The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือพระประวัติ 29 พระพุทธเจ้า และสรุปหลักธรรมที่สำคัญในพระพุทธศาสนา

จัดพิมพ์โดย มูลนิธิธรรมทานกุศลจิตและพิพิธภัณฑ์จรรโลงพุทธศาสนา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by preecha.s, 2021-03-24 07:22:09

หนังสือพระประวัติ 29 พระพุทธเจ้า และสรุปหลักธรรมที่สำคัญในพระพุทธศาสนา

หนังสือพระประวัติ 29 พระพุทธเจ้า และสรุปหลักธรรมที่สำคัญในพระพุทธศาสนา

จัดพิมพ์โดย มูลนิธิธรรมทานกุศลจิตและพิพิธภัณฑ์จรรโลงพุทธศาสนา

Keywords: พระพุทธเจ้า,พุทธประวัติ,พิพิธภัณฑ์จรรโลงพุทธศาสนา

๗๔

พระอานนท์์ไปยืืนเหนี่�ย่ วสลัักเพชรพระวิหิ าร

ร้้องไห้้รำ�ำ พันั ถึึงพระพุทุ ธองค์์

พระอานนท์์เป็็นพระภิิกษุุอุุปััฏฐานของพระพุุทธเจ้้า ก่่อนท่่านรัับตำ�ำ แหน่่งนี้้� เคยมีีพระภิิกษุุหลายรููปทำ�ำ หน้้าที่่�นี้้�มา
ก่่อน แต่่ท่่านเหล่่านั้้�นรัับหน้้าที่่�ดัังกล่่าวไม่่นาน ก็็กราบทููลลาพระพุุทธเจ้้าออกไป ผู้้�รับหน้้าที่่�อุุปััฏฐานพระพุุทธเจ้้าเป็็นเวลา
นานที่่�สุุดจนพระพุุทธเจ้้านิิพพาน จึึงได้้แก่่พระอานนท์์ โดยความสััมพัันธ์์ทางพระญาติิ พระอานนท์์มีีศัักดิ์�เป็็นพระอนุุชาหรืือ
น้้องชายของพระพุุทธเจ้้า เพราะบิิดาของท่่านเป็็นน้้องชายของบิิดาของพระพุุทธเจ้้า นี่่�ว่่าอย่่างสามััญ ตลอดเวลาที่่�รัับหน้้าที่่�
อุุปััฏฐากพระพุุทธเจ้้า พระอานนท์์ตามเสด็็จพระพุุทธเจ้้าไปทุุกหนทุุกแห่่ง คอยปรนนิิบััติิอุุปััฏฐากพระพุุทธเจ้้ามิิได้้บกพร่่อง
ด้้วยเหตุุดัังกล่่าวท่่านจึึงไม่่มีีเวลาบำ�ำ เพ็็ญกิิจส่่วนตััว พรรคพวกรุ่�นเดีียวกัันที่่�ออกบวชพร้้อมกััน (ยกเว้้น พระเทวทััต) ต่่างได้้
สำำ�เร็จ็ อรหัันต์์กัันทั้ง�้ สิ้�น ส่่วนพระอานนท์ไ์ ด้้สำำ�เร็็จมรรคผลเพีียงชั้้น� โสดาเท่่านั้�้น
เมื่่�อพระพุุทธเจ้้าจวนจะนิิพพาน ท่่านจึึงมีีภาระเพิ่่�มมากขึ้�นเหนื่่�อยทั้้�งกายและใจ ใจท่่านว้้าวุ่�นไม่่เป็็นส่ำ�ำ� พอได้้ยิิน
พระพุทุ ธเจ้า้ บอกพระสงฆ์์เกี่ย� วกัับเรื่�่องพระองค์์จะนิพิ พาน พระอานนท์ไ์ ม่่อาจจะอดกลั้้น� ความเสีียใจและอาลััยพระพุทุ ธเจ้า้ ไว้้
ได้้ ท่่านจึึงหลบหลีกี ออกจากที่่เ� ฝ้้า เข้้าไปยัังวิิหารแห่่งหนึ่่�ง ไปยืืนอยู่่�ข้้างบานประตููวิหิ าร มืือเหนี่่ย� วสลัักเพชรหรืือลิ่ม� สลัักกลอน
ประตูแู ล้้วร้อ้ งไห้้ โฮๆ พลางรำำ�พัันว่า่ ตััวเรา ยัังเป็็นอริิยบุคุ คลชั้น�้ ต่ำ�ำ� ยัังไม่่สำำ�เร็็จอรหัันต์์ พระพุทุ ธเจ้า้ ผู้้ท� รงเป็น็ ทั้ง�้ พระศาสดา
และพระเชษฐาของเราก็็จัักมานิิพพานจากเราไปก่อ่ นเสีียแล้้ว
พระพุุทธเจ้า้ ทรงเห็็นพระอานนท์์หายไปจากที่่�เฝ้า้ จึงึ ตรััสถามพระสงฆ์์ถึงึ พระอานนท์์ ทรงทราบแล้้วรัับสั่ง� ให้ท้ ่า่ นเข้้า
เฝ้้า แล้้วตรััสพระธรรมเทศนาเตืือนสติิพระอานนท์์ว่่า อย่่าได้้เศร้้าโศกเสีียใจ ตอนหนึ่่�งพระพุุทธเจ้้าตรััสบอกอานนท์์ว่่า ท่่าน
เป็็นคนมีีบุุญ อย่่าได้้ประมาท เมื่�่อพระองค์์นิิพพานแล้้วไม่่ช้้า ท่่านจัักได้้สำำ�เร็็จอรหัันต์์ (พระอานนท์์ได้้สำำ�เร็็จอรหัันต์์ภายหลััง
พระพุุทธเจ้้านิพิ พานได้ส้ ามเดืือน)

อย่า่ เลย อานนท์์ เธออย่่าเศร้้าโศกร่ำ��ไรไปเลย เราได้้บอกไว้้ก่อ่ นแล้้วไม่ใ่ ช่ห่ รือื ว่่า ความเป็น็ ต่่างๆ ความพลััดพราก ความ
เป็น็ อย่่างอื่�นจากของรัักของชอบใจทั้้ง� สิ้น� ต้้องมีี เพราะฉะนั้้�น จะพึึงได้้ในของรัักของชอบใจนี้้� แต่่ที่่�ไหน สิ่ง� ใดเกิดิ แล้้ว มีี
แล้้ว ปัจั จัยั ปรุุงแต่่งแล้้ว มีคี วามทำำ�ลายเป็็นธรรมดา การปรารถนาว่่า ขอสิ่�งนั้้�นอย่่าทำ�ำ ลายไปเลย ดัังนี้้� มิใิ ช่ฐ่ านะที่่จ� ะมีี
ได้้ ดูกู รอานนท์์ เธอได้้อุปุ ััฏฐากตถาคตด้้วยกายกรรม วจีีกรรม มโนกรรม อัันประกอบด้้วยเมตตา ซึ่�่งเป็น็ ประโยชน์เ์ กื้อ� กูลู
เป็น็ ความสุุข ไม่ม่ ีีสอง หาประมาณมิไิ ด้้มาช้้านาน เธอได้้กระทำำ�บุญุ ไว้้แล้้ว อานนท์์ จงประกอบความเพียี รเถิดิ เธอจักั
เป็น็ ผู้้�ไม่่มีอี าสวะโดยฉับั พลันั ฯ..

(ทีี. มหา. ๑๐/๑๓๕/๑๓๙)

249



๗๕

ทรงแสดงธรรมโปรดสุภุ ััททะปริพิ าชกให้้สำ�ำ เร็จ็ มรรคผล

นับั เป็น็ ปััจฉิิมเวไนย

พระอานนท์์สร่า่ งจากความเสีียใจถึึงร้อ้ งไห้แ้ ล้้ว ท่า่ นก็็เข้า้ ไปแจ้้งข่า่ วในเมืืองตามพระดำำ�รััสรัับสั่�งของพระพุุทธเจ้้า เพื่�่อ
รายงานให้เ้ จ้้ามััลลกษััตริยิ ์์แห่่งเมืืองกุสุ ิินาราทราบว่่า พระพุทุ ธเจ้า้ จะนิพิ พานในตอนสิ้�นสุดุ แห่่งราตรีีวัันนี้้�แล้ว้ แจ้้งว่่าใครจะไป
เฝ้า้ พระพุุทธเจ้้าก็ใ็ ห้้รีีบไปเฝ้้าเสีียแต่ใ่ นขณะนี้้� จะได้ไ้ ม่่เสีียใจเมื่อ�่ ภายหลัังว่่าไม่่ได้้เฝ้า้
พวกเจ้้ามััลลกษััตริิย์์ที่่�กำำ�ลัังประชุุมกัันอยู่�ในเมืือง ด้้วยเรื่�่องพระพุุทธเจ้้านิิพพาน ต่่างก็็ถืือเครื่่�องสัักการะมาเฝ้้า
พระพุทุ ธเจ้า้ กัันเนืืองแน่น่ ที่่ส� ุุด แต่่ละคนน้ำำ��ตานองหน้้า ร่ำ�ำ� ไห้้รำำ�พัันต่่างๆ นานา เมื่อ�่ ทราบว่า่ พระพุทุ ธเจ้้าจะนิิพพาน ในจำ�ำ นวน
คนที่่�มาเฝ้า้ พระพุุทธเจ้า้ ครั้้ง� นี้้� มีีปริพิ าชกคนหนึ่่�งนามว่่า ‘สุุภััททะปริิพาชก’ คืือ นัักบวชนอกศาสนาพุุทธพวกหนึ่่ง� สุภุ ััททะปริิ
พาชกเข้้าหาพระอานนท์์ ภายหลัังเจ้้ามััลลกษััตริยิ ์์แห่ง่ เมืืองกุสุ ิินาราได้เ้ ข้้าเฝ้้าแล้ว้ บอกว่า่ ใคร่จ่ ะขออนุุญาตเข้า้ เฝ้้าพระพุทุ ธเจ้า้
เพื่�อ่ ทูลู ถามปัญั หาบางอย่่างซึ่่ง� ข้อ้ งใจมานาน พระอานนท์ป์ ฏิิเสธปริิพาชกผู้้�นี้ว� ่า่ อย่่าเลย อย่่าได้้รบกวนพระพุทุ ธเจ้า้ เลย เพราะ
ตอนนี้้�กำ�ำ ลัังจะนิพิ พาน
ขณะนั้้น� พระพุุทธเจ้้าซึ่ง่� ทรงได้ย้ ิินการโต้ต้ อบกัันระหว่า่ งพระอานนท์ก์ ัับสุุภััททะปริิพาชก จึงึ ตรััสบอกพระอานนท์ว์ ่า่
พระองค์์ทรงอนุญุ าตให้้สุุภััททะปริพิ าชกเข้้าเฝ้้าได้้ เมื่�อ่ สุุภััททะปริิพาชกได้้โอกาสเข้้าเฝ้า้ พระพุุทธเจ้า้ จึงึ ทููลถามปััญหาที่่�ข้อ้ งใจ
มานาน ปััญหาข้้อหนึ่่�งว่่าสมณะผู้�้ได้้บรรลุุมรรคผลในศาสนาอื่�่นนอกจากพระพุุทธศาสนามีีหรืือไม่่ พระพุุทธเจ้้าตรััสว่่า ไม่่มีี
แล้้วทรงแสดงธรรมให้้ปริพิ าชกฟัังโดยละเอีียด
สุุภััททะปริิพาชกฟัังแล้้วเสื่่�อมใส ทููลขอบวชเป็็นพระสาวกของพระพุุทธเจ้้า พระพุุทธเจ้้าตรััสว่่า นัักบวชในศาสนา
อื่่�นจะมาขอบวชเป็็นพระภิิกษุุในศาสนาของพระองค์์นั้�้น จะต้้องอยู่�ปริิวาสครบ ๔ เดืือนก่่อนจึึงจะบวชได้้ สุุภััททะปริิพาชก
กราบทููลพระพุุทธเจ้้าว่่าอย่า่ ว่า่ แต่่ ๔ เดืือนเลย จะให้้อยู่�ถึงึ ๔ ปี ี ก็ย็ อม พระพุุทธเจ้้าจึึงทรงอนุุญาตเป็็นกรณีพี ิเิ ศษ ให้้พระสงฆ์์
จััดการบวชให้้สุุภััททะปริพิ าชกในคืืนวัันนั้�้น สุภุ ััททะปริพิ าชกจึงึ นัับเป็็นสาวกองค์์สุดุ ท้้ายของพระพุุทธเจ้า้

ดูกู รสุุภัทั ทะ ในธรรมวินิ ััยใด ไม่่มีีอริยิ มรรคประกอบด้้วยองค์์ ๘ ในธรรมวินิ ัยั นั้้�น ไม่ม่ ีีสมณะที่่� ๑ สมณะที่่� ๒ สมณะที่่� ๓
หรือื สมณะที่่� ๔ ในธรรมวินิ ััยใด มีอี ริยิ มรรคประกอบด้้วยองค์์ ๘ ในธรรมวิินัยั นั้้น� มีีสมณะที่่� ๑ ที่่� ๒ ที่่� ๓ หรืือที่่� ๔ ดููกร
สุุภััททะ ในธรรมวิินัยั นี้้� มีีอริิยมรรคประกอบด้้วยองค์์ ๘ ในธรรมวินิ ััยนี้้เ� ท่า่ นั้้น� มีสี มณะที่่� ๑ ที่่� ๒ ที่่� ๓ หรืือที่่� ๔ ลััทธิิอื่�นๆ
ว่่างจากสมณะผู้้ร�ู้ท� ั่่�วถึึง ก็็ภิกิ ษุเุ หล่า่ นี้้พ� ึึงอยู่�โดยชอบ โลกจะไม่พ่ ึึงว่า่ งจากพระอรหันั ต์ท์ ั้้�งหลาย ฯ

(ที.ี มหา. ๑๐/๑๓๘/๑๔๔)

251



๗๖

ทรงยกพระธรรมวินิ ััยไตรปิิฎกเป็น็ ศาสดา

ประทานปััจฉิิมโอวาทแล้้วปริินิิพพาน

ก่่อนเสด็็จนิิพพานเล็็กน้้อย คืือภายหลัังทรงโปรดสุุภััททะปริิพาชกแล้้ว พระพุุทธเจ้้าประทานโอวาทพระสงฆ์์ โอวาท
นั้�้นเป็็นพระพุุทธดำ�ำ รััสสั่�งเป็็นครั้�้งสุุดท้้าย มีีหลายเรื่�่องด้้วยกััน เช่่น เรื่่�องหนึ่่�งเกี่�ยวกัับพระสงฆ์์ยัังใช้้ถ้้อยคำำ�เรีียกขานกัันลัักลั่�น
อยู่่� คืือ คำำ�ว่า่ ‘อาวุโุ ส’ และ ‘ภัันเต’ อาวุุโสตรงกัับภาษาไทยว่า่ ‘คุณุ ’ และภัันเตว่า่ ‘ท่า่ น’ พระพุุทธเจ้้าตรััสสั่�งว่า่ พระที่่ม� ีีอายุุ
พรรษามาก ให้้เรีียกพระบวชภายหลัังตน หรืือที่่อ� ่อ่ นอายุพุ รรษากว่า่ ว่า่ ‘อาวุุโส’ หรืือ ‘คุณุ ’ ส่ว่ นพระภิิกษุุที่่�อ่อ่ นอายุุพรรษา
พึงึ เรียี กพระที่่แ� ก่อ่ ายุพุ รรษากว่่าตนว่่า ‘ภัันเต’ หรืือ ‘ท่า่ น’
ครั้�้นแล้้วทรงเปิิดโอกาสให้้พระสงฆ์์ทั้�้งปวงทููลถาม ว่่าท่่านผู้้�ใดสงสััยอะไรในเรื่่�องที่่�พระองค์์ทรงสั่�งสอนไว้้แล้้วก็็ให้้ถาม
เสีียจะได้้ไม่่เสีียใจเมื่่�อภายหลัังว่่าไม่่มีีโอกาสถาม ปรากฏตามท้้องเรื่่�องใน มหาปริินิิพพานสููตรว่่า ไม่่มีีพระสงฆ์์องค์์ใดทููลถาม
พระพุุทธเจ้้าในข้อ้ สงสััยที่่�ตนมีีอยู่�เลย
เมื่�อ่ ก่่อนพระพุุทธเจ้้าจะเสด็็จนิิพพานนั้้�น พระพุทุ ธเจ้้าไม่ไ่ ด้ท้ รงตั้้�งสาวกองค์์ใดให้้รัับตำ�ำ แหน่ง่ เป็น็ พระศาสดาปกครอง
พระสงฆ์์สืืบต่อ่ จากพระองค์์เหมืือนพระศาสดาในศาสนาอื่่�น เรื่อ�่ งนี้้�ก็็ไม่ม่ ีีพระสงฆ์อ์ งค์ใ์ ดทูลู ถามพระพุุทธเจ้้า แต่พ่ ระพุุทธเจ้า้ ก็็
ตรััสสั่�งพระสงฆ์์ไว้ช้ ััดเจนก่อ่ นจะนิพิ พานว่่าพระภิิกษุรุ ูปู ใด
ตรััสบอกพระอานนท์ว์ ่่า “ดููก่่อนอานนท์์ ธรรมก็ด็ ีี วินิ ััยก็็ดีี ที่่�เราได้้แสดงไว้้ และบััญญััติิไว้ด้ ้ว้ ยดี ี นั่่น� แหละจัักเป็็นพระ
ศาสดาของพวกท่า่ นสืืบแทนเราตถาคต เมื่่อ� เราล่ว่ งไปแล้ว้ ” ครั้น้� แล้้ว พระพุุทธเจ้้าตรััสเป็็นปัจั ฉิิมโอวาทครั้�้งสุดุ ท้้ายว่่า “ภิิกษุุ
ทั้้�งหลาย! บััดนี้้�เราขอเตืือนพวกท่่านให้้รู้�ว่า สิ่่�งทั้้�งหลายที่่�เกิิด มาในโลกมีีความเสื่่�อมสลายเป็็นธรรมดา ท่่านทั้้�งหลายจงทำ�ำ
หน้้าที่่�อัันเป็็นประโยชน์แ์ ก่ต่ นและคนอื่น่� ให้ส้ ำ�ำ เร็จ็ บริบิ ููรณ์ด์ ้ว้ ยความไม่ป่ ระมาทเถิดิ ”
หลัังจากนั้้�นไม่่ได้้ตรััสอะไรอีีกเลย จนกระทั่่�งนิพิ พานในเวลาสุดุ ท้า้ ยของคืืนวัันขึ้�น ๑๕ ค่ำ�ำ� เดืือน ๖ หรืือวัันเพ็็ญวิสิ าขะ
ณ ภายใต้้ต้้นสาละทั้�ง้ คู่�ที่�ออกดอกบานสะพรั่ง� เป็น็ พุุทธบููชานั่่�นเอง

ดููกรอานนท์์ บางทีีพวกเธอจะพึึงมีีความคิดิ อย่่างนี้้�ว่า่ ปาพจน์ม์ ีีพระศาสดาล่ว่ งแล้้ว พระศาสดาของพวกเราไม่ม่ ีี ก็ข็ ้้อนี้้�
พวกเธอไม่่พึึงเห็็นอย่่างนั้้�น ธรรมและวิินััยอัันใด เราแสดงแล้้ว บััญญััติิแล้้ว แก่่พวกเธอ ธรรมและวิินััยอัันนั้้�น จัักเป็็น
ศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่่วงไปแห่่งเรา ดููกรอานนท์์ บััดนี้้� พวกภิิกษุุยัังเรีียกกัันและกัันด้้วยวาทะว่่า อาวุุโส ฉัันใด
โดยกาลล่่วงไปแห่ง่ เรา ไม่่ควรเรียี กกัันฉัันนั้้�น ภิิกษุผุ ู้�้แก่ก่ ว่า่ พึึงเรียี กภิกิ ษุุผู้�อ้ ่่อนกว่่า โดยชื่่อ� หรือื โคตร หรือื โดยวาทะว่า่
อาวุุโส แต่่ภิกิ ษุผุ ู้อ�้ ่อ่ นกว่า่ พึึงเรีียกภิิกษุุผู้�้แก่่กว่่า ว่่า ภัันเต หรือื อายััสมา ดูกู รอานนท์์ โดยกาลล่่วงไปแห่ง่ เรา สงฆ์จ์ ำำ�นงอยู่�
ก็็จงถอนสิกิ ขาบทเล็ก็ น้้อยเสีียบ้้างได้้ ...

