The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม นิพนธ์ โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

หมวดธรรมมีอยู่มากมาย แต่เฉพาะที่แสดงในหนังสือนี้ ได้คัดเลือกและรวบรวมไว้เพียงส่วนหนึ่ง โดยถือหลักเกณฑ์ที่สำคัญคือ
1) มุ่งเอาหมวดธรรมที่มาในพระไตรปิฎกโดยตรงเป็นพื้น ส่วนที่มาในคัมภีร์อื่นพยายามจำกัดเฉพาะ
คัมภีร์สำคัญในระดับรองลงมา ที่นิยมนับถือ ใช้ศึกษาและอ้างอิงกันอยู่ทั่วไปในวงการศึกษาพระ
พุทธศาสนา
2) มุ่งเอาหมวดที่แสดงหลักธรรมโดยตรง ให้สมกับชื่อที่เรียกว่า “หมวดธรรม” หลีกเลี่ยงหมวดที่เป็น
เพียงเกร็ดความรู้ หรือคำแถลงเรื่องราวอื่นๆ เว้นแต่จะเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับหลักธรรมอย่างใกล้ชิด
3) คัดเอาเฉพาะหมวดธรรมที่ควรรู้หรือที่ต้องรู้ โดยฐานเป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนาบ้าง เป็น
หลักที่เห็นว่าน่ารู้และมีประโยชน์มากบ้าง เป็นหลักที่ใช้หรืออ้างอิงอยู่เสมอ หรือรู้จักกันอยู่ทั่วไปบ้าง
เป็นหลักที่ท่านกำหนดให้เรียนในหลักสูตรการศึกษาพระพุทธศาสนาระบบต่างๆ ในประเทศไทยบ้าง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by preecha.s, 2021-04-01 23:54:16

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม นิพนธ์ โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

หมวดธรรมมีอยู่มากมาย แต่เฉพาะที่แสดงในหนังสือนี้ ได้คัดเลือกและรวบรวมไว้เพียงส่วนหนึ่ง โดยถือหลักเกณฑ์ที่สำคัญคือ
1) มุ่งเอาหมวดธรรมที่มาในพระไตรปิฎกโดยตรงเป็นพื้น ส่วนที่มาในคัมภีร์อื่นพยายามจำกัดเฉพาะ
คัมภีร์สำคัญในระดับรองลงมา ที่นิยมนับถือ ใช้ศึกษาและอ้างอิงกันอยู่ทั่วไปในวงการศึกษาพระ
พุทธศาสนา
2) มุ่งเอาหมวดที่แสดงหลักธรรมโดยตรง ให้สมกับชื่อที่เรียกว่า “หมวดธรรม” หลีกเลี่ยงหมวดที่เป็น
เพียงเกร็ดความรู้ หรือคำแถลงเรื่องราวอื่นๆ เว้นแต่จะเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับหลักธรรมอย่างใกล้ชิด
3) คัดเอาเฉพาะหมวดธรรมที่ควรรู้หรือที่ต้องรู้ โดยฐานเป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนาบ้าง เป็น
หลักที่เห็นว่าน่ารู้และมีประโยชน์มากบ้าง เป็นหลักที่ใช้หรืออ้างอิงอยู่เสมอ หรือรู้จักกันอยู่ทั่วไปบ้าง
เป็นหลักที่ท่านกำหนดให้เรียนในหลักสูตรการศึกษาพระพุทธศาสนาระบบต่างๆ ในประเทศไทยบ้าง

Keywords: พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม

หมวด 5 183 [251]

ไมคับแคบเอาแตต ัว — Càga: liberality)
5. ปญญา (ความรอบรู รคู ิด รพู จิ ารณา เขา ใจเหตผุ ล รจู ักโลกและชีวติ ตามความเปน จริง —
Pa¤¤à: wisdom)

A.III.80. อง.ฺ ปจฺ ก.22/63–64/91–92.
[250] อายุสสธรรม หรือ อายุวัฒนธรรม 5 (ธรรมทเ่ี ก้อื กลู แกอายุ หรอื ธรรม
ท่ีสง เสรมิ สขุ ภาพ, ธรรมทชี่ ว ยใหอ ายยุ นื — âyussa-dhamma: things conducive to long life)

1. สปั ปายการี (ทาํ สงิ่ ทส่ี บายคอื เออื้ ตอ ชวี ติ — Sappàyakàrã: to do what is suitable for

oneself and favourable to one’s health; to act in accordance with the rules of hygiene)
2. สปั ปายมตั ตญั ู (รจู กั ประมาณในสง่ิ ทสี่ บาย — Sappàye matta¤¤å: to be moderate

even as to things suitable and favourable)
3. ปริณตโภชี (บรโิ ภคสงิ่ ท่ียอยงาย เชน เค้ยี วใหละเอียด — Pariõatabhojã: to eat food

which is ripe or easy to digest)
4. กาลจารี (ประพฤตเิ หมาะในเรอื่ งเวลา เชน รจู กั เวลา ทาํ ถกู เวลา ทาํ เปน เวลา ทาํ พอเหมาะแก
เวลา เปน ตน — Kàlacàrã: to behave oneself properly as regards time and the

spending of time.)
5. พรหมจารี (ถือพรหมจรรย ถึงจะเปนคฤหัสถก็รูจักควบคุมกามารมณเวนเมถุนบาง —
Brahmacàrã: to practise sexual abstinence)

อายุวฒั นธรรมน้ี มีอีกหมวดหนึ่ง สามขอแรกเหมือนกนั แปลกแตข อ 4 และ 5 เปน

4. สลี วา (มีศลี ประพฤตดิ ีงาม ไมท ําความผิด — Sãlavà: to be morally upright)

5. กลั ยาณมิตตะ (มีกัลยาณมติ ร — Kalyàõamitta: to have good friends)

A.III.145. อง.ฺ ปจฺ ก.22/125–6/163.

[,,,] อารยวัฒิ 5 ดู [249] อริยวฑั ฒิ 5.
[251] อาวาสิกธรรม 51 (ธรรมของภกิ ษุผูอยปู ระจาํ วดั , แปลถือความมาใชใ หเหมาะ

กับปจจุบันวา คุณสมบตั ิของเจาอาวาส, หมวดที่ 1 ประเภทท่นี ายกยอ ง หรือเปนทชี่ น่ื ชูเจรญิ ใจ
— âvàsika-dhamma: qualities of an esteemable resident or incumbent of a

monastery; qualities of an esteemable abbot)

1. ถึงพรอมดวยอากัปกิริยาและวัตรปฏิบัติ (มีกิริยามารยาททาทีการแสดงออกทางกาย
วาจาสํารวมงดงาม และเอาใจใสปฏิบัติกิจหนาที่สมํ่าเสมอเรียบรอย — âkappavatta-
sampanna: to be accomplished in manner and duties)
2. เปนพหูสตู (ไดศึกษาเลา เรียนมาก รหู ลักพระธรรมวินยั มีความรูความเขา ใจกวา งขวางลึก
ซ้ึง — Bahussuta: to have great learning)
3. ประพฤตขิ ัดเกลา (ฝก อบรมตนในไตรสกิ ขา ชอบความสงบ ยนิ ดใี นกลั ยาณธรรม — Pañi-

[252] 184 พจนานุกรมพุทธศาสตร

sallekhità: to be fond of solitude)
4. มีกลั ยาณพจน (มีวาจางาม กลา วกลั ยาณพจน รูจ กั พดู รูจกั เจรจานาศรทั ธาและนาํ ปญ ญา
— Kalyàõavàca: to have kindly and convincing speech)
5. มปี ญ ญา (รูเขาใจ รูคิด รพู ิจารณา เฉลยี วฉลาด สามารถแกป ญ หา ไมซ มึ เซอเบอะบะ —
Pa¤¤avà: to be wise)

A.III.261. อง.ฺ ปฺจก.22/231/290.

[252] อาวาสิกธรรม 52 (คณุ สมบัติของเจาอาวาส หมวดท่ี 2 ประเภทเปน ทีร่ กั ท่ีเคารพ
ของสพรหมจารี คอื เพื่อนภกิ ษุสามเณรผูประพฤติพรหมจรรยร วมกัน — âvàsikadhamma:

qualities of a beloved and respected incumbent or abbot)
1. มศี ลี (ตง้ั อยใู นศลี สาํ รวมในพระปาฏโิ มกข ประพฤตเิ ครง ครดั ในสกิ ขาบททงั้ หลาย — Sãlavà:

to have good conduct)

2. เปน พหสู ตู (ไดศ กึ ษาเลา เรยี นมาก รหู ลกั พระธรรมวนิ ยั มคี วามรคู วามเขา ใจกวา งขวางลกึ ซง้ึ
— Bahussuta: to have great learning)
3. มกี ลั ยาณพจน (มีวาจางาม กลาวกลั ยาณพจน รูจักพดู รจู ักเจรจานาศรทั ธาและนําปญ ญา
— Kalyàõavàca: to have lovely and convincing speech)
4. เปน ฌานลาภี (ไดแ คลว คลอ งในฌาน 4 ทเ่ี ปน เครอื่ งอยสู ขุ สบายในปจ จบุ นั — Jhànalàbhã: to

be able to gain pleasure of the Four Absorptions at will)
5. ประจักษแจงวิมุตติ (บรรลุเจโตวิมุตติ ปญญาวิมุตติ ส้ินอาสวะแลว —Vimutti-

sacchikattà: to have gained the Deliverance)

A.III.262. องฺ.ปฺจก.22/232/290.

[253] อาวาสิกธรรม 53 (คุณสมบัติของเจา อาวาส หมวดท่ี 3 ประเภทอาวาสโสภณ
คอื ทาํ วัดใหง าม — âvàsika-dhamma: qualities of an incumbent or abbot who

graces the monastery)

1. มีศีล (ตั้งอยูในศีล สํารวมในพระปาฏิโมกข ประพฤติเครงครัดในสิกขาบททั้ง
หลาย — Sãlavà: to have good conduct)
2. เปนพหูสตู (ไดศกึ ษาเลา เรยี นมาก รหู ลกั พระธรรมวนิ ัย มีความรคู วามเขา ใจกวางขวางลกึ
ซง้ึ — Bahussuta: to have great learning)
3. มีกัลยาณพจน (มวี าจางาม กลา วกัลยาณพจน รจู ักพูด รจู ักเจรจานา ศรัทธาและนาํ ปญญา
— Kalyàõavàca: to have lovely and convincing speech)
4. สามารถกลาวธรรมกี ถา (สามารถกลา วสอนธรรมใหผูมาหาเหน็ แจมชดั ยอมรับไปปฏบิ ัติ
เราใจใหแกลว กลา และเบกิ บานใจ — Dhammikathàya sandassaka: to be able to teach,

incite, rouse and satisfy those who visit him with talk on the Dhamma)

หมวด 5 185 [255]

5. เปน ฌานลาภี (ไดแคลว คลอ งในฌาน 4 ทเี่ ปน เครื่องอยูสขุ สบายในปจจุบนั — Jhàna-
làbhã: to be able to gain pleasure of the Four Absorptions at will)

A.III.262. องฺ.ปจฺ ก.22/233/291.

[254] อาวาสิกธรรม 54 (คุณสมบตั ิของเจาอาวาส หมวดท่ี 4 ประเภทมอี ุปการะมาก
แกวัด — âvàsika-dhamma: qualities of an incumbent or abbot who is of great

service to his monastery)

1. มีศีล (ต้ังอยูในศีล สํารวมในพระปาฏิโมกข ประพฤติเครงครัดในสิกขาบททั้ง
หลาย — Sãlavà: to have good conduct)
2. เปน พหสู ตู (ไดศ กึ ษาเลาเรยี นมาก รหู ลกั พระธรรมวนิ ยั มคี วามรคู วามเขา ใจกวางขวางลกึ
ซึ้ง — Bahussuta: to have great learning)
3. รจู ักปฏสิ ังขรณ (เอาใจใสด ูแลซอ มแซมเสนาสนะและส่ิงของทชี่ ํารุดหักพัง — Khaõóa-

phullapañisaïkharaka: to repair broken and dilapidated things)

4. บอกกลา วในคราวจะไดท าํ บญุ แกม หาสงฆ (เมอ่ื มสี งฆห มใู หญม าจากตา งถน่ิ ตา งแควน

ขวนขวายบอกชาวบา นผปู วารณาไวใ หม าทาํ บญุ — Pu¤¤akaraõàyàrocaka: to inform the

householders of the arrival of incoming monks in order that the former may make

merit)
5. เปน ฌานลาภี (ไดแ คลว คลองในฌาน 4 ที่เปน เคร่ืองอยสู ุขสบายในปจจุบนั — Jhàna-
làbhã: to be able to gain pleasure of the Four Absorptions at will)

A.III.263. องฺ.ปฺจก.22/234/292.

[255] อาวาสิกธรรม 55 (คุณสมบัตขิ องเจา อาวาส หมวดที่ 5 ประเภทอนุเคราะห
คฤหัสถ — âvàsika-dhamma: qualities of an incumbent or abbot who is kind to

lay people)
1. ชักนําคฤหัสถใหถือปฏิบัติในอธิศีล (เอาใจใสชักชวนแนะนําชาวบานใหสมาทานในอธิศีล
คอื ใหร กั ษาศลี 5 ทเ่ี ปน พน้ื ฐานเพอ่ื กา วขน้ึ สคู ณุ ความดที ส่ี งู ขน้ึ ไป — Adhisãle samàdapaka:

to incite them to higher virtue) อธศิ ลี ในทน่ี ้ี ทา นอธบิ ายวา ไดแ กเ บญจศลี ทเี่ ปนไปเพอ่ื คณุ

เบ้ืองสูง
2. ยังคฤหัสถใหต้ังอยูในธรรมทัศนะ (เอาใจใสช ้แี จงแสดงธรรมแนะนาํ ชาวบานใหรเู หน็ เขา ใจ
ธรรม — Dhammadassane nivesaka: to encourage them in the discernment of

truth or the vision of the doctrine)

3. ไปเยย่ี มใหสติคนเจ็บไข — Gilànasatuppàdaka: to visit the sick and rouse them

to mindfulness and awareness)
4. บอกกลาวในคราวจะไดทําบุญแกมหาสงฆ (เมื่อมีสงฆหมูใหญมาจากตางถิ่นตางแควน

[256] 186 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

ขวนขวายบอกชาวบา นผูปวารณาไวใ หมาทําบุญ — Pu¤¤akaraõàyàrocaka: to inform the

householders of the arrival of incoming monks in order that the former may

make merit)
5. ไมทําศรัทธาไทยใหต กไป (ชาวบานถวายโภชนะใดๆ จะดอยหรอื ดี กฉ็ ันดวยตนเอง ไม

ทาํ ของท่เี ขาถวายดวยศรทั ธาใหห มดคณุ คาไปเสยี — Saddhàdeyyàvinipàtaka: to eat any

given food himself, whether it is mean or choice, not frustrating the gift of faith)

A.III.263. อง.ฺ ปจฺ ก.22/235/292.

[256] อาวาสิกธรรม 56 (คณุ สมบตั ิของเจาอาวาส หมวดท่ี 6 ประเภทมคี วามสขุ
ความเจรญิ ดจุ ไดร บั เชญิ ขน้ึ ไปอยใู นสวรรค — âvàsika-dhamma: qualities of an incumbent

or abbot who is prosperous as if put in heaven)

1. พจิ ารณาใครค รวญโดยรอบคอบแลว จงึ กลา วตาํ หนติ เิ ตยี นบคุ คลทค่ี วรตาํ หนติ เิ ตยี น —

to speak in blame of a person deserving blame only after deliberately testing and

plumbing the matter.
2. พิจารณาใครครวญโดยรอบคอบแลว จึงกลาวยกยองสรรเสริญบุคคลท่ีควรยกยอง

สรรเสรญิ — to speak in praise of a person deserving praise only after deliberately

testing and plumbing the matter.
3. พจิ ารณาใครค รวญโดยรอบคอบแลว จงึ แสดงความไมเ ลอ่ื มใส ในฐานะอนั ไมค วรเลอื่ มใส

— to show disbelief in what deserves disbelief only after deliberately testing and

plumbing the matter.

4. พจิ ารณาใครค รวญโดยรอบคอบแลว จงึ แสดงความเลอื่ มใส ในฐานะอนั ควรเลอื่ มใส — to

show appreciation in what deserves appreciation only after deliberately testing and

plumbing the matter.

5. ไมย ังศรัทธาไทยใหต กไป — not to frustrate the gift of faith.

เจา อาวาสทปี่ ระพฤติตรงขา มจากนี้ ยอมเส่อื มดุจถกู จบั ไปขงั ในนรก.

A.III.264. อง.ฺ ปจฺ ก.22/236/293.

[257] อาวาสิกธรรม 57 (คณุ สมบัติของเจาอาวาส หมวดที่ 7 ประเภทมคี วามสุขความ
เจริญดจุ ไดร บั เชิญขน้ึ ไปอยูในสวรรค อกี หมวดหนงึ่ — âvàsika-dhamma)

1. พจิ ารณาใครค รวญโดยรอบคอบแลว จงึ กลา วตําหนติ เิ ตยี นบคุ คลทคี่ วรตาํ หนติ เิ ตยี น —
Anuviccavaõõabhàsaka: to speak in blame of a person deserving blame only after

deliberately testing and plumbing the matter.
2. พิจารณาใครครวญโดยรอบคอบแลว จึงกลาวยกยองสรรเสริญบุคคลท่ีควรยกยอง

สรรเสรญิ — Anuviccàvaõõabhàsaka: to speak in praise of a person deserving

หมวด 5 187 [259]

praise only after deliberately testing and plumbing the matter.
3. ไมมีอาวาสมจั ฉริยะ คือ ไมตระหนี่หวงแหนที่อยอู าศัย — Na àvàsamaccharã: not to

be stingy as to lodging)
4. ไมม ีกุลมัจฉริยะ คือ ไมต ระหนี่หวงแหนตระกูลอปุ ฏ ฐาก — Na kulamaccharã: not to be

stingy as to supporting families)
5. ไมม ีลาภมัจฉรยิ ะ คือ ไมต ระหน่หี วงแหนลาภ — Na làbhamaccharã: not to be stingy

as to gain)

นอกจากน้ี ยังมีอาวาสิกธรรมประเภทมีความสุขความเจริญเหมือนไดรับเชิญไปอยูใน

สวรรค อกี 3 หมวด แตม ีความแตกตางเพียงเล็กนอย หรือกําหนดไดง าย คือ

หมวดหนึ่ง เปลย่ี นเฉพาะขอ 5 เปน ไมยังศรัทธาไทยใหตกไป
อีกหมวดหนงึ่ เปลย่ี น 4 ขอตน เปนเรอ่ื งมัจฉรยิ ะทง้ั หมด คอื เปน ไมม อี าวาสมัจฉริยะ,
ไมม ีกลุ มัจฉรยิ ะ, ไมม ลี าภมัจฉริยะ, ไมม วี ณั ณมจั ฉริยะ สวนขอสดุ ทา ยเปน ไมย งั ศรัทธาไทยให

ตกไป
อกี หมวดหนึ่ง เปล่ียนเปน เร่ืองมัจฉริยะท้ัง 5 ขอ คือ เปนผไู มม ีมจั ฉริยะทง้ั 5

ดู [233] มัจฉริยะ 5.

A.III.264–6. อง.ฺ ปฺจก.22/237–240/293–295.

[258] อินทรีย 5 (ธรรมทเ่ี ปนใหญในกิจของตน — Indriya: controlling faculty)

1. สัทธา (ความเช่ือ — Saddhà: confidence)

2. วริ ยิ ะ (ความเพียร — Viriya: energy; effort)

3. สติ (ความระลึกได — Sati: mindfulness)

4. สมาธิ (ความตง้ั จติ มั่น — Samàdhi: concentration)

5. ปญ ญา (ความรทู ัว่ ชดั — Pa¤¤à: wisdom; understanding)

หมวดธรรมน้เี รยี กอยา งหนึง่ วา พละ 5 ทเี่ รยี กวา พละ เพราะความหมายวา เปน พลัง ทาํ ให

เกิดความม่ันคง ซึ่งความไรศรัทธาเปนตน แตละอยางจะเขาครอบงําไมได สวนที่เรียกวา

อินทรีย เพราะความหมายวา เปน ใหญใ นการกระทําหนาทีแ่ ตล ะอยางๆ ของตน คือเปน เจาการ

ในการครอบงําเสียซ่งึ ความไรศ รทั ธา ความเกยี จครา น ความประมาท ความฟงุ ซา น และความ
หลงตามลาํ ดับ

ดู [228] พละ 5.

S.V.191–204; 235–237; Ps.II.1–29. ส.ํ ม.19/843–900/256–271; 1061–1069/310–312; ข.ุ ปฏ.ิ 31/423–463/300–344.

[259] อุบาสกธรรม 5 (ธรรมของอบุ าสกทดี่ ,ี สมบตั ิ หรอื องคค ุณของอุบาสก อยา ง

เยี่ยม — Upàsaka-dhamma: qualities of an excellent lay disciple)

[260] 188 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

1. มศี รัทธา (to be endowed with faith)
2. มีศลี ( to have good conduct)
3. ไมถ อื มงคลต่นื ขา ว เชื่อกรรม ไมเช่ือมงคล คือ มงุ หวงั ผลจากการกระทําและการงาน มใิ ช

จากโชคลางและส่งิ ท่ีต่ืนกนั วา ขลงั ศักดิส์ ิทธิ์ (not to be superstitious, believing in deeds,

not luck)
4. ไมแสวงหาทกั ขไิ ณยภายนอกหลกั คําสอนน้ี คอื ไมแสวงหาเขตบุญนอกหลกั พระพุทธ-

ศาสนา (not to seek for the gift-worthy outside of the Buddha’s teaching)
5. กระทําความสนบั สนุนในพระศาสนาน้เี ปน เบือ้ งตน คอื ขวนขวายในการอุปถัมภบํารงุ พระ

พุทธศาสนา (to do his first service in a Buddhist cause)

ธรรม 5 อยา งน้ี ในบาลที มี่ าเรยี กวา ธรรมของอบุ าสกรตั น (อบุ าสกแกว ) หรอื ธรรมของ
อบุ าสกปทมุ (อุบาสกดอกบวั )

ดู [260] อบุ าสกธรรม 7 ดวย.

