ภาษาญี่ปุ่น เบื้อ บื้ งต้น อ่านสนุก นุ เข้า ข้ใจง่าย เนื้อหาครอบคลุม ลุ เล่มเดียวเอาอยู่ โดย เซีย ซี นเฒ่า ฒ่ พัน พั ปี おはよう อย่าพึ่งสมัครเรีย รี น คอร์สแพงๆ ถ้ายังไม่ได้ อ่านหนังสือเล่มนี้
01 03 02 04 ประโยชน์ที่ น์ ที่ รู้ภ รู้ าษาญี่ปุ่น ปุ่ สร้า ร้ งโอกาสดีๆ มีค มี วามก้าวหน้า น้ เป็น ป็ เจ้า จ้ ของกิจการ ได้เข้า ข้ใจวัฒ วั ธรรมญี่ปุ่น ปุ่ หากท่านเก่งในงานที่ประจำ รู้งรู้าน เชี่ย ชี่ วชาญมากพอแล้วท่านก็สามารถ เปิดปิกิจการของตนเองได้ เช่นช่ผลิตสินสิค้าเอง หรือรืเป็น ป็ ผู้จัผู้ ดจัหา เองส่งส่ ให้กัห้ กับโรงงานหรือรืลูกลูค้า โดยตรง หรือรืจะเป็น ป็ ล่ามอิสระหรือรื เป็น ป็ ครูสรูอนภาษาญี่ปุ่ญี่ปุ่นปุ่ก็ได้ เราได้เด้รียรีนรู้วัรู้ฒวัธรรมที่แตก ต่างของคนญี่ปุ่ญี่ปุ่นปุ่รู้วิรู้ธีวิคิธี คิด แนวคิด และได้ศึด้ ศึกษาเทคโนโลยี่ ใหม่ๆม่จากคนญี่ปุ่ญี่ปุ่นปุ่ หากสื่อสื่สารกับคนญี่ปุ่ญี่ปุ่นปุ่ ได้โด้อกาส ที่จะได้ทำด้ ทำงานในบริษัริ ษัทของคน ญี่ปุ่ญี่ปุ่นปุ่มีแมีน่นน่อน และการที่สื่อสื่สาร กับเขาได้ก็ด้ ก็ จะได้รัด้บรัความไว้วว้างใจ จากเขามากขึ้นขึ้ความก้าวในงาน ก็จะมากขึ้นขึ้ตามมาด้วด้ย มีคมีวามรู้เ รู้ หมือมืนมีทมีรัพรัย์สิย์นสิ ถาวร สามารถสื่อสื่สารกับคน ญี่ปุ่ญี่ ปุ่ น ปุ่ ได้ เรียรีนเก่งขึ้นขึ้สอบ ได้ค ด้ ะแนนดี มีโมีอกาสได้ง ด้ าน ที่ดีเดีงินเดือดืนสูง สู ๆ
ปัญ ปั หาที่ท่านต้องเจอ หลักไวยากรณ์ภณ์าษาญี่ปุ่ญี่ปุ่นปุ่จะตรงกันข้าข้มกับภาษาไทย เช่นช่กินข้าข้ว ในภาษาญี่ปุ่ญี่ปุ่นปุ่จะพูดว่าว่ข้าข้ว+กิน คือ เขาจะ อาคำ ที่เป็น ป็ กรรมขึ้นขึ้ก่อนแล้วค่อยตามด้วด้ยคำ กริยริา ごはんをたべます อ่านว่าว่ โกะหังหั โว๊ะว๊ทาเบมัสมั gohan wo tabemasu ภาษาญี่ปุ่ญี่ปุ่นปุ่ ใช้ตัช้ ตัวอักษร 3 รูปรูแบบ ทั้งทั้ฮิราคะนะ คะตะคะนะ และคันจิ ซึ่งซึ่ตัวคันจินี้จิจ นี้ ะยากสุดสุ ๆ เพราะเป็น ป็ ตัวอักษรจีนจี อ่านได้หด้ลายแบบผสมปนเป ต้องเรียรีนรู้ถึรู้ถึง 3,000 ตัว จึงจึจะสามารถอ่านหนังนัพิมพิพ์ภพ์าษาญี่ปุ่ญี่ปุ่นปุ่ ได้ แต่เขาใช้รช้ะบบ ค่อยๆสอนที่น้อน้ยๆตั้งตั้แต่เด็ก ด็ จนกระทั่งทั่ถึงระดับดั มหาวิทวิยาลัย โดยส่วส่นมากช่วช่งปิดปิเทอมครูจรูะให้นัห้กนัเรียรีน ฝึกคัดเขียขีนตัวคันจิมจิาส่งส่ตอนเปิดปิเทอม เช่นช่ภาษาไทยเรา พูดว่าว่หอม นั้นนั้หมายถึง 3 อย่าย่ง อัน ได้แด้ก่ ต้นหอม กลิ่นหอม หอมแก้ม เป็น ป็ ต้น ในภาษา ญี่ปุ่ญี่ปุ่นปุ่จะมีคำมี คำที่ออกเสียสีงเหมือมืนกันซ้ำ กันเยอะมากซึ่งซึ่ เราเรียรีงว่าว่คำ พ้อพ้งเสียสีง แต่ความหมายต่างกัน ขึ้นขึ้อยู่กัยู่ กับรูปรูประโยคและส่วส่นประกอบในประโยคนั้นนั้ๆ ช่นช่คำ ว่าว่ kiku คิคึ แปลว่าว่ถาม,ฟังฟั ,ส่งส่ผลกระทบ หลักไวยากรณ์ ตัวอักษรหลายรูปแบบ คำ พ้อ พ้ งเสีย สี งเยอะมากๆ ในการเรีย รี นภาษาญี่ปุ่น ปุ่ 教えてくれませんか いいですよ、 勉強しましょう
คำ กลอนท่านสุนทรภู่ได้กล่าวไว้ว่า... รู้สิ่งไรไม่สู้..รู้วิชา รู้รักษาตัวรอด..เป็นยอดดี อย่าเกียจคร้านการเรียนเร่งอุตส่าห์ มีวิชาเหมือนมีทรัพย์อยู่นับแสน จะตกถิ่นฐานใดคงไม่แคลน ถึงคับแค้นก็พอยังประทังตน ความรู้คือปัญญา และปัญญาจะช่วยแก้ไข ปัญหาต่างๆ รวมถึงสร้างโอกาสดีๆให้ชีวิต และสามารถใช้เป็นเครื่องมือเลี้ย ลี้ งชีพด้วย ความรู้และปัญญาที่เรามี ดังนั้น นั้ เรามาเรียนรู้ ภาษาญี่ปุ่นเพื่อให้เกิดปัญญาเพิ่มพูนความรู้กัน นะครับ หลังสืออีบุ๊คเล่มนี้ แต่งขึ้นเพื่อให้ท่าน ที่มีความสนใจในภาษาญี่ปุ่นให้อ่านได้เข้าใจ ง่ายและปูพื้นฐานตั้ง ตั้ แต่เริ่มต้นจนถึงระดับ ที่ยาก สามารถนำ ไปประยุกต์ใช้ในการสนทนา ได้ทันที ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุน เซียนเฒ่าพันปี ผู้จัดทำ คำ นำ
1.อักษรภาษาญี่ปุ่นและการทักทาย 1 2.โครงสร้างไวยากรณ์ 34 3.คำ ช่วยต่างๆ 36 4.คำ สรรพนามพื้น พื้ ฐาน 40 5.การบอกและถามว่านี่ นั่น โน่น คืออะไร 43 6.คำ กริยา , การแบ่งกลุ่มและผันกำ กริยา 45 7.การใช้คำ คุณศัพท์ คำ กริยาวิเศษณ์ 63 8.การนับเลข บวก ลบ คูณ หาร การคำ นวณ การบอกจำ นวนสิ่งของ 92 9.การบอกวันเดือนปีและเวลา 113 10.การตั้ง ตั้ คำ ถาม 129 11.การบอกชื่ออาชีพต่างๆ 140 12.การบอกชื่อสถานที่ต่างๆ 143 13.การบอกทิศทาง ตำ แหน่งสถานที่ 145 14.การสั่งอาหารและเครื่องดื่ม 148 15.คำ ศัพท์เกี่ยวกับกิจกรรมใน ชีวิตประจำ วัน 158 16.การคุยโทรศัพท์ 181 17.การบอกอาการเจ็บไข้ได้ป่วยและ การบอกอวัยวะต่างๆในร่างกาย 195 18.การผันคำ กริยาเพื่อนำ ไปใช้ในรูปแบบ ต่างๆ 212 19.คำ ศัพท์เกี่ยวกับข้าวของเครื่องใช้ 226 20. การให้และรับ และสัญลักษณ์ป้ายต่างๆ 230 สารบัญ หน้าที่