(ทีี. มหา. ๑๐/๑๔๑/๑๔๖)

ดููกรภิิกษุุทั้้�งหลาย บััดนี้้� เราขอเตืือนพวกเธอว่่า สัังขารทั้้�งหลายมีีความเสื่ �อมไปเป็็นธรรมดา พวกเธอจงยัังความไม่่
ประมาทให้้ถึึงพร้้อมเถิดิ ฯ นี้้�เป็น็ พระปัจั ฉิมิ วาจาของพระตถาคต ฯ

(ที.ี มหา. ๑๐/๑๔๓/๑๔๘)

253



๗๗

พระสงฆ์ป์ ุถุ ุชุ นได้้ฟัังข่า่ วปริินิิพพาน

ซึ่่ง� อาชีวี กบอกแก่พ่ ระมหากัสั สป ก็ร็ ้อ้ งไห้้

ภาพที่่�เห็็นอยู่�นี้�เป็็นตอนภายหลัังพระพุุทธเจ้้านิิพพานแล้้ว คืือตอนพระมหากััสสปกำ�ำ ลัังเดิินทางมาเฝ้้าพระพุุทธเจ้้า
ตอนก่่อนพระพุุทธเจ้้าจะนิิพพานนั้�้น พระสงฆ์์สาวกที่่�จาริิกออกไปประกาศพระศาสนาตามแคว้้นและเมืืองต่่างๆ ในสมััยนั้้�น
เมื่่�อได้้ทราบข่่าวว่่าพระพุทุ ธเจ้้าจะนิิพพานที่่เ� มืืองกุสุ ิินารา ต่่างก็็เดิินทางมุ่�งหน้า้ มาเมืืองนี้้�เป็็นจุดุ เดีียวกััน ที่่�อยู่�ใกล้้ก็็มาทัันเฝ้า้
พระพุุทธเจ้้า ส่ว่ นที่่�อยู่�ไกลไปก็็มาไม่่ทััน
พระมหากััสสปเป็็นพระเถระชั้�้นผู้้�ใหญ่่ ที่่�พระพุุทธเจ้้าทรงเคยยกย่่องให้้เกีียรติิเทีียบเท่่าพระองค์์ ท่่านรีีบเดิินทางมา
พร้้อมด้้วยพระสงฆ์์หลายร้้อยรููปมาถึึงเมืืองปาวา แดดกำำ�ลัังร้้อนจััด จึึงพาพระสงฆ์์แวะพัักชั่�วคราวระหว่่างทางภายใด้้ร่่มไม้้
แห่ง่ หนึ่่�ง ขณะนั้น�้ ท่่านเห็น็ อาชีวี กคืือนัักบวชนอกศาสนาพุุทธคนหนึ่่ง� เดิินทางสวนมาจากเมืืองกุสุ ิินารา มืือถืือดอกมณฑารพ
พระมหากััสสปจึึงถามข่่าวพระพุุทธเจ้้า อาชีีวกตอบว่่าพระสมณโคดมนั้�้นนิิพพานมาได้้เจ็็ดวัันแล้้ว แล้้วชููดอกมณฑารพให้้ดููว่่า
ตนเก็็บได้้มาจากสถานที่่�ที่่�พระพุุทธเจ้้านิิพพาน ดอกมณฑารพตามตำ�ำ นานว่่าเป็็นดอกไม้้สวรรค์์ ออกดอกและบานในเวลาคน
สำำ�คััญของโลกมีีอัันเป็น็ ไป
ทัันใดนั้้�น ก็็บัังเกิิดอาการสองอย่่างขึ้�นในหมู่่�พระสงฆ์์ที่่�เดิินทางมาพร้้อมกัับพระมหากััสสป พระสงฆ์์ฝ่่ายหนึ่่�งที่่�สำำ�เร็็จ
อรหัันต์์แล้้วต่่างดุุษณีีภาพด้้วยธรรมสัังเวชว่่า พระพุุทธเจ้้านิิพพานเสีีย ฝ่่ายพระสงฆ์์ปุุถุุชนต่่างอดกลั้้�นความเศร้้าโศกเสีียใจไว้้
ไม่ไ่ ด้้ บางองค์ร์ ้้องไห้้ โฮ... บางองค์์ยกมืือทั้ง้� สองขึ้น� ร้้องคร่ำ��ำ ครวญ บางองค์์ล้ม้ กลิ้�งลงกัับพื้้�นดิิน มหาปรินิ ิิพพานสูตู ร บัันทึกึ ไว้้
ว่า่ อาการล้ม้ กลิ้�งของภิิกษุนุ ั้�้นเหมืือนคนถูกู ตััดขาทั้้�งสองขาดในทัันทีี แต่ม่ ีีอยูรู ููปหนึ่่�งนามว่่า สุภุ ััททะ (คนละองค์์กัับที่่บ� วชพระ
สาวกองค์์สุดุ ท้้ายของพระพุุทธเจ้า้ ) เป็น็ พระที่่บ� วชเมื่่�อแก่่ เข้้าไปพูดู ปลอบโยนพระสงฆ์ท์ ั้ง�้ ปวงที่่ก� ำ�ำ ลัังร้อ้ งไห้้ว่า่ “คุุณ! คุุณ! จะ
ร้อ้ งไห้เ้ สียี ใจทำำ�ไม พระพุทุ ธเจ้า้ นิิพพานเสีียได้้นั่่น� ดีีนัักหนา ถ้า้ พระองค์ย์ ัังอยู่� พวกเราทำำ�อะไรตามใจไม่ไ่ ด้ ้ ล้ว้ นแต่่ว่่าอาบััติทิ ั้�้ง
นั้น้� ต่่อนี้้�ไปพวกเราจะสบาย พระองค์์นิิพพานเสีียได้น้ ั่่�นดีีแล้้ว”
พระมหากััสสปได้้เห็็นเหตุุการณ์์ดัังกล่่าวก็็อดสัังเวชมิิได้้ว่่า พระพุุทธเจ้้าเพิ่่�งนิิพพานได้้เพีียง ๗ วััน เสี้�ยนหนามพระ
ศาสนาก็็บัังเกิิดขึ้้�นเสีียแล้้ว แล้้วท่่านก็็พาพระสงฆ์์รีีบออกเดิินทางมุ่�งหน้้าไปยัังเมืืองกุุสิินารา เพื่่�อให้้ทัันถวายบัังคมพระศพ
พระพุทุ ธเจ้า้

255



๗๘

พอพระมหากัสั สปถวายบัังคมพระพุุทธศพ

เพลิิงสวรรค์์ก็บ็ ันั ดาลลุุกโชติิช่่วง

เมื่�่อพระพุุทธเจ้้านิิพพานแล้้ว ทางคณะสงฆ์์และทางบ้้านเมืือง คืือ เจ้้ามััลลกษััตริิย์์ผู้้�ครองเมืืองกุุสิินาราได้้ทำำ�พิิธีีสัักการ
บูชู าพระศพพระพุุทธเจ้้าอยู่�เป็น็ เวลาถึึง ๖ วััน ในวัันที่่� ๗ จึงึ เชิญิ พระศพเป็น็ ขบวนไปทางทิิศเหนืือของเมืือง ผ่า่ นใจกลางเมืือง แล้้ว
เชิญิ พระศพไปมกุฏุ พัันธนเจดียี ์ ์ ที่่�อยู่�ทางด้้านทิศิ ตะวัันออกของเมืือง เพื่อ่� ถวายพระเพลิิงวัันที่่�กำ�ำ หนดจะถวายพระเพลิงิ นั้้�น ตรงกัับ
วัันแรม ๘ ค่ำำ�� เดืือน ๖ ซึ่่ง� ทุกุ วัันนี้้�ทางเมืืองไทยเราถืือว่่าเป็น็ วัันสำำ�คััญวัันหนึ่่�ง เรีียกว่า่ ‘วัันอััฐมีบี ููชา’
ผู้้�เชิิญหรืือหามพระศพพระพุุทธเจ้้า เรีียกว่่า ‘มััลลปาโมกข์์’ มีีจำ�ำ นวน ๘ นาย แต่่ละนายรููปร่่างใหญ่่กำำ�ยำำ�ล่ำ��ำ สััน
มีีกำำ�ลัังมาก ‘มััลลปาโมกข์์’ แปลว่่า หััวหน้้านัักมวยปล้ำ�ำ� พระศพพระพุุทธเจ้้าห่่อด้้วยผ้้าใหม่่ ที่่�ปฐมสมโพธิิบอกจำำ�นวนไว้้ว่่ามีีถึึง
๕๐๐ ชั้�้น ถอดเอาใจความว่่ามีีหลายชั้้�นนั่่�นเอง แต่่ละชิ้�นซัับด้้วยสำำ�ลีี แล้้วเจ้้าหน้้าที่่�เชิิญลงประดิิษฐานในหีีบทองที่่�เต็็มไปด้้วย
น้ำ�ำ�หอม แล้้วปิิดฝาครอบไว้้ แล้้วเชิิญขึ้�นจิติ กาธานที่่ท� ำำ�ด้ว้ ยไม้ห้ อมหลายชนิิด
พอได้้เวลาเจ้้าหน้้าที่่�ได้้จุุดไฟขึ้�นทั้�้ง ๔ ด้้าน ตำำ�นานว่่าจุุดเท่่าไรไฟก็็ไม่่ติิด เจ้้าหน้้าที่่�ทางบ้้านเมืืองจึึงเรีียนถามพระ
อนุุรุทุ ธ์์ (พระอนุุรุุทธ์เ์ ลิิศกว่่าภิกิ ษุทุ ั้้ง� หลายผู้้�มีทิิพยจัักษุ ุ มีศี ัักดิ์�เป็น็ พระอนุชุ าของพระพุุทธเจ้า้ เป็็นพระสาวกได้้สำำ�เร็จ็ พระอรหัันต์์)
พระอนุุรุุทธ์์จึึงแจ้้งให้้ทราบว่่า เป็็นเพราะเทพเจ้้าต้้องการให้้รอพระมหากััสสป ซึ่่�งกำ�ำ ลัังเดิินทางมายัังไม่่ถึึงได้้ถวายบัังคมพระศพ
เสียี ก่อ่ น ต่่อมาเมื่�อ่ พระมหากััสสปพร้้อมด้้วยพระสงฆ์์บริิวารเดินิ ทางมาถึงึ ได้ถ้ วายบัังคมพระศพพระพุุทธเจ้า้ แล้ว้ จึึงเกิดิ เพลิิงทิพิ ย์์
ด้้วยเทวาฤทธานุภุ าพ ภายหลัังจากนั้น้� เพลิงิ ได้้ไหม้พ้ ระสรีรี ะของพระพุุทธเจ้า้ จนหมดสิ้้น� เหลืืออยู่�แต่่พระอััฐิิ พระเกศา พระทนต์์
และผ้้าอีีกคู่่�หนึ่่�ง พระพวกมััลลกษััตริิย์์ได้้นำ�ำ น้ำำ�� หอมหลั่่�งลงดัับถ่่านไฟที่่�จิิตกาธาน แล้้วเชิิญพระบรมสารีีริิกธาตุุไปประดิิษฐานไว้้ที่่�
สััณฐาคารศาลา คืือหอประชุุมกลางเมืือง รอบหอประชุุมนั้�น้ จััดทหารถืืออาวุุธพร้อ้ มสรรพคอยพิทิ ัักษ์ร์ ัักษา และทำ�ำ สัักการบูชู าด้้วย
ฟ้้อนรำำ� ดนตรีี ประโคมขัับ และดอกไม้น้ านาประการ และมีนี ัักขััตฤกษ์์เอิกิ เกริิกกึึกก้้องฉลองถึึง ๗ วัันเป็น็ กำำ�หนด

ครั้�งนั้้�น ท่่านพระมหากััสสปเข้้าไปถึึงมกุุฏพัันธนเจดีีย์์ของพวกเจ้้ามััลละในเมืืองกุุสิินารา และถึึงจิิตกาธารของพระผู้�้
มีีพระภาค ครั้�นแล้้วกระทำำ�จีีวรเฉวีียงบ่่าข้้างหนึ่่�ง ประนมอััญชลีี กระทำำ�ประทัักษิิณจิิตกาธาร ๓ รอบ แล้้วเปิิดทาง
พระบาท ถวายบังั คมพระบาททั้้�งสองของพระผู้ม้� ีีพระภาคด้้วยเศีียรเกล้้า แม้้ภิิกษุุ ๕๐๐ รูปู เหล่่านั้้�น ก็ก็ ระทำ�ำ จีีวรเฉวีียง
บ่่าข้้างหนึ่่�ง ประนมอััญชลีี กระทำำ�ประทัักษิิณ ๓ รอบ แล้้วถวายบัังคมพระบาททั้้�งสองของพระผู้้�มีีพระภาคด้้วยเศีียร
เกล้้า เมื่่�อท่่านพระมหากััสสปและ ภิิกษุุ ๕๐๐ รูปู นั้้�นถวายบัังคมแล้้ว จิติ กาธารของพระผู้้�มีีพระภาคก็็โพลงขึ้น้� เอง เมื่่อ�
พระสรีรี ะของพระผู้้ม� ีพี ระภาคถูกู เพลิิงไหม้้อยู่� พระอวััยวะส่่วนใด คืือ พระฉวีี พระจััมมะ พระมัังสะ พระนหารูู หรือื พระ
ลสิกิ า เถ้้า เขม่่า แห่ง่ พระอวััยวะส่่วนนั้้น� มิไิ ด้้ปรากฏเลย เหลือื อยู่�แต่พ่ ระสรีรี ะอย่่างเดีียว เมื่่�อเนยใสและน้ำ��ำ มัันถูกู ไฟไหม้้
อยู่� เถ้้าเขม่่า มิไิ ด้้ปรากฏฉัันใด เมื่่อ� พระสรีีระ ของพระผู้ม้� ีีพระภาคถูกู เพลิิงไหม้้อยู่� พระอวััยวะส่่วนใด คืือ พระฉวีี พระ
จััมมะ พระมัังสะ พระนหารูู หรืือพระลสิิกา เถ้้า เขม่า่ แห่ง่ พระอวััยวะส่ว่ นนั้้�น มิิได้้ปรากฏเลย เหลือื อยู่�แต่พ่ ระสรีีระอย่า่ ง
เดียี วฉัันนั้้น� เหมืือนกันั และบรรดาผ้้า ๕๐๐ คู่�เหล่า่ นั้้�น ไฟไหม้้เพีียง ๒ ผืืนเท่่านั้้�น คือื ผืืนในที่่ส� ุดุ กัับผืืนนอก เมื่่อ� พระ
สรีีระพระผู้้ม� ีพี ระภาคถููกไฟไหม้้แล้้ว ท่่อน้ำ��ำ ก็็ไหลหลั่่�งมาจากอากาศดับั จิติ กาธารของพระผู้ม�้ ีีพระภาค น้ำำ�� พุ่่�งขึ้น�้ แม้้จากไม้้
สาละ ดัับจิติ กาธารของพระผู้�ม้ ีีพระภาค พวกเจ้้ามัลั ละเมืืองกุสุ ิินารา ดับั จิิตกาธารของพระผู้ม�้ ีพี ระภาคด้้วยน้ำ��ำ หอมล้้วนๆ
ลำำ�ดัับนั้้น� พวกเจ้้ามััลละเมือื งกุุสิินารากระทำ�ำ สัตั ติิบััญชรในสัณั ฐาคารแวดล้้อมด้้วยธนููปราการ สักั การะเคารพนัับถือื บูชู า
พระสรีรี ะพระผู้้ม� ีพี ระภาคตลอดเจ็ด็ วันั ด้้วยการฟ้้อนรำ�� ด้้วยการขัับ ด้้วยการประโคม ด้้วยพวงมาลััย ฯ

(ทีี. มหา. ๑๐/๑๕๖/๑๕๖)

