลยหากไม่มีส่วนที่เป็นปัญญาให้ครูเห็นคุณค่า ในส่วนของปัญญา ครูพึงใจกับ
ปัญญาภายในที่เกิดจากจิตตปัญญาศึกษามากกว่าการได้ปัญญาภายนอก บทสัมภาษณ์ของ
ครจู ำ� นวนมากสะทอ้ นจติ ตปญั ญาโดยกลา่ วถงึ ความสขุ ของทงั้ นกั เรยี นและครู ครมู คี วามรสู้ กึ รนุ แรง
ถึงความเปลีย่ นแปลงอาจเพราะทีผ่ ่านมาครอู ่อนล้าทางจิตวิญญาณ
3. ครูจ�ำนวนมากยอมรับว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา การเรียนรู้เพื่อเปล่ียนทัศนคติใหม่ของการ
เปน็ ครจู งึ ควรเปน็ ปฏบิ ตั กิ ารตน้ ๆ หากตอ้ งการสรา้ งความเปลยี่ นแปลงใหก้ ารศกึ ษา ประสบการณ์
เพาะพันธุ์ปัญญาสรุปว่า ไม่สามารถส�ำเร็จได้โดยการอบรม แต่ต้องให้ครูปฏิบัติ จนรู้แจ้งและ
เปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง เครื่องมอื พฒั นาให้ครูเปลี่ยนแปลงคือจติ ตปญั ญาศกึ ษา
4. กระบวนการจติ ตปญั ญาศกึ ษาทเี่ ปน็ ขว้ั ตรงขา้ มกบั ระบบอำ� นาจเดมิ ไดก้ ระตกุ จติ วญิ าณเดมิ ของครู
กลับมา ผลที่สะท้อนจากการใช้กิจกรรมจิตตปัญญาศึกษาและผลที่เกิดตามมาให้ค�ำตอบว่า
จิตวญิ ญาณความต้องการเป็นครูท่ีดีมีอยู่ในจติ ใต้สำ� นกึ ของครจู �ำนวนมาก แต่ถกู บดบังด้วยระบบ
ท่ีมีอ�ำนาจกดทับอยู่ เม่ือครูเปล่ียนแปลง (transform) ด้วยจิตตปัญญาศึกษาแล้วครูจะอุทิศตน
ไม่ย่อทอ้ ต่ออุปสรรคการสอนเพาะพนั ธป์ุ ัญญา
5. เมอื่ จติ วญิ ญาณของครถู กู ฟน้ื คนื มา ครทู กุ คนกลา่ วเปน็ เสยี งเดยี วกนั วา่ รางวลั จากการทำ� งานนี้ คอื
ความภูมิใจท่ีนักเรียนเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น น่ายินดีท่ีครูพูดถึงการเปล่ียนแปลงของนักเรียน
มากกว่ารางวัลจากการประกวดต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงของนักเรียนที่ทั้งพฤติกรรมและทักษะ
การท�ำงาน ทักษะชวี ิต ทักษะการเรียนรู้ เช่นมวี ินยั รูจ้ ักการรอคอย มีความรับผิดชอบ มรี ะบบคดิ
ท่ีเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีเป้าหมายการเรียน การเปลี่ยนแปลงของนักเรียนคือก�ำลังใจให้ครูอดทน
ทำ� เรอื่ งยากเชน่ นี้ การทค่ี รสู ว่ นมากในระบบมงุ่ ไปทรี่ างวลั จากการประกวดนน้ั แสดงวา่ จติ วญิ ญาณ
ทด่ี แี ตเ่ ดมิ ถกู ครอบง�ำดว้ ยเจตคตทิ ผี่ ดิ การปฏริ ปู การศกึ ษาจงึ ควรยกจติ ตฐานะ ไมใ่ ชว่ ทิ ยฐานะครู
6. การสร้างความรู้ด้วยฐานคิด “ผลเกิดจากเหตุ” เป็นที่ยอมรับว่ามีพลังสร้างระบบคิดแก่นักเรียน
แต่ครูยังต้องการพัฒนาทักษะคิดเชิงเหตุและผล ทักษะคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลด้วยการ
บูรณาการความรู้ และทักษะการคิดแบบย้อนกลับ ซ่ึงจะท�ำให้ครูมีสามารถออกแบบการสอน
โดยหลกั การ “ถามคือสอน” หลังการฟ้นื ฟจู ติ วิญญาณ ครยู ังตอ้ งการพฒั นากระบวนการคิด
สุธรี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 103
7. เสียงสะท้อนถึงการร่วม workshop พัฒนากระบวนการคิดของครูจ�ำนวนมาก บ่งบอกถึง
การสญู หายไปของความคิดนอกกรอบ หรือความคดิ สร้างสรรค์ เพราะในขณะท่ีเพาะพันธ์ุปัญญา
ต้องการให้เกิดทักษะคิดไปสร้างนวัตกรรมการสอนด้วยตนเอง แต่ครูยังหวังให้เพาะพันธุ์ปัญญา
มอบเคร่ืองมือส�ำเร็จรูปให้ กระบวนทัศน์นี้เป็นอุปสรรคของการพัฒนาครูให้เป็นบุคคลเรียนรู้
บทเรียนจากครูสรุปได้ว่าการศึกษาไม่ควรใช้ระบบประเมินท่ีเป็นแรงจูงใจด้วยรางวัลและโทษ
(carrot and stick) แตค่ วรขบั เคลอ่ื นดว้ ยการสรา้ ง (และบรหิ าร) แรงบนั ดาลใจ ผบู้ รหิ ารการศกึ ษา
ตอ้ งไวใ้ จครู ใหอ้ สิ ระแกค่ รใู นเรอ่ื งกระบวนการ มากกวา่ การควบคมุ ก�ำกบั ทส่ี รา้ งความอดึ อดั และ
ปิดก้ันความคิดสร้างสรรค์ของครู
8. ครชู อบกระบวนการ workshop ของเพาะพันธ์ปุ ัญญาที่ท�ำใหค้ รูเข้าใจการสรา้ งกระบวนการคดิ
แบบวิทยาศาสตร์ แต่การพัฒนาระบบคิดต้องท�ำซ�้ำหลายครั้ง คร้ังแรกครูทราบเพียงหลักการ
แต่ปฏบิ ตั เิ องไมไ่ ด้ ความข้องใจจากการปฏบิ ตั ถิ ูกคล่ีคลายเมื่อเรยี นรู้ซ้�ำครั้งท่ี 2 โดยมพี ่เี ลีย้ งเปน็
ทป่ี รึกษาที่ชนั้ เรียน สะท้อนใหเ้ หน็ ว่าการพัฒนาครูตอ้ งจดั สรรเวลาใหค้ รูปฏบิ ตั ิเอง มคี นช่วยโค้ช
การปฏบิ ัติของครู ในกรณนี ี้คอื พี่เลยี้ ง
9. เพราะความคุ้นชินกับโครงงานในห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ หรือหากเป็นโครงงานท่ีสัมพันธ์กับ
ชุมชนก็ใช้วิธีสอบถามจากผู้อ่ืน (เช่น ปราชญ์ท้องถ่ิน) ดังน้ันการท�ำโครงงานฐานวิจัยแบบ
เพาะพันธุ์ปัญญาที่ review บริบทชุมชนและออกแบบโครงงานด้วยระบบคิดเหตุและผลจึงเป็น
เร่ืองใหม่ส�ำหรับครู การปฏิรูปการศึกษาด้วยนวัตกรรมเพาะพันธุ์ปัญญาจึงควรพัฒนาทักษะ
การมองเห็นโจทยโ์ ครงงานฐานวิจัยและทกั ษะการออกแบบกจิ กรรมโครงงานใหค้ รู
10. จุดเด่นของโครงการเพาะพันธ์ุปญั ญาคอื โจทยว์ ิจยั ทคี่ อ่ ย ๆ กอ่ ตวั ขนึ้ ในความคดิ ของนกั เรยี นเอง
อันเกิดจากประสบการณ์นอกห้องเรียนท่ีครูจัดให้ นักเรียนเป็นเจ้าของความอยากรู้น้ัน จึงท�ำให้
นกั เรยี นทำ� งานอยา่ งมเี ปา้ หมายของตนเอง การเรยี นรเู้ กดิ จากการทำ� งานหาความรเู้ ปน็ กลมุ่ ดว้ ยวธิ ี
แลกเปล่ียนเรียนรู้กันในกลุ่ม โจทย์ RBL ท่ีมีบริบทจริงท�ำให้สาระวิชาท่ีเรียนเช่ือมโยงความจริง
ในชีวิต เข้าใจเง่ือนไขของบริบทที่ควบคุมการใช้ความรู้ เห็นคุณค่าการเรียน ทั้งหมดน้ีสรุปได้ว่า
กระบวนการเพาะพันธุ์ปัญญาได้สร้างสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้และกระบวนการสร้างการเรียนรู้
ให้นกั เรยี น
104 จากรากแกว้ สูผ่ ลของตน้ เพาะพนั ธุ์ปญั ญา
11. บทสมั ภาษณค์ รไู ปในทางเดยี วกนั วา่ ในระยะแรกนกั เรยี นปฏเิ สธเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา มจี ำ� นวนมาก
ท่ีท�ำเพราะครูก�ำหนดให้มาท�ำ นักเรียนมาด้วยความทุกข์ แต่เม่ือนักเรียนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง
ของตนเอง เขาจะเข้าใจและมีความสุข แต่จะกลับเป็นมีความทุกข์หากถูกให้หยุดเรียน RBL
การเปลยี่ นแปลงทงั้ ครแู ละนกั เรยี นเปน็ สงิ่ ทเ่ี กดิ เฉพาะตน รเู้ ฉพาะตนเมอื่ เปลยี่ นแปลงแลว้ เทา่ นน้ั
การขับเคล่ือนงานเพาะพันธุ์ปัญญาด้านนักเรียนไม่สามารถใช้ศรัทธาได้เหมือนครู เพราะ
ไม่สามารถสร้างแรงกระเพ่ือมทางจิตใจแก่นักเรียนได้ ตัวอย่างจ�ำนวนมากที่ครูให้สัมภาษณ์
ตคี วามได้ว่า หากไม่มาด้วยบงั คบั นกั เรยี นก็มาด้วย “ความอยากสนุก” ทไ่ี ดอ้ อกนอกห้องเรียน
ความอยากเช่นนี้เป็นแรงจูงใจ จนกระท่ังเมื่อปฏิบัติจบ การเปลี่ยนแปลงที่เขารู้ตัวได้เปลี่ยน
แรงจงู ใจเปน็ แรงบนั ดาลใจ จงึ ถอื เปน็ การใชค้ วามอยากทเี่ ปน็ ตณั หาชกั จงู เขา้ สฉู่ นั ทะ การคน้ พบ
ปลายทางทพ่ี ลกิ ขว้ั ไปจากเดมิ เชน่ นต้ี อ้ งการความเพยี ร ความอดทน ดงั นน้ั กระบวนการนตี้ อ้ งการ
การประคองอย่างตอ่ เน่อื ง พเ่ี ลีย้ งประคองครู ครูประคองนกั เรียน
12. นักเรียนเพาะพนั ธ์ปุ ญั ญาเกดิ growth mindset เปลย่ี นทัศนคตกิ ารมองโลก เขา้ ใจตนเองและ
ผู้อืน่ เปลย่ี นพฤตกิ รรม แมว้ า่ จะเปน็ ทพ่ี อใจของครูและผู้ปกครอง แตย่ งั ไม่สามารถโนม้ นา้ ว ผอ.
และครูอ่ืนช่วยกันขยายผลน�ำกระบวนการเพาะพันธุ์ปัญญาไปใช้ เพราะระบบประเมินถูก
ยดึ อ�ำนาจอยู่ทีส่ ่วนกลาง และไม่สามารถประเมนิ ผลสมั ฤทธเ์ิ ชิงคณุ ภาพได้ การศึกษาต้องมอบ
อำ� นาจการประเมนิ สว่ นนใ้ี หค้ รู เพอื่ น และผปู้ กครอง โดยประเมนิ แบบ formative assessment
ท่ไี มม่ ีการจัดอนั ดบั เปรียบเทียบกบั โรงเรียนอืน่
13. การเปลย่ี นแปลงของนักเรียนตรงตามทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ที่วงการการศึกษาก�ำลงั มองหา
นอกจากนนั้ กระบวนการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญายงั ใชไ้ ดก้ บั ทกุ สาระวชิ าและเดก็ ทกุ ประเภท เพาะพนั ธ์ุ
ปญั ญาสามารถยกคณุ ภาพการศกึ ษาไดท้ ง้ั หอ้ ง เพราะทำ� ใหเ้ กดิ สภาพของ “ครรู กั เดก็ เดก็ รกั คร”ู
จากจติ ตปญั ญาศกึ ษา และ “นกั เรยี นชว่ ยเหลอื กนั ” จากการเรยี นรว่ มกนั เปน็ กลมุ่ (cooperative
learning) ตามพระราชดำ� รสั พระราชทานแนวทางการศึกษาของในหลวงรัชกาลที่ 9
14. โครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญายงั ไมส่ ามารถเพมิ่ จำ� นวนครใู นโรงเรยี นไดเ้ ทา่ ทคี่ วร อปุ สรรคสำ� คญั คอื
ครูไม่มีเวลา เพราะครูมีภาระงานอื่นที่ต้องท�ำตอบสนองตัวช้ีวัดต่าง ๆ ครูจ�ำนวนมากกล่าวว่า
ผลจากโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาสามารถใช้ตอบสนองตัวชี้วัดท่ีโครงการอื่นต้องการได้ จึงเป็น
เหตุท่ีผู้บริหารสนับสนุนการท�ำโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา ดังน้ันควรส่ือสารให้ผู้บริหาร
สถานศึกษาทราบความจริงน้ี เพ่ือจัดสรรทรัพยากรให้ท�ำเพาะพันธุ์ปัญญาทดแทนโครงการอ่ืน
จะเป็นการปฏิรปู การศึกษาทีม่ ปี ระสิทธิผล และประสทิ ธิภาพมากกว่า
สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์ 105
15. พบวา่ จำ� นวนครเู พาะพันธปุ์ ญั ญาในแต่ละโรงเรยี นค่อนขา้ งคงท่ี คือ ประมาณ 5-7 คน เทา่ นัน้
ทุกแห่งมีแรงต้านการเปล่ียนแปลงจากครูจ�ำนวนมาก สะท้อนปัญหาการบริหารโรงเรียน
ที่ไม่ยืดหยุ่น ติดอยู่ใน comfort zone ไม่มีเป้าหมายท่ีนักเรียน ไม่พยายามแก้ปัญหารองรับ
สิ่งใหม่ ผู้บริหารไม่เข้มแข็ง ไม่ใส่ใจ การพัฒนาครูเพิ่มข้ึนไม่สามารถใช้วิธีการ top-down ได้
ครูเปลย่ี นท่ีจติ วญิ ญาณ ต้องใช้ KM, PLC และจติ ตปัญญาศึกษาแทรกซมึ ไปยงั ครูทเี่ หลอื อยา่ งมี
ยุทธศาสตร์ และสร้างความพร้อมด้านอื่น เช่น การจัดให้เพาะพันธุ์ปัญญาเป็นวิชาในหลักสูตร
สถานศึกษา และจัดให้มีโครงสร้างทางสังคม เช่น ชมรมเพาะพันธุ์ปัญญา PLC ของครูและ
ผู้ปกครองเพาะพันธป์ุ ญั ญา PLC ของกรรมการสถานศกึ ษาเพาะพันธ์ปุ ญั ญา เป็นตน้
16. การเปล่ียนแปลงการศึกษาด้วยนวัตกรรมเพาะพันธุ์ปัญญาต้องเป็นงานระยะยาว โดยมีพี่เลี้ยง
ท่ีเขา้ ใจการศึกษา รเู้ ป้าหมายการทำ� งาน และมีทา่ ทเี ป็นกัลยาณมิตรกบั ครู การปฏิรปู การศึกษา
ตามแนวทางเพาะพันธุ์ปัญญาต้องลงทุนพัฒนาพี่เล้ียง ลงทุนหล่อเลี้ยงให้ท�ำงานได้ต่อเนื่อง
อุดมศึกษาทุกสาขาวิชาสามารถมีส่วนร่วมได้ผ่านพันธกิจของมหาวิทยาลัยรับใช้สังคม (social
engagement)
17. ดว้ ยเหตนุ ้ี “พละ 5” ไดแ้ กศ่ รทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญั ญา ใชอ้ ธบิ ายปรากฏการณข์ องความสำ� เรจ็
ของเพาะพันธุ์ปัญญาได้ดี ครูเข้าร่วมเพราะศรัทธาน�ำหน้า การมีอุปสรรคท�ำให้ครูต้องใช้วิริยะ
ไปสปู่ ฏบิ ตั ทิ ถี่ งึ พรอ้ มดว้ ยสตแิ ละสมาธิ จนในทสี่ ดุ เขา้ ใจดว้ ยตนเอง (เกดิ ปญั ญา) ปญั ญาในทนี่ คี้ อื
รวู้ ธิ ใี ช้ RBL สรา้ งการเรยี นรแู้ ละพฒั นานกั เรยี น อทิ ธบิ าท 4 กด็ เู หมอื นสอดคลอ้ งกบั กระบวนการ
เปลีย่ นแปลงของครู เรม่ิ จากเกิดฉันทะเมอ่ื จิตตปัญญาศึกษาและ workshop RBL กล่อมเกลา
จิตวิญญาณครู จากน้ันเป็นบทบาทของวิริยะและจิตตะ คือ การโค้ชและเรียนรู้การสอน
โครงงานด้วยความเพยี รและเอาใจใส่ วิมังสาคอื การใครค่ รวญทบทวนการกระท�ำ (เทียบได้กับ
“สะทอ้ นคดิ คือเรียน”) ท่เี ป็นการเรยี นรู้ในการกระท�ำของตนเอง สปั ปุรสิ ธรรม 7 ไดแ้ ก่ รเู้ หตุ
รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รูก้ าล รบู้ คุ คล และรชู้ ุมชนก็สอดคล้องกบั การเรยี นรจู้ ากการท�ำโครงงาน
ฐานวิจัยที่มีโจทย์จากชุมชนได้เป็นอย่างดี สรุปได้ว่าเพาะพันธุ์ปัญญาสอดคล้องกับหลักธรรม
หลายข้อในพระพทุ ธศาสนา
106 จากรากแกว้ ส่ผู ลของต้นเพาะพนั ธป์ุ ัญญา
วจิ ัยใหค้ ิดจติ เพลนิ มุ่งมน่ั จำ� เรญิ
เพาะพันธปุ์ ญั ญาพาเรียน เปลง่ ปลั่งด่งั เทียน
ร่�ำรอ้ งระงม
เดก็ ครูดทู �ำพากเพยี ร เพราะส้สู ุดใจ
สะบัดโบกโยกไหวในลม วิถชี ้ีทศิ
รา่ เรงิ ระบ�ำ
ท้งั ทุกขส์ ขุ คละระทม เรืองรุ้งร่งุ สาง
โอดครวญหวนพรำ�่ ร่�ำไห้
ผา่ นโศกโศกาอาลัย
เป็นผู้รู้เรยี นเพียรคิด
พ่ีเล้ียงเพีย้ ง! โอมประโลมจิต
วจิ ยั วิสยั ใฝ่ทำ�
ฟัน่ เทยี นล�ำใหญ่ใจนำ�
กา้ วเดนิ เพลนิ ไปในทาง
ทางแหง่ แสงเทียนฤาจาง
เพาะพนั ธุ์ปัญญาพาเรียน
กาพยฉ์ บงั 16
สุธีระ ประเสริฐสรรพ์
สุธีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 107
บทสังเคราะห์จากหนงั สอื “คุรคุ วรคารวะ”
เมอื่ เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาประสบความสำ� เรจ็ และวเิ คราะหเ์ หตขุ องความสำ� เรจ็ วา่ เกดิ จากการทำ� งาน
ของครูที่ใกล้ชิดนักเรียน แต่การท�ำงานของครูส�ำเร็จเพราะมีพี่เลี้ยงเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขจับมือ
เดินไปด้วยกันบนเส้นทางนี้ จึงเกิดหนังสือเชิงสารคดีจากการสัมภาษณ์ครูและพ่ีเล้ียงของ 8 ศูนย์
เพ่ือถอดความสัมพันธ์และบทบาทหน้าที่ท่ีมีต่อกัน หนังสือเล่มน้ีให้นิยาม “คุรุควรคารวะ” ไว้สั้น ๆ
บนปกหลงั ว่า
“ปัญญาของมนุษย์เกิดจากความเข้าใจในความเป็นเหตุและเป็นผลของสรรพส่ิงเฉกเช่นข้อของ
สายโซท่ ค่ี ลอ้ งส่งแรงถงึ กนั
ปัญญาของมนษุ ยชาติเตบิ ใหญ่ไดเ้ พราะทกุ คนเคยเป็นศษิ ยแ์ ละครู เปน็ ทง้ั ข้อโซท่ ่รี บั ความรู้และ
สง่ ผา่ นความรู้
“เพาะพนั ธป์ุ ญั ญา” สรา้ งมติ รเพอ่ื เปน็ ครขู องครู ในกระบวนการนเ้ี รามคี รทู บ่ี อกเลา่ สายสมั พนั ธ์
การท�ำงานทัง้ ในฐานะศษิ ย์กับครู และครกู ับศิษย์ เพ่อื บม่ เพาะปัญญาให้เยาวชนของชาติ
ความเปน็ ครู ศิษย์ และมติ รตอ่ กัน คอื “ครุ ุควรคารวะ”
108 จากรากแก้วสผู่ ลของตน้ เพาะพันธ์ปุ ัญญา
บทความเชงิ สารคดขี อง “ครุ คุ วรคารวะ” สงั เคราะหเ์ ปน็ ประเด็นความรไู้ ดด้ ังน2้ี 7
1. ครยู อมรบั วา่ หลกั คดิ สำ� คญั ของการพฒั นานกั เรยี นใหเ้ กดิ ปญั ญาคอื ความคดิ แบบ “ผลเกดิ จากเหต”ุ
แตค่ รทู งั้ หมดกลา่ วเปน็ เสยี งเดยี วกนั วา่ เปน็ วธิ คี ดิ ทค่ี รไู มค่ นุ้ เคย มองขา้ ม ไมถ่ นดั คดิ และยากทจี่ ะ
โค้ชนักเรียนให้คิดเดินหน้าหาผลหรือย้อนหลังทราบเหตุได้ ครูที่ประสบความส�ำเร็จคือ
ครูที่อดทนเรียนรู้ หม่ันฝึกฝนตนเอง โครงการเพาะพันธุ์ปัญญามีพี่เล้ียงติดตามร่วมรับรู้ปัญหา
คลคี่ ลายปญั หา ใหค้ วามชว่ ยเหลอื และพยายามยอ่ ยกระบวนการคดิ ใหง้ า่ ยแกค่ รู ซงึ่ แสดงใหเ้ หน็ วา่
หลกั เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาในเรือ่ งการคิดเชิงเหตุ-ผลน้นั ตอ้ งมพี ่ีเลี้ยงช่วยครูย่อยอีกชนั้ หน่ึง พ่เี ลยี้ งทีม่ ี
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเข้าใจวิธีคิดในการเรียนรู้จึงส�ำคัญในการพัฒนาครู เป็นผู้ท�ำให้ครู
กล้าออกแบบกระบวนการเอง มีข้อค้นพบว่าครูทุกสาระวิชาสามารถพัฒนาตนเองให้มีวิธีคิด
แบบนี้ได้ (ด้วยความยากง่ายต่างกัน) อย่างไรก็ตามมีครูจ�ำนวนหน่ึงไม่รอเรียนรู้จากความยาก
จึงละท้ิงวิธีการเพาะพันธุ์ปัญญาหลังจบปีแรก (ขอปฏิเสธการท�ำต่อ) แต่เพาะพันธุ์ปัญญาพบว่า
ประสบการณ์ที่ครูไม่เข้าใจ ท�ำไม่ได้ ติดขัด งงในความคิดตนเองในปีแรกจะเข้าใจมากข้ึนใน
workshop ปีท่ี 2 ดังน้ันครทู ่ีมี growth mindset อดทนเรียนรู้ตอ่ เนอ่ื งหลายคนเป็นครแู กนน�ำ
ขยายกระบวนการเพาะพันธุ์ปัญญาสร้างทีมครูเพิ่มขึ้นได้เอง ด้วยเหตุน้ีการสร้างการตระหนักรู้
และการเปลีย่ น mindset ดว้ ยจิตตปญั ญาศกึ ษาจงึ กลายเป็นกระบวนการทีจ่ �ำเป็นตง้ั แต่ต้น
2. การเข้าอบรมเป็นความคุ้นชินของครูท่ีจะได้เคร่ืองมือประเภท How-to ส�ำเร็จรูปที่จะเอาไปใช้
กบั นกั เรยี นไดเ้ ลย การทไี่ มส่ นใจ Why ทำ� ใหไ้ มก่ ลา้ ออกนอกกรอบคดิ ดว้ ยความยากของระบบคดิ
เหต-ุ ผล ครถู นัดการเหน็ เหตแุ ละผลหยาบ ๆ (เหตตุ น้ ทาง-ผลปลายทาง) ไมส่ ามารถลงละเอียดได้