A.III.206. อง.ฺ ปฺจก.22/175/230.

[260] อุบาสกธรรม 7 (ธรรมทเี่ ปน ไปเพอ่ื ความเจรญิ ของอบุ าสก — Upàsaka-dhamma:

qualities conducive to the progress of a lay disciple)

1. ไมข าดการเย่ียมเยอื นพบปะพระภกิ ษุ (not to fail to see the monks)
2. ไมละเลยการฟง ธรรม (not to neglect to hear the Teaching)
3. ศกึ ษาในอธิศีล (to train oneself in higher virtue)
4. มากดว ยความเล่ือมใสในภิกษทุ ัง้ หลาย ทงั้ ท่เี ปน เถระ นวกะ และปูนกลาง (to be full

of confidence in the monks, whether elder, newly ordained or mid-term)
5. ไมฟ ง ธรรมดว ยต้ังใจจะคอยเพงโทษติเตียน (to listen to the Dhamma not in order

to criticize)
6. ไมแ สวงหาทกั ขไิ ณยภายนอกหลกั คําสอนนี้ (not to seek for the gift-worthy outside

of the Buddha’s teaching)
7. กระทําความสนับสนุนในพระศาสนานีเ้ ปน เบือ้ งตน คอื ขวนขวายในการอปุ ถัมภบ ํารงุ
พระพทุ ธศาสนา (to do his first service in a Buddhist cause)

ธรรม 7 น้ี เรยี กอกี อยา งหนง่ึ วา สมั ปทาของอบุ าสก (สมบตั ขิ องอบุ าสก — accomplishments of

a lay disciple.)

A.IV.25,26. องฺ.สตฺตก.23/27,28/26,27.

ฉกั กะ — หมวด 6

Groups of Six

(including related groups)

[261] คารวะ หรอื คารวตา 6 (ความเคารพ, การถอื เปน สง่ิ สาํ คญั ท่จี ะพึงใสใจและ

ปฏบิ ตั ิดว ยความเอ้อื เฟอ หรอื โดยความหนักแนน จริงจัง, การมองเห็นคุณคาและความสําคัญ
แลวปฏิบัติตอบุคคลหรือส่ิงนั้นโดยถูกตอง ดวยความจริงใจ — Gàrava, Gàravatà:

reverence; esteem; attention; respect; appreciative action)
1. สตั ถคุ ารวตา (ความเคารพในพระศาสดา — reverence for the Master) ขอ นบี้ างแหง เขยี นเปน

พทุ ธคารวตา (ความเคารพในพระพทุ ธเจา — Satthu-gàravatà: reverence for the Buddha)
2. ธมั มคารวตา (ความเคารพในธรรม — Dhamma-gàravatà: reverence for the Dhamma)

3. สังฆคารวตา (ความเคารพในสงฆ — Saïgha-gàravatà: reverence for the Order)

4. สกิ ขาคารวตา (ความเคารพในการศกึ ษา — Sikkhà-gàravatà: reverence for the Training)
5. อัปปมาทคารวตา (ความเคารพในความไมประมาท — Appamàda-gàravatà:

reverence for earnestness)

6. ปฏิสนั ถารคารวตา (ความเคารพในปฏสิ ันถาร — Pañisanthàra-gàravatà: reverence

for hospitality)

ธรรม 6 อยา งนี้ ยอ มเปนไปเพือ่ ความไมเส่อื มแหงภิกษุ.

A.III.330. อง.ฺ ฉกฺก.22/303/368.

[262] จริต หรอื จริยา 6 (ความประพฤติปกต,ิ ความประพฤติซึง่ หนักไปทางใดทางหนงึ่

อันเปน ปกตปิ ระจาํ อยูใ นสนั ดาน, พื้นเพของจิต, อปุ นิสยั , พ้ืนนสิ ยั , แบบหรอื ประเภทใหญๆ

แหง พฤตกิ รรมของคน — Carita, Cariyà: intrinsic nature of a person; characteristic

behaviour; character; temperament)

ตัวความประพฤติเรยี กวา จรยิ า บคุ คลผูมคี วามประพฤติอยางนัน้ ๆ เรียกวา จริต

1. ราคจรติ (ผมู รี าคะเปนความประพฤติปกต,ิ ประพฤติหนกั ไปทางรักสวยรักงาม — Ràga-

carita: one of lustful temperament) กรรมฐานคปู รบั สําหรบั แก คอื อสุภะและกายคตาสติ

2. โทสจริต (ผมู โี ทสะเปนความประพฤตปิ กต,ิ ประพฤติหนักไปทางใจรอนหงุดหงิด — Dosa-

carita: one of hating temperament) กรรมฐานท่ีเหมาะ คอื พรหมวิหารและกสิณ โดย

เฉพาะวณั ณกสณิ
3. โมหจรติ (ผมู โี มหะเปน ความประพฤตปิ กต,ิ ประพฤตหิ นกั ไปทางเขลา เหงาซมึ เงอื่ งงง งมงาย

— Moha-carita: one of deluded temperament) กรรมฐานทเี่ กอื้ กลู คอื อานาปานสติ และพงึ

[263] 190 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร

แกด ว ยมีการเรยี น ถาม ฟงธรรม สนทนาธรรมตามกาล หรืออยูกบั ครู
4. สทั ธาจรติ (ผูมศี รัทธาเปน ความประพฤติปกต,ิ ประพฤติหนกั ไปทางมจี ิตซาบซ้ึง ช่นื บาน

นอ มใจเลอื่ มใสโดยงาย — Saddhà-carita: one of faithful temperament) พงึ ชักนาํ ไปใน

ส่ิงทีค่ วรแกความเลื่อมใส และความเช่อื ที่มเี หตุผล เชน พิจารณาอนสุ ติ 6 ขอ ตน
5. พทุ ธิจริต หรอื ญาณจริต (ผูม คี วามรเู ปน ความประพฤตปิ กต,ิ ประพฤตหิ นกั ไปทางใช

ความคิดพจิ ารณา — Buddhi-carita or ¥àõa-carita: one of intelligent temperament)

พึงสงเสริมดวยแนะนําใหใชความคดิ ในทางทชี่ อบ เชน พจิ ารณาไตรลักษณ กรรมฐานทเ่ี หมาะ

คือ มรณสติ อปุ สมานุสติ จตุธาตุววฏั ฐาน และอาหาเรปฏิกลู สญั ญา
6. วติ กจริต (ผูมวี ิตกเปน ความประพฤติปกติ, ประพฤติหนักไปทางนกึ คิดจับจดฟงุ ซาน —

Vitakka-carita: one of speculative temperament) พงึ แกด วยสงิ่ ท่ีสะกดอารมณ เชน

เจรญิ อานาปานสติ หรอื เพง กสิณ เปน ตน

Nd1359, 453; Nd2138; Vism.101 ขุ.ม.29/727/435; 889/555; ขุ.จ.ู 30/492/242; วิสุทฺธ.ิ 1/127.

[263] เจตนา หรือ สัญเจตนา 6 หมวด (ความจงใจ, ความตงั้ ใจ, ความจํานง, ความ
แสวงหาอารมณ — Cetanà; Sa¤cetanà: volition; choice; will)

1. รปู สัญเจตนา (ความจํานงรูป — Råpa-sa¤cetanà: volition concerning visible

objects; choice of forms; will directed to forms)

2. สทั ทสัญเจตนา (ความจํานงเสียง — Sadda~: volition concerning audible objects;

choice of sounds; will directed to sounds)

3. คนั ธสัญเจตนา (ความจาํ นงกลิ่น — Gandha~: volition concerning odorous

objects; choice of odours; will directed to odours)

4. รสสัญเจตนา (ความจาํ นงรส — Rasa~: volition concerning sapid objects; choice

of tastes; will directed to tastes)

5. โผฏฐัพพสัญเจตนา (ความจาํ นงโผฏฐัพพะ — Phoññhabba~: volition concerning

tangible objects; choice of tangible objects; will directed to bodily impressions)

6. ธัมมสัญเจตนา (ความจํานงธรรมารมณ — Dhamma~: volition concerning

ideational objects; choice of ideas; will derected to mental objects)

หกอยา งน้ี เรียกเตม็ ตามศัพทว า เจตนากาย หรือ สัญเจตนากาย 6 (กองเจตนา หมวด

เจตนา — bodies of choice; classes of volition)

D.III.244; S.III.64; Vbh.102. ท.ี ปา.11/310/255; ส.ํ ข.17/116/74; อภิ.ว.ิ 35/159/132.

[264] ตัณหา 6 (ความทะยานอยาก — Taõhà: craving)

1. รปู ตัณหา (อยากไดร ปู — Råpa-taõhà: craving for forms)

2. สัททตณั หา (อยากไดเ สยี ง — Sadda~: craving for sounds)

หมวด 6 191 [265]

3. คนั ธตัณหา (อยากไดกลน่ิ — Gandha~: craving for odours)
4. รสตณั หา (อยากไดรส — Rasa~: craving for tastes)
5. โผฏฐัพพตัณหา (อยากไดโผฏฐัพพะ — Phoññhabba~: craving for tangible objects)
6. ธมั มตณั หา (อยากในธรรมารมณ — Dhamma~: craving for mental objects)

หกอยา งนี้ เรียกเต็มตามศัพทว า ตัณหากาย 6 (กองตัณหา, หมวดตัณหา — bodies or

classes of craving)

D.III.244,280; S.II.3; Vbh.102. ท.ี ปา.11/311/256; 425/303; ส.ํ น.ิ 16/10/3; อภ.ิ ว.ิ 35/159/132.

[,,,] ทวาร 6 ดู [78] ทวาร 6.

[265] ทิศ 6 (บคุ คลประเภทตางๆ ทเ่ี ราตอ งเกี่ยวขอ งสมั พนั ธท างสังคมดจุ ทิศท่ีอยรู อบตวั —
Disà: directions; quarters)

1. ปรุ ัตถมิ ทิศ (ทิศเบ้อื งหนา คือ ทศิ ตะวันออก ไดแก มารดาบดิ า เพราะเปนผมู อี ปุ การะแกเ รา
มากอน — Puratthima-disà: parents as the east or the direction in front)

ก. บตุ รธดิ าพึงบํารงุ มารดาบดิ า ผูเปน ทิศเบอ้ื งหนา ดังนี้

1) ทา นเลี้ยงเรามาแลว เล้ียงทานตอบ

2) ชวยทาํ การงานของทา น

3) ดาํ รงวงศสกุล

4) ประพฤตติ นใหเ หมาะสมกับความเปนทายาท

5) เมอื่ ทานลว งลบั ไปแลว ทําบญุ อุทิศใหท า น

In five ways a child should minister to his parents as the eastern quarter (saying
to himself):

a) Having been supported by them, I will support them in my turn.

b) I will do their work for them.

c) I will keep up the honour and the traditions of my family.

d) I will make myself worthy of my heritage.
e) I will make offerings, dedicating merit to them after their death.*

ข. บิดามารดายอ มอนเุ คราะหบ ตุ รธดิ า ดังน้ี

1) หา มปรามจากความช่ัว

2) ใหต ั้งอยใู นความดี

3) ใหศ กึ ษาศิลปวิทยา

* แปลอกี อยางวา “I will grant donations on their behalf.”

[265] 192 พจนานุกรมพุทธศาสตร

4) หาคูครองทส่ี มควรให
5) มอบทรัพยสมบัติใหในโอกาสอนั สมควร
In five ways his parents, thus served as the eastern quarter, show their love for him:
a) They keep him back from evil.
b) They train him in virtue.
c) They have him taught arts and sciences.
d) They arrange for his marriage to a suitable wife.
e) They hand over his inheritance to him in due time.

2. ทกั ษิณทศิ (ทศิ เบอ้ื งขวา คือ ทิศใต ไดแ ก ครอู าจารย เพราะเปน ทกั ขไิ ณยบุคคลควรแกก าร
บชู าคุณ — Dakkhiõa-disà: teachers as the south or the direction in the right)
ก. ศษิ ยพ ึงบาํ รุงครอู าจารย ผูเ ปน ทิศเบ้อื งขวา ดังนี้

1) ลกุ ตอ นรบั
2) เขา ไปหา (เพื่อบาํ รงุ คอยรบั ใช ปรึกษา ซักถาม และรบั คาํ แนะนาํ เปนตน)*
3) ใฝใจเรยี น (คอื มีใจรกั เรียนดว ยศรทั ธา และรูจกั ฟงใหเกดิ ปญญา)**
4) ปรนนบิ ัติ ชว ยบรกิ าร
5) เรียนศิลปวทิ ยาโดยเคารพ (คือ เอาจริงเอาจงั ถือเปนกิจสาํ คัญ)
In five ways a pupil should minister to his teachers as the southern quarter:
a) by rising to receive them.
b) by waiting upon them.
c) by eagerness to learn.
d) by personal service.
e) by attentively learning the arts and sciences.

ข. ครูอาจารยยอมอนเุ คราะหศษิ ย ดังน้ี

1) ฝก ฝนแนะนําใหเปน คนดี
2) สอนใหเขา ใจแจม แจง
3) สอนศลิ ปวทิ ยาใหส้นิ เชิง
4) ยกยอ งใหปรากฏในหมคู ณะ
5) สรางเคร่ืองคุมภัยในสารทศิ (สอนฝกใหร ูจักเล้ียงตวั รกั ษาตนในอันที่จะดําเนนิ ชวี ิตตอ

ไปดวยดี รับรองความรูความประพฤติใหเปนท่ยี อมรับในการไปประกอบอาชีพเปน อยู

* อปุ ฏ าน
** สุสฺสสู า (= ฟงดว ยดี)

หมวด 6 193 [265]

ไดดวยดี)
In five ways his teachers, thus served as the southern quarter, show their love
for him:

a) They train him so that he is well-trained.
b) They teach him in such a way that he understands and remembers well

what he has been taught.
c) They thoroughly instruct him in the lore of every art.
d) They introduce him to his friends and companions.
e) They provide for his safety and security in every quarter.

3. ปจ ฉมิ ทศิ (ทศิ เบ้ืองหลัง คือ ทศิ ตะวนั ตก ไดแก บตุ รภรรยา เพราะมขี ้นึ ภายหลงั และคอย
เปนกําลังสนบั สนุนอยูขางหลัง — Pacchima-disà: wife and children as the west or

the direction behind)

ก. สามีพึงบํารุงภรรยา ผูเ ปนทศิ เบ้ืองหลงั ดังน้ี

1) ยกยองใหเ กียรตสิ มกับฐานะท่ีเปนภรรยา
2) ไมดูหมิ่น
3) ไมนอกใจ
4) มอบความเปนใหญใ นงานบานให
5) หาเครือ่ งประดบั มาใหเปน ของขวญั ตามโอกาส
In five ways a husband should serve his wife as the western quarter:
a) by honouring her.
b) by being courteous to her.
c) by being faithful to her.
d) by handing over authority to her.
e) by providing her with ornaments.

ข. ภรรยายอ มอนเุ คราะหส ามี ดงั น้ี

1) จดั งานบานใหเ รยี บรอ ย
2) สงเคราะหญ าตมิ ิตรท้งั สองฝายดวยดี
3) ไมน อกใจ
4) รักษาทรัพยส มบัตทิ ี่หามาได
5) ขยันไมเ กยี จครา นในงานทง้ั ปวง
In five ways his wife, thus served as the western quarter, shows her love for him:

[265] 194 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร

a) The household affairs are to be well managed.
b) She should be hospitable and helpful to friends and relations of both hers

and his.
c) She should be faithful to him.
d) She should take care of the goods he brings home.
e) She should be skilful and industrious in all her duties.

4. อตุ ตรทศิ (ทิศเบ้อื งซา ย คือ ทิศเหนอื ไดแก มติ รสหาย เพราะเปนผชู ว ยใหข า มพน อุปสรรค
ภยั อนั ตราย และเปนกาํ ลังสนับสนุน ใหบรรลคุ วามสําเรจ็ — Uttara-disà: friends and

companions as the north or the direction in the left)

ก. บุคคลพึงบาํ รุงมิตรสหาย ผเู ปน ทิศเบอ้ื งซา ย ดังน้ี

1) เผือ่ แผแ บง ปน
2) พดู จามีนาํ้ ใจ
3) ชว ยเหลือเก้อื กูลกนั
4) มีตนเสมอ รว มสุขรวมทุกขก ัน
5) ซอ่ื สตั ยจรงิ ใจตอกนั
In five ways a clansman should serve his friends and associates as the northern
quarter:
a) by generosity.
b) by kind words.
c) by helping them and acting for their welfare.
d) by putting them on equal terms.
e) by being sincere to them.

ข. มิตรสหายยอ มอนเุ คราะหต อบ ดงั นี้

1) เมื่อเพือ่ นประมาท ชว ยรกั ษาปอ งกนั
2) เม่ือเพ่ือนประมาท ชวยรักษาทรัพยสมบตั ิของเพื่อน
3) ในคราวมีภัย เปน ท่พี ึ่งได
4) ไมละทงิ้ ในยามทุกขย าก
5) นบั ถือตลอดถึงวงศญาตขิ องมติ ร
In five ways his friends and associates, thus served as the northern quarter,
show their love for him:
a) They protect him when he is careless.

หมวด 6 195 [265]

b) They guard his property when he is careless.
c) They are a refuge for him when he is in danger.
d) They do not leave him in his troubles.
e) They show due respect to other members of his family.

5. เหฏฐิมทศิ (ทศิ เบ้ืองลาง ไดแ ก คนรบั ใชแ ละคนงาน เพราะเปน ผชู ว ยทาํ การงานตางๆ เปน
ฐานกาํ ลังให — Heññhima-disà: servants and workmen as the nadir)
ก. นายพงึ บํารงุ คนรับใชและคนงาน ผเู ปน ทศิ เบอื้ งลา ง ดังนี้

1) จดั การงานใหทาํ ตามความเหมาะสมกับกําลงั ความสามารถ
2) ใหค าจา งรางวลั สมควรแกงานและความเปนอยู
3) จดั สวสั ดกิ ารดี มีชว ยรกั ษาพยาบาลในยามเจบ็ ไข เปน ตน
4) ไดข องแปลกๆ พิเศษมา ก็แบงปน ให
5) ใหม ีวนั หยดุ และพักผอนหยอ นใจตามโอกาสอนั ควร
In five ways a master should serve his servants and workmen as the lower quarter:
a) by assigning them work according to their strength.
b) by giving them due food and wages.
c) by caring for them in sickness.
d) by sharing with them unusual luxuries.
e) by giving them holidays and leave at suitable time.

ข. คนรบั ใชแ ละคนงานยอ มอนุเคราะหน าย ดังน้ี

1) เริม่ ทําการงานกอ นนาย
2) เลิกงานทหี ลงั นาย
3) ถือเอาแตของทนี่ ายให
4) ทําการงานใหเ รยี บรอ ยและดยี ิ่งขนึ้
5) นาํ เกียรตคิ ณุ ของนายไปเผยแพร
In five ways his servants and workmen, thus served as the lower quarter, show
their love for him:
a) They get up to work before him.
b) They go to rest after him.
c) They take only what is given to them.
d) They do their work well.
e) They spread about his praise and good name.

[265] 196 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

6. อุปริมทิศ (ทศิ เบื้องบน ไดแก สมณพราหมณ คือ พระสงฆ เพราะเปนผูส ูงดว ยคณุ ธรรม
และเปนผูนาํ ทางจิตใจ — Uparima-disà: monks as the zenith)

ก. คฤหัสถยอ มบํารงุ พระสงฆ ผเู ปน ทศิ เบอื้ งบน ดงั นี้

1) จะทาํ สิง่ ใด กท็ าํ ดว ยเมตตา

2) จะพูดสิ่งใด กพ็ ดู ดวยเมตตา

3) จะคิดสิ่งใด ก็คดิ ดว ยเมตตา

4) ตอนรบั ดวยความเตม็ ใจ

5) อปุ ถมั ภดวยปจจยั 4

In five ways a clansman should serve monks and Brahmins as the upper quarter:

a) by kindly acts.

b) by kindly words.

c) by kindly thoughts.

d) by keeping open house to them.

e) by supplying them with their material needs.

ข. พระสงฆย อมอนุเคราะหคฤหสั ถ ดังนี้

1) หา มปรามจากความช่วั

2) ใหต ้งั อยใู นความดี

3) อนุเคราะหด วยความปรารถนาดี

4) ใหไดฟง ส่ิงทีย่ งั ไมเ คยฟง

5) ทาํ ส่งิ ท่เี คยฟงแลว ใหแจม แจง

6) บอกทางสวรรค คอื ทางชวี ติ ท่มี คี วามสุขความเจริญให

In six ways the monks, thus served as the upper quarter, show their love for him:

a) They keep him back from evil.

b) They encourage him to do good.

c) They feel for him with kindly thoughts.

d) They teach him what he has not heard before.

e) They correct and clarify what he has learnt.

f) They show him the way to heaven.

ผปู ฏบิ ตั ดิ งั กลา วนี้ชือ่ วา ปกปกรักษาทั่วทุกทศิ ใหเปน แดนเกษมสขุ ปลอดภยั

D.III.189–192. ท.ี ปา.11/198–204/202–206.

[,,,] ธรรมคุณ 6 ดู [306] ธรรมคุณ 6.

หมวด 6 197 [267]

[,,,] ธาตุ 6 ดู [148] ธาตุ 6.
[,,,] บัญญัติ 6 ดู [28] บัญญติ 2, 6.
[266] ปยรูป สาตรูป 6 × 10 (ส่ิงที่มสี ภาวะนารักนา ชนื่ ใจ เปน ที่เกดิ และเปนทีด่ ับ

ของตณั หา — Piyaråpa sàtaråpa: delightful and pleasurable things)
หมวด 1 ดู [276] อายตนะภายใน 6
หมวด 2 ดู [277] อายตนะภายนอก 6
หมวด 3 ดู [268] วิญญาณ 6
หมวด 4 ดู [272] สัมผสั 6
หมวด 5 ดู [113] เวทนา 6
หมวด 6 ดู [271] สญั ญา 6
หมวด 7 ดู [263] สญั เจตนา 6
หมวด 8 ดู [264] ตัณหา 6
หมวด 9 ไดแก วติ ก 6 คือ รปู วิตก สทั ทวติ ก คนั ธวติ ก รสวิตก โผฏฐัพพวติ ก ธมั มวิตก

(ความตริตรึกเก่ียวกับรูป ฯลฯ — Vitakka: thought-conception concerning

visual forms, etc.)