257



๗๙

โทณพราหมณ์์แบ่ง่ สรรพระบรมธาตุุ

แก่่พราหมณ์แ์ ละกษัตั ริยิ ์์ ๗ พระนคร

ข่่าวพระพุุทธเจ้้านิิพพานที่่�เมืืองกุุสิินาราแล้้ว เจ้้ามััลลกษััตริิย์์แห่่งนครนี้้�พร้้อมด้้วยคณะสงฆ์์ได้้ถวายพระเพลิิงแล้้วนั้�้น
ได้้แพร่่ไปถึึงบรรดาเจ้้านครแห่่งแคว้้นต่่างๆ บรรดาเจ้้านครเหล่่านั้�้นจึึงได้้ส่่งคณะฑููตรีีบรุุดมายัังเมืืองกุุสิินาราพร้้อมด้้วยพระ
ราชสาส์์น
คณะฑููตทั้�้งหมดมีี ๗ คณะ มาจาก ๗ นคร มีที ั้้ง� จากนครใหญ่่ เช่่น นครราชคฤห์์ แห่ง่ แคว้้นมคธ ที่่�พระพุทุ ธเจ้า้ ทรง
ประกาศพระศาสนาเป็น็ แห่่งแรก และนครอื่่น� ๆ เช่น่ กบิลิ พััสดุ์์� เมืืองประสููติขิ องพระพุุทธเจ้้า คณะฑููตทั้ง�้ ๗ เมื่�่อเดิินทางมา
ถึึงเมืืองกุุสิินาราก็็ได้้ยื่�่นพระราชสาส์์นนั้้�นแก่่เจ้้ามััลลกษััตริิย์์ ในพระราชสาส์์นนั้้�น มีีความว่่า เจ้้านครทั้�้ง ๗ มาขอส่่วนแบ่่ง
พระบรมสารีีริิกธาตุุเพื่่�อนำำ�ไปบรรจุุในสถููปให้้เป็็นที่่�สัักการบููชาไว้้ที่่�นครของตน พวกเจ้้ามััลลกษััตริิย์์ตอบปฏิิเสธแข็็งขัันไม่่
ยอมให้้ โดยอ้า้ งเหตุผุ ลว่่าพระพุุทธเจ้า้ นิิพพานที่่เ� มืืองของตน พระบรมสารีีริิกธาตุจุ ึึงเป็็นสมบััติขิ องเมืืองนี้้เ� ท่า่ นั้้�น เมื่่�อเจ้้ามััลล
กษััตริิย์ไ์ ม่่ยอมแบ่่ง บรรดาเจ้้านคร ทั้้�ง ๗ ก็ไ็ ม่ย่ อม จะขอส่ว่ นแบ่่งให้้ได้้ สงครามแย่่งพระบรมสารีรี ิิกธาตุกุ ็็ทำ�ำ ท่่าจะเกิิดขึ้้น� แต่่
พอดีีท่่านผู้้�หนึ่่�งซึ่่�งชื่�่อ ‘โทณพราหมณ์์’ ได้้ระงับสงครามไว้้เสีียก่่อน โทณพราหมณ์์อยู่�ในเมืืองกุุสิินารา ตามประวััติิแจ้้งว่่าเป็็น
ผู้�้เฉลีียวฉลาดในการพููด เป็็นที่่�เคารพนัับถืือของบรรดาเจ้้านคร และเป็็นผู้้�มีชื่�่อเสีียงในเรื่�่องเกีียรติิคุุณ ได้ท้ ำ�ำ หน้้าที่่เ� สมืือนหนึ่่ง�
เป็น็ เลขาธิกิ ารสหประชาติิในสมััยปัจั จุุบััน คืือได้้ระงับสงครามไว้้เสียี ทััน โดยได้้ปราศรััยให้ท้ ี่่�ประชุุมฟัังว่่า
“พระพุุทธเจ้้าเป็็นผู้�้ทรงสรรเสริิญขัันติิธรรมและสามััคคีีธรรม แล้้วเราทั้้�งหลายจะมาทะเลาะวิิวาททำำ�สงครามกััน
เพราะพระบรมสารีีริิกธาตุุเป็็นเหตุุทำ�ำ ไม มาแบ่ง่ กัันให้ไ้ ด้้เท่่าๆ กัันดีีกว่่า พระบรมสารีรี ิกิ ธาตุจุ ัักได้แ้ พร่ห่ ลายและเป็น็ ประโยชน์์
แก่่มหาชนทั่่�วโลก”
ที่่�ประชุุมเลยตกลงกัันได้้ โทณพราหมณ์์จึงึ ทำ�ำ หน้้าที่่�แบ่ง่ พระบรมสารีีริิกธาตุุออกเป็น็ ๘ ส่ว่ นโดยใช้้ตุุมพะ คืือทะนาน
ทองเป็น็ เครื่อ่� งตวง ให้้เจ้้านครทั้้ง� ๗ คน ละส่ว่ น เป็น็ ๗ ส่ว่ น อีีกส่่วนหนึ่่ง� เป็น็ ของเจ้้านครกุสุ ินิ ารา แล้ว้ เจ้้านครทั้้ง� หมดต่่าง
อััญเชิิญพระบรมสารีีริิกธาตุุนั้�้นไปเป็็นที่่�ระลึึก แล้้วนำำ�ไปบรรจุุไว้้ในสถููปต่่างหาก การแจกพระบรมสารีีริิกธาตุุก็็เสร็็จสิ้้�นสุุดลง
ด้้วยความเรีียบร้อ้ ย

พระสรีีระของพระพุุทธเจ้้าผู้้�มีีพระจัักษุุ แปดทะนาน เจ็็ดทะนาน บููชากัันอยู่�ในชมพููทวีีป ส่่วนพระสรีีระอีีกทะนานหนึ่่�ง
ของพระพุุทธเจ้้าผู้�้เป็็นบุุรุุษที่่�ประเสริิฐอัันสููงสุุด พวกนาคราชบููชากัันอยู่�ในรามคาม พระเขี้้�ยวองค์์หนึ่่�งเทวดาชาวไตร
ทิิพย์์บููชาแล้้ว ส่ว่ นอีีกองค์ห์ นึ่่�ง บูชู ากันั อยู่�ในคัันธารบุุรีี อีกี องค์ห์ นึ่่�งบููชากัันอยู่�ในแคว้้นของพระเจ้้ากาลิิงคะ อีีกองค์์หนึ่่ง�
พระยานาคบูชู ากัันอยู่� ฯ
ด้้วยพระเดชแห่่งพระสรีีระพระพุุทธเจ้้านั้้�นแหละ แผ่่นดิินนี้้�ชื่่�อว่่าทรงไว้้ซึ่่�งแก้้วประดัับแล้้วด้้วยนัักพรต ผู้�้ประเสริิฐที่่�สุุด
พระสรีีระของพระพุุทธเจ้้าผู้้�มีจี ัักษุนุ ี้้� ชื่่�อว่่าอัันเขาผู้้ส� ัักการะๆ สักั การะดีแี ล้้ว พระพุทุ ธเจ้้าพระองค์์ใด อัันจอมเทพจอม
นาคและจอมนระบููชาแล้้ว อัันจอมมนุุษย์์ผู้�้ประเสริิฐสุุดบููชาแล้้วเหมืือนกััน ขอท่่านทั้้�งหลายจงประนมมืือถวายบัังคม
พระสรีีระนั้้�นๆ ของพระพุทุ ธเจ้้าพระองค์์นั้้�น พระพุทุ ธเจ้้าทั้้�งหลาย หาได้้ยากโดยร้้อยแห่ง่ กัปั ฯ
พระทนต์์ ๔๐ องค์์ บริบิ ูรู ณ์์ พระเกศา และพระโลมาทั้้�งหมด พวกเทวดานำ�ำ ไปองค์์ละองค์ๆ์ โดยนำำ�ต่่อๆ กัันไปในจัักรวาล
ดังั นี้้�แล ฯ

(ที.ี มหา. ๑๐/๑๖๒/๑๕๙)

259



๘๐

พระมหากัสั สปกัับพระอริยิ สงฆ์์ยกปฐมสังั คายนา

สืืบอายุพุ ระศาสนามาถึึงบััดนี้้�

ตอนถวายพระเพลิิงพระศพพระพุุทธเจ้้าที่่�เมืืองกุุสิินารา เป็็นเวลาที่่�พระสงฆ์์สาวกซึ่่�งเดิินทางมาชุุมนุุมกััน ที่่�เมืืองนี้้�
มีีจำ�ำ นวนมากกว่่าครั้�้งใดๆ จึึงเมื่�่อถวายพระเพลิิงเสร็็จแล้้ว พระมหากััสสปซึ่่�งเป็็นพระเถระชั้�้นผู้�้ใหญ่่ ได้้จััดให้้มีีการประชุุม
พระสงฆ์์สาวกเป็็นครั้�้งแรกขึ้�นที่่�เมืืองกุุสิินารา เรื่่�องที่่�ประชุุมคืือ เรื่�่องจะสัังคายนาพระธรรมวิินััยที่่�พระพุุทธเจ้้าทรงแสดงและ
บััญญััติิไว้้ ท่่านได้้ปรารภเรื่่�องเสี้�ยนหนามพระศาสนา ที่่ท� ่่านได้้ประสบเมื่�่อระหว่่างเดิินทางมา ที่่�พระภิิกษุุแก่่กล่่าวแสดงความ
ยิินดีีที่่พ� ระพุทุ ธเจ้้านิพิ พานให้้ที่่�ประชุมุ ทราบด้้วย
ที่่�ประชุุมมีีมติิเลืือกพระสงฆ์์เถระ ๓ รููปเป็็นประธานทำ�ำ หน้้าที่่�สัังคายนา คืือ พระมหากััสสป พระอุุบาลีีและ พระ
อานนท์์ ในการนี้้�ให้้พระมหากััสสปเป็็นประธานใหญ่่ให้้มีีหน้้าที่่�คััดเลืือกจำ�ำ นวนสมาชิิกสงฆ์์ผู้้�จะเข้้าประชุุมทำำ�สัังคายนา พระ
มหากััสสปคััดเลืือกพระสงฆ์์ได้้ทั้้�งหมด ๕๐๐ รููป แล้้วตกลงเลืือกเอานครราชคฤห์์แห่่งแคว้้น มคธเป็็นสถานที่่�สถานที่่�ประชุุม
ส่่วนเวลาประชุุมคืือตั้ง�้ แต่่วัันเข้า้ พรรษาเป็็นต้้นไป หรืืออีีก ๓ เดืือนนัับแต่่นี้้�
หลัังจากนั้�้น พระสงฆ์์ที่่�ได้้รัับคััดเลืือกให้้เข้้าร่่วมประชุุมทำ�ำ สัังคายนา ต่่างเดิินทางมุ่�งหน้้าไปยัังเมืืองราชคฤห์์ เมื่่�อไป
ถึึงทางคณะสงฆ์์ได้้ขอความอุุปถััมภ์์จากบ้้านเมืืองแห่่งนี้้� ในด้้านการซ่่อมวิิหารที่่�พัักสงฆ์์ ตกแต่่งสถานที่่�ประชุุมซึ่�่งจััดขึ้้�นในถ้ำ��ำ
ปาสาณคููหาในภูเู ขาเวภารบรรพตซึ่ง�่ อยู่�นอกเมืือง
ทางคณะสงฆ์์ได้้ขอให้้ทางบ้้านเมืืองประกาศห้้ามนัักบวชและพระสงฆ์์อื่่�นๆ ที่่�ไม่่มีีหน้้าที่่�เกี่�ยวข้้องกัับการประชุุมทำำ�
สัังคายนาเข้้ามาอยู่ �ในเมืืองราชคฤห์์ตลอดเวลาที่่�สงฆ์์ทั้้�งหมดทำำ�สัังคายนาอยู่่� ทั้�้งนี้้�เพื่�่อป้้องกัันอุุปสรรคขััดขวาง อัันอาจจะเกิิด
มีีเป็็นเหตุใุ ห้้การประชุุมทำำ�สัังคายนาเป็็นไปโดยความไม่เ่ รียี บร้้อยนั่่�นเอง

261

มหาประเทศ ๔ อย่า่ ง

ดููกรภิกิ ษุุทั้้�งหลาย เราจัักแสดงมหาประเทศ ๔ เหล่า่ นี้้� พวกเธอจงฟังั จงใส่่ใจให้้ดีี เราจักั กล่า่ ว, ภิกิ ษุุ เหล่า่ นั้้�น
ทูลู รัับพระดำ�ำ รัสั ของพระผู้�ม้ ีภี าคแล้้ว พระผู้ม้� ีีพระภาคได้้ตรััสดังั ต่่อไปนี้้�
ดููกรภิิกษุุทั้้�งหลาย ภิิกษุุในธรรมวิินััยนี้้�พึึงกล่่าวอย่่างนี้้�ว่่า อาวุุโส ข้้อนี้้�ข้้าพเจ้้าได้้ฟัังมา ได้้รัับมาเฉพาะพระ
พัักตร์พ์ ระผู้้�มีพี ระภาคว่า่ นี้้เ� ป็็นธรรม นี้้เ� ป็็นวินิ ัยั นี้้�เป็็นคำำ�สั่่�งสอนของพระศาสดา ดัังนี้้� พวกเธอไม่่พึึงชื่่น� ชม ไม่พ่ ึึงคััดค้้าน
คำ�ำ กล่่าวของภิิกษุุนั้้�น ครั้�นแล้้วพึึงเรีียนบทและพยััญชนะเหล่่านั้้�นให้้ดีี แล้้วสอบสวนในพระสููตร เทีียบเคีียงในพระวิินััย
ถ้้าสอบสวนในพระสููตร เทียี บเคีียงในพระวิินัยั ลงในพระสูตู รไม่ไ่ ด้้ เทียี บเคียี งในพระวิินััยไม่ไ่ ด้้ พึึงถึึงความตกลงในข้้อนี้้�
ว่า่ นี้้ม� ิใิ ช่ค่ ำ�ำ ของพระผู้�้มีพี ระภาคแน่น่ อน และภิิกษุนุ ี้้�จำ�ำ มาผิดิ แล้้ว ดังั นั้้�น พวกเธอพึึงทิ้้ง� คำ�ำ กล่า่ วนั้้�นเสียี ถ้้าเมื่่อ� สอบสวน
ในพระสููตร เทีียบเคีียงในพระวิินััย ลงในพระสููตรได้้ เทีียบเคีียงในพระวิินััยได้้ พึึงถึึงความตกลงในข้้อนี้้�ว่่า นี้้�เป็็นคำำ�
สั่�งสอนของพระผู้�้มีีพระภาคแน่่นอน และภิิกษุุนี้้�จำ�ำ มาถููกต้้องแล้้ว ดููกรภิิกษุุทั้้�งหลายพวกเธอพึึงทรงจำำ�มหาประเทศข้้อที่่�
หนึ่่�งนี้้�ไว้้ ฯ
ดููกรภิิกษุุทั้้�งหลาย ก็็ภิิกษุุในธรรมวิินััยนี้้� พึึงกล่่าวอย่่างนี้้�ว่่า สงฆ์์พร้้อมทั้้�งพระเถระ พร้้อมทั้้�งปาโมกข์์ อยู่�ใน
อาวาสโน้้น ข้้าพเจ้้าได้้ฟัังมา ได้้รัับมาเฉพาะหน้้าสงฆ์์นั้้�นว่่า นี้้�เป็น็ ธรรม นี้้�เป็็นวิินัยั นี้้เ� ป็็นคำ�ำ สั่่ง� สอนของพระศาสดา ดัังนี้้�
พวกเธอไม่่พึึงชื่่�นชม ไม่พ่ ึึงคัดั ค้้านคำ�ำ กล่า่ วของภิกิ ษุนุ ั้้น� ครั้�นแล้้ว พึึงเรีียนบทและพยัญั ชนะเหล่า่ นั้้�นให้้ดีี แล้้วสอบสวน
ในพระสููตร เทีียบเคีียงในพระวิินัยั ถ้้าเมื่่�อสอบสวนในพระสูตู ร เทียี บเคีียงในพระวินิ ััย ลงในพระสูตู รไม่ไ่ ด้้ ลงในพระวิินัยั
ไม่่ได้้ พึึงถึึงความตกลงในข้้อนี้้�ว่่า นี้้�มิิใช่่คำำ�สั่่�งสอนของพระผู้้�มีีพระภาคแน่่นอน และภิิกษุุสงฆ์์นั้้�นจำ�ำ มาผิิดแล้้ว ดัังนั้้�น
พวกเธอพึึงทิ้้�งคำำ�กล่่าวนั้้�นเสีีย ถ้้าเมื่่�อสอบสวนในพระสููตร เทีียบเคีียงในพระวิินััย ลงในพระสููตรได้้ เทีียบเคีียงในพระ
วิินััยได้้ พึึงถึึงความตกลงในข้้อนี้้ว� ่่า นี้้�เป็็นคำ�ำ สั่่�งสอนของพระผู้ม�้ ีีพระภาคแน่่นอน และภิกิ ษุสุ งฆ์์นั้้�นจำำ�มาถูกู ต้้องแล้้ว ดููกร
ภิิกษุุทั้้�งหลาย พวกเธอพึึงทรงจำำ�มหาประเทศข้้อที่่ส� องนี้้�ไว้้ ฯ
ดููกรภิกิ ษุุทั้้�งหลาย ก็็ภิกิ ษุุในธรรมวินิ ัยั นี้้� พึึงกล่า่ วอย่า่ งนี้้ว� ่่า ภิิกษุุผู้�้เป็็นเถระมากรูปู อยู่�ในอาวาสโน้้น เป็น็ พหูสู ููต
มีีอาคมอัันมาถึึงแล้้ว เป็็นผู้ท้� รงธรรม ทรงวินิ ัยั ทรงมาติิกา ข้้าพเจ้้าได้้ฟัังมา ได้้รับั มาเฉพาะหน้้า พระเถระเหล่่านั้้น� ว่า่ นี้้�
เป็น็ ธรรม นี้้�เป็น็ วินิ ัยั นี้้เ� ป็็นคำำ�สั่่�งสอนของพระศาสดา ดังั นี้้� พวกเธอไม่่พึึงชื่่�นชม ไม่่พึึงคััดค้้านคำ�ำ กล่่าวของภิิกษุนุ ั้้น� ครั้น�
แล้้ว พึึงเรียี นบทและพยัญั ชนะเหล่่านั้้�นให้้ดีี แล้้วสอบสวนในพระสููตร เทีียบเคียี งในพระวินิ ัยั ถ้้าเมื่่�อสอบสวนในพระสููตร
เทีียบเคีียงในพระวิินััย ลงในพระสููตรไม่่ได้้ ลงในพระวิินััยไม่่ได้้ พึึงถึึงความตกลงในข้้อนี้้�ว่่านี้้�มิิใช่่คำ�ำ สั่่�งสอนของพระผู้้�มีี
พระภาคแน่่นอน และพระเถระเหล่่านั้้�นจำ�ำ มาผิิดแล้้ว ดัังนั้้�น พวกเธอพึึงทิ้้�งคำ�ำ กล่่าวนั้้�นเสีีย ถ้้าเมื่่�อสอบสวนในพระสููตร
เทียี บเคีียงในพระวิินััย ลงในพระสูตู รได้้ เทียี บเคีียงในพระวินิ ััยได้้ พึึงถึึงความตกลงในข้้อนี้้ว� ่า่ นี้้เ� ป็น็ คำ�ำ ของพระผู้�้มีีพระ
ภาคแน่่นอน และพระเถระเหล่่านั้้�น จำ�ำ มาถูกู ต้้องแล้้ว ดููกรภิิกษุทุ ั้้�งหลาย พวกเธอพึึงทรงจำ�ำ มหาประเทศข้้อที่่�สามนี้้�ไว้้ ฯ
ดููกรภิกิ ษุทุ ั้้�งหลาย ก็ภ็ ิิกษุุในธรรมวิินััยนี้้� พึึงกล่่าวอย่า่ งนี้้�ว่่า ภิิกษุุผู้เ�้ ป็็นเถระอยู่�ในอาวาสโน้้น เป็น็ พหููสูตู มีีอาคม
อัันมาถึึงแล้้ว เป็็นผู้้�ทรงธรรม ทรงวิินััย ทรงมาติิกา ข้้าพเจ้้าได้้ฟัังมา ได้้รัับมาเฉพาะหน้้าพระเถระ นั้้�นว่่า นี้้�เป็็นธรรม
นี้้เ� ป็็นวินิ ััย นี้้�เป็็นคำำ�สั่่ง� สอนของพระศาสดา ดังั นี้้� พวกเธอไม่พ่ ึึงชื่่�นชม ไม่พ่ ึึงคัดั ค้้านคำำ�กล่า่ วของภิกิ ษุนุ ั้้น� ครั้�นแล้้ว พึึง
เรีียนบทและพยัญั ชนะเหล่า่ นั้้�นให้้ดีี แล้้วสอบสวนในพระสูตู ร เทีียบเคีียงในพระวิินััย ถ้้าเมื่่�อสอบสวนในพระสูตู ร เทีียบ
เคีียงในพระวิินััย ลงในพระสููตรไม่่ได้้ ลงในพระวิินััยไม่่ได้้ พึึงถึึงความตกลงในข้้อนี้้�ว่่า นี้้�มิิใช่่คำำ�สั่่�งสอนของพระผู้�้มีีพระ
ภาคแน่่นอน และพระเถระนั้้�นจำ�ำ มาผิดิ แล้้ว ดัังนั้้�น พวกเธอพึึงทิ้้ง� คำำ�กล่า่ วนั้้�นเสียี ถ้้าเมื่่�อสอบสวนในพระสูตู ร เทียี บเคีียง
ในพระวิินััย ลงในพระสูตู รได้้เทียี บเคีียงในพระวินิ ัยั ได้้ พึึงถึึงความตกลงในข้้อนี้้�ว่่า นี้้เ� ป็็นคำ�ำ ของพระผู้ม�้ ีีพระภาคแน่่นอน
และพระเถระนั้้�นจำ�ำ มาถูกู ต้้องแล้้ว ดููกรภิิกษุทุ ั้้ง� หลาย พวกเธอพึึงทรงจำ�ำ มหาประเทศข้้อที่่�สี่�นี้้�ไว้้ ฯ
ดููกรภิกิ ษุทุ ั้้�งหลาย พวกเธอพึึงทรงจำ�ำ มหาประเทศทั้้ง� ๔ เหล่่านี้้�ไว้้ ฉะนี้้�แล ฯ

