รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 81
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง และผู้ก�ำกับการต�ำรวจจังหวัดพัทลุง
จงึ ไดม้ านมิ นตพ์ อ่ ทา่ นพลดั ออกจากวดั หวั ควน แลว้ พาไปฝากจำ� พรรษาอยวู่ ดั สระเกษ
อ�ำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เน่ืองจากเจ้าอาวาส คือ พระอธิการเฉ้ียง เป็นคน
ปากพะยนู เหมอื นกัน จำ� พรรษาท่ีวัดสระเกษได้ ๒ พรรษา
ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ในช่วงท่ีท่านจ�ำพรรษาท่ีวัดสระเกษ นายพ่วง สุวรรณรัตน์
ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้มาฝากตัวเป็นศิษย์พ่อท่าน และได้ขอร้องพ่อท่าน
ใหเ้ กลย้ี กลอ่ ม พวกไอเ้ สอื ทงั้ หลายใหม้ อบตวั โดยสญั ญาวา่ จะไมจ่ บั ตาย จะดำ� เนนิ คดี
ดว้ ยความยตุ ธิ รรม ทา่ นผวู้ า่ พว่ ง ไดข้ อใหพ้ อ่ ทา่ นพลดั ทำ� หนงั สอื สง่ ไปใหบ้ รรดาไอเ้ สอื
เพอ่ื ใหม้ อบตวั โดยใหม้ าหาทา่ นและทา่ นจะเปน็ ผพู้ าไปมอบตวั เอง ซงึ่ ขณะนน้ั ทา่ นได้
ยา้ ยมาจำ� พรรษาทวี่ ดั แจง้ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั สงขลา โดยการชกั ชวนของ พระวเิ ชยี ร
โมลี เจ้าอาวาสวัดแจ้ง รองเจ้าคณะจังหวัดสงขลา (สมณศักด์ิก่อนมรณภาพพระราช
วชิรโมลี) เพราะเป็นคนพัทลุงเหมือนกัน บรรดาเสือท้ัง ๔ ก็ได้มามอบตัว ก่อนจะ
ถกู จับพอ่ ทา่ นพลัดไดข้ อเครอื่ งรางทท่ี า่ นท�ำให้คืน
พ.ศ. ๒๕๐๐ อ้ายเสือท้ัง ๔ ได้พ้นโทษออกจากการจองจ�ำ ได้เดินทางมาหา
พ่อท่านพลัด เพื่อขอบวช พ่อท่านพลัดก็เป็นธุระจัดการให้ เสือเลาะ ซ่ึงนับถือ
ศาสนาอิสลาม ก็ขอบวชด้วย ได้ฝึกซ้อมขานนาคแล้ว แต่ญาติได้ขอไว้ว่าจะนับถือ
ศาสนาพทุ ธกไ็ มว่ า่ แตข่ ออยา่ บวชเพราะญาตพิ น่ี อ้ งจะเขา้ สงั คมไมไ่ ด้ ทา่ นจงึ ไมบ่ วชให้
ในตอนนน้ั ชาวบ้านจะเรยี กวัดแจ้งว่า “วัดสามเสอื ” ในชว่ งทีท่ ่านจ�ำพรรษาอย่วู ัดแจ้ง
ก็มีชาวบ้านที่ทราบถึงกิตติคุณของท่าน หลั่งไหลมากราบพ่อท่านทุกวันเพื่อให้ท่าน
ช่วยปัดเป่า เคราะห์ร้ายต่าง ๆ บ้างก็มาให้ช่วยรดน้�ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล
มาขอเครอ่ื งรางของขลงั เพอ่ื ใหข้ ายของดบี า้ ง เพอื่ ปอ้ งกนั ภยั อนั ตรายบา้ ง เมอื่ กลบั ไป
ก็ได้ผลก็บอกต่อ ๆ กัน ท�ำให้ท่านมีช่ือเสียงมาก ท่านมีลูกศิษย์ที่เป็นข้าราชการ
ชน้ั ผู้ใหญห่ ลายทา่ น
ในสมัยที่พ่อท่านพลัดจ�ำพรรษาอยู่วัดแจ้งน้ัน นับว่าท่านเป็นพระผู้ใหญ่
รูปหน่ึงในวัดเปรียบได้ว่าเป็นรองเจ้าอาวาสวัดแจ้ง ท่านเป็นพระผู้มีเมตตา
พระพศิ าลสกิ ขกจิ (สทุ นิ ) เจา้ อาวาสวดั แจง้ เลา่ วา่ ในชว่ งทที่ า่ นเปน็ สามเณร อยวู่ ดั แจง้
(ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ - ๒๕๐๑) พอ่ ท่านพลดั ถือเปน็ พระผู้ใหญใ่ นวดั แจ้ง ใครจะไปจะมา
เมื่อไปกราบท่านเจ้าคุณพระวิเชียรโมลี แล้วก็ต้องไปกราบพ่อท่านพลัด ใครขาด
องคก์ ารบรหิ ารส่วนต�ำบลทา่ ข้าม
82 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ตกบกพร่องเดือดร้อนอะไรก็จะไปขอความช่วยเหลือจากท่าน ท่านก็จะช่วยทันที
โดยไม่มีการปฏิเสธ เวลาพระเณรที่มีภูมิล�ำเนาอยู่ไกล ๆ เม่ือจะลากลับภูมิล�ำเนา
ก็จะไปลาเพ่ือขออนุญาต ท่านเจ้าคุณพระวิเชียรโมลี ก่อนแล้วมาลาพ่อท่านพลัด
ท่านก็จะเมตตาช่วยคา่ เดนิ ทางค่าอาหาร พระเณรทกุ รูปโดยไมเ่ ลอื กปฏบิ ัต ิ
ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ พ่อท่านพลัด ได้จัดสร้างเหรียญพ่อท่านมหาลอย จนฺทสโร
วัดแหลมจากปากรอ รุ่นแรก ซึ่งเป็นอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ท่าน และ
พ่อท่านมหาลอย ก็เคยจ�ำพรรษาท่ีวัดแจ้ง ก่อนที่ท่านจะกลับไปสร้างวัดแหลมจาก
ซ่ึงเป็นบ้านเกิดของท่าน ปัจจุบันเป็นที่นิยมมากเหรียญหนึ่งของจังหวัดสงขลา
พอ่ ทา่ นพลดั ไดข้ ออนญุ าตผา่ นทางการทรงทพี่ ระนอนองคใ์ หญ ่ มคี ำ� สงั่ วา่ ใหส้ รา้ งได้
๕,๐๕๙ เหรียญ ต้องมีส่วนผสมของทอง เงิน นาก ตลอดจนออกแบบด้านหน้า
ของเหรียญกับยันต์ด้านหลังเหรียญ และต้องน�ำออกมาแจกจ่ายประชาชน เม่ือ
ได้รับอนุญาตโดยผ่านการทรงหน้าพระนอนแล้ว จึงได้เดินทางไปติดต่อท�ำเหรียญ
ทก่ี รงุ เทพฯ เดมิ ทคี ดิ วา่ จะแจกในวนั ทำ� พธิ ศี พของทา่ นมหาลอยแตไ่ มท่ นั กเ็ ลยนำ� มา
แจกจา่ ยภายหลงั มกี ารพทุ ธาภเิ ษกทวี่ ดั โพธ ิ์ ทา่ เตยี น กรงุ เทพฯ และไดน้ ำ� มาปลกุ เสก
ต่อที่วัดแจ้ง จังหวัดสงขลา จ�ำนวนการสร้าง ๕,๐๐๐ เหรียญ มีหลวงพ่อภัทร
เป็นประธานปลุกเสก ร่วมกับพระสงฆ์ท่ีวัดแจ้งอีก 9 รูป เน่ืองจากการสร้างเหรียญ
ครัง้ นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแจกจา่ ยใหล้ ูกศิษย์ตลอดจนประชาชนท่วั ไป ลกั ษณะเหรยี ญ
เป็นรูปสี่เหลี่ยม ด้านหน้าเป็นรูปท่านมหาลอยน่ังเท้าแขนอยู่บนเก้าอี้ รูปน้ี
ได้จากภาพถ่ายของท่านเองซ่ึงไปถ่ายท่ีประเทศมาเลเซีย แต่ก็มีเรื่องแปลกเกิดข้ึน
เนื่องจาก พ่อท่านพลัด ส่ังท�ำเรื่องเหรียญเสร็จ แต่มีปัจจัยไม่พอจ่ายช่าง ท่านจึง
อธิษฐานขอพ่อท่านมหาลอยให้ช่วย พอไปถึงโรงงานเพ่ือจะรับเหรียญ ทางช่าง
เกดิ ศรทั ธา พอ่ ทา่ นมหาลอย และศรทั ธาในตวั พอ่ ทา่ นพลดั ทางโรงงานจงึ ไดถ้ วายเหรยี ญ
จ�ำนวน ๕,๐๐๐ เหรียญแด่พ่อท่านพลัด และขอว่าถ้าปลุกเสกเสร็จแล้ว ให้ส่งมาให้
ซัก 10 เหรียญ พ่อท่านพลัดก็รับปาก คงเป็นเพราะบารมีพ่อท่านมหาลอย และ
ตบะของพอ่ ท่านพลัดทีท่ ำ� ให้ช่างเกิดศรทั ธาไม่คิดคา่ ใช้จา่ ยในการทำ� เหรียญ
ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ท่านเจ้าคุณพระวิเชียรโมลีได้มีด�ำริ ท่ีจะจัดสร้างพระเคร่ือง
พระบูชา พระอาจารย์ทองเฒ่าวัดเขาเอาะ แต่ในช่วงนั้นพระอาจารย์ทิม วัดช้างไห้
ได้มาพักที่วัดแจ้ง จึงได้แนะน�ำให้สร้างหลวงปู่ทวด ด้วยโดยท่านได้จัดท�ำแม่พิมพ์
องค์การบรหิ ารสว่ นตำ� บลท่าข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 83
และน�ำมวลสารปี ๒๔๙๗ มามอบให้ โดยท่านเจ้าคุณได้มอบหมายให้ พ่อท่านพลัด
เปน็ ผจู้ ดั การสรา้ งพระเครอ่ื ง พระบชู า เนอื้ วา่ น เปน็ รปู หลวงปทู่ วด เหยยี บนำ้� ทะเลจดื
และรูปพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาเอาะ มีด้วยกันหลายพิมพ์ เพ่ือหารายได้
ให้กับวัดแจ้ง โดยท่านเป็นผู้จัดการเองท้ังหมด โดยจัดขึ้นที่พระอุโบสถวัดแจ้ง
โดยได้อาราธนานิมนต์พระเกจิอาจารย์ จ�ำนวน ๑๐๘ รูป มาร่วมพิธีพุทธาภิษก
อาทิ พอ่ ทา่ นปาล วดั เขาออ้ พอ่ ทา่ นหมนุ วดั เขาแดงตะวนั ออก พอ่ ทา่ นคงวดั บา้ นสวน
พ่อท่านบุญทอง วัดดอนศาลา พ่อท่านเส้ง วัดแหลมทราย พ่อท่านเล็ก วัดจุ้มปะ
พ่อท่านคลิ้ง วัดสุวรรณคีรี และได้นิมนต์พระอาจารย์ทิม วัดช้างไห้ มาเป็นเจ้าพิธี
พอ่ ทา่ นพลัด มคี วามสนิทสนมกบั พระอาจารยท์ มิ
ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พระอาจารยท์ มิ ไดเ้ คยนมิ นตพ์ อ่ ทา่ นพลดั ไปรว่ มพทุ ธาภเิ ษก
วตั ถมุ งคลหลวงปทู่ วด รนุ่ แรก ทว่ี ดั ชา้ งไหเ้ ชน่ กนั อกี ทงั้ ยงั ไดเ้ ชญิ อาจารยฝ์ า่ ยฆราวาส
ซ่ึงมี อาจารย์ชุม ไชยคีรี อาจารย์น�ำ จันทร์แก้ว และท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช
ซึ่งเป็นศิษย์ร่วมส�ำนักวัดเขาอ้อ มาร่วมพิธีด้วย โดยลักษณะเนื้อว่านจะเป็นสีด�ำ
พอ่ ทา่ นพลดั ไดจ้ ดั ทำ� หลวงปทู่ วด เนอื้ วา่ นสขี าว ขนึ้ เปน็ สว่ นตวั แตก่ ไ็ มไ่ ดอ้ อกแจกจา่ ย
แด่ญาติโยม ภายหลังท่านได้มอบให้ ท่านเจ้าคุณผัน วัดทรายขาว บรรจุกรุไว้ที่ฐาน
พระประธาน วัดทรายขาว อ�ำเภอเมืองสงขลา
พ่อท่านพลัด จ�ำพรรษาอยู่ วัดแจ้ง ระยะหน่ึง มีผู้มารบกวนมากจนไม่มีเวลา
ปฏิบัติธรรม และในฐานะที่ท่านเป็นเพียงพระลูกวัด เมื่อมีคนไปกราบไหว้ท่านมาก
กท็ ำ� ใหเ้ กดิ ความไมส่ ะดวกหลายอยา่ ง ทำ� ใหท้ า่ นคดิ จะขยบั ขยายออกจากวดั แจง้ และ
ท่านได้ตั้งปณิธานว่า จะต้องสร้างวัดข้ึนเอง ประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๕ พ่อท่านพลัด
ไดไ้ ปบกุ เบกิ ทใี่ กล ้ ๆ ปา่ ชา้ จนี ขา้ งมหาวทิ ยาลยั ราชฎชั สงขลา แตท่ า่ นกย็ งั ไมช่ อบใจ
ท่านจึงไปหาที่ใหม่ ครั้งน้ีท่านไปได้ที่บ้านต้นเลียบ อ�ำเภอเมืองสงขลาใกล้ ๆ สุสาน
หลวงประธานราษฎรน์ กิ ร ไดบ้ กุ เบกิ แผว้ ถางพนื้ ทไี่ ดบ้ รเิ วณกวา้ งพอทจ่ี ะสรา้ งศาลาได้
แต่ท่านก็ยังไม่ชอบที่ตรงน้ีเท่าที่ควร ต่อมาท่านไปเจอที่บริเวณบ้านโคกสูง จึงเร่ิม
ซ้ือที่ดินบริเวณ บ้านโคกสูง อ�ำเภอหาดใหญ่ ด้วยเงินของท่านเอง ซึ่งเป็นท่ีต้ัง
ของวัดโคกสงู ในปจั จุบัน ในป ี พ.ศ. ๒๕๑๗ ทา่ นไดย้ ้ายมาจำ� พรรษาท่ที ด่ี นิ ท่ที า่ นซือ้
เพ่ือเรม่ิ บุกเบิก แผ้วถาง พน้ื ทโ่ี ดยตวั ท่านเองเพ่อื ดำ� เนินการขอตั้งเป็นส�ำนักสงฆ์
องคก์ ารบริหารสว่ นต�ำบลทา่ ขา้ ม
84 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ทา่ นไดย้ า้ ยมาสงั กดั วดั หงสป์ ระดษิ ฐาราม อำ� เภอหาดใหญ่
(เพราะส�ำนักสงฆ์ จะต้องมีวัดควบคุมอีกที) ในระยะเร่ิมต้นของการสร้างวัดท่าน
ตอ้ งประสบปญั หามาก เน่อื งจากไมใ่ ช่คนในพนื้ ท่ี ชาวบ้านยังไม่ร้จู กั ประการสำ� คญั
ทา่ นไมม่ ปี จั จยั เพยี งพอ ตอ้ งกเู้ งนิ มาเพอื่ ใชใ้ นการดำ� เนนิ การสรา้ งวดั ทา่ นตอ้ งทำ� ทกุ อยา่ ง
ดว้ ยตวั ทา่ นเอง ตงั้ แตป่ รบั พนื้ ท ่ี กอ่ สรา้ งสถานทสี่ ำ� หรบั ประกอบศาสนกจิ กฏุ ทิ พี่ กั สงฆ์
ด้วยเหตุท่ีมีปัจจัยน้อย แต่ก็ได้พ่อท่านผัน วัดทรายขาว (พระราชพิพัฒนาภรณ์)
มาเปน็ กำ� ลังชว่ ยพาญาตโิ ยมมาช่วยพ่อท่านพลัดบกุ เบิกพื้นท ี่ และช่วยสร้างศาลา
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ทา่ นไดด้ ำ� เนนิ การสรา้ งศาลาการเปรยี ญ ขนาดกวา้ ง ๗ เมตร
ยาว ๑๑ เมตร โดยท่านได้ใช้เป็นกุฏิท่ีพักของท่านด้วย และในปี ๒๕๒๔ ได้รับ
พระราชทานวิสุงคามสีมา ท่านก็ได้ปักหลักพัทธสีมาครอบศาลาการเปรียญไว้
เพื่อจะได้ใช้ประกอบศาสนกิจแทนอุโบสถได้ในช่วงที่ท่านก�ำลังสร้างวัด ก็มีชาวบ้าน
ทง้ั ใกลแ้ ละไกล ไดร้ ว่ มบญุ กบั ทา่ นคนละเลก็ คนละนอ้ ย มอี ยคู่ รง้ั หนง่ึ ชาวบา้ นทำ� บญุ
รวบรวมแล้วได้เงินจ�ำนวน ๘,๐๐๐ บาท ท่านก็ได้รับเงินใส่ย่ามไว้ เร่ืองการได้เงิน
ทำ� บญุ ไดล้ ว่ งรไู้ ปถงึ หขู องเดนมนษุ ยผ์ ไู้ มเ่ กรงกลวั ตอ่ บาป มนั ไดเ้ ดนิ ทางมาทว่ี ดั หมาย
ทจี่ ะจเ้ี งนิ จากพอ่ ทา่ นเพราะวดั โคกสงู ตงั้ อยไู่ กลจากบา้ นคน ขณะนนั้ เปน็ เวลาบา่ ยแก่ ๆ
พ่อท่านก�ำลังนั่งพักอยู่ข้างโคนไม้ หลังจากท่ีท่านท�ำงานถางหญ้ากวาดลานวัดเสร็จ
เจ้าโจรใจบาปเดินวนเวียนไปมาอยู่เป็นเวลานาน เพ่ือหาจังหวะจะเข้ามาจ้ีพ่อท่าน
พ่อท่านพลัดเห็นมันเดินอยู่นาน จึงตะโกนถามไปว่ามีธุระอะไรหรือลูกบ่าว มีเรื่อง
อะไรก็เข้ามาคุยกัน มาดื่มน�้ำดื่มท่าแก้กระหายเสียก่อน ไอ้โจรช่ัว จึงได้จังหวะเดิน
เขา้ มาหาพอ่ ทา่ นและถามทนั ทวี า่ วนั นไี้ ดเ้ งนิ มา ๘,๐๐๐ บาท ใชไ่ หม พอ่ ทา่ นตอบวา่ ใช่
มนั จงึ บอกวา่ ผมอยากไดเ้ งนิ นน่ั พอ่ ทา่ นพดู วา่ แหม นกึ วา่ ตอ้ งการอะไร ทำ� ไมไมบ่ อก
ตงั้ แตแ่ รก เงนิ แคน่ ไ้ี มม่ ปี ญั หา ทา่ นพดู พรอ้ มหยบิ เงนิ ในยา่ มออกมาสง่ ให ้ เมอื่ ไดเ้ งนิ
เจ้าโจรใจบาป ก็รีบเดินออกไปทางหน้าวัด ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้ค่�ำเม่ือมันเดินไปถึง
ทางเข้าวัด ก็รีบว่ิงกลับมาหาหลวงพ่อ พร้อมก้มกราบและรีบส่งเงินคืนให้ ตัวส่ัน
ปากสน่ั พดู กะพอ่ ทา่ นวา่ ผมไมเ่ อาเงนิ แลว้ เดย๋ี วตำ� รวจเขา้ มา พอ่ ทา่ นบอกดว้ ยนะวา่
ผมไม่ได้เอาเงินของพ่อท่านไป ข้างนอกมีต�ำรวจเต็มไปหมดเลยครับ ท่านจึงบอกว่า
ออกไปเถอะไมม่ อี ะไรหรอก เอาเงนิ ไปดว้ ยรบี ๆ ออกไปซะ ทา่ นจะไมบ่ อกใคร เจา้ โจร
จึงรีบกลับออกไปใหม่ พอใกล้ถึงทางออกวัด ก็รีบวิ่งกลับมาอีกเพราะเห็นต�ำรวจ
องค์การบรหิ ารส่วนตำ� บลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 85
ยืนอยู่หน้าวัดมากมาย เมื่อถึงพ่อท่านก็ส่งเงินคืนอีกคร้ัง และได้เอ่ยปากสาบานกับ
พอ่ ทา่ นวา่ ตอ่ ไปจะไมป่ ระพฤตชิ วั่ ขอใหพ้ อ่ ทา่ นพดู กบั ตำ� รวจดว้ ย พอ่ ทา่ นจงึ รบั ปาก
และสง่ั สอนใหท้ ำ� มาหากนิ สจุ รติ เลกิ ทำ� ชวั่ ทำ� ความเดอื ดรอ้ นแกผ่ อู้ น่ื มนั รบั ปากแลว้
เดนิ ออกจากวดั ไปอกี ครง้ั คราวนอ้ี อกไปโดยทไี่ มเ่ หน็ ตำ� รวจแมแ้ ตค่ นเดยี ว เหตกุ ารณน์ ี้
อาจจะเปน็ เพราะบารมขี องพอ่ ทา่ น หรอื เปน็ เพราะอภนิ หิ ารของพอ่ ทา่ นกไ็ มท่ ราบได้
ท่ีทำ� ให้เกิดเหตกุ ารณด์ ังกลา่ ว
