The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รากเหง้าและเบ้าหลอม
ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
หนังสือประวัติศาสตร์ชุมชนตำบลท่าข้าม นับเป็นการบอกเล่าเรื่องของคนในตำบลท่าข้ามทุก ๆ คนที่มีส่วนร่วมในการถอดเกร็ดองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ชุมชนท้องถิ่นที่ย้อนอดีตจนถึงปัจจุบัน เนื้อหาครอบคลุมทุกๆ ด้าน บ่งบอกถึงความเป็นชุมชนในตำบลท่าข้ามได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ด้านการส่งเสริมอาชีพ ด้านการศึกษาและด้านศาสนา วัฒนธรรม และภูมิปัญญา มีคนผู้เล่าเรื่องราว เอกสาร วัตถุและสิ่งของ ความเชื่อและการสืบทอดภูมิปัญญาที่ประชาชนในตำบลท่าข้ามได้อนุรักษ์สืบสานประเพณีและฟื้นฟูวัฒนธรรมภูมิปัญญา ปรากฏการสืบทอดวัฒนธรรมภูมิปัญญา เช่น งานวัฒนธรรมเดือน ๕ มีการลากพระเดือน ๕ และการแสดงวัฒนธรรมทุก ๆ ปี ซึ่งเป็นความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นท่าข้ามตลอดมา องค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม ได้สนองงานพระราชดำริ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จนถึงปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้เป็นการจัดทำฐานทรัพยากรท้องถิ่นชุมชนตำบลท่าข้าม ด้านเศรษฐกิจ ด้านการส่งเสริมอาชีพ ด้านการศึกษา และด้านศาสนา วัฒนธรรม และภูมิปัญญา เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งอาคารศูนย์อนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรท้องถิ่นตำบลท่าข้ามองค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม ขอขอบคุณประชาชนตำบลท่าข้ามทุก ๆ ท่าน ที่ได้บอกรากเหง้าและเล่าเรื่อง ความเป็นมาของชุมชนแห่งนี้ และอาจารย์จรูญ หยูทองนักวิชาการอิสระและคณะ ที่ได้รวบรวมและร้อยเรียงเนื้อหา ภาพถ่าย สัมภาษณ์และเรียบเรียงเรื่องราวด้วยความตั้งใจ และมุ่งมั่นอย่างยิ่งเพื่อให้เกิด “รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย” ที่เป็นอัตลักษณ์และทรงคุณค่ายิ่ง

และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือประวัติศาสตร์เล่มนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสร้างคุณค่าและความภาคภูมิใจของคนท่าข้ามและสังคมโดยรวมสืบไป

นายสินธพ อินทรัตน์

ประธานสภาวัฒนธรรมตำบลท่าข้าม
นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม

๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thakham.146m5, 2022-09-25 23:26:58

รากเหง้าและเบ้าหลอม

รากเหง้าและเบ้าหลอม
ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
หนังสือประวัติศาสตร์ชุมชนตำบลท่าข้าม นับเป็นการบอกเล่าเรื่องของคนในตำบลท่าข้ามทุก ๆ คนที่มีส่วนร่วมในการถอดเกร็ดองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ชุมชนท้องถิ่นที่ย้อนอดีตจนถึงปัจจุบัน เนื้อหาครอบคลุมทุกๆ ด้าน บ่งบอกถึงความเป็นชุมชนในตำบลท่าข้ามได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ด้านการส่งเสริมอาชีพ ด้านการศึกษาและด้านศาสนา วัฒนธรรม และภูมิปัญญา มีคนผู้เล่าเรื่องราว เอกสาร วัตถุและสิ่งของ ความเชื่อและการสืบทอดภูมิปัญญาที่ประชาชนในตำบลท่าข้ามได้อนุรักษ์สืบสานประเพณีและฟื้นฟูวัฒนธรรมภูมิปัญญา ปรากฏการสืบทอดวัฒนธรรมภูมิปัญญา เช่น งานวัฒนธรรมเดือน ๕ มีการลากพระเดือน ๕ และการแสดงวัฒนธรรมทุก ๆ ปี ซึ่งเป็นความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่นท่าข้ามตลอดมา องค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม ได้สนองงานพระราชดำริ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี (อพ.สธ.) ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จนถึงปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้เป็นการจัดทำฐานทรัพยากรท้องถิ่นชุมชนตำบลท่าข้าม ด้านเศรษฐกิจ ด้านการส่งเสริมอาชีพ ด้านการศึกษา และด้านศาสนา วัฒนธรรม และภูมิปัญญา เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งอาคารศูนย์อนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรท้องถิ่นตำบลท่าข้ามองค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม ขอขอบคุณประชาชนตำบลท่าข้ามทุก ๆ ท่าน ที่ได้บอกรากเหง้าและเล่าเรื่อง ความเป็นมาของชุมชนแห่งนี้ และอาจารย์จรูญ หยูทองนักวิชาการอิสระและคณะ ที่ได้รวบรวมและร้อยเรียงเนื้อหา ภาพถ่าย สัมภาษณ์และเรียบเรียงเรื่องราวด้วยความตั้งใจ และมุ่งมั่นอย่างยิ่งเพื่อให้เกิด “รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย” ที่เป็นอัตลักษณ์และทรงคุณค่ายิ่ง

และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือประวัติศาสตร์เล่มนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสร้างคุณค่าและความภาคภูมิใจของคนท่าข้ามและสังคมโดยรวมสืบไป

นายสินธพ อินทรัตน์

ประธานสภาวัฒนธรรมตำบลท่าข้าม
นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าข้าม

๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๔

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 181

ตระกลู ปาตปิ าเลต เปน็ ตระกลู ดง้ั เดมิ ทบี่ า้ นนาหลา ลกู หลานปทู่ องแกว้ ปาตปิ าเลต
ยา่ คงจนั ทร์ อุไรรตั น์ และพ่อเฒา่ ไหล หรับจนั ทร์ กับแมเ่ ฒ่ามะเอียด บา้ นหินเกล้ียง
มาอยบู่ า้ นเขากลอย พ.ศ. ๒๕๐๒ โดยมาแตง่ งานกบั ตระกลู อไุ รรตั น์ (นายสนิ ปาตปิ าเลต
ผู้ใหข้ อ้ มลู )
ตระกลู รามไชย เปน็ ตระกลู ดง้ั เดมิ จากบา้ นมว่ งคอ่ ม ตำ� บลหว้ ยลกึ อำ� เภอควนเนยี ง
เป็นลูกหลานของปู่หล๊ะ (มุสลิม) ย่าฝ้ายและพ่อเฒ่าคลิ้ง กับแม่เฒ่าอิ่ม ใหม่วัด
บา้ นทา่ ไหล อำ� เภอปากพะยนู จงั หวดั พทั ลงุ มาแตง่ งานกบั ตระกลู หอ่ ทอง แลว้ มาอยู่
ในบ้านเขากลอย เมอ่ื ปี ๒๕๓๑ (นายเทพ รามไชย ผใู้ หข้ อ้ มลู )
ตระกลู วงวอน เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ บา้ นหนองบวั หนิ เกลยี้ ง ลกู หลานปแู่ กว้ วงวอน
ย่าปาน บิลหรีม (มุสลิม) และพ่อเฒ่าอ้ัน แม่เฒ่าฮ่ิน ทิพย์ดนตรี มาแต่งงานกับ
ตระกลู อสิ ะโร แลว้ เขา้ มาอยบู่ า้ นเขากลอยตง้ั แตป่ ี ๒๕๓๘ (นายสนิ วงวอน ผใู้ หข้ อ้ มลู )
ตระกลู หอ่ เพชร เดมิ อยบู่ า้ นคลองบว่ ง หมทู่ ่ี ๖ ตำ� บลพจิ ติ ร อำ� เภอนาหมอ่ ม
ลูกหลานปู่ขุ้ย สุวรรณเพชร บ้านท่าข้าม ย่าคล้อย พรหมนุกูล บ้านคลองบ่วงและ
พ่อเฒ่าฮก ห่อเพชร กับแม่เฒ่าล่อง มาแต่งงานกับตระกูลเฉลิมวงศ์ แล้วสร้างบ้าน
ในบา้ นเขากลอย เมื่อปี ๒๕๓๖ (นายพิเชษฐ์ หอ่ เพชร ผใู้ หข้ อ้ มลู )
ตระกูลขุททะกะพันธ์ บ้านเดิมอยู่หมู่ท่ี ๕ ต�ำบลท่าหิน อ�ำเภอสทิงพระ
จงั หวดั สงขลา ลกู หลานทวดออ๋ งมนิ้ ซงึ่ มาจากเมอื งจนี ปเู่ สง้ ยา่ ฉู้ แซต่ นั และพอ่ เฒา่ พณิ
แม่เฒ่าพิกุล สมสุข ต่อมาได้เปลี่ยนนามสกุลจากแซ่ตันมาเป็นขุททะกะพันธ์
มาแตง่ งานกบั ตระกลู พวงชาตแิ ลว้ มาสรา้ งบา้ นเรอื นอยใู่ นบา้ นเขากลอยเมอื่ ปี ๒๕๓๔
(นายอาทิตย์ ขุททะกะพนั ธ์ ผ้ใู หข้ อ้ มูล)
ตระกลู อนิ ทวงษ์ เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ ในบา้ นทงุ่ ในทรา ลกู หลานปสู่ งิ ห์ อนิ ทวงศ์
ย่าเล็ก อินทรัตน์ และพ่อเฒ่าถ้อง แก้วสระ บ้านต้นโด กับแม่เฒ่าบุญ เทพกูล
มาแตง่ งานกบั ตระกลู รตั นวรรณ แลว้ สรา้ งบา้ นเรอื นอยใู่ นบา้ นเขากลอยเมอื่ ปี ๒๕๓๒
(นายพเิ ชฐ อินทวงศ์ ผ้ใู ห้ขอ้ มลู )
ตระกลู ผอ่ งผดุ เปน็ ตระกลู ดง้ั เดมิ บา้ นนาหลา ลกู หลานปนู่ วล ผอ่ งผดุ ยา่ เขยี ว
บา้ นทา่ ขา้ ม และพอ่ เฒา่ ชมุ เจยี รบตุ ร กบั แมเ่ ฒา่ บญุ คง บา้ นนาหลา ไดม้ าแตง่ งานกบั
ตระกลู พทุ ธวาศรี แลว้ มาอยบู่ า้ นเขากลอยตง้ั แตป่ ี ๒๕๐๒ (นายผดุ ผอ่ งผดุ ผใู้ หข้ อ้ มลู )

องค์การบริหารสว่ นตำ� บลทา่ ข้าม

182 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

ตระกูลถาวรวรรณ เป็นตระกูลดั้งเดิมในหมู่ท่ี ๗ บ้านเขากลอย ลูกหลาน
ปู่ทองแก้ว ย่าฉิม พุทธวาศรี และพ่อเฒ่าจันสร แม่เฒ่านวลแก้ว กาญจนรัตน์
(นายสมนกึ ถาวรวรรณ ผู้ให้ขอ้ มลู )
ตระกลู เหล่าแกว้ มาจากบา้ นพรุเตาะ ลกู หลานป่ยู อด เหล่าแกว้ กับย่ารัตน์
มุสิกะพันธ์ บ้านแม่เตย ต่อมานายเพชรสี แต่งงานกับตระกูลเทพกูลและได้มาสร้าง
บา้ นเรอื นอยูใ่ นบา้ นเขากลอย (นายเพชรสี เหล่าแกว้ ผใู้ ห้ขอ้ มูล)
ตระกลู เหน็ จบทวั่ เปน็ ตระกลู ทม่ี าจากอำ� เภอสงั ขละ จงั หวดั สรุ นิ ทร์ เดนิ ทาง
มาทำ� งานทอี่ ำ� เภอนาทวี จงั หวดั สงขลา แลว้ มาแตง่ งานกบั ตระกลู รตั นบรู ณ์ เขา้ มาอยู่
ในบ้านเขากลอย (นายประดษิ ฐ์ เหน็ จบท่วั ผูใ้ หข้ ้อมลู )
ตระกูลนวลละออง เป็นตระกูลดั้งเดิมบ้านเขากลอย ลูกหลานปู่บุญแก้ว
นวลละออง กบั ยา่ นวลจนั ทร์ คงไชย แตง่ งานกบั ตระกลู จนั ทชโู ต แลว้ มาอยบู่ า้ นเขากลอย
(นายประเสริฐ นวลละออง ผ้ใู ห้ข้อมูล)
ตระกูลรัตนวรรณ เปน็ ตระกลู ดงั้ เดิมบ้านเขากลอย ลูกหลานปตู่ ้งุ รัตนวรรณ
อดตี ผใู้ หญบ่ า้ นหมทู่ ี่ ๘ บา้ นเขากลอยตก กบั ยา่ สกุ แกว้ บา้ นคลองหรง่ั อำ� เภอนาหมอ่ ม
ปจั จบุ ันมีลกู หลานอย่ใู นบา้ นเขากลอย (นายน่มิ รตั นวรรณ ผใู้ ห้ขอ้ มลู )
ตระกูลบุญสร้าง เป็นตระกูลมาจากบ้านเกาะถ�้ำ อ�ำเภอเมืองสงขลา
ลกู นายมยุ่ แมเ่ อยี ด บญุ สรา้ ง มาแตง่ งานกบั ตระกลู กาญจนรตั น์ (นางอนงค์ บญุ สรา้ ง
ผใู้ หข้ อ้ มูล)
ตระกลู กาญจนรตั น์ เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ บา้ นเขากลอย ลกู หลานปบู่ ญุ ยา่ เอยี ด
กาญจนรัตน์ แตง่ งานกับตระกูลเพชรขาว ตระกูลสดุ เอื้อม (นางอาภรณ์ นวลละออง
ผใู้ ห้ข้อมูล)
ตระกูลบุญทอง เดิมมาจากต�ำบลพิจิตร อ�ำเภอนาหม่อม มาแต่งงานกับ
ตระกูลแกว้ ฉมิ พลี (นายทศพร บญุ ทอง ผู้ใหข้ อ้ มลู )
ตระกูลก้าหมัน เป็นตระกูลด้ังเดิมบ้านหนองบัว ลูกหลานปู่งอย ก้าหมัน
(มุสลิม) กับย่านวลจันทร์ นิลสุวรรณ์ บ้านท่าข้าม มาแต่งงานกับตระกูลอุไรรัตน์
(นายจรญู กา้ หมัน ผู้ใหข้ ้อมลู )

องคก์ ารบริหารสว่ นต�ำบลท่าข้าม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 183

ตระกลู แกว้ สดี ำ� เปน็ ตระกลู จากบา้ นทา่ นางหอม ลกู หลานปชู่ ว่ ย บา้ บญุ แกว้
แกว้ สดี �ำ มาแต่งงานกับตระกูลรัตนวรรณ (นายนิยม แก้วสดี �ำ ผู้ใหข้ อ้ มลู )
ตระกูลเจริญศรี มาจากตระกูลเดิมเฉลิมศรี เน่ืองจากเกิดความผิดพลาด
ในการเขียนนามสกุลของนายทะเบียนจึงท�ำให้นามสกุลเฉลิมศรีเปล่ียนเป็นเจริญศรี
(นายทวี เจรญิ ศรี ผู้ใหข้ ้อมูล)
ตระกลู อนิ ทรตั น์ เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ ของบา้ นเขากลอย ลกู หลานทวดโท่ อนิ ทรตั น์
แต่งงานกับตระกลู ผอ่ งสะอาด ตระกลู สมวงศ์ (นายเยอ้ื น อินทรตั น์ ผู้ใหข้ อ้ มลู )

นายสนิ ธพ อนิ ทรตั น์

ตระกูลหรับจันทร์ ต้นตระกูลมาจากบ้านหนองบัว ลูกหลานย่านวลสุข
บา้ นทงุ่ ในทรา ไดม้ าแตง่ งานกบั ตระกลู สดุ เออ้ื ม ตระกลู เทพวรรณ (นายเออื้ ม หรบั จนั ทร์
ผู้ให้ข้อมูล)
ตระกลู พทุ ธวาศรี ตระกลู ดง้ั เดมิ ของบา้ นเขากลอย แตป่ จั จบุ นั ไดเ้ พย้ี นไปเปน็
พทุ ธาศรี แต่กถ็ ือว่ามาจากต้นตระกลู เดยี วกนั (นายพัน พทธวาศรี ผใู้ ห้ขอ้ มูล)
ตระกลู เดมิ ยริ งิ เปน็ ตระกลู ทมี่ าจากเมอื งยะหรง่ิ จงั หวดั ปตั ตานี ตน้ ตระกลู เดมิ
เป็นทหาร เจ้าเมืองยะหร่ิง จังหวัดปัตตานี เดินทางไปรบท่ีเมืองไทรบุรี พอเสร็จ
สงครามทหารบางส่วนแต่งงานกับคนในพื้นที่ ปู่คง เดิมยิริง แต่งงานกับย่าหนูแดง
ที่อ�ำเภอสะบ้าย้อย มีลูกหลานและได้มาแต่งงานกับ สท.ละออง ตระกูลเจริญมาก
(พันตำ� รวจเอกจ�ำลอง เดมิ ยิริง ผูใ้ หข้ ้อมูล)
ตระกูลชาติด�ำ เป็นตระกูลดั้งเดิมจากบ้านทุ่งงาย หมู่ที่ ๖ ต�ำบลทุ่งใหญ่
ชื่อสกุลเดิมคือชาตรีด�ำ ต่อมาเกิดความผิดพลาดในการบันทึกข้อมูล จึงท�ำให้เพี้ยน
ไปเป็นชาติด�ำ ลูกหลานปู่ด�ำแก้ว ชาติด�ำ กับแม่ฉิม ห่อทอง มาแต่งงานกับตระกูล
นวลละออง ตระกลู ผลชนะ ในบา้ นเขากลอย (นายเปลื้อง ชาติดำ� ผใู้ ห้ขอ้ มูล)

องคก์ ารบริหารสว่ นต�ำบลท่าขา้ ม

184 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

ตระกลู เพช็ รขาว ตน้ ตระกลู มาจากบา้ นทา่ ขา้ ม นายทองปาน และนายทองขาว
เป็นผู้ไปขอนามสกุลจากเจ้าหน้าที่ที่อ�ำเภอ โดยเอาช่ือของทั้งสองคนคือทองมา
เปรียบเทียบเอาสิ่งที่ดีกว่าทองคือเพชร แล้วน�ำมาตั้งเป็นนามสกุล เพ็ชรขาว
(นายผล ผลชนะ ผู้ให้ขอ้ มลู )
ตระกลู อนิ ละมดุ ตน้ ตระกลู มาจากบา้ นไร่ บา้ นทรายขาว อำ� เภอเมอื งสงขลา
ลกู หลานปชู่ มุ่ แมป่ ลมื้ อนิ ละมดุ มาแตง่ งานกบั ตระกลู เฉลมิ วงศ์ (นายโสภณ อนิ ละมดุ
ผู้ให้ขอ้ มลู )
ตระกูลคงสุข ตระกูลด้ังเดิมจากทุ่งโตนด อ�ำเภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา
ลูกหลานปู่แทด ย่าพุ่ม คงสุข พ่อช่ืน คงสุข กับแม่ข�้ำ โพธ์ิแก้ว มาแต่งงานกับ
ตระกูลพุทธวาศรี (นายนมิ คงสุข ผใู้ ห้ข้อมลู )
ตระกลู อมิ่ นวล เปน็ ตระกลุ ทม่ี าจากอำ� เภอระโนด จงั หวดั สงขลา ดนิ แดนของ
พระนักพัฒนาและเกจิช่อื ดงั คอื พระครูตดุ วดั สามี นามสกลุ ได้มาจากชอ่ื ของทวดอิ่ม
และทวดนวล เป็นลูกพ่อนวมอดีตทหารผ่านศึกร่วมรบสมรภูมิสงครามเวียดนาม
รุ่นจงอางศึกกับแม่ละมุน อุปถัมภ์ มาแต่งงานกับตระกูลจันทชูโต (อาจารย์นรินทร์
อมิ่ นวล ผู้ให้ขอ้ มลู )
ตระกูลสุขคะโต เป็นตระกูลดั้งเดิมของบ้านเขากลอย ลูกหลานทวดแก้ว
ทวดทมุ่ สขุ คะโต มลี กู หลานแตง่ งานกบั ตระกลู เฉลมิ ศรี ตระกลู เทพกลู ตระกลู หอ่ ทอง
(นางผอ่ ง เฉลมิ ศรี ผูใ้ ห้ขอ้ มูล)
ตระกูลบุญศรีรัตน์ เป็นตระกูลดั้งเดิมของบ้านเขากลอย ลูกหลานของ
ทวดนกเต้น บุญศรีรัตน์ พ่อสีนาม แม่กิ้มจ้อย สร้างบ้านเรือนอยู่บ้านเขากลอย
ลกู หลานอยู่บ้านเขากลอย (นายมานติ ย์ บุญศรีรตั น์ ผู้ใหข้ ้อมลู )
ตระกลู จันทระ ตระกูลด้ังเดิมมาจากอำ� เภอสงิ หนคร ลูกหลานป่หู ้นิ จนั ทระ
พอ่ ชยั สงิ หนคร แมน่ สิ า อำ� เภอปากพนงั ลกู หลานตง้ั บา้ นเรอื นอยบู่ า้ นเขากลอยตงั้ แต่
ปี ๒๕๔๓ (นายวิศาล จันทระ ผใู้ ห้ข้อมลู )
ตระกูลปันถะ เป็นตระกูลดั้งเดิมมาจากบ้านคอกช้าง อ�ำเภอรัตภูมิ
จังหวัดสงขลา มาแต่งงานกับตระกูลพรหมเจริญ มาอยู่บ้านเขากลอยเม่ือปี ๒๕๓๖
(นายอารีย์ ปันถะ ผู้ให้ขอ้ มูล)

องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ� บลทา่ ข้าม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 185

ตระกลู เฉลมิ ศรี เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ ของบา้ นเขากลอย ลกู หลานทวดโมง (มงคล)
ทวดนุ้ย เฉลิมศรี อาศัยอยู่ข้างวัดเขากลอยและอีกสายหน่ึงสืบทอดมาจากทวดแดง
ทวดหนพู ลัด เฉลิมศรี (นายอมร เฉลิมศรี ผู้ใหข้ อ้ มูล)
ตระกลู จนั ทกลู ตน้ ตระกลู คอื ยา่ อม่ิ จากบา้ นคลองคลา้ ใกลส้ ถานรี ถไฟเกาะใหญ่
ต�ำบลบางเหรียง อ�ำเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา พ่อเซี่ยงเป็นทหารผ่านศึก
สงครามโลกครั้งที่ ๒ มาแต่งงานกบั ตระกูลผลชนะ เขา้ มาอยบู่ า้ นเขากลอยประมาณ
๘๐ ปี แต่งงานกับตระกลู พทุ ธวาศรี (นายต้งั จันทกูล ผใู้ หข้ อ้ มูล)
ตระกูลก�ำเนิดดี ตน้ ตระกูลมาจากตำ� บลวดั สน อ�ำเภอระโนด จงั หวัดสงขลา
ลกู หลานปกู่ ลอ่ ม ยา่ ขบั กำ� เนดิ ดี มาแตง่ งานกบั ตระกลู แกว้ ทอง (นายวโิ รจน์ กำ� เนดิ ดี
ผูใ้ หข้ อ้ มูล)
ตระกูลเทพวรรณ์ ต้นตระกูลมาจากต�ำบลเนินพิจิตร อ�ำเภอนาหม่อม
ลูกหลานปูไ่ ข่ ย่าพุดแก้ว ผอ่ งสะอาด แต่งงานกับตระกูลชาติดำ� สุวรรณทอง เทพกูล
(นายนริ ันดร์ เทพวรรณ์ ผ้ใู หข้ อ้ มลู )
ตระกลู สมบรู ณ์ นามสกลุ เดมิ บญุ พอ่ มี ตอ่ มาปแู่ จง้ บญุ พอ่ มี ไดย้ า้ ยมาอยกู่ บั
ทวดสขุ หมนื่ สมบรู ณ์ จงึ เปลย่ี นมาใชน้ ามสกลุ สมบรู ณ์ (นายพว้ น สมบรู ณ์ ผใู้ หข้ อ้ มลู )
ตระกลู พวงชาติ เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ ของบา้ นเขากลอย ลกู หลานปหู่ นนู ยุ้ พวงชาติ
ยา่ นวลแก้ว กาญจนรัตน์ ลูกพ่อด�ำ พวงชาติ แต่งงานกบั ตระกูลจนั ทชูโต (นายเชษฐ
พวงชาติ ผ้ใู หข้ ้อมูล)
ตระกูลมีแสง ต้นตระกูลมาจากบ้านบ่อแดง บ่อสระ อ�ำเภอสทิงพระ
จังหวัดสงขลา ลูกหลานปู่เขียว มีแสง ย่าล่ัน จากบ้านนางเหล้า มาแต่งงานกับ
ตระกลู หอ่ ทอง ต้งั แต่ปี ๒๕๔๑ (นายสุทธิชยั มีแสง ผูใ้ หข้ ้อมูล)
ตระกลู ผดงุ ศกั ด์ิ เปน็ ตระกลู ดง้ั เดมิ ของบา้ นทา่ ขา้ ม ตระกลู เดมิ ผดงุ ตอนหลงั
เปลี่ยนโดยเพ่ิมเปน็ ผดุงศักดิ์ ลกู หลานปู่เอยี ด ยา่ สาย ผดุงศกั ด์ิ เป็นผ้กู อ่ ต้ังโรงเรียน
วดั ทา่ ขา้ มและโรงเรยี นโพธาราม อำ� เภอนาหมอ่ ม แตง่ งานกบั ตระกลู อไุ รรตั น์ อนิ ทรตั น์
นลิ สุวรรณ์ แกว้ สุขผ่อง (นายไพบลู ย์ ผดุงศกั ด์ิ ผู้ใหข้ อ้ มลู )