(ทีี. มหา. ๑๐/๑๑๒-๑๑๖/๑๒๑-๑๒๓)

262

สังั เวชนีียสถาน ๔

ดููกรอานนท์์ สังั เวชนีียสถาน ๔ แห่่งเหล่า่ นี้้� เป็็นที่่�ควรเห็น็ ของกุุลบุุตรผู้้ม� ีศี รัทั ธา สังั เวชนีียสถาน ๔ แห่่ง เป็็น
ไฉน คืือ
๑. สังั เวชนีียสถานอันั เป็็นที่่�ควรเห็น็ ของกุุลบุตุ รผู้�ม้ ีีศรัทั ธาด้้วยมาตามระลึึกว่า่ พระตถาคตประสูตู ิใิ นที่่�นี้้� ฯ
๒. สังั เวชนีียสถานอัันเป็น็ ที่่ค� วรเห็็นของกุุลบุตุ รผู้ม�้ ีศี รัทั ธาด้้วยมาตามระลึึกว่่า พระตถาคตตรััสรู้�พระอนุุตตรสััม
มาสัมั โพธิิญาณในที่่�นี้้� ฯ
๓. สัังเวชนีียสถานอัันเป็็นที่่�ควรเห็็นของกุุลบุุตรผู้�้มีีศรััทธาด้้วยมาตามระลึึกว่่า พระตถาคตทรงยัังอนุุตตร
ธรรมจัักรให้้เป็น็ ไปในที่่น� ี้้� ฯ
๔. สัังเวชนีียสถานอัันเป็็นที่่�ควรเห็็นของกุุลบุุตรผู้้�มีีศรััทธาด้้วยมาตามระลึึกว่่า พระตถาคตเสด็็จปริินิิพพาน
แล้้วด้้วยอนุุปาทิิเสสนิิพพานธาตุใุ นที่่�นี้้�
สัังเวชนียี สถาน ๔ แห่ง่ นี้้�แล เป็็นที่่�ควรเห็น็ ของกุุลบุตุ รผู้�ม้ ีศี รััทธาฯ ดููกรอานนท์์ ภิิกษุุ ภิิกษุุณีี อุบุ าสก อุุบาสิิกา
จัักมาด้้วยความเชื่่�อว่า่ พระตถาคตประสููติใิ นที่่�นี้้ก� ็ด็ ีี พระตถาคตตรัสั รู้พ� ระอนุตุ ตรสััมมาสััมโพธิญิ าณในที่่�นี้้ก� ็็ดีี พระตถาคต
ทรงยังั อนุุตรธรรมจัักรให้้เป็็นไปในที่่�นี้้ก� ็ด็ ีี พระตถาคตเสด็็จ ปรินิ ิิพพานแล้้วด้้วยอนุปุ าทิิเสสนิพิ พานธาตุุในที่่�นี้้ก� ็็ดีี ก็็ชน
เหล่า่ ใดเหล่า่ หนึ่่�ง เที่่�ยวจาริิกไปยังั เจดียี ์์ มีจี ิิตเลื่�อมใสแล้้ว จัักทำ�ำ กาละลงชนเหล่า่ นั้้�นทั้้�งหมดเบื้้อ� งหน้้าแต่่ตายเพราะกาย
แตก จักั เข้้าถึึงสุคุ ติิ โลกสวรรค์์ ฯ

(ที.ี มหา. ๑๐/๑๓๑/๑๓๕)

แหล่ง่ ที่ม�่ าของข้้อมููล

๑. ภาพวาดพุทุ ธประวััติิโดยบรมครูเู หม เวชกร จำ�ำ นวน ๘๐ ภาพ ในรููปแบบซอฟต์์ไฟล์์ จากมูลู นิธิ ิบิ รมครูู
๒. คำำ�อธิิบายประกอบภาพ คััดลอกจาก www.84000.org
๓. พระไตรปิฎิ กฉบัับหลวง
๔. พระไตรปิิฎกออนไลน์์ www.84000.org
๕. หนัังสืือพุทุ ธประวััติจิ ากพระโอษฐ์์ โดย พุทุ ธทาสภิิกขุุ

263

สรุปหลักธรรมในพระพุทธศาสนา

๑. พระพุทธเจŒาตรัสรูŒอะไร? (๑) สแกนคิวอารโคŒดเพื่อฟ˜ง
๒. พระพุทธเจŒาตรัสรูŒอะไร? (๒) เสียงอ‹าน
๓. คำอธ�บาย “ปฏิจจสมุปบาท”
๔. คำอธ�บาย “อว�ชชา”
๕. สรุปหลักธรรมในพระพุทธศาสนา

พระไตรปฎก-อรรถกถา
และธรรมนิพนธของครูบาอาจารย

รวมพระธรรมเทศนาของครูบาอาจารย
รวมทั้งหมด ๒๒ องค (ประมาณ ๕,๐๐๐ เร�่อง)

แอปพลิเคชั่นพิพิธภัณฑจรรโลงพุทธศาสนา

สแกนเพื่อติดตั้งแอปพลิเคชั่น

รองรับทั้งระบบ iOS และระบบ Androidพิพิธภัณฑจรรโลงพุทธศาสนา

หนังสือพระพุทธประวัติ ๒๙ พระพุทธเจŒา
และสรุปหลักธรรมในพระพุทธศาสนา



สรุปหลักธรรมที่สำคัญของพระพุทธศาสนา

โดย หลวงปู†เปลี่ยน ปฺญาปทีโป

สแกนคิวอารโคŒดเพื่อฟ˜งเสียง ๑. หลกั คำสอนของพระพุทธเจา ทัง้ หลาย
บรรยายธรรม ๒. อริยสจั - ความจริง ๔ ประการ
๓. ชาติ ปท กุ ขา ความเกดิ เปน ทุกข
๔. ขันธทง้ั ๕ เปน ภาระหนกั
๕. อายตนะ ๑๒ เปน ของรอน
๖. การเวียนวายตายเกดิ ในวัฎสงสาร
๗. ทุกขในการตายเกิดในวฎั สงสาร
๘. ทุกขข องการเวยี นวา ยตายเกิด
๙. สงั ขารทีม่ วี ญิ ญาณและสังขารที่ไมม วี ญิ ญาณ
๑๐. สงั ขารเปนทุกขอยางย่งิ

๑๑. ทกุ ขเพราะความถอื มน่ั ๒๖. รปู ง อนิจจงั รูปง ทุกขัง รปู งอนตั ตา
๑๒. กเิ ลสตัณหาเปนเหตใุ หเกดิ ทกุ ข ๒๗. อบุ ายทำใหใจสงบเปนสมาธิ
๑๓. คนควา หาทางดับทกุ ข ๒๘. กเิ ลสนน้ั เปน โรคของใจ ยาแกไ ขคือธรรมะ
๑๔. กำหนดรูธรรมชาติของกายสงั ขาร
๑๕. อุบายละอุปทานสิ่งทัง้ หลายในโลก มีศลี สมาธิ และปญญา
๑๖. ผูไ มหว่นั ไหวในโลกธรรม ๘ ๒๙. สิง่ ทง้ั ปวงอยูในไตรลักษณ
๑๗. ส่ิงทงั้ หลายมคี วามเกดิ ดับเปนธรรมดา ๓๐. วิราคะธรรม
๑๘. สังขารทง้ั ปวงไมเทีย่ ง ๓๑. ขนั ธ ๕ : รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ

อยใู นไตรลักษณ

๑๙. ส่งิ ใดเกิดขนึ้ สิ่งนั้นยอมเสอ่ื มไปสิน้ ไปเปนธรรมดา
๒๐. สงั ขารทง้ั หลายมคี วามเกดิ ขึ้นตง้ั อยูแลวดับไป
๒๑. ส่ิงใดเกิดขึ้น ส่งิ น้นั ยอมดบั ไป
๒๒. การปฏบิ ตั เิ พอ่ื หาทางพนทกุ ข
๒๓. ปฏิบัตติ ามทางสายกลาง
๒๔. ศลี สมาธิ ปญ ญา มรรค ๘ ประการ
๒๕. สพฺเพสงฺขารา อนจิ จา ทุกขา อนฺตตา

สรุปหลักธรรมที่สำคัญของพระพุทธศาสนา

โดย พระราชพรหมญาณ (หลวงพ‹อฤๅษีลิงดำ)

สมถะภาวนา และว�ป˜สสนาภาวนา สแกนคิวอารโคŒดเพื่อฟ˜งเสียง
บรรยายธรรม
๑. สติ+ปญ ญา+ปฐมฌาณ
๒. ทุตยิ ฌาณ+ตติยฌาณ+จตุตฌาณ ๑๐. อารมณของพระโสดาบนั และพระสกิทาคามีมรรค (๑)
๓. มหาสตปิ ฏ ฐานสตู ร ๑๑. อารมณของพระโสดาบันและพระสกทิ าคามีมรรค (๒)
๔. กายานปุ ส สนา สรุป
พระสกิทาคามี
๔.๑ กายานุปสสนา-อานาปานบรรพ
๔.๒ กายานุปสสนา-อิริยาบถบรรพ ๑. พระสกิทาคามสี กุ ขวปิ ส สโก (๑)
๔.๓ กายานปุ สสนา-สัมปชัญะะบรรพ ๒. พระสกิทาคามสี กุ ขวปิ สสโก (๒)
๔.๔ กายานุปส สนา-ปฏกิ ลู มนสิการบรรพ ๓. การเขา ถึงพระสกิทาคามีมรรค
๔.๕ กายานปุ ส สนา-ธาตุมนสิการบรรพ
๔.๖ กายานปุ ส สนา-นวสวี ถกิ าบรรพ พระอนาคามี
๕. เวทนานุปส สนา
๖. จติ ตานุปสสนา ๑. พระอนาคามีสุกขวปิ ส สโก-ตดั ราคะ
๗. ธมั มานปุ ส สนา สรปุ ๒. พระอนาคามสี ุกขวิปส สโก-ตัดโทสะ
๗.๑ ธมั มานุปส สนา-นวิ รณบ รรพ ๓. การปฏิบตั เิ พือ่ พระอนาคามีมรรค
๗.๒ ธมั มานุปสสนา-ขนั ธบรรพ ๔. การปฏิบตั ิเพือ่ พระอนาคามมี รรค (๒)
๗.๓ ธัมมานุปส สนา-อายตนบรรพ ๕. การปฏิบตั ิเพอ่ื พระอนาคามมี รรค (๓)
๗.๔ ธมั มานุปสสนา-โพฌชงคบรรพ ๖. พระอนาคามีมรรค
๗.๕ ธัมมานปุ สสนา-สัจจบรรพ ๗. สรปุ การปฏบิ ัติเพ่ือพระอนาคามีผล
๗.๖ ธมั มานปุ สสนา-สจั จบรรพ (สรปุ )
พระอรหันต
พระอร�ยบุคคล
๑. พระอรหนั ตสุกขวิปสสโก (๑)
พระโสดาบัน ๒. พระอรหนั ตสุกขวปิ สสโก (๒)
๑. อนุโลมและปฏโิ ลม
๑. อารมณพ ระโสดาบัน (พทุ ธจรติ ) (๑) ๒. ทบทวนวธิ ีการปฏบิ ตั ิ
๒. อารมณพ ระโสดาบัน (พทุ ธจริต) (๒) ๓. หมวดพระอริยเจา-พระโสดาบนั , พระสกทิ าคามี
๓. พระโสดาบนั สกุ ขวิปส สโก-มรรค ๘ ๔. หมวดพระอริยเจา -พระอนาคามี, พระอรหนั ต
๔. พระโสดาบนั สุกขวิปส สโก-พรหมวหิ าร ๔
๕. พระโสดาบันสุกขวปิ ส สโก-อรยิ สัจ ๔
๖. พระโสดาบันสุกขวิปสสโก-บารมี ๑๐
๗. การทรงอารมณเ พื่อเขาถึงพระโสดาบนั
๘. สังโยชนข องพระโสดาบัน
๙. อารมณข องพระโสดาบัน

๑ ชีวิตคืออะไร? ๒ ชีวิตเปนอยางไร? ๓ ชีวิตเปนไปอยางไร?
2.1 ไตรลกั ษณ
๑.๑ อายตนะ ๑๒ 3.1 ปฏจิ จสมปุ บาท
อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา ทกุ ขสมทุ ยั
อายตนะภายใน 6
(ไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข ไมใ ชต วั ไมใ ชต น) กระบวนการเกดิ ความทกุ ข
(ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ)
2.2 ขนั ธ 5 : เปน ไตรลกั ษณ ๓.๑.๑ ทกุ ขสมทุ ยั
อายตนะภายนอก 6
(รปู เสยี ง ก-ลวน่ิ ญิ รสญสามั ณผสั 6ธรรมารมณ) ไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข เปน อนตั ตา 1. อวชิ ชา

- ผสั สะ 6 2.3 จติ : เปน อมตะ (เทย่ี ง) 2. สงั ขาร
3. วญิ ญาณ
1.2 ขนั ธ 5 จติ วญิ ญาณ - เวยี นวา ยตายเกดิ 4. นามรปู
5. สฬายตนะ
(รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ) 2.4 อปุ าทานขนั ธ 5 6. ผสั สะ

รปู รา งกาย 2.5 ทกุ ข 879... เตอวปุณัทานหทาาาน

1.3 สมการชวี ติ 10. ภพ
11. ชาติ
ชวี ติ = ขนั ธ 5 + ใจ (จติ ) 12. ชรา มรณะ

= รปู รา งกาย + จติ 3.1.2 ทกุ ข
= กาย + จติ
3.1.3 เวยี นวา ยตายเกดิ

ที่มาของขอมูล :
• พระธรรมโกศาจารย (ทานอาจารยพุทธทาสภิกขุ) : ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ
• สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย (ป.อ.ปยุตฺโต) : พุทธธรรม
• ธรรมเทศนาโดยหลวงพอษีลิงดำ และหลวงปูเปลี่ยน ปญญาปทีโป

สรุปหลักธรรมที่สำคัญใน

๔ ชีวิตควรใหเปนอยางไร? ๕ ชีวิตควรเปนอยูอยางไร? ๖ ธรรมปฏิบัติ
๔.1 ปฏจิ จสมปุ บาท 5.1 มชั ฌมิ าปฏปิ ทา 6.1 ทาน ศลี ภาวนา
ทกุ ขนโิ รธ
ทางสายกลาง : มรรค ๖.๑.๑ ลำดบั ขน้ั
กระบวนการดบั ทกุ ข วธิ กี ารสรา งบญุ บารมี
5.๒ อรยิ มรรคมอี งค 8
๔.๑.๑ ทกุ ขนโิ รธ และไตรสกิ ขา 6.2 โลกยี ภมู ิ 31 ภมู ิ
วฎั สงสาร : เวยี นวา ยตายเกดิ
1. อวชิ ชาดบั 5.๒.1. ศลี
6.2.1 พรหมโลก 20 ภมู ิ
2. สงั ขารดบั 5.๒.1.1 สมั มาวาจา 6.2.2 เทวภมู ิ 6 ภมู ิ
3. วญิ ญาณดบั 5.๒.1.2 สมั มากมั มนั ตะ 6.2.3 มนษุ ยภมู ิ 1 ภมู ิ
4. นามรปู ดบั 5.๒.1.3 สมั มาอาชวี ะ 6.2.4 อบายภมู ิ 4 ภมู ิ
5. สฬายตนะดบั
6. ผสั สะดบั 5.๒.2. สมาธิ 6.3 ศลี สมาธิ ปญ ญา
(ศลี /สมถะ/วปิ ส สนา)
978... เตอวปุณัทานหทาาดาดบันบั ดบั 5.๒.2.1 สมั มาวายามะ
5.๒.2.2 สมั มาสติ 6.4 มหาสตปิ ฎ ฐานสตู ร
10. ภพดบั
11. ชาตดิ บั 55.๒.๒.3.2..3ปสญ มั ญมาาสมาธิ 6.4.1 พจิ ารณาขนั ธ 5
12. ชรามรณะดบั เปน ไตรลกั ษณ
5.๒.3.1 สมั มาทฎิ ฐิ
4.1.2 ทกุ ขด บั 5.๒.3.2 สมั มาสงั กปั ปะ 6.5 โลกตุ ตรภมู ิ
หยดุ การเวยี นวา ยตายเกดิ
พระนพิ พาน 6.6 บรรลกุ ารเปน
พระอรหนั ต 6.5.1 พระโสดาบนั
(สน้ิ สดุ การเวยี นวา ยตายเกดิ ) 6.5.2 พระสกทิ าคามี
6.5.3 พระอนาคามี
6.5.4 พระอรหนั ต

ชารตอริยสัจ ๔

ความจรงิ อันประเสริฐ ๔ ประการ

๑๑ ๒๒

ผล ความทุกข เหตุ ผล การดับความทุกขและสรางสุขที่แทจริง เหตุ

ทุกขอริยสัจ (ทุกข) สมุทัยอริยสัจ (สมุทัย) นิโรธอริยสัจ (นิโรธ) วิธีสรางบุญบารมี มรรคอริยสัจ (มรรค)

ความทุกข เหตุใหเกิดทุกข : ตัณหา ความดับทุกขดับตัณหา ไตรสิกขา หลักปฏิบัติที่ทำใหพนทุกข
และมีสุขที่แทจริง และสรางสุขที่แทจริง
ชวี ติ คอื อะไร : อายตนะ ๖ ชวี ติ เปนไปอยา งไร ศีล
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระบวนการเกิด “ทุกข” ชวี ิตควรใหเปนอยา งไร (การละชั่ว) มัชฌิมาปฏิปทา : ทางสายกลาง
ปฏิจจสมุปบาทสมุทยวาร กระบวนการดับ “ทุกข”
ปฏิจจสมุปบาทนิโรธวาร สมาธิ (ทำความด)ี ช“วี มติ ัชคฌวมิรเาปปนฏอปิ ยทา าง”ไร
ชีวติ คืออะไร : ขนั ธ ๕ ตณั หา (ความอยาก)
รูป เวทนา สัญญา สังขาร • กามตณั หา ดับตัณหา สมถภาวนา (ใจสงบ) ๓ สัมมาวาจา
(((ภวตตตภิวณณณััั วตหหหตณั าาาณัใใใหนนนหาคคกาาววมาามม) มไมคี ม วไี ามมเ ปเปน น )) ดับทุกขและกิเลสชั่วคราว (วาจาชอบ)
วิญญาณ • ดับอุปาทาน วิธีธรรมชาติ วิธีใชสตินำ
• วิธีอิทธิบาท วิธีแบบแผน ๔ สัมมากัมมันตะ
ชีวติ ไตเปรนลอักยษาณงไ ร : ดับทกุ ข (การกระทำชอบ)
อปุ าทาน • ดับทุกขทางกาย
อนิจจงั ทกุ ขัง อนัตตา • กามปุ าทาน • ดับทุกขทางใจ ๕ สัมมาอาชีวะ
ไมเ ทย่ี ง เปน ทกุ ข ไมใ ชตัวตน • (ทคฏิวามุปยาึดทมาั่นนในกาม) (อาชีพชอบ)
• (สคลี วัพามพยตดึ มุปนั่ าใทนาทนฤษฎ)ี โลกยี สขุ
อุปาทานขันธ ๕ • (อคัตวตามวยาดึ ทมุปั่นาศทลี แาลนะพรต) ความสุขที่เปนวิสัยของโลก ๖ สัมมาวายามะ
(ความเพียรชอบ)
ความทกุ ข (ความยดึ มนั่ ตนเปนหลัก) โลกตุ ตรสุข
• ทุกขกาย ความสุขที่เหนือกวาระดับ ๗ สัมมาสติ
• ทุกขใจ (ความระลึกชอบ)
ชาวโลก
(ดับกนเิ พิลสพไาดนหมด) ๘ สัมมาสมาธิ
(ตั้งใจมั่นชอบ)

