The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมธรรมนิพนธ์ครูบาอาจารย์ 5 เรื่อง คือ 1.ชีวิตนี้น้อยนัก 2.วิธีสร้างบุญบารมี (นิพนธ์โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร) 3.สมาธิภาวนากับหลวงตามหาบัว วิธีปฏิบัติและข้อพึงระวังที่หลวงตาฝากไว้ (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) 4.ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา ปุจฉา - พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล), วิสัชนา - พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by preecha.s, 2021-04-01 05:27:12

ธรรมะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น

รวมธรรมนิพนธ์ครูบาอาจารย์ 5 เรื่อง คือ 1.ชีวิตนี้น้อยนัก 2.วิธีสร้างบุญบารมี (นิพนธ์โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร) 3.สมาธิภาวนากับหลวงตามหาบัว วิธีปฏิบัติและข้อพึงระวังที่หลวงตาฝากไว้ (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) 4.ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา ปุจฉา - พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล), วิสัชนา - พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร

Keywords: ธรรมะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น

ใหดำเนินตามท่ีวานี่ เพียงพิจารณาอยางนี้แลวจิตก็เปนสมาธิ
อนั ละเอียดขึ้นมาแลวสงบแนวเลยทน่ี ่ี ปลอ ยกงั วลโดยประการ
ท้ังปวง มีความกระหย่ิมองอาจกลาหาญภายในจิต นี่ สมาธิท่ี
เปนขึ้นดวยอำนาจของปญญา ข้ึนเปนความองอาจกลาหาญ
ขึ้นมาอีกประเภทหน่ึงแลว เห็นประจักษกับตัวเอง นี่ วิธีการ
พิจารณา

งานของผูตอ งการพน ทุกข - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปา บานตาด วันที่ ๓ กุมภาพันธ ๒๕๒๓

66 : กำหนดลม บรกิ รรม พิจารณาธรรม

ใหอ ยูในปจจบุ นั ธรรม

เมื่อสติปญญาไดพิจารณาใชอยูอยางน้ีแลว ๆ เลา ๆ
ไมหยุดไมถอย เวลาพักก็พกั ถึงเวลาใชป ญ ญาแลวอยากลัวเสีย
เวล่ำเวลาในการพกั ... เอาใหจริงใหจ ัง มอี ยใู นวงปจจุบันธรรม
อยาใหคิดเรื่องอดีตอนาคต เร่ืองความอยากพนทุกขพนภัย
ไปไหนมาไหนอยา คาดไป นอกเหนอื จากตรงทที่ กุ ขก ำลงั บบี คน้ั
หัวใจอยูน้ี จะเปล้ืองตรงน้ีออก ตัวปจจุบันน้ีละมันบีบอยูน้ี
เปลื้องตัวนี้ออกมันก็พนเทาน้ันละ พนทุกข พนไปโดยลำดับ
พนที่หัวใจ อยาเขาใจวาไปพนกับอดีตอนาคต พนอยูในกาล
ในเวล่ำเวลาอยางนั้น เปนความเขาใจผิดท้ังนั้น เอาลงตรงนี้
เปน ปจ จบุ ันธรรม พิจารณาใหจริงใหจังใหม ันเห็นแจง เห็นจรงิ

งานของผูตองการพน ทกุ ข - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปาบานตาด วันที่ ๓ กุมภาพนั ธ ๒๕๒๓

67

จิต ตรี - โท - เอก

ชน้ั ตรี กค็ อื จติ ทไ่ี ดร บั การอบรมบำเพญ็ ในขน้ั ตำ่ มคี วาม
เชอื่ ความเลอ่ื มใสมนั่ คงตอ สมาธขิ องตน ไมม คี วามสงสยั ในเรอื่ ง
ท่ีวา จิตเปนสมาธินั้นเปนอยางไร นี่ช่ือวาถาจะเทียบก็เหมือน
ชน้ั ตรี

ช้นั โท หมายถึงข้นั ของปญ ญา ไมวา ปญญาขั้นไหนรวม
เขา ในขนั้ ปญ ญาขน้ั เดยี วกนั จะปญญาทีเ่ ก่ยี วกับชัน้ ตรมี ากอน
กต็ าม ประมวลเขา ไปสปู ญ ญาชนั้ โท ตนพจิ ารณารอบคอบตลอด
ทวั่ ถงึ ทงั้ ภายนอกภายใน ทง้ั ขนั ธห ยาบขนั ธล ะเอยี ด ขนั ธห ยาบ
คอื รปู กาย ขนั ธล ะเอยี ดคอื นามขนั ธ ไดแ ก เวทนา สญั ญา สงั ขาร
วิญญาณ รูรอบคอบทันกับเหตุการณท่ีขันธไหวตัว น่ีเรียกวา
ปญ ญาข้ันกลาง หรือเรียกวา จติ ช้นั โทของนักปฏิบัติ

ชน้ั เอก ไดแ ก ปญ ญาทม่ี คี วามแหลมคมอยา งยง่ิ สามารถ
ทำลายภพชาติท่ีเคยหุมหออยูภายในจิตใจ จนเปนเหมือน
ประหน่ึงวาใจกับกิเลสประเภทนั้นเปนอันเดียวกัน ที่ทานเคย
กลา วไวเ สมอในหลกั ธรรมวา อวชิ ชา ปญ ญาขน้ั นสี้ ามารถทำลาย

68 : กำหนดลม บรกิ รรม พิจารณาธรรม

ตัวภพตัวชาติ อันเปนสถานท่ีเกิดแหงขันธ ๕ คือ รูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ ใหขาดสะบ้ันออกจากใจ เหลือแต
ธรรมชาติท่ีรูวาตนบริสุทธ์ิ ส่ิงท่ีเคยแฝงอยู ไมวาสวนหยาบ
สวนกลาง สว นละเอยี ด ไดหลุดลอยออกไปหมดเพราะอำนาจ
แหงปญญา นี่ถาจะใหชื่อวาช้ันเอกก็ไมผิด มีอันเดียวเทาน้ัน
แตค วามบรสิ ทุ ธิ์

จติ ตรี โท เอก - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปาบา นตาด วันท่ี ๑๓ กนั ยายน ๒๕๐๙

69

ฝกหดั หาอุบาย

การฝกหัดตนใหหาอุบายทำ อยางเวลานั่งภาวนาถา
มีความเจ็บปวดแสบรอนก็ใหพึงใชปญญาใหมาก อยาไปจอ
อยเู ฉย ๆ กบั ทกุ ขเวทนาทเี่ กดิ ขน้ึ ใหค น หาสาเหตขุ องทกุ ขเวทนา
นีเ้ กิดข้นึ มาจากไหน อะไรเปน เหตุ อะไรเปนทุกขซ ง่ึ เปนตวั ผล
เชน นั่งนานกเ็ ปน เหตุใหร า งกายบอบช้ำใหร า งกายเจ็บ น่เี ราก็
ทราบ แลว มนั เจบ็ ทต่ี รงไหนใหสติจอลงไปตรงนน้ั แยกดูหนัง
หรือเปนผูเจ็บ เนื้อหรือเปนผูเจ็บ กระดูกหรือเปนผูเจ็บ หรือ
อวยั วะสวนใดเปนผูเจบ็ อวยั วะสว นนัน้ ๆ มันรตู วั ของมันไหม
วามันเจ็บ แลวทุกขเวทนาท่ีกำลังบีบตัวอยูอยางสาหัสเวลานี้
มันทราบความหมายของมนั ไหมวา เปนเวทนา เปนตวั บีบสิง่ ทั้ง
หลาย เปน ตวั บบี ขนั ธม รี ปู ขนั ธเ ปน ตน มนั ทราบความหมายของ
มนั ไหม มันทราบวา มนั ไดบ บี อะไรไหม

ฝก จติ ดว ยปฏิปทาทที่ รหด - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปา บา นตาด วันท่ี ๒ ตลุ าคม ๒๕๒๑

70 : กำหนดลม บรกิ รรม พิจารณาธรรม

สกั แตวา ...