พ่อท่านพลัดเป็นพระสมถะ อยู่อย่างเรียบง่าย ไม่ยึดติดอะไร เป็นคนดุ
เหมือนคนสมัยก่อน แต่ท่านก็มีเมตตาสูง หากมีคนมาขอช่วยให้สงเคราะห์อะไร
ท่านก็จะช่วยทันที ท่านไม่แบ่งชั้น วรรณะเป็นกันเองกับทุกคนที่เข้ามาหาท่าน
ท่านมักจะแทนตัวเองว่า “พ่อหลวง” หลักธรรมที่ท่านมักสอนญาติโยม เป็นประจ�ำ
คือ ให้ร้จู ักขยันและประหยดั อดออม
ลำ� ดับการปกครอง
พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นเจ้าส�ำนักสงฆ์หัวควน (วัดควนปิใหญ่) อ�ำเภอปากพะยูน
จงั หวัดพัทลุง
พ.ศ. ๒๕๑๘ เปน็ เจ้าสำ� นักสงฆ์โคกสูงภัทธิยาราม
พ.ศ. ๒๕๒๔ เปน็ เจ้าอาวาสวัดโคกสงู
พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นเจา้ คณะต�ำบลท่าข้าม
ล�ำดับสมณศกั ด ์ิ
พ.ศ. ๒๔๙๕ เปน็ พระปลดั พลดั ภทธฺ โิ ย ฐานานกุ รมในพระวเิ ชยี รโมลี วดั แจง้
รองเจ้าคณะจงั หวดั สงขลา
พ.ศ. ๒๕๒๙ ไดร้ บั พระราชทานสมณศกั ด ์ิ เปน็ พระครสู ญั ญาบตั รเจา้ คณะตำ� บล
ชน้ั ตรี ที ่ “พระครูภทั รธรรมรตั น”์
พ่อท่านพลัด ได้เร่ิมสร้างวัดโคกสูง ตั้งแต่ไม่มีอะไรอยู่กลางป่า บุกเบิกจนมี
ความเจริญ รุ่งเรืองตามล�ำดับ นับว่าเป็นเพราะบารมีของท่านที่สามารถสร้างวัด
ให้มีความเจริญได้รวดเร็ว วาระสุดท้าย ช่วง พ.ศ. ๒๕๔๐ ท่านได้อาพาธ เข้าออก
องค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบลทา่ ขา้ ม
86 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
โรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง จนวันที่ ๙ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๔๑ พอ่ ทา่ นได้ถงึ แกม่ รณภาพ
ด้วยอาการสงบ ท่ีโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ศิริรวม อายุได้ ๘๗ ปี ๖๕ พรรษา
หลังจากที่ท่านได้มรณภาพ สรรี ะของท่านก็มไิ ด้เน่าเปอื่ ยผุพังไปตามกาลเวลาแต่อย่างใด
ทางวัดจึงได้จัดสังขารท่านเอาไว้ในใส่โลงแก้วเพื่อให้ประชาชนได้สักการะบูชาต่อไป
และยังได้เป็นการร�ำลึกถึงคุณประโยชน์คุณความดีท่ีท่านได้ช่วยเหลือสงเคราะห์
สัง่ สอนบรรดาศิษยแ์ ละผคู้ นท่มี าพบทา่ นตลอดมา
ประวัตเิ จา้ อาวาสวดั โคกสูงพระครวู ินยั ธร (วิเชยี ร วิโรจโน)
นามเดมิ นายวเิ ชยี ร สมศรแี สง อาชพี รบั จา้ งทว่ั ไป เกดิ ท่ี
บา้ นควน หมทู่ ่ี ๓ ตำ� บลควน อำ� เภอปะนาเระ จงั หวัดปตั ตานี
เมื่อวันท่ี ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๗ ปีมะโรง วันเสาร์
บุตรนายสุข สมศรแี สง นางปกิ สมศรแี สง จบช้นั ประถมศกึ ษา
ปีท่ี ๔ จากโรงเรียนวัดควน ต�ำบลควน อ�ำเภอปะนาเระ
จงั หวดั ปตั ตานี เรยี นตอ่ ระดบั มธั ยมศกึ ษาทโี่ รงเรยี นวฒุ ชิ ยั วทิ ยา
ตำ� บลดอน อำ� เภอปะนาเระ จงั หวดั ปตั ตานแี ตไ่ มจ่ บ หยดุ เรยี น
ไปฝกึ วชิ าชพี วชิ าชา่ งเครอื่ งยนตใ์ นตวั จงั หวดั ปตั ตานอี ยู่ ๙ ปี เปน็ หวั หนา้ ชา่ งในกจิ การ
อู่ซ่อมรถ จบปรญิ ญาตรีคณะพทุ ธศาสตร์ จากมหาจุฬาลงกรณ์ราชวทิ ยาลยั
อายุ ๒๓ ปี อปุ สมบทเมอื่ วนั ท่ี ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๒๙ ณ วดั ทงุ่ คลา้ ตำ� บลทงุ่ คลา้
อำ� เภอสายบรุ ี จงั หวดั ปตั ตานี มพี ระครอู นสุ ารบรุ รี กั ษ์ เจา้ อาวาสวดั ปทมุ วารี เจา้ คณะ
อำ� เภอสายบรุ เี ปน็ พระอปุ ชั ฌาย์ จำ� พรรษาทวี่ ดั ดอนตะวนั ตก อกี ๒ พรรษา ตำ� บลดอน
อ�ำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี พรรษาที่ ๓ สอบได้นักธรรมเอก ออกธุดงค์ไปกับ
เพอื่ นพระสหธรรมิกสหี่ า้ รปู ในอำ� เภอเดยี วกัน ไปท่ัวประเทศ เหนอื อสี าน ภาคกลาง
ธุดงค์อยู่ ๒ ปี ไปหลายส�ำนัก จนเข้าพรรษาที่ ๕ จึงไปเรียนภาษาบาลีที่วัดขันเงิน
อำ� เภอหลังสวน จงั หวัดชุมพร จนไดเ้ ปรยี ญธรรม ๔ ประโยค ทวี่ ัดขนั เงิน หลงั สวน
อยู่ ๕ ปี
จากนนั้ ยา้ ยกลบั มาจำ� พรรษาทว่ี ดั หงษป์ ระดษิ ฐาราม อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา
ซง่ึ เปน็ วดั เจา้ คณะอำ� เภอหาดใหญข่ ณะนนั้ และเปน็ สำ� นกั เรยี นบาลี มาเรยี นตอ่ ภาษาบาลี
จนสอบเปรียญธรรม ๖ ประโยค ได้ที่วดั หงษ์ประดษิ ฐาราม
องค์การบรหิ ารส่วนต�ำบลทา่ ขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 87
พ.ศ. ๒๕๔๑ พระเดชพระคณุ หลวงพอ่ พระครภู ทั รธรรมรตั นห์ รอื หลวงพอ่ พลดั
ภทฺทิโย อดีตเจ้าอาวาสวัดโคกสูง ต�ำบลท่าข้าม อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
มรณภาพ วัดโคกสูงว่างเจ้าอาวาสอยู่ ๑ ปี
พ.ศ. ๒๕๔๒ ทางเจ้าคณะผู้ปกครองเจ้าคณะอ�ำเภอหาดใหญ่ได้แต่งตั้ง
พระมหาวเิ ชยี รมาเป็นเจา้ อาวาสวัดโคกสูงเมอ่ื วันที่ ๑ สงิ หาคม ๒๕๔๒ เป็นลำ� ดับมา
เปน็ พระมหาวเิ ชยี ร วโิ รจโน ไดพ้ ฒั นาถาวรวตั ถสุ ง่ิ ปลกู สรา้ งหลายอยา่ ง ตอนนนั้ วดั โคกสงู
ไม่มีสิ่งปลูกสร้างท่ีเป็นถาวรวัตถุเลยเพราะว่าหลวงพ่ออดีตเจ้าอาวาสท่านชราภาพ
มากแลว้ ทา่ นยา้ ยมาจากวดั แจง้ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั สงขลามาสรา้ งสำ� นกั สงฆท์ ห่ี มทู่ ่ี ๑
ตำ� บลท่าข้าม อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ตดิ ถนนกาญจนวนิช
พ.ศ. ๒๕๒๔ ยกฐานะเป็นวัดโคกสูงอย่างถูกต้องโดยได้รับพระราชทาน
วิสุงคามสีมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นวัดโดยสมบูรณ์ แต่ว่าถาวรวัตถุ
สิง่ ปลูกสรา้ งในขณะนัน้ ยังไมม่ ี มีศาลาไม้หลังเก่า ๆ อย่หู ลงั หนง่ึ มีกุฏิพระ
อาตมาเริ่มพัฒนาวัดโดยจากวัดท่ีมีป่าไม้รกทึบด้วยพงหญ้า สวนยางพารา
เอาต้นยางพาราออกปลูกต้นไม้อ่ืนทดแทน สร้างอุโบสถ ศาลาปฏิบัติธรรม หอฉัน
ศาลาบำ� เพญ็ บญุ กฏุ ไิ มท้ รงไทย หอ้ งนำ�้ ๒๐ หอ้ ง ซมุ้ ประตหู นา้ วดั แบบโบราณยอ้ นยคุ
ทรงปราสาทพนมรงุ้ สรา้ งกฏุ ทิ พี่ กั พระสงฆเ์ พมิ่ เตมิ ขน้ึ ดา้ นหลงั วดั ซงึ่ เปน็ เขตกรรมฐาน
อกี ๒ หลงั ทตี่ งั้ พระพทุ ธรปู ศาลาพระ วหิ ารพระอกี ๒ แหง่ สรา้ งศาลาบำ� เพญ็ กศุ ลศพ
สร้างห้องน้�ำเพ่ิมอีก ๑๕ ห้อง ที่ยังไม่แล้วเสร็จคืออาคารที่พักของผู้ปฏิบัติธรรม
หลงั วัดสร้างไดห้ นง่ึ ชัน้ ก�ำลังด�ำเนินการตอ่ ไป
ตลอดระยะเวลาก็ได้สร้างกันมาตลอดเสร็จหรือไม่เสร็จคนท่ีมาทีหลังได้สร้าง
ตอ่ ไป เจา้ อาวาสปจั จุบนั ได้วางรากฐานไวค้ รบแล้ว มาเสรมิ บา้ งไมม่ ากแล้วคอยดแู ล
สรีระของอดีตเจ้าอาวาสหลวงพ่อพลัดนั้น ท่านก็ยังไม่ได้ถวายพระเพลิง
ยังเก็บสังขารของท่านซึ่งตอนน้ีแข็งเป็นหินไว้ในโลงแก้ว แล้วก็คิดว่าจะเก็บไว้เพ่ือให้
ศิษยานุศิษย์ คนรุ่นหลังได้สักการบูชา เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันได้ให้ความคิดเห็นไว้แก่
ลูกศิษย์ว่า ญาติโยมท่ีถามถึงสรีระสังขารของหลวงพ่อว่าไม่ถวายพระเพลิงหรือก็ได้
ใหค้ ำ� ตอบทา่ นทงั้ หลายเหลา่ นน้ั ไปวา่ จะเกบ็ ไวเ้ ปน็ ปชู นยี บคุ คล เพราะทา่ นเปน็ ผรู้ เิ รมิ่
ก่อสร้างวัดโคกสูงมาจากการด�ำริของท่านแล้วจากการส่ังสมของท่านคือท่านน�ำเงิน
องค์การบรหิ ารส่วนต�ำบลท่าข้าม
88 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
บริจาคที่ญาติโยมเขาท�ำบุญถวายมาแล้วก็น�ำมาซื้อที่ดินบริเวณที่ต้ังวัดปัจจุบันน้ี
ซอ้ื หลายสว่ น หลายเจา้ ของรวม ๆ กนั เขา้ ไดป้ ระมาณ ๘ ไร่ ซงึ่ ไมไ่ ดเ้ ปน็ ทด่ี นิ ทมี่ ผี ใู้ ดถวาย
แตว่ า่ เปน็ ทดี่ นิ ทอี่ ดตี เจา้ อาวาสทา่ นซอ้ื เอง โดยใชเ้ งนิ ปจั จยั ทเ่ี ขาทำ� บญุ มาเกบ็ ไวแ้ ลว้
แลว้ กซ็ อ้ื กนั ไปผอ่ นกนั ไปไดข้ อไดต้ งั้ เปน็ วดั ขนึ้ มากถ็ อื ไดว้ า่ เปน็ ปชู นยี บคุ คลเปน็ บคุ คล
สำ� คัญในทางพระพทุ ธศาสนา
แล้วก็ตัวเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันน้ีถ้าพูดไปแล้วมันก็มีเร่ืองท่ีสอดแทรกเข้ามา
เปน็ เรอ่ื งทเี่ ปดิ เผยไมไ่ ดเ้ กบ็ ไวเ้ ปน็ ความลบั กค็ อื เมอ่ื ชว่ ง พ.ศ. ๒๕๕๗ เจา้ อาวาสวดั โคกสงู
พระมหาวเิ ชยี ร วโิ รจโน ไดล้ าสกิ ขาบทดว้ ยอบุ ตั เิ หตทุ เี่ กดิ ขนึ้ เพยี ง ๑ เดอื น ลาสกิ ขาบท
เพียง ๑ เดือนแล้วก็บวชต่อแล้วก็ได้จ�ำพรรษาต่อ ไม่ได้ขาดสักพรรษาเดียว สาเหตุ
เพราะถูกแจ้งความในข้อหาว่า “มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”
ซง่ึ เปน็ คดอี าญาตอ้ งลาสกิ ขาบท ขอ้ เทจ็ จรงิ คอื ลกู ศษิ ยท์ เ่ี ปน็ พนกั งานขบั รถนำ� ปนื พก
ไปเกบ็ ไวใ้ นรถตู้ ตอ่ มาเจา้ ตวั เสยี ชวี ติ เจา้ อาวาสจงึ เอาปนื กระบอกนน้ั มาเกบ็ รกั ษาไว้
เมื่อเกิดความขัดแย้งกับพระลูกวัดที่ถูกเจ้าอาวาสขับไล่ให้ออกจากวัดแต่พระรูปน้ัน
ไมย่ อมออกและรวมกบั ลกู ศษิ ยอ์ กี กลมุ่ หนง่ึ แจง้ ความดำ� เนนิ คดกี บั เขา้ อาวาส หลงั จากนนั้
เจ้าอาวาสก็อุปสมบทใหม่อีกครั้งท่ีวัดหน้าพระบรมธาตุ ต�ำบลในเมือง อ�ำเภอเมือง
จังหวัดนครศรีธรรมราช กลับมารักษาการเจ้าอาวาสวัดโคกสูงและได้รับการแต่งตั้ง
เป็นเจ้าอาวาสอีกครั้งมีสมณศักดิ์ใหม่เป็นพระครูฐานานุกรมในพระเดชพระคุณ
พระธรรมวงศาจารย์ ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๘ เจ้าอาวาสวัดโคกสมานคุณ
พระอารามหลวงเป็นพระครวู ินัยธร (วเิ ชียร วิโรจโน) เมื่อวนั ที่ ๒๗ ธนั วาคม ๒๕๕๙
(จรญู หยูทอง. สมั ภาษณ์ พระครวู ินยั ธร ณ วัดโคกสงู ต�ำบลทา่ ข้าม อ�ำเภอหาดใหญ่
จงั หวัดสงขลา เมอื่ วนั ที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๔)
องค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบลท่าขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 89
ส�ำนักสงฆว์ ชิรธรรม (เกาะปลัก)
ตง้ั อยหู่ มทู่ ี่ ๔ บา้ นเกาะปลกั หรอื บา้ นปกี ตำ� บลทา่ ขา้ ม
อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พระอธิการเทือน ปนาโท
(พระครูปนาทธรรมคุณ) เจ้าอาวาสวัดหินเกลย้ี งเปน็ ผจู้ ัดตง้ั
เป็นส�ำนักเปรียญพระปริยัติธรรม ประจ�ำต�ำบลท่าข้ามเม่ือ
พ.ศ. ๒๕๐๐ เปิดสอนนักธรรมโดยท่านเป็นผู้สอนเองในปี
พ.ศ. ๒๕๐๖ ชักชวนสามเณรจากวัดท่าข้ามและวัดอ่ืน ๆ
ให้ไปเรียนนักธรรมชั้นตรี สามเณรอรุณ นิลสุวรรณ พระอธกิ ารเทือน ปนาโท
สอบนักธรรมตรีได้เป็นรูปแรกของต�ำบลท่าข้าม ต่อมา (พระครปู นาทธรรมคุณ)
พระอธิการเทือนเห็นว่ามีแววทางการศึกษาจึงได้ปรึกษากับพระอธิการถัด ฐิตเมโท
เจา้ อาวาสวดั พรเุ ตาะ ตำ� บลทงุ่ ใหญ่ วา่ จะสง่ ไปเรยี นพระปรยิ ตั ธิ รรมแผนกบาลเี พอื่ ใหไ้ ด้
มหาเปรยี ญเปน็ รปู แรกในตำ� บลทา่ ขา้ ม พระอธกิ ารถดั เหน็ ดว้ ยจงึ ขอใหพ้ ระใบฎกี าผนั
ปสนโฺ น (พระเทพญาณโมล)ี เจา้ อาวาสวดั ทรายขาว ตำ� บลทงุ่ หวงั อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั สงขลา
น�ำสามเณรอรุณไปฝากเรียนบาลีท่ีวัดคูหาสวรรค์ อ�ำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง เพราะ
พระใบฎีกาผันเคยศึกษาอยู่ที่วัดคูหาสวรรค์มาก่อน ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ สามเณรอรุณ
ไปเรยี นบาลที ว่ี ดั คหู าสวรรคก์ บั พระอาจารยเ์ ซยี้ ง จนทฺ สโร และพระมหาอว่ ม บรู ธกิ าร
จนจบเปรยี ญธรรม ๖ เปน็ รปู แรกของตำ� บลทา่ ขา้ ม เปน็ แรงบนั ดาลใจใหร้ นุ่ นอ้ งยดึ ถอื
เปน็ แบบอยา่ งเขา้ มาศกึ ษานกั ธรรมกบั พระครปู นาทธรรมคณุ (เทอื น ปนาโท) มากขน้ึ
มีผู้จบนักธรรมเอก สอบเปรียญได้และจบปริญญาตรี ปริญญาโทอย่างต่อเน่ือง
ตามลำ� ดับ เทา่ ทีส่ ืบคน้ ได้ มดี ังนี้
๑. พระมหาอรณุ นลิ สวุ รรณ ปธ.๖, พ.ม., พธ.บ., ปรญิ ญาโทจากประเทศอนิ เดยี
(พ.อ. อรณุ )
๒. พระมหาทวีป สมศักดิ์ ปธ.๔, พธ.บ., (อดีตเจา้ อาวาสวัดทา่ ขา้ ม)
๓. พระมหาพล โรพิน ปธ.๗, พธ.บ., ปรญิ ญาโทประเทศสหรฐั อเมริกา
๔. พระรอง นลิ สวุ รรณ นธ.เอก, พธ.บ., (ครโู รงเรยี นหาดใหญว่ ทิ ยาลยั สมบรู ณ์
กุลกนั ยา)
๕. พระมหาเป้ยี น ผ่องผดุ ปธ.๓, พธ.บ.
องค์การบริหารสว่ นตำ� บลทา่ ข้าม
90 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
๖. พระมหาสภุ าพ บญุ ญะคง ปธ.๓ ปริญญาตรี
๗. พระมหานอ้ ม คงมดุ ปธ.๔, ปริญญาตรี
๘. พระมหาจรัล ทองวิไล ปธ.๕, พธ.บ. หอสมุดกาญจนาภิเษก สงขลา
๙. พระมหาวิชาญ คงตง้ ปธ.๕, พธ.บ.
๑๐. พระมหากระจา่ ง ผ่องแผว้ ปธ.๕, ศน.บ.
๑๑. พระมหากมล ณ มณี ปธ.๔, พธ.บ. (เจ้าอาวาสวัดบางขุนเทยี นนอก)
๑๒. พระมหาสมชาย เพชรสวัสด์ิ ปธ.๔, พธ.บ.
๑๓. พระมหามานพ บญุ ญะคง ปธ.๔, พธ.บ.
๑๔. พระมหาพมุ มา บุญญะคง ปธ.๓, พธ.บ.
๑๕. พระมหานพพร บุญญะคง ปธ.๓, พธ.บ.
๑๖. พระมหาสมชาย เฉลมิ วงศ์ ปธ.๓, ปรญิ ญาตรี
๑๗. พระมหามนตรี สุขขวัญ ปธ.๔, เนตบิ ณั ฑิตไทย
๑๘. สามเณรนคร นิลสุวรรณ ปธ.๓
๑๙. สามเณรโอภาส ผ่องผดุ ปธ.๓
๒๐. พระมหาพฒั นา บญุ ญะคง ปธ.๔, พธ.บ.
๒๑. พระมหาณรงค์ แกว้ จารนยั ปธ.๕, พธ.บ.