องค์การบรหิ ารส่วนตำ� บลทา่ ข้าม

186 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

ตระกูลทองสลับล้วน ตระกูลด้ังเดิมมาจากบ้านควนลัง อ�ำเภอหาดใหญ่
จงั หวัดสงขลา ลกู หลานปู่ดกุ ย่าสุข มาแต่งงานกบั ตระกูลอนิ ทรัตน์ อยบู่ า้ นเขากลอย
ตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ (นายโกวิท ทองสลับล้วน ผใู้ หข้ ้อมลู )
ตระกูลชัยมงคล ต้นตระกูชมาจากจังหวัดพัทลุง ลูกหลานปู่แสง ชัยมงคล
ยา่ เนยี่ ว บา้ นสแ่ี ยกคหู า อำ� เภอรตั ภมู ิ พอ่ จำ� นง ชยั มงคล แมย่ พุ า จนิ าวงศ์ มาแตง่ งาน
กบั ตระกูลอนิ ทรตั น์ ปี ๒๕๔๗ (นายพนา ชัยมงคล ผู้ใหข้ อ้ มลู )
ตระกูลรุณย์คติ ต้ันตระกูลด้ังเดิมมาจากต�ำบลป่าขาด อ�ำเภอสิงหนคร
จังหวัดสงขลา ลูกหลานปู่น่วม ย่าจันทร์เน่ียว ตระกูลเดิมใช้นามสกุลหมื่นรุณย์
มาแตง่ งานกับตระกลู เฉลิมวงศ์ (นายอนันต์ รุณย์คติ ผู้ใหข้ ้อมลู )
ตระกลู สวุ รรณทอง ตน้ ตระกลู มาจากบา้ นนารงั นก ตำ� บลแมท่ อม อำ� เภอบางกลำ�่
จงั หวดั สงขลา ตระกลู เดมิ สวุ รรณชาตรี ลกู หลานปแู่ ดง ตอนหลงั มาเปลย่ี นเปน็ สวุ รรณทอง
ในสมยั ครเู พยี ร อไุ รรตั น์ มลี กู หลานอยหู่ มทู่ ่ี ๗ และ ๘ (นายถอ้ ง สวุ รรณทอง ผใู้ หข้ อ้ มลู )
ตระกลู วฒุ พิ นั ธ์ุ ตน้ ตระกลู มาจากบา้ นออกเขา ตำ� บลเขารปู ชา้ ง อำ� เภอเมอื งสงขลา
ลกู หลานปชู่ ู ยา่ แคลว้ วฒุ พิ นั ธ์ุ มาแตง่ งานกบั ตระกลู ชาตดิ ำ� (นางฉายาลกั ษณ์ วฒุ พิ นั ธ์ุ
ผ้ใู ห้ขอ้ มลู )
ตระกูลจันทชูโต ต้นตระกูลมาจากบ้านกอไม้ไผ่ บ้านใหญ่ ท่าข้าม ปัจจุบัน
เป็นที่ของร้อยโทชื่น แก้วสมทอง เป็นลูกหลานของทวดจันทร์ทองกับทวดมีนะ
เลยตง้ั ช่ือสกุลเปน็ จนั ทชโู ต ลูกหลานนางฉิม จนั ทชโู ต อยบู่ า้ นท่าขา้ ม นายขวญั ซ้าย
จันทชูโต อยบู่ า้ นนาหลา นางบุญสขุ จันทชโู ต อยู่บ้านแมเ่ ตย นายปลอด จนั ทชโู ต
อยู่บ้านเขากลอย นางหนูนุ้ย จันทชูโตอยู่บ้านปีก ทวดปลอดแต่งงานกับย่าหนูนุ้ย
ลกู หลานนางนุ่ม ยา่ ขวญั จันทชูโต ปูเ่ พชรคง เฉลมิ ศรี (พอ่ แม่ พระครสู ารธรรมคุณ)
ทวดสนี วล นางมอ่ ย จนั ทชโู ต ทวดคง ทวดบญุ ลกู หลานตงั้ บา้ นเรอื นอยบู่ า้ นเขากลอย
บา้ นนาหลา (นายผล ผลชนะ ผใู้ ห้ขอ้ มลู )
ตระกลู ไชยนนท์ เปน็ ตระกลู ดง้ั เดมิ จากบา้ นพจิ ติ ร ตำ� บลพจิ ติ ร อำ� เภอนาหมอ่ ม
เป็นลูกหลานปู่เอก ย่าชม ไชยนนท์ และพ่อเฒ่ากล่�ำ ชกสุริยวงศ์ แต่งงานกับ
ตระกลู ธัมสวรรณ (นายศภุ กฤษณ์ ไชยนนท์ ผูใ้ หข้ อ้ มูล)

องค์การบรหิ ารสว่ นตำ� บลท่าขา้ ม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 187

ตระกลู ผอ่ งสะอาด เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ ในหมทู่ ่ี ๓ บา้ นทา่ ขา้ ม ลกู หลานปอู่ นิ ทอง
ยา่ สขุ อนิ ทรตั น์ บา้ นตน้ โด และพอ่ เฒา่ สขุ ซงึ (คนจนี มากเมอื งกวางตงุ้ มพี น่ี อ้ งทจี่ ำ� ได้
อกี คนคือเล่าเต้กอ้ งไทสอ) กบั แม่เฒ่าจนั สขุ สวุ รรณรตั น์ บ้านทา่ ขา้ ม (เดมิ บา้ นทวด
อยบู่ ้านขุนทอง) (นายเฟอ่ื ง ผอ่ งสะอาด ผใู้ ห้ขอ้ มลู )
ตระกูลช่างดี เป็นตระกูลดั้งเดิมจากอ�ำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
พอ่ เปน็ คนอำ� เภอพมิ าย แมเ่ ปน็ คนอำ� เภอสงู เนนิ จงั หวดั นครราชสมี า มาแต่งงานกบั
ตระกลู หอ่ ทองและอยทู่ บี่ า้ นเขากลอยเมอ่ื ปี ๒๕๓๗ (นายออ่ งเอย่ี ม ชา่ งดี ผใู้ หข้ อ้ มลู )
ตระกูลธัมสุวรรณ เป็นตระกูลด้ังเดิมจากบ้านส�ำนักแต้ว อ�ำเภอสะเดา
จังหวัดสงขลา เป็นลูกหลานปู่เลื่อน ย่าแย้ม ธัมสวรรณและหลานปู่ด�ำ ธัมสุวรรณ
ผูใ้ หญบ่ ้านบ้านหูนบ สำ� นกั แต้ว มาอย่เู ขากลอยกบั พ่อเฒา่ อ้ิม จนั ทระ เมือ่ ปี ๒๕๓๐
(นางญาณศิ า ธมั สุวรรณ ผูใ้ ห้ขอ้ มลู )
ตระกูลทองนุ้ย เป็นตระกูลดั้งเดิมบ้านทุ่งส้าน ต�ำบลจะโหนง อ�ำเภอจะนะ
จงั หวดั สงขลา ลูกหลานปู่เพชรแกว้ ทองนุย้ ย่าก้ิมเนี่ยว (คนจีนมาจากไต้หวัน) และ
พอ่ เฒา่ ชม แมเ่ ฒา่ ชู คงแกว้ มาอยเู่ ขากลอยโดยมาแตง่ งานกบั ตระกลู ทนิ กร ณ อยธุ ยา
เม่ือปี ๒๕๕๑ (นายเสฏฐวุฒิ ทองนุ้ย ผู้ใหข้ ้อมลู )
ตระกลู ทนิ กร ณ อยธุ ยา เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ มาจากกรงุ เทพมหานคร ลกู หลาน
ปู่น้อย ย่าทวี บ้านโคกพะยอม ต�ำบลทุ่งลาน อ�ำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา
และพ่อเฒา่ ชมุ แม่เฒา่ นวลสุข สุวรรณรัตน์ บา้ นโคกพะยอม มาอยู่เขากลอยโดยมา
แต่งงานกับตระกลู ศรีรัตน์ (นางอารยี ์ ทนิ กร ณ อยธุ ยา ผู้ให้ข้อมลู )
ตระกลู อนิ อทุ ยั เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ บา้ นทงุ่ ฆอ้ ตำ� บลนาหมอ่ ม อำ� เภอนาหมอ่ ม
จงั หวดั สงขลา ลกู หลานปยู่ ก ไมท่ ราบนามสกลุ บา้ นทงุ่ โพธ์ กบั ยา่ ชู อนิ อทุ ยั (พอ่ มาใช้
นามสกุลย่า) และพ่อเฒ่าพรหมแก้ว สุขโข บ้านป่ากอ กับแม่เฒ่าไกลจันทร์ กูลสุข
บา้ นโคกสกั มาแตง่ งานกบั ตระกลู ศรขี วญั เมอ่ื ปี ๒๕๒๙ (นายนวิ รณ์ อนิ อทุ ยั ผใู้ หข้ อ้ มลู )
ตระกูลบุญยะคง เป็นตระกูลดั้งเดิมของบ้านทรายขาว ปู่สังข์ บุญยะคง
(เปน็ ผตู้ ง้ั นามสกลุ ในสมยั รชั กาลท่ี ๖) กบั ยา่ ทองเอยี ด อไุ รรตั น์ และพอ่ เฒา่ ทอง พรหมเจรญิ
บ้านแม่เปียะ และแม่เฒ่าบุญทอง มาแต่งงานกับตระกูลอินอุ้ย บ้านระโนด แล้วมา
สรา้ งบ้านอยู่บ้านเขากลอย (นายเรม่ิ บุญยะคง ผ้ใู หข้ ้อมูล)

องค์การบริหารสว่ นต�ำบลท่าข้าม

188 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

ตระกลู พรหมศรี เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ บา้ นยางแดง อำ� เภอโคกโพธ์ิ จงั หวดั ปตั ตานี
ลกู หลานปหู่ มาน ยา่ พดั ทอง พรหมศรี และพอ่ เฒา่ เพมิ่ แมเ่ ฒา่ ปกั เกตแุ กว้ บา้ นวดั ขนนุ
อ�ำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา มาแต่งงานกับตระกูลอินอุทัยบ้านเขากลอย
(นายวิเชยี ร พรหมศรี ผู้ใหข้ อ้ มลู )
ตระกลู สดุ เออื้ ม เปน็ ตระกลู ดง้ั เดมิ บา้ นเขากลอย ลกู หลานปดู่ ำ� ยา่ จนั ทรท์ อง
สดุ เอื้อม มีลูก ๑๑ คน ทีเ่ ป็นทีร่ จู้ กั ของคนท่ัวไปคือพระครูสมุห์ผอม อดีตเจ้าอาวาส
วดั เขากลอย และพระครวู ญิ ญาลงั การ (ทา่ นปาน) เจา้ อาวาสวดั ราชผาตกิ าราม กรงุ เทพฯ
และครพู ่มุ สดุ เออื้ ม โรงเรียนวดั เขากลอย (อาจารยส์ มใจ ธรรมเขต ผใู้ หข้ อ้ มลู )
ตระกูลแซ่เฮ่า เป็นตระกูลดั้งเดิมจากบ้านทุ่งหวัง ปู่มาจากประเทศจีน
เป็นลูกพ่อไข่จ้วง แซ่เฮ่า มาอยู่บ้านเขากลอย โดยมาแต่งงานกับตระกูลเทพกูล
(นายมนสั แซเ่ ฮ่า ผใู้ ห้ขอ้ มลู )
ตระกลู ธรรมเขต เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ จากบา้ นตนี นอ อำ� เภอระโนด จงั หวดั สงขลา
เป็นลูกหลานปู่หยอง ย่าเคี่ยว ธรรมเขต มาอยู่บ้านเขากลอยโดยพ่ออาจารย์ปรีชา
ธรรมเขต มาแตง่ งานกบั ตระกลู สดุ เออื้ มเมอื่ ปี ๒๕๑๑ (นายจตั ภุ ทั ร ธรรมเขต ผใู้ หข้ อ้ มลู )
ตระกลู แกว้ สตั ยา เปน็ ตระกลู ดง้ั เดมิ ของบา้ นทา่ ขา้ ม ทวดคลา้ ย (โนราคลา้ ย)
เล่าว่าพ่อของทวดช่ือโนราเอียด พ่อของโนราเอียดช่ือโนรายอด สมัยนั้นยังไม่มี
การใช้นามสกุล ทางจังหวัดได้มีพิธีถือน้�ำสาบาน โดยให้โนราเป็นตัวแทนของ
พระมหากษัตริย์ในการท�ำพธิ ี จึงไดร้ ับพระราชทานนามสกุลแกว้ สตั ยา เป็นลกู หลาน
ปู่โนราชุม ย่ากลิ่น เพชรขาว บ้านท่าข้าม และพ่อเฒ่าทองแก้ว ผลกล้า กับ
แม่เฒ่าสุข แก้วสุขผ่อง มาแต่งงานกับตระกูลทองสมสี บ้านแม่เตย แล้วมาเปิดร้าน
ค้าขายในบ้านเขากลอย (นายอรณุ แกว้ สัตยา ผใู้ ห้ข้อมูล)

โนราคลา้ ย แก้วสตั ยา โนราชุมกับพรานเคลา้ โนราคล้อย แก้วสัตยา โนราอรณุ แกว้ สตั ยา

องค์การบริหารส่วนต�ำบลท่าข้าม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 189

ตระกลู ศรรี ตั น์ เปน็ ตระกลู ดง้ั เดมิ บา้ นคลองบว่ ง ตำ� บลพจิ ติ ร อำ� เภอนาหมอ่ ม
เปน็ ลกู หลานป่ซู ่งึ เป็นผใู้ หญบ่ ้านชือ่ นายบ้านหนูน้ยุ ยา่ ชี ศรีรัตน์กบั พอ่ เฒา่ แม่เฒา่
ซึ่งเปน็ คนพรุเตาะ (นางเคลื่อน แกว้ สตั ยา ผ้ใู หข้ ้อมูล)
ตระกูลจันทรเพท เป็นตระกูลด้ังเดิมจากบ้านปากแตระ อ�ำเภอระโนด
จังหวัดสงขลา ลูกหลานปู่จันทร์ ย่าคง จันทรเพท กับพ่อเฒ่าชู แม่เฒ่าก้ิม ช่วยฉิม
มาอยูบ่ ้านเขากลอยเม่ือปี ๒๕๔๐ (นายธีรศักดิ์ จันทรเพท ผูใ้ หข้ ้อมลู )
ตระกลู แกว้ ชนะ เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ ของบา้ นวงั ชา้ ง ตำ� บลพจิ ติ ร อำ� เภอนาหมอ่ ม
ลกู หลานปแู่ กว้ ปอ่ ง ยา่ หวนุ่ แกว้ ชนะ บา้ นทงุ่ งาย กบั พอ่ เฒา่ คลง้ิ ศรนรนิ ทร์ บา้ นบางหกั
ต�ำบลหาดใหญ่ อ�ำเภอหาดใหญ่ มาแต่งงานกับตระกูลพุทธวาศรีเมื่อปี ๒๕๒๐
(นายสอ่ ง แกว้ ชนะ ผู้ให้ข้อมลู )

นายมนัส แกว้ ชนะ อดตี ผอ. โรงเรียนวัดหนิ เกล้ยี ง

ตระกลู เตม็ ราม เปน็ ตระกลู ดง้ั เดมิ จากอำ� เภอควนขนนุ จงั หวดั พทั ลงุ ลกู พอ่ พรอ้ ม
แมก่ ่ิงกาญจน์ ขุนชดิ อำ� เภอเขาชยั สน จงั หวัดพทั ลุง มาแต่งงานกบั ตระกลู พุทธาศรี
เมอ่ื ปี ๒๕๔๘ (ด.ต.เสรรี ัฐ เต็มราม ผใู้ ห้ข้อมลู )
ตระกูลทองพริก เป็นตระกูลดั้งเดิมจากบ้านทุ่งค่าย อ�ำเภอชะอวด
จงั หวดั นครศรธี รรมราช ลกู หลานปดู่ ำ� ยา่ จนั ทร์ กบั พอ่ เฒา่ ชู แมเ่ ฒา่ เนย่ี ว มาแตง่ งาน
กับตระกลู สุวรรณทองเม่ือปี ๒๕๓๐ (ด.ต.ประยรู ทองพรกิ ผ้ใู ห้ขอ้ มลู )
ตระกลู มสุ กิ ะ เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ จากบา้ นทงุ่ ขมนิ้ อำ� เภอนาหมอ่ ม จงั หวดั สงขลา
ลูกหลานปู่ย่า บ้านทุ่งโพธิ์ กับตาคงจันทร์ นางเล่น สุดเอ้ือม มาแต่งงานกับ
ตระกูลผอ่ งแผ้ว (นายพงศพ์ นั ธ์ มสุ กิ ะ ผใู้ หข้ อ้ มลู )

องค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบลท่าข้าม

190 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

ตระกูลแก้วฉิมพลี เป็นตระกูลด้ังเดิมของบ้านเขากลอย นายเนียม
เดิมนามสกุลแก้วภัย ต่อมาเปลี่ยนเป็นแก้วฉิมพลี เน่ืองจากนายเนียมเป็นหมอ
ต้องเดนิ ทางไปรกั ษาคนไขต้ ามทีต่ ่าง ๆ จึงมภี รรยาหลายคน มลี กู เทา่ ทจ่ี �ำได้ ๗ คน
คอื นายหนแู ดง นายอนิ นายพรมแก้ว นายปาน นายพรม นายไข่ (พ่ออาจารย์รักษ์
แกว้ ฉมิ พลี) และนายอิน (นายรกั ษ์ แกว้ ฉมิ พลี ผ้ใู ห้ขอ้ มูล)
ตระกูลต้นเถาว์ เป็นตระกูลท่ีมาจากจังหวัดศรีษะเกษ ลูกพ่ออ่�ำ ต้นเถาว์
จากศรีษะเกษ และแม่แดง สุขเพชร จากอ�ำเภอสุไหงปาดี มาแต่งงานกับตระกูล
อนิ ทรตั น์ บา้ นเขากลอย (นายณัฐวุฒิ ต้นเถาว์ ผใู้ ห้ข้อมูล)
ตระกลู หอ่ ทอง เปน็ ตระกลู ดง้ั เดมิ ของบา้ นเขากลอย ลกู หลานปศู่ รจี นั ทร์ ยา่ บญุ
หอ่ ทอง และพ่อเฒ่าจันทร์แก้ว แมเ่ ฒ่าเขียว พุทธวาศรี (นายจติ หอ่ ทอง ผู้ให้ข้อมลู )
ตระกลู เกา้ ซว้ น เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ จากอำ� เภอรอ่ นพบิ ลู ย์ จงั หวดั นครศรธี รรมราช
หลานปยู่ ว้ น ยา่ รน่ิ เกา้ ซว้ น มาอยู่บ้านเขากลอยตงั้ แตป่ ี ๒๕๔๐ โดยมาแต่งงานกบั
ตระกลู สดุ เออ้ื ม (ด.ต.อ�ำนาจ เก้าซว้ น ผ้ใู หข้ ้อมลู )
ตระกลู สนิ ธพุ าชี เปน็ ตระกลู ดง้ั เดมิ จากตำ� บลทา่ เรอื อำ� เภอเมอื งนครศรธี รรมราช
ลกู พอ่ สมพงศ์ แมต่ นั้ สินธพาชี มาอยู่เขากลอยโดยมาแตง่ งานกบั ตระกลู ผอ่ งสะอาด
ผู้ให้ขอ้ มูล)
ตระกลู ไชยชนะ เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ บา้ นเขากลอย ลกู พอ่ ทองรกั ษ์ หลานปทู่ องเอยี ด
ย่าสีรักษ์ ผลชนะ บ้านท่าข้าม ปัจจุบันใช้นามสกุลไชยชนะ (นายชิต ไชยชนะ
ผใู้ ห้ขอ้ มูล)
ตระกูลเจียรบุตร เป็นตระกูลดั้งเดิมบ้านเขากลอย ลูกหลานปู่ชม เจียรบุตร
กับย่าคง นลิ สวุ รรณ์ (นายชอบ เจยี รบุตร ผ้ใู ห้ข้อมลู )

นายอว้ น เจยี รบตุ ร

องคก์ ารบริหารสว่ นต�ำบลทา่ ข้าม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 191

ตระกูลพันธการ เป็นตระกูลดั้งเดิมจากบ้านเขาวัง หมู่ท่ี ๗ ต�ำบลท่าโพธ์ิ
อำ� เภอสะเดา จงั หวดั สงขลา ลกู หลานปทู่ อ่ น ยา่ หนู บา้ นปลกั คลา้ อำ� เภอคลองหอยโขง่
มาแต่งงานกับตระกูลพุทธวาศรี และมาอยู่บ้านเขากลอยต้ังแต่ปี ๒๕๓๔
(นายวชิ ยั พนั ธการ ผใู้ ห้ข้อมูล)
ตระกูลเฉลิมวงศ์ เป็นตระกูลดงั้ เดมิ ของบ้านเขากลอยตก ลกู หลานทวดสีด�ำ
เฉลมิ วงศ์ ปหู่ นูนยุ้ เฉลิมวงศ์ ยา่ ปุก บวั ฝา้ ย จากบา้ นทรายขาว (นายท่อน เฉลิมวงศ์
ผใู้ หข้ ้อมลู )
ตระกลู ศรวี ไิ ล เปน็ ตระกลู มาจากบา้ นบอ่ ดาน อำ� เภอสทงิ พระ จงั หวดั สงขลา
ลูกหลานจ่าพลอย แม่แจ้ว ศรีวิไล มาอยู่เขากลอยโดยมาแต่งงานกับคนในตระกูล
แก้วนอ้ ย เม่อื ปี ๒๕๔๗ (นางรัชดา ศรวี ไิ ล ผู้ให้ข้อมลู )
ตระกูลแก้วน้อย เป็นตระกูลที่มาจากต�ำบลสระแก้ว อ�ำเภอท่าศาลา
จงั หวดั นครศรธี รรมราช ลกู หลานปลู่ อย แกว้ นอ้ ย มาแตง่ งานกบั คนในตระกลู จนั ทระ
อยู่บา้ นเขากลอย เม่อื ปี ๒๕๔๐ (นางธญั ลักษณ์ แกว้ น้อย ผู้ให้ข้อมูล)
ตระกูลแก้วสองสี เป็นตระกูลท่ีมาจากต�ำบลพิจิตร อ�ำเภอนาหม่อม
เปน็ ลกู หลานหลวงปยู่ กซงึ่ เปน็ ผสู้ รา้ งวดั ทงุ่ โตนด สำ� นกั สงฆม์ ะพรา้ ว และอดตี เจา้ อาวาส
วดั โคกพะยอม มาแตง่ งานกบั คนในตระกลู แกว้ นอ้ ย แลว้ มาอยบู่ า้ นเขากลอยปี ๒๕๔๑
(นายศักรนิ ทร์ แก้วสองสี ผูใ้ หข้ อ้ มูล)
ตระกูลศรีขวัญ เป็นตระกูลด้ังเดิมบ้านเขากลอย เป็นลูกหลานทวดขวัญ
เดิมใชน้ ามสกุลอุไรรัตน์ แตม่ าเปล่ยี นเป็นศรขี วัญ เป็นลูกพ่อผุด แมจ่ ัน ปัจจุบนั อยู่ท่ี
บา้ นเขากลอย คอื นายพิศ นายเจือ นายเพียบ (นายพิศ ศรขี วญั ผ้ใู ห้ขอ้ มูล)
ตระกลู สวุ รรณมาศ เปน็ ตระกลู ทมี่ าจากบา้ นทา่ วงั อำ� เภอเมอื งนครศรธี รรมราช
เป็นนามสกลุ ของนายสมโชค สุวรรณมาศ นายอำ� เภอหาดใหญ่ ขวัญใจคนเขากลอย
(ท่ีระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ พระครูสารธรรมคุณ อดีตเจ้าอาวาสวัดเขากลอย
๙ สงิ หาคม ๒๕๕๒)