เวลายอนมาดเู วทนากส็ กั แตวา เวทนา ดหู นงั เนือ้ เอน็
กระดูก แตละสวน ๆ ท่ีวาเปนตัวทุกขเปนกองทุกข มันก็
เปนหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตามหลักธรรมชาติของมันอยูน้ัน
ตา งอนั ตา งไมร เู รอ่ื งของกนั ตา งอนั ตา งไมท ราบความหมายของ
ตนและของกนั และกนั แลว ผใู ดเปน ผไู ปหลอกลวง เปน ผสู ำคญั
มน่ั หมายวา อนั นนั้ เปน ทกุ ขอ นั นเ้ี ปน ทกุ ขเ ดอื ดรอ นวนุ วาย ยอ น
เขามาหาใจ มนั กม็ าสทู ีใ่ จ แลวก็แยกจากใจออกไป หลายคร้งั
หลายหน เมื่อเห็นอาการของสวนรางกายท่ีวาเปนทุกขแตละ
อยา ง ๆ นั้นเปน ความจริงไมเปน ทกุ ขแ ลว เวทนากส็ กั แตเ วทนา
เขาไมไ ดว า เขาเปน ทกุ ข เหน็ ตามความจรงิ ของมนั แลว กย็ อ นมา
เห็นจติ จิตกส็ กั แตว าจิต สกั แตวารู เม่ือตางอันตา งจรงิ ในขั้นน้ี
แลว ๑) ทกุ ขเวทนาดบั ๒) อนั ใดท่เี ปน อยูอยา งไร เปนจรงิ ตาม
สภาพของมันอยูอยางนั้น ไมมาเหยียบย่ำทำลายมากระทบ
กระเทอื นกันเลย นว่ี ธิ ีพจิ ารณา

ฝกจติ ดว ยปฏิปทาท่ที รหด - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปา บานตาด วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๒๑

71

โงกงว ง

การน่ังก็ใหสังเกต ถาจะมีอาการโงกงวง ใหรีบเปลี่ยน
ทนั ทลี งไปเดนิ เสยี บา ง เปลยี่ นสถานทบี่ อ ยๆ เปลย่ี นอาการของ
ตน คอื อริ ยิ าบถของตนเสมอ อยา ปลอ ยใหง ว งอยเู ฉย ๆ ถา ปลอ ย
ใหง ว งเฉย ๆ งวงแลว ก็หลบั เทา น้ันเองไมไปอนื่ จากงว งกห็ ลบั
ถาตั้งใจจะหลับก็ใหหลับเสียดวยการตั้งใจนอน อยานั่งภาวนา
ดวยความหลับ แลวตื่นข้ึนมาวาเรานั่งภาวนา น่ังภาวนาอะไร
นัง่ หลับ นีอ่ นั หนึง่ กไ็ มเกิดประโยชนเหมอื นกัน ...

หลกั ปฏบิ ัติ สติสำคัญมาก - เทศนอบรมพระ
ณ วัดปา บานตาด วันท่ี ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๔

72 : กำหนดลม บริกรรม พจิ ารณาธรรม

สงั เกตแลวพลกิ แพลง

ฝกวิธีใดทำอะไรมากเปนผลอยางไร น่ังมากเปนยังไง
เดนิ จงกรมมากเปน ยงั ไง ใหส งั เกตใหด ี สตมิ อี ยดู ว ยกนั นน่ั แหละ
แตผลตางกันอยางไรบาง อดนอนเปนยังไง สติมีอยูนั่นแหละ
อดนอนก็อยูดวยสติอยูดวยความเพียรเหมือนกัน ผอนอาหาร
เปนยังไง อดอาหารเปน ยงั ไง ตา งกนั อยา งไรบา ง ทั้งๆ ทีม่ ีสติ
อยูดวยกันทุกอาการแหงการประกอบความพากเพียร แลวผล
ตา งกนั อยา งไรบาง ใหส ังเกตตัวเอง ถา ไมส งั เกตไมไดเ ร่อื งนะ...

การปฏิบัติตัวเองตองใชความสังเกตสอดรูอยูเสมอ
แลวพลกิ แพลงเปลยี่ นแปลงไปรอ ยสันพนั คม ไมง ั้นไมทนั กเิ ลส
กลมายาของมนั แหลมคมมาก

ผานมาแลว กผ็ า นไป - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปาบานตาด วนั ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๓

73

พจิ ารณาซำ้ ๆ ซากๆ

ในการพจิ ารณา พจิ ารณาซำ้ ๆ ซากๆ หลายครงั้ หลายหน
หลายตลบทบทวนจนเปนที่เขาใจท่ีแนใจแลว ยอมปลอยเอง
วางเอง เราจะไปบังคับใหปลอยใหวางนี้เปนไปไมไดเมื่อไมพอ
เชนเดียวกับเรารับประทานอาหาร เมื่อไมถึงกาลจะควรอ่ิม
ก็ไมอ่ิม รับประทานชอนหน่ึงสองชอนจะใหอิ่มเปนไปไมได
ตองรับประทานเร่ือย ๆ ไป เมื่อถงึ ข้นั อ่ิมแลวหยุดเอง พอเอง
น่กี ารพิจารณากเ็ หมอื นกัน

พัฒนาจิตใหพนพลงั ดงึ ดูดของกิเลส - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปา บา นตาด วันท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๒๕

74 : กำหนดลม บรกิ รรม พิจารณาธรรม

กายนอกกายใน

การพิจารณากายนอกกายในน้ันมีความสำคัญเทากัน
ขอแตค วามถนดั ความสมั ผสั ของจติ เถอะ ถา พจิ ารณาทางขา งใน
ไมไ ด เอาขางนอกเสียกอ น มันติดมนั เกี่ยวของกบั เรอ่ื งรูปอะไร
ยกรปู นนั้ มาตง้ั กก๊ึ ลงไปแลว พจิ ารณาแยกแยะเลย เอามนั หลาย
ครง้ั หลายหนจนเปน ทเี่ ขา ใจ แลว ถงึ ยอ นเขา มาภายในของตวั เอง
อยางนนั้ นะการพจิ ารณา

ปรบั ใจใหส มั ผสั ธรรม - เทศนอบรมพระ
ณ วัดปา บา นตาด วนั ท่ี ๒๒ กุมภาพันธ ๒๕๒๖

75

ยกขึน้ แลวแยกแยะ

กายวิภาคไมใชวาจะมาวิภาคเฉพาะกายภายใน กาย
ภายนอกกว็ ภิ าคได วิภาคคอื แยกแยะออก นนั่ ทา นวาวภิ าค ๆ
คือแยกออก อุคคหนิมิต ยกข้ึน อุคฺคห แปลวายกขึ้น ยกขึ้น
พจิ ารณา เปน ปฏภิ าคคอื แยกสว นแบง สว นออกไป ภาคกแ็ ปลวา
สว น อคุ คฺ ห ยกขน้ึ อคุ คหนมิ ติ ปฏภิ าคนมิ ติ จะยกเอารปู กายใด
มาก็ไดมาต้ังไวตรงนน้ั กำหนดพจิ ารณาตงั้ แตผิว ๆ มนั เขา ไป ๆ
แยกแยะออกไป กำหนดใหม นั พงั ทลายใหเ หน็ แตก เิ ลสหลอกเรา
มันยังหลอกได อุบายเหลานเี้ ปนอบุ ายที่จะแกความหลอกลวง
ของกิเลสดวยธรรม กิเลสมีอยางน้ัน ธรรมก็มีอยางนี้แกกัน
กิเลสวาอันน้ันมันสวยมันงาม เอา อันนี้ไมสวยไมงามเขาไป
แกก นั น่ัน นเ้ี ปน ฝายมรรค อันนน้ั เปนฝายกเิ ลส

การแกน พี้ จิ ารณาเปน อคุ คหนมิ ติ เปน ปฏภิ าคนมิ ติ ยกขน้ึ
แลว แยกแยะกนั ออกนเ้ี ปน ฝา ยมรรค ทนี ม้ี าพจิ ารณาภายในกไ็ ด
เมื่อพิจารณาภายนอกแลวพิจารณาเขามาภายใน เทียบกันได
ทกุ สดั ทุกสว น เอาจนพอ ถอื เปน การเปนงานตลอด จนกระทง่ั
มันพอของมัน มันรูเองเวลาพอ ไมวาอสุภะภายนอกภายใน

76 : กำหนดลม บริกรรม พจิ ารณาธรรม

ไมวากายเขากายเรา พอแลวมันปลอยท้ังนั้นแหละ น่ีจึงไดพูด
ถึงเร่ืองสุภะอสุภะเม่ือเวลามันปลอยของมัน มันผานตรงกลาง
เลยนะ ไมไ ดไ ปอสุภะ ไมไ ดไปสภุ ะ ใหเหน็ อยา งน้ันซนิ กั ปฏบิ ัติ