หมวด 10 ไดแ ก วจิ าร 6 คอื รปู วจิ าร สทั ทวจิ าร คนั ธวจิ าร รสวจิ าร โผฏฐพั พวจิ าร ธมั มวจิ าร
(ความตรองเก่ยี วกับรูป ฯลฯ — Vicàra: discursive thought concerning

visual forms, etc.)

D.II.308; M.1.62. ที.ม.10/297/343; ม.มู.12/147/120.

[267] ภัพพตาธรรม 6 (ธรรมอนั ทาํ ใหเปน ผคู วรทจี่ ะบรรลกุ ุศลธรรมทีย่ ังไมบรรลุ

และทํากุศลธรรมท่บี รรลุแลวใหเ จริญเพ่มิ พนู , คุณสมบตั ิท่ีทําใหเปนผูควร เหมาะ สามารถ หรือ

พรอมท่ีจะไดจะถึงสิ่งดีงามที่ยังไมไดไมถึง และทําสิ่งดีงามท่ีไดที่ถึงแลวใหเจริญเพิ่มพูน —
Bhabbatà-dhamma: qualities making one fit for attaining the wholesome not yet

attained and augmenting the wholesome already attained)
1. ฉลาดในหลกั ความเจริญ คอื รูเขา ใจกระบวนเหตปุ จจยั ทีจ่ ะทาํ ใหเกดิ ความเจริญเพ่ิมพูน

(to be knowledgeable about improvement or gain)
2. ฉลาดในหลักความเสื่อม คือ รูเขาใจกระบวนเหตุปจจัยที่จะทําใหเ กิดความสูญเสียเสื่อม

สลาย (to be knowledgeable about loss or decline)

3. ฉลาดในอบุ าย คือ รูเขา ใจชํานาญในวิธีการทจ่ี ะแกไขจัดทาํ ดําเนินการใหส ําเร็จลุลว ง (to be

skilful in the means)
4. สรา งฉันทะทจ่ี ะบรรลกุ ุศลธรรมทย่ี ังมไิ ดบรรลุ (to arouse the will to attain the good

[268] 198 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร

one has not attained)
5. ระวงั รักษากุศลธรรมทไ่ี ดลุถงึ แลว (to maintain the good one has attained)
6. ทําใหส ําเรจ็ ลุจดุ หมายดว ยการกระทําตอเน่อื งไมย ง้ั หยดุ หรอื ขาดตอน (to accomplish

one’s aim through persevering performance or continuance in action)

A.III.432 องฺ.ฉกกฺ .22/350/482

[,,,] วัฒนมุข 6 ดู [201] วัฒนมุข 6.

[268] วิญญาณ 6 (ความรแู จง อารมณ — Vi¤¤àõa: consciousness; sense-awareness)

1. จกั ขวุ ิญญาณ (ความรูอารมณท างตา คือ รรู ปู ดว ยตา, เหน็ — Cakkhu-vi¤¤àõa: eye-

consciousness)

2. โสตวิญญาณ (ความรูอารมณทางหู คือ รูเสียงดวยหู, ไดยิน — Sota~: ear-

consciousness)

3. ฆานวิญญาณ (ความรอู ารมณทางจมกู คือ รกู ล่นิ ดว ยจมกู , ไดก ล่นิ — Ghàna~: nose-

consciousness)

4. ชิวหาวิญญาณ (ความรอู ารมณท างลิ้น คอื รรู สดวยลิ้น, รรู ส — Jivhà~: tongue-

consciousness)

5. กายวิญญาณ (ความรอู ารมณท างกาย คอื รโู ผฏฐพั พะดว ยกาย, รสู กึ กายสมั ผสั — Kàya~:

body-consciousness)

6. มโนวิญญาณ (ความรอู ารมณทางใจ คือ รธู รรมารมณดวยใจ, รคู วามนึกคดิ — Mano~:

mind-consciousness)

D.III.243; Vbh.180. ที.ปา.11/306/255; อภ.ิ วิ.35/120/105.

[,,,] เวทนา 6 ดู [113] เวทนา 6.

[269] เวปุลลธรรม 6 (คุณสมบตั ทิ จี่ ะทําใหเปนผูเติบใหญไพบลู ยในธรรมหรือคณุ ความ
ดที งั้ หลายในเวลาไมน าน — Vepulla-dhamma: qualities leading to the attainment of

greatness and full development in wholesome states)

1. อาโลกพหโุ ล (เปน ผมู ากดว ยความสวางแหง ปญญาหย่ังรู — âlokabahulo: to be rich in

the lustre of wisdom or clarity of vision)

2. โยคพหุโล (เปนผมู ากดวยความเพียรประกอบการ — Yogabahulo: to be devoted to

the endeavour)

3. เวทพหโุ ล (เปน ผูม ากดวยความเบกิ บานใจ คอื มปี ต ปิ ราโมทยอ ยเู สมอ — Vedabahulo:

to be full of joy and cheerfulness)
4. อสนตุฏิพหโุ ล (เปน ผูมากดว ยความไมส ันโดษในกศุ ลธรรมทั้งหลาย คอื ไมร อู ่ิมไมร พู อใน

หมวด 6 199 [270]

การบําเพ็ญความดี — Asantuññhibahulo: to be full of intellectual discontent with the

good already achieved)

5. อนิกฺขิตฺตธโุ ร (ไมท อดธุระในกุศลธรรมทงั้ หลาย — Anikkhittadhuro: not to shirk the

responsibility of cultivating the good)
6. อตุ ฺตริฺจ ปตาเรติ (เพยี รพยายามทํากจิ บดั นใ้ี หลลุ วง กาวสคู ุณความดที ส่ี ูงยิง่ ขึ้นไป —

Uttari¤ca patàreti: to strive perseveringly for further attainments)

A.III.432 อง.ฺ ฉกกฺ .22/351/482

[270] สวรรค 6 (ภพท่ีมอี ารมณอ ันเลิศ, โลกทม่ี ีแตค วามสขุ , เทวโลก, ในท่นี หี้ มายเฉพาะ

สวรรคช ัน้ กามาพจร คอื ช้ันทย่ี งั เกย่ี วขอ งกับกาม ซงึ่ เรียกเต็มวา ฉกามาพจรสวรรค หรือ
กามาวจรสวรรค 6 — Sagga: the six heavens of the sense-sphere) เรียงจากช้นั ต่าํ ขึ้น

ไปดังน้ี
1. จาตุมหาราชิกา (สวรรคทที่ า วมหาราช 4 หรอื ทา วจตโุ ลกบาล ปกครอง — Càtum-

mahàràjikà: The realm of the Four Great Kings คือ ทาวธตรฐ จอมคนธรรพ ครองทศิ

ตะวันออก; ทาววิรูฬหก จอมกมุ ภัณฑ ครองทศิ ใต; ทาววริ ูปก ษ จอมนาค ครองทิศตะวนั ตก;

ทาวกุเวร หรือ เวสสวณั จอมยกั ษ ครองทิศเหนอื )

2. ดาวดงึ ส (แดนทอ่ี ยแู หง เทพ 33 มที า วสกั กะ หรอื พระอนิ ทรเ ปน จอมเทพ บางทเี รยี ก ไตรตรงึ ส
— Tàvati§sà: the realm of the Thirty-three Gods)
3. ยามา (แดนทอี่ ยแู หง เทพผปู ราศจากทกุ ข มที า วสยุ ามเปน ผปู กครอง — Yàmà: the realm of

the Yàma Gods)
4. ดุสิต (แดนที่อยูแหงเทพผูเอิบอิ่มดวยสิริสมบัติของตน มีทาวสันดุสิตเปนจอมเทพ —

Tusità: the realm of the satisfied gods) ถอื กนั วาเปนทีอ่ บุ ตั ิของพระโพธิสัตวใ นพระชาติ

สดุ ทายกอ นจะเปน พระพทุ ธเจา และเปน ท่อี บุ ัติของพระพทุ ธมารดา
5. นิมมานรดี (แดนทอี่ ยูแหงเทพผมู คี วามยินดใี นการเนรมติ มีทา วสนุ ิมมิตเปนจอมเทพ ถือ

กนั วา เทวดาชัน้ น้ี ปรารถนาสง่ิ ใดส่ิงหน่ึง ยอมนิรมติ ไดเ อง — Nimmànaratã: the realm of

the gods who rejoice in their own creations)
6. ปรนิมมิตวสวัตดี (แดนที่อยูแหงเทพผูยังอาํ นาจใหเปนไปในสมบัติที่ผูอื่นนิรมิตให คือ

เสวยสมบตั ทิ เ่ี ทพพวกอนื่ นริ มิตให มีทา ววสวตั ดเี ปนจอมเทพ — Paranimmitavasavattã: the

realm of gods who lord over the creation of others)

คําอธิบายทแ่ี สดงไวน้ี มาในคัมภีรร นุ หลงั เชน อภธิ ัมมัตถวิภาวินี เปนตน

ดู [351] ภูมิ 31.

S.V.423; Comp.138. สํ.ม.19/1681/531; สงฺคห.25.

[,,,] สัญเจตนา 6 ดู [263] เจตนา 6

[271] 200 พจนานุกรมพุทธศาสตร

[271] สัญญา 6 (ความกําหนดไดหมายร,ู ความหมายรอู ารมณ, ความจําไดห มายรู —

Sa¤¤à: perception)
1. รปู สัญญา (ความหมายรรู ปู เชนวา ดํา แดง เขียว ขาว เปนตน — Råpa-sa¤¤à:

perception of form)

2. สัททสญั ญา (ความหมายรเู สียง เชน วา ดัง เบา ทุม แหลม เปน ตน — Sadda~:

perception of sound)

3. คันธสัญญา (ความหมายรูกลิ่น เชนวา หอม เหม็น เปนตน — Gandha~: perception of

smell)

4. รสสัญญา (ความหมายรูร ส เชน วา หวาน เปรย้ี ว ขม เค็ม เปน ตน — Rasa~: perception

of taste)
5. โผฏฐัพพสัญญา (ความหมายรูส ัมผัสทางกาย เชน วา ออน แข็ง หยาบ ละเอยี ด รอน เยน็

เปน ตน — Phoññhabba~: perception of tangible objects)

6. ธมั มสญั ญา (ความหมายรอู ารมณท างใจ เชน วา งาม นา เกลียด เทยี่ ง ไมเ ที่ยง เปนตน —

Dhamma~: perception of mind-objects)

D.III.244; A.III.413. ท.ี ปา.11/309/255; องฺ.ฉกกฺ .22/334/461.

[272] สัมผัส หรอื ผัสสะ 6 (ความกระทบ, ความประจวบกันแหง อายตนะภายใน
อายตนะภายนอก และวิญญาณ — Samphassa, Phassa: contact; sense-impression)

1. จกั ขสุ มั ผสั (ความกระทบทางตา คอื ตา + รปู + จกั ขวุ ญิ ญาณ — Cakkhu-samphassa:

eye-contact)

2. โสตสัมผสั (ความกระทบทางหู คอื หู + เสยี ง + โสตวญิ ญาณ — Sota~: ear-contact)
3. ฆานสัมผัส (ความกระทบทางจมกู คอื จมูก + กลน่ิ + ฆานวิญญาณ — Ghàna~: nose-

contact)

4. ชวิ หาสัมผัส (ความกระทบทางลน้ิ คือ ล้ิน + รส + ชวิ หาวิญญาณ — Jivhà~: tongue-

contact)

5. กายสัมผัส (ความกระทบทางกาย คือ กาย + โผฏฐพั พะ + กายวญิ ญาณ — Kàya~:

body-contact)

6. มโนสมั ผสั (ความกระทบทางใจ คอื ใจ + ธรรมารมณ + มโนวญิ ญาณ — Mano~:

mind-contact)

D.III.243; S.II.3. ท.ี ปา.11/307/255; ส.ํ นิ.16/12/4.

[273] สารณียธรรม 6 (ธรรมเปนทตี่ งั้ แหงความใหร ะลึกถงึ , ธรรมเปน เหตุใหระลกึ ถึง
กัน, ธรรมท่ีทําใหเกดิ ความสามัคคี, หลกั การอยรู ว มกัน — Sàraõãyadhamma: states of

conciliation; virtues for fraternal living) สาราณียธรรม ก็ใช

หมวด 6 201 [273]

1. เมตตากายกรรม (ตั้งเมตตากายกรรมในเพ่อื นพรหมจรรย ทง้ั ตอหนาและลับหลงั คอื

ชว ยเหลือกิจธุระของผรู วมหมูค ณะดว ยความเต็มใจ แสดงกริ ยิ าอาการสุภาพ เคารพนับถอื กัน

ทงั้ ตอหนา และลบั หลงั — Mettàkàyakamma: to be amiable in deed, openly and in

private)
2. เมตตาวจีกรรม (ต้ังเมตตาวจีกรรมในเพ่อื นพรหมจรรย ทัง้ ตอ หนา และลบั หลัง คอื ชวย

บอกแจง สิ่งทเี่ ปนประโยชน สั่งสอน แนะนําตกั เตอื นดว ยความหวงั ดี กลา ววาจาสภุ าพ แสดง

ความเคารพนบั ถอื กัน ทง้ั ตอหนาและลบั หลงั — Mettàvacãkamma: to be amiable in

word, openly and in private)
3. เมตตามโนกรรม (ต้ังเมตตามโนกรรมในเพือ่ นพรหมจรรย ทั้งตอหนาและลบั หลงั คอื ตงั้

จติ ปรารถนาดี คิดทาํ ส่งิ ทเ่ี ปน ประโยชนแกก ัน มองกันในแงดี มีหนาตายม้ิ แยมแจมใสตอกัน —

Mettàmanokamma: to be amiable in thought, openly and in private)

4. สาธารณโภคติ า (ไดของสง่ิ ใดมากแ็ บง ปนกนั คือ เมื่อไดส งิ่ ใดมาโดยชอบธรรม แมเปน

ของเลก็ นอย ก็ไมหวงไวผเู ดยี ว นํามาแบงปน เฉลีย่ เจอื จาน ใหไดม สี วนรวมใชส อยบริโภคทว่ั กนั

— Sàdhàraõabhogità: to share any lawful gains with virtuous fellows) ขอ นี้ ใช

อัปปฏวิ ิภตั ตโภคี ก็ได

5. สลี สามญั ญตา (มศี ีลบริสทุ ธิเ์ สมอกนั กับเพอื่ นพรหมจรรยท ัง้ หลาย ท้ังตอ หนา และลบั หลงั

คอื มีความประพฤตสิ จุ รติ ดีงาม ถูกตอ งตามระเบยี บวินยั ไมท าํ ตนใหเ ปนท่นี า รงั เกียจของหมู

คณะ — Sãlasàma¤¤atà: to keep without blemish the rules of conduct along with

one’s fellows, openly and in private)
6. ทิฏฐิสามญั ญตา (มที ฏิ ฐดิ งี ามเสมอกันกบั เพอื่ นพรหมจรรยท ั้งหลาย ทงั้ ตอ หนา และลับหลัง

คือ มคี วามเหน็ ชอบรว มกัน ในขอ ทเี่ ปน หลักการสาํ คัญอันจะนาํ ไปสคู วามหลุดพน ส้นิ ทุกข หรอื

ขจัดปญ หา — Diññhisàma¤¤atà: to be endowed with right views along with one’s

fellows, openly and in private)

ธรรม 6 ประการนี้ มคี ุณคอื เปน สารณยี ะ (ทําใหเปน ท่รี ะลึกถึง — making others to
keep one in mind) เปน ปย กรณ (ทาํ ใหเ ปนทรี่ ัก — endearing) เปน ครกุ รณ (ทาํ ใหเปนที่
เคารพ — bringing respect) เปนไปเพ่ือ ความสงเคราะห (ความประสานกลมกลืน —
conducing to sympathy or solidarity) เพอ่ื ความไมว ิวาท (to non-quarrel) เพื่อ ความ
สามคั คี (to concord; harmony) และเพอ่ื เอกภี าพ (ความเปนอันหนึง่ อันเดียวกัน — to

unity)

D.III.245; A.III.288–9. ท.ี ปา.11/317/257; อง.ฺ ฉกกฺ .22/282–3/321–3.

[,,,] อนุตตริยะ 6 ดู [127] อนตุ ตรยิ ะ 6
[,,,] อบายมุข 6 ดู [200] อบายมขุ 6.

[274] 202 พจนานุกรมพุทธศาสตร

[274] อภิญญา 6 (ความรูย ่งิ ยวด — Abhi¤¤à: superknowledge; ultra-conscious

insight)

1. อทิ ธวิ ธิ า หรอื อทิ ธิวธิ ิ (ความรทู ีท่ ําใหแ สดงฤทธิต์ า งๆ ได — Iddhividhà: magical

powers)

2. ทิพพโสต (ญาณท่ที าํ ใหมีหูทพิ ย — Dibbasota: divine ear)
3. เจโตปรยิ ญาณ (ญาณที่ใหก าํ หนดใจคนอื่นได — Cetopariya¤àõa: penetration of the
minds of others; cf. telepathy)
4. ปุพเพนวิ าสานสุ สติ (ญาณท่ที าํ ใหร ะลึกชาตไิ ด — Pubbenivàsànussati: remem-
brance of former existences; cf. retrocognition)
5. ทพิ พจกั ขุ (ญาณท่ีทําใหม ีตาทิพย — Dibbacakkhu: divine eye)
6. อาสวักขยญาณ (ญาณที่ทาํ ใหอาสวะสน้ิ ไป — âsavakkhaya¤àõa: knowledge of the

exhaustion of all mental intoxicants)

หา ขอ แรกเปน โลกิยะ (โลกียอภิญญา) ขอทา ยเปน โลกุตตระ.

ดู [106] วิชชา 3; [297] วชิ ชา 8.

D.III.281; A.III.280; ที.ปา.11/431/307; อง.ฺ ฉกฺก.22/273/311.

[275] อภิฐาน 6 (กรรมทเ่ี ดนยิง่ กวา กรรมอน่ื ๆ, ฐานะอันยิ่งยวด, ฐานอนั หนัก, ความผิด
พลาดสถานหนกั — Abhiñhàna: major wrong doings; great mistakes)

อภฐิ าน 5 ขอ แรก ตรงกบั อนนั ตรยิ กรรม 5 คอื มาตฆุ าต ปต ฆุ าต อรหนั ตฆาต โลหติ ปุ บาท

และ สงั ฆเภท เพมิ่ ขอ 6 คอื
6. อญั ญสตั ถทุ เทส* (ถอื ศาสดาอนื่ คอื ถอื ถกู อยแู ลว กลบั ไพลท ง้ิ ไปถอื ผดิ — A¤¤asatthuddesa:

professing the doctrines of an alien teacher; adopting another teacher)

อภฐิ านนี้ ในบาลที มี่ าเดมิ เรยี กวา อภพั พฐาน (ฐานะทบ่ี คุ คลผถู งึ พรอ มดว ยทฏิ ฐิ คอื ตง้ั แตพ ระ
โสดาบนั ขนึ้ ไป ไมอ าจจะกระทาํ คอื เปน ไปไมไ ดท จี่ ะทาํ — Abhabbaññhàna: acts which are

incapable of being committed by a person possessed of right views; impossibilities)

ดู [245] อนันตริยกรรม 5.

A.III.439; Kh.VI.10, Sn.231. อง.ฺ ฉกกฺ .22/365/490; ข.ุ ข.ุ 25/7/7; ข.ุ ส.ุ 25/314/369.

[276] อายตนะภายใน 6 (ทีเ่ ช่อื มตอ ใหเกิดความร,ู แดนตอความรูฝา ยภายใน —
Ajjhattikàyatana: internal sense-fields) บาลีเรยี ก อัชฌตั ตกิ ายตนะ

1. จกั ขุ (จักษุ, ตา — Cakkhu: the eye)

2. โสตะ (หู — Sota: the ear)

* บางแหง เรยี ก อัญญสตั ถารทุ เทส

หมวด 6 203 [277]

3. ฆานะ (จมกู — Ghàna: the nose)
4. ชิวหา (ล้นิ — Jivhà: the tongue)
5. กาย (กาย — Kàya: the body)
6. มโน (ใจ — Mana: the mind)

ทง้ั 6 น้ี เรียกอกี อยางวา อนิ ทรยี  6 เพราะเปน ใหญในหนา ทขี่ องตนแตละอยา ง เชน จกั ษุ

เปนเจา การในการเห็น เปน ตน

D.III.243; M.III.216; Vbh.70. ท.ี ปา.11/304/255; ม.อุ.14/619/400; อภิ.วิ.35/99/85.

[277] อายตนะภายนอก 6 (ท่เี ช่ือมตอใหเกดิ ความร,ู แดนตอความรฝู ายภายนอก —
Bàhiràyatana: external sense-fields) บาลเี รยี ก พาหิรายตนะ

1. รปู ะ (รูป, สิ่งทีเ่ หน็ หรอื วัณณะ คอื สี — Råpa: form; visible objects)

2. สทั ทะ (เสียง — Sadda: sound)

3. คนั ธะ (กลิน่ — Gandha: smell; odour)

4. รสะ (รส — Rasa: taste)

5. โผฏฐัพพะ (สมั ผัสทางกาย, สง่ิ ทีถ่ กู ตอ งกาย — Phoññhabba: touch; tangible objects)

6. ธรรม หรอื ธรรมารมณ (อารมณท ่ีเกิดกับใจ, ส่งิ ทีใ่ จนึกคิด — Dhamma: mind-

objects)
ท้ัง 6 นี้ เรยี กทวั่ ไปวา อารมณ 6 คือ เปน สงิ่ สําหรบั ใหจติ ยึดหนวง

D.III.243; M.III.216; Vbh.70. ที.ปา.11/305/255; ม.อ.ุ 14/620/400; อภิ.วิ.35/99/85.

