The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม นิพนธ์ โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

หมวดธรรมมีอยู่มากมาย แต่เฉพาะที่แสดงในหนังสือนี้ ได้คัดเลือกและรวบรวมไว้เพียงส่วนหนึ่ง โดยถือหลักเกณฑ์ที่สำคัญคือ
1) มุ่งเอาหมวดธรรมที่มาในพระไตรปิฎกโดยตรงเป็นพื้น ส่วนที่มาในคัมภีร์อื่นพยายามจำกัดเฉพาะ
คัมภีร์สำคัญในระดับรองลงมา ที่นิยมนับถือ ใช้ศึกษาและอ้างอิงกันอยู่ทั่วไปในวงการศึกษาพระ
พุทธศาสนา
2) มุ่งเอาหมวดที่แสดงหลักธรรมโดยตรง ให้สมกับชื่อที่เรียกว่า “หมวดธรรม” หลีกเลี่ยงหมวดที่เป็น
เพียงเกร็ดความรู้ หรือคำแถลงเรื่องราวอื่นๆ เว้นแต่จะเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับหลักธรรมอย่างใกล้ชิด
3) คัดเอาเฉพาะหมวดธรรมที่ควรรู้หรือที่ต้องรู้ โดยฐานเป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนาบ้าง เป็น
หลักที่เห็นว่าน่ารู้และมีประโยชน์มากบ้าง เป็นหลักที่ใช้หรืออ้างอิงอยู่เสมอ หรือรู้จักกันอยู่ทั่วไปบ้าง
เป็นหลักที่ท่านกำหนดให้เรียนในหลักสูตรการศึกษาพระพุทธศาสนาระบบต่างๆ ในประเทศไทยบ้าง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by preecha.s, 2021-04-01 23:54:16

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม นิพนธ์ โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

หมวดธรรมมีอยู่มากมาย แต่เฉพาะที่แสดงในหนังสือนี้ ได้คัดเลือกและรวบรวมไว้เพียงส่วนหนึ่ง โดยถือหลักเกณฑ์ที่สำคัญคือ
1) มุ่งเอาหมวดธรรมที่มาในพระไตรปิฎกโดยตรงเป็นพื้น ส่วนที่มาในคัมภีร์อื่นพยายามจำกัดเฉพาะ
คัมภีร์สำคัญในระดับรองลงมา ที่นิยมนับถือ ใช้ศึกษาและอ้างอิงกันอยู่ทั่วไปในวงการศึกษาพระ
พุทธศาสนา
2) มุ่งเอาหมวดที่แสดงหลักธรรมโดยตรง ให้สมกับชื่อที่เรียกว่า “หมวดธรรม” หลีกเลี่ยงหมวดที่เป็น
เพียงเกร็ดความรู้ หรือคำแถลงเรื่องราวอื่นๆ เว้นแต่จะเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับหลักธรรมอย่างใกล้ชิด
3) คัดเอาเฉพาะหมวดธรรมที่ควรรู้หรือที่ต้องรู้ โดยฐานเป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนาบ้าง เป็น
หลักที่เห็นว่าน่ารู้และมีประโยชน์มากบ้าง เป็นหลักที่ใช้หรืออ้างอิงอยู่เสมอ หรือรู้จักกันอยู่ทั่วไปบ้าง
เป็นหลักที่ท่านกำหนดให้เรียนในหลักสูตรการศึกษาพระพุทธศาสนาระบบต่างๆ ในประเทศไทยบ้าง

Keywords: พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

หมวด 10 233 [319]

[318] กิเลส 10 (สภาพท่ที ําใหจ ิตเศราหมอง — Kilesa: defilements)

1. โลภะ (ความอยากได — Lobha: greed)
2. โทสะ (ความคดิ ประทุษราย — Dosa: hatred)
3. โมหะ (ความหลง, ความไมร ู, ความเขลา — Moha: delusion)
4. มานะ (ความถือตวั — Màna: conceit)
5. ทิฏฐิ (ความเหน็ ผิด — Diññhi: wrong view)
6. วิจิกิจฉา (ความลงั เลสงสยั , ความเคลอื บแคลง — Vicikicchà: doubt; uncertainty)
7. ถนี ะ (ความหดห,ู ความทอแทถ ดถอย — Thãna: sloth)
8. อทุ ธัจจะ (ความฟุงซา น — Uddhacca: restlessness)
9. อหิริกะ (ความไมละอายตอความชว่ั — Ahirika: shamelessness)
10. อโนตตปั ปะ (ความไมเกรงกลวั ตอความช่ัว — Anottappa: lack of moral dread)

สบิ อยา งนี้ ในบาลีเดิมเรยี กวา กเิ ลสวตั ถุ (สิง่ กอความเศราหมอง) 10

Vbh.391. อภิ.ว.ิ 35/1026/528.

[319] กุศลกรรมบถ 101 (ทางแหงกศุ ลกรรม, ทางทาํ ความดี, กรรมดีอันเปน ทางนาํ ไป
สูสคุ ติ — Kusala-kammapatha: wholesome course of action) วาโดยหัวขอ ยอ ดงั นี้

ก. กายกรรม 3 (การกระทาํ ทางกาย — Kàyakamma: bodily action)

1. ปาณาติปาตา เวรมณ*ี (เวน จากปลงชีวิต — Pàõàtipàtà veramaõã: abstention from

killing)
2. อทินฺนาทานา เวรมณี (เวนจากถือเอาของทีเ่ ขามไิ ดใหโดยอาการขโมย — Adinnàdànà ~:

abstention from taking what is not given)
3. กาเมสุมจิ ฺฉาจารา เวรมณี (เวนจากประพฤติผดิ ในกาม — Kàmesumicchàcàrà ~:

abstention from sexual misconduct)

ข. วจีกรรม 4 (การกระทําทางวาจา — Vacãkamma: verbal action)
4. มุสาวาทา เวรมณี (เวนจากพดู เท็จ — Musàvàdà ~: abstention from false speech)
5. ปสุณาย วาจาย เวรมณี (เวนจากพูดสอเสียด — Pisuõàya vàcàya ~: abstention

from tale-bearing)
6. ผรุสาย วาจาย เวรมณี (เวนจากพดู คาํ หยาบ — Pharusàya vàcàya ~: abstention

from harsh speech)
7. สมผฺ ปปฺ ลาปา เวรมณี (เวน จากพดู เพอ เจอ — Samphappalàpà ~: abstention from

* เวรมณี แปลวา “เจตนาท่ที ําใหเวน” หรอื “เจตนาทีต่ รงขาม” เมือ่ จะแปลใหเตม็ ความ จึงควรแปลวา “การ

กระทาํ ทวี่ างจากการคิดเบยี ดเบยี น” หรอื “การทําดีทตี่ รงขา มกบั การเบยี ดเบยี นชีวติ ” ดงั นเ้ี ปน ตน

[320] 234 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร

vain talk or gossip)

ค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — Manokamma: mental action)
8. อนภชิ ฺฌา (ความไมค ดิ เพง เล็งอยากไดข องเขา — Anabhijjhà: non-covetousness)
9. อพยฺ าปาท (ความไมค ดิ รายตอ ผอู นื่ — Abyàpàda: non-illwill)
10. สมฺมาทิฏ ิ (ความเหน็ ชอบ ถูกตองตามคลองธรรม — Sammàdiññhi: right view)

D.III.269,290. ที.ปา.11/360/284; 471/337.

[320] กุศลกรรมบถ 102 (ทางแหง กศุ ลกรรม, ทางทําความด,ี กรรมดอี ันเปนทางนําไป
สคู วามสขุ ความเจริญหรือสุคติ — Kusala-kammapatha: wholesome course of action) วา

โดยขอธรรมสมบูรณ (แปลตัดเอาแตใจความ) ดงั น้ี

ก. กายกรรม 3 (การกระทําทางกาย — bodily action)
1. ปาณาติปาตํ ปหาย ฯเปฯ สพฺพปาณภตู หติ านกุ มฺป โหติ (ละการฆา การเบยี ดเบียน มี

เมตตากรุณาชวยเหลือเก้ือกูลกัน — to avoid the destruction of life and be anxious for

the welfare of all lives)
2. อทนิ นฺ าทานํ ปหาย ฯเปฯ อทินฺนํ เถยฺยสงฺขาตํ อนาทาตา โหติ (ละอทนิ นาทาน

เคารพกรรมสิทธใ์ิ นทรัพยสนิ ของผอู ืน่ — to avoid stealing, not violating the right to

private property of others)
3. กาเมสุมิจฺฉาจารํ ปหาย ฯเปฯ น จารติ ฺตํ อาปชฺชติ า โหติ (ละการประพฤติผดิ ในกาม

ไมลว งละเมดิ ประเพณีทางเพศ — to avoid sexual misconduct, not transgressing sex

morals)

ข. วจีกรรม 4 (การกระทาํ ทางวาจา — verbal action)
4. มสุ าวาทํ ปหาย ฯเปฯ น สมฺปชานมุสา ภาสิตา โหติ (ละการพดู เทจ็ ไมย อมกลา วเท็จ

เพราะเหตุตนเอง ผอู น่ื หรือเพราะเห็นแกผ ลประโยชนใดๆ — to avoid lying, not

knowingly speaking a lie for the sake of any advantage)
5. ปสณุ ํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ สมคคฺ กรณึ วาจํ ภาสติ า โหติ (ละการพดู คําสอเสียด ชวย

สมานคนที่แตกราวกัน สงเสริมคนที่สมัครสมานกนั ชอบกลา วถอ ยคาํ ที่สรา งสามัคคี — to

avoid malicious speech, unite the discordant, encourage the united and utter

speech that makes for harmony)
6. ผรสุ ํ วาจํ ปหาย ฯเปฯ พหชุ นมนาปา ตถารปู  วาจํ ภาสิตา โหติ (ละคาํ หยาบ พูดแต

คาํ สุภาพออ นหวาน — to avoid harsh language and speak gentle, loving, courteous,

dear and agreeable words)
7. สมผฺ ปปฺ ลาป ปหาย ฯเปฯ กาลวาที ภตู วาที อตถฺ วาที ธมมฺ วาที วนิ ยวาที นธิ านวตึ
วาจํ ภาสติ า โหติ ฯเปฯ (ละการพูดเพอ เจอ พูดแตคาํ จริง มเี หตุผล มีสารประโยชน ถูก

หมวด 10 235 [321]

กาลเทศะ — to avoid frivolous talk; to speak at the right time, in accordance with

facts, what is useful, moderate and full of sense)
ค. มโนกรรม 3 (การกระทาํ ทางใจ — mental action)
8. อนภชิ ฺฌาลุ โหติ ฯเปฯ (ไมเพงเลง็ อยากไดข องผูอื่น — to be without covetousness)
9. อพยฺ าปนฺนจติ ฺโต โหติ ฯเปฯ สขุ ี อตฺตานํ ปริหรนฺตตู ิ (ไมม ีจิตคดิ ราย คิดปรารถนา
แตว า ขอใหส ัตวท ้งั หลายไมมเี วร ไมเ บียดเบยี น ไมมีทกุ ข ครองตนอยเู ปน สขุ เถดิ — to be free

from ill-will, thinking, ‘Oh, that these beings were free from hatred and ill- will,

and would lead a happy life free from trouble.’)
10. สมมฺ าทฏิ  โิ ก โหติ ฯเปฯ สยํ อภิ ฺ า สจฉฺ กิ ตวฺ า ปเวเทนตฺ ตี ิ (มคี วามเหน็ ชอบ เชน

วา ทานมผี ล การบชู ามผี ล ผลวบิ ากของกรรมดกี รรมชวั่ มี เปน ตน — to possess right view

such as that gifts, donations and offerings are not fruitless and that there are
results of wholesome and unwholesome actions)

กศุ ลกรรมบถหมวดนี้ ในบาลีเรียกชือ่ หลายอยาง เชนวา ธรรมจริยา (ความประพฤติธรรม
— righteous conduct) บา ง โสไจย (ความสะอาดหรอื เครอ่ื งชาํ ระตวั — cleansing) บา ง อรยิ -
ธรรม (อารยธรรม, ธรรมของผเู จรญิ — virtues of a noble or civilized man) บา ง อรยิ มรรค
(มรรคาอนั ประเสรฐิ — the noble path) บา ง สทั ธรรม (ธรรมด,ี ธรรมแท — good law; true
law) บา ง สปั ปรุ สิ ธรรม (ธรรมของสตั บรุ ษุ — qualities of a good man) บา ง ฯลฯ

M.I.287; A.V.266,275–278. ม.ม.ู 12/485/523; อง.ฺ ทสก.24/165/287; 168–181/296–300.

[321] อกุศลกรรมบถ 10 (ทางแหง อกศุ ลกรรม, ทางทาํ ความชว่ั , กรรมช่ัวอันเปน ทาง
นาํ ไปสคู วามเสอ่ื ม ความทุกข หรือทุคติ — Akusala-kammapatha: unwholesome course

of action)

ก. กายกรรม 3 (การกระทําทางกาย — Kàyakamma: bodily action)
1. ปาณาตบิ าต (การทาํ ชวี ติ ใหต กลว ง, ปลงชวี ติ — Pàõàtipàta: destruction of life; killing)
2. อทนิ นาทาน (การถือเอาของที่เขามิไดใ ห โดยอาการขโมย, ลกั ทรพั ย — Adinnàdàna:

taking what is not given; stealing)
3. กาเมสุมิจฉาจาร (ความประพฤติผิดในกาม — Kàmesumicchàcàra: sexual

misconduct)

ข. วจีกรรม 4 (การกระทําทางวาจา — Vacãkamma: verbal action)
4. มุสาวาท (การพดู เทจ็ — Musàvàda: false speech)
5. ปสุณาวาจา (วาจาสอเสยี ด — Pisuõàvàcà: tale-bearing; malicious speech)
6. ผรสุ วาจา (วาจาหยาบ — Pharusavàcà: harsh speech)

7. สัมผัปปลาปะ (คาํ พดู เพอ เจอ — Samphappalàpa: frivolous talk; vain talk; gossip)

[322] 236 พจนานุกรมพุทธศาสตร

ค. มโนกรรม 3 (การกระทําทางใจ — Manokamma: mental action)
8. อภิชฌา (เพง เลง็ อยากไดข องเขา — Abhijjhà: covetousness; avarice)

9. พยาบาท (คดิ รา ยผูอ่ืน — Byàpàda: illwill)

10. มจิ ฉาทิฏฐิ (เห็นผดิ จากคลองธรรม — Micchàdiññhi: false view; wrong view)

D.III.269,290; A.V.264. ท.ี ปา.11/359/284; 470/337; องฺ.ทสก.24/165/285.

[322] เถรธรรม 10 (คณุ ธรรมทีท่ ําใหพ ระเถระอยสู ําราญในที่ทุกสถาน — Thera-
dhamma: qualities which make for happy living of an elder monk)

1. เถโร รตฺตฺู (เปนผูใหญ บวชนาน รเู ห็นกิจการ ทรงจาํ เรื่องราวไวไดมาก — Thero
ratta¤¤å: to be an elder monk of long experience)

2. สลี วา (มศี ลี เครง ครดั ในสิกขาบททงั้ หลาย — Sãlavà: to be virtuous; to have good

conduct)

3. พหุสฺสุโต (เปนพหสู ตู ทรงความรู — Bahussuto: to be much learned)
4. สฺวาคตปาฏิโมกโฺ ข (ทรงปาฏิโมกข รูห ลักแหงวินยั แคลวคลอ ง ชาํ นชิ ํานาญ สามารถ
วินจิ ฉัยไดด วยดี — Svàgatapàñimokkho: to be well versed in the codes of discipline)
5. อธิกรณสมปุ ฺปาทวปู สมกุสโล (ฉลาดในการระงับอธกิ รณท ่ีเกิดขึน้ — Adhikaraõa-

samuppàdavåpasamakusalo: to be skilled in settling a legal question that has

arisen)
6. ธมฺมกาโม (เปน ผูใครธรรม รกั ความรู รักความจริง รจู ักรับฟงและรูจักพดู ทาํ ใหเ ปน ทีช่ ื่น

ชมสนิทสนมสบายใจ นาเขาไปปรึกษาสนทนา และชอบศกึ ษา ยนิ ดปี รดี าในหลักธรรมหลักวินยั ที่
ยิง่ ๆ ขนึ้ ไป — Dhammakàmo: to love the Dhamma, be pleasant to consult and

converse with, and find joy in the advanced teaching of both the Doctrine and

the Discipline)
7. สนฺตฏุ โ  (เปนผสู ันโดษดว ยปจจยั สต่ี ามมีตามได — Santuññho: to be content with

whatsoever supply of the four requisites he may get)
8. ปาสาทโิ ก (จะไปจะมา มีอาการกริ ิยานาเล่ือมใส แมเ ขาไปในละแวกบาน กส็ าํ รวมเปนอันดี
— Pàsàdiko: to be charming and perfectly composed in his goings out and

comings in and in sitting in the house)
9. ฌานลาภี (ไดแ คลวคลอ งในฌาน 4 ท่เี ปนเคร่ืองอยสู ขุ สบายในปจ จบุ ัน — Jhànalàbhã: to

be able to gain pleasure of the Four Absorptions)
10. วิมุตฺโต (บรรลุเจโตวมิ ุตตปิ ญ ญาวิมุตติ สนิ้ อาสวะ — Vimutto: to have gained the

Deliverance)

A.V.201. องฺ.ทสก.24/98/215.

หมวด 10 237 [323]

[323] ทศพลญาณ (บาลีเรยี ก ตถาคตพลญาณ 10 คอื พระญาณอันเปน กําลงั ของพระ

ตถาคต 10 ประการ ทท่ี าํ ใหพระองคสามารถบันลือสีหนาท ประกาศพระศาสนาไดมัน่ คง —
Dasa-bala¤àõa: the Ten Powers of the Perfect One)
1. ฐานาฐานญาณ (ปรีชาหยง่ั รูฐ านะและอฐานะ คือ รูก ฎธรรมชาติเกย่ี วกับขอบเขตและขดี ขั้น

ของส่ิงท้ังหลายวา อะไรเปนไปได อะไรเปน ไปไมไ ด และแคไ หนเพยี งไร โดยเฉพาะในแงความ

สัมพนั ธระหวางเหตกุ บั ผล และกฎเกณฑทางจริยธรรม เกยี่ วกบั สมรรถวิสยั ของบุคคล ซ่งึ จะได
รบั ผลกรรมท่ีดแี ละช่วั ตางๆ กัน — òhànàñhàna-¤àõa: knowledge of instance and no

instance; knowledge of possibilities and impossibilities)
2. กรรมวปิ ากญาณ (ปรชี าหยง่ั รูผลของกรรม คอื สามารถกาํ หนดแยกการใหผ ลอยา งสลบั

ซบั ซอน ระหวา งกรรมดกี บั กรรมช่ัว ทสี่ มั พันธก บั ปจ จยั แวดลอ มตา งๆ มองเห็นรายละเอียดและ
ความสัมพันธภายในกระบวนการกอผลของกรรมอยางชัดเจน — Kammavipàka-¤àõa:

knowledge of the ripening of action; knowledge of the results of kamma)
3. สัพพตั ถคามนิ ปี ฏิปทาญาณ (ปรชี าหยั่งรขู อปฏบิ ัตทิ ่ีจะนาํ ไปสูคติท้งั ปวง คอื สุคติ ทุคติ

หรอื พน จากคติ หรอื ปรชี าหยง่ั รขู อ ปฏบิ ตั ทิ จ่ี ะนาํ ไปสอู รรถประโยชนท ง้ั ปวง กลา วคอื ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ

สมั ปรายิกตั ถะ หรอื ปรมัตถะ คอื รวู า เมอ่ื ปรารถนาจะเขาถงึ คติหรอื ประโยชนใด จะตองทําอะไร
บา ง มรี ายละเอียดวิธีปฏิบตั อิ ยา งไร — Sabbatthagàminãpañipadà-¤àõa: knowledge of

the way that leads anywhere; knowledge of the practices leading to all destinies

and all goals)
4. นานาธาตญุ าณ (ปรีชาหย่ังรูสภาวะของโลกอันประกอบดว ยธาตตุ างๆ เปน อเนก คอื รู

สภาวะของธรรมชาติ ทัง้ ฝายอปุ าทนิ นกสังขารและฝา ยอนปุ าทินนกสังขาร เชน รูจ กั สวนประกอบ

ตา งๆ ของชีวติ สภาวะของสว นประกอบเหลานน้ั พรอ มท้งั ลกั ษณะและหนา ทข่ี องมนั แตล ะอยาง

อาทิการปฏบิ ตั หิ นา ทข่ี องขันธ อายตนะ และธาตุตางๆ ในกระบวนการรับรู เปนตน และรเู หตุ
แหงความแตกตา งกนั ของสิง่ ทัง้ หลายเหลา นั้น — Nànàdhàtu-¤àõa: knowledge of the

world with its many different elements)
5. นานาธิมุตตกิ ญาณ (ปรีชาหย่งั รูอ ธมิ ตุ ิ คอื รอู ธั ยาศยั ความโนมเอียง ความเช่ือถือ แนว
ความสนใจ เปนตน ของสัตวท้ังหลายที่เปนไปตางๆ กัน — Nànàdhimuttika-¤àõa:

knowledge of the different dispositions of beings)
6. อนิ ทรยิ ปโรปริยตั ตญาณ (ปรีชาหย่ังรคู วามย่ิงและหยอ นแหง อนิ ทรยี ข องสัตวท ้ังหลาย คอื

รวู า สตั วนนั้ ๆ มศี รัทธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญญา แคไ หน เพียงใด มกี เิ ลสมาก กเิ ลสนอ ย มี

อินทรียออน หรือแกกลา สอนงาย หรือสอนยาก มีความพรอมท่ีจะตรัสรูหรือไม —
Indriyaparopariyatta-¤àõa: knowledge of the state of faculties of beings;

knowledge of the inferiority and superiority of the controlling faculties of various

beings; knowledge as regards maturity of persons)

[324] 238 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

7. ฌานาทสิ งั กิเลสาทิญาณ (ปรชี าหยง่ั รูความเศราหมอง ความผองแผว การออกแหง ฌาน
วโิ มกข สมาธิ และสมาบตั ทิ ง้ั หลาย — Jhànàdisaïkilesàdi-¤àõa: knowledge of defilement,

cleansing and emergence in the cases of the meditations, liberations, concen-

trations and attainments)
8. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ปรีชาหย่ังรูอันทําใหระลึกภพท่ีเคยอยูในหนหลังได —
Pubbenivàsànussati-¤àõa: knowledge of the remembrance of former existences)
9. จตุ ูปปาตญาณ (ปรชี าหย่งั รูจุติและอุบัตขิ องสัตวท้ังหลายอนั เปน ไปตามกรรม — Cutå-
papàta-¤àõa: knowledge of the decease and rebirth of beings)
10. อาสวักขยญาณ (ปรีชาหยง่ั รคู วามสนิ้ ไปแหงอาสวะทั้งหลาย — âsavakkhaya-¤àõa:

knowledge of the exhaustion of mental intoxicants)

M.I.69; A.V.33; Vbh.336. ม.ม.ู 12/166/140; อง.ฺ ทสก.24/21/35; อภิ.ว.ิ 35/839/454.

[,,,] ทศพิธราชธรรม ดู [326] ราชธรรม 10.