ปรับใจใหสัมผัสธรรม - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปาบานตาด วนั ท่ี ๒๒ กุมภาพนั ธ ๒๕๒๖

77

รูป เสยี ง กลิ่น รส

รูป ก็แยกแยะดูดวยปญญาใหเห็นชัดเจน คำวารูป
หญิง-ชายน้ันใหช่ือตามสมมุติ ความจริงแลวไมใชหญิง-ชาย
เปน รปู ธรรมดาเหมอื นเรา ๆ ทา น ๆ มหี นงั หุมหอ ท่ัวสรรพางค
รางกาย เขาไปภายในก็มีเน้ือมีหนังมีเอ็นมีกระดูก เต็มไปดวย
ของปฏกิ ลู โสโครกดว ยกนั ไมม สี งิ่ หนงึ่ สง่ิ ใดอาการใดทผี่ ดิ แปลก
จากรูปของเราไปเลย เปนแตเ พยี งวาความสำคญั ของใจนนั้ มนั
วาเปนหญิง-ชาย คำวาเปนหญิง-ชายน้ัน มันสลักลงไปภายใน
จติ ใจอยา งลกึ ซง้ึ ดว ยความสำคญั ของใจเอง ทง้ั ทไี่ มเ ปน ความจรงิ
เปน ความสำคัญตา งหาก

เสียง กเ็ หมอื นกนั เสียงก็เปน เสยี งธรรมดา แตเ ราหมาย
ไปวาเปนเสียงวิภาค เพราะฉะน้ันจึงท่ิมแทงเขาในหัวใจบุรุษ
อยางฝงลึก เฉพาะอยางยิ่งนักบวชเรา และแทงทะลุเขาไปจน
ลืมเนอื้ ลืมตวั ขวั้ หัวใจขาดสะบัน้ ทั้งที่ยังมชี ีวติ อยู ขั้วหวั ใจขาด
เปอยเนาเฟะแตไมตาย เจาตัวกลับเพลินฟงเพลงเสียงข้ัวหัวใจ
ขาดอยางไมม วี ันจดื จางอ่มิ พอ

78 : กำหนดลม บริกรรม พจิ ารณาธรรม

กล่ิน ก็กลิ่นธรรมดาเหมือนเราน่ีเพราะเปนกล่ินคน
ถงึ จะเอานำ้ อบนำ้ หอมจากเมอื งเทพเมอื งพรหมทไ่ี หนมาประมา
ชโลม กเ็ ปน กลน่ิ ของอนั นนั้ ตา งหาก ไมใ ชก ลน่ิ ของหญงิ -ชายแท
แมนิดเดยี วเลย จงพิจารณาแยกแยะออกดใู หล ะเอยี ดถถี่ ว น

รส ก็เพียงความสัมผัสกัน การสัมผัสก็ไมเห็นผิดแปลก
อะไรกับอวัยวะเราสัมผัสอวัยวะเราเอง อวัยวะนั้น ๆ ก็เปน
ดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกัน ไมเห็นมีอะไรผิดแปลกกัน แนะ
เราตองพจิ ารณาใหชัดเจนอยา งน้ี

ตองอาศัยปญญาพิจารณาคลี่คลาย ... ใหสลัดปดทิ้ง
ดว ยปญ ญาอนั เปน ความจรงิ ลงสคู วามจรงิ วา สกั แตว า รปู สกั แต
วาเสียง สกั แตวากลิ่น สกั แตว า รส สกั แตว า เครอื่ งสมั ผัส ทีผ่ า น
แลวหายไป ๆ ท้งั มวล เชน เดยี วกบั สิ่งอน่ื ๆ น่ีคอื การพิจารณา
ถกู ตอ ง และสามารถถอดถอนความยดึ มน่ั สำคญั ผดิ กบั สง่ิ นน้ั ๆ
ไดโ ดยลำดับไมสงสัย

79

จะพจิ ารณาไปในวตั ถสุ งิ่ ใดกต็ ามในโลกนี้ มนั เตม็ อยดู ว ย
กองอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา หาความจีรังถาวรไมได อาศัยส่ิงใด
ส่ิงนั้นก็จะพังลงไป วัตถุสิ่งใดก็ตาม ข้ึนชื่อวามีอยูในโลกน้ี
ลวนแลวแตสิ่งท่ีจะตองพังทลาย เขาไมพังเราก็พัง เขาไมแตก
เราก็แตก เขาไมพ ลดั พรากเรากพ็ ลดั พราก เขาไมจ ากเราก็จาก
เพราะโลกนเ้ี ตม็ ไปดว ยความจากความพลดั พรากกนั อยแู ลว โดย
หลกั ธรรมชาติ

ใหพิจารณาอยางน้ีดวยปญญาใหชัดเจนกอนหนาที่สิ่ง
เหลาน้ันจะพลัดพรากจากเรา หรือเราจะพลัดพรากจาก
ส่งิ เหลา น้นั แลวปลอยวางไวตามเปน จริง เมื่อเปนเชน น้นั จิตใจ
กม็ ีความสขุ

รอู สุภะ รอู ยางไร - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปา บา นตาด วนั ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๑

80 : กำหนดลม บริกรรม พจิ ารณาธรรม

เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ

เวทนา คอื ความสขุ ความทกุ ขเฉยๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากรา งกาย
กายก็เปนธรรมชาติอันหน่ึงซึ่งมีอยูตั้งแต ทุกขยังไมเกิด
ทุกขเกิดขึ้น ทุกขต้ังอยู ทุกขดับไป กายก็เปนกาย
ทุกขก็เปนทุกข ตางอันตางจริง พิจารณาแยกแยะใหเห็น
ตามความจริง สักแตวาเวทนา สักแตวากาย ไมนิยมวา
เปน สตั ว เปนบคุ คล เปน เรา เปน เขา เปน ของเรา เปน ของเขา
หรือของใคร เวทนาก็ไมใชเ รา ไมเปนของเรา ไมเ ปน ของเขา
ไมเ ปน ของใคร เปน แตเ พยี งสงิ่ ทป่ี รากฏขนึ้ มาชว่ั ขณะแลว ดบั ไป
ช่ัวกาลเทา นัน้ ตามสภาพของเขา ความจริงเปนอยางนี้

สัญญา คือความจำได จำไดเทาไร ไมวาจำไดใกลได
ไกล จำไดท้ังอดีตอนาคตปจจุบัน จำไดเทาไร ความดับก็ไป
พรอม ๆ กนั ดบั ไป ๆ เกดิ แลว ดับ ๆ จะมาถอื วาเปนสตั วเ ปน
บุคคลท่ีไหน น่ีหมายถึงปญญาขั้นละเอียดพิจารณาหย่ังทราบ
เขา ไปตามความจรงิ ประจักษใ จตัวเองโดยไมต องไปถามใคร

สังขาร คอื ความคดิ ความปรุง ปรุงดปี รงุ ชัว่ ปรุงกลาง ๆ

81

ปรงุ เร่ืองอะไรกม็ แี ตเ รื่องเกดิ เรอ่ื งดบั ๆ หาสาระอะไรจากความ
ปรงุ นี้ไมได ถา สัญญาไมร ับชวงไปใหเ กิดเรอ่ื งเกิดราว สัญญาก็
ทราบชัดเจนแลว อะไรจะไปปรุงไปรับชวงไปยึดไปถือใหเปน
เรอ่ื งยดื ยาวตอ ไปเลา กม็ แี ตค วามเกดิ ความดบั ภายในจติ เทา นน้ั
นคี่ อื สงั ขารมนั เปน ความจรงิ อนั หนงึ่ อนั นท้ี า นเรยี กวา สงั ขารขนั ธ
ขันธ แปลวา กอง แปลวาหมวด

วญิ ญาณขนั ธ คอื หมวดหรอื กองแหง วญิ ญาณทร่ี บั ทราบ
ในขณะส่ิงภายนอกเขามาสัมผัส เชน ตาสัมผัสรูป เปนตน
เกิดความรูข้ึน พอส่ิงนั้นผานไปความรับรูนี้ก็ดับไป ไมวาจะ
รบั รูสงิ่ ใดยอ มพรอมทีจ่ ะดับดวยกนั ทงั้ นั้น จะหาสาระแกนสาร
และสำคญั วา เปนเราเปนของเราที่ไหนไดกบั ขันธท ัง้ หานี้