สตั ตกะ — หมวด 7

Groups of Seven

[278] กัลยาณมิตรธรรม 7 (องคค ณุ ของกลั ยาณมติ ร, คณุ สมบตั ขิ องมติ รดหี รอื มติ รแท

คอื ทา นทคี่ บหรอื เขา หาแลว จะเปน เหตใุ หเ กดิ ความดงี ามและความเจรญิ ในทนี่ ม้ี งุ เอามติ รประเภท

ครูหรือพ่ีเลีย้ งเปนสําคัญ — Kalyàõamitta-dhamma: qualities of a good friend)
1. ปโ ย (นา รัก ในฐานเปน ที่สบายใจและสนิทสนม ชวนใหอยากเขา ไปปรกึ ษาไตถาม — Piyo:

lovable; endearing)
2. ครุ (นา เคารพ ในฐานประพฤติสมควรแกฐ านะ ใหเ กดิ ความรูสกึ อบอุน ใจ เปนที่พึ่งได และ

ปลอดภยั — Garu: esteemable; respectable; venerable)

3. ภาวนโี ย (นาเจริญใจ หรือนา ยกยอ ง ในฐานทรงคณุ คือความรแู ละภมู ิปญญาแทจ ริง ทั้งเปน

ผฝู กอบรมและปรบั ปรงุ ตนอยเู สมอ ควรเอาอยา ง ทาํ ใหร ะลึกและเอยอางดวยซาบซงึ้ ภูมใิ จ —

Bhàvanãyo: adorable; cultured; emulable)

4. วตฺตา จ (รูจกั พูดใหไ ดผ ล รูจักชแี้ จงใหเ ขาใจ รูวาเม่อื ไรควรพูดอะไรอยา งไร คอยใหค าํ แนะ

นาํ วากลาวตักเตือน เปนทป่ี รกึ ษาทด่ี ี — Vattà ca: being a counsellor)

5. วจนกขฺ โม (อดทนตอถอ ยคํา คอื พรอมท่จี ะรบั ฟงคาํ ปรึกษา ซกั ถาม คาํ เสนอ และวพิ ากษ

วิจารณ อดทนฟง ไดไ มเบอ่ื ไมฉุนเฉยี ว — Vacanakkhamo: being a patient listener)

6. คมภฺ ีรฺจ กถํ กตตฺ า (แถลงเรื่องล้ําลึกได สามารถอธบิ ายเรือ่ งยุงยากซับซอ นใหเขาใจ และ

ใหเรยี นรูเรื่องราวทลี่ กึ ซ้งึ ยิ่งข้ึนไป — Gambhãra¤ca katha§ kattà: able to deliver deep

discourses or to treat profound subjects)
7. โน จฏ าเน นโิ ยชเย (ไมช ักนาํ ในอฐาน คือ ไมแนะนาํ ในเรื่องเหลวไหล หรือชักจูงไปใน

ทางเส่อื มเสีย — No caññhàne niyojaye: never exhorting groundlessly; not leading or

spurring on to a useless end)

A.IV.31. องฺ.สตตฺ ก.23/34/33.

[279] ธรรมมีอุปการะมาก 7 (Bahukàra-dhamma: virtues of great assistance)

ธรรมหมวดน้ี ทา นหมายเอาอรยิ ทรัพย 7 ประการ

ดู [292] อรยิ ทรัพย 7

D.III.282. ท.ี ปา.11/433/310.

[280] บุพนิมิตแหงมรรค 7 (ธรรมท่เี ปน เครื่องหมายบง บอกลวงหนาวา มรรคมี

องค 8 ประการอนั ประเสรฐิ จะเกดิ ขน้ึ แกผ นู น้ั ดจุ แสงอรณุ เปน บพุ นมิ ติ ของการทดี่ วงอาทติ ยจ ะ
อทุ ยั , แสงเงนิ แสงทองของชวี ติ ทดี่ ,ี รงุ อรณุ ของการศกึ ษา — Magguppàda-pubbanimitta: a

หมวด 7 205 [281]

foregoing sign for the arising of the Noble Eightfold Path; precursor of the Noble

Path; harbinger of a good life or of the life of learning)
1. กลั ยาณมิตตตา (ความมกี ัลยาณมติ ร, มมี ติ รด,ี คบหาคนท่เี ปน แหลง แหงปญ ญาและแบบ

อยางทด่ี ี — Kalyàõamittatà: good company; having a good friend; association with

a good and wise person)
2. สีลสัมปทา (ความถึงพรอมดว ยศีล, การทาํ ศีลใหถ ึงพรอ ม, ต้งั ตนอยูในวินยั และมีความ

ประพฤตทิ ่วั ไปดงี าม — Sãla-sampadà: perfection of morality; accomplishment in

discipline and moral conduct)
3. ฉนั ทสัมปทา (ความถึงพรอมดว ยฉันทะ, การทาํ ฉนั ทะใหถ ึงพรอ ม, ความใฝใจอยากจะทาํ

กจิ หนาทแ่ี ละสิง่ ทงั้ หลายทเ่ี กย่ี วขอ งใหดงี าม, ความใฝร ูใฝส รา งสรรค — Chanda-sampadà:

perfection of aspiration; accomplishment in constructive desire)
4. อตั ตสัมปทา (ความถึงพรอมดว ยตนทฝ่ี ก ดีแลว, การทําตนใหถึงพรอ มดว ยคณุ สมบัติของผู

ท่พี ฒั นาแลวโดยสมบรู ณ ท้งั ดา นกาย ศีล จิต และปญ ญา [ทจี่ ะเปน ภาวิตตั ต คือผมู ตี นอันได
พฒั นาแลว] — Atta-sampadà: perfection of oneself; acomplishment in self that has

been well trained; dedicating oneself to training for the realization of one’s full

human potential; self-actualization)
5. ทฏิ ฐิสัมปทา (ความถึงพรอมดว ยทฏิ ฐ,ิ การทาํ ทิฏฐิใหถ งึ พรอม, การต้งั อยูในหลกั ความคดิ
ความเชื่อถือที่ถูกตองดีงามมีเหตุผล เชน ถือหลักความเปนไปตามเหตุปจจัย — Diññhi-

sampadà: perfection of view; accomplishment in view; to be established in good

and reasoned principles of thought and belief)
6. อปั ปมาทสมั ปทา (ความถงึ พรอ มดว ยความไมป ระมาท, การทาํ ความไมป ระมาทใหถ งึ พรอ ม

— Appamàda-sampadà: perfection of heedfulness; accomplishment in diligence)

7. โยนโิ สมนสิการสัมปทา (ความถึงพรอมดวยโยนโิ สมนสกิ าร, การทําโยนิโสมนสกิ ารใหถ งึ
พรอม, ความฉลาดคิดแยบคายใหเห็นความจรงิ และหาประโยชนได — Yonisomanasikàra-

sampadà: perfection of wise reflection; accomplishment in systematic attention)

เมื่อใดธรรมทีเ่ ปนบุพนมิ ิต 7 ประการนี้ แมอยางใดอยา งหนึง่ เกดิ มีในบุคคลแลว เม่อื นั้น
ยอ มเปนอนั หวงั ไดวาเขาจกั เจรญิ พัฒนา ทาํ ใหม าก ซ่ึงมรรคมอี งค 8 ประการอันประเสริฐ คอื
จักดาํ เนินกา วไปในมัชฌมิ าปฏิปทา.

ดู [34] ปจจยั ใหเกิดสมั มาทฏิ ฐิ 2, [293] มรรคมีองค 8

S.V.30–31. สํ.ม.19/130–6/36.

[281] โพชฌงค 7 (ธรรมทเ่ี ปน องคแ หง การตรสั รู — Bojjhaïga: enlightenment factors)

1. สติ (ความระลึกได สาํ นกึ พรอ มอยู ใจอยกู ับกจิ จติ อยูก ับเรอื่ ง — Sati: mindfulness)

[282] 206 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร

2. ธมั มวจิ ยะ (ความเฟนธรรม, ความสอดสอ งสืบคน ธรรม — Dhammavicaya: truth

investigation)

3. วิริยะ (ความเพยี ร — Viriya: effort; energy)
4. ปต ิ (ความอมิ่ ใจ — Pãti: zest; rapture)
5. ปสสัทธิ (ความผอ นคลายสงบเยน็ กายใจ — Passaddhi: tranquillity; calmness)
6. สมาธิ (ความมใี จต้ังม่นั จติ แนว แนในอารมณ — Samàdhi: concentration)
7. อุเบกขา (ความมีใจเปนกลางเพราะเห็นตามเปนจรงิ — Upekkhà: equanimity)

แตล ะขอ เรียกเต็ม มี สัมโพชฌงค ตอ ทายเปน สติสมั โพชฌงค เปน ตน.

D.III.251,282; Vbh.277. ที.ปา.11/327/264; 434/310; อภิ.วิ.35/542/306.

[282] ภรรยา 7 (ภรรยาแบบตางๆ จาํ แนกโดยคณุ ธรรม ความประพฤติ ลกั ษณะนิสัย และ
การปฏบิ ตั ติ อ สามี — Bhariyà: seven types of wives)

1. วธกาภรยิ า (ภรรยาเยย่ี งเพชฌฆาต, ภรรยาทคี่ ิดราย ซื้อไดดว ยเงนิ มิไดอ ยกู นิ ดวยความ
พอใจ ยินดชี ายอ่ืน ดหู มิ่นและคิดทาํ ลายสามี — Vadhakà-bhariyà: a wife like a slayer;

destructive wife)

2. โจรีภรยิ า (ภรรยาเย่ยี งโจร, ภรรยาผลู างผลาญทรพั ยส มบัติ — Corã~: a wife like a

robber; thievish wife)

3. อยั ยาภรยิ า (ภรรยาเยย่ี งนาย, ภรรยาทเี่ กยี จครา น ไมใ สใ จการงาน กนิ มาก ปากรา ย หยาบคาย

ใจเหยี้ ม ชอบขม สามี — Ayyà~: a wife like a mistress: Madam High and Mighty)

4. มาตาภรยิ า (ภรรยาเย่ยี งมารดา, ภรรยาทีห่ วังดเี สมอ คอยหวงใยเอาใจใสส ามี เหมือน

มารดาปกปองบตุ ร และประหยดั รักษาทรัพยท่ีหามาได — Màtà~: a wife like a mother;

motherly wife)

5. ภคินีภริยา (ภรรยาเยีย่ งนองสาว, ภรรยาผเู คารพรักสามี ดงั นองรักพ่ี มีใจออนโยน รจู กั

เกรงใจและคลอยตามสามี — Bhaginã~: a wife like a sister; sisterly wife)

6. สขภี รยิ า (ภรรยาเยี่ยงสหาย, ภรรยาที่เปน เหมอื นเพ่ือน พบสามเี มือ่ ใด ก็ปลาบปลมื้ ดใี จ

เหมือนเพอื่ นพบเพอื่ นทจ่ี ากไปนาน เปน ผมู ีการศกึ ษาอบรม มกี ริ ยิ ามารยาท ความประพฤตดิ ี

ภักดีตอสามี — Sakhã~: a wife like a companion; friendly wife)

7. ทาสภี รยิ า (ภรรยาเยย่ี งทาสี, ภรรยาทย่ี อมอยใู นอาํ นาจสามี ถกู ขตู ะคอกเฆ่ียนตี ก็อดทนไม

โกรธตอบ — Dàsã~: a wife like a handmaid; slavish wife)

ทา นสอนใหภรรยาสาํ รวจตนวา ท่ีเปน อยู ตนเปนภรรยาประเภทไหน และจะใหด คี วรจะเปน
ภรรยาประเภทใด; สําหรบั ชาย อาจใชเปน หลักสํารวจอปุ นสิ ัยของตนวาควรแกหญิงประเภทใด
เปนคคู รอง และสํารวจหญงิ ทจี่ ะเปน คูครองวาเหมาะกบั อปุ นสิ ัยของตนหรอื ไม.

A.IV.91; J.II.347. อง.ฺ สตฺตก.23/60/92; ชา.อ.4/92.

หมวด 7 207 [284]

[283] เมถุนสังโยค 7 (อาการทเี่ กย่ี วขอ งกบั เมถนุ หรอื นบั เนอื่ งในเมถนุ , ความประพฤติ

พวั พนั กบั เมถนุ , เครอื่ งผกู มดั ไวก บั เมถนุ — Methuna-sa§yoga: bonds of sexuality; sex-

bonds which cause the renting or blotching of the life of chastity despite no actual

sexual intercourse)

สมณะ ก็ดี พราหมณ กด็ ี บางคน ปฏญิ าณตนวา เปนพรหมจารี เขามไิ ดรว มประเวณีกับมาตคุ ามก็

จรงิ แตยงั ยนิ ดี ปลาบปล้ืม ช่นื ใจ ดวยเมถุนสังโยค 7 อยางใดอยา งหนง่ึ พรหมจรรยข องผนู ้นั ยังช่อื วาขาด

ทะลุ ดา ง พรอย เปนการประพฤตพิ รหมจรรยท ีไ่ มบริสุทธ์ิ ประกอบดวยเมถุนสังโยค ยอ มไมพ น ไปจาก

ทุกข กลาวคือ
1. ยินดกี ารลูบไล ขดั สี ใหอ าบน้ํา และการนวดฟน ของมาตคุ าม ปล้มื ใจดวยการบําเรอนน้ั
(enjoyment of massage, manipulation, bathing and rubbing down by women)
2. ไมถึงอยางน้นั แตยังกระซกิ กระซ้ี เลน หัว สัพยอก กับมาตคุ าม ปลม้ื ใจดว ยการกระทํา
อยา งนัน้ (enjoyment of joking, jesting and making merry with women)
3. ไมถ ึงอยางนนั้ แตยงั เพง จอ งดตู ากับมาตคุ าม ปลืม้ ใจดว ยการทําอยางนัน้ (enjoyment
of gazing and staring at women eye to eye)
4. ไมถึงอยา งนน้ั แตยงั ชอบฟงเสียงมาตคุ ามหัวเราะ ขบั รอง หรือรอ งไหอ ยู ขางนอกฝา
นอกกําแพง แลว ปลม้ื ใจ (enjoyment of listening to women as they laugh, talk, sing
or weep beyond a wall or a fence)
5. ไมถึงอยางน้ัน แตยังชอบตามนึกถึงการเกาท่ีไดเคยหัวเราะพูดจาเลนหัวกับมาตุคาม
แลวปลม้ื ใจ (enjoyment of recalling the laughs, talks and jests one formerly had
with women)
6. ไมถึงอยา งนน้ั แตชอบดูคฤหบดี หรือบุตรคฤหบดี ผเู อบิ อ่มิ พร่ังพรอ มดวยกามคณุ ท้ัง 5
บํารุงบําเรอตนอยู แลวปล้ืมใจ (enjoyment of seeing a householder or a
householder’s son indulging in sensual pleasures)
7. ไมถงึ อยางน้นั แตป ระพฤตพิ รหมจรรย ต้ังปรารถนาเพ่อื จะไดเปน เทพเจาหรือเทพองค
ใดองคห นึ่ง (leading the life of chastity aspiring to be reborn as a god or a deity)

A.IV.54. อง.ฺ สตฺตก.23/47/56.

[284] วิญญาณฐิติ 7 (ภูมิเปน ที่ต้ังแหง วญิ ญาณ — Vi¤¤àõaññhiti: abodes or

supports of consciousness)

1. สัตวบางพวก มกี ายตางกนั มีสญั ญาตา งกัน เชน พวกมนษุ ย เทพบางเหลา วินิปาติกะ
(เปรต) บางเหลา (beings different in body and in perception)
2. สัตวบ างพวก มีกายตางกัน แตมสี ัญญาอยา งเดียวกัน เชน เหลา เทพจําพวกพรหมผู
เกดิ ในภูมปิ ฐมฌาน (beings different in body, but equal in perception)

[285] 208 พจนานุกรมพุทธศาสตร

3. สตั วบางพวก มีกายอยา งเดียวกนั แตม สี ญั ญาตา งกนั เชน พวกเทพอาภสั สรา (beings
equal in body, but different in perception)
4. สัตวบางพวก มีกายอยางเดียวกัน มีสัญญาอยางเดียวกัน เชน พวกเทพสุภกิณหะ

(beings equal in body and in perception)
5. สัตวบ างพวก ผูเขา ถงึ ชั้นอากาสานญั จายตนะ (beings reborn in the sphere of
Boundless Space)
6. สตั วบางพวก ผูเขา ถงึ ช้ันวญิ ญาณัญจายตนะ (beings reborn in the sphere of
Boundless Consciousness)
7. สตั วบางพวก ผเู ขา ถงึ ชั้นอากิญจัญญายตนะ (beings reborn in the sphere of
Nothingness)

D.III.253; A.IV.39. ท.ี ปา.11/335/265; อง.ฺ สตตฺ ก.23/41/41.

[285] วิสุทธิ 7 (ความหมดจด, ความบริสุทธ์ทิ ่ีสูงขึ้นไปเปนขน้ั ๆ, ธรรมที่ชาํ ระสัตวให

บริสุทธิ์ ยังไตรสิกขาใหบริบูรณเปนขั้นๆ ไปโดยลําดับ จนบรรลุจุดหมายคือนิพพาน —

Visuddhi: purity; stages of purity; gradual purification)

1. สลี วิสทุ ธิ (ความหมดจดแหงศีล คือ รกั ษาศลี ตามภมู ขิ ั้นของตนใหบริสุทธ์ิ และใหเปน ไป

เพอื่ สมาธิ — Sãla-visuddhi: purity of morality) วสิ ทุ ธมิ คั คว า ไดแก ปารสิ ุทธศิ ีล 4 [160]

2. จิตตวิสทุ ธิ (ความหมดจดแหง จติ คอื ฝก อบรมจิตจนบังเกดิ สมาธพิ อเปน บาทฐานแหง

วิปส สนา — Citta~: purity of mind) วสิ ทุ ธิมคั คว า ไดแก สมาบัติ 8 พรอมท้งั อุปจาร

3. ทฏิ ฐิวิสทุ ธิ (ความหมดจดแหง ทฏิ ฐิ คอื ความรเู ขา ใจมองเหน็ นามรปู ตามสภาวะทเ่ี ปน จรงิ

เปน เหตขุ ม ความเขา ใจผดิ วา เปน สตั วบ คุ คลเสยี ได เรมิ่ ดาํ รงในภมู แิ หง ความไมห ลงผดิ — Diññhi~:

purity of view; purity of understanding) จดั เปน ขนั้ กาํ หนดทุกขสัจจ
4. กงั ขาวติ รณวสิ ุทธิ (ความหมดจดแหงญาณเปนเหตุขามพนความสงสัย, ความบริสุทธขิ์ ้นั ท่ี
ทาํ ใหก าํ จดั ความสงสยั ได คอื กําหนดรูปจ จัยแหงนามรูปไดแ ลวจึงส้นิ สงสยั ในกาลทัง้ 3 — Kaï

khàvitaraõa~: purity of transcending doubts) ขอน้ีตรงกับ ธรรมฐติ ญิ าณ หรอื

ยถาภตู ญาณ หรือ สมั มาทสั สนะ จดั เปนข้นั กําหนดสมุทัยสัจจ

5. มัคคามคั คญาณทัสสนวิสทุ ธิ (ความหมดจดแหง ญาณทร่ี ูเ ห็นวา เปนทางหรอื มใิ ชทาง คอื

เริ่มเจริญวิปสสนาตอไปดวยพิจารณากลาป จนมองเห็นความเกิดข้ึน และความเสื่อมไปแหง

สังขารทง้ั หลาย อนั เรยี กวา อุทยัพพยานปุ สสนา เปน ตรณุ วิปสสนา คือวิปส สนาญาณออนๆ แลว

มวี ิปสสนูปกิเลส เกิดขนึ้ กาํ หนดไดวาอุปกเิ ลสท้ัง 10 แหง วปิ ส สนานนั้ มิใชทาง สวนวปิ ส สนาท่ี

เรม่ิ ดําเนินเขา สูวถิ นี ั่นแลเปนทางถกู ตอง เตรยี มที่จะประคองจติ ไวใ นวิถีคือ วปิ สสนา-ญาณ นั้น
ตอ ไป — Maggàmagga¤àõadassana~: purity of the knowledge and vision

regarding path and not-path) ขอ น้จี ดั เปนข้ันกาํ หนดมัคคสจั จ

หมวด 7 209 [286]

6. ปฏปิ ทาญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ (ความหมดจดแหง ญาณอนั รเู หน็ ทางดาํ เนนิ คอื ประกอบความ
เพยี รในวปิ ส สนาญาณทง้ั หลายเรม่ิ แตอ ทุ ยพั พยานปุ ส สนาญาณทพ่ี น จากอปุ กเิ ลสดาํ เนนิ เขา สวู ถิ ที าง

แลว นนั้ เปน ตน ไป จนถงึ สจั จานโุ ลมกิ ญาณหรอื อนโุ ลมญาณ อนั เปน ทส่ี ดุ แหง วปิ ส สนา ตอ แตน กี้ ็

จะเกดิ โคตรภญู าณ คนั่ ระหวา งวสิ ทุ ธขิ อ นกี้ บั ขอ สดุ ทา ย เปน หวั ตอ แหง ความเปน ปถุ ชุ นกบั ความ

เปน อรยิ บคุ คล โดยสรปุ วสิ ทุ ธขิ อ น้ี กค็ อื วปิ ส สนาญาณ 9 — Pañipadà¤àõadassana~: purity

of the knowledge and vision of the way of progress)
7. ญาณทสั สนวสิ ทุ ธิ (ความหมดจดแหง ญาณทัสสนะ คอื ความรูในอริยมรรค 4 หรือ

มรรคญาณ อนั เกิดถดั จากโคตรภญู าณเปนตนไป เมื่อมรรคเกิดแลว ผลจติ แตละอยา งยอมเกิด

ขน้ึ ในลาํ ดับถัดไปจากมรรคญาณน้ันๆ ความเปนอริยบุคคลยอมเกิดข้ึนโดยวิสทุ ธิขอนี้ เปน อัน

บรรลุผลทห่ี มายสูงสุดแหง วสิ ุทธิ หรอื ไตรสกิ ขา หรอื การปฏบิ ัตธิ รรมในพระพุทธศาสนาทัง้ ส้ิน

— ¥àõadassana~: purity of knowledge and vision)

วสิ ทุ ธิ 7 เปนปจจยั สง ตอ กนั ขน้ึ ไปเพือ่ บรรลนุ พิ พาน ดุจรถ 7 ผลัดสงตอกนั ใหบคุ คลถงึ ที่
หมาย โดยนยั ดงั แสดงแลว

ดู [328] วิปส สนปู กิเลส 10; [311] วปิ ส สนาญาณ 9.