ส�ำนักสงฆ์วชิรธรรม (เกาะปลัก) ของพระครูปนาทธรรมคุณ (เทือน ปนาโท)
มีวธิ ีการส่งเสรมิ การศึกษาแกเ่ ยาวชน (สามเณร) โดยใชแ้ ผน ๓ ขน้ั ตอนคือ
ขนั้ ท่ี ๑ สำ� รวจสอบถามชาวตำ� บลทา่ ขา้ มทค่ี รอบครวั มฐี านะลำ� บากและไมไ่ ดร้ บั
การศกึ ษาในระบบเทา่ ทคี่ วรจะเปน็ ทา่ นจะไปขอใหม้ าอยกู่ บั ทา่ น ถา้ คนไหนอา่ นหนงั สอื
ไม่ออกท่านจะสอนให้เอง คนไหนดูดีมีแววทางการศึกษา ท่านจะให้บวชเณรเรียน
นกั ธรรมแลว้ สอนวัตรปฏิบัตเิ บอ้ื งตน้ ใหก้ อ่ น
ขั้นที่ ๒ เม่ือสอบนักธรรมช้ันตรไี ด้แล้ว จะสง่ ไปเรียนแผนกบาลี ซง่ึ สว่ นใหญ่
จะส่งไปวัดหงษ์ประดิษฐาราม หาดใหญ่ซึ่งได้รับการยกย่องในช่วงนั้นว่าเป็นส�ำนัก
เรยี นดเี ด่นของภาคใต้
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำบลทา่ ขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 91
ขนั้ ท่ี ๓ แผนการเรยี นบาลขี องทา่ นไมไ่ ดบ้ งั คบั วา่ ใหส้ อบ ปธ.๙ ไดแ้ ละบอกให้
ทกุ รปู เพยี รพยายามใหส้ อบบาลปี ระโยค ป.ธ.๓ ใหไ้ ดเ้ พราะถอื วา่ ไดเ้ ปน็ มหาเปรยี ญแลว้
หลังจากน้ันจะเปล่ียนแผนไปเรียนสาขาอ่ืนก็ได้เพราะผู้สอบได้ ป.ธ.๓ ถือว่าบรรลุ
นติ ิภาวะในทางธรรมแลว้
พ.ศ. ๒๕๓๙ พระครูปนาทธรรมคุณ (เทือน ปนาโท) ได้เร่ิมก่อสร้างศาลา
การเปรียญหลังใหม่ของส�ำนักสงฆ์วชิรธรรม (เกาะปลัก) ทดแทนหลังเก่าที่ช�ำรุด
ทรุดโทรม เพื่อใช้เป็นสถานท่ีบ�ำเพ็ญกุศลและเป็นที่ฝึกอบรมคุณธรรมจริยธรรม
แกเ่ ยาวชนใหเ้ ปน็ มาตรฐาน แตศ่ าลายงั ไมท่ นั เสรจ็ พระครปู นาทธรรมคณุ ไดม้ รณภาพ
ดว้ ยโรคลมปจั จุบันเมอ่ื วันท่ี ๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ สิรริ วมอายุได้ ๖๗ ปี
ปัจจุบันส�ำนักสงฆ์วชิรธรรม (เกาะปลัก) มีบทบาทส�ำคัญในการส่งเสริมและ
พฒั นาคณุ ธรรมจรยิ ธรรมของเยาวชนในตำ� บลทา่ ขา้ มในฐานะ “ศนู ยศ์ กึ ษาพระพทุ ธศาสนา
วนั อาทติ ยต์ ำ� บลทา่ ขา้ ม” (ศอต.ทา่ ขา้ ม) โดยความรว่ มมอื ของคณะสงฆ์ คณะศษิ ยข์ อง
พระครูปนาทธรรมคุณและพุทธศาสนกิ ชนตอ่ เน่อื งมาตลอด
การอบรมเยาวชนภาคฤดรู ้อน
พ.ศ. ๒๕๔๒ หลังการมรณภาพของพระครูปนาทธรรมคุณ ศิษย์ของ
พระครูปนาทธรรมคุณซ่ึงไปศึกษาที่วัดสระเกศ กรุงเทพมหานครกลับมาจ�ำพรรษา
ณ ส�ำนักสงฆ์วชิรธรรม (เกาะปลัก) เพ่ือบ�ำรุงขวัญก�ำลังใจพี่น้องประชาชน เปิดการ
อบรมเยาวชนขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงเข้าพรรษาโดยเชิญชวนเยาวชนลูกหลานในพ้ืนที่
ใกล้เคียงมาท�ำความดีถวายพ่อหลวงเทือน โดยการฝึกไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ
เลา่ นทิ านชาดก ถามตอบปญั หาธรรมะกนั ทกุ วนั ในเวลา ๑๘.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. มเี ยาวชน
มาสมคั รตงั้ แตร่ ะดบั อนบุ าลจนถงึ ม.๓ รวม ๖๑ คน พอวนั ออกพรรษากม็ อบเกยี รตบิ ตั ร
ใหใ้ นนามของเจา้ คณะอำ� เภอหาดใหญ่ พรอ้ มดว้ ยทนุ การศกึ ษาและอปุ กรณก์ ารเรยี น
ผลเปน็ ท่ีพอใจของเยาวชนและผปู้ กครอง
องคก์ ารบริหารส่วนตำ� บลท่าข้าม
92 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
พ.ศ. ๒๕๔๕ ทำ� โครงการจดั ตงั้ ทนุ มลู นธิ ิ “กองทนุ มลู นธิ พิ ระครปู นาทธรรมคณุ
เพ่ือการศึกษา” เพื่อหาเงินเป็นทุนการด�ำเนินการอบรมเยาวชนโดยขออนุมัติ
ทา่ นเจา้ คณุ พระราชวรี าภรณ์ (นมิ ติ จติ ตฺ ทนโฺ ต) เจา้ คณะจงั หวดั สงขลา วดั โคกสมานคณุ
เป็นประธานด�ำเนินโครงการและประธานกรรมการกองทุน ปรากฏว่าเริ่มแรกได้เงิน
เข้ากองทุนเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ กว่าบาท และได้เชิญชวนประชาชนร่วมบริจาคใน
วันท�ำบุญครบรอบวันมรณภาพของพระครูปนาทธรรมคุณต่อเนื่องมาทุกปี ปัจจุบัน
มีเงินเข้ากองทนุ แล้ว ๗๐๐,๐๐๐ กว่าบาท ความหวังอยูท่ ่ี ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๕๔๖ การสร้างศาลาการเปรียญพอใช้ประโยชน์ได้แต่ยังไม่แล้วเสร็จ
สมบูรณ์ จึงได้ขยายผลการฝึกอบรมเยาวชนให้กว้างขวางข้ึนและเป็นระบบมากข้ึน
โดยใชล้ ักษณะคล้าย ๆ กบั ศนู ย์ศกึ ษาพระพุทธศาสนาวนั อาทิตยห์ าดใหญ่ แตอ่ บรม
ในวนั เสารต์ อนเชา้ เวลา ๐๘.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. บนศาลาการเปรยี ญหลงั ใหมโ่ ดยดำ� เนนิ การ
ท�ำหนังสือแจ้งไปยังผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้านในต�ำบลท่าข้ามและโรงเรียนทุกโรงใน
ต�ำบลท่าข้ามและต�ำบลทุ่งใหญ่เพื่อแจ้งให้นักเรียนและผู้ปกครองท่ีสนใจทราบ และ
ขออนุมัติพระเทพวีราภรณ์ (นิมิต จิตตฺทนฺโต) เจ้าคณะจังหวัดสงขลาและประธาน
กองทนุ มลู นธิ พิ ระครปู นาทธรรมคณุ เพอ่ื การศกึ ษา ออกระเบยี บจดั ตงั้ เปน็ ศนู ยอ์ บรม
ช่ือ “ศูนย์ฝึกอบรมศีลธรรมและวัฒนธรรมเยาวชนต�ำบลท่าข้าม” โดยท่านเจ้าคุณ
พระเทพวรี าภรณล์ งนามแตง่ ตง้ั ใหพ้ ระครชู ยตุ สตุ คณุ เจา้ คณะตำ� บลทา่ ขา้ มเปน็ ประธาน
ศูนยฝ์ ่ายสงฆ์ นายสินธพ อินทรัตน์ นายกอบต.ทา่ ขา้ ม เปน็ ประธานฝ่ายคฤหสั ถ์และ
พ.ท.อรุณ นิลสวุ รรณ เปน็ เลขานกุ าร การจัดต้งั ศูนยฝ์ ึกอบรมศลี ธรรมและวฒั นธรรม
เยาวชนต�ำบลท่าข้ามคร้ังนี้ สอดคล้องตามนโยบายของนายสินธพ อินทรัตน์
นายก อบต.ทา่ ขา้ ม
รปู แบบการเรยี นการสอนใชร้ ปู แบบของศพ อ.หาดใหญ่ โดยนมิ นตพ์ ระอาจารย์
จากศพ อ.หาดใหญ่ วัดหงสป์ ระดษิ ฐารามมาช่วยสอน
พ.ศ. ๒๕๔๘ คณะสงฆจ์ งั หวดั สงขลาไดเ้ ปดิ หนว่ ยวทิ ยบรกิ าร มหาจฬุ าลงกรณ์
ราชวทิ ยาลยั ประจำ� จงั หวดั สงขลา ระดบั ปรญิ ญาตรี คณะพทุ ธศาสตร์ เพอ่ื ใหพ้ ระภกิ ษุ
สามเณรไดศ้ กึ ษาวชิ าการทางพทุ ธศาสนาชนั้ สงู ณ วดั หงสป์ ระดษิ ฐาราม อำ� เภอหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา มีพระนิสิตสนใจการอบรมเยาวชนไปจ�ำพรรษาที่ส�ำนักสงฆ์วชิรธรรม
หลายรปู และไดเ้ รมิ่ เปดิ การสอนธรรมศกึ ษาขนึ้ เปน็ ครงั้ แรก มเี ยาวชนสมคั รเขา้ สอบธรรม
องคก์ ารบริหารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 93
ศึกษาช้ันตรีจ�ำนวน ๑๙ คน และสอบได้ ๑๘ คน โดยร่วมสอบท่ีสนามสอบ
วัดหงษ์ประดษิ ฐาราม
เม่ือเยาวชนสอบธรรมศึกษาชั้นตรีได้ ชื่อเสียงของ ศอต.ท่าข้าม ส�ำนักสงฆ์
วชิรธรรม (เกาะปลกั ) เรม่ิ มีชอ่ื เสียงขจรขจาย ผู้ปกครองก็ดีใจ ครูอาจารยใ์ นโรงเรยี น
กภ็ มู ใิ จและสนบั สนนุ ใหเ้ ยาวชนมาสมคั รเรยี นเพม่ิ ขนึ้ เรอื่ ย ๆ การขอรบั การสนบั สนนุ
ดำ� เนินงานก็งา่ ยขึ้น นายสินธพ อินทรัตน์ นายก อบต.ทา่ ขา้ ม ไดจ้ ัดสรรงบประมาณ
อุดหนนุ ปลี ะ ๕๐,๐๐๐ บาท และสนบั สนนุ ตอ่ เนอ่ื งมาทุกปีจนปัจจบุ ัน
พ.ศ. ๒๕๔๙ เมอื่ เยาวชนสมคั รสอบธรรมศกึ ษามากขนึ้ กม็ ปี ญั หาเรอื่ งสถานท่ี
สอบธรรมศกึ ษาของเยาวชนนกั เรยี นทเ่ี คยสง่ ไปสอบกบั วดั หงสป์ ระดษิ ฐาราม สถานท่ี
ไมเ่ พยี งพอ จงึ ขออนมุ ตั พิ ระเทพวรี าภรณ์ ประธานกรรมการกองทนุ มลู นธิ พิ ระครปู นาท
ธรรมคุณเพ่ือการศึกษา ลงนามหนังสือขอใช้สถานท่ีของโรงเรียนหาดใหญ่พิทยาคม
เปน็ สนามสอบธรรมศกึ ษาของคณะสงฆต์ ำ� บลทา่ ขา้ มทำ� ใหโ้ รงเรยี นระดบั ประถมศกึ ษา
ท่ีเป็นเครือขา่ ย ศอต.ทา่ ขา้ ม คือ โรงเรยี นวดั หนิ เกลีย้ ง โรงเรยี นวัดท่าข้าม โรงเรียน
วัดแม่เตย โรงเรียนวัดพรุเตาะ โรงเรียนบ้านทุ่งใหญ่ โรงเรียนบ้านทุ่งงาย ได้เข้าร่วม
สอบธรรมศึกษา ณ โรงเรียนหาดใหญพ่ ทิ ยาคมด้วย
พ.ศ. ๒๕๔๙ นายเอกพงษ์ อสิ โร ศษิ ยอ์ บรมรนุ่ แรกในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ สอบเขา้
ศึกษาต่อระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ไดม้ าขอเปดิ โครงการอบรมเยาวชนภาคฤดรู อ้ น (โครงการพสี่ อนนอ้ ง) ในชว่ งปดิ ภาคเรยี น
ตง้ั แตว่ นั ที่ ๑ - ๓๐ เมษายน ๒๕๔๙ และกลายเปน็ โครงการตอ่ เนอ่ื งมาเปน็ ปที ่ี ๑๔ แลว้
พ.ศ. ๒๕๕๓ ทา่ นเจา้ คณุ พระศรรี ตั นวมิ ล (ชติ ตกิ ขฺ ปญโฺ ญ) ป.ธ.๙ รองเจา้ คณะ
จงั หวดั สงขลาและหวั หนา้ ฝา่ ยวชิ าการ หนว่ ยวทิ ยบรกิ าร มจร.สงขลา วดั หงสป์ ระดษิ ฐาราม
จึงจดั โครงการส่งเสรมิ ศาสนาและศลี ธรรมแก่เยาวชนในจังหวัดสงขลาท้งั ๑๖ อ�ำเภอ
ชอื่ “โครงการเยาวชนสงขลาใจใส ร่วมใจท�ำความดถี วายพอ่ หลวง ๘๐ พรรษา”
ปจั จบุ นั ศนู ยฝ์ กึ อบรมศลี ธรรมและวฒั นธรรมเยาวชนตำ� บลทา่ ขา้ ม (ศอต.ทา่ ขา้ ม)
ไดร้ บั การจดทะเบยี นเปน็ “ศนู ยศ์ กึ ษาพระพทุ ธศาสนาวนั อาทติ ย”์ ในนามของวดั หนิ เกลย้ี ง
ซงึ่ เปน็ วดั ทพี่ ระครปู นาทธรรมคณุ (เทอื น ปนาโท) เคยดำ� รงตำ� แหนง่ เจา้ อาวาสกอ่ นเปน็
หน่วยงานเผยแผ่ของกรมการศาสนา ทะเบียนเลขท่ี ๑/๒๕๕๙ แต่เปิดด�ำเนินการ
องค์การบริหารส่วนตำ� บลท่าขา้ ม
94 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ณ ส�ำนักสงฆ์วชิรธรรม (เกาะปลัก) ใช้ชื่อว่า ศอต.ท่าข้ามเหมือนเดิม ท้ังนี้เพราะ
ส�ำนักสงฆ์วชิรธรรมเป็นส�ำนักสงฆ์ไม่สามารถจดทะเบียนนิติกรรมตามกฎหมายได้
โดยมผี ูบ้ ริหาร ประกอบดว้ ย
๑. พระธรรมวงศาจารย์ ทปี่ รกึ ษา จภ.๑๘ เป็นประธานท่ปี รึกษา
๒. พระครูชยุต สตุ คุณ เจ้าคณะตำ� บลทา่ ขา้ ม ประธานฝ่ายสงฆ์
๓. นาสินธพ อนิ ทรตั น์ นายก อบต.ทา่ ข้าม ประธานฝ่ายคฤหสั ถ์
๔. พระครสู งั ฆรักษ์ (ชอบ ถาวโร) เจา้ อาวาสวดั หนิ เกล้ยี ง ผอู้ �ำนวยการ
๕. พระเทยี บ อตุ ฺตมวโส ผูช้ ่วยเจา้ อาวาสวดั หนิ เกลย้ี ง รองผอู้ ำ� นวยการ
๖. พ.อ.อรุณ นลิ สวุ รรณ อดตี อศจ.ทภ.๔ เลขานกุ าร
มัสยิดบา้ นหนองบวั การอบรมเยาวชนรกั ษห์ นองบวั
จากค�ำบอกเล่าของโต๊ะฮัจยียูซุป
เบ็นหมัด วัย ๘๗ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๔)
เกดิ พ.ศ. ๒๔๗๗ พบวา่ มสั ยดิ บา้ นหนองบวั
พัฒนามาจากสุเหร่าที่มีโครงสร้างเป็นไม้
เม่ือตอนท่ีตนอายุประมาณ ๑๙ - ๒๐ ปี
มาเป็นมัสยิดท่ีมีโครงสร้างเป็นคอนกรีต
เสริมเหล็กอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ส่วน
ซากเสาทเ่ี หน็ อยดู่ า้ นหนา้ ไมไ่ ดเ้ ปน็ สว่ นใด
ส่วนหนึ่งของมัสยิด แต่เป็นห้องสมุดท่ีผู้ใหญ่บ้าน
คนกอ่ นหนา้ นส้ี รา้ งขน้ึ แตย่ งั ไมท่ นั เสรจ็ กถ็ กู ชาวบา้ น
คัดค้านจนต้องยุติโครงการแต่ไม่ได้รื้อถอนเสา
ออกไปจนถงึ วันน้ี
สง่ิ ทนี่ า่ สนใจของชมุ ชนมสุ ลมิ หนงึ่ เดยี วของ
ต�ำบลท่าข้ามแห่งนี้คือที่ดินที่มีผู้บริจาคเป็นกุโบร์
ทฝี่ งั ศพของพนี่ อ้ งมสุ ลมิ ตงั้ อยบู่ รเิ วณเดยี วกบั ปา่ ชา้
วัดหินเกลี้ยง มีเพียงรั้วก้ันแสดงอาณาเขตและ
องค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบลท่าขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 95
ผเู้ ฒา่ ผ้แู ก่ของพีน่ อ้ งมุสลมิ พดู เป็นเสียงเดยี วกันวา่ ไทยพุทธและไทยมุสลมิ ทน่ี อ่ี ยกู่ นั
แบบสมานฉันท์ แม้ว่าจะไม่นิยมสมรสข้ามศาสนาแต่ก็ร่วมประเพณีกันและกัน
ตามสมควรอันไม่ขัดกับหลักการทางศาสนา เช่น ไปร่วมงานศพแต่ไม่นิยมไปร่วม
ในพธิ เี ผาศพหรอื ฝังศพ เปน็ ต้น
นอกจากนน้ั ผใู้ หญบ่ า้ นคนปจั จบุ นั (พ.ศ. ๒๕๖๔) เปน็ ผหู้ ญงิ และเปน็ ไทยพทุ ธ
สังคม ประเพณีและวฒั นธรรม
สังคมลุ่มน�้ำทะเลสาบสงขลาและใกล้เคียงรับเอาวัฒนธรรมของพุทธศาสนา
เป็นรากเหง้าของวัฒนธรรมทัง้ ปวง วัฒนธรรมพุทธศาสนาเปน็ ยอดของความรู้ ความเห็น
พทุ ธศาสนามอี ทิ ธพิ ลตอ่ พทุ ธศาสนกิ ชนทงั้ ทางพฤตกิ รรมและวฒั นธรรมทางศลิ ปกรรม
พุทธศาสนาต้ังมั่นในภาคใต้มายาวนานจึงมีอิทธิพลต่อชาวใต้อย่างลึกซึ้งและ
เหนยี วแนน่ คา่ นยิ มพน้ื ฐานของชาวใตส้ ว่ นใหญจ่ งึ มขี น้ึ อนั สบื เนอื่ งมาแตล่ กั ษณะของ
สงั คมเกษตรกรรม ประกอบดว้ ยวฒั นธรรมทางพทุ ธศาสนา กจิ กรรมทง้ั ปวงของชาวใต้
มีพุทธศาสนาเป็นเข็มทิศชี้ทาง วัฒนธรรมทางพุทธศาสนาบางอย่างเช่ือมโยงไปสู่
ค่านิยมและโลกทรรศน์หลายอย่างและสืบต่อความต่อเน่ืองไปหลายช่ัวอายคน เช่น
ประเพณชี ักพระเดือน ๑๑ ของทุก ๆ ปี ถือวา่ ท�ำใหไ้ รน่ าบรบิ ูรณ์
ชาวใต้ใช้วัดวาอารามเป็นดังคฤหาสน์อันเป็นที่เกิดและที่รอบรู้ทางศิลปะ
ทัศนะวิชา วิทยาศาสตร์ ศีลธรรม วรรณกรรมทางพุทธศาสนาและประเพณีทาง
พุทธศาสนา คือสถาบันให้การศึกษาทง้ั ด้านมโนธรรมและพฤตกิ ารณ์
สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา พทุ ธศาสนามบี ทบาทต่อชาวภาคใต้เป็นพิเศษ นอกเหนือ
จากทกี่ ลา่ วมา สมยั นผ้ี ปู้ กครองรฐั ใชส้ ถาบนั ศาสนาเปน็ อปุ การในการปกครองหวั เมอื ง
ปักษ์ใต้ โดยวิธีการพระราชทานท่ีกัลปนาให้มีข้าพระคนทานอยู่ในอ�ำนาจปกครอง
ของวดั และคณะสงฆใ์ หเ้ จา้ คณะสงฆ์ มหี นา้ ท่ี
“รบั ราชการตามธรรมเนียมและโอบอ้อมเอาเนอ้ื เอาใจสงฆแ์ ละสงฆ์ปลดั รอง
แลขนุ หมนื่ บาญชี นายหมวดแลขา้ พระทงั้ นน้ั อยา่ ใหม้ คี วามยากแคน้ แตกฉาน
ซา่ นกระเซน็ ไปอ่ืนแตค่ นหน่ึงไปได้”
องค์การบรหิ ารสว่ นตำ� บลท่าข้าม
96 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
“ว่ากล่าวขนุ หมน่ื สมบุ าญชี นายหมวด ข้าพระทั้งหลายอยา่ ใหค้ บคดิ
กนั สูบฝิน่ กินสุราและพากนั ไปเทยี่ วปล้นสะดมชาวบา้ นราษฎร”
(ต�ำราพระเพราวัดบางแก้ว. ๒๕๑๓ : ๔๕)
วัฒนธรรมพุทธศาสนาในอดีต มีพลังในการเสริมสร้างและพัฒนาบุคคลและ
สังคมไทย ซ่ึงรัฐเคยใช้เป็นกุศโลบายในการปกครองประเทศ แต่ในปัจจุบัน พลังอัน
เกิดจากวัฒนธรรมทางพุทธศาสนาถูกปล่อยปละให้เสื่อมประโยชน์จึงควรท่ีจะหาวิธี
พัฒนาและนำ� กลับมาใช้ใหเ้ กดิ ประโยชนอ์ ีกคร้งั
วฒั นธรรมของแตล่ ะสงั คมยอ่ มเกดิ ขน้ึ ดว้ ยการสง่ั สมและสบื ตอ่ กนั มายาวนาน
วฒั นธรรมดา้ นหนง่ึ ๆ ยอ่ มเปน็ ผลมาจากวฒั นธรรมหลาย ๆ ดา้ นประสมประสานกนั
และกลายเปน็ มรดกตกทอดทางสงั คมตราบจนปจั จบุ นั และอาจจะยนื ยาวไปถงึ อนาคต
ตามเหตุปัจจัยหรอื บรบิ ททางสังคม
