รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 131
ชน้ั เอกจากสำ� นักเรียนต�ำบลทา่ ขา้ ม เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ อปุ สมบทเม่อื วันท่ี ๑๙ เดือน
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ณ วดั หงสป์ ระดษิ ฐาราม หนา้ ทก่ี ารงานทสี่ ำ� คญั พ.ศ. ๒๔๙๘
เปน็ ครใู หญส่ ำ� นกั ศาสนศกึ ษา ตำ� บลทา่ ขา้ ม พ.ศ. ๒๕๐๒ เปน็ เจา้ อาวาสวดั หนิ เกลย้ี ง
ตำ� บลทา่ ขา้ ม พ.ศ. ๒๕๓๒ เปน็ เจา้ คณะอำ� เภอทา่ ขา้ ม พ.ศ. ๒๕๓๔ เปน็ พระอปุ ชั ฌาย์
พ.ศ. ๒๕๓๖ เป็นพระครูสัญญาบัตรที่พระปนาทธรรมคุณ ผลงานด้านการศึกษา
พ.ศ. ๒๕๐๕ รเิ ริม่ จดั สง่ สามเณรไปศกึ ษาพระปริยตั ิธรรม แผนกบาลี ณ สำ� นกั เรยี น
คูหาสวรรค์ จังหวัดพัทลุง พ.ศ. ๒๕๑๐ ริเริ่มเปิดการอบรมศีลธรรมแก่เยาวชน
วันเสาร์ - อาทิตย์ และส่งเข้าสอบธรรมศึกษาในสนามสอบของพระสงฆ์ เปิดอบรม
เยาวชนระยะเขา้ พรรษาเปน็ เวลา ๓ เดอื น ฝกึ ไหวพ้ ระสวดมนต์ นงั่ สมาธแิ ละกจิ กรรม
สง่ เสรมิ ศาสนาและศลี ธรรมอนื่ ๆ มวี ธิ กี ารสง่ เสรมิ การศกึ ษาสำ� หรบั สามเณรตามแผน
๓ ขั้นคอื จัดบวชสามเณรเรียนสวดมนต์ แล้วใหเ้ รยี นนักธรรมชั้นตรโี ดยทา่ นสอนเอง
ส่งเข้าสนามสอบแผนกธรรมของพระสงฆ์ สอบได้แล้วจะพิจารณาส่งศึกษาต่อท่ีอื่น
และจัดส่งสามเณรไปเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีย่างน้อยที่สุดให้สอบได้ ป.ธ.๓
เป็นมหาเปรียญ
พระครปู นาทธรรมคณุ มรณภาพเมอ่ื วันที่ ๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ สริ ิรวม
อายไุ ด้ ๖๗ ปี ครองสมณเพศได้ ๔๗ พรรษา.
พระครภู ทั รธรรมรตั น์ (หลวงพอ่ พลัด ภทฺทิโย)
นามเดิม พลัด นามสกุล บุญคง เกิดเม่ือ วันที่ ๖
พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๕๔ ทต่ี ำ� บลทา่ มะเดอ่ื อำ� เภอเขาชยั สน
จังหวัดพัทลุง เป็นบุตรของนายหนู นางด�ำ บุญคง ได้ศึกษา
วชิ าสามญั จบ ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ บดิ าของทา่ นเสยี ชวี ติ
ตั้งแตท่ ่านยงั เด็ก ๆ เมือ่ ท่านอายุ ๑๒ ปี มารดาก็เสียชวี ิตไป
อีกคน ซ่ึงในขณะนั้นครอบครัวของท่านล�ำบากมาก ต้องไป
ขอยืมเงินจากเจ้าของสวนยางเพื่อน�ำไปท�ำศพให้แม่ และ
ชดใช้หน้ีโดยการเอาตัวท่านเองไปท�ำงานใช้หน้ี เม่ือท�ำงานใช้หนี้ได้ปีเศษ มีผู้ใหญ่
ท่านหนึ่งรู้สึกสงสารจึงน�ำเงินไปไถ่ตัวท่านออกมา และท่านก็ออกมารับจ้างท�ำไร่
ท�ำนาหาเลี้ยงชีพ เมื่ออายุ ๑๗ ปี ท่านถูกกล่าวหาว่าเป็นเสือพลัด เท่ียวออกปล้น
ชาวบ้าน ครั้งนั้นท�ำให้ท่านต้องหนีหัวซุกหัวซุนเนื่องจากต�ำรวจตามจับ แต่ในความ
องคก์ ารบริหารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม
132 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
โชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เนื่องจากมีคนช่วยปกป้องท่าน โดยการช่วยรับรองกับ
ทางต�ำรวจวา่ ท่านเปน็ คนดี ไมไ่ ดเ้ ป็นเสือพลัด อย่างท่ีถกู กลา่ วหา
เนอ่ื งจากทา่ นชอบในเรอื่ งไสยศาสตรแ์ ละโหราศาสตร์ ทา่ นไดฝ้ ากตวั เปน็ ศษิ ย์
พระเกจอิ าจารยห์ ลายรปู เชน่ พอ่ ทา่ นวนั ปญุ ญฺ สริ ิ วดั รตั นาราม (พระครศู รทั ธานรุ กั ษ)์
พระครูวัตตานุกูล (พ่อท่านจันทร์) วัดควนฝาละมี และพ่อท่านมหาลอย จนฺทสโร
วดั แหลมจาก พ่อท่านชมุ วัดควนปิยาราม และอกี หลายทา่ น
เมื่ออายุได้ ๒๒ ปี ซึ่งเป็นช่วงที่อยู่ในเกณฑ์บวชของชายไทยตามประเพณี
ท�ำให้ท่านคิดที่จะบวชแทนคุณบิดามารดา และได้พิจารณาเห็นว่าชีวิตของคนมีแต่
ความทุกข์ โดยเฉพาะตัวท่าน ท่านจึงคิดจะหาความสงบหาแสงสว่างทางธรรมเลย
ตดั สนิ ใจเขา้ สรู่ ม่ กาสาวพตั ร์ ไดอ้ ปุ สมบท ณ พทั ธสมี า วดั ควนฝาละมี อำ� เภอปากพยนู
จังหวัดพัทลุง เมื่อวันท่ี ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๖ เวลา ๑๔.๐๕ น. โดยมี
พระครูวัตตานุกูล (พ่อท่านจันทร์) วัดควนฝาละมี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระสมุห์วัน
ปญุ ญฺ สริ ิ วดั รตั นาราม (พระครศู รทั ธานรุ กั ษ)์ เปน็ พระกรรมวาจาจารย์ พระอธกิ ารชมุ
ยสโร วดั ควนปยิ าราม (พระครวู ลิ าศวรญั ญ)ู เปน็ พระอนสุ าวนาจารย์ ไดฉ้ ายาวา่ ภททฺ โิ ย
กอ่ นทที่ า่ นจะบวชทา่ นไดก้ ลา่ ววาจาตอ่ ญาตโิ ยม ทไ่ี ปรว่ มอนโุ มทนาและเปน็ เจา้ ภาพ
ให้กับท่านว่า “ขอให้ทุกท่านตั้งใจให้ดี การท�ำบุญกุศลกับข้าพเจ้าในครั้งน้ี ข้าพเจ้า
จะขอบวชตลอดชีวิต”
เมื่อท่านบวชแล้วได้จ�ำพรรษาอยู่วัดควนฝาละมี ท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัย
ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จากพระพ่อท่านจันทร์ พระอุปัชฌาย์ และพ่อท่านวัน
จนสอบได้นักธรรมชั้นตรี ส�ำนักเรียน วัดรัตนารามอีกท้ังท่านยังได้ศึกษาเรียนวิชา
อาคม โหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ ควบคไู่ ปดว้ ย ศษิ ยร์ ว่ มอปุ ชั ฌายข์ องทา่ น กม็ พี อ่ ทา่ นแดง
วัดควนนางพมิ พ์ ปากพะยูน พระครูรังสีโศภณ วัดหารเทา พระครูโฆษติ ธรรมาภรณ์
วัดควนฝาละมี ต่อมาท่านได้ขอลาพระอุปัชฌาย์อาจารย์เพ่ือออกธุดงค์ ท่านได้
ออกธุดงค์ เพ่ือหาพระอาจารย์ท่ีมีช่ือเสียงด้านวิชาอาคม ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์
พอ่ ทา่ นมหาลอย จนทฺ สโร และพระสมหุ ช์ มุ วดั แหลมจากปากรอ อำ� เภอเมอื งจงั หวดั สงขลา
(ปัจจุบันอ�ำเภอสิงหนคร) ได้วิชาหลายอย่างจากพ่อท่านมหาลอย ร่วมท้ังวิชาแพทย์
แผนโบราณ หลังจากน้ันท่านได้ลาพ่อท่านมหาลอย เพ่ือได้ศึกษาวิชา ณ ส�ำนัก
วดั เขาเอาะ (วดั เขาออ้ ) ตำ� บลมะกอกเหนอื อำ� เภอควนขนนุ จงั หวดั พทั ลงุ โดยไดเ้ รยี น
องคก์ ารบริหารส่วนตำ� บลทา่ ขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 133
วิชาแพทย์แผนโบราณ วิชาโหราศาสตร์และไสยเวทยว์ ชิ าอาคมต่าง ๆ โดยได้ฝากตัว
เปน็ ศษิ ย ์ พระครสู ทิ ธยิ าภริ ตั (พอ่ ทา่ นเอยี ด) วดั ดอนศาลา พระอาจารยป์ าล ปาลธมโฺ ม
วดั เขาออ้ และพอ่ ทา่ นคง สริ มิ โต วดั บา้ นสวน ทา่ นยงั ไดศ้ กึ ษาฝากตวั เปน็ ศษิ ยอ์ าจารยน์ ำ�
จันทร์แก้ว ซ่ึงเป็นอาจารย์ฝ่ายฆราวาส เมื่อได้ศึกษาวิชาตามต�ำราของเขาอ้อแล้ว
พ่อท่านพลัดได้ลาพระอาจารย์ เพ่ือออกธุดงค์ ไปอยู่ตามป่าเขา จากเหนือจรดใต้
เพอ่ื ฝกึ วิปัสสนากรรมฐาน ทำ� ให้ท่านมีสมาธจิ ติ เขม้ แขง็ ประกอบกับผู้ท่ีจะออกธุดงค์
ในสมัยก่อนต้องมีวิชาอาคมเก่งกล้าพอ ถึงจะมีชีวิตรอดกลับมาได้ จึงถือได้ว่าท่านมี
ความเข้มขลังในด้านไสยศาสตร์ไม่เป็นสองรองใคร ต่อมาท่านได้กลับมาจ�ำพรรษาท่ี
วดั หารเทา
ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ สำ� นกั สงฆห์ วั ควน อำ� เภอปากพะยนู ไดว้ า่ งผดู้ แู ล พอ่ ทา่ นวนั
วัดรัตนาราม ซึ่งเป็นเจ้าคณะต�ำบลได้ ให้พ่อท่านพลัดไปดูแลและพัฒนา ในช่วงที่
พอ่ ทา่ นพลดั เปน็ เจา้ อาวาสวดั หวั ควน ทา่ นมลี กู ศษิ ยล์ กู หามาก เพราะทา่ นมชี อ่ื เสยี ง
เร่ืองเคร่ืองรางของขลัง ไสยเวทย์ต่าง ๆ อีกทั้งชาวบ้านได้ประจักษ์ กับเหตุการณ์
คร้ังหน่ึง มีการปล้นเรือยนต์ท่ีวิ่งในทะเลสาบสงขลา คร้ังน้ันพ่อท่านพลัด ได้โดยสาร
มาดว้ ยเรอื ยนต์ โดยสารสมยั นน้ั เปน็ เรอื ๒ ชน้ั เมอื่ ทา่ นเหน็ วา่ พวกโจรจะมาปลน้ เรอื
ท่านก็ได้ให้ชาวบ้านเอาของมีค่ามาใส่ไว้ในจีวรของท่าน พวกโจรได้ยิงอินเนีย
(เอ็นจิเนียร์/นายเครื่องเรือ) ตาย แล้วข้ึนไปข้างบนที่น่ังของผู้โดยสาร แต่ก็ไม่พบ
ของมีค่าท่ีชาวบ้าน ก็เลยมาค้นที่พ่อท่านพลัด แต่ก็มองไม่เห็นของมีค่าที่ตัวพ่อท่าน
และโจรไมก่ ลา้ ทำ� รา้ ยใครบนเรอื รบี หนไี ปทนั ท ี เพราะเกรงกลวั ตบะของพอ่ ทา่ นพลดั
ท�ำให้พ่อท่านพลัดมีช่ือเสียงโด่งดังมาก จากปากต่อปาก ท�ำให้มีชาวบ้านมาหาท่าน
เปน็ จำ� นวนมากในแตล่ ะวนั รวมทั้งบรรดาไอเ้ สอื ที่มีชือ่ เสียง
ในสมัยนั้นเสือที่มีช่ือเสียง อย่าง เสือจ้อง เสือพะ เสือเหลง เสือเลาะ
ซง่ึ ตา่ งกเ็ ปน็ ลกู ศษิ ยพ์ อ่ ทา่ นพลดั ทางการตอ้ งการตวั มาก ตำ� รวจไมส่ ามารถจบั ตวั เสอื
ท้งั ๔ คนได้ ด้วยบารมขี องพอ่ ทา่ นพลดั ท่คี มุ้ ครองอยเู่ พราะเสอื ทั้ง ๔ ได้ศึกษาวชิ า
ไสยศาสตรจ์ ากพอ่ ทา่ นพลดั และยงั ไดเ้ ครอื่ งรางของขลงั ทพ่ี อ่ ทา่ นพลดั ทำ� ให ้ เลา่ กนั วา่
ทางการได้ขอก�ำลังหน่อยปราบปรามจากกรุงเทพฯ โดยมีอาวุธท่ีดีท่ีสุดในสมัยน้ัน
มาตามลา่ ตวั เสอื ทงั้ ๔ เมอ่ื ตำ� รวจตามลา่ ตวั เสอื จอ้ งไปถงึ กระทอ่ มกลางนา ไดล้ อ้ มยงิ
ใส่ไปท่กี ระท่อมจนกระทอ่ มพัง แตก่ ระสุนปืนกไ็ มร่ ะคายผวิ อีกเหตกุ ารณ์ คือ ต�ำรวจ
องค์การบรหิ ารส่วนต�ำบลทา่ ข้าม
134 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ตามลา่ เสอื จอ้ งซงึ่ หนเี ขา้ ไปในวดั หวั ควนเขา้ ไปในศาลาหอฉนั ทพี่ อ่ ทา่ นพลดั กำ� ลงั นง่ั
ฉนั ขา้ วอย ู่ แลว้ เสอื จอ้ งไดไ้ ปหลบทห่ี ลงั พอ่ ทา่ นพลดั เอาจวี รคลมุ ไว้ ตำ� รวจนบั สบิ นาย
เขา้ มากม็ องไมเ่ หน็ วา่ มคี นหลบอยทู่ ห่ี ลงั พอ่ ทา่ นพลดั เมอ่ื ตรวจคน้ จนทว่ั กไ็ มเ่ จอจงึ ได้
ลากลับ ทางการจึงเห็นว่าถ้าพ่อท่านพลัดยังอยู่ในอ�ำเภอปากพะยูนจะเป็นอุปสรรค
ในการจับตัว เสือทั้ง ๔ เพราะบารมีความขลังความศักด์ิสิทธิ์ของท่านคุ้มภัยให้พวก
ไอ้เสือเหล่าน้ัน ทางการจึงได้ประชุมกันว่าต้องนิมนต์พ่อท่านพลัด ออกจาก
วดั หวั ควน
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง และผู้ก�ำกับการต�ำรวจภูธร
จงั หวดั พทั ลงุ จงึ ไดม้ านมิ นตพ์ อ่ ทา่ นพลดั ออกจากวดั หวั ควน แลว้ พาไปฝากจำ� พรรษา
อยู่วดั สระเกษ อ�ำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เน่ืองจากเจ้าอาวาส คอื พระอธกิ ารเฉยี้ ง
เปน็ คนปากพะยนู เหมอื นกนั จำ� พรรษาทว่ี ัดสระเกษได้ ๒ พรรษา
ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ในช่วงที่ท่านจ�ำพรรษาท่ีวัดสระเกษ นายพ่วง สุวรรณรัตน์
ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้มาฝากตัวเป็นศิษย์พ่อท่าน และได้ขอร้องพ่อท่าน
ใหเ้ กลย้ี กลอ่ ม พวกไอเ้ สอื ทงั้ หลายใหม้ อบตวั โดยสญั ญาวา่ จะไมจ่ บั ตาย จะดำ� เนนิ คดี
ดว้ ยความยตุ ธิ รรม ทา่ นผวู้ า่ พว่ ง ไดข้ อใหพ้ อ่ ทา่ นพลดั ทำ� หนงั สอื สง่ ไปใหบ้ รรดาไอเ้ สอื
เพอ่ื ใหม้ อบตวั โดยใหม้ าหาทา่ นและทา่ นจะเปน็ ผพู้ าไปมอบตวั เอง ซง่ึ ขณะนน้ั ทา่ นได้
ยา้ ยมาจำ� พรรษาทวี่ ดั แจง้ อำ� เภอเมอื ง จงั หวดั สงขลา โดยการชกั ชวนของ พระวเิ ชยี รโมลี
เจา้ อาวาสวดั แจง้ รองเจา้ คณะจงั หวดั สงขลา (สมณศกั ดกิ์ อ่ นมรณภาพพระราชวชริ โมล)ี
เพราะเปน็ คนพทั ลงุ เหมอื นกนั บรรดาเสอื ทงั้ ๔ กไ็ ดม้ ามอบตวั กอ่ นจะถกู จบั พอ่ ทา่ นพลดั
ไดข้ อเครอ่ื งรางท่ีท่านทำ� ให้คนื
พ.ศ. ๒๕๐๐ อ้ายเสือทั้ง ๔ ได้พ้นโทษออกจากการจองจ�ำ ได้เดินทางมาหา
พอ่ ทา่ นพลดั เพอ่ื ขอบวช พอ่ ทา่ นพลดั กเ็ ปน็ ธรุ ะจดั การให ้ เสอื เลาะ ซง่ึ นบั ถอื ศาสนา
อสิ ลาม กข็ อบวชดว้ ย ไดฝ้ กึ ซอ้ มขานนาคแลว้ แตญ่ าตไิ ดข้ อไวว้ า่ จะนบั ถอื ศาสนาพทุ ธ
กไ็ มว่ า่ แตข่ ออยา่ บวชเพราะญาตพิ นี่ อ้ งจะถกู สงั คมตำ� หนิ จะเขา้ สงั คมไมไ่ ด้ ทา่ นจงึ ไมบ่ วช
ในตอนน้ันชาวบ้านจะเรียกวดั แจ้งว่า “วดั สามเสอื ” ในชว่ งทท่ี ่านจำ� พรรษาอยู่วดั แจง้
ก็มีชาวบ้านที่ทราบถึงกิตติคุณของท่าน หลั่งไหลมากราบพ่อท่านทุกวันเพื่อให้ท่าน
ช่วยปัดเป่าเคราะห์รายต่าง ๆ บ้างก็มาให้ช่วยรดน�้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล
มาขอเครอ่ื งรางของขลงั เพอื่ ใหข้ ายของดบี า้ ง เพอ่ื ปอ้ งกนั ภยั อนั ตรายบา้ ง เมอ่ื กลบั ไป
องค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 135
ก็ได้ผลก็บอกต่อ ๆ กัน ท�ำให้ท่านมีช่ือเสียงมาก ท่านมีลูกศิษย์ที่เป็นข้าราชการ
ช้ันผู้ใหญ่หลายท่าน ในสมัยท่ีพ่อท่านพลัดจ�ำพรรษาอยู่วัดแจ้งนั้น นับว่าท่านเป็น
พระผใู้ หญ่ รปู หนงึ่ ในวดั เปรยี บไดว้ า่ เปน็ รองเจา้ อาวาสวดั แจง้ ทา่ นเปน็ พระผมู้ เี มตตา
พระพศิ าลสกิ ขกจิ (สทุ นิ ) เจา้ อาวาสวดั แจง้ เลา่ วา่ ในชว่ งทท่ี า่ นเปน็ สามเณร อยวู่ ดั แจง้
(ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ - ๒๕๐๑) พอ่ ท่านพลดั ถือเปน็ พระผใู้ หญ่ในวดั แจ้ง ใครจะไปจะมา
เม่ือไปกราบท่านเจ้าคุณพระวิเชียรโมลี แล้วก็ต้องไปกราบพ่อท่านพลัด ใครขาดตก
บกพร่องเดือดร้อนอะไรก็จะไปขอความช่วยเหลือจากท่าน ท่านก็จะช่วยทันที
โดยไม่มีการปฏิเสธ เวลาพระเณรที่มีภูมิล�ำเนาอยู่ไกล ๆ เมื่อจะลากลับภูมิล�ำเนา
ก็จะไปลาเพ่ือขออนุญาต ท่านเจ้าคุณพระวิเชียรโมลี ก่อนแล้วมาลาพ่อท่านพลัด
ท่านก็จะเมตตาช่วยค่าเดนิ ทางค่าอาหาร พระเณรทกุ รูปโดยไมเ่ ลือกปฏิบตั ิ
ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ พ่อท่านพลัด ได้จัดสร้างเหรียญพ่อท่านมหาลอย จนฺทสโร
วัดแหลมจากปากรอ รุ่นแรก ซ่ึงเป็นอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ท่าน และ
พ่อท่านมหาลอย ก็เคยจ�ำพรรษาท่ีวัดแจ้ง ก่อนท่ีท่านจะกลับไปสร้างวัดแหลมจาก
ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน ปัจจุบันเป็นที่นิยมมากเหรียญหนึ่งของจังหวัดสงขลา
พอ่ ทา่ นพลดั ไดข้ ออนญุ าตผา่ นทางการทรงทพี่ ระนอนองคใ์ หญ ่ มคี ำ� สง่ั วา่ ใหส้ รา้ งได้
๕,๐๕๙ เหรียญ ต้องมีส่วนผสมของทอง เงิน นาก ตลอดจนออกแบบด้านหน้า
ของเหรียญกับยันต์ด้านหลังเหรียญ และต้องน�ำออกมาแจกจ่ายประชาชน เมื่อ
ได้รับอนุญาตโดยผ่านการทรงหน้าพระนอนแล้ว จึงได้เดินทางไปติดต่อท�ำเหรียญ
ท่กี รุงเทพฯ เดิมทีคิดว่าจะแจกในวันท�ำพิธศี พของทา่ นมหาลอยแตไ่ ม่ทัน กเ็ ลยน�ำมา
แจกจา่ ยภายหลงั มกี ารพทุ ธาภเิ ษกทว่ี ดั โพธ ิ์ ทา่ เตยี น กรงุ เทพฯ และไดน้ ำ� มาปลกุ เสก
ต่อที่วัดแจ้ง จังหวัดสงขลา จ�ำนวนการสร้าง ๕,๐๐๐ เหรียญ มีหลวงพ่อภัทรเป็น
ประธานปลุกเสก ร่วมกับพระสงฆ์ที่วัดแจ้งอีก ๙ รูป เนื่องจากการสร้างเหรียญ
ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแจกจ่ายให้ลูกศิษย์ตลอดจนประชาชนทั่วไป ลักษณะ
เหรียญเป็นรูปสี่เหล่ียม ด้านหน้าเป็นรูปท่านมหาลอยนั่งเท้าแขนอยู่บนเก้าอ้ี รูปน้ี
ได้จากภาพถ่ายของท่านเองซึ่งไปถ่ายที่ประเทศมาเลเซีย แต่ก็มีเร่ืองแปลกเกิดข้ึน
เนอื่ งจาก พอ่ ทา่ นพลดั สง่ั ทำ� เรอ่ื งเหรยี ญเสรจ็ แตม่ ปี จั จยั ไมพ่ อจา่ ยชา่ ง ทา่ นจงึ อธษิ ฐาน
ขอพ่อท่านมหาลอยให้ช่วย พอไปถึงโรงงานเพ่ือจะรับเหรียญ ทางช่างเกิดศรัทธา
พ่อท่านมหาลอย และศรัทธาในตัวพ่อท่านพลัด ทางโรงงานจึง ได้ถวายเหรียญ
จ�ำนวน ๕,๐๐๐ เหรียญ แด่พ่อท่านพลัด และขอว่าถ้าปลุกเสกเสร็จแล้ว ให้ส่งมาให้
องคก์ ารบริหารสว่ นตำ� บลท่าขา้ ม
136 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ซัก 10 เหรียญ พ่อท่านพลัดก็รับปาก คงเป็นเพราะบารมีพ่อท่านมหาลอย และ
ตบะของพอ่ ท่านพลดั ที่ท�ำใหช้ ่างเกิดศรทั ธาไม่คดิ ค่าใช้จ่ายในการท�ำเหรียญ
ปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ท่านเจ้าคุณพระวิเชียรโมลีได้มีด�ำริ ที่จะจัดสร้างพระเคร่ือง
พระบูชา พระอาจารย์ทองเฒ่าวัดเขาเอาะ แต่ในช่วงนั้นพระอาจารย์ทิม วัดช้างไห้
ได้มาพักที่วัดแจ้ง จึงได้แนะน�ำให้สร้างหลวงปู่ทวด ด้วยโดยท่านได้จัดท�ำแม่พิมพ์
และน�ำมวลสารปี ๒๔๙๗ มามอบให้ โดยท่านเจ้าคุณได้มอบหมายให้ พ่อท่านพลัด
เปน็ ผจู้ ดั การสรา้ งพระเครอื่ ง พระบชู า เนอื้ วา่ น เปน็ รปู หลวงปทู่ วด เหยยี บนำ้� ทะเลจดื
และรูปพระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาเอาะ มีด้วยกันหลายพิมพ์ เพ่ือหารายได้ให้กับ
วัดแจ้ง โดยท่านเป็นผู้จัดการเองทั้งหมด โดยจัดขึ้นท่ีพระอุโบสถวัดแจ้งโดยได้
อาราธนานิมนต์พระเกจิอาจารย์ จ�ำนวน ๑๐๘ รูป มาร่วมพิธีพุทธาภิเษก อาทิ
พ่อท่านปาล วัดเขาอ้อ พ่อท่านหมุน วัดเขาแดงตะวันออก พ่อท่านคงวัดบ้านสวน
พ่อท่านบุญทอง วัดดอนศาลา พ่อท่านเส้ง วัดแหลมทราย พ่อท่านเล็ก วัดจุ้มปะ
