ใหดำเนินตามท่ีวานี่ เพียงพิจารณาอยางนี้แลวจิตก็เปนสมาธิ
อนั ละเอียดขึ้นมาแลวสงบแนวเลยทน่ี ่ี ปลอ ยกงั วลโดยประการ
ท้ังปวง มีความกระหย่ิมองอาจกลาหาญภายในจิต นี่ สมาธิท่ี
เปนขึ้นดวยอำนาจของปญญา ข้ึนเปนความองอาจกลาหาญ
ขึ้นมาอีกประเภทหน่ึงแลว เห็นประจักษกับตัวเอง นี่ วิธีการ
พิจารณา
งานของผูตอ งการพน ทุกข - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปา บานตาด วันที่ ๓ กุมภาพันธ ๒๕๒๓
66 : กำหนดลม บรกิ รรม พิจารณาธรรม
ใหอ ยูในปจจบุ นั ธรรม
เมื่อสติปญญาไดพิจารณาใชอยูอยางน้ีแลว ๆ เลา ๆ
ไมหยุดไมถอย เวลาพักก็พกั ถึงเวลาใชป ญ ญาแลวอยากลัวเสีย
เวล่ำเวลาในการพกั ... เอาใหจริงใหจ ัง มอี ยใู นวงปจจุบันธรรม
อยาใหคิดเรื่องอดีตอนาคต เร่ืองความอยากพนทุกขพนภัย
ไปไหนมาไหนอยา คาดไป นอกเหนอื จากตรงทที่ กุ ขก ำลงั บบี คน้ั
หัวใจอยูน้ี จะเปล้ืองตรงน้ีออก ตัวปจจุบันน้ีละมันบีบอยูน้ี
เปลื้องตัวนี้ออกมันก็พนเทาน้ันละ พนทุกข พนไปโดยลำดับ
พนที่หัวใจ อยาเขาใจวาไปพนกับอดีตอนาคต พนอยูในกาล
ในเวล่ำเวลาอยางนั้น เปนความเขาใจผิดท้ังนั้น เอาลงตรงนี้
เปน ปจ จบุ ันธรรม พิจารณาใหจริงใหจังใหม ันเห็นแจง เห็นจรงิ
งานของผูตองการพน ทกุ ข - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปาบานตาด วันที่ ๓ กุมภาพนั ธ ๒๕๒๓
67
จิต ตรี - โท - เอก
ชน้ั ตรี กค็ อื จติ ทไ่ี ดร บั การอบรมบำเพญ็ ในขน้ั ตำ่ มคี วาม
เชอื่ ความเลอ่ื มใสมนั่ คงตอ สมาธขิ องตน ไมม คี วามสงสยั ในเรอื่ ง
ท่ีวา จิตเปนสมาธินั้นเปนอยางไร นี่ช่ือวาถาจะเทียบก็เหมือน
ชน้ั ตรี
ช้นั โท หมายถึงข้นั ของปญ ญา ไมวา ปญญาขั้นไหนรวม
เขา ในขนั้ ปญ ญาขน้ั เดยี วกนั จะปญญาทีเ่ ก่ยี วกับชัน้ ตรมี ากอน
กต็ าม ประมวลเขา ไปสปู ญ ญาชนั้ โท ตนพจิ ารณารอบคอบตลอด
ทวั่ ถงึ ทงั้ ภายนอกภายใน ทง้ั ขนั ธห ยาบขนั ธล ะเอยี ด ขนั ธห ยาบ
คอื รปู กาย ขนั ธล ะเอยี ดคอื นามขนั ธ ไดแ ก เวทนา สญั ญา สงั ขาร