เรื่องของขันธทั้งหาน้ีเปนอยางนี้ มีอยางน้ีปรากฏอยาง
นี้ และเกิดข้ึนดับไป ๆ สืบตอกันอยูเร่ือย ๆ อยางนี้ตั้งแตวัน
เกิดมาจนกระทัง่ บัดนี้ หาสาระอะไรจากเขาไมไดเ ลย นอกจาก
จติ ใจไปสำคญั มน่ั หมาย แลว ยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในสง่ิ เหลา นวี้ า เปน ตน

82 : กำหนดลม บริกรรม พจิ ารณาธรรม

เปนของตน แลวแบกใหหนกั ยิง่ กวาภูเขาท้งั ลูกขึน้ มาภายในใจ
เทา นน้ั ไมม สี ิ่งใดเปนเคร่ืองตอบรับหรอื เปน เครื่องสนอง ความ
สนองก็คือสนองความทุกขน้ันเอง เพราะความหลงของตนพา
ใหส นอง

รูอ สภุ ะ รูอยางไร - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปา บานตาด วนั ที่ ๓๑ ตลุ าคม ๒๕๒๑

83

สขุ ทุกข เฉยๆ

เวทนาน้แี ยกได ๒ อยา ง เวทนาทางกาย เวทนาทางใจ
สุข ทุกข เฉย ๆ มีไดทั้งทางกายและใจ เพราะฉะน้ันเวทนา
จึงเปนสวนละเอียดสวนหน่ึงท่ีเกี่ยวกับเรื่องของใจ แตเม่ือจิต
ของเราไดพิจารณาไดความละเอียดลออขนาดน้ีแลว จะมีแต
สขุ เวทนาเดน ดวงอยภู ายในจติ ในขณะเดยี วกนั กย็ งั ตอ งมคี วาม
เฉาเศราหมองบางเลก็ ๆ นอ ย ๆ จะทำใหเ กิดทกุ ขเวทนาขึน้ มา
แฝงอยนู ั้นแล

จิตก็พิจารณาแยกแยะพวกเวทนา สุขก็ดี ทุกขก็ดี
เฉย ๆ ก็ดี ลวนแลวแตเปนสิ่งท่ีปรากฏข้ึนตามหลักธรรมชาติ
ของมัน แลวก็ดับไปตามเรื่องของมันเทาน้ัน สุขก็ดี ทุกขก็ดี
เฉย ๆ ก็ดี ไมใ ชเราไมใ ชข องเรา เปน สภาพอันหนง่ึ ๆ ทา นจึง
เรียกวา อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตตฺ า ... ไมใชสมบตั ขิ องผหู นงึ่ ผูใ ด

ตามดคู วามจรงิ - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปาบานตาด วันท่ี ๑๘ ตลุ าคม ๒๕๒๑

84 : กำหนดลม บรกิ รรม พิจารณาธรรม

เกิดๆ ดบั ๆ เหน็ ตามดวยปญ ญา

ถาเราถือสิ่งเหลานี้ (เวทนา) มาเปนตน เราก็ตองเปน
ผูเกิดอยูวันยังค่ำคืนยังรุงตลอดเวลา สิ่งเหลาน้ีดับเราก็ตอง
ดับไปดวย สิ่งเหลาน้ีเกิดเราก็ตองเกิดไปดวย เม่ือเราไมถือ
สิ่งเหลาน้ัน เราเห็นตามดวยปญญาของเราแลว สิ่งเหลานี้
จะเกดิ จะดบั เรากไ็ มเ ปน อะไร เวทนา สขุ ทกุ ข เฉย ๆ เกดิ ดบั ไป
ก็ทราบวาเรื่องเขาเกิดเขาดับ สัญญา สังขาร วิญญาณ แตละ
อยางๆ ปรากฏตัวข้ึนมาเกิดๆ ดับๆ เราก็ทราบวาเขาเกิดๆ
ดบั ๆ ผูรูจริงๆ ไมด ับ กย็ ิ่งกลน่ั กรองจิตใจเขา ไปละเอยี ดลออๆ
จนเปนที่เขาใจในอาการทั้ง ๔ คือ เวทนากาย เวทนาจิต
แนะ รูเ ขา ไป

ตามดคู วามจรงิ - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปา บา นตาด วนั ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๒๑

85

กายนีเ่ ปน เราเปน ของเรา ?

เร่ืองความรักกายก็เพราะความเห็นสำคัญวา กายน่ี
เปนเราเปนของเรา เปนของสวยของงามนั่นเอง เมื่อพิจารณา
ลงใหถ งึ ความจรงิ ของมนั แลว หาความงามกไ็ มป รากฏ หาความ
เที่ยงแทถาวรก็ไมปรากฏ หาเปนตนเปนตัวท่ีไหนก็ไมปรากฏ
แยกออกไป ๆ ก็เปนธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไปเสียหมด
เราหาตืน่ เงาที่ไหน ตื่นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ปญญาหย่งั ลงไป
พิจารณาลงไปใหชัดเจนซิ สติบังคับลงไปวากายก็เห็นชัดเจน
อยูน้ันแลว กายในกายนอก กายนอกก็ดูโนนก็ได ดูใครก็ได
มันเหมือนกันนี่แหละ กายในกาย กายในกายสวนใดสวนหนึ่ง
ของอวยั วะทง้ั หมด

ปลุกใจใหตอ สู - เทศนอบรมพระ
ณ วัดปาบานตาด วนั ที่ ๒๘ สงิ หาคม ๒๕๒๑

86 : กำหนดลม บริกรรม พจิ ารณาธรรม

เก่ยี วโยงกันไปหมด

ถา จะพจิ ารณาแยกแยะออกไปถงึ เรอื่ ง อนจิ จฺ ํ เรอ่ื ง ทกุ ขฺ ํ
หรือเร่ือง อนตฺตา ในสวนใดก็ตามในธรรมท้ัง ๓ ประเภทน้ี
ไมจ ำเปน จะตอ งพจิ ารณาใหก ลมกลนื เปน อนั หนงึ่ อนั เดยี วกนั ไป
หรอื พจิ ารณาทง้ั ๓ อยา ง จะพิจารณาอยางใดอยางหน่ึงก็ตาม
ยอมเปน สงิ่ ท่ีจะกระจายเก่ียวโยงกนั ไปหมดใหทราบโดยตลอด
ทวั่ ถงึ ทง้ั อนจิ ฺจํ ท้งั ทกุ ขฺ ํ ท้งั อนตฺตา โดยทีเ่ ราพิจารณาเพยี ง
ไตรลกั ษณใ ดไตรลกั ษณห นงึ่ เทา นนั้ มนั จะซมึ ซาบกนั ไปหมด ถา
พจิ ารณาเปน ไตรลกั ษณก เ็ ปน ไตรลกั ษณอ ยา งประจกั ษ ไมส งสยั
ภายในจติ ใจ

ปลอดภยั ไรก ังวล - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปาบา นตาด วันท่ี ๑๕ สงิ หาคม ๒๕๒๓

87

ปญญาทีส่ มาธิอบรมแลว

ทานจึงวา สมาธิปริภาวิตา ปฺญา มหปฺผลา โหติ
มหานิสํสา ปญญาท่สี มาธอิ บรมแลว ยอมมีผลมาก มีอานิสงส
มาก น่ัน คือจิตท่ีพิจารณาดวยความอ่ิมตัว หมายถึงสมาธิ
จิตมีความสงบรมเย็นแลวมีความอิ่มตัวไมหิวโหยกับอารมณ
อะไร จะพิจารณาอารมณอันใดกต็ าม กรรมฐานในแงใดกต็ าม
บรรดาอาการ ๓๒ ทีม่ อี ยูในรา งกายน้ี ตลอดถึงเวทนา สญั ญา
สังขาร วิญญาณ จิตใจยอมต้ังหนาตั้งตาทำงานดวยความ
มีสติสตัง รูเปนช้ินเปนอันข้ึนมา ถอดถอนเปนชองเปนทางไป
เร่ือย ๆ นี่เรียกวาปญญา

เม่ือถึงกาลถึงเวลาท่ีจะพิจารณาปญญาแลว ไมตอง
เก่ียวกับเร่ืองสมาธิ ใหทำหนาที่ของปญญาไปดวยความมีสติ
ไตรตรองไปดวยเหตุดวยผลในแงตาง ๆ แหงธรรมท้ังหลายที่
มีอยูในรางกายและจิตใจนี้ สติเปนของสำคัญ ปญญาจะทำ
หนา ท่ีไปเรื่อย ๆ