ครจู งึ ไมก่ ลา้ ออกแบบกระบวนการเรยี นรคู้ วามเปน็ เหตเุ ปน็ ผลทเี่ ปน็ ของตนเอง จนกวา่ เมอ่ื พเ่ี ลยี้ ง
ประคองให้เกิดความม่ันใจ โดยสาธิตการสอนกับนักเรียนให้ครูดูเป็นตัวอย่าง ปรากฏการณ์นี้
สะท้อนวา่ ครูมคี วามสามารถ แต่ระบบกดทบั ความอสิ ระและความกลา้ ของครู
3. ครถู อดความรจู้ ากการทำ� งานไดว้ า่ เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาคอื “platform กระบวนการผสมองคค์ วามร”ู้
นอกจากเข้าใจหลักการที่เป็นองค์ความรู้แล้ว ครูต้องเข้าใจหลักการท่ีเป็นกระบวนการด้วย เช่น
ครูไม่ใช่คนที่พูดมากในห้องเรียน แต่สร้างโอกาสให้นักเรียน discuss กัน โดยครูต้องอดทนรอ
ครูต้องไม่อายเด็กท่ีครูไม่รู้ ยอมรับการเรียนไปด้วยกันกับเด็ก ถกกันด้วยหลักการและวิชาการ
และเม่ือครูพบว่าเป็นกระบวนการท่ีท�ำให้งานส�ำเร็จดีกว่าเดิม เพาะพันธุ์ปัญญาจึงถูกยอมรับว่า
ไมใ่ ชภ่ าระเพ่ิม
27 ผสู้ นใจสามารถ download หนงั สอื ไดท้ ่ี www.พพปญ.net ซง่ึ จะมี QR Code ใหด้ ู clip ทม่ี าของหนงั สอื เลม่ นด้ี ว้ ย
สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 109
4. “ถามคอื สอน” ซ่งึ เกดิ จากการคดิ แบบ backward จากความเขา้ ใจความสัมพันธ์ของเหตแุ ละผล
ยงั เปน็ ปญั หาของครทู เี่ ตม็ ไปดว้ ยสญั ชาตญาณบอกความร/ู้ คำ� ตอบ ครทู ถี่ ามเปน็ แลว้ ใหห้ ลกั คดิ วา่
“การถามต้องมีเปา้ หมาย ตง้ั คำ� ถามจากงา่ ยไปยาก ใจเยน็ ๆ รอนกั เรยี น ถ้าเขาไม่ร้กู ต็ ั้งค�ำถาม
ท้าทายให้เขาค้นมา อย่าคิดว่าเสียเวลาแล้วรีบบอกนักเรียน” อดทนจนนักเรียนลบภาพจ�ำ
การบอกของครูท้ิงไป นักเรียนจะเปล่ียนการเรียนเป็นพ่ึงตนเองจากการต้ังค�ำถามกับตนเอง
แลว้ หาความรู้เอง
5. พเี่ ลย้ี งพบวา่ ครคู วรไดร้ บั การพฒั นาสตใิ หร้ สู้ กึ ตวั ตลอดเวลา มจี ติ ใจทลี่ ะเอยี ด ซงึ่ จะเหน็ ความสำ� คญั
ของสิ่งมีชวี ิต แลว้ จะสะทอ้ นมาทบี่ ทบาทตนเองทีม่ ีต่อชวี ิตนกั เรียน ซง่ึ จะท�ำใหค้ รูจับรายละเอยี ด
เก่ียวกับตัวเด็กระหว่างมีปฏิสัมพันธ์ได้ น�ำไปสู่การสอนที่ให้รู้การใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรมและ
การสอนโครงงานแบบประณีต คือมีสติและเห็นโอกาสน�ำทุกเร่ืองมาสอนได้แม้ว่าจะมีเวลาจ�ำกัด
เปน็ การสอนทบี่ ูรณาการทกุ ขณะจิต
6. การสร้างวัฒนธรรมใหม่ในหมู่ครูเป็นเรื่องยาก เพราะสังคมครูไม่ใช่สังคมเพ่ือนร่วมงาน แต่เป็น
สงั คมท่ีมลี �ำดบั ช้ัน จิตตปัญญาศึกษาจึงชว่ ยให้ครรู นุ่ เก่าเปดิ ใจ ลดอ�ำนาจตนลง มพี ื้นท่ีปลอดภัย
ใหถ้ กเถยี งแบบ PLC จรงิ ๆ และชว่ ยโคช้ ครใู หมแ่ บบกลั ยาณมติ ร PLC ขา้ มภมู ภิ าคเปดิ การเรยี นรู้
แก่ครู อยา่ งมาก
7. จิตตปัญญาศึกษาเป็นเคร่ืองมือส�ำคัญควบคู่กับการคิดเชิงเหตุ-ผล เพราะเป็นการฝึกการฟังผู้อื่น
อย่างลึกซ้ึงไตร่ตรอง (deep listening) ฟังด้วยใจมากกว่าความคิดหาเหตุผล ไม่ตัดสินถูก-ผิด
เปลีย่ นทศั นคติ ความเช่ือในความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคล ทำ� ใหค้ รูเปิดใจเรียนร้สู ่งิ ใหม่ พรอ้ มท่ีจะ
เป็นผู้ฟังอย่างเข้าใจผู้อื่น รู้จักตนเองพร้อมกับรู้จักผู้อ่ืน ยอมรับความสามารถของผู้อื่นในการ
ทำ� งานรว่ มกนั เปลยี่ นบรรยากาศหอ้ งเรยี นใหค้ รแู ละนกั เรยี นเปน็ หนงึ่ เดยี วกนั ในกระบวนการเรยี นรู้
สร้างพ้ืนท่ีปลอดภัยในการเรียน เอาชนะด้านจิตใจเด็กได้ ส่งผลให้นักเรียนกล้าคิด กล้าท�ำ
กล้าแสดงออก จนถึงกับเปล่ียนอุปนิสัยเด็ก และจิตตปัญญาท�ำให้ครูมีมุมมองต่ออาจารย์
มหาวทิ ยาลยั (พเ่ี ลยี้ ง) เปลยี่ นไป กลา่ วคอื เหน็ วา่ พเี่ ลยี้ งคอื ผมู้ าเปน็ เพอื่ นคอยสนบั สนนุ เปน็ กำ� ลงั ใจ
และแก้ปัญหาให้ครู (จิตตปัญญาท�ำให้ครูมองเห็นความเป็นมนุษย์ของเด็กมากขึ้น จิตตปัญญา
เขา้ มาแตะความเป็นมนุษย์ของคร:ู ครไู สว อ่นุ แกว้ โรงเรียนขนุ หาญวทิ ยาสรรค์ ศรีสะเกษ)
8. ปญั ญา 3 ฐาน (กาย/ใจ/คดิ ) เปน็ สง่ิ ที่ครูออกแบบใหน้ กั เรยี นได้รบั ผสั สะ (กระทบกับอายตนะ)
เพราะจะท�ำให้หลอมรวมสสู่ มอง (ร้คู ดิ ) และจิตใจ (รู้สกึ ) ท้ังหมดน้ผี ่านการปฏบิ ัติในการเรยี นวชิ า
โครงงานทถ่ี ูกออกแบบเฉพาะ ความร้สู กึ จะตราตรึงในตัวเด็ก นำ� ไปสกู่ ารเปลย่ี นแปลงการเรยี นรู้
ภายในตัวเดก็ จนนำ� ไปสู่ “พลังของอำ� นาจการเรยี นรู้รว่ มกนั ” ระหวา่ งครกู บั ศษิ ย์
110 จากรากแกว้ สูผ่ ลของตน้ เพาะพนั ธ์ปุ ัญญา
9. โดยธรรมชาติครูสายสังคมมี soft skill ดีกว่าครูวิทยาศาสตร์ ในขณะที่การสอนสะเต็มเป็น
ความถนดั ของครวู ิทยาศาสตร์ แต่กลบั พบว่าครสู ายสังคมโคช้ โจทย์ SEEEM ไดด้ ีกวา่ วเิ คราะห์
ได้ว่าเพราะ SEEEM มีน�้ำหนักของชีวิต สังคม และเศรษฐกิจ เมื่อเป็นโจทย์ใกล้ตัวท่ีเป็นอาชีพ
และทรัพยากร (นเิ วศ) ในพื้นท่ี ครูสายสังคมจงึ เหน็ การตง้ั โจทย์ง่ายกว่า ส�ำหรับครวู ิทยาศาสตร์
อาจจะตดิ กบั สาระวชิ าวทิ ยาศาสตรท์ เี่ ปน็ สากล (general) จนมองไมเ่ หน็ ความเชอ่ื มโยงกบั บรบิ ท
ก็เป็นได้ ดังนั้นควรให้ครูหลายสาระท�ำงานร่วมกันและเรียนรู้กันผ่าน PLC การท�ำโครงงาน
ฐานวิจยั จงึ เป็นโอกาสเรียนรกู้ ารทำ� หน้าทคี่ รผู โู้ ค้ชของครทู ้งั กลุ่ม
10. “เขียนคือคิด” เป็นคาถาที่พัฒนาให้ครูก้าวหน้าทางวิชาการได้ ถ้าครูฝึกเขียนวิจัยในช้ันเรียน
ที่ครูเป็นโค้ชการเรียน RBL ของนักเรียน โดยให้เป็นการท�ำวิจัยเพ่ือพัฒนาตนเอง (ต่างจากวิจัย
ที่เอานักเรียนเป็น subject เพ่ือแก้ปัญหานักเรียน) การเขียนยังสร้างนิสัยเก็บและบันทึกข้อมูล
ของครูไปในตัว ที่ผา่ นมาพบว่าครเู ขียนนอ้ ยมาก การกระต้นุ และเปดิ เวทีของมหาวทิ ยาลัยพเี่ ลีย้ ง
คือ โอกาสท่ดี ใี ห้ครฝู ึกเขียนด้วยภาษาวชิ าการ และยงั เป็นการขดั เกลาความคิดของครใู หแ้ จ่มชัด
กับ RBL มากข้ึนด้วย
11. สภาพปัจจุบันทั้งครูและนักเรียนขาดความเชื่อมั่นในตนเองในการน�ำเสนอเร่ืองท่ีค้นพบให้ผู้อ่ืน
ทราบ การให้โอกาสน�ำเสนอ คอื การเรียนรู้ทด่ี ที ั้งแกน่ กั เรียนและครู การน�ำเสนอของนักเรยี นคอื
การฝึกทักษะการสื่อสารอันเปน็ ทักษะท่ีสำ� คัญในศตวรรษท่ี 21 การได้พูดในส่งิ ทตี่ นท�ำเอง รดู้ ว้ ย
ตนเองที่สร้างคุณลักษณะและบุคลิกใหม่ จะลดแรงต่อต้านจากความเข้าใจผิดของผู้ปกครองว่า
การท�ำโครงงานเพาะพันธุ์ปัญญาเป็นงานหนัก เสียเวลาเรียน (ติว) เป็นการปูทางให้ผู้ปกครอง
ชุมชน และครูอ่ืนความเช่ือม่ันในวิธีการของเพาะพันธุ์ปัญญา การน�ำเสนอของครูในเวทีวิชาการ
เป็นการก้าวข้ามความกลัวบางอย่าง ท่ีเม่ือผ่านพ้นไปแล้วครูมีความมั่นใจมากขึ้น นอกจากน้ัน
การให้โอกาสครูเป็นวิทยากรเองท�ำให้ครูได้ทบทวนความรู้ความเข้าใจของตนจนมีความเชื่อม่ัน
ในตนเองมากขึ้น เพาะพันธุ์ปัญญาเปล่ียนเวทีเพื่อเอาชนะในการแข่งขันเป็นเพ่ือพัฒนาตนเอง
และเรยี นรู้รว่ มกนั จากการแบ่งปนั
12. การเรยี นรเู้ กิดจากการผ่านงานท่ียากและมีอุปสรรค ครตู ้องจดั การเรยี นรู้ RBL ใหต้ รง learning
style เด็กสายศลิ ปท์ ่ไี ม่มีความเชอ่ื มนั่ ในตนเองในการทำ� โครงงานแบบเด็กสายวิทย์ สามารถเกดิ
แรงบันดาลใจจากการได้สัมผัสเรื่องราวความจริงท่ีกระทบความรู้สึกอ่อนไหวใกล้ตัวผู้เรียน
เด็กเรียนเก่งมักจะถนัดการเรียนแบบเดิม (เพราะเคยได้ผล) ไม่ค่อยยอมรับวิธีเรียนแบบ
เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาทตี่ อ้ งใชส้ มองคดิ ตลอดเวลาได้ กรณเี ชน่ นตี้ อ้ งใหล้ องทำ� งานนอกความเชยี่ วชาญ
(เก่งวิทย์ท�ำโจทย์ปัญหาสังคม) แล้วให้สะท้อนคิดกับตัวเองว่าได้อะไร ท�ำให้เกิดการเรียนรู้ใหม่
เห็นโลกกว้างข้ึน รู้ว่ามีสิ่งอื่นที่น่าสนใจเรียนมากกว่าที่ปรากฏในต�ำรา ส�ำหรับเด็กเรียนอ่อน
ครตู อ้ งใหโ้ อกาสไดแ้ สดงการมตี วั ตนของเขาในกจิ กรรมของหอ้ งเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา สว่ นเดก็ สายอาชพี
สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 111
ควรใหโ้ อกาสทำ� โจทยท์ เ่ี ปน็ ชวี ติ จรงิ เชน่ โจทยก์ ารท�ำธรุ กจิ อาชพี เดก็ ทค่ี รอบครวั ไมพ่ รอ้ มจะขาด
ทักษะการเรียนรู้ด้วย RBL เมื่อเป็นเช่นนี้ กระบวนการกลุ่ม (collaborative learning) และ
จิตตปัญญาศึกษาช่วยให้เด็กมีทักษะการท�ำงานและทักษะสังคม ส่งผลแก้ปัญหาพฤติกรรม
ไม่พึงประสงค์ของนักเรียน การสอนให้นักเรียนมองพื้นท่ีอย่างเป็นระบบ โดยมีพ้ืนท่ีเรียนรู้
ของตนเอง (เช่น แปลงเกษตร) ทบี่ รู ณาการทกุ โครงงานเข้าด้วยกนั เปน็ โอกาสทเ่ี ด็กช่วยเหลอื กัน
ท�ำให้เดก็ เปลีย่ นพฤตกิ รรมท่ีแยเ่ พราะงานกล่มุ พาไป
13. การออกชุมชนท�ำให้เด็กเห็นโลกกว้าง ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ เห็นโจทย์ปัญหาชุมชน ได้ใช้
ความรู้อย่างมีบริบท การเรียนรู้เกิดเม่ือท�ำโครงงานแล้วเผชิญปัญหาท่ีไม่คาดคิด (จากบริบท)
ไดค้ ดิ ทบทวนแกป้ ญั หา วเิ คราะหส์ าเหตุ การเรยี นรสู้ คู่ วามเปลย่ี นแปลง (transformative learning)
เกิดแก่นักเรียนเม่ือประสบกับเหตุการณ์ที่กระเทือนความรู้สึกและมโนส�ำนึกของตนเอง เกิดเม่ือ
นักเรยี นสัมผัสความทกุ ข์ยากของผอู้ น่ื ในสังคม แลว้ สะทอ้ นคดิ กลบั มาทีต่ นเอง (self-reflection)
การทำ� โครงงานทเ่ี จอสถานการณต์ อ้ งตดั สนิ ใจจะสรา้ งโอกาสสอนการคดิ เชงิ คณุ ธรรมทคี่ มุ การคดิ
ตัดสินใจท้ังหมด ดังน้ันเม่ือท�ำโครงงานแก้ปัญหาชุมชน และได้เห็นผู้อ่ืนพ้นทุกข์ (จากการท�ำ
service learning project) เมอ่ื ผสานกับพ้นื ฐานจติ ตปญั ญาศึกษาจะท�ำใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลง
ด้านจิตใจได้ด้วย เช่น ท่ีปรากฏ “จิตอาสาแท้” ในหลายกรณี ไม่ใช่จิตอาสาภาคบังคับเพื่อเอา
ผลประโยชน์ (แลกคะแนน) มีกรณีตัวอย่างของ service learning ที่ใช้ระบบคิดแบบเหตุและ
ผลท�ำให้นักเรียนเข้าใจปัญหาท่ีตนเองต้องท�ำจิตอาสา (เก็บขยะ) และพยายามหาทางแก้เหตุ
(คดั แยกขยะ) แทนการเกบ็
14. ผลของการกระท�ำในอดีตสร้างรอยบาปให้ครูมองอาจารย์มหาวิทยาลัยในแง่ลบ ว่าครู โรงเรียน
และนักเรียนคือวัสดุวิจัยของอาจารย์มหาวิทยาลัย (อาจารย์มาท�ำวิจัยเอาผลงานไปเป็นของตน)
ความสมั พนั ธก์ บั พเ่ี ลย้ี งในระยะแรกจงึ เตม็ ดว้ ยความคลางแคลงใจ แตก่ ารวางตวั เสมอตน้ เสมอปลาย
อย่างกัลยาณมิตร ให้ความช่วยเหลืออย่างสม�่ำเสมอ มีความจริงใจ แสดงออกด้วยจิตใจเมตตา
ในการแบ่งปันท�ำให้ผูกมัดใจครู จนกระทั่งเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงคาแรกเตอร์นักเรียนและใช้
กระบวนการทท่ี ำ� ใหค้ รเู ปดิ ใจเรยี นรู้ ครจู งึ เปลย่ี นจากความหวาดระแวงเปน็ ศรทั ธาและรสู้ กึ ผกู พนั
เพาะพันธุ์ปัญญาจึงเป็นสะพานเชื่อมให้มหาวิทยาลัยกับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานเป็นเน้ือเดียวกัน
เร่อื งราวในหนงั สือนีย้ ังใหข้ อ้ คน้ พบว่าความสมั พันธ์เดิมระหว่างพ่ีเลี้ยงกับบุคลากรในสถานศกึ ษา
ในฐานะครกู บั ศษิ ย์ (พี่เล้ียงคณะครุศาสตร์) ช่วยให้งานเพาะพันธ์ปุ ญั ญาราบรืน่ สามารถประสาน
ความเข้าใจของฝ่ายบริหาร ผู้ปกครองนักเรียน และภาคีในพื้นท่ีให้สนับสนุนการเรียนแบบ
เพาะพนั ธปุ์ ญั ญา
112 จากรากแกว้ สูผ่ ลของต้นเพาะพนั ธุป์ ัญญา
15. กระบวนการติดตามช่วยเหลือและเสริมเทคนิคเป็นประจ�ำของพี่เล้ียงคือน้�ำหล่อเล้ียง
พลังบวกให้ครู ท�ำให้เพาะพันธุ์ปัญญาพัฒนาครูได้ต่อเน่ือง ความส�ำเร็จของนักเรียนคือ
น้�ำหล่อเลี้ยงใจครูด้วยเช่นกัน อาจารย์มหาวิทยาลัย (พี่เลี้ยง) คุ้นเคยกับอิสระการออกแบบ
การท�ำงาน จึงต่อยอดความรู้และสร้างสรรค์กระบวนการได้เองโดยไม่ท้ิงแก่นของ RBL
การให้อิสระกับพี่เลี้ยงจึงส�ำคัญมาก แต่ต้องพัฒนาให้พ่ีเล้ียงมีความคิดลุ่มลึก เข้าใจปัญหา
การศึกษาหลากหลายมติ ิ เข้าใจระบบ เข้าใจปญั หาของคนในระบบ เขา้ ใจการเรยี นรขู้ องทั้งครู
และนกั เรยี น ฯลฯ
เห็นไหมในเด็กนอ้ ย แววตา
เปลา่ ว่างรา้ งโรยรา รมุ่ รอ้ น
พลันฟ้าแจม่ เจิดจา้ จรัสส่อง รบั อรณุ
เกิดกลบี เบง่ บานซ้อน แกก่ ลา้ แกต่ น
โคลงสส่ี ุภาพ
สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์
จากงานพฒั นาพี่เล้ยี งด้วยกระบวนการจิตตปญั ญาศึกษาด้วยสุทรียในพรรณพฤกษา
สวนทวีชลรสี อรต์ เชยี งใหม่
12-13 มถิ นุ ายน 2558
สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 113
บทสงั เคราะหจ์ ากหนงั สอื “กล้าพันธุผ์ ู้ก้าวพ้น”
โครงการ ฯ คดั เลอื กนกั เรยี นขนั้ แรกจ�ำนวนกวา่ 30 คนเพอ่ื ใหผ้ เู้ ขยี นหาขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ แลว้ คดั มา
10 คน ทม่ี ีความหลากหลายทัง้ ประสบการณเ์ พาะพันธปุ์ ญั ญาและวยั วฒุ ิ มตี ้งั แต่นักเรียน ม. 2 ท่ีไดร้ ับ
การปูพนื้ ฐานเพาะพันธ์ปุ ญั ญาตง้ั แต่ประถม ไปจนถึงผู้ทีก่ �ำลังศึกษาในระดบั อุดมศกึ ษา ผมตง้ั เงอื่ นไข
กบั ผเู้ ขยี นวา่ ใหเ้ ลอื กเฉพาะทก่ี ารเปลย่ี นแปลงเกดิ จากเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาเปน็ หลกั ใหม้ กี ารเปลยี่ นแปลง
ที่หลากหลาย เขียนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงและกระบวนการของเพาะพันธุ์ปัญญาที่น�ำไปสู่การ
เปลยี่ นแปลงนนั้ หนงั สอื เลม่ นจี้ งึ หลากหลายอรรถรสของ “กลา้ พนั ธผ์ุ กู้ า้ วพน้ ” มกี รณที เ่ี พาะพนั ธป์ุ ญั ญา
ปลกุ ขน้ึ มาจาก fixed mindset นกั เรียนเกเรไม่สนใจเรยี น ให้ก้าวพ้นออกจากความมดื มดิ เปลย่ี นชวี ติ
เป็นผ้นู �ำ เป็นนักเรียนท่ีมี growth mindset อย่างสมบรู ณ์ ฯลฯ
หนงั สอื เลม่ นเ้ี ขยี นจากการสมั ภาษณน์ กั เรยี นเพาะพนั ธป์ ญั ญาวยั ตา่ ง ๆ กนั เพอ่ื เปน็ ตวั แทนบอก
เล่าผลลพั ธท์ างการศึกษาที่ไดจ้ ากนวตั กรรมการศกึ ษาเพาะพนั ธ์ปุ ัญญา
เนอ่ื งจากผอู้ า่ นจำ� นวนมากเปน็ บคุ ลากรการศกึ ษาและเนอ้ื เรอื่ งสะทอ้ นบทบาทครู ผมจงึ สงั เคราะห์
ข้อความในหนังสือในลักษณะการจับ “แก่นความรู้” ตามรูปแบบการจัดการความรู้ (Knowledge
Management) เพ่ือเป็นประโยชน์การท�ำ PLC (เพาะพันธุ์ปัญญาฝึก PLC ครูโดยใช้เทคนิคการ
จัดการความรู้) โดยท้ายแก่นความรู้จะมีตัวเอียงในวงเล็บระบุท่ีมาจากหนังสือ เพ่ือให้ผู้สนใจค้นหา
จากเรอ่ื งเตม็ ได้ แกน่ ความรสู้ รปุ ไดจ้ าก 7 บรบิ ท คอื ขอ้ จำ� กดั และทนุ เดมิ ของนกั เรยี น ทา่ ทแี ละทศั นคติ
ของคนรอบตัว บรรยากาศการเรียน บทบาทและท่าทีครู กระบวนการเรียนรู้ การเปล่ียนแปลงของ
ผ้อู น่ื และประโยชนท์ ่ีเกดิ กับผเู้ รยี น
114 จากรากแกว้ สู่ผลของต้นเพาะพนั ธ์ุปัญญา
ข้อจำ� กัดและทุนเดิมของนักเรยี น
สภาวะทนี่ กั เรยี นตอ้ งเปน็ แรงงานในครอบครวั ทำ� ใหผ้ ปู้ กครองไมส่ นบั สนนุ การเรยี นทใ่ี ชเ้ วลามาก
แบบเพาะพนั ธปุ์ ัญญา (ปุย๋ : เดก็ ผหู้ ญงิ ชนเผ่าช่วยแมท่ �ำไรข่ ้าวโพด)
นกั เรยี นเปน็ ปจั เจกไมส่ ามารถ treat แบบเดยี วกนั ได้ ครตู อ้ งมอบหมายงานตาม learning style
ของผเู้ รยี น (ปอ๊ บ: ทำ� โครงงานลม้ เหลว 2 ปซี อ้ น แตพ่ ฒั นาดา้ นจติ อาสาเมอ่ื ครมู อบงานรบั ผดิ ชอบดแู ล
พ้ืนที่ (โครงสร้างพื้นฐานแปลงเกษตร) และให้ดูแลรุ่นน้อง ท�ำให้ได้จิตพิสัย “ผมค้นพบความสุขของ
ตวั เองจากการไดช้ ว่ ยคนอนื่ พอไดช้ ่วยคนอน่ื มันคอื การไดท้ �ำอะไรสำ� เร็จไปอยา่ งหนึ่ง” ปาร์ค: ร่างกาย
พกิ ารไมม่ เี พ่อื นสมาคมดว้ ย ครูมอบหมายงานให้ช่วยรุ่นน้อง)
นักเรียนวัยรุ่นมีความคิดว้าวุ่นที่ก�ำลังค้นหาตนเองต้องการครูที่เป็นโค้ชเปิดใจ เข้าใจ รับฟัง
ไม่ปิดก้ันความคิด (บุ๊ค: ครูหลายคน approach ด้วยการเข้ามาคุยเพ่ือหาสาเหตุของปัญหาของบุ๊ค
แต่กลับเปน็ ความอดึ อดั ของบคุ๊ )
นกั เรยี นหวั ไวเรยี นเกง่ จะไมส่ นใจความเปน็ เหตเุ ปน็ ผล แตเ่ ปลยี่ นไดถ้ า้ ใหแ้ กป้ ญั หาอยา่ งมหี ลกั การ
ตามด้วยการอธิบายท่ีเป็นเหตุเป็นผลอย่างละเอียด (วิว: เอ่ยถึงประสบการณ์ท่ีได้จาก workshop