พ่อท่านคลิ้ง วัดสุวรรณคีรี และได้นิมนต์พระอาจารย์ทิม วัดช้างไห้ มาเป็นเจ้าพิธี
พอ่ ท่านพลดั มคี วามสนิทสนมกบั พระอาจารย์ทิม
ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พระอาจารยท์ มิ ไดเ้ คยนมิ นตพ์ อ่ ทา่ นพลดั ไปรว่ มพทุ ธาภเิ ษก
วตั ถมุ งคลหลวงปทู่ วด รนุ่ แรก ทวี่ ดั ชา้ งไหเ้ ชน่ กนั อกี ทงั้ ยงั ไดเ้ ชญิ อาจารยฝ์ า่ ยฆราวาส
ซึ่งมี อาจารยช์ ุม ไชยครี ี อาจารย์นำ� จนั ทรแ์ ก้ว และทา่ นขุนพนั ธรกั ษ์ราชเดช ซง่ึ เปน็
ศษิ ยร์ ว่ มสำ� นกั วดั เขาออ้ มารว่ มพธิ ดี ว้ ย โดยลกั ษณะเนอ้ื วา่ นจะเปน็ สดี ำ� พอ่ ทา่ นพลดั
ไดจ้ ดั ทำ� หลวงปทู่ วด เนอื้ วา่ นสขี าว ขนึ้ เปน็ สว่ นตวั แตก่ ไ็ มไ่ ดอ้ อกแจกจา่ ยแดญ่ าตโิ ยม
ภายหลังท่านได้มอบให้ ท่านเจ้าคุณผัน วัดทรายขาว บรรจุกรุไว้ที่ฐานพระประธาน
วดั ทรายขาว อำ� เภอเมืองสงขลา
พ่อท่านพลัด จ�ำพรรษาอยู่ วัดแจ้ง ระยะหน่ึง มีผู้มารบกวนมากจนไม่มีเวลา
ปฏิบัติธรรม และในฐานะที่ท่านเป็นเพียงพระลูกวัด เม่ือมีคนไปกราบไหว้ท่านมาก
กท็ ำ� ใหเ้ กดิ ความไมส่ ะดวกหลายอยา่ ง ทำ� ใหท้ า่ นคดิ จะขยบั ขยายออกจากวดั แจง้ และ
ทา่ นไดต้ งั้ ปณธิ านวา่ จะตอ้ งสรา้ งวดั ขน้ึ เอง ประมาณป ี พ.ศ. ๒๕๑๕ พอ่ ทา่ นพลดั ได้
ไปบุกเบิกที่ใกล้ ๆ ป่าช้าจีน ข้างมหาวิทยาลัยราชฎัชสงขลา แต่ท่านก็ยังไม่ชอบใจ
ท่านจึงไปหาท่ีใหม่ ครั้งนี้ท่านไปได้ท่ีบ้านต้นเลียบ เทือกเขาหลง อ�ำเภอเมืองสงขลา
ใกล ้ ๆ สสุ านหลวงประธานราษฎรน์ กิ ร ไดบ้ กุ เบกิ แผว้ ถางพน้ื ทไ่ี ดบ้ รเิ วณกวา้ งพอทจ่ี ะ
องคก์ ารบริหารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 137
สรา้ งศาลาไดแ้ ตท่ า่ นกย็ งั ไมช่ อบทตี่ รงนเี้ ทา่ ทคี่ วร ตอ่ มาทา่ นไปเจอทบ่ี รเิ วณบา้ นโคกสงู
จึงเร่ิมซ้ือที่ดินบริเวณ บ้านโคกสูง อ�ำเภอหาดใหญ่ ด้วยเงินของท่านเอง ซึ่งเป็นท่ีตั้ง
ของวัดโคกสงู ในปจั จบุ นั ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ทา่ นได้ย้ายมาจำ� พรรษาทที่ ด่ี ินท่ีทา่ นซ้ือ
เพื่อเริม่ บกุ เบิก แผ้วถาง พ้ืนที่โดยตวั ทา่ นเองเพ่อื ด�ำเนินขอตั้งเป็นสำ� นกั สงฆ์
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๘ ทา่ นไดย้ า้ ยมาสงั กดั วดั หงสป์ ระดษิ ฐาราม อำ� เภอหาดใหญ่
(เพราะส�ำนักสงฆ์ จะต้องมีวัดควบคุมอีกที) ในระยะเริ่มต้นขอกาสร้างวัดท่านต้อง
ประสบปัญหามาก เนื่องจากไม่ใช่คนในพ้ืนท่ี ชาวบ้านยังไม่รู้จัก ประการส�ำคัญ
ท่านไม่มีปัจจัยเพียงพอ ต้องกู้เงินมาเพื่อใช้ในการด�ำเนินการสร้างวัด ท่านต้องท�ำ
ทุกอย่างด้วยตัวท่านเอง ต้ังแต่ปรับพื้นที่ ก่อสร้างสถานที่ส�ำหรับประกอบศาสนกิจ
กฏุ ทิ พี่ กั สงฆ ์ ดว้ ยเหตทุ มี่ ปี จั จยั นอ้ ย แตก่ ไ็ ดพ้ อ่ ทา่ นผนั วดั ทรายขาว (พระราชพพิ ฒั นาภรณ)์
มาเป็นก�ำลงั ช่วยพาญาติโยมมาชว่ ยพ่อทา่ นพลดั บุกเบิกพ้ืนท่ ี และชว่ ยสร้างศาลา
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ท่านได้ด�ำเนินการสร้างศาลาการเปรียญ ขนาดกว้าง
๗ เมตร ยาว ๑๑ เมตร โดยท่านได้ใช้เป็นกุฏิที่พักของท่านด้วย และในปี ๒๕๒๔
ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ท่านก็ได้ปักหลักพัทธสีมาครอบศาลาการเปรียญไว้
เพ่ือจะได้ใช้ประกอบศาสนกิจแทนอุโบสถได้ในช่วงท่ีท่านก�ำลังสร้างวัด ก็มีชาวบ้าน
ทงั้ ใกลแ้ ละไกล ไดร้ ว่ มบญุ กบั ทา่ นคนละเลก็ คนละนอ้ ย มอี ยคู่ รง้ั หนงึ่ ชาวบา้ นทำ� บญุ
รวบรวมแล้วได้เงินจ�ำนวน ๘,๐๐๐ บาท ท่านก็ได้รับเงินใส่ยามไว้ เรื่องการได้เงิน
ท�ำบุญได้ล่วงรู้ไปถึงหูของเดนมนุษย์ผู้ไม่เกรงกลัวต่อบาป มันได้เดินทางมาท่ีวัด
หมายที่จะจ้ีเงินจากพ่อท่านเพราะวัดโคกสูงตั้งอยู่ไกลจากบ้านคน ขณะน้ันเป็นเวลา
บ่ายแก่ ๆ พ่อท่านก�ำลังน่ังพักอยู่โคนต้นไม้ หลังจากท่ีท่านท�ำงานถางหญ้า
กวาดลานวัดเสร็จ เจ้าโจรใจบาปเดินวนเวียนไปมาอยู่เป็นเวลานาน เพื่อหาจังหวะ
จะเข้ามาจี้พ่อท่าน พ่อท่านพลัดเห็นมันเดินอยู่นาน จึงตะโกนถามไปว่ามีธุระอะไร
หรือลูกบ่าว มีเร่ืองอะไรก็เข้ามาคุยกัน มาด่ืมน�้ำดื่มท่าแก้กระหายเสียก่อน ไอ้โจรชั่ว
จงึ ไดจ้ งั หวะเดนิ เขา้ มาหาพอ่ ทา่ นและถามทนั ทวี า่ วนั นไี้ ดเ้ งนิ มา ๘,๐๐๐ บาท ใชไ่ หม
พอ่ ทา่ นตอบวา่ ใช่ มนั จงึ บอกวา่ ผมอยากไดเ้ งนิ นน่ั พอ่ ทา่ นพดู วา่ แหม นกึ วา่ ตอ้ งการ
อะไร ทำ� ไมไมบ่ อกตงั้ แตแ่ รก เงนิ แคน่ ไี้ มม่ ปี ญั หา ทา่ นพดู พรอ้ มหยบิ เงนิ ในยามออกมา
ส่งให้ เมื่อได้เงิน เจ้าโจรใจบาป ก็รีบเดนิ ออกไปทางหนา้ วดั ขณะน้ันเปน็ เวลาใกลค้ ่ำ�
เม่ือมันเดินไปถึงทางเข้าวัด ก็รีบว่ิงกลับมาหาหลวงพ่อ พร้อมก้มกราบและ
องคก์ ารบริหารสว่ นตำ� บลท่าขา้ ม
138 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
รีบส่งเงินคืนให้ ตัวสั่นปากสั่นพูดกะพ่อท่านว่า ผมไม่เอาเงินแล้วเดี๋ยวต�ำรวจเข้ามา
พ่อท่านบอกด้วยนะว่าผมไม่ได้เอาเงินของพ่อท่านไป ข้างนอกมีต�ำรวจเต็มไป
หมดเลยเลยครับ ท่านจึงบอกว่าออกไปเถอะไม่มีอะไรหลอก เอาเงินไปด้วยรีบ ๆ
ออกไปซะ ท่านจะไม่บอกใคร เจ้าโจรจึงรีบกลับออกไปใหม่ พอใกล้ถึงทางออกวัด
กร็ ีบวิง่ กลบั มาอีกเพราะเหน็ ต�ำรวจยืนอยู่หน้าวดั มากมาย เมือ่ ถึงพ่อทา่ นก็ส่งเงนิ คืน
อีกครั้ง และได้เอ่ยปากสาบานกับพ่อท่านว่า ต่อไปจะไม่ประพฤติชั่ว ขอให้พ่อท่าน
พูดกับต�ำรวจด้วย พ่อท่านจึงรับปากและสั่งสอนให้ท�ำมาหากินสุจริต เลิกท�ำช่ัว
ท�ำความเดือดร้อนแก่ผู้อ่ืน มันรับปากแล้วเดินออกจากวัดไปอีกครั้ง คราวนี้ออกไป
โดยที่ไม่เห็นต�ำรวจแม้แต่คนเดียว เหตุการณ์น้ีอาจจะเป็นเพราะบารมีของพ่อท่าน
หรอื เปน็ เพราะอภนิ ิหารของพ่อท่านก็ไม่ทราบได ้ ท่ีท�ำให้เกดิ เหตกุ ารณ์ดงั กลา่ ว
พอ่ ทา่ นพลดั เปน็ พระสมถะ อยอู่ ยา่ งเรยี บงา่ ย ไมย่ ดึ ตดิ อะไร เปน็ คนดเุ หมอื น
คนสมัยก่อน แต่ท่านก็มีเมตตาสูง หากมีคนมาขอช่วยสงเคราะห์อะไร ท่านก็จะช่วย
ทันที ท่านไม่แบ่งชั้น วรรณะเป็นกันเองกับทุกคนที่เข้ามาหาท่าน ท่านมักจะแทน
ตัวเองว่า “พ่อหลวง” หลักธรรมที่ท่านมักสอนญาติโยม เป็นประจ�ำคือ ให้รู้จักขยัน
และประหยัดอดออม
ลำ� ดับการปกครอง
พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นเจ้าส�ำนักสงฆ์หัวควน (วัดควนปิใหญ่) อ�ำเภอปากพะยูน
จังหวัดพทั ลุง
พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นพระปลดั พลัด ภทฺธโิ ย ฐานานกุ รมในพระวเิ ชียรโมลี วดั แจง้
รองเจา้ คณะจงั หวัดสงขลา
พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นเจ้าสำ� นกั สงฆโ์ คกสูงภทั ธิยาราม
พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นเจ้าอาวาสวดั โคกสูง
พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นเจ้าคณะตำ� บลท่าขา้ ม
ลำ� ดบั สมณศักด์ิ
พ.ศ. ๒๕๒๙ ไดร้ บั พระราชทานสมณศกั ดิ์ เปน็ พระครสู ญั ญาบตั รเจา้ คณะตำ� บล
ช้ันตรี ท่ี “พระครูภัทรธรรมรตั น”์
องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ� บลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 139
พ่อท่านพลัด ได้เริ่มสร้างวัดโคกสูง ต้ังแต่ไม่มีอะไรอยู่กลางป่า บุกเบิกจน
มีความเจริญ รุ่งเรืองตามล�ำดับ นับว่าเป็นเพราะบารมีของท่านที่สามารถสร้างวัด
ให้มีความเจริญได้รวดเร็ว วาระสุดท้าย ช่วง พ.ศ. ๒๕๔๐ ท่านได้อาพาธ เข้าออก
โรงพยาบาลอยบู่ ่อยครั้ง จนวนั ที่ ๙ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๔๑ พ่อทา่ นไดถ้ ึงแก่มรณภาพ
ด้วยอาการสงบ ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ศิริรวม อายุได้ ๘๗ ปี ๖๕ พรรษา
หลงั จากทที่ า่ นไดม้ รณภาพ สรรี ะของทา่ นกม็ ไิ ดเ้ นา่ เปอ่ื ยผพุ งั ไปตามกาลเวลาแตอ่ ยา่ งใด
ทางวัดจึงได้จัดสังขารท่านเอาไว้ในโลงแก้วเพ่ือให้ประชาชนได้สักการะบูชาต่อไป
และยังได้เป็นการร�ำลึกถึงคุณประโยชน์คุณความดีที่ท่านได้ช่วยเหลือสงเคราะห์
สั่งสอนบรรดาศิษยแ์ ละผคู้ นท่ีมาพบท่านตลอดมา
พระครูสารธรรมคุณ (จ้ี ปวฑฺฒโน)
เดมิ ชอื่ จ้ี เจรญิ ศรี เปน็ บตุ รของนายคง นางขวญั เจรญิ ศรี
เกิดเมอ่ื วนั ท่ี ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๓ ณ บ้านเลขที่ ๓๘
ต�ำบลท่าข้าม อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มีพี่น้อง
รว่ มบดิ ามารดาเดยี วกนั ทง้ั หมด ๕ คน คอื นายเลก็ นางชว่ ย
นายจี้ นางทองปาน และนางน้ยุ
เขา้ เรยี นระดบั ประถมศกึ ษาทโ่ี รงเรยี นวดั เขากลอยในสมยั ครใู หญส่ นทิ ธรรมนยิ ม
จนจบชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๔ สมยั ครใู หญเ่ พยี ร อไุ รรตั น์ สมรสกบั นางชว่ ย มบี ตุ รดว้ ยกนั
๒ คนคอื นางยพุ า สมรสกับนายเฉลิม แกว้ โสภา มบี ตุ รดว้ ยกนั ๑ คน นายทวี สมรส
กบั นางบุญพา สังข์ศิลปช์ ัย มีบุตรด้วยกนั ๒ คน
อุปสมบทเมอื่ พ.ศ. ๒๔๘๔ ณ วัดเขากลอย ตำ� บลทา่ ข้าม อำ� เภอหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา อุปสมบทครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๕ ณ วัดเขากลอย
พ.ศ. ๒๕๓๙ ไดร้ บั แตง่ ตง้ั เปน็ เจา้ อาวาสวดั เขากลอย มบี ทบาทในการอบรมคณุ ธรรม
นกั เรยี นในวนั สำ� คญั ทางศาสนา เปน็ ผแู้ สดงธรรมเทศนา ปาฐกถาธรรมภายในวดั และ
ภายในชุมชน งานพัฒนาและท�ำนุบ�ำรุงพระศาสนา ท�ำหน้าที่เจ้าอาวาสอย่างเต็ม
ความสามารถโดยการอบรมสั่งสอนพุทธศาสนิกชนให้เป็นคนดี เล่ือมใสศรัทธา
ในศาสนาและพัฒนาวัดเขากลอยใหเ้ จรญิ รุ่งเรืองจนเป็นท่รี ้จู ักของคนทัว่ ไป
องคก์ ารบริหารสว่ นต�ำบลท่าข้าม
140 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้รับแต่งตั้งเป็นพระฐานานุกรมที่พระใบฎีกาจ้ี ปวฑฺฒโน
พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้รับแต่งต้ังเป็นพระฐานานุกรมท่ีพระปลัดจี้ ปวฑฺฒโน พ.ศ. ๒๕๔๖
ไดร้ บั แต่งตัง้ เปน็ พระครสู ารธรรมคุณ
ไดส้ รา้ งถาวรวตั ถแุ ละเสนาสนะในวดั เขากลอย ไดแ้ ก่ สรา้ งโรงเลย้ี ง สรา้ งหอฉนั
สร้างศาลาต้ังศพ สร้างวิหารปฏิบัติธรรม ซ่อมแซมอุโบสถ สร้างกุฏิ ปรับพื้นท่ีและ
น�ำหินเกล็ดถมภายในวัด ร่วมกิจกรรมประกวดเรือพระร่วมกับเทศบาลนครสงขลา
เป็นกรรมการสถานศกึ ษา สร้างห้องน้ำ� สรา้ งศาลาเอนกประสงค์
พระครูสารธรรมคณุ มรณภาพดว้ ยความชราเมอ่ื วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๒
เวลา ๒๐.๓๐ น. ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อ�ำเภอหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา สิริรวมอายุ ๘๙ พรรษา ๒๗
ทา่ นพลับ (พระครจู นั ทโสภาคย์) วัดทา่ ขา้ ม
อดตี เจา้ อาวาสวดั ทา่ ขา้ ม (พ.ศ. ๒๔๙๘ - ๒๕๒๒)
ตำ� บลทา่ ขา้ ม อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา อดตี เจา้ คณะ
ต�ำบลท่าข้าม อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และ
อดีตเจ้าอาวาสวัดบางดาน ต�ำบลพะวง อ�ำเภอเมือง
จงั หวดั สงขลา ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ พระอธกิ ารพลบั จนั ทโสภาคย์
รว่ มกับคณะครู กำ� นัน ผใู้ หญ่บ้านและผปู้ กครองนกั เรยี น
สรา้ งอาคารเรยี นขนาด ๔ หอ้ งเรยี น ใหก้ บั โรงเรยี นวดั ทา่ ขา้ ม
นามเดมิ นายพลบั แกว้ ชเู ชดิ เกดิ เมอื่ วนั ที่ ๔ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๔๔๙ ทบ่ี า้ นทา่ ขา้ ม
หมู่ที่ ๓ อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของนายเสน นางสุก แก้วชูเชิด
มพี น่ี อ้ ง ๔ คน คอื พระครจู นั ทโสภาคย์ (พลบั แกว้ ชเู ชดิ ) นายฉำ�่ แกว้ ชเู ชดิ นายไข่ แกว้ ชเู ชดิ
และนายเพ็ง แก้วชูเชิด การศึกษาสามัญพออ่านออกเขียนได้ อุปสมบทเมื่อวันท่ี
๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๐ อายุ ๒๑ ปี โดยมีพระครูรัตนโมลีเป็นพระอุปัชฌาย์
พ.ศ. ๒๔๙๕ เปน็ เจา้ อาวาสวดั ทา่ ขา้ ม พ.ศ. ๒๔๙๘ เปน็ เจา้ คณะตำ� บลทา่ ขา้ ม พ.ศ. ๒๔๙๘
เปน็ เจา้ สำ� นกั ศาสนศกึ ษา ตำ� บลทา่ ขา้ ม พ.ศ. ๒๕๐๓ ไดร้ บั พระราชทานสมณศกั ดเ์ิ ปน็
พระครสู ญั ญาบตั รชนั้ ตรใี นราชทนิ นาม “พระครจู นั ทโสภาคย”์ มรณภาพเมอื่ วนั ท่ี ๑๓
ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ สริ ิรวมอายุได้ ๗๔ ปี ๕๔ พรรษา คณะสงฆ์และศิษยานศุ ิษย์
องค์การบริหารสว่ นต�ำบลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 141
ได้รว่ มกันประกอบพิธพี ระราชทานเพลิงศพ เมื่อวนั ที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๔
เวลา ๑๕.๐๐ น. ณ วดั ทา่ ขา้ ม ตำ� บลทา่ ขา้ ม อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา คณะศษิ ย์
รว่ มกนั จดั ตง้ั ชมรมชอื่ “ชมรมคณะศษิ ยพ์ ระครจู นั ทโสภาคย์ (พลบั จนทฺ สโร) เพอื่ รว่ มกนั
จัดกิจกรรมบ�ำเพ็ญกุศลแลดงความกตัญญูกตเวทีและเผยแพร่เกียรติคุณของ
พระครจู นั ทโสภาคยต์ ง้ั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๕๘ (ทร่ี ะลกึ พธิ ที ำ� บญุ ครบรอบ ๑๑๑ ปี ชาตกาล
พระครูจันทโสภาคย์ (พลับ จนฺทสโร) ๑๑ มถิ นุ ายน ๒๕๖๐)
พระอตุ ตโมคง
หลวงพอ่ อตุ ตโม (คง) หรอื ปเู่ จา้ คง เปน็ เจา้ อาวาสรปู แรก
ของวัดเขากลอย เป็นชาวบ้านเขากลอยออก หมู่ที่ ๗
บวชทวี่ ดั หนิ เกลย้ี งสงั กดั มหานยิ าย ตอ่ มาไปสวดยตั ใิ หมเ่ ปน็
พระสังกัดธรรมยุตินิกายโดยท�ำทัณหิกรรมท่ีวัดมัชฌิมาวาส
(วดั กลาง) สงขลาพระอารามหลวง กลับมาพำ� นกั อย่ทู ่ีศาลา
ที่พักสงฆ์ “หลาเกาะกลาง” ในท่ีดินส่วนตัวของครอบครัว
ท่านเอง ต่อมานายมงคลกับนางหมานุ้ยร่วมกันบริจาค
ทดี่ นิ ๓๐ ไร่ ใหส้ รา้ งวดั ในบรเิ วณทตี่ ง้ั วดั เขากลอยปจั จบุ นั ทา่ นปเู่ จา้ คงเรม่ิ สรา้ งโบสถ์
โดยว่าจ้างนายช่างเม่น โดยนางจูลั่น และนางกิ้มซุ้ยบริจาคเงินจ�ำนวน ๗๐๐ บาท
ให้สร้างโบสถ์ ช่วงนี้ท่านปู่เจ้าคงไป ๆ มา ๆ ระหว่างที่พักสงฆ์หลาเกาะกลางกับ
วัดมัชฌิมาวาส เนอื่ งจากชาวสงขลาบอ่ ยางมคี วามเคารพนับถือป่เู จา้ คงจึงไปมาหาสู่
เป็นประจ�ำ ท�ำให้เกิดการตัดทางเกวียนเข้ามายังวัดเขากลอยและตอนจัดงานศพ
ปเู่ จา้ คงจึงเกดิ ถนนสายควนหนิ - เขากลอยก่อนจะมาเปน็ ถนน รพช. ในยุคตอ่ มา
องคก์ ารบริหารส่วนต�ำบลท่าขา้ ม
142 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ปูชนียบคุ คลทางการศึกษา
ครูเล่อื น ผ่องแผว้ : ชีวติ และลีลาบนอานจักรยาน
นายเลือ่ น ผ่องแผว้ เปน็ บุตรของนายทองเสน ผอ่ งแผ้ว
อดีตก�ำนันต�ำบลท่าข้ามผู้กว้างขวาง กับนางบุญคง ผ่องแผ้ว
เกิดทีบ่ ้านท่าขา้ มมพี น่ี ้องร่วมบดิ ามารดา ๔ คนคือ นายเลือ่ น
นายลน่ั นางเฉย้ี ว และนางเหยี้ ว มพี น่ี อ้ งรว่ มบดิ าแตต่ า่ งมารดา
๓ คนคือ นายชิด นายชอบ และนายชีพ ผ่องแผ้ว บุตรของ
นางก้มิ ผ่องแผว้
จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนมหาวชิราวุธสงขลา เป็นรุ่นน้อง
พลเอกเปรม ตนิ สูลานนท์ หน่งึ ปี บวชที่วดั เขากลอย ต�ำบลทา่ ข้าม อำ� เภอหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา สมัยท่านอุตตโมคง เป็นเจ้าอาวาส เป็นครูตอนเป็นพระ เป็นครูท่ี
วัดหินเกลี้ยง พ.ศ. ๒๔๘๔ สมรสกับนางเสง่ียม อุไรรัตน์ มีบุตรด้วยกัน ๑ คน คือ
ครเู ยาวนี แกว้ สมทอง ตอ่ มาหยา่ รา้ งกนั ตอนครเู ยาวนโี ตแลว้ นางเสงยี่ มไปแตง่ งานใหม่
และครเู ลอ่ื นกแ็ ตง่ งานใหมก่ บั นางมณี ไชยชนะ ไมม่ บี ตุ รดว้ ยกนั พ.ศ. ๒๔๙๕ - ๒๕๒๐
เป็นครูใหญ่โรงเรียนวดั เขากลอย
ครเู ล่อื น ผอ่ งแผ้ว เปน็ คนพดู จาโผงผางถึงลูกถึงคน มคี วามคิดไมค่ ่อยเหมอื น
คนอน่ื ชอบขจี่ กั รยานไปไหนมาไหนตงั้ แตส่ มยั เรยี นมธั ยมจนถงึ วาระสดุ ทา้ ยของชวี ติ
ก็เสียชีวิตบนอานจักรยาน มักมีคนเห็นครูเล่ือนข่ีจักรยานวางมือโดยท�ำกิจกรรม
บนอานจักรยานไปตลอดทาง เช่น แบกหยวกกล้วยทีละสองต้นโดยเอาไม้เสียบ
ตน้ กลว้ ยใหต้ ดิ กนั นง่ั แบกไปบนอานจกั รยานเพอื่ เอาไปทำ� อาหารหมู บางทกี น็ ง่ั หอ่ ยา
ใบจากบนอานจักรยานโดยไมจ่ บั แฮนด์จกั รยาน เป็นตน้