M.I.149; Vism.1–710. ม.มู.12/298/295; คมั ภรี วิสทุ ธมิ คั คทง้ั หมด.

[286] สัปปายะ 7 (สิง่ ทส่ี บาย, สภาพเอ้ือ, ส่งิ ทเ่ี ก้ือกูล, ส่ิงที่เอื้อตอการอยดู ีและการท่จี ะ

พฒั นาชีวิต, สงิ่ ทีเ่ หมาะกัน อันเกอื้ หนุนในการเจรญิ ภาวนาใหไ ดผลดี ชว ยใหส มาธติ ัง้ มน่ั ไม

เสื่อมถอย — Sappàya: beneficial or advantageous conditions; suitable or

agreeable things; things favourable to mental development)

1. อาวาสสปั ปายะ (ทอี่ ยอู นั เหมาะ เชน ปลอดภยั ไมพ ลกุ พลา นจอแจ — âvàsa-sappàya:

suitable abode) บางแหง เรยี ก เสนาสนสัปปายะ

2. โคจรสปั ปายะ (แหลง อาหารอํานวย ท่ีเที่ยวบณิ ฑบาตทเี่ หมาะดี เชน มีหมบู านหรือชมุ ชนที่

มีอาหารบริบรู ณอ ยไู มใ กลไมไ กลเกินไป — Gocara~: suitable resort)

3. ภสั สสัปปายะ (การพูดคุยทเ่ี หมาะกัน เชน พูดคุยเลาขานกนั แตใ นกถาวตั ถุ 10 และพดู แต

พอประมาณ ขา วสารและส่อื สารทีเ่ ออ้ื ปญญา — Bhassa~: suitable speech) บางแหง เรียก

ธัมมัสสวนสปั ปายะ

4. ปคุ คลสัปปายะ (บคุ คลทีถ่ กู กันเหมาะกนั เชน ไมมคี นราย แตม ีทานผทู รงคณุ ธรรม ทรง

ภูมปิ ญ ญาเปนทีป่ รึกษาเหมาะใจ — Puggala~: suitable person)

5. โภชนสัปปายะ (อาหารที่เหมาะกัน เชน ถกู กับรางกาย เกอ้ื กลู ตอสขุ ภาพ ฉนั ไมย าก —

Bhojana~: suitable food) บางแหง เรียก อาหารสัปปายะ

6. อุตสุ ปั ปายะ (ดนิ ฟา อากาศธรรมชาติแวดลอ มที่เหมาะ เชน ไมห นาวเกนิ ไป ไมร อ นเกนิ ไป

เปนตน — Utu~: suitable climate)

7. อิรยิ าปถสัปปายะ (อิริยาบถทเี่ หมาะกนั เชน บางคนถกู กับจงกรม บางคนถกู กับนั่ง ตลอด

[287] 210 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

จนมกี ารเคลื่อนไหวทีพ่ อดี มอี ริ ยิ าบถสมดลุ — Iriyàpatha~: suitable posture)

Vism. 127; Vin.A.II.429; MA.II.911. วิสุทฺธ.ิ 1/161; วนิ ย.อ.1/524; ม.อ.3/570.

[287] สัปปุริสธรรม 71 (ธรรมของสัตบรุ ษุ , ธรรมทีท่ ําใหเปนสตั บุรษุ , คณุ สมบตั ขิ อง
คนดี, ธรรมของผูดี — Sappurisa-dhamma: qualities of a good man; virtues of a

gentleman)

1. ธัมมัญุตา (ความรจู กั ธรรม รหู ลัก หรือ รูจกั เหตุ คือ รหู ลักความจริง รหู ลักการ รูหลัก

เกณฑ รกู ฎแหงธรรมดา รกู ฎเกณฑแหง เหตผุ ล และรหู ลกั การทจี่ ะทําใหเ กดิ ผล เชน ภิกษุรูวา

หลักธรรมขอน้ันๆ คอื อะไร มอี ะไรบาง พระมหากษตั รยิ ท รงทราบวา หลกั การปกครองตามราช

ประเพณเี ปน อยา งไร มอี ะไรบา ง รูวา จะตองกระทําเหตอุ นั นๆ้ี หรือกระทาํ ตามหลกั การขอ นๆี้ จงึ

จะใหเกดิ ผลทตี่ องการหรือบรรลจุ ดุ หมายอนั นัน้ ๆ เปนตน — Dhamma¤¤utà: knowing the

law; knowing the cause)

2. อัตถญั ุตา (ความรูจ ักอรรถ รคู วามมุงหมาย หรอื รูจกั ผล คอื รคู วามหมาย รคู วามมุง

หมาย รปู ระโยชนที่ประสงค รูจ ักผลที่จะเกดิ ขนึ้ สืบเนือ่ งจากการกระทํา หรอื ความเปนไปตาม

หลกั เชน รวู าหลกั ธรรมหรือภาษติ ขอนั้นๆ มีความหมายวา อยา งไร หลักน้ันๆ มีความมงุ หมาย

อยางไร กาํ หนดไวหรือพงึ ปฏิบตั ิเพ่อื ประสงคประโยชนอ ะไร การที่ตนกระทาํ อยูม ีความมงุ หมาย

อยา งไร เมื่อทาํ ไปแลวจะบังเกิดผลอะไรบาง ดงั นีเ้ ปน ตน — Attha¤¤utà: knowing the

meaning; knowing the purpose; knowing the consequence)

3. อตั ตัญุตา (ความรูจักตน คือ รวู า เราน้ัน วา โดยฐานะ ภาวะ เพศ กําลัง ความรู ความ

สามารถ ความถนดั และคณุ ธรรม เปนตน บดั น้ี เทาไร อยางไร แลวประพฤตใิ หเหมาะสม และ

รูท่จี ะแกไขปรบั ปรงุ ตอ ไป — Atta¤¤utà: knowing oneself)
4. มัตตญั ุตา (ความรจู ักประมาณ คอื ความพอดี เชน ภกิ ษุรูจกั ประมาณในการรับและ

บรโิ ภคปจจัยส่ี คฤหสั ถรจู ักประมาณในการใชจา ยโภคทรพั ย พระมหากษตั ริยร ูจักประมาณใน

การลงทณั ฑอาชญาและในการเกบ็ ภาษี เปน ตน — Matta¤¤utà: moderation; knowing how

to be temperate; sense of proportion)

5. กาลญั ตุ า (ความรจู กั กาล คอื รกู าลเวลาอนั เหมาะสม และระยะเวลาทคี่ วรหรอื จะตอ งใชใ น

การประกอบกจิ ทาํ หนา ทกี่ ารงาน หรอื ปฏบิ ตั กิ ารตา งๆ เชน ใหต รงเวลา ใหเ ปน เวลา ใหท นั เวลา ให

พอเวลา ใหเ หมาะเวลา เปน ตน — Kàla¤¤utà: knowing the proper time; knowing how to

choose and keep time)

6. ปรสิ ญั ตุ า (ความรจู กั บรษิ ทั คอื รจู กั ชมุ ชน และรจู กั ทปี่ ระชมุ รกู ริ ยิ าทจ่ี ะประพฤตติ อ ชมุ ชน

นน้ั ๆ วา ชมุ ชนนเ้ี มอื่ เขา ไปหา จะตอ งทาํ กริ ยิ าอยา งน้ี จะตอ งพดู อยา งนี้ ชมุ ชนนค้ี วรสงเคราะห

อยา งนี้ เปน ตน — Parisa¤¤utà: knowing the assembly; knowing the society)
7. ปคุ คลญั ุตา หรือ ปคุ คลปโรปรญั ุตา (ความรจู กั บคุ คล คือ ความแตกตางแหงบคุ คล

วา โดยอธั ยาศัย ความสามารถ และคณุ ธรรม เปนตน ใครๆ ยิ่งหรือหยอนอยางไร และรูท ่จี ะ

หมวด 7 211 [289]

ปฏบิ ตั ติ อบุคคลน้นั ๆ ดวยดี วา ควรจะคบหรือไม จะใช จะตําหนิ ยกยอง และแนะนําสั่งสอน

อยางไร เปน ตน — Puggala¤¤utà: knowing the individual; knowing the different

individuals)

ภิกษุผูประกอบดวยสปั ปุรสิ ธรรม 7 ขอนี้ ชอ่ื วา เปน ผปู ระกอบดว ยสงั ฆคุณครบ 9 แมพ ระ
อรหันตสัมมาสัมพทุ ธเจา และพระเจาจักรพรรดิ กท็ รงประกอบดวยธรรมเหลานี้ (ทา นแสดงไว
เฉพาะขอหลัก 5 ขอ คอื ขอ 1, 2, 4, 5, 6 องฺ.ปจฺ ก.22/131/166; A.III.148) จงึ ทรงยงั ธรรมจกั รและ
อาณาจักรใหเปน ไปดว ยดี.

D.III.252,283; A.IV.113. ที.ปา.11/331/264; 439/312; อง.ฺ สตตฺ ก.23/65/114.

[,,,] สัปปุริสธรรม 72 ดู [301] สัปปรุ สิ ธรรม 8.

[,,,] สมบัติของอุบาสก 7 ดู [260] อุบาสกธรรม 7.

[,,,] องคคุณของกัลยาณมิตร 7 ดู [278] กลั ยาณมิตรธรรม 7.

[288] อนุสัย 7 (กิเลสทนี่ อนเนอ่ื งอยูในสันดาน — Anusaya: latent tendencies)

1. กามราคะ (ความกําหนดั ในกาม, ความอยากไดต ดิ ใจในกาม — Kàmaràga: lust for

sensual pleasures)

2. ปฏฆิ ะ (ความขัดใจ, ความหงดุ หงิดขัดเคือง คอื โทสะ — Pañigha: repulsion; irritation;

grudge)

3. ทฏิ ฐิ (ความเหน็ ผิด, การยึดถอื ความเห็น เอาความคิดเห็นเปนความจรงิ — Diññhi: wrong

view; speculative opinion)

4. วจิ ิกจิ ฉา (ความลังเล, ความสงสยั — Vicikicchà: doubt; uncertainty)
5. มานะ (ความถือตวั — Màna: conceit)
6. ภวราคะ (ความกําหนดั ในภพ, ความอยากเปน อยากย่งิ ใหญ อยากยัง่ ยืน — Bhavaràga:

lust for becoming)

7. อวชิ ชา (ความไมร ูจรงิ คือ โมหะ — Avijjà: ignorance)

อนสุ ัย 7 นี้ เรยี กอกี อยา งหนงึ่ วา สังโยชน 7

D.III.254, 282; A.IV.8; Vbh.383. ที.ปา.11/337/266; องฺ.สตฺตก.23/11/8; อภิ.วิ.35/1005/517.

[2ธ89ร]รมอป7ร(ธิหรรามนอันิยไธมเรปนรทมตี่ ั้งแ7ห1ง คขวาอมงเสกือ่ มษเัตปนรไิยปเวพัชื่อคชวีามหเรจอืรญิ วฝัชายชเดีอยี วปสราํ ิหหรับาหนมิยชู น-
หรือผูบ รหิ ารบา นเมือง — Vajjã-aparihàniyadhamma: things leading never to decline

but only to prosperity; conditions of welfare)

1. หม่นั ประชุมกนั เนอื งนิตย (to hold regular and frequent meetings)
2. พรอ มเพรยี งกนั ประชุม พรอมเพรยี งกันเลกิ ประชมุ พรอ มเพรยี งกันทํากิจท่ีพงึ ทํา (to

[290] 212 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร

meet together in harmony, disperse in harmony, and do their business and
duties in harmony)

ขอ น้แี ปลอีกอยา งหนงึ่ วา : พรอ มเพรยี งกันลกุ ขึ้นปองกนั บานเมือง พรอมเพรียงกนั ทํากิจท้ังหลาย
3. ไมบ ญั ญตั ิส่งิ ทมี่ ิไดบ ญั ญัติไว (อนั ขัดตอ หลักการเดมิ ) ไมล มลา งสิง่ ทบี่ ัญญตั ไิ ว (ตาม
หลักการเดมิ ) ถอื ปฏบิ ตั ิม่ันตามวัชชธี รรม (หลกั การ) ตามท่ีวางไวเดิม (to introduce no
revolutionary ordinance, or break up no established ordinance, but abide by the

original or fundamental Vajjian norm and principles)
4. ทานเหลา ใดเปน ผใู หญในชนชาววัชชี เคารพนับถอื ทา นเหลา นน้ั เห็นถอ ยคําของทาน
วาเปนสิ่งอนั ควรรับฟง (to honour and respect the elders among the Vajjians and
deem them worthy of listening to)
5. บรรดากุลสตรกี ุลกุมารที ้ังหลาย ใหอยดู ีโดยมิถูกขมเหง หรือฉุดครา ขืนใจ (the women
and girls of the families are to dwell without being forced or abducted)
6. เคารพสกั การะบชู าเจดยี  (ปชู นยี สถานและปชู นยี วตั ถุ ตลอดถงึ อนสุ าวรยี ต า งๆ) ของวชั ชี
(ประจําชาต)ิ ทงั้ หลาย ทัง้ ภายในและภายนอก ไมป ลอ ยใหธ รรมิกพลีท่ีเคยใหเ คยทําแก
เจดียเหลานน้ั เสอื่ มทรามไป (to honour and worship the Vajjian shrines, monuments
and objects of worship, both central and provincial, and do not neglect those righteous

ceremonies held before for them)
7. จัดใหความอารกั ขา คุมครอง ปองกัน อนั ชอบธรรม แกพระอรหันตท ั้งหลาย (ในทน่ี ก้ี ิน
ความกวา ง หมายถงึ บรรพชิตผดู ํารงธรรมเปนหลักใจของประชาชนทวั่ ไป) ตัง้ ใจวา ขอ
พระอรหันตท ั้งหลายทย่ี ังมไิ ดม า พึงมาสูแวนแควน ทม่ี าแลวพึงอยูใ นแวนแควน โดยผาสุก
(to provide the rightful protection, shelter and support for the Arahants and wish

that the Arahants who have not come may enter the realm and those who have

entered may dwell pleasantly therein)

อปรหิ านยิ ธรรม 7 ประการน้ี พระพทุ ธเจาตรสั แสดงแกเ จา วัชชที ง้ั หลาย ผูปกครองรฐั โดย
ระบอบสามัคคีธรรม (republic) ซ่งึ รัฐคอู ริยอมรับวา เมอ่ื ชาววัชชยี ังปฏิบัติตามหลักธรรมนี้ จะ
เอาชนะดว ยการรบไมได นอกจากจะใชก ารเกลีย้ กลอ มหรือยุแยกใหแตกสามัคคี.

D.II.73; A.IV.15. ท.ี ม.10/68/86; องฺ.สตตฺ ก.23/20/18.

[290] อปริหานิยธรรม 72 ของภิกษุ หรอื ภิกขุอปริหานิยธรรม 7

(ธรรมอนั ไมเปนท่ีตง้ั แหงความเส่ือม เปนไปเพ่ือความเจริญฝา ยเดียว สําหรับภิกษุท้งั หลาย —

Bhikkhu-aparihàniyadhamma: things leading never to decline but only to

prosperity; conditions of welfare)

1. หม่ันประชมุ กนั เนอื งนติ ย (to hold regular and frequent meetings)
2. พรอ มเพรยี งกนั ประชมุ พรอ มเพรยี งกนั เลกิ ประชมุ พรอ มเพรยี งกนั ทํากจิ ทส่ี งฆจ ะตอ งทาํ

หมวด 7 213 [291]

(to meet together in harmony, disperse in harmony, and do the business and
duties of the Order in harmony)

ขอน้แี ปลอกี อยา งวา: พรอ มเพรียงกนั ประชมุ พรอ มเพรยี งกันลุกขึ้นจัดการแกไขสิง่ เสยี หาย เหตุไม

งาม พรอมเพรียงกนั ทํากิจท่ีสงฆจ ะตอ งทาํ
3. ไมบ ญั ญตั สิ งิ่ ทพ่ี ระพทุ ธเจา ไมท รงบญั ญตั ิ ไมล ม ลา งสง่ิ ทพี่ ระองคท รงบญั ญตั ไิ ว สมาทาน
ศกึ ษาอยใู นสกิ ขาบททงั้ หลายตามทพ่ี ระองคท รงบญั ญตั ไิ ว (to introduce no revolutionary
ordinance, break up no established ordinance, but train oneself in accordance with

the prescribed training rules)
4. ภกิ ษเุ หลา ใดเปน ผใู หญ เปน สงั ฆบดิ ร เปน สงั ฆปรณิ ายก เคารพนบั ถอื ภกิ ษเุ หลา นนั้ เหน็
ถอ ยคําของทา นวา เปน สงิ่ อนั ควรรบั ฟง (to honour and respect those elders of long
experience, the fathers and leaders of the Order and deem them worthy of

listening to)
5. ไมล อุ าํ นาจตณั หาคอื ความอยากทเี่ กดิ ขน้ึ (not to fall under the influence of craving
which arises)
6. ยินดีในเสนาสนะปา (to delight in forest retreat)
7. ตงั้ สตริ ะลกึ ไวใ นใจวา สพรหมจารี (เพอื่ นพรหมจาร)ี ทง้ั หลายผมู ศี ลี งาม ซง่ึ ยงั ไมม า ขอให
มา ทมี่ าแลว ขอใหอ ยผู าสกุ (to establish oneself in mindfulness, with this thought,
“Let disciplined co-celibates who have not come, come hither, and let those that

have already come live in comfort.”)

D.II.77; A.IV.20. ท.ี ม.10/70/90; องฺ.สตฺตก.23/21/21.

[291] อปริหานิยธรรม 73 ของภิกษุ หรอื ภิกขุอปริหานิยธรรม 7
อีกหมวดหนึ่ง (Bhikkhu-aparihàniyadhamma)

1. น กมฺมารามตา (ไมมวั เพลินการงาน คือไมห ลงเพลิดเพลินหมกมุนวุน อยูก ับงาน เชน การ
เย็บจวี ร ทาํ บริขารตางๆ เปน ตน จนเสอ่ื มเสยี การเลาเรียนศึกษาบาํ เพญ็ สมณธรรม — Na
kammàràmatà: not to be fond of business)

2. น ภสฺสารามตา (ไมม วั เพลินการคุย — Na bhassàràmatà: not to be fond of gossip)

3. น นิททฺ ารามตา (ไมม ัวเพลินการหลับนอน — Na niddàràmatà: not to be fond of

sleeping)

4. น สงคฺ ณกิ ารามตา (ไมม วั เพลินการคลุกคลีหมูค ณะ — Na saïgaõikàràmatà: not to

be fond of society)

5. น ปาปจ ฉฺ ตา (ไมเ ปนผูมคี วามปรารถนาลามก, ไมตกอยใู นอาํ นาจความปรารถนาลามก —

Na pàpicchatà: not to have nor fall under the influence of evil desire)
6. น ปาปมิตฺตตา (ไมเ ปนผมู ปี าปมติ ร — Na pàpamittatà: not to have evil friends)

[292] 214 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร

7. น อนตฺ ราโวสานํ (ไมถ ึงความหยุดยง้ั นอนใจเสยี ในระหวาง ดวยการบรรลุคณุ วเิ ศษเพียง

ชั้นตน ๆ — Na antaràvosàna§: not to come to a stop on the way by the

attainment of lesser success)

D.II.78; A.IV.21. ที.ม.10/71/92; องฺ.สตตฺ ก.23/22/23.

[292] อริยทรัพย 7 (ทรัพยอ นั ประเสริฐ, ทรัพยคอื คณุ ธรรมประจาํ ใจอยา งประเสริฐ —
Ariya-dhana: noble treasures)

1. ศรัทธา (ความเชื่อที่มีเหตุผล ม่ันใจในหลักที่ถือและในการดีที่ทํา — Saddhà:

confidence)

2. ศลี (การรกั ษากายวาจาใหเรียบรอย ประพฤติถูกตองดีงาม — Sãla: morality; good

conduct; virtue)

3. หริ ิ (ความละอายใจตอ การทําความชั่ว — Hiri: moral shame; conscience)
4. โอตตัปปะ (ความเกรงกลวั ตอ ความช่วั — Ottappa: moral dread; fear-to-err)
5. พาหสุ จั จะ (ความเปนผูไ ดศกึ ษาเลา เรยี นมาก — Bàhusacca: great learning )
6. จาคะ (ความเสียสละ เออื้ เฟอ เผ่ือแผ — Càga: liberality)

7. ปญญา (ความรคู วามเขา ใจถองแทใ นเหตุผล ดีชั่ว ถกู ผดิ คณุ โทษ ประโยชน มใิ ชประโยชน

รูคิด รูพจิ ารณา และรูทจี่ ะจดั ทาํ — Pa¤¤à: wisdom)

อริยทรพั ย เปน ทรพั ยอันประเสรฐิ อยูภายในจติ ใจ ดกี วา ทรัพยภายนอก เพราะไมมีผูใด
แยง ชงิ ไมส ูญหายไปดว ยภัยอันตรายตา งๆ ทาํ ใจใหไ มอ า งวางยากจน และเปน ทุนสรา งทรัพย
ภายนอกไดดว ย

ธรรม 7 นี้ ทา นเรยี กวา เปน พหกุ ารธรรม หรอื ธรรมมอี ปุ การะมาก (Bahukàradhamma:

virtues of great assistance; D.III.282; ท.ี ปา.11/433/310) เพราะเปน กาํ ลงั หนนุ ชวยสง เสริมในการ
บําเพ็ญคุณธรรมตางๆ ยังประโยชนตนและประโยชนผูอ่ืนใหสําเร็จไดอยางกวางขวางไพบูลย
เปรียบเหมือนคนมีทรพั ยม าก ยอ มสามารถใชจ า ยทรพั ยเ ล้ยี งตนเลย้ี งผอู ่ืนใหมคี วามสขุ และ
บําเพญ็ ประโยชนตางๆ ไดเ ปน อนั มาก.

D.III.163,267; A.IV.5. ที.ปา.11/326/264; อง.ฺ สตตฺ ก.23/6/5.

[,,,] อริยบุคคล 7 ดู [63] อรยิ บคุ คล 7.
[,,,] อุบาสกธรรม 7 ดู [260] อบุ าสกธรรม 7.