คดิ เชิงเหต-ุ ผล)
กระบวนการเพาะพนั ธปุ์ ัญญาท�ำใหน้ ักเรยี นทีป่ ดิ ก้นั การเรียนรู้ เพราะถอื ว่ามสี ังคมกวา้ ง ม่นั ใจ
ในตนเอง จนแสดงออกอยา่ งเกนิ ขอบเขตดว้ ยอตั ตาและอคติ โดยไมส่ นใจความเหมาะสมของกาลเทศะ
ปรบั ตนเองมาฟงั แบบคดิ ใครค่ รวญและคดิ กอ่ นพดู ของ (เจท: “ผมรสู้ กึ วา่ ทกุ คนตอ้ งมาถกปญั หารว่ มกนั
ไมใ่ ชว่ า่ เกดิ จากความคดิ ต่างก็โหวตเลย ผมรู้สึกว่าทกุ คนควรจะไดถ้ กกนั วา่ อันไหนดกี วา่ กัน ผมเชอ่ื ว่า
ถา้ ทุกคนฟงั เหตผุ ลของกันและกนั การตดั สินใจไมว่ า่ จะเป็นแบบไหนทกุ คนกจ็ ะยอมรบั เพราะมันเปน็
การถกกันดว้ ยเหตุผล”)
สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 115
ท่าทแี ละทัศนคตขิ องคนรอบตวั
เพื่อนและค�ำพูดของเพ่ือนแม้ไม่ตั้งใจก็สามารถท�ำให้เกิด fixed mindset แก่นักเรียนได้
(อารม์ : ไม่กลา้ แสดงออกเพราะกลวั เพ่อื นถากถาง)
การยกยอ่ งชมเชยของคนรอบตวั วา่ เปน็ คนเกง่ ทำ� ใหน้ กั เรยี นออ่ นลา้ จนปฏเิ สธการกา้ วไปขา้ งหนา้
(fixed mindset) ไม่มีความมั่นใจ กลัว คิดลบ ไม่กล้าแสดงออก (อ๋อมแอ๋ม: รู้สึกเช่นน้ีจากค�ำพูด
ผู้ปกครอง)
ผปู้ กครองมที ศั นคตวิ า่ การทำ� โครงงานทำ� ใหไ้ มม่ เี วลาเรยี น คะแนนสอบจะไมด่ ี กลายเปน็ แรงกดดนั
ท�ำให้นกั เรียนซมึ เศร้า ทอ้ (ผู้ปกครองอ๋อมแอ๋ม)
เม่ือผู้ปกครองเห็นการเปลี่ยนแปลงของลูก เขาจะเรียนรู้ไปพร้อมกับลูก และเปล่ียนทัศนคติ
มาสนับสนุน (อ๋อมแอ๋ม: แมเ่ ห็นผลงานการควบคมุ การเพาะเห็ดแลว้ เปล่ียนทศั นคตติ ่อลกู และการท�ำ
โครงงาน ปยุ๋ : ทดลองใหแ้ มเ่ หน็ เปรยี บเทยี บกบั ทแี่ มป่ ฏบิ ตั ิ ววิ : ทำ� ใหแ้ มเ่ ปลยี่ นนสิ ยั การอา่ นและคน้ ควา้ )
บรรยากาศการเรียน
บรรยากาศในห้องเพาะพันธุ์ปัญญาผ่อนคลาย ท่ีร่วมกันคิดอย่างไม่ตัดสินถูกผิดท�ำให้นักเรียน
ค้นพบว่ามีวิธีเรียนที่ต่างจากการเรียนแบบยัดเยียดด้วยอ�ำนาจการสอนของครู จึงสร้าง growth
mindset ให้กล้าแสดงความคิดเห็น (อาร์ม: พูดถึงบรรยากาศห้องเรียนที่ต่างจากท่ีคุ้นชินเดิม
ปอ๊ บ: ประสบการณจ์ ติ ตปญั ญาศกึ ษาและการต้งั ค�ำถามพรอ้ มรบั ฟังความคดิ เหน็ ของคร)ู
บรรยากาศโรงเรียนใหญ่มีชื่อเสียงของจังหวัดอาจเป็น cultural shock ของนักเรียนที่มาจาก
สงั คมโรงเรยี นเล็กได้ (บคุ๊ : เคยอยโู่ รงเรยี นใหญม่ าก่อน กลอ้ งวงจรปดิ เปน็ ความอดึ อัด ไม่รู้สึกปลอดภัย
ไร้เพือ่ น)
การออกนอกห้องเรียนท่ีไม่ใช่เอาวิชาการมาถาม แต่เป็นโลกภายนอกที่ท้าทายความอยากรู้
ลดความรู้สึกกดดันท่ีท�ำให้ไม่กล้าแสดงออก (เม่ืออยู่ในห้องเรียน) ได้ (วิว: เอ่ยถึงประสบการณ์
workshop)
การเรียนในสภาพจริงเปิดมุมมองให้เห็นประเด็นการเรียนรู้จากการท�ำงาน (ชมพู่: ได้โจทย์
สัปปะรดนางแลจากการเยยี่ มเกษตรกร)
116 จากรากแก้วส่ผู ลของต้นเพาะพนั ธปุ์ ัญญา
บทบาทและทา่ ทคี รู
ครไู มบ่ อกคำ� ตอบแตต่ งั้ คำ� ถามใหเ้ หน็ มมุ มองตา่ ง ๆ และใหน้ กั เรยี นหาทางเลอื กมาเรยี นรู้ ทำ� ใหจ้ บ
แลว้ รจู้ กั การหาเสน้ ทางเดนิ ของตนเอง (อารม์ และปยุ๋ : ทำ� งานสง่ ตวั เองเรยี นตอ่ โดยไมร่ บกวนครอบครวั )
การใช้คำ� พดู ท่ีแสดงวา่ ครมู ีความไวใ้ จและเชือ่ ในศกั ยภาพของนักเรียนทไี่ มก่ ลา้ แสดงออก ท�ำให้
นักเรียนปลดล็อกความไม่เช่ือม่ันในตนเองได้ (ปุ๋ย: เป็นเด็กไม่กล้าแสดงออกต่อสาธารณะ แต่ครู
ให้โอกาสพร้อมก�ำลงั ใจ)
ความลม้ เหลวของโครงงานส่งิ ประดษิ ฐท์ ่ีเกดิ ซำ้� ๆ อาจท�ำให้นกั เรียนบางคนถอยได้ ครูตอ้ งคอย
ชว่ ยเหลอื ให้เขาเรยี นรจู้ ากความผิดพลาดท่เี กิดจากตนเอง (ปอ๊ บ: โครงงานไม่ส�ำเรจ็ 2 ปีติดกันเพราะ
นิสัยสว่ นตัว แต่กย็ งั ท�ำต่อปที ่ี 3)
ครูต้องคอยสร้างทัศนคตเิ ชงิ บวกของการเรยี นรทู้ มี่ ี learning style ต่างกนั เพราะนักเรียนจะ
อยู่ในกระแสที่เพื่อนไม่เข้าใจและดูถูกวิธีการเรียนที่ต่างกัน (ป๊อบ: ถนัดเรียนรู้จากการท�ำงานใช้แรง
แต่เพ่ือนห้องอน่ื ดูถูกวา่ เป็นกรรมกร)
เมอื่ ครคู น้ หาความสามารถเฉพาะตวั แลว้ ยใุ หน้ กั เรยี นทำ� หากครมู ี feedback ทด่ี จี ะทำ� ใหน้ กั เรยี น
ทำ� มากกวา่ ทส่ี งั่ (เนย: ไดร้ บั feedback จนใชค้ วามสามารถคณิตศาสตรช์ ว่ ยงานได้ดี)
ครตู อ้ งยอมรบั วา่ ตนเองไมร่ ้แู ละตอ้ งเรียนรูไ้ ปพรอ้ มกบั นักเรยี น เพราะทกุ ปญั หามีบริบทเฉพาะ
เรื่องมาก (ครูณภัค: ไม่มีความร้เู รือ่ งโรงเรอื นและการดูแลสตรอว์เบอร์ร่ที ่ีเป็นโครงงานนกั เรียนเลย)
ความรู้ของครูและความเข้าใจกระบวนการวิจัยแบบวิทยาศาสตร์ส�ำคัญมากกับการเป็นครู
RBL เพาะพันธุ์ปัญญา (ครูเกียรติศักดิ์: เพราะสามารถโค้ชนักเรียนได้ถูกต้องมากกว่าเรียนจากการ
ลองผิดลองถูก ชมพู่: “เวลาปรึกษางานครูศักดิ์เขาไม่ปล่อยให้เรางมเองทั้งหมด แต่จะปูทางแนะน�ำ
ตัวเลือกต่าง ๆ ให้ มันดมี ากส�ำหรบั เดก็ ทไ่ี ม่ร้อู ะไรเลยตอนนน้ั ”)
ครูที่รู้จริงจะท�ำให้นักเรียนไว้ใจ รู้ว่าเป็นท่ีพ่ึงได้ ลดความกลัว ครูที่รู้จริงแสดงให้เห็นด้วยการ
ลงมอื ทำ� ไมใ่ ชช่ นี้ วิ้ (ชมพ:ู่ “เวลาครศู กั ดล์ิ งไปชว่ ยเขาไมใ่ ชแ่ คช่ น้ี วิ้ สง่ั อยา่ งเดยี ว แตจ่ ะลงไปดว้ ยตนเองเลย
แลว้ พาเราไปดว้ ยกนั เลยรูส้ กึ วา่ เขาเปน็ มากกว่าครู เหมอื นเป็นคนในครอบครัวเรา”)
ครูทด่ี ีตอ้ งฟังนกั เรยี นด้วยความคดิ เหตุผล สามารถใชเ้ หตผุ ลสอ่ื กับนกั เรียนได้ นกั เรยี นจะรบั ฟงั
และทำ� ให้นักเรียนเป็นคนทม่ี ีเหตุผลดว้ ย (ชมพู่: เอ่ยถงึ ครูเกียรตศิ กั ด์)ิ
ครตู ้องคอยสงั เกตนักเรียนรายคน หากเป็นปญั หาปมทางจิตใจฝงั ลกึ ครตู อ้ งใชจ้ ติ ตปญั ญาแก้ไข
(ครูวเิ ชียร: สังเกตปารค์ ว่าไม่สมาคมเพอื่ นเพราะเป็นนักเรยี นเข้ามาใหม่ มีปมทางร่างกาย)
สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์ 117
กระบวนการเรียนรู้
การเอาสิ่งท่ีพลาดมาเรียนรู้แทนการต�ำหนิท�ำให้นักเรียนกล้าท่ีจะเรียนรู้ไปข้างหน้า (งานของ
กล่มุ ปุ๋ยไม่ไดผ้ ลอยา่ งที่ต้องการ ทกุ คนยอมแพ้ไม่ร่วมมือกนั คำ� พดู ของครทู �ำให้ปุย๋ คิดได้ ลงมือท�ำเอง
จนเพ่ือนเข้ามารวมตัวกนั ใหม่)
โจทย์ท่ีใกลก้ บั ชีวติ ทำ� ให้ RBL มีชวี ติ นักเรยี นจะตั้งใจ (ปุ๋ย: ทำ� RBL กบั สารเคมีและดินในไร่
ขา้ วโพด ซึง่ เปน็ อาชพี ของครอบครวั )
การท�ำงาน theme เดยี วท้งั ห้องและงานกล่มุ ช่วยพัฒนา social skill เปลี่ยนนสิ ยั บคุ ลิก และ
ระบบคดิ (บคุ๊ : “ผมเปลยี่ นไปเยอะมากโดยเฉพาะในเรอื่ งระบบคดิ จากตอนแรกเราคดิ วา่ เราเขา้ กบั ใคร
ไม่ไดแ้ นน่ อน เรามาถงึ จุดทว่ี า่ เราเข้ากบั ใครก็ได้แล้ว นคี่ ือความสำ� เรจ็ ท่ดี ที ีส่ ุดของเพาะพันธป์ุ ญั ญา”)
การน�ำเสนอตอ่ สาธารณะเป็นเครอื่ งมอื พัฒนาความม่ันใจของนกั เรียนได้ (บุค๊ ชมพู่ เนย ปารค์
และอกี หลายคนกลา่ วถงึ การพัฒนาตนเองเพราะได้โอกาสนำ� เสนองาน)
การใหน้ กั เรยี นหลายระดบั ชน้ั ทำ� RBL ทอ่ี อกแรงรว่ มกนั ในพนื้ ทเี่ ดยี วกนั สรา้ งการเรยี นรทู้ างสงั คม
การอยู่ร่วมกัน การช่วยกัน การวางแผนแบบมีส่วนร่วม ท�ำให้เกิดความผูกพันท่ีจะดูแลกันเป็นรุ่น ๆ
ต่อไปประหน่ึงเป็นครอบครัวเดียวกัน (การเปล่ียนแปลงของป๊อบท่ีมีจิตอาสาสูง ปาร์คได้รับมอบงาน
ช่วยรุ่นนอ้ งจนมนั่ ใจในตนเอง)
บางครงั้ ครตู อ้ งปลอ่ ยใหน้ กั เรยี นทำ� ทง้ั ๆ ทเ่ี หน็ วา่ ไมส่ ำ� เรจ็ เพอื่ หาทางแกเ้ องจากความผดิ พลาด
(เนย: ครูณภัครู้ว่าสตรอว์เบอร์รี่จะตายเพราะความร้อน แต่ให้เนยพบเอง หัดวิเคราะห์เหตุ แล้วแก้
โดยระบายอากาศและเพิ่มความช้ืน “ใหเ้ ขารู้เองคะ่ วา่ มันจะตาย จริง ๆ ครกู ็แอบหวงั นดิ ๆ ว่าเขาจะ
สามารถหาวธิ ที ่ที ำ� ใหส้ ตรอวเ์ บอร์ร่ีมนั ไม่ตาย”)
เมื่อนักเรียนมีความกลัว ครูควรให้นักเรียนได้มีโอกาสระบายความรู้สึกกับเพื่อนร่วมงาน สร้าง
ความคิดเชิงบวกเอาชนะความกลวั (ครณู ภัค: แก้ fixed mindset ของอ๋อมแอม๋ ท่ีกลวั ความไม่รู้เมอ่ื
ทำ� งานยาก กลัวการนำ� เสนอ)
118 จากรากแกว้ สู่ผลของต้นเพาะพันธุป์ ญั ญา
การเปล่ยี นแปลงของผูอ้ น่ื
การเปลยี่ นแปลงของรนุ่ พเ่ี พาะพนั ธป์ุ ญั ญาเปน็ บคุ คลตน้ แบบชกั นำ� ใหร้ นุ่ นอ้ งสนใจเขา้ รว่ มเรยี นรู้
แบบเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา (ปยุ๋ และอารม์ : “ผมอยากจะเขา้ หอ้ งเรยี นนเ้ี พราะวา่ เหน็ รนุ่ พเ่ี ขาเปลยี่ นไปเยอะ
เปน็ คนละคนเลย”)
การทำ� RBL ทำ� ใหว้ างแผนการทำ� งานเปน็ ผลงานของลกู ทำ� ใหพ้ อ่ แมเ่ หน็ ศกั ยภาพ และผปู้ กครอง
ไดเ้ รยี นรู้ (ปารค์ : มแี มเ่ ปน็ ครโู รงเรยี นเดยี วกนั ไมร่ เู้ รอ่ื งการเรยี นโครงงานของลกู มาเหน็ ตอนจบจงึ เขา้ ใจ
ยอมรบั ออ๋ มแอม๋ : แม่แปลกใจทเ่ี ห็นโครงงานไดผ้ ล ได้รางวลั )
ประโยชน์ท่ีเกิดกับผเู้ รยี น
นักเรียนทเี่ ปล่ียนตนเองจากการเรยี นเพาะพนั ธ์ุปัญญาจะไม่กลัวการเรียน เขาจะแสวงหาครเู อง
(ปยุ๋ : เปน็ ผนู้ �ำในการรวมกลุม่ ขอฝ่ายวชิ าการเรยี นภาษาอังกฤษกับครูตา่ งชาต)ิ
เม่อื เอา RBL ใชใ้ นวิถชี ีวิตและการท�ำงาน นักเรยี นจะเห็นประโยชน์กระบวนการคิดเชิงเหต-ุ ผล
(วิว: แกป้ ัญหาสวิ ท่กี ารวิเคราะหเ์ หตุ ออ๋ มแอม๋ : “ในเพาะพนั ธป์ุ ัญญามันจะมกี ระบวนการคิดทตี่ อ้ งหา
เหตุแล้วก็ผลของมัน หนูเลยเอามาคิดว่าถ้าเหตุของมันคือการที่เราไม่กล้าท�ำส่ิงน้ีแล้วผลมันออกมา
ไม่ดี ท�ำไมเราไม่ลองเปล่ียนตัวเองเพื่อว่าผลท่ีได้จะดีข้ึน เพาะพันธุ์ปัญญาท�ำให้เราคิดบวกมากขึ้น”
ปุ๋ย: “กระบวนการวิจัยคือกระบวนการคิดท่ีจะท�ำให้งาน ๆ หนึ่งประสบความส�ำเร็จตามท่ีคาดหวัง
ไว้... เราต้องค้นคว้าหาข้อมูล ให้ได้ข้อเท็จจริงมากที่สุด พอได้มาแล้วเราก็มาดูว่าเราจะแก้ไขยังไง
ให้เอื้ออ�ำนวยและเป็นประโยชน์ต่อเราในอนาคต” อาร์ม: “ผมได้เรียนรู้ว่าก่อนจะไปเก็บข้อมูลใคร
เราต้องรู้จักสิ่งท่ีเราก�ำลังท�ำให้มากกว่าคนที่เราไปเก็บข้อมูล เพราะเราต้องอธิบายเขา เพื่อให้เขา
ให้ข้อมูลที่เราตอ้ งการ ขอ้ มูลเป็นส่ิงส�ำคญั ถา้ เรม่ิ ผิดมันจะผดิ ไปทั้งหมด” อารม์ : ใช้ในการทำ� งานเป็น
ผชู้ ว่ ยวจิ ยั ในมหาวิทยาลัย)
การใช้ปัญหายาก ๆ เป็นโจทย์มีข้อดี คือ เม่ือแก้ปัญหาได้นักเรียนจะมี growth mindset
(เนย: “หนูคดิ ว่าเร่อื งทีย่ งุ่ ยากถ้าเราคิดออกมันนา่ จะมคี วามสขุ เวลาทำ� ส�ำเรจ็ แลว้ คะ่ ”)
การให้โอกาสพูดจากสงิ่ ท่ีตนเองท�ำ มีปญั หาก็แก้เอง นกั เรียนจะกลา้ และมคี วามมน่ั ใจ (นกั เรยี น
ทุกคนในหนังสือเลม่ นี้ สงั เกตจากการโตต้ อบทค่ี ิดก่อนตอบ ไมใ่ ช่โพล่งออกไปเพราะความเชอื่ สว่ นตน
มากกว่าใช้ความรู้)
สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์ 119
การเขา้ ใจความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลท�ำใหน้ กั เรยี นมคี วามคดิ หลากหลาย เหน็ ทางแกป้ ญั หาหลายทาง
รูจ้ กั วิเคราะห์ประเมินทางแก้ว่าควรด�ำเนินการไปทางใด (เนย: อยากท�ำ RBL แก้ปัญหากระเปา๋ หนัก
โดยให้เหตุผลได้ว่าท�ำไมจึงไมต่ ้องการเปลยี่ นวสั ดุท�ำกระเปา๋ )
ประสบการณ์เพาะพันธ์ปุ ัญญาทำ� ใหเ้ รยี นรคู้ น รจู้ ักกาละเทศะขณะปฏสิ มั พันธ์กับผคู้ น ร้จู กั การ
โนม้ น้าวคนอ่ืนดว้ ยขอ้ มูลและค�ำอธบิ ายทม่ี เี หตุผล ท�ำใหเ้ ป็นผูน้ �ำได้ (ชมพ่:ู “เพราะเราตอ้ งท�ำงานกบั
คนเยอะ ก็จะรู้แล้วว่าถ้าเป็นเร่ืองไม่ดีจะคุยยังไงไม่ให้กระทบจิตใจมาก ถ้าเป็นเรื่องท่ีดีจะชงยังไงให้
มนั ดี บางอยา่ งพดู ตรง ๆ ไปเลยก็ไดน้ ะ มันดกี ว่า ทำ� ให้เขารู้ตวั ดว้ ย และเราเองก็สบายใจวา่ ไดแ้ นะน�ำ
เขาไปแล้ว”)
เมอ่ื คดิ เปน็ ดว้ ยตนเอง นกั เรยี นจะรเู้ ปา้ หมายอนาคตและวางแผนการศกึ ษาทตี่ อบความตอ้ งการ
ของตนเองได้ (ปาร์ค: เรยี นเพื่อกลับมาเปน็ ครูเกษตร อารม์ : รู้ว่าต้องเป็นนกั ธรุ กิจ ปุ๋ย: ตดั สนิ ใจเลือก
เรยี นภาษาเพราะใชไ้ ดก้ ว้างกวา่ เคมที ่ตี นชอบ)
ขอ้ สรุปโดยรวม
การสังเคราะหจ์ ากหนังสือ “กลา้ พนั ธุ์ผกู้ ้าวพ้น” สรุปเป็นหลักการได้ดงั นี้
1. นกั เรยี นในโครงการมีภมู ิหลงั หลากหลายมาก แมแ้ ต่โรงเรียนเดยี วกนั หอ้ งเดียวกันยงั ตา่ งกัน
ดังน้ันการศึกษาต้องดูแลรายบุคคล ครูจึงต้องมีความสามารถในการสังเกตนักเรียนและ
ประยกุ ตค์ วามรจู้ ติ วทิ ยามาใชง้ าน ความส�ำเรจ็ ในการแกป้ ญั หานกั เรยี นจงึ เปน็ ประเดน็ PLC
ทน่ี า่ สนใจ
2. นักเรียนโรงเรียนใหญ่ประจ�ำจังหวัดมีข้อได้เปรียบด้านฐานะและความรู้ที่ได้จากโรงเรียน
(โรงเรียนมีความพร้อมมากกวา่ ) แต่ก็เสยี เปรยี บดา้ นประสบการณ์ชวี ิต ซง่ึ เป็นสถานการณ์
กลับด้านของนักเรยี นจากโรงเรียนเล็กรอบนอกศูนย์กลางความเจรญิ นักเรยี นโรงเรยี นใหญ่
บูรณาการความรู้เข้าสู่โจทย์ RBL ได้ดีกว่าโรงเรียนเล็ก แต่เน่ืองจากนักเรียนของโรงเรียน
ขนาดใหญ่ส่วนมากไม่ใช่คนในชุมชนรอบโรงเรียน โจทย์ RBL จึงมีเสน่ห์ของชีวิตจริงสู้
โรงเรยี นเลก็ ไมไ่ ด้ ดว้ ยเหตนุ เี้ วทกี ารเรยี นรรู้ ว่ มกนั ของทงั้ ศนู ยพ์ เ่ี ลย้ี งจงึ เปน็ โอกาสผสมผสาน
จดุ เด่นของนกั เรยี นทแ่ี ตกต่างกันได้
120 จากรากแกว้ สู่ผลของต้นเพาะพนั ธ์ปุ ญั ญา
3. ครแู ละโรงเรยี นยงั คงตดิ กบั การแขง่ ขนั เอารางวลั ซง่ึ ทำ� ใหเ้ ครยี ดทง้ั นกั เรยี นและครู (หลายแหง่
ไมร่ ตู้ วั วา่ ทำ� ใหเ้ กดิ fixed mindset) ประสบการณท์ กี่ ดดนั จากการเปน็ ตวั แทนครอู อกไปแขง่
เอารางวัลท�ำให้นักเรียนส่วนมากกลัวการน�ำเสนอต่อสาธารณะ แต่หากเปลี่ยนบรรยากาศ
เปน็ การเรยี นรรู้ ว่ มกนั นกั เรยี นจะผอ่ นคลาย จงึ ควรจดั ประชมุ ในบรรยากาศแลกเปลยี่ นความรู้
แทนการแขง่ ขนั โดยมกี ระบวนการสะทอ้ นคดิ กลบั มาทปี่ ระสบการณต์ นเองเปน็ ระยะ ๆ เพอ่ื
เปล่ียนจุดยดึ จากแขง่ ขันเป็นเรียนร้รู ่วมกนั
4. ความเข้าใจการศึกษาเพ่ือสมรรถนะแห่งศตวรรษที่ 21 ของผู้ปกครองเป็นสิ่งจ�ำเป็นในการ
ปฏริ ปู การเรียนการสอน ขณะนี้ผู้ปกครองมเี พียงภาพเดยี ว คือ การตอ้ งแข่งขันเอาชนะกัน
ดังนั้นกรรมการสถานศึกษาและชุมชนต้องเข้าใจการศึกษาให้ครบทุกมิติ และมีบทบาท
ในโรงเรยี น เพื่อให้สามารถตดั สนิ ใจอนาคตของบุตรหลานได้มากข้นึ
5. นักเรียนสะท้อนชัดเจนว่าการท�ำโครงงานให้ทักษะชีวิตและสังคมได้อย่างดี แสดงให้เห็นว่า
การสรา้ งการเรยี นรจู้ ากการทำ� งานคอื การศกึ ษา ดงั นน้ั ครตู อ้ งสรา้ งความเชยี่ วชาญ (master)
ขนึ้ มาใหไ้ ด้ การทำ� โครงงานไมใ่ ชแ่ คก่ ารปฏบิ ตั ใิ หไ้ ดผ้ ลงาน/ชนิ้ งานอยา่ งทเี่ ขา้ ใจกนั แตห่ วั ใจ
อยู่ที่ขั้นตอนการเตรียมตัว การบูรณาการความรู้ และการค้นหาว่าผู้เรียนได้เรียนรู้อะไร
ครตู ้องโค้ชใหน้ ักเรยี นเรยี นรู้ได้ดว้ ยตนเอง
6. กระบวนการคิดเหตุและผลคือพ้ืนฐานของการเข้าใจปรากฏการณ์และการสร้างปัญญาใหม่
จากปัญญา/ความรู้เดิม เพาะพันธุ์ปัญญาค้นพบว่ากระบวนการคิดแบบเหตุและผลหายไป
จากการศกึ ษาไทย ท�ำใหไ้ ม่ร้จู กั วิจยั ทต่ี อ่ ยอดความรเู้ ดิมให้เปน็ ความร้ใู หม่
สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ 121
ดวงตะวนั อยูไ่ กล...ไกลโพน้ ฟา้
ดวงดาราเหมือนแสนไกล..เกนิ เอ้ือมถงึ
ดวงชวี ติ อันมีคา่ ...ด้วยซาบซ้งึ
ดวงฤทัยซึ่งมงุ่ มน่ั ...ด้วยความดี
ดว้ ยความด.ี ..จงึ ฝา่ ฟันจนถึงฟ้า
ดว้ ยความกล้า...จงึ อาจเอ้อื มถึงดาวได้
ด้วยศรทั ธา...จงึ นำ� หนา้ เดินต่อไป
ด้วยหวั ใจของผูใ้ ห้...หวั ใจ “ครู”
ขอบพระคุณ “หัวใจครูผ้กู ล้าแกรง่ ”
ทกุ ก้าวย่างทา่ นแบง่ ปนั ความร้ใู ห้
มอบความคิดอยา่ งใครค่ รวญและแรงใจ
เพอื่ การศกึ ษาของเดก็ ไทยอย่างแทจ้ รงิ
จากล�ำปาง...จากดวงใจของพวกเรา
ขอขอบพระคณุ “คณุ ครทู ั้งสองท่าน” ในทุกสงิ่
โอกาสรว่ ม “เพาะพันธุ์ปญั ญา” มคี ณุ ค่ายง่ิ
นอ้ มรำ� ลึกดว้ ยใจจริงกราบคุณครทู ้ังสองท่านในวนั คร.ู ..