รากแกว ของวัฏจักร - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปาบานตาด วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๒๑

88 : กำหนดลม บริกรรม พจิ ารณาธรรม

มนั ก็คือธาตุ

การพจิ ารณาอยา งนก้ี เ็ พอื่ เปน อบุ ายถอนอปุ าทานความ
ยดึ มน่ั ถอื มนั่ วา สง่ิ เหลา นเ้ี ปน เราเปน ของเรา เปน เขาเปน ของเขา
ดินเปนดินอยูแลวดั้งเดิม ใครจะทำใหดินน้ีเปนอะไรอีกไมได
ถึงจะปรับปรุงใหมันเปนชนิดไหนก็ตาม มันก็คือธาตุดิน เปน
ชนิดนั้น ๆ อยูน่ันแล ไมเปนสัตวเปนบุคคลดังท่ีเราเสกสรร
ปน ยอ นค่ี อื ความจรงิ ลบไมส ญู จะลบใหเ ปน อยา งอน่ื เปน ไปไมไ ด
ถึงจะปรากฏข้ึนมาในสวนผสมของธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ประชุมกัน มีจิตวิญญาณเขาไปครองนี้วาเปนเราเปนของเรา
ก็สักแตวาเทานั้น ความจริงก็คือดิน คือน้ำ คือลม คือไฟ
ทร่ี วมตัวกนั อยู จติ กค็ อื จิต ทีไ่ ปหลงงมงายกับสงิ่ เหลานี้ ไปยึด
วานีเ้ ปน เราเปน ของเราเทา นน้ั ไมเ ห็นมอี ะไร นที่ างปญญา

ตามดคู วามจรงิ - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปา บา นตาด วันท่ี ๑๘ ตุลาคม ๒๕๒๑

89

ออนเพลยี ... ตอ งพกั

เมอื่ ออ นเพลยี ในการทำงานแลว กต็ อ งยอ นเขา มาสทู พ่ี กั
คอื สมาธไิ ดแ กค วามสงบ ไมต อ งคดิ ตอ งปรงุ เรอ่ื งราวอะไรทงั้ นนั้
ข้ึนชื่อวากิริยาแหงการกระทำ ระงับจิตเขาสูความสงบ ปลอย
ความคิดความปรงุ ท้ังมวลใหอยูกบั ความรูลวนๆ หากในความรู
ลวนๆ จิตไมยอมอยู จติ จะออกทำงานกใ็ หน ำคำบริกรรมบทใด
บทหน่ึง มาผกู มามดั มายดึ กันไว ใหอ ยูกบั บทนั้นจริงๆ ไมตอ ง
สนใจกบั ดานปญ ญาเลยในขณะนนั้

ปรารภความเพยี รจึงตง้ั หลกั ได - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปา บา นตาด เม่ือวนั ท่ี ๒ กันยายน ๒๕๒๕

90 : กำหนดลม บรกิ รรม พิจารณาธรรม

พระโสดาบัน ... ผูมิใชผ ูเห็นขันธห า เปน เรา

คำวา พระอรยิ เจา น้นั แปลวาผปู ระเสรฐิ เพราะธรรม
ทที่ า นไดบ รรลเุ ปน ธรรมอนั ประเสรฐิ มอี ยสู ชี่ น้ั คอื ชน้ั พระโสดา
ชน้ั พระสกทิ าคา ชนั้ พระอนาคา และชน้ั พระอรหนั ต ผสู ำเรจ็ ชน้ั
พระโสดา ทา นกลา วไวว า ละสงั โยชนไ ดส าม คอื สกั กายทฏิ ฐหิ นงึ่
วิจิกิจฉาหน่ึง สีลัพพตปรามาสหน่ึง สักกายทิฏฐิท่ีแยกตาม
อาการของขนั ธม ยี สี่ บิ โดยตงั้ ขนั ธห า แตล ะขนั ธ ๆ เปน หลกั ของ
อาการนน้ั ๆ ดงั น้ี ความเหน็ กายเปน เราเหน็ เราเปน กาย คอื เหน็
รปู กายของเราน้ีเปน เรา เห็นเราเปน รูปกายอนั น้ี เหน็ รปู ภายใน
อนั นม้ี ใี นเรา เหน็ เรามใี นรปู กายอนั นร้ี วมเปน สี่ เหน็ เวทนาเปน เรา
เห็นเราเปนเวทนา เห็นเวทนามีในเรา เห็นเรามีในเวทนา น่ีก็
รวมเปนส่ีเหมือนกันกับกองรูป แมสัญญา สังขาร วิญญาณ
กม็ นี ยั สอี่ ยา งเดยี วกนั โปรดเทยี บกนั ตามวธิ ที กี่ ลา วมาคอื ขนั ธห า
แตละขันธม ีนยั เปน ส่ี ส่ีหา คร้ังเปนย่สี ิบ เปน สักกายทิฏฐิยี่สบิ ...
พระโสดาบนั บคุ คลละไดโ ดยเดด็ ขาด...ผลู ะสกั กายทฏิ ฐยิ ส่ี บิ ได
เด็ดขาดน้ัน เมื่อสรุปแลวก็พอไดความวา ผูมิใชผูเห็นขันธหา
เปนเรา เห็นเราเปนขันธหา เห็นขันธหามีในเรา เห็นเรามีใน
ขนั ธหา ... เปน กาย

รวมลงในจติ แหงเดียวกนั - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปาบา นตาด เมื่อวนั ที่ ๑๘ กมุ ภาพนั ธ ๒๕๐๗

91





ดนู รกดสู วรรค ดูกรรมดเู วร

โดยมากมักคิดและพูดกันเสมอวา ภาวนาดูนรกสวรรค
ดกู รรมดเู วรของตนและผอู น่ื ขอ นท้ี า นทมี่ งุ ตอ อรรถธรรมสำหรบั
ตวั จรงิ ๆ กรณุ าสงั เกตขณะภาวนาวา จติ ไดม สี ว นเกยี่ วขอ งผกู พนั
กับเร่ืองดังกลาวเหลานี้บางหรือไม ถามีควรระวังอยาใหมีขึ้น
ไดสำหรับผูภาวนาเพ่ือความสงบเย็นเห็นผลเปนความสุขแกใจ
โดยถกู ทางจรงิ ๆ เพราะสงิ่ ดงั กลา วเหลา นนั้ มใิ ชข องดดี งั ทเี่ ขา ใจ
แตเปนความคิดที่ริเร่ิมจะไปทางผิด เพราะจิตเปนส่ิงท่ีนอม
นึกเอาสิ่งตางๆ ท่ีตนชอบไดแมไมเปนความจริง นานไปส่ิงท่ี
นอมนึกน้ันอาจปรากฏเปนภาพขึ้นมาราวกับเปนของจริงก็ได
น่ีรูสึกแกยาก แมผูสนใจในทางนั้นอยูแลวจนปรากฏสิ่งที่ตน
เขาใจวาใชและชอบขึ้นมาดวยแลว ก็ยิ่งทำความม่ันใจหนัก
แนนข้ึนไมมีทางลดละ จะไมยอมลงกับใครงายๆ เลย จึงได
เรียนเผดียงไวกอนวา ควรสังเกตระวังอยาใหจิตนึกนอมไป
ในทางน้ัน จะกลายเปนนักภาวนาท่ีนาทุเรศเวทนา ท้ังที่ผูน้ัน
ยังทะนงถือความรูความเห็นของตัววาเปนส่ิงถูกตองอยู และ
พรอมจะสั่งสอนผูอื่นใหเปนไปในแนวของตนอีกดวย จิตถาได
นึกนอ มไปในส่ิงใดแลว แมสง่ิ นั้นจะผิดกย็ งั เห็นวาถูกอยนู ่ันเอง
จงึ เปน การลำบากและหนกั ใจแกก ารแกไขอยไู มนอย