[,,,] ธรรมจริยา 10 เปนอกี ช่อื หน่งึ ของ [320] กุศลกรรมบถ 10 2.

[,,,] ธรรมมีอุปการะมาก 10 ดู [324] นาถกรณธรรม 10.

[324] นาถกรณธรรม 10 (ธรรมอนั กระทําท่พี ่งึ , ธรรมสรา งทพี่ ่งึ , คณุ ธรรมที่ทาํ ใหต น
เปนที่พึง่ ของตนได — Nàthakaraõa-dhamma: virtues which make for protection)

1. สลี (ความประพฤตดิ งี ามสจุ รติ รกั ษาระเบยี บวนิ ยั มอี าชวี ะบรสิ ทุ ธิ์ — Sãla: good conduct;

keeping moral habits)
2. พาหสุ จจฺ (ความเปนผไู ดศึกษาเลา เรียนมาก มคี วามรคู วามเขาใจลึกซ้ึง — Bàhusacca:

great learning)

3. กลยฺ าณมติ ตฺ ตา (ความมกี ลั ยาณมติ ร, การคบคนดี ไดที่ปรกึ ษา และผแู นะนาํ ส่งั สอนทดี่ ี
— Kalyàõamittatà: good company; association with good people)
4. โสวจสฺสตา (ความเปน ผูว างา ยสอนงาย รับฟงเหตผุ ล — Sovacassatà: amenability to

correction; meekness; easy admonishability)
5. กงิ กฺ รณเี ยสุ ทกฺขตา (ความเอาใจใสชวยขวนขวายในกิจใหญน อ ยทุกอยางของเพอ่ื นรวม
หมคู ณะ รจู ักพจิ ารณาไตรตรอง สามารถจดั ทําใหส าํ เร็จเรียบรอ ย — Kiïkaraõãyesu dakkhatà:

willingness to give a helping hand; diligence and skill in managing all affairs of

one’s fellows in the community)
6. ธมฺมกามตา (ความเปนผูใครธ รรม คอื รกั ธรรม ใฝความรใู ฝความจริง รูจกั พูดรูจ ักรับฟง

ทําใหเกิดความพอใจ นารวมปรึกษาสนทนา ชอบศึกษา ยินดีปรีดาในหลักธรรมหลกั วินยั ท่ี
ละเอยี ดลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป — Dhammakàmatà: love of truth; to love the Dhamma, be

หมวด 10 239 [325]

pleasant to consult and converse with and rejoice in the advanced teaching of

both the Doctrine and the Discipline)
7. วริ ยิ ารมภฺ (ความขยนั หมนั่ เพยี ร คอื เพยี รละความชวั่ ประกอบความดี มใี จแกลว กลา บากบน่ั
กา วหนา ไมย อ ทอ ไมท อดทง้ิ ธรุ ะ — Viriyàrambha: energy; effort; energetic exertion)
8. สนฺตฏุ  ี (ความสนั โดษ คอื ยนิ ดี มคี วามสขุ ความพอใจดว ยปจ จยั สที่ หี่ ามาไดด ว ยความเพยี ร
อันชอบธรรมของตน — Santuññhã: contentment)
9. สติ (ความมสี ติ รจู ักกาํ หนดจดจํา ระลกึ การทที่ าํ คาํ ท่พี ูดไวได เปนอยูอ ยา งไมประมาท —
Sati: mindfulness; ability to remember what one has done and spoken)
10. ปฺา (ความมีปญญาหย่งั รูเ หตุผล รูจกั คิดพิจารณา เขา ใจภาวะของสิ่งทงั้ หลายตามความ
เปน จริง — Pa¤¤à: wisdom; insight)

นาถกรณธรรมน้ี ทานเรียกวา เปน พหุการธรรม หรือ ธรรมมีอปุ การะมาก เพราะเปน

กําลังหนนุ ในการบาํ เพญ็ คุณความดที ง้ั หลาย ยงั ประโยชนต นและประโยชนผ ูอน่ื ใหส ําเรจ็ ไดอ ยา ง

กวางขวางไพบูลย

D.III.266,290; A.V.23. ที.ปา.11/357/281; 466/334; องฺ.ทสก.24/17/25.

[325] บารมี 10 หรอื ทศบารมี (ปฏปิ ทาอนั ยวดยิ่ง, คุณธรรมท่ีประพฤตปิ ฏบิ ตั ิอยา ง

ยงิ่ ยวด คอื ความดที บ่ี าํ เพญ็ อยา งพเิ ศษ เพอื่ บรรลซุ ง่ึ จดุ หมายอนั สงู เชน ความเปน พระพทุ ธเจา
และความเปนมหาสาวก เปน ตน — Pàramã: perfections)
1. ทาน (การให การเสียสละ — Dàna: giving; charity; generosity; liberality)
2. ศีล (การรกั ษากายวาจาใหอ ยูใ นหลกั ความประพฤติทเี่ ปนแบบแผนแหงภาวะของตน, ความ
ประพฤตดิ งี ามถกู ตอ งตามระเบยี บวินยั —Sãla: morality; good conduct)
3. เนกขัมมะ (การออกบวช, ความปลีกตัวปลกี ใจจากกาม — Nekkhamma: renunciation)
4. ปญ ญา (ความรอบร,ู ความหยัง่ รเู หตุผล เขา ใจสภาวะของส่งิ ท้ังหลายตามความเปน จรงิ และ
รจู ักแกไ ขปฏบิ ตั ิจัดการตางๆ — Pa¤¤à: wisdom; insight; understanding)
5. วิรยิ ะ (ความเพียร, ความแกลวกลา ไมเ กรงกลวั อปุ สรรค พยายามบากบ่นั อตุ สาหะ กา วหนา
เร่อื ยไป ไมท อดทิ้งธุระหนาที่ — Viriya: energy; effort; endeavour)
6. ขันติ (ความอดทน, ความทนทานของจิตใจ สามารถใชส ติปญ ญาควบคุมตนใหอ ยใู นอํานาจ

เหตุผล และแนวทางความประพฤติหรือการปฏิบตั ิ ที่ตง้ั ไวเพือ่ จุดหมายอนั ชอบ ไมลุอํานาจกเิ ลส
— Khanti: forbearance; tolerance; endurance)
7. สัจจะ (ความจริง คอื พูดจริง ทาํ จริง และจริงใจ — Sacca: truthfulness)
8. อธษิ ฐาน (ความตงั้ ใจม่นั , การตัดสินใจเด็ดเดีย่ ว วางจุดหมายแหงการกระทาํ ของตนไวแ น
นอน และดาํ เนนิ ตามนัน้ แนว แน — Adhiññhàna: resolution; self-determination)
9. เมตตา (ความรักใคร, ความปรารถนาดี มีไมตรี คิดเกื้อกลู ใหผูอ่นื และเพ่ือนรวมโลกทั้งปวง

[326] 240 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

มีความสุขความเจริญ — Mettà: loving-kindness; friendliness)
10.อเุ บกขา (ความวางใจเปน กลาง, ความวางใจสงบราบเรยี บสมาํ่ เสมอ เทยี่ งธรรม และดาํ รงอยู

ในธรรม ไมเอนเอยี งหรือหว่นั ไหวไปดวยความยินดียนิ รา ยชอบชังหรอื แรงเยา ยวนย่ัวยุใดๆ —
Upekkhà: equanimity; indifference to praise and blame in the performance of duty)

ทศบารมีนี้ เรยี งตามท่ถี ือวาไดบ ําเพญ็ ในทศชาติ (จดั แบบไทย) ดงั น้ี

1. พระเตมีย — เนกขัมมะ (ขอท่ี 3) 2. พระมหาชนก — วิริยะ (5)

3. พระสุวรรณสาม — เมตตา (9) 4. พระเนมิราช — อธษิ ฐาน (8)

5. พระมโหสถ — ปญ ญา (4) 6. พระภูริทัตต — ศีล (2)

7. พระจนั ทกมุ าร — ขนั ติ (6) 8. พระนารทะ — อุเบกขา (10)

9. พระวธิ ุระ — สจั จะ (7) 10. พระเวสสันดร — ทาน (1)

บารมีน้นั ทานกลาววา จะบาํ เพ็ญใหบ รบิ ูรณ ตอ งครบ 3 ขั้น คือ
1. บารมี (ระดับสามญั เชน ทานบารมี ไดแ ก ใหทรัพยส นิ เงินทอง สมบัตนิ อกกาย — Pàramã:

ordinary perfections)
2. อุปบารมี (ระดับรองหรือจวนจะสูงสุด เชน ทานอปุ บารมี ไดแก การเสียสละอวัยวะเปนทาน
— Upapàramã: superior perfections)
3. ปรมตั ถบารมี (ระดับสูงสดุ เชน ทานปรมตั ถบารมี ไดแก การสละชีวิตเพอ่ื ประโยชนแกผู
อ่ืน — Paramatthapàramã: supreme perfections)

บําเพ็ญทั้ง 10 บารมี ครบ 3 ขน้ั น้ี เรียกวา สมตสึ ปารมี หรอื สมดึงสบารมี แปลวา “บารมี

30 ถว น”.

Bv.6. ขุ.พทุ ธ.33/1/414; ขุ.จรยิ า.33/36/596.

[,,,] บุญกิริยาวัตถุ 10 ดู [89] บุญกริ ิยาวตั ถุ 10.
[,,,] ปพพชิตอภิณหปจจเวกขณ 10 ดู [248] ปพ พชติ อภณิ หปจ จเวกขณ 10.
[,,,] มิจฉัตตะ ดู [334] มจิ ฉตั ตะ 10.
[,,,] มูลเหตุการบัญญัติพระวินัย 10 ดู [327] วัตถุประสงคใ นการบัญญตั ิ

พระวนิ ยั 10.

[326] ราชธรรม 10 หรอื ทศพิธราชธรรม (ธรรมของพระราชา, กจิ วตั รทพ่ี ระเจา

แผน ดนิ ควรประพฤต,ิ คณุ ธรรมของผปู กครองบา นเมอื ง, ธรรมของนกั ปกครอง — Ràjadhamma:

virtues or duties of the king; royal virtues; virtues of a ruler)

1. ทาน (การให คอื สละทรพั ยส่งิ ของ บํารงุ เลยี้ ง ชวยเหลือประชาราษฎร และบําเพญ็
สาธารณประโยชน — Dàna: charity; liberality; generosity)
2. ศลี (ความประพฤติดงี าม คอื สํารวมกายและวจที วาร ประกอบแตก ารสุจริต รักษากิตติคุณ

หมวด 10 241 [327]

ใหควรเปนตัวอยาง และเปนทเี่ คารพนบั ถอื ของประชาราษฎร มิใหมขี อทใ่ี ครจะดูแคลน — Sãla:

high moral character)
3. ปรจิ จาคะ (การบรจิ าค คอื เสยี สละความสขุ สาํ ราญ เปน ตน ตลอดจนชวี ติ ของตน เพอ่ื
ประโยชนส ขุ ของประชาชน และความสงบเรยี บรอ ยของบา นเมอื ง — Pariccàga: self-sacrifice)
4. อาชชวะ (ความซ่อื ตรง คือ ซอื่ ตรงทรงสัตยไ รม ารยา ปฏิบัตภิ ารกิจโดยสุจริต มีความจริงใจ
ไมห ลอกลวงประชาชน — âjjava: honesty; integrity)
5. มัททวะ (ความออนโยน คือ มอี ธั ยาศยั ไมเยอหย่ิงหยาบคายกระดา งถือองค มคี วามงามสงา

เกิดแตทวงทีกิริยาสุภาพนุมนวล ละมุนละไม ใหไดความรักภักดี แตมิขาดยําเกรง —

Maddava: kindness and gentleness)

6. ตปะ (ความทรงเดช คือ แผดเผากเิ ลสตัณหา มใิ หเขามาครอบงาํ ยํา่ ยจี ติ ระงับยบั ยั้งขมใจได

ไมย อมใหหลงใหลหมกมุน ในความสุขสําราญและความปรนเปรอ มีความเปนอยสู มาํ่ เสมอ หรือ
อยา งสามญั มุงมนั่ แตจ ะบาํ เพ็ญเพียร ทาํ กิจใหบ รบิ ูรณ — Tapa: austerity; self-control;

non-indulgence)
7. อักโกธะ (ความไมโกรธ คอื ไมก ริ้วกราดลอุ าํ นาจความโกรธ จนเปน เหตุใหว ินจิ ฉัยความและ

กระทําการตา งๆ ผดิ พลาดเสยี ธรรม มเี มตตาประจําใจไวระงับความเคอื งขุน วินจิ ฉยั ความและ

กระทาํ การดว ยจติ อันราบเรยี บเปน ตัวของตนเอง — Akkodha: non-anger; non-fury)

8. อวหิ งิ สา (ความไมเ บยี ดเบยี น คอื ไมบ บี คนั้ กดขี่ เชน เกบ็ ภาษขี ดู รดี หรอื เกณฑแ รงงานเกนิ

ขนาด ไมห ลงระเรงิ อาํ นาจ ขาดความกรณุ า หาเหตเุ บยี ดเบยี นลงโทษอาชญาแกป ระชาราษฎรผ ใู ด
เพราะอาศยั ความอาฆาตเกลยี ดชงั — Avihi§sà: non-violence; non-oppression)
9. ขันติ (ความอดทน คือ อดทนตองานท่ีตรากตรํา ถงึ จะลาํ บากกายนาเหนอ่ื ยหนา ยเพยี งไร ก็

ไมท อถอย ถึงจะถกู ย่ัวถกู หยันดวยคาํ เสยี ดสีถากถางอยา งใด ก็ไมห มดกาํ ลังใจ ไมย อมละทิง้
กรณยี ท ีบ่ าํ เพญ็ โดยชอบธรรม — Khanti: patience; forbearance; tolerance)
10. อวโิ รธนะ (ความไมค ลาดธรรม คอื วางองคเ ปน หลกั หนกั แนน ในธรรม คงทไี่ มม คี วามเอน

เอยี งหวนั่ ไหวเพราะถอ ยคาํ ทด่ี รี า ย ลาภสกั การะ หรอื อฏิ ฐารมณ อนฏิ ฐารมณใ ดๆ สถติ มนั่ ในธรรม

ทงั้ สว นยตุ ธิ รรม คอื ความเทย่ี งธรรม กด็ ี นติ ธิ รรม คอื ระเบยี บแบบแผนหลกั การปกครอง ตลอด
จนขนบธรรมเนยี มประเพณอี นั ดงี าม กด็ ี ไมป ระพฤตใิ หเ คลอ่ื นคลาดวบิ ตั ไิ ป — Avirodhana: non-

deviation from righteousness; conformity to the law)

ราชธรรม 10 นี้ พงึ จดจาํ งา ยๆ โดยคาถาในบาลี ดงั นี้

ทานํ สีลํ ปรจิ ฺจาคํ อาชชฺ วํ มทฺทวํ ตป

อกโฺ กธํ อวิหึสฺจ ขนฺติฺจ อวิโรธน.ํ

J.V.378. ขุ.ชา.28/240/86.

[327] วัตถุประสงคในการบัญญัติพระวินัย 10 (เหตุผลที่พระพุทธเจา

[327] 242 พจนานุกรมพุทธศาสตร

ทรงปรารภหรือประโยชนท่ีทรงประสงค ในการทรงบัญญัติสิกขาบทแกพระสงฆสาวก —
Sikkhàpada-pa¤¤atti atthavasa: reasons for laying down the course of training for

monks; purposes of monastic legislation)

ก. วา ดวยประโยชนแ กส งฆหรือสว นรวม
1. สงฺฆสุฏตุ าย (เพอื่ ความรบั วาดีแหง สงฆ คอื เพ่อื ความเรียบรอยดีงามแหงสงฆ ซ่ึงไดทรง

ช้ีแจงใหมองเหน็ คณุ โทษแหง ความประพฤตนิ ัน้ ๆ ชัดเจนแลว จงึ ทรงบัญญตั สิ ิกขาบทข้นึ ไวโ ดย

ความเหน็ ชอบรว มกนั — for the excellence of the unanimous Order)
2. สงฆฺ ผาสตุ าย (เพือ่ ความผาสุกแหง สงฆ — for the comfort of the Order)

ข. วา ดวยประโยชนแกบุคคล
3. ทมุ มฺ งกฺ นู ํ ปคุ คฺ ลานํ นคิ คฺ หาย (เพอ่ื ขม บคุ คลผเู กอ ยาก คอื เพอ่ื กาํ ราบคนผดู า น ประพฤติ

ทราม — for the control of shameless persons)
4. เปสลานํ ภกิ ขฺ นู ํ ผาสวุ หิ าราย (เพื่อความอยูผาสกุ แหง เหลาภิกษุผูม ศี ีลดีงาม — for the

living in comfort of well-behaved monks)
ค. วาดว ยประโยชนแ กความบริสทุ ธ์ิ หรอื แกช ีวิต ทัง้ ทางกายและทางใจ

5. ทฏิ  ธมมฺ กิ านํ อาสวานํ สวํ ราย (เพอ่ื ปด กนั้ อาสวะทง้ั หลายอนั จะบงั เกดิ ในปจ จบุ นั คอื เพอ่ื

ระวงั ปด ทางความเสอ่ื มเสยี ความทกุ ข ความเดอื ดรอ น ทจ่ี ะมใี นปจ จบุ นั — for the restraint of

the cankers in the present; for the prevention of temporal decay and troubles)
6. สมปฺ รายกิ านํ อาสวานํ ปฏฆิ าตาย (เพอื่ บาํ บดั อาสวะทง้ั หลายอนั จะบงั เกดิ ในอนาคต คอื

เพอื่ ปอ งกนั มใิ หเ กดิ ความเสอื่ มเสยี ความทกุ ขค วามเดอื ดรอ น ทจ่ี ะมมี าในภายหนา หรอื ภพหนา —

for warding off the cankers in the hereafter; for protection against spiritual decay

and troubles)
ง. วา ดวยประโยชนแ กประชาชน

7. อปปฺ สนนฺ านํ ปสาทาย (เพอ่ื ความเลอ่ื มใสของชมุ ชนทยี่ งั ไมเ ลอ่ื มใส — for the confidence

of those who have not yet gained confidence)
8. ปสนนฺ านํ ภยิ โฺ ยภาวาย (เพื่อความเล่ือมใสย่ิงข้นึ ไปของชมุ ชนทเี่ ล่ือมใสแลว — for the

increase of the confidence of the confident)

จ. วา ดว ยประโยชนแ กพ ระศาสนา

9. สทธฺ มมฺ ฏ ิตยิ า (เพอื่ ความตงั้ มนั่ แหง สทั ธรรม — for the lastingness of the true doctrine)
10. วนิ ยานคุ คฺ หาย (เพอ่ื อนเุ คราะหว นิ ยั คอื ทาํ ใหม บี ทบญั ญตั สิ าํ หรบั ใชเ ปน หลกั เกณฑจ ดั ระเบยี บ

ของหมู สนบั สนนุ ความมวี นิ ยั ใหห นกั แนน มนั่ คงยง่ิ ขนึ้ — for the support of the discipline)

Vin.III.20; A.V.70. วินย.1/20/37; องฺ.ทสก.24/31/74.

[,,,] วิปสสนาญาณ 10 ดู [311] วปิ ส สนาญาณ 9.

หมวด 10 243 [329]

[328] วิปสสนูปกิเลส 10 (อุปกิเลสแหง วปิ ส สนา, ธรรมารมณทเ่ี กิดแกผ ไู ดต รุณ-

วิปสสนา หรอื วปิ ส สนาออ นๆ ทาํ ใหเขา ใจผิดวา ตนบรรลุมรรคผลแลว เปน เหตุขัดขวางใหไ มก า ว
หนา ตอไปในวปิ ส สนาญาณ — Vipassanåpakilesa: imperfections or defilements of

insight)
1. โอภาส (แสงสวาง — Obhàsa: illumination; luminous aura)
2. ญาณ (ความหยง่ั รู — ¥àõa: knowledge)
3. ปติ (ความอมิ่ ใจ — Pãti: rapture; unprecedented joy)
4. ปส สัทธิ (ความสงบเย็น — Passaddhi: tranquillity)
5. สขุ (ความสุขสบายใจ — Sukha: bliss; pleasure)
6. อธโิ มกข (ความนอมใจเช่อื , ศรทั ธาแกก ลา, ความปลงใจ — Adhimokkha: fervour;

assurance; resolution)
7. ปคคาหะ (ความเพยี รท่พี อดี — Paggàha: exertion; well-exerted energy)
8. อุปฏ ฐาน (สตแิ กก ลา, สติชัด — Upaññhàna: established mindfulness)
9. อเุ บกขา (ความมีจิตเปน กลาง — Upekkhà: equanimity)
10. นกิ นั ติ (ความพอใจ, ติดใจ — Nikanti: delight)

ดู [285] วิสทุ ธฺ ิ 7 โดยเฉพาะขอ 5 คือ มัคคามคั คญาณทัสสนวิสุทธิ

Vism.633. วสิ ุทธฺ .ิ 3/267.

[,,,] ศีล 10 ดู [242] ศีล 10.
[329] สังโยชน 101 (กเิ ลสอันผกู ใจสัตว, ธรรมท่ีมดั สัตวไ วก ับวฏั ฏทกุ ข หรอื ผกู กรรมไว
กบั ผล — Sa§yojana: fetters; bondage)

ก. โอรัมภาคยิ สงั โยชน 5 (สงั โยชนเ บอ้ื งต่าํ เปนอยา งหยาบ เปน ไปในภพอนั ตํ่า — Oram-
bhàgiya~: lower fetters)

1. สกั กายทฏิ ฐิ (ความเหน็ วา เปนตัวของตน เชน เห็นรปู เห็นเวทนา เหน็ วิญญาณ เปนตน
เปนตน — Sakkàyadiññhi: personality-view; false view of individuality)

2. วิจิกจิ ฉา (ความสงสัย, ความลังเล ไมแนใ จ — Vicikicchà: doubt; uncertainty)

3. สลี พั พตปรามาส (ความถอื มนั่ ศลี พรต โดยสกั วา ทาํ ตามๆ กนั ไปอยา งงมงายเหน็ วา จะบรสิ ทุ ธ์ิ
หลดุ พน ไดเ พยี งดว ยศลี และวตั ร — Sãlabbataparàmàsa: adherence to rules and rituals)

4. กามราคะ (ความกาํ หนดั ในกาม, ความตดิ ใจในกามคณุ — Kàmaràga: sensual lust)

5. ปฏฆิ ะ (ความกระทบกระทงั่ ในใจ, ความหงดุ หงดิ ขดั เคอื ง — Pañigha: repulsion; irritation)

ข. อุทธัมภาคยิ สงั โยชน 5 (สังโยชนเ บือ้ งสูง เปน อยางละเอยี ด เปน ไปแมใ นภพอันสงู —
Uddhambhàgiya~: higher fetters)

[330] 244 พจนานุกรมพุทธศาสตร

6. รปู ราคะ (ความตดิ ใจในอารมณแหง รูปฌาน หรอื ในรูปธรรมอนั ประณีต, ความปรารถนาใน
รปู ภพ — Råparàga: greed for fine-material existence; attachment to realms of form)

7. อรปู ราคะ (ความตดิ ใจในอารมณแ หง อรปู ฌาน หรอื ในอรปู ธรรม, ความปรารถนาในอรปู ภพ
— Aråparàga: greed for immaterial existence; attachment to formless realms)
8. มานะ (ความสาํ คัญตน คือ ถือตนวาเปน นั่นเปนน่ี — Màna: conceit; pride)
9. อุทธัจจะ (ความฟุงซา น — Uddhacca: restlessness; distraction)
10. อวิชชา (ความไมร ูจริง, ความหลง — Avijjà: ignorance)

สังโยชน 10 ในหมวดนี้ เปน แนวพระสตู ร หรือ สตุ ตนั ตนัย แตในบาลีแหงพระสตู รนัน้ ๆ มี
แปลกจากทีน่ เ้ี ล็กนอ ย คือ ขอ 4 เปน กามฉนั ท (ความพอใจในกาม — sensual desire) ขอ 5
เปน พยาบาท (ความขดั เคือง, ความคิดรา ย — ill-will) ใจความเหมือนกัน

ลาํ ดบั การละสงั โยชน 10 น้ี ใหดู [164] มรรค 4.