องค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบลท่าขา้ ม

192 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

หนงั ตะลงุ

เชื่อกันว่าหนังหรือละครเงา เป็นวัฒนธรรมเก่าแก่
สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งอียิปต์ ใช้เป็น
เคร่ืองเฉลิมฉลองความส�ำเร็จในการประกาศเกียรติคุณ
ของพระองค์ ในสมัยพุทธกาลในอินเดีย พวกพราหมณ์
ใช้หนังที่เรียกว่า “ฉายานาฏกะ” เล่นบูชาเทพเจ้าและสดุดี
วรี บรุ ษุ ในประเทศจนี สมยั จกั รพรรดยิ วนตี่ (พ.ศ. ๔๙๕ - ๕๑๑)
พวกนักพรตลัทธิเต๋า เล่นหนังสดุดีคุณธรรมความดีของสนมผู้หน่ึง
ในวาระทนี่ างวายชนม์ สมยั หลงั ๆ มาหนงั แพรห่ ลายมากโดยเฉพาะในเอเชยี อาคเนย์
มีเกอื บทกุ ประเทศ (อดุ ม หนูทอง. ๒๕๔๒ : ๘๓๐๖)
หนงั ตะลงุ ในยคุ แรก ๆ เปน็ การเลน่ เพอ่ื บชู าเทพเจา้ ของพวกทนี่ บั ถอื ศาสนาฮนิ ดู
ลัทธิไศวนิกายคือผู้ท่ีบูชาพระอิศวรเป็นใหญ่ซ่ึงแพร่หลายเข้ามาในบริเวณลุ่มน้�ำ
ทะเลสาบสงขลา และจงั หวัดสรุ าษฎรธ์ านี ประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๗ ตอ่ มา
นยิ มเลน่ ในงานสมโภช เฉลิมฉลองหรืองานมงคลและงานตา่ ง ๆ อย่างแพรห่ ลาย
หนังตะลุง เปน็ สัญลักษณแ์ ละเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอยา่ งหน่งึ ของภาคใต้
โดยเฉพาะในลมุ่ ทะเลสาบสงขลาและจงั หวดั ใกลเ้ คยี ง อยา่ งเชน่ จงั หวดั ตรงั หนงั ตะลงุ
เป็นส่วนหนึ่งของการท่ีจะท�ำให้วัฒนธรรมภาคใต้ระดับท้องถ่ินมีความมั่นคง ในอดีต
หนงั ตะลงุ เปน็ ศลิ ปะการแสดงทมี่ ชี อ่ื เสยี งมากและมบี ทบาทสำ� คญั อยา่ งยง่ิ ตอ่ ทอ้ งถน่ิ
เพราะหนังตะลงุ ซึ่งเปน็ ผูส้ ร้างนั้นมโี อกาสพเิ ศษเหนือกวา่ สังคมและชุมชน

การละเลน่ หนงั ตะลงุ คอื มรดกทางวฒั นธรรม
ที่เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นของภาคใต้ ในฐานะส่ือ
พ้ืนบ้าน หนังตะลุงมีบทบาทหน้าที่และมีอิทธิพล
ต่อสังคมภาคใต้มาโดยตลอด นอกจากท�ำหน้าท่ี
เป็นผู้ประกอบพธิ กี รรมและให้ความบนั เทิงใจแล้ว
การสะทอ้ นปญั หาสงั คมในแงม่ มุ ตา่ ง ๆ จะมสี อดแทรก
อยใู่ นการแสดงเสมอ ควบคไู่ ปกบั การเสนอปญั หาในวงกวา้ งตอ่ ไป ผคู้ นในสงั คมสมยั กอ่ น
จึงยกย่องนายหนังตะลุงว่าเป็นคนมีปัญญา ดังส�ำนวนที่ว่า “คนปัญญาให้หัดหนัง”

องค์การบริหารส่วนต�ำบลทา่ ขา้ ม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 193

เพราะนายหนังตะลุงเป็นท้ังนักปราชญ์ นักการศาสนา นักแสดงและนักการเมือง
ของท้องถิ่น
หนังตะลุงในประเทศไทยได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย เดิมเป็นการละเล่น
ประกอบพธิ กี รรมบชู าเทพเจา้ และเพอ่ื สอ่ื คดโี ลกคดธี รรมจากเรอื่ งรามายณะ เมอื่ เขา้ สู่
ภาคใตแ้ ลว้ ไดแ้ พรก่ ระจายไปยงั ภาคกลางและภาคอสี าน หนงั ตะลงุ แตล่ ะภาคไดพ้ ฒั นา
ตนเองตามสภาพแวดล้อมสังคมและวัฒนธรรมดั้งเดิม ท�ำให้มีลักษณะเด่นเฉพาะตัว
เม่ือน�ำมาเปรียบเทียบกันปรากฏว่าหนังตะลุงภาคใต้ฝั่งตะวันออกมีการพัฒนา
ล�้ำหน้าที่สุดท้ังในเร่ืองของดนตรีท่ีใช้ประกอบการแสดง ขนาดของรูปหนังตะลุง
ท่ีใช้แสดง เรื่องหรือนิยายท่ีแสดง กระบวนการเรียนรู้และสืบทอด การปรับเปลี่ยน
เพอื่ ความอยรู่ อด การคลค่ี ลายเปลย่ี นแปลงเกยี่ วกบั ความคดิ ความเชอื่ องคป์ ระกอบ
ขนบนิยมในการแสดง เนื้อหาสาระและการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียดอื่น ๆ
(ชวน เพชรแกว้ . ๒๕๕๓ : บทคัดยอ่ )
ศิลปะการแสดงหนังตะลุง เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านอีกส่วนหน่ึงที่มีบทบาท
สำ� คญั ในสงั คมชาวใตม้ ายาวนานนับศตวรรษ ไมว่ า่ จะเป็นภูมปิ ญั ญาในการถา่ ยทอด
หรอื สบื ทอดขนบนยิ มในการแสดงหนงั ตะลงุ ภมู ปิ ญั ญาทเ่ี กยี่ วกบั การนำ� วสั ดใุ นทอ้ งถนิ่
มาใช้เป็นอุปกรณ์ในการแสดง ได้แก่ การเอาใบตาลโตนดมาท�ำพวดปี่หรือล้ินปี่
การใชไ้ มไ้ ผท่ ำ� แผงเกบ็ รปู หนงั ทำ� ไมต้ บั รปู หนงั การเอาไมพ้ นื้ บา้ น เชน่ ไมข้ นนุ มาทำ� ทบั
การน�ำหนังสตั วม์ าท�ำทับ ทำ� กลองและแกะเป็นรปู หนงั การหลอ่ โหมง่ หรือสร้างโหม่ง
ให้สอดรับกับระดับเสียงของนายหนังแต่ละคน การใช้กลวิธีการออกเสียงขับกลอน
ใหเ้ สียงเขา้ โหม่งหรือลอดโหม่ง การเอาหยวกกล้วยมาใช้ปกั รูป เป็นตน้ และบทบาท
ของหนังตะลุงที่มีต่อสังคมชาวภาคใต้ในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านคตินิยม
ด้านการเมือง ดา้ นการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม ด้านคติชนวิทยาและไสยศาสตร์
โอกาสในการแสดงหนังตะลุงเดิมนิยมเล่นในงานสมโภชหรืองานเฉลิมฉลอง
ตา่ ง ๆ สว่ นงานมงคล เชน่ งานแตง่ งาน จะไมน่ ยิ มแตส่ งั คมปจั จบุ นั ความเชอื่ คลคี่ ลาย
ไปมาก มีงานการใด ๆ ก็มักรับหนังตะลุงมาเล่นเป็นการครึกครื้น ย่ิงประชันหรือ
แขง่ หนงั ยิ่งสนกุ เป็นพิเศษ

องคก์ ารบริหารส่วนต�ำบลท่าข้าม

194 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

องค์ประกอบของการเล่น ประกอบด้วย คณะหนัง มีบุคคล ๘ - ๙ คน
กอ่ นสมยั รชั กาลที่ ๖ ใชค้ นพากยเ์ รยี กวา่ นายหนงั ๒ คน ทำ� หนา้ ทรี่ อ้ งกลอน บรรยาย
เจรจาและเชิดรูปเบ็ดเสร็จ บางคณะมีคนเชิดรูปต่างหากคนหน่ึง เรียกว่าคนชักรูป
นอกน้ันอาจจะมหี มอกบโรง ๑ คน ทำ� หนา้ ท่ีเป็นหมอไสยศาสตร์ประจ�ำคณะทีเ่ หลอื
๕ คน เปน็ ลกู คู่ ปจั จบุ นั นายหนงั มเี พยี ง ๑ คน ทำ� หนา้ ทท่ี ง้ั เชดิ และพากย์ หมอกบโรง
กต็ ัดไปเพราะความเช่ือเรอ่ื งไสยศาสตรค์ ลีค่ ลายไปมาก
เครื่องดนตรี ประกอบดว้ ย ทับ ๑ คู่ โหมง่ ๑ คู่ กลองต๊กุ ๑ ลูก ฉิง่ ๑ คู่ และ
ป่ี ๑ เลา ชว่ งหลังมดี นตรีมาประสม เช่น กลองชดุ ทอมบ้า แทนกลองตกุ๊ ไวโอลิน
ออร์แกน ซอ จะเข้ ผสมกับปี่
โรงและอุปกรณภ์ ายในโรงหนงั ปลกู ชวั่ คราว เสา ๔ เสา ยกพื้นสงู เลยศรีษะ
นิดหน่อย หลังคาเพิงหมาแหงน ขนาด ๒.๓๐ - ๓ เมตร ด้านหน้าขึงจอผ้าขาว
ดา้ นขา้ งกันหยาบ ๆ มีหยวกกลว้ ยสำ� หรบั ปกั รูป มเี ครอ่ื งใหแ้ สงสว่าง
รปู หนงั ประมาณ ๑๕๐ - ๒๐๐ ตวั รปู ทตี่ อ้ งมคี อื ฤาษี พระอศิ วร ปรายหนา้ บท
เจา้ เมอื ง พระ นาง ยกั ษ์ ตวั ตลก นอกนน้ั เปน็ รปู เบด็ เตลด็ เกบ็ ในแผงเอารปู กากไวล้ า่ ง
รูปส�ำคัญและรูปศักดิ์สิทธิ์ไว้บนสุด จัดไว้ไม่ปนกัน พระพวกหนึ่ง นางพวกหนึ่งและ
ยกั ษพ์ วกหนง่ึ ฤาษี และรปู ศกั ดิส์ ทิ ธไ์ิ วบ้ นสดุ
ขนบนิยมในการเล่น ตั้งเคร่ืองเบิกโรง โหมโรงเพ่ือเรียกคนดู ออกลิงหัวค�่ำ
(ปัจจุบันเลิกไปแล้ว) ออกฤาษีเพื่อคารวะครู ออกรูปฉะหรือรูปจับ (เลิกเล่นไปแล้ว)
ออกรปู พระอิศวร ออกรปู ปรายหน้าบทเป็นตวั แทนนายหนงั เพ่อื ไหว้ครู สิ่งศักด์ิสิทธ์ิ
ฝากเน้ือฝากตัวกับผู้ชม ออกรูปบอกเร่ือง ส่วนใหญ่ใช้ขวัญเมือง เกี้ยวจอร้องกลอน
สนั้ ๆ กอ่ นต้ังเมอื งเป็นคตสิ อนใจแกผ่ ู้ชม ตัง้ นามเมอื งหรอื ตงั้ เมือง
เรอื่ งทใ่ี ชแ้ สดงเดมิ ใชเ้ รอ่ื งรามเกยี รต์ิ ตอ่ มาเรอ่ื งจกั ร ๆ วงศ์ ๆ นทิ านประโลมโลกย์
จากวรรณคดีบ้าง ดัดแปลงมาจากชาดกบ้าง ผูกเร่ืองขึ้นเองบ้าง เร่ืองที่นิยมเล่น
เมอ่ื ๕๐ ปที แ่ี ลว้ ไดแ้ ก่ สวุ รรณราช แกว้ หนา้ มา้ ลกั ษณวงศ์ โคบตุ ร หอยสงั ข์ หลวชิ ยั คาวี
นางสิบสอง พระสุธนและเต่าทอง ครั้นหนังสือนวนิยายแพร่หลาย หนังดัดแปลง
นวนิยายมาเล่น เช่น พานทองรองเลือด ห้วงรักเหวลึกของหลวงวิจิตรวาทการ
เสือใบเสือดำ� ของ ป. อินทรปาลิต และบางเรื่องของพนมเทียน

องคก์ ารบริหารสว่ นต�ำบลทา่ ขา้ ม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 195

ปัจจุบันหนังบางส่วนยังเล่นแบบจักร ๆ วงศ์ ๆ บางส่วนประสมประสาน
ระหว่างแบบเก่ากับแบบใหม่และบางส่วนจะเดินเร่ืองแบบนวนิยายทุกประการ ไม่มี
ตัวละครเทวดา ยักษ์ ผี ไม่มีการตายแล้วชุบชีวิตได้หรือเหาะเหินเดินอากาศด�ำดิน
คงเป็นสัจนิยมบริสทุ ธิ์
ขนบการเลน่ เพอื่ ประกอบพธิ กี รรม มี ๒ อยา่ ง คอื เลน่ แกเ้ หมรยฺ และเลน่ ในพธิ ี
ครอบมือ การเล่นแก้เหมรฺยเป็นการเล่นเพื่อบวงสรวงครูหมอหนังหรือส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ
ตามพันธะท่ีบนบานไว้ หนังตะลุงที่จะเล่นแก้เหมรฺยได้ต้องรอบรู้ในพิธีกรรมอย่างดี
และผา่ นพิธีครอบมือถูกต้องแล้ว
การเล่นแก้เหมรฺยจะต้องดูฤกษ์ยามให้เหมาะ เจ้าภาพต้องเตรียมเครื่อง
บวงสรวงใหค้ รบถว้ นตามทบี่ นบานไว้ ขนบนยิ มในการเลน่ ทวั่ ๆ ไป แบบเดยี วกบั การเลน่
เพอ่ื ความบนั เทงิ แตเ่ สรมิ การแกบ้ นเขา้ ไปในชว่ งออกรปู ปรายหนา้ บท โดยกลา่ วขบั รอ้ ง
เชญิ ครหู มอหรอื สง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธมิ์ ารบั เครอ่ื งบวงสรวง ยกเรอื่ งรามเกยี รตติ์ อนใดตอนหนง่ึ
ทพ่ี อจะแกเ้ คลด็ วา่ ตดั เหมรยฺ ไดข้ นึ้ แสดง เชน่ ตอนเจา้ บตุ รเจา้ ลบ เปน็ ตน้ แลว้ ชมุ นมุ รปู
ตา่ ง ๆ มฤี าษี เจา้ เมอื ง พระ นาง ตวั ตลก ฯลฯ โดยปกั รวมกนั เตม็ หนา้ จอเปน็ ทำ� นองวา่
ได้ร่วมรู้เห็นเป็นพยานว่าเจ้าภาพได้แก้เหมรฺยแล้ว แล้วนายหนังใช้มีดตัดห่อเหมรฺย
ขว้างออกนอกโรง เรียกวา่ ตดั เหมรฺยเป็นอันเสร็จพธิ ี
ส่วนการครอบมือเป็นพิธีที่จัดข้ึนเพื่อยอมรับนับถือครูหนังแต่คร้ังบรมกาล
เรยี กวา่ ครตู น้ มพี ระอณุ รทุ ธไชยเถร พระพริ าบหนา้ ทอง ตาหนยุ้ ตาหนกั ทอง ตาเพชร
เป็นต้น โดยเชื่อว่าผู้ผ่านพิธีดังกล่าวคือหนังท่ีได้มอบตนแก่ครูหนังถูกต้อง เป็นผู้รับ
เช้ือสายหนังตะลุงโดยสมบูรณ์ ท้ังยังเชื่อว่าครูจะให้การคุ้มครองและยังความเจริญ
รงุ่ เรอื งในอาชพี การเลน่ หนงั ครอบมอื จะเรมิ่ ตน้ ดว้ ยการเบกิ โรงบวงสรวงครู ไหวส้ ดั ดี
เพ่ือความสวัสดิ์มงคล เช้ือ (เชิญ) ครูให้มาเข้าทรง เบิกบายศรีแล้วให้ผู้เข้าพิธีปิดตา
เสย่ี งจบั รปู หนงั ทำ� นายอนาคตของหนงั การเสยี่ งทายจะนำ� เอารปู ฤาษี พระ นาง ยกั ษ์
และเสนามาหอ่ ผา้ รวมกนั ใหโ้ ผลแ่ ตไ่ มต้ บั รปู แลว้ ใหผ้ ทู้ เี่ ขา้ พธิ จี บั เอาตวั เดยี ว จบั ไดแ้ ลว้
นายหนังผู้ประกอบพิธีจะยื่นรูปน้ันให้ผู้เข้าพิธีเชิดออกจอ จึงเรียกอีกอย่างว่า
“พิธียื่นรูป”

องค์การบริหารสว่ นตำ� บลท่าข้าม

196 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

ความเชื่อท่ีเกี่ยวข้องคือความเชื่อเร่ืองเมตตามหานิยม ความเชื่อเร่ือง
การป้องกัน ท�ำและแกค้ ณุ ไสยตา่ ง ๆ การหาฤกษ์หายาม การถือเคล็ดเพ่ือความเปน็
สิรมิ งคล คาถาอาคมต่าง ๆ
หนงั ตะลงุ ไดร้ บั ใชช้ วี ติ ชาวใตม้ าชา้ นาน นอกจากเปน็ เครอื่ งใหค้ วามหรรษาแลว้
ยงั เปน็ สอื่ มวลชนของชาวบา้ นชน้ั เยยี่ มสำ� หรบั สงั คมในอดตี เพราะหนงั ตะลงุ เดนิ ทาง
ไปยงั สถานทตี่ า่ ง ๆ เรยี กวา่ เดนิ โรงเพอ่ื แสดง มปี ระสบการณไ์ ดพ้ บเหน็ เรอ่ื งราวตา่ ง ๆ
มากกว่าคนอ่ืนแล้วน�ำมาบอกเล่าในฐานะอาคันตุกะนักเล่านิทานในยามวิกาล
ใหข้ า่ วสาร ความรู้ ความเคลอ่ื นไหวทางสังคมแก่ผ้ชู มและเปน็ สติปัญญาให้ชาวบา้ น
เป็นเครื่องมือในการกล่อมเกลาทางสังคม ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้ชาวบ้านและ
อนชุ น (อุดม หนทู อง. ๒๕๔๒ : ๘๓๐๖ - ๘๓๒๒)

หนังตะลงุ ในชุมชนท่าข้าม
ชมุ ชนทา่ ขา้ มมนี ายหนงั ตะลงุ ทมี่ ชี อื่ เสยี งบางคณะ ไดแ้ ก่ หนงั จวน แมน่ างหรอื
นายจวน พินิจสกลู ชาวบ้านแม่เตย หนงั จวน ชุมพล ชาวบ้านชุมพล อำ� เภอสทงิ พระ
จงั หวดั สงขลา มามคี รอบครวั กบั สาวชาวบา้ นสะพานสงู ตำ� บลทา่ ขา้ ม อำ� เภอหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา หนังเลื่อน สะพานสูง หนังแช่ม ทองสมสีหรือหนังแช่ม พ่อยอ
ศิษย์หนังเล่ือน สะพานสูง ลูกโนราเรือง หนังเลื่อน รูปตลก และหนังเขียว ท่าข้าม
คูป่ รบั คนสำ� คัญของหนงั พลดั อา่ งทอง ทช่ี อบเล่นผี และยาสง่ั เปน็ ต้น

หนังจวน แม่นาง (จวน พินจิ สกูล)

เปน็ ชาวบา้ นแมเ่ ตย เกดิ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๗๔ ทบี่ า้ นแมเ่ ตย หมทู่ ี่ ๑ ตำ� บลทา่ ขา้ ม
อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของนายสุกแก้ว นางจันทร์เนี่ยว พินิจสกูล
มพี น่ี อ้ งรว่ มกนั ๓ คน คอื นางเขยี ว นางจบ หนงั จวนเปน็ บตุ รคนสดุ ทอ้ งของครอบครวั

องค์การบรหิ ารส่วนต�ำบลท่าขา้ ม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 197

จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จากโรงเรียนวัดแม่เตยแล้วบวชเรียนที่
วดั หาดใหญ่ใน สอบนกั ธรรมช้นั โทได้
รักชอบและสนใจหนังตะลุงเป็นชีวิตจิตใจมาต้ังแต่เด็กและมีพรสวรรค์
ในการแสดงหนังตะลุง ชอบลีลาการแสดงของหนังกั้น ทองหล่อเป็นพิเศษ หลังจาก
ลาสิกขาบทแล้วกลับมาอยู่บ้านที่แม่เตยบ้านเกิดฝึกหัดเล่นหนังตะลุงด้วยตัวเอง
ตอ่ มานายชุ่มญาติผูใ้ หญ่ในหม่บู า้ นเหน็ ว่ามแี ววจงึ พาไปฝากตวั กับหนงั กั้น ทองหล่อ
ทบ่ี า้ นนำ�้ กระจาย ตำ� บลพะวง อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั สงขลา หนงั กนั้ ตอ้ งการทดสอบวา่
หนังจวนมีความต้ังใจหรือมีใจรักในการแสดงหนังตะลุงแค่ไหนจึงแกล้งไม่สอนวิชา
การแสดงหนงั ตะลงุ ให้ แตห่ นงั จวนกไ็ ม่ละความพยายามในการตดิ ตามไปกับหนงั กัน้
ทกุ ท่ีท่ไี ปแสดง ตอนแรก ๆ หนังนั้นใช้ให้แบกเคร่อื งดนตรหี นังตะลงุ ทุกชนิด
หนงั จวนพยายามจดจำ� ลลี าและวธิ กี ารแสดงหนงั ตะลงุ ของหนงั กนั้ ทกุ ขนั้ ตอน
หนังก้ันเห็นความพยายาม ความต้ังใจจริงจึงสอนให้เล่นช่วงเบิกโรงคือออกฤาษี
ออกพระอิศวรและออกปรายหน้าบทแทนหนังกั้น หลังจากได้ศึกษาเทคนิคลีลาและ
วธิ กี ารแสดงหนงั ตะลงุ จากอาจารยก์ นั้ ทองหลอ่ จนเขา้ ใจชำ�่ ชองจนเกดิ ความเชอ่ื มนั่ วา่
สามารถจะออกโรงได้ซึ่งใช้เวลาฝึกฝนมาประมาณ ๕ ปี จึงออกเดินโรงแสดง ๓ วัด
๓ บ้าน ตามขนบนยิ มของการฝกึ หัดแสดงหนงั ตะลุง โดยไมม่ คี า่ ราดตอบแทน
สมัยนั้น แสงสว่างที่ใช้ประกอบการแสดงหนังตะลุงใช้ตะเกียงน�้ำมันวัว
ท�ำเป็นแท่งคล้ายเทียนไข เร่ร่อนเล่นไปท่ัวจังหวัดสงขลา โดยขออนุญาตผู้ใหญ่บ้าน
กำ� นนั และเพอ่ื น ๆ ในแตล่ ะทอ้ งทท่ี ไ่ี ปทำ� การแสดง ทอ้ งถน่ิ ทไ่ี ปอยปู่ ระจำ� คอื บา้ นปา่ กนั
(บรเิ วณวดั คลองแหปจั จบุ นั ) อาศยั อยกู่ บั กำ� นนั เทอื น และทำ� การแสดงบรเิ วณหมบู่ า้ น
ใกล้เคียง มีอุปกรณ์ให้แสงสว่างเป็นตะเกียงเจ้าพายุ แสดงที่บ้านป่ากันเป็นเวลา
หลายเดือนเลยรับงานแสดงเรื่อยมาโดยไม่ต้ังราคาค่าราดในการแสดงเพียงแค่เรี่ยไร
จากผูม้ าชมหนา้ โรงหนงั ได้เทา่ ไรเอาเทา่ นนั้ ไมไ่ ด้ก็ไม่วา่ กัน
เม่ืออายุได้ ๒๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๐๐) นายเลื่อน ชาวบ้านทุ่งงาย เป็นเจ้าภาพ
รับหนังจวนมาแสดง หลงั จากออกฤกษ์แสดง ๓ วัน ๓ คนื ข้นั ตอนตอ่ ไปคือไปยกครู
ขณะทม่ี าเลน่ ทบี่ า้ นทงุ่ งายเกดิ ชอบพอกบั ลกู สาวของนายบา้ นเพชร วรรณกาล ซง่ึ เปน็
ผใู้ หญบ่ า้ นหมทู่ ี่ ๖ ตำ� บลทงุ่ ใหญ่ อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา คอื นางเผอื น วรรณกาล
ที่รู้จักกันมา ๑ ปี ให้ผู้ใหญ่ไปทาบทามสู่ขอซึ่งทางผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงเปิดโอกาส

องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ� บลท่าขา้ ม

198 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

ให้ลูกสาวตัดสินใจด้วยตัวเองเพียงให้สติว่าอาชีพศิลปินเป็นอาชีพท่ีต้องเดินทาง
อยไู่ มเ่ ปน็ หลกั แหลง่ ตอ้ งพบปะคนมากมายและเปน็ ทช่ี น่ื ชอบของคนอนื่ กลวั วา่ ลกู สาว
จะพบกบั ปญั หาและความยากลำ� บากในวนั ขา้ งหนา้ แตแ่ มว้ า่ จะมขี า้ ราชการมาสนใจ
ลกู สาวคนสวยของผใู้ หญบ่ า้ นมากมายหลายคนแตน่ างสาวเผอื น วรรณกาล ในวนั นนั้
ก็ตัดสินใจตกลงรับปากแต่งงานกับนายหนังจวนท่ีถูกเพ่ือนบ้านสบประมาทว่า
“บา้ นหมาแยงหางถงึ ”
เพ่ือลบค�ำสบประมาทหนังจวนต้ังปณิธานว่าจะเอาคนท่ีสบประมาทมาเป็น
คนรับใช้ของตนให้ได้จึงคิดท�ำสวนส้มจุกส้มที่มีช่ือเสียงของอ�ำเภอจะนะในขณะน้ัน
จนประสบความส�ำเร็จและสามารถเอาคนท่ีดูแคลนตนมาเป็นคนสวนของตนจนได้
ชาวบ้านบอกว่าก่อนมาแต่งงานกับลูกสาวผู้ใหญ่บ้านเพชร หนังจวนเคยมีภรรยา
และมลี กู ดว้ ยกนั มากอ่ นแลว้ แตต่ อ่ มาภรรยาแยกทางกนั ไปอยกู่ นิ กบั นายหนงั คนหนงึ่
ทร่ี จู้ กั มักคนุ้ กันดี
หนงั จวนกบั นางเผอื นมบี ตุ รดว้ ยกนั ๖ คน คอื ๑) นางบพุ ผา เจยี มสวสั ดิ์ ปจั จบุ นั
เปน็ ขา้ ราชการบำ� นาญ (คร)ู ๒) นายอาทร พนิ จิ สกลู ประกอบธรุ กจิ สว่ นตวั (ถงึ แกก่ รรม
ดว้ ยโรคหดื หอบ) ๓) นางปราณี สวสั ดริ กั ษา ประกอบธรุ กจิ สว่ นตวั ๔) นายวสิ ทุ ธิ์ พนิ จิ สกลู
อาชีพรับราชการ ๕) นายอ�ำนาจ พินิจสกูล อาชีพวิศวกรควบคุมการก่อสร้าง
๖) นายวรี ะศักดิ์ พินิจสกูล อาชพี รบั เหมากอ่ สรา้ ง
เมอ่ื อายปุ ระมาณ ๓๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๐๔) มงี านแสดงเขา้ มาเรอื่ ย ๆ มเี งนิ สง่ เสยี
ลูก ๆ ท้ัง ๖ คน ให้ได้รับการศึกษาและช่วยเหลือดูแลพ่อแม่ หนังจวนไม่ส่งเสริม
สนับสนุนให้ลูกคนใดมาเป็นนายหนังตะลุงเหมือนตนด้วยเหตุผลว่า “เล่นดีก็ถูกด่า
เลน่ ไมด่ ีก็ถูกดา่ ” ทัง้ ขึน้ ท้งั ล่อง
ช่วงนี้หนังจวนกลายเป็นที่นิยมชมชอบของชาวบ้านด้วยมุขตลกท่ีแหวกแนว
คอื ตลกรปู หนงั ตะลงุ ตวั ท่สี มมตุ เิ ปน็ มเหสขี องเจา้ เมืองทค่ี นใต้เรียกว่า “นาง” จึงไดร้ บั
สมญานามคณะหนงั วา่ “หนงั จวน แมน่ าง” อกี ทง้ั ในยคุ นน้ั มนี ายหนงั ชอื่ จวนอกี คณะหนงึ่
ทางฝ่ังพัทลุง (แถวบา้ นโคกชะงาย) ที่มีสมญานามนายหนังวา่ “หนังจวน บองหลา”
เพราะมตี วั ตลกเอกซงึ่ กลา่ วขานกนั วา่ เปน็ ตวั ตลกทม่ี ลี ลี าทา่ ทเี ปน็ คนดุ แบกพรา้ ลมื งอ
เหมอื นขนุ โจรรงุ่ ดอนทรายหรอื ดำ� หวั แพรและมกั พดู ตดิ ปากวา่ จะ “สนี คอ” คนทขี่ ดั ใจ
หรอื พดู หรอื ทำ� อะไรไมเ่ ปน็ ที่สบอารมณ์ตน

องค์การบริหารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 199

มขุ ตลกทใี่ ชร้ ปู นางพดู ภาษาทอ้ งถนิ่ แทนทจ่ี ะพดู ภาษากลางหรอื ภาษาขา้ หลวง
ตามขนบนิยมของนายหนังยุคน้ัน มีท่ีมาเป็น ๒ กระแสคือ กระแสหน่ึงภรรยาของ
นายหนังบอกว่าอาจจะมาจากการท่ีหนังจวนให้ความเคารพนับถือนางเลือดขาว
ทค่ี วนคานหลาว แตอ่ กี กระแสหนง่ึ บอกวา่ “โตะขอ้ หนั้ ” ของหนงั จวนคอื การเอาลลี าทา่ ที
ของแมย่ ายคอื นางเนอ่ื ง ภรรยาผใู้ หญบ่ า้ นเพชรทก่ี ลา่ วขานกนั วา่ เปน็ คนพดู จาฉะฉาน
และมีลักษณะเป็นผู้น�ำ จนชาวบ้านถึงกับเปรียบเปรยกันว่า “สามีเป็นนายบ้าน
แต่ภรรยาเปน็ ก�ำนนั ”
แนวการแสดงของหนงั จวนยดึ ตามแบบแนวทางการแสดงของ หนงั กน้ั ทองหลอ่
การดำ� เนนิ ชวี ติ ยดึ หลกั เปน็ คนออ่ นนอ้ มถอ่ มตนจงึ กลายเปน็ ทร่ี กั ใครช่ น่ื ชอบทง้ั ผใู้ หญ่
และเพ่อื นฝูง ไดร้ บั การสนับสนุนการแสดงจนบางชว่ งต้องแสดงคนื ละสองท่ี
จนิ ตนยิ ายหรอื นยิ ายหนงั ตะลงุ ทห่ี นงั จวนใชแ้ สดงสว่ นใหญเ่ ปน็ เรอื่ งของหนงั กนั้
(มีเร่ืองของหนังละมุนเร่ืองเดียว คือ เร่ือง พระสุทินหรืออ�ำมาตย์ทรยศ) ที่เด่น ๆ
ได้แก่ เรื่องเลือดฆ่าเลือด ต�ำราผี พระแสงทองค�ำ ยอดกตัญญูและสามกษัตริย์
(ประเสริฐ รักษว์ งศ)์
หนังจวนเคยได้รับรางวัลโล่ทองค�ำจากการแข่งขันประชันโรงหนังตะลุง
๑๔ คณะ ท่สี นามโรงเรียนเทศบาล ๑ (เอ็งเสยี งสามคั คี) สถานท่ีทหี่ นังจวนแสดงบอ่ ย
และรางวลั ป่จี ากสถาบนั ทักษิณคดีศึกษา
นอกจากมีช่ือเสียงในการแสดงหนังตะลุงแล้ว หนังจวนได้ชื่อว่าเป็นผู้
ทำ� คุณประโยชน์แก่ชุมชนโดยเป็นผู้ริเร่ิมร่วมกับชาวบ้านติดต่อการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
เพ่ือให้ด�ำเนินการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้ชาวบ้านทุ่งงายเม่ือ พ.ศ. ๒๕๑๒ ช่วยเหลือ
ชาวบ้านท่ีมีปัญหายามเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะหนังจวนเป็นเจ้าของรถยนต์คันแรกของ
บา้ นทงุ่ งายจงึ ใหบ้ รกิ ารนำ� คนเจบ็ สง่ โรงพยาบาลเปน็ ประจำ� อกี ทงั้ ชกั ชวนชาวมาเลเซยี
มาทอดกฐินทว่ี ดั ทงุ่ งาย
หนงั จวน แมน่ างเสยี ชวี ติ ดว้ ยโรคหวั ใจวายเฉยี บพลนั ทโี่ รงพยาบาลอำ� เภอนาทวี
เมอ่ื วนั ท่ี ๑๒ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ สริ ริ วมอายไุ ด้ ๖๕ ปี ตงั้ ศพบำ� เพญ็ กศุ ลทวี่ ดั ทงุ่ งาย
แลว้ แหศ่ พไปฌาปนกจิ ทว่ี ดั แมเ่ ตยบา้ นเกดิ มผี มู้ ารว่ มงานคบั คงั่ ขบวนแหศ่ พยาวหลาย
กโิ ลเมตร ญาติ ๆ เก็บอฐั ิหนังจวนไว้ท่ีบวั บรรจุอัฐิในวดั แม่เตยจนทุกวันน้ี

องคก์ ารบริหารสว่ นต�ำบลทา่ ข้าม

200 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

แด…่ หนงั จวน แม่นาง ประสบสขุ ทุกข์โศกตามโลกหมุน
คนเกดิ มาอาศัยอยูใ่ นโลก สุดแต่กรรมนำ� หนุนหรือบุญพา
ส่งิ ติดตัวชั่วดีมบี าปบุญ ถกู กำ� หนดบทบาทตามวาสนา
เปรยี บชีวติ เหมือนนิยายมีหลายรส ไปจนกวา่ จะปิดฉากฝากผลงาน
มีกิจกรรมทำ� หน้าทต่ี ามลีลา ใชล้ ีลาคารมผสมผสาน
บรุ ุษหนึ่งซง่ึ น่งั หลงั จอผา้ จินตนาการผ่านยงั รปู หนงั ควาย
ด้วยอารมณศ์ ลิ ปินด้วยวิญญาณ มีอำ� นาจตามสมมุตจิ ุดมงุ่ หมาย
ใช้รูปหนงั ท้งั หมดสวมบทบาท ภาพผู้ชายทน่ี ่งั คอื หนังจวน
บทจ�ำนรรจ์สรรจ�ำเนียงเสียงบรรยาย เปน็ ศิลปนิ ภมู ิปญั ญาชาวนาสวน
ผสู้ รา้ งสุขสนกุ สนานเช่ยี วชาญศลิ ป ์ มคี รบถ้วนทุกรสบทประพันธ์
แต่ประเสรฐิ คา่ ล้ำ� ในสำ� นวน หนงั จวนยกให้แม่นางสรา้ งขบขัน
ชื่อดังเด่นเล่นสนกุ มขุ ตลก หนังเขา้ ขั้นชั้นครูผ้เู กรยี งไกร
ดงั มานานผ่านยคุ ถงึ ทกุ วัน เป็นศลิ ปนิ พื้นบ้านงานย่ิงใหญ่
หนังจวนเปน็ ตัวอย่างสรา้ งงานศิลป ์ คนใกลไ้ กลในทวี ยี ังนิยม
ไดส้ รรสรา้ งสขุ สมสงั คมไทย มฝี ีปากพากย์สนกุ สร้างสุขสม
เป็นผู้ที่มคี ุณค่าและหายาก ช่วยสงั คมย่ิงลน้ มากผลงาน
ท้ังสอดแทรกความรู้ใหผ้ ้ชู ม สน้ิ เสยี งพากยห์ มดสำ� เนยี งเสยี งขบั ขาน
น่าเสียดายหนังจวนมาดว่ นจาก หนงั เชย่ี วชาญครบถว้ น…จวนแมน่ าง.
คนทั้งหมดจะจดจ�ำเปน็ ต�ำนาน
สุนทร นาคประดษิ ฐ์
ธันวาคม ๒๕๓๙

องค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบลท่าขา้ ม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 201

หนังจวน ชมุ พล
บ้านเดิมอยูบ่ า้ นชมุ พล อ�ำเภอสทงิ พระ จังหวัดสงขลา มาแต่งงานกบั นางนิ่ม
บา้ นสะพานสงู ตำ� บลทา่ ขา้ ม อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา เปน็ ศษิ ยห์ นงั เลอ่ื น พานสงู

หนงั เลอ่ื น (สะ) พานสูง

หนังเล่ือน ต้ังบ้านเรือนอยู่บริเวณใกล้คลองนายสาม
ซึ่งอยู่ใกล้สะพานสูง ชาวบ้านจึงเรียกขานช่ือว่า “หนังเล่ือน
พานสูง” บริเวณนั้นเคยเป็นท่ีตั้งวัดแม่เตย ก่อนจะย้ายไปอยู่
ทรี่ มิ คลองแมเ่ ตยจนปัจจบุ ัน

สมยั นนั้ มหี นงั เลอื่ น ๒ คณะ คอื เลอ่ื นยนื เรอื่ ง (เลน่ เรอื่ ง) รปู สะหม้อหนังเลอ่ื นพานสงู
กับเลื่อนรปู ตลก (คนออกรปู ตลก หรอื พากย์ตวั ตลก) ปัจจุบันอยู่ที่บ้านหนงั แชม่

กอ่ นหนงั เลอ่ื นมหี นงั เขยี วมาจากเขาผี สทงิ พระ มามเี มยี บา้ นอยขู่ า้ งวดั ทา่ ขา้ ม
รนุ่ เดียวกบั หนังพลดั อา่ งทอง ทงุ่ หวัง ตวั ตลกเอกคอื สะหม้อ หนังเลอื่ นกต็ ลกสะหมอ้
รปู สะหมอ้ ของหนงั เลอื่ นปจั จบุ นั อยทู่ บี่ า้ นทายาทของหนงั แชม่ ทองสมสี เปน็ นอ้ งภรรยา
ของนายอรุณ แก้วสตั ยา ทบ่ี า้ นคลองจิก

หนังเลื่อนรูปตลก เปน็ น้องของกำ� นนั ปาน ไชยกลู

หนงั เลื่อน (สะ) พานสูง เปน็ เพ่อื นเกลอกับหนังเล่อื น พานายาว บา้ นเกาะถำ้�
ต�ำบลเขารูปชา้ ง อำ� เภอเมือง จังหวดั สงขลา รูปสะหมอ้ ของหนงั เล่ือน พานยาวตอนนี้
อยู่ที่บ้านลูกสะใภ้ของหนังเล่ือนคือครูพรบ้านนาปรือ อ�ำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา
ลกู เขยของหนงั เลอื่ น พานยาวคนหนง่ึ คอื ครคู วน ทวนยก ศลิ ปนิ แหง่ ชาตสิ าขาเครอื่ งดนตรี
พื้นบา้ น (ป่ีหนงั ตะลงุ )

หนงั เลอ่ื น (สะ) พานสงู มลี กู ศษิ ยค์ นสำ� คญั คอื หนงั จวน
ชุมพล (คนบ้านชุมพล อ�ำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลา
มาแตง่ งานกบั คนทา่ ขา้ ม) หนงั แชม่ ทองสมสี หรอื หนงั แชม่
แม่เตย

รปู สะหมอ้ ท่หี นังแชม่ ให้หนงั อรุณ หนังเลื่อน (สะ) พานยาว เป็นคนเมืองสายบุรี
ตัดข้ึนใหมแ่ ทนตวั เดมิ ที่ชำ� รดุ จงั หวัดปัตตานี

องคก์ ารบริหารสว่ นต�ำบลทา่ ขา้ ม

202 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

รปู สะหมอ้ ทหี่ นงั คณะตา่ ง ๆ เหลา่ นคี้ อื หนงั เลอื่ น พานยาว หนงั เลอื่ น พานสงู
หนังแช่ม ทองสมสี หนังเชย เชี่ยวชาญ (เชย ศิริยอด) และหนังกั้น ทองหล่อ
ศลิ ปินแห่งชาติใหเ้ ป็นตวั ตลกเอก ตน้ แบบผ้สู ร้างรปู สะหม้อขึ้นมาใช้ประกอบการเล่น
หนงั ตะลงุ คือหนงั พลัด อา่ งทอง ต�ำบลทงุ่ หวัง อำ� เภอเมอื ง จงั หวัดสงขลา จอมเล่นผี
เล่นยาท่นี ายหนงั คณะต่าง ๆ หวาดกลัว แต่สุดทา้ ยหนังพลัด อ่างทอง ก็ตายกบั ยา
ที่ตวั เองเคยใชท้ ำ� ลายหนงั คณะอนื่ ๆ มาก่อน

ตามหานายสะหมอ้ ของหนังเลื่อน พานสูง
เราตามหาบังสะหม้อของหนังเลื่อน พานสูง ที่อยู่ท่ีบ้านลูกสาวหนังแช่ม
(นางทิวา สุขสว่างผล ภรรยารองนายก อบต.ท่าข้าม ปัจจุบัน) มาหลายวันแล้ว
เพงิ่ ประจวบเหมาะเคราะหด์ วี นั นี้ ไดก้ ญุ แจเขา้ บา้ นโดยไมม่ ใี ครอยใู่ นบา้ น อรณุ แกว้ สตั ยา
พ่ีเขยเจ้าของบ้าน น�ำเราเข้าไปถึงท่ีอยู่ของสะหม้อ บ้านชั้นสองบ้านไม้ที่ก�ำลังจะ
กลายเป็นรังปลวก แต่เม่ือไม่นานมาน้ีท่ีนี่คือบ้าน “หนังแช่ม แม่เตย” นายหนัง
ทเี่ คยชนะหนงั จวน แมน่ าง และเปน็ ผใู้ หก้ ำ� เนดิ ในทางการแสดงหนงั ของศลิ ปนิ แหง่ ชาติ
นาม “นครินทร์ ชาทอง” ทเ่ี พง่ิ ล่วงลบั
สภาพของรปู สะหมอ้ ตวั เกา่ เหลอื เพยี งทอ่ นเดยี วทยี่ น่ ยบั เหลอื แคค่ บื ทอ่ นลา่ ง
และบางสว่ นของทอ่ นบนถกู หนกู ดั แทะ ขยกุ ตวั อยใู่ นกรอบรปู ทเี่ รม่ิ เสยี รปู ทรง ยยุ่ เปอ่ื ย
ไปตามกาลเวลา แต่มีร่องรอยความศักดิ์สิทธิ์คือทองค�ำเปรวและเหรียญโบราณ
ผูกห้อยอยู่ท่ีคอ อรุณบอกว่าสะหม้อรูปน้ีคือสะหม้อที่ใครต่อใครต้องมาแก้บน
จนหนงั แชม่ สงั่ ใหต้ ดั อกี รปู มาใสก่ รอบไว้ แตต่ อนกอ่ นหนงั แชม่ เสยี ชวี ติ ทา่ นยกรปู และ
อปุ กรณก์ ารแสดงหนงั ตะลงุ ทงั้ หมดใหล้ กู เขยคอื หนงั อรณุ แตต่ อนหลงั ทายาทมาขอคนื
จงึ แปรสภาพไปอย่างน่าเสยี ดายเชน่ น้ี

รูปสะหม้อหนังเล่ือน พานสงู รปู สะหมอ้ ทหี่ นงั อรณุ ตัดใหห้ นังแชม่ ทองสมสี พอ่ ตา

องคก์ ารบริหารส่วนตำ� บลท่าข้าม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 203

หนังแช่ม ทองสมส/ี แช่ม พอ่ ยอ

หนงั แช่ม ทองสมส ี จอหนังแชม่ แม่เตย

หนงั แชม่ ทองสมสี เกดิ วนั จนั ทร์ เดอื นอา้ ย ปเี ถาะ พ.ศ. ๒๔๗๐ ทบ่ี า้ นแมเ่ ตย
หมู่ท่ี ๑ ต�ำบลท่าข้าม อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พ่อช่ือเรือง ทองสมสี
เป็นนายโรงโนรา แม่ชื่อนางยกล่ัน จบชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๔ ที่โรงเรียนวัดแม่เตย
มีพีน่ ้องรว่ มบิดามารดาเดยี วกัน ๕ คน คอื นางนนิ นนทพันธ์ นางน�ำ สุวรรณหอม
นางนนั แก้วรองกลู นายแนม ทองสมสี และนายแช่ม ทองสมสี
อปุ สมบททว่ี ดั แมเ่ ตย โดยมพี ระชว่ ยเปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ เมอ่ื ลาสกิ ขาบทออกมา
มีความสนใจศิลปะการแสดงหนังตะลุงโดยมีคุณพ่อเรือง ทองสมสี เป็นผู้สนับสนุน
อยา่ งเตม็ ท่ี จนไดฉ้ ายาหนงั วา่ “หนงั แชม่ พอ่ ยอ” พอ่ เรอื งไดพ้ าไปฝากเปน็ ลกู ศษิ ยข์ อง
หนังเลื่อน (สะ) พานสูง โดยมหี นงั คลิ้ง บ้านบ่อโพธิ์ ตำ� บลนำ�้ นอ้ ย อำ� เภอหาดใหญ่
จงั หวดั สงขลา เปน็ คอโล้ (หมอประจำ� โรงหรอื หมอกบโรง) และไดไ้ ปฝกึ ฝนเพม่ิ เตมิ จาก
หนงั ชม ศ.กน้ั ทองหลอ่ ทบ่ี า้ นนำ้� กระจาย ตำ� บลพะวง อำ� เภอเมอื งสงขลา จงั หวดั สงขลา
และได้เข้าพธิ คี รอบมือกบั หนังชม ศ.กัน้ ทองหล่อ
ตอนแรกครอบครัวจะให้หัดโนราแต่พ่ีชายหัดโนราเสียก่อนหนังแช่มเลยมา
หดั เลน่ หนงั ตะลงุ ครอบมอื กบั หนงั ชม นำ�้ กระจาย แตเ่ ปน็ ลกู ศษิ ยห์ นงั เลอื่ น (สะ) พานสงู
สมัยนั้นชาวบ้านกล่าวกันติดปากว่า “ชมไก่ขัน ก้ันสองเมือง” คือพอไก่ขันหนังชม
จะบอกเลิกการแสดง ขณะท่ีหนังก้ันต้ังเมืองได้สองเมืองก็บอกเลิก ชาวบ้านภาคใต้
เรียกว่า “ล�ำลาบ”
หนังแช่มหัดเล่นหนังตะลุงตั้งแต่เล็ก ๆ บ้านอยู่ใกล้บ้านหนังเล่ือนพานสูง
แถวบา้ นแมเ่ ตยปจั จบุ นั หดั หนงั กบั หนงั เลอ่ื น พานสงู ซง่ึ เปน็ เกลอกบั หนงั เลอื่ น พานยาว
วดั เกาะถ�้ำ ต�ำบลเขารปู ช้าง อำ� เภอเมอื ง จังหวัดสงขลา หดั กบั หนังคลิ้งบา้ นบอ่ โพธิ์
ทา่ นางหอม เปน็ ศษิ ยห์ นงั คลง้ิ ดว้ ย หนงั คลงิ้ ทำ� ยาสงั่ และยาแกเ้ รยี กวา่ “ยาเหยยี บยา”

องค์การบรหิ ารส่วนต�ำบลทา่ ขา้ ม

204 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

หนังนครนิ ทร์ ชาทอง เลน่ หนงั ไดก้ บั โรงหนังแชม่ หนงั แชม่ มีฐานะเปน็ ลงุ ของ
หนงั นครนิ ทร์ รนุ่ เดยี วกบั หนงั สวสั ดิ์ พงั สาย บา้ นกระดงั งา อำ� เภอสทงิ พระ จงั หวดั สงขลา
ลกู ศษิ ยห์ นงั เอย่ี ม เสอื้ เมอื ง มลี กู ศษิ ยค์ อื หนงั ปรชี า สง่ อำ� ไพ คนสายบรุ ี ปตั ตานี หนงั ปนุ้
สุวรรณหอม หนองควายแห ปา่ ขาดและหนงั ตว้ น
รปู ทห่ี นงั แชม่ ใชแ้ สดงจะตอ้ งเปน็ รปู ทต่ี ดั โดยชา่ งเลก็ วารกี ลุ บา้ นหวั นอนหนน
หรอื ชา่ งประเสรฐิ บา้ นขา้ งวดั นำ้� นอ้ ยนอก ตำ� บลนำ�้ นอ้ ย อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา
เท่านั้น ท้ังสองช่างเป็นผู้มีฝีมือจนทางราชส�ำนักเคยให้ไปตัดรูปที่ในวังมาแล้ว
สมัยรัชกาลพระบาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เพราะตอนท่ี
พระองคเ์ สดจ็ มาทงี่ านพระผดุ ทตี่ ำ� บลนำ�้ นอ้ ย บนทดี่ นิ ของนางลน่ั ทบ่ี รจิ าคใหก้ บั มลู นธิ ิ
ของหลวงพอ่ ลงิ ดำ� จากจงั หวดั อทุ ยั ธานี นายประเสรฐิ เคยแกะรปู หนงั ตะลงุ ถวายแด่
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในขณะที่ประสบอุบัติเหตุพลัดตกจากต้นมะพร้าว
ในวดั นำ้� น้อยนอกท�ำให้แขง้ หกั และเนา่ เปอ่ื ยทางราชส�ำนักจงึ รบั ตัวไปรักษาดแู ล

รปู ฤาษหี นังแชม่ ตัดจากหนังเสือ แผงรูปหนงั แชม่ ทองสมส ี รูปพระเอกหนงั แชม่ ทองสมสี

จนิ ตนิยายทห่ี นงั แช่ม ทองสมศรีใช้แสดงมหี ลายเรอ่ื ง ไดแ้ ก่ ลกู หลงแม่ คนแก่
หลงเมีย/ห้วงรักเหวลึก/น้�ำใจแม่/ธรรมะชนะอธรรม/ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด
ผู้แต่งเร่อื งหนงั ใหแ้ สดงคือ “ลอยสาคร เรงิ วลิ าส”
หนงั แชม่ ทองสมสี หรอื หนงั แชม่ แมเ่ ตยแขง่ ขนั ประชนั โรงกบั หนงั จวน แมน่ าง
หนังบ้านแม่เตยด้วยกัน (แต่ตอนหลังไปแต่งงานกับนางเผือน ลูกสาวนายบ้านเพชร
จงึ ยา้ ยไปอยบู่ า้ นทงุ่ งาย ตำ� บลทงุ่ ใหญ่ อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา) ชนะหนงั จวน
ประจ�ำ