ปญ ญา (ทำใจใหบรสิ ุทธ์ิ) ๑ สัมมาทิฏฐิ
(ความเห็นชอบ)
วปิ ส สนาภาวนา (รแู จงเห็นจริง)
ดับทุกขและกิเลสถาวร ๒ สัมมาสังกัปปะ
(ความดำริชอบ)
วิปสสนา วิปสสนา
(ทำใหรูแจง) (ทำใหรูแจง)
วิธีธรรมชาติ ตามหลักวิชา

เรียบเรียงขอมูลมาจาก สะอาด สวาง สงบ พิจารณาขนั ธ ๕
ไมมีตัวตน (กาย/ใจ)
พระธรรมโกศาจารย (พทุ ธทาสภิกข)ุ
พิจา“รไณตราลขักันษธณ๕”เปน
อรยิ สจั จากพระโอษฐ, ปฏจิ จสมปุ บาทจากพระโอษฐ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

สมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย (ป.อ. ปยุตโฺ ต) ไมเที่ยง เปนทุกข ไมมีอะไรเปนของตน

พทุ ธรรม ฉบบั ปรบั ขยาย, พจนานกุ รมพทุ ธศาสน ฉบบั ประมวลศพั ท สุญอญยาตงแาทจ:รวิง าง

ดับตัณหา
ไมอยากเอา ไมอยากเปน

ดับอปุ าทาน
ไมยสึดุญมั่นญถือตมาั่น ::ไมจมิตีตวัวกาู ขงองกู

(จิตหลุดพนจากอุปาทาน)

อรยิ สจั ขอ ท่ี ๑ : ทุกขอ รยิ สจั (ความทกุ ขกาย-ทกุ ขใจ)

ขนั ธ ๕ เปน ไตรลักษณ, อุปาทานขันธ ๕ เปน ทกุ ข

ชีว�ตคือขันธ ๕

ความทุกขม าจากการเกิดแก เจ็บ ตาย สูญเสยี ของรกั ไมไ ดส่ิงท่ีปรารถนา, อุปาทานขันธ 5 นำมาซึ่งความ
ทกุ ข, การฝนกฎของพระไตรลักษณนำมาซ่งึ ความทกุ ข

๑. ชีว�ตคืออะไร ?

๑.๑ อายตนะ ๑๒ ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ
กาย ใจ = จิต
- อายตนะภายใน ๖ ธรรมารมณ)
(รปู เสยี ง กล่นิ รส สมั ผัส
- อายตนะภายนอก ๖

๑.๒ ขันธ ๕ : รูปขันธ, เวทนาขันธ, สัญญาขันธ, สังขารขันธ, ว�ญญาณขันธ
อายตนะภายใน + อายตนะภายนอก = วญิ ญาณ 6

1) ตา + รปู 1) = จักษุวญิ ญาณ (เห็น)

2) หู(๑) รูปขัน ธ
(๕) วิญญาณขัน ธ

(นาม ัขน ธ)
+ เสียง 2) = โสตวญิ ญาณ (ไดยนิ )

3) จมกู + กล่นิ 3) = ฆานวิญญาณ (ไดก ล่นิ )

4) ลน้ิ + รส 4) = ชวิ หาวญิ ญาณ (รรู ส)

5) กาย + สมั ผสั 5) = กายวญิ ญาณ (รูส่ิงตอ งกาย)

6) ใจ (จติ ) + ธรรมารมณ 6) = มโนวิญญาณ / จติ วิญญาณ

(2) เวทนาขันธ (3) สัญญาขนั ธ (4) สังขารขันธ
(นามขันธ)

ขันธ ๕ = รูปขันธ (1) + นามขันธ (4)
= รูปขนั ธ + (เวทนาขันธ สัญญาขนั ธ สงั ขารขนั ธ วญิ ญาณขันธ)

ขันธ ๕ รวมเร�ยกว‹า “รูปร‹างกาย”
ความเกดิ ข้ึนแหงขันธ 5 เกิดขึน้ พรอมกนั
เม่อื อาการ 5 อยาง (ขนั ธ) เหลานั้นดับไป เปนความดบั ไปแหงขันธท ั้ง 5

๑.๓ ดังนั้น สมการชีว�ตคืออะไร?

ชวี ิต = ขนั ธ 5 + ใจ (จติ )

(รปู รางกาย) + ใจ (จติ )

สำหรับ มโนวิญญาณหรอื จิตวิญญาณ (ความรูอ ารมณทางใจ) เวยี นวา ยตายเกิด เรม่ิ ชวี ิตตง้ั แตม ปี ฏิสนธิ
และจากรา งกายไปเม่อื รูปขนั ธดบั (ตาย)

ชวี ติ = กาย + จติ

อริยสจั ขอ ที่ ๒ : สมุทยั อรยิ สัจ (เหตุแหงทุกข)

ปฏิจจสมุปบาท - ทุกขสมุทยั : กระบวนการทีท่ ำใหเกดิ ทกุ ข

ป˜จจัยที่สำคัญที่ทำใหŒเกิดทุกข คือ ตัณหาและอุปาทาน

ตณั หา : เปน ความอยากมอี ยากเปน อยากไมม ี อยากไมเ ปน (กามตณั หา, ภวตณั หา, วภิ วตณั หา) ไมไ ดส มความอยาก (ความตอ งการ) ก็
ทกขุ  ไดส มความอยากแตไ มร จู กั พอ (โลภ) กท็ กุ ข สญู เสยี สง่ิ ทร่ี กั กท็ กุ ขฯ ลฯ
อปุ าทาน : เปน ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในสง่ิ ตา งๆ (กามปุ าทาน, ทฎิ ปุ าทาน, สลี พั พตปุ าทาน, อตั ตวาทปุ าทาน) โดยอปุ าทานยดึ กบั ขนั ธ ๕
เรยี กวา อปุ าทานขนั ธ ๕ ซง่ึ นำความทกุ ขม าใหแ กเ จา ของขนั ธ ๕ ทง้ั น้ี เพราะทกุ สง่ิ ทถ่ี กู ยดึ มน่ั ถอื มน่ั เขา กฎพระไตรลกั ษณท ง้ั หมด คอื เปน
อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา โดยเฉพาะขนั ธ ๕ กเ็ ปน ไตรลกั ษณ ดงั นน้ั ไมว า อะไรกต็ ามทไ่ี ปยดึ ตดิ กบั ขนั ธ ๕ กล็ ว นแตเ ปน ไตรลกั ษณเ ชน เดยี วกนั
ดงั นน้ั ตณั หาและอปุ าทานจงึ เปน เหตใุ หเ กดิ ความทกุ ข

ชีว�ตเปšนไปอย‹างไร ?

ปฏิจจสมุปบาท : กระบวนการเกิดและการดับทุกข

ทกุ ขสมทุ ยั (กระบวนการเกดิ ทกุ ข)
ทกุ ขนโิ รธ (กระบวนการดบั ทกุ ข)

“ผใู ดเหน็ ธรรม .... ผนู น้ั เหน็ ปฏจิ จสมปุ บาท ผใู ดเหน็ ปฏจิ จสมปุ บาท ..... ผนู น้ั เหน็ ธรรม”(พทุ ธพจน)

ปฏจิ จสมปุ บาท เปน หลกั ธรรมทส่ี ำคญั มากทพ่ี ระพทุ ธองคท รงตรสั รู เพราะเปน กระบวน (หว งโซ) การเกดิ ความทกุ ขแ ละการดบั ทกุ ขข องมนษุ ย หว งโซข องเหตุ

ปจ จยั ของการเกดิ ความทกุ ขข องมนษุ ย เรม่ิ ตน จากอวชิ ชา [ความไมร ไู มเ ขา ใจเกย่ี วกบั ๑.อรยิ สจั ๔ (ทกุ ข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค), ๒.ความไมร ใู นขนั ธ ๕ ในอดตี ปจ จบุ นั
และอนาคต, ๓.ความไมร ใู นปฏจิ จสมปุ บาท] จนกระทง่ั ชรามรณะ

ตหง้ัว แงโตซเ ขก อดิ งจน“ตปาฏยไจิ มจว าสจมะเปุ กบดิ เาปทน อ”ะนไรำกมต็ าาซมง่ึ กคต็วอา มงพทบกุ ขกบั หคว วงาโซมททน่ีกุ ำขมถ างึ ซแง่ึมคจ วะาเมกทดิ เกุ ปขน ท เม่ีทกัวจดะากหลรอืา วพถรงึ ะกพนั รบหอ มยกม็ คี วามทกุ ข เพยี งแตม คี วามสขุ มากกวา ทกุ ขเ ทา นน้ั เอง ทกุ

หลกั ท่วั ไป
ก. อมิ สมฺ ึ สติ อทิ ํ โหติ เมอ่ื สง่ิ นม้ี ี สง่ิ นจ้ี งึ มี
อมิ สสฺ ปุ ปฺ าทา อทิ ํ อปุ ปฺ ชชฺ ติ เพราะสง่ิ นเ้ี กดิ ขน้ึ สง่ิ นจ้ี งึ เกดิ ขน้ึ
ข. อมิ สมฺ ึ อสติ อทิ ํ น โหติ เมอ่ื สง่ิ นไ้ี มม ี สง่ิ นก้ี ไ็ มม ี
อมิ สสฺ นโิ รธา อทิ ํ นริ ชุ ฌฺ ติ เพราะสง่ิ นด้ี บั ไป “อทิ ปั ปสจ ง่ิจนยก้ี ตด็ บัา”(ดว ย)

พจิ ารณาตามรปู พยญั ชนะ หลกั ทว่ั ไปน้ี เขา กบั ชอ่ื ทเ่ี รยี กวา

ปฏิจจสมุปบาท : ทุกขสมุทัย (กระบวนการเกิดทุกข)

อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะอวิชชาเปนปจจัย สังขารจึงมี 1
สงฺขารปจฺจยา วิฺาณํ เพราะสังขารเปนปจจัย วิญญาณจึงมี
วิฺาณปจฺจยา นามรูป เพราะวิญญาณเปนปจจัย นามรูปจึงมี ปกรฏะิจบจวนสธมรปุรมบขาอทง
นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ เพราะนามรูปเปนปจจัย สฬายตนะจึงมี
สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส เพราะสฬายตนะเปนปจจัย ผัสสะจึงมี
ผสฺสปจฺจยา เวทนา เพราะผัสสะเปนปจจัย เวทนาจึงมี
เวทนาปจฺจยา ตณฺหา เพราะเวทนาเปนปจจัย ตัณหาจึงมี
ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ เพราะตัณหาเปนปจจัย อุปาทานจึงมี
อุปาทานปจฺจยา ภโว เพราะอุปาทานเปนปจจัย ภพจึงมี
ภวปจฺจยา ชาติ เพราะภพเปนปจจัย ชาติจึงมี
ชาติปจฺจยา ชรามรณํ เพราะชาติเปนปจจัย ชรามรณะจึงมี

โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติ
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข โทมนัส และความ คับแคนใจ จึงมีพรอม
เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ
ความเกิดขึ้นแหงกองทุกขทั้งปวงนี้ จึงมีได ดวยประการฉะนี้

อรยิ สัจขอที่ ๓ : นิโรธอรยิ สัจ (ความดบั ทุกข)

ปฏจิ จสมุปบาท - ทุกขนิโรธ : กระบวนการดับทกุ ข

ชีว�ตควรใหŒเปšนอย‹างไร ?

เป‡าหมายของชีว�ต : การดับทุกขที่ถาวรโดยใชŒหลักปฏิจจสมุปบาท

ปฏิจจสมุปบาท : ทุกขนิโรธ (กระบวนการดับทุกข)
อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไมเหลือ สงฺขารนิโรโธ สังขารจึงดับ
สงฺขารนิโรธา วิฺญาณนิโรโธ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
วิฺญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
นามรูปนิโรธา สฬายตนนิโรโธ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
สฬายตนนิโรธา ผสฺสนิโรโธ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
ผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เวทนานิโรธา ตณฺหานิโรโธ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
ตณฺหานิโรธา อุปาทานนิโรโธ เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
อุปาทานนิโรธา ภวนิโรโธ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
ภวนิโรธา ชาตินิโรโธ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
ชาตินิโรธา ชรามรณํ เพราะชาติดับ ชรามรณะ (จึงดับ)

โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนฺติ ตดั ตณั หาและอุปาทาน
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข โทมนัส ความคับแคนใจ ก็ดับ
เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติ ดวย ทาน ศีล ภาวนา (สมาธิ ปญญา)
ความดับแหงกองทุกขทั้งมวลนี้ ยอมมีดวยประการฉะนี้
ทาน ตัด โลภะ

ศลี ตัด โทสะ กเิ ลส
ภาวนา ตัด โมหะ

กระบวนการของความดบั ทุกข กระบวนการ (ห‹วงโซ‹) ของการดับทกุ ข

๑ อวชิ ชาดบั ๗ เวทนาดับ อวิชชาดับ หมดสิ้นกเิ ลสทงั้ ปวง

๒ สงั ขารดบั ๘ ตัณหาดับ เปา หมายในการดบั ทกุ ขโ ดยการ ดบั ผสั สะดบั หลุดพน
๓ วิญญาณดับ ๙ อุปาทานดบั ตณั หาและอปุ าทานเพอ่ื เปน การตดั เวทนาดับ หมดสนิ้ ทกุ ขโ ดยส้ินเชิง
หว งโซข องปฏจิ จสมปุ บาท ตัณหาดับ หยุดการเวียนวายตายเกดิ
อุปาทานดบั
๔ นามรปู ดบั ๑๐ ภพดับ ทกุ ขดบั บรรลุพระนิพพาน

๕ สฬายตนะดบั ๑๑ ชาติดับ (สำเรจ็ การเปนพระอรหนั ต)

๖ ผัสสะดับ ๑๒ ชรามรณะดบั จุดหมายสูงสุด
ของพระพทุ ธศาสนา
ทกุ ขด ับ พระนิพพาน

(หมดสน้ิ กเิ ลสทง้ั ปวง)

ดบั อวิชชา เปนการดับทุกขโดยส้นิ เชิง

การปฏบิ ตั ติ ามอรยิ มรรคมอี งค ๘ (มชั ฌมิ าปฏปิ ทา)
หรอื การปฏบิ ตั ติ าม “ไตรสกิ ขา” (ศลี สมาธิ ปญ ญา)

อรยิ สจั ขอ ท่ี ๔ : มรรคอรยิ สจั (มัชฌมิ าปฏปิ ทา-ทางสายกลาง)

อริยมรรคมีองคแ ปดและไตรสกิ ขา

ชีว�ตควรเปšนอยู‹อย‹างไร ?

ธรรมปฏิบัติที่จะใหŒถึงสุขอันไพบูลย ตŒองปฏิบัติตามอร�ยมรรคมีองคแปด
(มัชฌิมาปฏิปทา = ทางสายกลาง)

อร�ยมรรคมอี งค ๘ ไตรสกิ ขา

๑) สมั มาทฎิ ฐิ (ความเหน็ ชอบ) ๓
๒) สมั มาสงั กปั ปะ (ความดำรชิ อบ)
ปญ ญา : ทำใจใหบ รสิ ทุ ธ์ิ

๓) สมั มาวาจา (วาจาชอบ) ๑
๔) สมั มากมั มนั ตะ (การงานชอบ)
๕) สมั มาอาชวี ะ (อาชพี ชอบ) ศลี : การละชว่ั

๖) สมั มาวายามะ (ความเพยี รชอบ) ๒
๗) สมั มาสติ (ความระลกึ ชอบ)
๘) สมั มาสมาธิ (จติ ตง้ั มน่ั ชอบ) สมาธิ : ทำความดี

ตารางขางตน เปน การแสดงความสมั พันธร ะหวา งอรยิ มรรคและไตรสกิ ขา ขอสังเกตก็คอื อริยมรรคมีองค ๘ เริม่ ตน จาก
สัมมาทิฎฐิ (ความเหน็ ชอบ) เปนความเห็นชอบเก่ียวกบั เรื่อง ทกุ ข สมุทยั นิโรธ และมรรค หรือพูดใหเ ขาใจงา ยก็คือตองมี
ความเขาใจทีถ่ กู ตอ งเกยี่ วกบั “อริยสจั ๔” และมีความเชือ่ มนั่ ในคำสอนขององคพ ระสัมมาสัมพุทธเจาวา เปนคำสอนท่ี
ประเสริฐแทเกี่ยวกบั ทางปฏบิ ัติเพือ่ การดับทุกขและสรา งสุขอยา งแทจ รงิ ดังคำกลาว “นิพพานงั ปะระมัง สุขงั ”
(นิพพานเปนสุขยิ่งนัก หรือนพิ พานเปน ความสขุ สูงสุด เพราะหมดสนิ้ ซง่ึ กเิ ลสท้งั ปวง ไมมกี ารเกิดอกี แลว ไมวาจะเกิดเปน
ภพภูมิใดก็ตาม)

สัมมาทฎิ ฐติ รงกับหมวด “ปญญา” ของไตรสกิ ขา ซ่ึงการปฏิบัติธรรมตามไตรสกิ ขา ตอ งปูพืน้ ดานการรักษาศีลกอน
๑) “ศีล” รักษาศลี กอ น เพราะตองทำใหก ายและวาจาบรสิ ทุ ธกิ์ อ น (สมั มาวาจา สัมมากัมมนั ตะและสมั มาอาชวี ะ) เม่ือ

กายและวาจาบรสิ ทุ ธิ์ (ละการทำช่ัวทางกายและวาจา) กด็ ำเนนิ เรือ่ งตอ ดาน “สมาธิ” (การทำความดี)
๒) “สมาธ”ิ การเจริญสมาธิ จะตองมีบาทฐานของการรักษาศลี ทดี่ แี ละม่นั คง เพอ่ื ท่มี ุงหนาละชัว่ ทำดี โดยการเดนิ ตาม

อรยิ มรรค ดานสัมมาวายามะ สัมมาสติ และสมั มาสมาธิ โดยเฉพาะสัมมาวายามะ เปน ความเพยี รดา นการละชัว่ และทำ
ความดี เพ่ือใหใ จพรอ มทจี่ ะปฏิบตั ธิ รรมขั้นตอไป คอื สมั มาสติ (ความระลกึ ชอบ) และสัมมาสมาธิ (จติ ต้งั ม่ันชอบ)