วิญญาณ รูรอบคอบทันกับเหตุการณท่ีขันธไหวตัว น่ีเรียกวา
ปญ ญาข้ันกลาง หรือเรียกวา จติ ช้นั โทของนักปฏิบัติ
ชน้ั เอก ไดแ ก ปญ ญาทม่ี คี วามแหลมคมอยา งยง่ิ สามารถ
ทำลายภพชาติท่ีเคยหุมหออยูภายในจิตใจ จนเปนเหมือน
ประหน่ึงวาใจกับกิเลสประเภทนั้นเปนอันเดียวกัน ที่ทานเคย
กลา วไวเ สมอในหลกั ธรรมวา อวชิ ชา ปญ ญาขน้ั นสี้ ามารถทำลาย
68 : กำหนดลม บรกิ รรม พิจารณาธรรม
ตัวภพตัวชาติ อันเปนสถานท่ีเกิดแหงขันธ ๕ คือ รูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ ใหขาดสะบ้ันออกจากใจ เหลือแต
ธรรมชาติท่ีรูวาตนบริสุทธ์ิ ส่ิงท่ีเคยแฝงอยู ไมวาสวนหยาบ
สวนกลาง สว นละเอยี ด ไดหลุดลอยออกไปหมดเพราะอำนาจ
แหงปญญา นี่ถาจะใหชื่อวาช้ันเอกก็ไมผิด มีอันเดียวเทาน้ัน
แตค วามบรสิ ทุ ธิ์
จติ ตรี โท เอก - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปาบา นตาด วันท่ี ๑๓ กนั ยายน ๒๕๐๙
69
ฝกหดั หาอุบาย
การฝกหัดตนใหหาอุบายทำ อยางเวลานั่งภาวนาถา
มีความเจ็บปวดแสบรอนก็ใหพึงใชปญญาใหมาก อยาไปจอ
อยเู ฉย ๆ กบั ทกุ ขเวทนาทเี่ กดิ ขน้ึ ใหค น หาสาเหตขุ องทกุ ขเวทนา
นีเ้ กิดข้นึ มาจากไหน อะไรเปน เหตุ อะไรเปนทุกขซ ง่ึ เปนตวั ผล
เชน นั่งนานกเ็ ปน เหตุใหร า งกายบอบช้ำใหร า งกายเจ็บ น่เี ราก็
ทราบ แลว มนั เจบ็ ทต่ี รงไหนใหสติจอลงไปตรงนน้ั แยกดูหนัง
หรือเปนผูเจ็บ เนื้อหรือเปนผูเจ็บ กระดูกหรือเปนผูเจ็บ หรือ
อวยั วะสวนใดเปนผูเจบ็ อวยั วะสว นนัน้ ๆ มันรตู วั ของมันไหม
วามันเจ็บ แลวทุกขเวทนาท่ีกำลังบีบตัวอยูอยางสาหัสเวลานี้
มันทราบความหมายของมนั ไหมวา เปนเวทนา เปนตวั บีบสิง่ ทั้ง
หลาย เปน ตวั บบี ขนั ธม รี ปู ขนั ธเ ปน ตน มนั ทราบความหมายของ
มนั ไหม มันทราบวา มนั ไดบ บี อะไรไหม
ฝก จติ ดว ยปฏิปทาทที่ รหด - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปา บา นตาด วันท่ี ๒ ตลุ าคม ๒๕๒๑
70 : กำหนดลม บรกิ รรม พิจารณาธรรม
สกั แตวา ...