ชุตมิ า คำ� บุญชู
ศูนย์พเ่ี ลยี้ งเพาะพนั ธป์ุ ัญญา มรภ.ล�ำปาง มกราคม 2557
122 จากรากแกว้ ส่ผู ลของต้นเพาะพนั ธปุ์ ญั ญา
บทสงั เคราะหก์ ารเปลยี่ นแปลงของอาจารย์พ่เี ลยี้ ง
เม่ือส้ินสุดโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา พ่ีเลี้ยงจ�ำนวนหนึ่งเขียนบันทึกการท�ำงาน ซึ่งมีท้ังท่ีเป็น
เน้ืองานเพาะพันธุ์ปัญญาและสะท้อนคิดความรู้สึกของตนเอง (self-reflection) ซ่ึงผมคัดมาเป็น
ตอนสุดท้ายของบท “ผล” เพื่อตีความให้ได้ข้อค้นพบทางการศึกษาและการเปล่ียนแปลงของพ่ีเลี้ยง
ท่ีได้จากการท�ำโครงการเพาะพันธปุ์ ัญญา
เน่ืองจากไม่มีหนังสือให้อ้างอิงเหมือนเล่ม “คุรุควรคารวะ” และ “กล้าพันธุ์ผู้ก้าวพ้น” จึงน�ำ
ขอ้ เขียนของพ่ีเล้ยี งมาใส่ไวท้ งั้ หมด โดยแทรกขอ้ สรปุ และการตคี วามเป็นตัวเอยี งในวงเล็บ
จากใจแด่คณุ ครู
ตง้ั แตเ่ ปน็ ครมู าไดร้ บั การอบรมมาหลายครง้ั ในแตล่ ะครง้ั เปน็ ความรทู้ เ่ี ราเคยไดร้ บั ฟงั และเรยี นรู้
มาบา้ ง (มคี วามรู้เดมิ +ความรู้ใหม)่ ซงึ่ กเ็ ปน็ การดที ีไ่ ด้ฟังมากขึ้นจากวิทยากรทแ่ี ตกต่าง เร่ืองใดทีเ่ ป็น
เร่ืองใหม่ก็เป็นการ update ตัวเราให้รู้มากข้ึน บางเรื่อง บางเทคนิควิธีการได้ถูกน�ำมาปรับใช้ใน
การเรยี นการสอน บางเร่อื งกด็ ูเหมอื นจะเลอื นรางเมื่อเสรจ็ สนิ้ การอบรมและไมไ่ ดถ้ ูกน�ำมาใช้ แต่การ
อบรมในโครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญามนั ท�ำใหเ้ ราชวนตดิ ตามชวนคน้ หา และชวนทดลองวา่ มนั จะเปน็ ไป
ไดไ้ หม เราจะท�ำได้ไหม (แสดงนยั ยะความแตกตา่ งขององคค์ วามรแู้ ละวิธีการให้ความรูข้ องเพาะพันธ์ุ
ปัญญา พ่ีเลี้ยงทา่ นนเ้ี คยเปน็ ศกึ ษานเิ ทศก์ก่อนมาเป็นอาจารยค์ ณะครุศาสตร์)
เมื่อได้เข้าร่วมในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาและได้รับการอบรมเชิงปฏิบัติการจากบรมครู
ทง้ั สองทา่ น คอื รศ.ดร.สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ และ รศ.ไพโรจน์ ครี รี ตั น์ (อยากเอย่ วา่ ทา่ นเปน็ “บรมคร”ู
ของเราจรงิ ๆ) ยอมรบั วา่ ในตอนแรกมสี องอารมณใ์ นขณะเดยี วกัน
อารมณแ์ รก คือ “ใชเ่ ลย นแ่ี หละ วธิ กี ารน้ีแหละทโี่ ดนใจ วิธนี น้ี แี่ หละทจ่ี ะท�ำให้เด็กไทยคิดเปน็
ท�ำเป็น และแก้ปัญหาเป็นอย่างแท้จริงในทุกเรื่อง” และเช่ือว่าจะสามารถด�ำรงชีวิตได้อย่างเป็นสุข
ในสังคม นัยน์ตาเร่ิมมีประกายแวววาวเกิดขึ้นและพยายามติดตามทุกค�ำพูด ไม่ยอมละแม้สักนาที
ด้วยรตู้ ัวเองวา่ เปน็ คนคดิ ช้า
อารมณ์ท่ี 2 ติดตามมาขณะท่ีฟงั ทา่ นน�ำพาพวกเราคดิ ก็คือ อารมณข์ ัดแย้ง “เอ๊ะ...เราไม่เหน็
คิดไดอ้ ย่างอาจารยเ์ ลย” “ไมใ่ ชน่ ะ” “ทำ� ไมเราคิดแตกต่างจากอาจารย”์ แล้วกเ็ กบ็ ข้อสงสัยเหล่าน้ไี ว้
จนกระท่ังได้รับค�ำตอบจากการได้เรียนรู้หลายคร้ังจากอาจารย์ จากหนังสือดี ๆ ที่อาจารย์สุธีระ
กรณุ าเขียนใหพ้ วกเราและทุกคนได้อ่าน
สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์ 123
บรมครูท้ังสองท่านไม่เพียงจะฝึกเราด้านปัญญา ท่านตระหนักดีว่าฐานกายและปัญญาจะเกิด
ได้ดีก็ต้องมีฐานจิตที่ม่ันคง ท่านจึงจัดให้พวกเราได้รู้และเข้าใจเก่ียวกับจิตตปัญญาศึกษา ด้วยการ
ช�ำระจิตใจ เปิดใจ มองเห็นและเข้าใจตนเอง ขณะเดียวกันก็เข้าใจผู้อื่นด้วย นอกเหนือไปจากท่ีท่าน
จัดให้เราได้รับการอบรมจิตตปัญญาศึกษาแล้ว อาจารย์ไพโรจน์ท่านก็ได้เสริมให้พวกเรามีฐานจิตท่ีดี
ทมี่ น่ั คงอกี ทาง นอกจากทา่ นจะเปน็ ตวั อยา่ งทด่ี แี ลว้ (ตวั อยา่ งทด่ี มี คี า่ ยง่ิ กวา่ คำ� สอน) ทา่ นยงั หาหนงั สอื
เก่ียวกับการรู้จักตนเองให้พวกเราได้อ่าน และดูเหมือนว่าความพยายามในการที่จะท�ำให้พวกเรา
อา่ นหนงั สอื มนั ยากกวา่ การหาหนงั สอื ดี ๆ ใหพ้ วกเราอา่ นเสยี อกี จนอาจารยไ์ พโรจนต์ อ้ งใหก้ ารบา้ นเรา
โดยก�ำหนดเรื่องใหอ้ ่านและนำ� มาพดู คยุ กัน จนท�ำใหเ้ ดี๋ยวน้ี เม่ือใดก็ตามทไี่ ดล้ ้างชามก็จะมีความใสใ่ จ
ในการล้างจนสะอาดหมดจด ท�ำให้ติดเป็นนิสัยและระลึกเสมอว่าการกระท�ำสิ่งใด ๆ เราต้องใส่ใจ
มุ่งม่นั และทำ� ในสิง่ นนั้ ใหด้ ีท่ีสดุ ไมใ่ ช่เหน็ เพยี งแค่ผลสำ� เร็จ (เพาะพนั ธุ์ปัญญาเป็นแนวคิดท่ที �ำให้เกิด
ท้ังปัญญาสมองและจิตใจ ซ่ึงเป็นความต่าง 2 ขั้วที่พี่เลี้ยงไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน จึงฉงน คือ
แม้ว่าจะยอมรับว่าใช่แนวทางการจัดการศึกษาท่ีถูกต้อง แต่ก็สะท้อนคิดกับตนเองว่าท�ำไมจึงคิดไม่ได้
หรือไม่เข้าใจ คร้ันเม่ือพ่ีเลี้ยงหมั่นฝึกฝน อ่าน และปฏิบัติเสมอย่อมเกิดการเรียนรู้ท่ีสูงข้ึน
หากเพาะพนั ธ์ุปญั ญาพัฒนาพ่เี ลย้ี งไม่ส�ำเร็จภารกิจการศึกษาน้กี ไ็ ม่สำ� เรจ็ )
124 จากรากแก้วสผู่ ลของตน้ เพาะพนั ธุ์ปัญญา
สมั พันธท์ อ่ี บอนุ่
อีกส่ิงหนึ่งที่สัมผัสได้จากบรมครูท้ังสองท่าน คือ ความเมตตา ความอดทน ความพยายาม
ทา่ นไมเ่ คยยอ่ ทอ้ ตอ่ การเดนิ ทางทย่ี าวไกล จากใตม้ าเหนอื จากเหนอื ไปอสี าน และจากอสี านไปภาคกลาง
บางครั้งก็ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยสบาย อ.ไพโรจน์ต้องพกกระติกน�้ำร้อนตลอดเวลา และบ่อยครั้งที่
อ.สุธรี ะปวดตน้ คอ พวกเราอยกู่ บั ท่ี ไมไ่ ดเ้ ดินทางอยา่ งทา่ นยังรสู้ กึ เหนื่อย และต้องหัวหมนุ ในบางคร้ัง
ท่ีมีงานหลายอย่างเข้ามาในเวลาเดียวกัน ท่านทั้งสองก็คงไม่แตกต่างจากเรานักในด้านการสอน
และงานของมหาวิทยาลัย แต่ท่านก็ยังเมตตาเสียสละเวลาส่วนตัวมาพัฒนาครูและเด็ก ๆ (รวมทั้ง
ศูนย์พ่ีเล้ียงด้วย) บางครั้งพวกเราบกพร่องท่านก็ไม่เคยปริปากบ่นใด ๆ น่ีคือความประทับใจที่อยู่ใน
ความทรงจ�ำมาตลอด
ทกุ นาทมี คี า่ สำ� หรบั การเรยี นรู้ แมก้ ระทงั่ อยบู่ นรถระหวา่ งการเดนิ ทางไปเยย่ี มโรงเรยี น อ.ไพโรจน์
มักจะมีประเด็นค�ำถามมาพูดคุยกับพวกเรา ให้ก�ำลังใจและดึงความสามารถเราออกมา ท�ำให้เรารู้สึก
กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็น กล้าน�ำไปปฏิบัติ กล้าแตกต่าง นอกจากน้ี อ.ไพโรจน์ยังพาพวกเรา
ทำ� กจิ กรรม AAR ทุกครั้ง ท�ำใหพ้ วกเราไดร้ บั แนวคดิ ค�ำแนะน�ำ ได้มองเห็นภาพทชี่ ัดขน้ึ และได้เรียนรู้
มากมายจากการสะทอ้ นคดิ เมอ่ื มโี อกาสท่านทัง้ สองจะสอดแทรกค�ำสอน หรือให้ข้อแนะน�ำดี ๆ เสมอ
มีอยู่คร้ังหน่ึงหลังจากเสร็จกิจกรรมเรียนรู้ท่ีนาข้าวของโรงเรียนแจ้ห่มวิทยา ขณะที่อยู่บนรถระหว่าง
เดินทางกลับ อ.กุ้งได้เล่าให้ท่าน อ.สุธีระ ฟังเก่ียวกับการจัดกิจกรรมให้เด็กได้พูดและเขียนแสดง
ความรสู้ กึ ทม่ี ตี อ่ คณุ ครทู ส่ี อนในโครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา เดก็ หลายคนพดู และเขยี นไดด้ ี มี supporting
ideas แต่เด็กบางคนไม่รู้จะเขียนขยายความอย่างไร อ.สุธีระได้กรุณาแนะน�ำว่าอาจจะเร่ิมฝึกจาก
การให้ keywords และเขียนบรรยายจาก keywords น้ัน ๆ หรือมีข้อความให้และฝึกให้เด็กหา
keywords เอง ทุกครั้งทีไ่ ด้ไปโรงเรยี นตา่ ง ๆ กบั ทา่ นท้ังสอง เราได้เรยี นรู้อะไรใหม่ ๆ จากทา่ นเสมอ
นี่แหละคือ “อยู่ใกล้ปราชญ์ ปราชญ์พาไปหาผล” (พี่เล้ียงมีแรงบันดาลใจในการท�ำงานหากจัดการ
ความสัมพันธใ์ ห้เปน็ มติ รและสนับสนุนการท�ำงาน ให้เกดิ การเรยี นรู้ทุกครงั้ ท่มี โี อกาส)
ความเปลยี่ นแปลงทงี่ ดงาม
สิ่งส�ำคัญท่ีท�ำให้สามารถพูดได้ว่า การเรียนรู้กับท่านบรมครูทั้งสองแตกต่างจากการได้เรียนรู้
จากการอบรมที่ผ่านมา ไม่อาจกล่าวว่าการเรียนรู้จากการอบรมที่ผ่านมานั้นไม่ดี แต่การเรียนรู้จาก
ท่านท้ังสองท�ำให้เติมเต็มในสิ่งที่ขาดหาย เหมือนเราได้เคยรู้วิธีการซักผ้า แต่ยังขาดการเรียนรู้ว่า
การซกั ผา้ ทด่ี คี วรท�ำอยา่ งไร วธิ ใี ดบา้ ง อะไรบา้ ง และทำ� ไมตอ้ งใชว้ ธิ นี นั้ ๆ ทที่ ำ� ใหเ้ ราสามารถซกั ผา้ ไดด้ ี
(ข้อเรียนรู้จาก อ.สุธีระ ท่ี ม.ราชภัฏล�ำปาง และโรงเรียนวิชชานารี) การเปลี่ยนแปลงของทั้งครูและ
นักเรียนในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาเป็นสิ่งที่สามารถยืนยันได้ว่าการได้เรียนรู้จากท่านท้ังสองได้
สุธีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 125
เตมิ เตม็ สงิ่ ขาดหายไป เหมอื นจกิ๊ ซอวท์ ท่ี ำ� ใหภ้ าพ ๆ นนั้ สมบรู ณแ์ ละงดงาม ขา้ พเจา้ ในฐานะศนู ยพ์ เ่ี ลย้ี ง
อดท่ีจะปลาบปลื้มใจไม่ได้ จริงอยู่ท่ีระหว่างทางเดินนั้น อาจจะมีอุปสรรค ปัญหา ให้ได้เรียนรู้และ
แก้ไข ท�ำให้นักเรียนและครูบางคนถึงกับท้อ แต่ด้วยความเมตตาท่ีท่านทั้งสองคอยดูแลพวกเรา
ท�ำให้ศูนย์พี่เล้ียงมีก�ำลังใจ มีพลัง และไปถ่ายทอดพลัง เสริมพลังน้ีให้แก่ครูและนักเรียน พากันเดิน
และรว่ มเรียนร้ดู ้วยกนั ตอ่ ไปอย่างไม่ยอ่ ทอ้
ในส่วนตัวของขา้ พเจ้าเองคดิ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมายในตัวเอง ไดเ้ ปิดโลกทัศนข์ อง
ตัวเอง รู้และตระหนักได้ว่าเราต้องเปล่ียนแปลงตัวเองก่อนท่ีจะไปแนะน�ำให้ครูในโครงการฯ
เปลย่ี นแปลงความคดิ ท่บี างครั้งมีแคด่ ้านเดียวมมุ เดยี ว ใหห้ ันมามองอะไรท่ีกวา้ งข้นึ ตัง้ คำ� ถามมากข้ึน
ปรับเปล่ียนวิธีสอน ยอมรับการเปลี่ยนแปลง และศึกษาส่ิงใหม่ ๆ ท่ีจะช่วยในการพัฒนาการเรียนรู้
และต้องเตรียมตัวเองมากข้ึนเพื่อท่ีจะให้นักศึกษาของเราเกิดการเรียนรู้ ไม่ใช่เพียงแค่รู้ จนนักศึกษา
หลายคนถามว่า “อาจารย.์ .ทำ� ไมถามจัง” “อาจารย.์ .ท�ำไมตอ้ งให้ดูความแตกต่างด้วย แค่เปดิ ลงุ Goo
ก็ตอบได้แลว้ ” “อาจารย์..ทำ� ไมตอ้ งเขียนบนั ทึกทกุ ครัง้ ดว้ ย วันนไี้ ม่ต้องเขยี นได้ไหม” เดีย๋ วนน้ี กั ศกึ ษา
เหลา่ นน้ั เลกิ ถามแลว้ และรวู้ า่ เขาจะตอ้ งมวี ธิ กี ารเรยี นรอู้ ยา่ งไร เสยี ดายวา่ นกั ศกึ ษาเหลา่ นนั้ เรยี นกบั เรา
แค่หน่งึ เทอม ท�ำใหไ้ ม่ตอ่ เน่ือง การฝกึ ฝนที่ตอ่ เน่อื งจะสง่ ผลใหเ้ กดิ การปฏิบัติจนเปน็ ความเคยชิน และ
ฝงั รากหยง่ั ลกึ เปน็ พฤตกิ รรมถาวร แตค่ ดิ วา่ พวกเขาคงไดเ้ รยี นรจู้ ากเราไปไมม่ ากกน็ อ้ ย สำ� หรบั นกั ศกึ ษา
ทก่ี ำ� ลงั จะไปเปน็ ครใู นวนั ขา้ งหนา้ หลายคนกม็ คี วามสามารถในการเรยี นรแู้ ละพฒั นาไดเ้ รว็ นา่ จะไปชว่ ย
เพาะพันธุ์ต้นกล้าที่ดีได้ (ความส�ำเร็จที่พ่ีเลี้ยงเห็นในตัวครูและนักเรียนสร้าง passion การท�ำงาน
จะยิ่งท�ำให้มุ่งม่ันท�ำงานมากขึ้น และเมื่อสามารถน�ำทักษะที่ได้ไปปรับใช้ในหน้าท่ีการงานของพ่ีเลี้ยง
ทำ� ให้เหน็ ความงดงามและคุณค่าของการท�ำโครงการเพาะพนั ธ์ปุ ัญญา)
จากคุณูปการของคุณครูทั้งสองท่าน ค�ำว่า “ขอบคุณ” ดูเหมือนจะธรรมดาและน้อยเกินไป
แตก่ ไ็ มร่ จู้ ะหาคำ� ใดทมี่ คี า่ มากกวา่ นนั้ มากลา่ วแทน ฉะนนั้ นอกเหนอื จากคำ� “ขอบพระคณุ เปน็ อยา่ งยง่ิ ”
แล้วจึงอยากขอตอบแทนด้วยการท�ำให้ท่านทั้งสองได้มีความช่ืนใจโดยสะท้อนกลับในผลดีที่ท่าน
ไดท้ ำ� ไวเ้ ปน็ ตวั อยา่ ง ขา้ พเจา้ จะตงั้ ใจเปน็ ครทู ดี่ ี พฒั นาและปรบั เปลย่ี นวธิ สี อนของตนเอง ดแู ลชว่ ยเหลอื
ครพู เ่ี ลย้ี ง อดทน หมนั่ เพยี รและขยายความรทู้ ไ่ี ดร้ บั แมว้ า่ จะหมดเวลาของโครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา
แลว้ แตเ่ วลาของการพฒั นากลา้ พนั ธย์ุ งั คงดำ� เนนิ ตอ่ ไป เพอ่ื สกั วนั หนงึ่ อาจารยท์ งั้ สองทา่ นจะไดช้ นื่ ใจ
ทที่ า่ นไมเ่ หนอ่ื ยเปลา่ ไมเ่ สยี แรงทไ่ี ดส้ ละเวลา พลงั ทรพั ย์ พลงั กาย และ พลงั ปญั ญา เพอ่ื เพาะพนั ธ์ุ
กลา้ แหง่ ปญั ญาทไี่ ดท้ มุ่ เทและตง้ั ใจไวใ้ หเ้ ตบิ โต สวยงาม และมคี ณุ ภาพ (การเปลยี่ นแปลงตวั เองของ
พเี่ ลย้ี งทเ่ี ปน็ ครู คอื การรสู้ กึ ตวั และการใหค้ �ำมนั่ สญั ญากบั ตนเองทจ่ี ะเปน็ ครทู �ำเพอื่ ศษิ ย์ เปน็ ผลกระทบ
ทสี่ ำ� คญั มากของพเ่ี ลยี้ งทม่ี าจากคณะครศุ าสตร์)