ครูเล่ือน ผ่องแผ้ว เป็นครูท่าข้ามท่ีมีลูกศิษย์เยอะเพราะเป็นครูใหญ่ ๒
โรงเรยี นใหญค่ อื โรงเรยี นวดั หนิ เกลยี้ ง และโรงเรยี นวดั เขากลอย แตล่ กู ศษิ ยถ์ า้ ยงั มชี วี ติ อยู่
ก็คงมีอายุมากกวา่ ๙๐ ปีเป็นอยา่ งนอ้ ย เพราะครูเลื่อน ผอ่ งแผว้ เปน็ ครคู ร้ังแรกเมอื่
พ.ศ. ๒๔๘๒
วันหน่ึงเม่ือประมาณ ๒๐ กว่าปีมาแล้ว ครูเลื่อนขี่จักรยานมาตาม
ถนนเขากลอย - นาหลาในเวลาย่�ำค่�ำ ก็ถูกรถยนต์ของครูคนหน่ึงจากบ้านควนจง
องคก์ ารบริหารส่วนต�ำบลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 143
ชนรถจักรยานเสียหายยับเยินและครูเล่ือนไปเสียชีวิตท่ีโรงพยาบาลหาดใหญ่
แต่ใกล้ท่ีเกิดเหตุฉีล่�ำมาประสบอุบัติเหตุยางรถเคร่ืองระเบิดเสียหลักนอนอยู่อีก
ฟากถนน คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าฉีล่�ำเป็นคนชนรถจักรยานครูเล่ือนแต่มารู้ทีหลังว่า
ไม่ใช่และครูบ้านควนจงท่ีชนก็มาแสดงตัวรับผิดชอบร่วมในตอนหลัง สิริรวมอายุ
ครเู ลอ่ื นประมาณ ๘๐ ปี
ครเู ลื่อนเคยสงั่ น้องภรรยาคือนายชิต ไชยชนะไว้วา่ “ถ้ากตู ายระหวา่ งนาหลา
มาทบี่ า้ นหนา้ วดั เขากลอยมงึ อยา่ เอาศพไวว้ ดั ใหจ้ ดั งานศพทบี่ า้ น” แตพ่ อถงึ เวลาจรงิ ๆ
ก็ไมส่ ามารถท�ำตามท่คี รูเลอ่ื นสัง่ ได้
ปัจจุบันอัฐิครูเล่ือนส่วนหน่ึงบรรจุไว้ในบัวของตระกูลผ่องแผ้ว ในวัดท่าข้าม
อกี สว่ นหนงึ่ อยทู่ บี่ า้ นนางมณี ผอ่ งแผว้ (ไชยชนะ) ภรรยาคนทส่ี องทค่ี รเู ลอื่ นอยดู่ ว้ ยกนั
จนวาระสุดท้ายแตไ่ มม่ ีทายาทสืบทอด
ครูเพยี ร อไุ รรัตน์
นายเพียร อุไรรัตน์ เกิดเมื่อวันท่ี ๑๕ สิงหาคม
พ.ศ. ๒๔๔๒ ทบี่ า้ นทา่ ขา้ ม เปน็ บตุ รนายแกว้ นางนยุ้ อไุ รรตั น์
มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๗ คน คือ
นายจนั ทรแ์ กว้ อไุ รรตั น์ นายจนั ทรท์ อง อไุ รรตั น์ (ผใู้ หญบ่ า้ น
พ่อตาครูเล่ือน ผ่องแผ้ว บิดานางเสง่ียม ภรรยาคนแรก
ของครเู ล่อื น) จา่ เอียด อุไรรัตน์ นายพัน อุไรรตั น์ (พ่อของ
ผู้ใหญบ่ า้ นเย่ยี ม อไุ รรตั น์) นายเพยี ร อไุ รรัตน์ นางสุกแกว้
ปากขวด นางนอง คนสุดทอ้ ง
จบมัธยมศึกษาปีท่ี ๕ จากโรงเรียนมหาวชิราวุธ อ�ำเภอเมือง จังหวัดสงขลา
ร่นุ แรกรนุ่ เดียวกับกวนเอง ก�ำลงั เรยี น ม.๕ เขามาคดั เลือกให้ไปเป็นทหารมหาดเล็ก
รุ่นท่ีมีเจ้าเมืองอยู่ที่ต�ำหนักเขาน้อย กวนเองได้เป็นแต่พอรู้ว่าต้องนุ่งผ้าจูงกระเบน
และเดนิ ตามเจา้ เมอื งเลยหนกี ลบั บา้ นมาพบกบั นางจนั ทรเ์ นย่ี วซงึ่ เปน็ เดก็ กำ� พรา้ จาก
ทงุ่ โดนพ่อแมเ่ ปน็ โรคห่าตายหมดแลว้ มาอยกู่ บั ลุงและญาติ ๆ แมเ่ ฒ่าศรีหวานโนรา
บ้านทุ่งรีมาเล่นโนราแถวนี้ได้แต่งงานกับแม่เฒ่า เห็นนางจันทร์เน่ียวน่ารักก็เอามา
เลี้ยงเป็นลกู สองคนพี่น้องคอื นางฝ้าย
องค์การบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ข้าม
144 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ครเู พยี รเกง่ คณติ ศาสตรแ์ ละภาษาอังกฤษ มีบุตรกบั นางจันทรเ์ น่ยี ว ๕ คนคอื
นายเกียรติ อุไรรัตน์ นายค�ำนึง อุไรรัตน์ เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล นางสว่างจิตร
ขา้ ราชการครู นางถนอม นางสดสี จบมหาวทิ ยาลยั ราชภฎั สวนสนุ นั ทา และมบี ตุ รกบั
นางหนูให้ (ลูกสาวก�ำนันสอน ก�ำนันสอนเป็นน้องสาวแม่ของครูเพียร) คือนายบ้าน
ระลกึ หรือนายบา้ นเชือน อุไรรตั น์
ครูเพียรเป็นครูใหญ่คนแรกของโรงเรียนวัดเขากลอยเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม
พ.ศ. ๒๔๖๕ ทวี่ ดั ทา่ ขา้ ม ชอ่ื “โรงเรยี นประชาบาลตำ� บลทา่ ขา้ ม” ตอ่ มาโรงเรยี นยา้ ยมา
อยวู่ ดั เขากลอยเมอื่ วนั ท่ี๘กนั ยายนพ.ศ.๒๕๖๕จนถงึ พ.ศ.๒๔๗๐พ.ศ.๒๔๘๕-๒๔๙๔
นายเพียร อุไรรัตน์ กลับมาเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดเขากลอยจนเกษียณอายุราชการ
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๔
ครเู พยี ร อไุ รรัตน์ เสยี ชวี ิตประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๘ อายปุ ระมาณ ๖๖ ปี
ครูรกั ษ์ แกว้ ฉมิ พลี
ครูรกั ษ์ แก้วฉิมพลี เกิดวนั ท่ี ๑๓ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ ทบ่ี ้านท่งุ ในทราก่งึ
บ้านหนิ เกลี้ยง บ้านเขากลอย ต่อแดนกัน บุตรนายไข่ นางแดง จบชนั้ ประถมปีที่ ๔
ทโี่ รงเรยี นวดั เขากลอย ตำ� บลทา่ ขา้ ม อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา แลว้ ไปศกึ ษาตอ่
ที่โรงเรียนวชริ านกลู ต�ำบลบ่อยาง อ�ำเภอเมอื ง จังหวดั สงขลา ไดว้ ุฒิการศึกษา ม.๓
บิดาเสียชีวิตโดยการถูกฆาตกรรมไม่มีคนส่งเสียให้เรียนจึงกลับมาอยู่บ้าน สมัยน้ัน
พอจบ ม.๖ ทส่ี งขลาแลว้ ตอ้ งเขา้ กรงุ เทพฯจงึ จะไดง้ านตอ้ งการและตง้ั ใจ สมคั รเปน็ ครู
ทอ่ี ำ� เภอใชว้ ฒุ ิ ม.๓ สมยั นนั้ ป.๔ กร็ บั สมคั รเปน็ ครแู ลว้ ไดเ้ ปน็ ครโู รงเรยี นวดั หนิ เกลย้ี ง
ต�ำแหน่งวัดหินเกลี้ยงเขารับใหม่ เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ตอนหลังสอบชุดได้ครูมูล
ไม่ไดบ้ วชเพราะสงสารเดก็ มคี รู ๓ คนต้องสอน ๔ ช้ัน นายวัน ผดุงศกั ด์ิ เปน็ ครูใหญ่
องค์การบริหารส่วนตำ� บลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 145
มคี รูสวา่ งจติ ร อไุ รรัตน์ (ภรรยา บตุ รของครเู พยี ร อไุ รรัตน)์ พอ่ ตาคอื ครเู พยี ร อไุ รรัตน์
รักใคร่ชอบพอมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน ท่านเคยบอกว่า “ฉันรักเธอต้ังแต่แรกหนู้”
สมรสกับนางสว่างจิตร อุไรรัตน์ เพ่ือนร่วมชั้นเรียนต้ังแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑
นางสว่างจิตร อุไรรัตน์ ใช้สิทธิครูของพ่อไปเรียนโรงเรียนวรนารเี ฉลมิ อ�ำเภอเมอื ง
จงั หวดั สงขลา มบี ตุ รดว้ ยกนั ๕ คน คอื นายพรี ะพนั ธ์ุ แกว้ ฉมิ พลี เปน็ อตุ สาหกรรมจงั หวดั
นายอรา่ ม แก้วฉิมพลี เป็นเจา้ หน้าทีเ่ ขตพืน้ ท่กี ารศึกษา นางจนิ ตนา ทิมกระจ่าง เปน็
เจา้ หนา้ ทโี่ รงพญาบาลพญาไท นางจฑุ ามาศ อนิ ทรตั น์ ฝา่ ยการเงนิ โรงพยาบาลสงขลา
นางอรวรรณ สตะพันธ์ุ เปน็ ครูโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา โรงเรียนหาดใหญพ่ ทิ ยาคม
พ.ศ. ๒๔๙๘ – ๒๕๓๐ เป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดหินเกล้ียง พ.ศ. ๒๔๙๘
ร่วมกับพระอธิการถัด ฐิตเมโท เจ้าอาวาสวัดหินเกลี้ยงชักชวนชาวบ้านและ
ผู้ปกครองนักเรียนสร้างอาคารเรียนช่ัวคราว ๑ หลัง ในท่ีดินของวัดหินเกล้ียง
พ.ศ. ๒๕๐๙ รว่ มกบั พระอธกิ ารพณิ จารธุ มโฺ ม เจา้ อาวาสวดั หนิ เกลย้ี ง พระอธกิ ารถดั
ฐิตเมฺโท เจ้าอาวาสวัดพรุเตาะและพระอธิการเทือน ปนาโท รักษาการเจ้าอาวาส
วดั เนนิ พจิ ติ ร รว่ มกบั กรรมการศกึ ษา ผปู้ กครองนกั เรยี นและคณะครกู ลมุ่ โรงเรยี นนำ้� นอ้ ย
สรา้ งอาคารเรยี นแบบ ป.๑ ก ขนาด ๔ หอ้ งเรยี น ๑ หลงั ในเนอ้ื ท่ี ๑ ไร่ แตก่ ารปลกู สรา้ ง
ยังค้างคาอยู่ ปัจจุบันใช้เป็นศาลาเสริมสุขภาพเพ่ือให้ชุมชนเล่นกีฬาออกก�ำลังกาย
ปี พ.ศ. ๒๕๑๒ มนี ักเรียน ๒๐๓ คน ครู ๕ คน ทเี่ รยี นไม่พอนางหนูให้ อุไรรัตน์ และ
นายจนั ทร์ทอง อไุ รรัตน์ มอบทีด่ นิ ให้รวม ๕ ไร่ ๓ งาน สร้างอาคารเรยี นแบบ ป.๑ ก
ขนาด ๕ หอ้ งเรยี น เปดิ เรยี นชนั้ ประถมปลาย ป.๕ - ๗ และมกี ารสรา้ งอาคารเรยี นอกี
๑ หลงั จากการบรจิ าคของกรรมการสถานศกึ ษาและผปู้ กครองนกั เรยี น ปี พ.ศ. ๒๕๒๔
ได้งบประมาณสรา้ งอาคารเรียนขนาด ๘ หอ้ งเรยี นอกี ๑ หลงั
มีความประทับใจผู้ปกครองชาวบ้านหินเกล้ียงที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ตลอดชีวิตของการเป็นครูอยู่ท่ีนั่นตั้งแต่วันแรกจนปลดเกษียณเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐
ตั้งแต่สอนท่ีศาลาโรงธรรมที่ไม่มีฝา ปูพ้ืนอิฐ โต๊ะก็ไม่มี กระดานด�ำมี ๒ แผ่น
สมยั พระสขุ โสภโิ ต เปน็ เจา้ อาวาส สมยั นน้ั มนี กั เรยี น ป.๔ จำ� นวน ๔ คน ป.๓ จำ� นวน
๗ - ๘ คน ทงั้ โรงไมถ่ งึ ๓๐ คน ฝกึ กายบรหิ าร ครใู หญช่ อบ ชว่ งเชา้ หรอื กอ่ นกลบั บา้ น
เพราะเดก็ ชอบ ตอนนนั้ บา้ นอยไู่ มไ่ กลโรงเรยี น เดนิ ไปตามคนั นาหนา้ บา้ นคนมาทำ� นา
(นายยก) หน้าบ้านมีคนถามว่า “เป็นครูได้เดือนก่ีบาทพอกินม่าย พอซ้ือเคยม่าย”
องค์การบรหิ ารส่วนต�ำบลทา่ ขา้ ม
146 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
สมยั นน้ั โรงเรยี นวดั หนิ เกลย้ี งใหญก่ วา่ โรงเรยี นอนื่ ๆ ในละแวกเดยี วกนั เดก็ สว่ นใหญ่
เรยี นท่โี รงเรียนวดั หินเกลยี้ ง
คนหินเกลี้ยงสมัยน้ันนับถือต้นมะขามต้นใหญ่ในบ้านหินเกล้ียงอยู่ในที่
สาธารณะ มีศาลากลางหนอยู่ริมทางเดิน มีเผล้งหลา มีบ่อน้�ำข้างศาลา มีคนตักน�้ำ
ใส่เผล้งหลา คนเดินทางมาพักที่ศาลากลางหน ตอนนั้นตลาดนัดนาหลามีแล้ว
คนเขากลอย หนิ เกล้ียง มีคนมาขายกระเบ้ืองจากทา่ นางหอม เกาะยอ
ปราชญ์ชาวบา้ น
นายอรณุ แก้วสตั ยา
นายอรุณ แก้วสัตยา เกิดเม่ือวันท่ี
๑๑ เดือนกนั ยายน พ.ศ. ๒๕๐๖ สถานทเ่ี กดิ
ตำ� บลทา่ ขา้ ม อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา
ปจั จบุ นั อยบู่ า้ นเลขที่ ๑๔/๑ หมทู่ ี่ ๘ ตำ� บลทา่ ขา้ ม
อำ� เภอหาดใหญ่ จังหวดั สงขลา เป็นบตุ รของ
นายเรียง แก้วสัตยาและ นางจัด แก้วสัตยา
มีอาชีพ ค้าขาย เป็นบุตรคนเดียว มีภรรยาช่ือ นางอุไร แก้วสัตยา นามสกุลเดิม
ของภรรยา ทองสมสี มีบุตร ๒ คน บุตร (หญิง) ๑ คน บุตร (ชาย) ๑ คน ได้แก่
นางสาวเยาวรตั น์ แกว้ สตั ยา และ นายมนตรี แกว้ สตั ยา
การศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๑๗ จบการศึกษาระดบั ประถมศึกษาปี ที่ ๔ จากโรงเรียน
วดั ทา่ ขา้ ม อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา พ.ศ. ๒๕๒๐ จบการศกึ ษาระดบั ประถมศกึ ษา
ปีท่ี ๗ จากโรงเรียนวัดหินเกล้ียง ต�ำบลท่าข้าม อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
พ.ศ. ๒๕๒๓ จบการศกึ ษาระดบั มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี ๓ จากโรงเรยี นธรรมโฆษติ ตำ� บลนาหมอ่ ม
อ�ำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พ.ศ. ๒๕๒๖
จบการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
จากวิทยาลัยเกษตรกรรมสงขลา พ.ศ. ๒๕๒๘
จบการศึกษาระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ
ชน้ั สงู จากวทิ ยาลัยเกษตรกรรม สงขลา
องค์การบริหารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 147
ขณะเรียนที่โรงเรียนธรรมโฆษิต มีความสนใจงานศิลปวัฒนธรรมโดยฝึกหัด
แสดงหนงั ตะลงุ กบั นายฉนุ้ เพชรขาว และฝกึ หดั แกะรปู หนงั ตะลงุ ปรกุ ระดาษลายไทย
ประดบั หบี ศพโบราณ และแกะสลกั หยวก โดยศกึ ษาจากผรู้ ใู้ นบา้ นทา่ ขา้ ม บา้ นนำ้� นอ้ ย
พ.ศ. ๒๕๒๘ ส�ำเร็จการศึกษาระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง จากวิทยาลัย
เกษตรกรรมสงขลา ได้เข้าท�ำกจิ กรรมสง่ เสริม ศิลปวัฒนธรรมภาคใตข้ องวทิ ยาลัย
นายอรณุ แกว้ สตั ยา เปน็ ผสู้ นใจศกึ ษาคน้ ควา้ แหลง่ ขอ้ มลู จากตำ� ราและปราชญ์
ชาวบา้ น ใชค้ วามรคู้ วามสามารถและความรกั ในศลิ ปะในการประกอบอาชพี รบั แกะรปู
หนังตะลงุ ท�ำหบี ศพ โบราณ งานแกะสลกั หยวก จากความรักในดา้ นการแสดงโนรา
ทำ� ใหไ้ ดศ้ กึ ษาเครอื่ งแตง่ กายโนราแบบโบราณมาผสมผสานกบั งานปรกุ ระดาษลายไทย
ประดษิ ฐเ์ ปน็ เครอื่ งแตง่ กายโนรา เชน่ ปน้ั เหนง่ ทบั ทรวง ปกี นกแอน่ จบั ปง้ิ ใหแ้ กโ่ นรา
คณะตา่ ง ๆ ปลอกมดี กรชิ เครอื่ งเช่ยี น และสอนงานใหก้ ลุม่ ผสู้ นใจศกึ ษาสบื ทอด
แนะนำ� เคร่อื งมอื ชา่ งนานาชนิดทเี่ กบ็ สะสมไวท้ ี่บา้ น เครอ่ื งมอื ในการท�ำเครอ่ื งเงิน
ประวตั กิ ารทำ� งาน ๑. ดา้ นความเชยี่ วชาญเฉพาะทาง ชา่ งอรณุ แกว้ สตั ยา เปน็
ผู้สนใจงานศลิ ปะและใฝ่รู้ ศึกษาจากผเู้ ช่ียวชาญหลายแขนง เช่น การแสดงหนังตะลุง
เริ่มหัดหนังครั้งแรกที่บ้านนายฉุ้น เพชรขาว ต�ำบลท่าข้าม ต่อมานายฉุ้นได้ฝาก
ให้หัดหนังกับ หนังอาจารย์นครินทร์ ชาทอง และได้ท�ำพิธีครอบมือเป็นศิษย์
เม่ือ พ.ศ. ๒๕๓๑ โดยมีท่านพระครูสมานคุณากร (ท่านจันทร์) วัดโคกสมานคุณ
หาดใหญ่ เป็นประธาน พิธีฝ่ายสงฆ์
งานช่างแกะรูปหนังตะลุง เร่ิมฝึกเรียนการแกะรูปหนังตะลุงกับพ่อยก
(พอ่ บุญธรรม) คือหนงั เพียร ทา่ ขา้ ม เม่ือ พ.ศ. ๒๕๑๒ ขณะยงั ไมเ่ ข้าโรงเรยี น จากนัน้
ไปเรียนตอ่ กบั ชา่ งเลก็ วารีกุล บา้ นน้�ำนอ้ ย เม่อื พ.ศ. ๒๕๒๓ ผลการแกะหนังตะลุง
รปู แบบสวยงามถกู ตอ้ งตามลกั ษณะ โดยเฉพาะลวดลายประกอบในรปู หนงั ตะลงุ และ
คันยักในการชกั ปากของอรุณท�ำดว้ ยเขาควาย แทนที่จะใช้ไมไ้ ผเ่ หมอื นช่างท่วั ๆ ไป
องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ� บลท่าขา้ ม
148 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
งานช่างแกะ (ปรกุ ระดาษ) เร่ิมเรยี นงานช่างแกะ (ปรุกระดาษ) ครั้งแรกเมื่อปี
พ.ศ. ๒๕๑๙ กบั ชา่ งดา สมศกั ด์ิ บ้านหนองไทร ตำ� บลทา่ ขา้ ม และมาเรียนเพมิ่ เติม
กับ ช่างดา ตรีรัญเพชร บ้านทุ่งโตนด ต�ำบลนาหม่อม ใน พ.ศ. ๒๕๒๓ จากน้ัน
มาเรียนเพ่ิมเติมกับ ช่างอ้น บ้านโคกทราย อ�ำเภอจะนะ ใน พ.ศ. ๒๕๒๕ และ
ด้วยความสนใจใฝร่ อู้ ย่างไม่จบส้นิ ในเร่ืองงานชา่ งศิลปะและ ด้วยใจรกั จงึ ไปศกึ ษาต่อ
กับช่างวิน บ้านน้�ำน้อย ใน พ.ศ. ๒๕๓๐ สาธิตงานแกะกระดาษ (ปรุกระดาษ)
ให้กับนักเรียนและผู้สนใจตามสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงกลุ่มพ่ีน้อง ชาวไทยมุสลิมจาก
จังหวัดนราธวิ าสต่างใหค้ วามสนใจและซักถามความรู้ นอกจากน้ี ชา่ งอรณุ ยงั สืบสาน
งานแขนงน้ีโดยการท�ำการสอนถ่ายทอดให้กับผู้ที่สนใจท่ี ศูนย์พัฒนาอาชีพ
จงั หวดั สงขลา “ศรเี กยี รตพิ ฒั น”์ ในโครงการฝกึ อบรมชา่ งศลิ ปะไทยโบราณ (ชา่ งสบิ หม)ู่
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นต้นมา และยังออกไปสาธติ เผยแพรต่ ามสถานท่ตี ่าง ๆ ทัง้ ใน
จงั หวัดและตา่ งจังหวดั นับไดห้ ลายสบิ คร้ัง
ทำ� พธิ กี รรมในงานพธิ ตี า่ ง ๆ เรมิ่ เรยี นมนตค์ าถา บทสวดในการทำ� พธิ กี รรมเซน่
บวงสรวงต่าง ๆ ให้กบั หมอไข่ ทองวิไล และหมอพลัด สขุ สวา่ งผล เม่อื พ.ศ. ๒๕๑๕
และไดม้ โี อกาสใชค้ วามรเู้ มอ่ื อยทู่ โี่ รงเรยี นธรรมโฆษติ เมอื่ พ.ศ. ๒๕๒๑ ในการเซน่ ไหว้
ศาลพระภมู เิ จา้ ทใ่ี หก้ บั ทางโรงเรยี น และเมอ่ื ไปศกึ ษาตอ่ ทวี่ ทิ ยาลยั เกษตรกรรมสงขลา
ท่ีอ�ำเภอรัตภูมิ ได้ศึกษาวิชาทางด้านน้ีกับ ท่านเล็ก วัดจุมปะ อ�ำเภอรัตภูมิ ซ่ึงเป็น
อาจารย์ท่ีมีช่ือเสียงด้านไสยเวทย์ เม่ือ พ.ศ. ๒๕๒๕ จากน้ันก็ได้ไปศึกษาต่อกับ
ทา่ นพระครศู รีโสภณ (ทา่ นลอย) วดั เขาตกนำ้� อ�ำเภอรัตภูมิ นอกจากจะเป็นวทิ ยากร
ทำ� พธิ ไี หวค้ รใู หแ้ กส่ ถาบนั การศกึ ษาตา่ ง ๆ แลว้ นายอรณุ แกว้ สตั ยา ยงั ทำ� พธิ ไี หวค้ รู
เป็นประจ�ำทุกปี เพ่ือความเป็นสิริมงคลในวิชาชีพ ซึ่งจัดท่ีบ้านพักอาศัยที่ท่าข้าม
ชา่ งอรุณ แก้วสัตยา ท�ำพธิ ไี หวค้ รูทกุ ปี
นำ� ชมผลงานทห่ี ลากหลาย กว่าจะออกมาเปน็ ชิน้ งานท่สี วยงาม
องค์การบริหารส่วนต�ำบลทา่ ขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 149
งานสลัก (แทงหยวก) เริ่มฝึกหัดเรียน
งานแทงหยวกกับครมู งคล บา้ นปากรอ สมัยเรียน
อยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๒ เม่ือ พ.ศ. ๒๕๒๓ และ
ได้ใช้วิชาความรู้ในการแทงหยวกท�ำเมรุชั่วคราวให้กับ
งานศพอาจารย์สมพร สิ้นทุกข์ ผชู้ ว่ ยผ้อู ำ� นวยการ
วิทยาลัยเกษตรกรรมสงขลา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖
สมัยยังเรียนอยใู่ นระดับ ปวช. ปีท่ี ๒ และมาเรียน ทที่ ำ� งานสรา้ งสรรค์หน้าบ้าน
เพม่ิ เตมิ กบั ชา่ งวนิ บา้ นนำ�้ นอ้ ยซงึ่ เปน็ ชา่ งระดบั ครงู านศลิ ปะพน้ื บา้ น ชา่ งปรกุ ระดาษ
และแทงหยวก จนครยู อมรบั ในฝมี อื จงึ ทำ� การ ครอบครหู รอื ครอบมอื งานแทงหยวกให้
เม่ือ พ.ศ. ๒๕๓๒
ร�ำโนราโรงครู เร่มิ หัดรำ� โนรากับโนราคลา้ ย พระกาฬ (แก้วสัตยา) ผู้เปน็ ทวด