บทที่ 1 อักษรภาษาญี่ปุ่น ปุ่ และการทักทาย สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่านครับ คำ แนะนำ !!! หลักการใช้หนังสือเล่มนี้ก่อนอื่นท่านต้องพยายามอ่าน และจำ ตัวอักษรฮิราคะนะและคะตะคะนะรวมถึงการออก เสียงให้ได้เสียก่อนซึ่งอาจจะลำ บากในตอนแรก อาจจะใช้เวลาจดจำ ทำ ความเข้าใจสักสองสัปดาห์หรือแล้ว แต่ความสามรถในการจดจำ ของแต่ละคนพอเริ่มจำ อักษร ได้แล้ว ก็มาเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น ปุ่ เบื้องต้นกันเลยนะครับ ผมขอแนะนำ ท่านผู้อ่านไม่ต้องไปเครียดว่าต้องรู้ทุกคำ ทุก ประโยคหรือแม่นไวยากรณ์เ ณ์ป๊ะ ป๊ ๆ เราอ่านและจำ เอาเฉพาะ ที่เกี่ยวข้องกับงานของเราหรือเรื่องที่เรากำ ลังเรียนอยู่ก็พอ ในโครงสร้างประโยคก็ขอให้มี ประธาน กริยา กรรม ก็พอ ส่วนพวกคำ ช่วยต่างๆ หรือรูปกาลเวลา อดีต ปัจจุบัน อนาคต ในประโยคนั้นๆ ถ้าท่านมีเวลาก็ค่อยมาทบทวน ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมทีหลังอีกทีก็ได้ ในบทแรกนี้จะให้ท่านมารู้จักกับตัวอักษรและการออกเสียง ของภาษาญี่ปุ่น ปุ่ กัน さいしょにもじをおしえてあげます saisho ni moji wo oshite agemasu むずかしいかなあ? จะยากไหมครับ รั ครู 1
ในภาษาญี่ปุ่น ปุ่ จะมีการใช้ตัวอักษรผสมกันอยู่ 4 รูปแบบ คือ รูปแบบที่ 1. ตัวฮิราคะนะ ひらかな รูปแบบที่ 2. ตัวคะตะคะนะ カタカナ รูปแบบที่ 3. ตัวคันจิ 漢字 รูปแบบที่ 4. ตัวโรมาจิ Romaji (ภาษาคาราโอเกะ) ในแบบที่ 4 นี้จะใช้เฉพาะให้คนต่างชาติเรียนตอนเริ่ม เท่านั้น ในภาษาญี่ปุ่น ปุ่ จริงๆเขาจะใช้แค่ 3 แบบข้างบน แต่จะเรียน ได้ง่ายขึ้นเพราะจะจำ ง่ายและเวลาพิมพ์แป้น ป้ คีย์บอร์ด ภาษาญี่ปุ่น ปุ่ นั้นก็จะตามตัวโรมาจิได้เลยระบบมันจะขึ้น ให้เราเลือกเองว่าจะให้เป็นแบบไหน คันจิ หรือ ฮิราคะนะ หรือ คะตะคะนะ อธิบายเพิ่มเติมดังนี้ รูปแบบที่ 1. ตัวฮิราคะนะ ลักษณะอ่อนช้อย รูปลายเส้นเป็นทรงโค้ง เป็นตัวอักษรที่ คนญี่ปุ่น ปุ่ สมัยโบราณประดิฐษ์ขึ้นเอง ส่วนมากใช้เขียนงาน วรรณกรรม กาพย์กลอน คือเพื่อที่จะให้ผู้อ่านได้รับรู้ความ รู้สึกสุนทรีย์และความสวยงามของบทกลอนนั้น ผู้แต่ง กาพย์กลอนจึงทำ ลักษณะอักษรให้มีความอ่อนช้อยสวยงาม ดังที่ปรากฎให้เห็นตามตัวอักษร ตัวอย่างเช่น きれい อ่านว่า คิเรอิ แปลว่า สวยงาม すき อ่านว่า สึคิ แปลว่า ชอบ รูปแบบที่ 2. ตัวคะตะคะนะ ลักษณะดูแข็งคม รูปลายเส้นเป็นทรงเหลี่ยม เป็นตัวอักษร ที่คนญี่ปุ่น ปุ่ สมัยโบราณประดิฐษ์ขึ้นเอง เช่นกัน ส่วนมากจะ เขียนคำ ที่มาจากต่างประเทศ เช่น ชื่อคนต่างชาติ ชื่อของ ประเทศอื่น ชื่อของสิ่งของเครื่องใช้ที่ต่างชาตินำ เข้ามา และใช้เขียนคำ อุทานต่างๆ เป็นต้น ตัวอย่างเช่น ロッカールーム อ่านว่า รอกก้ารุมุ แปลว่า ห้องล็อคเกอร์ ホテル อ่านว่า โฮ เต รุแปลว่า โรงแรม コーヒー อ่านว่า โค ฮี แปลว่า กาแฟ 2
คนญี่ปุ่น ปุ่ จะติดปัญหาการออกเสียงภาษาอังกฤษและภาษา ไทยเป็นอย่างมาก เช่น เสียงภาษาอังกฤษที่ออกเสียง ..er , ..or เสียงสระ เ – อ เช่น computer ก็จะออกเสียงเป็น ..อ้า คอมพิวต้า หรือ power ก็จะออกเสียงเป็น พาว้า ส่วนภาษาไทย คำ ที่สะกดด้วย ตัว พยัญชนะ เช่น ง , น, ร เช่น คำ ว่า คุณกุ้ง เขามักจะออกเสียงเป็น คุงคุ้ง เสียงจะ ออกแบบรัวๆไม่ชัด หรือ คำ ว่า การบ้าน เขาจะออกเสียง เป็น คางบ้าง ซึ่งจะให้เขาพูดภาษาไทยจึงเป็นเรื่องลำ บากพอสมควร เว้น แต่ว่าเขามาอยู่เมืองไทยนานแล้วจนชินเสียงคนไทยมากๆ จึงออกเสียงได้ชัด รูปแบบที่ 3. ตัวคันจิ (ยากกว่าทุกประเภท) คือตัวอักษรที่นำ มาจากภาษาจีน จะซับซ้อนดูยากมากกว่า 2 แบบแรก อักษรตัวหนึ่งอ่านได้หลายเสียง กล่าวคือ ถ้า เขียนตัวอักษรตัวเดียวโดดๆ ส่วนมากจะออกเสียงแบบ ญี่ปุ่น ปุ่ แต่ก็มีบางตัวแม้จะเขียนตัวเดียวโดดๆ ก็ยังอ่านออก เสียงแบบจีนตัวอย่าง เช่น ตัว 漢 ตัวอักษรนี้จะอ่าน แบบจีนได้อย่างเดียว อ่านว่า คัน แปลว่า จีน พระราชลัญจกรทองคำ ที่มีตัวอักษรคันจิ 3
พระราชลัญจกรทองคำ ความสัมพันธ์ยุคต้นจีน-ญี่ปุ่น ปุ่ พระราชลัญจกรกษัตรย์ฮั่นวาหนู่ 漢倭奴國王印 มีลักษณะเป็นทองคำ แท่งเนื้อบริสุทธิ์ 95 % น้ำ หนัก 108.72 กรัม ขนาดประมาณ 1x1x1 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดที่ นิยมใช้กันในสมัยราชวงศ์ฮั่น ด้านบนตราประทับเป็นด้าม ปุ่ม ปุ่ สลักลวดลายหัวงู เชื่อกันว่าพระลัญกรทองคำ นี้หล่อขึ้นที่แผ่นดินจีนสมัยรา ชวงศ์หมิง โดยจักรพรรดิฮั่นกวงอู่หลิวซิ่ว 漢光武帝劉秀 (ค.ศ. 57) เป็นผู้พระราชทานให้แก่คณะทูตของญี่ปุ่น ปุ่ ที่ไป เยือนจีนใน ค.ศ. 57 อักษรฮั่น 5 ตัวที่ปรากฏบนพระลัญจกร 漢倭奴國王 มีความหมายว่ากษัตริย์วา 倭 อาณาจักรหนู่ 奴ภายใต้ ราชวงศ์วงศ์ฮั่น. พระลัญกรทองคำ นี้เป็นวัตถุโบราณที่ขุดพบบนเกาะ ชิคา โนชิมะ Shikanoshima Island (志賀島 ) เมืองฟูกูโอกะ เมื่อ 12 เมษายน ค.ศ.1784 บนที่นาของชาวนาคนหนึ่ง ขณะกำ ลังพรวนดินทำ การเพาะปลูก ปัจจุบันขึ้นทะเบียน เป็นสมบัติของชาติญี่ปุ่น ปุ่ แสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์เมืองฟูกู โอกะ 4