อ.ประนอม วงศห์ ม่ืนรตั น์
ศูนยพ์ ี่เล้ยี ง มรภ.ล�ำปาง
126 จากรากแกว้ สู่ผลของตน้ เพาะพนั ธ์ุปัญญา
การตอ่ ส้กู ับระบบ
โครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาถอื วา่ เปน็ นวตั กรรมของการศกึ ษา เปน็ การปฏวิ ตั วิ ธิ คี ดิ ของการเรยี นรู้
จากประสบการณ์ของผมที่มีจากการท�ำงานกว่า 10 ปีก่อนที่จะมาเป็นอาจารย์ใน ม.พะเยา
แนวคิดน้ีสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมากและมีความส�ำคัญในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ท่ีจะเกิดขึ้นใน
การใช้ชีวิตจริงเป็นที่น่าเสียดายท่ียังมีแรงเสียดทานสูงมาก จากกระบวนการปฏิบัติของหน่วยงาน
ทางการศึกษาภาครัฐภาระท่ีไม่จ�ำเป็นและภาวะแวดล้อมในการใช้ชีวิตของคุณครู รวมถึงหลักการ
ของแนวคิดเพาะพันธุ์ปัญญาเป็นสิ่งที่ใหม่และไม่คุ้นเคยต่อการประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน
ทำ� ใหก้ ารขยายผลเปน็ ไปไดล้ �ำบาก แตอ่ ยา่ งไรกต็ ามเราไดเ้ หน็ กลมุ่ คณุ ครบู างสว่ นทเี่ ปน็ เสมอื นเพชรแท้
ท่ีความมุ่งมั่นท�ำให้สามารถเจียระไนให้เกิดประกายได้ในโครงการมากมาย บางคร้ังแม้จะมีเพียง
สว่ นน้อยในหน่วยงานแต่การยดึ มนั่ ในหลักการทถ่ี กู ตอ้ งท�ำใหเ้ กดิ แนวรว่ มใหม่ ๆ ขึน้ มา การเกิดกลุ่ม
คุณครูรุ่นใหม่ท่ีเห็นความส�ำคัญของโครงการเป็นเหมือนส่ิงที่ยืนยันได้ว่าเพาะพันธุ์ปัญญายังคงอยู่
และขยายผลต่อไปได้จริง (ผู้เขียนท่านนี้จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์จึงเห็นปัญหาเชิงระบบของ
การศึกษาและเข้าใจการมีอยู่ของแรงต้านการเปล่ียนแปลง อย่างไรก็ตาม เราได้ข้อเรียนรู้ว่ายังมี
โอกาสอยู่ท่ีครูรุ่นใหม่ ที่เราสามารถปลูกฝังแนวคิดและอุดมการณ์การจัดการการศึกษาแบบ
เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาได)้
ในส่วนตัวของผมถือว่าได้เรียนรู้ไปพร้อมคุณครูผ่านการสอนของ อ.สุธีระ ด้วยความเชื่อและ
ศรัทธา มุมมองของการแก้ปัญหาในชีวิตเปลี่ยนไป การเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนถูกใช้ในการสอนนิสิต
สาขาวิศวกรรมเคร่ืองกลและผู้ประกอบการในการให้ค�ำปรึกษาเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ผมคิดว่าคุณครู
หลายท่านน่าจะรู้สึกเช่นเดียวกับผมในเร่ืองนี้ ในส่วนหน่ึงของโครงการในฐานะพี่เล้ียง ผมมองเห็น
อนาคตที่แตกต่างจากเม่ือเกือบ 10 ปีท่ีแล้วตอนที่มาเป็นอาจารย์ใหม่และรู้สึกภูมิใจอย่างมากที่ได้
เขา้ ร่วมโครงการฯ ตลอดเวลาหลายปที ี่ผ่านมา (เชน่ เดยี วกบั พีเ่ ล้ยี งทา่ นอืน่ ทแี่ นวคิดเพาะพนั ธ์ปุ ัญญา
สามารถนำ� ไปประยุกต์ใช้ในงานประจำ� และชีวิตประจ�ำวนั ได้)
ผศ.ดร.นัทธธิ์ นนท์ พงษ์พานิช
ศนู ย์พเ่ี ลยี้ ง ม.พะเยา
สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์ 127
เปลยี่ น
เคยสงั เกตกนั ไหม เมอ่ื เราไดท้ ำ� ในสง่ิ ทรี่ กั สงิ่ ทชี่ อบ เวลามนั มกั จะเดนิ เรว็ เสมอ ลองนกึ เปรยี บเทยี บ
ระหว่างการน่ังรอคอยใครสักคนเวลาแต่ละนาทีช่างเดินไปช้าเหลือเกิน ในขณะท่ีการดูหนังที่เราชอบ
เปน็ ชว่ั โมง ๆ เวลากลบั เดนิ เรว็ มากทงั้ ๆ ทจี่ ดจอ่ กบั ทกุ เรอ่ื งราวในหนงั การทำ� งานในโครงการเพาะพนั ธ์ุ
ปัญญาก็ให้ความรู้สึกเช่นน้ันเหมือนกัน แต่ละปีของการท�ำงานในฐานะพ่ีเลี้ยงเพาะพันธุ์ปัญญา
มีความท้าทายเขา้ มาอยู่อย่างตอ่ เนอ่ื งเปน็ ระยะ ๆ ถ้าเปรยี บเหมือนหนัง คงเปน็ หนัง action ที่ไดล้ ุ้น
ตลอดเวลา กลา้ พดู ไดว้ า่ การทำ� งานในโครงการไมเ่ คยมสี ตู รสำ� เรจ็ เพราะเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาทำ� ใหต้ นเอง
“เปดิ กวา้ งและยืดหยุ่น”
โครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาเขา้ มาในชว่ งเรม่ิ ตน้ ชวี ติ การทำ� งานของตนเอง ถอื วา่ เปน็ โครงการแรก
ท่ีได้ลงท�ำงานร่วมกับครูและโรงเรียนแบบ inside อย่างจริงจัง เรียกว่าคลุกวงในกันเลยทีเดียว
ลองนกึ ภาพตามว่าคนท่ที ำ� หน้าท่ีเรียนตลอดชวี ิตตง้ั แต่จำ� ความได้ เติบโตในบรบิ ทของสงั คมเมอื งและ
มีพื้นฐานความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์จะมีลักษณะแบบไหน ส่ิงหน่ึงท่ีแน่นอน คือ การวางแผนอย่าง
เป็นข้ันตอน ละเอียดยิบ และเป็นแผนที่ต้องท�ำตามทีละข้ัน (อารมณ์เหมือนการวางแผนแบบเขียน
ต�ำราอาหารท่ีต้องท�ำตามล�ำดับ) ไม่ยอมปรับเปลี่ยนใด ๆ จนกว่าจะถึงข้ันสุดท้ายเพื่อดูผล แล้วค่อย
นำ� ผลนั้นกลับไปปรบั แกใ้ หด้ ขี ึน้ ยงั ไม่พอการทำ� งานสว่ นใหญใ่ ชโ้ หมดเหต-ุ ผล อธบิ ายวา่ ด้วยหลกั การ
ทฤษฎี ไม่มีหรอกนะอารมณ์ ความรสู้ กึ ยิง่ เรียนระดบั สงู ๆ นม่ี แี ตก่ ารวพิ ากษ์วิจารณ์ความคิดอย่าง
ตรงไปตรงมา ไม่มีหรอกนะ พูดให้บัวไม่ช�้ำน�้ำไม่ขุ่น เรียกว่า “พูดทีนี่เหมือนฟันดาบสะพายแล่ง”
กันเลยทีเดียว แล้วคนที่มีพื้นฐานแบบนี้ จะท�ำงานร่วมกับครู โรงเรียนและพ้ืนท่ีจริงอย่างไร?
(ความน่าสนใจคือการเปล่ียนตนเองจากความคิดในกรอบแบบยึดต�ำรา ตรงไปตรงมาแบบ
นกั วทิ ยาศาสตรท์ ชี่ วี ติ ขาดบรบิ ทชมุ ชนไดเ้ ปลยี่ นมาเปน็ การ “เปดิ กวา้ งและยดื หยนุ่ ” เพราะการทำ� งาน
การศึกษาที่มีบริบทท�ำให้เรียนรู้ความต่างและการบริหารจัดการความต่าง เป็นการเรียนรู้ส�ำหรับ
คนรุน่ ใหม่ในมหาวิทยาลัย เพาะพันธ์ุปัญญาจงึ เป็นโอกาสการศกึ ษาวชิ าชีวติ ของพ่ีเลีย้ งดว้ ย)
เคยไหม ฟังแต่เหมือนไม่ได้ยิน ได้ยินแต่ก็ไม่ได้เข้าใจ เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ ปรากฏการณ์น้ี
น่าจะเป็นธรรมดาของมนุษย์ท่ัวไป ตนเองก็ไม่ได้แปลกแตกต่างไปหรอก และก็ไม่เคยรับรู้หรือสัมผัส
ดว้ ยใจอย่างจริงจงั ในการทำ� งาน จะตั้งใจ ใสใ่ จกบั คนที่เรารกั มากกวา่ เมอ่ื ไดม้ ีโอกาสเขา้ ร่วมกิจกรรม
จิตตปัญญาตั้งแต่ปีแรก ที่เน้นการปลุกหรือกระตุกจิตวิญญาณความเป็นครู ยอมรับเลยว่าตอนนั้น
ยงั ไมเ่ หน็ ความสำ� คญั และไมร่ วู้ า่ จะนำ� ไปใชอ้ ยา่ งไร เอาจรงิ ๆ เกดิ คำ� ถามในใจดว้ ยซำ้� “ทำ� ไม..โครงการนี้
จึงต้องเริ่มด้วยจิตตปัญญา” ค�ำถามน้ีติดมานานผ่านล่วงเลยไปเป็นปี จนได้มีโอกาสฟังครูสะท้อนว่า
หลังจากทีต่ นเองเข้ารว่ มกจิ กรรมจติ ตปัญญา ทำ� ใหป้ รับบทบาทและลดอำ� นาจในชัน้ เรยี นลง ทา่ ทขี อง
นักเรียนต่อครูน้ันเปล่ียนไป และเป็นไปในทางที่ดี ครูก็ยังเป็นครูท่านเดิมท่ีถามค�ำถามด้วยเสียงที่ดัง
(ส่วนตัวครูท่านนี้เป็นคนพูดเสียงดังอยู่แล้ว) และที่แน่ ๆ เม่ือนักเรียนมาถามก็ยังถามกลับเพื่อให้คิด
128 จากรากแกว้ สู่ผลของต้นเพาะพันธปุ์ ญั ญา
เหมอื นเดมิ เอะ๊ ..แลว้ ปรบั อะไรละ่ ปรบั บทบาทในทนี่ ้ี ครเู ลา่ ใหฟ้ งั วา่ ปรบั จากการตดั สนิ วา่ สงิ่ ทนี่ กั เรยี น
อยากทำ� น้ันถกู -ผิด ควรท�ำ-ไมค่ วรทำ� มาเป็นการถามเพ่อื ใหเ้ ค้าเขา้ มาสูค่ �ำตอบด้วยตนเอง เรียกได้ว่า
เป็นการปรับใจ ปรับความคิดตนเอง จากครูเป็นกระบวนกร จัดการเรียนรู้ให้นักเรียนเปิดใจให้กับ
ทกุ ความคิดของนกั เรยี น นอกจากนีย้ ังมีการตรวจสอบวา่ นักเรยี นของตนเองน้นั พร้อมไหมทจ่ี ะเรียนรู้
พร้อมในทีน่ ี้มใิ ชก่ ารพร้อมทางร่างกาย นัง่ อยู่ในหอ้ งอยา่ งเรยี บรอ้ ย เงยี บ แต่มองลึกไปถงึ ใจ แววตา วา่
ตอนนใี้ จของนกั เรยี นจดจอ่ อยกู่ บั การเรยี นรหู้ รอื ยงั ผา่ นการทำ� กจิ กรรมเชงิ ละลายพฤตกิ รรมกอ่ นเรยี น
นกั เรยี นกจ็ ะหวั เราะบา้ ง คลายความเครยี ดความกงั วลกอ่ นเรยี นจรงิ มแี มแ้ ตใ่ หน้ อนกอ่ นสกั แปบ๊ เพราะ
นกั เรยี นเลน่ กฬี า ทำ� กิจกรรมหลังทานขา้ ว หนา้ ตาง่วง เหนอื่ ย เลยเปิดโอกาสใหพ้ กั สักหนอ่ ยก่อนจะ
เรียนรู้ และอีกประเด็นท่ีส�ำคัญ คือ การปรับท่าที ถึงแม้จะพูดด้วยเสียงอันดังเช่นเดิม แต่โทนเสียง
ทีแ่ ตกตา่ งนกั เรียนกส็ ัมผัสได้ พอได้ฟงั เรอื่ งของครทู า่ นนีม้ ันมคี วามคดิ วง่ิ เข้ามาในหัวทันที โอโ้ หท�ำได้
จรงิ ๆ หรือนี่ แต่ดว้ ยพน้ื ฐานความเปน็ นักวิทยาศาสตร์ สารภาพตรง ๆ วา่ ยังไมเ่ ชอ่ื สง่ิ ทีไ่ ด้ยนิ 100%
หรอกนะ ต้องลองทำ�
ปีถัดมา ก็ได้มีโอกาสเรียกว่า มาซ้�ำ มาย้�ำ กับกิจกรรมจิตตปัญญาอีกคร้ัง รอบนี้เข้าร่วมใน
บทบาทท่แี ตกต่างออกไป รว่ มกิจกรรมในฐานะผ้สู ังเกตการณ์ เม่อื ไม่ไดเ้ ปน็ ผ้ทู �ำกจิ กรรมแตม่ าสังเกต
อยา่ งตัง้ ใจ แก่นทีต่ นเองจบั หลักการและนำ� มาปรบั ใช้ต่อ คือ การฟังให้ลกึ เขา้ ไปถึงจติ ใจ ไมใ่ ช่แค่
ใช้หูฟัง แต่ใช้ตามองการแสดงท่าที ใช้ใจสัมผัสอารมณ์ความรู้สึกของคนพูดว่าอยู่ในบทบาทใด
รวมถึงการเรียนรู้เพื่อเข้าใจตนเอง ตามความคิดของตนให้ทัน แล้วน�ำแก่นเหล่าน้ีมาลองใช้กับ
นักศึกษาของตนเอง เหลือเช่ือจากอาจารย์ใจแข็ง (ฉายาที่นักศึกษาต้ังให้) กลายเป็นคุณพ่ีผู้อารี
ไปได้อย่างไร ตอ้ งบอกวา่ ยงั ถามค�ำถามเพือ่ ส่งเสรมิ การคิดข้นั สูงเหมอื นเดิม ยงั คงวนิ ัย กติกา การเขา้
ช้ันเรียนการส่งงาน การตรงต่อเวลาเช่นเดิม เพียงแค่ปรับวิธีการพูดที่แสดงให้เห็นถึงความส�ำคัญของ
การแสดงความเห็นของนักศึกษาและปรับท่าที นักศึกษากลับรับรู้เจตนาของเราได้แตกต่างออกไป
เรียกได้ว่าจิตตปัญญาท�ำให้เป็นคนดู soft ลง (คนในการศึกษามักจะเน้นความส�ำเร็จท่ีฐานสมอง
โดยเฉพาะเม่ือเป็นการศึกษาวิทยาศาสตร์ (ปัญญาภายนอก) จึงไม่เข้าใจว่าฐานจิตใจส�ำคัญอย่างไร
ความไม่เข้าใจท�ำให้ระแวงกิจกรรมจิตตปัญญาศึกษา แต่ความคิดน้ีจะเปล่ียนไปเมื่อผันตัวเองมาเป็น
ผู้เรียนรู้ (จากการถอยออกมาสังเกต) จากกิจกรรม และเมื่อเอาไปใช้เองจนเห็นความเปลี่ยนแปลง
ของนกั เรยี น จะเขา้ ใจจติ ตปญั ญาใหมว่ า่ คอื เครอ่ื งมอื ฝกึ ตนเองใหเ้ กดิ ปญั ญาภายใน ใชจ้ ดั ความสมั พนั ธ์
ใหมร่ ะหว่างครกู บั ศิษย์)
สธุ รี ะ ประเสริฐสรรพ์ 129
สำ� หรับเพาะพนั ธ์ปุ ญั ญานน้ั เราใหค้ วามสำ� คัญทงั้ ฐานกาย (action หรือการลงมอื ท�ำ) ฐานใจ
(จิตตปัญญา) และฐานความคิด ในส่วนของฐานความคิดนั้น รศ.ดร.สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ (ครูใหญ่)
ได้น�ำหลักของการคิดเชิงระบบ (systems thinking) มาเป็นฟันเฟืองหลักในการคิดเพื่อท�ำโครงงาน
ฐานวิจยั พอพดู ถึงแนวคดิ เชงิ ระบบ คดิ แบบเหตุ-ผล ตอนแรกนกึ เอาเองว่า “สบาย” พน้ื ฐานเราเป็น
นักวิทยาศาสตร์ ถูกฝึกให้คิดหาเหตุ-ผลมาตลอดชีวิต แต่พอได้ลงมือท�ำจริง ไม่ง่ายเลยนะ การท่ีเรา
จะเขียนผังเหตุ-ผลได้เป็นอย่างดีน้ัน เราต้องเข้าใจท้ังเน้ือหา กระบวนการของเรื่องท่ีเราจะเขียน
ผงั เหต-ุ ผลอยา่ งลกึ ซงึ้ ไมเ่ ชน่ นน้ั ผงั เหต-ุ ผลจะไมล่ ะเอยี ด ไมเ่ หน็ ถงึ การใชค้ วามรู้ และทสี่ ำ� คญั ไมไ่ ดแ้ สดง
เหต-ุ ผล (cause-effect) แตเ่ ปน็ การแสดงเหตผุ ล (reason) ที่หลายคร้ังเป็นการคาดเดาเพือ่ ให้เหตผุ ล
มากกวา่ การสาวหาเหตุ-ผล การฝึกคดิ แบบน้ที �ำให้การอธบิ าย การเขียน การวางแผนตา่ ง ๆ ชดั เจน
และเป็นล�ำดับข้ันตอนมากข้ึน ท�ำให้เราคิดละเอียดและที่ส�ำคัญการจะคิดละเอียดได้น้ัน ความรู้
ในหัวต้องชัด เรียกได้ว่าฝึกทั้งวิธีคิดและได้เรียนรู้องค์ความรู้เชิงลึกไปในทีเดียวกัน (กระบวนการ
เพาะพนั ธุป์ ญั ญาทำ� ใหพ้ เี่ ลี้ยงไดป้ ญั ญาจากการคดิ ดว้ ย โดยเฉพาะหากเปน็ นกั วทิ ยาศาสตรท์ ่ีมีพ้นื ฐาน
เหตแุ ละผลอยพู่ อควรกจ็ ะเขา้ ใจเรว็ และพฒั นาตนเองไดง้ า่ ยมาก การรว่ มงานโครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา
จึงเป็นการท�ำไปและได้รบั การศกึ ษาไปด้วย)
เมอื่ อาวุธพร้อม... เอานา่ เรามขี องละ ฟังงานนักศกึ ษามาก็พอควร ท�ำงานวจิ ัยเชงิ วิทยาศาสตร์
มาก็ไมน่ อ้ ย พอลงไปโคช้ นกั เรยี นทโ่ี รงเรยี นคงไม่ยากนกั หรอก (คิดเขา้ ข้างตัวเองอกี ละ ฮา่ ๆๆ) ร้ไู หม..