S.V.61; A.V.13; Vbh.377. ส.ํ ม.19/349/90; อง.ฺ ทสก.24/13/18; อภ.ิ ว.ิ 35/976–7/509.

[330] สังโยชน 102 (ธรรมที่มัดสตั วไวกับทุกข — Sa§yojana: fetters; bondage)

1. กามราคะ 2. ปฏฆิ ะ 3. มานะ 4. ทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผดิ — Diññhi: false views) 5. วจิ กิ จิ ฉา
6. สลี พั พตปรามาส 7. ภวราคะ (ความตดิ ใจปรารถนาในภพ — Bhavaràga: greed for
existence) 8. อสิ สา (ความรษิ ยา — Issà: envy; jealousy) 9. มจั ฉรยิ ะ (ความตระหนี่ —
Macchariya: meanness; stinginess) 10. อวชิ ชา

สงั โยชน 10 ในหมวดนี้ เปนแนวพระอภิธรรม หรอื อภิธรรมนยั ไดแ สดงความหมายไว

เฉพาะขอทตี่ า งจากหมวดกอ น

Vbh.391. อภ.ิ ว.ิ 35/1029/528.

[331] สัญญา 10 (ความกําหนดหมาย, แนวความคดิ ความเขาใจ สาํ หรับใชกาํ หนด
พจิ ารณาในการเจริญกรรมฐาน — Sa¤¤à: perception; contemplation; ideas as objects

of meditation)
1. อนิจฺจสฺา (กาํ หนดหมายความไมเ ทย่ี งแหงสังขาร — Anicca-sa¤¤à: contemplation

on impermanency)
2. อนตตฺ สฺ า (กาํ หนดหมายความเปน อนตั ตาแหง ธรรมทง้ั ปวง — Anatta~: contemplation

on impersonality)
3. อสภุ สฺ า (กาํ หนดหมายความไมง ามแหง กาย — Asubha~: contemplation on foulness

or loathsomeness)
4. อาทนี วสฺา (กําหนดหมายโทษทกุ ขข องกายอนั มคี วามเจ็บไขตางๆ — âdãnava~:

contemplation on the disadvantages of the body)
5. ปหานสฺา (กําหนดหมายเพื่อละอกุศลวิตกและบาปธรรมท้ังหลาย — Pahàna~:

หมวด 10 245 [333]

contemplation on abandonment or overcoming)
6. วริ าคสฺ า (กาํ หนดหมายวริ าคะวา เปน ธรรมละเอยี ดประณตี — Viràga~: contemplation

on detachment)
7. นโิ รธสฺา (กําหนดหมายนิโรธวาเปน ธรรมละเอยี ดประณตี — Nirodha~: contem-

plation on cessation)
8. สพพฺ โลเก อนภริ ตสฺ า (กาํ หนดหมายความไมน า เพลดิ เพลนิ ในโลกทง้ั ปวง — Sabbaloke
anabhirata~: contemplation on the non-delightfulness of the whole world)
9. สพพฺ สงขฺ าเรสุ อนฏิ  สฺ า (กาํ หนดหมายความไมน า ปรารถนาในสงั ขารทง้ั ปวง —Sabba-
saïkhàresu aniññha~: contemplation on the non-pleasantness of the whole world)
10. อานาปานสติ (สตกิ ําหนดลมหายใจเขาออก — ânàpànasati: mindfulness of in-

and out-breathing)

ในขอ 9. อนฏิ  สฺ า พระบาลีเดิมเปน อนจิ จฺ สฺ า บาง อนจิ ฉฺ าสฺ า บาง.

D.III.291; A.V.109. ท.ี ปา.11/473/340; องฺ.ทสก.24/60/116.

[332] สัทธรรม 10 (ธรรมอนั ด,ี ธรรมทแ่ี ท, ธรรมของสตั บุรษุ , หลักหรอื แกน ศาสนา —
Saddhamma: true doctrine; essential Dharma)

1.–9. โลกุตตรธรรม 9 (มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1 — Lokuttara-dhamma: the nine

supermundane states, viz., the Four Paths, the Four Fruitions and Nibbàna)

10. ปริยตั ธิ รรม (ธรรมคอื คาํ สัง่ สอนอันจะตองเลาเรยี น กลา วคอื พทุ ธพจน — Pariyatti-

dhamma: the text to be studied, i.e. the words of the Buddha)

(ฉบบั อกั ษรโรมนั ยังไมไ ดพมิ พ) สงฺคห.ฏกี า 65.

[333] สัมมัตตะ 10 (ภาวะทถ่ี กู , ความเปน สงิ่ ทถี่ กู — Sammatta: rightness; right states)

8 ขอ ตน ตรงกบั องคม รรค 8 ขอ คอื สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั ปะ สมั มาวาจา
สมั มากมั มนั ตะ สมั มาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สมั มาสมาธิ และเพม่ิ 2 ขอ คอื

9. สมั มาญาณ (รชู อบ ไดแ ก ผลญาณ และปจ จเวกขณญาณทงั้ 19 ประเภท — Sammà¤àõa:

right knowledge; right insight)

10. สมั มาวมิ ตุ ติ (หลดุ พน ชอบ ไดแ ก อรหตั ตผลวมิ ตุ ติ — Sammàvimutti: right deliverance)

ธรรมหมวดนี้ เรียกช่อื อีกอยางวา อเสขธรรม (ธรรมของพระอเสขะ — Asekhadhamma:

qualities of the adept)

ดู [293] มรรคมอี งค 8.

D.III.271,292; M.I.42; A.V.212. ที.ปา.11/362/286; 475/342; ม.ม.ู 12/104/75; อง.ฺ ทสก.24/104/226;

ม.อ.1/260; อง.ฺ อ.2/319,474,481.

[334] 246 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

[334] มิจฉัตตะ 10 (ภาวะทผ่ี ดิ , ความเปน สง่ิ ทผ่ี ดิ —Micchatta: wrongness; wrong states)

1. มจิ ฉาทิฏฐิ (เห็นผดิ ไดแก ความเห็นผิดจากคลองธรรมตามหลักกศุ ลกรรมบถ และความ
เห็นที่ไมนาํ ไปสูค วามพน ทุกข — Micchàdiññhi: wrong view)
2. มจิ ฉาสงั กปั ปะ (ดาํ รผิ ดิ ไดแ ก ความดาํ รทิ ี่เปน อกศุ ลท้งั หลาย ตรงขามจากสัมมาสงั กัปปะ
— Micchàsaïkappa: wrong thought)
3. มิจฉาวาจา (วาจาผิด ไดแก วจีทจุ รติ 4 — Micchàvàcà: wrong speech)
4. มจิ ฉากัมมันตะ (กระทําผดิ ไดแก กายทุจริต 3 — Micchàkammanta: wrong action)

5. มิจฉาอาชีวะ (เล้ียงชีพผิด ไดแก เลี้ยงชีวติ ในทางทุจรติ — Micchà-àjãva: wrong

livelihood)
6. มจิ ฉาวายามะ (พยายามผดิ ไดแ ก ความเพยี รตรงขามกบั สัมมาวายามะ — Micchà-
vàyàma: wrong effort)
7. มิจฉาสติ (ระลกึ ผดิ ไดแก ความระลกึ ถึงเร่ืองราวท่ีลวงแลว เชน ระลกึ ถึงการไดท รัพย การ

ไดยศ เปน ตน ในทางอกศุ ล อันจดั เปน สตเิ ทยี ม เปน เหตุชักนําใจใหเกิดกเิ ลสมีโลภะ มานะ
อสิ สา มจั ฉริยะ เปน ตน — Micchàsati: wrong mindfulness)
8. มิจฉาสมาธิ (ต้ังจติ ผิด ไดแ ก ต้งั จติ เพง เล็ง จดจอ ปก ใจแนวแนในกามราคะ พยาบาท

เปนตน หรือเจรญิ สมาธแิ ลว หลงเพลิน ตดิ หมกมนุ ตลอดจนนาํ ไปใชผ ดิ ทาง ไมเปน ไปเพ่ือ
ญาณทสั สนะ และความหลดุ พน — Micchàsamàdhi: wrong concentration)
9. มจิ ฉาญาณ (รผู ิด ไดแก ความหลงผิดท่ีแสดงออกในการคดิ อบุ ายทาํ ความช่ัว และในการ
พิจารณาทบทวนวา ความช่วั น้นั ๆ ตนกระทําไดอ ยางดแี ลว เปน ตน — Micchà¤àõa: wrong

knowledge)

10. มิจฉาวิมุตติ (หลดุ พน ผดิ ไดแก ยงั ไมถ ึงวิมตุ ติ สาํ คญั วาถึงวิมตุ ติ หรือสําคญั ผดิ ในสิ่งท่ี
มิใชวิมุตตวิ าเปน วมิ ตุ ติ — Micchàvimutti: wrong deliverance)

D.III.290; M.I.42; A.V.212. ท.ี ปา.11/469/337; ม.มู.12/104/76; องฺ.ทสก.24/103/226; ม.อ.1/259; วิภงคฺ .อ.676.

[,,,] อกุศลกรรมบถ 10 ดู [321] อกุศลกรรมบถ 10.

[335] อนุสติ 10 (ความระลกึ ถงึ , อารมณอ นั ควรระลกึ ถงึ เนอื งๆ — Anussati: recollection;

constant mindfulness)
1. พุทธานสุ ติ (ระลกึ ถงึ พระพุทธเจา คอื นอ มจติ ระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระองค —
Buddhànussati: recollection of the Buddha; contemplation on the virtues of the

Buddha)

2. ธมั มานสุ ติ (ระลกึ ถงึ พระธรรม คอื นอ มจติ ระลกึ ถงึ และพจิ ารณาคณุ ของพระธรรม — Dhammà-
nussati: recollection of the Dhamma; contemplation on the virtues of the Doctrine)
3. สังฆานุสติ (ระลึกถึงพระสงฆ คือ นอมจิตระลึกถึงและพิจารณาคุณของพระสงฆ —

หมวด 10 247 [336]

Saïghànussati: recollection of the Sangha; contemplation on the virtues of the Order)
4. สลี านสุ ติ (ระลกึ ถงึ ศลี คอื นอ มจติ ราํ ลกึ พจิ ารณาศลี ของตนทไี่ ดป ระพฤตปิ ฏบิ ตั ิ บรสิ ทุ ธ์ิ ไม
ดา งพรอ ย — Sãlànussati: recollection of morality; contemplation on one’s own morals)
5. จาคานุสติ (ระลึกถึงการบริจาค คอื นอ มจิตระลึกถึงทานทตี่ นไดบรจิ าคแลว และพจิ ารณา
เห็นคณุ ธรรมคอื ความเผื่อแผเ สียสละนที้ ม่ี ีในตน — Càgànussati: recollection of liberality;

contemplation on one’s own liberality)
6. เทวตานสุ ติ (ระลึกถึงเทวดา คอื นอมจิตระลกึ ถึงเทวดาทง้ั หลายท่ีตนเคยรู และพจิ ารณา
เหน็ คณุ ธรรมอนั ทาํ บุคคลใหเ ปนเทวดาน้นั ๆ ตามทีม่ ีอยใู นตน — Devatànussati: recollection

of deities; contemplation on the virtues which make people become gods as can

be found in oneself)
7. มรณสติ (ระลึกถงึ ความตายอนั จะตองมีมาถึงตนเปนธรรมดา พิจารณาทจ่ี ะใหเกิดความไม
ประมาท — Maraõassati: mindfulness of death; contemplation on death)
8. กายคตาสติ (สติอันไปในกาย คือ กาํ หนดพิจารณากายนี้ ใหเหน็ วาประกอบดวยสวนตางๆ

อันไมสะอาด ไมงาม นารังเกียจ เปนทางรูเ ทา ทนั สภาวะของกายนี้ มใิ หหลงใหลมัวเมา —
Kàyagatà-sati: mindfulness occupied with the body; contemplation on the 32

impure parts of the body)
9. อานาปานสติ (สตกิ าํ หนดลมหายใจเขา ออก — ânàpànasati: mindfulness on breathing)
10. อปุ สมานสุ ติ (ระลกึ ถงึ ธรรมเปน ทส่ี งบ คอื ระลกึ ถงึ และพจิ ารณาคณุ ของพระนพิ พาน อนั

เปน ทรี่ ะงบั กเิ ลสและความทกุ ข — Upasamànussati: recollection of peace; contemplation

on the virtue of Nibbàna)

ดู [354] กรรมฐาน 40.

A.I.30,41; Vism.197. อง.ฺ เอก.20/179–180/39–40; 224/54; วิสุทธฺ ิ.1/251.

[,,,] อภิณหปจจเวกขณ 10 ดู [248] ปพพชติ อภณิ หปจ จเวกขณ 10.

[,,,] อเสขธรรม 10 ดู [333] สัมมตั ตะ 10.

[336] อสุภะ 10 (สภาพอนั ไมง าม, ซากศพในสภาพตา งๆ ซง่ึ ใชเ ปน อารมณแ หง สมถกรรมฐาน
— Asubha: ten kinds of foulness; corpses at different stages of decay)

1. อทุ ธมุ าตกะ (ซากศพทเ่ี นา พองขนึ้ อดื — Uddhumàtaka: bloated corpse; swollen-up corpse)

2. วนิ ลี กะ (ซากศพทมี่ สี เี ขยี วคลาํ้ คละดว ยสตี า งๆ — Vinãlaka: bluish discoloured corpse;

livid corpse)
3. วิปพุ พกะ (ซากศพทมี่ ีนาํ้ เหลืองไหลเยิ้มอยูตามทที่ ี่แตกปริออก — Vipubbaka: festering

corpse)
4. วจิ ฉทิ ทกะ (ซากศพทีข่ าดจากกันเปน 2 ทอน — Vicchiddaka: split or cut up corpse;

[337] 248 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

disjoint corpse)
5. วิกขายิตกะ (ซากศพทถี่ ูกสตั ว เชน แรง กา สุนขั จกิ ท้ึงกัดกินแลว — Vikkhàyitaka:

gnawed corpse)
6. วกิ ขิตตกะ (ซากศพท่กี ระจุยกระจาย มือเทา ศีรษะหลดุ ออกไปขา งๆ — Vikkhittaka:

scattered corpse; mangled corpse)
7. หตวิกขิตตกะ (ซากศพที่ถกู สับฟน บั่นเปนทอ นๆ กระจายออกไป — Hatavikkhittaka:

hacked and scattered corpse; mutilated and mangled corpse)
8. โลหิตกะ (ซากศพท่ีมโี ลหติ ไหลอาบเรย่ี ราดอยู — Lohitaka: blood-stained corpse;

bleeding corpse)
9. ปฬุ วุ กะ (ซากศพท่ีมหี นอนคลาคล่ําเต็มไปหมด — Puëuvaka: worm-infested corpse)
10. อัฏฐกิ ะ (ซากศพทีย่ ังเหลืออยแู ตรางกระดกู หรือกระดกู ทอน — Aññhika: skeleton)

ดู [354] กรรมฐาน 40.

Vism.178. วิสทุ ธฺ .ิ 1/226.

[337] อันตคาหิกทิฏฐิ 10 (ความเหน็ อันถอื เอาทสี่ ดุ , ความเหน็ ผิดทแ่ี ลน ไปสดุ โตง
ขางใดขา งหนง่ึ — Antagàhika-diññhi: the ten erroneous extremist views) คอื เห็นวา

1. โลกเทย่ี ง (The world is eternal.)

2. โลกไมเ ที่ยง (The world is not eternal.)

3. โลกมีท่ีสดุ (The world is finite.)

4. โลกไมมีทีส่ ุด (The world is infinite.)

5. ชีวะก็อันนน้ั สรีระกอ็ ันนั้น (The soul and the body are identical.)

6. ชีวะกอ็ ยางหนึง่ สรีระกอ็ ยา งหนึง่ (The soul is one thing and the body is another.)

7. ตถาคตเบอ้ื งหนา แตตาย ยอมเปนอกี (The Tathàgata is, after death.)

8. ตถาคตเบื้องหนาแตต าย ยอมไมเ ปน อกี (The Tathàgata is not, after death.)

9. ตถาคตเบอ้ื งหนา แตตาย ยอมเปนอกี ก็ใช ไมเ ปนอกี ก็ใช (The Tathàgata both is

and is not, after death.)
10. ตถาคตเบอื้ งหนาแตตาย ยอ มเปน อีก ก็มิใช ยอ มไมเปน อกี ก็มิใช (The Tathàgata

neither is nor is not, after death.)

คาํ วา ตถาคต ในทน่ี ี้ อรรถกถาบางแหงวา หมายถงึ “สัตว” (เชน ม.อ.3/135; สงฺคณ.ี อ.528) บาง

แหงวา “อัตตา” หรอื “อาตมนั ” (อุ.อ.430) บางแหง วา “พระพุทธเจา” (สํ.อ.3/192)

M.I.426; S.IV.392; A.V.193; ม.ม.13/147/143; สํ.สฬ.18/788/476; อง.ฺ ทสก.24/193/206;
Ps.I.151; Vbh.392.
ข.ุ ปฏ.ิ 31/337/226; อภ.ิ ว.ิ 35/1032/529.

อติเรกทสกะ — หมวดเกนิ 10

Groups of More Than Ten

[338] กรรม 12 (การกระทําท่ีประกอบดวยเจตนา ดีกต็ าม ชว่ั กต็ าม, ในทีน่ ี้หมายถงึ กรรม

ประเภทตา งๆ พรอ มทง้ั หลกั เกณฑเ กยี่ วกบั การใหผ ลของกรรมเหลา นน้ั — Kamma: karma;

kamma; action; volitional action)
หมวดท่ี 1 วาโดยปากกาล คือ จาํ แนกตามเวลาท่ีใหผ ล (classification according to

the time of ripening or taking effect)
1. ทฏิ ฐธรรมเวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในปจ จบุ นั คอื ในภพน้ี — Diññhadhamma-vedanãya-
kamma: kamma to be experienced here and now; immediately effective kamma)
2. อปุ ปช ชเวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในภพทจี่ ะไปเกดิ คอื ในภพหนา — Upapajja-vedanãya-
kamma: kamma to be experienced on rebirth; kamma ripening in the next life)
3. อปราปรยิ เวทนยี กรรม (กรรมใหผ ลในภพตอ ๆ ไป — Aparàpariya-vedanãya-kamma:

kamma to be experienced in some subsequent lives; indefinitely effective kamma)
4. อโหสกิ รรม (กรรมเลกิ ใหผ ล ไมม ผี ลอกี — Ahosi-kamma: lapsed or defunct kamma)

หมวดที่ 2 วา โดยกิจ คอื จําแนกการใหผ ลตามหนาที่ (classification according to

function)
5. ชนกกรรม (กรรมแตง ใหเ กดิ , กรรมท่เี ปน ตวั นาํ ไปเกดิ — Janaka-kamma: productive

kamma; reproductive kamma)
6. อุปตถมั ภกกรรม (กรรมสนบั สนนุ , กรรมท่เี ขาชว ยสนับสนุนหรือซํา้ เติมตอจากชนกกรรม
— Upatthambhaka-kamma: supportive kamma; consolidating kamma)
7. อุปปฬกกรรม (กรรมบบี คัน้ , กรรมท่มี าใหผล บีบคน้ั ผลแหง ชนกกรรมและอปุ ตถัมภกรรม
นนั้ ใหแ ปรเปลยี่ นทเุ ลาลงไป บน่ั ทอนวบิ ากมใิ หเ ปน ไปไดน าน — Upapãëaka-kamma: obstructive

kamma; frustrating kamma)
8. อปุ ฆาตกกรรม (กรรมตดั รอน, กรรมทแ่ี รง ฝา ยตรงขา มกบั ชนกกรรมและอปุ ต ถมั ภกกรรม

เขาตดั รอนการใหผลของกรรมสองอยางนัน้ ใหขาดไปเสยี ทีเดียว เชน เกิดในตระกูลสงู มง่ั คั่ง
แตอ ายสุ ้ัน เปนตน — Upaghàtaka-kamma: destructive kamma; supplanting kamma)

หมวดท่ี 3 วา โดยปากทานปริยาย คือ จําแนกตามความยักเย้อื งหรอื ลําดับความแรงใน

การใหผล (classification according to the order of ripening)

9. ครกุ กรรม (กรรมหนกั ใหผ ลกอ น ไดแ ก สมาบตั ิ 8 หรอื อนนั ตรยิ กรรม — Garuka-kamma:

weighty kamma)
10. พหุลกรรม หรอื อาจณิ ณกรรม (กรรมทํามากหรือกรรมชิน ใหผ ลรองจากครุกกรรม

[339] 250 พจนานุกรมพุทธศาสตร

— Bahula-kamma or âciõõa-kamma: habitual kamma)
11. อาสนั นกรรม (กรรมจวนเจยี น หรอื กรรมใกลตาย คือกรรมทาํ เมือ่ จวนจะตายจบั ใจอยู
ใหมๆ ถา ไมมี 2 ขอ กอน ก็จะใหผลกอนอื่น — âsanna-kamma: death-threshold kamma;

proximate kamma)
12. กตตั ตากรรม หรอื กตตั ตาวาปนกรรม (กรรมสกั วา ทาํ , กรรมทท่ี าํ ไวด ว ยเจตนาอนั ออ น
หรอื มใิ ชเ จตนาอยา งนน้ั โดยตรง ตอ เมอื่ ไมม กี รรมอน่ื ใหผ ลแลว กรรมนจ้ี งึ จะใหผ ล — Katattà-

kamma or Katattàvàpana-kamma: reserve kamma; casual act) กฏตั ตากรรม กเ็ ขยี น

กรรม 12 หรอื กรรมส่ี 3 หมวดนี้ มไิ ดมมี าในบาลใี นรปู เชนนโี้ ดยตรง พระอาจารยส มัยตอ
มา เชน พระพทุ ธโฆษาจารย เปนตน ไดรวบรวมมาจดั เรยี งเปน แบบไวใ นภายหลงั .

Vism.601; Comp.144. วิสทุ ธฺ .ิ 3/223; สงคฺ ห.28.