ในช่วงนั้นที่มีชาวจีนแผ่นดินใหญ่อพยพเข้ามาใน เกาะญี่ปุ่น ปุ่ ในปลายยุคยาโยอิ และเป็นช่วงที่ญี่ปุ่น ปุ่ ได้รับอิทธิพลมาจากการอพยพเข้ามา ของคนจีนแผ่นดินใหญ่ และชาวญี่ปุ่น ปุ่ ก็เริ่มดัดแปลง เลียนแบบ รับเอาวัฒธรรมของต่างชาติ เช่น พุทธศาสนา ลัทธิต่างๆ มาประยุกต์ใช้ให้เข้าวัฒนธรรม ของตนได้อย่างผลดีต่อสังคม รวมถึงตัวอักษรคันจิก็เริ่มมี การนำ มาใช้ในยุคนี้ อีกคำ หนึ่งนะครับ คำ ว่า 字 ถ้าเขียน ตัวเดียวโดดๆ อ่านออกเสียงแบบจีน อ่านว่า จิ แปลว่าตัว อักษร ถ้าอ่านออกเสียงญี่ปุ่น ปุ่ อ่านว่า อะซะ แปลว่าส่วนหนึ่ง ของหมู่บ้าน แต่ถ้านำ ตัวคันจิสองตัวมารวมกันจะอ่านออกเสียงเหมือน ภาษาจีน จะอ่านว่า คันจิ ตัวอย่างเช่น 漢字 อ่านว่า คันจิ แปลว่า อักษรคันจิ (อักษรจีน) 病気 อ่านว่า เบียวคิ แปลว่า เจ็บป่ว ป่ ย ซึ่งตัวคันจินี้คนญี่ปุ่น ปุ่ จะใช้กันมากและเป็นอุปสรรคต่อคน ต่างชาติมากเพราะมันยากต่อการจดจำ ตัวอย่างอักษรคันจิ, จิ ฮิราคะนะ,romaji, คำ แปล ⼭ =やま=yama = ภูเขา ⿂ =さかな=sakana=ปลา ⽇ =にち=nichi=วัน ⽉ =げつ=getsu=เดือน 豚 =ぶた=buta=หมู 家 =いえ=ie=บ้าน 川 =かわ=kawa=แม่น้ำ ⼈ =ひと=hito=คน ⽕ =か=ka=ไฟ 5
เพราะตัว อักษรมันซับซ้อนคล้ายๆกันก็เยอะตัวคันจิที่ ญี่ปุ่น ปุ่ ใช้ในการพิมพ์การสื่อสารข้อมูลกันมีคร่าวๆ 8,500 ตัวขึ้นไป คือ ถึงหลักหมื่นตัวกันเลยทีเดียว แต่ที่ใช้กัน จริงๆในชีวิตประจำ วัน เช่น ในหนังสือพิมพ์ นิตยาสาร หรือ ตำ ราเรียน ก็ประมาณ 3,000 คำ คือ ถ้าหากใครจำ คันจิได้ 3,000 คำ ก็ถือว่าอ่านหนังสือหรือเอกสารภาษาญี่ปุ่น ปุ่ รู้เรื่อง โดยปริยาย เสมือนเป็นคนญี่ปุ่น ปุ่ เลยก็ว่าได้ ในระบบการ ศึกษาเขาไม่ได้อัดตัวคันจิทีเดียวสามพันคำ เลยนะครับ เขาจะค่อยๆสอนเด็กไปเรื่อยๆให้ชินคือระดับชั้นประถม ศึกษาอย่างน้อ น้ ยเด็กต้องจำ คันจิให้ได้ 1,000 คำ ส่วนที่ เหลือก็ทยอยสอนไปพอจบระดับอุดมศึกษาก็ได้อย่างน้อ น้ ย ครบ 3,000 คำ พอดี อีกเหตุผลหนึ่งคือว่าในภาษาญี่ปุ่น ปุ่ มีการใช้คำ ซ้ำ กันเยอะ มาก หมายถึงออกเสียงเหมือนกันแต่ความหมายต่างกัน ก่อนอื่นขอยกตัวอย่างคำ ในภาษาไทยเปรียบเทียบกันนะ ครับ เช่น คำ ว่า หอม ซึ่ง แปลได้ 2 อย่าง ถ้าเป็นคำ นาม แปลว่า ต้นหอม ใช้ทำ กับข้าว ใช้ปรุงอาหาร แต่ถ้าเป็นคำ กริยาจะแปลว่า หอมแก้ม เช่นเดี่ยวกับภาษาญี่ปุ่น ปุ่ ที่เขียน ด้วยตัวฮิราคะนะ ยกตัวอย่างคำ ว่า あうอ่านว่า อะอุ หรือ อาว ก็ได้ แปลได้หลายความหมาย เช่น 1. พบเจอ 会う, 2. เหมาะเข้ากันได้ 合う, 3. ประสบ (อุบัติเหตุ) 遭うเป็นต้น หากเขียนด้วยตัวฮิราคะนะ あうพออ่านแล้วจะเสียเวลามา คิด เสียเวลาตีความอีกว่า หมายถึงความหมายอะไรต้อง อ่านให้ครบประโยคแล้วจึงรู้ความความหมายของคำ นี้ 6
แต่ถ้าเขียนด้วยตัวคันจิซึ่งถึงแม้ว่าจะออกเสียงเหมือนกัน แต่พอเห็นแล้วจะรู้เลยว่าความหมายของคำ ในประโยคนั้น ทันทีว่าคืออะไร และอีกเหตุผลหนึ่งคือถ้าเขียนด้วยตัวคันจิ จะช่วยประหยัดพื้นที่ในการเขียนอีกด้วย เช่น คำ ว่า みじかいอ่านว่า มิจิไค แปลว่าสั้น แต่พอมาเขียนด้วยตัว คันจิ จะเป็นรูปดังนี้ 短いคือถ้าเขียนด้วยตัวฮิราคะนะต้อง ใช้อักษรถึง 4 ตัว แต่ถ้าเขียนด้วยตัวคันจิจะใช้อักษรแค่ 2 ตัว แต่จะลำ บากในช่วงแรกๆ เพราะอักษร คันจิมันมาจาก การวาดภาพสื่อสารกันขอวงคนจีนในสมัยโบราณ และ ดัดแปลงมาเป็นอักษรถึงยุคปัจจุบันนี้ แต่ถ้าคำ ไหนเราพบ เห็นบ่อยๆ สมองเราจะจำ ได้เองโดยอัตโนมัติครับ คันจิ (漢字) คือ ตัวอักษรจีนที่นำ เขียนใช้ในภาษาญี่ปุ่น ปุ่ โดยอาจจะนำ มาใช้ ทั้งตัวอักษร ความหมาย และเสียงอ่าน หรือเพียงตัวอักษร และเสียงอ่านแต่เปลี่ยนความหมายก็ได้ ซึ่งคันจิที่ยำ มาใช้ ในชีวิตประจำ วันมีประมาณ 3,000 ตัว เสียงของคันจิ เสียงของคันจิเนื่องจากอักษรคันจิคืออักษรจีนที่นำ มาใช้ใน ภาษาญี่ปุ่น ปุ่ อักษรคันจิหนึ่งจึงตัวอาจอ่านได้หลายแบบ อาจ ถึงสิบแบบหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับรูปประโยค เป็นคำ ประสม หรือตำ แหน่งคำ ในประโยคนั้นๆ การอ่านออกเสียง ตัวอักษรคันจินั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1.เสียงคุน (ญี่ปุ่น ปุ่ : 訓読み kun'yomi ) แปลว่า อ่านเอา ความหมาย เป็นการออกเสียงคันจิของคำ นั้นในภาษาญี่ปุ่น ปุ่ 2.เสียงอง (ญี่ปุ่น ปุ่ : ⾳読み on'yomi ) แปลว่า อ่านเอา เสียง เป็นการออกเสียงคันจิของคำ นั้นตามเสียงภาษาจีน 7