วัฒนธรรมพื้นบ้านแถบลุ่มทะเลสาบสงขลาและใกล้เคียงส่วนใหญ่คล้าย
วฒั นธรรมทกุ สงั คมแถบเอเชยี อาคเนยค์ อื มเี คา้ เงาของวฒั นธรรมทางศาสนาฮนิ ดแู ละ
ศาสนาพทุ ธ เชน่ ภาษา มีค�ำภาษาบาลี สันสกฤตปะปน นยิ ายเกา่ ๆ มีต้นเค้ามาจาก
เรอ่ื งรามายณะ มหาภารตะและนทิ านชาดก ประเพณตี า่ ง ๆ เปน็ การประสมประสาน
ระหวา่ งคตพิ ราหมณ์ และคตพิ ทุ ธ ทงั้ มหายานและหนี ยาน วฒั นธรรมทางพทุ ธศาสนา
มีผลต่อการหล่อหลอมศาสนิกชนให้มีค่านิยม โลกทรรศน์และขนบประเพณีต่าง ๆ
อยา่ งเห็นได้ชัด เช่น การมีเมตตาธรรม คารวะธรรมและสามคั คธี รรม
ประเพณี หมายถงึ สง่ิ ทนี่ ยิ มคอื ประพฤตปิ ฎบิ ตั ติ อ่ ๆ กนั มา จนเปน็ แบบแผน
ขนบธรรมเนยี มหรอื จารตี ประเพณี ประเพณเี กดิ จากทศั นคติ คา่ นยิ มของคนในสงั คม
ทำ� ใหเ้ กดิ ความคดิ ละความเชอื่ ตอ่ สง่ิ หนง่ึ สง่ิ ใด ความเชอ่ื ทำ� ใหเ้ กดิ การกระทำ� แบง่ เปน็
๓ ประเภทคือ ประเพณีส่วนบุคคลหรือประเพณีเก่ียวกับชีวิต ประเพณีส่วนชุมชน
และประเพณีส่วนรัฐบาล ส่วนเทศกาล หมายถึง ช่วงเวลาท่ีก�ำหนดไว้เป็นประเพณี
เพื่อท�ำบุญและการรื่นเริงในท้องถ่ินแต่ละท้องถ่ิน ประเพณีท่ีเกี่ยวกับเทศกาล ได้แก่
ประเพณีตรุษสงกรานต์ ประเพณีวันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันสารทไทย
ลอยกระทง เป็นตน้
องคก์ ารบริหารสว่ นต�ำบลทา่ ขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 97
ความสำ� คญั ของประเพณี คือ ประเพณีเป็นสมบตั ขิ องสงั คมที่มคี วามสมั พันธ์
กับชีวิตของผู้คนและสังคมมาโดยตลอด มีบทบาทหลายประการ ได้แก่ เป็นเครื่อง
ยดึ เหนย่ี วจติ ใจ เปน็ สงิ่ ควบคมุ พฤตกิ รรมของคนในสงั คม เปน็ สญั ลกั ษณช์ นี้ ำ� ใหเ้ ขา้ ใจ
สาระสำ� คญั ของชวี ติ เปน็ เครอ่ื งผกู พนั ความเปน็ พวกเดยี วกนั เปน็ เครอื่ งมอื ผสมผสาน
ความเชอื่ ต่าง ๆ เข้าดว้ ยกนั
เทศกาลงานประเพณที ีส่ ำ� คญั ของชุมชนท่าข้าม มดี งั ต่อไปน้ี
วนั ส�ำคัญทางศาสนาพุทธ
วนั สำ� คญั ทางศาสนาพทุ ธ ไดแ้ ก่ วนั โกน วนั พระ (วนั ขนึ้ และวนั แรม ๗ คำ�่ ๘ คำ�่
กบั ขน้ึ และแรม ๑๔ คำ�่ และ ๑๕ คำ�่ ) วนั มาฆบชู า (วนั ขนึ้ ๑๕ คำ่� เดอื น ๓) วนั วสิ าขบชู า
(วนั ข้ึน ๑๕ คำ่� เดอื น ๖) วนั อฏั ฐมีบูชา (วันแรม ๘ คำ�่ เดอื น ๖) วนั อาสาฬหบูชา
(วันข้ึน ๑๕ ค�่ำ เดือน ๘) วันเข้าพรรษา (วันแรม ๑ ค�่ำ เดือน ๘) วันออกพรรษา
(วนั ขน้ึ ๑๕ คำ�่ เดอื น ๑๑) พธิ ที อดกฐนิ (วนั แรม ๑ คำ�่ เดอื น ๑๑ ถงึ วนั ขน้ึ ๑๕ คำ่� เดอื น ๑๒)
พิธีทอดผา้ ป่า (ไมจ่ ำ� กดั กาล สามารถทำ� ได้ตลอดทง้ั ปี
วนั โกนและวนั พระ
วนั โกน คอื วนั ขนึ้ ๗ คำ่� และวนั ขน้ึ ๑๔ คำ่� กบั วนั แรม ๗ คำ�่ และวนั แรม ๑๔ คำ�่
ของทกุ เดือนเป็นวนั ก่อนวนั พระ ๑ วนั วันพระคือวนั ข้นึ ๘ ค�ำ่ และวนั ข้นึ ๑๕ ค่�ำ กบั
วนั แรม ๘ ค่�ำ และวันแรม ๑๕ ค่ำ�
สมัยพุทธกาลพระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แห่งแคว้นมคธ ได้เข้าเฝ้าพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าซึ่งทรงประทับอยู่ ณ เทือกเขาคิชฌกูฏ ใกล้พระนครราชคฤห์ อันเป็น
เมืองหลวงแห่งแคว้นมคธ และพระเจ้าพิมพิสารได้กราบทูลว่า นักบวชในศาสนาอ่ืน
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำบลท่าข้าม
98 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
มีวันประชุมสนทนาเก่ียวกับหลักธรรมค�ำสั่งสอนในศาสนาของเขา แต่ชาวพุทธนั้น
ยงั ไมม่ ี พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษสุ งฆป์ ระชมุ สนทนาธรรมและแสดงพระธรรม
เทศนาแก่ประชาชนในวัน ๘ ค่�ำ ๑๔ ค่�ำและ ๑๕ ค�่ำ ตามค�ำขออนุญาตของ
พระเจ้าพิมพิสาร ต่อมาเม่ือพระพุทธศาสนาแพร่หลายเข้ามาในประเทศไทย
พุทธศาสนิกชนจึงถือเอาวันดังกล่าวเป็นวันธรรมสวนะ เพ่ือถือศีล ปฏิบัติธรรมและ
ประกอบบุญกุศลมาตง้ั แต่สมัยกรงุ สุโขทัย
ขอ้ ปฏบิ ัติในวนั พระและวนั สำ� คัญทางพทุ ธศาสนา
๑) ทำ� บญุ ตกั บาตร ถอื ศลี ปฏบิ ัตธิ รรม ฟงั พระธรรมเทศนา
๒) ปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาด งดการเท่ียวเตร่ ละเว้นอบายมุข ละเว้น
การฆา่ สตั ว์ตัดชวี ิตและบริโภคเนือ้ สตั ว์
๓) ศกึ ษาข้อธรรมคำ� สงั่ สอนขององคส์ ัมมาสัมพุทธเจา้
๔) ประกอบพธิ ที างพระพุทธศาสนา
อานิสงสใ์ นการฟังธรรม มี ๕ ประการ
๑) ย่อมไดฟ้ งั สง่ิ ท่ไี มเ่ คยฟงั
๒) ส่ิงท่ไี ด้ฟังแล้วย่อมเขา้ ใจชดั เจนแตกฉานยิง่ ขน้ึ
๓) บรรเทาความสงสยั เสยี ได้
๔) ทำ� ความเห็นใหต้ รงใหถ้ กู ต้อง
๕) จิตของผฟู้ งั ยอ่ มผอ่ งใส
วนั มาฆบชู า
วนั มาฆบชู าตรงกบั วนั ขนึ้ ๑๕ คำ่� เดอื น ๓ หรอื วนั เพญ็ กลางเดอื น ๓ (ประมาณ
เดือนกุมภาพันธ์) ซ่ึงเป็นวันท่ีดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ มาฆบูชาย่อมาจากค�ำว่า
“มาฆปรุ ณมบี ชู า” แปลวา่ “การบชู าพระในวนั เพญ็ เดอื น ๓” ถอื เปน็ วนั จาตรุ งคสนั นบิ าต
แปลวา่ การประชมุ อนั ประกอบดว้ ยองค์ ๔ ซงึ่ เปน็ เหตกุ ารณอ์ ศั จรรยเ์ กดิ ขนึ้ พรอ้ มกนั
ในสมยั พทุ ธกาล
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำบลทา่ ขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 99
๑) พระสงฆจ์ ำ� นวน ๑,๒๕๐ รปู ซง่ึ จารกิ ไปเผยแพรพ่ ระพทุ ธศาสนาในสถานที่
ตา่ ง ๆ เดินทางมาเฝา้ พระพุทธเจ้า ณ เวฬวุ ันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ
๒) พระสงฆจ์ ำ� นวน ๑,๒๕๐ รปู ลว้ นเปน็ พระอรหนั ตแ์ ละไดร้ ับการบวชจาก
พระพุทธเจา้ โดยตรงดว้ ยวธิ ีเอหภิ กิ ขอุ ุปสัมปทา
๓) พระสงฆจ์ ำ� นวน ๑,๒๕๐ รปู ตา่ งมาประชมุ พรอ้ มเพรยี งกนั โดยมไิ ดน้ ดั หมาย
๔) วนั ทมี่ าประชมุ ตรงกบั วนั เพญ็ เดอื นมาฆะ (วนั เพญ็ กลาง เดอื น ๓) เปน็ วนั ที่
พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาคือ
โอวาทปาติโมกข์
โอวาทปาติโมกข์ คือ ข้อธรรมย่ออันเป็นหลักหรือหัวใจส�ำคัญของ
พระพุทธศาสนา ๓ ประการ ไดแ้ ก่
๑) ไม่ทำ� ความช่ัวทง้ั ปวง
๒) ท�ำความดใี ห้ถงึ พรอ้ ม
๓) ท�ำจิตใจใหบ้ ริสุทธ์ิผอ่ งใส
พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ที่วัดเวฬุวนาราม เวลาบ่าย
ในพระนครราชคฤห์ ทรงปลงอายุสังขารคือตั้งพระทัยว่า “ต่อแต่นี้ไปอีก ๓ เดือน
เราจกั เสดจ็ ดบั ขันปรินพิ พาน” เม่อื มีพระชนมายุ ๘๐ พรรษา ด้วยเหตุน้ี ชาวพทุ ธจงึ
ถอื วา่ วนั มาฆบชู าเปน็ วนั ทมี่ คี วามสำ� คญั เกย่ี วกบั พระพทุ ธเจา้ ๒ ประการคอื เปน็ วนั ท่ี
แสดงโอวาทปาตโิ มกข์และเปน็ วนั ปลงอายุสังขาร
องค์การบริหารส่วนตำ� บลทา่ ขา้ ม
100 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
การมาฆบูชาน้ีแต่เดิมไม่ได้ท�ำมา เพิ่งเกิดขึ้นเม่ือแผ่นดินพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงตามแบบโบราณบณั ฑติ นยิ มไวว้ า่ วนั มาฆปรุ ณมี พระจนั ทร์
เสวยมาฆฤกษ์ มาฆะเต็มบริบูรณ์ การประกอบพิธีส�ำหรับประชาชนท่ัวไป หากเป็น
สถานศกึ ษา ครอู าจารยจ์ ะนำ� นกั เรยี นไปประกอบพธิ ที วี่ ดั โดยบอกกำ� หนดการนดั หมาย
ทแ่ี นน่ อน รวมทงั้ บอกวดั ทจ่ี ะไปทำ� พธิ ี นกั เรยี นนำ� ดอกไมธ้ ปู เทยี นไปยงั สถานทนี่ ดั หมาย
ในตอนบา่ ยหรอื เยน็ สำ� หรบั ประชาชนทว่ั ไปจะจดั เตรยี มเครอื่ งสกั การะ เชน่ ดอกไม้ ธปู
เทยี น ไปพรอ้ มกนั ทว่ี ดั ในเวลาเยน็ หรอื คำ�่ เพอื่ ประกอบพธิ มี าฆบชู า การประกอบพธิ ี
ส่วนใหญ่จะกระท�ำกันท่ีโบสถ์เพราะหลังจากฟังโอวาทและสวดมนต์เสร็จแล้วจะมี
การเวียนเทียนรอบโบสถ์
พระสงฆจ์ ะเปน็ ผนู้ ำ� ในการประกอบพธิ ี มกี ารใหโ้ อวาท สวดมนตแ์ ละนำ� ในการ
เวยี นเทียน มีการแสดงพระธรรมเทศนาเก่ยี วกบั ประวตั ิความเปน็ มาของวันมาฆบชู า
มีการน่ังสมาธิ เจริญภาวนา ตามสมควร
กจิ กรรมต่าง ๆ ในวนั มาฆบูชา
๑) ทำ� บญุ ใสบ่ าตรในตอนเชา้
๒) ไปวัดเพ่อื ปฏบิ ตั ธิ รรม
๓) ไปเวยี นเทียนทีว่ ัด
๔) ประดับธงชาตติ ามอาคารบ้านเรือนและสถานท่รี าชการ
องค์การบริหารส่วนตำ� บลท่าขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 101
วนั วิสาขบูชา
วันวิสาขบูชาตรงกับวันเพ็ญเดือน ๖ หรือ
วันข้ึน ๑๕ ค�่ำ เดือน ๖ ราวเดือนพฤษภาคม
วสิ าขบชู า ยอ่ มาจากคำ� วา่ “วสิ าขปรุ ณมบี ชู า” แปลวา่
การบูชาพระในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ คือ เดือน ๖
ซงึ่ มเี หตกุ ารณ์สำ� คัญเกดิ ขึน้ ๓ ประการ ดังน้ี
๑) เปน็ วนั ประสตู ขิ องเจา้ ชายสทิ ธตั ถะ ณ สวนลมุ พนิ วิ นั อยรู่ ะหวา่ งกรงุ กบลิ พสั ด์ุ
กบั กรงุ เทวทหะ แควน้ สกั กะ เมอื่ เชา้ วนั ศกุ ร์ ขน้ึ ๑๕ คำ่� เดอื น ๖ ปจี อ กอ่ นพทุ ธศกั ราช
๘๐ ปี ซง่ึ ตอ่ มาพระองคไ์ ดอ้ อกบวชจนบรรลอุ นตุ ตรสมั มาสมั โพธญิ าณ เปน็ พระอรหนั ต์
สมั มาสัมพทุ ธเจ้า จึงถือวา่ วนั นีเ้ ปน็ วนั ประสตู ขิ องพระพทุ ธเจา้
๒) เป็นวันตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ณ ร่มพระศรีมหาโพธ์ิบัลลังก์ ริมฝั่งแม่น้�ำ
เนรัญชรา ต�ำบลอรุ ุเวลาเสนานิคม แควน้ มคธ ในตอนเช้ามดื ของวนั พุธ ข้ึน ๑๕ ค�่ำ
เดือน ๖ ปีระกา ก่อนพุทธศกั ราช ๔๕ ปี
๓) เปน็ วนั ปรนิ พิ พานของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ณ รม่ ไมร้ งั คู่ ในสาลวโนทยาน
ของมลั ลกษตั รยิ ์ ใกล้เมอื งกสุ ินารา แควน้ มลั ละ เมอื่ วันองั คาร ขึ้น ๑๕ ค่ำ� เดอื น ๖
ปมี ะเสง็ รวมสิรมิ ายไุ ด้ ๘๐ พรรษา กอ่ นพุทธศักราช ๑ ปี
ธรรมะทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั รคู้ อื อรยิ สจั ๔ หรอื ความจรงิ อนั ประเสรฐิ ๔ ประการ
ได้แก่
๑) ทกุ ข์ คอื ความลำ� บาก ความไมส่ บายกายไมส่ บายใจ
๒) สมุทยั คอื เหตุท่ีท�ำให้ทกุ ข์เกิด
๓) นิโรธ คือความดบั ทกุ ข์
๔) มรรค คอื ข้อปฏบิ ัตใิ ห้ถึงความดับแหง่ ทกุ ข์
จุดม่งหมายในการประกอบพิธีในวันวิสาขบูชาเพ่ือร�ำลึกถึงพระวิสุทธิคุณ
พระปญั ญาคณุ และพระมหากรณุ าธคิ ณุ ของพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ทม่ี ตี อ่ มวลมนษุ ยชาติ
และสรรพสัตว์ อีกท้ังเพื่อเป็นการร�ำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ท้ัง ๓ ประการ
ท่ีมาบังเกิดในวันเดียวกันและเพ่ือให้เหล่าพุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสศึกษาหาความรู้
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ข้าม
102 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ความเป็นไปเก่ียวกับพระพุทธศาสนาและน�ำหลักธรรมค�ำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
มาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ
ในประเทศไทย มีการประกอบพิธีในวันวิสาขบูชามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่
สมยั อยธุ ยาและธนบรไี มม่ หี ลกั ฐานวา่ ไดป้ ระกอบพธิ รี ในวนั สำ� คญั นห้ี รอื ไม่ มกี ารฟน้ื ฟู
ข้ึนใหม่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เม่ือปีฉลู พ.ศ. ๒๓๖๐ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ซึ่งสมเด็จ
พระสังฆราชมี ได้ถวายพระพรให้ทรงท�ำพระราชกุศลเน่ืองในวันวิสาขบูชาข้ึนมาอีก
ครั้งหนง่ึ
ส� ำ ห รั บ ป ร ะ ช า ช น ท่ั ว ไ ป
การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชามีการ
ปฏิบัติเหมือนกับวันมาฆบูชา จะมี
เปล่ียนแปลงบ้างเฉพาะการกล่าวถึง
ประวัติ ความเป็นมาของวันส�ำคัญนี้
แ ล ะ ส� ำ ห รั บ บ ท ส ว ด ม น ต ์ บู ช า พ ร ะ
ใชอ้ นั เดียวกัน ยกเว้นแต่บทสวดบูชาในวันวสิ าขบชู าซงึ่ ต่างบทสวดในวนั มาฆบูชา
วนั อาสาฬหบูชา
ตรงกับวนั ขนึ้ ๑๕ ค่�ำ เดอื น ๘ หรอื
วนั เพญ็ เดอื น ๘ หรอื ราวเดอื นกรกฎาคม เปน็
วนั พระจนั ทรเ์ สวยอาสาฬหฤกษ์ อาสาฬหบชู า
ย่อมาจาก “อาสาฬหปุรณมีบูชา” แปลว่า
“การบชู าในวนั เพญ็ เดอื นอาสาฬห คอื เดอื น ๘
ถือเป็นวันส�ำคัญทางพุทธศาสนาเพราะมี
เหตุการณ์สำ� คัญเกิดข้ึน ๓ ประการ คอื
๑) เปน็ วนั ท่ีพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนา ธรรมจกั กัปวัตนสตู ร
อันมีความส�ำคัญกล่าวถึงอริยสัจหรือความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ได้แก่ ทุกข์
สมทุ ยั นโิ รธ มรรค ที่ปา่ อิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมอื งพาราณสี โดยทรงแสดงธรรม
เพอ่ื โปรดปญั จวคั คยี ท์ ้งั ๕ คืออัญญาโกณฑัญญะ วปั ปะ ภทั ทิยะ มหานามะ อัสสชิ
ถอื เป็นวันทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงประกาศศาสนา
องคก์ ารบรหิ ารส่วนต�ำบลท่าขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 103
๒) เปน็ วนั ทเ่ี กดิ สงั ฆรตั นะหรอื เกดิ พระอรยิ สงฆส์ าวกนพระพทุ ธศาสนาขนึ้ ครง้ั
แรกในโลก พระอรยิ สงฆส์ าวกองคแ์ รกคอื พระอญั ญาโกณฑญั ญะ ซง่ึ บรรลโุ สดาบนั ทลู
ขอบวชเปน็ ภกิ ษรุ ูปแรกในพระพทุ ธศาสนาด้วยวิธเี อหิภกิ ขอุ ปุ สัมปทา
๓) เป็นวันที่พระรัตนตรัยคือพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์เกิดขึ้นครบ
๓ ประการเป็นคร้งั แรก
การปฏิบตั ิในวันอาสาฬหบูชา
เชน่ เดยี วกบั การปฏบิ ตั ใิ นวนั มาฆบชู า
และวิสาขบูชา คือมีการถือศีล
ป ฏิ บั ติ ธ ร ร ม เวี ย น เ ที ย น แ ล ะ
ฟังพระธรรมเทศนา
วันเข้าพรรษา
วนั เข้าพรรษา กำ� หนด ๒ ระยะ คือ ปรุ มิ พรรษาและปัจฉมิ พรรษา ปรุ มิ พรรษา
คอื วันเข้าพรรษาต้น ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ� เดือน ๘ ของทกุ ปี หรอื ราวเดือนกรกฎาคม
และออกพรรษาในวนั ขึ้น ๑๕ คำ�่ เดือน ๑๑ หรือราวเดือนตุลาคม
ปจั ฉมิ พรรษา คอื วนั เขา้ พรรษหลงั ตรงกบั วนั แรม ๑ คำ่� เดอื น ๙ หรอื ราวเดอื น