[339] จักรวรรดิวัตร 5, 12 (วตั รของพระเจา จกั รพรรด,ิ พระจรยิ าทพ่ี ระจกั รพรรดพิ งึ

ทรงบําเพ็ญสม่ําเสมอ, ธรรมเนียมการทรงบําเพ็ญพระราชกรณียของพระเจาจักรพรรดิ, หนาที่
ของนกั ปกครองผยู งิ่ ใหญ — Cakkavatti-vatta: duties of a universal king or a great ruler)
1. ธรรมาธปิ ไตย (ถือธรรมเปน ใหญ เคารพนบั ถอื บูชายาํ เกรงธรรม ยดึ ธรรมเปน หลัก เปน
ธงชยั เปนธรรมาธปิ ไตย — Dhammàdhipateyya: supremacy of the law of truth and

righteousness; rule of the Dhamma; rule of the true law) (1) และ

2. ธรรมิการักขา (จัดการรักษาปองกันและคุมครองอันชอบธรรมและเปนธรรม —
Dhammikàrakkhà: provision of the right watch, ward and protection)

ก. อนั โตชน (แกช นภายใน ต้ังแตพ ระมเหสี โอรส ธิดา จนถงึ ผูปฏบิ ตั ริ าชการในพระองค

ทงั้ หมด คอื คนในปกครองสว นตวั ตง้ั แตบ ตุ รธดิ าเปน ตน ไป ดว ยใหก ารบาํ รงุ เลย้ี งอบรม

สงั่ สอนเปนตน ใหอยโู ดยเรยี บรอ ยสงบสุข และมีความเคารพนบั ถอื กัน — for one’s

own folk) (2)
ข. พลกาย (แกก องทพั คือ ปวงเสนาขาทหาร, ขา ราชการฝายทหาร — for the army; the

armed forces; military personnel) (3)
ค. ขัตติยะ (แกกษัตริยท้ังหลายผูอยูในพระบรมเดชานุภาพ, เจาเมืองข้ึน, ปจจุบัน

สงเคราะหช นชัน้ ปกครองและนักบรหิ ารช้นั ผใู หญท ้ังหลาย, ขา ราชการฝา ยปกครอง —

for colonial kings; administrative officers) (4)
ง. อนุยนต (แกผ ูตามเสดจ็ คือ ราชบริพารทั้งหลาย, ปจจุบันควรสงเคราะหขา ราชการฝาย

พลเรอื นเขา ทง้ั หมด — for the royal dependants; civil servants) (5)
จ. พราหมณคฤหบดี (แกช นเจา พธิ ี เจา ตาํ รา พอ คา เจา ไรเ จา นา คอื ครอู าจารย นกั วชิ าการ

หมอ พอคา ผูประกอบวิชาชีพตางๆ และเกษตรกร ดวยชวยจัดหาทุนและอุปกรณ

เปน ตน — for brahmins and householders; the professional, traders and the

agricultural) (6)

หมวดเกิน 10 251 [339]

ฉ. เนคมชานบท (แกช าวนิคมชนบท คอื ราษฎรทั้งปวงทุกทอ งถิ่นตลอดถงึ ชายแดนทว่ั ไป
ไมท อดทงิ้ — for town and country dwellers; townsmen and villagers; upcountry

people) (7)
ช. สมณพราหมณ (แกพ ระสงฆแ ละบรรพชติ ผทู รงศลี ทรงคณุ ธรรม — for the religious)

(8)
ญ.มิคปกษี (แกมฤคและปกษี คือ สตั วอ นั ควรสงวนทั้งหลาย — for beasts and birds)

(9)
3. อธรรมการนเิ สธนา (หา มกนั้ มใิ หม กี ารอนั อธรรมเกดิ ขน้ึ ในพระราชอาณาเขต คอื จดั การปอ งกนั
แกไ ข มใิ หม กี ารกระทาํ ความผดิ ความชวั่ รา ยเดอื ดรอ นเกดิ ขนึ้ ในบา นเมอื ง — Adhammakàra-
nisedhanà: to let no wrongdoing prevail in the kingdom) (10)
4. ธนานุประทาน (ปนทรพั ยเฉล่ียใหแ กช นผไู รทรพั ย มใิ หม ีคนขัดสนยากไรในแวนแควน —
Dhanànuppadàna: to let wealth be given or distributed to the poor) (11)
5. ปรปิ จุ ฉา (ปรึกษาสอบถามปญ หากบั สมณพราหมณ ผูประพฤตดิ ี ปฏิบัตชิ อบ ผไู มป ระมาท

มัวเมา อยูเสมอตามกาลอันควร เพื่อใหรูชัดการอันดีช่ัว ควรประกอบหรือไม เปนไปเพื่อ

ประโยชนส ุขหรือไม แลว ประพฤติปฏิบตั ิใหเปน ไปโดยถกู ตอ ง ขอ นปี้ จ จบุ ันสงเคราะหนกั ปราชญ
นกั วิชาการผทู รงคณุ ธรรมเขา ดว ย — Paripucchà: to go from time to time to see and

seek advice from the men of religious life who maintain high moral standards; to

have virtuous counsellors and seek after greater virtue) (12)

จักรวรรดิวัตรน้ี มาใน จักกวตั ตสิ ตู ร ตามทมี่ าทอ่ี าง ในพระบาลี คือพระไตรปฎ ก ทานไม

ระบจุ ํานวนขอไว แตน บั ตามท่ีตรัสไว เปน หลักการทยี่ ึดถือหนึ่งขอ และหลกั ปฏบิ ัติ 4 ขอ จึงรวม

เปน 5 ขอ อยางไรกด็ ี ขอ ยอยทแ่ี ยกออกไปจากขอ 2 (ธรรมิการักขา) แตละอยาง ในช้ัน

อรรถกถาคงเหน็ วามคี วามสําคัญมาก และมีรายละเอยี ดวธิ ีปฏิบัตจิ าํ เพาะตา งกนั ออกไป จงึ จัด

เปน วตั รแตล ะขอ เทา กนั หมด นับได 12 ขอ ตามตัวเลขในวงเล็บขา งหลัง

แตใ นอรรถกถาแหง พระสูตรนเ้ี อง (ท.ี อ.3/46) ทา นจดั ตางออกไปดงั น้ี
1. อนฺโตชนสฺมึ พลกายสฺมึ (สงเคราะหช นภายใน และพลกายกองทหาร)
2. ขตฺติเยสุ (สงเคราะหกษัตริยเ มืองขึ้นท้งั หลาย)
3. อนุยนเฺ ตสุ (สงเคราะหเหลาเชอ้ื พระวงศ ผตู ามเสดจ็ เปน ราชบรพิ าร)
4. พรฺ าหฺมณคหปตเิ กสุ (คุม ครองพราหมณแ ละคฤหบดที งั้ หลาย)
5. เนคมชานปเทสุ (คมุ ครองชาวราษฎรพนื้ เมอื งทง้ั หลาย)
6. สมณพฺราหฺมเณสุ (คุมครองเหลาสมณพราหมณ)
7. มคิ ปกขฺ ีสุ (คุมครองเน้ือนกท่เี อาไวส ืบพนั ธุ)
8. อธมฺมการปฏกิ เฺ ขโป (หามปรามมิใหม ีการประพฤติการอนั ผิดธรรม)

[340] 252 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

9. อธนานํ ธนานุปปฺ ทาน (ทาํ นุบํารงุ ผขู ดั สนไรทรัพย)
10. สมณพรฺ าหมฺ เณ อปุ สงกฺ มติ วฺ า ปหฺ าปจุ ฉฺ น (เขา ไปหาและสอบถามปญ หากะสมณพราหมณ)

11. อธมมฺ ราคสสฺ ปหาน (เวนความกําหนดั ในกามโดยอาการไมเ ปน ธรรม)

12. วสิ มโลภสฺส ปหาน (เวน โลภกลา ไมเ ลอื กควรไมค วร)

ที่จํากันมาสวนมาก ก็ถือตามนัยอรรถกถาน้ี อยางไรก็ดี ตามนัยน้ี ทานไมนับขอ
ธรรมาธิปไตย เขา ในจํานวน 12 ขอ และเพม่ิ ขอ 11, 12 เขามาใหม ซ่ึงไมมีมาในบาลเี ดิม (ขอ
11, 12 นี้ โดยเหตผุ ลนาจะมอี ยูแลวในหลักทศพธิ ราชธรรม)

ดู [326] ราชธรรม 10 ดวย.

D.III.61. ท.ี ปา.11/35/65.

[340] ปฏิจจสมุปบาท มอี งคหรอื หัวขอ 12 (การเกิดขน้ึ พรอ มแหงธรรมท้ังหลาย
เพราะอาศยั กัน, ธรรมทีอ่ าศยั กันเกิดข้ึนพรอม, การที่สง่ิ ทง้ั หลายอาศัยกันๆ จงึ เกิดมีขนึ้ — Pañ
icca-samuppàda: the Dependent Origination; conditioned arising)

1.–2. อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะ อวิชชา เปน ปจจยั สังขาร จึงมี (Dependent on

Ignorance arise Kamma-Formations.)

3. สงฺขารปจจฺ ยา วิฺาณํ เพราะสงั ขารเปนปจ จยั วิญญาณ จึงมี (Dependent on

Kamma-Farmations arises Consciousness.)

4. วิฺาณปจฺจยา นามรปู  เพราะวิญญาณเปนปจ จัย นามรปู จงึ มี (Dependent on

Consciousness arise Mind and Matter.)

5. นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ เพราะนามรปู เปนปจ จัย สฬายตนะ จงึ มี (Dependent on

Mind and Matter arise the Six Sense-Bases.)

6. สฬายตนปจจฺ ยา ผสฺโส เพราะสฬายตนะเปนปจจยั ผสั สะ จึงมี (Dependent on the

Six Sense-Bases arises Contact.)

7. ผสฺสปจจฺ ยา เวทนา เพราะผัสสะเปนปจ จัย เวทนา จงึ มี (Dependent on Contact

arises Feeling.)

8. เวทนาปจจฺ ยา ตณฺหา เพราะเวทนาเปน ปจ จัย ตณั หา จงึ มี (Dependent on Feeling

arises Craving.)

9. ตณฺหาปจจฺ ยา อุปาทานํ เพราะตณั หาเปนปจจัย อุปาทาน จงึ มี (Dependent on

Craving arises Clinging.)

10. อุปาทานปจจฺ ยา ภโว เพราะอุปาทานเปนปจจัย ภพ จงึ มี (Dependent on Clinging

arises Becoming.)

11. ภวปจจฺ ยา ชาติ เพราะภพเปน ปจ จัย ชาติ จึงมี (Dependent on Becoming arises

Birth.)

หมวดเกนิ 10 253 [340]

12. ชาตปิ จจฺ ยา ชรามรณํ เพราะชาตเิ ปนปจ จัย ชรามรณะ จึงมี (Dependent on Birth

arise Decay and Death.)

โสกปรเิ ทวทุกขฺ โทมนสสฺ ุปายาสา สมฺภวนตฺ ิ

ความโศก ความครํา่ ครวญ ทุกข โทมนสั และความคบั แคนใจ ก็มีพรอ ม

(There also arise sorrow, lamentation, pain, grief and despair.)

เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสสฺ สมุทโย โหติ.

ความเกิดขน้ึ แหง กองทกุ ขท ั้งปวงน้ี จงึ มดี ว ยประการฉะนี้

(Thus arises this whole mass of suffering.)

แสดงตามลาํ ดับ จากตนไปหาปลายอยางนี้ เรียกวา อนโุ ลมเทศนา (teaching in forward

order) ถาแสดงยอนกลับจากปลายมาหาตน วา ชรามรณะเปน ตน มเี พราะชาตเิ ปน ปจ จัย ชาตมิ ี

เพราะภพเปน ปจ จยั ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเปนปจจยั เรยี กวา ปฏโิ ลมเทศนา (teaching in

backward order)

องค (factors) หรอื หัวขอ 12 นัน้ มคี วามหมายโดยสงั เขป ดังนี้

1. อวชิ ชา (Avijjà: ignorance) ความไมรู คอื ไมรูใ นอรยิ สัจจ 4 หรอื ตามนัยอภิธรรมวา

อวิชชา 8 ดู [208] อวิชชา 4; [209] อวิชชา 8
2. สังขาร (Saïkhàra: kamma-formations) สภาพที่ปรุงแตง ไดแ ก [120] สังขาร 3 2 หรือ

[129] อภิสงั ขาร 3
3. วิญญาณ (Vi¤¤àõa: consciousness) ความรูแจงอารมณ ไดแ ก [268] วญิ ญาณ 6

4. นามรปู (Nàma-råpa: mind and matter) นามและรูป ไดแก เวทนา สญั ญา เจตนา

ผัสสะ มนสกิ าร หรอื ตามนัยอภธิ รรมวา นามขนั ธ 3 + รปู ดู [216] ขนั ธ 5 (ขอ 2, 3, 4);
[38] รปู 21, 28; [39] มหาภตู หรอื ภตู รปู 4; [40] อปุ าทารปู หรอื อปุ าทายรปู 24; [41] รปู 22
5. สฬายตนะ (Saëàyatana: six sense-bases) อายตนะ 6 ไดแก [276] อายตนะภายใน 6
6. ผสั สะ (Phassa: contact) ความกระทบ, ความประจวบ ไดแ ก [272] สัมผสั 6
7. เวทนา (Vedanà: feeling) ความเสวยอารมณ ไดแ ก [113] เวทนา 6
8. ตณั หา (Taõhà: craving) ความทะยานอยาก ไดแ ก ตัณหา 6 มีรปู ตัณหา เปนตน (ตณั หา
ในรปู ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธรรมารมณ) ดู [74] ตัณหา 3 ดวย
9. อปุ าทาน (Upàdàna: clinging; attachment) ความยดึ มน่ั ไดแก [214] อปุ าทาน 4
10. ภพ (Bhava: becoming) ภาวะชวี ติ ไดแ ก [98] ภพ 3 อกี นยั หนง่ึ วา ไดแ ก กรรมภพ (ภพ
คอื กรรม — active process of becoming ตรงกบั [129] อภสิ งั ขาร 3) กบั อปุ ปต ตภิ พ

(ภพคอื ทอ่ี บุ ตั ิ — rebirth-process of becoming ตรงกบั [98] ภพ 3)

11. ชาติ (Jàti: birth) ความเกิด ไดแก ความปรากฏแหง ขนั ธท ง้ั หลาย การไดอายตนะ
12. ชรามรณะ (Jarà-maraõa: decay and death) ความแกแ ละความตาย ไดแ ก ชรา (ความ

[340] 254 พจนานุกรมพุทธศาสตร

เสอื่ มอาย,ุ ความหงอ มอนิ ทรยี ) กบั มรณะ (ความสลายแหง ขนั ธ, ความขาดชวี ติ นิ ทรยี )

ทง้ั 12 ขอ เปน ปจ จยั ตอ เนอ่ื งกนั ไป หมนุ เวยี นเปน วงจร ไมม ตี น ไมม ปี ลาย เรยี กวา ภวจกั ร

(วงลอ หรอื วงจรแหง ภพ — Bhava-cakka: wheel of existence) และมขี อ ควรทราบเกยี่ วกบั
ภวจกั รอกี ดงั น้ี
ก.อัทธา 3 (Addhà: periods; times) คอื กาล 3 ไดแ ก

1) อดีต = อวชิ ชา สงั ขาร

2) ปจจบุ นั = วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ

3) อนาคต = ชาติ ชรา มรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)

ข. สงั เขป หรอื สงั คหะ 4 (Saïkhepa or Saïgaha: sections; divisions) คอื ชวง หมวด
หรือ กลุม 4 ไดแก

1) อดีตเหตุ = อวชิ ชา สังขาร

2) ปจจุบนั ผล = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา

3) ปจจบุ ันเหตุ = ตัณหา อปุ าทาน ภพ

4) อนาคตผล = ชาติ ชรามรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)
ค. สนธิ 3 (Sandhi: links; connection) คอื ขวั้ ตอ ระหวางสงั เขปหรอื ชวงท้งั 4 ไดแก

1) ระหวาง อดตี เหตุ กบั ปจจบุ นั ผล

2) ระหวาง ปจ จบุ นั ผล กบั ปจ จบุ นั เหตุ

3) ระหวาง ปจจบุ นั เหตุ กับ อนาคตผล
ง. วฏั ฏะ 3 ดู [105] วัฏฏะ 3

จ. อาการ 20 (âkàra: modes; spokes; qualities) คอื องคป ระกอบแตละอยา ง อันเปนดุจ
กาํ ของลอ จําแนกตามสวนเหตุ (causes) และสว นผล (effects) ไดแก

1) อดีตเหตุ 5 = อวชิ ชา สงั ขาร ตณั หา อุปาทาน ภพ

2) ปจ จุบนั ผล 5 = วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา

3) ปจ จุบันเหตุ 5 = อวิชชา สงั ขาร ตณั หา อุปาทาน ภพ

4) อนาคตผล 5 = วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา

อาการ 20 นี้ ก็คือ หวั ขอท่ีกระจายใหเ ต็ม ในทกุ ชว งของสงั เขป 4 น่นั เอง
ฉ. มลู 2 (Måla: roots) คอื กิเลสทีเ่ ปน ตวั มลู เหตุ ซึ่งกาํ หนดเปน จุดเร่มิ ตน ในวงจรแตละชว ง ได

แก

1) อวิชชา เปนจุดเริ่มตน ในชว งอดตี สง ผลถึงเวทนาในชวงปจ จุบนั

2) ตณั หา เปน จดุ เร่ิมตนในชว งปจจุบัน สงผลถึงชรามรณะในชวงอนาคต

พงึ สังเกตดว ยวา การกลาวถึงสว นประกอบของภวจักรตามขอ ก. ถึง ฉ. นี้ เปนคาํ อธิบายใน

หมวดเกิน 10 255 [340]

คัมภีรรนุ หลงั เชน อภธิ มั มัตถสังคหะ เปน ตน

การแสดงหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท ใหเ หน็ ความเกดิ ขน้ึ แหง ธรรมตา งๆ โดยอาศยั ปจ จยั สบื ทอดกนั

ไปอยา งน้ี เปน สมทุ ยวาร คอื ฝา ยสมทุ ยั ใชเ ปน คาํ อธบิ ายอรยิ สจั จข อ ท่ี 2 (สมทุ ยั สจั จ) คอื แสดง
ใหเ หน็ ความเกดิ ขนึ้ แหง ทกุ ข ปฏจิ จสมปุ บาททแี่ สดงแบบนี้ เรยี กวา อนโุ ลมปฏจิ จสมปุ บาท (direct

Dependent Origination)

การแสดงในทางตรงขา มกับขา งตน น้ี เปน นโิ รธวาร คอื ฝา ยนโิ รธ ใชอธิบายอริยสจั จข อที่ 3
(นิโรธสัจจ) เรียกวา ปฏิโลมปฏจิ จสมุปบาท (reverse Dependent Origination ซึ่งความจรงิ ก็

คือ Dependent Extinction น่ันเอง) แสดงใหเห็นความดบั ไปแหง ทกุ ข ดวยอาศัยความดับไป
แหงปจจัยทั้งหลายสืบทอดกันไป ตัวบทของปฏิจจสมุปบาทแบบปฏิโลมน้ี พึงเทียบจากแบบ
อนโุ ลมนั่นเอง เชน
1.–2. อวิชฺชาย เตวฺ ว อเสสวิราคนโิ รธา สงขฺ ารนโิ รโธ เพราะอวชิ ชาสํารอกดับไปไมเ หลือ

สังขารจงึ ดบั

(Through the total fading away and cessation of ignorance, cease kamma-
formations.)
3. สงฺขารนโิ รธา วิฺาณนโิ รโธ เพราะสังขารดับ วญิ ญาณจึงดับ
(Through the cessation of kamma-formations, ceases consciousness.)

ฯลฯ
12. ชาตนิ โิ รธา ชรามรณํ เพราะชาตดิ ับ ชรามรณะ (จงึ ดบั )

(Through the cessation of birth, cease decay and death.)

โสกปริเทวทกุ ขฺ โทมนสฺสุปายาสา นิรุชฌฺ นฺติ

ความโศก ความครา่ํ ครวญ ทกุ ข โทมนสั ความคับแคนใจ ก็ดบั

(Also cease sorrow, lamentation, pain, grief and despair.)

เอวเมตสสฺ เกวลสฺส ทกุ ขฺ กขฺ นธฺ สฺส นิโรโธ โหต.ิ

ความดับแหงกองทุกขทัง้ ปวงนี้ ยอ มมีดวยประการฉะน้ี

(Thus comes about the cessation of this whole mass of suffering.)

นี้เปน อนุโลมเทศนา ของปฏโิ ลมปฏิจจสมปุ บาท สวน ปฏิโลมเทศนา ก็พงึ แสดงยอ นวา ชรา

มรณะ เปน ตน ดบั เพราะชาตดิ ับ ชาตดิ ับเพราะภพดับ ฯลฯ สงั ขารดบั เพราะอวิชชาดับ อยาง
เดยี วกับในอนุโลมปฏิจจสมุปบาท

ปฏจิ จสมปุ บาทนี้ มชี อื่ เรยี กอยา งอนื่ อกี ทสี่ าํ คญั คอื อทิ ปั ปจ จยตา (ภาวะทมี่ อี นั นๆ้ี เปน ปจ จยั

— Idappaccayatà: specific conditionality) ธรรมนยิ าม (ความเปน ไปอนั แนน อนแหง ธรรมดา,

กฎธรรมชาติ — Dhammaniyàma: orderliness of nature; natural law) และ ปจ จยาการ
(อาการทสี่ ง่ิ ทง้ั หลายเปน ปจ จยั แกก นั — Paccayàkàra: mode of conditionality; structure of

[341] 256 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร

conditions) เฉพาะชอื่ หลงั นเ้ี ปน คาํ ทน่ี ยิ มใชใ นคมั ภรี อ ภธิ รรม และคมั ภรี ร นุ อรรถกถา.

Vin.I.1; S.II.1; Vbh.135; Vism.517; Comp.188 วินย.4/1/1; สํ.น.ิ 16/1/1; อภิ.วิ.35/274/185; วสิ ุทฺธ.ิ 3/107; สงฺคห.45.

[,,,] ปจจยาการ 12 ดู [340] ปฏิจจสมปุ บาท.

[,,,] สันโดษ 12 ดู [122] สันโดษ 3, 12

[341] อายตนะ 12 (สง่ิ ที่เชอื่ มตอ กันใหเกดิ ความรู, แดนตอ หรือแดนเกดิ แหง ความรู —
âyatana: sense-fields; sense-spheres)

1. อายตนะภายใน 6 ดู [276] อายตนะภายใน 6.

2. อายตนะภายนอก 6 ดู [277] อายตนะภายนอก 6.

Vbh.70. อภิ.ว.ิ 35/99/85.