ปฏปิ ทาของพระธดุ งคกรรมฐานสายทา นพระอาจารยมนั่ ภูริทตั ตะ

94 : หลวงตาแกข้ ้อสงสยั

สมาธหิ รือปญญา อยางไหนกอ นหลัง

สงบไดแคไหนอุบายแหงปญญาที่จะนำมาใชในกาลอัน
ควรเหมาะสมกนั แคน ั้น การพินจิ พิจารณาตามโอกาสท่เี รยี กวา
ปญญา เอา พจิ ารณาลงไป อยา ไปคาดไปคิดวา ใหส มาธิไปกอ น
ใหป ญ ญาเดนิ ตามหลงั ควรจะใชป ญ ญาเมอ่ื ไรใหใ ช ควรจะใชใ น
ทางดา นสมาธเิ พอ่ื ความสงบเยน็ ใจเมอื่ ไร เอาตงั้ หนา ตงั้ ตาทำลง
ไปไมผ ิด ไมจ ำเปน ตองเรยี งลำดับลำดา เอาความเหมาะสมกบั
เหตกุ ารณท เ่ี กดิ ขน้ึ กบั ตน ทเี่ รยี กวา กเิ ลสนน้ั แหละเปน เหตกุ ารณ
ท่ีเหมาะสม ถืออันนั้นเปนประมาณ ควรจะพิจารณาแยกแยะ
ดว ยสตปิ ญ ญาขณะไหนผาดโผนเพยี งไรเอาใหเ ตม็ เมด็ เตม็ หนว ย
อยา ทอ ถอย ควรทจี่ ะทำใหส งบกเ็ อาใหส งบใหอ ยใู นเงอื้ มมอื ของ
นกั ปฏบิ ัติ ไมม ีคำวา มากอนมาหลงั

ปญญาไมส น้ิ สดุ กับผูใด - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปา บา นตาด วันที่ ๒ มนี าคม ๒๕๒๕

95

ถงึ เวลาพกั กต็ อ งพกั

ความจริงสมาธินั้นก็เปนพ้ืนฐานใหไดรับความสะดวก
สบายในขณะท่ีเขาพัก เชนเดียวกับคนทำงาน เราจะถือวา
การทำงานเปนผลโดยถายเดียว การพักผอนนอนหลับการ
รับประทานอาหารทำใหเสียเวล่ำเวลาและสิ้นเปลืองอาหาร
การกนิ ไปเปลา ๆ นน้ั กผ็ ดิ เพราะรา งกายเมอ่ื ไมม เี ครอื่ งบรรเทา
ไมมีเคร่ืองบำรุงรักษา หรือไมมีปจจัยเคร่ืองอุดหนุนแลว
จะทำงานทนไปไดแคไหน ... มันก็ตายคนเรา แมจะสิ้นเปลือง
ทรพั ยส มบตั หิ รอื อาหารการกนิ ไปมากนอ ย และเสยี เวลาไปเพราะ
การพกั ผอ นนอนหลบั กใ็ หเ สยี ไปในขณะนน้ั การเสยี ไปของเวลา
น้ี เพอ่ื เปน การสนบั สนนุ กำลงั หรอื สน้ิ เปลอื งอาหารทรี่ บั ประทาน
ลงไปก็เพ่ือเปนกำลังของรางกายที่จะทำงานตอไปใหถึงผล
สำเร็จ เพราะฉะน้ันสมาธิจึงเปนเชนเดียวกัน ถึงเวลาจะพัก
ผอน พักไมตองกังวลกับเร่ืองปญญาเลย บังคับเอาไวใหอยูกับ
ความสงบแนว ในขณะน้ัน

องครักษข องอวชิ ชา - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปาบานตาด วนั ที่ ๑๐ กนั ยายน ๒๕๒๑

96 : หลวงตาแกข้ อ้ สงสยั

อบุ ายวธิ ี ข้ึนกบั จริตนิสยั ดว ย

อบุ ายวธิ แี ตล ะอยา งๆ นนั้ ขน้ึ อยกู บั จรติ นสิ ยั ดว ย บางราย
เดินนานไดผลดี ท้ังที่ความเพียรดวยสติปญญาก็จดจออยูเชน
เดยี วกนั บางรายนงั่ ดี บางรายผอ นอาหารดี บางรายอดอาหารดี
อยางนี้ก็ตองหมุนไปตามการเห็นผลดีของตน รายใดที่ดีดวย
อุบายวธิ ีการใดกต็ องหนกั ไปตามอบุ ายวธิ ีการนั้น ซึง่ เหมาะกบั
จรติ ของตน ไมใชจ ะทำแบบสมุ แบบเดา เหน็ ใครทำก็ทำ ไดผล
ไมไดผลก็ทำอยางน้ัน นั่นเปนความผิดจากหลักธรรม คือ
ความฉลาด

ทวนกระแสโลก - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปาบา นตาด วนั ท่ี ๒๖ ตุลาคม ๒๕๒๔

97

นิพพานไมใ ชไ ตรลกั ษณ

นิพพาน คืออะไร ก็คือใจท่ีบริสุทธ์ิลวน ๆ ธรรมกับใจ
เปนอันเดียวกันแลวอยางสมบูรณ นั้นแลทานเรียกวานิพพาน
เท่ยี ง เอาตรงนัน้

นพิ พาน จึงไมใ ช อนจิ จฺ ํ
นพิ พาน จึงไมใ ช ทุกฺขํ
นิพพาน จงึ ไมใ ช อนตตฺ า

นิพพานจึงไมใชไตรลักษณ วานิพพานเปน อนตฺตาๆ
ถา นพิ พานเปน อนตตฺ าแลว ไตรลกั ษณค อื อะไรพจิ ารณาเพอื่ อะไร
ไตรลกั ษณค ือ อนจิ ฺจํ ทุกขฺ ํ อนตฺตา พิจารณาเพอ่ื พระนิพพาน
เม่ือถึงพระนิพพานแลว ทำไมนิพพานจึงจะมากลายเปน
อนตฺตาไปเสีย ซ่ึงเปนเรื่องของไตรลักษณ นิพพานวิเศษอะไร
เม่อื เปน เชน นนั้

ท่ีพ่ึงเปน พงึ่ ตาย - เทศนอบรมพระ
ณ วัดปาบานตาด วนั ที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๒๘

98 : หลวงตาแก้ขอ้ สงสัย

ปุถชุ น กับ พระอรหนั ต

ไมวาปุถุชน ไมวาพระอรหันต การชวยตัวเองนั่น
สัญชาตญาณมนั เปน ของมนั เองอยา งนัน้ ละ จะพลกิ ตัวทันที ๆ
จนกระทั่งวาไมไหวแลวถึงจะยอมลม ถายังจะพลิกตัวแกชวย
ตัวเองไดอยูแลว จะไมยอมหกลมกมกราบงาย ๆ อันน้ีคือ
สัญชาตญาณ จะเปนเหมือนกันหมดทั้งพระอรหันตท้ังปุถุชน
มีสัญชาตญาณที่รับผิดชอบตัวเอง แตจะใหยึดม่ันถือม่ัน
น้นั หมดปญ หาไปแลว จะไปพูดอะไร อะไรพาใหยดึ กเ็ ม่อื กเิ ลส
สิ้นไปหมดแลว จะเอาอะไรพาใหยึด หากเราไมใหมันยึดมันก็
ไมยึดจะวายังไง ไมมสี ง่ิ พาใหย ึดนี่ แตสญั ชาตญาณธรรมชาตนิ ี้
มีต้งั ใจไมตง้ั ใจมนั กเ็ ปนของมันเอง เสียดายไมเสยี ดายมันก็เปน

นล่ี ะทเี่ หมอื นกนั ระหวา งปถุ ชุ นกบั พระอรหนั ต คอื ความ
รบั ผดิ ชอบตามสญั ชาตญาณของตนเองแตล ะขนั ธ ๆ เหมอื นกนั
เชนวามองไปนี่รากไมมันเหมือนกับงู กาวลงไปน้ีกำลังจะ
เหยียบ เขา ใจวา งนู จ้ี ะโดดผงึ ทนั ทเี ลย นป่ี ถุ ุชนกับพระอรหนั ต
จะเหมอื นกนั แตส ง่ิ ทต่ี า งกนั กค็ อื จติ ปถุ ชุ นจะรอ นวบู เลย ตกอก
ตกใจภายในหวั ใจนี่ แตพ ระอรหนั ตท า นไม แยบ็ เดยี วเทา นนั้ พงุ

99

ทแ่ี ยบ็ คอื ความรบั ผดิ ชอบ โดดเหมอื นกนั แตจ ติ ไมไ หว นต่ี า งกนั
ตรงนน้ั ตางกนั อยภู ายในจิตเทา นั้น แตก ริ ิยานเ้ี หมอื นกนั ลน่ื นี้
ไมย อมลม งาย ๆ ละ

อยูอ ยา งมที ่พี ึ่ง - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปาบานตาด วันท่ี ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๒๘

100 : หลวงตาแกข้ อ้ สงสยั

ศลี สมาธิ ปญญา ... ไมมีอะไรเกดิ เอง

เพยี งมีศีลแลวสมาธจิ ะเกดิ เอง
มสี มาธแิ ลว ปญ ญาจะเกดิ เอง ดังน้ี
แมจนวนั ตายกไ็ มเ กดิ
อยาพากันนั่งคอยนอนคอยแบบลมๆ แลงๆ ท้ังศีล
ท้ังสมาธิ ทงั้ ปญ ญา ตองทำใหเ กิดทงั้ สนิ้ จึงจะเกดิ มี ...
ถามีศีลแลวไมทำสมาธิใหเกิดดวยจิตตภาวนา สมาธิก็
ไมเ กดิ อยากจะใหส มาธเิ กิดตองทำภาวนา ...
ถา อยากใหป ญ ญาเกดิ ตอ งคดิ คน ทางดา นปญ ญา ปญ ญา
ถงึ จะเกดิ ไมใ ชสมาธจิ ะไปหนนุ ใหปญญาเกดิ ไดเอง ...