รูปแบบที่ 4. ตัวโรมาจิ (ภาษาคาราโอเกะ) อันนี้จะนิยมใช้ในการเรียนภาษาญี่ปุ่น ปุ่ ในตอนแรก เพราะ ให้อ่านตามตัวเลยอ่านง่าย เห็นภาพชัดเจน เหมาะสมหรับ คนที่เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น ปุ่ ใหม่ๆ แต่พอจำ ได้แล้วก็ให้ พยายามจำ ตัวอักษรฮิราคะนะและอื่นๆด้วยนะครับจะได้ พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ตัวอย่าง เช่น จะพูดทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่น ปุ่ สวัสดีตอนเช้า ก็จะ พิมพ์หรือเขียนว่า Ohayo Gozaimasu ออกเสียงเป็น โอฮะโยโกไซมัส หรือ เขียนเป็นฮิราคะนะ おはようございます。 เป็นต้น ทวนกันอีกรอบนะครับ ภาษาญี่ปุ่น ปุ่ จะมีการใช้ตัวอักษรผสมกันอยู่ 4 รูปแบบ คือ รูปแบบที่ 1. ตัวฮิราคะนะ ひらかな รูปแบบที่ 2. ตัวคะตะคะนะ カタカナ รูปแบบที่ 3. ตัวคันจิ 漢字 รูปแบบที่ 4. ตัวโรมาจิ Romaji (ภาษาคาราโอเกะ) 8
ต่อมาเรามาดูรูปแบบและหน้า น้ ตาของอักษร 1. ตัวฮิราคะนะ ひらかな 2. ตัวคะตะคะนะ カタカナ 3. ตัวคันจิ 漢字 กันนะครับ ส่วนแบบที่ 4. Romaji นั้น มันก็พิมพ์ตามเสียง ใช้อักษรภาษาอังกฤษ อันนี้จะไม่ยากครับ ที่อยากให้ท่านจำ คือ แบบที่ 1 และ 2 เท่านั้นก็พอครับ แบบที่ 3 ตัวคันจิมันอาจจะยากไป แต่จะฝึกดูไว้ก็ดีจะได้ ชินคุ้นตา ในช่วงแรกท่านอาจจะยังจำ ไม่ได้หมดทีเดียว ขอให้แบ่งจำ เอาที่ละคอลัม หรือ ที่ละตอนก่อนก็ได้ ให้นึกถึงสมัยเรา เป็นเด็กแล้วหัดท่อง หัดเขียน ก.ไก่ ในตอน แรกๆ นะครับ การเริ่มกับ อะไรที่ใหม่ๆ สมองอาจจะ ยังไม่ชิน แต่ เราดูซ้ำ ๆจน เบื่อสมองจะ จำ ได้เอง ตัวอย่าง อักษรฮิราคะนะ すいか = suika = แตงโม からだ= karada =ร่างกาย め = me = ตา みみ = mimi =หู て= te =มือ おさけ = เหล้า あかい = akai=สีแดง あるいて = aruite=เดิน 9
รูปแบบและหน้า น้ ตาของอักษร 1. ตัวฮิราคะนะ ひらかな อ่านแบบแนวตั้ง, ดิ่ง จากบนลงล่าง หมวดเสียง อุ นั้น จะเสียงเป็น อึ ก็ได้ คือมันคล้ายเอาสระ อุ ผสม สระ อึ 10
รูปแบบและหน้า น้ ตาของอักษร ตัวฮิราคะนะ ひらかな และ คะตะคะนะ カタカナ อ่านแบบแถว ซ้ายไปขวา 11
รูปแบบและหน้า น้ ตาของอักษร ตัวฮิราคะนะ ひらかな อ่านแบบแถว ซ้ายไปขวา ゆ 12
วิธี วิธี การเขียนตัวฮิราคะนะ 13
จริงๆ แล้วสำ เนียงญี่ปุ่น ปุ่ ที่เขียนในตารางนั้นจะให้เหมือน กับเสียงสำ เนียงที่ออกจากปากของคนญี่ปุ่น ปุ่ จริงให้ได้ร้อย เปอร์เซ็นนั้นเป็นไปได้ยากคือเสียงมันจะออกแนวควบกล้ำ สระผมยกตัวอย่างเสียงく อ่านว่า คุ แต่ออกเสียงจริงๆ แล้วจะออกเป็นเสียงสระอุ ผสมสระอึ จะออกเป็น คุึ แบบ ผสมเสียงนะครับคือจะคุก็ไม่เป๊ๆ ป๊ จะคึก็ไม่เป๊ะ ป๊ ๆ เอาเป็นว่าออกแบบขุ่นๆ เอาก็แล้วกันคือยังไงก็ยืนพื้นที่ เสียงสระอุเอาไว้ก่อนนะครับ **และพิเศษอีกตัวคือตัว ฮะ は ในบางคำ พูดหรือตัวอักษร ถ้าทำ หน้า น้ ที่เป็นคำ ช่วย ก็จะออกเสียงเป็นเสียง วะ (วอแหวน) เช่นคำ ว่า これは อ่านว่า โคเระวะ แปลว่า นี้คือ หรืออีกคำ เช่นこんにちは จะออกเสียงว่า คอนนิจิว จิ ะ แปลว่า สวัสดีตอนบ่าย หรืออีกคำ เช่น わたしはタイ⼈です。 อ่านว่า วะตะชิ วะ ไทจินเดส แปลว่า ผมเป็นคนไทยครับ และนอกจากนี้ยังมีอักษรอีกตัวคือตัว เฮะ へ โดยปกติอ่านออกเสียงเป็น เฮะ แต่บางที ที่เอาไปใช้เป็นคำ ช่วยบอกสถานที่ก็จะออกเสียงเป็น เอ๊ะ แทนนะครับ เช่น がっこう へ いきます อ่านว่า กั๊กโก เอ๊ะ อิคิมัสแปลว่าไป(สถานที่) โรงเรียน 14
การออกเสียงเพิ่มเติมที่ใส่เครื่องหมาย มารุ และเต็งๆ การออกเสียงในภาษาญี่ปุ่น ปุ่ ยังไม่จบแค่ในตารางเมื่อกี้นะ ครับเพื่อที่จะได้ออกเสียงเพิ่มมากขึ้นคนญี่ปุ่น ปุ่ ก็ได้นำ ตัวฮิราคะนะและตัวคะตะคะนะ ไปใส่เครื่องหมายต่างๆ และผสมคำ เกิดเสียงใหม่ มี 2 ลักษณะ ดังนี้ 1.นำ มาใส่เครื่องหมาย〃และ ゜ ใส่เพิ่มไปในตัวอักษรบางตัวในตารางดังกล่าวแล้วเกิด เสียงใหม่เพิ่มขึ้นมา 2. ยังมีการนำ ตัวสระในหมวด(ยะ)や・ゆ・よไปผสมกับ ตัวอักษรอื่นที่อยู่ในหมวดเสียง อิ เช่นき(คิ) แล้วจะเกิด เสียงควบกล้ำ เสียงใหม่เป็นきゃ(เคียะ) ซึ่งจะแบ่งเสียงใหม่ที่เพิ่มออกเป็น 2 แบบ คือ 1. เสียงขุ่น 2. เสียงควบกล้ำ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ การออกเสียงขุ่นคือที่ใส่เ ส่ ครื่องหมายเต็งๆ〃 หรือไม่ก็เป็นเครื่องหมายมารุ ゜ใส่ไปในอักษรกลุ่มนั้นๆ แล้วจะเกิดพยัญชนะเสียงใหม่เพิ่มมาอีก 25 ตัว 15