องค์การบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 205

หนังแช่ม ทองสมสี สมรสกับนางสาวเจิม ไชยกูล มีบุตรด้วยกัน ๕ คนคือ
๑) นายเตมิ ทองสมสี สมรสกับนางสาวสมนึก ทว่ั ยาบัตร อาชพี ธุรกจิ ส่วนตัว มีบุตร
๔ คน ๒) พ.ต.ท.เตียน ทองสมสี สมรสกับนางสาวปรีดา รัตนพันธ์ มีบุตร ๓ คน
๓) นางสาวเตอื นใจ ทองสมสี สมรสกบั นายสมคดิ พฒุ ด�ำ รองนายกองคก์ ารบรหิ าร
สว่ นตำ� บลคลองเปย๊ี ะ อาชพี ธรุ กจิ สว่ นตวั มบี ตุ ร ๓ คน ๔) นางสาวอไุ ร (ราตร)ี ทองสมสี
สมรสกบั นายอรณุ แกว้ สตั ยา อาชพี ธรุ กจิ สว่ นตวั มบี ตุ ร ๒ คน ๕) นาวสาวทวิ า ทองสมสี
สมรสกบั นายอทุ ยั สขุ สวา่ งผล รองนายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม อาชพี ธรุ กจิ
ส่วนตวั มบี ตุ ร ๒ คน
นายแช่ม ทองสมสี เป็นคนมีอัธยาศัยดี สุขุม เยือกเย็น มีเหตุผล มีจิตใจ
เออ้ื เฟอ้ื เผอื่ แผก่ บั เพอ่ื นบา้ นตลอดมา ไมเ่ คยเอาเปรยี บใคร เปน็ แบบอยา่ งทดี่ ใี นการ
วางตนและเป็นผู้น�ำครอบครัว ไม่ด่ืมเหล้า ไม่เล่นการพนัน มีความขยันหม่ันเพียร
ในการประกอบอาชีพ ท�ำมาหากิน “ไม่ได้ถือศีล แต่ถือสัตย์” ยึดถือสัจจะวาจา
ในการด�ำเนนิ ชีวิต ไม่เคยท�ำใหใ้ ครเดอื ดรอ้ น เปน็ ศิลปินเลน่ หนงั ตะลุง เปน็ ที่ช่ืนชอบ
ของชาวบ้านในนาม “หนังแช่ม แม่เตย” นางเจิม ไชยกูล ภรรยาเสียชีวิตตั้งแต่
ปี พ.ศ. ๒๕๒๗ นายแชม่ ตอ้ งเล้ียงดลู กู ท้ัง ๕ คนเพยี งล�ำพังจนสำ� เรจ็ การศึกษาและ
มงี านท�ำที่มน่ั คงทกุ คน
นายแชม่ ทองสมสี เสียชีวิตเมอื่ วันท่ี ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ฌาปนกิจ
ณ ฌาปนสถานวัดแมเ่ ตย เม่อื วนั ท่ี ๒๐ สงิ หาคม ๒๕๕๘

หนังเขียว ทา่ ข้าม
หนงั เขยี ว ทา่ ขา้ ม (มาจากบา้ นเขาผี อำ� เภอสทงิ พระ จงั หวดั สงขลา มาแตง่ งาน
กับชาวท่าข้าม) เป็นหนังรุ่นก่อนหนังเลื่อน พานสูง รุ่นเดียวกับหนังพลัด อ่างทอง
เปน็ ค่แู ข่งคนสำ� คัญของหนงั พลัด อ่างทอง
มอี ยคู่ รง้ั หนงึ่ ตอนทห่ี นงั เขยี ว ทา่ ขา้ ม แขง่ ขนั ประชนั โรงกบั หนงั พลดั อา่ งทอง
หนงั เขยี วสงั่ ใหน้ ายหนพู า ลกู ชายถอื กรชิ ไปเฝา้ ใตถ้ นุ โรงหนงั สง่ั วา่ ถา้ ใครเขา้ มาใตถ้ นุ
โรงหนังให้แทงให้ตาย ปรากฏว่ามีคนเข้ามาใต้ถุนโรงหนังและถูกนายหนูพาแทงตาย
หนังเขียวเลยโยนยาลงไปใต้ถุนแล้วบอกเจ้าหน้าที่ว่าเป็นยาของคนตายที่พามาท�ำ
หนงั เขียว

องค์การบริหารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม

206 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

โนรา

ตำ� นานโนรา
โนรา เป็นการละเล่นพื้นเมืองภาคใต้ท่ีมีมาแต่โบราณ ประมาณอายุตามที่
หลาย ๆ ทา่ นสนั นษิ ฐานไว้ ตกสมยั ศรวี ชิ ยั หรอื ไมก่ ร็ าวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ เปน็ อยา่ งนอ้ ย
ด้วยกาลเวลาผ่านมานานเช่นนี้ ท�ำให้ประวัติความเป็นมาของโนราเล่าผิดเพี้ยนกัน
จนกลายเปน็ ต�ำนานหลายกระแส
กระแสที่หน่ึงเล่าโดยขุนอุปถัมภ์นรากร (โนราพุ่ม เทวา) อ�ำเภอควนขนุน
จังหวัดพัทลุง กระแสท่ีสองเล่าโดยโนราวัด จันทร์เรือง ต�ำบลพังยาง อ�ำเภอระโนด
จังหวัดสงขลา กระแสท่ีสามเล่าโดยนายซ้อน ศิวายพราหมณ์ ศึกษาธิการ
จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี กระแสทสี่ ่ี สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดำ� รงราชานภุ าพ
ทรงอ้างอิงจากต�ำนานละครอิเหนา กระแสท่ีห้าเป็นต�ำนานละครชาตรีของ
กรมศิลปากร ในหนังสือการละเล่นของไทย กระแสที่หกเล่าโดยนายพูน เรืองนนท์
ในหนงั สอื การละเลน่ ของไทยของ มนตรี ตราโมท กระแสทเ่ี จด็ ถา่ ยทอดโดยบทกาศครู
ของโนรา มี ๒ กลมุ่ กลมุ่ ที่ ๑ คำ� กาศครขู องคณะโนราขนุ อปุ ถมั ภน์ รากร (โนราพมุ่ เทวา)
กลมุ่ ที่ ๒ ค�ำกาศครูของโนราภาคใต้ตอนบน จากนายซอ้ น ศวิ ายพราหมณ์
ข้อวินิจฉัยต�ำนานโนรา ของเยี่ยมยง สุรกิจบรรหารและภิญโญ จิตต์ธรรม
(โนรา. ๒๕๐๘) สรปุ วา่ โนราเกดิ ขนึ้ ประมาณ พ.ศ. ๑๘๕๘ - ๒๐๕๖ ทเ่ี มอื งพทั ลงุ เกา่
คือบางแก้วในปัจจุบัน เจา้ เมืองพทั ลุงครง้ั นนั้ คอื พระยาสายฟ้าฟาดหรือท้าวโกสินทร์
มเหสีชื่อศรีมาลาหรืออินทรกรณีย์ ทั้งสองมีโอรสชื่อเทพสิงหร และธิดาช่ือนวลทอง
ส�ำลีหรือศรีคงคา พระยาสายฟ้าฟาดได้หาราชครู มาสอนวิชาการร่ายร�ำให้แก่โอรส
และธิดา ผลปรากฏว่านางนวลทองสำ� ลีรำ� ได้ ๑๒ ท่าอย่างคล่องแคล่ว แต่เกิดมเี รื่อง
ท่ีน่าอายเกิดขึ้นคือนางเกิดต้ังครรภ์โดยได้เสียกับพระเทพสิงหรพี่ชายของตน

องค์การบรหิ ารส่วนตำ� บลทา่ ข้าม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 207

ส่วนราชครูก็ได้เสียกับสนมก�ำนัล พระยาสายฟ้าฟาดจึงสั่งให้เอาราชครูท้ัง ๔ คนมี
นายคงผมหมอ นายชม นายจติ ร และนายทองกนั ดารไปผกู คอถว่ งนำ้� ในทะเลสาบสงขลา
สว่ นโอรส ธดิ าและสนมกำ� นลั ถกู ลอยแพไปตดิ ทบ่ี า้ นกะชงั ตำ� บลเกาะใหญ่ อำ� เภอกระแสสนิ ธ์ุ
จงั หวดั สงขลาปจั จบุ นั นางนวลทองสำ� ลคี ลอดบตุ รชอ่ื ทองอู่ สนมทไ่ี ดเ้ สยี กบั นายคงผม
หมอคลอดบุตรช่ือจันทร์ชะยาผมหมอ เมื่อบุตรนางนวลทองส�ำลีโตขึ้นได้ฝึกร�ำโนรา
จนมโี อกาสไปเมอื งพทั ลงุ พบพระยาสายฟา้ ฟาดและไดร้ บั กลบั เมอื งพรอ้ มทง้ั สนบั สนนุ
ใหเ้ ลน่ โนราต่อไป ทัง้ แตง่ ตัง้ ทองอูใ่ หเ้ ปน็ “ขนุ ศรีศรทั ธา”
ข้อวินิจฉัยของเทวสาโร ในหนังสือเทพสารบรรพ ๒ (๒๕๐๘) สรุปความว่า
โนรา เป็นการร่ายร�ำส�ำหรับบูชาเทพเจ้า พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์ใน
ศาสนาพราหมณ์ เมื่อพราหมณ์เข้าสู่ภาคใต้จึงน�ำการละเล่นชนิดน้ีเข้ามาด้วยคงจะ
เกิดขึ้นราวสมัยพระเจ้าจันทรภาณุ เป็นช่วงท่ีมีการสถาปนาเมืองพัทลุงขึ้นท่ีบางแก้ว
นามท้าวโกสินทร์ก็คือพระเจ้าจันทรภาณุนั่นเอง ส่วนนางอินทรกรณีย์ชายาก็คือ
นางอินทิราณี นางพระยาเมืองสิงหลซึ่งพระเจ้าจันทรภาณุยกทัพไปตีสิงหล กษัตริย์
ทงั้ สองมโี อรสชอ่ื เทพสงิ หรหรอื ศรสี งิ หร มธี ดิ าชอ่ื ศรคี งคาคอื นวลทองสำ� ลี ไดเ้ สยี สมรส
กนั เองกบั บตุ รเจา้ นครชนั้ ผนู้ อ้ ยซง่ึ ตงั้ เมอื งอยบู่ รเิ วณบา้ นทา่ แค อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั พทั ลงุ
ในปัจจุบัน ท�ำให้ท้าวโกสินทร์กร้ิวมากจึงสั่งเนรเทศลอยแพโอรสและธิดา แพไปติด
เกาะสสี ังขใ์ นทะเลสาบสงขลา นางศรคี งคาไดป้ ระสูติบุตรชอื่ “ราม” ฝึกให้ร�ำโนรา
ต่อมา พระเจ้าจันทรภาณุ ทรงท�ำนุบ�ำรุงบ้านเมืองคร้ังใหญ่ทรงนิรโทษกรรม
โอรสธิดา พระเทพสิงหรได้ครองเมืองเขานิพัทธสิงห์ (เขาพะโคะ อ�ำเภอสทิงพระ
จงั หวดั สงขลา) ทรงเปน็ แมก่ องวดั สรา้ งพระธาตสุ ทั ธงั พระ (พระธาตสุ ทงิ พระ) เปน็ การ
สนองคุณพระบิดาและล้างมลทินที่กระท�ำมาก่อน ฝ่ายเจ้าชายรามได้สร้างพระธาตุ
สัทธังพระ (วัดสทัง ต�ำบลหานโพธ์ิ อ�ำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง) โดยมีเจ้าอู่ทอง
และนางศรคี งคาเปน็ ผสู้ นบั สนนุ จากนนั้ พระเจา้ จนั ทรภาณโุ ปรดเกลา้ ฯ ใหม้ กี ารฉลอง
พระนครแพระธาตบุ างแกว้ ซง่ึ เปน็ ศนู ยร์ วมของราชธานใี หม่ โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ กี ารแสดง
โนราและประทานบรรดาศกั ดแ์ิ กเ่ จา้ ขายรามเปน็ “ขนุ ศรศี รทั ธา” ทง้ั ทรงอนญุ าตใหใ้ ช้
เครือ่ งทรงส�ำหรบั กษัตริย์แตง่ ตัวโนราได้ (อุดม หนูทอง. ๒๕๔๒ : ๓๘๙๗ - ๓๙๐๔)
โนราหรือมโนห์ราหรือ มโนราหรือมโนราห์ เป็นการละเลน่ พืน้ เมืองทีส่ ืบทอด
กันมานานและนิยมกันอย่างแพร่หลายในภาคใต้ เป็นการละเล่นที่มีท้ังการร้องและ

องค์การบริหารสว่ นต�ำบลทา่ ข้าม

208 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

การร�ำ การร�ำบางส่วนเล่นเป็นเร่ืองและบางโอกาสมีบางส่วนแสดงตามคติความเชื่อ
ที่เป็นพิธกี รรม
คณะของโนราคณะหนงึ่ ๆ มปี ระมาณ ๑๔ - ๒๐ คน สมยั กอ่ นมตี วั ร�ำเพยี ง
๓ ตวั คอื นายโรงหรอื โนราใหญห่ รอื ตวั ยนื เครอื่ ง ๑ ตวั นางหรอื นางรำ� ๑ และตวั ตลก
หรือพราน ๑ ตวั ตอ่ มาเพ่ิมตวั นาง (นางร�ำ) เป็น ๓ - ๕ ตวั
คณะของโนรามนี กั ดนตรีหรอื ลูกคู่ ๕ - ๗ คน ตัวตลกประจำ� โรงเรยี กว่าพราน
ตวั ตลกหญงิ เรยี กวา่ ทาสี ทงั้ พรานและทาสจี ะสวมหนา้ กาก นอกจากนจ้ี ะมหี มอประจำ� โรง
บางคณะอาจจะมีนางร�ำรุ่นจิ๋วเรียกว่าหัวจุกโนรา และอาจจะมีผู้สูงอายุที่หลงชอบ
โนราและติดตามไปกับคณะโนราเรียกว่าตาเสือโนรา มักท�ำหน้าที่ช่วยควบคุมดูแล
นางรำ� และขา้ วของ บางคนเกดิ หลงชอบหวั จกุ โนรายอมอาสาปรนนบิ ตั ริ บั ใชท้ กุ อยา่ ง
เรยี กวา่ บ้าหัวจุกโนรา
ในการขนย้ายเครอ่ื งโนราไปแสดงไกล ๆ จะมีหีบส�ำหรบั ใส่เทริดและเครือ่ งใช้
บางอยา่ ง เชน่ หนา้ พราน เรยี กวา่ ซุม มคี นทำ� หนา้ ที่แบกหามเรียกว่าคนคอนซุมโนรา
ชื่อของคณะโนรามักเรียกตามช่ือของนายโรง เช่น โนราคล้าย มีนายคล้าย
เปน็ หวั หนา้ คณะ หรอื นายโรง บางครง้ั เอาชอื่ บา้ นทอี่ ยมู่ าประกอบ เชน่ โนราอรณุ ทา่ ขา้ ม
บางคณะกไ็ ดร้ บั คำ� เตมิ สรอ้ ยเพราะมลี กั ษณะเดน่ พเิ ศษ เชน่ โนราพมุ่ เทวา ชอ่ื พมุ่ รา่ ย
ร�ำอ่อนชอ้ ยสวยงามราวกบั เทวดาเหาะลอยลมมา
เคร่ืองแตง่ กาย ประกอบด้วย เทริดประดับศรีษะของตวั นายโรง เคร่อื งลกู ปัด
สวมลำ� ตวั ทอ่ นบนแทนเสอื้ ประกอบดว้ ย บา่ สองขา้ ง ปง้ิ คอ พานอก ปกี นกแอน่ หรอื
ปกี เหนง่ ตดิ กบั สงั วาลยเ์ หนอื สะเอวซา้ ย ขวา ซบั ทรวงหรอื ทบั ทรวงหรอื ตาบ สวมหอ้ ย
ตรงทรวงอก ปีกหรอื หางหงส์ ท�ำด้วยเขาควาย ผ้านุ่ง หน้าเพลาหรอื เหนบ็ เพลาหรอื
หนบั เพลา หนา้ ผา้ ผา้ หอ้ ย กำ� ไลตน้ แขนและปลายแขน กำ� ไล เลบ็ หนา้ พราน หนา้ ทาสี
เคร่ืองดนตรี ทับ (โทน) ๑ คู่ กลอง ปี่ โหม่ง ฉ่ิง แตระหรือแกระหรือกรับ
องคป์ ระกอบของการแสดง การรำ� การรอ้ ง การทำ� บท การรำ� เฉพาะอยา่ ง เชน่ รำ� ในพธิ ี
ไหวค้ รู พธิ แี ตง่ พอกผผู้ กู ผา้ ใหญ่ รำ� โรงครู รำ� แกบ้ น (รำ� บทครสู อน รำ� บทปฐม รำ� เพลงทบั
เพลงโทน รำ� เพลงป่ี รำ� เพลงโค รำ� ขอเทรดิ รำ� เฆย่ี นพราย และเหยยี บลกู นาว รำ� แทงเข้
ร�ำคลอ้ งหงส์ ร�ำบทสิบสอง หรือร�ำสิบสองบท)

องค์การบริหารส่วนตำ� บลทา่ ขา้ ม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 209

การเลน่ เปน็ เรอื่ ง ทา่ รำ� สบิ สองทา่ ประกอบดว้ ย ทา่ แมล่ ายหรอื ทา่ แมล่ ายกนก
ท่าราหูจับจันทร์หรือท่าเขาควาย ท่ากินนรหรือกินนรร�ำ (ท่าข้ีหนอน) ท่าจับระบ�ำ
ทา่ ลงฉาก ทา่ ฉากนอ้ ย ทา่ ผาลา (ผาหลา) ท่าบวั ตมู ท่าบัวบาน ท่าบัวคลี่ ท่าบัวแย้ม
ทา่ แมงมมุ ชกั ใย
โอกาสท่แี สดง เพ่อื ความบันเทิง งานวัด งานประเพณี หารายไดบ้ ำ� รงุ ศาสนา
งานนักขัตฤกษ์ งานพิธีเฉลิมฉลองต่าง ๆ พิธีลงครู (สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. ๒๕๔๓ :
๓๘๒๑ - ๓๘๙๖)
โนราในพธิ กี รรม ไดแ้ ก่ การเหยียบลูกนาว เหยียบเสน แทงจระเข้ เฆี่ยนพราย
เป็นตน้
การเหยียบลูกนาว หรือการถีบลูกนาวเป็นพิธีกรรมแบบตัดไม้ข่มนาม
ของโนรา ถ้าโนราแข่งกันจะท�ำพิธีทางไสยศาสตร์และเส่ียงทาย พิธีนี้จะท�ำติดต่อกับ
การเฆย่ี นพรายคอื หลงั จากเฆย่ี นพรายแลว้ พรานจะนำ� มะนาวมา ๓ ผล วางบนพน้ื ตา่ งวา่
เป็นโนราฝ่ายตรงข้ามหรอื โรงแขง่ ท่ีผลมะนาวจะลงอกั ขระช่ือโนราฝ่ายตรงกนั ข้ามไว้
ขณะที่ร�ำเครื่องดนตรีเชิด โนราใหญ่หรือนายโรงจะร�ำด้วยท่าต่าง ๆ แล้วท�ำท่าจะ
เหยียบมะนาวแต่ไม่เหยียบแล้วร�ำต่อไปในท่ีสุดก็จะเหยียบให้แตก อาจจะเหยียบ
ทลี ะลกู ตดิ ตอ่ กนั ไปหรอื เหยยี บ ๑ ลกู แลว้ รำ� ตอ่ ไปสกั ครแู่ ลว้ มาเหยยี บลกู ที่ ๒, ๓ กไ็ ด้
(ภิญโญ จติ ต์ธรรม. ๒๕๔๒ : ๘๖๘๗ - ๘๖๘๘)
เหยยี บเสน เปน็ พธิ กี รรมอยา่ งหนงึ่ ของโนราทท่ี ำ� ขน้ึ เพอื่ รกั ษาอาการผดิ ปกติ
ทเี่ กดิ ขนึ้ กบั ผวิ เนอ้ื ซง่ึ เรยี กวา่ “เสน” เสน มลี กั ษณะเปน็ แผน่ ขน้ึ บรเิ วณผวิ เนอื้ คลา้ ยปาน
แตจ่ ะงอกเปน็ เนอ้ื นนู ขนึ้ จากระดบั ผวิ หนงั ปกติ ถา้ เนอ้ื ทงี่ อกนนู ขน้ึ มาเปน็ สดี ำ� เรยี กวา่
“เสนด�ำ” ถา้ มสี แี ดงเรยี กว่า “เสนแดง”
ถา้ เกดิ กบั เดก็ ๆ จะคอ่ ย ๆ ใหญข่ น้ึ ตามอายุ ผเู้ ปน็ เสนจะไมร่ สู้ กึ เจบ็ ปวดอะไร
ชาวบา้ นสมัยกอ่ นเชือ่ วา่ เสนเกิดจากการกระทำ� ของผีท่เี รียกว่า “เจา้ เสน” และเชอ่ื ว่า
เสนไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาใด ๆ มีวิธีการรักษาได้ ๒ วิธีเท่านั้นคือ
ใช้เหรียญตราโบราณซึ่งมีรูปพระเจ้าแผ่นดินกดทับ พร้อมกับเสกคาถาอาคมและ
โดยวิธีให้โนราทำ� พิธี “เหยยี บเสน”

องคก์ ารบริหารสว่ นต�ำบลท่าขา้ ม

210 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

พิธีเหยียบเสน ท�ำได้เฉพาะโนราบางคนเท่าน้ัน ส่วนมากจะท�ำในพิธีโรงครู
โดยผทู้ เ่ี ปน็ เสนเตรยี มเครอ่ื งประกอบพธิ มี ามอบใหแ้ กโ่ นราใหญ่ ประกอบดว้ ย ขนั นำ�้
หมาก พลู ธปู เทยี น ดอกไม้ มดี โกน หนิ ลบั มดี เงนิ เหรยี ญ เครอ่ื งทอง เครอื่ งเงนิ หญา้ คา
หญา้ เขด็ มอน ใบชมุ เห็ดและรวงขา้ ว ๓ รวง
โนราใหญ่จะให้ผู้เป็นเสนนั่งในโรงโนราแล้วเอาน�้ำใส่ขันพร้อมด้วยมีดโกน
หนิ ลบั มดี เครอื่ งเงนิ เครอ่ื งทอง หญา้ คา หญา้ เขด็ มอนและรวงขา้ ว จดุ ธปู เทยี น ชมุ นมุ
เทวดา เชญิ ครเู สนสพู่ ธิ ี ลงอกั ขระตวั ขอมทห่ี วั แมเ่ ทา้ ของโนราใหญ่ เอาหวั แมเ่ ทา้ จมุ่ ลง
ในขนั นำ�้ ยกขนั รมควนั เทยี น ใชห้ วั แมเ่ ทา้ เหยยี บเบา ๆ บรเิ วณทเี่ ปน็ เสน ภาวนาคาถา
คาถามตี า่ ง ๆ กัน เช่น ของขุนอปุ ถมั ภน์ รากร (พมุ่ เทวา) วา่
“นะสญู โมสญู พทุ ธสญู ธาสญู ยะสญู อบุ าทวธ์ รรมโม สญู ดว้ ยนะโมพทุ ธายะ”
ของโนราพร้อม จ่าวัง วา่
“นะสูญ โมสูญ พุทธสูญ ธาสูญ ยะสูญ ขุนเสนทั้งหลายให้สูญไปด้วยนะโม
พุทธายะ”
แลว้ ยกหวั แมเ่ ทา้ ไปแตะมดี โกน เพง่ จติ ระลกึ ถงึ ครเู สน ขอใหเ้ สนหาย เสรจ็ แลว้
ใช้หัวแม่เท้าจุ่มลงในขันน�้ำท�ำเหมือนคร้ังแรกจนครบ ๓ ครั้ง บางคณะก่อนใช้เท้า
เหยียบเสนจะใช้หัวพลูลงอักขระขอมที่เสนแล้วเอาเหรียญทาบลงบนเสนแล้วใช้
หัวแม่เท้าเหยียบลงบนเหรียญ ภาวนาคาถา ๓ คาบ จบแล้วสลัดให้เหรียญหลุด
ออกจากเสน
จากพธิ ดี งั กลา่ ว เชอ่ื วา่ เสนจะคอ่ ย ๆ หาย ถา้ ไมห่ ายกใ็ หท้ ำ� ซำ�้ อกี เชอื่ วา่ เสนจะ
หายไปในทสี่ ดุ ปจั จบุ นั นพี้ ธิ เี หยยี บเสนยงั ทำ� กนั อยใู่ นชนบท (อดุ ม หนทู อง. ๒๕๔๒ :
๘๖๘๘ - ๘๖๙๑)
ร�ำคล้องหงส์
คล้องหงส์ เป็นการร�ำโนราลักษณะหน่ึงถือกันว่าเป็นศิลปะช้ันสูงสุดของการ
ร�ำโนรา ผู้ที่จะร�ำได้ต้องผ่านการฝึกหัดมาอย่างดีและผู้ท่ีจะเป็นนายโรงโนราได้อย่าง
สมบูรณ์จะตอ้ งสามารถร�ำคล้องหงส์ได้ มเิ ชน่ น้ันโนราคณะนัน้ จะไม่สามารถรำ� แกบ้ น
หรอื ออกงานสำ� คัญ ๆ ได้

องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ� บลทา่ ข้าม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 211