[342] ธุดงค 13 (องคคณุ เคร่ืองสลัดหรอื กําจัดกิเลส, ขอ ปฏบิ ตั เิ ขมงวด ที่สมคั รใจ

สมาทานประพฤติประจําตวั ช่วั ระยะกาลส้นั หรอื ยาว หรือแมต ลอดชีวติ กไ็ ด เปนอบุ ายขัดเกลา
กิเลส สง เสรมิ ความมักนอ ยสันโดษ เปน ตน — Dhutaïga: means of shaking off or

removing defilements; austere practices; ascetic practices)

หมวดที่ 1 จวี รปฏสิ งั ยตุ ต (เกยี่ วกบั จีวร — connected with robes)
1. ปงสุกูลิกังคะ (องคแหงผูถือทรงผาบังสุกุล คําสมาทานโดยอธิษฐานใจหรือเปลงวาจาวา
“คหปติจวี รํ ปฏกิ ฺขปิ ามิ, ปส กุ ูลิกงคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “เรางดคฤหบดีจวี ร สมาทานองคแหง
ผ—ู ” — Pa§sukålikaïga: refuse-rag-wearer’s practice)
2. เตจวี รกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื ทรงเพยี งไตรจวี ร คาํ สมาทานวา “จตตุ ถฺ จวี รํ ปฏิกฺขิปาม,ิ เตจวี รกิ งคฺ ํ
สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดจวี รผนื ท่ี 4 สมาทานองคแ หง ผ—ู ” —Tecãvarikaïga: triple-robe-

wearer’s practice)

หมวดท่ี 2 ปณ ฑปาตปฏสิ ังยตุ ต (เกีย่ วกับบณิ ฑบาต — connected with almsfood)
3. ปณฑปาติกงั คะ (องคแ หง ผูถ ือเที่ยวบิณฑบาต คําสมาทานวา “อตเิ รกลาภํ ปฏกิ ขฺ ิปามิ,
ปณ ฑฺ ปาติกงคฺ ํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจา งดอตเิ รกลาภ สมาทานองคแหง ผู—”
— Piõóapàtikaïga: alms-food-eater’s practice)
4. สปทานจาริกังคะ (องคแหงผถู อื เท่ียวบณิ ฑบาตไปตามลาํ ดับ คําสมาทานวา“โลลปุ ปฺ จารํ
ปฏกิ ฺขิปามิ, สปทานจาริกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจางดการเที่ยวตามใจอยาก สมาทาน
องคแหง ผ—ู ” — Sapadànacàrikaïga: house-to-house-seeker’s practice)
5. เอกาสนกิ งั คะ (องคแหงผูถือนัง่ ฉนั ณ อาสนะเดียว คอื ฉนั วนั ละคร้งั เดียว ลกุ จากท่ี
แลวไมฉ นั อีก คําสมาทานวา “นานาสนโภชนํ ปฏิกฺขปิ ามิ, เอกาสนิกงฺคํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา
“ขา พเจา งดการฉนั ณ ตา งอาสนะ สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Ekàsanikaïga: one-sessioner’s

practice)

หมวดเกนิ 10 257 [342]

6. ปตตปณ ฑกิ ังคะ (องคแหง ผูถ ือฉันเฉพาะในบาตร คือ ไมใชภาชนะใสอ าหารเกนิ 1
อยา งคอื บาตร คําสมาทานวา “ทุตยิ ภาชนํ ปฏกิ ขฺ ิปามิ, ปตฺตปณ ฑฺ ิกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา
“ขาพเจางดภาชนะที่สอง สมาทานองคแหงผ—ู ” — Pattapiõóikaïga: bowl-food-eater’s

practice)
7. ขลปุ จ ฉาภตั ตกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื หา มภตั ทถี่ วายภายหลงั คอื เมอื่ ไดป ลงใจกาํ หนดอาหารที่

เปน สว นของตน ซง่ึ เรยี กวา หา มภตั ดว ยการลงมอื ฉนั เปน ตน แลว ไมร บั อาหารทเ่ี ขานาํ มาถวายอกี
แมจ ะเปน ของประณตี คาํ สมาทานวา “อตริ ติ ตฺ โภชนํ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ ขลปุ จฉฺ าภตตฺ กิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ
แปลวา “ขา พเจา งดโภชนะอนั เหลอื เฟอ สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Khalupacchà-bhattikaïga:

later-food-refuser’s practice)
หมวดที่ 3 เสนาสนปฏสิ งั ยตุ ต (เกยี่ วกบั เสนาสนะ — connected with the resting place)

8. อารญั ญิกังคะ (องคแ หงผถู อื อยปู า อยหู างบา นคนอยา งนอย 500 ชัว่ ธนู คือ 25 เสน คํา
สมาทานวา “คามนตฺ เสนาสนํ ปฏิกขฺ ิปามิ, อารฺ กิ งฺคํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขา พเจา งด
เสนาสนะชายบาน สมาทานองคแ หง ผู—” — âra¤¤ikaïga: forest-dweller’s practice)
9. รกุ ขมลู กิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื อยโู คนไม คาํ สมาทานวา “ฉนนฺ ํ ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ รกุ ขฺ มลู กิ งคฺ ํ
สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดทมี่ งุ บงั สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Rukkhamålikaïga: tree-root-

dweller’s practice)
10. อพั โภกาสกิ งั คะ (องคแหงผถู อื อยทู แี่ จง คาํ สมาทานวา “ฉนฺนฺจ รกุ ฺขมลู จฺ ปฏกิ ฺขิปามิ,
อพโฺ ภกาสิกงคฺ ํ สมาทิยามิ” แปลวา “ขาพเจา งดท่ีมุงบังและโคนไม สมาทานองคแหงผู—”
— Abbhokàsikaïga: open-air-dweller’s practice)
11. โสสานิกังคะ (องคแหง ผถู ืออยปู าชา คาํ สมาทานวา “อสุสานํ ปฏิกฺขปิ าม,ิ โสสานกิ งคฺ ํ
สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดทม่ี ใิ ชป า ชา สมาทานองคแ หง ผ—ู ” — Sosànikaïga: charnel-

ground-dweller’s practice)
12. ยถาสนั ถตกิ งั คะ (องคแ หง ผถู อื อยใู นเสนาสนะแลว แตเ ขาจดั ให คาํ สมาทานวา “เสนาสน-
โลลปุ ปฺ  ปฏกิ ขฺ ปิ าม,ิ ยถาสนถฺ ตกิ งคฺ ํ สมาทยิ าม”ิ แปลวา “ขา พเจา งดความอยากเอาแตใ จในเสนาสนะ
สมาทานองคแหง ผู—” — Yathàsanthatikaïga: any-bed-user’s practice)

หมวดที่ 4 วิรยิ ปฏิสงั ยุตต (เก่ียวกับความเพียร — connected with energy)
13. เนสัชชกิ ังคะ (องคแหง ผถู อื การนัง่ คือเวนนอน อยดู วยเพียง 3 อิริยาบถ คําสมาทานวา
“เสยยฺ ํ ปฏกิ ฺขปิ าม,ิ เนสชฺชิกงฺคํ สมาทยิ ามิ” แปลวา “ขา พเจา งดการนอน สมาทานองคแหง ผู— ”
— Nesajjikaïga: sitter’s practice)

ขอควรทราบเพิม่ เติมเกย่ี วกบั ธุดงค 13

ก. โดยยอ ธุดงคม ี 8 ขอ เทา น้ัน คอื

1) องคห ลัก 3 (สีสงั คะ — principal practices) คอื สปทานจาริกังคะ (เทากบั ไดร ักษา

ปณ ฑปาตกิ งั คะดว ย) เอกาสนกิ งั คะ (เทา กบั ไดร กั ษาปต ตปณ ฑกิ งั คะ และขลปุ จ ฉาภตั ตกิ งั คะ

[343] 258 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

ดวย) และอัพโภกาสิกงั คะ (ทาํ ใหรุกขมูลกิ ังคะ กับยถาสนั ถติกังคะ หมดความจาํ เปน)

2) องคเ ดยี่ วไมค าบเกย่ี วขอ อนื่ 5 (อสมั ภนิ นงั คะ — individual practices) คอื อารญั ญกิ งั คะ

ปง สกุ ลู กิ งั คะ เตจวี รกิ งั คะ เนสชั ชกิ งั คะ และโสสานกิ งั คะ

ข. โดยนสิ สยั คอื ทอ่ี าศยั (dependence) มี 2 คอื ปจ จยั นสิ ติ 12 (อาศยั ปจ จยั — dependent
on requisites) กบั วิริยนสิ ติ 1 (อาศัยความเพยี ร — dependent on energy)

ค. โดยบุคคลผถู ือ

1) ภกิ ษุ ถอื ไดท ้งั 13 ขอ

2) ภิกษณุ ี ถอื ได 8 ขอ (คอื ขอ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 12, 13)

3) สามเณร ถอื ได 12 ขอ (คือเวนขอ 2 เตจวี รกิ ังคะ)

4) สิกขมานาและสามเณรี ถือได 7 ขอ (คอื ลดขอ 2 ออกจากท่ภี ิกษุณถี อื ได)

5) อุบาสกอบุ าสกิ า ถือได 2 ขอ (คอื ขอ 5 และ 6)

ง. โดยระดับการถือ แตล ะขอ ถอื ได 3 ระดับ คือ

1) อยา งอุกฤษฎ หรืออยางเครง เชน ผถู อื อยูปา ตองใหไดอ รุณในปาตลอดไป

2) อยา งมธั ยม หรอื อยา งกลาง เชน ผถู อื อยปู า อยใู นเสนาสนะชายบา นตลอดฤดฝู น 4 เดอื น ที่

เหลืออยปู า

3) อยา งออ น หรอื อยา งเพลา เชน ผถู อื อยปู า อยใู นเสนาสนะชายบา นตลอดฤดฝู นและหนาว

รวม 8 เดือน

จ. ขอ 9 และ 10 คือ รกุ ขมูลกิ งั คะ และอพั โภกาสกิ งั คะ ถอื ไดเฉพาะนอกพรรษา เพราะวินยั

กําหนดใหต องถอื เสนาสนะในพรรษา

ฉ. ธุดงคไ มใ ชบ ทบญั ญัติทางวินยั ขึน้ กบั ความสมคั รใจ มีหลักทั่วไปในการถือวา ถา ถอื แลวชว ย

ใหก รรมฐานเจรญิ หรือชวยใหกุศลธรรมเจรญิ อกุศลธรรมเสอื่ ม ควรถือ ถา ถือแลวทาํ ให
กรรมฐานเส่อื ม หรอื ทาํ ใหกุศลธรรมเสอ่ื ม อกศุ ลธรรมเจรญิ ไมค วรถือ สวนผทู ่ีถอื หรอื ไมถ ือ
กไ็ มท ําใหกรรมฐานเจริญหรือเส่ือม เชน เปน พระอรหันตแลว อยา งพระมหากัสสปะ เปนตน
หรอื คนอน่ื ๆ กต็ าม ควรถอื ได ฝายแรกควรถือในเมอ่ื คดิ จะอนุเคราะหช ุมชนในภายหลงั ฝาย
หลงั เพอื่ เปนวาสนาตอไป

ช. ธุดงคทม่ี าในบาลเี ดิม ไมพบครบจํานวนในทเ่ี ดียว (ทีพ่ บจาํ นวนมาก คอื ม.อ.ุ 14/186/138;

M.III.40 มขี อ 1, 3, 5, 8, 9, 10, 11, 12, 13; องฺ.ทสก.24/181/245; A.V.219 มีขอ 1, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13;

ข.ุ ม.29/918/584; Nd1188 มขี อ 1, 2, 3, 4, 7, 8, 12, 13) นอกจากคมั ภีรปรวิ าร (วนิ ย.8/982/330; 1192/475;
Vin.V.131,198) ซึ่งมหี ัวขอครบถวน สวนคําอธิบายทั้งหมดพึงดูในคัมภีรวสิ ทุ ธิมัคค.

Vism.59–83. วสิ ุทธฺ .ิ 1/73–104.

[343] กิจ หรอื วิญญาณกิจ 14 (กจิ ของวญิ ญาณ, หนา ทข่ี องจติ — Vi¤¤àõa-kicca:

functions of consciousness; psychic functions)

หมวดเกิน 10 259 [344]

1. ปฏิสนธิ (หนา ทส่ี ืบตอภพใหม ไดแกจ ิต 19 คอื อเุ บกขาสนั ตรี ณะ 2 มหาวบิ าก 8 รปู วบิ าก
5 อรปู วิบาก 4 — Pañisandhi: re-linking; rebirth-linking)
2. ภวังคะ (หนาที่เปนองคของภพ ไดแ กจติ 19 อยางเดยี วกับปฏสิ นธิ — Bhavaïga: life-

continuum; factor of being)

3. อาวัชชนะ (หนา ที่คํานึงอารมณใหม ไดแก จติ 2 คอื ปญจทวาราวัชชนะ และมโนทวารา-
วชั ชนะ — âvajjana: apprehending; adverting)
4. ทัสสนะ (หนาท่ีเหน็ รูป ไดแ ก จักขวุ ิญญาณ 2 — Dassana: seeing)
5. สวนะ (หนาทไ่ี ดยนิ เสยี ง ไดแ ก โสตวิญญาณ 2 — Savana: hearing)
6. ฆายนะ (หนา ทีร่ กู ลิ่น ไดแก ฆานวิญญาณ 2 — Ghàyana: smelling)
7. สายนะ (หนา ทีล่ ิ้มรส ไดแก ชิวหาวิญญาณ 2 — Sàyana: tasting)
8. ผสุ นะ (หนา ทถี่ กู ตอ งโผฏฐพั พะ ไดแ ก กายวญิ ญาณ 2 — Phusana: contacting; touching)
9. สมั ปฏิจฉนะ (หนา ที่รบั อารมณ ไดแก สมั ปฏจิ ฉนะ 2 — Sampañicchana: receiving)
10. สันตรี ณะ (หนา ท่พี จิ ารณาอารมณ ไดแ ก สนั ตรี ณะ 3 — Santãraõa: investigating)
11. โวฏฐพั พนะ หรอื โวฏฐปนะ (หนา ทต่ี ดั สนิ อารมณ ไดแ ก มโนทวาราวชั ชนะ 1 — Voññhapana:

determining)

12. ชวนะ (หนา ทแ่ี ลน เสพอารมณ อนั เปน ชว งทท่ี าํ กรรม ไดแ ก จติ 55 คอื กศุ ลจติ 21, อกศุ ล
จติ 12, กริ ยิ าจติ 18 คอื เวน อาวชั ชนะทง้ั สอง โลกตุ ตรผลจติ 4 — Javana: apperception;

impulsion)

13. ตทาลมั พนะ (หนา ที่รับอารมณต อจากชวนะกอ นตกภวงั ค ไดแก จติ 11 คอื มหาวิบาก 8
สันตรี ณะ 3 — Tadàlambana: retention; registration)
14. จตุ ิ (หนา ทเี่ คลอ่ื นจากภพปจ จบุ นั ไดแ ก จติ 19 อยา งเดยี วกบั ในปฏสิ นธิ — Cuti: decease;

death; shifting)

จดั โดยฐานทจ่ี ติ ทาํ กจิ 14 นี้ มี 10 คอื รวมขอ 4, 5, 6, 7, 8 เปน ขอ เดยี ว คอื ปญ จวญิ ญาณ-

ฐาน (fivefold sense-impressions) นอกนนั้ คงชอื่ เดมิ
กจิ 14 นี้ ในวิสุทธิมคั คเรียกวา วญิ ญาณปวตั ติ หรอื วิญญาณปวัตติอาการ (อาการที่

วญิ ญาณเปนไป — modes of occurrence of consciousness)

ดู [356] จิต 89.

Vism.457; Comp.114. วิสุทธฺ .ิ 3/29; สงฺคห.15

[344] จรณะ 15 (ความประพฤติ, ปฏิปทา, ขอ ปฏิบตั อิ นั เปนทางบรรลวุ ิชชา หรือนพิ พาน
— Caraõa: conduct; course of practice)

1. สีลสมั ปทา (ความถงึ พรอ มดว ยศลี คอื ประพฤติถูกตอ งดงี าม สํารวมในพระปาฏิโมกข มี
มารยาทเรยี บรอ ย ประพฤตเิ ครง ครดั ในสกิ ขาบททง้ั หลาย — Sãla-sampadà: accomplishment of

[345] 260 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

morals)

2. อปณณกปฏิปทา 3 ดู [128] อปณณกปฏปิ ทา 3
3. สัทธรรม 7 ดู [301] สปั ปรุ ิสธรรม 8 ขอ 1.
4. ฌาน 4 ดู [9] ฌาน 4

ในบาลที ่มี า ทานเรยี กวา เปน เสขปฏปิ ทา คอื ขอ ปฏบิ ตั อิ นั เปนทางดาํ เนนิ ของพระเสขะ (a

learner’s course of practice)

M.I.354. ม.ม.13/26/26.

[345] ญาณ 16 หรอื โสฬสญาณ (ความหย่ังรู ในทน่ี ้หี มายถงึ ญาณท่เี กดิ ข้นึ แกผ ู
เจรญิ วปิ ส สนาตามลําดับ ตั้งแตต น จนถงึ ทส่ี ดุ — Soëasa-¤àõa: insight; knowledge)

1. นามรปู ปรจิ เฉทญาณ (ญาณกาํ หนดจาํ แนกรนู ามและรปู คอื รวู า สงิ่ ทง้ั หลายมแี ตร ปู ธรรม
และนามธรรม และกาํ หนดแยกไดว า อะไรเปน รปู ธรรม อะไรเปน นามธรรม —Nàmaråpa-
pariccheda-¤àõa: knowledge of the delimitation of mentality–materiality)

2. ปจ จยปรคิ คหญาณ (ญาณกาํ หนดรปู จ จัยของนามและรูป คือรูวา รูปธรรมและนามธรรม

ทง้ั หลายเกิดจากเหตปุ จจยั และเปน ปจจัยแกกัน อาศัยกัน โดยรูตามแนวปฏจิ จสมุปบาท ก็ดี
ตามแนวกฎแหงกรรมก็ดี ตามแนววัฏฏะ 3 ก็ดี เปน ตน — Paccaya-pariggaha-¤àõa:

knowledge of discerning the conditions of mentality–materiality)
3. สมั มสนญาณ (ญาณกาํ หนดรูดว ยพิจารณาเห็นนามและรปู โดยไตรลักษณ คือ ยกรูปธรรม

และนามธรรมทง้ั หลายขนึ้ พจิ ารณาโดยเหน็ ตามลกั ษณะท่เี ปน ของไมเท่ียง เปน ทกุ ข มิใชตวั ตน
— Sammasana-¤àõa: knowledge of comprehending mentality–materiality as

impermanent, unsatisfactory and not-self)

4.–12. ไดแ ก วิปสสนาญาณ 9 ดู [311]

13. โคตรภูญาณ (ญาณครอบโคตร คือ ความหยัง่ รูที่เปนหวั ตอแหง การขามพน จากภาวะ
ปุถชุ นเขา สูภาวะอริยบุคคล — Gotrabhå-¤àõa: knowledge at the moment of the

“Change-of-lineage”)

14. มคั คญาณ (ญาณในอรยิ มรรค คือ ความหย่งั รูที่ใหสําเรจ็ ภาวะอรยิ บุคคลแตละขนั้ —
Magga-¤àõa: knowledge of the Path)
15. ผลญาณ (ญาณในอรยิ ผล คอื ความหย่งั รทู ่ีเปน ผลสําเร็จของพระอรยิ บุคคลช้ันนน้ั ๆ —
Phala-¤àõa: knowledge of Fruition)
16. ปจจเวกขณญาณ (ญาณหย่งั รดู วยการพิจารณาทบทวน คอื สาํ รวจรมู รรคผล กเิ ลสท่ลี ะ

แลว กิเลสท่เี หลืออยู และนิพพาน เวนแตวาพระอรหนั ตไมมีการพิจารณากเิ ลสท่ียังเหลืออยู —
Paccavekkhaõa-¤àõa: knowledge of reviewing)

ในญาณ 16 น้ี 14 อยาง (ขอ 1–13 และ 16) เปน โลกยี ญาณ, 2 อยาง (ขอ 14 และ 15)

หมวดเกนิ 10 261 [346]

เปน โลกุตตรญาณ

ญาณ 16 (บางทีเรยี กวา โสฬสญาณ ซ่ึงกแ็ ปลวาญาณ 16 นั่นเอง) ทจี่ ดั ลําดบั เปน ชุดและ

เรียกชอื่ เฉพาะอยางน้ี มใิ ชม าในพระบาลีเดิมโดยตรง พระอาจารยใ นสายวงการวิปสสนาธุระได

สอนสืบกนั มา โดยประมวลจากคัมภรี ป ฏิสมั ภิทามัคค และวิสุทธิมัคค ในกาลตอมา

(พึงดู ขุ.ปฏิ.31/มาตกิ า/1–2 = Ps.1 และ วิสทุ ธฺ ิ.3/206–328 = Vism.587–678)

[,,,] รูปพรหม หรอื พรหมโลก 16 ดู [351] ภมู ิ 4 หรือ 31.
[,,,] โสฬสวัตถุกอานาปานสติ ดู [346] อานาปานสติ 16 ฐาน
[,,,] อานาปานสติ 16 ขั้น ดู [346] อานาปานสติ 16 ฐาน
[346] อานาปานสติ 16 ฐาน (สติกาํ หนดลมหายใจ, การเจริญอานาปานสติ คอื ใช

สตกิ ําหนดลมหายใจเขา –ออก แบบท่เี ปน การเจรญิ สติปฏ ฐานไปดว ยครบทั้ง 4 — Soëasa–
vatthuka-ànàpànassati: mindfulness of breathing with sixteen bases)

จตุกกะที่ 1: กายานปุ สสนา

1) ทฆี ํ วา อสสฺ สนฺโต ‘ทฆี ํ อสฺสสาม’ี ติ ปชานาต,ิ
ทีฆํ วา ปสฺสสนฺโต ‘ทฆี ํ ปสฺสสามี’ติ ปชานาติ;

2) รสสฺ ํ วา อสฺสสนโฺ ต ‘รสฺสํ อสฺสสามี’ติ ปชานาต,ิ
รสสฺ ํ วา ปสฺสสนโฺ ต ‘รสฺสํ ปสฺสสาม’ี ติ ปชานาต;ิ

3) ‘สพฺพกายปฏสิ ํเวที อสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ต,ิ
‘สพพฺ กายปฏสิ เํ วที ปสฺสสิสฺสามี’ติ สกิ ขฺ ติ;

4) ‘ปสสฺ มภฺ ยํ กายสงขฺ ารํ อสฺสสิสฺสาม’ี ติ สิกขฺ ติ,
‘ปสฺสมภฺ ยํ กายสงขฺ ารํ ปสฺสสิสฺสามี’ติ สกิ ฺขต.ิ

1) เม่อื หายใจเขายาว เธอกร็ ูชัดวา เราหายใจเขา ยาว

หรอื เมอื่ หายใจออกยาว เธอก็รชู ดั วา เราหายใจออกยาว

2) เมื่อหายใจเขาสนั้ เธอก็รชู ัดวา เราหายใจเขาส้ัน

หรือเมือ่ หายใจออกส้ัน เธอกร็ ูชดั วา เราหายใจออกสน้ั

3) เธอสําเหนยี กวา เราจกั รูท ่วั กาย(กองลม)ทง้ั หมด หายใจเขา

เธอสําเหนียกวา เราจกั รูท ่ัวกาย(กองลม)ทัง้ หมด หายใจออก

4) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั ผอนระงับกายสังขาร หายใจเขา

เธอสําเหนียกวา เราจกั ผอนระงับกายสงั ขาร หายใจออก

1. Breathing in long, he knows: “I am breathing in long”;

or breathing out long, he knows: “I am breathing out long”.

[346] 262 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

2. Breathing in short, he knows: “I am breathing in short”;

or breathing out short, he knows: “I am breathing out short”.