เกิดเสียงขุ่น 25 ตัว/เสียง การออกเสียงเพิ่มเติมที่ใส่เครื่องหมาย มารุ และเต็งๆ แล้วจะเกิดพยัญชนะเสียงใหม่เพิ่มมาอีก 25 ตัว 1. 16
เกิดเสียงขุ่น 25 ตัว/เสียง การออกเสียงเพิ่มเติมที่ใส่เครื่องหมาย มารุ และเต็งๆ แล้วจะเกิดพยัญชนะเสียงใหม่เพิ่มมาอีก 25 ตัว 1. ฮิราคะนะ คะตะคะนะ 17
2 เสียงควบกล้ำ เสียงควบจะออกเสียงยากนิดหนึ่งนะครับการออกเสียงควบ (ตัวอักษรกึ่งสระ)ในภาษาญี่ปุ่น ปุ่ คำ ควบในภาษาญี่ปุ่น ปุ่ เป็นการนำ คำ ในวรรคยะ คือや(ya-ยะ), ゆ(yu-ยุ), よ(yo-โยะ) ไปต่อท้ายเสียงในแถวสระอิ (い) ในคำ き し ち に ひ み り และกลุ่มเสียงขุ่นและกึ่งขุ่น ぎ じ ぢ び(คำ ที่เติมเท็นเท็นและมารุ) โดย เขียนเป็นตัวเล็ก ทำ ให้ได้เสียงออกมาต่างๆดังใน ตารางต่อไปนี้ 18
รูปแบบและหน้า น้ ตาของอักษร 2. ตัวคะตะคะนะ カタカナ 19
1.เสียงขุ่น 2.เสียงควบกล้ำ 20
1.เสียงขุ่น 2.เสียงควบกล้ำ 21
ตัวสะกด ん(อึน,อึ้ง),つ (ทซึ) * ส่วนตัวสะกดんอึน หรือ รื อึ้ง นั้น นั้ เวลาไปเติมต่อท้ายคำ ในตารางฮิราคะนะหรือ รื คะตะคะนะ ส่วนมากจะออกเสียงเป็น ป็ เสียงคล้ายๆ ตัว น. (นอหนู) ผสม ง. (งองู) เช่น おんな (อน นะ) แปลว่า ว่ ผู้หญิง และจะออกเสียงคล้ายๆ ม. (มอม้า) หากมีตัวมาต่อท้ายเป็น ป็ ตัว ぱ พะ, ば บะ เช่นคำ ว่า ว่ かんぱいอ่านออกเสียงว่า ว่ คัม คัปาย แปลว่า ว่ ไชโยส่วนมากจะพูดตอนยกแก้วเหล้า หรือ รื เบียร์ชนกันก่อนที่จะดื่มจะออกแนวแสดง ความ ยินดีหรือ รื ชื่นชมกันในงานเลี้ยงนั้น ถ้าเป็นภาษาไทยก็น่าจะตรงกับคำ ว่า ว่ ชนแก้วนะ ครับหรือ รื อีกคำ เช่น こんばんは ออกเสียงเป็น ป็ โคมบังวะแปลว่า ว่ สวัสดีตอนเย็น 22
และตัวสะกดอีกตัวคือตัวっทซึตัวเล็ก ถ้าไปอยู่หน้าหมวดเสียง か ก็จะออกเสียงสะ กดคล้ายๆ ค. (คอควาย) เช่นคำ ว่า ว่ けっかอ่านเค๊ค ค๊ กะ แปลว่า ว่ ผลลัพท์ ถ้าตัวっทซึตัวเล็กไปอยู่หน้าหมวดเสียง ば、ぱ ก็จะออกเสียงสะกดคล้าย บ. (บอใบไม้) หรือ รื พ. (พอพาน) いっぱい อ่านว่า ว่ อิบ อิไป แปลว่า ว่ มาก, เยอะ รู้เรื่อ รื่ งการออกเสียงแล้วนะครับ ต่อไปก็ค่อยๆ สังเกตุคำ ศัพท์ใหม่ๆในบทต่อๆไปนะครับ สำ คุญคือต้อง หาเวลาอ่านทบทวนอยู่บ่อยๆ จะได้จำ ได้นะครับ แบ่งจำ ที่ละน้อยๆ สมองจะได้ไม่เครีย รี ดมากจนเกินไป การ เราได้เรีย รี นตัวอักษรฮิราคะนะ และคะตะคะนะไปแล้ว ต่อไปจะไปเรีย รี น ตัวคันจิกันนะครับ ตัวสะกด ん(อึน,อึ้ง),つ (ทซึ) 23
รูปแบบและหน้า น้ ตาของอักษร 3. ตัวคันจิ 漢字 ตัวอย่าง อักษรคันจิการ ทั้ง ทั้ อ่าน 2 แบบ อ่า ⿂ นแบบญี่ปุ่น ปุ่ (คุนโยมิ) 訓読み さかな sakana แปลว่า ว่ ปลา ซึ่งจะเป็น ป็ การเขียนตัวเดียวโดดๆ ไม่มีตัวอื่น ผสมคำ อ่านแบบจีน (องโยมิ) 音読み ぎょ gyo แปลว่า ว่ ปลา ตัวอย่างถ้ามีคำ อื่นผสม เช่น 魚肉 ก็จะอ่านออกเสียงแบบจีน ซึ่งจะอ่านว่า ว่ ぎょにくgyoniku แปลว่า ว่ เนื้อปลา 24
รูปแบบและหน้า น้ ตาของอักษร 3. ตัวคันจิ 漢字 ตัวอย่าง อักษรคันจิการ ทั้ง ทั้ อ่าน 2 แบบ อ่า ⽜ นแบบญี่ปุ่น ปุ่ (คุนโยมิ) 訓読み うし ushi แปลว่า ว่ วัว ซึ่งจะเป็น ป็ การเขียนตัวเดียวโดดๆ ไม่มีตัวอื่น ผสมคำ อ่านแบบจีน (องโยมิ) 音読み ぎゅうgyu แปลว่า ว่ วัว ตัวอย่างถ้ามีคำ อื่นผสม เช่น 牛乳 ก็จะอ่านออกเสียงแบบจีน ซึ่งจะอ่านว่า ว่ ぎゅうにゅう gyu・nyu (กิวนิว) แปลว่า ว่ นมวัว 25
รูปแบบและหน้า น้ ตาของอักษร 3. ตัวคันจิ 漢字 ตัวอย่าง อักษรคันจิการ ทั้ง ทั้ อ่าน 2 แบบ อ่า 今 นแบบญี่ปุ่น ปุ่ (คุนโยมิ) 訓読み いま ima แปลว่า ว่ ตอนนี้ ซึ่งจะเป็น ป็ การเขียนตัวเดียวโดดๆ ไม่มีตัวอื่น ผสมคำ อ่านแบบจีน (องโยมิ) 音読み こん kon แปลว่า ว่ ตอนนี้ ตัวอย่างถ้ามีคำ อื่นผสม เช่น 今後 ก็จะอ่านออกเสียงแบบจีน ซึ่งจะอ่านว่า ว่ こんご kongo (คองโก) แปลว่า ว่ ต่อจากนี้ไป 26
รูปแบบและหน้า น้ ตาของอักษร 3. ตัวคันจิ 漢字 เนื่องจากตัวคันจิมีจำ นวนเยอะมาก ในหนังสือ เล่มนี้จะไม่เน้น น้ ตัวคันจิ เน้น น้ เพียงตัวฮิราคะนะ และคะตะคะนะเท่า ขอให้ผู้อ่านอ่านเพิ่มเติม ศึกษาเอาในสื่อต่างๆ แต่ ทั้งนี้ ทางผู้จัดทำ ก็จะพิมพ์ตัวทั้งตัวคันจิไปใน คำ ศัพท์แต่ละบทอยู่เพื่อให้ท่าน ได้มีโอกาสดูผ่านตา ซึ่งอาจจะ จดจำ ได้ไม่มากก็น้อ น้ ย ขอจบตัวอักษรคันจิ ตัวอย่างไว้เพียงเท่านี้ และยังสามารถดูคำ ศัพท์ ได้ในบทต่อๆไปนะครับ ตัวอย่าง อักษรคันจิ ที่เจอบ่อยๆ 1.今・いま・ima = ตอนนี้ 2.明⽇・あした・ashita = พรุ่งนี้ 3.私・わたし・watashi = ผม,ฉัน 4.初めて・はじめて・hajimete = เริ่ม 5.料理・りょうり・ryouri = อาหาร 6.終わる・おわる・owaru = เสร็จ 7.好・すき・suki = ชอบ 8.何・なん・nan = อะไร 9.昨⽇・きのう・kino = เมื่อวาน 10. 安い・やすい・yasui =ราคาถูก 27