เม่ืออายุ ๗ ขวบ และฝึกหัดร�ำโนรากับ โนราชุม แก้วสัตยา ผู้เป็นปู่และโนราเงาะ
บ้านทา่ ขา้ ม ได้รบั การผกู ผา้ ครอบเทรดิ เป็นโนราเต็มตัว เม่ือ พ.ศ. ๒๕๒๙ ปัจจบุ นั
ช่างอรุณหรือโนราอรุณ แก้วสัตยา เป็นนายโรงเองหลังจากโนราชุมถึงแก่กรรม
เมอื่ พ.ศ. ๒๕๔๓ และยงั คงรบั งานโนราโรงครแู กบ้ นตามทต่ี า่ ง ๆ อยเู่ ปน็ ประจำ� ทกุ ปี
งานช่างบุเงิน หลังจากฝึกหัดเรียนรู้งานช่างศิลปหัตถกรรมแขนงต่างๆ
จากครู - อาจารย์ช่างท่ีมีชื่อเสียงในหมู่บ้านและท้องถิ่นใกล้ไกล จนสามารถท�ำงาน
ศิลปหัตถกรรมแขนง เหล่าน้ัน ไม่ว่าจะงานช่างแกะ (ปรุกระดาษ, ท�ำรูปหนังตะลุง)
งานสลัก (แทงหยวก) จนเป็นท่ียอมรับของครู - อาจารย์ถึงข้ันครอบมือครอบครู
ยอมรับเป็นศษิ ย์
ที่ทำ� งานสรา้ งสรรค์ใต้ถนุ บา้ น
องค์การบริหารส่วนตำ� บลท่าขา้ ม
150 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
สาธิตงานบุเงิน ท�ำเคร่ืองต้นโนรา ซ่ึงเป็นงานฝีมือหน่ึงในสิบหมู่ของ
งานชา่ งศลิ ปะไทยโบราณ (ชา่ งสบิ หม)ู่ เพอ่ื บนั ทกึ เทปโทรทศั น์ รายการ อาชพี ทอ้ งถนิ่
ทางสถานวี ทิ ยโุ ทรทศั นแ์ หง่ ประเทศไทย ชอ่ ง ๑๑ หาดใหญ่ เมอื่ พ.ศ. ๒๕๔๕ ชา่ งอรณุ
มไิ ดห้ ยดุ นงิ่ อยเู่ พยี งแคน่ นั้ ในการทำ� งานศลิ ปหตั ถกรรมตา่ ง ๆ ซง่ึ อาศยั กนก ลวดลายไทย
โบราณด้ังเดิมท่ีได้รับการถ่ายทอดจากครูอาจารย์กอปรกับตัวเองเป็นโนราชอบโนรา
และได้มีโอกาสพบเห็นเครื่องแต่งกายโนราเก่า ๆ ก็มีความสนใจการท�ำเครื่องทรง
(แตง่ กาย) โนราทที่ ำ� ดว้ ยเงนิ เช่น ปน้ั เหน่ง, ทบั ทรวง, ปีกนกแอน่ ฯลฯ จึงได้เดินทาง
ไปเรยี นฝกึ หดั ชา่ งเงนิ กบั ชา่ งคนิ่ มณกี ลุ บา้ นแหลมดนิ ตำ� บลนำ�้ นอ้ ย อำ� เภอหาดใหญ่
เมอื่ พ.ศ. ๒๕๓๑ จนสามารถเรยี นรขู้ นั้ ตอนในการทำ� เครอ่ื งเงนิ จงึ เรม่ิ สรา้ งเครอ่ื งมอื
อปุ กรณใ์ นการท�ำงานบุเคร่อื งเงนิ ผลงานปรุกระดาษและท�ำเคร่ืองบเุ งิน
ดา้ นการถา่ ยทอดองคค์ วามรู้ เปน็ วทิ ยากรใหก้ บั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม
สถาบันการศึกษาต่าง ๆ และได้ถ่ายทอดองค์ความรู้งานฝีมือให้กับเยาวชนที่สนใจ
เข้ามาศึกษาท่ีบ้านโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายหรือค่าสอนแต่อย่างใด เป็นการถ่ายทอด
ให้เยาวชนที่มีความสนใจและรู้คุณค่า นายอรุณ แก้วสัตยา มีแนวคิดท่ีจะรวบรวม
ภูมิปัญญางานศิลปะไทยโบราณท่ีตนเองมี ความรู้และเชี่ยวชาญไว้เป็นแหล่งเรียนรู้
ให้แก่เยาวชน โดยสร้างบ้านไม้เพ่ือจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บประวัติและผลงาน และ
เป็นสถานที่สอนหรือถ่ายทอดความรู้ด้านศิลปะไทยพื้นบ้าน ซ่ึงใช้เวลา ๗ ปีแล้ว
แตง่ านยงั ไมเ่ สรจ็ เรยี บรอ้ ยทงั้ หมด เนอ่ื งจากอาศยั ชว่ งเวลาวา่ งนงั่ ทำ� ทลี ะเลก็ ทลี ะนอ้ ย
(เลือกไม้ ออกแบบลวดลายและแกะสลกั ไม้เอง)
ประสบการณ์ในการท�ำงานและความดีความชอบท่ีได้รับประสบการณ์
ในการท�ำงาน ได้โอกาสแสดงฝีมือในงานแทงหยวกให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกมุ ารที อดพระเนตร เมอื่ เดอื นกนั ยายน พ.ศ. ๒๕๔๓ และใน พ.ศ. ๒๕๔๒
ไดเ้ ปน็ ครสู อนแทง หยวกใหก้ บั ลกู ศษิ ยแ์ ละผทู้ สี่ นใจในการฝกึ อบรมงานชา่ งศลิ ปะไทย
โบราณ (ช่างสบิ หม)ู่ ณ ศนู ย์ พัฒนาอาชีพจงั หวดั สงขลา “ศรเี กยี รติพัฒน”์
นายอรณุ แกว้ สตั ยา ไดใ้ ชค้ วามเชยี่ วชาญงานสลกั (แทงหยวก) ตกแตง่ พระเมรุ
พธิ พี ระราชทานเพลงิ พระศพสมเดจ็ พระเจา้ พนี่ างเธอเจา้ ฟา้ กลั ยาณวิ ฒั นา กรมหลวง
นราธิวาสราชนครินทร์ ซ่ึงจัดท่ีวัดโลการาม อ�ำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เพ่ือให้
ประชาชนได้รว่ มถวายความอาลยั และวางดอกไม้จนั ทน์
องค์การบรหิ ารส่วนต�ำบลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 151
พิธีรับ - ส่งเทียมดา เป็นประเพณีเก่าแก่ที่จัดในวันสงกรานต์หรือประเพณี
สงกรานต์ของชาวบ้านท่าข้าม คือการรับเทวดาและส่งเทวดาเพ่ือความเป็นสิริมงคล
ในวนั ปใี หมไ่ ทย โดยนายอรุณ แกว้ สัตยา เปน็ ผู้ทำ� พธิ ที ุกปซี ึ่งจดั ท่วี ัดท่าขา้ ม
ผลงานดเี ดน่ โดยสรปุ เปน็ บคุ คลที่มีคุณธรรม มคี วามซอ่ื สตั ยส์ จุ ริต ซึ่งสมควร
ยกย่องเป็นแบบอย่างแก่บุคคลท่ัวไป มีความซ่ือสัตย์และมีจรรยาบรรณต่อวิชาชีพ
ศลิ ปกรรม เคารพในลขิ สทิ ธท์ิ างความคดิ ในดา้ นรปู แบบของงานศลิ ปกรรม รงั สรรคง์ าน
ให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และด�ำรงชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
เป็นผู้มีคุณธรรม เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรม เป็นที่เคารพนับถือ
ในชุมชนและในบรรดาหมู่ช่างด้วยกัน มีการจัดพิธีไหว้ครูเป็นประจ�ำทุกปีเพ่ือความเป็น
สิริมงคลพร้อมท้ังแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อครูบาอาจารย์ เป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา
และขยันหม่ันเพียร โดยศึกษางานศิลปะไทยจากปราชญ์ ชาวบ้านแต่ละสาขา
ในบ้านท่าข้ามและอ�ำเภอใกล้ไกลซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งได้สืบทอด ศิลปะ
การรำ� โนราจากทวดและปจู่ นเปน็ ผเู้ ชยี่ วชาญในงานศลิ ปะหลายสาขาอาทชิ า่ งปรกุ ระดาษ,
ช่างแทงหยวก, ช่างบุเงิน, ช่างแกะรูปหนังตะลุง รวมทั้งงานศิลปะการแสดง เช่น
การร�ำโนราโรงครู และการแสดงหนังตะลุง เป็นท่ียอมรับในวงการช่างแทงหยวก
ทง้ั ในระดบั จงั หวดั และระดบั ภมู ภิ าค จนไดร้ บั คดั เลอื กใหเ้ ปน็ ศลิ ปนิ ดเี ดน่ จงั หวดั สงขลา
สาขาการช่างฝีมือด้านเครื่องโลหะ (งานบุเงิน) ประจ�ำปี พ.ศ. ๒๕๔๔ เป็นบุคคลที่
บ�ำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปซ่ึงสมควรแก่การยกย่อง
เป็นวิทยากรให้ศูนย์พัฒนาอาชีพจังหวัดสงขลา “ศรีเกียรติพัฒน์” ในโครงการ
ฝึกอบรมช่างศิลปะไทยโบราณ (ช่างสิบหมู่) เป็นวิทยากรให้สถาบันการศึกษาและ
ชว่ ยเหลือกิจกรรมทางศลิ ปวัฒนธรรมของบา้ นท่าข้ามตลอดมา อทุ ศิ ตนและเสียสละ
ในการถา่ ยทอดความรใู้ หแ้ กเ่ ยาวชนทศ่ี นู ยพ์ ฒั นาอาชพี จงั หวดั สงขลา “ศรเี กยี รตพิ ฒั น”์ ,
คณะศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สงขลา, วทิ ยาลยั นาฏศลิ ป์ นครศรธี รรมราช,
วทิ ยาลยั ภมู ปิ ญั ญาชมุ ชน มหาวทิ ยาลยั ทกั ษณิ วทิ ยาเขตพทั ลงุ และ คณะศลิ ปกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยทักษิณ จัดท�ำพิพิธภัณฑ์เก็บประวัติและผลงาน รวบรวมภูมิปัญญา
งานศลิ ปะไทยโบราณทต่ี นเองมคี วามรแู้ ละเชย่ี วชาญ เพอื่ เปน็ แหลง่ เรยี นรแู้ กเ่ ยาวชน
และบุคคลทั่วไปท้ังเป็นสถานท่ีสอนหรือถ่ายทอดความรู้ด้านศิลปะไทยพื้นบ้าน
ตามอุดมคติโดยจัดท�ำในท่ีดินของตนเอง เป็นบุคคลที่มีผลงานวิชาการทางศิลปะ
ไทยโบราณ (ช่างสิบหมู่) เป็นท่ีประจักษ์ชัดแจ้งแก่บุคคลในวงการศึกษา เป็นผู้มี
องค์การบรหิ ารส่วนต�ำบลทา่ ขา้ ม
152 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ความเช่ยี วชาญงานสลัก (แทงหยวก) และลายฉลุ อาศัยความชำ� นาญ โดยไม่ตอ้ งรา่ ง
และฉลุลายอย่างวิจิตรบรรจง สวยงาม เป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์โดยใช้ความรู้
งานช่างบุเงินสร้างผลงานใหม่ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นเคร่ืองประดับ เครื่องแต่งกายโนรา
คณะตา่ ง ๆ ทเ่ี ปน็ ผลงานของชา่ งอรณุ แกว้ สตั ยา ไดอ้ อกแบบสรา้ งสรรคล์ วดลายใหม่ ๆ
ทีเ่ ปน็ เอกลกั ษณ์ของตนเองและตามความตอ้ งการของโนรา คณะต่าง ๆ เพอ่ื ใช้เป็น
เครอื่ งตน้ โนราในการรา่ ยรำ� แสดงตามงาน เชน่ ทบั ทรวง, ตน้ แขน, เลบ็ มอื , ปกี นกแอน่ ,
ปั้นเหน่ง, ประจ�ำยาม, ปลอกมีดหมอ, ปลอกกริช, เครื่องเชี่ยนหมาก และกรรไกร
หวั หงส์ เปน็ ต้น
เขียนเอกสารชุดวิชาการแทงหยวก (โครงการส่งเสริมภูมิปัญญาไทย)
โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาและศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดสงขลา
เพ่ือเปน็ เอกสารทางวชิ าการส�ำหรับฝึกอบรม
ประวัตกิ ารสร้างสรรค์ผลงาน
- งานช่างแกะรูปหนังตะลุง การแกะรูปหนังตะลุงมีรูปแบบสวยงามถูกต้อง
ตามลักษณะ โดยเฉพาะลวดลายประกอบในรูปหนังตะลุงและคันยักในการชักปาก
ท�ำดว้ ยเขาควาย แทนท่จี ะใชไ้ มไ้ ผเ่ หมือนช่างท่ัว ๆ ไป
- งานช่างแกะ (ปรกุ ระดาษ)
- ท�ำพิธกี รรมในงานพิธีต่าง ๆ
- งานสลกั (แทงหยวก)
- รำ� ในราโรงครู
- งานช่างบุเงิน ได้เรียนรู้ขั้นตอนในการท�ำเครื่องบิน จึงเริ่มสร้างเครื่องมือ
อปุ กรณใ์ นการทำ� งานบเุ ครอื่ งเงนิ นอกจากนยี้ งั บกุ เงนิ เปน็ เครอ่ื งใชต้ า่ ง ๆ อาทิ ปลอกมดี
ปลอกกรชิ เครอื่ งเชี่ยนหมาก กรรไกรหวั หงส์ จบั ป้งิ โดยการออกแบบลวดลายเอง
ผลงานท่ีสร้างสรรค์
ผลงานทอ่ี รณุ แกว้ สตั ยา สรา้ งสรรคส์ ว่ นใหญเ่ ปน็ เครอื่ งประดบั เครอ่ื งแตง่ กาย
โนราคณะต่าง ๆ ท่ีเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และตามความต้องการของโนรา
คณะต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นเคร่ืองต้นโนราในการร่ายร�ำแสดงตามงานต่าง ๆ เช่น
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลท่าข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 153
ทบั ทรวง ตน้ แขน ปีกนกแอ่น ปน้ั เหนง่ ประจ�ำยาม เลบ็ มอื ปลอกมดี หมอ ปลอกกรชิ
เครอ่ื งเช่ียนหมาก และกรรไกรหวั หงส์
เกยี รตคิ ณุ ทีไ่ ด้รับ
- พ.ศ. ๒๕๔๓ ได้มีโอกาสแสดงฝีมือในการงานแทงหยวกให้สมเด็จพระเทพ
รัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี ทอดพระเนตรเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๔๓
- พ.ศ. ๒๕๔๓ ปจั จบุ นั ไดเ้ ปน็ ครสู อนงานแทงหยวกใหก้ บั ลกู ศษิ ยแ์ ละผทู้ สี่ นใจ
ในการฝกึ อบรมงานชา่ งศลิ ปะไทยโบราณ (ชา่ งสบิ หม)ู่ ณ ศนู ยพ์ ฒั นาอาชพี จงั หวดั สงขลา
- พ.ศ. ๒๕๔๔ ศิลปินเด่นจังหวัดสงขลา สาขาการช่างฝีมือ (งานบุเงิน)
ส�ำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแหง่ ชาติ
- พ.ศ. ๒๕๖๒ ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชา
การออกแบบประยุกตศ์ ิลป์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา
คนต้นแบบ
สนิ ธพ อินทรตั น์
เกิดวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๓ ทบ่ี า้ นทงุ่ ในทรา
เขากลอยออก หมทู่ ี่ ๗ ตำ� บลทา่ ข้าม อำ� เภอหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา เป็นบุตรของนายสาย อินทรัตน์ กับ
นางรุน่ อินทรัตน์ สายสกลู เดียวกัน
จบการศกึ ษาชั้นประถมศึกษาปที ่ี ๔ จากโรงเรียน
วดั หนิ เกลยี้ ง ตำ� บลทา่ ขา้ ม อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวดั สงขลา
จบการศกึ ษาชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๗ ทโี่ รงเรยี นวดั เขาราม
หมทู่ ่ี ๕ บา้ นปลกั จนั ทรห์ อม ตำ� บลทงุ่ หวงั อำ� เภอเมอื ง
จังหวัดสงขลา จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ จากโรงเรียมหาวชิราวุธ อ�ำเภอเมือง
จังหวัดสงขลา จบการศึกษาระดับปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัย
รามค�ำแหง จบหลักสูตรการบริหารการจัดการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รุ่นที่ ๒
จากวิทยาลัยการปกครองส่วนท้องถ่ิน สถาบันพระปกเกล้า จบปริญญาโท
รฐั ประศาสนศาสตรม์ หาบณั ฑติ สาขาการปกครองทอ้ งถน่ิ จากมหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่
องค์การบรหิ ารส่วนตำ� บลทา่ ข้าม
154 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ประวัติการท�ำงานและประสบการณ์ จบนิติศาสตรบัณฑิตแล้วไปท�ำงาน
เกี่ยวกับกฎหมายกับนายค�ำนึง อุไรรัตน์ (พ่ีชายของนางสว่างจิตร และเป็นบุตรชาย
นายเพยี ร อไุ รรตั น์ อดตี ครใู หญโ่ รงเรยี นวดั เขากลอย) ผพู้ พิ ากษาทเ่ี กษยี ณอายรุ าชการ
แลว้ ไปทำ� งานดา้ นกฎหมายกบั ดร.อาทติ ย์ อไุ รรตั น์ ซงึ่ เปน็ ทายาทของชาวทา่ ขา้ มและ
ชาวสงขลา ต่อมาสมรสกับนางสาวจุฑามาศ แก้วฉิมพลี บุตรสาวของนางสว่างจิตร
แกว้ ฉมิ พลี (ตระกลู เดมิ อไุ รรตั น)์ และนายรกั ษ์ แกว้ ฉมิ พลี ครใู หญโ่ รงเรยี นวดั หนิ เกลย้ี ง
แต่งงานแล้วกลับมาอยู่สงขลาร่วมงานกับทนายความวิรัตน์ กัลยาศิริ นักกฎหมาย
ผู้ฝักใฝ่การเมืองเหมือนตัวเองท่ีเป็นยุวประชาธิปัตย์ต้ังแต่สมัยเรียนรามค�ำแหง
เป็นผู้ช่วยหาเสียงสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จังหวัดสงขลามาต้ังแต่สมัย
นายนฤชาติ บุญสวุ รรณ
พ.ศ. ๒๕๓๘ ลงสมคั รสมาชกิ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บล หมทู่ ่ี ๗ บา้ นเขากลอยออก
ตำ� บลทา่ ขา้ ม ทำ� หนา้ ทเี่ ลขานกุ ารประธานคณะกรรมการบรหิ ารองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บล
ท่าข้าม โดยมีประธานคณะกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนต�ำบลมาจากก�ำนัน
โดยตำ� แหนง่ เปน็ สมาชกิ สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม ปี ๒๕๔๒ เปน็ สมาชกิ
สภาองค์การบริหารส่วนต�ำบลท่าข้าม เสนอตัวเป็นนายกองค์การบริหารส่วนต�ำบล
ใหท้ ปี่ ระชมุ พจิ ารณาแขง่ กบั นายประยรู สวุ ลกั ษณ์ ไดเ้ ปน็ นายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บล
ท่าข้าม สมัยแรกปี ๒๕๔๖ ได้รับการสนับสนุนจากท่ีประชุมสมาชิกองค์การบริหาร
สว่ นตำ� บลทา่ ขา้ มใหเ้ ปน็ นายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บล สมยั ที่ ๒ ปี ๒๕๕๐ ลงสมคั ร
นายกองค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบลท่าข้าม เลือกตัง้ ทั่วไปจากประชาชนทั้งตำ� บล ได้เป็น
นายกองค์การบริหารส่วนต�ำบลท่าข้าม สมัยท่ี ๓ ปี ๒๕๕๔ สมัครรับเลือกต้ังเป็น
นายกองค์การบริหารส่วนต�ำบลอีกครั้ง และได้เป็นนายกองค์การบริหารส่วนต�ำบล
ทา่ ขา้ มจนปจั จบุ นั เปน็ ประธานกลมุ่ ออมทรพั ย์ หมทู่ ี่ ๗ ตำ� บลทา่ ขา้ ม เปน็ เลขาสมาพนั ธ์
กลมุ่ ออมทรพั ยต์ ำ� บลทา่ ขา้ ม เปน็ ประธานกองทนุ สวสั ดกิ ารภาคประชาชน ตำ� บลทา่ ขา้ ม
(สจั จะลดรายจา่ ยวนั ละ ๑ บาท) เปน็ ทปี่ รกึ ษาสมาคมสวสั ดกิ ารภาคประชาชน จงั หวดั สงขลา
เปน็ รองนายกสมาคมองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ จงั หวดั สงขลา เปน็ ประธานคณะทำ� งาน
ขบั เคลือ่ นยุทธศาสตร์สังคม จังหวัดสงขลา เป็นประธานสภาวัฒนธรรมตำ� บลทา่ ขา้ ม
เป็นประธานกรรมการสุขภาพระดับพ้ืนที่ ๓ ต�ำบล (ต�ำบลท่าข้าม ต�ำบลทุ่งใหญ่
ตำ� บลน้�ำนอ้ ย) เป็นประธานชมรมนายกองค์การบริหารสว่ นตำ� บล จังหวดั สงขลา
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 155
ผลงานดีเด่น ได้รับรางวัลชนะเลิศ ต�ำบลดีเด่น ประจ�ำปี ๒๕๔๓ จาก
กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ได้รับรางวัลธรรมาภิบาล ปี ๒๕๔๗
และ ๒๕๔๘ จากกระทรวงมหาดไทย ได้รับรางวัลต�ำบลพัฒนาดีเด่นด้านการศึกษา
ของสภาการศกึ ษา ประจำ� ปี ๒๕๔๘ จากกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ไดร้ บั รางวลั การบรหิ าร
จดั การทด่ี ี (รางวลั ธรรมาภบิ าล) ประจำ� ปี ๒๕๕๑ ดว้ ยผลงานนวตั กรรม ๑) การจดั การ
ความรทู้ อ้ งถน่ิ ๒) โครงการชวี ติ พอเพยี งดว้ ยพลงั งานเพยี งพอ ๓) กองทนุ สขุ ภาพระดบั
ทอ้ งถนิ่ ผจู้ ดั การโครงการพฒั นาศนู ยก์ ารเรยี นรู้ การจดั การสขุ ภาวะชมุ ชน ตำ� บลทา่ ขา้ ม
และขยายผลสอู่ งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ (โครงการ พศส.๒๓+๔๗ เพอ่ื นเกลอ)
ดา้ นการเมอื ง เป็นสมาชกิ สภาองค์การบริหารส่วนต�ำบลท่าขา้ ม ปี ๒๕๓๘ -
๒๕๕๒ เป็นนายกองคก์ ารบรหิ ารส่วนต�ำบลท่าขา้ ม ปี ๒๕๕๒ - ปจั จุบนั เปน็ แกนนำ�
ชมรมนายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บล จงั หวดั สงขลา และเปน็ รองนายกสมาคมองคก์ ร
ปกครองส่วนทอ้ งถิ่น จงั หวัดสงขลา
ปริญญาศิลปศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการพัฒนาท้องถ่ิน
แบบบรู ณาการ จากมหาวทิ ยาลยั ชวี ติ หรอื สถาบนั การเรยี นรเู้ พอื่ ปวงชน (๑๑ เม.ย. ๒๕๖๒)
ลัทธคิ วามเช่ือของชาวชุมชนท่าขา้ ม
๑. ความเช่อื เรื่องทวด
หลาทวดหรือศาลาทวด คือ ศาลาท่ี
ปลกู สรา้ งขนึ้ สำ� หรบั ใหเ้ ปน็ ทสี่ งิ สถติ แหง่ วญิ ญาณ
ของบคุ คลทเี่ ชอื่ กนั วา่ เปน็ มเหสกั ขห์ รอื เปน็ ทส่ี งิ สถติ
ของพญาสัตว์กายสิทธ์ิซึ่งชาวภาคใต้เรียกว่า
“ทวด” เช่น ทวดหุม ทวดเขานางหงส์ ทวดงู ศาลาทวดวัดแมเ่ ตย
ทวดจระเข้ เชอื่ กนั วา่ ทวดเหลา่ นส้ี ามารถใหค้ ณุ และใหโ้ ทษได้ เรยี กศาลาทปี่ ลกู สรา้ งขน้ึ
เพอื่ ใหท้ วดแตล่ ะองคส์ งิ สถติ อยวู่ า่ “หลาทวด” เพอื่ ทวดจะไดค้ อยปกปกั รกั ษาพวกตน
อยู่เป็นประจำ� เมอ่ื ตอ้ งการบนบานก็นำ� เครอ่ื งสังเวยไปสักการะ ไปสังเวยอัญเชญิ มา
หลาทวดบางแห่งเชื่อว่าศักด์ิสิทธ์ิผู้เดินทางผ่านต้องหยุดสักการะ จะละเมิดมิได้
บางแห่งจะมีการจัดงานฉลองเป็นประจ�ำปี อาจมีการรับมหรสพมาแสดงถวาย
หรืออาจแสดงสักการะด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่ทวดนั้น ๆ ชอบ เช่น หลาทวดท่ีหัวเขาแดง
องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ� บลท่าขา้ ม
156 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ปากน�้ำสงขลา เช่ือกันว่าเป็นคนจีน เมื่อเรือประมงจะออกทะเลเพื่อหาปลาทุกครั้ง
จะจดุ ประทัดบชู าก่อนแลน่ เรอื ผ่านไปเพอื่ ให้ปลอดภัยและโชคดี
หลาทวดส่วนใหญ่จะมีศาลบูชาหรือมีรูปปั้นและตุ๊กตาเสียกะบาลจัดวางอยู่
ในท่ีอันสมควร บางแห่งจัดเสื่อ หมอนและเครื่องใช้อื่น ๆ ไว้ด้วย หลาทวดบางแห่ง
มีขนาดเล็กเทา่ ศาลพระภูมกิ ็มี เท่าศาลากลางหนกม็ ี (สุธวิ งศ์ พงศไ์ พบูลย์. ๒๕๔๒ :
๘๔๗๕ - ๘๔๗๖)
ชุมชนท่าข้ามมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องทวดอันเป็นความเช่ือพื้นฐานของ
ชาวภาคใตท้ วั่ ไปทเ่ี ชอื่ ในอำ� นาจเหนอื ธรรมชาตแิ ละเชอ่ื วา่ ธรรมชาตบิ างอยา่ งมวี ญิ ญาณ
ส่ิงเร้นลับที่มีอิทธิพลให้คุณให้โทษได้ต่าง ๆ นานา บุคคลใดปฏิบัติชอบ ผีก็จะช่วย
คมุ้ ครองใหค้ ณุ ถา้ ผใู้ ดนอ้ มจติ เขา้ หากอ็ าจจะตดิ ตอ่ สอ่ื สารกบั วญิ ญาณลกึ ลบั เหลา่ นน้ั
ไดใ้ นฐานะ “คนทรง” อำ� นาจเรน้ ลบั ตา่ ง ๆ อาจกำ� บงั กายหรอื ปรากฏกายในลกั ษณะตา่ ง ๆ
ได้ตามเจตนา มักเรียกชื่อวิญญาณเหล่าน้ันต่างกันไป เช่น เรียกจ�ำพวกวิญญาณ
ชนั้ ตำ�่ วา่ “ผี” เช่น ผปี ่า ผพี ราย ผดี บิ ใครเคราะห์ร้ายกอ็ าจถูกผีหลอก ผอี ำ� ผเี ข้า ผีสิง
อาจท�ำให้ลม้ ป่วยหรือถูกผีกินเปน็ แผลเรอ้ื รัง เกิดวกิ ลหรือถึงตายได้ สว่ นจิตวญิ ญาณ
ที่มีบุญญาธิการสูงส่งที่ค่อนไปทางดีบ้างก็เรียกว่า “เทียมดา” (เทวดาหรือเทพท่ีมี
บญุ ญาธกิ ารสงู สง่ ) บา้ งกเ็ รยี กวา่ “ทวด” (มบี ญุ ญาธกิ ารรองลงมา) ทวดทเ่ี ปน็ ครงึ่ สตั ว์
คร่งึ เทพกม็ ี เชน่ ทวดงู ทวดช้าง ทวดกระทงิ ทวดจระเข้ ทวดพวกนจ้ี ะปรากฏใหเ้ ห็น
ในรูปของสัตว์นั้น ๆ ทวดที่เป็นมนุษย์ผู้มีบุญบารมีแล้วดับชีพไปก็มี เช่น ทวดหุม
หลวงพ่อทวด ถ้าเป็นผู้หญิงมักเรียกว่า “เจ้าแม่” เช่น เจ้าแม่ล้ิมกอเหน่ียว
เจา้ แม่ไทรทอง (สธุ วิ งศ์ พงศไ์ พบลู ย,์ ๒๕๔๒ : ๙๙๘)
ส�ำหรับชุมชนท่าข้ามมีทวดที่ส�ำคัญท่ีชาวท่าข้ามและชุมชนใกล้เคียงให้การ
เคารพนบั ถอื บนบานศาลกลา่ วในโอกาสตา่ ง ๆ และเมอ่ื ประสบความสมหวงั สำ� เรจ็ ตามท่ี
อธิษฐานก็จะมาแก้บนโดยการว่าจ้างโนรามาร�ำถวาย ปัจจุบันเจ้าอาวาสวัดแม่เตย
ไดส้ รา้ งศาลาทวดใหท้ วดโคกระทงิ ซง่ึ เปน็ ทวดประจำ� บรเิ วณบา้ นแมเ่ ตย เนอื่ งจากทวด
อน่ื ๆ ในชมุ ชนอกี หลายทวดประสบปญั หาเพราะทส่ี งิ สถติ ของทวดเหลา่ นนั้ ถกู บกุ รกุ
ด้วยการปรับพื้นท่ีสร้างบ้านอยู่อาศัย โรงงานและบ้านจัดสรร ท�ำให้โคกเนินที่ทวด
เคยอยถู่ กู ปรบั จนราบเปน็ หนา้ กลอง คนทรงจงึ ลงทรงขอใหเ้ จา้ อาวาสอญั เชญิ ทวดอน่ื ๆ
มาประจ�ำท่ศี าลาทวดวดั แมเ่ ตยดว้ ย ทวดเหล่าน้นั ประกอบดว้ ย
องค์การบริหารสว่ นต�ำบลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 157
ทวดโคกระทงิ บ้านแม่เตย (ปรากฏตวั เป็นโคกระทงิ )
ทวดหินผดุ แถวเขาหลง (ปรากฏตัวเป็นง)ู
ทวดเกาะสองหอ้ งหลังวดั โคกสงู
ทวดคลองวังนายสาม (บตู๊ งึ๊ ) คลองวงั นายสาม (ปรากฏตัวเป็นชา้ ง)
ทวดต้นมะม่วงบรเิ วณทตี่ ง้ั องคก์ ารบรหิ ารส่วนต�ำบลท่าข้ามปัจจบุ นั
ทวดเขียวนาตน้ ยอบา้ นดอนขีเ้ หลก็
ทวดบอ่ แพแถวควนหนิ (ปรากฏตัวเป็นงู)
ทวดสี (หลาจนั ทร์แก้ว) บ้านกลางนาแถวหมู่บ้านชวนช่นื
ทวดเทพพระยาขนั ธ์ ศาลาเอนกประสงค์ บ้านแมเ่ ตย
(พระสมุห์บรรจง สุเมโธ, เจ้าอาวาสวัดแมเ่ ตย. ๗ พ.ค. ๒๕๖๓)
๒. ความเช่ือเรื่องครหู มอโนรา
ชมุ ชนทา่ ขา้ มมคี วามเชอ่ื เกยี่ วกบั ครหู มอโนรา มกี ารรำ� โรงครู และมคี ณะโนรา
เก่าแก่สืบทอดมาหลายช่ัวอายุคน เช่น โนราบุญแก้ว โนราอินแก้ว โนราไข่แก้ว
โนราคลา้ ย โนรารกั ษ์ โนราสีนุน่ โนราเรือง โนราชุม โนราอรณุ เป็นต้น
โนราลงครู เป็นการแสดงโนราเพื่อเชิญวิญญาณบรรพบุรุษที่เป็นโนราซ่ึง
เรียกวา่ “ตายายโนรา” หรือ “ตาหลวง” มาเขา้ ทรงลูกหลานทเ่ี ปน็ คนทรง เพอ่ื แสดง
ความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ เพื่อความสวัสดิมงคลแก่ชีวิตครอบครัวหรือเพื่อแก้บน
ตามที่ได้บนบานไว้
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำบลทา่ ขา้ ม
158 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
โนราอรณุ แก้วสตั ยา ท�ำพธิ รี �ำโรงครู
การจดั ให้มโี นราลงครูมกั ทำ� เป็นประจำ� อาจจะปีละครง้ั ปเี วน้ ปี ๓ ปีตอ่ ครง้ั
หรือห่างกว่าน้ัน ท้ังนี้แล้วแต่ความสะดวกและความสามารถของผู้เป็นเจ้าภาพ และ
แล้วแต่ความยินยอมผ่อนผันของตาหลวงท่ีมาเข้าทรงในคร้ังก่อนน้ัน แต่จะเลิกจัด
ร�ำโนราลงครูตลอดไปไม่ได้ เพราะตายายโนราจะให้โทษ ท�ำให้เจ็บไข้ได้ป่วยนานา
ไปรักษาท่ีไหนกไ็ มห่ าย
เจา้ ภาพอาจเลอื กเวลาทเ่ี หมาะ ดนิ ฟา้ อากาศปลอดโปรง่ เชน่ เดอื น ๕ เดอื น ๖
และเดือน ๙ เป็นต้น โรงโนราทีใ่ ช้ลงครเู หมอื นโรงโนราธรรมดา แต่ซีกท่โี นราแต่งตัว
ปล่อยโล่งไม่ต้องมีฉากหรือม่านก้ัน ด้านทิศตะวันออกมีเคร่ืองเซ่น เครื่องบูชา
ประกอบด้วย บายศรีและดอกไม้ธูปเทียน ตรงจั่วด้านทิศตะวันออกท�ำเป็นพาไล
สำ� หรบั ตง้ั ศาลวางเครอ่ื งบชู าและเครอื่ งสงั เวย ไดแ้ ก่ หวั หมู ไก่ เหลา้ หมากพลู บหุ ร่ี ธปู
เทยี น ขา้ วตอก ดอกไม้ ของหวาน ของคาวและมะพรา้ วออ่ น รวมแลว้ ครบ ๑๒ อยา่ ง
เมอื่ ตาหลวงเข้าทรงต้องข้ึนส�ำรวจเครือ่ งบูชาเหล่าน้ี
โรงโนราดา้ นทศิ ตะวันออกจึงต้องคาดไม้แทนบันไดข้นึ ตรงซกี ซ้ายมือ ส่วนซีก
ขวามอื มเี ทรดิ หนา้ พรานและเครือ่ งแต่งตัวโนราแขวนไวเ้ ปน็ เครอื่ งบูชา
โนราทจ่ี ะเลน่ ลงครไู ดต้ อ้ งมคี วามรอบรเู้ รอ่ื งพธิ กี รรมในการรำ� ลงครเู ปน็ อยา่ งดี
ดว้ ยเหตนุ จี้ งึ เรยี กโนราลงครวู า่ “โนราโรงคร”ู คณะโนราจะเขา้ ประจำ� ในวนั พธุ ตอนเยน็
และตามปกตจิ ะสนิ้ สดุ รายการในวนั ศกุ รต์ อนบา่ ยหรอื เยน็ แตถ่ า้ วนั ศกุ รต์ รงกบั วนั พระ
ทำ� พิธีไม่ได้ต้องหยุดและเลือ่ นไปทำ� พิธสี ง่ ตาหลวง และลาโรงในวันเสาร์
องค์การบริหารสว่ นต�ำบลทา่ ขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 159
เม่ือเข้าโรงในวันพุธ โนราก็จะแสดงให้คนดูเหมือนในโอกาสธรรมดา ต้ังแต่
พลบค่�ำจนดึกก็เลิก วันรุ่งข้ึนเริ่มพิธีลงครู ตอนเช้าโนราจะร�ำไหว้ครูครึ่งวัน เรียกว่า
“แตง่ พอก” โนราใหญห่ รอื หวั หนา้ คณะตอ้ งมเี ครอ่ื งบชู าชดุ หนง่ึ ประกอบดว้ ย เขม็ ๙ เลม่
เงิน ๙ บาท หมากพลู ๙ คำ� ดอกไม้ ๙ ดอก เทยี น ๙ เลม่ และหอ่ ผ้าขาวคาดสะเอว
หลงั จากนุ่งสนบั เพลาแลก่อนสวมเครอ่ื งอ่นื ๆ
ร�ำแต่งพอกจนเท่ียงวันพอดี โนราหยุดพักรับประทานอาหาร บ่าย ๒ โมง
เริ่มพิธีเชิญตาหลวงเข้าทรง ปกติคนทรงมีประจ�ำอยู่แล้ว หากคนทรงตายไปก่อน
ตอ้ งเลอื กคนทรงใหม่ ลกู หลานตอ้ งมานง่ั พรอ้ มหนา้ พรอ้ มตากนั แตง่ ตวั เปน็ คนทรงไว้
ใหพ้ รอ้ ม คอื นงุ่ ผา้ โจงกระเบน คาดเขม็ ขดั เงนิ หรอื นาก ผา้ สไบพาดไหล่ จะนง่ั บนบา้ น
หรอื โรงโนรากไ็ ด้ ทุกคนมีผา้ ขาวคลุม เพ่อื ความสะดวกในการตง้ั สมาธิ นายโรงโนรา
จะขบั รอ้ งบทเช้อื ครู เชิญพ่อแมต่ ายายซงึ่ เรยี กว่า “ตาหลวง” มาเขา้ ทรง
ตาหลวงทเี่ ขา้ ทรงมหี ลายองค์ แลว้ แตส่ ายตระกลู แตท่ ที่ กุ ตระกลู หรอื เจา้ ภาพ
ทกุ คนถอื เปน็ บรรพบรุ ษุ รว่ มกค็ อื บรู พาจารยข์ องโนรา นน่ั คอื ตาหมอเฒา่ ตาหมอเทพ
และตาเทพสงิ หร จากนนั้ กจ็ ะเชญิ ตายายโนราของเจา้ ภาพเอง เชญิ มาเขา้ ทรงทลี ะองค์
ขณะร้องเชิญตาหลวงมาเข้าทรงดนตรีท�ำเพลงเช้ือเข้าตามบทร้องเชิญของผู้ขับร้อง
เมอ่ื เรม่ิ เขา้ ทรง คนทรงจะส่นั เรียกว่า “จบั ลง” ดนตรีกจ็ ะทำ� เพลงเชิด
แตล่ ะองคเ์ มอื่ จบั ทรงกจ็ ะขนึ้ พาไลเพอื่ ตรวจดเู ครอ่ื งบชู าแลว้ ลงมานง่ั อมเทยี น
๓ คร้ัง อาจกินหมากหรือสูบบุหร่ี มีการซักถามกัน หมดปัญหาก็บัด ตาหลวงที่เป็น
โนราไม่ขน้ึ พาไล แต่จะขอเครื่องทรงมาสวมและร่ายร�ำตามแบบของโนรา
วันศุกร์เป็นวันสุดท้ายของพิธีลงครู เริ่มด้วยการเช้ือตาหลวงทุกองค์มาลง
อกี ครง้ั ในคนทรงเดิม มกี ารซกั ถามปัญหานดั แนะพธิ ีปตี ่อ ๆ ไป จากนั้นมีการสรงน�ำ้
ระหวา่ งเปลยี่ นเครอื่ งแตง่ ตวั ลกู หลานทบี่ นบานอะไรไวก้ เ็ ตรยี มตวั แกบ้ น พวกเปด็ ไก่
หัวหมู ส�ำรบั กับข้าว รวมทง้ั เหล้า บุหร่ี จัดเตรียมไว้ในโรงโนรา เปลยี่ นเครือ่ งแตง่ ตวั
เสร็จก็ถึงเวลาเสวย วิธีเสวยใช้เทียนขี้ผึ้งวน แล้วเอาเทียนเข้าปากจุดใหม่แล้ววนอีก
จนครบอาหารทุกอยา่ ง เสวยเสรจ็ กเ็ ป็นช่วงของผทู้ บ่ี นร�ำ บนออกพราน มาร�ำแกบ้ น
จากน้นั ลกู หลานเข้าไปหมอบกราบตาหลวง ขอศีลขอพรโดยทัว่ กัน หลงั จากนั้นโนรา
ทำ� เพลงเชิด คนทรงก็บัด เป็นอันเสรจ็ พธิ ีเขา้ ทรงของโนราลงครู
องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ� บลท่าข้าม
160 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
หลงั จากรบั ประทานอาหารแลว้ โนราตอ้ งรำ� อกี รอบเพอื่ สง่ พอ่ แมต่ ายาย และ
ไล่ผีสางท่ีพลอยเข้ามาผสมโรงพลอยกินข้าวของสังเวย จนจบพิธีทั้งหมดประมาณ
๔ โมงเยน็ . (สวา่ ง สุวรรณโร, ๒๕๔๒ : ๓๙๑๔ - ๓๙๑๙)
ในชมุ ชนท่าขา้ มมนี ายโรงโนราลงครใู นยคุ แรก ๆ หลายคณะ ไดแ้ ก่โนราสีนนุ่
รุ่นราวคราวเดียวกับก�ำนันทองเสนทั้งสองคนล้วนเป็นคนเก่งมีวิชาความสามารถ
เฉพาะตวั มคี วามสามารถดน้ กลอนมตุ โต ครง้ั หนงึ่ มาเลน่ ทบ่ี า้ นนายบา้ นรกั ษ์ จนั ทชโู ต
ผู้สร้างศาลาที่ตลาดนาหลาในสมัยน้ัน กลอนโนราสีนุ่นท่ีคนท่าข้ามจนได้จนถึงวันน้ี
มอี ยทู่ อ่ นหนง่ึ ทีว่ ่า
“โนราสนี ุ่น ตาหลุนหวั ฉอก ผนั หน้าไปข้างออก เหน็ รอกหวั หัก”
(รกั ษห์ อหอก นายบ้านรักษม์ ีหงอกเตม็ หวั )
ว่าคร้ังแรกคนดูเฉย ๆ ไม่มีใครหัวเราะ โนราสีนุ่นจึงว่าซ้�ำไปซ้�ำมาหลายหน
จนคนดูนึกขึ้นได้และหัวเราะกันทั้งวง รวมท้ังนายบ้านรักษ์ด้วยเพราะเพ่ิงนึกออกว่า
โนรา “เท้ง” หรือเสียดสี เจ้าภาพแล้ว (ตามวฒั นธรรมวถิ ีของศิลปนิ พืน้ บ้านสมยั ก่อน)
ตอนหลงั เมื่อเสยี ชวี ติ ไปโนราสนี ุ่นมาเปน็ ครูหมอเขา้ ทรง
นอกนั้นก็มีโนราคล้าย แก้วสัตยา รุ่นราวคราวเดียวกับโนราพุ่มเทวา
(ขนุ อปุ ถมั ภ์นรากร) เคยแขง่ กับโนราพมุ่ เทวาจนมีค�ำกลา่ วติดปากของชาวบ้านว่า
“คลา้ ยพระกาฬ ผลาญพุ่มเทวา” หมายความวา่ โนราคล้ายเคยเอาชนะโนรา
พุ่มเทวามาแล้ว ต่อมาโนราชุม แก้วสัตยา และโนราคล้อย (โนราเงาะ) แก้วสัตยา
บุตรชายโนราคล้ายเป็นผู้สืบทอดมรดกโนราของโนราคล้าย โนรารักษ์ ไชยภักดี
บา้ นหนิ เกลยี้ ง ศษิ ยโ์ นราจนั ทรท์ อง รนุ่ ราวคราวเดยี วกบั โนราชมุ แตร่ นุ่ ลกู ของโนราชมุ
ไมม่ ใี ครสบื ทอดมามคี นสบื ทอดในรนุ่ หลานคอื โนราอรณุ แกว้ สตั ยา ผรู้ บั หนา้ ทร่ี ำ� โรงครู
ในปจั จบุ นั เพยี งโรงเดยี วเพราะสายโนราสนี นุ่ กไ็ มม่ คี นสบื ทอดแลว้ มแี ตส่ ายโนราคลา้ ย
ทย่ี งั สบื ทอดอยู่ แตเ่ นอ่ื งจากปนี ้ีมปี ญั หาเรอื่ งโควดิ – ๑๙ จงึ ยงั ไมไ่ ดร้ ำ� โรงครแู มเ้ พยี ง
โรงเดยี ว ทงั้ ๆ ทีม่ ีผูร้ ับไวห้ ลายโรงตงั้ แต่เดือน ๖ เปน็ ตน้ มา
องคก์ ารบริหารสว่ นต�ำบลท่าขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 161
หอ่ เหมรยฺ
ในหอ่ เหมรยฺ ประกอบดว้ ย ขา้ วตอก ๙ กอง หมาก ๙ คำ� พลู ๙ ใบ เทยี น ๙ เลม่
ดอกไม้ ๙ ดอก เงิน ๑๐ สตางค์ (สมยั ตางคร์ )ู ปจั จบุ ันใชเ้ งนิ ๑ บาท เพือ่ ให้ครหู มอ
ใชเ้ ป็นคา่ เดินทางไปหาหมอมารักษาลกู หลานถา้ ครูหมอรกั ษาเองไมไ่ ด้
นายอรุณ แก้วสัตยา อธิบายว่าที่ต้องใช้เครื่องบูชาเซ่นไหว้จ�ำนวนเป็น ๙
เพอื่ บูชาเทพท้ัง ๙ คอื พระอาทิตย์ พระจนั ทร์ พระอังคาร พระพุธ พระหสั พระศุกร์
พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ
ประเพณีการร�ำโรงครูเม่ือก่อนมาจากการร�ำแก้บนครูหมอ หรือถูกครูหมอ
ท�ำโทษจนต้องให้นายโรงโนราไปบนกับครูหมอ มีทั้งการบนด้วยปากเปล่าหรือ
การร้องบน เมื่อหายจากเจ็บป่วยก็รับโนราไปแก้บน ถ้าร้องบนต้องมีการห่อเหมรฺย
และแกบ้ นแลว้ ตดั เหมรยฺ เอาหอ่ เหมรยฺ ไปเผาไฟดว้ ย ปจั จบุ นั นอกจากบนใหห้ ายจาก
เจบ็ ปว่ ยแล้ว อาจจะบนให้ลูกหลานสอบบรรจุได้ ขายทด่ี นิ ได้ ได้ลกู ฯลฯ ปรบั เปล่ียน
ไปตามยคุ สมัย
เหมรยฺ
เหมรยฺ คอื ขอ้ ตกลงหรอื พนั ธะสญั ญาทบี่ คุ คล
ให้ไวต้ ่อส่งิ เร้นลบั เหนอื ธรรมชาติ เช่น ผปี ู่ย่าตายาย
ผีบูรพาจารย์เกี่ยวกับวิชาช่าง แพทย์แผนไทยหรือ
โบราณและการแสดง ตลอดจนผีซึ่งสิงประจ�ำอยู่
ตามสถานทตี่ า่ ง ๆ เพอ่ื ขออำ� นาจคมุ้ ครอง ขอความ
คลาดแคล้วจากภยันตราย ขอให้พ้นจากความวิบัติ
และเภทภยั ทป่ี ระสบอยู่ โดยมพี นั ธะสญั ญาวา่ ถา้ การสำ� เรจ็ ดงั ทป่ี ระสงคจ์ ะตอบแทน
ด้วยการเซ่นพลี บวงสรวงในรูปแบบต่าง ๆ มีการจัดมหรสพ จัดส�ำรับเครื่องสังเวย
จดุ ระทาดอกไมแ้ ละยงิ ปนื ถวาย บางทถ่ี งึ ขนาดพลตี นเขา้ บวงสรวง มกี ารบวช ออกพราน
และหดั รำ� โนราถวายกม็ ี
ข้อตกลงที่ให้ไว้ถ้าตกลงด้วยวาจาเรียกว่า “เหมรฺยปาก” ถ้ามีวัตถุพยานซ่ึงใช้
หมากพลู ดอกไม้ เทียนและข้าวสาร ห่อผ้าขาว ประกอบค�ำตกลงด้วยเรียกว่า
“เหมรยฺ หอ่ ” ขอ้ ตกลงทที่ ำ� ขนึ้ ถา้ เปน็ เรอื่ งเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ เจา้ ตวั สามารถบนบานเองได้
องคก์ ารบริหารส่วนต�ำบลทา่ ขา้ ม
162 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
แต่ถ้าเป็นเร่ืองส�ำคัญถึงขั้นต้องประกอบพิธีกรรมจะต้องหาคนกลางซ่ึงรอบรู้ เข้าใจ
ธรรมเนยี มท่เี คยปฏบิ ตั ิเปน็ ผบู้ นบานให้
คนกลางส่วนมากจะเป็นศิลปินพ้ืนบ้านและพวกหมอไสยศาสตร์ ส�ำหรับ
หอ่ เหมรยฺ ทบ่ี นบานแลว้ เจา้ ของเหมรยฺ ตอ้ งเกบ็ ไวใ้ นทส่ี งู เชน่ หวั นอน และบนหงิ้ ครหู มอ
เมื่อการท่ีบนบานไว้ส�ำเร็จดังประสงค์ เจ้าของเหมรฺยต้องท�ำพิธีแก้เหมรฺยหรือแก้บน
ตามสัญญา และตอ้ งใหถ้ ูกตอ้ งครบถว้ นตามทบ่ี นไวท้ กุ ประการ
การแก้บนถ้าเป็นเหมรฺยปากธรรมดา ๆ
เจ้าของเหมรฺยสามารถแก้เองได้ โดยจัดเครื่อง
บวงสรวงตามที่ตกลงไว้ จุดเทียนแล้วประนมมือ
ร�ำลึกถึงสิ่งท่ีบนไว้ เชิญมารับเครื่องบวงสรวงและ
ขอใหเ้ หมรยฺ ขาดไมเ่ ปน็ พนั ธะกนั ตอ่ ไปอกี แลว้ รนิ นำ้�
แบบการกรวดนำ�้ ใหภ้ ตู ผไี ดล้ า้ งปากลา้ งมอื เปน็ เสรจ็
การแกเ้ หมรยฺ
แต่ถ้าเป็นเหมรฺยห่อหรือเหมรฺยปากท่ีเป็นพิธีรีตองมาก ๆ ต้องหาคนกลาง
ซงึ่ บนไวม้ าเปน็ คนทำ� พธิ ี แกเ้ สรจ็ แลว้ ตอ้ งฉกี หอ่ เหมรยฺ ทงิ้ เพอ่ื แสดงวา่ พนั ธะหมดกนั ไป
การถกู เหมรยฺ คอื การเจบ็ ออด ๆ แอด ๆ รกั ษาอยา่ งไรกไ็ มห่ าย ตอ้ งแกเ้ หมรยฺ
ท่ีบนไว้เท่านั้น ปัจจุบันความเช่ือเรื่องเหมรฺยยังมีอยู่อย่างแพร่หลายในสังคมชนบท
โดยเฉพาะในหมู่ศิลปินพ้ืนบ้าน มีอะไรเป็นทุกข์ แก้ไม่ได้ ก็หันเข้าหาพ่ึงภูตผีปีศาจ
แล้วมีการแก้บนหรือแก้เหมรฺยตามมาจนเป็นเร่ืองธรรมดาของสังคม (อุดม หนูทอง.