ยอมตายกับความเพยี ร - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปาบานตาด วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๑

101

ภาวนาตองมหี นกั มีเบา

การปฏิบัติภาวนาก็ตองใหมีหนักมีเบา เหมือนเขาเดิน
ทางทีส่ ูงกก็ า ว ทีต่ ่ำกก็ าว ควรเรงกเ็ รง ทค่ี วรชา ก็ชา ท่คี วรเบา
ก็เบา ควรหนกั ตองหนัก เรื่องของความเพยี รเปน อยา งน้นั นะ

โมฆภิกษุ - เทศนอบรมพระ
ณ วัดปา บานตาด วนั ท่ี ๒ เมษายน ๒๕๓๓

102 : หลวงตาแก้ขอ้ สงสัย

ศลี เปนร้ัว

ศีลน้ันเปนธรรมข้ันหยาบ ทานใหชื่อวาศีล ความจริง
ก็คือธรรมข้ันหยาบ เพ่ือรักษากายวาจาที่แสดงออก อาจเปน
ความเสียหายทำลายตนเองและผูเกี่ยวของมากมายได จึงตอง
ใหร ะมดั ระวงั รกั ษา ธรรมประเภทนใ้ี หช อื่ วา เปน ศลี ความจรงิ ก็
คอื ธรรมนน่ั แล เหมอื นกบั รวั้ ของบา น ศลี เหมือนรวั้ บา น ธรรม
เหมือนกบั สมบตั ิอยูในบา น มคี ุณคา มากนอ ยเพียงไรกเ็ ก็บไวใน
ทีป่ ลอดภยั หรอื ทดี่ ที ี่สุดในบานของเรา

ศลี เปน รว้ั สำหรบั กน้ั เขตแดนหรอื อนั ตรายตา ง ๆ เพราะ
ฉะน้ันจึงตองรักษาศีล เพ่ือไมใหสิ่งท่ีเปนขาศึกท้ังหลายเขามา
ยำ่ ยธี รรมอนั เปน สว นละเอยี ด ซง่ึ กำลงั จะงอกงามขน้ึ ภายในจติ
ดวยการปฏบิ ัติจติ ตภาวนาของเรา น่เี ปนหลกั ใหญ

แทงทะลุดวยสติปญ ญา - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปา บานตาด วนั ท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๒๓

103

คำบริกรรม คอื ความคิดความปรุง ?

อารมณแ หง ธรรม คือ ความคดิ ความปรงุ ในคำบริกรรม
น้ี แมจะเปนความปรุงเหมือนกันกับความคิดปรุงตางๆ ท่ีเกิด
ขึ้นเพราะกิเลสผลักดันใหคิดใหปรุง แตความคิดปรุงประเภท
น้ีเปนความคิดปรุงในแงธรรมเพื่อความสงบ ผิดกับความคิด
ปรุงธรรมดาของกิเลสพาใหปรุงอยูมาก กิเลสพาใหคิดปรุงน้ัน
เหมอื นเราเอามอื หรอื เอาไมล งกวนนำ้ ทมี่ ตี ะกอนอยแู ลว แทนที่
มันจะใสแตกลับขุนมากข้ึนฉะนั้น แตถาเอาสารสมลงกวนน้ัน
ผิดกัน น้ำกลับใสข้ึนมา น่ีการนำอารมณเขามากวนใจ แทนที่
ใจจะสงบ แตกลับไมสงบและกลับแสดงผลขึ้นมาใหเปนความ
ทุกขรอนเสยี อกี ถาเอาพุทโธเปน ตน เขา ไปบริกรรมหรือแกวง
ลงในจิต โดยบริกรรมพุทโธๆ แมจะเปนความคิดปรุงเหมือน
กันก็ตามแตคำวาบริกรรมนี้ซ่ึงเปรียบเหมือนสารสม จึงทำให
ใจสงบเยน็ ลงไป

ขันธ ๕ ตางหากจากจิต - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปาบานตาด วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๒๑

104 : หลวงตาแก้ขอ้ สงสยั

มัชฌิมาปฏิปทา ... ไมใ ชเ ปนฟน ทงั้ ดนุ

กเิ ลสมหี ลายประเภท เครอื่ งมอื ทจี่ ะแกก เิ ลสกต็ อ งหลาย
ประเภท รวมแลวเรียกวามัชฌิมา คือเหมาะสม ใชสติปญญา
ความเพียรใหเ หมาะสมกบั กิเลสประเภทนนั้ ๆ ... คำวา มชั ฌมิ า
ปฏิปทาไมใชเปนฟนทั้งดุน แตมีลักษณะทาทีหมุนทันกับกิเลส
ทุกประเภท กิเลสหยาบปญญาก็หนัก ปญญาสูกันก็ตองหนัก
ความเพยี รตอ งหนัก เพราะอยูใ นเกณฑบงั คบั บัญชาตอ งบงั คับ
บญั ชา ยงั ไมถ งึ เกณฑเ ปน อตั โนมตั กิ ต็ อ งไดบ งั คบั บญั ชาเสยี กอ น
เพราะจติ ยงั ไมเห็นผลของงาน เชน ยงั ไมเหน็ ผลของสมาธนิ ี้ยิ่ง
ข้ีเกียจภาวนาไมอยากทำ พอเริ่มเห็นผลสมาธิคือความสงบ
เกิดความเย็นใจเกิดความสุข เกิดความแปลกประหลาดข้ึนมา
นั้นแหละคือผล ทีนี้เกิดเปนเครื่องดูดดื่มจิตใจใหมีความ
พากเพียรตอ ไป

พอเปน สมาธแิ ลว ทางดา นปญ ญา ผลเกดิ ทางดา นปญ ญา
ยังไมมี ก็ตองไดบังคับทางดานปญญาใหพิจารณา ไมอยาง
นั้นติดสมาธิ ติดสมาธิแลวถอนตัวไมออก เกิดเขาใจวาความ
บริสุทธ์ิอยูกับสมาธิ เขาใจวานิพพานอยูกับสมาธิไปเสียแลว

105

เลยกลายเปนความเห็นผิดไป พากันเขาใจอยางน้ี ถึงเวลา
พจิ ารณาทางดา นปญ ญา จะพจิ ารณาแยกแยะเรอื่ งธาตเุ รอื่ งขนั ธ
ใหเ ปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า หรอื เปน อสภุ ะอสภุ งั ใหจ ติ จอ อยนู น้ั
กบั งานไมล ดละถอยหลัง หมนุ ต้ิว ๆ อยู สติเปนเครื่องควบคุม
อยา คดิ เรอ่ื งอะไรทง้ั หมดเวลานนั้ เปน เรอื่ งอดตี อนาคตไมส ำคญั
ยิ่งกวาเร่ืองปจจุบันท่ีเรากำลังพิจารณาอยูน้ัน เม่ือเราไดฝกฝน
อบรมอยูเสมอ สติยอมมีความสืบตอกันไปเร่ือย ๆ คอยเจริญ
รุงเรืองขึ้นไปเร่ือย ๆ พอมีเหตุการณอะไรมาสัมผัสสัมพันธน้ี
สติจะมาทันที ปญญาจะวิ่งตามกันปบ ๆ ไปพรอมกันสติกับ
ปญญา เวลาปญญามีความชำนาญข้ึนแลวก็เปนอยางน้ัน สติ
มีความชำนาญก็ระลึกรูไดเร็ว เวลามีสิ่งมาสัมผัสเกิดขึ้นจาก
การทีเ่ ราอบรมอยูเสมอ ยอมมีความเจรญิ เติบโตขนึ้ ได เหมอื น
กันกับเด็กท่ีไดรับการเล้ียงดูดวยความถูกตอ ง สติปญญาก็เปน
เชน นั้น