การลงพ้ืนที่โรงเรยี นเพื่อโคช้ นักเรียนเปน็ ครั้งแรกในชีวิตเกดิ อะไรขน้ึ พดู ได้สนั้ ๆ วา่ “ชอ็ ค” ช็อคแรก
ไม่เข้าใจเร่ืองท่ีนักเรียนพูดเลย ด้วยความท่ีประสบการณ์เกี่ยวกับบริบทในพื้นท่ีสมุทรสาคร
สมทุ รสงครามนอ้ ย ประกอบกบั ประสบการณเ์ กยี่ วกบั ชาวบา้ น ชมุ ชน มนี อ้ ยมาก เมอ่ื นกั เรยี นเลา่ โครงรา่ ง
ข้อเสนอโครงงานใหฟ้ ัง ตอ้ งบอกวา่ มนั มดื แปดด้าน นส่ี ินะ ค�ำกลา่ วจากทเี่ รยี นมาวา่ จะสอนหนังสือ
ต้องค�ำนึงถึงความรู้เดิมหรือประสบการณ์ที่ติดตัวมา เร่ืองธรรมดาที่ใครหลายคนก็รู้แต่ตนเองไม่เคยรู้
อาทิ ไม้กวาดทางมะพร้าวท�ำจากส่วนใดของมะพร้าวยังไม่รู้เลย พอนักเรียนจะท�ำมีดเพ่ือตัดใบออก
จากทางมะพร้าวนึกภาพไม่ออก จนต้องให้นักเรียนอธิบายประกอบการชี้ที่ใบมะพร้าว ช็อคท่ีสอง
ส่ิงที่นักเรียนน�ำเสนอในมุมมองเราไม่จัดว่าเป็นโครงงาน เหมือนเป็นการสืบค้นข้อมูล คราวนี้จะท�ำ
อยา่ งไรทจ่ี ะพาเคา้ ไปใหก้ ลายเปน็ โครงงานไดล้ ะ ชอ็ คสดุ ทา้ ย จะถามหรอื ใชภ้ าษาอะไรใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจ
ตรงกบั เรา ตอ้ งบอกวา่ คำ� ถามชว่ งแรก ๆ ของตนเองคงเปน็ เหมอื นภาษามนษุ ยต์ า่ งดาวสำ� หรบั นกั เรยี น
ทตี่ อบไมไ่ ดไ้ มใ่ ชว่ า่ ไมร่ ู้ แตไ่ มเ่ ขา้ ใจคำ� ถามเรามากกวา่ เอาเปน็ วา่ ตอ้ งอาศยั การฝกึ ฝนเปน็ ระยะเวลานาน
เลยทีเดยี วกว่าจะใช้ภาษาเดยี วกนั ได้
130 จากรากแกว้ สผู่ ลของต้นเพาะพันธ์ุปญั ญา
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนโดยเฉพาะอาจารย์ในระดับอุดมศึกษาคงเกิดค�ำถามในใจ
“การลงพื้นที่ได้เรียนรู้อะไร?” อย่างแรกเลยได้เรียนรู้สิ่งที่อยู่รอบตัว ได้รู้จักธรรมชาติ วิถีชุมชน
ความคิด ความเช่อื ของคนในชมุ ชน และทรพั ยากรต่าง ๆ ท่อี ยใู่ นชุมชน ยงั มคี วามรู้อกี มากมายรอบ
ตัวที่เรายังไม่รู้ เอาเป็นว่าตอนน้ีบอกได้แล้วนะว่าปลาทูแม่กลองหน้าตาเป็นอย่างไร (เดิมเข้าใจว่า
ปลาทูที่อยู่ในเข่งหน้างอคอหักเป็นปลาทูแม่กลองทุกตัว) ต่อมามองว่าตนเองได้ลับคมความคิดและ
ฝกึ การใชภ้ าษา จะพดู อยา่ งไรใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจและคดิ ตาม การทจ่ี ะไปถงึ จดุ นนั้ ไมใ่ ชเ่ พยี งแตก่ ารเลอื กใช้
ภาษาเพยี งอย่างเดยี ว แตส่ ่ิงทอ่ี ย่ใู นหัวเราต้องชัดด้วย สงิ่ น้ที �ำให้เราในฐานะอาจารย์สอนหนังสือ ไม่สิ
เรียกว่าจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับนักศึกษาได้ดีขึ้น รวมถึงการลงมาคลุกวงในในห้องเรียนจริงท�ำให้
เราเข้าใจเหตุว่าท�ำไมนักศึกษาจึงคิดข้ันสูงไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเค้าไม่คิดแต่เค้าไม่เคยถูกฝึกให้คิดต่างหาก
ไม่ใช่ว่าเค้าไม่รู้เพียงแต่สิ่งท่ีเราถามไปนั้นตรงกับประสบการณ์ของเค้าไหม สอดคล้องกับความรู้เดิม
ทเี่ คยมไี หม เราคดิ กนั เอาเองวา่ นกั ศกึ ษาควรรเู้ ทา่ นี้ เพราะตามหลกั สตู รเขยี นมา แตใ่ นชวี ติ จรงิ หลายครง้ั
จะเจอวา่ ครไู มส่ อนหรอกเพราะเดย๋ี วครใู นระดบั ถดั ไปกส็ อนเอง พอขน้ึ ชน้ั มาครกู ไ็ มส่ อนเพราะเขา้ ใจวา่
นักเรียนได้เรียนในระดับก่อนหน้านี้แล้ว สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าไม่เคยแม้แต่ได้ฟังความรู้มาก่อน
ส่ิงนี้ต่างหากที่ส่งผลสะท้อนกลับมาให้เราสามารถปรับและพัฒนากระบวนการเพ่ือจัดการเรียนรู้ได้ดี
ยิ่งขึ้น (การขาดประสบการณ์ท�ำให้พ่ีเล้ียงมีโอกาสรู้ตัวเองจากการสะท้อนคิดในประสบการณ์ใหม่
เกิดการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (paradigm) ท่ีพลิกมุมมองโลกภายนอกมหาวิทยาลัย และจะสนุกกับ
การเรียนรู้ในประสบการณ์ใหม่ (experiential learning) พัฒนาตนเองด้านการสื่อสารที่มีบริบท
นอกมหาวิทยาลัยก�ำกับ จากบริบทวิชาการข้ันสูงในมหาวิทยาลัยมาเป็นบริบทชาวบ้านในชุมชน
การเขา้ ใจปญั หาการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานทำ� ใหต้ ระหนกั รทู้ กั ษะทจ่ี ำ� เปน็ ในการเปน็ ผสู้ อนในมหาวทิ ยาลยั )
การทำ� งานในฐานะพเ่ี ลยี้ งเพาะพนั ธป์ุ ญั ญานน้ั มหี ลายมติ ิ ไมเ่ พยี งแตม่ ติ ใิ นชนั้ เรยี น แตย่ งั มมี ติ ขิ อง
การท�ำงานร่วมกับทีมครูและทีมพี่เล้ียงจากศูนย์อ่ืน อาจเป็นเพราะพวกเรามีประสบการณ์ร่วมกัน
เลยเป็นเหตุให้ครูและพ่ีเลี้ยงเพาะพันธุ์ปัญญาต่อกันติดได้ง่ายมาก เราเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน
ต้องบอกว่าเราสามารถพูดความล้มเหลวหรือข้อผิดพลาดของเราให้พี่เลี้ยงจากที่อื่นหรือครูเพาะพันธุ์
ปัญญาฟังได้ คนฟังก็รับฟังและมองร่วมกันเพ่ือหาทางแก้ปัญหา ไม่ได้มาพิพากษาตัดสินการกระท�ำ
ของเรา หลายคร้ังได้รับการปลอบโยน เติมเต็มพลังใจจากครูด้วยซ้�ำ บรรยากาศการเรียนรู้แบบน้ี
ท�ำให้เรากล้า กล้าทีจ่ ะพดู กลา้ ยอมรับ กล้าเปลยี่ น และทีส่ �ำคญั เราเปดิ ใจรบั ฟัง ทำ� ใหเ้ กดิ การเติมเตม็
ในหลากหลายมติ ิ
สงิ่ หนงึ่ ทตี่ อ้ งยอมรบั คอื “การทำ� งานในโครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญานนั้ เหนอ่ื ย เหนอ่ื ยมากกกกกก”
เหน่ือยในทีน่ ้มี ที ้ังเหน่อื ยกายและเหนื่อยใจกับการท�ำงานกับผู้คน แต่ส่ิงทท่ี �ำใหย้ งั ท�ำต่อและไม่ล้มเลกิ
ระหว่างทาง คือมิตรภาพที่พวกเราพี่เล้ียงและครูมีให้กัน การเปิดอิสรภาพทางด้านความคิดในการ
สร้างสรรค์กระบวนการของครูใหญ่ และการเปิดพ้ืนท่ีปลอดภัยให้ร่วมเรียนรู้ถือเป็นฟันเฟืองหน่ึง
สุธีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 131
ทใี่ หเ้ ราเตบิ โต ใหเ้ ราเรยี นรรู้ ว่ มกนั ในการปฏบิ ตั ใิ นสถานการณจ์ รงิ (Interactive learning through
action) ท่นี �ำไปสูป่ ัญญารว่ ม นวตั กรรมอจั ฉริยภาพกล่มุ ท่ีท�ำให้ฝา่ ความยากสู่ความสำ� เรจ็ ดังท่ี
ศ.นพ.ประเวศ วะสี ไดก้ ล่าวไว้ในปาฐกภาพเิ ศษ เวทภี าคเี พ่ือการศกึ ษาไทย ในงาน TEP Forum 2018
วนั ที่ 5 พฤษภาคม 2561 (การบรหิ ารงานทีส่ ร้างบรรยากาศมติ รภาพ อสิ รภาพ และพื้นท่ีปลอดภยั
(ไม่หวาดกลัว ไม่มีผิดไม่มีถูก ยอมรับว่าเป็นการทดลองเพื่อเรียนรู้ให้ได้ค�ำตอบท่ีเป็นหนทางที่ดีที่สุด
ของการไปถึงเป้าหมายของงาน) ท�ำให้สามารถกลบความยากล�ำบากจากการท�ำงานได้ เป็นบทเรียน
การพัฒนาบุคลากรการศกึ ษาท่นี ่าสนใจ)
ผศ.ดร.น�้ำคา้ ง ศรีวัฒนาโรทัย
ศูนย์พีเ่ ลย้ี ง ม.มหิดล
จากแรงบนั ดาลใจ...สู่แรงบันดาลใจ
เพ่ือนหลายคนถามครูตุ้มว่า “เกษียณแล้วท�ำไมยังไม่หยุดท�ำงาน จะได้ไปพักผ่อน ท่องเท่ียว
สงั สรรค์ ทำ� ส่งิ ในส่ิงที่อยากทำ� ในแบบทคี่ นอ่ืนๆ เขาท�ำกนั ” ครูตมุ้ ได้แตย่ ิม้ แตใ่ นใจกแ็ อบคดิ นะว่า
“เพราะฉนั มแี รงบนั ดาลใจมากมาย” จะอธบิ ายกค็ งยาว และพดู ไปเขากอ็ าจไมเ่ ขา้ ใจความคดิ ความรสู้ กึ
ของเราก็เปน็ ได้ (แอบตดั สินเองเออเอง) แต่กไ็ ด้บอกสนั้ ๆ ว่า “ความสขุ ไงละ่ ” เราเช่อื วา่ ทุกคนต่างมี
เหตผุ ลในการกระทำ� สง่ิ หนงึ่ หนง่ึ สงิ่ ใด คอื “หนา้ ทแ่ี ละความสขุ ” ดงั นนั้ เมอื่ มโี อกาส เวลา และอสิ รภาพ
หยิบย่ืนมาให้ จึงไม่มีเหตุผลใดท่ีเราจะไม่รับท�ำงานน้ี การเข้ามาท�ำหน้าท่ีเป็นพ่ีเลี้ยงในโครงการ
เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาสงั กดั ศนู ยพ์ เ่ี ลยี้ งมหาวทิ ยาลยั มหดิ ลทา่ มกลางสายใยความรกั ความผกู พนั ของพเ่ี ลย้ี ง
ของครเู พาะพนั ธุป์ ญั ญา ท่ีพวกเรารว่ มงานกัน ผ่านสขุ -ทกุ ข์ รว่ มกันมาตง้ั แตต่ น้ เร่มิ โครงการ การได้ท�ำ
ในสิง่ ทเี่ รารักทีเ่ ราศรทั ธาและสิ่งนน้ั มคี ุณคา่ ยง่ิ สำ� หรับครูตมุ้ ถอื วา่ เป็นความโชคดียง่ิ นัก ไมว่ ่าเราจะอยู่
ในฐานะครหู รอื พเี่ ลย้ี งกต็ าม เพราะงานทที่ ำ� ยงั คงอยใู่ นโหมดของการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย์ เปน็ หนา้ ท่ี
ท่ีเราคุ้นชินท�ำมาตลอดชีวิตการรับราชการเกือบ 40 ปี และด้วยความศรัทธาความเคารพรักที่มีต่อ
ครใู หญ่ของพวกเราคอื ทา่ นอาจารย์สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์ ความรกั ความศรัทธาในพเี่ ลีย้ ง ครู-อาจารย์
เพาะพันธุป์ ญั ญา เป็นความความภูมิใจท่ไี ดเ้ รยี นรู้ ไดฝ้ กึ ประสบการณ์ ท่ามกลางคนดคี นเกง่ มากมาย
เช่นนี้จึงไม่ยากต่อการตัดสินใจร่วมงานกันต่อไป (โดยทั่วไปครูคือผู้ท่ีพร้อมจะท�ำหน้าที่ให้ผู้อื่นได้ดี
จากการศึกษา แต่หากตลอดชีวิตการท�ำงานยังรู้สึกไม่ fulfill ครูย่อมแสวงหาหนทางการท�ำหน้าท่ี
ทีด่ ที ีส่ ดุ เมือ่ พบหนทางจงึ รูว้ ่าการได้ท�ำหนา้ หนา้ ที่คอื ความสขุ เมอ่ื ครทู �ำหนา้ ทด่ี ว้ ยความสุข ครจู ะมี
พลังมากมาย)
132 จากรากแกว้ สผู่ ลของตน้ เพาะพันธ์ุปัญญา
ประสบการณ์ต่าง ๆ ตลอดระยะเวลาของการบม่ เพาะกวา่ 6 ปี ค่อย ๆ เตบิ โตและฝงั รากลึก
และแผ่ขยายจน(ต้น)มั่นคง ไม่กังวลกับพายุ ฝน อุปสรรคใดท่ีจะท�ำให้โค่นล้มได้ ครูตุ้มคิดว่า
“ฉันได้เรียนรู้ ฉันได้พัฒนา ท้ังความคิดและจิตใจ” โดยเฉพาะเร่ืองการเติบโตภายในมันส�ำคัญยิ่ง
ประสบการณ์ของการเป็นครูเพาะพันธุ์ปัญญาเร่ือยมาจนมาเป็นพ่ีเลี้ยง เราเห็นการเปลี่ยนแปลง
ท่ีเกิดข้ึนกับตัวเราและเพ่ือนครูได้มากมาย ก็เพราะจิตตปัญญาที่มาเปิดใจครูเพาะพันธุ์ปัญญา ให้เรา
รู้จักตนเองเช่ือมโยงสู่ความเข้าใจในผู้อื่น ได้เรียนรู้ภายในเพ่ือจัดการกับภายนอก สามารถอยู่ร่วมกับ
สิ่งแวดล้อมที่ผันแปรได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าพี่เลี้ยง ครู นักเรียน เม่ือใจเปิดพื้นท่ีก็เปลี่ยน เราก็สามารถ
เรียนรู้ร่วมกันได้เป็นอย่างดีในทุกสถานะภาพ ไม่ว่าครูตุ้มจะอยู่ในสถานะความเป็นครู เป็นพี่เล้ียง
แต่ความรู้สึกยังเหมือนเดิมคือเป็นเพ่ือนร่วมเรียนรู้ที่มีความเท่าเทียมกัน และไม่ได้คิดว่าอายุจะเป็น
อปุ สรรคอะไร (ความผกู พนั และความสขุ ในการทำ� งานอนั เกดิ จากอสิ รภาพและการเปลยี่ นแปลงตนเอง
จากจิตตปัญญาท่ีโครงการฯ มอบให้ ท�ำให้ครูท่ีเคยอยู่กับระบบการศึกษาที่มีแต่ระบบอ�ำนาจ บังคับ
กวดขนั ตดิ ตามการท�ำงานไดเ้ กดิ แรงบนั ดาลใจในการทำ� หนา้ ทพี่ เี่ ลยี้ ง ตระหนกั ในความสขุ ของการเปน็
ครทู มี่ ีโอกาสไม่ต้องหยดุ ท�ำหนา้ ทีท่ ่ีตนผูกพัน)
สัมพันธภาพในทีมพี่เลี้ยงนั้นฝังแน่นมานานกว่า 10 ปี น้อง ๆ ทุกคนเป็นคนเก่งท่ีเราช่ืนชม
มาตลอดทุกคนต่างน่ารัก ครูตุ้มเรียนรู้และซึมซับในการท�ำงานหลายส่ิงจากน้อง ๆ ทุกคนต่างให้
ความเอื้ออาทร ความจริงใจ ความเช่ือถือไว้วางใจ แก่กันและกัน รับสัมผัสความรู้สึกเช่นนี้มานาน
ตง้ั แตส่ มยั เป็นครทู ไ่ี ด้รว่ มงานกนั ในความสนิทสนมพวกเราอาจมเี ถียงกนั บ้าง แต่พวกเรากต็ ่างเคารพ
ในความคดิ ทต่ี า่ งกนั ครตู มุ้ มองวา่ ความตา่ งทางความคดิ เปน็ ความงดงามทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ การเรยี นรรู้ ว่ มกนั
ก่อให้เกิดปัญญาร่วมกัน (collective wisdom) ท�ำให้พวกเราสามารถร่วมกันพัฒนาและแก้ปัญหา
ท�ำเรื่องที่ยากล�ำบากได้ส�ำเร็จ พวกเราสนุกมากในการท�ำงานเพาะพันธุ์ปัญญา ครูตุ้มรับรู้ถึงภาระ
งานประจ�ำของทีมศูนย์พ่ีเล้ียงมหิดลท่ีนอกเหนือจากงานโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาว่ามีมากมาย
เพยี งใด แตท่ กุ ครง้ั ทม่ี ปี ฏทิ นิ ทำ� งานเพาะพนั ธป์ุ ญั ญา ทกุ คนตา่ งยนิ ดแี ละสนกุ กบั การทำ� งานการลงพน้ื ท่ี
ในทกุ ๆ ครง้ั ทพี่ วกเราพบกนั ไดพ้ บครู ไดพ้ บเดก็ เปน็ ความสขุ ความประทบั ใจตลอดเวลา (ความสำ� เรจ็
ในการเปล่ียนตัวเองให้ใช้เวลาวัยเกษียณมาท�ำหน้าท่ีพ่ีเลี้ยงเกิดเพราะความสัมพันธ์ที่มีกับพ่ีเล้ียง
มายาวนาน (ในโครงการตา่ ง ๆ) จงึ เปน็ บทเรยี นรวู้ า่ ความสมั พนั ธท์ เี่ คารพบทบาทหนา้ ทขี่ องกนั และกนั
เมอ่ื ผนวกกบั ความรสู้ กึ ถงึ เจตนาดขี องการเปน็ ผใู้ ห้ สามารถสรา้ งความสมั พนั ธใ์ หพ้ ฒั นาอยา่ งตอ่ เนอื่ งได้
การบรหิ ารงานการศกึ ษาควรใชว้ ธิ นี ใี้ หม้ ากขน้ึ พฒั นาดา้ นจติ ใจของผบู้ รหิ ารระดบั สงู ใหเ้ ขา้ ใจครผู นู้ อ้ ย)
สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 133
ดว้ ยความสมั พนั ธใ์ นการท�ำงานกบั ครกู บั พเ่ี ลยี้ งไดข้ ยายออกไปตามศนู ยต์ า่ ง ๆ พวกเราตา่ งยนิ ดี
ร่วมรวมพลังกันท�ำงาน ในช่วงที่ครูตุ้มเข้าไปเป็นพ่ีเล้ียงศูนย์ภาคกลาง 2 ศูนย์ คือศูนย์มหิดลและ
ศนู ยม์ ลู นธิ ิปัญญาวุฑฒิ ต่างรวมพลงั ทำ� งานร่วมกัน ครูตมุ้ เองทดี่ จู ะว่างมากเปน็ พเิ ศษดว้ ยเกษยี ณแล้ว
จงึ มเี วลาไปรว่ มงานกบั ศนู ยม์ ลู นธิ ฯิ อยเู่ นอื ง ๆ และเดนิ ทางไปรว่ มแลกเปลย่ี นเรยี นรตู้ ามศนู ยฯ์ ตา่ ง ๆ
ทว่ั ประเทศ ทำ� ใหร้ จู้ กั กบั ครใู นศนู ยภ์ าคกลางและศนู ยภ์ าคอน่ื ๆ เสมอื นวา่ พวกเราคอื ครอบครวั เดยี วกนั
เป็นประสบการณด์ ี ๆ ทีค่ รูตุม้ ไดร้ บั ตลอดระยะเวลาทีท่ �ำงานนี้
การทำ� หนา้ ทีพ่ ่ีเล้ียง ท่เี ปน็ ท้ัง coach เปน็ mentor เปน็ facilitator ท�ำใหไ้ ดร้ จู้ ักครูมากมาย
หลายศนู ยพ์ ่เี ลย้ี ง ไดพ้ ูดคุยสนทนาในความเปน็ พี่นอ้ งครอบครวั เพาะพันธุ์ปญั ญาทีข่ ยายอยู่ทั่วทุกภาค
มคี รหู ลายคนทเ่ี คยบอกในเรอื่ งทำ� นองเดยี วกนั วา่ “อยากเปน็ แบบครตู มุ้ บา้ ง” “ถา้ อายเุ ทา่ ครตู มุ้ (พต่ี มุ้
ปา้ ตมุ้ แมต่ มุ้ สดุ แลว้ แตจ่ ะมคี นเรยี ก) จะยงั สามารถทำ� งานไดแ้ บบนหี้ รอื ไม”่ ไปถงึ ในบางชว่ งเวลา ทมี่ คี รู
สง่ ข้อความหรือเขียนความรู้สึกสง่ มาขอบคณุ และเขียนบอกว่าเราเปน็ แรงบนั ดาลใจ เปน็ กัลยาณมติ ร
เราเปน็ ครตู น้ แบบของเขา เมอ่ื เขามองภาพในอนาคตเขาอยากเปน็ แบบเราบา้ ง ทำ� ใหย้ อ้ นนกึ วา่ เราเอง
กม็ ีต้นแบบมากมายเชน่ กัน ทำ� ให้เราได้ใช้ชีวติ ท่ีเตม็ ไปด้วยแรงบันดาลใจจากครูบาอาจารย์ผ้ใู หญ่ทเี่ รา
เคารพนบั ถอื เปน็ พลงั สว่ นลกึ ใหเ้ รามคี วามสขุ ยงั สนกุ กบั การทำ� งาน และทสี่ ำ� คญั ไดต้ อบแทนคณุ แผน่ ดนิ
ได้รว่ มพัฒนาปัญญาใหเ้ กดิ กบั ทรัพยากรมนุษย์ “จากแรงบันดาลใจ... สแู่ รงบันดาลใจ” แม้ไม่สามารถ
สร้างให้เกิดกับทุกคนได้แต่อย่างน้อยก็ภูมิใจที่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนและเพ่ือนครูบางคน
ได้บ้าง (แรงบันดาลใจเกิดจากการเห็นตัวอย่างการกระท�ำในทางกุศล แรงบันดาลใจท�ำให้คนท�ำงาน
ด้วยฉันทะ ซ่ึงจะก่อให้เกิดแรงบันดาลใจกระเพื่อมออกไปสู่หลายคน แรงบันดาลใจเมื่อเกิดแล้ว
มตี น้ ทนุ การบรหิ ารใหค้ นท�ำงานตำ�่ มาก เพราะเขาทำ� เองดว้ ยความสขุ ตา่ งกบั แรงจงู ใจทต่ี อ้ งพลกิ แพลง
การบรหิ ารเพอ่ื เพิ่มระดบั ความจงู ใจให้มากข้นึ เปลืองทรพั ยากรในการบรหิ าร เพาะพนั ธ์ุปัญญาพบว่า
แรงบนั ดาลใจเปน็ สิ่งทหี่ ายไปจากระบบบรหิ ารการศกึ ษาไทย)
ขอขอบพระคุณ ขอบคุณ ครูอาจารย์ เพ่ือน พี่น้อง นักเรียนเพาะพันธุ์ปัญญาและทุกสิ่ง
ท่ีเชอื่ มโยงให้ครูตมุ้ มีโอกาสรว่ มเรยี นรู้ร่วมทำ� งานในโครงการเพาะพันธุป์ ัญญา ได้รว่ มเปน็ อกี หนง่ึ พลัง
ในการสรา้ งโอกาสการเรยี นรู้ร่วมกนั ไดพ้ ัฒนาตนและคนอ่ืน ๆ
ครูอรณุ วรรณ กลัน่ กลึง
ศูนยฯ์ ม.มหดิ ล
134 จากรากแก้วสผู่ ลของต้นเพาะพันธ์ุปัญญา
จติ เป็นนาย กายเป็นเรอื สตเิ ปน็ หางเสือ ปัญญาเปน็ คนพาย
บทความสะทอ้ นความรสู้ กึ นเี้ ขยี นขน้ึ ผา่ นประสบการณข์ องผมเอง ผา่ นบทบาททไ่ี ดร้ บั มอบหมาย
ให้เป็นพ่ีเล้ียงโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาซ่ึงมีเป้าหมาย คือ การพัฒนาครูผ่านกระบวนการเรียนรู้บน
ฐานวิจยั โดยมกี ลุ่มพ่เี ลีย้ งอีกกวา่ 30 ชีวติ ร่วมเดนิ ในเสน้ ทางนีต้ ลอดเวลากว่า 7 ปี
สงิ่ แรกทปี่ ฏเิ สธไมไ่ ด้ คอื ความผกู พนั (หรอื อาจเรยี กวา่ “อนิ ”) เหตเุ พราะฉนั ทะสว่ นตวั ทหี่ ลงใหล
ในงานด้านการพัฒนามนุษย์ พอได้รับโอกาสจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะกระโจนลงมาร่วมทางเดินนี้
ซึ่งตลอดเส้นทางของวถิ ีเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาไดต้ อกย้�ำใหผ้ มเหน็ สจั ธรรมของการเรยี นรู้เพือ่ พฒั นาปญั ญา
ของมนุษย์ได้อย่างชัดเจน จนหลายคร้ังคนรอบตัวมักสะท้อนให้ฟังอยู่บ่อย ๆ ว่างานน้ีดูเหมือนจะ