๒๕๔๒ : ๘๖๖๐ - ๘๖๖๑)
องคก์ ารบริหารส่วนตำ� บลท่าข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 163
๓. ความเชอื่ ทางศาสนา
ความเช่ือท่ีเก่ียวกับลัทธิและศาสนาของชาวท่าข้ามก็เหมือนกับความเช่ือ
เก่ียวกับลัทธิและศาสนาของชาวใต้ท่ัวไปคือมีการผสมผสานท่ีหลากหลายระหว่าง
กลุ่มไทยพุทธ ไทยมุสลิมและชาวจีน ความเชื่อส่วนหน่ึงถือตามศาสนบัญญัติ
ส่วนหน่ึงเกิดจากประเพณีท่ีเก่ียวกับศาสนาและการแปลความบุคลาธิษฐานเป็นรูป
ของคตคิ วามเชื่อซงึ่ มักนำ� ไปประสมประสานกับลทั ธิด้ังเดิม
ความเช่ืออันเน่ืองแต่ลัทธิและศาสนาของชาวใต้และชาวท่าข้ามจ�ำแนกเป็น
กล่มุ ใหญ่ ๆ ไดด้ ังน้ี
๑. ความเชือ่ พนื้ ฐานท่ัวไป
เชื่อว่ามีอ�ำนาจเหนือธรรมชาติและเชื่อว่า
ธรรมชาติบางอย่างมีวิญญาณ สิ่งเร้นลับเหล่าน้ี
มีส่วนส�ำคัญต่อการก�ำหนดและควบคุมชะตากรรม
ของตน อาจให้คุณให้โทษแก่ตนได้นานา และ
ถ้าบุคคลปฏบิ ัตชิ อบ ผีช่วยคมุ้ ครองหรือใหค้ ณุ และ
ถ้าผู้ใดมุ่งน้อมจิตเข้าหาก็อาจจะติดต่อสื่อสารกับ
วญิ ญาณลกึ ลบั เหลา่ นน้ั ได้ ถา้ บำ� เพญ็ เพยี รแกก่ ลา้ พอ
และทำ� ถกู วธิ ี ยงั สามารถบงั คบั วญิ ญาณเรน้ ลบั ทแี่ รง
บุญด้อยกว่าให้อยู่ใต้อ�ำนาจได้อีกด้วย อันนี้เห็นได้ชัดเจนจากความเชื่อเร่ืองทวด
ครหู มอโนราและการทรงเจ้าเขา้ ผี เป็นตน้
อ�ำนาจเร้นลับต่าง ๆ อาจกำ� บังกายหรอื ปรากฏกายในลกั ษณะตา่ ง ๆ ได้ตาม
เจตนา มกั เรยี กชอ่ื จติ วิญญาณเหล่านั้นตา่ งกนั ไป เช่น เรยี กจำ� พวกวิญญาณชั้นต�่ำว่า
“ผ”ี ใครเคราะห์ร้ายก็อาจถกู ผีหลอก ผอี ำ� ผีเข้า ผีสงิ อาจท�ำให้ลม้ ปว่ ยหรือถกู ผีกิน
เป็นแผลเรื้อรังเกิดวิกลหรือถึงตายได้ ผีบรรพบุรุษมักคอยคุ้มครองป้องกันลูกหลาน
เว้นแต่ใครละเมิดก็อาจให้โทษได้ ใครท�ำให้พอใจอาจเข้าฝันให้คุณ ส่วนจิตวิญญาณ
ท่ีมีบุญญาธิการหรือค่อนไปทางดีบ้างก็เรียกว่า “เทียมดา” หรือ “ทวด” ทวดที่เป็น
ครึ่งสัตว์คร่ึงเทพ เช่น ทวดงู ทวดจระเข้ ทวดวัวกระทิง ทวดพวกน้ีจะปรากฏในรูป
ของสัตวน์ ้นั ๆ
องค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบลท่าข้าม
164 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
สง่ิ ทใี่ หค้ ณุ แกม่ นษุ ยอ์ ยา่ งไพศาล เชอื่ กนั วา่ มขี วญั
และมเี ทพประจำ� เชน่ ขา้ วมขี วญั ขา้ วและมแี มโ่ พสพ
และมแี ม่ย่านางเปน็ ผู้หญงิ ประจำ� รกั ษาเรอื และเช่ือว่า
ที่ตัวเด็กทุกคนจะมีขวัญและมีแม่ซื้อเป็นเทวดาหรือ
ผีประจ�ำตัวทารก ธรรมชาติส�ำคัญ ๆ ก็มีเทพารักษ์
ประจำ� จงึ เกดิ การทำ� ขวญั และเซน่ สรวงบชู าสง่ิ เหลา่ น้ี
ลัทธินิยมนับถือบูชาสิ่งเหนือธรรมชาติและธรรมชาติก่อให้เกิดคติความเชื่อ
เก่ยี วกบั นามที่เป็นมงคลและอปั มงคลขน้ึ เช่น เชือ่ วา่ ไม้ไผส่ ีสกุ ยงั ใหเ้ กิดความสงบสุข
การปลูกไม้รกั ไมย้ ม ไม้ยอไวใ้ นบา้ นจะท�ำใหเ้ จ้าของบา้ นมีคนรักใคร่ นิยมนับถอื และ
ยกยอ่ ง ในทางกลบั กนั ถา้ ใครปลกู เตา่ รา้ งไวใ้ นบรเิ วณบา้ นมกั เกดิ การพลดั พรากเลกิ รา้ ง
ใครปลกู ตน้ ลนั่ ทมไวใ้ นบา้ นชวี ติ มกั ทกุ ขร์ ะทม ใครปลกู ตน้ สนไวใ้ นบา้ นมกั ยากจนขดั สน
เปน็ ตน้ ความเชอ่ื เรอื่ งมงคลนามแผก่ วา้ งไปถงึ ชอื่ ดี ชอื่ เปน็ กาลกณิ ี ทงั้ ชอ่ื คน ชอ่ื สตั ว์
ช่ือยานพาหนะ ช่อื สถานที่และชื่อบา้ นนามเมอื ง
เมื่อชาวใต้และชาวท่าข้ามได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมฮินดู การนับถือบูชา
ผสี างเทวดากย็ ง่ิ กวา้ งขวางและพสิ ดารยงิ่ ขน้ึ เชน่ มเี ทพประจำ� ธาตทุ ง้ั สี่ (ดนิ นำ�้ ลม ไฟ)
คือมีเทพผู้รกั ษาสถานที่ จากความเชอ่ื เรอื่ งน้ีเม่ือชาวบ้านจะประกอบการมงคลใด ๆ
จะมกี าร “ดทู ดี่ ทู าง” และ “ขอทขี่ อทาง” เชอ่ื วา่ มนี างธรณปี ระจำ� ผนื พสธุ าซงึ่ อาจลงโทษ
สูบคนที่บาปหนักถึงขั้นอนันตริยกรรมให้จมแผ่นดินลงไป มีนางมณีเมขลาเป็นเทพ
ประจำ� สมทุ ร มีพญานาคอยู่ ณ เมอื งบาดาลและเปน็ เทพแห่งนำ�้ ฝนซง่ึ นำ� ความอุดม
สมบรู ณม์ าใหโ้ ลกมนษุ ย์ มพี ระพายเปน็ เทพแหง่ ลม มพี ระเพลงิ เปน็ เทพแหง่ ไฟ เกดิ คติ
ห้ามถม่ น้�ำลายรดดุน้ ฟนื อนั จะทำ� ใหพ้ ระเพลิงโกรธและให้โทษเกดิ อคั คีภัย เปน็ ต้น
จากคติที่สืบเนื่องจากคัมภีร์ลักษณะมหาบุรุษของพราหมณ์ทั้งท่ีรับมาจาก
ศาสนาพราหมณ์และที่ผ่านมาทางพุทธศาสนาเร่ืองมหาปุริสลักษณะเป็นเหตุให้เกิด
ความเชอ่ื เกย่ี วกบั การดู และการทำ� นายรปู รา่ งลกั ษณะของคน ตลอดจนถงึ การเสาะหา
ผู้มีลักษณะดเี ปน็ คคู่ รอง ความเชื่อเรอื่ งน้ียงั ขยายไปถึงลักษณะสัตวบ์ างชนิด เช่น วัว
ควาย ช้าง มา้ นกเขา ไก่ แมว สนุ ขั เป็นต้น
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำบลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 165
มผี ปู้ ระกอบพธิ กี รรมตามลทั ธคิ วามเชอ่ื ทห่ี ลากหลายเปน็ เหตใุ หค้ วามเชอ่ื เกย่ี วกบั
ไสยศาสตรเ์ ฟอ่ื งฟขู น้ึ พธิ กี รรมวาดเคราะห์ ลอยเคราะห์ สะเดาะเคราะห์ ขบั ไลอ่ บุ าทว์
กพ็ สิ ดารและกวา้ งขวางยง่ิ ขนึ้ เกดิ การผสมผสานระหวา่ งความเชอื่ ดง้ั เดมิ กบั ความเชอ่ื
ตามคติฮินดูจนบางคร้ังแยกกันไม่ออก เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับการห้ามข้ามของมีคม
เพราะเช่ือว่ามีเทพ “เพชรหนูกนั ” (พระวิษณกุ รรม) ประจำ� อยู่
๒. พุทธศาสนกิ ชน
ไทยพุทธในภาคใต้และ
ชุ ม ช น ท ่ า ข ้ า ม ใ น ทุ ก ห มู ่ บ ้ า น
ยกเว้นบ้านหนองบัวมีความเชื่อ
อันสืบเนื่องมาแต่พุทธศาสนา
หลายประการ แต่ส่วนใหญ่มัก
ผสมปนเปอยู่กับความเช่ือดั้งเดิมที่เกี่ยวกับการนับถือผีสาง
และลัทธิศาสนาพราหมณ์ท้ังท่ีบางอย่างขัดแย้งกับแก่นแท้
ของพุทธศาสนา เช่น การใช้น้�ำมนต์ขับไล่ผี การเชื่อเร่ือง
พรหมลขิ ิตคู่กนั ไปกับเชอ่ื เรอ่ื งกฎแหง่ กรรม เป็นตน้
คติเก่ียวกับกฎแห่งกรรมของพุทธศาสนาเป็นเหตุให้ชาวท่าข้ามเกิดความเช่ือ
เร่ืองการ “ติดทาน” และการ “ใช้ชาติ” ที่เกี่ยวกับการติดทานน้ันเช่ือกันว่าถ้าผู้ใด
น�ำเอาทรัพย์สมบัติท่ีเจ้าของไม่ปรารถนาจะให้ผู้นั้นต้องตามไปชดใช้ในชาติหน้า
ที่เก่ียวกับการใช้ชาตินั้นหมายถึงการที่ผู้ใดก่อกรรมท�ำเข็ญกับมนุษย์หรือสัตว์อย่างไร
ในชาตินเ้ี มอ่ื ถึงชาตหิ นา้ กรรมนน้ั จะตามสนอง
พทุ ธศาสนกิ ชนชาวทา่ ขา้ มสว่ นใหญม่ คี วามเชอื่ วา่ ชวี ติ ของพระศาสดามคี วามพอ้ ง
กบั ทก่ี ลา่ วไวใ้ นพทุ ธประวตั ทิ กุ ประการ ทง้ั ในสว่ นทเี่ ปน็ รปู ธรรมและนามธรรม เชอ่ื วา่
พระศาสดามอี งคาพยพเหมอื นกบั พระพทุ ธรปู ทกุ ประการและสว่ นใหญจ่ ะศรทั ธาและ
ยดึ มน่ั ตอ่ พทุ ธานภุ าพมากกวา่ ธรรมานภุ าพ มคี วามเชอื่ วา่ สวรรคแ์ ละนรกมภี าวะเปน็
รปู ธรรมตามทบ่ี รรยายไวท้ กุ ประการ เชน่ เชอ่ื วา่ ในนรกมตี น้ งว้ิ มกี ระทะทองแดงและ
ลกั ษณะปลกี ยอ่ ย ทงั้ ศรทั ธาทจ่ี ะบำ� เพญ็ กศุ ลเพอ่ื ใหถ้ งึ สวรรคม์ ากกวา่ นพิ พาน มคี วามเชอื่
และศรทั ธาตอ่ เรอ่ื งพระมาลยั อยา่ งกวา้ งขวางจงึ นยิ มทจี่ ะสรา้ งหนงั สอื เรอ่ื งพระมาลยั
องค์การบรหิ ารสว่ นต�ำบลทา่ ขา้ ม
166 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
เป็นพุทธบูชา สิ่งท่ีพุทธศาสนิกชนชาวท่าข้ามศรัทธาเหนือกว่าสวรรค์คือยุคของ
พระศรอี ารยิ เมตไตรย การทำ� บญุ จงึ มกั อธษิ ฐานใหไ้ ดข้ นึ้ สวรรคแ์ ละไดพ้ บพระศรอี ารยิ ์
เปน็ ส�ำคัญ
พุทธศาสนิกชนชาวท่าข้ามส่วนมากเช่ือว่าบุญกุศลที่สร้างสมไว้ย่อมเกิด
เป็นเนื้อนาบุญเม่ือถึงคราวคับขันอาจน�ำมาใช้ช่วยให้พ้นจากภัยอันตรายได้ เหตุน้ี
เมอ่ื ตกอบั คบั ขนั จงึ มกั อธษิ ฐานหรอื อทุ านวา่ “ชะบญุ ” และเชอ่ื วา่ การทำ� บญุ กรวดนำ�้
จะท�ำให้ผู้ล่วงลับไปแล้วได้พลอยรับส่วนกุศลด้วย เช่ือว่าการปลุกเสกท�ำให้เกิด
ความศักด์ิสิทธ์ิ เช่ือว่าน�้ำพระพุทธมนต์เป็นส่ิงศักด์ิสิทธิ์และสายสิญจน์เป็นเคร่ือง
ปอ้ งกนั ผแี ละเสนยี ดจญั ไร เชอื่ วา่ พระพทุ ธรปู และพระบรมสารรี กิ ธาตเุ ปน็ สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์
สามารถแสดงอภินิหารได้และมักศรัทธาเชื่อถือสับสนปนเปกันไประหว่างปาฏิหาริย์
กับอตุ ริมนุษยธรรม
๓. มุสลมิ
ชาวท่าข้ามในบ้านหนองบัว ชุมชนมุสลิม
ชมุ ชนเดยี วของตำ� บลทา่ ขา้ ม มคี วามเชอ่ื วา่ เมอื่ ไดย้ นิ
การอ่านคมั ภรี ์อลั - กุรฺอาน มสุ ลิมทุกคนจะต้องหยุด
ทำ� การใด ๆ ตอ้ งคอยสดบั ตรบั ฟงั คมั ภรี เ์ ทา่ นน้ั แมจ้ ะ
ไม่ทราบความหมายก็ตาม การเก็บหรือวางคัมภีร์
จะต้องอยู่ในลักษณะท่ีเชิดชูให้เกียรติคือควรวางไว้
ในทสี่ งู มสี งิ่ รองรบั ทเี่ หมาะสม การหยบิ จบั กค็ วรเปน็
ไปดว้ ยอาการยกยอ่ ง หา้ มผทู้ ไ่ี มไ่ ดน้ บั ถอื ศาสนาอสิ ลาม
จับต้องฉบับที่เป็นภาษาอาหรับล้วน ๆ เพราะ
ตามหลักการทางศาสนาผู้ที่จะจับต้องหรือเชิญ
คัมภีร์อัลกุรฺอานจะต้องมีน้�ำละหมาดช�ำระให้สะอาดปราศจากสิ่งสกปรกท้ังปวง
เด็กมุสลิมเมื่อเติบโตพอจะศึกษาเล่าเรียนก็จะต้องศึกษาศาสนาควบคู่ไปกับการอ่าน
หนงั สอื อาหรบั โดยเรมิ่ จากการเรยี นอา่ นคมั ภรี อ์ ลั กรุ อฺ าน มสุ ลมิ ทา่ ขา้ มจำ� นวนไมน่ อ้ ย
เคยมีความเช่ือว่าการศึกษาภาษาไทยและการมีหนังสือภาษาไทยไว้ในบ้านเป็นบาป
แตป่ ัจจุบันคลี่คลายไปแลว้
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำบลทา่ ขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 167
มสุ ลมิ ทา่ ขา้ มมคี วามศรทั ธาวา่ ความดแี ละความชวั่
เป็นลิขิตจากพระผู้เป็นเจ้า เชื่อว่าผู้ท่ีตายเพื่อป้องกัน
ประเทศชาติ ศาสนาเป็นการตายอย่างมีเกียรติและได้รับ
ความโปรดปรานจากพระผู้เป็นเจ้า จะไม่มีการอาบน้�ำศพ
แต่ส�ำหรับการตายธรรมดาจะต้องท�ำความสะอาดศพ
ทงั้ รา่ งอยา่ งแผว่ เบาแลว้ รดดว้ ยนำ�้ ใบพทุ รา นำ้� ผสมการบรู ทกุ คนถอื เปน็ หนา้ ทข่ี องตน
ทจี่ ะไปเยย่ี มเยยี นและละหมาดใหศ้ พ มารยาทในการเยย่ี มศพ หา้ มกราบศพ หา้ มไวท้ กุ ข์
และห้ามรอ้ งไห้ร�ำพึงร�ำพัน
หลกั การศาสนาอสิ ลามถอื วา่ การเลย้ี งลกู กำ� พรา้ เปน็ มหากศุ ล ถอื วา่ ผทู้ ส่ี ามารถ
ปฏิบัติได้พึงเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ท่ีนครเมกกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย
เพ่ือประกอบศาสนกิจท่ีกระท�ำเพียงครั้งเดียวในชีวิต ถ้าไม่สามารถปฏิบัติได้ก็ไม่ถือ
เป็นการบาปแตป่ ระการใด
มุสลิมท่ีเคร่งครัดมีความเช่ือว่าการร้องร�ำท�ำเพลงเพ่ือให้ความบันเทิง
แก่สาธารณชนเป็นบาป ความเชื่อที่ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดอีกอย่างหน่ึงคือ
การไม่กราบไหว้รูปเคารพใด ๆ เพราะศาสนาอิสลามห้ามกราบไหว้บูชาวัตถุสิ่งของ
หรือธรรมชาติ นอกจากพระผเู้ ปน็ เจา้
๔. ชาวจนี ชาวจนี ท่าขา้ ม
มีอย่างกระจัดกระจายจนแทบแยกไม่ออกกับ
ชาวไทยพุทธทั่วไป จะสังเกตเห็นได้ต่อเม่ือถึงเทศกาล
วนั ตรษุ จนี และเชงเมง้ ตามประเพณปี ฏบิ ตั ทิ ค่ี นใตเ้ รยี กวา่
“ไหว้ก๋ง” ความเชื่อท่ีแตกต่างออกไปของชาวจีนในหมู่
ชาวพุทธคือชาวจีนส่วนใหญ่เชื่อเรื่องมงคลนามดังเช่น
ในวนั ตรษุ จนี ครอบครวั ทร่ี จู้ กั มกั คนุ้ กนั มาก ๆ จะแลกเปลยี่ น
สม้ จนี เพราะเชอ่ื วา่ สม้ จนี หรอื “ไตก้ กิ ” ในภาษาจนี แปลวา่
ดมี ากในภาษาไทย มคี วามหมายในทางเปน็ สริ มิ งคล ในพธิ มี งคล เชน่ แตง่ งาน หา้ มคน
ท่ีก�ำลังไว้ทุกข์ไปร่วมงาน ชาวจีนเช่ือกันว่า สิงโตเป็นสัตว์ประเสริฐ กอปรด้วยมงคล
ลักษณะอย่างสูง เป็นเทพเนรมิตมาอ�ำนวยพรแก่ผู้มีบุญญาธิการให้มีความสุข
ความเจริญ จึงพากันเล่ือมใสจัดหารูปสิงโตมาตั้งเคารพบูชาตามบ้านเรือนและ
องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ� บลท่าข้าม
168 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
มีประเพณีการเชดิ สิงโต คติความเช่อื ของชาวจีนโบราณเช่อื วา่ มังกรเปน็ จ้าวแห่งสตั ว์
มีอิทธิฤทธิบ์ ันดาลคุณและโทษได้ จดั อยูใ่ นสตั ว์วิเศษ ๔ ชนดิ คือ กิเลน หงส์ เตา่ และ
มังกร แตม่ ังกรใหญ่ที่สุด เม่ือเกดิ เภทภัย เชน่ ทพุ ภกิ ขภัย โรคระบาดหรือเหตุร้ายแรง
อ่ืน ๆ จึงนิยมจัดพิธีแห่มังกรขอให้ปกป้องคุ้มครอง ต่อมาขยายเป็นเชิดมังกร
เพื่อความสนุกสนานกม็ ี
ชาวจีนมีความเช่ือว่า ผีจีนกลัวไฟและเสียงดัง จึงนิยมจุดประทัดเพ่ือขับไล่
สงิ่ อปั รยี ์ เสนยี ดจญั ไรและภตู ผปี ศี าจทซี่ อ่ นเรน้ อยภู่ ายในบา้ นหรอื ทจ่ี ะมาทำ� อนั ตราย
เพื่อใหต้ กใจกลวั แตกตืน่ หนไี ปเสยี (สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์. ๒๕๔๒ : ๑๐๐๓ - ๑๐๐๔)
๔. ความเชือ่ เก่ยี วกบั พระภูมเิ จา้ ที่
๔.๑ การไหว้เจา้ ท่ี
ไหวเ้ จา้ ที่ เปน็ พธิ กี รรมอยา่ งหนงึ่ ของชาวภาคใต้ เปน็ การขอขานและแสดงคารวะ
ต่อดวงวิญญาณของเจา้ ของพ้นื ที่ด้ังเดิม เชน่ เจา้ ของทบ่ี า้ น เจา้ ของทเี่ รอื กสวนไรน่ า
เจ้าของท่ีของสัตว์เล้ียง เป็นการร�ำลึกถึงพระคุณ ด้วยการต้ังเคร่ืองสังเวยบวงสรวง
เซน่ ไหว้ โดยเฉพาะการปลกู บ้านใหม่ ตอ้ งขอขานเซน่ ไหว้เจา้ ที่เสียกอ่ น จึงจะอยู่เยน็
เปน็ สุข
หมออรณุ แกว้ สตั ยา กำ� ลังน�ำประกอบพิธีกรรมไหวเจ้าพระภูมทิ ่ี ณ ซอยสนั ตสิ ุข ตำ� บลทา่ ข้าม
องค์การบริหารส่วนตำ� บลท่าข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 169
ในการไหวเ้ จา้ ท่ี มพี ธิ เี หมอื นกนั คำ� ประกาศสงั เวยเหมอื นกนั ตามปกตจิ ะไหว้
เจา้ ทป่ี ลี ะครง้ั เชน่ ไดข้ ายววั ขายควาย ขายหมู กม็ กี ารไหวเ้ จา้ ทเ่ี สยี ครงั้ หนงึ่ อปุ กรณ์
ในการไหว้เจ้าท่ี มดี งั น้ี
๑. เครอื่ งบชู า มธี ปู เทยี น ขา้ วตอกดอกไม้ หมากพลู เชอ่ื กนั วา่ เจา้ ทเี่ ปน็ ผทู้ ชี่ รา
มากแลว้ หมากพลูนิยมตะบนั เสยี กอ่ น
๒. เครื่องสังเวย มีขนมสังขยา ขนมแดง ขนมขาว เหลา้ ขา้ ว เป็ด ไก่
๓. ศาลทต่ี งั้ เครอื่ งสงั เวย ขดั เปน็ แผงดว้ ยตอกไมไ้ ผห่ รอื ตอกทางสาคู ขดั ตาหา่ ง ๆ
กว้างยาวประมาณ ๑ ศอก ใชเ้ สาไมก้ ลมขนาดน้ิวหวั แม่มอื ๔ เสา ปักลงบนพน้ื ดิน
สงู จากพน้ื ประมาณครงึ่ ศอก วางแผงบนเสา ทำ� บนั ไดดว้ ยไสร้ ะกำ� เสยี บดว้ ยไม้ ๓ ขนั้