องครกั ษข องอวชิ ชา - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปา บา นตาด วนั ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๒๑

106 : หลวงตาแกข้ อ้ สงสยั

มชั ฌิมาของกเิ ลส

เราอยาเขาใจวาปฏิบัติไปเสมอ ๆ อยูธรรมดา ๆ เปน
มชั ฌมิ าของธรรม นน่ั มนั มชั ฌมิ าของกเิ ลสตา งหาก ไมใ ชม ชั ฌมิ า
ของธรรม ควรหนกั ก็ตองหนกั มชั ฌมิ าแปลวา ความเหมาะสม
หรอื ทามกลาง ทามกลางกค็ อื ความเหมาะสมความพอดนี นั่ เอง
จะพอดีกับกิเลสประเภทใดๆ ก็ผลิตขึ้นมาบรรดาสติปญญา
ศรัทธา ความเพียร ความเพียรก็ใหกลาแข็ง แข็งจนแกรงเปน
หนิ เปน เหลก็ ไปเลย สตปิ ญ ญากต็ งั้ ไมห ยดุ ไมถ อย พนิ จิ พจิ ารณา
ไมละไมวางเพราะสติปญญาอยูกับตัวของเราเอง นี่เรียกวา
มัชฌิมา คือเหมาะสมกับการแกกิเลสแตละประเภทๆ และ
แตละกาลแตละสมัยที่กิเลสปรากฏตัวขึ้นมา และตอสูกัน
ไมล ดละปลอยวาง

ยอมตายกับความเพียร - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปาบา นตาด วนั ที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๑

107

กรรมฐาน ๔๐ ... ไมต องเอาทง้ั หมด

การจะทำจิตใหเปนสมาธิดวยอุบายวิธีใดที่เปนสมถวิธี
ทที่ า นแสดงไวห ลายแงห ลายกระทง เพอ่ื ใหเ หมาะกบั จรติ จติ ใจ
ของผูปฏิบัติธรรมซึ่งมีแปลกตางกัน ทานกลาวไววากรรมฐาน
๔๐ หอง มีอนุสสติ ๑๐ เปนตน รวมกันทั้งหมดเปน ๔๐
คำวา ๔๐ นี้ ไมใ ชเ ราจะกวานเอามาประพฤติปฏิบตั ิหมด เม่ือ
ชอบในธรรมบทใดใน ๔๐ วิธีการนั้น ก็นำวิธีท่ีตนชอบนั้น
มาอบรมจิตใจอันเปนแนวทางเครื่องชวยกัน ใจเมื่อไดรับการ
อบรมดวยความถูกตอง และธรรมท่ีเหมาะกับจริตจิตใจ จิตใจ
ของตนยอ มมีความสงบได

ฝกจิตใหม ีคณุ คา – เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปา บานตาด วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๑

108 : หลวงตาแกข้ อ้ สงสยั

ครอู าจารย สำคัญมาก

เร่ืองครูบาอาจารยสำคัญมาก จะทำใหกะทัดรัดเขาไป
เรือ่ ย ๆ รวดเร็วราบร่นื ดีกวาทำโดยลำพังอยูมาก นีแ่ ลทางดา น
จิตตภาวนาจึงสำคัญมากสำหรับครูอาจารยผูคอยใหอุบาย
จะเอาธรรมสมุ สส่ี มุ หา มาสอนกนั ไมไ ดน ะเรยี นจนจบพระไตรปฎ ก
ก็เถอะ นี่มิไดประมาทการเรียน พูดตามความจริง ถาลงจิตนี้
ไมไ ดท รงอรรถทรงธรรมประจกั ษใ จจากการปฏบิ ตั แิ ลว จะสอน
ไมถูกจุดที่จำเปน แมยกมาสอนทั้งพระไตรปฎก ก็ไมถูกจุดที่
ตอ งการ ถา ไมร ทู างจติ ตภาวนามากอ น ถา เปน ยากย็ กกนั ทงั้ หบี
น่ันแล ไมส ามารถหยบิ ยาขนานเฉพาะมารักษาคนไขไ ด

พระกรรมฐานตดิ ครอู าจารย - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปาบานตาด วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๒๔

109





หนักแนนอยา ถอยหลัง

หลักใหญของการปฏิบัติก็คือ จงมีความหนักแนนแกน
นักรบ หวังจบชีวิตในสงครามลางโลกออกจากใจ ถาไมชนะก็
ตองตายถวายชีวิตเปนพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ไปเลย
อยาถอยหลังดวยความพายแพ จะเสียหนาและถูกกิเลส
เยยหยันไปนาน ทนความต่ำตอยนอยหนา อับอายกิเลสวัฏฏ
ไมไ หว ไปโลกไหนจะมแี ตก เิ ลสตามชห้ี นา วา มาเกดิ แบกกองทกุ ข
หาสมบัติอะไรไอคนไมเปนทา รบกันทีไรแพเราหลุดลุยทุกที
ไมเคยมีคำวา “ชนะ” บา งเลย น่ันฟงซิ

วตั รเคร่ืองหามลอ กิเลส - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปา บา นตาด วนั ท่ี ๑๙ มกราคม ๒๕๒๐

112 : คำยำ้ เตอื น

อยากไปนพิ พานเปนมรรค ไมใ ชต ณั หา

ความอยากไปนิพพานน้ันเปนมรรค ไมใชเปนตัณหา
อยากพนทุกขเปนมรรคไมใชเปนตัณหา ความอยากมีสอง
ประเภท อยาก(ที)่ เปนโลก อยาก(ท)ี่ เปน ธรรม ...

ทีนี้ความอยากหลดุ พน จากทกุ ข ความอยากไปนพิ พาน
สรางกำลังทางดานอรรถดานธรรมใหมากข้ึนภายในตนเอง
ความอตุ สา หก เ็ ปน มรรค ความเพยี รเปน มรรค ความอดความทน
เปน มรรค ความบกึ บนึ ทกุ แงท กุ มมุ เพอื่ ความพน ทกุ ขเ ปน มรรค
ท้ังมวล เมือ่ ถึงทถ่ี ึงฐานเต็มทีแ่ ลว ความอยากกห็ ายไป

พฒั นาจติ ใหพ น พลังดึงดดู ของกเิ ลส - เทศนอบรมพระ
ณ วัดปาบา นตาด วันท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๒๕

113

อยาประมาท

ขอใหทุกทานจงอยาประมาทนิ่งนอนใจ จะเสียวันเสีย
เวลาและชีวิตจิตใจไปวันละเล็กละนอย ตายแลวไดประโยชน
อะไร ประโยชนจะไดในขณะที่มีชีวิตอยูเทาน้ัน ตายแลวหมด
ราคา แมอวัยวะยังมีอยูยังไมสลายจากกันก็ตาม พอความ
รูสึกออกจากรางแลวเขาเรียกวาคนตายกันทั้งน้ัน และจะทำ
ประโยชนอะไรไดเ ลา เพราะ ศีล สมาธิ ปญญา พระนพิ พาน
ไมเคยปรากฏมีในคนตาย ตลอดปฏิปทาทุกขอ พระองคไม
ไดทรงประทานใหแกคนตาย แตประทานใหไวสำหรับคนเปน
ทมี่ คี วามรสู กึ ด-ี ช่วั สขุ -ทุกข อยเู ทาน้ัน

เขา สูแดนอวกาศของจติ ของธรรม - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปาบา นตาด วันท่ี ๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๕

114 : คำยำ้ เตอื น

เพียงมศี ลี แลว้ สมาธิจะเกิดเอง
มีสมาธแิ ลว้ ปัญญาจะเกิดเองดังน้ี

แม้จนวนั ตายก็ไม่เกดิ
อยา่ พากันนง่ั คอยนอนคอยแบบลม ๆ แล้ง ๆ

ทั้งศลี ทง้ั สมาธิ ทงั้ ปญั ญา
ต้องทำใหเ้ กิดทัง้ ส้ิน
จงึ จะเกดิ มี

ยอมตายกบั ความเพยี ร
๒๓ ส.ค. ๒๑


Click to View FlipBook Version