เวลายอนมาดเู วทนากส็ กั แตวา เวทนา ดหู นงั เนือ้ เอน็
กระดูก แตละสวน ๆ ท่ีวาเปนตัวทุกขเปนกองทุกข มันก็
เปนหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตามหลักธรรมชาติของมันอยูน้ัน
ตา งอนั ตา งไมร เู รอ่ื งของกนั ตา งอนั ตา งไมท ราบความหมายของ
ตนและของกนั และกนั แลว ผใู ดเปน ผไู ปหลอกลวง เปน ผสู ำคญั
มน่ั หมายวา อนั นนั้ เปน ทกุ ขอ นั นเ้ี ปน ทกุ ขเ ดอื ดรอ นวนุ วาย ยอ น
เขามาหาใจ มนั กม็ าสทู ีใ่ จ แลวก็แยกจากใจออกไป หลายคร้งั
หลายหน เมื่อเห็นอาการของสวนรางกายท่ีวาเปนทุกขแตละ
อยา ง ๆ นั้นเปน ความจริงไมเปน ทกุ ขแ ลว เวทนากส็ กั แตเ วทนา
เขาไมไ ดว า เขาเปน ทกุ ข เหน็ ตามความจรงิ ของมนั แลว กย็ อ นมา
เห็นจติ จิตกส็ กั แตว าจิต สกั แตวารู เม่ือตางอันตา งจรงิ ในขั้นน้ี
แลว ๑) ทกุ ขเวทนาดบั ๒) อนั ใดท่เี ปน อยูอยา งไร เปนจรงิ ตาม
สภาพของมันอยูอยางนั้น ไมมาเหยียบย่ำทำลายมากระทบ
กระเทอื นกันเลย นว่ี ธิ ีพจิ ารณา
ฝกจติ ดว ยปฏิปทาท่ที รหด - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปา บานตาด วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๒๑
71
โงกงว ง
การน่ังก็ใหสังเกต ถาจะมีอาการโงกงวง ใหรีบเปลี่ยน
ทนั ทลี งไปเดนิ เสยี บา ง เปลยี่ นสถานทบี่ อ ยๆ เปลย่ี นอาการของ
ตน คอื อริ ยิ าบถของตนเสมอ อยา ปลอ ยใหง ว งอยเู ฉย ๆ ถา ปลอ ย
ใหง ว งเฉย ๆ งวงแลว ก็หลบั เทา น้ันเองไมไปอนื่ จากงว งกห็ ลบั
ถาตั้งใจจะหลับก็ใหหลับเสียดวยการตั้งใจนอน อยานั่งภาวนา
ดวยความหลับ แลวตื่นข้ึนมาวาเรานั่งภาวนา น่ังภาวนาอะไร
นัง่ หลับ นีอ่ นั หนึง่ กไ็ มเกิดประโยชนเหมอื นกัน ...
หลกั ปฏบิ ัติ สติสำคัญมาก - เทศนอบรมพระ
ณ วัดปา บานตาด วันท่ี ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๔
72 : กำหนดลม บริกรรม พจิ ารณาธรรม
สงั เกตแลวพลกิ แพลง
ฝกวิธีใดทำอะไรมากเปนผลอยางไร น่ังมากเปนยังไง
เดนิ จงกรมมากเปน ยงั ไง ใหส งั เกตใหด ี สตมิ อี ยดู ว ยกนั นน่ั แหละ
แตผลตางกันอยางไรบาง อดนอนเปนยังไง สติมีอยูนั่นแหละ
อดนอนก็อยูดวยสติอยูดวยความเพียรเหมือนกัน ผอนอาหาร
เปนยังไง อดอาหารเปน ยงั ไง ตา งกนั อยา งไรบา ง ทั้งๆ ทีม่ ีสติ
อยูดวยกันทุกอาการแหงการประกอบความพากเพียร แลวผล
ตา งกนั อยา งไรบาง ใหส ังเกตตัวเอง ถา ไมส งั เกตไมไดเ ร่อื งนะ...