สงิ หาคม และจะออกพรรษาในวนั ขน้ึ ๑๕ คำ�่ เดอื น ๑๒ ราวเดอื นพฤศจกิ ายน (ปจั จบุ นั
ไม่มแี ลว้ )
นกั เรียนโรงเรยี นวัดหนิ เกลี้ยงถวายเทยี นพรรษา
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำบลทา่ ข้าม
104 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ความหมายของวันเข้าพรรษา คือ เป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์อธิษฐานว่าจะพัก
ประจำ� อยู่ ณ ทแ่ี หง่ ใดแหง่ หนงึ่ ตลอดระยะเวลาฤดฝู นมกี ำ� หนด ๓ เดอื น ตามพระวนิ ยั
บญั ญตั ิ โดยไมไ่ ปคา้ งแรมทอ่ี นื่ เรยี กกนั โดยทว่ั ไปวา่ “จำ� พรรษา” วนั เขา้ พรรษาตรงกบั
ฤดฝู นจงึ มชี อื่ เรยี กตามภาษาบาลวี า่ “วสั สานะ” มกี ำ� หนดตามฤดฝู น ๔ เดอื น แตใ่ หอ้ ยู่
ประจ�ำอาวาสเพียง ๓ เดือน พอเดือนท่ี ๔ กำ� หนดใหห้ าจีวรมาผลัดเปลีย่ นเรียกวา่
“เดือนจีวรกาล” และเป็นช่วงท่พี ุทธศาสนิกชนจะประกอบพธิ ที อดกฐิน
พธิ ตี า่ ง ๆ ในวนั เขา้ พรรษา ประกอบดว้ ย พธิ หี ลอ่ เทยี นพรรษา หรอื หลอ่ เทยี น
จ�ำนำ� พรรษาและพธิ ีถวายผ้าอาบน�้ำฝน
พิธีหล่อเทียนพรรษา มีความเป็นมาต้ังแต่คร้ังโบราณ เพราะเม่ือสมัยก่อน
ยงั ไมม่ ไี ฟฟา้ ใชอ้ ยา่ งในปจั จบุ นั เวลาพระภกิ ษสุ ามเณรจำ� สวดมนตท์ อ่ งจำ� ตำ� รบั ตำ� รา
ตอ้ งอาศยั แสงสวา่ งจากคบ ตะเกยี งและเทยี นไข ชาวบา้ นจงึ พรอ้ มใจกนั หลอ่ เทยี นถวาย
โดยการเรี่ยไรขี้ผ้ึงจากผู้มีจิตศรัทธา เม่ือมีมากพอแล้วจึงท�ำการหล่อเทียน ท�ำการ
ตกแต่ง ประดับประดาและแกะสลักลวดลายสวยงาม มีการประกวดประชัน
ความสวยงามกัน
กอ่ นถงึ วนั เขา้ พรรษา ๑ วนั จะจดั ให้มกี ารฉลองต้นเทียน กลางคนื มีมหรสพ
สมโภช นิมนต์พระมาสวดเจริญพระพุทธมนต์ พอรุ่งเช้าเป็นวันเข้าพรรษาจึงแห่
ต้นเทียนไปถวายพระทวี่ ดั ตา่ ง ๆ
ประเพณลี าซงั บ้านหนิ เกล้ยี ง
ประเพณีลาซัง เป็นประเพณีประจ�ำปีของชาวนาแถบ
จังหวัดชายแดนภาคใต้เรียกช่ือแตกต่างกันไป เช่น แถบสายบุรี
เรยี ก “ลาซงั ” ไทยพทุ ธแถวตากใบเรยี ก “ลม้ ซัง” บ้าง “กินหนมจนี ”
บ้าง “กินพ้องข้าว” บ้าง ไทยมุสลิมเรียก “ปูยอมือแน” สาเหตุที่
ท�ำให้เกิดประเพณีรี้สืบเน่ืองมาจากความเชื่อในเร่ืองท่ีนาและ
แม่โพสพ โดยเช่ือวา่ ถา้ จดั ท�ำพธิ แี ล้วจะท�ำใหข้ า้ วในนาปีต่อไปงอกงาม
ให้ผลผลิตสูง เพราะชาวนารู้คุณเจ้าท่ีนาและแม่โพสพ ท�ำกันในเดือนหก ท่ีสายบุรี
วนั จนั ทรว์ นั ใดวนั หนง่ึ ของเดอื น โดยเลอื กเอาวนั คข่ี า้ งขนึ้ ขา้ งแรมกไ็ ดแ้ ลว้ แตช่ าวบา้ น
จะตกลงกนั และทำ� พรอ้ มกนั สว่ นทตี่ ากใบแตล่ ะหมบู่ า้ นอาจจะทำ� ไมพ่ รอ้ มกนั ขน้ึ อยกู่ บั
ความพรอ้ มของแตล่ ะหม่บู า้ น
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลท่าข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 105
ส�ำหรบั ในชมุ ชนทา่ ข้ามเรยี กว่าประเพณฉี ลองซังข้าว (งานลาซัง)
ประเพณี “งานฉลองซงั ขา้ ว” เปน็ ประเพณที จ่ี ดั ขนึ้ หลงั จากฤดกู ารเกบ็ เกย่ี วขา้ ว
ได้มีการสืบทอดกันมาช้านาน เพื่อเป็นการถวายสักการะต่อพระแม่โพสพและ
เป็นพิธีฉลองซังข้าว จัดข้ึน เป็นประจ�ำทุกปี (ซ่ึงตรงกับวันขึ้น ๙ ค�่ำ เดือน ๕
ของทุกปี) ณ ศาลาต้นประดู่ บ้านหินเกลย้ี ง หมู่ที่ ๖ ต�ำบลท่าข้าม อ�ำเภอหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา มีการจัดกจิ กรรมตา่ ง ๆ เชน่ พิธกี รรมการทำ� ขวญั ขา้ ว, พิธีแหน่ มข้าว,
กิจกรรมท�ำกิน “วิถีนา วิถีทุ่ง”, การแข่งขันประเพณีพื้นบ้านและภูมิปัญญาต่าง ๆ
การแสดงรน่ื เรงิ ต่าง ๆ ฯลฯ
องค์การบริหารสว่ นต�ำบลท่าข้าม
106 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ประเพณลี ากพระเดือนหา้
ปกติประเพณีลากพระของชาวใต้นิยมท�ำกันในวันแรม ๑ ค่�ำเดือน ๑๑
ของทุกปี แตใ่ นบางทอ้ งที่ เช่น ต�ำบลทา่ ขา้ มมีการลากพระในวันแรม ๑ ค่ำ� เดอื น ๕
เริ่มมคี ร้ังแรกทว่ี ดั เขากลอย สมยั นายบา้ นรักษ์ จนั ทชูโต เนอื่ งจากในปนี ั้นฝนแล้งจัด
จนชาวบ้านไม่อาจจะตกกล้าเพื่อท�ำนาในเดือน ๖ ได้เหมือนทุกปี เกิดวิกฤตภัยแล้ง
มีโรคระบาดสัตว์เลี้ยง วัว ควาย หมู เป็ดไก่ ล้มตายเป็นจ�ำนานมาก นายบ้านรักษ์
จันทชูโต บ้านนาหลาจึงบนบานว่าให้ฝนตกแล้วจะจัดพิธีลากพระถวายในเดือน ๕
พร้อมทั้งท�ำปลาช่อนปิดทองถวาย ตามคติความเชื่อของชาวใต้ว่าการลากพระ
จะเปน็ เหมอื นการแหน่ างแมวขอฝนของชาวภาคอสี านคอื การลากพระจะทำ� ใหฝ้ นตก
เม่ือเรือพระกลับถงึ วดั
เมอ่ื ฝนตกตามทบี่ นบานเอาไวก้ ต็ อ้ งจดั พธิ ลี ากพระครง้ั แรกโดยยงั ไมม่ พี ระลาก
ใชเ้ รือพระทีเ่ ป็นเรอื ไม้ ชกั ลากไปบนหนวนหรือขอนไม้ นำ� เรอื พระไปจอดใหช้ าวบา้ น
รว่ มพธิ ที ตี่ ลาดนดั นาหลา ตอ่ มามนี ายชา่ งทำ� พระจากคาบสมทุ รสทงิ พระหรอื “ชาวบก”
มาขโมยพลนู ายบา้ นรกั ษ์ จนั ทชโู ต นายบา้ นรกั ษจ์ บั ได้ แตเ่ มอื่ รวู้ า่ เปน็ นายชา่ งทำ� พระ
จงึ ไมเ่ อาความแตต่ อ้ งทำ� พระไมม้ าเปน็ พระลากประกอบเรอื พระในปตี อ่ ไปแทน ๑ องค์
พระพุทธรปู องค์น้ชี าวบา้ นจึงเรียกว่า “พระขา้ วแห้ง” ตลอดมาจนปจั จุบนั
ต่อมาจึงใช้พระข้าวแห้งเป็นพระลากประดิษฐานในเรือพระตลอดมา และ
มกี ารลากพระเดอื น ๕ ทกุ วดั ในตำ� บลทา่ ขา้ ม ในงานลากพระมปี ระเพณใี หค้ นทะเลาะ
ววิ าท ทำ� รา้ ยรา่ งกายกนั จนถงึ แกช่ วี ติ กม็ ี ถา้ เปน็ ผชู้ ายจะใช้ “ไมโ้ ท”้ (เสารวั้ บา้ น) ตกี นั
หรือใช้มีดแทงกัน ถ้าเป็นผู้หญิงก็ใช้ร่มตีกัน ส่วนก�ำนัน ผู้ใหญ่บ้านมีหน้าท่ีอ�ำนวย
ความสะดวก ปลอดภยั ในทรพั ยส์ ินโดยเฉพาะสรอ้ ยคอ
ประเพณีลากพระเดอื น ๕ ใชเ้ วลา ๒ วัน ๑ คืนมกี ารตักบาตรและแห่เรือพระ
แตไ่ ม่เรียกวา่ “ตักบาตรเทโวโรหนะ”
องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ� บลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 107
ประเพณีสงกรานต์/วนั วา่ ง
วันว่าง เป็นประเพณีส�ำคัญของชาวใต้และชาวชุมชนท่าข้าม คล้ายประเพณี
สงกรานต์ของภาคอ่ืน ๆ แต่มีขนบในการปฏิบัติแตกต่างกันหลายลักษณะ ท่ีส�ำคัญ
คอื ต้องงดเว้นการเสาะหาเคร่อื งอุปโภคบริโภคเพือ่ วนั ขา้ งหนา้ ตอ้ งวา่ งเว้นการซอ้ ม
สีข้าวสาร การหากับขา้ ว ปู ปลา ผักหญ้า หา้ มอาบนำ�้ ในแมน่ ำ้� ล�ำคลอง หา้ มตดั ผม
ตดั เล็บ ตดั รานตน้ ไมก้ ่ิงไม้ หา้ มฆ่าสัตวท์ กุ ชนิด ไม่กล่าวค�ำหยาบและดา่ ว่า แม้แต่โจร
ผรู้ า้ ยในสมยั ก่อนยงั งดเวน้ การโจรกรรมในวันว่าง
เบญจาหรอื บุษบกส�ำหรบั สรงน�้ำพระ สรงน้�ำผู้สงู อายุ
ต้องปล่อยสัตว์เลี้ยงให้หากินอย่างเสรี ต้องประกอบการกุศล ท�ำบุญท�ำทาน
ตกั บาตร ฟังเทศน์ฟังธรรม สรงน�้ำพระพทุ ธรูป ปล่อยนกปล่อยปลา ให้ทรพั ย์สินแก่
ผู้เยาว์ อาบน�้ำ สระหัวผู้เฒ่าผู้แก่และจัดหาเส้ือผ้าแพรพรรณนุ่งห่มให้ ขอศีลขอพร
จากทา่ นและยงั มพี ิธมี งคลอ่นื ๆ อกี หลายอยา่ ง
ประเพณีวันวา่ ง ทำ� กนั ๓ วนั ตรงกบั วันที่ ๑๓ - ๑๔ - ๑๕ เมษายน เดือน ๕
ของทกุ ปี ปีใดมอี ธกิ มาสคือเดอื น ๘ สองหนก็ตรงกบั เดอื น ๖
กอ่ นถงึ วนั วา่ ง จะมเี พลงบอกออกขบั ตามทกุ บา้ นเรอื นเพอื่ บอกกำ� หนดวนั วา่ ง
ของปีนั้น ๆ วันใดเป็นวันดี วันใดเป็นวันอุบาทว์ วันโลกาวินาศ จะมีฝนตกต้อง
ตามฤดูกาลหรือไม่ พืชพรรณธัญญาหารจะอุดมสมบูรณ์หรือไม่ มีนาคให้น�้ำกี่ตัว
บอกเล่าต�ำนานสงกรานต์
ก่อนวันว่างมาถึง ทุกครัวเรือนต้องเร่งท�ำงานให้เสร็จ จัดเตรียมอาหาร
มาสำ� รองไวใ้ หพ้ อตลอด ๓ วนั นำ� สาก ครกมาวางไวใ้ นทเี่ ปดิ เผย แชส่ ากแชค่ รก จดั หา
ข้าวเหนยี ว น้ำ� ตาล มะพรา้ ว ส�ำหรับท�ำขนม จัดหาเส้อื ผ้าชุดใหมใ่ หล้ ูกหลานสวมใส่
ในวนั วา่ ง บตุ รหลานเตรยี มเสอื้ ผา้ แพรพรรณใหบ้ ดิ ามารดาปยู่ า่ ตายายสวมใสห่ ลงั จาก
อาบน้ำ� “สระหวั ” เตรียมน�ำ้ อบ นำ�้ หอมไว้ใหพ้ รอ้ ม
องค์การบริหารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม
108 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ทำ� ความสะอาดบ้านเรือน พน้ื บ้าน ลานบา้ น ลานดนิ ห้องครัว ขัดหมอ้ หงุ ตม้
จดั เกบ็ เคร่ืองมือเคร่อื งใช้ เช่น ไถ คราด จอบ เสียม ใหเ้ ป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ย
เม่ือถึงวันว่าง ทุกคนต้องท�ำจิตใจให้เบิกบาน อาบน�้ำแต่งตัวต้ังแต่เช้าตรู่
ประดับแก้วแหวนเงินทองอย่างเต็มที่ ท�ำบุญตักบาตร เตรียมส�ำรับกับข้าวไปท�ำบุญ
ท�ำทาน ถวายภัตตาหารเพลที่วัดใกล้บ้าน ไปกันทั้งครอบครัว บังสุกุลบัวของปู่ย่า
ตายาย
สงิ่ ทน่ี ำ� ไปวดั นอกจากสำ� รบั กบั ขา้ วแลว้ คอื มดั รวงขา้ วนำ� ไปทำ� ขวญั ขา้ วประจำ�
ลอมข้าว เลือกเอาข้าวพันธุ์ดีที่สุด ผลผลิตดีท่ีสุด คือรวงยาวใหญ่ เมล็ดโตและดก
ประมาณ ๓ กำ� เลก็ ๆ ใชด้ า้ ยขาวแดงมดั รวบอยา่ งสวยงาม จดั วางบนพานหรอื ถาด
น�ำไปรวมในการท�ำพิธีท่ีวัดเรียกว่า “ท�ำขวัญข้าวใหญ่” เพื่อเป็นสิริมงคลในการท�ำ
มาหากินต่อไป เสรจ็ แลว้ นำ� มาจดั เก็บไว้บนลอมขา้ ว
ร่วมกันสวดมนต์ รับศีล ฟังเทศน์ ฟังธรรม ถวายภัตตาหารเพล นิมนต์พระ
บงั สกุ ลุ กระดกู ปยู่ า่ ตายายหรอื บรรพชน นมิ นตพ์ ระประกอบพธิ ที ำ� ขวญั ขา้ ว ปลอ่ ยนก
ปลอ่ ยปลา สรงน้ำ� พระพุทธรปู อาบนำ้� พระภิกษเุ จา้ อาวาสและสมณะสงู อายุ อาบน้�ำ
ผู้เฒ่าผู้แก่ ท�ำเบญจาอย่างสวยงามประดับด้วยลายแทงหยวก ใต้ยอดเบญจาจะมี
หัวพญานาคใหพ้ น่ น�้ำออกมาทางปากคล้ายฝอยฝน
ผู้ที่จะร่วมแสดงความกตัญญูจะน�ำน้�ำมาเองคนละขัน ปรุงเจือด้วยน้�ำหอม
โรยกลบี ดอกบัว กลีบดอกกุหลาบ ดอกมะลแิ ละเครื่องประทนิ อื่น ๆ นิมนตพ์ ระสงฆ์
อาวุโสทีส่ ุดข้นึ นงั่ บนฐานเบญจา เปดิ น�ำ้ จากลำ� เรอื ให้ไหลมาตามทอ่ พุง่ กระจายออก
จากทางชอ่ งปากพญานาคคลา้ ยนาคพน่ น�ำ้ จงึ เรยี กว่า “สระหวั ”
การอาบน้�ำผู้เฒ่าผู้แก่ลูกหลานญาติมิตรจะจัดกันเองที่บ้าน เสร็จแล้ว
สวมเสื้อผ้าใหม่แก่ปู่ย่าตายาย จากน้ันจะมีการเล่นสาดนำ�้ กันแต่จะไม่สาดพร่�ำเพร่ือ
ไปถึงข้างถนนหนทาง ประเพณีวันว่างของท่าข้ามและภาคใต้ ไม่มีการประกวด
นางสงกรานต์หรือเทพสี งกรานต์ เหล่านเี้ ปน็ คตขิ องภาคอนื่
การรน่ื เรงิ ในวนั วา่ ง ไดแ้ ก่ การเลน่ กฬี าหรอื การละเลน่ พนื้ เมอื ง เชน่ เลน่ โนรา
ดิบ เล่นสะบ้าแลกเชลย แขง่ วิง่ เรอื วิง่ ววั ชนววั เปน็ ตน้
องค์การบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 109
คุณประโยชนข์ องวนั ว่างชาวใตค้ อื ๑) ท�ำให้ทกุ คนมโี อกาสหยดุ เวน้ จากภาระ
การทำ� งานไดเ้ หน็ คณุ คา่ ของการพกั ผอ่ น ๒) ชว่ ยใหท้ กุ คนมคี ณุ ธรรม เชน่ เมตตาธรรม
คารวะธรรม มีความกตญั ญูกตเวที และ ๓) ช่วยใหเ้ ครือญาติและมิตรมคี วามรักใคร่
ผูกพนั กนั ย่งิ ข้ึน (สธุ วิ งศ์ พงศ์ไพบูลย.์ “วนั ว่าง,” ใน สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้
เล่ม ๑๕. หนา้ ๗,๑๖๔ - ๗,๑๖๗)
ส�ำหรับชาวชุมชนท่าข้าม อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นการอุทิศ
ส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษท่ีได้ล่วงลับไปแล้วท่ีป่าช้าเป็นพ้ืนท่ีที่ชาวบ้านได้
จดั สรรไวส้ ำ� หรบั เกบ็ อฐั ขิ องบรรพบรุ ษุ หรอื กระดกู มศี าลาเกา่ ๆ ไวส้ ำ� หรบั พระทา่ นนง่ั
และชาวบา้ นทมี่ ารว่ มพธิ กี ารในกาลกอ่ นและในปจั จบุ นั กอ่ นถงึ วนั วา่ ง ลกู ๆ หลาน ๆ
รวมตัวกันไปถากถางพงรกที่ไม่ค่อยมีใครผ่านไปมาซักเท่าไหร่ (นอกเหนือจากคนที่
ตัดยางละแวกน้ัน) และซ่อมแซมศาลาเป็นประจ�ำทุกปี ลูกๆ หลานๆ ก็นัดพร้อม ๆ
กันไปขดั ถู, ล้างบวั กนั เปน็ การใหญ่ บา้ งกเ็ ตรียมหาดอกไม้ กระถางธปู ไว้พรอ้ มสรรพ
บางครอบครัวก็ได้ผูกผ้าสีสันสดสวยส�ำหรับผูกบนบัวด้วย มีการประดับดอกไม้
ใหด้ สู วยงามตามแตล่ กู ๆ หลาน ๆ จะทำ� เมอ่ื ลกู ๆ หลาน ๆ ไปถงึ ในตอนเชา้ ตา่ งก็
จุดธปู , เทยี น และวางดอกไมท้ ่ีสรรหามาไหวก้ ระดูกของบรรพบุรุษตนเอง
สิ่งที่สำ� คญั ในการทำ� บุญวันว่าง คือ การท่ี ลกู ๆ หลาน ๆ ตา่ งไดม้ าพบปะกนั
นี่เอง (จากท่ีไปท�ำงานท่ีไกล ๆ อยู่จังหวัดอื่น ๆ ก็จะพยามกลับมาในวันน้ี) ก็เลย
ถอื เป็นโอกาสดที ี่ญาติๆ จะได้มาพบปะกันอกี ครั้งในวนั ว่าง
ประเพณีวนั ออกพรรษา
วนั ออกพรรษา ตรงกบั วนั ขน้ึ ๑๕ คำ�่
เดือน ๑๑ เป็นวันครบกำ� หนดทพี่ ระภิกษุ
อยู่ประจ�ำท่ีใดท่ีหนึ่งครบ ๓ เดือน
กิจกรรมส�ำคัญคือมีการท�ำบุญตักบาตร
เรยี กวา่ “ตกั บาตรเทโว” หรอื “เทโวโรหนะ”
แปลว่า หล่ังลงมาจากเทวโลก เป็นการ
เสด็จกลับจากสวรรค์หลังจากเสด็จไป
เทศนาโปรดพระพทุ ธมารดาบนสวรรคช์ น้ั ดาวดงึ ส์ การตกั บาตรเทโวเพอ่ื เปน็ การระลกึ ถงึ
องคก์ ารบริหารสว่ นตำ� บลท่าขา้ ม
110 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
และตอ้ นรบั เสดจ็ พระพทุ ธองคท์ น่ี ยิ มทำ� กนั มาอยา่ งแพรห่ ลาย บางวดั ทำ� ในวนั ขน้ึ ๑๕ คำ�่
เดือน ๑๑ ฟังเทศน์
พธิ ตี ักบาตรเทโว คอื อญั เชิญพระพทุ ธรปู มาประดษิ ฐานบนล้อเลื่อน มบี ษุ บก
มีบาตรต้ังอยู่หน้าพระพุทธรูป มีคนลากล้อเล่ือนไปอย่างช้า ๆ มีพระสงฆ์เดินตาม
เป็นแถว พทุ ธศาสนกิ ชนนั่งเรียงรายเป็นแถว น�ำอาหารซึ่งนยิ มท�ำเป็นขา้ วต้มลูกโยน
คอื ขา้ วเหนียวห่อดว้ ยใบกะพอ้ (เรยี กว่าต้มสามเหล่ียม) หรอื ใบมะพรา้ ว (เรียกวา่ ปัด)
ไว้หางยาว ๆ เพ่ือให้สามารถโยนใส่บาตรได้เพราะไม่สามารถเข้าถึงพระสงฆ์ได้
เนือ่ งจากมคี นหนาแน่นมากมาต้งั แตส่ มยั พทุ ธกาล
เรยี กอกี อยา่ งวา่ “วนั ปวารณา” เนอ่ื งจากเปน็ วนั ทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงอนญุ าตให้
พระสงฆท์ ำ� การปวารณาแทนการลงอโุ บสถสงั ฆกรรมคอื ไมต่ อ้ งสวดพระปาฏโิ มกขก์ ไ็ ด้