อฏั ฐกะ — หมวด 8

Groups of Eight

(including related groups)

[,,,] ฌาน 8 ดู [10] ฌาน 8.
[293] มรรคมีองค 8 หรอื อัฏฐังคิกมรรค (เรียกเตม็ วา อริยอฏั ฐงั คกิ มรรค

แปลวา “ทางมอี งคแ ปดประการ อนั ประเสรฐิ ” — Aññhaïgika-magga: the Noble Eightfold

Path); องค 8 ของมรรค (มคั คังคะ — factors or constituents of the Path) มีดงั น้ี

1. สัมมาทฏิ ฐิ (เหน็ ชอบ ไดแก ความรูอ รยิ สัจจ 4 หรือ เห็นไตรลักษณ หรอื รอู กศุ ลและ
อกุศลมลู กับกศุ ลและกศุ ลมูล หรือเห็นปฏจิ จสมุปบาท — Sammàdiññhi: Right View; Right

Understanding)
2. สมั มาสังกปั ปะ (ดาํ ริชอบ ไดแก เนกขัมมสังกัปป อพยาบาทสงั กปั ป อวหิ ิงสาสังกัปป —

Sammàsaïkappa: Right Thought) ดู [69] กุศลวิตก 3

3. สมั มาวาจา (เจรจาชอบ ไดแ ก วจสี จุ ริต 4 — Sammàvàcà: Right Speech)

4. สมั มากัมมันตะ (กระทาํ ชอบ ไดแ ก กายสจุ ริต 3 — Sammàkammanta: Right Action)

5. สมั มาอาชวี ะ (เล้ียงชพี ชอบ ไดแ ก เวน มิจฉาชีพ ประกอบสมั มาชีพ — Sammà-àjãva:

Right Livelihood)
6. สัมมาวายามะ (พยายามชอบ ไดแก ปธาน หรือ สัมมัปปธาน 4 — Sammàvàyàma:

Right Effort)
7. สัมมาสติ (ระลึกชอบ ไดแก สตปิ ฏ ฐาน 4 — Sammàsati: Right Mindfulness)
8. สมั มาสมาธิ (ตั้งจติ มนั่ ชอบ ไดแก ฌาน 4 — Sammàsamàdhi: Right Concentration)

องค 8 ของมรรค จัดเขาในธรรมขันธ 3 ขอ ตน คอื ขอ 3, 4, 5 เปน ศลี ขอ 6, 7, 8 เปน
สมาธิ ขอ 1, 2 เปน ปญญา ดู [124] สิกขา 3; และหมวดธรรมทีอ่ างถงึ ทัง้ หมด

มรรคมีองค 8 นี้ เปน อริยสัจจ ขอท่ี 4 และไดช ่ือวา มัชฌมิ าปฏปิ ทา แปลวา “ทางสาย
กลาง” เพราะเปนขอปฏิบัติอันพอดีที่จะนําไปสูจุดหมายแหงความหลุดพนเปนอิสระ ดับทุกข

ปลอดปญหา ไมต ิดขอ งในทสี่ ุดทั้งสอง คือ กามสุขัลลกิ านุโยค และอัตตกลิ มถานโุ ยค ดู [15] ที่
สุด 2; [204] อริยสจั จ 4

D.II.312; M.I.61; M.III.251; Vbh.235. ที.ม.10/299/348; ม.ม.ู 12/149/123; ม.อุ.14/704/453; อภิ.ว.ิ 35/569/307.

[294] ลักษณะตัดสินธรรมวินัย 8 หรอื หลักกําหนดธรรมวินัย 8
(Dhammavinaya-nicchayalakkhaõa: criteria of the Doctrine and the Discipline)

ธรรมเหลา ใดเปน ไปเพอ่ื

[295] 216 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

1. วิราคะ คือ ความคลายกาํ หนัด, ความไมติดพนั เปน อิสระ (Viràga: detachment;

dispassionateness) มิใชเ พอื่ ความกําหนดั ยอ มใจ หรอื เสริมความติดใคร
2. วิสงั โยค คือ ความหมดเครื่องผกู รดั , ความไมประกอบทกุ ข (Visa§yoga: release from

bondage) มิใชเพื่อผูกรดั หรือประกอบทกุ ข
3. อปจยะ คือ ความไมพ อกพนู กเิ ลส (Apacaya: dispersion of defilements) มใิ ชเพ่ือพอก

พนู กเิ ลส
4. อัปปจฉตา คอื ความอยากอันนอ ย, ความมักนอ ย (Appicchatà: wanting little) มิใช

เพ่ือความอยากอนั ใหญ, ความมักใหญ หรอื มักมากอยากใหญ
5. สันตฏุ ฐี คอื ความสนั โดษ (Santuññhi: contentment) มใิ ชเ พือ่ ความไมสนั โดษ
6. ปวเิ วก คือ ความสงดั (Paviveka: seclusion; solitude) มใิ ชเพือ่ ความคลกุ คลอี ยูในหมู
7. วิริยารัมภะ คอื การประกอบความเพยี ร (Viriyàrambha: energy; exertion) มใิ ชเพือ่

ความเกยี จคราน
8. สภุ รตา คอื ความเลย้ี งงา ย (Subharatà: being easy to support) มใิ ชเ พอ่ื ความเลยี้ งยาก

ธรรมเหลานี้ พึงรวู าเปน ธรรม เปน วินยั เปนสัตถุสาสน คอื คําสอนของพระศาสดา; หมวดน้ี

ตรสั แกพ ระนางมหาปชาบดโี คตมี

Vin.II.259; A.IV.280. วินย.7/523/331; องฺ.อฏก.23/143/289.

[295] ลักษณะตัดสินธรรมวินัย 7 หรอื หลักกําหนดธรรมวินัย 7
(Dhammavinaya-jànanalakkhaõa: criteria of the Doctrine and the Discipline)

ธรรมเหลาใดเปน ไปเพอ่ื

1. เอกันตนิพพิทา (ความหนายส้ินเชิง, ไมหลงใหลเคลิบเคลิ้ม — Ekantanibbidà:

disenchantment)

2. วิราคะ (ความคลายกําหนัด, ไมยึดติดรัดตัว เปนอสิ ระ — Viràga: detachment)
3. นิโรธ (ความดบั , หมดกิเลสหมดทุกข — Nirodha: extinction)
4. อุปสมะ (ความสงบ — Upasama: calm; peace)
5. อภญิ ญา (ความรูย่ิง, ความรูชัด — Abhi¤¤à: discernment; direct knowledge)
6. สมั โพธะ (ความตรสั รู — Sambodha: enlightenment)
7. นพิ พาน (นิพพาน — Nibbàna)

ธรรมเหลา น้ี พงึ รวู า เปน ธรรม เปนวนิ ัย เปน สตั ถุสาสน คือคาํ สอนของพระศาสดา; หมวดนี้
ตรสั แกพ ระอบุ าลี

A.IV.143. อง.ฺ สตตฺ ก.23/80/146.

[296] โลกธรรม 8 (ธรรมดาของโลก, เรอื่ งของโลก, ความเปนไปตามคตธิ รรมดาซ่ึงหมนุ

หมวด 8 217 [297]

เวียนมาหาสัตวโลกและสัตวโลกก็หมุนเวียนตามมันไป — Loka-dhamma: wordly

conditions; wordly vicissitudes)

1. ลาภ (ไดล าภ, มลี าภ — Làbha: gain)
2. อลาภ (เสื่อมลาภ, สูญเสยี — Alàbha: loss)
3. ยส (ไดยศ, มยี ศ — Yasa: fame; rank; dignity)
4. อยส (เสื่อมยศ — Ayasa: obscurity)
5. นินทา (ตเิ ตียน — Nindà: blame)
6. ปสงั สา (สรรเสริญ — Pasa§sà: praise)
7. สขุ (ความสุข — Sukha: happiness)
8. ทกุ ข (ความทุกข — Dukkha: pain)

โดยสรปุ เปน 2 คือ ขอ 1, 3, 6, 7 เปน อิฏฐารมณ คอื สว นท่ีนา ปรารถนา; ขอทีเ่ หลือเปน

อนิฏฐารมณ คือ สวนทไี่ มนา ปรารถนา

โลกธรรมเหลา นี้ ยอ มเกดิ ขน้ึ ทง้ั แกป ถุ ชุ นผมู ไิ ดเ รยี นรู และแกอ รยิ สาวกผไู ดเ รยี นรู ตา งกนั

แตว า คนพวกแรกยอ มไมร เู หน็ เขา ใจตามความเปน จรงิ ลมุ หลง ยนิ ดยี นิ รา ย ปลอ ยใหโ ลกธรรมเขา

ครอบงาํ ยา่ํ ยจี ติ ฟยู บุ เรอื่ ยไป ไมพ น จากทกุ ข มโี สกะปรเิ ทวะ เปน ตน สว นอรยิ สาวกผไู ดเ รยี นรู

พจิ ารณาเหน็ ตามเปน จรงิ วา สงิ่ เหลา นอี้ ยา งใดกต็ ามทเี่ กดิ ขนึ้ แกต น ลว นไมเ ทยี่ ง เปน ทกุ ข มคี วาม

แปรปรวนเปน ธรรมดา ไมห ลงใหลมวั เมาเคลมิ้ ไปตามอฏิ ฐารมณ ไมข นุ มวั หมน หมองคลมุ คลง่ั ไป

ในเพราะอนฏิ ฐารมณ มสี ตดิ าํ รงอยู เปน ผปู ราศจากทกุ ข มโี สกะปรเิ ทวะ เปน ตน

A.IV.157. อง.ฺ อฏก.23/96/159.

[297] วิชชา 8 (ความรแู จง , ความรวู ิเศษ — Vijjà: supernormal knowledge)

1. วปิ ส สนาญาณ (ญาณในวปิ สสนา, ญาณท่ีเปนวิปส สนา คอื ปญ ญาทพ่ี จิ ารณาเหน็ สังขารคือ
นามรปู โดยไตรลักษณ มีตางกันออกไปเปน ชัน้ ๆ ตอเนื่องกัน — Vipassanà¤àõa: insight-

knowledge)
2. มโนมยิทธิ (ฤทธ์สิ าํ เร็จดวยใจ, ฤทธิท์ างใจ คือ นิรมติ กายอ่ืนออกจากกายนี้ ดุจชกั ไสจาก
หญาปลอง ชักดาบจากฝก หรอื ชกั งอู อกจากคราบ — Manomayiddhi: mind-made magical

power)

3. อทิ ธิวธิ า หรอื อิทธิวธิ ิ (แสดงฤทธติ์ า งๆ ได — Iddhividhà: supernormal powers)

4. ทิพพโสต (หูทพิ ย — Dibbasota: divine ear)

5. เจโตปรยิ ญาณ (ความรูท่กี าํ หนดใจผูอ ื่นได — Cetopariya¤àõa: penetration of the

minds of others)
6. ปพุ เพนวิ าสานุสสติ (ระลึกชาติได — Pubbenivàsànussati: remembrance of former

existences)

[298] 218 พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร

7. ทิพพจักขุ (ตาทพิ ย — Dibbacakkhu: divine eye)
8. อาสวักขยญาณ (ความรทู ี่ทําใหส ิน้ อาสวะ — âsavakkhaya¤àõa: knowledge of the

exhaustion of mental intexicants)

ขอท่ี 2 โดยมากจัดเขา ในขอท่ี 3 ดว ย ขอท่ี 3 ถึง 8 (6 ขอ ทาย) ตรงกับ อภญิ ญา 6 ดู [106]
วิชชา 3; [274] อภญิ ญา 6; [311] วิปส สนาญาณ 9.

D.I.76–84; M.II.17. ท.ี ส.ี 9/131–138/101–112.

[298] วิโมกข 8 (ความหลุดพน, ภาวะทีจ่ ิตปลอดพน จากสงิ่ รบกวนและนอ มดิ่งเขาไปใน
อารมณน้นั ๆ อยางปลอ ยตวั หรือปลอดตวั เตม็ ที่ ซึ่งเปนไปในขัน้ ตอนตา งๆ — Vimokkha:

liberations; the eight stages of release)
1. ผมู รี ูป มองเห็นรูปทั้งหลาย (ไดแก รูปฌาน 4 ของผูไดฌานโดยเจริญกสิณทีก่ ําหนดวตั ถใุ น

กายของตน เชน สผี ม — Remaining in the Fine-Material Sphere, one perceives

corporeal forms.)
2. ผูม อี รปู สญั ญาภายใน มองเหน็ รูปทั้งหลายภายนอก (ไดแ ก รูปฌาน 4 ของผูไ ดฌานโดย

เจริญกสิณกาํ หนดอารมณภายนอก — Not perceiveing internal corporeal forms, one

perceives corporeal forms externally.)
3. ผนู อมใจด่งิ ไปวา “งาม” (ไดแ ก ฌานของผเู จริญวรรณกสิณ กําหนดสที ง่ี าม หรอื เจริญ

อัปปมัญญา — One is intent on the thought, “It is beautiful”.)
4. เพราะลว งเสยี ซง่ึ รปู สญั ญาโดยประการทงั้ ปวง เพราะปฏฆิ สญั ญาดบั ไป เพราะไมใ สใ จ
นานตั ตสญั ญา จงึ เขา ถงึ อากาสานญั จายตนะ โดยมนสกิ ารวา อากาศหาทสี่ ดุ มไิ ด (— One

attains and abides in the Sphere of Unbounded Space.)
5. เพราะลว งเสยี ซึง่ อากาสานญั จายตนะโดยประการทั้งปวง จึงเขา ถงึ วญิ ญาณญั จายตนะ
โดยมนสิการวา วญิ ญาณหาท่สี ดุ มไิ ด (— One attains and abides in the Sphere of

Unbounded Consciousness.)

6. เพราะลว งเสยี ซงึ่ วญิ ญาณญั จายตนะโดยประการทงั้ ปวง จงึ เขา ถงึ อากญิ จญั ญายตนะ โดย
มนสกิ ารวา ไมม อี ะไรเลย (— One attains and abides in the Sphere of Nothingness.)
7. เพราะลว งเสยี ซง่ึ อากญิ จญั ญายตนะโดยประการทง้ั ปวง จงึ เขา ถงึ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ
อยู (— One attains and abides in the Sphere of Neither-Perception-Nor-Non-

perception.)
8. เพราะลว งเสยี ซง่ึ เนวสญั ญานาสญั ญายตนะโดยประการทงั้ ปวง จงึ เขา ถงึ สญั ญาเวทยติ นโิ รธ
อยู (— One attains and abides in the Cessation of Perception and Feeling.)

[ ] ศีล 8D.III.262,288; A.IV.306. ที.ปา.11/350/276; 453/328; องฺ.อฏก.23/163/315.

,,, ดู [240] ศีล 8.

หมวด 8 219 [301]

[,,,] ศีล 8 ทั้งอาชีวะดู [241] ศีล 8 ทง้ั อาชีวะ.
[299] สมาบัติ 8 (คุณวเิ ศษเปนท่ีอันบุคคลเขา ถงึ หรือ ธรรมวเิ ศษท่ีควรเขาถงึ , การบรรลุ

ขน้ั สูง — Samàpatti: attainment) ไดแ ก ฌาน 8 คือ รูปฌาน 4 และอรูปฌาน 4

ดู [9] ฌาน 4; [10] ฌาน 8; [207] อรปู 4.

Ps.I.20. ขุ.ปฏิ.31/60/34.

[300] สัปปุริสทาน 8 (ทานของสัตบรุ ษุ , การใหอยางสตั บรุ ุษ — Sappurisa-dàna:

gifts of a good man)

1. สจุ ึ เทติ (ใหข องสะอาด — to give clean things)
2. ปณีตํ เทติ (ใหข องประณตี — to give choice things)
3. กาเลน เทติ (ใหข องเหมาะกาล ใหถ ูกเวลา — to give at fitting times)
4. กปปฺ ยํเทติ (ใหของสมควร ใหของทคี่ วรแกเขา ซงึ่ เขาจะใชไ ด—to give proper things)
5. วเิ จยยฺ เทติ (พิจารณาเลือกให ใหด วยวิจารณญาณ เลือกของ เลอื กคนทจ่ี ะให ใหเกดิ ผล

เกิดประโยชนม าก — to give with discretion)

6. อภณิ หฺ ํ เทติ (ใหเ นอื งนติ ย ใหป ระจาํ หรอื สมาํ่ เสมอ — to give repeatedly or regularly)
7. ททํ จติ ตฺ ํ ปสาเทติ (เมอ่ื ให ทําจติ ผอ งใส — to calm one’s mind on giving)
8. ทตวฺ า อตตฺ มโน โหติ (ใหแลว เบิกบานใจ — to be glad after giving)

A.IV.243. อง.ฺ อฏก.23/127/248.

[301] สัปปุริสธรรม 8 (ธรรมของสัตบรุ ษุ , ธรรมทท่ี าํ ใหเ ปนสัตบุรุษ, คณุ สมบตั ขิ อง
คนดี — Sappurisa-dhamma: qualities of a good man)

1. สทธฺ มมฺ สมนนฺ าคโต (ประกอบดว ยสทั ธรรม 7 ประการ — Saddhamma-samannàgato:

to be endowed with the seven virtues) คอื

ก. มศี รทั ธา — to have confidence
ข. มหี ริ ิ — to have moral shame
ค. มีโอตตัปปะ — to have moral fear
ง. เปนพหูสูต — to be much learned
จ. มคี วามเพียรอันปรารภแลว — to be of stirred-up energy
ฉ. มสี ตมิ น่ั คง — to have established mindfulness
ช. มปี ญญา — to have wisdom

2. สปฺปุรสิ ภตฺตี (ภกั ดีสัตบรุ ษ คอื คบหาสมณพราหมณ ทา นผปู ระกอบดวยสัทธรรม 7
ประการขางตน เปน มิตรสหาย — Sappurisa-bhattã: to consort with good men)
3. สปฺปุริสจนิ ตฺ ี (คดิ อยา งสัตบุรุษ คอื จะคดิ สงิ่ ใด กไ็ มคดิ เพือ่ เบยี ดเบียนตนและผอู น่ื —

[301] 220 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร

Sappurisa-cintã: to think as do good men)
4. สปฺปรุ สิ มนตฺ ี (ปรึกษาอยา งสตั บุรุษ คอื จะปรึกษาการใด ก็ไมปรกึ ษาเพือ่ เบียดเบยี นตนและ
ผูอ่นื — Sappurisa-mantã: to consult as do good men)
5. สปปฺ รุ สิ วาโจ (พดู อยา งสตั บรุ ษุ คอื พดู แตค าํ ทถี่ กู ตอ งตามวจสี จุ รติ 4 — Sappurisa-vàco:

to speak as do good men)

6. สปปฺ ุรสิ กมฺมนโฺ ต (ทําอยางสตั บุรุษ คอื ทาํ การที่ถกู ตอ งตามกายสจุ รติ 3 — Sappurisa-
kammanto: to act as do good men)
7. สปปฺ รุ สิ ทฏิ  ี (มคี วามเหน็ อยา งสตั บรุ ษุ คอื มสี มั มาทฏิ ฐิ เชน วา ทาํ ดไี ดด ี ทาํ ชว่ั ไดช ว่ั เปน ตน
— Sappurisa-diññhã: to have the views of good men)
8. สปปฺ รุ ิสทานํ เทติ (ใหทานอยา งสัตบรุ ุษ คือ ใหต ามหลกั สปั ปุรสิ ทาน เชนใหโดยเออื้ เฟอทง้ั

แกข องทตี่ ัวให ท้ังแกผรู ับทาน ใหของบรสิ ุทธิ์ ใหโ ดยเขา ใจถงึ ผลทจ่ี ะมีตามมา เปน ตน —

Sappurisadàna§ deti: to give a gift as do good men)

บางทเี รียกวา สปั ปุริสธรรม 7 เพราะนับเฉพาะสัทธรรม 7 ในขอ 1

M.III.23. ม.อ.ุ 14/143/112.

[,,,] หลักตัดสินธรรมวินัย 8 ดู [294] ลักษณะตัดสินธรรมวนิ ัย 8.

[,,,] อริยบุคคล 8 ดู [57] อริยบุคคล 8.

[,,,] อริยอัฏฐังคิกมรรค ดู [293] มรรคมีองค 8.

[,,,] อวิชชา 8 ดู [209] อวชิ ชา 8.

[,,,] อาชีวัฏฐมกศีล ดู [241] ศีล 8 ทงั้ อาชวี ะ.

[,,,] อุโบสถศีล ดู [240] ศีล 8.