3. He trains thus: “Experiencing the entire (breath-) body, I shall breathe in”;

he trains thus: “Experiencing the entire (breath-) body, I shall breathe out”.

4. He trains thus: “Calming the bodily formation, I shall breathe in”;

he trains thus: “Calming the bodily formation, I shall breathe out”.
จตกุ กะที่ 2: เวทนานปุ ส สนา
5) ‘ปต ิปฏสิ เํ วที อสฺสสิสสฺ าม’ี ติ สิกขฺ ต,ิ
‘ปติปฏสิ ํเวที ปสฺสสสิ สฺ าม’ี ติ สิกฺขต;ิ
6) ‘สขุ ปฏิสเํ วที อสฺสสิสฺสาม’ี ติ สิกขฺ ต,ิ
‘สขุ ปฏิสเํ วที ปสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สิกขฺ ต;ิ
7) ‘จติ ฺตสงฺขารปฏสิ ํเวที อสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สิกฺขติ,
‘จติ ตฺ สงขฺ ารปฏสิ เํ วที ปสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ติ;
8) ‘ปสสฺ มฺภยํ จติ ตฺ สงฺขารํ อสสฺ สิสฺสาม’ี ติ สกิ ขฺ ต,ิ
‘ปสฺสมฺภยํ จติ ตฺ สงขฺ ารํ ปสสฺ สิสสฺ ามี’ติ สิกขฺ ต.ิ
5) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั เสวยรูปติ หายใจเขา

เธอสาํ เหนียกวา เราจกั เสวยรูปติ หายใจออก

6) เธอสาํ เหนียกวา เราจกั เสวยรคู วามสุข หายใจเขา

เธอสําเหนียกวา เราจกั เสวยรูความสุข หายใจออก

7) เธอสําเหนยี กวา เราจกั เสวยรูจิตสังขารหายใจเขา

เธอสาํ เหนยี กวา เราจักเสวยรจู ิตสงั ขาร หายใจออก

8) เธอสาํ เหนียกวา เราจักผอนระงับจติ สังขาร หายใจเขา

เธอสาํ เหนียกวา เราจักผอ นระงับจิตสังขาร หายใจออก

5. He trains thus: “Experiencing rapture, I shall breathe in”;

he trains thus: “Experiencing rapture, I shall breathe out”.

6. He trains thus: “Experiencing joy, I shall breathe in”;

he trains thus: “Experiencing joy, I shall breathe out”.

7. He trains thus: “Experiencing the mental formation, I shall breathe in”;

he trains thus: “Experiencing the mental formation, I shall breathe out”.

8. He trains thus: “Calming the mental formation, I shall breathe in”;

he trains thus: “Calming the mental formation, I shall breathe out”.

หมวดเกนิ 10 263 [346]

จตกุ กะท่ี 3: จติ ตานุปส สนา
9) ‘จติ ตฺ ปฏิสเํ วที อสสฺ สิสฺสามี’ติ สกิ ฺขต,ิ

‘จติ ฺตปฏิสํเวที ปสสฺ สิสฺสามี’ติ สกิ ขฺ ติ;
10) ‘อภิปปฺ โมทยํ จติ ฺตํ อสสฺ สิสฺสามี’ติ สกิ ขฺ ติ,

‘อภิปฺปโมทยํ จิตฺตํ ปสฺสสิสสฺ ามี’ติ สิกขฺ ติ
11) ‘สมาทหํ จิตฺตํ อสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ต,ิ

‘สมาทหํ จิตตฺ ํ ปสฺสสสิ สฺ าม’ี ติ สิกฺขต;ิ
12) ‘วโิ มจยํ จติ ฺตํ อสสฺ สิสฺสามี’ติ สิกขฺ ติ,

‘วโิ มจยํ จติ ตฺ ํ ปสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สิกฺขติ.

9) เธอสําเหนียกวา เราจักรทู ว่ั ถงึ จิต หายใจเขา

เธอสําเหนียกวา เราจกั รทู ั่วถงึ จติ หายใจออก

10) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั ทาํ จิตใหรา เรงิ หายใจเขา

เธอสําเหนยี กวา เราจักทาํ จิตใหราเรงิ หายใจออก

11) เธอสําเหนียกวา เราจกั ทําจติ ใหต งั้ มัน่ หายใจเขา

เธอสําเหนยี กวา เราจกั ทําจิตใหต ั้งม่ัน หายใจออก

12) เธอสาํ เหนียกวา เราจกั ปลอ ยเปลื้องจติ หายใจเขา

เธอสําเหนียกวา เราจกั ปลอ ยเปล้อื งจิต หายใจออก

9. He trains thus: “Experiencing the mind, I shall breathe in”;

he trains thus: “Experiencing the mind, I shall breathe out”.

10. He trains thus: “Gladdening the mind, I shall breathe in”;

he trains thus: “Gladdening the mind, I shall breathe out”.

11. He trains thus: “Concentrating the mind, I shall breathe in”;

he trains thus: “Concentrating the mind, I shall breathe out”.

12. He trains thus: “Liberating the mind, I shall breathe in”;

he trains thus: “Liberating the mind, I shall breathe out”.
จตุกกะที่ 4: ธัมมานุปส สนา
13) ‘อนิจจฺ านุปสฺสี อสสฺ สสิ สฺ ามี’ติ สกิ ฺขต,ิ
‘อนจิ จฺ านุปสฺสี ปสสฺ สสิ สฺ ามี’ติ สิกขฺ ต;ิ
14) ‘วิราคานปุ สสฺ ี อสสฺ สสิ ฺสาม’ี ติ สกิ ฺขติ,
‘วริ าคานุปสฺสี ปสฺสสสิ ฺสามี’ติ สกิ ฺขต;ิ
15) ‘นิโรธานุปสฺสี อสสฺ สสิ ฺสามี’ติ สกิ ฺขติ,

[346] 264 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

‘นิโรธานปุ สฺสี ปสฺสสิสสฺ าม’ี ติ สิกขฺ ติ;
16) ‘ปฏินิสสฺ คคฺ านุปสฺสี อสสฺ สสิ สฺ าม’ี ติ สกิ ขฺ ติ,

‘ปฏินิสฺสคคฺ านปุ สฺสี ปสฺสสิสฺสาม’ี ติ สกิ ขฺ ต.ิ
13) เธอสําเหนยี กวา เราจกั พิจารณาเหน็ ความไมเทย่ี ง หายใจเขา

เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พจิ ารณาเห็นความไมเท่ียง หายใจออก

14) เธอสําเหนียกวา เราจกั พิจารณาเห็นความคลายออกได หายใจเขา

เธอสาํ เหนยี กวา เราจักพิจารณาเห็นความคลายออกได หายใจออก

15) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พิจารณาเหน็ ความดบั กิเลส หายใจเขา

เธอสําเหนยี กวา เราจกั พิจารณาเห็นความดับกิเลส หายใจออก

16) เธอสาํ เหนยี กวา เราจกั พจิ ารณาเหน็ ความสลดั คนื ได หายใจเขา

เธอสําเหนียกวา เราจักพจิ ารณาเห็นความสลดั คืนได หายใจออก

13. He trains thus: “Contemplating impermanence, I shall breathe in”;

he trains thus: “Contemplating impermanence, I shall breathe out”.

14. He trains thus: “Contemplating fading away, I shall breathe in”;

he trains thus: “Contemplating fading away, I shall breathe out”.

15. He trains thus: “Contemplating cessation, I shall breathe in”;

he trains thus: “Contemplating cessation, I shall breathe out”.

16. He trains thus: “Contemplating relinquishment, I shall breathe in”;

he trains thus: “Contemplating relinquishment, I shall breathe out”.

ขอ ควรทราบ:
ก) คาํ วา หายใจเขา และ หายใจออก นนั้ พงึ ทราบวา เปน คาํ ทม่ี กี ารแปลตา งกนั คอื อรรถกถาแหง
พระวนิ ยั แปล อสสฺ าส วา “หายใจออก” และ ปสสฺ าส วา “หายใจเขา ” สว นอรรถกถาแหง พระสตู รแปล
กลบั ตรงขา ม คอื แปล อสสฺ าส วา “หายใจเขา ” และ ปสสฺ าส วา “หายใจออก” ในทนี่ ถ้ี อื ตามคาํ แปล

ของอรรถกถาแหงพระสูตร ผศู ึกษาทราบอยา งน้แี ลว จะใชแบบใดกไ็ ด พึงเลอื กตามปรารถนา

ข) “สําเหนยี กวา” เปนคําแปลตามสํานวนเกา หมายถึงคําบาลวี า สกิ ฺขติ จะแปลแบบทบั ศัพทเ ปน

“ศึกษาวา ” กไ็ ด

ค) ธรรมหมวดนี้ เรยี กตามบาลแี หง คมั ภรี ป ฏสิ มั ภทิ ามคั คว า โสฬสวตั ถกุ อานาปานสติ (เชน ข.ุ ปฏ.ิ
31/361/244; 386/260=Ps.I.162; 173 คาํ บาลเี ดิมเปน โสฬสวตฺถุกา อานาปานสฺสติ บาง โสฬสวตถฺ ุโก
อานาปานสสฺ ตสิ มาธิ บา ง บางทอี รรถกถาก็เรยี กยกั เยือ้ งไปวา โสฬสวตฺถุกา อานาปานสสฺ ติ-
สมาธภิ าวนา บา ง โสฬสวตถฺ ุกํ อานาปานสฺสตกิ มฺมฏานํ บาง) แปลแบบรักษาศัพทวา “อานา-
ปานสตมิ วี ตั ถุ 16” แตในทนี่ ้เี ลือกแปลตามคาํ อธบิ ายในคัมภีร ปรมัตถมญั ชสุ า มหาฎีกาแหง
วสิ ทุ ธิมคั ค (วิสุทธฺ .ิ ฏีกา2/34) วา “อานาปานสติ 16 ฐาน” เพราะในภาษาไทย คาํ วา ฐาน เปน คาํ ทค่ี นุ

หมวดเกนิ 10 265 [347]

และชว ยสอ่ื ความหมายของคาํ วา วตั ถุ ในทนี่ ไี้ ดด ี แตจ ะแปลวา “อานาปานสติ 16 หลกั ” หรือ

“อานาปานสติ 16 หวั ขอ (หรอื 16 ขอ )” กไ็ ด บางทกี เ็ รยี กใหฟ ง เปน ลาํ ดบั วา “อานาปานสติ 16 ขนั้ ”

ง) 16 ฐาน หรือ 16 หลกั หรือ 16 หวั ขอ หรือ 16 ขอ หรอื 16 ขั้นนน้ั ทานจัดเปน 4 จตกุ กะ

คือเปน หมวดส่ี 4 หมวด ดงั นี้

1. กายานุปสสนาจตุกกะ (หมวดสี่แหงกายานปุ สสนา)
2. เวทนานปุ ส สนาจตุกกะ (หมวดสแ่ี หง เวทนานปุ สสนา)
3. จิตตานุปสสนาจตกุ กะ (หมวดสแ่ี หง จติ ตานปุ สสนา)
4. ธมั มานุปส สนาจตกุ กะ (หมวดสี่แหง ธมั มานุปส สนา)

เปนการระบุชดั วา สว นไหนเปนสติปฏ ฐานขอใด

จ) วาโดยไตรสกิ ขา ระหวา งปฏิบัตินัน้

• ความมีกายวาจาตั้งอยูในความสงบสํารวม โดยมีเจตนาอันปลอดจากการละเมิดหรือ

เบียดเบียน (กายิกวาจสกิ อวตี กิ กมะ) เปน ศีล

• การมีสตกิ าํ หนด ดวยจิตท่ตี ั้งม่ันมีอารมณหนงึ่ เดียวตามทีก่ าํ หนด (จติ ตสั เสกัคตา) เปน

สมาธิ

• ความมีสมั ปชญั ญะรูทั่วพรอม มองเห็นตามสภาวะ เปน ปญ ญา

ฉ) ในการปฏบิ ตั ินี้ ศีลเปนเพียงฐานที่รองรบั อยู สวนธรรมท่ปี ฏบิ ัติซงึ่ จะเจรญิ ข้นึ ไป คือ สมาธิ
และปญ ญา อนั ไดแ ก สมถะ และวิปส สนา ในขอตอ ไป

ช) ในการปฏบิ ัติท้งั หมดน้ี สามจตุกกะแรก มที ้ัง สมถะ และ วิปสสนา แตจ ตกุ กะที่ ๔ เปน
วิปส สนา ลวน

ฌ) โสฬสวัตถกุ อานาปานสติ น้ี พระพทุ ธเจาตรัสแสดงบอย พบไดหลายแหงในพระไตรปฎก

แตท ่ปี ระมวลเร่ืองเกี่ยวขอ งและขอความแวดลอมไวครบถวน ซ่ึงรูจกั กนั ดแี ละเปนทอี่ างอิงกนั ทว่ั

ไป คอื อานาปานสติสตู ร (ม.อุ.14/282–291/190–202=MIII.78–88) นอกจากนั้นยังมคี าํ อธิบายโดย
พสิ ดารในพระไตรปฎ ก ปรากฏใน ปฏสิ ัมภทิ ามคั ค (ข.ุ ปฏ.ิ 31/361–422/244-299; = Ps.I.162–196) สว นใน
ชน้ั อรรถกถา กม็ อี ธบิ ายหลายแหง โดยเฉพาะทค่ี น ควา ไดส ะดวก คอื วสิ ทุ ธมิ คั ค (วสิ ุทธ .ิ 2/52-88=

Vism.266–293)

Vin.III.70; M.I.425; M.III.82; S.V.311; วนิ ย.1/178/132; ม.ม.13/146/140; ม.อุ.14/287/193;

A.V.111; Ps.I.162. ส.ํ ม.19/1305/394; อง.ทสก.24/60/119; ข.ุ ปฏ.ิ 31/361/244.

[347] อุปกิเลส หรอื จิตตอุปกิเลส 16 (ธรรมเครอ่ื งเศรา หมอง, สิง่ ทท่ี ําใหจ ติ ขุน
มัว รบั คณุ ธรรมไดยาก ดุจผาเปรอะเปอนสกปรก ยอ มไมไดด ี — Upakkilesa: mental

defilements)
1. อภชิ ฌาวสิ มโลภะ (คดิ เพง เลง็ อยากได โลภไมส มควร, โลภกลา จอ งจะเอา ไมเ ลอื กควรไม
ควร — Abhijjhà-visamalobha: greed and covetousness; covetousness and

[348] 266 พจนานุกรมพุทธศาสตร

unrighteous greed)
2. พยาบาท (คิดรา ยเขา — Byàpàda: malevolence; illwill)
3. โกธะ (ความโกรธ — Kodha: anger)
4. อุปนาหะ (ความผูกโกรธ — Upanàha: grudge; spite)
5. มักขะ (ความลบหลูคุณทา น, ความหลคู วามดีของผอู ื่น, การลบลางปด ซอนคุณคา ความดี
ของผอู น่ื — Makkha: detraction; depreciation; denigration)
6. ปลาสะ (ความตเี สมอ, ยกตวั เทยี มทาน, เอาตัวขึน้ ต้งั ขวางไว ไมยอมยกใหใครดกี วา ตน —
Palàsa: domineering; rivalry; envious rivalry)
7. อิสสา (ความริษยา — Issà: envy; jealousy)
8. มัจฉรยิ ะ (ความตระหนี่ — Macchariya: stinginess; meanness)
9. มายา (มารยา — Màyà: deceit)
10. สาเถยยะ (ความโออวดหลอกเขา, หลอกดว ยคาํ โออ วด — Sàñheyya: hypocrisy)
11. ถมั ภะ (ความหวั ดือ้ , กระดา ง — Thambha: obstinacy; rigidity)
12. สารมั ภะ (ความแขง ด,ี ไมย อมลดละ มงุ แตจ ะเอาชนะกนั — Sàrambha: presumption;

competing contention; contentiousness; contentious rivalry; vying; strife)
13. มานะ (ความถือตัว, ทะนงตน — Màna: conceit)
14. อตมิ านะ (ความถอื ตัววา ย่ิงกวา เขา, ดูหม่ินเขา — Atimàna: excessive conceit;

contempt)
15. มทะ (ความมัวเมา — Mada: vanity)
16. ปมาทะ (ความประมาท, ละเลย, เลินเลอ — Pamàda: heedlessness; negligence;

indolence)
ขอ 2 มีตางออกไป คือ ในธมั มทายาทสตู ร เปน โทสะ (ความคิดประทษุ รายเขา —

hatred) (ม.ม.ู 12/26/26)

M.I.36. ม.มู.12/93/65.

[348] ธาตุ 18 (ส่ิงท่ที รงสภาวะของตนอยเู อง ตามที่เหตุปจจัยปรุงแตง ขึ้น เปน ไปตามธรรม

นยิ ามคือกาํ หนดแหงธรรมดา ไมม ผี สู รา งผบู นั ดาล และมีรูปลักษณะกจิ อาการเปน แบบจาํ เพาะ
ตวั อันพึงกําหนดเอาเปนหลกั ไดแ ตละอยา งๆ — Dhàtu: elements)
1. จกั ขุธาตุ (ธาตคุ อื จกั ขปุ สาท — Cakkhu-dhàtu: eye element)
2. รูปธาตุ (ธาตุคือรูปารมณ — Råpa~: visible-data element)
3. จกั ขวุ ิญญาณธาตุ (ธาตุคือจักขวุ ญิ ญาณ — Cakkhuvi¤¤àõa~: eye-consciousness

element)
4. โสตธาตุ (ธาตคุ อื โสตปสาท — Sota~: ear element)

หมวดเกิน 10 267 [349]

5. สัททธาตุ (ธาตุคอื สัททารมณ — Sadda~: sound element)
6. โสตวิญญาณธาตุ (ธาตุคือโสตวิญญาณ — Sotavi¤¤àõa~: ear-consciousness

element)
7. ฆานธาตุ (ธาตุคือฆานปสาท — Ghàna~: nose element)
8. คันธธาตุ (ธาตุคือคนั ธารมณ — Gandha~: odour element)
9. ฆานวญิ ญาณธาตุ (ธาตุคือฆานวญิ ญาณ — Ghànavi¤¤àõa~: nose-consciousness

element)
10. ชวิ หาธาตุ (ธาตคุ อื ชวิ หาปสาท — Jivhà~: tongue element)
11. รสธาตุ (ธาตุคอื รสารมณ — Rasa~: flavour element)
12. ชวิ หาวญิ ญาณธาตุ (ธาตคุ อื ชวิ หาวญิ ญาณ — Jivhàvi¤¤àõa~: tongue-consciousness

element)
13. กายธาตุ (ธาตุคือกายปสาท — Kàya~: body element)
14. โผฏฐัพพธาตุ (ธาตุคอื โผฏฐัพพารมณ — Phoññhabba~: tangible-data element)
15. กายวญิ ญาณธาตุ (ธาตุคือกายวิญญาณ — Kàyavi¤¤àõa~: body-consciousness

element)
16. มโนธาตุ (ธาตุคอื มโน — Mano~: mind element)
17. ธรรมธาตุ (ธาตุคอื ธรรมารมณ — Dhamma~: mental-data element)
18. มโนวิญญาณธาตุ (ธาตคุ ือมโนวิญญาณ — Manovi¤¤àõa~: mind-consciousness

element)
ขอ ควรสังเกต

ก. ขอ 3, 6, 9, 12, 15 ไดแ ก ทวิปญจวญิ ญาณจิต รวมเปน จิต = 10

ข. ขอ 16 มโนธาตุ ไดแ ก สมั ปฏิจฉนะ 2 กบั ปญ จทวาราวชั ชนะ 1 รวมเปน จิต = 3

ค. ขอ 18 มโนวญิ ญาณธาตุ ไดแ ก จติ นอกเหนอื จากนนั้ อกี = 76

รวมเปนจติ ทัง้ ส้นิ = 89

ดู [356] จติ 89 หรอื 121.

Vbh.87; Vism.484; Comp.183. อภิ.วิ.35/124/108; วสิ ทุ ฺธิ.3/65; สงคฺ ห.44.

[349] อินทรีย 22 (ส่งิ ท่ีเปนใหญใ นการทํากจิ ของตน คือ ทําใหธ รรมอื่นๆ ที่เก่ียวขอ ง
เปนไปตามตน ในกิจนนั้ ๆ ในขณะท่ีเปนไปอยูนนั้ — Indriya: faculties)

หมวดที่ 1

1. จักขุนทรยี  (อินทรีย คอื จักขุปสาท — Cakkhundriya: eye-faculty)

2. โสตนิ ทรีย (อนิ ทรีย คือ โสตปสาท — Sotindriya: ear-faculty)

[349] 268 พจนานุกรมพุทธศาสตร

3. ฆานนิ ทรยี  (อินทรยี  คือ ฆานปสาท — Ghànindriya: nose-faculty)
4. ชวิ หินทรีย (อินทรีย คอื ชิวหาปสาท — Jivhindriya: tongue-faculty)
5. กายนิ ทรีย (อินทรีย คือ กายปสาท — Kàyindriya: body-faculty)
6. มนนิ ทรยี  (อินทรยี  คือ ใจ ไดแก จิต ทจี่ ําแนกเปน 89 หรือ 121 ก็ตาม — Manindriya:

mind-faculty)

หมวดที่ 2
7. อติ ถินทรีย (อนิ ทรยี  คอื อติ ถภี าวะ — Itthindriya: femininity faculty)
8. ปุริสินทรีย (อินทรยี  คอื ปุรสิ ภาวะ — Purisindriya: masculinity faculty; virility)
9. ชีวิตินทรยี  (อินทรยี  คอื ชีวิต — Jãvitindriya: life faculty; vitality)

หมวดที่ 3
10. สขุ นิ ทรยี  (อนิ ทรีย คอื สขุ เวทนา — Sukhindriya: bodily-pleasure faculty)
11. ทกุ ขนิ ทรีย (อินทรีย คอื ทกุ ขเวทนา — Dukkhindriya: bodily-pain faculty)
12. โสมนสั สินทรยี  (อนิ ทรยี  คอื โสมนสั สเวทนา — Somanassindriya: joy faculty)
13. โทมนัสสนิ ทรีย (อินทรีย คือ โทมนสั สเวทนา — Domanassindriya: grief faculty)
14. อุเปกขินทรยี  (อินทรีย คอื อเุ บกขาเวทนา — Upekkhindriya: indifference faculty)

หมวดที่ 4
15. สัทธนิ ทรีย (อนิ ทรยี  คือ ศรทั ธา — Saddhindriya: faith faculty)
16. วริ ิยินทรีย (อินทรยี  คือ วริ ยิ ะ — Viriyindriya: energy faculty)
17. สตินทรีย (อินทรยี  คอื สติ — Satindriya: mindfulness faculty)
18. สมาธินทรีย (อินทรีย คอื สมาธิ ไดแ ก เอกคั คตา — Samàdhindriya: concentration

faculty)

19. ปญญนิ ทรีย (อินทรยี  คือ ปญ ญา — Pa¤¤indriya: wisdom faculty)
หมวดที่ 5

20. อนัญญาตัญญสั สามตี นิ ทรยี  (อนิ ทรยี แหงผูป ฏบิ ัตดิ วยมุงวาเราจักรสู จั จธรรมทย่ี งั มิไดรู
ไดแ ก โสตาปตติมัคคญาณ — Ana¤¤àta¤¤assàmãtindriya: ‘I shall come to know

the unknown’ faculty, i.e. knowledge of the Stream-Entry Path.)