๓) “ปญ ญา” เมื่อผา นขนั้ ตอนการการเจริญสมาธิแลว กด็ ำเนินเร่ือง “ปญ ญา” ซงึ่ เปนเรื่องการทำใจใหบริสุทธ์ิ โดยมี
อริยมรรคทสี่ ำคัญเพ่ือการปฏบิ ัติธรรมขั้นสูงสดุ มีสัมมาทิฎฐิ (ความเหน็ ชอบ) และสัมมาสงั กปั ปะ (ความดำริชอบ) เพราะ
สัมมาทิฎฐิ (ความเห็นชอบ) เปน การแกไ ข “อวิชชา” (ความไมรูตามความเปน จรงิ ) เพื่อใหเ กดิ “วิชชา” เม่ือเกดิ “วชิ ชา”
(รตู ามความเปนจรงิ ) “อวิชชา” กห็ ายไป (ดบั ) หวงโซของปฏิจจสมปุ บาท : ทุกขนิโรธกข็ าดลงทง้ั หมดซ่งึ ก็หมายถึงความ
ทกุ ขก็ดบั ลงทงั้ หมด เปน การบรรลุพระนพิ พานซ่ึงเปนเปาหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา

สมั มาสงั กปั ปะ (ดำริชอบ) เปน หลักธรรมทอ่ี อกจากกาม (ละกามราคะ) ซงึ่ เปน สงั โยชนท ีส่ ำคัญของการบรรลขุ ั้นพระ
อนาคามี ความดำรใิ นการไมเบียดเบยี นและความดำริในการไมพยาบาท ก็หลักธรรมทีส่ ำคญั ในการปฏิบตั เิ พื่อการบรรลุ
การเปนพระอริยบุคคล

ศีล สมาธิ ปญ ญา : เปาหมายสงู สุดคอื
บรรลพุ ระนิพพาน หรือบรรลุการเปนพระอรหันต

อริยมรรคมีองค ๘ และไตรสิกขา

มชั ฌิมาปฏิปทา - ศลี สมาธิ ปญ ญา

วิธีสรางบุญบารมี

(ทาน ศีล ภาวนา)

เรยี บเรยี งจาก : หนงั สอื วธิ สี รา งบญุ บารมี
โดยสมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา กรมหลวงวชริ ญาณสงั วร (สมเดจ็ พระสงั ฆราชฯ องคท ่ี ๑๙)

หมดสน้ิ กเิ ลสทง้ั ปวง > บรรลอุ รหตั ตผล
ละคลายจากความยดึ มน่ั ถอื มน่ั > คลายกำหนดั ในลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ ละความโลภ โกรธ และหลง
ไตรลกั ษณ > จติ ตกกระแสธรรมตดั กเิ ลส > ละคลายจากอปุ าทาน (ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั )
ขนั ธ ๕ > พจิ ารณาเหน็ เปน ไตรลกั ษณ : อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา
วปิ ส สนาภาวนา > อารมณข องวปิ ส สนา คอื พจิ ารณาขนั ธ ๕ (รปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ)

ภาวนา : การเจริญภาวนา

๒๑. การทำสมถภาวนา (การทำสมาธ)ิ ๑๐๐ ป ไดบ ญุ นอ ยกวา วปิ ส สนาภาวนา (การเจรญิ ปญ ญา) แมเ พยี งชว่ั ขณะจติ
๒๒. การอปุ สมบทเปน พระ ๑๐๐ ป ไดบ ญุ นอ ยกวา การทำสมาธิ (สมถภาวนา) แมน านเพยี งแคไ กก ระพอื ปก ชา งกระดกิ หู

ศีล : การรักษาศีล

๑๙. การบรรพชาเปน สามเณร ๑๐๐ ป ไดบ ญุ นอ ยกวา การถอื ศลี ๒๒๗ (การอปุ สมบทเปน พระ) ๑ วนั
๑๘. การถอื ศลึ แปด ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา การถอื ศลี สบิ (บรรพชาเปน สามเณร) ๑ ครง้ั
๑๗. การถอื ศลี หา ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา การถอื ศลี แปด (อโุ บสถศลี ) ๑ ครง้ั
๑๖. การใหธ รรมทาน ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา การถอื ศลี หา ๑ ครง้ั

ทาน : การใหทาน

๑๕. การใหอ ภยั ทาน ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา การใหธ รรมทาน ๑ ครง้ั
๑๔. ถวายวหิ ารทาน ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา การใหอ ภยั ทาน ๑ ครง้ั
๑๓. ถวายสงั ฆทานทม่ี อี งคส มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา เปน ประธาน ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา ถวายวหิ ารทาน ๑ ครง้ั
๑๒. ถวายทานองคส มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา ถวายสงั ฆทานทม่ี อี งคส มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา

เปน ประธาน ๑ ครง้ั
๑๑. ถวายทานพระปจ เจกพทุ ธเจา ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา ถวายทานองคส มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา ๑ ครง้ั
๑๐. ถวายทานพระอรหนั ต ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา ถวายทานพระปจ เจกพทุ ธเจา ๑ ครง้ั
๙. ถวายทานพระอนาคามี ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา ถวายทานพระอรหนั ต ๑ ครง้ั
๘. ถวายทานพระสกทิ าคามี ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา ถวายทานพระอนาคามี ๑ ครง้ั
๗. ถวายทานพระโสดาบนั ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา ถวายทานพระสกทิ าคามี ๑ ครง้ั
๖. ถวายทานพระสมมตสิ งฆ ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา ถวายทานพระโสดาบนั ๑ ครง้ั
๕. ทำทานผมู ศี ลี สบิ (สามเณร) ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา ถวายทานผมู ศี ลี ๒๒๗ (พระสมมตสิ งฆ) ๑ ครง้ั
๔. ทำทานผมู ศี ลี แปด ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา ทำทานผมู ศี ลี สบิ (สามเณร) ๑ ครง้ั
๓. ทำทานผมู ศี ลี หา ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา ทำทานผมู ศี ลี แปด ๑ ครง้ั
๒. ทำทานมนษุ ยผ ไู มม ศี ลี ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา ทำทานผมู ศี ลี หา ๑ ครง้ั
๑. ทำทานสตั วเ ดรจั ฉาน ๑๐๐ ครง้ั ไดบ ญุ นอ ยกวา ทำทานมนษุ ยแ มจ ะเปน ผไู มม ศี ลี ๑ ครง้ั

แผนภมู ธิ รรม

(โลกุตตรภมู ิ - โลกยี ภมู )ิ

พระอริยบคุ คล
และการละสงั โยชน ๑๐

1. อทุ ธมุ าตกะอสภุ รา งกายคนทต่ี ายไปแลว 1) อสุภกรรมฐาน 10 2.1 ราคะ มสี ภาพเหมอื นเสอื
2. วมนสี ลีภกาพะอตสา งภุ ๆเปนาน เรกา ลงยีกดายสทกม่ี ปสี รเี กขยี ว สแี ดง
3. วสปิขี พุาวพคกละะอกนัสไภุ ปเปน ซากศพทม่ี นี ำ้ เหลอื ง 2) เปนกรรมฐานแก ราคะจรติ 2.1.1 ฆา ดว ยอำนาจ “วปิ ส สนาญาณ”
4. วไหจิ ลฉเทิ ปทน กปะกอตสิ ภุ ซากศพทม่ี รี า งกายขาด
5. วเปกิ นขทาอยนติ กะอสภุ รา งกายของซากศพท่ี (จิตที่รกั สวย รกั งาม) 4.1 จติ ออกจากรา ง
6. วถกิกู ขสตัติ วตย กอ้ื ะแอยสง ภุกดั เกปนิน ซากศพทถ่ี กู ทอดทง้ิ 3) อสุภกรรมฐาน 10 อยาง 4ลไหสเปมภมน.1ลม าอยไ่ีใี.พ1งฟคนไรร)หสใาเหดภอลงกบัาอา(าพนอหเยพกาเมปงตดรมสน าานีริเคมะรมิำ้เวตม่ิมเาาวัลจอ่ื)มอืาตพธนกดาารา ยตลอเนแกทุมมำ้ลลง้ั-แเไวยีหถ4ฟดลมค-(อืนเนวดงงำ้าานินิ -มกใดนงลหนนิำ้าวัำ้ มก็
7. หไวตก วรกิะจขดัติ กตรกะะจอาสยภุ ซากศพทถ่ี กู สบั ฟน
1980.. ปโเ.ลปฬุ อหน วุฏั ทติ กฐอกะกินะอะอนสอสอ ภุสยภุ ภุทซซอาซานกากศใกศหพศพญทพทเ่ีทตเ่ี ลม่ีม็ อืแีไดปตไกดหรว ละยเดตปกูวัน ปหกนตอิ น มีความม“ุง แหกมราายคอยะาจงรเดติ ีย”วกนั คอื

4) รา งกายของคนเม่ือตายแลว มีสภาพ
ไมเทีย่ ง สกปรก นาเกลยี ด นา กลวั
5) ความสกปรกอยใู นรา งกายเรา
ขณะมชี วี ติ อยู
6) สง่ิ ทเ่ี ราเหน็ เปน เพยี ง “ผวิ หนงั ”
ทบ่ี งั สว นสกปรกและนา เกลยี ด
7) เพราะความโง (อวชิ ชา)
เปน เครอ่ื งปกปด ใจ ทำใหม องไมเ หน็
“ความเปน จรงิ ”

ควา8ม)สเมกปอ่ื รรคูกวขาอมงเรปา นงกจารยงิ เก(ขย่ี นวั กธบั  5)

9) อยา ยดึ ถอื วา รา งกายเปน ของสะอาด
สวยสด งดงาม

10) ใหพ จิ ารณาตวั เราเองและผอู น่ื
ลว นแตม สี ภาพเดยี วกนั แทจ รงิ กค็ อื
รา งกายของทกุ คนเตม็ ไปดว ยของสกปรก
ไมว า จะยงั มชี วี ติ อยู หรอื หลงั ความตาย
11) ทกุ สง่ิ ทกุ อยา งในโลกนส้ี กปรก

ไปหมด ไมเ ฉพาะคน
12) ทำใหเ กดิ ความสะอดิ สะเอยี น

(อแนลจิ ะทจส่ีงั ำ)คใเนปญั ทน รส่ีทา ดุงกุ กข(าไแ ยตลมระคี สลวลกั าาษมยเตณปวั ล) ย่ี(อนนแปตั ลตงา)

13) รา งกายนไ้ี มใ ชเ รา (จติ ) ไมใ ชข องเรา
รา งกายนไ้ี มม ใี นเรา เราไมม ใี นรา งกาย
14) เกดิ ความเบอ่ื หนา ยในรา งกาย

(นพิ พทิ าญาณ)

15) ไมย ดึ ตดิ 16) คลายออก 17) หลดุ พน 18) นพิ พาน
(อปุ าทาน) (วริ าคะ) (วมิ ตุ ต)ิ





มหาสติป˜ฏฐานสตู ร

ทม่ี า: ธรรมโดเทยศหนาลเวรงอ่ื พงอ “มหษาลีสงติ ดปิ ำฎ ฐานสตู ร”

4. ธรรมานปุ ส สนา (เหน็ ธรรมในธรรม) 4.1 หลกั ในการพจิ ารณาธรรมานปุ ส สนา

4.1 นวิ รณบ รรพ : การตามดรู ทู นั ธรรม รขู ดี ในการนน้ั ๆ วา นวิ รณ 5 แตล ะอยา งมอี ยใู นใจตน - พจิ ารณาในมหาสตปิ ฎ ฐานสตู รในตอนทา ยทกุ ขอ พระพทุ ธองคท รงกลา ววา “เมอ่ื เหน็
หรอื ไมท ย่ี งั ไมเ กดิ เกดิ ขน้ึ ไดอ ยา งไร ทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว จะเสยี ไดอ ยา งไร ทจ่ี ะไดเ สยี แลว ไดเ กดิ ขน้ึ อกี แลว กร็ สู กึ สกั แตเ พยี งวา เหน็ ยงั รา งกาย (ขนั ธ 5) อาศยั อยกู ส็ กั แตว า อาศยั อยู
ตอ ไปอยา งไร รชู ดั ตามทเ่ี ปน ไปอยใู นขณะนน้ั - ไมย ดึ ถอื วา มนั เปน เรา (จติ ) เปน ของเรา
4.2 ขนั ธบรรพ : กำหนดรขู นั ธ 5 แตล ะอยา งคอื อะไร เกดิ ขน้ึ ไดอ ยา งไร ดบั ไปไดอ ยา งไร - ไมย ดึ ถอื ในรา งกายของเราดว ย
4.3 อายตนบรรพ : รจู กั อายตนภายใน ภายนอกแตล ะอยา ง รชู ดั ในอายตนนน้ั ๆ รชู ดั วา สญั โญ - ไมย ดึ ถอื ในรา งกายของบคุ คลอน่ื ดว ย
ชนท ย่ี งั ไมเ กดิ เกดิ ขน้ึ ไดอ ยา งไร ทล่ี ะไดแ ลว ไมเ กดิ ไดอ กี ตอ ไปอยา งไร - แลว กไ็ มย ดึ ถอื ทกุ สง่ิ ทกุ อยา งในโลกดว ย
4.4 โพฌชงคบรรพ : รชู ดั ในขณะนน้ั วา โพฌชงค 7 แตล ะอยา งมอี ยใู นใจตนหรอื ไม ทย่ี งั ไม - เปน วปิ ส สนาญาณตวั ยอ เพอ่ื ทำลายสงั โยชน 10 ประการ ดว ยอำนาจสกั กายทฎิ ฐิ
เกดิ เกดิ ขน้ึ ไดอ ยา งไร ทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว เจรญิ เตม็ บรบิ รู ณไ ดอ ยา งไร (เปน สงั โยชนข อ แรกทส่ี ำคญั มาก) เปน สงั โยชนข อ แรกทพ่ี ระอรยิ บคุ คลทกุ ระดบั จะตอ ง
4.5 สจั จบรรพ : รชู ดั อรยิ สจั 4 แตล ะอยา งตามความเปน จรงิ วา คอื อะไร เปน อยา งไร บรรลใุ หไ ด

2. เวทนานปุ ส สนา (เหน็ เวทนาในเวทนา) เวทนานุปสสนา ธัมมานุปสสนา จิตตานุปสสนา 3. จติ ตานปุ ส สนา (เหน็ จติ ในจติ )

- ตามดรู ทู นั คอื เมอ่ื เกดิ ความรสู กึ สขุ กด็ ี ทกุ ขก ด็ ี เฉยๆ กด็ ี มหาสติปฎฐาน - การตามดูรทู ันจติ คือ จติ ของตนในขณะนน้ั เปนอยางไร
ทง้ั ทเ่ี ปน อามสิ และนริ ามสิ กร็ ชู ดั ตามทเ่ี ปน อยใู นขณะนน้ั ๆ เชน จติ มรี าคะ ไมมีราคะ มโี ทสะ ไมมีโทสะ มีโมหะ ไมม ี
- เหน็ ความเกดิ ขน้ึ และความเสอ่ื มในเวทนา กายานุปสสนา โมหะ ฟุงซา น เปน สมาธิ หลดุ พน ยังไมหลดุ พน ฯลฯ กร็ ูชัด
ตามทเี่ ปนอยุใ นขณะนน้ั ๆ
2.1 หลกั ปฏบิ ตั ดิ า นเวทนานปุ ส สนา
3.1 หลกั การปฏบิ ตั ดิ า นจติ ตานปุ ส สนา
- เราไมม อี ารมณจ ะยดึ ถอื อะไรทง้ั หมดในโลก เพราะรา งกาย
(ขนั ธ 5) นไ้ี ม ใชเ ราไมใ ชข องเรา รา งกายนเ้ี ปน ไตรลกั ษณ พระพุทธองคท รงแนะนำวา ...
เวทนาจงึ เปน สว นหนง่ึ ของขนั ธ 5 กเ็ ปน ไตรลกั ษณด ว ย ทุกสิ่งทุกอยางเห็นแลว ก็ทำความรูสึกแตเพยี งสกั แตว าเห็น อยา ไป
- อารมณข องพระนพิ พาน คอื จติ ไมเ กาะตดิ เวทนาทเ่ี ปน สขุ ยุง กับมัน เมอ่ื เขาไปอาศัยอยูค อื จิตอาศัยกาย กม็ ีความรสู ึกสกั แตวา
เปน ทกุ ข ไมส ขุ และไมท กุ ข ไมเ กาะตดิ เวทนาทม่ี อี ามสิ และท่ี เพียงอาศัย อยา ยึดถือกายภายในคือรางกายของเรา อยายดึ ถือกาย
ไมม อี ามสิ และไมเ กาะตดิ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา งในโลก ภายนอก อยา ยดึ ถือ อะไรๆ ทงั้ หมด คอื ไมย ึดถอื กับเราไมย ดึ ถือเรา
ไมยดึ ถอื อะไรๆ ทัง้ หมดใน โลก อารมณจ ิตตรงน้ีเปนอารมณจ ิตของ
พระอรหันต

1. กายานปุ ส สนา (เหน็ กายในกาย) 1.1 หลกั ในการพจิ ารณากายานปุ ส สนา 1.2 หลกั ปฏบิ ตั เิ พอ่ื บรรลกุ ารเปน พระอรหนั ต

๑.๑ อานาปานบรรพ : กำหนดรอู ยทู ล่ี มหายใจ เขา -ออก สน้ั - รา งกายภายในก็ดี (ตวั เรา) รางกายภายนอก (ผอู น่ื ) กด็ ี มันมี - จติ คิดไวเสมอวารา งกาย (ขนั ธ 5) เตม็ ไปดว ยความสกปรก
หรอื ยาว ปอ งกนั อารมณฟ งุ ซา น ความ เกิดขนึ้ และมคี วามเสือ่ มไป ทานทงั้ หลายจงอยาไปสนใจใน มสี ภาพไมท รงตวั มีการเกดิ ขึ้นในเบื้องตน มกี ารแปรปรวนใน
๑.๒ อริ ยิ าบทบรรพ : กำหนดรวู า รา งกายกำลงั อยใู นอริ ยิ า กาย เมือ่ เหน็ ก็สักแตวา เหน็ เมอ่ื อาศยั อยูก ร็ ูวาเราอาศยั อยู จง ทา มกลาง มกี ารสลายตัวไปในทีส่ ดุ (ตามหลกั ไตรลกั ษณ) การ
บทใด “นง่ั ยนื เดนิ นอน” ไมย ดึ ในรางกาย และไมย ึดถอื อะไรทั้งหมดในโลกน้ี เพราะขนื มขี นั ธ 5 เปน ปจจยั ของ ความทกุ ข
๑.๓ สมั ปชญั ญะบรรพ : กำหนดรตู วั ทว่ั พรอ มวา กำลงั อยใู น ยึดถือมนั ก็จะทำใหเ กิด ความทกุ ข (อุปาทานขนั ธ 5) “รา งกาย - ส่ิงท่เี ราตอ งการคอื ดนิ แดนอมตะท่ีปราศจากขนั ธ
อริ ยิ าบทใด หรอื รวู า กำลงั ทำอะไรอยู (ขนั ธ 5) นีไ้ มใ ชเรา (จิต) ไมใชข องเรา (จติ )” (ดินแดนพระนิพพาน) ที่ปราศจากโลภะ (ความโลภ) ปราศจาก
๑.๔ ปฏกิ ลู บนสกิ ารบรรพ : พจิ ารณารา งกายประกอบดว ย - เวลาปฏบิ ัติจริง ปฏิบตั ิพรอ มกนั ทกุ บรรพ ตอ เน่ืองกันตั้งแต อา โทสะ (ความโกรธ) ปราศจากโมหะ (ความหลง)
อาการ 32 อยา ง ตง้ั แตห วั จรดเทา ลว นแตส กปรก นาปานสติ - อิริยาบถ - สัมปชัญญะ - ปฏกิ ูล - ธาตุ 4 - นวสี - หากตัดกิเลส (โลภะ โทสะ โมหะ) ไดท ัง้ หมด กบ็ รรลุการ
๑.๕ ธาตมุ นสกิ ารบรรพ : พจิ ารณารา งกายประกอบดว ย (ซากศพ) เปน “พระอรหันต”
ธาตุ 4 คอื ดนิ นำ้ ลม ไฟ ลว นแตส กปรก
๑.๖ นวสวี กถิ าบรรพ : พจิ ารณาซากศพในสภาพตา งๆ ลว น
แตส กปรก