นวกะ — หมวด 9

Groups of Nine

(including related groups)

[302] นวังคสัตถุศาสน (คาํ สอนของพระศาสดามอี งค 9 — Navaïga-satthusàsana:

the Teacher’s nine-factored dispensation; the Master’s ninefold teaching)
1. สตุ ตฺ ํ (สตู ร ไดแ ก พทุ ธพจนท มี่ สี าระเปน แกนรอ ยเรยี งเรอื่ งหนง่ึ ๆ หมายเอาอภุ โตวภิ งั ค นทิ เทส

ขนั ธกะ ปรวิ าร พระสตู รในสตุ ตนบิ าต และพทุ ธวจนะอนื่ ๆ ทม่ี ชี อื่ วา สตุ ตะ หรอื สตุ ตนั ตะ กลา ว
งา ยคอื วนิ ยั ปฎ ก คมั ภรี น ทิ เทสทงั้ สอง และพระสตู รทงั้ หลาย — Sutta: threads; discourses)

2. เคยยฺ ํ (เคยยะ ไดแ ก ความทม่ี รี อ ยแกว และรอ ยกรองผสมกนั หมายเอาพระสตู รทมี่ คี าถาทง้ั หมด

โดยเฉพาะสคาถวรรคในสงั ยตุ ตนกิ าย — Geyya: discourses mixed with verses; songs)

3. เวยยฺ ากรณํ (ไวยากรณ ไดแก ความรอยแกว ลวน หมายเอาพระอภิธรรมปฎกทง้ั หมด พระ

สูตรที่ไมมีคาถา และพทุ ธพจนอืน่ ใดทไ่ี มจดั เขา ในองค 8 ขอที่เหลอื — Veyyàkaraõa: prose-

expositions)
4. คาถา (คาถา ไดแก ความรอยกรองลว น หมายเอา ธรรมบท เถรคาถา เถรคี าถา และคาถา

ลว นในสตุ ตนิบาตทีไ่ มม ชี ่ือวา เปน สตู ร — Gàthà: verses)

5. อทุ านํ (อุทาน ไดแ ก พระคาถาที่ทรงเปลงดว ยพระหฤทัยสหรคตดว ยโสมนสั สมั ปยตุ ดว ย

ญาณ พรอมท้ังขอความอันประกอบอยูดวย รวมเปนพระสูตร 82 สูตร — Udàna:

exclamations; psalms; verses of uplift)
6. อิติวุตฺตกํ (อติ วิ ุตตกะ ไดแ ก พระสตู ร 110 สูตร ทีต่ รัสโดยนัยวา วุตฺตํ เหตํ ภควตา —

Itivuttaka: Thus-said discourses)
7. ชาตกํ (ชาดก ไดแ ก ชาดก 550 เรอ่ื ง มอี ปณ ณกชาดก เปน ตน — Jàtaka: birth-stories)

8. อพฺภูตธมมฺ ํ (อัพภูตธรรม หรือเรอื่ งอัศจรรย ไดแก พระสตู รท่วี า ดว ยขออัศจรรย ไมเ คยมี

ทุกสตู ร เชน ทต่ี รัสวา “ภกิ ษุท้ังหลาย ขอ อัศจรรยไมเ คยมี 4 อยางนี้ หาไดใ นอานนท” ดงั น้ี

เปน ตน — Abbhåtadhamma: marvellous ideas)

9. เวทลฺลํ (เวทัลละ ไดแ ก พระสตู รแบบถามตอบ ซงึ่ ผูถามไดท ัง้ ความรูและความพอใจ ถาม

ตอ ๆ ไป เชน จฬู เวทลั ลสตู ร มหาเวทลั ลสตู ร สมั มาทฏิ ฐสิ ตู ร สกั กปญ หสตู ร สงั ขารภาชนยี สตู ร

และมหาปณุ ณมสูตร เปนตน — Vedalla: question-and-answer; catechetical suttas)

คาํ วา นวงั คสตั ถุสาสน น้ี เปน คํารนุ คัมภรี อ ปทาน พทุ ธวงส และอรรถกถาท้งั หลาย บางที
เรยี กวา ชนิ สาสน บา ง พทุ ธวจนะ บา ง สว นในบาลที ม่ี าทงั้ หลายเรยี กวา ธรรม บา ง สตุ ะ บา ง

ดู [51] สาสน หรือ ศาสนา 2.

Vin.III.8; M.I.133; A.II.5; A.III.86. วนิ ย.1/7/12; ม.ม.ู 12/278/268; องฺ.จตกุ กฺ .21/6/8; อง.ฺ ปจฺ ก.22/73/98.

[303] 222 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร

[303] พุทธคุณ 9 (คณุ ของพระพทุ ธเจา — Buddhaguõa: virtues or attributes of

the Buddha)
อติ ิป โส ภควา (แมเพราะอยา งน้ๆี พระผมู ีพระภาคเจาน้นั — Thus indeed is he, the

Blessed One,)

1. อรหํ (เปนพระอรหันต คือ เปนผูบริสุทธ์ิ ไกลจากกิเลส ทําลายกาํ แหงสงั สารจกั รไดแ ลว เปน
ผูควรแนะนาํ สงั่ สอนผูอน่ื ควรไดรับความเคารพบูชา เปนตน — Araha§: holy; worthy;

accomplished)

2. สมมฺ าสมฺพทุ ฺโธ (เปนผตู รัสรูชอบเอง — Sammàsambuddho: fully self-enlightened)
3. วิชชฺ าจรณสมปฺ นโฺ น (เปนผูถงึ พรอ มดว ยวิชชา คือความรู และจรณะ คือ ความประพฤติ
— Vijjàcaraõa-sampanno: perfect in knowledge and conduct)
4. สุคโต (เปนผเู สด็จไปดแี ลว คือ ทรงดาํ เนินพระพทุ ธจรยิ าใหเปนไปโดยสําเรจ็ ผลดว ยดี พระ

องคเองก็ไดตรัสรูสาํ เร็จเปนพระพุทธเจา ทรงบาํ เพญ็ พุทธกิจกส็ ําเรจ็ ประโยชนย งิ่ ใหญแกช นท้ัง

หลายในที่ที่เสด็จไป และไดประดิษฐานพระศาสนาไว แมปรินิพพานแลวก็เปนประโยชนแก

มหาชนสบื มา — Sugato: well-gone; well-farer; sublime)
5. โลกวทิ ู (เปน ผรู ูแจงโลก คอื ทรงรูแจง สภาวะอนั เปน คตธิ รรมดาแหงโลกคอื สงั ขารทงั้ หลาย

ทรงหยงั่ ทราบอัธยาศยั สนั ดานแหง สัตวโลกท้งั ปวง ผูเ ปนไปตามอํานาจแหง คติธรรมดาโดยถอง

แท เปนเหตใุ หทรงดําเนนิ พระองคเปน อิสระ พนจากอํานาจครอบงําแหงคตธิ รรมดานั้น และทรง

เปนทีพ่ ึ่งแหงสตั วท ้ังหลายผูย งั จมอยูในกระแสโลกได — Lokavidå: knower of the worlds)
6. อนุตตฺ โร ปรุ ิสทมฺมสารถิ (เปน สารถฝี กบรุ ุษท่ีฝกได ไมมีใครยงิ่ ไปกวา คือ ทรงเปน ผฝู ก
คนไดด ีเยีย่ ม ไมมผี ูใ ดเทยี มเทา — Anuttaro purisadammasàrathi: the incomparable

leader of men to be tamed)

7. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ (เปนศาสดาของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย — Satthà deva-
manussàna§: the teacher of gods and men)
8. พทุ โฺ ธ (เปน ผูต ่นื และเบกิ บานแลว คือ ทรงตื่นเองจากความเชือ่ ถือและขอปฏบิ ัติทงั้ หลายทถ่ี อื

กนั มาผดิ ๆ ดว ย ทรงปลกุ ผอู ืน่ ใหพ น จากความหลงงมงายดวย อนึ่ง เพราะไมตดิ ไมหลง ไมหว ง

กงั วลในสิง่ ใดๆ มีการคาํ นึงประโยชนสว นตนเปน ตน จึงมีพระทยั เบกิ บาน บาํ เพ็ญพุทธกจิ ไดถ ูก

ตองบรบิ รู ณ โดยถือธรรมเปนประมาณ การทท่ี รงพระคุณสมบูรณเชน น้ี และทรงบําเพญ็ พุทธกิจ

ไดเรียบรอยบริบรู ณเ ชน นี้ ยอมอาศยั เหตคุ ือความเปน ผูต ่นื และยอ มใหเกดิ ผลคือทําใหท รงเบกิ

บานดวย — Buddho: awakened)
9. ภควา (ทรงเปน ผูมโี ชค คือ จะทรงทําการใด กล็ ุลว งปลอดภัยทุกประการ หรอื เปนผจู ําแนก
แจกธรรม — Bhagavà: blessed; analyst)

พุทธคณุ 9 นี้ เรียกอกี อยา งวา นวารหาทิคณุ (คุณของพระพุทธเจา 9 ประการ มี อรหํ
เปนตน ) บางทีเลือนมาเปน นวรหคุณ หรอื นวารหคณุ แปลวา “คุณของพระพทุ ธเจา ผูเ ปน

หมวด 9 223 [306]

พระอรหันต 9 ประการ”

M.I.37; A.III.285. ม.มู.12/95/67; อง.ฺ ฉกฺก.22/281/317.

[304] พุทธคุณ 2 (Buddhaguõa: virtues, qualities or attributes of the Buddha)

1. อัตตหติ สมบัติ (ความถงึ พรอมแหงประโยชนตน, ทรงบาํ เพญ็ ประโยชนส วนพระองคเ อง
เสร็จสิ้นสมบูรณแลว — Attahita-sampatti: to have achieved one’s own good;

accomplishment of one’s own welfare) พระคุณขอ นม้ี ุงเอาพระปญ ญาเปนหลกั เพราะเปน

เครอ่ื งใหสาํ เรจ็ พุทธภาวะ คอื ความเปน พระพุทธเจา และความเปน อตั ตนาถะ คือ พง่ึ ตนเองได

2. ปรหติ ปฏิบัติ (การปฏบิ ตั ิเพอื่ ประโยชนแกผูอน่ื , ทรงบาํ เพญ็ พทุ ธจริยาเพอ่ื ประโยชนแกผูอื่น

— Parahita-pañipatti: practice for the good or welfare of others) พระคณุ ขอนมี้ งุ เอา

พระกรณุ าเปน หลัก เพราะเปน เคร่ืองใหสําเรจ็ พทุ ธกจิ คอื หนา ที่ของพระพุทธเจา และความเปน

โลกนาถ คอื เปน ท่พี ่งึ ของชาวโลกได

พทุ ธคณุ 9 ในขอ กอน [303] ยอลงแลว เปน 2 อยา งดังแสดงมานี้ คอื ขอ 1, 2, 3, 5 เปน
สว นอตั ตหติ สมบตั ิ ขอ 6, 7 เปนสว นปรหิตปฏบิ ัติ ขอ 4, 8, 9 เปน ท้งั อตั ตหิตสมบัติและ
ปรหติ ปฏบิ ตั ิ

DAò.I.8 (ฉบับไทยยังไมพ มิ พ) วสิ ุทธฺ .ิ ฏกี า1/258/381; 246/338 (ฉบบั โรมันยังไมพมิ พ)

[305] พุทธคุณ 3 (Buddhaguõa: virtues, qualities or attributes of the Buddha)

1. ปญ ญาคุณ (พระคุณคือพระปญ ญา — Pa¤¤à: wisdom)

2. วสิ ุทธิคุณ (พระคุณคือความบรสิ ุทธ์ิ — Visuddhi: purity)

3. กรุณาคุณ (พระคณุ คือพระมหากรุณา — Karuõà: compassion)

ในพระคณุ 3 น้ี ขอ ทเ่ี ปน หลกั และกลา วถงึ ทว่ั ไปในคมั ภรี ต า งๆ มี 2 คอื ปญ ญา และกรณุ า
สว นวสิ ุทธิ เปน พระคุณเนอื่ งอยใู นพระปญ ญาอยแู ลว เพราะเปนผลเกดิ เองจากการตรสั รู คัมภรี 
ท้ังหลายจึงไมแ ยกไวเ ปนขอ หนงึ่ ตางหาก

(ฉบบั โรมันยงั ไมพ ิมพ) นัย วิสุทฺธ.ิ ฏีกา1/1.

[306] ธรรมคุณ 6 (คุณของพระธรรม — Dhammaguõa: virtues or attributes of

the Dhamma)

1. สฺวากฺขาโต ภควตา ธมโฺ ม (พระธรรมอนั พระผมู พี ระภาคเจาตรัสดีแลว คอื ตรสั ไวเ ปน

ความจริงแท อีกท้ังงามในเบ้ืองตน งามในทา มกลาง งามในทีส่ ดุ พรอ มท้งั อรรถพรอ มทัง้

พยัญชนะ ประกาศหลักการครองชีวิตอันประเสรฐิ บริสทุ ธิ์ บรบิ ูรณส ิน้ เชงิ — Svàkkhàto:

Well proclaimed is the Dhamma by the Blessed One)

2. สนทฺ ิฏ โิ ก (อนั ผปู ฏบิ ัติจะพึงเห็นชัดดวยตนเอง คือ ผูใดปฏบิ ตั ิ ผูใดบรรลุ ผนู ัน้ ยอ มเหน็

ประจักษด ว ยตนเอง ไมต องเชอื่ ตามคาํ ของผอู นื่ ผใู ดไมป ฏิบตั ิ ไมบรรลุ ผอู ืน่ จะบอกก็เหน็ ไมไ ด

— Sandiññhiko: to be seen for oneself)

[307] 224 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

3. อกาลิโก (ไมป ระกอบดว ยกาล คอื ไมข ึน้ กบั กาลเวลา พรอมเมอ่ื ใด บรรลไุ ดท นั ที บรรลุเมื่อ
ใด เหน็ ผลไดท นั ที อกี อยา งวา เปน จรงิ อยอู ยา งไร กเ็ ปน อยา งนน้ั ไมจ าํ กดั ดว ยกาล — Akàliko:

not delayed; timeless)

4. เอหิปสฺสิโก (ควรเรยี กใหม าดู คือ เชญิ ชวนใหมาชม และพิสูจน หรือทา ทายตอการตรวจ
สอบ เพราะเปนของจรงิ และดีจริง — Ehipassiko: inviting to come and see; inviting

inspection)

5. โอปนยโิ ก (ควรนอมเขามา คอื ควรนอ มเขามาไวใ นใจ หรอื นอมใจเขาไปใหถ งึ ดว ยการ

ปฏบิ ัตใิ หเ กิดมขี ึ้นในใจ หรอื ใหใจบรรลถุ งึ อยางนนั้ หมายความวา เชิญชวนใหท ดลองปฏบิ ัติดู

อีกอยา งหนง่ึ วาเปนสิง่ ทน่ี ําผปู ฏิบตั ิใหเขาไปถงึ ทหี่ มายคือนิพพาน — Opanayiko: worthy of

inducing in and by one’s own mind; worthy of realizing; to be tried by practice;

leading onward)

6. ปจฺจตฺตํ เวทติ พโฺ พ วิ ฺูหิ (อันวญิ ชู นพึงรูเฉพาะตน คือ เปน วสิ ยั ของวิญชู นจะพงึ รู

ได เปน ของจําเพาะตน ตองทําจงึ เสวยไดเฉพาะตัว ทาํ ใหก นั ไมไ ด เอาจากกันไมได และรูไ ด

ประจกั ษท่ีในใจของตนน่เี อง — Paccatta§ veditabbo vi¤¤åhi: directly experienceable

by the wise)

คุณขอ ที่ 1 มคี วามหมายกวา งรวมทง้ั ปรยิ ัติธรรม คือ คาํ สัง่ สอนดว ย สวนขอ ที่ 2 ถงึ 6 มุง
ใหเปนคณุ ของโลกตุ ตรธรรม จะเหน็ ไดในที่อนื่ ๆ วา ขอที่ 2 ถึง 6 ทานแสดงไวเ ปน คณุ บทของ
นพิ พาน กม็ ี

M.I.37; A.III.285. ม.มู.12/95/67; อง.ฺ ฉกฺก.22/281/318.

[307] สังฆคุณ 9 (คุณของพระสงฆ — Saïghaguõa: virtues of the Sangha;

virtues or attributes of the community of noble disciples)
1. สปุ ฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงโฺ ฆ (พระสงฆส าวกของพระผมู พี ระภาค เปนผปู ฏบิ ัติดี —

Supañipanno: Of good conduct is the community of noble disciples of the

Blessed One)

2. อุชุปฏปิ นโฺ น (เปน ผูปฏบิ ตั ติ รง — Ujupañipanno: of upright conduct)
3. ายปฏิปนโฺ น (เปนผูปฏิบตั ถิ กู ทาง — ¥àyapañipanno: of right conduct)
4. สามีจปิ ฏปิ นฺโน (เปนผปู ฏบิ ตั สิ มควร — Sàmãcipañipanno: of dutiful conduct; of

proper conduct)
ยททิ ํ จตตฺ าริ ปรุ สิ ยคุ านิ อฏ ปรุ สิ ปคุ คฺ ลา (ไดแ ก คบู รุ ษุ 4 ตวั บคุ คล 8 — namely, the

four pairs of men, the eight types of individuals.)
เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ (พระสงฆส าวกของพระผมู ีพระภาคนี้ — This community of

the disciples of the Blessed One is)

หมวด 9 225 [309]

5. อาหุเนยฺโย (เปนผูควรแกของคํานับ คือควรรับของที่เขานํามาถวาย — âhuneyyo:

worthy of gifts)

6. ปาหเุ นยฺโย (เปนผคู วรแกการตอ นรับ — Pàhuneyyo: worthy of hospitality)
7. ทกขฺ ิเณยโฺ ย (เปนผคู วรแกท ักษิณา, ควรแกข องทาํ บุญ — Dakkhiõeyyo: worthy of

offerings)

8. อฺชลิกรณีโย (เปน ผคู วรแกการทาํ อัญชลี, ควรแกการกราบไหว — A¤jalikaraõãyo:

worthy of reverential salutation)
9. อนตุ ฺตรํ ปุฺกฺเขตฺตํ โลกสสฺ (เปนนาบญุ อันยอดเยย่ี มของโลก, เปน แหลง ปลกู ฝงและ

เผยแพรความดีที่ยอดเยี่ยมของโลก — Anuttara§ pu¤¤akkhetta§ lokassa: the

incomparable field of merit or virtue for the world)

M.I.37; A.III.286. ม.ม.ู 12/95/67; องฺ.ฉกฺก.22/281/318.

[308] มละ 9 (มลทิน — Mala: stains)

1. โกธะ (ความโกรธ — Kodha: anger)

2. มักขะ (ความลบหลูค ุณทาน, ความหลคู วามดีผอู ่ืน — Makkha: detraction; depre-

ciation)

3. อิสสา (ความริษยา — Issà: envy; jealousy)
4. มัจฉริยะ (ความตระหนี่ — Macchariya: stinginess; meanness)
5. มายา (มารยา — Màyà: deceit)
6. สาเถยยะ (ความโออ วดหลอกเขา, สาไถย — Sàtheyya: hypocrisy)
7. มสุ าวาท (การพูดปด — Musàvàda: false speech)
8. ปาปจ ฉา (ความปรารถนาลามก — Pàpicchà: evil desire)
9. มจิ ฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด — Micchàdiññhi: false view)

Vbh.389. อภ.ิ ว.ิ 35/1021/526.

[309] มานะ 9 (ความถอื ตวั , ความสาํ คญั ตนเปน อยา งนน้ั อยา งน้ี — Màna: conceit; pride)

1. เปน ผเู ลศิ กวา เขา สาํ คญั ตวั วา เลศิ กวา เขา (Being superior to others, one thinks, “Better

am I.”)
2. เปน ผเู ลศิ กวา เขา สาํ คญั ตวั วา เสมอเขา (Being superior to others, one thinks, “Equal

am I.”)
3. เปน ผเู ลศิ กวา เขา สาํ คญั ตวั วา เลวกวา เขา (Being superior to others, one thinks, “Worse

am I.”)
4. เปน ผเู สมอเขา สาํ คญั ตวั วา เลศิ กวา เขา (Being equal to others, one thinks, “Better am

[310] 226 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

I.”)
5. เปน ผเู สมอเขา สาํ คญั ตวั วา เสมอเขา (Being equal to others, one thinks, “Equal am I.”)
6. เปน ผเู สมอเขา สาํ คญั ตวั วา เลวกวา เขา (Being equal to others, one thinks, “Worse am

I.”)
7. เปน ผเู ลวกวา เขา สาํ คญั ตวั วา เลศิ กวา เขา (Being inferior to others, one thinks, “Better

am I.”)
8. เปน ผเู ลวกวา เขา สาํ คญั ตวั วา เสมอเขา (Being inferior to others, one thinks, “Equal am

I.”)
9. เปน ผเู ลวกวา เขา สาํ คญั ตวั วา เลวกวา เขา (Being inferior to others, one thinks, “Worse

am I.”)

Nd180; Nd2226; Vbh.389. ข.ุ ม.29/102/94; 829/519; ขุ.จ.ู 30/578/283; อภ.ิ วิ.35/1022/527

[310] โลกุตตรธรรม 9 (ธรรมอนั มใิ ชวิสัยของโลก, สภาวะพน โลก — Lokuttara-
dhamma: supermundane states) (+ โพธปิ ก ขยิ ธรรม 37 = 46: ขุ.ปฏิ.31/620/535; Ps.II.166)

มรรค 4 (Magga: the Four Paths)

ผล 4 (Phala: the Four Fruitions)

นิพพาน หรอื อสงั ขตธาตุ 1 (Nibbàna: the Unconditioned State)

ดู [27] นิพพาน 2; [164] มรรค 4; [165] ผล 4.

Dhs.1094. อภ.ิ ส.ํ 34/706/278; 911/355.