21. อัญญินทรยี  (อินทรยี  คอื อัญญา หรอื ปญ ญาอนั รูท ว่ั ถึง ไดแก ญาณ 6 ในทามกลาง คือ
โสตาปต ตผิ ลญาณ ถงึ อรหัตตมคั คญาณ — A¤¤indriya: perfect-knowledge faculty,

i.e. knowledge of the six intermediate Paths and Fruitions)

22. อญั ญาตาวนิ ทรีย (อินทรียแหง ทานผรู ูทั่วถงึ แลว กลา วคอื ปญญาของพระอรหันต ไดแก
อรหัตตผลญาณ — A¤¤àtàvindriya: perfect-knower faculty, i.e. knowledge of

the Fruition of Arahantship)

หมวดเกนิ 10 269 [350]

อินทรยี  22 น้ี ท่ีมาในพระสูตร มกี ระจายอยูเ ปน หมวดๆ ในทหี่ ลายแหง ไมครบทง้ั 22 ในที่
เดยี วกัน เฉพาะทีม่ าสาํ คญั ไดแก อินทรยี สังยตุ ต (ส.ํ ม.19/843–1089/256–318; S.V.193–243) สวนทม่ี า

ในพระอภิธรรม และปกรณพ ิเศษภายหลงั มี วิสทุ ธิมคั ค และ อภิธมั มัตถสังคหะ เปนตน มคี ํา

อธิบายโดยพสิ ดาร

Vbh.122; Vism.491; Comp.175. อภิ.ว.ิ 35/236/161; วิสทุ ธฺ ิ.3/72; สงฺคห.41.

[350] ปจจัย 24 (ลักษณะหรอื อาการแหงความสัมพนั ธระหวา งสิง่ ทัง้ หลาย ที่ส่ิงหนง่ึ หรอื

สภาวธรรมอยางหนึ่ง เปน องคประกอบท่ีชว ยเอ้ือ เกือ้ หนนุ คํา้ จุน เปน เหตุ หรือเปนเง่ือนไข ให
สงิ่ อ่นื หรอื สภาวธรรมอยางอน่ื เกดิ ขนึ้ คงอยู หรอื เปน ไปอยางใดอยางหน่งึ — Paccaya:

condition; mode of conditionality or relation)

1. เหตุปจ จยั (ปจจยั โดยเปนเหตุ — Hetu-paccaya: root condition)
2. อารัมมณปจ จยั (ปจ จัยโดยเปน อารมณ — ârammaõa-paccaya: object condition)
3. อธปิ ตปิ จ จยั (ปจ จยั โดยเปน เจา ใหญ — Adhipati-paccaya: predominance condition)
4. อนันตรปจจัย (ปจจัยโดยเปนภาวะตอเนือ่ งไมมีชองระหวา ง — Anantara-paccaya:

immediacy condition)
5. สมนันตรปจจัย (ปจจัยโดยเปนภาวะตอเนื่องทันที — Samanantara-paccaya:

contiguity condition)

6. สหชาตปจจัย (ปจจัยโดยเกิดรว มกัน — Sahajàta-paccaya: connascence condition)
7. อญั ญมญั ญปจ จัย (ปจจัยโดยอาศยั ซ่งึ กันและกนั — A¤¤ama¤¤a-paccaya: mutuality

condition)

8. นสิ สยปจ จยั (ปจ จัยโดยเปนทอี่ าศัย — Nissaya-paccaya: dependence condition)
9. อปุ นสิ สยปจจยั (ปจจัยโดยเปน เครอื่ งหนนุ หรือกระตุนเรา — Upanissaya-paccaya:

decisive-support condition; inducement condition)

10. ปุเรชาตปจจยั (ปจจยั โดยเกดิ กอน — Purejàta-paccaya: prenascence condition)
11. ปจ ฉาชาตปจจัย (ปจ จยั โดยเกดิ ทีหลงั — Pacchàjàta-paccaya: postnascence

condition)
12. อาเสวนปจจัย (ปจจัยโดยการซํ้าบอยหรือทําใหชิน — âsevana-paccaya:

repetition condition)

13. กรรมปจ จยั (ปจ จยั โดยเปน กรรมคอื เจตจาํ นง — Kamma-paccaya: kamma condition)
14. วปิ ากปจจัย (ปจ จยั โดยเปน วิบาก — Vipàka-paccaya: kamma-result condition)
15. อาหารปจ จัย (ปจ จยั โดยเปน อาหาร คือเปน เครื่องหลอ เล้ยี ง — âhàra-paccaya:

nutriment condition)
16. อินทรียปจจัย (ปจ จัยโดยเปนเจาการ — Indriya-paccaya: faculty condition)

[351] 270 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร

17. ฌานปจ จยั (ปจ จยั โดยภาวะจติ ทเ่ี ปน ฌาน — Jhàna-paccaya: absorption condition)
18. มรรคปจ จัย (ปจ จยั โดยเปนมรรค — Magga-paccaya: path condition)
19. สมั ปยุตตปจจยั (ปจจยั โดยประกอบกัน — Sampayutta-paccaya: association

condition)
20. วปิ ปยตุ ตปจ จยั (ปจ จยั โดยแยกตา งหากกนั — Vippayutta-paccaya: dissociation condition)
21. อัตถิปจ จยั (ปจ จยั โดย[ตอง]มอี ยู — Atthi-paccaya: presence condition)
22. นตั ถปิ จจยั (ปจ จยั โดย[ตอ ง]ไมมีอยู — Natthi-paccaya: absence condition)
23. วิคตปจจัย (ปจจัยโดย[ตอง]ปราศไป — Vigata-paccaya: disappearance

condition)
24. อวคิ ตปจจยั (ปจจยั โดย[ตอ ง]ไมปราศไป — Avigata-paccaya: non-disappearance

condition)

ปจ จยั 24 น้ี เปน สาระของคําอธิบายทัง้ หมดในคัมภีรปฏฐานแหง พระอภิธรรมปฎ ก คอื

พระไตรปฎกบาลี 6 เลม ตง้ั แตเลม 40 ถึงเลม 45

Pañ.1 อภิ.ป.40/1/1

[,,,] รูป 28 ดู [38] รปู 28; [39] มหาภูต 4; [40] อุปาทารปู 24

[351] ภูมิ 4 หรอื 31 (ชนั้ แหง จติ , ระดบั จติ ใจ, ระดบั ชวี ติ — Bhåmi: planes of existence;

planes of life)
1. อบายภมู ิ 4 (ภูมทิ ่ปี ราศจากความเจรญิ — Apàya-bhåmi: planes of loss and woe;

unhappy planes)
1) นริ ยะ (นรก — Niraya: woeful state; hell)
2) ตริ ัจฉานโยนิ (กําเนดิ ดิรัจฉาน — Tiracchànayoni: animal kingdom)
3) ปตติวิสัย (แดนเปรต — Pittivisaya: ghost-sphere)
4) อสรุ กาย (พวกอสรู — Asurakàya: host of demons)
2. กามสคุ ตภิ มู ิ 7 (กามาวจรภมู ทิ เี่ ปน สคุ ต,ิ ภมู ทิ เี่ ปน สคุ ตซิ งึ่ ยงั เกยี่ วขอ งกบั กาม — Kàmasugati-
bhåmi: sensuous blissful planes)
1) มนุษย (ชาวมนษุ ย — Manussà: human realm)
2) จาตุมหาราชิกา (สวรรคชน้ั ท่ที าวมหาราช 4 ปกครอง — Càtummahàràjikà: realm

of the Four Great Kings)
3) ดาวดึงส (แดนแหง เทพ 33 มที า วสักกะเปนใหญ — Tàvati§sà: realm of the

Thirty-three Gods)
4) ยามา (แดนแหงเทพผูปราศจากความทุกข — Yàmà: realm of the Yàma gods)

หมวดเกนิ 10 271 [351]

5) ดุสิต (แดนแหง เทพผูเ อิบอิม่ ดวยสริ ิสมบตั ิของตน — Tusità: realm of satisfied

gods)
6) นมิ มานรดี (แดนแหงเทพผูยินดใี นการเนรมิต — Nimmànaratã: realm of the gods

who rejoice in their own creations)
7) ปรนิมมิตวสวัตดี (แดนแหงเทพผูยังอํานาจใหเปนไปในสมบัติที่ผูอื่นนิรมิตให —

Paranimmitavasavattã: realm of gods who lord over the creation of others)

ภมู ทิ ง้ั 11 ใน 2 หมวดน้ี รวมเปน กามาวจรภมู ิ 11 (ชนั้ ทท่ี อ งเทยี่ วอยใู นกาม — Kàmàvacara-

bhåmi: Sensuous Planes)
3. รูปาวจรภมู ิ 16 (ชนั้ ทท่ี องเที่ยวอยใู นรปู , ชั้นรปู พรหม — Råpàvacara-bhåmi: Form

Planes)

ก. ปฐมฌานภูมิ 3 (ระดบั ปฐมฌาน — first-Jhàna planes)

1) พรหมปารสิ ชั ชา (พวกบริษัทบรวิ ารมหาพรหม — Brahmapàrisajjà: realm of

great Brahmas’ attendants)
2) พรหมปโุ รหิตา (พวกปุโรหติ มหาพรหม — Brahmapurohità: realm of great

Brahmas’ ministers)
3) มหาพรหมา (พวกทา วมหาพรหม — Mahàbrahmà: realm of great Brahmas)

ข. ทุติยฌานภูมิ 3 (ระดบั ทุติยฌาน — second-Jhàna planes)

4) ปริตตาภา (พวกมีรัศมนี อ ย — Parittàbhà: realm of Brahmas with limited

lustre)
5) อปั ปมาณาภา (พวกมรี ศั มปี ระมาณไมไ ด — Appamàõàbhà: realm of Brahmas

with infinite lustre)
6) อาภสั สรา (พวกมีรัศมสี ุกปลงั่ ซา นไป — âbhassarà: realm of Brahmas with

radiant lustre)

ค. ตติยฌานภมู ิ 3 (ระดับตตยิ ฌาน — third-Jhàna planes)

7) ปริตตสุภา (พวกมลี าํ รศั มงี ามนอย — Parittasubhà: realm of Brahmas with

limited aura)
8) อัปปมาณสุภา (พวกมีลาํ รศั มีงามประมาณมไิ ด — Appamàõasubhà: realm of

Brahmas with infinite aura)
9) สุภกิณหา (พวกมีลาํ รัศมีงามกระจา งจา — Subhakiõhà: realm of Brahmas

with steady aura)

ง. จตตุ ถฌานภมู ิ 3–7 (ระดบั จตุตถฌาน — fourth-Jhàna planes)

10) เวหัปผลา (พวกมผี ลไพบูลย — Vehapphalà: realm of Brahmas with

[351] 272 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

abundant reward)
11) อสญั ญสี ตั ว (พวกสัตวไ มมสี ัญญา — Asa¤¤ãsattà: realm of non-percipient

beings)

(*) สุทธาวาส 5 (พวกมที ่อี ยูอนั บรสิ ุทธิ์ หรอื ทอี่ ยขู องทา นผูบ รสิ ทุ ธ์ิ คือ ท่เี กิดของ

พระอนาคามี — Suddhàvàsa: pure abodes) คอื
12) อวิหา (เหลาทา นผูไ มเสื่อมจากสมบัตขิ องตน หรือผูไมล ะไปเรว็ , ผคู งอยูนาน —

Avihà: realm of Brahmas who do not fall from prosperity)
13) อตัปปา (เหลาทานผูไมท ําความเดอื ดรอนแกใคร หรอื ผูไมเดือดรอ นกับใคร —

Atappà: realm of Brahmas who are serene)
14) สุทัสสา (เหลา ทานผูงดงามนาทศั นา — Sudassà: realm of Brahmas who are

beautiful)
15) สทุ สั สี (เหลา ทานผมู องเหน็ ชดั เจนดี หรอื ผมู ที ศั นาแจมชัด — Sudassã: realm of

Brahmas who are clear-sighted)
16) อกนฏิ ฐา (เหลาทา นผูไมมีความดอยหรือเล็กนอยกวา ใคร, ผูสงู สุด — Akaniññhà:

realm of the highest or supreme Brahmas)

4. อรูปาวจรภมู ิ 4 (ช้นั ท่ที องเทีย่ วอยูในอรูป, ช้ันอรปู พรหม — Aråpàvacara-bhåmi:

formless planes)
1) อากาสานญั จายตนภมู ิ (ชน้ั ทเี่ ขา ถงึ ภาวะมอี ากาศไมม ที สี่ ดุ — âkàsàna¤càyatana-
bhåmi: realm of infinite space)
2) วญิ ญาณญั จายตนภมู ิ (ชน้ั ทเี่ ขา ถงึ ภาวะมวี ญิ ญาณไมม ที สี่ ดุ — Vi¤¤àõa¤càyatana-
bhåmi: realm of infinite consciousness)
3) อากญิ จัญญายตนภมู ิ (ชน้ั ทีเ่ ขา ถงึ ภาวะไมมอี ะไร — âki¤ca¤¤àyatana-bhåmi:

realm of nothingness)
4) เนวสัญญานาสญั ญายตนภูมิ (ชั้นท่เี ขา ถงึ ภาวะมีสัญญากไ็ มใช ไมมสี ัญญากไ็ มใช

— Nevasa¤¤ànàsa¤¤àyatana-bhåmi: realm of neither perception nor non-

perception)

ปุถุชน พระโสดาบัน และพระสกทาคามี ยอมไมเกิดในสทุ ธาวาสภมู ;ิ พระอรยิ ะไมเ กดิ ใน

อสญั ญีภพ และในอบายภมู ;ิ ในภูมนิ อกจากน้ี ยอมมีทัง้ พระอริยะและมใิ ชอริยะไปเกิด.

ในพระไตรปฎ ก ไมพบทใี่ ดแสดงรายชื่อภมู ิทงั้ หลายไวท ั้งหมดในทเ่ี ดียว บาลีแสดงรายชื่อ

ภมู มิ ากท่สี ดุ (มีเฉพาะชน้ั สุคติภมู )ิ พบท่ี ม.อ.ุ 14/317–332/216–225 (M.III.99–103) กลา วตงั้ แตมนุษย

ขึ้นไปจนถึงอรูปาวจรภูมิ.

หมวดเกิน 10 273 [352]

ในบาลแี หงทีฆนกิ าย เปน ตน* แสดงคติ (ทไี่ ปเกดิ ของสัตว, แบบการดาํ เนนิ ชีวติ — Gati:
destiny; course of existence) วามี 5 คือ นิรยะ ตริ ัจฉานโยนิ เปตตวิ สิ ัย มนษุ ย และเทพ

(พวกเทพ — heavenly world ไดแกภ มู ิ 26 ต้ังแตจาตมุ หาราชกิ าข้นึ ไปทั้งหมด) จะเห็นวาภูมิ
31 สงเคราะหลงไดในคติ 5 ท้งั หมด ขาดแตอ สรุ กาย อยางไรก็ดี ในอรรถกถาแหง อติ ิวุตตกะ

เปนตน** ทา นกลาววา อสรู สงเคราะหลงในเปตติวิสยั ดวย จงึ เปนอนั สงเคราะหล งไดบริบูรณ
และในคติ 5 น้ัน 3 คติแรกจดั เปน ทุคติ (woeful courses) 2 คตหิ ลงั เปนสุคติ (happy

courses).

เนือ่ งดว ยภมู ิ 31 นจ้ี ดั ไดเ ปน 4 ระดับอยางทีก่ ลา วมา บางทจี งึ เรียกวา ภูมิ 4

อนง่ึ พงึ เทียบภมู ิ 31 หรอื ภมู ิ 4 หมวดนี้ กับ [162] ภูมิ 4 ท่มี าในพระบาลดี ว ย กลา วคอื
ภมู ิ 31 หรอื 4 หมวดน้ี จดั เขา ในภูมิ 3 ขอตนใน [162] ภูมิ 4 ดงั น้ี อบายภูมิ 4 และ กามสุคติ-

ภมู ิ 7 รวมเขาเปนกามาวจรภมู ิ (11) สว นรูปาวจรภูมิ (16) และ อรูปาวจรภูมิ (4) ตรงกนั รวม
ภูมิทั้งหมด 31 น้ี เปน โลกยี ภูมิ พนจากน้ไี ปเปน โลกตุ ตรภูมิ

ดู [162] ภมู ิ 4; [198] อบาย 4; [207] อรปู 4; [270] สวรรค 6.

Comp.137. สงฺคห.25.

[352] โพธิปกขิยธรรม 37 (ธรรมอนั เปนฝก ฝายแหง ความตรสั รู คือ เกอื้ กลู แกก าร

ตรัสร,ู ธรรมท่ีเกื้อหนนุ แกอริยมรรค — Bodhipakkhiya-dhamma: virtues partaking of

enlightenment; qualities contributing to or constituting enlightenment; enlightenment

states)

1. สติปฏฐาน 4 ดู [182]
2. สมั มัปปธาน 4 ดู [156]
3. อิทธบิ าท 4 ดู [213]
4. อนิ ทรีย 5 ดู [258]
5. พละ 5 ดู [228]
6. โพชฌงค 7 ดู [281]
7. มรรคมีองค 8 ดู [293]

โพธปิ ก ขยิ ธรรมน้ี ตามทท่ี ว่ั ไปในพระไตรปฎ ก ตรสั ไวเ พยี งเปน คาํ รวมๆ โดยไมไ ดร ะบชุ อ่ื องค
ธรรม นอกจากในสงั ยตุ ตนกิ ายแหง พระสตุ ตนั ตปฎ ก ทมี่ พี ทุ ธพจนต รสั ระบไุ วว า ไดแ ก อนิ ทรยี  5

(ส.ํ ม.19/1024/301; 1041–3/305; 1071–1081/313–5) และในคัมภีรว ิภังคแ หง พระอภธิ รรมปฎก ซง่ึ ไข
ความวา โพธิปกขิยธรรม ไดแก โพชฌงค 7 (อภิ.วิ.35/611/336)

* ที.ปา.11/281/246; ม.มู.12/170/148; องฺ.นวก.23/272/480 (D.III.234; M.I.73; A.IV.459)
** อุ.อ.174; อติ .ิ อ.168 (approx., UdA.140; ItA.101)

[353] 274 พจนานุกรมพุทธศาสตร

ธรรมชุดน้ี เมอื่ ตรสั ระบชุ ือ่ ทง้ั ชดุ ในพระสูตร ทรงเรยี กวาเปน อภญิ ญาเทสิตธรรม เชน ที.

ม.10/107/141; ที.ปา.11/108/140; ม.อุ. 14/54/51) คอื เปนอภิญญาเทสิตธรรม 37 และในพระอภธิ รรม

ทา นแสดงไวว า ธรรม 37 ประการนีเ้ ปน สัทธรรม
นอกจากน้ี ธรรม 37 ประการชดุ นี้ยังไดชอื่ วาเปน สันติบท คือ ธรรมท่เี ปน ไปเพ่ือการ

บรรลุสนั ติ (รวมทง้ั เปน อมตบท และ นิพพานบท เปน ตน —ขุ.ม.29/701/414; ขุ.จ.ู 30/391/188)
และเปน เสรีธรรม หรอื ธรรมเสรี (ข.ุ จู.30/681/340; 684/342)

ในพระวนิ ยั ปฎ ก ทา นแสดงธรรม 37 ประการนไ้ี วเ ปน คาํ จาํ กดั ความของคาํ วา มรรคภาวนา

(ดู วนิ ย.1/236/175; 2/308/212)

ตอ มา ในคมั ภรี ช นั้ อรรถกถา รวมถงึ วสิ ทุ ธมิ คั ค จงึ ระบแุ ละแจกแจงไวช ดั เจนวา โพธปิ ก ขยิ ธรรม
37 ประการ ไดแกธ รรมเหลา นี้ (ดู อง.ฺ อ.1/77; อิติ.อ.287; ปฏิส.ํ อ.2/95, 196, 261; วสิ ุทฺธ.ิ 3/328)

Vism.681. วิสทุ ธฺ .ิ 3/328.