มหาสติปฏฐาน ๔

1. กายานปุ ส สนา (เหน็ กายในกาย)

1.1 อานาปานบรรพ: กำหนดรอู ยูท ี่ลมหายใจ เขา-ออก สั้นหรือยาว ปองกนั อารมณฟุง ซาน
1.2 อิรยิ าบทบรรพ: กำหนดรูวารา งกายกำลังอยใู นอริ ยิ าบทใด “น่งั ยืน เดิน นอน”
1.3 สมั ปชญั ญะบรรพ: กำหนดรตู วั ท่ัวพรอ มวากำลงั อยใู นอริ ยิ าบทใด หรือรวู ากำลังทำอะไรอยู
1.4 ปฏกิ ลู บนสิการบรรพ: พิจารณารางกายประกอบดว ยอาการ 32 อยา ง ตง้ั แตห ัวจรดเทา

ลว นแตส กปรก
1.5 ธาตุมนสกิ ารบรรพ: พจิ ารณารางกายประกอบดวยธาตุ 4 คอื ดนิ นำ้ ลม ไฟ ลว นแตสกปรก
1.6 นวสีวกถิ าบรรพ: พจิ ารณาซากศพในสภาพตางๆ ลวนแตส กปรก

1.1 หลักในการพิจารณากายานุปสสนา 1.2 หลักปฏิบัติเพื่อบรรลุการเปนพระอรหันต

- รา งกายภายในก็ดี (ตวั เรา) รางกายภายนอก (ผูอ่ืน) ก็ดี - จิตคดิ ไวเ สมอวารางกาย (ขนั ธ 5) เต็มไปดวยความ
มนั มีความเกดิ ขึ้นและมคี วามเสือ่ มไป ทานทั้งหลายจงอยา สกปรกมีสภาพไมท รงตัว มกี ารเกดิ ขนึ้ ในเบือ้ งตน มกี าร
ไปสนใจในกาย เมื่อเห็นกส็ กั แตว า เห็น เมือ่ อาศยั อยูก ็รูวา แปรปรวนในทามกลาง มกี ารสลายตัวไปในท่สี ุด
เราอาศัยอยู จงไมยึดในรา งกายและไมย ดึ ถืออะไรทง้ั หมด (ตามหลักไตรลกั ษณ) การมขี นั ธ 5 เปน ปจ จยั ของ ความ
ในโลกนี้ เพราะขนื ยึดถอื มันกจ็ ะทำใหเกิดความทกุ ข ทุกข
(อปุ าทานขันธ 5) “รา งกาย (ขนั ธ 5) นี้ไมใชเ รา (จิต)
ไมใชของเรา (จิต)” - สงิ่ ทีเ่ ราตองการคอื ดนิ แดนอมตะทปี่ ราศจากขนั ธ
(ดินแดนพระ- นพิ พาน) ที่ปราศจากโลภะ (ความโลภ)
- เวลาปฏบิ ัติจรงิ ปฏบิ ัติพรอ มกนั ทกุ บรรพ ตอเนอ่ื งกนั ปราศจากโทสะ (ความโกรธ) ปราศจากโมหะ (ความหลง)
ต้ังแต อานาปานสติ - อริ ยิ าบถ - สัมปชัญญะ - ปฏกิ ลู -
ธาตุ 4 - นวสี (ซากศพ) - หากตัดกเิ ลส (โลภะ โทสะ โมหะ) ไดท งั้ หมด กบ็ รรลุการ
เปน “พระอรหนั ต”

2. เวทนานปุ ส สนา (เหน็ เวทนาในเวทนา)

- ตามดรู ทู ัน คอื เมื่อเกิดความรูสกึ สขุ ก็ดี ทุกขก ็ดี เฉยๆ กด็ ี
ทงั้ ทเ่ี ปนอามิส และนริ ามิส ก็รูช ดั ตามท่ีเปน อยใู นขณะนั้นๆ
- เห็นความเกิดขึ้น และความเส่อื มในเวทนา

2.1 หลักปฏิบัติดานเวทนานุปสสนา

- เราไมม ีอารมณจะยดึ ถืออะไรทั้งหมดในโลก เพราะรา งกาย (ขันธ 5) น้ไี ม ใชเ ราไมใ ชของเรา รางกายนี้เปน
ไตรลกั ษณ เวทนาจงึ เปน สวนหนงึ่ ของขนั ธ 5 ก็เปน ไตรลักษณด ว ย
- อารมณของพระนพิ พาน คือจติ ไมเ กาะติดเวทนาทีเ่ ปน สขุ เปนทุกข ไมสุขและไมทกุ ข ไมเกาะติดเวทนาทม่ี ีอามิส
และท่ไี มมีอามิส และไมเ กาะตดิ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา งในโลก

3. จติ ตานปุ ส สนา (เหน็ จติ ในจติ )

- การตามดูรูท นั จิตคือ จติ ของตนในขณะนนั้ เปนอยางไร เชน จติ มีราคะ ไมม รี าคะ มโี ทสะ
ไมม ีโทสะ มโี มหะ ไมม ีโมหะ ฟุงซาน เปน สมาธิ หลดุ พน ยังไมห ลดุ พน ฯลฯ ก็รชู ัดตามที่เปนอ
ยใุ นขณะนนั้ ๆ

3.1 หลักการปฏิบัติดานจิตตานุปสสนา

พระพุทธองคท รงแนะนำวา ...
ทุกส่ิงทุกอยางเหน็ แลวก็ทำความรสู ึกแตเพียงสักแตวาเหน็ อยาไปยุงกบั มัน เม่ือเขา ไปอาศัยอยคู อื จิตอาศยั กาย
ก็มคี วามรสู กึ สกั แตว า เพียงอาศัย อยา ยดึ ถือกายภายในคอื รา งกายของเรา อยา ยดึ ถือกายภายนอก อยายดึ ถือ
อะไรๆ ทงั้ หมด คือไมย ึดถือกับเราไมยดึ ถือเรา ไมย ดึ ถืออะไรๆ ทัง้ หมดใน โลก อารมณจิตตรงน้ีเปนอารมณจิต
ของพระอรหันต

4. ธรรมานปุ ส สนา (เหน็ ธรรมในธรรม)

๔.๑ นิวรณบ รรพ : การตามดรู ทู ันธรรม รขู ดี ในการนัน้ ๆ วา นิวรณ 5 แตล ะอยางมีอยูในใจตน
หรือไม ที่ยงั ไมเ กิด เกดิ ข้นึ ไดอยางไร ที่เกดิ ขนึ้ แลว จะเสยี ไดอยางไร ท่จี ะไดเ สยี แลว ไดเกดิ ข้ึนอีก
ตอ ไปอยางไร รูชดั ตามท่เี ปน ไปอยูในขณะนนั้
๔.๒ ขนั ธบรรพ : กำหนดรูขนั ธ 5 แตล ะอยา งคอื อะไร เกดิ ขึน้ ไดอยา งไร ดับไปไดอ ยา งไร
๔.๓ อายตนบรรพ : รจู ักอายตนภายใน ภายนอกแตล ะอยาง รูช ดั ในอายตนน้นั ๆ รูชัดวาสญั โญ
ชนท ีย่ งั ไมเกิด เกดิ ขนึ้ ไดอยางไร ที่ละไดแ ลว ไมเกดิ ไดอ กี ตอไปอยา งไร
๔.๔ โพฌชงคบรรพ : รชู ดั ในขณะนัน้ วาโพฌชงค ๗ แตละอยางมีอยูในใจตนหรือไม ท่ยี งั ไมเกดิ
เกดิ ข้ึนไดอยา งไร ทเ่ี กดิ ขน้ึ แลวเจริญเตม็ บรบิ รู ณไ ดอ ยางไร
๔.๕ สัจจบรรพ : รชู ัดอรยิ สัจ ๔ แตล ะอยางตามความเปน จริง วา คอื อะไร เปน อยางไร

4.1 หลักในการพิจารณาธรรมานุปสสนา

- พิจารณาในมหาสติปฎฐานสตู รในตอนทา ยทุกขอ พระพุทธองคทรงกลาววา “เม่ือเห็นแลว กร็ สู ึกสกั แตเ พียง
วาเห็นยังรา งกาย (ขันธ 5) อาศยั อยูก็สักแตว าอาศัยอยู
- ไมยึดถอื วา มันเปน เรา (จิต) เปนของเรา
- ไมย ึดถือในรางกายของเราดวย
- ไมยดึ ถอื ในรางกายของบคุ คลอ่ืนดว ย
- แลว ก็ไมยึดถือทุกสง่ิ ทุกอยา งในโลกดวย
- เปนวิปสสนาญาณตวั ยอ เพ่ือทำลายสังโยชน 10 ประการ ดวยอำนาจสกั กายทิฎฐิ (เปนสังโยชนขอ แรกที่
สำคญั มาก) เปน สงั โยชนข อ แรกทพี่ ระอริยบุคคลทกุ ระดับจะตองบรรลุใหได

คำสอนหลวงพอ 1) พงึ เหน็ ซากศพ มสี ภาพสกปรก และนาเกลียด คำอธบิ าย (ตอ )
นากลวั (อสภุ สัญญา)
นวสที ป่ี า ชา เกา จงึ กลา วตามพระบาลวี า ปนุ ะ จะปะ ความสามคั คกี นั เมอ่ื ไร รา งกายทจ่ี ดั วา เปน เรอื นรา งมนั
รงั ภกิ ขะเว ภกิ ขุ เสยยะถาป ปส เสยยะ สะรรี งั ผมขอ 2) นอ มเขา มาสกู ายเราวา กต็ อ งสลายตวั ธาตุ ๔ กห็ มายถงึ วา ธาตดุ นิ ธาตไุ ฟ
วา เทา น้ี ความกม็ วี า (พทุ ธพจน) : ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย 3) รา งกาย (ขันธ 5) ของเรากเ็ ปนอยา งน้ี ธาตลุ ม ธาตนุ ำ้ ธาตทุ ง้ั ๔ นม่ี นั ตอ งสามคั คมี กี ารรวมตวั
ขอ อน่ื ยงั มอี ยอู กี ภกิ ษุ เหมอื นจะกบั วา จะพงึ เหน็ สรรี ะ กนั ถา หากวา ธาตทุ ง้ั ๔ ยงั มกี ำลงั สมำ่ เสมอกนั ครบถว น
คอื ซากศพทเ่ี ขาเอาไปทง้ิ แลว ในปา ชา ตายแลว วนั หนง่ึ “เปน ธรรมดา” บรบิ รู ณเ ตม็ ๑๐๐ เปอรเ ซน็ ต รา งกายของบคุ คลนน้ั
หรอื วา ตายแลว สองวนั หรอื วา ตายแลว สามวนั มนั ขน้ึ ไมเ ปน อยางอ่ืนไปได จะตองเปนอยางน้ี กเ็ ปน รา งกายทม่ี อี าการทรงตวั เปน รา งกายทไ่ี มม โี รค
พองอดื มสี เี ขยี ว นา เกลยี ด ในสรรี ะกม็ นี ำ้ เหลอื งไหล (ยอมรับวา “มนั เปนความจรงิ ท่เี ราหนีไมพ น”) รา งกายแขง็ แรงปราศจากโรคภยั ไขเ จบ็ ปราศจากความ
นา เกลยี ด คอื กน็ อ มเขา มาสกู ายนว้ี า ถงึ แมว า รา งกาย 4) ใหพ ิจารณากายของเรา และพิจารณากาย ออ นแอ เมอ่ื วา เปน รา งกายทไ่ี มต อ งใชย ารกั ษาโรค กนิ
ของเราน้ี กเ็ ปน อยา งนเ้ี ปน ธรรมดา คงไมเ ปน อยา งอน่ื แตอ าหารกพ็ อ เปน อนั วา ถา ธาตุ ทง้ั ๔ ยงั คมุ กนั อยู
ไปได จะตอ งเปน อยา งน้ี ไมล ว งพน ความเปน อยา งนไ้ี ป ของผอู ่นื เพยี งใด รา งกายกท็ รงอยู นส่ี ำหรบั คนตาย ธาตอุ ะไร
ได และไดก ลา วตอ ไปวา ภกิ ษยุ อ มพจิ ารณาเหน็ กายใน 5) ใหเ ห็นธรรมดา (ความเปนจรงิ ) คือความเกิด มนั หายไปบา ง อนั ดบั แรกทส่ี ดุ ธาตลุ มหายไป เมอ่ื ธาตุ
กาย เปน ภายในกายบา ง ยอ มพจิ ารณาเหน็ กายในกาย ลมหายไปแลว มนั กเ็ หลอื แตธ าตไฟ ธาตนุ ำ้ ธาตดุ นิ ลม
เปน ภายนอกบา ง ยอ มพจิ ารณาเหน็ กายในกายทง้ั ของกาย เปน เครอ่ื งปรนเปรอใหไ ฟตดิ ถา หากวา เราจะไปจดุ ไฟ
ภายในทง้ั ภายนอกบา ง ยอ มพจิ ารณาเหน็ ธรรมดาคอื ในทอ่ี บั ทไ่ี มม ลี มผา น ไมม อี ากาศไฟกจ็ ะไมต ดิ แมถ า
ความเกดิ ขน้ึ ในกายบา ง ยอ มพจิ ารณาเหน็ ธรรมดาคอื 6)เปใหลเ หย่ี น็นคแวปามลเงสต่อื ลมไอปดขเอวงลกาาย(อเพนริจาะจมังีก)าร เขา ไปในถำ้ ลกึ ๆ เราถอื ไฟฉายเขา ไปซง่ึ มนั มกี ระแสไฟ
ความเสอ่ื มไปในกายบา ง ยอ มพจิ ารณาเหน็ ธรรมดา เกดิ จากพลงั งานของถา นไฟฉาย เรากฉ็ ายไมต ดิ เหมอื น
ของความเกดิ ขน้ึ และความเสอ่ื มไปในกายบา ง กห็ รอื ต้งั แตเดก็ จนกระทัง่ แก และ ตาย กนั นร้ี า งกายนเ่ี หมอื นกนั ทางธาตลุ มมนั ไมม แี ลว ธาตุ
วา กายนม้ี อี ยู กเ็ ขา ไปตง้ั อยเู ฉพาะหนา แกเ ธอนน้ั ก็ 7) ใหเห็นความเกดิ แก เจบ็ ตาย เปนเร่อื งธรรมดา ไฟมนั กล็ กุ อยไู มไ ด ผลทส่ี ดุ ธาตไุ ฟมนั กส็ ลายตวั
เพยี งแตส กั วา เปน ทร่ี ู เพยี งแตส กั วา เปน ทอ่ี าศยั ระลกึ จะเหน็ วา คนตายเมอ่ื สน้ิ ลมปราณแลว รา งกายเยน็ ชดื
เธอยอ มไมต ดิ อยดู ว ย ยอ มไมย ดึ ถอื อะไรๆ ในโลกดว ย ธาตไุ ฟกห็ มด เมอ่ื ธาตไุ ฟหมดไป ธาตลุ มหมดไปเหลอื
นท่ี า นวา อยา งน้ี สำหรบั ขอ หลงั เปน วปิ ส สนาญาณ แตธ าตนุ ำ้ กบั ธาตดุ นิ ขณะทธ่ี าตลุ มยงั อยู ธาตลุ มประ
รา งกายน่ี มนั ไมม อี ะไรคอื สาระคอื แกน สาร คบั ประครองใหไ ฟลกุ มคี วามอบอนุ ทำดนิ ใหร บั ความ
แหง ความแกรง พอสมควร พอทจ่ี ะตอ สกู บั ธาตนุ ำ้ ได
คำอธบิ าย 8) ดังน้นั ใหเรา (จิต) ยอมรบั ความจริงดังกลา ว คราวนเ้ี มอ่ื ธาตลุ มหมดไป ธาตไุ ฟดบั ดนิ กไ็ มส ามารถ
วา เกดิ มาแลว ตอ งตายทกุ คน จะสนู ำ้ ได นำ้ กล็ ะลายธาตดุ นิ
นวสี คอื ปา ชา เกา ซากศพมลี กั ษณะ ๙ อยา ง ถา ไมม ใี ครหนีพน ธาตนุ ำ้ ทม่ี อี ยใู นรา งกายละลายธาตดุ นิ กไ็ ดแ ก เนอ้ื ผล
จะวา กนั ไปมนั กเ็ หมอื นกบั ของทเ่ี ราเคยเหน็ คอื คน ทส่ี ดุ ธาตดุ นิ ถกู ละลายมากก็ ลายเปน ของเละหมดความ
ตาย ๑ วนั บา ง คนตาย ๒ วนั บา ง คนตาย ๓ วนั บา ง 9) ใหเห็นความจริงวา รางกายเปนเพียง แขง็ นำ้ กป็ ดู ออกมามอี าการเนา เนอ้ื หนงั มนั กเ็ ละไป
คนตายขน้ึ อดื มนี ำ้ เหลอื งไหล และกส็ ง กลน่ิ เหมน็ โชย ทอี่ าศยั ชวั่ คราวของเรา (จติ ) หมด ธาตดุ นิ ละสนู ำ้ ไมไ ด เมอ่ื ธาตดุ นิ ธาตนุ ำ้ ละลายดนิ
มาตง้ั ไกล เมอ่ื ผลทส่ี ดุ อาการนำ้ เหลอื งไหลไปหมด เละออกมา กลน่ิ เหมน็ กป็ รากฏ นำ้ เลอื ด นำ้ เหลอื ง นำ้
รา งกายกโ็ ทรมลงเหลอื แตห นงั หมุ กระดกู มกี ลน่ิ แฝง 10) เราจะไมย ดึ ติด (อปุ าทาน) กับรา งกายนี้ หนองทข่ี งั อยใู นรา งกายกข็ ยายตวั ไมม ใี ครควบคมุ
ปรากฏตอ ไปหนงั กห็ มดเหลอื แตเ สน เอน็ รดั รงึ กระดกู เพราะดนิ ไมแ ขง็ ดนิ ออ นเสยี แลว คมุ นำ้ ไมไ ดน ำ้ กไ็ หล
เขา ไว ตอ ไปเสน เอน็ กห็ มด เหลอื กระดกู เปน ทอ น แลจะะไตมอ ย งึดสถลือาอยะไไรปๆ (ใอนนโลตั กตเาพ)ราไะปรใานงทกส่ี าดุยน้ี ออก มนั ไมไ หลออกจากทางทวารอยา งเดยี ว มนั ซมึ ออก
กระดกู ยาวเหยยี ดเปน รปู ของกาย กายมนั เหลอื แต (เ“ปไน มกยไามดึรมลถะีอื ใว“นส1ารกั1า รกง)า กางวายกปิยทาสยฎิ รสเฐา ปนง”ิ นกาจเญาระยาไามไณมเม ปมกี น:าใี รนขถเออืรงตาเ”วัรถาอื เตรนา ทกุ จดุ ของรา งกาย และกเ็ ปน นำ้ สกปรกน้ี นำ้ ตวั นม้ี มี า
กระดกู แลว ในทส่ี ดุ อาการของกระดกู ทร่ี ดั ตรงึ กนั อยู จากไหน เรากต็ อ งดกู นั วา นำ้ นม่ี นั มาจากไหน และความ
ตอ กนั อยกู ข็ าดออกไปเปน ชน้ิ เปน ทอ น เรย่ี ไรแลว ก็ ซง่ึ เปน สงั โยชนข อ แรกของการบรรลกุ ารเปน สกปรกตา งๆ นม่ี นั มาจากไหน มนั มาหลงั จากเราตาย
จมหายไปในปฐพี พระอรยิ บคุ คลตง้ั แตพ ระโสดาบนั ขน้ึ ไป) ไปแลว หรอื มนั อยใู นรา งกายตง้ั แตส มยั ทเ่ี รามชี วี ติ อยู
แลว กอ นตาย เมอ่ื พจิ ารณาไปแลว กจ็ ะทราบชดั วา ทกุ
อาการอยา งนอ้ี งคส มเดจ็ พระชนิ สหี บ รมศาสดาสมั - สง่ิ ทกุ อยา งนม่ี นั มอี ยแู ลว ในสมยั ทเ่ี ราทรงชวี ติ อยู เรา
มาสมั พทุ ธเจา ทรงแนะนำวา ทา นทง้ั หลายจงพจิ ารณา เดนิ ไปเดนิ มา นง่ั อยู ทำงานอยู บรหิ ารอยู มคี วาม
เหน็ กายในกาย คอื วา กายของเรานต่ี อ ไป มนั กม็ สี ภาพ ปรารถนาอยใู นสง่ิ ทกุ อยา ง สง่ิ สกปรกทง้ั หลายเหลา น้ี
อยา งน้ี ในเมอ่ื สน้ิ ลมปราณแลว เมอ่ื ไร เมอ่ื ธาตุ ๔ แตก มนั มอี ยใู นกายเราครบถว น