วางลาดระหวา่ งแผงกับพื้นดนิ ส�ำหรบั เจา้ ทีเ่ ดินขนึ้ นงั่ บนศาล
ปใู บตองบนศาล แลว้ วางเครอ่ื งบชู าสงั เวยรายเรยี งกนั ไป ธปู กก่ี า้ น เทยี นกเ่ี ลม่
ไม่ได้ก�ำหนดไว้แน่นอน การปลูกศาลนิยมท�ำเฉพาะไหว้เจ้าที่บ้าน ไหว้เจ้าที่ไร่นา
ไหว้เจ้าที่คอกสัตว์เล้ียง นิยมใส่ในถาด เป็ดไก่ต้มทั้งตัว ไม่ช�ำแหละออกเป็นช้ิน ๆ
บางคนบนเจา้ ทีค่ อกววั ไว้ว่า ถ้าปนี ขี้ ายววั ไดร้ าคาดีให้เจ้าท่กี นิ ไก่ปากทอง เขาจะเอา
แหวนทองค�ำสวมปากไก่แล้วยกไปต้ังสังเวยพร้อมทั้งขวดเหล้า เมื่อกล่าวอธิษฐาน
วิงวอนและประกาศค�ำสังเวยแล้วหมอจะกล่าวว่า เม่ือท่านอิ่มหน�ำส�ำราญแล้ว
ลูกหลานจะขอเดนขอชานแล้วน�ำเป็ดไก่ไปกินเป็นกับแกล้มเหล้า แต่ไหว้เจ้าท่ีบ้าน
เจา้ ทไี่ รน่ า แยกเครอื่ งสงั เวยออกเปน็ กองๆ ไมม่ ใี ครขอเดนขอชานกนิ เหลอื เปน็ อาหาร
ของนกกา ไหวเ้ จา้ ทบี่ า้ น เจา้ ทไี่ รน่ านยิ มทำ� ในเวลาเชา้ แตไ่ หวเ้ จา้ ทคี่ อกสตั วเ์ ลย้ี ง นยิ ม
ท�ำเวลาพลบค่�ำ ท�ำในวันองั คารกับวันเสารโ์ ดยเลือกเอาวันใดวนั หน่งึ
พิธีกรรมเร่ิมต้ังแต่จุดธูปเทียน ต้ังนะโมสามจบ ชุมนุมเทวดา ไหว้สัดดีใหญ่
นำ� มาวา่ เพยี งบางตอน จบแลว้ กลา่ วคำ� อธษิ ฐานออ้ นวอน เชน่ ไหวเ้ จา้ ทบ่ี า้ นกว็ งิ วอนวา่
วันนี้เป็นวันดี เจ้าของบ้านเขาร�ำลึกถึงพระคุณของท่านที่ให้ที่ให้ทางได้ตั้งบ้านเรือน
เปน็ ทอี่ ยอู่ าศยั ขอใหท้ า่ นมารบั เอาเครอ่ื งสงั เวย เมอ่ื อมิ่ หนำ� สำ� ราญแลว้ ชว่ ยคมุ้ ครอง
รกั ษาใหเ้ จา้ ของเรอื นอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ มลี าภมชี ยั ปราศจากโรคภยั ไขเ้ จบ็ อนั ตรายทงั้ ปวง
ถา้ ปลกู บา้ นใหมก่ ว็ งิ วอนเพอื่ ขอทขี่ อทาง อยา่ ไดข้ ดั ขวางใหป้ ลกู เรอื นใหส้ ำ� เรจ็ อยเู่ ยน็
เปน็ สขุ
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำบลทา่ ข้าม
170 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ไหวเ้ จา้ ทไี่ รน่ า กอ็ อ้ นวอนวา่ ขอใหข้ า้ วเจรญิ งอกงาม ชว่ ยไลน่ กไลห่ นู อยา่ ใหม้ า
ทำ� ลายต้นพชื ได้ ผลิตผลเตม็ กอบเตม็ กำ� ลกู หลานจะต้งั เครื่องสังเวยให้กินในปีต่อไป
ไหวเ้ จา้ ทค่ี อกสตั ว์ กอ็ อ้ นวอนใหส้ ตั วเ์ ลยี้ งพว่ งพี ปราศจากโรคระบาด โจรผรู้ า้ ย
จากนน้ั หมอไหวเ้ จ้าทกี่ ป็ ระกาศค�ำสังเวยบวงสรวงเซน่ ไหว้ ดังน้ี
“โอมปู่เจ้าสมิงพราย ข้าน้อมหมายเรียกหา ด้วยถ้อยค�ำย�ำเกรง ครูข้าเอย
อยา่ ขดั อยา่ แขง็ ครผู ดู้ ำ� แดง มารบั เอาเครอ่ื งสงั ขยา ขา้ วตอกดอกไม้ ธปู เทยี นเรยี งราย
ตามไวไ้ สว ขา้ วเหลา้ เปด็ ไก่ เปน็ เครอ่ื งสงั เวย ขา้ วหาดมาดหลา ลำ� พดั ลำ� เพย มารบั เอา
เคร่ืองสงั เวยแก่ข้าทัง้ ปวง อสูรขา้ ทรยักษ์ ข้าจกั บวงสรวง ภมู สิ ถานเจ้าท่ี เทวาทง้ั ปวง
เจ้าภูเขาหลวง ทัดลาตาชี นางเออ้ื ยนางเอ เจ้าเท่เจา้ นา ชกั ชวนกันมา ทกุ ฐานทกุ ถน่ิ
เจ้าทีแ่ ผ่นดิน เชิญมาอยา่ นาน วันน้ีวันดี ข้าจะปลูกบ้าน กุฏิวิหาร ทอดสะพานศาลา
ตั้งโลงชะมัด ฝังฉัตรเบญจา หมอนแดงไร่นา ฝังหลักปักรอ ก่อพระเจดีย์ ต้ังเรือน
ต้งั ร้าน ต้งั งานพธิ ี บวชนาคบวชชี เปน็ วนั มงคล เทวดาทกุ คน อยอู่ ย่ามีภยั อนั ตราย
หลมุ หลกั ไฟไหม้ รทุ รา้ ยทใี่ ด สง่ิ ดชี กั มาให้ สงิ่ รา้ ยชกั พาไป ไปใตต้ น้ ไมต้ น้ ใหญ่ ครเู อย
ชว่ ยมาตกั เตอื น การบา้ นการเรอื น เรอื กสวนไรน่ า ชา้ งมา้ ววั ควาย ลกู หลานหญงิ ชาย
ขอให้มีชัย โอมปริภญุ ชัยชนั ตุสวะหาย”
หมอหรอื ผปู้ ระกอบพธิ จี ะกลา่ วคำ� อธษิ ฐานออ้ นวอนเจา้ ทปี่ ระจำ� สถานทน่ี น้ั ๆ
อกี ครงั้ หนงึ่ ใจความสำ� คญั ใหช้ ว่ ยคมุ้ ครองรกั ษาสงิ่ นน้ั ๆ ทก่ี อ่ สรา้ งบนสถานที่ พชื ผล
ที่ปลูกลงในพื้นทน่ี น้ั ไดร้ ับผลเต็มเม็ดเตม็ หนว่ ยแล้วขึน้
“โอมแม่นางธรณี พิทักษ์รักษา อย่ามาพ้องพาน ศักด์ิสิทธิ์ท่ีบ้านมหาชัย
สง่ิ ดีรบั กลบั มาให้ ส่ิงที่รา้ ยขับไปใหไ้ กล มหาลาภมหาชัย จงได้พทิ ักษ์รกั ษา เจา้ เรอื น
หมอเอก อิติปิโสภควา พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้ แปรไร่แปรนา อีกทั้งปีศาจ อีกท้ัง
อบุ าทว์ อกี ทง้ั จงั ไหร พระครใู หก้ เู ปน็ ใหญแ่ กเ่ ทวดาทง้ั หลาย ฤาษกี สั สปะ ฤาษไี กรภพ
ฤาษคี งคา ฤาษตี าไฟ กูแกลง้ แลไป ขอให้มชี ัยประสทิ ธสี วะโหม”
ไหว้เจ้าท่ีไม่มีพิธีรีตองพิถีพิถันนัก หมอไหว้เจ้าท่ีเหมือนกับหมอท�ำขวัญข้าว
ไม่มีเงินราด ท�ำให้ในฐานะเครือญาติเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง โบราณสอนไว้ว่า
“หมอทำ� ขวัญข้าว ไหวเ้ จา้ ท่ี ฉัดตร้อ ตอ่ นกเขา” พาตวั ไมร่ อด
องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ� บลท่าข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 171
ค�ำว่าไหว้เจ้าท่ียังมีความหมายถึงการท�ำพอเป็นพิธี เช่น การแต่งงาน
ไมบ่ อกแขก ท�ำกนั ในวงเครือญาตใิ กลช้ ิด พอ่ แม่ไปบอกญาติ ๆ วา่ “ไปใหเ้ ดก็ มันไหว้
เจา้ เทส่ ักเดยี ว”
อยา่ งไรกด็ พี ธิ กี รรมนส้ี บื ทอดปฏบิ ตั กิ นั มานานปี ปจั จบุ นั นยี้ งั คงมอี ยู่ คนในอดตี
มีน้�ำใจสูงส่ง ไม่ถือเอาเร่ืองสินจ้างรางวัลเป็นใหญ่ แต่มุ่งเอาการช่วยเหลือเก้ือกูล
ตอ่ กันเปน็ หลกั ใหญ่ (พว่ ง บษุ รารัตน.์ ๒๕๔๒ : ๘๗๙๑ - ๘๗๙๒)
๔.๒ ไหว้เจา้ ท่นี า
เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งที่ชาวนาท�ำสืบเนื่องกันมา เพ่ือสักการบูชา ตาบุตร
ยายบตั ร ตาสีรตั น์ ยายพุทโธ นางเออ้ื ย นางอี้ โดยมคี วามเชือ่ วา่ บุคคลเหล่านเี้ ป็น
เจา้ ของทนี่ า เมอื่ ขา้ วเรมิ่ แตกกอ ชาวนาจะหาหมอมาประกอบพธิ ี เซน่ ดว้ ยไกต่ ม้ ๑ ตวั
เหลา้ ๑ ขวด ขา้ วเหนยี ว ขา้ วเจา้ ขนมโค หมากพลู ธปู เทยี นวางบนศาลเตยี้ ๆ ทปี่ ลกู ขนึ้
ชั่วคราวบนคันนา นอกจากเป็นการส�ำนึกถึงบุญคุณของเจ้าของที่นาแล้ว ยังเป็น
การอ้อนวอนให้ช่วยป้องกันนกหนูและศัตรูพืชอ่ืน ๆ ไม่ให้มาท�ำลายต้นข้าวในนา
ใหเ้ สยี หาย นยิ มทำ� กนั ในวนั เสารห์ รอื วนั องั คารเดอื น ๑๒ ไหวเ้ จา้ ทนี่ ามหี ลายสำ� นวน
มลี ำ� ดับข้นั ตอนคล้ายกนั สำ� นวนท่ยี กมานีเ้ ป็นของเก่านายสว่าง แทนปู่ บ้านควนทงั
๓๔๐ หมทู่ ี่ ๕ ตำ� บลบา้ นทำ� เนยี บ อำ� เภอครี รี ฐั นคิ ม จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี เปน็ ผรู้ วบรวม
ตั้งนะโมชุมนุมเทวดาแลว้ ว่า
องค์การบริหารสว่ นตำ� บลท่าข้าม
172 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
“ยกกรเหนือเกล้า ไหวเ้ ท้าปัถวี ไหวน้ างธรณี ท่านเจา้ แผ่นหลา้ ขา้ ไหวข้ อเชญิ
พญานาคนาคา
บากหน้าบ่ายตา เทวาทุกทิศ ข้าขอสมา ความร้ายอย่าได้ผิด เทวาทุกทิศ
เสด็จมาทกุ องค์ ขา้ ขอถวาย
บัตรพลีจ�ำนง เทวาทุกองค์ เชิญท่านเสด็จมา ทั้งพระอิศวร ท่านเจ้าสุธา
ทัง้ นางธรณี แม่ผู้มีศรี
รักษาสุธา วันน้ันพระเจ้า ได้ฝากพระศาสนา เรือกสวนไร่นา ท่านเอาใจใส่
ท้งั กรงุ พาลี พระภูมเิ จา้ ที่
ทั้งท้าวมหาชัย มหาลาภบริถิว ท่านนั้นเป็นใหญ่ เชิญท่านมาเร็วไว รับเอา
เครอื่ งบตั รพลี มนุษยท์ ัง้ หลาย พระเจา้ วา่ ไว้ ไดร้ ับถอ้ ยคำ� ข้าวบตั รข้าวพลี ทกุ ส่งิ ใส่ที่
แตง่ ไวค้ รบครนั เชญิ ทา่ นเรง่ มา ตวั ขา้ ขอเชญิ นายมรนู ซา้ ยขวา ขอเชญิ ทา่ นมา ชว่ ยตก
ชว่ ยแตง่ ธูปเทียนหมากพลู ทุกสงิ่ มอี ยู่ มิไดร้ ะแวง ทา่ นช�ำนาญการ เคยตกเคยแต่ง
ทกุ หนทกุ แห่ง แต่กอ่ นสืบมา สว่ นตวั ขา้ น้อย ยังมริ ถู้ ้อย จะเรียกจะหา จะหยิบจะเซ่น
มริ ู้ภาษา ท่านจงกรณุ า มาช่วยตกแตง่ ถวาย
สิบนิ้วข้าไหว้ ขอเชิญท่านไท้ เสด็จมาทุกหมู่ ตาบุตรยายบัตร ตาสีรัตน์
ยายพทุ โธ ทา่ นน้ันรักษาอยู่ เป็นตราชทู ั่วชนา นางเออ้ื ยท้งั นางอี้ เป็นเจา้ ที่สืบกนั มา
ท่านน้ันเป็นเจ้านา เชิญท่านมาถ้วนทุกคน นางธรณีเมขลา พระภูมิกรุงพาลี บริถิว
ท้าวนาคา ตัวข้าขอเชิญมา ท้าวนาคาเจ้าบาดาล ข้าขอเชิญมา ทั่วทุกทิศา มากิน
ส�ำราญ ทั้งท้าวจัตตุหลุง ฤทธากล้าหาญ เป็นเจ้าที่ไร่นา เป็นเจ้าของหนูทั้งหลาย
หมู่พวกบริวาร วันนี้วันดี วันเสาร์อังคาร ข้าน้อมนมัสการ แก่ท่านทั้งปวง สิทธิศักดิ์
รักษา เจา้ ทีไ่ รน่ า ขา้ จะขอบวงสรวง อยา่ ไดห้ นกั หนว่ ง ขอเชญิ ท่านมา มาเอาสังเหวย
ขา้ วเหนยี วข้าวเจา้ ข้าวหนมนมเนย อย่าได้ถอื โทษ ขง้ึ โกรธข้าเหลย ให้แมท่ รามเชย
อยสู่ บายคลายใจ ไมใ่ ชข่ องขา้ ของพระธรรมทา่ นไซร้ ชว่ ยรกั ษาไว้ จะไดท้ ำ� บญุ ใหท้ าน
เมื่อท่านเสด็จไป ตัวท่านนั้นไซร้ ร้องสาธุการ ท่านออกไปอยู่ นอกขอบจักรวาล
แล้วท่านคิดอ่าน ท�ำกะไหรจะได้กิน พระเจ้าจึงว่า มนุษย์น้ีหนา ท�ำมาหากิน
ปลกู เรอื นไรน่ า การงานโดยถวลิ ในการแผน่ ดนิ ทา่ นเอาใจใส่ กนั ดว้ งกนั แมง กนั พยาธิ
ใบแดง เพลย้ี น้ำ� เพล้ียไฟ กะหรา้ กะฉอ้ ง เรง่ คลายหายไป นกหนูปไู ซร้ ยกิ ไลเ่ สยี พลนั
องค์การบริหารส่วนตำ� บลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 173
วนั นแ้ี หละหนา ขา้ จะบชู าเทวดาทงั้ นนั้ สทิ ธศิ กั ดริ์ กั ษา ชว่ ยคมุ้ ชว่ ยกนั ตง้ั แตน่ เี้ ปน็ วนั
อยา่ ใหม้ ีอนั ตราย โอมปรพิ นุ ชนั ตุ จะมหาเทวตา
วันนี้วันดี วันเสาร์วันคาร ข้าน้อยนมัสการ นายมรูนทั้งหลาย ถ้าเอ็นดูข้า
ชกั ชวนกนั มา แต่งสูเ่ จา้ นาย ข้าวเหนยี วข้าวเจา้ เคร่อื งบชู าท้ังหลาย มาตกแตง่ ถวาย
แก่ท้าวไทยเทวา ภูมิหลังศักดิ์สิทธิ์ ใต้น�้ำเหนือท่า ขอเชิญท่านมา ช่วยตกช่วยแต่ง
ธูปเทียนหมากพลู ทุกสิ่งมีอยู่ มิได้ระแวง ท่านย่อมช�ำนาญ เคยตกเคยแต่ง ทุกหน
ทุกแห่ง แต่ก่อนสืบมา ส่วนตัวข้าน้อย ยังไม่รู้ถ้อย จะเรียกจะหา จะหยิบจะเซ่น
ยังมริ ู้ภาษา ขอเชิญทา่ นกรณุ า มาชว่ ยแตง่ ถวาย
ครน้ั ทา้ วเสวยแลว้ โยรยิ าตคลาดแคลว้ ไปสสู่ ถาน ยงั แตร่ อยเดน ยงั แตร่ อยชาน
พวกหมคู่ นงาน กนิ สำ� ราญใจ ถอื กลอ้ งคองนำ�้ เมามวั ไสว ทอ่ี ยกู่ อ็ ยู่ ทไี่ ปกไ็ ป ทย่ี งั อยไู่ ซร้
รกั ษาจงดี ศตั รหู มรู่ ้าย อยา่ เข้ามาใกล้ เบียนแมโ่ พสี นกหนูปูไซร้ ยกิ ไลท่ ุบตี ตง้ั แตน่ ี้
เปน็ วัน อย่าใหม้ ีอนั ตราย โอมปรพิ นุ ชันตุ จะมหาเทวะตา
ตวั ขา้ ขอลา รบั เอาเครอื่ งสงั ขยา บชู าทงั้ หลาย เทวดาทา่ นรบั เอาแตก่ ลน่ิ อาย
เครื่องบูชาท้ังหลาย ข้าขอรับมา ขอให้ประสิทธิ์จงให้มีฤทธิ์ ผู้รับภักษา ขอให้พยาธิ
อกี ทง้ั โรคา เดนชานเทวดา มเี ตโชชยั โอมปรพิ นุ ชนั ตุ จะมหาเทวะตา (พว่ ง บษุ รารตั น.์
๒๕๔๒ : ๘๗๙๒ - ๘๗๙๔)
๔.๓ ไหว้เจา้ ที่ววั ควาย
ววั ควายเปน็ สตั วท์ มี่ คี วามสำ� คญั ตอ่ ชาวนา
ในสมัยก่อนมาก เพราะท�ำหน้าท่ีลากไถหรือ
เหยยี บยำ่� ผนื นาใหเ้ ปน็ เทอื กเพอ่ื ปลกู ขา้ ว ววั ควาย
สมยั กอ่ นมภี ยั เบยี ดเบยี นมาก ตงั้ แตเ่ สอื โจรผรู้ า้ ย
และโรคภัย จึงต้องหาทางป้องกันและบ�ำรุงพันธุ์
ขยายพนั ธใ์ุ หเ้ พม่ิ จำ� นวนมากยงิ่ ๆ ขน้ึ นอกจากดว้ ยความเอาใจใสแ่ ลว้ ชาวนาเชอ่ื วา่
ยงั มสี งิ่ เรน้ ลบั โดยเฉพาะวญิ ญาณของนางครุ ำ� พญาทรพา พญาทรพซี ง่ึ เปน็ ตน้ ตระกลู
ของวัวควาย พระนันทิเทพซ่ึงแปลงตนเป็นโคอศุภราช พาหนะของพระอิศวรและ
พระภมู ซิ ง่ึ เปน็ เทวดารกั ษาสถานทต่ี า่ ง ๆ สามารถอำ� นวยผลตามทตี่ อ้ งการได้ แตต่ อ้ ง
เซ่นบัตรพลีใหถ้ ูก จงึ เกิดพธิ กี รรม “ไหวเจา้ ที่วัวควาย” ข้นึ
องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ� บลท่าข้าม
174 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
การไหวเ้ จา้ ทวี่ วั ควายนอกจากเชอื่ วา่ ววั ควายจะปลอดภยั แลว้ ยงั เชอ่ื วา่ จะทำ� ให้
ววั ควายลกู ดก อว้ นทว้ นสมบรู ณ์ ไมเ่ พรดิ หรอื สะดงุ้ ตกใจกลวั ไมด่ รุ า้ ย เชอื่ ง ใชง้ านได้
คล่องด้วย
การประกอบพิธีกรรมท�ำกันในเดือน ๖ หรือเดือน ๙ วันเสาร์หรือวันอังคาร
อปุ กรณ์และเครอื่ งประกอบพธิ ี มีแผงไม้ไผ่ ๔ เหลีย่ ม ขนาด ๒ x ๒ ฟุต ปูด้วยใบตอง
ส�ำหรับวางเครื่องเซ่น บัตรพลีท�ำด้วยใบเตยหรือใบตองเย็บเป็นรูปกลม ๆ ส�ำหรับ
ใสเ่ ครอ่ื งเซน่ ๗ ใบ เครอื่ งเซน่ ประกอบดว้ ย ขา้ วเหนยี ว ขา้ วสกุ ปลามหี วั มหี าง ขนมโค
กล้วย อ้อย ถัว่ งา สุรา และน้ำ� ๑ ขนั
เมื่อถึงเวลาประกอบพิธี หมอจะ
น�ำแผงไม้ไผ่วางลงบนกลางคอกหรือไม่ก็
ท�ำเป็นร้านเล็ก ๆ ส�ำหรับวางแผงอีกทีหน่ึง
แบ่งเครื่องเซ่นทุกชนิดยกเว้นสุราและน�้ำ
ใสบ่ ตั รพลที กุ ใบ วางบตั รพลกี ระจายใหท้ วั่ แผง
แล้วจุดเทียนตั้งนะโมบูชาพระรัตนตรัย
ชุมนุมเทวดาแล้วจึงสวดบูชาเจ้าท่ีวัวควาย
เมือ่ สวดบูชาจนจบจะรอ้ งประกาศให้พระภมู ิรับเครื่องเซน่ แลว้ รินน้�ำลา้ งมือลา้ งปาก
พระภูมิ แยกบัตรพลีวางตรงปากประตูคอก กลางคอกและตามเสาต่าง ๆ แต่ละจุด
ใชเ้ หลา้ รินลงบตั รพลเี ซ่นอีกคร้ังหน่งึ
หมอบางคนจะมีดา้ ยสายสิญจนเ์ ปน็ เครอื่ งประกอบพธิ ีดว้ ย ถ้าพิธีจดั ขนึ้ กอ่ น
ลงนา เสร็จพิธีแล้วแบ่งด้ายผูกที่โคนขาและเขาข้างขวาของวัวควาย อีกทั้งผูกท่ีปาก
ประตคู อกขา้ งขวา แต่ถ้าทำ� พิธเี สร็จจากลงนาใหผ้ กู ไวข้ ้างซ้ายในตำ� แหน่งเดยี วกัน
บทสวดไหว้เจ้าที่วัวควายมีหลายส�ำนวนตามแต่หมอจะคิดแต่งข้ึนหรือจดจ�ำ
จากหมอเก่า ๆ มาใช้ ตัวอย่างบทสวดไหวเ้ จ้าทว่ี วั ควาย
ตอนท่เี ชญิ เทวดา สิง่ ทเี่ ช่ือถือและขออำ� นาจคุ้มครอง
“สบิ นว้ิ ขา้ ประกาศ พระยานาคราช อยใู่ ตบ้ าดาล ทกุ องคเ์ ทวา มาเสวยสำ� ราญ
วันนี้วันดี วันเสาร์วันคาร ข้าน้อยนมัสการ แก่ท่านท้ังปวง ส่ิงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
เจ้าที่คอกควาย ข้าขอบวงสรวง เหล้าข้าวเป็ดไก่ ธูปเทียนท้ังปวง อย่าได้หนักหน่วง
องคก์ ารบริหารสว่ นต�ำบลทา่ ขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 175
เลยทา้ วเทวดา ภมู นิ ะภูมโิ น รักษาประตู ท้ังซา้ ยทัง้ ขวา พระภูมทิ ค่ี อก บอกปันกนั มา
นางเออ้ื ยนางตุม นางใยนางมุม ชว่ ยคุ้มรักษา ตาแรกตาหู ขา้ จักบูชา แต่น้ีเบื้องหน้า
อย่ามีอันตราย ให้กอฝูงใหญ่ ดกลูกต่อไป อย่าให้บั้นหลาย อย่าให้เพริดพราย