พฒั นาตวั เราเองเสยี มากกวา่ ดว้ ยซำ�้ ! จรงิ แทเ้ ชน่ ไรคงตอบยาก... แตส่ ง่ิ ทเ่ี หน็ เปน็ รปู ธรรมอยา่ งหนงึ่ คอื
การได้พบเจอกัลยาณมิตรท่ีมีจุดร่วมของชีวิตที่คล้ายคลึงกัน และต่างคอยช่วยกันหนุนเสริมเติมก�ำลัง
ทง้ั แรงกายแรงใจ ทงั้ หลากวยั และหลายรนุ่ จนหลายครง้ั ดเู หมอื นกบั ยำ� รวมมติ รทกี่ วา่ จะตกลงหารสชาติ
ที่พอดีได้ก็เกิดพื้นท่ีปะทะสังสรรค์กันอยู่ไม่น้อย แต่เชื่อไหมว่าเพราะความหลากหลายบนจุดร่วม
ทคี่ ล้าย ๆ กันนี้เองท�ำให้ผมได้พบกบั ความงดงามแหง่ การเรยี นรู้ที่อยู่ทา่ มกลางโรงมโหรสพแหง่ น้ี
อยู่บ่อยคร้ัง และเกอื บทกุ ครัง้ ของบรรยากาศในแตล่ ะตอนแทบไมม่ กี ารฉดุ รงั้ ดว้ ยตำ� ราหรอื ทฤษฎี
ท่ีชวนให้พวกเราทุกคนต้องมานั่งปวดหัวกลัวการเร่ิมต้นใด ๆ แม้หลายครั้งก็ไม่อยากจะบอกว่า
รสู้ กึ (เหมอื นจะ) “มวั่ ” แตก่ ลั ยาณมติ รหลายทา่ นกใ็ หก้ ำ� ลงั ใจวา่ ไมใ่ ช่ “มวั่ ” หรอกเคา้ เรยี กวา่ “เนยี น”
หรือ “พลิ้ว” มากกว่า ถึงจุดนี้ผมไม่อาจทราบได้ว่าสิ่งที่ท�ำในวิถีเพาะพันธุ์ปัญญาน้ันอยู่บนพ้ืนฐาน
ท่ีถูกต้องตามหลักทฤษฎีของใครมากน้อยเพียงใด แต่ม่ันใจได้อย่างหน่ึงว่าผลลัพธ์ท่ีเกิดขึ้นได้พัฒนา
และเปลี่ยนแปลงไปแล้วแน่นอน ท่ีส�ำคัญคือเปลี่ยนไปในทางท่ีดีข้ึนอย่างชัดเจน แม้อาจไม่ใช่ส่ิงที่
ยิ่งใหญ่จนคนท่ัวไปใคร่จะรับรู้เพราะเส้นทางเดินบนวิถีแบบเพาะพันธุ์ปัญญานั้นไม่ได้ถูกออกแบบ
เพ่ือกู่ก้องร้องป่าวว่าเรามีอะไรดี แต่ถูกออกแบบให้ผู้ร่วมเดินทางร่วมกันออกแบบกับตัวเอง
จึงเหมือนกับเส้ือสั่งตัดท่ีสามารถเข้ารูปได้พอดีแถมด้วยความยืดหยุ่นที่สามารถปรับเปล่ียนได้ตาม
สถานการณ์ ท�ำให้เหมือนกับว่ามีความ “อินด้ี” อยู่ไม่น้อย เพราะไม่เน้นขาย แต่เน้นให้ขวนขวาย
ซง่ึ หากมองดูวถิ แี บบน้ีใครเป็นแล้วกเ็ ป็นเลย ไม่ใช่ Pop Culture ทมี่ าแล้วก็ไป หากแต่เปน็ Real
Culture ท่ีเกิดขึ้นแล้ววิวัฒน์ตัวเองได้อย่างสมดุลบนทางเดินท่ีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
โดยไมล่ ะเลยจติ วญิ ญาณทจ่ี รงิ แทข้ องวถิ แี บบนี้ (งานทมี่ สี ภาพความเปน็ พลวตั สงู ตอ้ งการกระบวนการ
กลุ่มเพื่อสร้างการเรียนรู้ที่พัฒนาไปด้วยกัน กระบวนการกลุ่มท่ีมีประสิทธิผลสูงสุดคือการเอาสิ่งท่ีท�ำ
และผลการกระทำ� มาแลกเปลย่ี น ถอดบทเรยี น สรา้ งองคค์ วามรู้ แลว้ เวยี นกลบั ไปทดสอบในบรบิ ทของ
ตนเองใหม่ เพอื่ วนกลบั มาแลกเปลีย่ นกนั ใหม่ ทุกคนทอี่ ยใู่ นวงจรน้ีจะร้สู ึกถึงความเตบิ โตที่งดงามของ
กันและกัน เป็นการเข้าใจความหมายของ PLC โดยถอ่ งแทจ้ ากการปฏิบัติ)
สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ 135
ความรู้สึกท่ีกล่าวมาทั้งหมดข้างต้นผมขอสรุป (ตามความเห็นส่วนตัว) ว่าวิถีแบบเพาะพันธุ์
ปญั ญา เปน็ “ปรชั ญา” เพอ่ื การเรยี นรขู้ องมนษุ ย์ ซง่ึ เนน้ การปฏบิ ตั ิ การทำ� จรงิ โดยมคี วามรเู้ ปน็ ฐาน
ไมใ่ ชย่ ดึ ตวั ความรแู้ ลว้ เชอื่ แตอ่ าศยั องคค์ วามรเู้ พอ่ื ทำ� แลว้ คอ่ ยวพิ ากษ์ ผา่ นฐานคดิ ทเี่ ปน็ เหตเุ ปน็ ผล
(ration) ไม่ใชอ่ าศยั แค่เหตผุ ล (reason) หรืออารมณ์ (emotional) น่นั จงึ ท�ำให้ความรู้สึกของผม
ทม่ี ตี อ่ สงิ่ นจ้ี งึ ยดื หยนุ่ และเชอ่ื มโยงไปกบั ทกุ สง่ิ ในชวี ติ (กลั ยาณมติ รทรี่ ว่ มเดนิ ทางไปดว้ ยกนั สรา้ งสรรค์
คน้ หาหนทางไปด้วยกัน โดยมเี ปา้ หมายเดียวกนั ในการพฒั นาคนในการศกึ ษา การไม่ยึดตดิ กับวิธกี าร
หรอื คำ� สงั่ ใหท้ ำ� แตเ่ ปน็ การเปดิ โอกาสใหไ้ ดล้ องของใหม่ ทำ� แลว้ จงึ ทำ� ความเขา้ ใจ สรปุ เปน็ แกน่ ความรู้
ภายหลงั (ปฏบิ ตั ิ ปฏเิ วธ ปรยิ ตั )ิ คอื เสนห่ ก์ ารทำ� งานทท่ี ำ� ใหค้ นทำ� งานหลงใหล (passion) จนสามารถ
สะท้อนคุณคา่ ได้อยา่ งชดั เจน)
คงวุฒิ นริ นั ตสขุ
ศนู ยฯ์ มลู นธิ ปิ ัญญาวฑุ ฒิ
136 จากรากแกว้ ส่ผู ลของต้นเพาะพนั ธุป์ ญั ญา
เสพติดการเรียนรทู้ ่แี ตกตา่ ง
วันแรกท่ีได้รู้จักกับโครงการเพาะพันธุ์ปัญญารู้สึกทึ่งมากในกระบวนการการจัดการเรียนรู้
คิดในใจว่าท�ำแบบน้ีในห้องเรียนก็ได้เหรอ ซ่ึงแต่ก่อนเข้าใจว่าครูมีหน้าที่บอกความรู้เด็กอย่างเดียว
แต่เพาะพันธุ์ปัญญาแตกต่างออกไป เพาะพันธุ์ปัญญาฝึกให้เด็กคิดเชิงระบบ ดึงปรากฏการณ์ต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นในการท�ำงานมาอธิบายเป็นสาระความรู้เชิงเหตุ-ผล ซ่ึงเป็นส่ิงที่ประทับใจในกระบวนการ
มาก ๆ แรก ๆ คิดแค่ว่ามาร่วมเรียนรู้ก็พอเพราะได้รับปากกับทีม มรภ.ศรีสะเกษว่าจะมาช่วยก่อน
ในชว่ งน้ี เด๋ียวเค้าก็คงให้เลกิ เพราะเราไมไ่ ดอ้ ยคู่ ณะครุศาสตร์ เราอย่วู ทิ ยาศาสตร์ เร่ืองนม้ี ันเปน็ ของ
ครศุ าสตร์ แตพ่ อเวลาลงพน้ื ทจ่ี ะรสู้ กึ สนุกทุก ๆ ครง้ั เพราะจะได้เจอประสบการณใ์ หม่ ๆ จากโครงงาน
ของเดก็ ๆ ทไี่ ดเ้ รยี นรรู้ ว่ มกนั และคณุ ครจู ะมเี รอื่ งเลา่ ใหฟ้ งั มากมายเกย่ี วกบั การทำ� งานภายใตโ้ ครงการ
เพาะพันธป์ุ ญั ญาในโรงเรยี น ทั้งทีเ่ ป็นความสขุ ความยากลำ� บาก อุปสรรค ความทกุ ข์ใจของครู รวมทั้ง
การแก้ปญั หาของครู แตส่ ุดทา้ ยทั้งพ่ีเลยี้ งและคุณครกู ไ็ ด้ขอ้ สรุปร่วมกนั วา่ ทกุ อย่างคอื การเรียนรแู้ ละ
ประสบการณ์ปฏิบัติทม่ี ีคุณค่าอยา่ งมาก จนถงึ ตอนน้ีสรปุ กับตัวเองได้ว่าชอบแล้วเลิกยากแล้วแหละ
ถึงแม้ว่าในช่วงปีแรกท่ีเข้าโครงการต้องใช้เวลาท�ำความเข้าใจกับวิธีคิดแบบเพาะพันธุ์ปัญญา
พอสมควร แต่พอเริ่มเข้าใจก็เริ่มสนุกและท้าทายเมื่อต้องลงไปจัดกิจกรรมท่ีโรงเรียน และจะตื่นเต้น
ทุก ๆ ครงั้ ทีท่ ่านอาจารยส์ ธุ ีระ หรอื ท่านอาจารยไ์ พโรจนม์ า workshop ซึ่งจะท�ำให้ได้เรยี นรู้เรือ่ งเดิม
แต่ไม่ซ้�ำเดมิ ทกุ ๆ คร้งั ท�ำใหต้ อ้ งตัง้ ใจฟงั มาก ๆ ไมเ่ ช่นนน้ั จะตามไมท่ ันเลย และส่งิ ท่ไี ด้ คือ การเอา
กจิ กรรมทไ่ี ดร้ บั การฝกึ ไปประยกุ ตใ์ ชท้ ง้ั กบั นกั เรยี นในโครงการ ฯ แมก้ ระทง่ั ในการเรยี นการสอนระดบั
อดุ มศกึ ษาทสี่ อนอยกู่ เ็ อากระบวนการไปปรบั ใช้ อยา่ งเชน่ จติ ตปญั ญา systems thinking ซ่ึงนกั ศกึ ษา
สนุกกบั วิธคี ดิ เชงิ เหตุ-ผลของเพาะพนั ธุป์ ญั ญามาก (เป็นตัวอย่างของการท�ำงานที่มีความสุข เพราะได้
เปดิ โลกทศั นใ์ หมข่ องคนทไี่ มค่ นุ้ เคย (อาจารยค์ ณะวทิ ยาศาสตร)์ โลกทศั นเ์ ปลย่ี นไปเพราะไดส้ มั ผสั กบั
บรบิ ทใหมท่ ไี่ มเ่ คยทราบมากอ่ น จงึ เกดิ การเรยี นรู้ และการเหน็ ผลของการเรยี นรแู้ บบน้ี เหน็ ประโยชน์
จากการเอาไปประยุกต์ใช้ในงานตนเองทำ� ให้เปลย่ี นกระบวนทัศน์ในการท�ำงาน)
ขอบคณุ โครงการเพาะพันธปุ์ ญั ญา ขอบคุณสำ� นักงานกองทุนสนับสนุนการวจิ ัย (สกว.) ขอบคุณ
ธนาคารกสิกรไทย ขอบคุณหน่วยจัดการกลางฯ ขอบคุณศูนย์พ่ีเลี้ยงฯ ทุกศูนย์ มันเป็นการท�ำงาน
ทม่ี คี วามสขุ มาก ทุก ๆ ท่านเปน็ กลั ยาณมิตรที่ดีตอ่ กนั ชว่ ยเหลอื ซึ่งกนั และกัน แชร์ประสบการณแ์ ละ
วธิ ปี ฏบิ ตั เิ มื่อเกิดปัญหาให้กนั และกนั เป็นประสบการณท์ ลี่ ้�ำคา่ ทส่ี ดุ อย่างหนึง่ ในชวี ิตผมเลยกว็ ่าได้
อ. ณัฐกร โต๊ะสิงห์
ศนู ย์ มรภ.ศรีสะเกษ
สุธีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 137
การเรยี นรหู้ นา้ ท่ตี นเอง
6 ปี กับโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา ... ผมในขณะน้ันเป็นผู้อ�ำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สรุ าษฎรธ์ านี ไดร้ บั การประสานงานจาก รองศาสตราจารย์ ดร.สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ์
ใหเ้ ข้าร่วมท�ำโครงการเพาะพนั ธ์ปุ ญั ญา ซึ่งตอนแรกกย็ ังงง ๆ วา่ มนั คอื อะไร... แตด่ ว้ ยความชื่นชมทา่ น
รองศาสตราจารย์ ดร.สธุ ีระ ประเสริฐสรรพ์ เป็นการสว่ นตวั จึงได้ตอบตกลงเขา้ ร่วม
เราเร่ิมต้นจากการท�ำความเข้าใจแนวคิดหลักของโครงการและการพัฒนาทักษะพ้ืนฐานของ
การเปน็ พเ่ี ลย้ี ง เชน่ การประยกุ ตใ์ ชจ้ ติ ตปญั ญาศกึ ษาในการจดั การเรยี นการสอน ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์
สังเคราะห์ในรปู แบบของการเขียนผังเหต-ุ ผล การถอดความรจู้ ากสถานการณ์และเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ ...
ผมและทีมพ่ีเล้ียงพยายามมาตลอดเพ่ือชักชวนพี่น้องอาจารย์ในมหาวิทยาลัยให้เข้ามาร่วมกันพัฒนา
การจดั การเรยี นการสอนแบบโครงงานฐานวจิ ยั แตไ่ มป่ ระสบความสำ� เรจ็ ในประเดน็ นี้ ... ทกุ คนเคยชนิ
และตดิ กบั สงิ่ ทต่ี นเองเรยี นมาโดยลมื ไปวา่ “การสอนไมใ่ ชก่ ารเลา่ ความหลงั วา่ ตนเองไปเรยี นอะไรมา”
แต่ควรต้อง “โค้ชให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองจากสถานการณ์จริง” ได้ด้วย และแสดงผล
การเรียนรนู้ ั้นผ่านทางการนำ� เสนอ (communication skill) ดว้ ยการน�ำเสนอด้วยวาจาและงานเขยี น
ซ่ึงเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ของการคิดวิเคราะห์ ... จึงได้เข้าใจว่าการศึกษาเพ่ือการเปล่ียนแปลง
(transformative learning) นนั้ ไมไ่ ดง้ า่ ยอยา่ งทค่ี ดิ ถา้ เขาไมใ่ ชค่ นแบบนนั้ อยกู่ อ่ นเรากเ็ ปลย่ี นเขายาก
แต่ถ้าเขาเป็นคนแบบนั้นอยู่เราสามารถปลุกเขาให้ต่ืนข้ึนจากการหลับใหลได้ ผมจึงเรียกเหตุการณ์
แบบนว้ี ่า “การเรียนรเู้ พอ่ื การเรยี กความเป็นตนเองกลับคนื มา” (restorative learning) ... ซ่งึ เราเจอ
ครแู บบนหี้ ลายคน เราไมไ่ ดเ้ ปลยี่ นเขา แตด่ งึ ความเปน็ ตวั เขากลบั คนื มาจากเดมิ ทถี่ กู สาระวชิ าครอบงำ�
เขาอยู่ โดยท่ีเขาไม่ได้ทิ้งสาระวิชาเดิมท่ีเขามี แต่เพ่ิมเติมทักษะความเป็นครูท่ีเราพยายามจัดพื้นที่
ปลอดภยั ให้เขาไดเ้ รยี กคืนความตนเองกลบั คนื มา ... (ระบบครอบงำ� ทำ� ใหห้ ลงลมื ตัวตน กระบวนการ
จิตตปัญญาศึกษาคอื เครอ่ื งมือการเปลีย่ นแปลง แต่ก็ไมง่ ่ายนักที่เราจะใหอ้ าจารยม์ หาวทิ ยาลยั บางคน
กลับมาเรียนรู้ใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลง เพราะส่ิงที่เกิดเป็นปัจจัตตัง อาจต้องฝืนใจร่วมปฏิบัติ
สักระยะหนงึ่ ก่อน ซึง่ ไม่ใชเ่ รอ่ื งงา่ ยสำ� หรบั กลุม่ คนท่ี “น้ำ� เตม็ แก้ว”)
ผมได้เริ่มเรียนรู้ทักษะดังกล่าวซึ่งเดิมมีอยู่แล้ว แต่ยังไม่เคยถูกใช้ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
แม้ว่าจะส�ำเร็จการศึกษาศึกษาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอนก็ตาม และเป็น
อาจารย์ก็สอนแต่ในระดับอุดมศึกษามาตลอด ... เท่ากับว่าผมได้พบกับโลกใบใหม่อีกโลกหน่ึงเลย
เปน็ โลกทศั น์ใหม่ที่ไมเ่ คยคดิ มากอ่ นว่าจะได้สมั ผสั และไมค่ ดิ จะสมั ผัส ...
138 จากรากแกว้ สู่ผลของต้นเพาะพันธุป์ ญั ญา
หลักจากได้รู้จักโรงเรียนมากกว่าที่เคยรู้ ... ท�ำให้รู้สึกได้เลยว่าผมควรเป็นครูแบบน้ีตั้งนานแล้ว
นำ� ไปสกู่ ารปรบั วธิ เี รยี นเปลย่ี นวธิ สี อนของตวั เองใหมท่ งั้ หมด ... จากเดมิ ทอ่ี าจารยเ์ ปน็ ผรู้ แู้ ละนกั ศกึ ษา
ตอ้ งมาเรยี นรจู้ ากอาจารย์ ... ไปสู่การเรียนรูท้ ใ่ี หน้ ักศึกษาเรยี นรดู้ ้วยตนเองมากขนึ้ ... และนำ� ไปสกู่ าร
ขอย้ายตัวเองจากสังกัดคณะพยาบาลศาสตร์ไปสังกัดคณะครุศาสตร์ และเริ่มสอนในรายวิชาพ้ืนฐาน
วชิ าชพี ครู (จากเดมิ สอนวชิ าวทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐานวชิ าชพี พยาบาล กายวภิ าคศาสตร์ สรรี วทิ ยา เภสชั วทิ ยา
และพยาธสิ รรี วทิ ยา) ไดอ้ าศยั ประสบการณต์ รงจากการทำ� โครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญานำ� มาเปน็ ตวั อยา่ ง
ที่เป็นรูปธรรมในการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาหลักสูตรและการจัดการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
ที่นักศึกษาครุศาสตร์ชั้นปีที่ 2 ทุกคนต้องเรียน (การท�ำงานจนรู้จริงจะเกิดความตระหนักในหน้าที่
และจะพยายามท�ำหน้าที่ให้ดีที่สุด ตามค�ำสอนของท่านพุทธทาสถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหน่ึง
ผู้ปฏบิ ัตธิ รรมจะยงิ่ รู้ในธรรม เป็นการพฒั นาตนเองข้ึนไปเรอื่ ย ๆ)
สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 139
ได้มีโอกาสสรุปและสังเคราะห์งานของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาและท�ำเป็นหนังสือเล่มเล็ก
“ถอดรหัสการจดั การเรียนรแู้ บบโครงงานฐานวิจัย (Research-Based Learning)” เพื่อเปน็ เอกสาร
ประกอบการประชมุ ปดิ โครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาระยะท่ี 1 และใชเ้ ปน็ คมู่ อื ในการอา้ งองิ ของครแู กนนำ�
ในโครงการ ... มีหลายคนที่น�ำไปอ่านและเอาแผนการจัดการเรียนรู้ไปพัฒนาและประยุกต์ใช้ใน
การจดั การเรยี นการสอน ซง่ึ ทำ� ใหร้ สู้ กึ ถงึ ปตี ขิ องคนเขยี นหนงั สอื ผมเขา้ ใจวา่ คนทเี่ ขยี นหนงั สอื หลายเลม่
แลว้ มคี นน�ำไปอ้างอิง คงมีความรสู้ ึกปตี มิ ากกว่าผมหลายสบิ เทา่ แน่นอน
ได้มีโอกาสในการเขียนบทความทางวิชาการจากการสรุปงานของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา
ระยะท่ี 1 เป็นบทความวจิ ยั ในลักษณะกรณศี ึกษา เรอ่ื ง Research-Based Learning in Moderate
Class, More Knowledge Campaign: A Case Study of Ban Klong Sa School, Surat Thani,
Thailand ร่วมกบั ดร.กฤษณี สงสวัสดิ์ และ ดร.มทั นียา พงศส์ ุวรรณ และสง่ ผลงานนไ้ี ปร่วมน�ำเสนอ
แบบปากเปลา่ ในการประชมุ วชิ าการ 2017 International Conference on Education and Learning
(ICEL2017) ระหวา่ งวันท่ี 16 - 18 สงิ หาคม พ.ศ. 2560 ณ กรงุ โตเกยี ว ประเทศญ่ีปนุ่ และน�ำบทความ
วิจัยน้ีมาประกอบการขอก�ำหนดต�ำแหน่งทางวิชาการ “ผู้ช่วยศาสตราจารย์” สาขาหลักสูตรและ
การสอนได้ส�ำเร็จ (อาจารย์มหาวิทยาลัยมีศักยภาพช่วยการศึกษาข้ันพ้ืนฐานได้ ถ้าเราสามารถ
จัดการเปล่ียนกระบวนทัศน์ให้เข้าใจความเป็นจริงของการศึกษาและให้เห็นว่าเขาสามารถ
ชว่ ยได้ ตอ่ จากนน้ั จัดการใหท้ ำ� งาน ติดตามช่วยเหลอื เตมิ เตม็ เขาจะเรยี นรคู้ วามจริงของโลกการศกึ ษา
นอกมหาวิทยาลัย ผลจะกระเทอื นถึงการทำ� งานในหน้าท่อี าจารย์มหาวิทยาลยั ดว้ ย)
โดยความรสู้ กึ สว่ นตวั ในการทำ� โครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาทำ� ใหผ้ มไดเ้ รยี นรทู้ กั ษะของการเปน็ ครู
มากกวา่ ทีเ่ คยรู้ และทำ� ให้ผมมีความก้าวหนา้ ทางวิชาการอยา่ งเปน็ รปู ธรรม และทสี่ ำ� คัญคือการไดร้ บั
การยอมรบั ในแวดวงการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน โดยเฉพาะ 12 โรงเรยี นในโครงการใหก้ ารยอมรบั ในฐานะ
อาจารยม์ หาวทิ ยาลยั ทเ่ี ปน็ พเี่ ลยี้ งใหก้ บั โรงเรยี นในพน้ื ทอ่ี ยา่ งแทจ้ รงิ ... ขอขอบคณุ ทกุ ทา่ นทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
มา ณ โอกาสน้ี
ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วฒั นา รตั นพรหม
ศนู ย์ มรภ.สรุ าษฎร์ธานี
140 จากรากแก้วสูผ่ ลของตน้ เพาะพันธ์ุปญั ญา
การเปลีย่ นแปลงอยทู่ ่ีโรงเรยี น
การสอนโครงงานฐานวิจัยเป็นเรื่องใหม่ส�ำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษา จึงต้องใช้เวลาในการท�ำ
ความเข้าใจ ปรับปรุง และพัฒนา ด้วยเหตุนี้โครงการเพาะพันธุ์ปัญญาจึงให้ด�ำเนินงานและเรียนรู้
ถงึ 6 ปี งานสว่ นใหญเ่ ปน็ งานแกป้ ญั หาภายในโรงเรยี น เพราะถา้ ปญั หาไมค่ ลค่ี ลาย ครกู ไ็ มส่ ามารถจดั สอน
โครงงานฐานวิจัยได้ ปัญหาในแต่ละโรงเรียนมีไม่เหมือนกัน แต่ทุกปัญหาส่งผลกระทบต่อห้องเรียน
การหารปู แบบการสอนทเ่ี หมาะสม ทงั้ ในดา้ นการจดั การ ทกั ษะในการสอน การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
การจัดการห้องเรียน และอื่น ๆ เป็นภารกิจหลักของพ่ีเลี้ยง ซึ่งใช้เวลามากในการเข้าใจกระบวนการ
และสรปุ นำ� ไปใชเ้ ผยแพรไ่ ด้
แมว้ ่าศนู ย์พีเ่ ลี้ยงมหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ไดส้ ะสมประสบการณ์สอนโครงงานวทิ ยาศาสตร์
ระดับโรงเรียนมัธยมศึกษามากกว่าสิบปีจากโครงการยุววิจัยยางพาราของส�ำนักงานกองทุนสนับสนุน
การวจิ ยั (สกว.) มนั เปน็ เพยี งเปลอื กนอกของการสอนทกั ษะการคดิ ความรใู้ หมท่ ไ่ี ดจ้ ากการดำ� เนนิ งาน