[311] วิปสสนาญาณ 9 (ญาณในวปิ สสนา, ญาณท่ีนบั เขา ในวปิ ส สนา หรือทจี่ ดั เปน

วิปส สนา คือ เปน ความรูทท่ี าํ ใหเ กิดความเห็นแจง เขาใจสภาวะของส่ิงทัง้ หลายตามเปนจริง —

Vipassanà¤àõa: insight-knowledge)

1. อุทยัพพยานปุ ส สนาญาณ (ญาณอันตามเห็นความเกดิ และความดบั คอื พิจารณาความ

เกิดข้ึนและความดับไปแหงเบญจขันธ จนเห็นชัดวา ส่ิงทั้งหลายเกิดขึ้นคร้ันแลวก็ตองดับไป

ลว นเกดิ ข้นึ แลวกด็ ับไปทั้งหมด — Udayabbaya¤àõa: knowledge of contemplation on

rise and fall)
2. ภังคานปุ สสนาญาณ (ญาณอนั ตามเหน็ ความสลาย คอื เมอื่ เหน็ ความเกิดดับเชน น้ันแลว

คาํ นงึ เดน ชดั ในสว นความดับอันเปน จดุ จบสิน้ กเ็ ห็นวาสงั ขารท้ังปวงลว นจะตอ งสลายไปท้งั หมด

— Bhaïga¤àõa: knowledge of contemplation on dissolution)

3. ภยตปู ฏฐานญาณ (ญาณอันมองเหน็ สังขารปรากฏเปนของนากลวั คอื เมื่อพิจารณาเห็น

ความแตกสลายอนั มที ั่วไปแกทุกส่งิ ทกุ อยางเชนน้ันแลว สังขารทงั้ ปวงไมวา จะเปนไปในภพใดคติ

ใด กป็ รากฏเปน ของนา กลวั เพราะลว นแตจ ะตอ งสลายไป ไมป ลอดภยั ทง้ั สน้ิ — Bhaya¤àõa:

knowledge of the appearance as terror)

หมวด 9 227 [312]

4. อาทนี วานปุ ส สนาญาณ (ญาณอนั คาํ นงึ เหน็ โทษ คอื เมอื่ พจิ ารณาเหน็ สงั ขารทง้ั ปวงซง่ึ ลว น

ตอ งแตกสลายไป เปน ของนา กลวั ไมป ลอดภยั ทงั้ สนิ้ แลว ยอ มคาํ นงึ เหน็ สงั ขารทงั้ ปวงนน้ั วา เปน โทษ

เปนส่ิงท่ีมีความบกพรอ ง จะตองระคนอยูด ว ยทุกข — âdãnava¤àõa: knowledge of

contemplation on disadvantages)
5. นพิ พทิ านปุ ส สนาญาณ (ญาณอนั คาํ นงึ เหน็ ดว ยความหนา ย คอื เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ สงั ขารวา

เปน โทษเชน นนั้ แลว ยอ มเกดิ ความหนา ย ไมเ พลดิ เพลนิ ตดิ ใจ — Nibbidà¤àõa: knowledge of

contemplation on dispassion)
6. มญุ จติ กุ มั ยตาญาณ (ญาณอนั คาํ นงึ ดว ยใครจ ะพน ไปเสยี คอื เมอ่ื หนา ยสงั ขารทง้ั หลายแลว

ยอ มปรารถนาทจี่ ะพน ไปเสยี จากสงั ขารเหลา นนั้ — Mu¤citukamyatà¤àõa: knowledge of the

desire for deliverance)
7. ปฏิสังขานปุ ส สนาญาณ (ญาณอนั คํานงึ พิจารณาหาทาง คอื เมอ่ื ตอ งการจะพนไปเสยี จึง

กลับหันไปยกเอาสังขารทั้งหลายขึ้นมาพิจารณากําหนดดวยไตรลักษณเพือ่ มองหาอุบายทจ่ี ะปลด

เปล้ืองออกไป — Pañisaïkhà¤àõa: knowledge of reflective contemplation)

8. สงั ขารุเปกขาญาณ (ญาณอนั เปนไปโดยความเปนกลางตอ สังขาร คือ เมอ่ื พิจารณาสงั ขาร

ตอ ไป ยอ มเกิดความรูเหน็ สภาวะของสังขารตามความเปนจรงิ วามคี วามเปนอยูเปน ไปของมัน

อยา งน้นั เปน ธรรมดา จึงวางใจเปน กลางได ไมยนิ ดียินรา ยในสงั ขารทง้ั หลาย แตนัน้ มองเห็น

นพิ พานเปน สันติบท ญาณจึงแลนมุง ไปยังนิพพาน เลกิ ละความเก่ียวเกาะกับสงั ขารเสยี ได —

Saïkhàrupekkhà¤àõa: knowledge of equanimity regarding all formations)

9. สัจจานโุ ลมิกญาณ หรอื อนุโลมญาณ (ญาณอนั เปนไปโดยอนุโลมแกการหยง่ั รูอรยิ สจั จ

คือ เมื่อวางใจเปน กลางตอ สงั ขารท้ังหลาย ไมพะวง และญาณแลน มงุ ตรงไปสูน พิ พานแลว ญาณ

อนั คลอ ยตอ การตรัสรอู ริยสจั จ ยอ มเกิดขนึ้ ในลาํ ดับถดั ไป เปน ขน้ั สดุ ทายของวปิ สสนาญาณ ตอ

จากน้นั กจ็ ะเกดิ โคตรภูญาณมาคัน่ กลาง แลว เกดิ มรรคญาณใหส าํ เรจ็ ความเปนอริยบคุ คลตอ ไป

— Anuloma¤àõa: conformity-knowledge; adaptation-knowledge)

ธรรมหมวดน้ี ทา นปรงุ ศพั ทข นึ้ โดยถอื ตามนยั แหง คมั ภรี ป ฏสิ มั ภทิ ามรรค นาํ มาอธบิ าย
พสิ ดารในวสิ ทุ ธมิ รรค แตใ นอภธิ มั มตั ถสงั คหะ ทา นเตมิ สมั มสนญาณ (ญาณทก่ี าํ หนดพจิ ารณา

นามรปู คอื ขนั ธ 5 ตามแนวไตรลกั ษณ — Sammasana¤àõa: comprehension-knowledge)
เขามาเปน ขอท่ี 1 จงึ รวมเปน วิปส สนาญาณ 10 และเรียกชื่อญาณขออืน่ ๆ สัน้ กวา น้ี คอื เรียก

อทุ ยพั พยญาณ ภงั คญาณ ภยญาณ อาทนี วญาณ นพิ พทิ าญาณ มญุ จติ กุ มั ยตาญาณ ปฏสิ งั ขา-

ญาณ สงั ขารเุ ปกขาญาณ อนโุ ลมญาณ

ดู [285] วิสุทธิ 7; [345] ญาณ 16

Ps.I.1; Vism.630–671;Comp.210. ข.ุ ปฏ.ิ 31/1/1; วสิ ทุ ธฺ ิ.3/262–319; สงฺคห.55.

[312] สัตตาวาส 9 (ภพเปนทีอ่ ยูแ หง สัตว — Sattàvàsa: Abodes of Beings)

ขอ 1–4 ตรงกับ วญิ ญาณฐิติ 4 ขอตน

[313] 228 พจนานุกรมพุทธศาสตร

5. สัตวบ างพวก ไมม ีสัญญา ไมเ สวยเวทนา เชน เหลา เทพจําพวกอสญั ญีสัตว (beings
without perception and feeling)

ขอ 6–8 ตรงกบั วิญญาณฐติ ิ ขอ ที่ 5–7

9. สตั วบ างพวก ผเู ขาถึงชั้นเนวสญั ญานาสญั ญายตนะ (beings reborn in the Sphere of
Neither-Perception-Nor-Nonperception)

ดู [284] วิญญาณฐิติ 7

D.III.263;288; A.IV.401 ท.ี ปา.11/353/277; 457/329; องฺ.อฏ ก.23/228/413.

[313] อนุบุพพวิหาร 9 (ธรรมเครอ่ื งอยทู ป่ี ระณตี ตอ กนั ขน้ึ ไปโดยลาํ ดบั — Anupubba-
vihàra: progressive abidings; mental states of gradual attainment)

รูปฌาน 4 (Råpa-jhàna: the Four Absorptions of the Form Sphere)
อรูปฌาน 4 (Aråpa-jhàna: the Four Absorptions of the Formless Sphere)
สญั ญาเวทยิตนิโรธ (สมาบตั ทิ ่ดี ับสัญญาและเวทนา — Sa¤¤àvedayitanirodha: extinc-

tion of perception and feeling) เรยี กอกี อยา งวา นโิ รธสมาบตั ิ (attainment of extinction)

สมาบตั ิขอ ท่ี 9 นี้ เฉพาะแตพ ระอนาคามแี ละพระอรหันตผูช ํานาญในสมาบตั ิ 8 ขา งตน แลว

เทา นั้น จงึ จะเขาได

อนุบุพพวิหารน้ี เรียกอีกอยางวา อนบุ พุ พนโิ รธ (Anupubba-nirodha: graded stages

of cessation) เพราะตองดบั ขั้นตนๆ แตล ะขนั้ ไปตามลาํ ดับ จงึ จะเขา ถึงข้นั สูงที่อยูถัดข้ึนไปได

ดู [9] ฌาน 4; [207] อรปู 4.

D.III.265,290;A.IV.410. ที.ปา. 11/355/279; 463/332; องฺ.นวก.23/236/424.

ทสกะ — หมวด 10

Groups of Ten

(including related groups)

[314] กถาวัตถุ 10 (เรอื่ งทคี่ วรพดู , เรอ่ื งทคี่ วรนาํ มาสนทนากนั ในหมภู กิ ษุ — Kathàvatthu:

subjects for discussion; topics of talk among the monks)
1. อปั ปจ ฉกถา (เรื่องความมักนอย, ถอยคาํ ทช่ี กั นําใหม คี วามปรารถนานอ ย ไมมักมากอยาก
เดน — Appicchakathà: talk about or favourable to wanting little)
2. สันตุฏฐิกถา (เร่อื งความสันโดษ, ถอ ยคาํ ทีช่ ักนําใหม ีความสันโดษ ไมชอบฟุง เฟอหรือปรน
ปรือ — Santuññhikathà: talk about or favourable to contentment)
3. ปวิเวกกถา (เรื่องความสงดั , ถอ ยคาํ ท่ชี กั นาํ ใหม ีความสงดั กายใจ — Pavivekakathà: talk

about or favourable to seclusion)
4. อสงั สคั คกถา (เรอื่ งความไมค ลกุ คล,ี ถอ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหไ มค ลกุ คลดี ว ยหมู — Asa§sagga-
kathà: talk about or favourable to not mingling together)
5. วิริยารัมภกถา (เรื่องการปรารภความเพียร, ถอยคําท่ีชักนําใหมุงมั่นทําความเพียร —

Viriyàrambhakathà: talk about or favourable to strenuousness)

6. สีลกถา (เรอ่ื งศลี , ถอยคาํ ท่ีชกั นาํ ใหต งั้ อยูในศลี — Sãlakathà: talk about or favourable

to virtue or good conduct)
7. สมาธกิ ถา (เร่ืองสมาธ,ิ ถอ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหท ําจิตมน่ั — Samàdhikathà: talk about or

favourable to concentration)
8. ปญญากถา (เร่อื งปญ ญา, ถอยคําท่ีชักนาํ ใหเกิดปญ ญา — Pa¤¤àkathà: talk about or

favourable to understanding or insight)
9. วมิ ตุ ตกิ ถา (เรอ่ื งวมิ ตุ ต,ิ ถอ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหท าํ ใจใหพ น จากกเิ ลสและความทกุ ข — Vimuttikathà:

talk about or favourable to deliverance)
10. วมิ ตุ ตญิ าณทสั สนกถา (เรอ่ื งความรคู วามเหน็ ในวมิ ตุ ต,ิ ถอ ยคาํ ทช่ี กั นาํ ใหส นใจและเขา ใจ
เรอื่ งความรคู วามเหน็ ในภาวะทหี่ ลดุ พน จากกเิ ลสและความทกุ ข — Vimutti¤àõadassanakathà:

talk about or favourable to the knowledge and vision of deliverance)

M.I.145; III.113; A.V.129. ม.ม.ู 12/292/287; ม.อ.ุ 14/348/239; องฺ.ทสก.24/69/138.

[315] กสิณ 10 (แปลตามรปู ศัพทวา “ทง้ั หมด” หรอื “ลวน”; วตั ถุอนั จูงใจ, วตั ถสุ าํ หรบั เพง
เพ่ือจงู จติ ใหเปน สมาธิ — Kasiõa: meditation devices)

ก. ภตู กสิณ 4 (กสิณคือมหาภตู รูป — Bhåta-kasiõa: Element-Kasiõa)

[316] 230 พจนานุกรมพทุ ธศาสตร

1. ปฐวีกสณิ (กสิณคอื ดิน, กสิณทีใ่ ชด นิ เปน อารมณ — Pañhavã~: the Earth Kasiõa)
2. อาโปกสิณ (กสิณคือน้ํา — âpo~: the Water Kasiõa)
3. เตโชกสิณ (กสิณคือไฟ — Tejo~: the Fire Kasiõa)
4. วาโยกสณิ (กสิณคือลม — Vàyo~: the Air Kasiõa: Wind Kasiõa)
ข. วรรณกสิณ 4 (กสณิ คือสี — Vaõõa~: Colour Kasiõa)
5. นลี กสิณ (กสณิ คอื สเี ขียวคราม — Nãla~: the Blue Kasiõa)
6. ปตกสณิ (กสิณคอื สเี หลอื ง — Pãta~: the Yellow Kasiõa)
7. โลหติ กสณิ (กสิณคือสแี ดง — Lohita~: the Red Kasiõa)
8. โอทาตกสณิ (กสณิ คือสีขาว — Odàta~: the White Kasiõa)

ค. กสิณอ่นื ๆ
9. อาโลกกสิณ (กสณิ คอื แสงสวา ง — âloka~: the Light Kasiõa)
10. อากาสกสิณ (กสิณคอื ทวี่ า งเปลา, ชองวา ง — âkàsa~: the Space Kasiõa)

กสณิ ท่ีมาในบาลี เชน อง.ฺ ทสก.24/25/48 (A.V.46) ไมมี อาโลกกสิณ แตมี วิญญาณกสณิ (กสิณ
คือวิญญาณ — Vi¤¤àõa~: the Consciousness Kasiõa) เปนขอ ท่ี 10 และ อากาสกสิณ เปน

ขอท่ี 9

Vism.118–169. วสิ ุทฺธ.ิ 1/150–217.

[316] กามโภคี 10 (ผบู รโิ ภคกาม, ผูครองเรือน, คฤหสั ถ — Kàmabhogã: enjoyers of

sensual pleasures; laymen; householders)

กลุมท่ี 1 แสวงหาไมช อบธรรม (those seeking wealth unlawfully and arbitrarily)
1. พวกหน่งึ แสวงหาโภคทรัพยโ ดยไมชอบธรรม โดยทารุณขม ขี,่ ไดมาแลวไมเล้ียงตนให
อ่มิ หนําเปน สขุ , ทง้ั ไมแจกจา ยแบง ปนและไมใ ชทํากรรมดี

(So seeking wealth, a certain one neither makes himself happy and cheerful, nor

does he share with others, nor does he do meritorious deeds.)
2. พวกหนึ่ง แสวงหาโภคทรัพยโดยไมช อบธรรม โดยทารุณขมข่ี, ไดม าแลว เลี้ยงตนให
อ่มิ หนําเปน สุข, แตไ มแจกจายแบงปนและไมใชท ํากรรมดี

(So seeking wealth, a certain one makes himself happy and cheerful, but he

does not share with others and does no meritorious deeds.)
3. พวกหนงึ่ แสวงหาโภคทรพั ยโ ดยไมชอบธรรม โดยทารณุ ขม ข,่ี ไดม าแลว เลยี้ งตนให
อมิ่ หนําเปน สขุ ดวย, แจกจายแบง ปนและใชทํากรรมดีดว ย

(So seeking wealth, a certain one does make himself happy and cheerful, he
does share with others and does meritorious deeds.)

(พวกท่ี 1: ควรตําหนิทง้ั 3 สถาน; พวกที่ 2: ตําหนิ 2 สถาน, ชม 1 สถาน; พวกท่ี 3: ตาํ หนิ 1 สถาน, ชม

หมวด 10 231 [316]

2 สถาน — These are blameworthy in three, two and one respect, and praiseworthy in

none, one and two respects, respectively.)

กลุมท่ี 2 แสวงหาชอบธรรมบาง ไมช อบธรรมบาง (those seeking wealth both lawfully
and unlawfully, arbitrarily and unarbitrarily)
4. พวกหนง่ึ แสวงหาโภคทรพั ยโ ดยชอบธรรมบา งไมช อบธรรมบา ง ทารณุ ขม ขบ่ี า งไมท ารณุ
ขม ขบี่ า ง, ไดม าแลว ไมเ ลยี้ งตนใหอ มิ่ หนาํ เปน สขุ , ไมแ จกจา ยแบง ปน และไมใ ชท าํ กรรมดี
(Same as 1)
5. พวกหนงึ่ แสวงหาโภคทรพั ยโ ดยชอบธรรมบา งไมช อบธรรมบา ง ทารณุ ขม ขบ่ี า งไมท ารณุ
ขม ขบี่ า ง, ไดม าแลว เลย้ี งตนใหอ มิ่ หนาํ เปน สขุ , แตไ มแ จกจา ยแบง ปน และไมใ ชท าํ กรรมดี
(Same as 2)
6. พวกหนึ่ง แสวงหาโภคทรัพยโดยชอบธรรมบางไมชอบธรรมบาง ทารุณขมขี่บางไม
ทารณุ ขม ขบี่ า ง, ไดม าแลว เลยี้ งตนใหอ มิ่ หนาํ เปน สขุ , ทง้ั แจกจา ยแบง ปน และใชท ํากรรมดี
(Same as 3)

(พวกท่ี 4: ควรตาํ หนิ 3 สถาน, ชม 1 สถาน; พวกที่ 5: ตาํ หนิ 2 สถาน, ชม 2 สถาน; พวกที่ 6: ตาํ หนิ 1

สถาน, ชม 3 สถาน — These are blameworthy in three, two and one respect, and praiseworthy

in one, two and three respects, respectively.)

กลุมที่ 3 แสวงหาชอบธรรม (those seeking wealth lawfully and unarbitrarily)
7. พวกหนงึ่ แสวงหาโภคทรัพยโ ดยชอบธรรม ไมท ารุณขมข,่ี ไดมาแลว ไมเ ลีย้ งตนให
อิม่ หนําเปนสขุ , ไมแ จกจา ยแบงปน และไมใชทํากรรมดี (Same as 1)
8. พวกหนึ่ง แสวงหาโภคทรัพยโดยชอบธรรม ไมทารุณขมข่ี, ไดมาแลวเล้ียงตนให
อิ่มหนําเปนสุข, แตไมแ จกจายแบง ปน และไมใ ชทํากรรมดี (Same as 2)
9. พวกหน่ึง แสวงหาโภคทรัพยโดยชอบธรรม ไมทารุณขมข่ี, ไดมาแลวก็เลี้ยงตนให
อ่ิมหนําเปน สุขดว ย, ทงั้ แจกจายแบง ปนและใชทํากรรมดีดวย; แตเ ขายงั ยดึ ติด ยงั สยบมวั
เมา ยังหมกมนุ บรโิ ภคโภคะเหลา นนั้ โดยไมรเู ทาทันเหน็ โทษ ไมมีปญญาทําตนใหเ ปน
อิสระหลุดพนเปน นายเหนอื โภคทรัพย (Same as 3. But he makes use of his wealth
with greed and longing, is infatuated therewith, heedless of danger, lacking the

insight to achieve spiritual freedom.)

(พวกท่ี 7: ควรตําหนิ 2 สถาน, ชม 1 สถาน; พวกท่ี 8: ตําหนิ 1 สถาน, ชม 2 สถาน; พวกท่ี 9: ชม 3

สถาน, ตําหนิ 1 สถาน — These are blameworthy in two, one and one respect, and

praiseworthy in one, two and three respects, respectively.)

พวกพิเศษ: แสวงหาชอบธรรม และใชอ ยา งรเู ทา ทนั เปนอิสระ
10. พวกหนงึ่ แสวงหาโภคทรพั ยโ ดยชอบธรรม ไมท ารณุ ขม ข,ี่ ไดม าแลว เลยี้ งตนใหอ มิ่ หนาํ
เปน สขุ , แจกจา ยแบง ปน และใชท าํ กรรมด;ี แตเ ขาไมย ดึ ตดิ อกี ทงั้ ไมส ยบมวั เมา ไมห มกมนุ
บริโภคโภคะเหลาน้ันอยางรูเทาทนั เหน็ โทษ มีปญ ญาทําตนใหเปน อสิ ระหลดุ พนเปนนาย

[317] 232 พจนานกุ รมพุทธศาสตร

เหนือโภคทรัพย (Seeking wealth lawfully and unarbitrarily, a certain one does make
himself happy and cheerful, he does share with others and does meritorious deeds.
Moreover, he makes use of his wealth without greed and longing, without
infatuation, is heedful of danger and possessed of the insight that keeps for himself
spiritual freedom.)

(พวกท่ี 10 นี้ ทรงสรรเสริญวาเปน ผเู ลิศ ประเสริฐ สูงสุด ควรชมทงั้ 4 สถาน — Of these ten this one
is the best, the greatest and the noblest, being praiseworthy in all the four respects.)

S.IV.331; A.V.176. ส.ํ สฬ.18/631–643/408–415; อง.ฺ ทสก.24/91/188.

[317] กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 (หมายถงึ วิธีปฏบิ ตั ิในเรอ่ื งทค่ี วรสงสัย หรอื
หลกั ความเชื่อ ท่ตี รัสไวใ นกาลามสตู ร — Kàlàmasutta-kaïkhàniyaññhàna: how to deal

with doubtful matters; advice on how to investigate a doctrine, as contained in

the Kàlàmasutta)

1. มา อนุสฺสเวน (อยาปลงใจเชือ่ ดว ยการฟง ตามกันมา — Be not led by report)
2. มา ปรมปฺ ราย (อยาปลงใจเชื่อ ดวยการถอื สืบๆ กนั มา — Be not led by tradition)
3. มา อิติกริ าย (อยาปลงใจเชอื่ ดว ยการเลาลอื — Be not led by hearsay)
4. มา ปฏ กสมฺปทาเนน (อยาปลงใจเช่ือ ดว ยการอา งตําราหรอื คมั ภรี  — Be not led by the

authority of texts)

5. มา ตกกฺ เหตุ (อยา ปลงใจเชื่อ เพราะตรรก — Be not led by mere logic)
6. มา นยเหตุ (อยา ปลงใจเชอื่ เพราะการอนมุ าน — Be not led by inference)
7. มา อาการปริวิตกฺเกน (อยา ปลงใจเชือ่ ดว ยการคดิ ตรองตามแนวเหตผุ ล — Be not led

by considering appearances)
8. มา ทฏิ  นิ ชิ ฌฺ านกขฺ นตฺ ยิ า (อยา ปลงใจเชอื่ เพราะเขา ไดก บั ทฤษฎที พ่ี นิ จิ ไวแ ลว — Be not

led by the agreement with a considered and approved theory)
9. มา ภพพฺ รูปตาย (อยา ปลงใจเช่ือ เพราะมองเหน็ รปู ลกั ษณะนา จะเปน ไปได — Be not led

by seeming possibilities)
10. มา สมโณ โน ครตู ิ (อยา ปลงใจเชือ่ เพราะนบั ถือวา ทานสมณะน้ีเปน ครูของเรา — Be

not led by the idea, ‘This is our teacher’.)

ตอ เมอ่ื ใด รูเขาใจดว ยตนวา ธรรมเหลา นั้น เปน อกศุ ล เปน กุศล มีโทษ ไมมีโทษ เปน ตน
แลว จึงควรละหรือถือปฏบิ ตั ิตามนั้น

สูตรนี้ ในบาลเี รยี กวา เกสปุตตยิ สูตร ท่ีชอื่ กาลามสูตร เพราะทรงแสดงแกช นเผา กาลามะ

แหงวรรณะกษัตรยิ  ท่ชี อ่ื เกสปตุ ตยิ สตู ร เพราะพวกกาลามะนนั้ เปน ชาวเกสปตุ ตนิคม

A.I.189. องฺ.ติก.20/505/241.


Click to View FlipBook Version