การรำ� คลอ้ งหงส์ มีโอกาสท่ใี ช้เพยี ง ๒ โอกาส
เท่านั้นคือ ใช้ในพิธีกรรมครอบเทริดและผูกผ้าใหญ่
(ครอบมอื ) ให้แก่ศิษยท์ ี่ผ่านการฝึกจนชำ� นาญแล้วและ
รำ� ในพธิ แี กบ้ นซง่ึ ถอื กนั วา่ แกบ้ นนนั้ ถา้ ไมม่ กี ารรำ� คลอ้ งหงส์
การแก้บนจะไร้ผล
การ�ำคล้องหงส์ ใชผ้ ู้แสดงหลายคน ตัวส�ำคัญมี
๒ ตวั คอื พรานซงึ่ เปน็ ตวั ตลกประจำ� โรงทส่ี วมหนา้ กาก
พรานแสดง และพญาหงสค์ อื ตวั นายโรง (หวั หนา้ คณะ)
หรือ “โนราใหญ่” ซ่ึงเป็นตัวส�ำคัญที่จะต้องถูกคล้อง
ดว้ ยบ่วง นอกจากนั้น คนรำ� ทกุ คนของคณะท่มี าร่วมร�ำในงานพิธกี รรมน้นั ๆ จะตอ้ ง
สมมตติ วั เองเปน็ หงสบ์ ริวารออกมารำ� ประกอบทั้งคณะ
รปู แบบของการรำ� คลอ้ งหงสจ์ ะมโี นราใหญน่ ำ� คนรำ� ทง้ั หมดของคณะออกมารำ�
พร้อมกันตามบทร้องที่เป็นแบบฉบับจนครบถ้วน ก่อนจบบทร้องเล็กน้อย ตัวพราน
จะคอ่ ย ๆ แอบมองเพอ่ื เลอื กคล้องตวั ทตี่ ้องการ พอจบบทดนตรเี ปล่ียนเปน็ ท�ำนอง
พญาหงส์ พรานจะเร่ิมน�ำบว่ งบาศออกมาแลว้ เรม่ิ คลอ้ ง ตวั ประกอบอื่น ๆ จะบนิ หนี
(เข้าโรง) ไปหมด คงเหลือไว้แต่นายโรงซึ่งถูกพรานคล้องได้ พญาหงส์ใช้สติปัญญา
จนสามารถดนิ้ หลดุ จากบว่ งทพี่ นั ธนาการ เปน็ เสรจ็ พธิ รี ำ� คลอ้ งหงส์ กรณแี กบ้ นถอื เคลด็
ตรงน้วี ่าแก้บนเสร็จตามประสงค์. (สุธวิ งศ์ พงศไ์ พบลู ย์. ๒๕๔๒ : ๙๔๖ - ๙๔๘)
แทงเข้
ร�ำแทงเข้ เปน็ การแสดงบทหน่ึงของโนรา แสดงเฉพาะโรงครู โดยท่ัวไปการรำ�
แทงเขจ้ ะจดั พธิ กี รรม ๓ วนั คอื เรมิ่ พธิ เี ยน็ วนั พธุ เลกิ โรงวนั ศกุ ร์ ถา้ วนั ศกุ รเ์ ปน็ วนั พระ
ก็เลิกโรงวันเสาร์ พิธีกรรมสุดท้ายโนราจะท�ำพิธี “ส่งครู” และการตัดเหมรฺยในพิธีนี้
โนราใหญจ่ ะร�ำคลอ้ งหงสแ์ ละร�ำแทงเขแ้ ล้วตัดเหมรฺยเป็นอันเสรจ็ พิธี

การร�ำแทงเข้ มีต�ำนานความเป็นมา
ต่างกันเป็น ๒ กระแส กระแสหนึ่งว่า “เข้”
ก็คือจระเข้ท่ีขึ้นมาขวางคลองตอนนางนวล
ทองส�ำลีกลับมาเมืองพัทลุง ตามค�ำสั่งของ

องค์การบรหิ ารส่วนตำ� บลท่าขา้ ม

212 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

บดิ า หลงั จากใหอ้ ภยั ในความผดิ ทกี่ ระทำ� มาแตห่ นหลงั กอ่ นจะผา่ นปากนำ�้ เขา้ เมอื งได้
พวกอ�ำมาตยจ์ งึ ปราบจระเขต้ ัวน้ันเรยี กวา่ “แทงเข”้
อีกกระแสหน่ึงว่า “เข้” คือจระเข้ชาละวันในนิยายเร่ืองไกรทองหรือนายไกร
เหตุท่ีอ้างเช่นนี้ก็เพราะในบทกลอนและเนื้อเรื่องตอนโนราเล่นแทงเข้บ่งเช่นน้ัน
อย่างไรก็ตามโนราบางคนเห็นว่าของเดิมเข้น่าจะหมายถึงเข้ที่ขวางปากน�้ำตามที่
ปรากฏในต�ำนานโนราจริง ๆ ท่ีเล่นแทงเข้ก็เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์คร้ังหน่ึงในชีวิต
นางนวลทองส�ำลีครูโนรา แต่ภายหลังเร่ืองไกรทองเข้ามาจึงน�ำเอาตอนไกรทอง
ปราบชาละวนั มาแสดงแทนเพราะยงั ไดช้ อื่ วา่ แทงเขเ้ หมอื นกนั และเปน็ นยิ ายทช่ี วนให้
เกดิ ความสนกุ แมท้ ม่ี าของการรำ� แทงเขไ้ มส่ ามารถบง่ ชช้ี ดั ลงไปไดแ้ ตก่ ลา่ วไดว้ า่ การรำ�
ในรูปท่ีสบื ตอ่ กนั มาถึงทุกวันน้ีคงมมี าตัง้ แต่สมัยรตั นโกสินทรต์ อนตน้ เปน็ อยา่ งน้อย
การรำ� แทงเขต้ อ้ งเตรยี มเข้ แพ บายศรแี ละหอก เขท้ ำ� จากหยวกกลว้ ยตน้ โต ๆ
ขดุ ใหต้ ดิ เหงา้ หรอื หวั นำ� มาแกะสลกั สว่ นเหงา้ ใหเ้ ปน็ หวั จระเข้ ขาใชห้ ยวกตดั เปน็ รปู ขา
แลว้ ใชไ้ มเ้ สียบติดไว้ หางเข้ทำ� ดว้ ยทางมะพรา้ ว เมอื่ เสรจ็ แลว้ ใชไ้ ม้ ๔ ต้น ขนาดยาว
๒ คืบเศษปกั เป็นขาหยัง่ ก่อนนำ� เขา้ ในพิธี
คนท�ำเขส้ งั เวยครูกอ่ นด้วยดอกไม้ ธปู เทยี น เหล้าขาวและหมากพลู เสร็จแลว้
น�ำไปวางริมโรงโนราด้านตะวันตก โดยให้หันหัวจระเข้ไปทางทิศตะวันออก การวาง
ตอ้ งดทู ศิ อยา่ ใหต้ อ้ งหลาวเหลก็ บนหวั หวั และหางเขต้ ดิ เทยี นเอาไว้ อนง่ึ ใกล้ ๆ กบั เข้
จะทำ� แพหยวกกล้วยวางไว้ใกล้ ๆ แพน้ีท�ำดว้ ยต้นกลว้ ยขนาดโตพอประมาณ ตดั เปน็
๖ ทอ่ น ยาวท่อนละชว่ งแขน ใช้ไม้เสียบให้ติดกันเปน็ แพ ส่วนภายในโรงโนราจัดเส่อื
หมอน เปน็ ทคี่ รู วางบายศรีและเครอื่ งสงั เวย มีทส่ี บิ สอง หมาก พลู เป็นตน้ โดยรอบ
บายศรีโยงสายสิญจน์เป็นรูปสี่เหล่ียม สมมติเป็นมณฑลพิธี เหนือบายศรีผูกผ้า
คาดเพดานและท่ีส�ำคัญอีกอย่างหน่ึงคือต้องเตรียมหอก ๗ เล่ม อาจเหลาเอาจาก
ไมร้ วกก็ได้
ในการร�ำแทงเข้ จะใช้ผู้ร�ำ ๗ คน โนราใหญ่สมมติเป็นไกรทองหรือนายไกร
โนราอีก ๖ คน เป็นสหาย เรม่ิ แรกโนราทัง้ ๗ คน จะเข้าอยู่ในวงมณฑลสายสญิ จน์
โนราใหญ่จุดเทยี นตรงบายศรีและท่ีครแู ล้วขบั บทเพลงโทนเนอ้ื ความเปน็ การทำ� ขวัญ
ไกรทองและการละเล่นเนื่องในพธิ ีท�ำขวัญ

องค์การบริหารส่วนตำ� บลทา่ ขา้ ม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 213

ตอนทำ� ขวญั นจ้ี ะแทรกบทเจรจาสนกุ สนาน เสรจ็ แลว้ คณะของไกรทองออกจาก
มณฑลพิธี ท�ำพิธีแช่หอกโดยร้องส่งกลอนว่า “เราออกจากมณฑลพิธี อองามเอย”
เม่ือออกจากวงสายสิญจน์ ไกรทองจะแจกหอกแก่สหาย บทแจกหอกและช่ือหอกน้ี
โนราจะวา่ บทตา่ งกนั ทพ่ี บมี ๒ สำ� นวนคอื สำ� นวนที่ ๑ จากโนราพนมศลิ ป์ อำ� เภอเมอื ง
จังหวัดสงขลาวา่
“ส่วนหอกเจา้ เกลอท้งั เจด็ คน จงึ ให้ชอ่ื ตนต่างกนั
เล่มน้ีชอ่ื ว่าศรสงั หาญ เล่มนจ้ี ะผลาญอา้ ยชาละวัน
เล่มน้ธี รณวี ัน ยังเลม่ หนงึ่ นนั้ ปราบไพรี
เล่มนชี้ ่ือว่าผลาการ เล่มนป้ี ราบมารอ้ายกุมภีล์
ลว้ นแต่มีชัยปราบไพร ี เข้าโรงพิธแี ช่สุรา
แช่เหล้าเอาไว้สกั เจ็ดวนั เข้ามณฑลกนั แล้วแช่ยา”
ส�ำนวนที่ ๒ จากโนราวิน อ�ำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ค�ำกลอนยังไม่ค่อย
ลงตัว จงึ ขอกล่าวแตช่ อ่ื หอก ๗ เล่ม คอื
๑. ฤทธพิ์ ชิ ยั ชาญ ๒. ขนุ เพชรพล ๓. ขนุ นนเทจ็ ๔. เพชรสงั หาญ
๕. หมืน่ ปราบกุมภา ๖. พิชยั สิทธิ ์ ๗. รตั นพิชัยชาญ
หลงั จากแจกหอก แชห่ อกแลว้ พอไดฤ้ กษก์ ไ็ ปหาชาละวนั ตอนนรี้ อ้ งกลอนวา่
“เสร็จแลว้ ออกจากพธิ ี จรลลี งแพพลนั
เสร็จแล้วเราลอยทงไป ชาละวนั อยไู่ หน
ขอให้ทงไปทัน ลอยทงเถิดเจา้ งามเอย”
จากนด้ี นตรที ำ� เพลงเชดิ โนรารำ� เขา้ ไปหาเขโ้ ดยเหยยี บขา้ มแพไป ทา่ รำ� ใชเ้ พลงโค
แลว้ ตอ่ ดว้ ยเชดิ ขณะเชดิ โนราจะบรกิ รรมคาถาวา่ “โอมธรณสี าร ครคู อื ผผู้ ลาญ อบุ าทว์
ใหไ้ ดแ้ ก่เจา้ ไพร จงุ ไรใหไ้ ด้แก่นางธรณี สิทธีใหไ้ ดแ้ ก่ตัวก”ู
จบบรกิ รรมคาถาแลว้ กใ็ ชห้ อกแทงลงบนเข้ โนราคนอนื่ กร็ ำ� เชน่ นจี้ บหมดทกุ คน
เสร็จแล้วโนราใหญ่ให้อนิจจัง กรวดน้�ำอุทิศส่วนกุศลให้ชาละวัน เป็นเสร็จการแทงเข้
สำ� หรับเขโ้ นราใหญจ่ ะมาว่าคาถาถอนเสนียดเพ่ือมใิ หเ้ ป็นอันตรายตอ่ ผคู้ นต่อไป

องค์การบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม

214 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

การร�ำแทงเข้ มีความขลังและศักดิ์สิทธิ์ โนราท่ีร�ำต้องท�ำพิธีให้ถูกต้อง
จะร�ำเล่นสนุก ๆ อย่างบทอ่ืน ๆ มิได้ การร�ำแทงเข้จึงหาดูได้ยาก แม้ร�ำลงครูหรือ
โนราโรงครจู ะมอี ยบู่ อ่ ย ๆ แตโ่ นรากไ็ มค่ อ่ ยอวดทา่ รำ� เพยี งแตท่ ำ� ใหถ้ กู พธิ แี ทงกนั งา่ ย ๆ
ให้พอขาดเหมรฺยเท่านนั้ (อุดม หนทู อง. ๒๕๔๒ : ๓๕๑๑ - ๓๕๑๓)
เฆีย่ นพราย
เป็นการร�ำประกอบพิธีไสยศาสตร์ของโนรา ร�ำเฉพาะ
โอกาสท่ีมีการแข่งขันกับโนราคณะอ่ืนเท่าน้ัน เป็นท�ำนอง
ตัดไม้ข่มนามโนราฝ่ายตรงกันข้ามและสร้างขวัญก�ำลังใจให้แก่
โนราในคณะของตน การร�ำเฆ่ียนพรายนับเป็นส่วนหน่ึงของ
พิธีไสยศาสตร์ ผู้ร�ำคือหัวหน้าคณะหรือโนราใหญ่ ขณะร�ำจะมี
หมอกบโรงท�ำพิธีไปพร้อม ๆ กัน
การรำ� จะเรมิ่ ขนึ้ เมอื่ กรรมการใหส้ ญั ญาณโนราใหญอ่ อกรำ� สว่ นมากใชต้ ะโพนตี
ให้สัญญาณ ทันทีท่ีสัญญาณดังข้ึน ดนตรีโนราจะท�ำการเชิด หมอกบโรงถือหม้อ
นำ้� มนตไ์ มห้ วายเฆยี่ นพราย มะนาว ๓ ผล และใบตองหรอื กระดาษเดนิ นำ� หนา้ โนราใหญ่
ออกมาถงึ กลางโรง หมอน่งั ลงบรกิ รรมคาถาลงอักขระทไ่ี มห้ วายเฆ่ียนพราย เอายอด
ใบตองกล้วยตานีหรือกระดาษมาเขียนช่ือโนราใหญ่ที่เป็นคูแข่ง ลงยันต์ม้วนให้กลม
หกั หวั ทา้ ยแลว้ ใชด้ า้ ยผกู มดั อยา่ งตราสงั สมมตเิ ปน็ ตวั ของโนราคแู่ ขง่ วางรปู นนั้ ลงบน
พนื้ โรง ขณะทห่ี มอทำ� พธิ อี ยนู่ นั้ โนราใหญร่ ำ� ทา่ เพลงโคซง่ึ มลี ลี าสงา่ งาม มอี ำ� นาจและ
เครง่ ขรมึ ร�ำไปสกั ครู่ หมอจะวางไม้หวายเฆี่ยนพรายลงกลางโรง โนราใหญ่แอน่ หลัง
จนศรี ษะจรดพน้ื เอาปากคาบไมห้ วายนน้ั ไดแ้ ลว้ กร็ ำ� เวยี นรปู นน้ั ไปรอบ ๆ รำ� ชมี้ อื ไปยงั
โนราโรงฝา่ ยตรงกนั ขา้ ม เรยี กจติ วญิ ญาณใหม้ าสงิ ทร่ี ปู ชร้ี ปู แลว้ ใชไ้ มห้ วายเฆย่ี นรปู นน้ั
พรอ้ มกระทบื เทา้ รำ� ตอ่ ไปอกี เฆยี่ นรปู และกระทบื เทา้ อกี จนครบ ๓ ครง้ั สมมตวิ า่ โนรา

ฝ่ายตรงข้ามตาย โนราพร้อมลูกคู่ก็ยืนล้อมรูปที่เฆี่ยนด้วย
อาการส�ำรวม แล้วกล่าวบทอนิจจัง จากน้ันหมอจะรับไม้
หวายเฆยี่ นพรายไว้ โนราใหญจ่ ะรำ� เหยยี บลกู มะนาวตอ่ กนั
ไปเลย โดยหมอสมมตมิ ะนาวเปน็ หวั ใจของโนราฝา่ ยตรงขา้ ม
(อดุ ม หนูทอง. ๒๕๔๒ : ๑๓๓๐)

องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 215

ครหู มอโนรา คอื ครโู นราทเี่ กง่ หรอื บรรพบรุ ษุ ของโนรา บางทเี รยี กวา่ “ครหู มอ
ตายาย” คือโนราจะนับถือทั้งครูหมอหรือครูโนราและนับถือบรรพบุรุษของตน
ซง่ึ เรยี กวา่ “ตายาย” คนภาคใต้ส่วนใหญ่มตี ายายเปน็ โนรา เพราะสมยั ก่อนนยิ มโนรา
กันมาก คนดีคนเกง่ สามารถรำ� โนราได้ ผทู้ ร่ี ำ� โนราถอื ว่าโนรามีครูแรง ใครทำ� ผิดจารีต
หรือท�ำสิ่งใดส่ิงหนึ่งไม่เหมาะ ไม่ควรจะถูก ครูหมอท�ำให้มีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา
เวลาไดร้ บั ความทุกข์ยากล�ำบากก็จะบนครูหมอซึ่งถอื เปน็ เทพทีศ่ กั ดิ์สทิ ธิ์
การบนบานของโนรามหี ลายกรณี เชน่ ถา้ ไม่ถูกเกณฑท์ หารจะแก้บนดว้ ยการ
เลน่ โรงครู ๓ วนั เปน็ ตน้ การเลน่ โรงครู ๓ วนั โนราจะเขา้ โรงวนั พธุ ตอนบา่ ยและออกใน
วนั ศกุ ร์ การเลน่ แกบ้ น จะมพี ธิ เี ซน่ ไหวแ้ ละเชอื้ เชญิ ครหู มอโนรามาเขา้ ประทบั ทรงดว้ ย
การเช้ือเชิญแล้วแต่จะเช้ือเชิญครูหมอองค์ใดมา หรือจะเช้ือเชิญหลายองค์ก็แล้วแต่
เจา้ ภาพ แตโ่ ดยทว่ั ไปครหู มอโนราจะตามระวงั รกั ษาคมุ้ ครองคณะโนราอยเู่ ปน็ ประจำ�
อยู่แล้ว เพราะทุกครั้งท่ีโนราจะแสดงต้องกาดครูต่าง ๆ ที่กล่าวถึงสืบทอดกันมา
นัน่ คอื ครูหมอ ดังตวั อยา่ ง เช่น
“เม่อื แรกเรม่ิ เดิมมา แมศ่ รมี าลาเป็นครูต้น
ขา้ มเสยี ไมร่ อด ลกู กม้ ลงลอดกไ็ มพ่ ้น
แมศ่ รีคงคาเป็นครูตน้ นอ้ งแตพ่ อ่ เทพสงิ หร
ถา้ แมส่ มคั รรกั ลูกจริง วนั นี้อวยสิงอวยพร
นอ้ งแตพ่ ่อเทพสงิ หร มานอนสอนลกู อยู่พำ� พำ� ”
อีกตอนหนงึ่ กลา่ วว่า
“ขุนพรานยาพราน ด�ำเนินเชิญท่านมาน่ังวา่
พรานบุญหนา้ ทอง ลอยแลว้ ใหล้ อ่ งกันเขา้ มา
พรานทิพพรานเทพ พรานพอ่ ขนุ ศรัทธา
หลวงสุทธิ์นายเสน หลวงคงวงั เวนครูของขา้
ร้องเชญิ พ่อหลวงสุทธิ์ ตายเมอ่ื ไปยทุ ธเมืองไชยา
จตุ ิจากเมืองฟ้า ชอ่ื เจ้าพระยาโถมน�้ำ

องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม

216 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

เล่นไหนร�ำไหนพอ่ ทรามปลอด ลูกไมส่ ู้ลอดไมส่ ูข้ า้ ม
พระยาโถมน�้ำ โฉมงามพระยาลุยไฟ
พระยาสายฟ้าฟาด ลกู น้อยจะร้องประกาศไป
พระยามอื เหลก็ พระยามือไฟ ยอดใยตาหลวงคงคอ
ลกู ชายแทนมา ชอ่ื จันทร์กรายผมหมอ”
ครูหมอโนราในบทกาดครูนี้มีครูหมอหลายองค์ ได้แก่ แม่ศรีคงคาหรือ
แมศ่ รมี าลา พอ่ เทพสงิ หร ขนุ พราน ยาพราน พรานบญุ (หนา้ ทอง) พรานทพิ พรานเทพ
พ่อขุนศรัทธา หลวงสุทธิ์ นายเสน หลวงคงวังเวน พระยาโถมน้�ำ พระยาลุยไฟ
พระยาสายฟ้าฟาด พระยามอื เหลก็ พระยามอื ไฟ ตาหลวงคงคอ (ภญิ โญ จติ ต์ธรรม.
๒๕๔๒ : ๙๒๔)
ขุนพราน พระยาพราน เป็นครูต้นของโนรา ตามต�ำนานโนรา เล่าโดย
โนราจนั ทรเ์ รอื ง กลา่ วไวต้ อนหนงึ่ วา่ “เมอื่ พระยาสายฟา้ ฟาดยกโทษใหแ้ กน่ างศรมี าลา
และใหก้ ารอปุ ถมั ภแ์ กอ่ จติ กมุ ารหรอื เทพสงิ หรหลานชายในการเลน่ โนรา เหลา่ ขนุ นาง
ก็พลอยยินดีและเข้าร่วมสนุกกับโนราด้วย ขุนนางส�ำคัญท่ีเข้าร่วมกับคณะโนรา
มี ๔ คน คือขุนวิจิตบุษบา พระยาไกรวงศา พระยาโกนทันราชาและพระยาหริตัน
ปญั ญา โดยตดิ ตามพระเทพสิงหรไปทุกหนทุกแหง่ ขุนวจิ ติ บษุ บากบั พระยาไกรวงศา
จะเลน่ บทเปน็ ตวั ตลกโดยสวมหนา้ กากพราน ผคู้ นจงึ เรยี กวา่ “ขนุ พราน พระยาพราน”
ส่วนพระยาโกนทันราชาจะแสดงการโถมน้�ำ พระยาหริตันปัญญาแสดงการลุยไฟ
โดยแสดงในชว่ งท่พี ระเทพสงิ หรหยดุ พักเหนอื่ ย ท้ังสองจงึ ได้นามวา่ “พระยาโถมน้�ำ”
และ “พระยาลยุ ไฟ” ตามลำ� ดบั
ขุนนางทั้งส่ีนี้โนรานับถือสืบมาจนปัจจุบัน แต่เป็นครูต้นชั้นปลาย ๆ ลงมา
ไมค่ อ่ ยมคี วามส�ำคญั นัก เมอ่ื โนรากาดครูเชญิ ครกู ็จะออกช่ือขุนนางทั้งสี่ด้วย
“สบิ นิ้วขา้ หรือคอื เทยี น สถติ เสถียรยอไหวไ้ ป
ยอไหวพ้ ระยาโถมน�้ำ โฉมงามพระยาลยุ ไฟ
ด�ำเนินเชญิ มาใหห้ มดสนิ้ ไหลแล้วใหเ้ ทกันเขา้ มา
ขนุ โหรญาโหรขนุ พรานญาพราน โปรดปรานเหนอื เกล้าเกศา”

องค์การบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ข้าม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 217

ในบทไหวค้ รลู ะครชาตรีกก็ ลา่ วถงึ ขุนนางทัง้ สี่ แต่เรียกพระยาลยุ ไฟเพยี้ นเปน็
พระยามือไฟ
“ขุนพรานพระยาพราน ดำ� เนนิ เชญิ ท่านมาน่งั หนา้
เล่นไหนรำ� ไหนพ่อทรามปลอด ลกู ไมส่ ูล้ อดสขู้ ้าม
โฉมงามพระยามือไฟ” (อุดม หนทู อง. ๒๕๔๒ : ๗๔๙ - ๗๕๐)
ขุนศรัทธา หรือขุนศรีศรัทธา เป็นชื่อที่ปรากฏในต�ำนานโนราและได้รับ
การยอมรับนับถือว่าเป็นครูต้นของโนราสืบมาจนปัจจุบัน เยี่ยมยง สุรกิจบรรหาร
ให้ความเห็นเกี่ยวกับ ค�ำว่า “ขุนศรัทธา” ว่า “เป็นต�ำแหน่งครูเถ้าโนรา” แต่ค�ำว่า
“ขุน” ท่ีใช้น�ำหน้านามน้ี “เทวสาโร” กล่าวไว้ในหนังสือเทพสารบรรพ ๒ ว่า “หาใช่
ขุน-หลวง-พระ-พระยา สมัยรัตนโกสินทร์ม่าย แต่เป็นขุนชนิดต�ำแหน่งพ่อเมือง
อย่างขุนรามค�ำแหงทีเดียว แต่ขุนศรัทธามีอาวุโสกว่าขุนรามค�ำแหงเพราะสมัยของ
ขนุ ศรทั ธานัน้ มากอ่ น”
ตามต�ำนานโนรากล่าวถึงขนุ ศรทั ธาคนแรกไว้เป็น ๒ กล่มุ ใหญ่ ๆ กลุม่ หนึง่ ว่า
มมี ารดาชอ่ื นางสำ� ลหี รอื นวลทองสำ� ลี สว่ นบดิ ายงั ขดั แยง้ กนั อยู่ เพราะบางตำ� นานวา่
นางนวลสำ� ลตี งั้ ครรภเ์ พราะกนิ เกสรบวั บางตำ� นานวา่ ตง้ั ครรภก์ บั พระเทพสงิ หรซงึ่ เปน็
พี่ชาย และบ้างว่าต้ังครรภ์กับเจ้าชายอู่ทอง เมื่อนางนวลส�ำลีตั้งครรภ์เป็นขุนศรัทธา
บดิ าของนางเหน็ วา่ เปน็ เรอ่ื งอปั ยศจงึ เนรเทศโดยการลอยแพเรอื ไปตดิ เกาะกะชงั และ
ได้คลอดบุตรที่น่ัน บุตรของนางบ้างว่าช่ือ “ราม” บ้างว่าช่ือ “อจิตกุมาร” บ้างว่าชื่อ
“ทองอู”่ และบ้างว่าช่ือ “นอ้ ย” ครนั้ เติบโตขึน้ ไดเ้ รียนรำ� โนราจากมารดาและได้ไปร�ำ
ยังเมืองของตา ครั้นพบกับตาก็ได้รับการอุ้มชูให้มีต�ำแหน่งเป็นหัวหน้าคณะโนราชื่อ
ขุนศรัทธา
แต่อีกกลุ่มหนึ่งว่า ขุนศรัทธาเกิดจากเทวดาชุบขึ้นเพ่ือให้เป็นครูสอนโนราให้
พระเทพสิงหรบุตรนางนวลทองส�ำลี เก่ียวกับขุนศรัทธาคนแรก เทวสาโร วินิจฉัยว่า
เป็นบุตรของนางนวลทองส�ำลีกับเจ้าชายอู่ทอง บุตรเจ้าเมืองท่ีต้ังอยู่ต�ำบลท่าแค
อ�ำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง มีชื่อ “ราม” ได้บรรดาศักด์ิเม่ือมีการฉลองเมืองพัทลุง
ท่ีสร้างขึ้นใหม่ท่ีบางแก้ว ขุนศรัทธาได้สร้างพระเจดีย์ที่วัดสทัง ต�ำบลหานโพธิ์
อ�ำเภอเขาชยั สน