การทักทาย あいさつ Aisatsu = แปลว่าการทักทาย เรามาเริ่มเรียนรู้กันเลยครับ สวัสดีตอนเช้า ภาษาญี่ปุ่น ปุ่ จะพูดว่า おはようございます。 Ohayogozaimasu สวัสดีตอนบ่าย ภาษาญี่ปุ่น ปุ่ จะพูดว่า こんにちは こんにちは Konnichiwa สวัสดีตอนเย็น ภาษาญี่ปุ่น ปุ่ จะพูดว่า こんばんは Kombanwa ราตรีสวัสดิ์ ภาษาญี่ปุ่น ปุ่ จะพูดว่า おやすみなさい Oyasuminasai แล้วเจอกันใหม่นะครับ また、 会いましょう Mata aimasho แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้นะครับ また、あした Mata ashita 28
การทักทาย (ต่อ) ลาก่อนนะครับ さようなら Sayonara ในกรณีลาก่อน แบบว่าไปจากกันนาน เช่น เป็น เดือนๆ หรือจะไม่ได้เจอกันอีกเลย เป็นต้น มาดูอื่นๆต่อนะครับ สบายดีไหมครับ おげんきですか Ogenki desu ka หรือ おげんきにしていますか Ogenki ni shite imasu ka สบายดี げんきです Genki desu ไม่ค่อยสบาย げんきじゃないです Genki ja nai desu ขอตัวก่อนนะครับ おさきにしつれいします Osaki ni shitsurei shimasu おそれいりますが osore irimasu ga ประทานโทษนะครับ คือว่า... ไม่ค่อยได้เจอกันนานแล้วนะครับ おひさしぶりですね Ohisashiburi desu ne การตอบว่าใช่ หรือ ไม่ใช่ ในภาษาญี่ปุ่น ปุ่ จะพูด ใช่ はい、Hai ออกเสียงเป็น ไห้ ไม่ใช่ いいえ、Iie ออกเสียงเป็น อี เย๊ะ 29
การทักทาย (ต่อ) ขอบคุณครับ/ค่ะ ありがとうございます Arigato gozaimasu ขอบคุณมากๆครับ/ค่ะ どうも、ありがとうございます Domo, Arigato gozaimasu เชิญครับ/ค่ะ どうぞ Dozo ไม่เป็นไรด้วยความยินดีครับ/ค่ะ いいえ、どういたしまして Iie, Doitashimashite ขอโทษครับ/ค่ะ すみません Sumimasen โทษครับ/ค่ะ (ใช้กับเพื่อนหรือลูกน้อ น้ ง) ごめんなさい Gomennasai ไม่เป็นไร (ใช้กับเพื่อนหรือลูกน้อ น้ ง) かまいません Kamaimasen 30
การทักทาย เกร็ดสาระน่ารู้ 1 สวัสดีระหว่างวัน หลังจากที่ได้ทักทายกันตามปกติไป แล้ว เช่น เคยทักสวัสดีตอนเช้าไปแล้ว หากบังเอิญมาเจอ กันในวันนั้นอีกรอบ พอเดินสวนกัน ก็จะหยุดทักทายกันอีกพร้อมกับก้มหัวนิดๆ โดยจะพูดว่า お疲れ様です おつかれさまです Otsukare samadesu ซึ่งแปลว่าสวัสดีอีกครั้งค่ะ จริงๆมันเป็นภาษากายซะ มากกว่า คือ คนญี่ปุ่น ปุ่ หากเดินสวนผ่านกันไปเลยเฉยๆ จะ รู้สึกเหมือนว่าจะเหินห่างกัน ดังนั้นเขาจึงมัก จะพูดทักทายกันด้วยคำ นี้เสมอเมื่อเดินผ่านกัน 2 ในการพบการเป็นครั้งแรกจะมีการพูดแนะนำ ตนเอง ตามตัวอย่าง ต่อไปนี้ครับ สวัสดีครับ ผมชื่อ ปัญญา มาจากระยอง ยินดีที่ได้รู้จัก และขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ภาษาญี่ปุ่น ปุ่ จะพูดว่า 初めまして わたしはパンヤと申します。 ラヨーン県 からきました どうぞよろしくお願いいたします。 31
อธิบายเพิ่มดังนี้ครับคำ ว่า 初めまして はじめましt Hajimemashite นั้นแปลว่า ยินดีที่ได้รู้จัก คำ ว่า わたしは Watashiwa นั้นแปลว่า ผมหรือฉัน คำ ว่า パンヤ PANYA นั้นคือชื่อของคนที่แนะนำ ในที่นี้ผมสมมุติให้ชื่อว่าปัญญา คำ ว่า と申します。 Tomoshimasu นั้นแปลว่า มีชื่อว่า คำ ว่า ラヨーン県からきました。 ラヨーンけんからきました Ryong ken kara kinashita นั้นแปลว่า มาจากจังหวัดระยอง คำ ว่า どうぞよろしくお願いいたします。 どうぞよろしくおねがいいたします。 Dozo yoroshiku onagai itashimasu นั้นแปลว่าขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ 31
เกร็ดสาระน่ารู้เพิ่มเติม ภาษาญี่ปุ่น ปุ่ ก่อนที่จะกินข้าวและหลังจากที่กินข้าวเสร็จแล้ว จะมีคำ กล่าว ตามลำ ดับดังนี้ ก่อนกินข้าวจะพูดว่า いただきます Itadakimasu ซึ่งแปลว่า จะขออนุญนุ าตทานข้าวแล้วนะครับ และหลังกินข้าวจะพูดว่า ごちそうさまでした Gochisosamadeshita ซึ่งแปลว่า ขอขอบคุณสำ หรับอาหารที่แสนอร่อยในครั้งนี้ จะไป(ทำ งาน) แล้วนะครับ/ค่ะ いってきます Itte kimasu กลับมาแล้วนะครับ/ค่ะ ただいま Tadaima เชิญเข้ามาครับ/ค่ะ おかえりなさい Okaerinasai ต้องอภัยอย่างสุดซึ้งด้วยครับ /ค่ะ もしわけございません Moshiwake gozaimasen 32
เกร็ดสาระน่ารู้เพิ่มเติม ビールをいっぱいおごろうか Bi-ru wo ippai o gorou ka แปลว่า ให้ผมเลี้ยงเบียร์สักแก้วไหมครับ, กินเบียร์กันไหมครับ おごろう หรือ おごる แปลว่า เลี้ยง (เบียร์, ข้าว) คนญี่ปุ่น ปุ่ เวลาหลังเลิกงาน ถ้ายังพอมีเวลา เขามักจะชวน กันไปดื่มเบียร์ และเบียร์ที่ญี่ปุ่น ปุ่ มีหลากหลายยี่ห้อด้วย ราคาแบบถูกๆ จนถึงแบบแพง เริ่มต้นที่กระป๋อ ป๋ งละ 30 บาท และคำ ว่าเบียร์สด ภาษาญี่ปุ่น ปุ่ จะพูดว่า なまビール nama bi-ru และอีกประโยคหนึ่งที่เหมือนกับ おごろう คือ ごちそうさせてくれ gochisou sasetekure แปลว่า ให้ผมเลี้ยง นะครับ แต่จะใช้คุยกันระหว่างเพื่อน เท่านั้น ดูรูปประโยค เต็มๆ ข้างล่างนี้ นะครับ きょうはぼくにごちそうさせてくれ kyou wa boku ni gochisou sasete kure แปลว่า วันนี้ให้ผมเป็นฝ่า ฝ่ ยเลี้ยงนะครับ 33