การปฏิบัติตัวเองตองใชความสังเกตสอดรูอยูเสมอ
แลวพลกิ แพลงเปลยี่ นแปลงไปรอ ยสันพนั คม ไมง ั้นไมทนั กเิ ลส
กลมายาของมนั แหลมคมมาก
ผานมาแลว กผ็ า นไป - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปาบานตาด วนั ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๓
73
พจิ ารณาซำ้ ๆ ซากๆ
ในการพจิ ารณา พจิ ารณาซำ้ ๆ ซากๆ หลายครงั้ หลายหน
หลายตลบทบทวนจนเปนที่เขาใจท่ีแนใจแลว ยอมปลอยเอง
วางเอง เราจะไปบังคับใหปลอยใหวางนี้เปนไปไมไดเมื่อไมพอ
เชนเดียวกับเรารับประทานอาหาร เมื่อไมถึงกาลจะควรอ่ิม
ก็ไมอ่ิม รับประทานชอนหน่ึงสองชอนจะใหอิ่มเปนไปไมได
ตองรับประทานเร่ือย ๆ ไป เมื่อถงึ ข้นั อ่ิมแลวหยุดเอง พอเอง
น่กี ารพิจารณากเ็ หมอื นกัน
พัฒนาจิตใหพนพลงั ดงึ ดูดของกิเลส - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปา บา นตาด วันท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๒๕
74 : กำหนดลม บรกิ รรม พิจารณาธรรม
กายนอกกายใน
การพิจารณากายนอกกายในน้ันมีความสำคัญเทากัน
ขอแตค วามถนดั ความสมั ผสั ของจติ เถอะ ถา พจิ ารณาทางขา งใน
ไมไ ด เอาขางนอกเสียกอ น มันติดมนั เกี่ยวของกบั เรอ่ื งรูปอะไร
ยกรปู นนั้ มาตง้ั กก๊ึ ลงไปแลว พจิ ารณาแยกแยะเลย เอามนั หลาย
ครง้ั หลายหนจนเปน ทเี่ ขา ใจ แลว ถงึ ยอ นเขา มาภายในของตวั เอง
อยางนนั้ นะการพจิ ารณา
ปรบั ใจใหส มั ผสั ธรรม - เทศนอบรมพระ
ณ วัดปา บา นตาด วนั ท่ี ๒๒ กุมภาพันธ ๒๕๒๖
75
ยกขึน้ แลวแยกแยะ
กายวิภาคไมใชวาจะมาวิภาคเฉพาะกายภายใน กาย
ภายนอกกว็ ภิ าคได วิภาคคอื แยกแยะออก นนั่ ทา นวาวภิ าค ๆ
คือแยกออก อุคคหนิมิต ยกข้ึน อุคฺคห แปลวายกขึ้น ยกขึ้น
พจิ ารณา เปน ปฏภิ าคคอื แยกสว นแบง สว นออกไป ภาคกแ็ ปลวา
สว น อคุ คฺ ห ยกขน้ึ อคุ คหนมิ ติ ปฏภิ าคนมิ ติ จะยกเอารปู กายใด
มาก็ไดมาต้ังไวตรงนน้ั กำหนดพจิ ารณาตงั้ แตผิว ๆ มนั เขา ไป ๆ
แยกแยะออกไป กำหนดใหม นั พงั ทลายใหเ หน็ แตก เิ ลสหลอกเรา
มันยังหลอกได อุบายเหลานเี้ ปนอบุ ายที่จะแกความหลอกลวง
ของกิเลสดวยธรรม กิเลสมีอยางน้ัน ธรรมก็มีอยางนี้แกกัน
กิเลสวาอันน้ันมันสวยมันงาม เอา อันนี้ไมสวยไมงามเขาไป
แกก นั น่ัน นเ้ี ปน ฝายมรรค อันนน้ั เปนฝายกเิ ลส