องค์การบริหารสว่ นต�ำบลท่าข้าม

218 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

ตามค�ำบอกเล่า ขุนศรัทธา (ราม) สอนโนราอยู่ท่ีท่าแคอันเป็นเมืองของบิดา
จึงไดส้ ร้อยนามว่า “ศรทั ธาทา่ แค” เม่ือไมน่ านมานี้โนราจงึ ไดร้ ่วมกันสรา้ งรปู โนราขนุ
ศรัทธาประดิษฐานไวท้ ศี่ าลาในวัดทา่ แคและทุกปจี ะมีการจดั พธิ ไี หว้ครู ณ ศาลาแหง่ น้ี
นอกจากขนุ ศรัทธา (ราม) แล้วตอ่ มามีผู้รบั ตำ� แหนง่ น้ีสืบต่อมาอกี
“คร้ันถงึ โรงลกู จะยอไหวค้ ุณ หารือพ่อขุนศรัทธา
ศรัทธาแยม้ ศรัทธาราม โฉมงามเบกิ หน้าชายตา
ศรทั ธาแยม้ ศรัทธาขุ้ย เอน็ ดูลกู นุ้ยทูนหวั อา”
ขุนศรัทธา (แย้ม) และขุนศรัทธา (ขุ้ย) ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครได้ต�ำแหน่ง
กอ่ นหลงั แตม่ ตี ำ� นานเลา่ วา่ ขนุ ศรทั ธาแยม้ ไดต้ งั้ วดั โคกแยม้ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั พทั ลงุ
รกรา้ งมาถึง พ.ศ. ๒๔๗๗ เรียกเพ้ียนเปน็ วดั โคกแย้ (อุดม หนทู อง. ๒๕๔๒ : ๗๕๐)
หัวพราน
หัวพรานหรือหน้าพราน หมายถึง หน้ากากที่ตัวพราน
ของโนราใช้ครอบหน้าเวลาออกแสดงในตอนที่เรียกว่า “จับบท
ออกพราน” หวั พรานทำ� ดว้ ยไมท้ เ่ี ปน็ มงคลโดยมากเลอื กไมท้ ม่ี ชี อื่
พอเอาเปน็ เคลด็ เชน่ ไมย้ อ ไมพ้ ดู โดยถอื เอานามไมว้ า่ “พดู แลว้
คนยอ” นอกจากไมน้ แ้ี ลว้ อาจเปน็ ไมม้ งคลอน่ื ๆ นำ� ไมด้ งั กลา่ วมา
แกะเป็นหน้าคนให้ครอบหน้าลงพอดี เจาะรูตาเพ่ือให้มองลอด
ออกมาได้ รูปหน้ามีลักษณะแก้มโหนก จมูกยาว ฟันหักและมักมีเลี่ยมฟันทองหรือ
ฟันเงิน ส่วนหัวติดด้วยแผ่นขนห่านสีขาวเพื่อเอาเคล็ดว่า “กล้าหาญ” หรืออาจจะ
ใช้ขนสัตว์ที่มีสีอย่างผมคนแก่และส่วนของใบหน้าจะทาชาด หัวพรานท่ีดีเม่ือดูแล้ว
จะรสู้ กึ ขบขนั และเมอ่ื แสดงตวั พรานจะตอ้ งพดู จาและแสดงทา่ ทางตลกขบขนั เมอ่ื แกะ
หน้าพรานเสร็จก็จะส่งให้หมอเบิกหู เบิกตาและเบิกปาก จากน้ัน จึงน�ำหัวพรานเข้า
ในพธิ ีโนราลงครู เรียกว่า “เขา้ ครู” เปน็ เสร็จพธิ ี น�ำไปใชแ้ สดงได้ (ภญิ โญ จิตตธ์ รรม.
๒๕๔๒ : ๘๕๘๐ - ๘๕๘๔)

องค์การบริหารสว่ นตำ� บลท่าขา้ ม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 219

พระเทพสิงหร หรือเทพสิงสอน เป็นครูต้นโนราองค์หน่ึง ปรากฏประวัติ
ในต�ำนานโนราต่างกันเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มหน่ึงว่า เป็นพี่ชายของนางนวลส�ำลี ต่อมา
ถูกบิดาเนรเทศลอยแพออกจากเมือง สาเหตุ บ้างก็ว่าเพราะได้เสียกับนางนวลส�ำลี
จนนางตั้งครรภ์ บ้างก็ว่าไม่สนใจราชการงานเมืองสนใจแต่ร่ายร�ำ พอดีนางนวลส�ำลี
เกิดท้องโดยไม่มีพ่อจึงถูกเนรเทศไปพร้อมกันไปอยู่เกาะกะชังในทะเลสาบสงขลา
ภายหลังได้รับอภัยโทษและได้กลับบ้านเมือง อีกกลุ่มหน่ึงว่า เทพสิงหรเป็นชื่อของ
“อจิตกุมาร” บุตรนางนวลส�ำลีที่พระยาสายฟ้าฟาดผู้เป็นตาต้ังให้ใหม่ พร้อมกับ
นางนวลส�ำลีผู้เป็นมารดาเปลี่ยนเป็นศรีมาลาเพราะอจิตกุมารร�ำโนราโดยเทพดาล
ดลใจให้ร�ำ ขณะร�ำดูเงาตนเองในน�้ำแล้วปรับปรุงท่าร�ำจนงดงาม เทวสาโรกล่าวถึง
เทพสิงหรไว้ในหนังสือสารบรรพ ๒ ว่า ตอนที่ถูกลอยแพได้คุ้นเคยกับภูมิประเทศ
ทางด้านทะเลสาบสงขลาฝั่งตะวันออกเป็นอย่างดีเม่ือได้รับอภัยโทษจากบิดาแล้ว
จงึ ไดไ้ ปปกครองเมอื งนพิ ทั ธสงิ ห์ (เขาพะโคะ อำ� เภอสทงิ พระ จงั หวดั สงขลาในปจั จบุ นั )
และไดส้ ร้างพระธาตทุ ว่ี ัดสทิงพระเพือ่ ล้างบาปท่ีไดก้ ระท�ำผดิ พลาดไป
โนราในภาคใตน้ บั ถอื ครตู น้ ตา่ งกนั เปน็ ๒ สาย คอื สายทะเลสาบสงขลาฝง่ั ตะวนั ตก
นับถือนางศรีมาลาเป็นใหญ่ สายทะเลสาบสงขลาฝั่งตะวันออกนับถือพระเทพสิงหร
เปน็ ใหญ่ เพราะพระเทพสงิ หรได้มาเป็นใหญอ่ ยฝู่ ั่งตะวนั ออก
โนราถอื ว่าพระเทพสิงหรเปน็ ครูต้นชัน้ เทพ เวลารอ้ งเชิญใหม้ าเข้าทรงจงึ เชิญ
ล�ำดับต้น ๆ จะเชิญหลังจากครูชั้นราษฎร์อย่างตาพรานบุญไม่ได้. (อุดม หนูทอง.
๒๕๔๒ : ๓๔๙๓)

โนราในชุมชนทา่ ข้าม
โนราในชุมชนท่าข้ามมีมาแต่สมัยโบราณ ร่วมสมัยกับโนราภาคใต้อย่างน้อย
สมัยโนราพุ่ม เทวาหรือขุนอุปถัมภ์นรากร เช่น โนราคล้าย แก้วสัตยา ที่เคยแข่งกับ
โนราพมุ่ เทวา ตามบทโนราทค่ี นรนุ่ หลงั จำ� ไดข้ น้ึ ใจวา่ “คลา้ ยพระกาฬ ผลาญพมุ่ เทวา”
หมายถงึ โนราคลา้ ยเคยแขง่ ขนั เอาชนะโนราพมุ่ เทวา มาแลว้ กอ่ นหนา้ นนั้ กม็ โี นราบญุ แกว้
ทองสมสี อาจารยข์ องโนราคลา้ ย โนรายอดพอ่ ของโนราเอยี ด โนราเอยี ดพอ่ ของโนราคลา้ ย
ตามมาด้วยโนราชุม แก้วสัตยา โนราคล้อย (ชาวบ้านเรียกโนราเงาะเพราะผมหยิก
เหมือนเงาะซาไกหรือเซมังหรือมันนิ) ลูกของโนราคล้าย โนราอินแก้ว ทองสมสี

องค์การบริหารส่วนต�ำบลทา่ ขา้ ม

220 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

บุตรบญุ ธรรมของโนราบุญแก้ว ทองสมสี โนราไข่แก้ว โนรารักษ์ ไชยภักดี โนราเรือง
ทองสมสี พอ่ ของหนงั แชม่ ทองสมสี โนราสนี นุ่ รตั นะนพุ งศ์ และโนราอรณุ แกว้ สตั ยา
เปน็ ตน้
โนราคลา้ ย แก้วสตั ยา

โนราคล้าย แก้วสัตยา เทริดโนราคล้าย แก้วสตั ยา เครื่องแตง่ ตัวโนราคล้าย แก้วสตั ยา

นายคล้าย แก้วสัตยา เป็นลูกศิษย์ของโนราบุญแก้ว ทองสมสี เป็นพ่อของ
โนราชมุ แกว้ สตั ยา ปขู่ องโนราอรณุ แกว้ สตั ยา มภี รรยาชอื่ นางจดี ชาวอำ� เภอนาหมอ่ ม
บ้านทุ่งโตนด โนราคล้ายเป็นลูกโนราเอียด โนราเอียดเป็นลูกโนรายอด สืบมรดก
ทายาทโนรามาหลายช่ัวอายุคน ทั้งหมดตอนน้ีกลายเป็นครูหมอโนราหมดแล้ว คือ
ต้องกาดถึงทุกครง้ั ทีม่ กี ารรำ� โรงครู
นามสกุล “แก้วสัตยา” ไม่แนว่ า่ โนราคล้ายหรอื โนราเอียดไปร�ำทจ่ี วนข้าหลวง
ตอนที่เขาท�ำพิธดี ืม่ นำ้� สาบานหรือดม่ื น�้ำพระพิพัฒนส์ ัตยา ทกุ คณะเปน็ ทัง้ โนราลงครู
และโนราแสดงในงานตา่ ง ๆ ทงั้ งานนาค งานแกบ้ น ทกุ งานรบั หมด รำ� บนดนิ ไมป่ ลกู
โรงยกพืน้ แบบปัจจุบัน โนรารำ� บนโรงยกพนื้ เพ่งิ มสี มยั โนราเตมิ เมืองตรัง ตอ่ มามีการ
กางแชงทที่ ำ� จากเตยแชง เล่นผี เฆี่ยนพราย โนราคล้าย แก้วสตั ยาอยู่ในยคุ เดียวกับ
โนราพุ่ม เทวา แหง่ บ้านทะเลน้อย อำ� เภอควนขนนุ จังหวัดพทั ลุง
แต่ก่อนมีค�ำกล่าวเกี่ยวกับโนราคล้ายและโนราพุ่ม เทวา (ขุนอุปถัมภ์นรากร)
ว่า “คล้ายพระกาฬ ผลาญพุ่ม เทวา” หมายความว่าโนราคล้ายแข่งชนะโนราพุ่ม
เทวา โนราพมุ่ เคยถกู ทำ� คณุ ไสยทว่ี ดั ทา้ ยเสาะหรอื วดั ทา้ ยยอ ตำ� บลเกาะยอ อำ� เภอเมอื ง
จังหวัดสงขลา ร�ำได้แต่ว่าบทไม่ได้ เพราะถูกคู่แข่งท�ำโดยการเหยียบปากคางคกแล้ว
เสกคาถากำ� กับ

องค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบลทา่ ขา้ ม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 221

พรานของโนราคล้าย แก้วสตั ยาชอื่ พรานพรหม ปัจจุบนั หน้าพรานเกบ็ รกั ษา
ไว้ที่บา้ นโนราอรุณ แก้วสัตยา ผสู้ บื ทอด

หน้าพรานของโนราคลา้ ย โนราชมุ และโนราอรุณ แก้วสัตยา

โนราคลา้ ย แกว้ สตั ยา มลี กู ศษิ ยค์ อื โนราชมุ แกว้ สตั ยา โนราคลอ้ ย แกว้ สตั ยา
ทั้งสองคนเป็นลูกชายของโนราคล้ายเอง และโนราเย่ือง บ้านบนเขา ต�ำบลน้�ำน้อย
อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา
โนราบุญแก้ว ทองสมสี
เปน็ อาจารยข์ องโนราคลา้ ย แกว้ สตั ยา มลี กู บญุ ธรรมคอื โนราอนิ แกว้ เปน็ คนแมเ่ ตย
แต่งงานกับนางสีชาวบ้านท่าจีน ท่านางหอม ไม่มีลูกเลยขอเด็กชายอินแก้ว ศรีมณี
ลกู นายบา้ นสที องกบั นางลม้ิ มาเลยี้ งเปน็ บตุ รบญุ ธรรมและฝกึ หดั ใหร้ ำ� โนราตงั้ เปน็ คณะ
“โนราอนิ แกว้ ศร”ี โนราบุญแก้ว ทองสมสีเปน็ พ่ีชายของโนราเรอื ง ทองสมสี พ่อของ
หนงั แชม่ ทองสมสี บ้านแม่เตย
โนราอินแก้ว ทองสมสี
นายอินแก้ว ทองสมสี เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๗๑
ที่บ้านท่าจีน ต�ำบลน้�ำน้อย อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
เปน็ บตุ รบญุ ธรรมของโนราบญุ แกว้ กบั นางสซี ง่ึ เปน็ ปา้ เปน็ บตุ ร
ของนายบา้ นสที อง ศรมี ณี บา้ นทา่ นางหอม แมช่ อื่ นางลม้ิ ชาวบา้ น
อตู่ ะเภา อำ� เภอหาดใหญ่ ชาวทา่ นางหอม บา้ นทา่ จนี ตำ� บลนำ�้ นอ้ ย
อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวดั สงขลา หัดโนรากบั โนราบญุ แกว้ ตง้ั แต่ โนราอนิ แก้ว
เป็นเด็ก มีพี่น้อง ๖ คน คือ นางก้ิมฉ้ิน (ปัจจุบันอายุ ๑๐๔ ปี อยู่ที่บ้านแหลมดิน)
ครนู วล ครูศรีทัด อ่�ำ เล่ียง มบี ตุ รคนเดยี วคอื นางถาวร ปัจจุบันอายุ ๗๐ ปี

องค์การบริหารส่วนตำ� บลท่าขา้ ม

222 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

จบชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๔ ทโ่ี รงเรยี นวดั แมเ่ ตย ตำ� บลทา่ ขา้ ม อำ� เภอหาดใหญ่
จังหวดั สงขลา ไม่ได้เรียนตอ่ ในระดับสงู ขึน้ เพราะเป็นโรคหดื หอบตั้งแตเ่ ล็ก ๆ จงึ หัน
มาหัดโนรากับพ่อบุญธรรมคือโนราบุญแก้ว ตั้งคณะชื่อ “คณะอินแก้วศรี” มีพราน
คือพรานสีนุ่น บ้านบ่อโพธิ์ โนราร่วมคณะคือโนราเยื่อง บ้านบนเขา ต�ำบลน้�ำน้อย
อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา (เพิ่งเสียชีวิตเม่ือเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๔) มีนางร�ำ
ประจำ� คณะได้แก่ นางหมดิ บา้ นเขาแกว้ ปัจจุบนั อายุ ๙๐ ปี ยังเดนิ ไปไหนมาไหนได้
อีกท่านหน่งึ คือโนราชม บ้านนำ้� น้อย
โนราอินแก้วเสยี ชวี ติ เม่อื ปี ๒๕๖๐ สิริรวมอายุ ๘๙ ปี ดว้ ยโรคต่อมลกู หมาก
อกั เสบ ฌาปนกจิ ทฌ่ี าปนสถานวดั แมเ่ ตย ตำ� บลทา่ ขา้ ม อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา
และลกู หลานนำ� กระดกู ไปบรรจไุ วใ้ นบัวทว่ี ดั แม่เตยจนปัจจบุ ัน หลงั จากนั้นโนราขอม
เปน็ ผสู้ บื ทอดมรดกจากโนราอนิ แกว้ แตม่ ามปี ญั หาในตอนหลงั ลกู ศษิ ยช์ อื่ อรรถพร บวั ชน่ื
ชาวท่านางหอมจึงเข้ามาสืบทอดแทนจนปัจจุบัน (นางถาวร ลูกสาว บ้านเลขท่ี ๕๒
หมู่ที่ ๑ บ้านแม่เตย ต�ำบลท่าข้าม อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ให้สัมภาษณ์
นายจรญู หยทู อง วนั ท่ี ๔ มถิ นุ ายน ๒๕๖๔ และนายชาญณรงค์ คงฉมิ ผเู้ สรมิ ขอ้ มลู )

โนราไข่แก้ว
เป็นลุงของเจ้าอาวาสวัดแม่เตยรูปปัจจุบันเป็นศิษย์โนราคล้าย แก้วสัตยา
ไปตง้ั คณะโนราทอ่ี �ำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ยา้ ยไปอยู่บา้ นโหนด อำ� เภอสะบา้ ย้อย

โนราเรือง ทองสมสี
โนราเรือง ทองสมสี เป็นน้องชายของโนราบุญแก้ว ทองสมสี เป็นพ่อของ
หนังแช่ม ทองสมสี บ้านแม่เตย ต�ำบลท่าข้าม อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
เปน็ นางรำ� ร่วมคณะกับโนราบญุ แกว้ ทองสมสี

โนราสีน่นุ รัตนะนุพงศ์
“โนราสีน่นุ ตาหลุนหัวฉอก หนั ไปปละออกเห็นรอกหวั หกั ”

บทกลอนโนราข้างต้นลือกันท่ัวหมู่บ้านย่านต�ำบลว่า เป็นบทกลอนปฏิภาณ
ทโ่ี นราสีนนุ่ กล่าวถึงบคุ ลิกของตวั เองว่าเป็นคน “ตาหลนุ หวั เถกิ ” และเลน่ คำ� ผวนล้อ
นายบ้านรกั ษ์ซึง่ เป็นคนผมขาวเพราะผมหงอกว่า “เหน็ รอกหัวหัก” แปลว่า “เห็นรกั ษ์
หัวหงอก” นัน่ เอง

องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 223

เทรดิ โนราสนี ุ่น หางหงสโ์ นราสนี ุน่ เครือ่ งแต่งตวั โนราสีน่นุ

นายสนี นุ่ รตั นะนพุ งศ์ เกดิ ทหี่ มทู่ ี่ ๓ ตำ� บลทา่ ขา้ ม อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา
มารดาชอ่ื นางพุดแก้ว มีภรรยาช่อื นางบุญจันทร์ มพี ี่น้องรว่ มบิดามารดาคอื นางนุ่ม
นางนม่ิ นายสนี นุ่ นายเอยี ด นางสขุ และพนี่ อ้ งตา่ งมารดาคอื นางทง้ิ ไมไ่ ดเ้ รยี นหนงั สอื
ในระบบ หัดโนรากับโนราบุญแก้ว มีพรานร่วมคณะคือนายทองพรานพ่ีของแม่ยาย
หนังพนั ลูกชายของโนราสีนนุ่ ช่อื นางพุดแก้วเหมือนกัน
อ.สนิท บุญฤทธ์ิ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏ อดีตผู้อ�ำนวยการ
สำ� นกั ศลิ ปะและวฒั นธรรม เคยเลา่ ไวใ้ น “หนงั กนั้ สะหมอ้ กบั โนราสนี นุ่ ” วา่ “โนราสนี นุ่
เปน็ คนบา้ นทา่ ขา้ ม ใกลบ้ า้ นควนหนิ ตดิ เขตอำ� เภอหาดใหญ่ เคยไปเลน่ ทบ่ี า้ นสะกอม
อำ� เภอจะนะ จงั หวดั สงขลา บา้ นบงั สะหมอ้ สะหมอ้ มาดโู นราสนี นุ่ แลว้ พดู ออกมาวา่
“ออ ๆ …น่ีเสียงหรอยนะ แตพ่ อขับฟังไกล ๆ เสียงเหมือนโลกหมา”
โนราสนี นุ่ ไมไ่ ดเ้ สยี งดอี ยา่ งเดยี วทา่ รำ� สวยดว้ ย จนสะหมอ้ ตดิ ใจ เมอ่ื โนราสนี นุ่
รำ� ท่าเขาควาย สะหม้อตาค้าง ตะโกนบอกโนราสีนุ่นว่า
“โนราสีนนุ่ โนราสนี ุ่น รำ� ทา่ เขาควายสกั ทกี ่อนถี”
โนราสนี นุ่ รำ� ทา่ เขาควายอกี คร้ัง สะหม้อตะโกนบอกวา่
“เออ เออ โนราสนี นุ่ อยา่ เอาลงก่อน อยา่ เอาลงกูอไี้ ปพาเมียมาแลกอ่ น”
โนราสีนุ่นต้องคา้ งทา่ เขาควายไว้จนสะหม้อพาเมยี มาชมบอกเมยี วา่
“แลตะ โนราสนี ่นุ รำ� ทา่ เขาควาย ทา่ เขาควายโนราสนี ุน่ นะหมงึ จ�ำไว้“ พูดจบ
หนั มาบอกโนราสีนุ่นว่า “ฮาเอาลงตา้ ๆ ” (สนทิ บุญฤทธ.์ิ ๒๕๔๓ : ๘๑ - ๘๘)
แสดงว่าโนราสีนุ่นมีช่ือเสียงโด่งดังแถวอ�ำเภอจะนะตั้งแต่สมัยบังสะหม้อ
ตัวตลกของหนังพลัด อ่างทอง หนังเล่ือน พานยาว หนังเล่ือน พานสูง (เพ่ือนของ
หนังเลื่อน พานยาว) หนังกั้น ทองหล่อและหนังแช่ม ทองสมสี (ลูกศิษย์ หนังเล่ือน
พานสงู ) ยังมชี ีวติ อยู่

องค์การบริหารส่วนต�ำบลทา่ ข้าม

224 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

โนราสนี นุ่ เปน็ เพ่อื นของกำ� นันนทองเสน เปน็ คนหนงั เหนียว อยู่ยงคงกระพัน
เสยี ชวี ติ ไปนานมากแลว้ ตอนนเ้ี ปน็ ครหู มอลงทนี่ างทงิ้ หนา้ พรานของนายทองพราน
ตอนนี้อยู่ที่บ้านโนราอรุณ แก้วสัตยา หลานของโนราสีนุ่นเอาไปให้นายอรุณ เทริด
และเครอ่ื งแต่งกายเก็บรกั ษาไว้ท่บี ้านนางยอง ลูกสาวหนังพนั รัตนะนุพงศ์ บ้านปีก/
โคกพะยอม ต�ำบลท่าข้าม อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา (นางยอง อายุ ๗๒ ปี
บา้ นเลขท่ี ๔ บา้ นปกี /โคกพะยอม หมทู่ ่ี ๔ ตำ� บลทา่ ขา้ ม อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา
ผู้บอกข้อมูลแก่นายจรญู หยูทอง เมื่อ ๔ มถิ นุ ายน ๒๕๖๔)

โนรารักษ์ ไชยภักดี

เทริดโนรารกั ษ์ ไชยภักด ี เทรดิ และหนา้ พรานโนรารกั ษ์ หน้าพรานโนรารกั ษ์ ไชยภักดี

โนรารักษ์ ไชยภักดี เกิดท่ีบ้านหินเกลี้ยง จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จาก
โรงเรยี นวดั หนิ เกลย้ี ง บวชทว่ี ดั หนิ เกลย้ี ง ตำ� บลทา่ ขา้ ม อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา
แตง่ งานกบั นางสมี าก คนบา้ นหนิ เกลย้ี ง มบี ตุ ร ๒ คน คอื นายลี่ ไชยภกั ดี เสยี ชวี ติ แลว้
นายน่าน ไชยภักดี เสียชีวิตแล้ว นายลี่ ไชยภักดี สืบทอดการร�ำโนราอยู่ระยะหนึ่ง
หลังจากโนรารักษ์เสยี ชีวติ ไปเม่อื ประมาณ ๕๐ กว่าปีที่ผา่ นมา