บทที่ 2 โครงสร้างไวยากรณ์ ขอให้ผู้อ่านดูรูปโครงสร้างประโยคภาษาไทย ก่อนนะครับ ประธาน + กริยา + กรรม เด็ก กิน ขนม เด็ก (ประธาน) + กิน (กริยา) + ขนม (กรรม) นั้นคือโครงสร้างภาษาไทยของเรา แต่เมื่อจะพูดภาษา ญี่ปุ่น ปุ่ นั้น โครงสร้างมันกลับตรงกันข้ามกับภาษาไทย ซึ่งตรงจุดนี้ จึงทำ ให้คนไทยเรียนภาษาญี่ปุ่น ปุ่ ค่อนข้าง สับสน เพราะโครงสร้างมันสวนทางกับคำ พูดในภาษาไทย เรา แต่อย่าพึ่งท้อแท้นะครับ ลองฝึกเรียนฝึกอ่านไปเรื่อจะ จำ ได้และชินไปเองครับ โครงสร้างไวยากรณ์ใณ์ นภาษาญี่ปุ่น ปุ่ จะเป็นดังนี้ครับ ประธาน + คำ ช่วย + กรรม + คำ ชี้กรรม/แสดงวิธี/บอก ตำ แหน่ง + คำ กริยา มันก็อ่านออกมาตามลำ ดับว่า เด็ก ขนม กิน こども は おかしを たべます。 โคโดโมะ วะ โอกะชี โวะ ทาเบมัส เด็ก (ประธาน) + ขนม (กรรม) + กิน (กริยา) คำ ศัพท์ こども โคโดโมะ แปลว่า = เด็ก は วะ = เป็นคำ ช่วยแสดงให้รู้ว่าคำ ที่อยู่ข้าง หน้า น้ นั้น คือ ประธานในประโยค おかし โอกะชี = ขนม を โวะ หรือ โอะ = เป็นคำ ช่วยแสดงให้รู้ว่าคำ ที่อยู่ข้าง หน้า น้ นั้น คือ กรรม たべます。ทาเบมัส = เป็นคำ กริยา แปลว่า กิน 34
บทที่ 2 โครงสร้างไวยากรณ์ โครงสร้างไวยากรณ์ใณ์ นภาษาญี่ปุ่น ปุ่ จะเป็นดังนี้ครับ ประธาน + คำ ช่วย + กรรม + คำ ชี้กรรม/แสดงวิธี/บอก ตำ แหน่ง + คำ กริยา มาลองดูตัวอย่างอื่นๆ เพิ่มเติมนะครับ 1.わたしはバナナがすきです Watashi wa banana ga sukidesu ผมชอบกินกล้วย 2.かわをふねでわたる Kawa wo fune de wataru ข้ามแม่น้ำ โดยใช้เรือ 3.わたしはそばをはしでたべます Watashi wa soba wo hashi de tabemasu ผมกินโซบะโดยใช้ตะเกียบ 4.およぎかたをかれにおしえてもらった Oyogikata wo kare ni oshiete moratta เขาสอนผมว่ายน้ำ 5.わたしのほんです Watashi no hon desu หนังสือของผม 6.わたしはバンコクへいきたいです Watashi wa bankoku e ikitai ฉันอยากไปกรุงเทพ 35
บทที่ 3 คำ ช่วยต่างๆ คำ ที่เป็นช่วยในภาษาญี่ปุ่น ปุ่ มีอยู่ 4 ตัว ดังนี้ 1。は วะ เป็นคำ ช่วยเพื่อให้รู้ว่าคำ ทีอยู่ข้างหน้า น้ นั้นคือ หัวข้อ หรือ เรื่องราว หรือ เป็นประธานในประโยค 2。 が งะ , กะ เป็นคำ ช่วย เพื่อให้รู้ว่าคำ ที่อยู่ข้างหน้า น้ งะ,กะ นั้นคือผู้กระทำ ในประโยค หรือจะเป็นประธาน ในประโยคก็ได้ 3。に นิ เป็นคำ ช่วย ใช้ได้หลายความหมายแล้วรูป ประโยคนั้นๆ เช่น แปลว่าผู้ที่รับ,หรือผู้ที่ให้ก็ได้ และแปลว่าสถานที่ที่จะวางของหรือขึ้นยานพาหนะ หรือแปลว่าสถานที่ที่จะเข้าไปอยู่ หรืออยู่สถานที่แห่ง นั้นก็ได้ และใช้บอกเวลา 4。の โนะ เป็นคำ ช่วย ใช้ได้หลายความหมายแปลว่า เป็นของก็ได้ คือ คำ แสดงความเป็นจำ เจ้าของ หรือจะใส่ท้ายคำ กริยารูปพจนานุก นุ รมก็จักลาย เป็นกานตั้งคำ ถาม ใช้บอกบรรยายลักษณะต่างๆ ของสิ่งของและคน คำ ที่ชี้บอกว่าเป็น / แสดงวิธีการทำ / บอกสถานที่ มีดังนี้ 1。を โวะ,โอะ ใช้ชี้บอกว่าคำ ที่อยู่ข้างหน้า น้ นั้นเป็นกรรม หรือผุ้ถูกกระทำ ในประโยค 2。で เดะ ใช้อธิบาย บอกวิธีจัดการเรื่องต่างๆในประโยค นั้นๆ เช่น กินข้าวโดบใช้ช้อน หรือ ตะเกียบเป็นต้น และใช้บ่งบอกสถานที่ทำ งานด้วย 3。へ ออกเสียงว่า เอะ จะหมายถึง สถานที่ๆที่จะไปหรือ สถานที่ๆเกิดเหตุการณ์ต่ ณ์ ต่ างๆในประโยคนั้นๆ 36
คำ สันธาน (คำ เชื่อมต่างๆ) や ยะ = ...และ... , ..กับ.. ใช้กับสัตว์หรือสิ่งของชนิดเดียวกัน เช่น ในถุงกล้วยและแอพเบิ้ล หรือมีหมาและแมวอยู่ในห้อง นี้ เป็นต้น ตัวอย่าง เช่น ふくろのなかにバナナやりんごがあります fukuro no naka ni banana ya ringo ga arimasu ふくろ fukuro = ถุง のなかに no naka ni = ภายใน バナナ banana = กล้วย や ya = และ があります ga arimasu = มี とโต๊ะ = กับ,และ คล้ายๆ กับ や ยะ แต่ไม่จำ กัดว่าจะ ต้องเป็นชนิดเดียวกัน หรือสิ่งเดียวกัน เช่น มีคนกับหมาอยู่ในห้อง เป็นต้น へやにひとといぬいます heya wa hito to inu imasu へや heye = ห้อง に ni = เป็นคำ ช่วยบอกตำ แหน่งที่สิ่งนั้นๆ อยู่ ひと hito = คน と to = กับ,และ いぬ inu = หมา います imasu = อยู่ ใช้กับสิ่งมีชีวิตเท่านั้น ประโยค 1。が。ประโยค 2 ..ga.. ...งะ.. = คือว่า.....อะครับ... ส่วนมากจะใช้ในรูปประโยคที่ขัดแย้งกัน เช่น คือว่า ตอนนี้ยุ่งอยู่อะครับ ขอโทรกลับได้ไหมครับ เป็นต้น 37
ประโยค 1。が。ประโยค 2 ..ga.. ...งะ.. = คือว่า.....อะครับ... ส่วนมากจะใช้ในรูปประโยคที่ขัดแย้งกัน เช่น คือว่า ตอนนี้ยุ่งอยู่อะครับ ขอโทรกลับได้ไหมครับ เป็นต้น ตัวอย่าง เช่น いまいそがしいですが、あとででんわをしても いいですか ima isogashii desu ga , atode denwa wo shitemo ii desu ka いま ima = ตอนนี้,ขณะนี้ いそがしい isogashii = ยุ่ง, ไม่ว่าง です desu = คำ ลงท้ายประโยคให้สุภาพ が ga = เป็นคำ เชื่อม หมายถึง คือว่า.. あとで atode = ภายหลัง, ทีหลัง でんわ denwa = โทรศัพท์ を wo = เป็นคำ ช่วย แสดง การเป็นกรรม して shite = ทำ ในที่นี้ หมายถึงโทร ผันกริยาเป็นรูป te もいいですか mo ii desu ka = แปลว่าขอทำ สิ่งที่บอก นั้นได้ไหม ประโยค 1... でも...ประโยค 2 = .... แต่... ..... demo.... เช่น อยากซื้อแต่ไม่มีเงิน かいたいでもおかねがない katai demo o kane ga nai かいたい katai = อยากซื้อ でも demo = แต่ おかねがない okane ga nai = ไม่มีเงิน 38