การแกน พี้ จิ ารณาเปน อคุ คหนมิ ติ เปน ปฏภิ าคนมิ ติ ยกขน้ึ
แลว แยกแยะกนั ออกนเ้ี ปน ฝา ยมรรค ทนี ม้ี าพจิ ารณาภายในกไ็ ด
เมื่อพิจารณาภายนอกแลวพิจารณาเขามาภายใน เทียบกันได
ทกุ สดั ทุกสว น เอาจนพอ ถอื เปน การเปนงานตลอด จนกระทง่ั
มันพอของมัน มันรูเองเวลาพอ ไมวาอสุภะภายนอกภายใน
76 : กำหนดลม บริกรรม พจิ ารณาธรรม
ไมวากายเขากายเรา พอแลวมันปลอยท้ังนั้นแหละ น่ีจึงไดพูด
ถึงเร่ืองสุภะอสุภะเม่ือเวลามันปลอยของมัน มันผานตรงกลาง
เลยนะ ไมไ ดไ ปอสุภะ ไมไ ดไปสภุ ะ ใหเหน็ อยา งน้ันซนิ กั ปฏบิ ัติ
ปรับใจใหสัมผัสธรรม - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปาบานตาด วนั ท่ี ๒๒ กุมภาพนั ธ ๒๕๒๖
77
รูป เสยี ง กลิ่น รส
รูป ก็แยกแยะดูดวยปญญาใหเห็นชัดเจน คำวารูป
หญิง-ชายน้ันใหช่ือตามสมมุติ ความจริงแลวไมใชหญิง-ชาย
เปน รปู ธรรมดาเหมอื นเรา ๆ ทา น ๆ มหี นงั หุมหอ ท่ัวสรรพางค
รางกาย เขาไปภายในก็มีเน้ือมีหนังมีเอ็นมีกระดูก เต็มไปดวย
ของปฏกิ ลู โสโครกดว ยกนั ไมม สี งิ่ หนงึ่ สง่ิ ใดอาการใดทผี่ ดิ แปลก
จากรูปของเราไปเลย เปนแตเ พยี งวาความสำคญั ของใจนนั้ มนั
วาเปนหญิง-ชาย คำวาเปนหญิง-ชายน้ัน มันสลักลงไปภายใน
จติ ใจอยา งลกึ ซง้ึ ดว ยความสำคญั ของใจเอง ทง้ั ทไี่ มเ ปน ความจรงิ
เปน ความสำคัญตา งหาก
เสียง กเ็ หมอื นกนั เสียงก็เปน เสยี งธรรมดา แตเ ราหมาย
ไปวาเปนเสียงวิภาค เพราะฉะน้ันจึงท่ิมแทงเขาในหัวใจบุรุษ
อยางฝงลึก เฉพาะอยางยิ่งนักบวชเรา และแทงทะลุเขาไปจน
ลืมเนอื้ ลืมตวั ขวั้ หัวใจขาดสะบัน้ ทั้งที่ยังมชี ีวติ อยู ขั้วหวั ใจขาด
เปอยเนาเฟะแตไมตาย เจาตัวกลับเพลินฟงเพลงเสียงข้ัวหัวใจ
ขาดอยางไมม วี ันจดื จางอ่มิ พอ
78 : กำหนดลม บริกรรม พจิ ารณาธรรม
กล่ิน ก็กลิ่นธรรมดาเหมือนเราน่ีเพราะเปนกล่ินคน
ถงึ จะเอานำ้ อบนำ้ หอมจากเมอื งเทพเมอื งพรหมทไ่ี หนมาประมา
ชโลม กเ็ ปน กลน่ิ ของอนั นนั้ ตา งหาก ไมใ ชก ลน่ิ ของหญงิ -ชายแท
แมนิดเดยี วเลย จงพิจารณาแยกแยะออกดใู หล ะเอยี ดถถี่ ว น
รส ก็เพียงความสัมผัสกัน การสัมผัสก็ไมเห็นผิดแปลก
อะไรกับอวัยวะเราสัมผัสอวัยวะเราเอง อวัยวะนั้น ๆ ก็เปน
ดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกัน ไมเห็นมีอะไรผิดแปลกกัน แนะ
เราตองพจิ ารณาใหชัดเจนอยา งน้ี