[353] มงคล 38 (สิง่ ทท่ี าํ ใหมโี ชคดี, ธรรมอันนํามาซ่งึ ความสขุ ความเจริญ — Maïgala:
blessings; เรียกเต็มวา อดุ มมงคล คือมงคลอนั สงู สดุ — highest blessing)

คาถาท่ี 1
1. อเสวนา จ พาลานํ (ไมคบคนพาล — Bàla-asevanà: not to associate with fools; to

dissociate from the wicked)
2. ปณฺฑติ านฺจ เสวนา (คบบัณฑิต — Paõóitasevanà: to associate with the wise)
3. ปชู า จ ปูชนียานํ (บูชาคนทค่ี วรบชู า — Påjaneyyapåjà: to honour those who are

worthy of honour)

คาถาท่ี 2
4. ปฏริ ปู เทสวาโส จ (อยใู นปฏิรูปเทศ, อยใู นถิ่นมีส่งิ แวดลอ มดี — Pañiråpadesavàsa:

living in a suitable region; good environment)
5. ปพุ เฺ พ จ กตปุฺตา (ไดท ําความดใี หพ รอมไวกอ น, ทาํ ความดีเตรียมพรอ มไวแตตน —

Pubbekatapu¤¤atà: having formerly done meritorious deeds)
6. อตฺตสมฺมาปณธิ ิ จ (ตั้งตนไวชอบ — Attasammàpaõidhi: setting oneself in the

right course; right direction in self-guidance; perfect self-adjustment)

คาถาที่ 3
7. พาหสุ จจฺ ฺจ (เลาเรียนศกึ ษามาก, ทรงความรูก วางขวาง, ใสใจสดบั ตรับฟงคน ควา หาความ

รอู ยูเ สมอ — Bàhusacca: great learning; extensive learning)

8. สปิ ฺปฺจ (มีศลิ ปวทิ ยา, ชาํ นาญในวชิ าชีพของตน — Sippa: skill; knowledge of the

arts and sciences)

หมวดเกนิ 10 275 [353]

9. วนิ โย จ สสุ ิกฺขโิ ต (มีวนิ ยั ทไ่ี ดศ ึกษาดีแลว , มีระเบียบวินัยดี, ไดฝก อบรมตนไวด ี —

Vinaya: highly trained discipline)
10. สภุ าสติ า จ ยา วาจา (วาจาสภุ าษิต, รจู กั ใชว าจาพูดใหเ ปนผลดี — Subhàsitavàcà:

well-spoken speech)

คาถาที่ 4
11. มาตาปต อุ ปุ ฏ านํ (บาํ รงุ มารดาบดิ า — Màtàpitu-upaññhàna: support of mother

and father)
12.–13. ปตุ ตฺ ทารสสฺ สงคฺ โห = ปตุ ตฺ สงคฺ ห (สงเคราะหบ ตุ ร — Puttasaïgaha: cherishing of

children) และ ทารสงคฺ ห (สงเคราะหภ รรยา — Dàrasaïgaha: cherishing of wife)
14. อนากุลา จ กมฺมนฺตา (การงานไมอากลู — Anàkulakammanta: a livelihood which

is free from complications)*

คาถาที่ 5
15. ทานฺจ (รูจักให, เผ่ือแผแ บงปน, บรจิ าคสงเคราะหแ ละบําเพญ็ ประโยชน — Dàna:

charity; liberality; generosity)
16. ธมมฺ จรยิ า จ(ประพฤตธิ รรม, ดาํ รงอยใู นศลี ธรรม — Dhammacariyà: righteous conduct)
17. าตกานฺจ สงฺคโห (สงเคราะหญาติ — ¥àtakasaïgaha: rendering aid to

relations)
18. อนวชชฺ านิ กมฺมานิ (การงานทีไ่ มมีโทษ, กจิ กรรมที่ดงี าม เปนประโยชน ซ่งึ ไมเ ปน ทางเสีย

หาย — Anavajjakamma: blameless actions; unexceptionable or beneficial
activities)**

คาถาที่ 6
19. อารตี วริ ตี ปาปา (เวน จากความชัว่ — Pàpavirati: abstaining from evils and

avoiding them)
20. มชฺชปานา จ สฺโม (เวนจากการด่มื นํ้าเมา — Majjapànasa¤¤ama: abstinence

from intoxicants)
21. อปฺปมาโท จ ธมเฺ มสุ (ไมประมาทในธรรมท้งั หลาย — Appamàda: diligence in

virtue; perseverance in virtuous acts)

* ทานอธิบายวา ไดแ ก อาชีพการงาน ทีท่ ําดวยความขยนั หม่นั เพยี ร เอาธรุ ะ รจู กั กาล ไมคงั่ คา งยอ หยอน —
spheres of work which are free from such unprofitableness as dilatoriness and tardiness. (ขทุ ทฺ ก.
อ. 153; KhA.139).
**ทา นยกตัวอยางไว เชน การสมาทานอุโบสถ การบําเพญ็ สาธารณประโยชน สรางสวน ปลูกปา สรา งสะพาน
เปนตน (ขทุ ฺทก.อ.156; KhA.141)

[353] 276 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

คาถาท่ี 7
22. คารโว จ (ความเคารพ, การแสดงออกทแ่ี สดงถึงความเปนผูร ูจักคุณคาของบุคคล ส่ิงของ

สถานที่ หรอื กจิ การนั้นๆ และรูจักใหความสาํ คญั และความใสใจเอื้อเฟอ โดยเหมาะสม — Gà
rava: reverence; respect; appreciative action)
23. นิวาโต จ (ความสภุ าพออนนอม, ถอ มตน — Nivàta: humility, courtesy; politeness)
24. สนตฺ ฏุ  ี จ(ความสนั โดษ, ความเอบิ อม่ิ พงึ พอใจในผลสาํ เรจ็ ทไี่ ดส รา งขน้ึ หรอื ในลาภทแ่ี สวงหา
มาได ดว ยเรยี่ วแรงความเพยี รพยายามของตนโดยทางชอบธรรม —Santuññhã: contentment)
25. กตฺุตา (มคี วามกตญั ู — Kata¤¤utà: gratitude)
26. กาเลน ธมฺมสฺสวนํ (ฟง ธรรมตามกาล, แสวงความรูเ ก่ียวกบั หลกั ความจรงิ ความดีงาม
และเร่ืองทเ่ี ปน ประโยชน — Dhammassavana: the opportune hearing of the

Dhamma; listening to good advice and the teaching of Truth on due occasions)

คาถาท่ี 8
27. ขนตฺ ี จ (มคี วามอดทน — Khanti: patience; forbearance; tolerance)
28. โสวจสฺสตา (เปนผูวางายสอนงาย, พูดกันงาย ฟงเหตุผล — Sovacassatà:

amenability to correction; being easy to admonish)
29. สมณานฺจ ทสฺสนํ (พบเห็นสมณะ, เยีย่ มเยือนเขา หาทา นผูส งบกเิ ลส — Samaõa-

dassana: seeing the monks or holy persons)
30. กาเลน ธมมฺ สากจฉฺ า (สนทนาธรรมตามกาล, หาโอกาสสนทนาแลกเปลย่ี นความรคู วามคดิ

เหน็ กนั เกยี่ วกบั หลกั ความจรงิ ความดงี ามและเรอ่ื งทเ่ี ปน ประโยชน — Dhammasàkacchà:

religious discussion at due seasons; regular or opportune discussion of Truth)

คาถาที่ 9
31. ตโป จ (มคี วามเพียรเผากิเลส, รูจักบังคับควบคุมตน ไมป รนเปรอตามใจอยาก — Tapa:

self-control; simple life)
32. พฺรหมฺ จริยฺจ (ประพฤตพิ รหมจรรย, ดําเนินตามอรยิ มรรค, การรจู ักควบคมุ ตนในทาง

เพศ หรือถอื เมถนุ วริ ัติตามควร* — Brahmacariya: a holy life)
33. อริยสจจฺ าน ทสสฺ นํ (เหน็ อริยสัจจ, เขาใจความจริงของชีวติ — Ariyasacca-dassana:

discernment of the Noble Truths)
34. นพิ พฺ านสจฉฺ กิ ริ ยิ า จ (ทาํ พระนพิ พานใหแ จง , บรรลนุ พิ พาน — Nibbàna-sacchikiriyà:

realization of Nibbàna)

* พรหมจรรยใ นท่นี ้ี มุงเอาอัฏฐงั คกิ มรรคเปน หลัก แตจะตคี วามแคบหมายถงึ เมถนุ วิรตั ิก็ได ความหมายอยา ง
หยอนสําหรบั คฤหสั ถ คอื ถือพรหมจรรยใ นบุคคลทีม่ ใิ ชค ูครอง หรอื ถอื เดด็ ขาดในวันอโุ บสถ เปน ตน

หมวดเกนิ 10 277 [354]

คาถาท่ี 10
35. ผุฏสฺส โลกธมเฺ มหิ จติ ฺตํ ยสฺส น กมฺปติ (ถกู โลกธรรม จติ ไมหวนั่ ไหว — Akampita-

citta: to have a mind which is not shaken when touched by worldly vicissitudes)
36. อโสกํ (จิตไรเศรา — Asokacitta: to have the mind which is free from sorrow)
37. วิรชํ (จิตปราศจากธุลี — Virajacitta: to have the mind which is undefiled)
38. เขมํ (จิตเกษม — Khemacitta: to have the mind which is secure)

แตละคาถามบี ทสรุปวา “เอตมฺมงคฺ ลมุตตฺ มํ” (น้เี ปน มงคลอันอดุ ม — this is the highest

blessing)

มคี าถาสรปุ ทา ยมงคลทัง้ 38 นีว้ า สพพฺ ตถฺ มปราชติ า
ตนเฺ ตสํ มงฺคลมตุ ฺตมนตฺ .ิ ”
“เอตาทิสานิ กตฺวาน
สพฺพตฺถ โสตถฺ ึ คจฺฉนตฺ ิ

แปลวา “เทวะมนุษยท งั้ หลายกระทาํ มงคลเชนนี้แลว ยอ มเปน ผไู มป ราชยั ในทีท่ กุ สถาน ยอ ม
ถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง นี้คอื อุดมมงคลของเทวะมนุษยเ หลา นนั้ .” (Those who have done
these things see no defeat and go in safety everywhere. To them these are the
highest blessings.)

Kh.V.3; Sn.259–268. ข.ุ ข.ุ 25/5/3; ข.ุ สุ.25/317/376.

[354] กรรมฐาน 40 (ท่ีตั้งแหงการทํางานของจิต, สิ่งท่ีใชเปนอารมณในการเจริญ
ภาวนา, อปุ กรณในการฝกอบรมจติ — Kammaññhàna: mental exercises; subjects of

meditation)

1. กสิณ 10 ดู [315]
2. อสภุ ะ 10 ดู [336]
3. อนุสติ 10 ดู [335]
4. อัปปมัญญา 4 ดู [161]

5. อาหาเรปฏกิ ลู สญั ญา (กาํ หนดพจิ ารณาความเปน ปฏกิ ลู ในอาหาร — âhàrepañikålasa¤¤à:

perception of the loathsomeness of food)
6. จตธุ าตวุ วฏั ฐาน (กาํ หนดพิจารณาธาตุ 4, พิจารณาเหน็ รางกายของตนโดยสักวา เปน ธาตุ 4

แตละอยา งๆ; ธาตุมนสกิ าร ก็เรียก — Catudhàtu-vavaññhàna: analysis of the four

elements)

7. อรูป 4 ดู [207]

กรรมฐานใดใหไดสมาธถิ ึงขนั้ ใด ดู [99] ภาวนา 3; กรรมฐานใดเหมาะกบั จรติ ใด ดู [262]
จริต 6.

Vism.110; Comp.204. วสิ ุทธฺ ิ.1/139; สงคฺ ห.51.

[355] 278 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

[355] เจตสิก 52 (ธรรมท่ีประกอบกบั จติ , สภาวธรรมท่ีเกดิ ดับพรอมกับจติ มอี ารมณแ ละ

วัตถุที่อาศยั เดยี วกนั กับจติ , อาการและคณุ สมบัตติ า งๆ ของจิต — Cetasika: mental factors;

mental concomitants)
ก. อัญญสมานาเจตสิก 13 (เจตสกิ ที่มีเสมอกนั แกจ ิตพวกอ่นื คอื ประกอบเขาไดกับจิตทุก

ฝายทั้งกุศลและอกุศล มิใชเขาไดแตฝายใดฝายหนึ่งพวกเดียว — A¤¤asamàna-
cetasika: the Common-to-Each-Other; general mental factors)
1) สพั พจิตตสาธารณเจตสกิ 7 (เจตสิกทเ่ี กดิ ท่ัวไปกบั จิตทุกดวง — Sabbacitta-
sàdhàraõa~: universal mental factors; the Primary)
1. ผัสสะ (ความกระทบอารมณ — Phassa: contact; sense-impression)
2. เวทนา (ความเสวยอารมณ — Vedanà: feeling)
3. สัญญา (ความหมายรอู ารมณ — Sa¤¤à: perception)
4. เจตนา (ความจงใจตอ อารมณ — Cetanà: volition)
5. เอกคั คตา (ความมอี ารมณเ ปน อนั เดยี ว — Ekaggatà: one-pointedness; concentration)
6. ชวี ติ นิ ทรยี  (อนิ ทรยี ค อื ชวี ติ , สภาวะทเี่ ปน ใหญใ นการรกั ษานามธรรมทงั้ ปวง — Jãvitindriya:

vitality; life-faculty)
7. มนสกิ าร (ความกระทาํ อารมณไวในใจ, ใสใ จ — Manasikàra: attention)

2) ปกณิ ณกเจตสิก 6 (เจตสิกทเี่ รีย่ รายแพรกระจายทว่ั ไป คือ เกิดกับจิตไดท ง้ั ฝายกศุ ล
และอกุศล แตไมแ นน อนเสมอไปทุกดวง — Pakiõõaka~: particular mental factors;

the Secondary)
8. วติ ก (ความตรกึ อารมณ — Vitakka: initial application; thought conception;

applied thought)
9. วจิ าร (ความตรองหรอื พจิ ารณาอารมณ — Vicàra: sustained application; discursive

thinking; sustained thought)
10. อธิโมกข (ความปลงใจหรือปกใจในอารมณ — Adhimokkha: determination;

resolution)
11. วิรยิ ะ (ความเพยี ร — Viriya: effort; energy)
12. ปต ิ (ความปลาบปล้มื ในอารมณ, อมิ่ ใจ — Pãti: joy; interest)
13. ฉนั ทะ (ความพอใจในอารมณ — Chanda: conation; zeal)
ข. อกศุ ลเจตสกิ 14 (เจตสกิ ฝา ยอกศุ ล — Akusala~: immoral or unwholesome mental

factors; unprofitable mental factors)
1) สพั พากุสลสาธารณเจตสิก 4 (เจตสิกทเ่ี กดิ ท่ัวไปกบั อกุศลจิตทุกดวง — Sabbà-
kusalasàdhàraõa~: universal immorals; the Primary)

หมวดเกนิ 10 279 [355]

14. โมหะ (ความหลง — Moha: delusion)
15. อหิริกะ (ความไมละอายตอ บาป — Ahirika: shamelessness; lack of moral shame)
16. อโนตตปั ปะ (ความไมสะดงุ กลัวตอบาป — Anottappa: fearlessness of wrong-

doing; lack of moral dread)

17. อุทธจั จะ (ความฟุงซา น — Uddhacca: restlessness; unrest)
2) ปกณิ ณกอกุสลเจตสกิ 10 (อกุศลเจตสิกทเ่ี กดิ เรย่ี รายแกอ กศุ ลจิต — Pakiõõaka-
akusala~: particular immorals; the Secondary)

18. โลภะ (ความอยากไดอารมณ — Lobha: greed)
19. ทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผดิ — Diññhi: wrong view)
20. มานะ (ความถือตัว — Màna: conceit)
21. โทสะ (ความคิดประทุษราย — Dosa: hatred)
22. อิสสา (ความริษยา — Issà: envy; jealousy)
23. มัจฉรยิ ะ (ความตระหน่ี — Macchariya: stinginess; meanness)
24. กุกกจุ จะ (ความเดือดรอนใจ — Kukkucca: worry; remorse)
25. ถีนะ (ความหดหู — Thãna: sloth)
26. มทิ ธะ (ความงวงเหงา — Middha: torpor)
27. วิจิกจิ ฉา (ความคลางแคลงสงสัย — Vicikicchà: doubt; uncertainty; scepsis)
ค. โสภณเจตสกิ 25 (เจตสกิ ฝายดงี าม — Sobhaõa~: beautiful mental factors; lofty

mental factors)

1) โสภณสาธารณเจตสกิ 19 (เจตสกิ ทเ่ี กิดทวั่ ไปกับจิตดงี ามทุกดวง — Sobhaõa-
sàdhàraõa~: universal beautiful mental factors; the Primary)
28. สทั ธา (ความเช่ือ — Saddhà: confidence; faith)
29. สติ (ความระลกึ ได, ความสํานกึ พรอมอยู — Sati: mindfulness)
30. หริ ิ (ความละอายตอ บาป — Hiri: moral shame; conscience)
31. โอตตัปปะ (ความสะดงุ กลวั ตอ บาป — Ottappa: moral dread)
32. อโลภะ (ความไมอ ยากไดอ ารมณ — Alobha: non-greed)
33. อโทสะ (ความไมคิดประทษุ ราย — Adosa: non-hatred)
34. ตัตรมัชฌตั ตตา (ความเปน กลางในอารมณน ้นั ๆ — Tatramajjhattatà: equanimity;

specific neutrality)

35. กายปส สทั ธิ (ความสงบแหง กองเจตสกิ — Kàya-passaddhi: tranquillity of mental body)
36. จิตตปสสัทธิ (ความสงบแหง จติ — Citta-passaddhi: tranquillity of mind)

[356] 280 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

37. กายลหตุ า (ความเบาแหง กองเจตสิก — Kàya-lahutà: lightness of mental body;

agility of ~)
38. จติ ตลหตุ า (ความเบาแหงจิต — Citta-lahutà: lightness of mind; agility of ~)
39. กายมทุ ตุ า (ความออ นหรอื นมุ นวลแหง กองเจตสกิ — Kàya-mudutà: pliancy of mental

body; elasticity of ~)
40. จติ ตมทุ ตุ า (ความออ นหรอื นมุ นวลแหง จติ — Citta-mudutà: pliancy of mind;

elasticity of ~)
41. กายกมั มญั ญตา (ความควรแกก ารงานแหง กองเจตสกิ — Kàya-kamma¤¤atà: adaptability

of mental body; wieldiness of ~)
42. จิตตกมั มัญญตา (ความควรแกก ารงานแหง จติ — Citta-kamma¤¤atà: adaptability

of mind; wieldiness of ~)
43. กายปาคญุ ญตา (ความคลองแคลวแหงกองเจตสกิ — Kàya-pàgu¤¤atà: proficiency

of mental body)
44. จติ ตปาคญุ ญตา (ความคลอ งแคลว แหง จติ — Citta-pàgu¤¤atà: proficiency of mind)
45. กายุชกุ ตา (ความซอ่ื ตรงแหง กองเจตสกิ — Kàyujukatà: rectitude of mental body;

uprightness of ~)
46. จติ ตชุ กุ ตา (ความซอื่ ตรงแหง จติ — Cittujukatà: rectitude of mind; uprightness of ~)

2) วิรตีเจตสกิ 3 (เจตสิกท่เี ปน ตวั ความงดเวน — Viratã~: abstinences)
47. สมั มาวาจา (เจรจาชอบ — Sammàvàcà: right speech)
48. สัมมากมั มันตะ (กระทําชอบ — Sammàkammanta: right action)
49. สมั มาอาชีวะ (เลีย้ งชีพชอบ — Sammà-àjãva: right livelihood)

3) อปั ปมญั ญาเจตสกิ 2 (เจตสกิ คอื อปั ปมญั ญา — Appama¤¤à~: boundless states)
50. กรุณา (ความสงสารสตั วผถู งึ ทกุ ข — Karuõà: compassion)
51. มุทิตา (ความยนิ ดีตอ สัตวผูไดส ขุ — Mudità: sympathetic joy)

4) ปญ ญนิ ทรยี เจตสกิ 1 (เจตสกิ คอื ปญ ญนิ ทรยี  — Pa¤¤indriya~: fuculty of wisdom)
52. ปญ ญนิ ทรยี  หรอื อโมหะ (ความรเู ขา ใจ ไมห ลง — Pa¤¤indriya, Amoha: undeluded-

ness; wisdom)

Comp.94. สงคฺ ห.7.

[356] จิต 89 หรอื 121 (ธรรมชาตทิ ่ีรอู ารมณ, สภาพทีน่ กึ คดิ , ความคดิ , ใจ, วญิ ญาณ
— Citta: mind; thought; consciousness; a state of consciousness)

จติ มไี วพจน คอื คาํ ที่ตา งเพยี งรูป แตม ีความหมายเหมอื นกันหรอื คลา ยกนั ใชแ ทนกนั ได
หลายคาํ เชน มโน มานสั หทยั บณั ฑร มนายตนะ มนนิ ทรยี  และ วญิ ญาณ เปนตน (อภิ.สํ.

หมวดเกิน 10 281 [356]

34/21/10; ฯลฯ) คําเหลา น้มี ีความหมายเกยกนั มิใชตรงกันโดยสมบรู ณ ใชแ ทนกนั ไดในบางโอกาส
มิใชเ สมอไป

เมอื่ จดั แบง สภาวธรรมทงั้ หลายเปน ประเภทๆ ทเี่ รยี กวา ขนั ธ 5 จติ ไดแ ก วญิ ญาณขนั ธ แตใน
คัมภีรอภิธรรมยุคตอ มา นยิ มประมวลสภาวธรรมเขา เปน 4 อยา ง เรยี กวา ปรมตั ถธรรม 4 จิต
เปน ปรมัตถธรรมอยา งที่ 1; ดู [157] ปรมตั ถธรรม 4; [216] ขนั ธ 5.

คัมภรี อภิธรรมรุนอรรถกถา ประมวลเรื่องจติ ทแ่ี สดงไวใ นพระอภธิ รรมปฎ กแลว แจงนบั

สภาพจิตท้งั หลายไววา มีจาํ นวน 89 หรอื โดยพสิ ดารมี 121 เรียกวา จิต 89 หรือ 121

เบอ้ื งตน น้ี จะประมวลจติ ทง้ั หมดไวเ ปน หมวดหมใู หญๆ กอ น เพอ่ื สะดวกในการศกึ ษากาํ หนด
จดจาํ และทบทวนตอ ไป ในทนี่ ี้ พงึ ทราบวธิ จี าํ แนกประเภท 2 แบบ เปรยี บเทยี บกนั ดงั น้ี*

* ทา นเรยี บเรยี งเปน คาถาสรปุ ความไว ดงั นี้ กสุ ลาเนกวีสติ
ทวฺ าทสากสุ ลาเนว กฺรยิ าจติ ฺตานิ วีสติ ฯ
ฉตฺตึเสว วปิ ากานิ รูเป ปณณฺ รสรี เิ ย
จตปุ ฺาสธา กาเม อฎธานตุ ตฺ เร ตถา ฯ
จติ ตฺ านิ ทฺวาทสารูเป ปเภทํ ปน มานสํ
อิตฺถเมกูนนวุตปิ ฺ- วภิ ชนตฺ ิ วิจกขฺ ณา ฯ
เอกวสี สตํ วาถ

[356] 282 พจนานกุ รมพุทธศาสตร โสภณจิต 59 (91)
ฌานจติ 67
ก. โดยชาตปิ ระเภท ข. โดยภมู ิประเภท

1. อกุศลจติ 12 1. กามาวจรจติ 54

- โลภมูลจติ 8 1) อกศุ ลจิต 12
- โทสมลู จิต 2 - โลภมูลจติ 8
- โมหมลู จติ 2 - โทสมลู จิต 2
- โมหมลู จิต 2
2. กศุ ลจิต 21 (37)
2) อเหตกุ จติ 18
- มหากุศลจิต 8 - อกุศลวิบากจติ 7
- รปู าวจรกุศลจิต 5 - กุศลวิบากอเหตุกจิต 8
- อรปู าวจรกุศลจิต 4 - อเหตกุ กริ ยิ าจติ 3
- โลกุตตรกุศลจิต 4 (20)
3) กามาวจรโสภณจิต 24
3. วิปากจติ 36 (52) - มหากศุ ลจติ 8
- มหาวบิ ากจติ 8
- อกุศลวิบากจติ 7 - มหากริ ิยาจิต 8
- กศุ ลวบิ ากอเหตกุ จิต 8
- มหาวิบากจติ 8 2. รปู าวจรจิต 15
- รูปาวจรวบิ ากจติ 5
- อรปู าวจรวิบากจิต 4 1) รปู าวจรกุศลจิต 5
- โลกุตตรวบิ ากจิต 4 (20) 2) รปู าวจรวิบากจติ 5
3) รปู าวจรกริ ยิ าจิต 5
4. กิริยาจิต 20
3. อรูปาวจรจติ 12
- อเหตกุ กริ ิยาจิต 3
- มหากริ ิยาจิต 8 1) อรปู าวจรกุศลจติ 4
- รปู าวจรกริ ิยาจติ 5 2) อรูปาวจรวิบากจิต 4
- อรปู าวจรกริ ยิ าจติ 4 3) อรปู าวจรกิรยิ าจติ 4

4. โลกุตตรจติ 8 (× ฌาน 5 = 40)

1) โลกตุ ตรกศุ ลจติ 4 (20)
2) โลกุตตรวบิ ากจติ 4 (20)

หมายเหต:ุ ตวั เลขในวงเลบ็ ( ) หมายถงึ จาํ นวนอยา งพสิ ดาร เมอ่ื นบั จติ เปน 121 (พงึ สงั เกตวา จาํ นวนจะเพมิ่
เฉพาะ โลกตุ ตรจติ อยา งเดยี ว คอื โลกตุ ตรจติ อยา งยอ มี 8 อยา งพสิ ดารจาํ แนกออกไปตามฌานทงั้ 5 เปน 40)

ตอ ไปจะแสดง จติ 89 หรอื 121 ตามแบบภมู ิประเภท (แบบชาตปิ ระเภทพงึ กาํ หนดเอา
จากแบบภมู ิประเภทน้ี ตามหวั ขอท่ีแสดงไวแลว )


Click to View FlipBook Version