จำ� หมอจำ� ควาน ครงั้ เวลาคำ่� ใหน้ างครำ� ชกั ลกู จงู หลาน มาหลกั มาคอก อยา่ ใหต้ กพา่ น
หมพู่ วกบรวิ าร แหห่ อ้ มลอ้ มมา แมน้ เทยี่ วกนิ ไกล กนิ ทงุ่ กนิ ใส ในพงดงปา่ ตกลกู สกั ตวั
อยา่ มโี รคา ตกโงบตกแบ้ จะทำ� ขวญั ตา ถา้ ตกลกู เหมยี อยา่ ใหง้ อ่ ยเพลยี อยา่ หกั อยา่ ราน
ทอคอกทอถนุ ทอรวั้ ทอบา้ น ใหจ้ ำ� หมอควาน จำ� คอกจำ� โรง ใหร้ จู้ กั เจา้ คนอนื่ อยา่ เขา้
มาไดใ้ กลฝ้ งู ไหวเ้ ทพารกั ษ์ เขา้ หลกั ทง้ั มลู ชว่ ยเกอ้ื ชว่ ยหนนุ ชว่ ยคมุ้ รกั ษา เขาตงั้ พว่ งพี
ขน้ึ น้ำ� ลงท่า กนั งูกันเสอื มณีเมขลา ชว่ ยกันรกั ษา”
ตอนกลางกลา่ วถงึ ต�ำนานทรพา ทรพี
“ท้าวทา่ นทรพาบ ฤทธริ งค์องอาจ เทยี่ วในพงพี แดนป่าหมิ พานต์ บริวารองึ มี่
เกิดท้าวทรพี ลูกนางคุร�ำ เทพเจ้ารักษา พระแม่พามา ซ่อนไว้ในถ�้ำ ตัวเจ้าไม่รู้
เทย่ี วอยยู่ งั คำ�่ แตน่ างครู ำ� เดนิ ลอดลดั ไป สง่ นมแกล่ กู เตบิ ใหญก่ ลา้ กด็ ุ หา้ วหาญชาญชยั
ออกเที่ยวกินหญ้า ชายภูเขาใหญ่ ออกท่งด้วยไว วัดรอยบิดา รอยพ่อเท่ากัน
ทอดนิ เปน็ ควนั กลมุ้ ทง้ั เวหา ตรงไปหาฝงู ทรพาบดิ า สกู้ นั มชิ า้ บดิ าบรรลยั ยงั แตท่ รพี
หาญกลา้ ราวี เขา้ หกั พงไพร กบั พวกบรวิ าร อยสู่ ำ� ราญใจ เขา้ หกั สวนใหญ่ ทา้ วพระยาพาลี
สู้กนั มิช้า พาลีจึงฆา่ มอดม้วยเปน็ ผี”
แม้สังคมจะเจริญก้าวหน้าขึ้นมากแล้วในปัจจุบันแต่ชาวนาส่วนหนึ่งก็ยังจัด
พิธีไหว้เจ้าที่วัวควายกันอยู่ หากแต่ความมุ่งหวังอาจจะแคบลงเหลือเพียงความเป็น
สริ มิ งคลแกว่ วั ควายและเพอื่ ความสบายใจของผจู้ ดั พธิ เี ทา่ นนั้ (อดุ ม หนทู อง. ๒๕๔๒ :
๘๗๗๔ - ๘๗๗๕)
๔.๔ ไหว้พระภูมิ
ไหวพ้ ระภมู ิ ทำ� ภมู ิ ไหวเ้ จา้ ทก่ี ว็ า่ เปน็ พธิ กี รรม
ที่จัดท�ำข้ึนเพื่อบวงสรวงพระภูมิผู้เป็นเทพารักษ์
ประจ�ำพื้นท่ีและอาคารบ้านเรือนเพ่ือขอความสวัสดี
และขอความปลอดภัยจากโทษภัยทัง้ ปวง
หมออรุณ แกว้ สัตยา
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ� บลทา่ ข้าม
176 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
พระภมู ิ ผเู้ ปน็ ใหญส่ ดุ คอื ทา้ วกรงุ พลี เปน็ ยกั ษแ์ ละเปน็ เจา้ โลกมากอ่ น มบี รวิ าร
มากมายท�ำหน้าที่ต่าง ๆ กัน เช่น นางธรณีรักษาแผ่นดิน ท้าวนาคารักษาห้วงน�้ำ
ทา้ วมกิ ราชรกั ษาวดั วาอาราม ทา้ วชยั มงคลรกั ษาเรอื น ทา้ วธรรมโอฬารรกั ษาเรอื กสวน
ไรน่ า เพชรคนธรรพร์ ักษาศาลเจ้าและโรงวิวาห์ บริถิวรกั ษาเสน้ ทางสญั จร ฯลฯ และ
ยังมีพระภูมิชั้นต�่ำซึ่งรักษาส่ิงเล็กน้อย เช่น พระภูมิรักษาหัวบันได ประตู ใต้ถุน
ตนี ครกตำ� ข้าวและคอกสตั ว์ เปน็ ตน้
เหตุที่ต้องไหว้บวงสรวงพระภูมิเหล่านี้
เพราะกระแสแรกท้าวกรุงพลีบ�ำเพ็ญตบะ
จนได้รับพรจากพระพรหมให้มีอิทธิฤทธ์ิจึงยกทัพ
ไปปราบพระอินทร์ได้ส�ำเร็จต้ังตนเป็นใหญ่
ในหมู่มารและทวยเทพ ทวยเทพไม่พอใจ
จงึ ไปฟ้องพระกัสปเทพบิดร พระกัสปขอรอ้ งให้
พระนารายณ์ช่วยเหลือ พระนารายณ์อวตาร
เปน็ พราหมณเ์ ต้ียลงมาปราบ การปราบกระทำ�
ในวนั เกดิ ทา้ วกรงุ พลี วนั นนั้ ทา้ วกรงุ พลปี ระกาศวา่
ใครปรารถนาสง่ิ ใดใหข้ อ นารายณแ์ ปลงจงึ ขอท่ี ๓ ยา่ งกา้ ว ครน้ั ทา้ วกรงุ พลกี รวดนำ�้ ยกให้
นารายณ์แปลงก็แสดงปาฏิหารยิ ใ์ หร้ ปู รา่ งใหญ่โตแล้วกา้ วไป ก้าวได้เพยี ง ๒ ก้าวครึ่ง
ก็ส้ินแผ่นดิน ไม่มีที่จะวางเท้าจึงวางลงบนหัวท้าวกรุงพลีจมดิ่งลงสู่บาดาล ก่อนถึง
บาดาลเจา้ กรงุ พลที ลู วา่ ตอ่ ไปนจ้ี ะตอ้ งไปอยนู่ อกโลกแลว้ ขอฝากลกู และบรวิ ารใหท้ ำ�
หนา้ ทรี่ กั ษาภมู สิ ถานตา่ ง ๆ ตอ่ ไป และขอวา่ เมอ่ื ชาวโลกทำ� การมงคลสง่ิ ใดใหต้ ง้ั บตั รพลี
บวงสรวงพระภูมิท้ังหลายด้วย นารายณ์แปลงรับค�ำและสั่งให้ชาวโลกถือปฏิบัติ
การไหว้เจ้าท่ีจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุน้ี อีกกระแสหน่ึงเป็นอิทธิพลของศาสนาพุทธ
ผปู้ ราบท้าวกรุงพลคี ือพระพทุ ธเจา้ โดยใช้อุบายขอที่ ๓ ยา่ ง เช่นเดียวกนั
การไหว้พระภูมิเจ้าที่กระท�ำกันในวันเสาร์หรือวันอังคาร นอกจากในโอกาส
มงคลแล้ว บางบ้านยังจัดท�ำทุกปี ๆ ละคร้ัง เครื่องประกอบพิธีมีบัตรพลีหรือ
กระจงั บายศรี ๑๔ ใบ ท�ำดว้ ยใบเตยหรือใบมะพรา้ ว เป็น ๓ ชุด ลักษณะตา่ ง ๆ กนั
เช่น บัตรพลีบวงสรวงบริถิว ท�ำเป็น ๓ มุม บัตรพลีบวงสรวงท้าวนาคาท�ำ ๔ มุม
บัตรพลีบวงสรวงท้าวมหาลาภมหาชัยท�ำเป็นบัตรแฝด บัตรพลีบวงสรวงนางธรณี
องคก์ ารบรหิ ารส่วนต�ำบลท่าขา้ ม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 177
ท�ำเป็นรูปกลม บตั รพลีบวงสรวงทา้ วกรุงพลีทำ� เป็น ๔ เหลีย่ ม บตั รพลีเหล่านีส้ �ำหรับ
ใสเ่ ครือ่ งบวงสรวงซงึ่ มี ยำ� เน้ือ ปลามหี ัวมหี าง ขนมต้มแดง ขนมตม้ ขาว ข้าวเหนยี ว
ข้าวเจา้ ขนมถวั่ ขนมงา กล้วย ออ้ ย แกงเผด็ แกงเลยี ง มะพร้าวออ่ น ธูป ๑๖ ดอก
เทียน ๒๑ เลม่ หมาก ๙ ค�ำ ดอกไม้ ๙ ดอก ถ้าท�ำพิธีกลางวนั ใชด้ อกไมสีแดง ถ้าท�ำ
กลางคนื ใช้ดอกไมส้ ขี าว เงนิ ใสพ่ านครตู ามทห่ี มอผู้ประกอบพธิ กี �ำหนด (๓ บาทบา้ ง
๑๒ บาทบ้าง) แป้งหอม นำ�้ มนั หอม ธงท�ำด้วยกระดาษหรอื ใบมะพรา้ ว ผ้า เครื่องเงิน
เครอ่ื งทอง
ในการจดั เครอ่ื งประกอบพธิ ี จะปผู า้ ขาวเพอ่ื รองบตั รพลตี รงกลางวางบตั ร ๓ ชนั้
สำ� หรบั ทา้ วกรงุ พลี บรถิ วิ ทา้ วนาคาและนางธรณี โดยรอบทง้ั ๘ ทศิ วางบตั ร ๔ เหลยี่ ม
ส�ำหรับบริวาร ส่วนเคร่ืองบูชาอ่ืน ๆ วางรอบนอก ส�ำหรับธงจะปักตรงกลาง
ตรงบัตรทา้ วกรงุ พลี ๓ อัน นอกนั้นปักรายรอบลงมาเปน็ ชั้น
ในการทำ� พธิ ี หมอตอ้ งเลอื กทน่ี ง่ั ใหถ้ กู ทศิ โดยตอ้ งนงั่ ปลายเทา้ ของพระภมู เิ สมอ
ถา้ นงั่ ทางศรี ษะพระภมู จิ ะไมร่ บั เครอ่ื งสงั เวย เพราะถอื วา่ ขาดความนบั ถอื เขา้ ทำ� นอง
ไมร่ ทู้ ตี่ ำ�่ ท่ีสูง ในแต่ละวนั พระภูมจิ ะหนั ศรี ษะไปยังทิศท่ีตา่ งกนั ดังน้ี วนั อาทิตย์หนั ไป
บูรพา วนั จนั ทรห์ นั ไปอาคเนย์ วันอังคารหนั ไปทักษิณ วนั พุธหันไปหรดี วันพฤหัสบดี
หันไปประจิม วนั ศกุ รห์ นั ไปพายพั วันเสารห์ ันไปอีสาน
ลำ� ดบั พธิ จี ะเรมิ่ จากการบชู าพระรตั นตรยั ชมุ นมุ เทวดาและไหวส้ ดั ดี ทำ� นำ้� มนต์
ธรณีสารประพรมกันอุบาทว์ เชิญพระภูมิรับเคร่ืองสังเวย ขอพรให้แก่เจ้าบ้านและ
หมอผู้ท�ำพธิ ี สง่ พระภมู แิ ละเทวดา
ในระยะท�ำพิธีห้ามรดน้�ำหรือสาดน้�ำลงบนพื้นเพราะจะถูกหัวนางธรณีเพราะ
นางธรณีอยู่ใต้ธรณี เม่ือหมอล�ำเลิกร้องเชิญก็จะมาสู่บริเวณพิธีถ้ารดน้�ำถูกนาง
นางจะจมกลับลงไปในธรณีอกี และจะให้โทษแก่เจา้ บา้ น เมื่อเสร็จพิธแี ลว้ หมอจะมดั
บัตรพลีทิศหน่ึงมัดหนึ่งแล้วให้เจ้าของบ้านน�ำไปวางนอกบ้านยังทิศนั้น ๆ และหาก
การจัดพิธคี รง้ั นนั้ มีพระสงฆส์ วดพระพุทธมนต์ด้วยก็อาราธนาให้สวดในลำ� ดับต่อไป
ปัจจุบันการไหว้เจ้าที่ยังคงท�ำกันบ้างประปราย ผู้ท่ีท�ำมักเกี่ยวด้วยเหตุ
แห่งความเจ็บป่วย ซ่ึงหมอไสยศาสตร์ช้ีว่าพระภูมิให้โทษ ถ้าท�ำภูมิบวงสรวงเสีย
ตามธรรมเนยี มแลว้ จะหาย จงึ ไดจ้ ดั พธิ ขี น้ึ (อดุ ม หนทู อง. ๒๕๔๒ : ๘๗๙๖ - ๘๗๙๘)
องคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ� บลท่าขา้ ม
178 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
สาวย่านนบั โยดผ้สู รา้ งประโยชนแ์ ก่ชมุ ชนทา่ ขา้ ม
สายตระกูลทีม่ ีบทบาทในการพฒั นาชมุ ชนท่าขา้ มร่วมกับชาวบา้ น
ตระกลู อไุ รรตั น์ เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ ของบา้ นเขากลอย เปน็ ลกู หลานของปสู่ แี กว้
และย่านยุ้ อุไรรตั น์ มีบุตร ๗ คน คือนายจนั ทร์แก้ว นายจันทรท์ อง (พ่อนางเสง่ยี ม
ชาตดิ ำ� ) จ.ส.ต.เอยี ด (ปขู่ อง ดร.อาทติ ย์ อไุ รรตั น)์ ครเู พยี ร ครใู หญค่ นแรกของโรงเรยี น
วดั เขากลอย (พอ่ ของนายคำ� นงึ อไุ รรตั น์ อดตี ผพู้ พิ ากษาศาลฎกี า) นายพนั ธ์ (พอ่ ของ
ผใู้ หญบ่ า้ นเยย่ี ม อไุ รรตั น)์ นางสกุ แกว้ บญุ โสภา (ยายของอาจารยป์ ระดบั จนิ ดาวงศ)์
นางนอง เพชรขาว (แมน่ ายประเทอื ง เพชรขาว) (นางเสงย่ี ม ชาตดิ ำ� /นายเยย่ี ม อไุ รรตั น/์
นายประเทอื ง เพชรขาว ผบู้ อกขอ้ มูล)
กำ� นันสอน อไุ รรตั น ์ นางหนใู ห้ อุไรรตั น์ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน ์ ครูเพยี ร อไุ รรัตน์
นายเพียร อไุ รรตั น์ ครูใหญ่คนแรกของโรงเรียนวัดเขากลอย นายไสว อไุ รรตั น์
เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนวัดท่าข้ามหลังใหม่ท่ีเปลี่ยนช่ือจาก “โรงเรียนประชาบาล
ต�ำบลท่าข้าม ๒” (วัดท่าข้าม) มาเป็น “โรงเรียนวัดท่าข้าม” ท่ีเปิดป้ายอาคารเรียน
เมอ่ื วนั ท่ี ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ และสรา้ งอาคารเรยี นขนาด ๓ หอ้ งเรยี น ๑ หอ้ งสมดุ
ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ นางหนใู ห้ อไุ รรตั น์ และนายจนั ทรท์ อง อไุ รรตั น์ บรจิ าคทดี่ นิ รวม ๕ ไร่
๓ งาน สรา้ งอาคารเรียนโรงเรยี นวดั หินเกลย้ี งเมือ่ พ.ศ. ๒๕๑๓ นายค�ำนึง อุไรรตั น์
สร้างอาคารและถาวรวัตถุ ถวายวดั เขากลอยหลงั พ.ศ. ๒๔๔๙ กำ� นันสอน อุไรรัตน์
ก�ำนันแสง อไุ รรัตน์ สายตระกลู ของ ดร.อาทติ ย์ อไุ รรัตน์ อดีตหวั หน้าพรรคการเมอื ง
ปัจจบุ นั เปน็ เจา้ ของโรงพยาบาลพญาไท และมหาวิทยาลยั รังสิต
องค์การบริหารส่วนต�ำบลทา่ ข้าม
รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย 179
ตระกลู ผอ่ งแผว้ นายเลอื่ น ผอ่ งแผว้ ครใู หญค่ นแรกของโรงเรยี นวดั หนิ เกลยี้ ง
ก�ำนันทองเสน ผ่องแผ้ว ก�ำนันต�ำบลท่าข้าม ผู้ร่วมสร้างอาคารเรียนวัดแม่เตย
พ.ศ. ๒๕๑๐
กำ� นันทองเสน ผ่องแผ้ว ครเู ลือ่ น ผ่องแผว้
ตระกูลจินดาวงศ์ เป็นนามสกุลท่ีเปลี่ยนมาจาก จินาวงศ์ เท่าท่ีจ�ำได้
ปู่แดง จินาวงศ์ บ้านต้นโดแต่งงานกับย่าก้ิม บ้านท่าข้าม มีลูกคือนายถัด จินาวงศ์
อดตี กำ� นนั ตำ� บลทา่ ขา้ ม ตอ่ มานายถดั ไดเ้ ปลย่ี นนามสกลุ จากจนิ าวงศม์ าเปน็ จนิ ดาวงศ์
จนถึงปัจจุบัน (อาจารยป์ ระดบั จอนดาวงศ์ ผู้ให้ขอ้ มลู )
ตระกลู เจรญิ มาก ดง้ั เดมิ มาจากบา้ นทงุ่ ใหญ่ ตำ� บลทงุ่ ใหญ่ อ�ำเภอหาดใหญ่
ลกู หลานปอู่ นั้ เจรญิ มาก ยา่ หนแู ละพอ่ เฒา่ ทองนวล สงั ขท์ อง แมเ่ ฒา่ หนจู นั ทร์ จนั ทชโู ต
ได้มาแต่งงานกับตระกูลจันทชูโต แล้วมาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณตลาดนาหลาตั้งแต่
ปี ๒๕๙๐ (นายคล้อย เจริญมาก ผใู้ หข้ อ้ มลู )
ตระกูลผลชนะ เป็นตระกูลดั้งเดิมจากบ้านท่าข้าม หมู่ท่ี ๓ (ซอยสันติสุข)
เป็นลูกหลานปู่หนูนุ้ย ผลชนะ ย่านวลแก้ว เพชรขาว และพ่อเฒ่ารักษ์ จันทชูโต
(อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ ๓) แม่เฒ่านวลจันทร์ โดยพ่อแดง ผลชนะ ได้มาแต่งงาน
กับแม่อ่อน จันทชูโต และมีลูก ๆ ต้ังบ้านเรือนอยู่ในบ้านเขากลอยตั้งแต่ปี ๒๔๖๘
(นายผัน ผลชนะ ผู้ให้ข้อมูล)
ตระกูลศรีปุศยานนท์ มาจากนามสกุลเดิม “แซ่ห่าน” ต้นตระกูลเป็นคน
บา้ นทบั คอ้ อำ� เภอทบั คอ้ จงั หวดั พจิ ติ ร ปกู่ บั ยา่ เปน็ คนจนี อยเู่ มอื งจนี พอ่ เอก็ พง แซห่ า่ น
ไดเ้ ดนิ ทางมาจากเมอื งจนี มาแตง่ งานกบั แมจ่ นั แดนกอง บา้ นเขาทราย อำ� เภอทบั คอ้
ลูก ๆ ได้มาท�ำงานในจังหวัดสงขลา มาแต่งงานกับตระกูลผ่องผุด เมื่อ ปี ๒๕๓๒
ตอ่ มาไดเ้ ปลยี่ นนามสกลุ เปน็ “ศรปี ศุ ยานนท”์ (นายพฆิ ะนะ ศรปี ศุ ยานนท์ ผใู้ หข้ อ้ มลู )
องคก์ ารบริหารส่วนตำ� บลท่าขา้ ม
180 รากเหง้าและเบ้าหลอม ท่าข้าม : ชุมชนร่วมสมัยอยุธยาตอนปลาย
ตระกลู วงศเ์ ทพ เปน็ ตระกลู ดงั้ เดมิ มาจากบา้ นคเู ตา่ คลองแห อำ� เภอหาดใหญ่
ลูกหลานปู่เหมีย ย่าอิน ชัยสวัสด์ิ บ้านคูเต่าและพ่อเฒ่าชุม แม่เฒ่าจู้ ผ่องสุวรรณ
บ้านแหลมโพธ์ิ ได้มาแต่งงานกับตระกูลผ่องผุด แล้วตั้งบ้านเรือนอยู่ท่ีบ้านเขากลอย
เมือ่ ปี ๒๕๔๒ (นายสมภพ วงศเ์ ทพ ผ้ใู ห้ข้อมูล)
ตระกูลจนั ทวรรณ ตระกลู เดมิ มาจากบา้ นปากช่อง ตำ� บลควนมีด ลูกหลาน
ปู่เส้งและพ่อเฒ่าคล้ิง แม่เฒ่าล่าย สหวิริยะ บ้านคลองหวะ ต�ำบลคอหงส์
อ�ำเภอหาดใหญ่ มีลูกหลานไปสร้างหลักฐานท่ีบ้านทุ่งจัง ต่อมาได้มาแต่งงานกับ
ตระกูลห่อทองแล้วต้ังบ้านเรือนที่บ้านเขากลอยเมื่อปี ๒๕๒๕ (นายสุภา/ภาพ
จันทวรรณ ผ้ใู ห้ขอ้ มลู )
ตระกูลหิ้นนุกูล ตระกูลเดิมอยู่บ้านพิจิตร ต�ำบลพิจิตร อ�ำเภอนาหม่อม
ลูกหลานทวดลั่น ปคู่ ล้าย ย่าแคลว้ และพ่อเฒา่ จนั แม่เฒา่ หนไู ก คงไชย วัดเนินพจิ ิตร
มาแต่งงานกับตระกูลรัตนบูรณ์และสร้างบ้านเรือนในบ้านเขากลอยเมื่อปี ๒๕๓๘
(นายฐานันท์ หิน้ นกุ ูล ผใู้ หข้ ้อมลู )
ตระกูลนอ้ ยผา ตระกลู เดิมปู่และย่าอยู่ทบี่ ้านทา่ หิน หมู่ที่ ๔ อ�ำเภอสทิงพระ
จังหวัดสงขลา ลูกหลานพ่อเฒ่าบุญชู แม่เฒ่า เลื่อน มนตรีกุล ณ อยุธยา ซ่ึงเป็น
ตระกลู เกา่ แกใ่ นวงั จากกรงุ เทพมหานคร มาตง้ั บา้ นเรอื นอยใู่ นอำ� เภอหาดใหญ่ บรเิ วณ
ค่ายเสนาณรงค์ ปัจจุบันที่ดินถูกเวนคืนไปสร้างค่ายทหารเสนาณรงค์ ครอบครัวจึง
ยา้ ยไปอยทู่ บี่ า้ นทงุ่ จงั ตำ� บลพะตง มลี กู หลานมาแตง่ งานกบั ตระกลู พทุ ธวาศรี แลว้ มา
สร้างบา้ นอย่ทู ีบ่ า้ นเขากลอย เมอื่ ปี ๒๕๒๕ (นายปติ ิ น้อยผา ผูใ้ หข้ อ้ มูล)
ตระกลู ชมุ ศกั ด์ิ เปน็ ตระกลู ดง้ั เดมิ ของบา้ นบนเขา ตำ� บลนำ�้ นอ้ ย อำ� เภอหาดใหญ่
ลูกหลานปู่ไข ชุมศักดิ์ ย่าแป้น ศรีสุวรรณ และพ่อเฒ่าห้อง แม่เฒ่าเลี่ยน เอียดเส้ง
มาแตง่ งานกับตระกูลสุขคะโต แลว้ สรา้ งบา้ นเรอื นอยใู่ นบ้านเขากลอย เมื่อปี ๒๕๓๓
(นายทง ชมุ ศกั ดิ์ ผูใ้ ห้ขอ้ มูล)
ตระกูลสุริยงค์ประดิษฐ์ เป็นตระกูลเดิมจากบ้านหมู่ที่ ๓ ต�ำบลบางเขียด
อำ� เภอสงิ หนคร ลกู หลานปเู่ กลยี้ ง กระสายสนิ ธ์ และพอ่ เฒา่ เชย ศรขี วญั บา้ นเกาะนางคำ�
กบั แมเ่ ฒา่ แหมะ มากเกอื้ หนนุ ตอ่ มาพอ่ เฒา่ เชย ศรขี วญั ไดเ้ ปลยี่ นนามสกลุ จากศรขี วญั
มาเป็นนามสกุลสุริยงค์ประดิษฐ์ มาแต่งงานกับตระกูลมะลิวัลย์ เม่ือปี ๒๕๔๙
(นายภิญโญ สรุ ิยงค์ประดิษฐ์ ผ้ใู ห้ข้อมูล)
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำบลท่าขา้ ม