คำ� วา่ “ปวารณา” คอื การทพ่ี ระภกิ ษตุ า่ งฝา่ ยตา่ งยอมใหม้ กี ารตกั เตอื นวา่ กลา่ ว
ซึ่งกนั และกนั ได้กอ่ นจะแยกยา้ ยกนั ไป
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 111
ประเพณกี ารทอดกฐิน
เร่ิมตั้งแต่วันแรม ๑ ค่�ำเดือน ๑๑ ถึง
กลางเดือน ๑๒ คือหลังจากออกพรรษา
ช่วงเวลา ๑ เดือน ก่อนหรือหลังจากนี้ท�ำไม่ได้
ผ้าที่ทอดกฐินต้องเป็นจีวร สบงหรือสังฆาฏิ
อย่างใดอย่างหนึ่ง ของอย่างอ่ืนเรียกว่าบริวาร
กฐิน มี ๒ ประเภท คือการถวายปัจจัยและ
เครอ่ื งมอื ชา่ งไมซ้ อ่ มแซมวดั เชน่ เลอื่ ย คอ้ น กบ
ขวาน สว่ิ เปน็ ต้น
การถวายกฐิน ต้องถวายเป็นสังฆทาน
เสมอ ไม่เจาะจงรูปใดรูปหน่ึง ไม่นิยมประเคน
เจ้าอาวาสหรอื อาจจะวางไว้โดยไมต่ ้องประเคน
ก็ได้ เรียกว่า “การทอดผ้า” เม่ือทอดกฐินแล้ว
ก็ถวายของบริวารท่ีเตรียมไว้ พระสงฆ์กระท�ำ
อนโุ มทนา เป็นอนั เสรจ็ พิธี
ความเช่ือเร่ืองการทอดกฐินให้อานิสงส์แรง ได้บุญมากเพราะเป็น
“กาลทาน” คือท�ำได้ปีละคร้ังเท่านั้น และต้องท�ำภายในเวลาที่ก�ำหนด เป็นงานบุญ
ท่ีท�ำได้ยาก ถือเป็นงานใหญ่ท่ีมีการจัดเตรียมงานใหญ่โต ต้องบอกกล่าวญาติมิตร
มากมาย อานสิ งสท์ ไี่ ดแ้ กพ่ ระสงฆค์ อื สามารถไปนอกวดั ไดโ้ ดยไมต่ อ้ งบอกลาภกิ ษอุ นื่
สามารถขาดจากผ้าสังฆาฏิหรือผืนใดผืนหนึ่งในไตรจีวรได้ สามารถฉันอาหารแยกได้
สามารถเกบ็ ผ้าไตรจีวรไว้ไดต้ ามต้องการและได้ลาภตา่ ง ๆ
ปจั จบุ นั นยิ มปจั จยั จำ� นวนเงนิ ทไี่ ดจ้ ากการระดมเงนิ เพอ่ื กจิ กรรมสาธารณะกศุ ล
มากกวา่ ตามประเพณนี ยิ มที่ผา่ นมา
องค์การบริหารส่วนต�ำบลทา่ ข้าม
112 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ประเพณกี ารทอดผา้ ป่า
การทอดผา้ ปา่ มมี าตงั้ แตส่ มยั พทุ ธกาล ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษแุ สวงหาผา้ บงั สกุ ลุ
คอื ผา้ หอ่ ศพในปา่ ชา้ มาซกั ฟอกทำ� เปน็ ผา้ ไตร ชาวบา้ นจงึ จดั หาผา้ ทส่ี มควรแกพ่ ระภกิ ษุ
สามเณรน�ำไปทิ้งไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น ในป่าช้า ตามทางเดิน เรียกว่า
“การทอดผา้ ปา่ ”
ปัจจุบันมีการเปล่ียนแปลงไปบ้างเนื่องจากมีผ้าไตรส�ำเร็จรูปจ�ำหน่าย ยังคง
ธรรมเนยี มนยิ มโดยการนำ� กง่ิ ไมม้ าปกั ในกระถางแลว้ นำ� ผา้ ผกู แขวนไว้ ไมม่ กี ารกำ� หนด
ระยะเวลาในการทอด สามารถทอดได้ตลอดทุกฤดูกาล และนิยมการระดมเงิน
เพือ่ สาธารณะกุศลเปน็ สำ� คัญกว่ากิจกรรมอ่ืนใด
ประเพณที ำ� บญุ วนั สารทเดอื นสิบ/ชิงเปรต
ประเพณวี นั สารทเดอื นสบิ หรอื ประเพณี “ชงิ เปรต” ของชมุ ชนทา่ ขา้ มและชาวใต้
เป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณจนถึงปัจจุบันเน่ืองมาจากความเชื่อทางพุทธศาสนาว่า
เดอื นสบิ เปน็ เดอื นทพ่ี อ่ แมป่ ยู่ า่ ตายาย ญาตพิ น่ี อ้ งหรอื เจา้ กรรมนายเวรทล่ี ว่ งลบั ไปแลว้
และตกนรกทเ่ี รยี กวา่ “เปรต” จะไดร้ บั การปลอ่ ยตวั ใหข้ นึ้ จากนรกมาพบลกู หลานและ
ญาตพิ น่ี อ้ งในวนั แรม ๑ คำ่� เดอื น ๑๐ และกลบั สเู่ มอื งนรกในวนั แรม ๑๕ คำ่� เดอื น ๑๐
เพอ่ื รบั สว่ นบญุ ใหห้ ลดุ พน้ จากการตกนรก ชาวบา้ น
จึงจัดให้มีการท�ำบุญประเพณีในวันแรม ๑ ค�่ำ
เดือน ๑๐ และแรม ๑๕ คำ�่ เดือน ๑๐ เพื่อรับและ
สง่ เปรตเพอ่ื อทุ ศิ สว่ นบญุ สว่ นกศุ ลใหเ้ ปรตเหลา่ นน้ั
โดยให้ความส�ำคัญกับวันแรม ๑๕ ค�่ำ เดือน ๑๐
องค์การบรหิ ารส่วนตำ� บลท่าขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 113
มากกว่าวันแรม ๑ ค�่ำ เดือน ๑๐ หรือวันส่งเปรตมากกว่าวันรับเปรต ประเพณีน้ี
แสดงใหเ้ หน็ ถงึ วฒั นธรรมทางดา้ นจติ ใจทมี่ ตี อ่ บรรพบรุ ษุ ของชาวใต้ ชาวใตใ้ หค้ วามสำ� คญั
กบั ประเพณนี ม้ี าก ผทู้ จี่ ากภมู ลิ ำ� เนาเกดิ ตอ้ งกลบั มาทำ� บญุ รว่ มประเพณที บี่ า้ นเกดิ ใหไ้ ด้
เป็นการชุมนุมญาติคร้ังใหญ่เช่นเดียวกับประเพณีวันว่างหรือวันสงกรานต์ มีการปฏิบัติกัน
อย่างเคร่งครัดมายาวนาน สันนิษฐานว่าเป็นประเพณีที่รับสืบทอดมาจากอินเดีย
ความมงุ่ หมายของประเพณนี คี้ อื การทำ� บญุ อทุ ศิ สว่ นบญุ สว่ นกศุ ลใหบ้ รรพชนผลู้ ว่ งลบั
ดว้ ยคตคิ วามเชอ่ื เรอ่ื ง “เปรต” ในนรก เปน็ การทำ� บญุ แสดงความยนิ ดใี นโอกาสทไี่ ดร้ บั
ผลิตผลทางการเกษตรในช่วงปลายเดือนสิบ เป็นการอ�ำนวยประโยชน์ด้านปัจจัย
อาหารแกภ่ กิ ษสุ งฆใ์ นช่วงฤดฝู นและเพอ่ื แสดงความสนกุ สนานรน่ื เรงิ ประจำ� ปรี ว่ มกนั
วิถีปฏิบัติและพิธีกรรมจัดภัตตาหารไปท�ำบุญท่ีวัด
ในวันรับตายายและจัดหมรฺบในวันส่งตายาย
สญั ลกั ษณข์ องเดอื นสบิ คอื ขนมพอง ขนมลา ขนมกง
ขนมดซี �ำ และขนมบา้ มีการตัง้ เปรตบนหลาเปรต
และมกี ารชงิ เปรตเพอ่ื เอาขนมทตี่ งั้ เปรตไปกนิ บา้ น
ไปให้สัตว์เล้ียง เพ่ือความเป็นสิริมงคลตาม
ความเช่ือดั้งเดิม (พรศักด์ิ พรหมแก้ว, ๒๕๔๒ :
๓๓๘๔ - ๓๓๙๕)
ประเพณงี านบญุ เดอื น ๑๐ (รับเปรต - ส่งเปรต) ของชมุ ชนท่าขา้ ม
ประเพณีรับส่งตายาย หรือที่เรียกว่า “รับเปรต - ส่งเปรต” คือประเพณี
การทำ� บญุ วนั สารทเดอื น ๑๐ นน่ั เอง ประเพณนี กี้ ระทำ� ในทอ้ งถน่ิ ภาคใต้ เปน็ ประเพณี
ทแี่ สดงออกถงึ ความกตญั ญอู ยา่ งสงู ยง่ิ ตอ่ บรรพบรุ ษุ ซง่ึ ชาวบา้ นทกุ ครอบครวั จะรว่ มกนั
ทำ� บญุ อทุ ศิ สว่ นกศุ ลใหก้ บั บรรพบรุ ษุ ประเพณี รบั ตายายนตี้ รงกบั วนั แรม ๑ คำ�่ เดอื น ๑๐
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนจะพากันเดินทางกลับภูมิล�ำเนาเดิม เพ่ือประกอบกิจกรรม
ท่ีแสดงออกถึงความกตัญญูด้วยการท�ำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับบรรพบุรุษแล้ว
ยงั เปน็ การกลบั มารวมและพบปะสงั สรรคใ์ นหมญู่ าตพิ น่ี อ้ ง ในวนั นช้ี าวบา้ นหนิ เกลย้ี ง
ทกุ ครวั เรอื นจะจดั สำ� รบั อาหารคาวหวาน ดอกไมธ้ ปู เทยี นไปทำ� บญุ ถวายสงั ฆทานทวี่ ดั
องคก์ ารบริหารสว่ นตำ� บลทา่ ข้าม
114 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ประเพณสี ง่ ตายาย ตรงกบั วนั แรม ๑๕ คำ�่ เดอื น ๑๐ วนั นเ้ี ปน็ ทกี่ ระทำ� ตอ่ เนอ่ื งกนั
กับวันรับตายาย คือเมื่อรับมาแล้วก็ต้องส่ง ฉะนั้นวันรับตายายและวันส่งตายาย
มีความส�ำคัญพอ ๆ กัน ชาวบ้านทุกครัวเรือนจะต้องท�ำกิจกรรมนี้เหมือนกันหมด
แตใ่ นวนั สง่ ตายายนน้ั จะตอ้ งเตรยี มของตา่ ง ๆ เปน็ พเิ ศษตา่ งจากวนั รบั ซง่ึ เปน็ คตนิ ยิ มวา่
จดั เตรยี มใหต้ ายายนำ� กลบั ไปดว้ ยนน่ั เอง ขนมขา้ วของตา่ ง ๆ จงึ เรยี กวา่ “หนมตายาย”
ได้แก่ ขนมกระยาสารท ข้าวเหนียวกวน ข้าวหลามและผลไม้ นอกจากน้ียังได้จัด
ของคาวและผักสดของแห้งตา่ ง ๆ เชน่ หวั บอน, ข้ีพร้า (ฟักเขยี ว), น�้ำเตา้ (ฟกั ทอง),
พรกิ แหง้ , เคย (กะป)ิ , เกลอื , ขไ้ี ต,้ ปลาเคม็ , เปน็ ตน้ เพอื่ เปน็ เสบยี งสง่ ใหต้ ายายไปกนิ
ไปใช้ต่อไป หลังจากท่ีน�ำอาหารไปถวายพระแล้ว ชาวบ้านจะน�ำเอาอาหารและ
ของคาวหวานส่วนหน่ึงใส่ถาดหรือกะละมังไปวางไว้ตามสถานท่ีต่าง ๆ ภายในวัด
เชน่ ประตวู ัด รมิ ก�ำแพง ใตต้ ้นไม้ เป็นต้น แล้วจดุ เทยี นจุดธปู ออกชือ่ เสยี งบรรพบุรุษ
เพอ่ื ใหต้ ายายหรอื เปรตทไี่ มม่ ญี าตไิ ดร้ บั อาหารเหลา่ นี้ เรยี กวา่ “ตง้ั เปรต” เมอ่ื ออกชอ่ื
ออกเสียงแล้วชาวบ้านก็จะแย่งเข้าไปเอาของเหล่านี้กันอย่างสนุกสนานเรียกว่า
“ชิงเปรต” ประเพณีรับ - ส่งตายายเป็นประเพณีที่แสดงออกถึงความกตัญญูรู้คุณ
บรรพบุรุษ และเปน็ การรวมญาติพน่ี อ้ ง ท่ยี ังคงฝังแนน่ ในหมู่บ้าน โดยไม่เสอ่ื มคลาย
ประเพณีลากพระบ้านเขากลอยออก/บ้านเขากลอยตก/บ้านแม่เตย/
บา้ นหนิ เกลย้ี ง/บา้ นปกี /บา้ นโคกสูง
“พี่ไปเหอ ไปบา้ นหวั นอนสักเดยี ว
ไปเซ้อสารเหนยี ว แทงตม้ ลากพระ
โถกโถกแพงแพง แม่อ้ีแดงกะไมล่ ะ
แทงตม้ ลากพระ ไม่ละสกั หน…เดยี ว”
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 115
บทเพลงกล่อมเด็กหรือเพลงร้องเรือภาคใต้ข้างต้น ได้สะท้อนให้เห็นถึง
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งวถิ ขี องชมุ ชนภาคใตก้ บั ประเพณชี กั พระหรอื ลากพระอนั เกยี่ วเนอื่ ง
กับความเชื่อในทางพระพุทธศาสนาอย่างเหนียวแน่นมาช้านานโดยไม่จ�ำเป็นต้อง
ตง้ั คำ� ถามวา่ ทำ� ไมจะตอ้ งทำ� เชน่ นนั้ และไมอ่ าจจะนำ� มาตรฐานใด ๆ มาตคี า่ ประเมนิ ผล
ออกมาในเชิงการตลาดหรือการคิดถึงต้นทุนก�ำไร ขาดทุน แต่น่าเสียดายที่หลายส่ิง
หลายอย่างที่แฝงอยู่ในประเพณีเหล่านี้ได้หล่นหายสูญเสียไปอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์
กับวิถีชมชนที่เปลีย่ นแปลงไป เช่นเดยี วกับประเพณีและพิธีกรรมอ่นื ๆ อกี มากมาย
ที่ถูกกระทบหรือกระท�ำใหด้ อ้ ยค่า สร้างผลสะเทอื นในระยะยาวอย่างนา่ เปน็ ห่วง
ประเพณีชักพระหรือลากพระเป็นประเพณีสืบเน่ืองในพระพุทธศาสนา
กระท�ำกันหลังวันปวารณาหรือออกพรรษา ๑ วัน คือวันแรม ๑ ค่�ำเดือน ๑๑
โดยพทุ ธศาสนกิ ชนพรอ้ มใจกนั อาราธนาพระพทุ ธรปู ปางตา่ ง ๆ ประดษิ ฐานบนบษุ บก
ทว่ี างอย่เู หนอื เรือ รถหรอื ล้อเล่ือนแล้วแห่แหนชักลากไปตามลำ� นำ้� หรือถนนหนทาง
บางทอ้ งทใ่ี นจงั หวดั ตรงั พทั ลงุ และสงขลามกี ารลากพระในวนั แรม ๑ คำ�่ เดอื น ๕ กม็ ี
ประเพณีชักพระหรือลากพระมีความเป็นมายาวนาน ดังปรากฏในบันทึก
ของพระภิกษุจีนนามว่าอี้จิง ท่ีเดินทางไปยังประเทศอินเดีย เมื่อประมาณ
พ.ศ. ๑๒๒๘ - ๑๒๓๘ บันทกึ ไว้ว่า
“พระพทุ ธรปู ศกั ด์ิสทิ ธอิ์ งคห์ น่งึ มคี นแหแ่ หนน�ำมาจากวดั โดยประดิษฐาน
บนรถหรือรถแคร่ มพี ระสงฆแ์ ละฆราวาสหม่ใู หญแ่ วดลอ้ มมา มีการตกี ลอง
และบรรเลงดนตรีต่าง ๆ มกี ารถวายของหอม ดอกไม้และถือธงชนดิ ตา่ ง ๆ
ทีท่ อแสงในกลางแดด พระพุทธรูปเสดจ็ ไปสู่หมู่บา้ นด้วยวิธดี ังกล่าวนี้ ภายใต้
เพดานกวา้ งขวาง” (สุธวิ งศ์ พงศ์ไพบูลย์. ๒๕๒๘ : ๓๑๕๓)
ประเพณีลากพระของชาวใต้มีมาแต่โบราณและก่อให้เกิดวัฒนธรรมอ่ืน ๆ
สบื เนอื่ งหลายอยา่ ง เชน่ ประเพณแี ขง่ เรอื พาย การชนั โพน การประชนั ปดื กฬี าซดั ตม้
การท�ำตม้ ย่างและการเล่นเพลงเรอื เปน็ ต้น
ตามพทุ ธตำ� นานกลา่ ววา่ วนั แรม ๑ คำ�่ เดอื น ๑๑ เปน็ วนั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ เสดจ็ กลบั
จากดาวดึงส์ชาวพุทธจึงไปรอรับเสด็จพร้อมภัตตาหารมากมายอย่างล้นหลาม
องคก์ ารบรหิ ารส่วนต�ำบลท่าข้าม
116 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ครั้นเลยพุทธกาลมาแล้วและเมื่อมีพระพุทธรูปพุทธศาสนิกชนจึงน�ำพระพุทธรูป
มาแห่แหนแทนพระพทุ ธองค์
งานลากพระมุ่งขอฝนเพ่ือการเกษตรจึงเกิดเป็นคติความเชื่อว่าการลากพระ
ทำ� ใหฝ้ นตกต้องตามฤดกู าล จากความเชือ่ ทีว่ ่า “เมือ่ พระหลบหลงั (ลากเรือพระกลบั
ถึงวัด) ฝนจะตกหนัก” ดังรายงานพระวิจิตรวรสาสน์ ข้าหลวงพิเศษตรวจราชการ
เมืองสงขลาและพัทลงุ ร.ศ. ๑๑๔ พ.ศ. ๒๔๓๘) วา่
“อน่ึง ราษฎรชาวเมืองสงขลานิยมนับถือในการแห่พระ ถึงระดูคือเดือน ๑๑
ชวนกนั อาราธนาพระพทุ ธรปู มาตง้ั บนรถ แหไ่ ปตามถนนทกุ ๆ ปี ถอื กนั วา่ ทำ� ใหไ้ รน่ า
บรบิ รู ณ”์
พระพทุ ธรปู ทน่ี ยิ มใชใ้ นพธิ ลี ากพระ ไดแ้ ก่ ปางเสดจ็ ลงมาจากดาวดงึ ส์ บางทอ้ งถนิ่
ใชป้ างอมุ้ บาตร โดยถอื ตามคตทิ มี่ าของประเพณดี งั กลา่ วในตอนตน้ แตม่ หี ลายทอ้ งถนิ่
นิยมใช้ปางห้ามสมุทร บางแห่งใช้ปางห้ามญาติ และบางแห่งใช้ปางคันธารราษฎร์
ซึ่งเป็นปางขอฝนทใี่ ช้ในพิธีพิรณุ ศาสตรข์ องภาคกลาง
เมื่อศรัทธาว่าลากพระท�ำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาลก็เกิดการผสมผสานคติ
ท่ีว่านาคเป็นผู้ให้น�้ำแก่มนุษย์โลก การตกแต่งรถ เรือพระหรือล้อเล่ือนจึงนิยมท�ำรูป
พญานาค (สุธวิ งศ์ พงศไ์ พบลู ย์, ๒๕๔๒ : ๖๗๙๔ - ๖๘๐๔)
ประเพณงี านลากพระเดอื น ๑๑
“ลากพระ” หรอื “ชกั พระ” ถอื เปน็ ประเพณหี นง่ึ อนั เปน็ เอกลกั ษณข์ องทอ้ งถน่ิ
ภาคใต้ ที่พุทธศาสนิกชนอนุรักษ์และสืบทอดกันมาอย่างยาวนานแล้ว จะจัดข้ึนหลัง
วนั ออกพรรษา ๑ วนั หรอื หลงั วนั ขนึ้ ๑๕ คำ�่ เดอื น ๑๑ ซงึ่ จะมกี ารอาราธนาพระพทุ ธรปู
ซงึ่ สว่ นใหญจ่ ะเปน็ ปางเสดจ็ จากดาวดงึ ส์ หรอื ปางอมุ้ บาตร ขน้ึ มาประดษิ ฐานบนบษุ บก
องค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 117
หรือเรือพระ ท่ีแต่ละวัดก็จะหาช่างฝีมือที่มีความช�ำนาญ ช่วยกันตกแต่งให้สวยงาม
เพ่ือน�ำเขา้ รว่ มประกวดแข่งขนั
นอกจากนัน้ ทุกครอบครัวต้องเตรยี ม “ขนมตม้ ” แขวนเรอื พระ มีการร่วมกัน
ตกั บาตร หนา้ เรอื พระ ดว้ ยความอม่ิ บญุ อม่ิ ใจ พรอ้ มรบั การประพรมนำ้� พระพทุ ธมนต์
เพ่ือความเป็นสิริมงคลจากพระทุกวัด เพื่อความเป็นสิริมงคล และเป็นการสืบทอด
พระพุทธศาสนาให้ย่ังยนื จนถือเปน็ งานบุญประจำ� ปขี องชาวบ้านหินเกลี้ยง
(ขนมตม้ คอื ขนมที่ทำ� จากจากข้าวเหนียวห่อด้วยใบกะพอ้ รปู ทรงสามเหลยี่ ม
แลว้ นำ� ไปต้มให้สกุ ใชใ้ นงานบญุ ตามประเพณชี าวใต้ เชน่ วันทำ� บญุ เดือนสิบ ชกั พระ
งานบวช และประเพณีทางศาสนาอสิ ลาม)
ประเพณีรับเทียมดา
ประเพณีรับเทียมดาหรือรับเทวดาหรือบางท้องถิ่นเรียกว่า “รับเจ้าเข้าเมือง”
เป็นประเพณีที่ท�ำกันในช่วงวันสงกรานต์ เนื่องจากวันสงกรานต์ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่
ของไทยโบราณ ชาวใต้เช่ือกันว่าในช่วงวันสงกรานต์เป็นวันเถลิงศกใหม่จะมีเทวดา
ผลดั เปลยี่ นกนั ลงมาคมุ้ ครองโลกและดแู ลทกุ ขส์ ขุ ของบา้ นเมอื ง กอ่ นวนั สงกรานตห์ นง่ึ วนั
เชื่อกันว่าเทวดาองค์เก่าจะลาโลกไป ในวันสงกรานต์จึงว่างเทวดาหลังวันสงกรานต์
หนงึ่ วนั เทวดาองคใ์ หมก่ จ็ ะมาดแู ลคมุ้ ครองโลกมนษุ ยแ์ ทน จงึ จดั ใหม้ พี ธิ กี รรมรบั เทยี มดา
องค์ใหม่ข้ึนโดยการสร้างศาลหรือร้านเทียมดา เตรียมอาหารคาวหวาน พร้อมธงทิว