บทสรปุ

ที่พระพุทธเจากลาววา เมื่อดูซากศพแลวก็จงมาดูวารางกายของเรานี้มันก็มีสภาพอยางนั้น พิจารณาเห็นเปนของปฏิกูลและสัญญาวารางกายสกปรก หรือวา อสุภสัญญา คือจำได
ไวเสมอวา รางกายเรานี่สกปรกเหมือนกับซากศพแบบนี้มันนารักตรงไหน แลวดูกายภายนอก นั่นคือกายของบุคคลอื่น วากายของบุคคลอื่นก็มีอาการสกปรกเหมือนกัน นี้พระพุทธเจา
ใหพิจารณาตอไปวา รางกายของเราก็ดี รางกายของบุคคลอื่นก็ดี ที่เต็มไปดวยความสกปรก มันสะอาดมีสภาพเปนซากศพอยางนี้ ที่มันเปนอยางนี้ไดก็เพราะอะไร ก็เพราะวาอาศัย ที่
รางกายของเรานี่มันไมเที่ยง มันมีอการเคลื่อนตัวอยูเปนปกติ คือมันมีความเกิดขึ้นและก็มีความเสื่อมไปในที่สุด ความนัยตอนทายตอนนี้เปนวิปสสนาญาณ

ตอนตนนี่เห็นวารางกายสกปรก รางกายเหมือนกับซากศพ ซากศพเนาฉันใดรางกายของเราก็เนาเหมือนกัน รางกายของบุคคลอื่นก็เนาเหมือนกัน ซากศพที่เราเห็นก็คือรางกาย สภาพ
แบบเดียวกันกับเรา และเราก็มีสภาพเปนซากศพแบบนั้น รางกายของบุคคลอื่นก็มีสภาพเปนซากศพแบบนั้น ทำไมจะตองไปประคับประคอง ไปหลงใหล ใฝฝน และก็จงจำไว วารางกาย
ของเราก็ดี รางกายของบุคคลอื่นก็ดี มีสภาพเหมือนกัน คือเมื่อมีความเกิดขึ้นในเบื้องตน และก็มีการเสื่อมการสลายตัวไปในที่สุด เห็นคนอื่นเขาตายก็จงคิดวา สักวันหนึ่ง ขางหนาเราจะ
ตองตาย มันมีความเกิดขึ้นและก็มีความเสื่อมไป ตัวทายนี้เปนวิปสสนาญาณ

ใหพิจารณาวา สิ่งทั้งหลายเหลานี้มันเปนธรรมดา มันไมใชของผิดธรรมดา ความเกิดขึ้นก็ดี ความเสื่อมไปทั้งกายภายในกายเหมือนกายเราก็ดี ความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในกาย
ภายนอกคือกายของบุคคลอื่นก็ดี และความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปทั้งกายภายใน ทั้งกายภายนอกก็ดี นี่มันเปนของธรรมดา ก็หรือวากายนี้มีอยู เขาไปตั้งอยูเฉพาะหนาแกเธอนั้น ก็
เพียงแตสักแตวาเปนที่รู คือสักแตเพียงเปนที่รูธรรมดาของมัน เปนอยางนั้นก็ชาง มันประไร มันอยากจะแกก็แก อยากจะปวยก็เชิญปวย อยากจะตายก็เชิญตาย มันอยากจะเนาก็เชิญ
เนา รางกายของใครที่เราปรารถนาก็ตองไมมี เพราะธรรมดามันเลว

ทานวาตออีกวา ก็เพียงสักแตวาเปนที่อาศัยและเปนที่ระลึก ยอมไมติดอยูในกายดวย คือไมยึดถือวารางกายเปนเรา เปนของเรา เราไมมีในรางกาย รางกายไมมีในเรา ละสักกายทิฏฐิ
เห็นไหมทานสอนแบบนี้นะจำใหดี จำแลวก็ประพฤติปฏิบัติ และก็ทำตัวใหไดดวย อยาสักแตวาฟง อยาสักแตวาไดยิน อยาสักแตวาจำ ใชปญญาคิดดวยและและปลดใหไดดวย

ทานกลาวตอไปวา และก็ยอมไมยึดถืออะไร ๆ ในโลกดวย ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุยอมพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยูอยางนี้ เทานี้พอ ถาพิจารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยู
อยางนี้ก็ชื่อวาจิตของทานหมดจากอสุภกิเลสเปนสมุทเฉทปหาน นั่นก็คือความเปนพระอรหันต

ประวัติมูลนิธิธรรมทานกุศลจิต

มูลนิธิธรรมทานกุศลจิต ไดจ ัดตัง้ ขึน้ เมอ่ื วันที่ ๙ กุมภาพนั ธ พ.ศ. ๒๕๕๔ สำนักงานใหญข อง มูลนิธติ งั้ อยเู ลขที่
๑๖๐/๘๑๘ อาคารไอทเี อฟสีลมพาเลซ ชัน้ ๓๒ ถนนสีลม แขวงสรุ ยิ วงศ เขตบางรกั กรงุ เทพมหานคร โดยมี
วัตถปุ ระสงค ดงั นี้
๑. เพือ่ สนับสนนุ การจดั ทำสอ่ื ตางๆ เพ่ือสนับสนุน สง เสริม และเผยแผความรเู พือ่ ประโยชนท างการศกึ ษา
๒. เพื่อสนับสนนุ ดา นการศกึ ษา และการวิจัยแกผ ูดอยโอกาส
๓. เพอ่ื ดำเนนิ การหรอื รว มมอื กบั องคก ารการกศุ ลเพอ่ื การกศุ ลและองคก ารสาธารณประโยชน

เพอ่ื สาธารณประโยชน
๔. ไมด ำเนินการเกี่ยวของกบั การเมืองแตป ระการใด
ท่ีผา นมามลู นธิ ิฯ ไดด ำเนนิ การโดยมุงเนนในดานการสงเสรมิ และเผยแผพ ระพุทธศาสนาเปนสำคัญ โดยไดจัดทำ
เวบ็ ไซตช ่ือ thammapedia.com และไดคัดหนังสอื ธรรมะทีท่ รงคณุ คา ทางพทุ ธศาสนา รวบรวมพระไตรปฎ ก
ธรรมะบรรยาย ธรรมนิพนธของครูบาอาจารยเทั่วประเทศ บรรจุเนื้อหาจัดทำเปนแผนดีวีดีเพื่อสะดวกในการ
ศกึ ษาและคน ควา หนงั สอื และแผน ดวี ดี ดี งั กลา วไดป รบั ขอ มลู เปน ปจ จบุ นั อยตู ลอด และไดน ำมาบรรจไุ วใ นกระเปา
รวมเปน ชดุ “กระเปาหนงั สือธรรมะของมลู นธิ ิธรรมทานกุศลจิต”
มลู นิธฯิ ไดร บั ความอนเุ คราะหจ ากสำนกั งานพระพทุ ธศาสนาแหง ชาติ นำชดุ กระเปา หนงั สอื ฯ เขาถวายในโอกาส
ตา งๆ เชน ในการประชุมพระราชาคณะ มหาเถรสมาคม พระสงั ฆาธกิ าร นอกจากน้ียงั ไดประสานงานกับกอง
พุทธศาสนศึกษาสำนักงานพระพุทธศาสนาเเหงชาติ เพื่อจัดสงชุดกระเปาหนังสือฯ ไปถวายครูสอนพระปริยัติ
ธรรม ทง้ั แผนกธรรมเเละบาล,ี เจา คณะจงั หวดั พรอ มทง้ั ไดจ ดั สง เพอ่ื มอบใหผ วู า ราชการจงั หวดั และผอู ำนวยการ
สำนักงานพระพทุ ธศาสนาจังหวดั ทั่วประเทศ

เปนประจำทุกป มูลนิธิฯ โดยทานประธานมูลนิธิฯ ไดนำชุดกระเปา หนงั สือธรรมะไปถวายในโครงการอบรมพระ
ธรรมทูตสายตางประเทศทั้งสองแหง ไดแกโครงการอบรมพระธรรมทูตสายตางประเทศ ฝายธรรมยุต ณ วัด
พระศรีมหาธาตุ เขตบางเขน กรุงเทพฯ และโครงการอบรมพระธรรมทูตสายตางประเทศ ฝายมหานิกาย ณ
มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย อ.วงั นอ ย จ.พระนครศรอี ยธุ ยา ตลอดถงึ โครงการอบรมพระธรรมทตู

286

ภายในประเทศ และโครงการอบรมครแู ผนกบาลซี ง่ึ ไดจ ดั อบรม ณ วดั ปากนำ้ เขตภาษเี จรญิ กรงุ เทพฯ พรอ ม
ทั้งมอบชุดกระเปาหนังสือฯ ดังกลาวใหเเกนิสิตนักศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอก คณะพุทธศาสตร
มหาวทิ ยาลยั มหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั และมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั เพื่อเปนคูมือประกอบการ
เรียนการสอนเเละคนควาทำวิทยานิพนธ รวมถึงมอบใหแกพุทธศาสนิกชนและผูสนใจทั่วไป ในโอกาสทำ
กจิ กรรมบุญตา งๆ มา โดยตลอด
ในป พ.ศ. ๒๕๕๙ มูลนธิ ิฯ โดยคณะกรรมการบรหิ ารไดมีมตจิ ัดต้งั “พพิ ธิ ภณั ฑจรรโลงพุทธศาสนา” ซ่งึ ต้ัง
อยู เลขท่ี ๔๑ ถนนพัฒนาการ ๖๔ เขตประเวศ กรงุ เทพฯ เพ่ือเปนแหลง รวบ รวมความรเู ก่ยี วกบั พระพุทธ-
ศาสนา มีเน้อื หาครอบคลุมพระไตรรัตน คอื พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ เชน พทุ ธประวตั ิ หลกั ธรรมท่ี
เปน หวั ใจสำคญั ของพระพทุ ธศาสนา ประวตั พิ ระอคั รสาวกของพระพทุ ธเจา ตลอดถงึ ธรรมเทศนาคำสอนของ
พระบรู พาจารยข องเมอื งไทย โดยไดจ ดั แสดงเนอ้ื หาแบง เปน ๑๒ โซน ซง่ึ แตล ะโซนไดแ สดงเนอ้ื หาแตกตา งกนั
ไป โดยมีเปาหมายใหพิพธิ ภัณฑเ ปน “พพิ ธิ ภณั ฑแ หง พทุ ธปญ ญา”

287

ประวัติพิพิธภัณฑจรรโลงพุทธศาสนา

พพิ ิธภัณฑจ รรโลงพทุ ธศาสนา ตง้ั อยทู เ่ี ลขท่ี ๔๑ ถนนพฒั นาการ ๖๔ เขตประเวศ กรงุ เทพมหานคร โดยไดร บั
ความเมตตานุเคราะหจากหลวงปเู ปลี่ยน ปฺญาปทีโป วัดอรัญญวิเวก อำเภอแมแตง จังหวดั เชียงใหม เปนผู
ตั้งช่ือพพิ ิธภณั ฑฯ จดุ ประสงคของการจัดต้ังพพิ ธิ ภณั ฑฯ คือ เพือ่ เปนแหลงรวบรวมความรูดานตางๆ เกยี่ วกบั
พระพุทธศาสนา โดยมีเปาหมายใหเปน “พิพธิ ภณั ฑแ หง พทุ ธปญญา” พพิ ิธภัณฑฯ ไดจดั แสดงเนอื้ หาแบงออก
เปน ๑๒ โซน มรี ายละเอียดสรปุ ดงั นี้
โซนท่ี ๑ เนอ้ื หาเกย่ี วกบั พระพทุ ธเจา : ระเบยี งภาพพทุ ธประวตั ิ ๘๐ ภาพ โดย ครเู หม เวชกร, พระพทุ ธจรยิ วตั ร
๖๐ ปาง โดยศาสตราจารย (พิเศษ) เสฐียรพงษ วรรณปก, พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา และพระพุทธรูปบูชา
จากพระอารามหลวง ทัว่ ประเทศ
โซนที่ ๒ เนื้อหาเกี่ยวกับพระธรรม : เสาธรรมะ ธรรมที่เปนหลักสำคัญจัด สงเคราะหในอริยสัจ ๔ และ
เสาธมั มจักกปั ปวัตตนสูตร, กาลานุกรม พระพทุ ธศาสนาในอารยธรรมโลก, พระพทุ ธเจาตรัสรูอ ะไร?

ภาพวาดพุทธประวัติ ๘๐ ภาพ โลกียภูมิ พระพุทธช�นราช
พรอมคำบรรยายอิงพระไตรปฎก และสังสารวัฏ ๓๑ ภูมิ ขนาดหนาตัก ๑๙ นิ้ว

โซนที่ ๓ เนื้อหาเก่ยี วกับพระสงฆ : รปู ปน ขนาดเทา องคจ รงิ พรอ มประวตั โิ ดยยอ และโอวาทธรรมของพระบรู พา-
จารยดา นอภิญญา ทรงปฏปิ ทาเออ้ื มหาชน จำนวน ๑๘ องค
โซนท่ี ๔ จัดแสดงพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ
โซนที่ ๕ เนื้อหาเกย่ี วกบั โลกยี ภมู ิและพระธรรม : ภาพวาดพระมาลัยเทวะเถระทองนรก-สวรรค และสังสารวัฏ
๓๑ ภมู ิ, ประมวลคำสอนของพระบรู พาจารยด า นอภญิ ญา ทรงปฏปิ ทาเออ้ื มหาชน ๑๘ องค, พระบรู พาจารยด า น
อภญิ ญา ทรงปฏปิ ทาธดุ งคคณุ ๒๙ องค และถ้ำพระบูรพาจารย, หลวงปเู ปลยี่ น ปญฺ าปทีโป ปญ ญาปทปี ธรรม,
หองอสภุ ะกรรมฐาน, สรุปหลักธรรมทเี่ ปนหัวใจสำคญั ในพระพุทธศาสนา

288

โซนท่ี ๖ บัวสีเ่ หลา : การพจิ ารณาบัว ๔ เหลา, บุคคล ๔ ประเภท และภาพ ๓ มิติ
โซนท่ี ๗ สมเดจ็ พระสงั ฆราชฯ : รวบรวมพระประวตั โิ ดยยอ ของสมเดจ็ พระสงั ฆราชฯ แหง กรงุ รตั นโกสนิ ทร
ตง้ั แตอ ดีตจนถึงปจจบุ นั จำนวน ๒๐ พระองค
โซนท่ี ๘ เนื้อหาเกยี่ วกบั ประวัติพระอัครสาวกองคสำคัญของพระพทุ ธเจา
โซนท่ี ๙ พระพุทธพจนเกยี่ วกบั พระนิพพาน และวิหารพระโพธสิ ตั ว
โซนท่ี ๑๐ เนื้อหาเกี่ยวกับหลักธรรมปฏิบัติและโลกุตตรภูมิ : สรุปธรรมเทศนา และหลักธรรมคำสอนของ
ครบู าอาจารยส ายปฏบิ ตั ิ เชน หลวงปมู น่ั ภรู ทิ ตโฺ ต, สมเดจ็ พระสงั ฆราชเจา กรมหลวงวชริ ญาณสงั วร, หลวงพอ
พธุ ฐานโิ ย, หลวงพอ ษลี ิงดำ, หลวงตามหาบัว ญาณสมปฺ นโฺ น, หลวงปูเ ปลย่ี น ปญฺ าปทโี ป เปนตน

โซนท่ี ๑๑ ลานธรรมปฏบิ ัติ : ประดษิ ฐานรูปปนของพระพุทธเจา ตอนประสตู ,ิ ตรสั รู และปรนิ พิ พาน
โซนที่ ๑๒ หองพระบูรพาจารยดานอภิญญา ทรงปฏิปทาธุดงคคุณ : จัดแสดงรูปปนขนาดเทาองคจริง
พรอมประวัติและโอวาทธรรมของพระบรู พาจารยด า นอภิญญา ทรงปฏปิ ทาธดุ งคคณุ จำนวน ๒๙ องค

289

ที่ปรึกษา

พระอาจารยสามดง จันทโชโต
วัดอรัญพรหมาราม อ.ประทาย จ.นครราชสีมา

ดร.ชัชพล ไชยพร
ดร.ไพบูลย ปลันธนโอวาท

คณะผูบริหาร

มูลนิธิธรรมทานกุศลจิต และพิพิธภัณฑจรรโลงพุทธศาสนา

ดร.ชัยยุทธ ปลันธนโอวาท ประธาน
ดร.อรวรรณ ปลันธนโอวาท รองประธาน
ดร.อรอนงค สกุลธัญ ปลันธนโอวาท เลขานุการและผูอำนวยการพิพิธภัณฑฯ
ดร.ธัญ สกุลธัญ ผูอำนวยการพิพิธภัณฑฯ
คุณอรนฤมล โรจนไชยอรุณ เหรัญญิก
คุณชัยฉัตร ปลันธนโอวาท กรรมการ
คุณชัยวิชิต ปลันธนโอวาท กรรมการ

คณะทำงาน

คุณเบญจมาภรณ ออนรัศมี คุณอภิชญา เลหมงคล
คุณกรรณิกา ผันทอง คุณจักรพงษ วีระศักดิ์
คุณปรีชา สุขสง คุณวัฒนา สูญจันทร
คุณอติพงศ โอวาทรัตนกุล คุณอาภาภรณ ผองใส
คุณนิตยาวรรณ สาทร คุณจุฑาทิพย วีระศักดิ์
คุณจงรัก ไพรวัลย

290




Click to View FlipBook Version