ตองอาศัยปญญาพิจารณาคลี่คลาย ... ใหสลัดปดทิ้ง
ดว ยปญ ญาอนั เปน ความจรงิ ลงสคู วามจรงิ วา สกั แตว า รปู สกั แต
วาเสียง สกั แตวากลิ่น สกั แตว า รส สกั แตว า เครอื่ งสมั ผัส ทีผ่ า น
แลวหายไป ๆ ท้งั มวล เชน เดยี วกบั สิ่งอน่ื ๆ น่ีคอื การพิจารณา
ถกู ตอ ง และสามารถถอดถอนความยดึ มน่ั สำคญั ผดิ กบั สง่ิ นน้ั ๆ
ไดโ ดยลำดับไมสงสัย
79
จะพจิ ารณาไปในวตั ถสุ งิ่ ใดกต็ ามในโลกนี้ มนั เตม็ อยดู ว ย
กองอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา หาความจีรังถาวรไมได อาศัยส่ิงใด
ส่ิงนั้นก็จะพังลงไป วัตถุสิ่งใดก็ตาม ข้ึนชื่อวามีอยูในโลกน้ี
ลวนแลวแตสิ่งท่ีจะตองพังทลาย เขาไมพังเราก็พัง เขาไมแตก
เราก็แตก เขาไมพ ลดั พรากเรากพ็ ลดั พราก เขาไมจ ากเราก็จาก
เพราะโลกนเ้ี ตม็ ไปดว ยความจากความพลดั พรากกนั อยแู ลว โดย
หลกั ธรรมชาติ
ใหพิจารณาอยางน้ีดวยปญญาใหชัดเจนกอนหนาที่สิ่ง
เหลาน้ันจะพลัดพรากจากเรา หรือเราจะพลัดพรากจาก
ส่งิ เหลา น้นั แลวปลอยวางไวตามเปน จริง เมื่อเปนเชน น้นั จิตใจ
กม็ ีความสขุ
รอู สุภะ รอู ยางไร - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปา บา นตาด วนั ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๒๑
80 : กำหนดลม บริกรรม พจิ ารณาธรรม
เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ
เวทนา คอื ความสขุ ความทกุ ขเฉยๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากรา งกาย
กายก็เปนธรรมชาติอันหน่ึงซึ่งมีอยูตั้งแต ทุกขยังไมเกิด
ทุกขเกิดขึ้น ทุกขต้ังอยู ทุกขดับไป กายก็เปนกาย
ทุกขก็เปนทุกข ตางอันตางจริง พิจารณาแยกแยะใหเห็น
ตามความจริง สักแตวาเวทนา สักแตวากาย ไมนิยมวา
เปน สตั ว เปนบคุ คล เปน เรา เปน เขา เปน ของเรา เปน ของเขา
หรือของใคร เวทนาก็ไมใชเ รา ไมเปนของเรา ไมเ ปน ของเขา
ไมเ ปน ของใคร เปน แตเ พยี งสงิ่ ทป่ี รากฏขนึ้ มาชว่ั ขณะแลว ดบั ไป
ช่ัวกาลเทา นัน้ ตามสภาพของเขา ความจริงเปนอยางนี้
สัญญา คือความจำได จำไดเทาไร ไมวาจำไดใกลได
ไกล จำไดท้ังอดีตอนาคตปจจุบัน จำไดเทาไร ความดับก็ไป
พรอม ๆ กนั ดบั ไป ๆ เกดิ แลว ดับ ๆ จะมาถอื วาเปนสตั วเ ปน
บุคคลท่ีไหน น่ีหมายถึงปญญาขั้นละเอียดพิจารณาหย่ังทราบ
เขา ไปตามความจรงิ ประจักษใ จตัวเองโดยไมต องไปถามใคร