โครงการเพาะพันธุ์ปัญญาครั้งนี้เป็นกระบวนการสอนโครงงานที่มีประสิทธิภาพสูง ซ่ึงท�ำให้นักเรียน
เกือบทั้งห้องมที กั ษะการคดิ และทกั ษะศตวรรษที่ 21 ภายในเวลาหนึ่งปี
ความยากในการด�ำเนินงานน้ี คือ การเปลี่ยนแปลงการสอนจากบรรยายมาเป็นการสอนแบบ
active learning ที่เป็นการเปล่ียนแปลงกระบวนทัศน์เดิมของครู ท่ีครูมีความเชื่อว่าการจ�ำความรู้
และท�ำข้อสอบได้คือความส�ำเร็จในการสอน แนวความคิดนี้ตรงข้ามกับการสอนแบบฝึกทักษะ
ที่อยู่บนฐานความเชื่อว่าทักษะการคิดและแก้ปัญหาส�ำคัญกว่าความรู้ การสอนเพ่ือให้เด็กคิดเป็น
ยงั มขี อ้ ดอ้ ย คอื ใชท้ รพั ยากรมากกวา่ ทง้ั ดา้ นเงนิ แรงงานสอน และเวลา จงึ ทำ� ใหค้ รสู ว่ นใหญต่ ดิ อยกู่ บั
การสอนแบบเดมิ รวมทง้ั ระบบโรงเรยี นทชี่ อบใชก้ ารสงั่ การและปฏบิ ตั ติ ามนโยบาย โรงเรยี นไมม่ รี ะบบ
จดั การทเ่ี ออื้ อำ� นวยความสะดวกใหก้ บั ครู ไมว่ า่ จะเปน็ การแกป้ ญั หาหรอื การจดั การกบั ขอ้ ตดิ ขดั ตา่ ง ๆ
โรงเรยี นรบั รผู้ ลการสอนเพยี งแคต่ วั เลข การจดั กจิ กรรมและคะแนนสอบ ซง่ึ สงิ่ เหลา่ นย้ี งั ไมส่ ามารถ
สะท้อนถึงความสามารถภายในตัวนักเรียนท่ีถูกเก็บไว้ สถานการณ์ในโรงเรียนยุคนี้จึงท�ำให้นักเรียน
หลังห้องถูกปล่อยท้ิงไปอย่างน่าเสียดาย... นี่คือความเหลื่อมล้�ำจากการจัดการศึกษา (พ่ีเลี้ยงท่านนี้
ท�ำโครงการยุววิจัยยางพารามาก่อน ความเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ด้วยการท�ำโครงงานฐานวิจัยมา
นานท�ำใหเ้ ห็นปญั หาการศึกษาวา่ เกิดจากกระบวนทศั น์ท่ผี ิดในการวดั และประเมนิ ผล ดูเหมอื นทกุ คน
ในวงการการศึกษาตระหนักอยู่ว่า “กับดักความคิด” อยู่ท่ีการวัดและประเมิน และแม้จะทราบว่า
ทักษะเกิดจากการปฏิบัติ แต่ก็ไม่ทราบว่าจะท�ำอย่างไรให้ครูสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้นักเรียนจาก
การปฏิบตั )ิ
สุธรี ะ ประเสริฐสรรพ์ 141
ปัจจุบันโรงเรียนขนาดกลางและขนาดเล็กยังไม่ประสบความส�ำเร็จในการสอนโครงงาน
วิทยาศาสตร์ เน่ืองจากมีงบประมาณจำ� กดั และครูผสู้ อนไม่ได้รบั การพฒั นาทกั ษะการสอน การสอน
โครงงานจงึ เปน็ การสอนเพื่อได้ภาระสอน ค่าใช้จา่ ยในการท�ำโครงงานเป็นสง่ิ ทีฝ่ า่ ยบริหารมองไม่เห็น
จากประสบการณข์ องโครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาพบวา่ การเรยี นโครงงานมคี า่ ใชจ้ า่ ยประมาณ 1,500 บาท
ตอ่ นกั เรยี นหนง่ึ คน หรอื ประมาณ 45,000 บาทตอ่ หอ้ ง ซง่ึ ไดแ้ ก่ คา่ ใชจ้ า่ ยการศกึ ษาคน้ ควา้ คา่ เดนิ ทาง
ลงส�ำรวจชุมชน ค่าสรา้ งชดุ ทดลอง ค่าวสั ดวุ จิ ัย และอ่ืน ๆ
142 จากรากแก้วส่ผู ลของตน้ เพาะพันธปุ์ ญั ญา
การหาแหล่งทุนสนับสนุนอื่นส�ำหรับการสอนโครงงานฐานวิจัยจึงเป็นเร่ืองส�ำคัญเร่งด่วน
หากต้องการจะให้นักเรียนมีความสามารถสูงข้ึนกว่าเดิม แหล่งที่มาของงบประมาณอาจได้มาจาก
ผปู้ กครอง โรงเรยี น และคนใจบญุ เชน่ คนรวยในหรอื นอกชมุ ชน มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทรไ์ ดพ้ ฒั นา
โมเดลกองทนุ สนบั สนนุ การสอนโครงงานฐานวจิ ยั ขนึ้ ในโรงเรยี นบางโรง โดยเรยี กวา่ “กองทนุ ยวุ วจิ ยั ”
กองทนุ นจี้ ะเปน็ ตวั กระตนุ้ ใหโ้ รงเรยี นพฒั นาการสอนโครงงาน โดยในแตล่ ะปโี รงเรยี นจะจดั ระดมทนุ ให้
หอ้ งเรยี นแตล่ ะหอ้ งจากผปู้ กครอง 15,000 บาท (คนละ 500 บาท) โรงเรยี น 15,000 บาท และภายนอก
15,000 บาท ความน่าเช่ือถือในการใช้เงินแต่ละปีเกิดข้ึนได้จากโรงเรียนชี้แจงผลการด�ำเนินงานและ
การใช้จ่ายออกสู่สาธารณะ กองทุนน้ีจะช่วยให้ครูมีอิสระในการจัดกิจกรรมการสอน โดยไม่ติดขัดกับ
ระบบการเงนิ ของโรงเรยี น ผลของกองทนุ นจ้ี ะชว่ ยใหก้ ารสอนแบบโครงงานฐานวจิ ยั แพรก่ ระจายออกสู่
วงกวา้ ง โดยอาจเรมิ่ จากจดั สอนแบบโครงงานฐานวจิ ยั ในรายวชิ าการศกึ ษาอยา่ งอสิ ระ (IS) (การสะสม
ประสบการณ์เป็นพี่เล้ียงในการสอนโครงงานการศึกษาขั้นพ้ืนฐานมานานท�ำให้พ่ีเล้ียงเข้าใจปัญหา
เชงิ ระบบและโครงสรา้ งของการศึกษาข้นั พนื้ ฐานเปน็ อยา่ งดี จึงสามารถหาทางแก้ปัญหาท่สี ร้างสรรค์
พง่ึ ตนเองได้ แสดงใหเ้ หน็ วา่ การทำ� งานกบั ปญั หานาน ๆ ทำ� ใหเ้ หน็ ภาพเชงิ โครงสรา้ งและเสนอนโยบาย
และมาตรการได)้
งานของโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับครูและห้องเรียนโดยไม่ผูกติดกับ
นโยบาย ผลการด�ำเนินงานที่ผ่านมาพบว่าครูในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาสร้างผลงานเชิงประจักษ์
ได้มากกว่าการสอนแบบเดิม เช่น โมเดลการสอนแบบทีม การบูรณาการโครงงานฐานวิจัยเข้ากับ
การบ่มเพาะคุณธรรม การสังเกตนักเรียนรายบุคคลเชิงลึกเพ่ือการเยียวยา การสอนแบบคละช้ัน
เพื่อแก้ปัญหาข้อจ�ำกัดของโรงเรียน เป็นต้น นอกจากนี้ครูยังได้ค้นพบความรู้ใหม่จากการแก้ปัญหา
การสอน และค้นพบความต้องการที่แท้จริงในตัวเองท่ีแตกต่างไปจากความต้องการเดิม ครูมีความ
ละเอียดในการสอนมากข้ึน ครูมุ่งมั่นสรา้ งนกั เรียนใหเ้ ป็นคนดี การสอนในรูปแบบใหม่น้ีเป็นการสอน
ทค่ี รเู รยี กวา่ “การสอนแบบประณตี ” ซง่ึ กระบวนการสอนแบบนที้ ำ� ใหค้ รมู กี ารเตบิ โตดา้ นภายในจติ ใจ
ไปพร้อม ๆ กับการสอน ครูหลายคนได้สะท้อนว่าค้นพบเส้นทางชีวิตใหม่ท่ีเปลี่ยนทุกข์ในชีวิตเป็น
ความสขุ ครูรู้สึกมคี วามสุข และครูเช่ือว่าเสน้ ทางนี้คือเส้นทางทถ่ี กู ต้อง
นี่คือ ความประทับใจจากการทำ� งานกับโครงการเพาะพันธปุ์ ญั ญา
รศ.ไพโรจน์ ครี ีรัตน์
ศนู ย์ ม.สงขลานครนิ ทร์
สธุ รี ะ ประเสรฐิ สรรพ์ 143
สรปุ
จากขอ้ เรียนรู้ (ที่เปน็ ตวั เอียง) การสะท้อนคิดของพเี่ ลี้ยงท�ำใหส้ รปุ เปน็ ความร้ไู ดด้ งั น้ี
1. ระบบบริหารการศึกษาท่ีแยกอุดมศึกษาออกจากข้ันพื้นฐานท�ำให้อุดมศึกษาไม่เห็นบทบาท
ตนเองในการศึกษาข้ันพื้นฐาน (ยกเว้นคณะครุศาสตร์) อาจารย์มหาวิทยาลัยทุกสาขาวิชา
มีศักยภาพช่วยการศึกษาข้ันพ้ืนฐานได้ถ้าจัดการให้มีประสบการณ์ที่เปลี่ยนกระบวนทัศน์
ให้เข้าใจความเป็นจริงของการศึกษา และให้เห็นศักยภาพในตัวเขา วิธีการ คือ ให้โอกาส
ท�ำงานท่ีเรียนรู้ความจริงของโลกการศึกษานอกมหาวิทยาลัย และหากมีกระบวนการสร้าง
ความสัมพันธ์ท่ีเป็นมิตรและสนับสนุนการท�ำงาน อาจารย์มหาวิทยาลัยจะมีแรงบันดาลใจ
ในการทำ� งานลกั ษณะนี้
2. ประเทศเรามกี ำ� ลงั คนเหลอื ในมหาวทิ ยาลยั และกลมุ่ ครเู กษยี ณทจี่ ะชว่ ยการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน
อยมู่ าก ขาดเพยี งการทำ� ใหร้ บั รวู้ า่ เขามคี ณุ คา่ มศี กั ยภาพ การเปลยี่ นแปลงการศกึ ษาตอ้ งการ
การบริหารจัดการแรงบันดาลใจให้เกิดขึ้นในช่วงต้นเท่านั้น เมื่อเกิดแล้วบุคคลนั้นจะมีพลัง
ในการขับเคล่ือนการท�ำงานได้เอง ข้อเขียนสะท้อนคิดของพ่ีเลี้ยงท�ำให้ทราบว่าการสร้าง
แรงบันดาลใจเป็นปัจจัยหลกั ของความสำ� เรจ็
3. พี่เล้ียงมีแรงบันดาลใจเม่ือเห็นตัวอย่างการท�ำงานที่ทุ่มเท (role model) ได้รับความไว้ใจ
มิตรภาพ มีอิสรภาพในการสร้างสรรค์งาน สร้างชุมชนเพื่อการเรียนรู้ และมีกระบวนการ
ป้อนกลับเชิงสร้างสรรค์ (constructive feedback) มีความรู้สึกปลอดภัย (ไม่หวาดกลัว
กับความผดิ พลาด ไม่ถูกคาดหวังสูงจากผลงาน) เพราะไดร้ ับการยอมรบั ว่าเปน็ การทดลอง
เพื่อเรียนรู้ให้ได้ค�ำตอบท่ีเป็นหนทางที่ดีท่ีสุดของการไปถึงเป้าหมายของงาน สิ่งเหล่านี้คือ
บรรยากาศการท�ำงานที่ท�ำให้คนทุ่มเทกับงาน กลบความยากล�ำบากจากสภาพพลวัตของ
บรบิ ทตา่ ง ๆ ได้ จึงเปน็ บทเรยี นการพัฒนาบุคลากรการศึกษาทีน่ า่ สนใจ
4. กระบวนการจิตตปัญญาศึกษาคือเคร่ืองมือการเปลี่ยนแปลงที่ส�ำคัญของเพาะพันธุ์ปัญญา
แต่เป็นเร่ืองปกติท่ีคนทั่วไปมองว่าการศึกษาคือการพัฒนาปัญญาให้เข้าใจโลกภายนอก
(สาระวชิ าตา่ ง ๆ ทสี่ อบแข่งกนั ) คนท่ีมีจิตมุง่ มั่นอยูท่ ีผ่ ลสัมฤทธข์ิ องฐานสมองจะไมเ่ ขา้ ใจวา่
ฐานจติ ใจสำ� คญั อยา่ งไร จนกวา่ เขาเรยี นรเู้ องจากการเปน็ ผสู้ งั เกตการเปลย่ี นแปลงของนกั เรยี น
เมื่อครูใช้จิตตปัญญาในห้องเรียน และหากเขาเอาไปใช้เองก็ย่อมเห็นความเปล่ียนแปลง
ด้วยตนเอง เม่ือน้ันจะเข้าใจจิตตปัญญาว่าคือเครื่องมือฝึกตนเองให้จัดความสัมพันธ์ใหม่
ระหวา่ งครกู ับศิษย์ แลว้ จึงเกดิ การยอมรับ
144 จากรากแก้วสู่ผลของตน้ เพาะพันธ์ปุ ัญญา
5. เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาทำ� ใหพ้ เี่ ลย้ี งมปี ระสบการณใ์ หมใ่ นแงข่ องการไดค้ วามรจู้ ากกระบวนการคดิ
หากเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีพื้นฐานเหตุและผลอยู่พอควรจะเข้าใจเร็วและพัฒนาตนเอง
ไดง้ า่ ยมาก หากเปน็ อาจารยท์ ไ่ี มใ่ ชส่ ายวทิ ยาศาสตรจ์ ะสบั สน ทำ� เองไมไ่ ด้ แตก่ ารหมน่ั ปฏบิ ตั ิ
จะเข้าใจและปฏิบัติได้เอง เม่ือได้น�ำทักษะที่ได้ไปปรับใช้ในหน้าท่ีการงาน พี่เล้ียงจะเห็น
ความงดงามและคุณค่าของการท�ำโครงการเพาะพันธุ์ปัญญา ที่ส�ำคัญคือต้องจัดโอกาส
ใหค้ นท่มี ีพนื้ ฐานตา่ งกนั ได้มีพ้นื ท่แี ลกเปล่ยี นเรยี นรูไ้ ปด้วยกัน
6. การขาดประสบการณช์ มุ ชนคอื โอกาสการเปลยี่ นแปลงของพเี่ ลยี้ ง ประสบการณท์ ไ่ี มค่ นุ้ เคย
ท�ำให้พี่เลี้ยงรู้สึกตัวว่า “ความรู้จะมีประโยชน์เม่ือถูกใช้ตามเงื่อนไขของบริบท” การได้
สะท้อนคิดกับความไม่รู้ของตนท�ำให้เปล่ียนกระบวนทัศน์ (paradigm) ท่ีพลิกมุมมอง
โลกภายนอกมหาวิทยาลยั และจะสนกุ กบั การเรียนร้แู ละพฒั นาตนเองในประสบการณ์ใหม่
กลายเป็นคนท่ีไม่ยึดติดต�ำรา แต่ “เปิดกว้างและยืดหยุ่น” ตามบริบท ดังนั้นการท�ำงาน
การศึกษาที่มีบริบทจึงกลายเป็นโอกาสให้เรียนรู้ความต่างและการบริหารจัดการความต่าง
และเมื่อเห็นประโยชน์จากการเอาไปประยุกต์ใช้ในงานตนเองท�ำให้เกิดฉันทะในการท�ำงาน
จึงเป็นการเรยี นรู้สำ� หรบั คนรนุ่ ใหม่ในมหาวิทยาลยั
7. พ่ีเล้ียงที่แสดงตนเป็นผู้ให้ ไม่วางตนเหนือกว่าครู เคารพบทบาทหน้าที่ของกันและกัน
จะสร้างความประทับใจให้ครู เกิดเป็นความสัมพันธ์แบบกัลยาณมิตรท่ีร่วมสร้างสรรค์
ค้นหาหนทางพัฒนาการศึกษาไปด้วยกัน เม่ือประกอบกับการรู้หลักการแต่ไม่ยึดติดกับ
รปู แบบของวธิ กี าร (ไมม่ คี มู่ อื How-to) เปดิ โอกาสใหล้ องวธิ กี ารใหม่ ๆ เพอ่ื ใหไ้ ดป้ ระสบการณ์
นำ� ไปทำ� ความเขา้ ใจและสรปุ เปน็ แกน่ ความรภู้ ายหลงั (ปฏบิ ตั -ิ ปฏเิ วธ-ปรยิ ตั )ิ จะทำ� ใหพ้ เ่ี ลยี้ ง
(และครู) หลงใหล (passion) ในงาน จึงเป็นข้อเรียนรู้ท่ีการบริหารงานการศึกษาควรน�ำ
ไปใช้ให้มากข้นึ
8. ประสบการณ์การท�ำงานท่ีกว้างของพี่เล้ียงท�ำให้มองเห็นรายละเอียดและสามารถสรุป
เปน็ หลกั การได้ เมอื่ พเ่ี ลยี้ งมปี ระสบการณม์ ากขนึ้ เขาจะมองเหน็ ปญั หาเชงิ ระบบในโครงสรา้ ง
ของการศึกษาข้ันพื้นฐาน เมื่อให้อิสระในการแก้ปัญหา เราจะได้นวัตกรรมที่เป็นข้อเสนอ
การปรบั โครงสร้าง นโยบาย มาตรการ และวธิ ีการได้
4บทที่
คนรดนำ�้ พรวนดนิ
146 จากรากแก้วสผู่ ลของต้นเพาะพันธ์ุปัญญา
คนรดนำ�้ พรวนดนิ
บทนำ�
บคุ คลหรอื กลมุ่ บคุ คลทท่ี ำ� ใหโ้ ครงการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาสำ� เรจ็ อยา่ งสวยงามคอื ผใู้ หท้ นุ กรรมการ
ก�ำกับทิศทาง และพ่ีเลี้ยง28 ท้ังสามเปรียบเสมือนคนที่คอยรดน้�ำพรวนดินให้แสงสว่างที่อบอุ่นแก่
ตน้ กลา้ เพาะพนั ธป์ุ ญั ญาเจรญิ เตบิ โตอยรู่ อดได้ หากมกิ ลา่ วถงึ บทบาทกลมุ่ คนทงั้ สามไว้ บนั ทกึ ความสำ� เรจ็
ของเพาะพันธุ์ปัญญาย่อมไม่สมบูรณ์ ผู้อ่ืนท่ีจะเจริญรอยตามควรเรียนรู้กลไกท้ังสามท่ีผมขอกล่าวถึง
ในบทนี้ (โดยต้องเขา้ ใจหลักการเพาะพนั ธป์ุ ญั ญาและบรบิ ทในบทท่ี 1-3 ดว้ ย)
28 ครูมคี วามสำ�คญั ไมน่ อ้ ยกว่าพ่เี ลยี้ ง แต่ผมไดเ้ ขยี นบทบาทครใู นบทที่ 4 ในฐานะผลแล้ว บทที่ 5 เน้นการสนับสนุนและผลักดัน
สธุ ีระ ประเสรฐิ สรรพ์ 147
ความผูกพันน้ันผกู ผา่ นมานานเน่ิน หนทางเดนิ …ร่วมทาง…รว่ มสร้างฝนั
และจดุ หมายปลายทางแสนไกลนั้น เราตา่ งกันแตห่ ัวใจเราใกล้ชิด
ความหวังและความฝันอนั แสนหวาน คงเบง่ บานเสมอไปในดวงจติ
และขอฝากรอยฝนั ไวใ้ หม้ ิง่ มติ ร จงตอ่ ติดใหถ้ ึงฝนั อนั ตระการ
จากวนั น้ี…ถึง…วนั พรงุ่ ขอสายรุง้ ราวรายสรวงล่วงลผุ ่าน
ขอคนกลา้ เปน็ คนแกร่งแห่งวิญญาณ ขอกา้ วผา่ นทุกขวากหนามท่ขี วางทาง
จาก…ดวงใจ…ใครคนน้ีทีห่ ว่ งนกั ขอความรัก…สอู้ ปุ สรรคที่ขดั ขวาง
เปน็ แรงรกั แห่งความดีชแี้ นวทาง เป็นแรงสรา้ งคณุ ความดีทคี่ วรท�ำ
ชวี ิต…ไมอ่ าจลิขิตได ้ มบี า้ งใชไ่ หม…ทกุ ขถ์ ามหามาครวญครำ�่
และมีบา้ ง…ขวากหนามแหลมมาทม่ิ ตำ� และบางคราว…อยากจดจ�ำอดตี กาล
ดวงเอย…ดวงชีวติ ต่างลขิ ติ พร้อมวารวันอันล่วงผา่ น
จะเหน็บหนาว…รอยฝนั รา้ ว…ถกู รกุ ราน จงเขม้ แขง็ และต่อตา้ นทกุ ข์พาลภัย
แขง็ แกร่งส้ดู ว้ ยดวงใจและชีวิต พร้อมสติสถิตมัน่ ไม่หวั่นไหว
ทกุ กา้ วย่างยดึ คุณธรรมความดไี ว ้ เปน็ แรงใจเพอื่ ถึงฝงั่ แห่งฝนั น้ัน
จาก…ดวงใจ…ดวงหนง่ึ นี ้ สง่ แรงท่…ี แมน้ อ้ ยหนง่ึ ใหถ้ ึงฝนั
ขอฝากรกั ระลึกถึงลกึ ซึง้ นัน้ แทนของขวัญมารับขวัญในวันน้ี
ชุติมา ค�ำบุญชู
ศูนยพ์ เี่ ล้ยี งเพาะพันธุ์ปญั ญา มรภ.ลำ� ปาง
พฤศจกิ ายน 2555
148 จากรากแก้วสผู่ ลของต้นเพาะพันธ์ุปัญญา
ผู้ใหท้ นุ ท�ำงาน
รถไฟสายการศกึ ษาเปน็ ขบวนลากจงู ทห่ี นกั มาก ครแู ละโรงเรยี นเปน็ ทรี่ บั ฝากงานของหนว่ ยงาน
ตา่ ง ๆ และถกู เคน้ เอาผลงานเพอ่ื ใหห้ นว่ ยงานตา่ ง ๆ เหลา่ นน้ั มผี ลงานเพอื่ ของบประมาณทำ� ตอ่ โรงเรยี น
เป็นท่ีรองรับงานแทบทุกกระทรวง เร่ืองยาเสพติด คุณธรรม ขยะ สิ่งแวดล้อม สุขอนามัย พลังงาน
ประชาธปิ ไตย การพัฒนาอย่างย่ังยืน ความปลอดภยั ปลอดบุหร่ี เศรษฐกิจพอเพยี ง ฯลฯ มากขนาด
ถึงกบั มี website ใหค้ รดู าวน์โหลดทำ� รายงานโครงการตา่ ง ๆ กว่า 200 โครงการ
ในระยะแรกของการท�ำงาน โครงการเพาะพันธุ์ปัญญาหนีไม่พ้นค�ำครหาว่าเป็นสัมภาระ
ที่ไปฝากรถไฟสายนี้บรรทุก แถมการท�ำโครงงานฐานวิจัยมีความยากเหมือนลากขบวนรถข้ึนเนิน
อีกต่างหาก ครูทอ่ี อ่ นลา้ กบั งานต่าง ๆ ย่อมปฏเิ สธงานท่ชี วนเชญิ เข้ารว่ มโครงการโดยไม่มตี รา สพฐ.
ในหวั จดหมาย แตเ่ พราะบารมเี กา่ ทสี่ ะสมในโครงการยวุ วจิ ยั ตา่ ง ๆ ของ สกว. จงึ ทำ� ใหม้ คี รจู ำ� นวนหนง่ึ
โบกมอื ใหจ้ อดรบั จดหมายเชญิ ทถี่ กู ผอ. ขยำ� ทงิ้ ถกู เกบ็ มาคลอี่ า่ นแลว้ ขอสมคั รเอง “หนขู อทำ� โดยไมใ่ ห้
โรงเรยี นเดือดร้อนสนบั สนุนอะไรเพ่ิม” คือคำ� ท่ีครูบอก ผอ.
หากไม่มีน�้ำมันปริมาณมากพอ หากไม่ยอมให้คนขับมีอิสระปรับการเดินรถตามสถานการณ์
ขบวนรถไฟการศึกษาเพาะพันธุ์ปัญญาไม่มีทางไปถึงสถานีปลายทาง... ถึงจุดหมาย ณ กาลเวลา
ท่ผี ้โู ดยสารทกุ คนอาลยั อาวรณ์กบั การสน้ิ สุดการเดินทาง
บมจ. ธนาคารกสกิ รไทยมอบให้ สกว. บรหิ ารเงนิ และ สกว. (โดย ดร.สลี าภรณ)์ มอบใหผ้ มบรหิ าร
โครงการ ความทผ่ี มเคยทำ� งานท่ี สกว. มากอ่ น และเคยชว่ ยงานชมุ ชนหลายโครงการของ ดร.สลี าภรณ์
อกี ท้งั เคยเห็นความส�ำเร็จงานยุววิจัยจำ� นวนมากของผม ดร.สลี าภรณ์จึงรู้ว่าปลอ่ ยผมได้ พูดตรง ๆ คือ
“อยากจะทำ� อะไรไปคิดทำ� เอาเอง มปี ัญหาอะไรทอ่ี ยใู่ นวิสยั ทดี่ ิฉันช่วยไดก้ บ็ อกมา”
ผมขอกบั ดร.สลี าภรณว์ า่ “อยา่ จกุ จกิ กบั ผมเรอ่ื งรายงานวจิ ยั เพราะงานนไ้ี มใ่ ชว่ จิ ยั ที่ proposal
มี methodology พรอ้ มใหเ้ ดนิ ตามลายแทงไดเ้ ลย ผมไมร่ วู้ า่ จะเจออะไรขา้ งหนา้ ผมควรเปน็ ผตู้ ดั สนิ ใจ
วิธีการเดินเอง แทนรายงานวิจัยผมจะส่งเป็นหนังสือประเภทเรื่องเล่าของบันทึกการเดินทางและ
การแผ้วถางทางเดิน รับรองว่ามีคนอ่านมากกว่ารายงานวิจัยท่ีผู้ทรงคุณวุฒิไม่น่าจะอ่านเข้าใจ
เพราะมนั จะหาวจิ ัยแบบทน่ี กั การศึกษาตอ้ งการไมพ่ บหรอก...” ดร.สลี าภรณ์ยอมตามทผ่ี มต้องการ
ตลอดเวลาทที่ ำ� โครงการน้ี ผมพบความรู้และปญั ญามากมาย เพาะพนั ธุป์ ญั ญาจงึ (น่าจะ) เป็น
โครงการวิจัยด้านการศึกษาท่ีผลิตหนังสือจากการค้นพบขณะท�ำงานมากที่สุด ทั้งหมด 40 เล่ม
รวมแลว้ น่าจะประมาณ 4-5 พนั หน้า