นายรักษ์ ไชยภักดี แสดงโนราในยุคท่ีมีค่าราดการแสดงครั้งละ ๓๐๐ บาท
เดนิ ทางหาบเคร่ืองดนตรีและเคร่ืองแตง่ กายโนราในสมยั ที่ยังเดนิ เท้า

ชีวิตของนายรักษ์ ไชยภักดี กลายเป็นอนุสติเตือนใจให้ลูกหลานได้ตระหนัก
โดยลกู หลานบางคนเลา่ วา่ โนรารกั ษ์ ไชยภกั ดี นยิ มชมชอบเลน่ การพนนั ชนววั เหมอื น
หนมุ่ ใหญว่ ยั ฉกรรจใ์ นยคุ นน้ั จนบางครง้ั ตอ้ งเปน็ หนเ้ี ปน็ สนิ ถงึ กบั จำ� นำ� ทน่ี าเพอ่ื จา่ ยคา่
พนนั ววั ทำ� ใหล้ กู ๆ หลาน ๆ รนุ่ ตอ่ มาไมก่ ลา้ เลน่ การพนนั เพราะ
เหน็ บทเรยี นจากพอ่ หรอื ปวู่ า่ การพนนั ไมเ่ ปน็ ผลดที ง้ั ตอ่ ตวั เองและ
ครอบครัว

ปัจจุบันเทริด หน้าพรานและเคร่ืองแต่งกายโนรารักษ์ โนราล่ี ไชยภักดี
ไชยภกั ดี เกบ็ รกั ษาไวท้ บี่ า้ นนายล่ี ไชยภกั ดี บตุ รชายทเี่ คยสบื ทอด
การร�ำโนรา

องคก์ ารบรหิ ารส่วนต�ำบลทา่ ขา้ ม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 225

โนราทงั้ หมดขา้ งตน้ ตอนนเ้ี ปน็ ครหู มอหมดแลว้ คอื ตอ้ งกาดถงึ ตอนไหวค้ รโู นรา
และเครอ่ื งดนตรี เทรดิ หนา้ พรานและเครอื่ งแตง่ กายโนราเกบ็ รกั ษาไวท้ บ่ี า้ นลกู หลาน
ตามฐานะของแต่ละคน ของโนราคลา้ ย โนราชุม เกบ็ รักษาไวท้ บ่ี า้ นโนราอรุณซงึ่ เป็น
ผู้สืบทอดทั้งการเล่นโนราโรงครู การแก้บนและอื่น ๆ ตามแบบทวดคือโนราคล้าย
แก้วสัตยาและปู่คือโนราชุม แก้วสัตยา ของโนรารักษ์ ไชยภักดี เก็บรักษาไว้ท่ีบ้าน
โนราลี่ ไชยภักดี เม่ือโนราล่ีถึงแก่กรรมภรรยาเป็นคนดูแล ของโนราอินแก้วหรือ
โนราแกว้ ศรี อยทู่ บ่ี า้ นนางถาวร ทองสมสี ลกู สาวคนเดยี วของโนราอนิ แกว้ ของโนราสนี นุ่
อยู่ท่ีบ้านนางยอง ลูกสาวหนังพันหรือโนราพัน รัตนนะนุพงศ์ซึ่งเป็นหลานสาว
สว่ นหนา้ พรานของทองพรานพรานประจำ� คณะโนราสนี นุ่ อยทู่ บี่ า้ นโนราอรณุ แกว้ สตั ยา

โนราชุม แกว้ สตั ยา
โนราชุม แกว้ สัตยา เป็นลูกของโนราคลา้ ย แกว้ สัตยากบั
นางจดี ชาวบา้ นทงุ่ โหนด อำ� เภอนาหมอ่ ม จงั หวดั สงขลา มพี น่ี อ้ ง
ทง้ั หมด ๓ คน คอื โนราชมุ นางปลอด เจรญิ มาก และโนราเงาะหรอื
โนราคลอ้ ย แก้วสัตยา ภรรยาชื่อนางกลนิ เพชรขาว ลกู พี่ลกู นอ้ ง
กับครูมนัส เพชรขาว เป็นลูกและลูกศิษย์โนราคล้าย แก้วสัตยา
อยู่คณะเดียวกันมาจนส้ินโนราคล้ายก็สืบทอดมรดกโนราเป็น เทริดโนราชมุ แก้วสัตยา
หวั หนา้ คณะ มพี รานประจำ� คณะชอ่ื พรานเคลา้ คนบา้ นเดยี วกนั ถา้ วนั ไหนพรานเคลา้
ตดิ ภารกจิ ไปรว่ มแสดงไมไ่ ดโ้ นราเงาะทำ� หนา้ ทอ่ี อกพรานแทนพรานเคลา้ เพราะโนราชมุ
ถือวา่ ตวั เองเป็น “เจ้าเมือง” หรือหัวหน้าคณะจงึ ไม่ยอมออกพราน
โนราชมุ มบี ตุ ร ๓ คน คอื นายเรยี ง แกว้ สตั ยา ครเู ชวงศกั ดิ์ แกว้ สตั ยา (ปจั จบุ นั
อยสู่ ะเดา อายปุ ระมาณ ๘๐ ป)ี และนางนอ้ ย

โนราชุมเสียชีวติ ด้วยโรคชราเมือ่ ๒๐ กว่าปมี าแลว้ สริ ิรวม
อายไุ ด้ ๘๕ ปี ขณะยงั เลน่ โนราอยกู่ ัโนราอรุณ แก้วสตั ยาซง่ึ เป็น
หลานชาย พอสน้ิ โนราชมุ โนราคลอ้ ยหรอื โนราเงาะกม็ าอยปู่ ระจำ�
ในคณะโนราอรุณ แก้วสัตยา เพราะอายุมากแล้ว
มรดกของโนราชมุ แกว้ สตั ยา ที่สืบทอดมาจากโนราคล้าย
ผพู้ อ่ ทง้ั หมดกต็ กเปน็ มรดกตกทอดมายงั โนราอรณุ แกว้ สตั ยา หลานปู่
โนราชมุ และพราน จนปจั จบุ นั น้ี ทง้ั เทรดิ หนา้ พราน เครอื่ งแตง่ ตวั และเครอื่ งดนตรโี นรา

องคก์ ารบริหารส่วนตำ� บลทา่ ขา้ ม

226 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

โนราคลอ้ ย แก้วสตั ยา

โนราคลอ้ ย แกว้ สตั ยาหรอื ทชี่ าวบา้ นเรยี กวา่ “โนราเงาะ” เพราะผมหยกิ เหมอื นเงาะ
เปน็ ลกู ของโนราคลา้ ย แกว้ สตั ยา เปน็ นางรำ� อยรู่ ว่ มคณะโนราคลา้ ย แกว้ สตั ยาผเู้ ปน็ พอ่
โนราชุม แก้วสัตยา ผู้เป็นพี่และโนราอรุณ แก้วสัตยา ผู้เป็นหลานและออกพราน
แทนพรานเคล้าของโนราชมุ ในบางโอกาส
โนราอรณุ แก้วสตั ยา
นายอรุณ แก้วสัตยา เกิดเม่ือวันท่ี ๑๑
กนั ยายน ๒๕๐๖ ทบ่ี า้ นนาหลา หมทู่ ่ี ๘ ตำ� บลทา่ ขา้ ม
อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา ปจั จบุ นั อยบู่ า้ นเลขท่ี
๑๔/๑ หมู่ที่ ๘ ต�ำบลท่าข้าม อ�ำเภอหาดใหญ่
จงั หวดั สงขลา เปน็ บตุ รนายเรยี ง นางจัด แกว้ สัตยา
อาชพี คา้ ขาย เปน็ บตุ รคนเดยี วของครอบครวั สมรส
กบั นางอไุ ร ทองสมสี ลกู สาวของหนงั แชม่ ทองสมสี
บ้านแม่เตย มีบตุ ร ๒ คนคือ นางสาวเยาวลักษณ์ และนายมนตรี แกว้ สัตยา
จบการศึกษาช้ันประถมศึกษาปีท่ี ๔ จากโรงเรียนวัดท่าข้าม จบการศึกษา
ช้ันประถมศึกษาปีที่ ๗ จากโรงเรียนวัดหินเกลี้ยง จบช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๓ จาก
โรงเรียนธรรมโฆษติ อำ� เภอนาหม่อม จังหวัดสงขลา จบประกาศนยี บัตรวิชาชีพและ
ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชนั้ สงู จากวทิ ยาลยั เกษตรกรรมสงขลา อำ� เภอรตั ภมู ิ จงั หวดั สงขลา
จากความสนใจในด้านการแสดงโนราท�ำให้สนใจศึกษาเครื่องแต่งกายโนรา
แบบโบราณมาผสมผสานกับงานประกระดาษลายไทยประดิษฐ์เป็นเครื่องแต่งกาย
โนรา เชน่ ปน้ั เหนง่ ทับทรวง ปีกนกแอ่น จบั ปง้ิ ให้แกโ่ นราคณะตา่ ง ๆ

องค์การบริหารสว่ นต�ำบลทา่ ข้าม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 227

รำ� โนราโรงครโู ดยเรม่ิ หดั รำ� โนรากบั โนราคลา้ ย พระกาฬ (แกว้ สตั ยา) ผเู้ ปน็ ทวด
เม่ืออายุ ๗ ขวบ และฝึกหัดร�ำโนรากับโนราชุม แก้วสัตยา ผู้เป็นปู่ (ลูกโนราคล้าย)
และโนราเงาะหรอื โนราคลอ้ ย (ลกู โนราคลา้ ย) บา้ นทา่ ขา้ ม ไดร้ บั การผกู ผา้ ครอบเทรดิ
เป็นโนราเต็มตัว เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙ ปัจจุบัน ช่างอรุณหรือโนราอรุณ แก้วสัตยา
เป็นนายโรงเองหลงั จากโนราชมุ ถึงแกก่ รรม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๓ และยังคงรับงานโนรา
โรงครูแกบ้ น ตามที่ตา่ ง ๆ อยู่เป็นประจำ� ทกุ ปี
ทายาทผูส้ บื ทอดศลิ ปะการแสดงโนรา

ชมรมรกั ษโ์ นรา อบต.ทา่ ข้าม ชมรมรักษ์โนรา อบต.ท่าข้าม

ภูมิปญั ญาชาวบ้าน

ภมู ิปัญญาชาวบ้าน หมายถึง วธิ ีการจดั การ วิธีการชีน้ ำ� และการริเร่มิ เสริมต่อ
ของนกั ปราชญใ์ นทอ้ งถนิ่ หรอื ในกลมุ่ ชน ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ นลว้ นสงั่ สมงอกงามขนึ้ มา
จากความรอบรู้ ประสบการณ์ ผนวกดว้ ยญาณทศั นะ (ความเฉียบคมในการหยงั่ เหน็
หยง่ั รูท้ ี่ลุม่ ลกึ กว่าวิสัยทศั น์) เป็นรากฐาน
ภูมิปัญญาชาวบ้าน มีข้ึนเพ่ือการปรับเปลี่ยนทรัพยากรและองค์ความรู้
ที่มีอยู่เดิมให้เพิ่มพูนคุณค่าขึ้นอย่างสอดประสานและเหมาะสมกับบริบทต่าง ๆ
ของสงั คมหรอื ชมุ ชนของตน ทงั้ ดา้ นระบบนเิ วศ ทรพั ยากรธรรมชาติ ทรพั ยากรบคุ คล
และทรัพยากรวัฒนธรรม รวมทั้งปัจจัยข้อจ�ำกัดท้ังมวลท่ีเผชิญอยู่ เช่น ภูมิปัญญา
การปรับเปลี่ยนวิธยี งั ชพี จากเพียงพอเพื่ออยรู่ อดไปสสู่ ภาวะมกี นิ มีอยู่มใี ชอ้ ย่างเพยี งพอ
ไม่ต้องเส่ียงต่อการเผชิญกับการขาดมือหรือขาดแคลน ปรับเปล่ียนเป็นการอยู่แบบ
เอาตวั รอดหรอื ตา่ งคนตา่ งอยู่ ไปเปน็ การอยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งสนั ตแิ ละเออื้ อาทรตอ่ กนั
ปรบั เปลย่ี นภมู ธิ รรม จาก “อบายภมู ”ิ ไปสู่ “มนษุ ยภมู ”ิ คอื การยกระดบั การกระทำ� ตน
ให้มีค่า เป็นคนมีค่า เปน็ ตน้

องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลท่าข้าม

228 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

ภูมิปัญญาชาวบ้าน ย่อมให้ผลสัมฤทธิ์ที่เอ้ือประโยชน์ต่อกลุ่มชนมากกว่า
ตอ่ ปจั เจกชน สามารถขยายผลสบื สง่ อยา่ งกวา้ งขวางและตอ่ เนอื่ ง คนสว่ นใหญข่ องกลมุ่
สามารถรับเอาภูมิปัญญานั้น ๆ เข้าสู่วิถีการด�ำเนินชีวิตได้อย่างมีระบบและมีพลัง
ภูมิปัญญาชาวบ้านจึงไม่ใช่อภิปรัชญาท่ีสูงเหนือวิสัยที่ชาวบ้านจะเอาประโยชน์ได้
ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ นทท่ี รงคณุ คา่ ยงิ่ และสบื ทอดตอ่ กนั ยาวนานจะคอ่ ย ๆ ซมึ ซาบเขา้ สู่
นสิ ยั การคดิ และการกระทำ� จนกลายเปน็ สามญั ลกั ษณะ เปน็ ขนบนยิ มหรอื จรยิ วตั รปกติ
ของคนรนุ่ หลงั ๆ และหากถกู นำ� ไปใชต้ า่ งยคุ ตา่ งสมยั หรอื ตา่ งสถานที่ หรอื ตา่ งกลมุ่ ชน
ที่มีบริบทสอดคล้องแตกต่างกันโดยขาดการปรับให้เป็นท่ีพอใจโดยปราศจากปัญหา
ทั้งปวง อาจไร้คณุ ค่าอย่างส้ินเชิงและเป็นโทษได้
รากเหงา้ ของภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ นจงึ มกั เกยี่ วเนอ่ื งกบั การนำ� สภาวะตามธรรมชาติ
ทอ่ี ยใู่ นวสิ ยั ทจ่ี ะจดั การได้ หรอื ภาวะทเ่ี กดิ จากการกระทำ� การเสาะสรา้ งของคนรนุ่ กอ่ น ๆ
มาปรบั ใหเ้ ปน็ ทพ่ี อใจโดยปราศจากปญั หาทง้ั ปวง ใหเ้ กอ้ื กลู แกก่ ารดำ� รงชพี ขนั้ พน้ื ฐาน

บ่อบม่ เพาะของภูมปิ ัญญาชาวบ้านภาคใต้
๑. สภาวะธรรมชาติ หมายถงึ สภาพแวดลอ้ มทเ่ี ปน็ และมอี ยแู่ ละทเ่ี ปลยี่ นแปลง
ไปตามธรรมชาติ ได้แก่ ระบบนิเวศทางสังคมและสภาวการณ์ตามธรรมชาติที่คนใต้
เผชิญอยู่
๒. ภาวะสรา้ งสรรค์ หมายถึง ส่งิ ที่บรรพชนและกลุ่มชนชาวใต้กระท�ำข้ึนหรอื
เปน็ กลไก เงอื่ นไขทเ่ี กดิ ขน้ึ เพอื่ กำ� กบั ควบคมุ ธรรมชาตแิ ละผคู้ น ตกผลกึ เปน็ โลกทรรศน์
ของชาวใต้
๓. คติความเชื่อเก่ียวกับโลกและจักรวาล หมายถึง ระบบความเชื่อและ
ตัวความเช่อื ที่เปน็ คติสืบต่อกันมาเก่ียวกบั การเกิดข้ึน องค์ประกอบ การดำ� รงอย่แู ละ
พลงั อำ� นาจในโลกและจักรวาลท่มี นษุ ย์ไดร้ บั
๔. คตคิ วามเชอ่ื และความศรทั ธาอนั เนอื่ งมาจากศาสนา หมายถงึ ศาสนาพราหมณ์
ศาสนาพทุ ธ และศาสนาอิสลาม

องคก์ ารบริหารส่วนต�ำบลท่าขา้ ม

รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 229

ประเภทของภมู ิปัญญาชาวบ้านภาคใต้
๑. ภูมิปัญญาชาวบ้านเพ่ือการยังชีพ ประกอบด้วย ภูมิปัญญาเก่ียวกับ
การท�ำมาหากิน ล่าสัตว์จับสัตว์ ภูมิปัญญาเกี่ยวกับท่ีอยู่อาศัย ภูมิปัญญาเกี่ยวกับ
วฒั นธรรมโภชนาการ ภมู ปิ ัญญาเกี่ยวกับเคร่อื งนงุ่ ห่ม ภูมิปัญญาเก่ยี วกับรักษาโรค
๒. ภมู ปิ ญั ญาเกยี่ วกบั การพทิ กั ษช์ วี ติ และทรพั ยส์ นิ ประกอบดว้ ยภมู ปิ ญั ญา
การพง่ึ ตนเอง ภมู ปิ ญั ญาการหลบเลย่ี งอนั ตราย ภมู ปิ ญั ญาการรวมพลงั และพง่ึ ตนเอง
ภมู ปิ ัญญาการทำ� และใช้ศาตราวธุ ภมู ิปญั ญาการดูแลบ�ำรงุ รักษาชีวิตและทรัพยส์ ิน
๓. ภูมปิ ญั ญาเกีย่ วกับการสร้างและพิทกั ษ์ฐานะและอำ� นาจ ประกอบดว้ ย
ภูมิปัญญาการสร้างและขยายฐานอ�ำนาจ ภูมิปัญญาการรักษาฐานะและอ�ำนาจ
การบ�ำเพ็ญบญุ ญาบารมเี พื่อผดุงอำ� นาจวาสนาและการเสริมศรทั ธาบารมี
๔. ภูมิปัญญาการจัดการเพื่อสาธารณะประโยชน์ คือ ภูมิปัญญาท่ีก่อให้
เกดิ ประโยชนร์ ว่ มกนั มนี านาลกั ษณะ เชน่ ทางสญั จรระหวา่ งบา้ น เรยี กวา่ “ทางทลา”
ทางสาธารณะในนาหรือ “ทางหนวน” และทางสาธารณะในน�้ำเรียก “ ท่ีพักข้างทาง
สำ� หรบั คนเดนิ ทางคอื ศาลากลางหน การยกหมรบั ขา้ วหมอ้ แกงหมอ้ การกอ่ เจดยี ท์ ราย
และพนื้ ที่สาธารณะอ่ืน ๆ
๕. ภมู ปิ ญั ญาทเี่ ปน็ การสรา้ งสรรคพ์ เิ ศษ หมายถงึ สงิ่ ทปี่ ราชญห์ รอื ปญั ญาชน
ชาวบา้ นใชว้ สิ ยั ทศั นห์ รอื ญาณทศั นะเฉพาะตวั สรา้ งขน้ึ ตา่ งจากกลม่ อน่ื ๆ ทกี่ ลา่ วมาแลว้
อาจเป็นทัศนะส่วนตัวที่ลึกซึ้งและแยบยล เช่น ภูมิปัญญาเก่ียวกับวรรณกรรม
ท้องถิ่นเรื่อง “พญาฉัดทัน” ฉบับบ้านาเดิม อ�ำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ท่ีให้ตระหนักว่านักปราชญ์เป็นทรัพยากรที่มีค่าย่ิง ภูมิปัญญาการเปรียบให้ประจักษ์
ภมู ปิ ญั ญาในการแตง่ วรรณกรรมเรอื่ ง “สรรพลห้ี วน” ทใ่ี ชค้ ำ� ผวนตลอดเรอื่ ง ภมู ปิ ญั ญา
การวิพากษ์วิจารณ์ผู้คนและสังคมโดยการ “ร้องเรือ” หรือเพลงกล่อมเด็ก หรือ
แต่งเป็นนิทาน เป็นต้น

องคก์ ารบริหารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม

230 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย

ภมู ิปัญญาชาวบ้านในชมุ ชนทา่ ข้าม

บ่อบม่ เพาะภมู ปิ ัญญาชาวบ้านตำ� บลท่าขา้ ม หระกอบดว้ ย สภาวะธรรมชาติ
สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคมที่มีอยู่และเปลี่ยนแปรไปตามธรรมชาติ
ของระบบนิเวศทางสังคมและสภาวการณ์ตามธรรมชาติของภาคใต้ในหลายศตวรรษ
ทผี่ า่ นมา จากสภาพทางธรณวี ทิ ยามผี ลตอ่ ภมู ปิ ญั ญาในการเลอื กตง้ั ถนิ่ ฐานของชมุ ชน
ท่าข้ามซ่ึงเป็นสังคมกสิกรรมประกอบอาชีพเกษตรกรรมมีคตินิยมว่า การตั้งถิ่นฐาน
บ้านเรือนต้อง “แค่บ่อ แค่ท่า แค่นา แค่วัด” คือต้องเป็นสถานท่ีที่ใกล้แหล่งน้�ำจืด
เพื่อการอุปโภคบริโภค (แค่บ่อ) ต้องใกล้ท่าน�้ำคือใกล้แหล่งน�้ำล�ำคลองหรือริมตล่ิง
เพอ่ื สะดวกในการสญั จรและใชแ้ หลง่ นำ�้ ทำ� กนิ (แคท่ า่ ) ตอ้ งใกลน้ าเพอื่ ประกอบอาชพี
กสิกรรม (แค่นา) และใกลว้ ัดเพอ่ื สะดวกในการท�ำบุญใกลช้ ดิ กบั ศาสนา นอกจากนั้น
ภมู ปิ ญั ญาในการตงั้ ชอื่ บา้ นนามเมอื ง ชาวทา่ ขา้ มนยิ มใชส้ ภาพทางภมู ปิ ระเทศเปน็ คำ�
ตง้ั ตน้ แลว้ ขยายดว้ ยทรพั ยากรธรรมชาตทิ โ่ี ดดเดน่ ในแหลง่ นนั้ ๆ เชน่ แมเ่ ตย หนิ เกลย้ี ง
หนองบวั เขากลอยออก เขากลอยตก ทา่ ขา้ ม คลองจกิ ปกี /เกาะปลกั เปน็ ตน้ สภาวะ
ภูมิอากาศ ความแปรปรวนของดนิ ฟ้าอากาศในเขตมรสมุ ทม่ี ักจะเกดิ น้ำ� ท่วม วาตภยั
มผี ลตอ่ ภมู ปิ ญั ญาในการสรา้ งบา้ นหรอื คตทิ างสถาปตั ยกรรม เชน่ การปลกู เรอื นแบบ
มีตีนเสารองรับเสาเรือนแทนการขุดหลุมฝังเสาท้ังน้ีเพื่อสะดวกในการโยกย้ายบ้าน
ไปต้งั ในทใี่ หม่และเพอ่ื กันการผุเป่อื ยเร็วอันเนอื่ งมาจากความช้นื สงู ทง้ั กันมด ปลวก
หรือสัตว์เล้ือยคลานท่ีหนีน�้ำขึ้นมาเม่ือฝนตกหนักหรือน้�ำท่วม มีคติห้ามปลูกเรือน
ขวางตะวันเพราะบ้านจะขวางทางลมมรสุมอาจท�ำให้หลังคาปลิวหรือถูกพายุพัดพัง
ไดง้ า่ ยและยงั เปน็ เหตใุ หแ้ สงแดดสอ่ งหนา้ บา้ นครงึ่ วนั หลงั บา้ นครง่ึ วนั ทำ� ใหบ้ า้ นรอ้ น
อบอ้าวตลอดวัน มีคติการวางเสาบ้านให้ส่วนปลายโน้มเข้าหากันเล็กน้อย ท�ำให้เชิง
ของฝาผายออก ส่วนบนสอบเข้าเรียกวา่ “ทรงช้างเยย่ี ว” ชว่ ยต้านลมได้ดียงิ่ ขึ้น นยิ ม
ท�ำประตูหน้าต่างให้แคบ เต้ียและเปิดเข้าด้านในหรือแบบบานเลื่อนช่วยแก้ปัญหา
ลมโยกลมตีเมื่อเปิด ท�ำหลังคาทรงสูงชันเพื่อกันลมเปิดและช่วยให้น้�ำฝนไหลเร็ว
ไมร่ ว่ั งา่ ย ทำ� ใหช้ ายคาเตยี้ และยนื่ ยาวหรอื เสรมิ “พาไล” ในดา้ นสกดั เพอื่ ชว่ ยกนั แดดสอ่ ง
และฝนสาดตัวบ้าน ระหว่างพ้ืนบ้านกับระเบียงและระหว่างแนวฝากับหลังคานิยม
ให้มี “ลอ่ งแมว” และ “ล่องลม” ตามลำ� ดับเพอื่ ใหล้ มลอดผ่านสะดวกและช่วยระบาย
ถ่ายเทความร้อน เหล่าน้ีคือภูมิปัญญาท่ีปรากฏในงานสถาปัตยกรรมของชาวชุมชน
ท่าข้าม นอกจากนั้นภูมิปัญญาในการอุปโภคบริโภคของชาวท่าข้ามท่ีส�ำคัญคือ

องคก์ ารบรหิ ารส่วนต�ำบลทา่ ขา้ ม


Click to View FlipBook Version