ประกอบพธิ เี พอ่ื ความเปน็ สริ มิ งคลแกช่ วี ติ ในรอบปแี ละตอ้ นรบั เทวดาองคใ์ หม่ ดงั เชน่
ชุมชนในต�ำบลท่าข้าม ซ่งึ มีความเช่ือว่าถ้าหากใครได้ไปรว่ มพธิ ี รบั เทียมดากจ็ ะท�ำให้
ครอบครวั และตวั เองอยู่เย็นเป็นสขุ ปราศจากโรคภยั ไข้เจบ็ เทวดาปกปกั รกั ษา
ประเพณรี บั เทยี มดา เปน็ พธิ กี รรมสำ� คญั อยา่ งหนงึ่ ของ
ชาวบา้ นจงั หวดั สงขลา จะมพี ธิ รี บั เทยี มดาขนึ้ ใน อำ� เภอตา่ ง ๆ
ของจังหวัดสงขลา ได้แก่ อ�ำเภอสทิงพระ อ�ำเภอเมือง
อ�ำเภอหาดใหญ่ เป็นต้น ซึ่งประเพณีรับเทียมดาจะปฏิบัติ
สบื ทอดกนั มาเปน็ เวลานาน เปน็ ประเพณที เ่ี กดิ จากความเชอ่ื
อนั สบื เนอื่ งมาจากสงั คมเกษตรกรรมในสมยั โบราณชาวบา้ น
ส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของธรรมชาติ
องค์การบริหารส่วนตำ� บลทา่ ขา้ ม
118 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ล้วนมีเทพเจ้าก�ำหนดข้ึนมาและเช่ือว่าในรอบปีเทวดาจะหมุนเวียนมาปกป้องรักษา
คุ้มครองให้คนในหมู่บ้านอยู่เย็นเป็นสุข และคุ้มครองให้การท�ำมาหากินการเกษตร
ที่อุดมสมบรู ณ์
ดงั นนั้ เพอื่ เปน็ การแสดงความกตญั ญตู อ่ เทพยดาทป่ี กปอ้ งรกั ษา เพอ่ื เปน็ การ
สบื ทอดประเพณที ดี่ งี ามและเปน็ การแสดงความกตญั ญตู อ่ องคเ์ ทวดาทป่ี กปอ้ งรกั ษา
ให้คนในหมู่บ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข มีสุขภาพท่ีแข็งแรงการเกษตรอุดมสมบูรณ์ จึงได้
จดั รบั เทยี มดาขนึ้ ด้วยจดุ มุง่ หมายดงั ต่อไปนี้
๑. เพอ่ื แสดงถงึ ความกตญั ญตู อ่ เทวดาทปี่ กปอ้ งรกั ษา ใหอ้ ยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ในรอบ
หนึง่ ปี
๒. เพื่อจัดพิธีรับเทียมดาหรือรับเทวดาองค์ใหม่ ที่จะคุ้มครองให้มีชีวิตและ
ครอบครัวอย่เู ย็นเปน็ สุข
๓. เพอ่ื เปน็ สริ มิ งคลใหก้ บั ตนเองและครอบครวั และเปน็ การสรา้ งความสามคั คี
ในหมูค่ ณะ
ร้าน หรือภาษาใต้เรียกว่า “หลา” (ศาลา)
ทเี่ รยี กวา่ “หลาเทยี มดา” ภายในบรเิ วณวดั ทา่ ขา้ ม
สรา้ งขนึ้ เพอ่ื ตอ้ นรบั เทวดาองคใ์ หม่ สรา้ งเปน็ ศาลา
ช่ัวคราว ขนาด ๔ x ๔ เมตร การสร้างจะใช้เสา
ขนาด ๑๖ เสา หมายถึง สวรรคท์ ัง้ ๑๖ ชน้ั ศาลา
เทียมดาท�ำเป็น ๒ ช้ัน ชั้นนอกสุดท�ำเป็นรูป
สี่เหลี่ยมจัตุรัส ชั้นในท�ำเป็นเสาร้าน ๔ เสา
ขนาด ๒ x ๒ เมตร มีลักษณะเป็นรูปส่ีเหล่ียมปลายสอบแบบเบญจา แต่ไม่มีส่วน
ยอด เสาร้านท�ำดว้ ยไมพ้ ลับพลา ซงึ่ เปน็ พรรณไม้มชี ือ่ เหมือนทีป่ ระทับ
(พลับพลา หมายถึง ท่ีประทับช่ัวคราว) ใช้ในการประทับรับรองเทวดาสูง
ประมาณ ๑ เมตร สำ� หรบั จดั วางเครอื่ งบวงสรวงเทวดา สว่ นเสาและขอบนอกแตล่ ะชนั้
ประดับตกแต่งให้สวยงามด้วยการแทงหยวก ซ่ึงเป็นการน�ำเอากาบกล้วยมาท�ำให้
เปน็ ลวดลายตา่ ง ๆ โดยวธิ แี ทงดว้ ยมดี เเทงหยวกใชส้ ำ� หรบั การประดบั ตกเเตง่ สถานที่
ทเี่ ป็นงานชั่วคราว เพ่ือให้เกดิ ความสวยงาม ขัน้ ตอนการแทงหยวก และประกอบเขา้
องคก์ ารบริหารสว่ นตำ� บลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 119
เปน็ ลายชดุ นน้ั มีขน้ั ตอนใหญอ่ ยู่ ๓ ข้นั ตอน คือ ขนั้ เตรียมอปุ กรณส์ ำ� หรบั แทงหยวก
ได้แก่ ต้นกล้วยตานี ท่ียังไม่มีเครือ หรือยังไม่ออกหวีกล้วยต้นกล้วยจะอ่อน
แทงลวดลายไดง้ า่ ย ไมเ่ ปราะเหยี่ วงา่ ย เมอื่ ลอกกาบกลว้ ยออกจากลำ� ตน้ แลว้ จะอยไู่ ด้
ถงึ ๒๔ ชั่วโมง มีดสำ� หรบั แทงหยวก ตอกไมไ้ ผใ่ ช้สำ� หรบั ประกอบเข้าเปน็ สว่ นต่าง ๆ
กระดาษสีใช้ส�ำหรับรองรับลวดลายต้นกล้วยให้ปรากฏชัดเจนข้ันแทงลวดลาย
ลงบนหยวก เปน็ ลวดลายกนกตา่ ง ๆ เชน่ ฟนั ปลา ฟนั สาม ฟนั หา้ ฟนั บวั ตามความถนดั
ของชา่ งและขัน้ ประกอบหยวกเปน็ ลายชดุ เพ่อื ท�ำเปน็ เสาล่าง เสาบน รดั เกล้า เเละ
ฐานล่างโดยใชต้ อกผิวไม้ไผ่เย็บใหต้ ิดกันเเล้วตดิ เเต่งมมุ ให้เรยี บร้อย
เคร่ืองบวงสรวงเทวดา จะต้องเป็นอาหารท่ีสุกแล้วเท่านั้น ประกอบด้วย
๒ สว่ น คอื เครอื่ งบวงสรวงทใี่ ชใ้ นการประกอบพธิ ี ประกอบดว้ ยของสำ� คญั ไดแ้ ก่ ขา้ วสกุ
เรียกว่า ข้าวปากหม้อ ปลาท้ังตัว เรียกว่า ปลามีหัวมีหาง ของคาวหวาน ขนมแดง
ขนมขาว ขนมเหลอื ง ผลไม้ ของแหง้ ตา่ ง ๆ และเครอื่ งบวงสรวงของทช่ี าวบา้ นทม่ี ารว่ มงาน
เพอ่ื นำ� มาบชู าเทวดาตามความศรทั ธา โดยจะนำ� สงิ่ เหลา่ นใี้ สภ่ าชนะนำ� ไปวางบนหลา
เทียมดาที่ท�ำพิธี ในส่วนของสิ่งของท่ีวางบนหลาเทียมดาน้ัน ในแต่ละท้องท่ี
จะไม่เหมือนกัน เช่น บางแห่งมักจะใช้ของท่ีใช้ประกอบอาหาร เช่น ข้าวสาร กะปิ
เกลือ ขมิ้น พริกข้ีหนู หอม กระเทียม เป็นต้น นอกจากน้ียังจะใส่ข้าวสุก แกง
ขนมหวาน รวมทง้ั หมาก พลู และบหุ รดี่ ้วย
ธงทิว ซ่ึงถือเป็นสัญลักษณ์ของการรับ - ส่งเทวดา เป็นธงรูปสามเหล่ียม
ทำ� ด้วยกระดาษสีขาว ทางวดั จะเป็นผ้จู ัดหามาให้ ส�ำหรับ ๑ คน ให้เขยี นขอ้ ความทั้ง
๒ ธง โดยเขียนขอ้ ความว่า “ขา้ พเจา้ (ชอ่ื ). ไดม้ ารบั เทวดาองค์ใหมแ่ ลว้ ” กอ่ นปกั ธง
บนหลาเทยี มดาใหอ้ ธษิ ฐานวา่ “ขา้ พเจา้ ทมี่ ารบั เทวดาในวนั น้ี ขอใหเ้ ทวดาชว่ ยปกปกั
รักษาให้ข้าพเจ้ามีความสุขความเจริญตลอดไป” อธิษฐานแล้วปักธงทิวเป็นเครื่อง
ยนื ยนั ๑ ธง นำ� ตดิ ตวั กลบั ไปบา้ นอกี ๑ ธง เพอื่ นำ� ไปปกั ไวท้ ห่ี ลงั คาบา้ นหรอื หนา้ บา้ น
เปน็ สัญลักษณ์ว่าบา้ นนรี้ ับเทวดาแลว้ ข้นั ตอนการท�ำพิธี
ตงั้ แตเ่ วลา ๑๘.๐๐ น. เปน็ ตน้ ไป ชาวบา้ นจะนำ� เอาอาหารคาวหวานใสภ่ าชนะ
ข้าวตอกดอกไม้ ซึ่งเป็นเคร่ืองบวงสรวงเทวดา และปักธงสามเหลี่ยมขนาดเล็ก
จุดธูปเทียนมาปักบนอาหาร มายังสถานท่ีประกอบพิธี ผู้น�ำในการประกอบพิธีก็จะ
น�ำกล่าวนะโมฯ สามจบ แล้วต่อด้วยบทสวดชุมนุมเทวดา ประธานในพิธีวางของ
ทีน่ ำ� มาบวงสรวงเทวดาวางบนร้านที่ทำ� ไว้กอ่ น
องคก์ ารบริหารส่วนตำ� บลท่าข้าม
120 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
หลังจากน้ันชาวบ้านต่างก็น�ำเอาอาหารคาวหวานใส่ภาชนะ ซ่ึงเป็นเคร่ือง
บวงสรวงเทวดา นำ� ไปวางบนร้านรอจนกระท่ังธูปหมดดอก ระหว่างที่ชาวบ้านรอให้
ธปู หมดดอก ทางวดั กจ็ ดั กจิ กรรม เชน่ นมิ นตพ์ ระ มาสวดสาธยายคณุ ธรรมของเทวดา
คือ หิรโิ อตตปั ปะ ความละอายบาป และความเกรงกลวั บาป เป็นต้น
หลังจากเสร็จพิธี ชาวบ้านก็ร่วมรับประทานอาหารท่ีน�ำมาบวงสรวงพอที่จะ
เลือกรับประทานได้ พร้อมกับน่ังคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือคุยเรื่องสนุกสนาน
ชมกจิ กรรมการแสดง เชน่ หนงั ตะลุง โนรา ภายในบรเิ วณลานวัด แล้วก็แยกยา้ ยกัน
กลับบ้านโดยไม่ลืมท่ีจะน�ำธงผืนที่ ๒ ท่ีเป็นธงรับเทวดากลับด้วย และน�ำไปปักไว้ที่
หลังคาบ้าน ส่วนธงผืนท่ี ๑ ท่ีเป็นธงส่งเทวดาก็ปักไว้ที่ท�ำพิธีเช่นเดิม พิธีน้ีจะในช่วง
วันสงกรานต์ของทกุ ปี สว่ นใหญ่จะอยรู่ ะหวา่ ง ๑๓ - ๑๖ เมษายน ทุกปี ท้งั นี้ วันที่
แนน่ อนขนึ้ อยกู่ บั การประชมุ ของคณะกรรมการจดั งานเปน็ ผพู้ จิ ารณา แตม่ กี ำ� หนดวา่
วนั ทท่ี ำ� พธิ นี นั้ ถา้ เปน็ ขา้ งขน้ึ จะตอ้ งเปน็ วนั คี่ เชน่ ขนึ้ ๕ คำ�่ ขน้ึ ๙ คำ�่ และถา้ เปน็ ขา้ งแรม
จะตอ้ งเปน็ วนั คู่ เช่น แรม ๖ คำ�่ แรม ๑๒ ค�ำ่ เพราะชาวบ้านมคี วามเชือ่ วา่ วันแรมคู่
หรอื วนั ขนึ้ คนี่ น้ั จะมเี ทวดาเทา่ นนั้ ทมี่ ารบั ของบวงสรวง ผชี นั้ ตำ่� อน่ื ๆ ไมส่ ามารถมารบั
ของบวงสรวงได้ จัด ณ วัดท่าข้าม ต�ำบลท่าข้าม อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
คติความเชื่อที่บรรพบุรุษได้ส่ังสมต่อกันมาเพื่อขัดเกลาคนรุ่นหลังให้รู้จักนอบน้อม
ต่อธรรมชาติ ต่อบรรพบุรุษ ต่อเทวดาที่ปกป้องรักษาให้อยู่เย็นเป็นสุข ประเพณี
รับเทยี มดายังมีคุณค่าในด้านต่าง ๆ ดังนี้
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำบลท่าข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 121
๑. ดา้ นคณุ ธรรม ประชาชนไดแ้ สดงถงึ ความกตญั ญตู อ่ เทวดาทปี่ กปอ้ งคมุ้ ครอง
ลูกหลานให้มีชีวิตที่ดีและอยู่เย็นเป็นสุข ท�ำมาหากินได้คล่อง และเพ่ือเป็นสิริมงคล
ในครอบครัวและหม่บู ้าน
๒. ด้านสังคม เป็นการบูรณาการด้านสังคมความสามัคคีของหมู่คณะ
ความสมานฉนั ท์ ซึ่งมที งั้ ชาวพทุ ธ และศาสนาอ่ืนทมี่ ารว่ มประเพณีรับเทียมดา
๓. ด้านส่งเสริมการท่องเที่ยว เป็นการส่งเสริมการท่องเท่ียวในต�ำบลท่าข้าม
ในการจดั ประเพณีเทียมดา ซึ่งเป็นประเพณีทจี่ ดั ขึ้นทกุ ปี
ประเพณรี บั เทยี มดาเปน็ ประเพณเี กา่ แก่
ของชาวบ้านท่าข้ามท่ีจัดในช่วงวันสงกรานต์
หรอื ประเพณสี งกรานต์ คอื ประเพณกี ารรบั และ
ส่งเทวดาเพื่อความเป็นสิริมงคลในวันข้ึนปีใหม่
ของไทย มนี ายอรณุ แกว้ สตั ยา ปราชญช์ าวบา้ น
เป็นผนู้ �ำท�ำพิธีเป็นประจำ� ทกุ ปที ีว่ ัดท่าขา้ ม
ประเพณวี นั ลอยกระทง
ลอยกระทง เปน็ ประเพณีทสี่ �ำคญั และเก่าแก่ของไทย ตรงกบั วันขึ้น ๑๕ คำ่�
เดือน ๑๒ ซึ่งอยู่ในช่วงน�้ำหลาก มีท่ีมาจากพิธีกรรมเก่ียวกับน้�ำ ซ่ึงปัจจัยส�ำคัญ
ในวัฒนธรรมของไทย ถึงแม้จุดมุ่งหมายความเชื่อในวันลอยกระทงจะแตกต่างกัน
แตค่ วามหมายทเี่ หมอื นกนั ของประเพณลี อยกระทงกค็ อื การแสดงออกถงึ ความกตญั ญู
รู้จักส�ำนึกถึงคุณค่าของน้�ำ ท่ีช่วยให้เรามีชีวิตที่ดี นับเป็นส่ิงที่สะท้อนให้เห็นถึง
วฒั นธรรมทดี่ งี ามอยา่ งหนง่ึ ของไทย ปจั จบุ นั ประเพณลี อยกระทงไดถ้ กู ดดั แปลงไปบา้ ง
การให้ความส�ำคัญของความหมายของวันลอยกระทง คุณค่า สาระและแนวทาง
ที่ พึ ง ป ฏิ บั ติ น ้ อ ย ล ง ล อ ย ก ร ะ ท ง
เป็นประเพณีของไทยท่ีปฏิบัติสืบต่อกันมา
แต่โบราณในช่วงวันเพ็ญ ๑๒ พระจันทร์
เต็มดวง แสงจันทร์สอดส่องสว่างไสว
แม่น�้ำใสสะอาด เป็นบรรยากาศที่สวยงาม
เหมาะแก่การลอยกระทง เพื่อแสดงถึง
องค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบลทา่ ข้าม
122 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ความเคารพและการส�ำนึกบุญคุณของแม่น้�ำคงคา และอ่ืน ๆ ตามคติความเช่ือของ
แต่ละภาคแตล่ ะทอ้ งถ่นิ โดยใช้เปน็ สื่อในการอธิษฐาน
ประเพณตี ักบาตรปใี หม่
แต่เดิมน้ันคนไทยและคนใต้ถือเอาวัน
แรม ๑ คำ่� เดือนอ้าย เป็นวนั ข้นึ ปีใหม่ เพอ่ื ให้
สอดคล้องกับคติแห่งพระพุทธศาสนาซึ่งถือ
ช่วงเหมันต์หรือหน้าหนาวเป็นการเริ่มต้นปี
ต่อมาได้เปล่ียนแปลงไปตามคติพราหมณ์คือ
ถือเอาวนั ขึ้น ๑ คำ่� เดือน ๕ เป็นวนั ขึ้นปใี หม่
ซึ่งตรงกับวันสงกรานต์ ดังนั้น สมัยโบราณ
เราจึงถอื เอาวนั สงกรานตเ์ ปน็ วันขน้ึ ปใี หม่ของไทย แตก่ ารนับวันปใี หม่หรอื สงกรานต์
ตามวันทางจันทรคติเมื่อเทียบกับวันทางสุริยคติย่อมคลาดเคลื่อนกันไปในแต่ละปี
ดังน้นั วันขึน้ ๑ ค�่ำ เดือน ๕ ปี พ.ศ. ๒๔๓๒ ตรงกบั วนั ท่ี ๑ เมษายน พระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงให้ถือเอาวันท่ี ๑ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย
นับแตน่ ั้นมา
คร้ันถึง พ.ศ. ๒๔๘๓ ในวันที่ ๒๔ ธันวาคม คณะรัฐบาลสมัยจอมพล
ป.พบิ ูลสงคราม ได้ประกาศใหว้ นั ที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ เปน็ วนั ปใี หม่ตามสากล
นิยมตั้งแต่น้ันมาจนปัจจุบัน ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับบรรดานานาอารยะประเทศ
ซึ่งนยิ มใชว้ ันที่ ๑ มกราคม เปน็ วนั ขึ้นปีใหม่เหมือนกนั ทั่วโลก
ประเพณีวันข้ึนปีใหม่ เร่ิมต้ังแต่วันท่ี ๓๑ ธันวาคม ถึงวันท่ี ๑ มกราคม
ของทุกปี
๑) เพอ่ื เปน็ การฉลองชวี ติ ของคนทอ่ี ยรู่ อดปลอดภยั ในระหวา่ งปที ผ่ี า่ นมา
เปน็ การสง่ ทา้ ย ปเี กา่ ตอ้ นรบั ปใี หม่ ซงึ่ เปน็ การเรม่ิ ตน้ ชวี ติ ในวนั ใหม่ ดว้ ยการทำ� ความดี
และท�ำบุญทำ� ทาน เพื่อความเป็นสิรมิ งคล และความเจรญิ รุ่งเรอื งในการดำ� เนนิ ชวี ิต
ในปใี หม่นั้น ๆ ตอ่ ไป
องคก์ ารบริหารส่วนตำ� บลทา่ ขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 123
๒) เพอ่ื เปน็ การฉลองความสำ� เรจ็ แหง่ กจิ การงานตา่ ง ๆ ทไี่ ดด้ ำ� เนนิ มาดว้ ย
ความเรยี บรอ้ ยและผา่ นอปุ สรรคตา่ ง ๆ มาไดอ้ ยา่ งปลอดภยั รวมทง้ั การสรา้ งบญุ กศุ ล
อนั เป็นทนุ สำ� รองไวส้ �ำหรบั การดำ� เนนิ ชวี ติ และกิจการงานในปีใหมต่ อ่ ไป
๓) เพ่ือเป็นการอุทิศส่วนกุศล อันเป็นส่วนแห่งความกตัญญูกตเวทิตา
ตอ่ บรรพบุรุษของตนตามหนา้ ที่ของคนไทยที่พึงสนองคณุ แกบ่ ุพการี
๔) เพอ่ื เปน็ การรักษาขนบธรรมเนียมอันดีงาม
ขอ้ คดิ ในวนั ปใี หมค่ อื เมอ่ื วนั เวลาผนั เปลย่ี นหมนุ เวยี นไปครบ ๑ ปี เราไดอ้ ยรู่ อด
ปลอดภยั มาจนถงึ วนั ขนึ้ ปใี หม่ ขอใหล้ องมองยอ้ นกลบั ไปคดิ ดวู า่ วนั เวลาทผี่ า่ นมานน้ั
เราไดใ้ ชม้ นั อยา่ งคมุ้ คา่ หรอื เปลา่ และไดก้ ระทำ� คณุ งามความดอี นั ใดไวบ้ า้ งและควรหา
โอกาสกระท�ำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นทุกปี ในขณะเดียวกัน เราได้กระท�ำความผิดหรือส่ิงใด
ทไี่ มถ่ กู ต้องไวห้ รอื ไม่ หากมตี อ้ งรีบปรบั ปรงุ แกไ้ ขตวั เอง
กจิ กรรมตา่ ง ๆ ทค่ี วรปฏบิ ัติในวนั ขึ้นปีใหม่
๑) เกบ็ กวาดดูแลท�ำความสะอาด ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน
๒) ทำ� บญุ ตกั บาตร กรวดนำ้� อทุ ศิ สว่ นกศุ ลใหญ้ าตแิ ละผมู้ พี ระคณุ ทล่ี ว่ งลบั
ไปแลว้
๓) ไปวัดเพื่อท�ำบุญ ถือศีล ปฏิบัติธรรมหรือฟังพระธรรมเทศนา ฯลฯ
เพือ่ ให้จิตใจแจ่มใสเบิกบาน
๔) ตรวจสอบตัวเองเกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีได้ท�ำมาตลอดปีว่ามี
ความเจริญกา้ วหน้า สำ� เร็จลุล่วงไปได้แคไ่ หน
๕) หากมเี รอื่ งบาดหมางหรอื ขนุ่ เคอื งกบั ใครควรถอื โอกาสใหอ้ ภยั ซง่ึ กนั และกนั