สังขาร คอื ความคดิ ความปรุง ปรุงดปี รงุ ชัว่ ปรุงกลาง ๆ
81
ปรงุ เร่ืองอะไรกม็ แี ตเ รื่องเกดิ เรอ่ื งดบั ๆ หาสาระอะไรจากความ
ปรงุ นี้ไมได ถา สัญญาไมร ับชวงไปใหเ กิดเรอ่ื งเกิดราว สัญญาก็
ทราบชัดเจนแลว อะไรจะไปปรุงไปรับชวงไปยึดไปถือใหเปน
เรอ่ื งยดื ยาวตอ ไปเลา กม็ แี ตค วามเกดิ ความดบั ภายในจติ เทา นน้ั
นคี่ อื สงั ขารมนั เปน ความจรงิ อนั หนงึ่ อนั นท้ี า นเรยี กวา สงั ขารขนั ธ
ขันธ แปลวา กอง แปลวาหมวด
วญิ ญาณขนั ธ คอื หมวดหรอื กองแหง วญิ ญาณทร่ี บั ทราบ
ในขณะส่ิงภายนอกเขามาสัมผัส เชน ตาสัมผัสรูป เปนตน
เกิดความรูข้ึน พอส่ิงนั้นผานไปความรับรูนี้ก็ดับไป ไมวาจะ
รบั รูสงิ่ ใดยอ มพรอมทีจ่ ะดับดวยกนั ทงั้ นั้น จะหาสาระแกนสาร
และสำคญั วา เปนเราเปนของเราที่ไหนไดกบั ขันธท ัง้ หานี้
เรื่องของขันธทั้งหาน้ีเปนอยางนี้ มีอยางน้ีปรากฏอยาง
นี้ และเกิดข้ึนดับไป ๆ สืบตอกันอยูเร่ือย ๆ อยางนี้ตั้งแตวัน
เกิดมาจนกระทัง่ บัดนี้ หาสาระอะไรจากเขาไมไดเ ลย นอกจาก
จติ ใจไปสำคญั มน่ั หมาย แลว ยดึ มนั่ ถอื มน่ั ในสง่ิ เหลา นวี้ า เปน ตน
82 : กำหนดลม บริกรรม พจิ ารณาธรรม
เปนของตน แลวแบกใหหนกั ยิง่ กวาภูเขาท้งั ลูกขึน้ มาภายในใจ
เทา นน้ั ไมม สี ิ่งใดเปนเคร่ืองตอบรับหรอื เปน เครื่องสนอง ความ
สนองก็คือสนองความทุกขน้ันเอง เพราะความหลงของตนพา
ใหส นอง
รูอ สภุ ะ รูอยางไร - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปา บานตาด วนั ที่ ๓๑ ตลุ าคม ๒๕๒๑
83
สขุ ทุกข เฉยๆ
เวทนาน้แี ยกได ๒ อยา ง เวทนาทางกาย เวทนาทางใจ
สุข ทุกข เฉย ๆ มีไดทั้งทางกายและใจ เพราะฉะน้ันเวทนา
จึงเปนสวนละเอียดสวนหน่ึงท่ีเกี่ยวกับเรื่องของใจ แตเม่ือจิต
ของเราไดพิจารณาไดความละเอียดลออขนาดน้ีแลว จะมีแต
สขุ เวทนาเดน ดวงอยภู ายในจติ ในขณะเดยี วกนั กย็ งั ตอ งมคี วาม
เฉาเศราหมองบางเลก็ ๆ นอ ย ๆ จะทำใหเ กิดทกุ ขเวทนาขึน้ มา
แฝงอยนู ั้นแล
จิตก็พิจารณาแยกแยะพวกเวทนา สุขก็ดี ทุกขก็ดี
เฉย ๆ ก็ดี ลวนแลวแตเปนสิ่งท่ีปรากฏข้ึนตามหลักธรรมชาติ
ของมัน แลวก็ดับไปตามเรื่องของมันเทาน้ัน สุขก็ดี ทุกขก็ดี
เฉย ๆ ก็ดี ไมใ ชเราไมใ ชข องเรา เปน สภาพอันหนง่ึ ๆ ทา นจึง