。。のに。。... noni... ทั้งๆที่, แม้ว่า ประโยค 1 แต่ ประโยค 2 เป็นคำ ที่แสดงความขัดแย้งกัน เช่น แม้ว่าจะมีเงินแต่ก็ซื้อ ไม่ได้ หรือ ทั้งที่อ่านหนังสือแต่ยังจำ ไม่ได้ เป็นต้น มาดู ตัวอย่างกัน ครับ おかねがあるのにかわないです okane ga aru noni kawanai desu แปลว่า แม้ว่ามีเงิน แต่ก็ ซื้อไม่ได้ おかね okane = เงิน がある ga aru = มี のに noni =ทั้งๆที่, แม้ว่า ... แต่ かわない kawanai = ซื้อไม่ได้ です desu = คำ ท้ายเพื่อให้ประโยคสุภาพขึ้น ในบทนี้จะยังไม่ได้สอนเรื่องการผันคำ กริยา แต่จะสอนใน บทถัดไป ขอเพียงให้ท่านให้เห็นรูปแบบประโยคก่อน เท่านั้น 。。ので。。 ..node.. = เพราะ... ใช้บอกเหตุผล หรือ สาเหตุ เช่น เพราะฝนตกจึงไม่ได้ไป มาดูตัวอย่างกันนะครับ あめがふっていますのでそとへいかない ame ga futteimasu node soto e ikanai あめ ame = ฝน が ga =เป็นคำ ช่วย ふっています futteimasu = กำ ลังตก ので node =เนื่องจาก, เพราะว่า.. そと soto = ข้างนอก へ e = เป็นคำ ช่วย ออกเสียงเป็น เอะ ปกติจะออกเสียงเป็น เฮะ แต่ในที่นี้เป็นคำ ช่วยที่แสดงตำ แหน่งต่างๆ いかない =ไม่ได้ไป 39
บทที่ 4 คำ สรรพนามพื้นฐาน คำ สรรพนามหรือบุรุษสรรพนามในภาษาญี่ปุ่น ปุ่ มีความ สำ คัญสำ หรับใช้ในการสนทนามาก เราต้องเลือกใช้ให้มี ความเหมาะสมตามสถานการณ์ และคำ นึงว่าเราควรจะคำ นั้นเมื่อไหร่ เรามาดูกันว่าคำ สรรพนามหรือบุรุษสรรพนาม ในภาษาญี่ปุ่น ปุ่ มีอะไรบ้าง คำ สรรพนามหรือบุรุษสรรพนามแยกเป็นประเภทได้ดังนี้ คำ สรรพนามบุรุษที่ 1 ข้าพเจ้า/กระผม/ดิฉัน 私(わたくし) watakushi วะตะคุชิ ผม/ดิฉัน 私(わたし) watashi วะตะชิ ผม (ผู้ชาย) 僕(ぼく) boku โบะคุ ฉัน/เดี๊ย ดี๊ น (ผู้หญิง) あたし atashi อะตะชิ ข้า/กู (ผู้ชาย) 俺 (おれ) ore โอะเระ 40
บทที่ 4 คำ สรรพนามพื้นฐาน (ต่อ) คำ สรรพนามบุรุษที่ 2 คุณ 貴⽅(あなた) anata อะนะตะ เธอ/นาย 君 (きみ) kimi คิมิ มึง/แก お前(おまえ) omae โอะมะเอะ มึง/แก あんた anta อันตะ อธิบายเพิ่มเติม ; คำ ว่า あなた anata อะนะตะ ผู้หญิงญี่ปุ่น ปุ่ มักนิยมใช้ใน การเรียกสามีหรือคนรักตัวเองอีกด้วย คำ ว่า おまえ omae โอะมะเอะ ผู้ชายนิคมใช้คำ นี้มากกว่า โดยคำ นี้จะมีความหมายโดยนัยแสดงถึงการดูถูกหรือมี อารมณ์โณ์ กรธแอบแฝงอยู่ด้วย 41
บทที่ 4 คำ สรรพนามพื้นฐาน (ต่อ) คำ สรรพนามบุรุษที่ 3 เขา (ใช้เรียกผู้ชาย) 彼(かれ)kare คะเระ เธอ/หล่อน (ใช้เรียกผู้หญิง) 彼⼥(かのじょ) kanojo คะโนะโจะ ท่านนั้น/คนนั้น (ใช้เรียกได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย) あの⽅(あのかた) anokata อะโนะคะตะ あの⼈(あのひと) anohito อะโนะฮิโตะ อธิบายเพิ่มเติม ; คำ ที่มีความหมายว่า "แฟน" หรือ "คนรัก" สามารถนำ ไปใช้เรียกแฟนตัวเอง โดยใช้คำ かれし kare shi คะเระชิ ใช้เรียกแฟนหนุ่ม นุ่ และคำ ว่า かのじょ kanojo คะโนะโจะ ใช้เรียก แฟนสาว 42
บทที่ 5 การบอกและถามว่า นี่ นั่น โน่น คืออะไร なんですか nan desu ka แปลว่า คืออะไร ต่อมาเราจะมาเรียนรู้คำ บ่งชี้สิ่งของกันนะครับ これ kore = นี่ , それ sore = นั่น , あれ are = โน่น , どれdore = อันไหน หากเราต้องการจะตั้งคำ ถาม เราก็เอาคำ ข้างบนเหล่านี้ ไปเติมหน้า น้ なんですか nan desu ka โดยก่อนจะเอาไปต่อท้ายให้เติมคำ ช่วย วะ は เข้าไปก่อน มันก็จะกลายเป็นประโยคคำ ถามทันที เช่น 1.これはなんですか = นี่คืออะไร 2.それはなんですか = นั่นคืออะไร 3.あれはなんですか = โน่นคืออะไร 4.ほんはどれですか = อันไหน คือ หนังสือ (ほん) โดยเน้น น้ เสียงท้ยก๊ะให้เป็นเสียง ก๊ะ ไม่ใช่ กะ นะครับ มาดูตัวอย่างเพิ่มนะครับ 1. これは้ほんです。 kore ha hon desu นี่คือหนังสือ 2. はなはそれです。 hana wa sore desu ดอกไม้คืออันนั่น 3. あれはがっこうです。 are wa gakkou desu โน่นคือโรงเรียน 43
บทที่ 5 การบอกและถามว่า อันนี้ อันนั้น อันโน้น น้ อันไหน この =... นี้ その = ...นั้น あの = ... โน้น น้ どの = ...ไหน + が+ですか อันไหน,คนไหน คือ.. この、その、あの、どの เป็นคำ ขยายคำ นาม โดยมีโครงสร้างประโยคดังนี้ この その + ประธาน +は +คำ นาม +です あの ตัวอย่าง เช่น このひとはがくせいです kono hito wa gakusei desu คนนี้คือนักเรียน そのひとはせんせいです sono hito wa sensei desu คนโน้น น้ คือคุณครู あのきはさくらです ano ki wa sakura desu ต้นไม้โน้น น้ คือต้นซากุระ どのひとがせんせいですか dono hito ga sensei desu ka คนไหนคือคุณครูครับ 44