องคก์ ารบริหารส่วนต�ำบลท่าข้าม
124 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ประเพณกี ารถือศีลอด
การถอื ศลี อด หรอื การถือบวช เปน็ การงดเว้น การระงบั ยับยั้ง การครองตน
เป็นการงดเว้นบริโภคอาหาร เคร่ืองด่ืม การมีเพศสัมพันธ์ การรักษาอวัยวะทุกส่วน
ให้รอดพ้นจากการกระท�ำความชั่ว โดยเม่ือถึงช่วงท่ีชาวไทยมุสลิมในบ้านหนองบัว
ตำ� บลทา่ ขา้ ม อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา ชมุ ชนมสุ ลมิ หนง่ึ เดยี วของตำ� บลทา่ ขา้ ม
เรยี กวา่ เดอื นบวช เรมิ่ จากวนั ที่ ๑ หรอื ๒ เดอื นท่ี ๙ (รอมฎอน) แตไ่ มเ่ ปน็ การกำ� หนด
ตายตัว โดยถือเอาการข้ึนต้นเดือนทางจันทรคติ ท่ีมองเห็นดวงจันทร์ด้วยตาเปล่า
เปน็ หลกั และถอื เปน็ ประเพณมี สุ ลมิ ทว่ั ไป เมอ่ื เหน็ ดวงจนั ทรท์ างทศิ ตะวนั ตกใหถ้ อื วา่
เรมิ่ ตน้ เดอื นใหม่ มสุ ลมิ จะเรมิ่ ถอื ศลี อด โดยตง้ั เจตนาวา่ จะปฏบิ ตั ติ นถอื ศลี อดในเดอื น
รอมฎอนเพอื่ อลั เลาะห์ อดอาหาร เครอ่ื งดม่ื งดการเสพทกุ ชนดิ ตง้ั แตพ่ ระอาทติ ยข์ นึ้
จนพระอาทิตย์ตกเป็นเวลา ๒๙ - ๓๐ วัน ซึ่งเป็นความศรัทธาอย่างแรงกล้า
ท่ีจะปฏิบัติตนเพื่ออัลเลาะห์และละศีลอดเม่ือถึงเวลา (ดวงอาทิตย์ตกดิน) เรียกว่า
แก้บวช กนิ อาหารได้
ผู้ถือศีลอดส่วนใหญ่จะน�ำอาหารที่จะแก้บวชไปท่ีมัสยิดหรือสถานท่ีประกอบ
พิธลี ะหมาด แกบ้ วช รับประทานอาหารดว้ ยกัน โดยปกติ ขณะถอื ศลี อดน้ัน ท้ังกลาง
วนั และกลางคนื จะท�ำการละหมาดตามปกติ ๕ เวลา และละหมาดสนุ ัตในเวลากลาง
คนื อา่ นคมั ภรี ์อลั -กรุ อานบ่อย ๆ การถือศลี อดของชาวหนองบัวสว่ นใหญจ่ ะปฏิบัติ
เปน็ แบบอยา่ งเดยี วกนั เสรมิ สรา้ งความเปน็ นำ�้ หนง่ึ ใจเดยี วกนั มคี วามรกั ความสามคั คี
ในหมมู่ สุ ลมิ ดว้ ยกนั อย่างแน่นแฟน้
องคก์ ารบรหิ ารส่วนต�ำบลท่าข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 125
ประเพณีท�ำบุญและวันสำ� คัญประจำ� ปขี องมสุ ลิมบ้านหนองบวั
ในรอบปีหนงึ่ ๆ มสุ ลมิ บา้ นหนองบัว
มีวนั สำ� คญั ท่นี บั เปน็ ประเพณี ได้แก่ วนั อีด
หรือวันรายาหรือรายอ ถือเป็นวันร่ืนเริง
ปีหนึ่งมี ๒ ครั้งคือวันอีดีลฟิตและวันอีดีล
อัฏฮา วันอีดีฟิต หมายถึงวันท่ีเวียนมาสู่
สภาพเดิม กล่าวคือ เมื่อมุสลิมถือศีลอด
ในเดอื นรอมฎอนเปน็ เวลาหนง่ึ เดอื นแลว้ เมอ่ื พน้ จากเดอื นรอมฎอนกก็ ลบั สสู่ ภาพเดมิ
ถือเป็นวันแห่งการร่ืนเริงในการสู่สภาพเดิม ชาวไทยมุสลิมทั่วไปนิยมนิยมเรียกว่า
วนั รายอออกบวชหรือวนั รายาออกบวช
สว่ นวนั อดี ลี อัฏฮา หมายถึง วันแหง่ การเสยี สละ ตรงกับวันที่ ๑๐ ของเดอื น
ชุลฮจญะห์ ซึง่ เปน็ ช่วงระยะเวลาที่มุสลมิ เดนิ ทางไปประกอบพิธฮี จั ญ์ ณ นครเมกกะ
ประเทศซาอดุ อิ าระเบยี ชาวไทยมสุ ลมิ เรยี กวา่ วนั รายาฮจั ญ์ หรอื วนั รายอฮจั ญ์ ในวนั อดี
ทั้งสอง มุสลิมจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดีท่ีสุด ช�ำระร่างกายให้สะอาดแล้วเดินทางไป
ละหมาดทม่ี สั ยดิ หลงั จากนนั้ ถา้ เปน็ วนั รายาฮจั ญก์ จ็ ะมกี ารทำ� พธิ เี ชอื ดสตั ว์ นำ� เนอื้ สตั ว์
ไปแจกจา่ ยใหค้ นยากคนจน เรยี กว่าการกรุ บุ ่นั ถ้าเปน็ รายาออกบวช ก่อนถงึ วันรายา
จะมกี ารบรจิ าคขา้ วสารหรอื เงนิ ใหบ้ คุ คลผดู้ อ้ ยโอกาสทศี่ าสนากำ� หนดใหม้ สี ทิ ธร์ิ บั การ
ช่วยเหลือ เป็นการเสียซะกาด วันอีดทั้งสองมีการตกแต่งบ้านเรือน ทำ� ขนม อาหาร
ไวต้ อ้ นรบั แขกทมี่ าเยอื นหรอื เดนิ ทางไปเยย่ี มญาติ เพอ่ื นฝงู เปน็ การสรา้ งความผกู พนั
และเพ่ือขออภัยซึ่งกันและกนั รวมทง้ั การอวยพรใหแ้ ก่กันและกนั ดว้ ย
องคก์ ารบรหิ ารส่วนต�ำบลท่าขา้ ม
126 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ประเพณีตรษุ จนี
ช่วงเทศกาลตรุษจีน เป็นช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับ
ปีใหม่ตามประเพณีความเช่ือของคนไทยเช้ือสายจีน
ซง่ึ เปน็ พลเมอื งสว่ นหนง่ึ ของชมุ ชนทา่ ขา้ ม อำ� เภอหาดใหญ่
จงั หวดั สงขลา ประมาณเดอื นมกราคมหรอื เดอื นกมุ ภาพนั ธ์
ของทุกปี มีการเตรียมงานกันประมาณหนึ่งปักษ์หรือ
คร่งึ เดอื น ช่วยกันปัดกวาดท�ำความสะอาดบ้านเรอื น เตรียมเสอ้ื ผา้ ใหม่ วนั ส้นิ ปีหรอื
วนั ที่ ๒๙ หรอื ๓๐ ในตอนเชา้ จะมกี ารไหวพ้ ระภมู เิ จา้ ทต่ี า่ ง ๆ หลงั จากนน้ั จะมกี ารไหว้
บรรพบรุ ุษ โดยท�ำกนั ในตอนเชา้ ถึงเที่ยง ตามช้นั เจ้า คือไหว้พระอิศวรและเทวดาจร
ไหวเ้ จา้ ทที่ น่ี ับถอื ไหวบ้ รรพบรุ ษุ และในตอนเยน็ จะมกี ารไหว้อกี ครงั้ เปน็ การไหว้ญาติ
พี่น้องที่ดีต่อกัน หรือพวกที่เข้าบ้านไม่ได้ โดยการน�ำเคร่ืองเซ่นไหว้มาวางไว้ท่ีพ้ืน
หรือลานหลังบ้าน เครื่องเซ่นไหว้ก็จะแยกเป็นไหว้ดิน ไหว้ฟ้า บรรพบุรุษซ่ึงต่างกัน
เครอ่ื งไหวเ้ จา้ มนี ำ�้ ชาและขนมแหง้ ๙ อยา่ ง ทข่ี าดไมไ่ ดค้ อื ขนมเขง่ สว่ นเครอ่ื งเซน่ ไหว้
บรรพบรุ ษุ มอี าหารคาวเปน็ หลกั ไดแ้ ก่ ขา้ วสวย หมผ่ี ดั ผกั ผดั แกงจดื และอาหารหวาน
เหมือนกับท่ีไหว้เจ้า อาจแตกต่างกันบ้างตามความเช่ือของเช้ือสายจีนแต่ละกลุ่ม
กิจกรรมในเทศกาลตรุษจีนเร่ิมต้ังแต่การต่ืนแต่เช้า แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดสดใส แล้ว
ไหวพ้ ระแสดงใหเ้ หน็ วา่ ชาวไทยเชอ้ื สายจนี มคี วามกตญั ญเู ปน็ เลศิ โดยจดั ของเซน่ ไหว้
ตามประเภท มขี น้ั ตอนปฏิบัติตามขนบนิยม ซึง่ ชาวจนี ทว่ั ไปจะหยดุ งาน นั่งจิบนำ้� ชา
คุยเร่อื งที่เปน็ มงคล ไม่กวาดขยะ ไม่ทำ� ให้สง่ิ ของเครือ่ งใช้แตกเสียหาย แจกอั่งเปาแก่
บตุ รหลาน เยยี่ มผ้อู าวุโสในบา้ น บางครอบครัวนำ� บตุ รหลานไปพกั ผ่อน
องค์การบริหารส่วนต�ำบลท่าข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 127
ประเพณีเชงเมง้
เม่ือถงึ เดอื น ๕ ตามปฏิทนิ จีน เรียกปักษ์ฤดกู าลเชงเมง้ หมายถงึ ค่อนปลาย
ฤดูใบไม้ผลิหรือเร่ิมฤดูร้อน ตรงกับประมาณต้นเดือนเมษายนของทุกปี บรรดา
ลูกหลานชาวจีนในชุมชนท่าข้ามจะไปตกแต่งฮวงซุ้ยบรรพบุรุษเพ่ือเตรียมเซ่นไหว้
ของเซ่นไหว้แยกเป็นไหว้พระหรือไหว้เจ้าท่ีสุสานและเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ของเซ่นไหว้
ทปี่ ระกอบดว้ ยซาแซ (สตั วส์ ามชนดิ คอื สตั วป์ กี สตั วส์ เี่ ทา้ มกี บี และสตั วน์ ำ้� ) และผลไม้
สว่ นไหวบ้ รรพบรุ ุษมซี าแซ น้ำ� ชาและเหลา้ หม่ีผดั ขนมแหง้ ขนมสด ผลไม้ กระดาษ
ทอง เปน็ ตน้
การเซ่นไหว้จะไหว้เจ้าท่ีก่อนไหว้บรรพบุรุษ หลังจากเสร็จพิธีต่าง ๆ ก็จะ
น�ำอาหารที่เซ่นไหว้มารับประทานอาหารร่วมกัน ท�ำความสะอาดบริเวณแล้วมีการ
พบปะชมุ นมุ บุตรหลาน แสดงความปล้ืมปติ ิกันท่วั หนา้ โดยมวี ิญญาณของบรรพบรุ ุษ
เป็นจุดรวมของจิตใจร่วมกัน เป็นผลให้เกิดการรวมกลุ่มในระหว่างสมาชิกของคน
ในตระกลู มคี วามสามัคคีเป็นอันหนึง่ อนั เดียวกัน
ประเพณไี หว้พระจันทร์
เม่อื ถึงช่วงเดอื น ๘ ตรงกบั วนั ขนึ้ ๑๕ ค่ำ� ตามจนั ทรคติ ตามคติความเช่อื ของ
ชาวจนี เชอ่ื วา่ เปน็ คนื ทพี่ ระจนั ทรเ์ ตม็ ดวงทส่ี ดุ ในรอบปี ชาวไทยเชอื้ สายจนี จะประกอบ
พธิ ีกรรมตามบา้ นเรอื น ระลึกถึงและบูชาบรรพบรษุ โดยจัดของเซ่นไหว้มาวางบนโต๊ะ
บริเวณลานบ้าน บนดาดฟ้าหรือที่ท่ีสามารถมองเห็นพระจันทร์ได้ชัดเจนท่ีสุด
เมื่อพระจันทร์เต็มดวง ของเซ่นไหว้มีเครื่องส�ำอาง ส้มโอ กล้วยหอม อ้อย ทับทิม
ขนมไหว้พระจันทร์ ขนมโก๋ ขนมถั่ว น้�ำชา ดอกไม้ ธูปเทียน โคมไฟ กระดาษเงิน
กระดาษทอง แทง่ ทองทำ� ด้วยกระดาษ ฯลฯ
องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ� บลท่าข้าม
128 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
เมอื่ พระจนั ทรข์ นึ้ เตม็ ดวง สภุ าพสตรใี นครอบครวั จะจดุ ธปู ๓ ดอกหรอื ๕ ดอก
ไหวห้ นา้ แทน่ บชู า อธษิ ฐานในสงิ่ ทตี่ นปรารถนาแลว้ ปกั ธปู ในกระถาง เปน็ อนั เสรจ็ พธิ ี
พระลาก
พระลาก คอื พระพทุ ธรปู ทน่ี ยิ มใชใ้ นพธิ ลี ากพระหรอื ชกั พระ ไดแ้ ก่ ปางเสดจ็
ลงจากดาวดึงส์ บางท้องถ่ินใช้ปางอุ้มบาตรโดยถือตามคติท่ีมาของประเพณี
แต่มีหลายท้องถ่ินนิยมใช้ปางห้ามสมุทร บางแห่งใช้ปางห้ามญาติและบางแห่งใช้
ปางคนั ธารราษฎรซ์ งึ่ เปน็ ปางขอฝน บางวดั ใชพ้ ระพทุ ธรปู ปางอนื่ (สธุ วิ งศ์ พงศไ์ พบลู ย.์
๒๕๔๓ : ๖๗๙๕)
ส�ำหรับวัดในต�ำบลท่าข้าม ใช้พระพุทธรูปปางต่าง ๆ มาเป็นพระลาก ดังน้ี
วัดแม่เตย วัดท่าข้ามวัดโคกสูงและวัดเขากลอย ใช้พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร
สว่ นวดั หนิ เกลี้ยง ใช้พระพทุ ธรูปปางอมุ้ บาตร
พระพุทธรูปทรงเคร่ือง หมายถึง พระพุทธรูปสวมเคร่ืองทรงกษัตริย์หรือ
พระจักรพรรดิ ซ่ึงนิยมเรียกกันท่ัวไปว่าพระพุทธรูปทรงเคร่ือง เคยปรากฏแพร่หลาย
ท่ีอินเดีย รวมถึงบ้านเมืองต่าง ๆ ท่ีนับถือพุทธศาสนา คาดว่าคติความเช่ือเกี่ยวกับ
พระพุทธรูปทรงเคร่ืองคงผันแปรไปตามยุคสมัยและท้องที่ต่าง ๆ สามารถประมวล
คตกิ ารทำ� พระพุทธรูปทรงเคร่อื งได้ดังน้ี
๑) ราชวงศป์ าละของอนิ เดยี ซง่ึ นบั ถอื พทุ ธศาสนามหายานเปน็ หลกั สรา้ งขนึ้
เพือ่ แสดงถึงพระอาทพิ ุทธเจา้
๒) อาณาจักรเขมรโบราณสร้างข้ึนเพ่ือสื่อถึงการยกกษัตริย์ให้เทียบเท่า
พระพทุ ธเจ้า
๓) หมายถงึ พระเจา้ จกั รพรรดติ ามคตคิ วามเชอื่ ทวี่ า่ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะหากไม่
เสด็จออกบวชกจ็ ะไดเ้ ปน็ พระเจ้าจกั รพรรดิ
องคก์ ารบรหิ ารส่วนต�ำบลท่าขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 129
๔) หมายถึงสถานภาพของของพระพุทธเจ้าก่อนทรงผนวชซึ่งทรงเคยเป็น
เจ้าชายมากอ่ น
๕) หมายถึงพระศรีอาริยเมตไตรซึ่งยังทรงสถานะเป็นพระโพธิสัตว์ประทับ
อยบู่ นสวรรค์ช้นั ดสุ ติ และทรงเครอ่ื งทรงอย่างเทวดาหรอื กษัตริย์
๖) หมายถึงพระพุทธเจ้านิรมิตกายเป็นพระจักรพรรดิราชเพ่ือทรมาน
พระเจา้ ชมพบู ดซี ง่ึ เปน็ พระราชาผยู้ งิ่ ใหญแ่ ตไ่ มต่ งั้ มนั่ ในศลี ธรรมประสงคแ์ ตจ่ ะรกุ ราน
อาณาจักรอน่ื
ส�ำหรับในประเทศไทย พระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย เป็นศิลปะสมัยอยุธยา
ตอนกลาง ราวพุทธศตวรรษท่ี ๒๑ - ๒๒ พระพุทธรูปได้รับการออกแบบให้สวม
เครอ่ื งทรงน้อยชนิ้ ไดแ้ ก่ มงกุฎ กระบงั หนา้ รัดเกล้า กรองศอ กณุ ฑล ทับทรวงและ
พาหุรดั คลา้ ยกบั เคร่ืองทรงเทวดาร่วมสมัยและเคร่ืองทรงเทวรปู ศิลปะสุโขทัย
พระพุทธรปู ทรงเครื่องใหญ่ เป็นศิลปะสมัยอยธุ ยาตอนปลาย อายุราวปลาย
พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๒ เครอ่ื งทรงประกอบดว้ ย มงกฎุ กณุ ฑล (ตมุ้ ห)ู กรองศอ (สรอ้ ยคอ)
สังวาล ๒ เส้น เฉวียงพระอังสาท้ังสอง โดยมีทับทรวงวางทับอยู่ท่ีก่ึงกลาง พาหุรัด
(ก�ำไลแขน) ทองพระกร (ก�ำไลข้อมือ) ทองพระบาท (ก�ำไลข้อเท้า) บางองค์มักจะ
สวมฉลองพระบาท (รองเทา้ ) ดว้ ยและตกแต่งสบงด้วยเครอื่ งประดับ
พระลากวดั ท่าขา้ ม พระลากวดั แมเ่ ตย พระลากวดั หินเกล้ียง พระลากวดั เขากลอย
ปางหา้ มสมทุ ร ปางหา้ มสมุทร ปางอ้มุ บาตร ปางห้ามสมทุ ร
สรา้ งแทนองคเ์ กา่ ทถ่ี กู ขโมยไป
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำบลทา่ ข้าม
130 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
พระพทุ ธรปู ปางอมุ้ บาตร อยใู่ นพระอริ ยิ าบถยนื พระหตั ถท์ ง้ั สองประคองบาตร
อยู่ที่บริเวณเอว ท่ีมา มาจากเมื่อพระองค์ได้แสดงธรรมเทศนาเรื่องพระเวสสันดร
ให้พระญาติแล้ว บรรดาพระญาติต่างก็ทูลลากลับไปยังพระราชฐานของตนโดยไม่มี
ผู้ใดทูลนิมนต์ให้ท่านไปรับภัตตาหารเช้าเลย เนื่องจากเข้าใจกันว่าท่านคงเสด็จไป
เสวยภัตตาหารในพระราชนิเวศน์ เมื่อรุ่งเช้าท่านจึงทรงทราบด้วยพระญาณว่าองค์
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ในปางกอ่ นนน้ั เมอื่ เสดจ็ มาประทบั ทเี่ มอื งของพระบดิ าไดเ้ สดจ็
บิณฑบาตเพอื่ โปรดประชาชนดว้ ย ดงั น้นั ทา่ นจึงเสด็จออกบิณฑบาตตามประเพณี
พระพทุ ธรปู ปางหา้ มสมทุ ร อยใู่ นอริ ยิ าบถยนื ยกพระหตั ถท์ ง้ั สองแบบตงั้ ขน้ึ
และย่ืนออกไปด้านหน้าเสมอพระอุระหรืออก ท�ำกิริยาว่าห้าม บางลักษณะเป็น
พระทรงเครอื่ ง
ทม่ี ามาจากเมอื่ ทา่ นเสดจ็ ไปประกาศพระพทุ ธศาสนาทตี่ ำ� บลอรุ เุ วลาเสนานคิ ม
แควน้ มคธ ณ ลมุ่ นำ้� เนรญั ชรา ทรงประทบั ทสี่ ำ� นกั ของอรุ เุ วลกสั สป ผเู้ ปน็ หวั หนา้ ชฎลิ
หรือนักบวชประเภทหนึ่งท่ีเกล้าผมเป็นมวยสูง ถือลัทธิบูชาไฟคล้าย ๆ พวกฤาษี
อุรุเวลกัสสปเป็นที่เคารพนับถือของคนในมคธ แต่อุรุเวลกัสสปกลับแสดงท่าทีพยศ
และกระด้างกระเดือ่ งตอ่ พระองค์ พระองค์จึงทรงแสดงอทิ ธปิ าฏิหาริย์ต่าง ๆ เพอื่ ให้
อรุ เุ วลกสั สปคลายลง ทา่ นทรงทำ� ปาฏหิ ารยิ ห์ า้ มนำ�้ ทไ่ี หลบา่ มาจากทกุ สารทศิ ไมใ่ หเ้ ขา้
มายงั ทปี่ ระทบั และเสดจ็ จงกรมภายในวงลอ้ มทมี่ นี ำ�้ เปน็ กำ� แพง บรรดาชฎลิ กพ็ ายเรอื
มาดูและรู้สกึ อัศจรรย์ใจยิ่ง จึงยอมรบั ในบารมขี องทา่ นและขออปุ สมบท
ปชู นยี บุคคลทางศาสนา
พระครปู นาทธรรมคณุ (เทอื น ปนาโท)
อดตี เจา้ อาวาสวดั หนิ เกลยี้ งและอดตี เจา้ คณะตำ� บลทา่ ขา้ ม
ช่ือ - สกุลเดิมคือเทือน บุญทัศโร บุตรของนายอินแก้ว
นางชุม บุญทศั โร เกดิ เมือ่ วนั ท่ี ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๔๓
หมู่ท่ี ๒ ต�ำบลคอหงส์ อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
มพี นี่ อ้ งรว่ มบดิ ามารดาเดยี วกนั ๔ คน คอื นายทอง นายเอยี ด
นายสาย และนายเทอื น บญุ ทศั โร จบชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๔
ทโี่ รงเรยี นวดั หงสป์ ระดษิ ฐาราม เมอื่ พ.ศ. ๒๔๘๖ สอบนกั ธรรม
องค์การบริหารสว่ นต�ำบลท่าขา้ ม