เรียกวา อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตตฺ า ... ไมใชสมบตั ขิ องผหู นงึ่ ผูใ ด
ตามดคู วามจรงิ - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปาบานตาด วันท่ี ๑๘ ตลุ าคม ๒๕๒๑
84 : กำหนดลม บรกิ รรม พิจารณาธรรม
เกิดๆ ดบั ๆ เหน็ ตามดวยปญ ญา
ถาเราถือสิ่งเหลานี้ (เวทนา) มาเปนตน เราก็ตองเปน
ผูเกิดอยูวันยังค่ำคืนยังรุงตลอดเวลา สิ่งเหลาน้ีดับเราก็ตอง
ดับไปดวย สิ่งเหลาน้ีเกิดเราก็ตองเกิดไปดวย เม่ือเราไมถือ
สิ่งเหลาน้ัน เราเห็นตามดวยปญญาของเราแลว สิ่งเหลานี้
จะเกดิ จะดบั เรากไ็ มเ ปน อะไร เวทนา สขุ ทกุ ข เฉย ๆ เกดิ ดบั ไป
ก็ทราบวาเรื่องเขาเกิดเขาดับ สัญญา สังขาร วิญญาณ แตละ
อยางๆ ปรากฏตัวข้ึนมาเกิดๆ ดับๆ เราก็ทราบวาเขาเกิดๆ
ดบั ๆ ผูรูจริงๆ ไมด ับ กย็ ิ่งกลน่ั กรองจิตใจเขา ไปละเอยี ดลออๆ
จนเปนที่เขาใจในอาการทั้ง ๔ คือ เวทนากาย เวทนาจิต
แนะ รูเ ขา ไป
ตามดคู วามจรงิ - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปา บา นตาด วนั ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๒๑
85
กายนีเ่ ปน เราเปน ของเรา ?
เร่ืองความรักกายก็เพราะความเห็นสำคัญวา กายน่ี
เปนเราเปนของเรา เปนของสวยของงามนั่นเอง เมื่อพิจารณา
ลงใหถ งึ ความจรงิ ของมนั แลว หาความงามกไ็ มป รากฏ หาความ
เที่ยงแทถาวรก็ไมปรากฏ หาเปนตนเปนตัวท่ีไหนก็ไมปรากฏ
แยกออกไป ๆ ก็เปนธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไปเสียหมด
เราหาตืน่ เงาที่ไหน ตื่นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ปญญาหย่งั ลงไป
พิจารณาลงไปใหชัดเจนซิ สติบังคับลงไปวากายก็เห็นชัดเจน
อยูน้ันแลว กายในกายนอก กายนอกก็ดูโนนก็ได ดูใครก็ได
มันเหมือนกันนี่แหละ กายในกาย กายในกายสวนใดสวนหนึ่ง
ของอวยั วะทง้ั หมด
ปลุกใจใหตอ สู - เทศนอบรมพระ
ณ วัดปาบานตาด วนั ที่ ๒๘ สงิ หาคม ๒๕๒๑
86 : กำหนดลม บริกรรม พจิ ารณาธรรม
เก่ยี วโยงกันไปหมด
ถา จะพจิ ารณาแยกแยะออกไปถงึ เรอื่ ง อนจิ จฺ ํ เรอ่ื ง ทกุ ขฺ ํ
หรือเร่ือง อนตฺตา ในสวนใดก็ตามในธรรมท้ัง ๓ ประเภทน้ี
ไมจ ำเปน จะตอ งพจิ ารณาใหก ลมกลนื เปน อนั หนงึ่ อนั เดยี วกนั ไป
หรอื พจิ ารณาทง้ั ๓ อยา ง จะพิจารณาอยางใดอยางหน่ึงก็ตาม
ยอมเปน สงิ่ ท่ีจะกระจายเก่ียวโยงกนั ไปหมดใหทราบโดยตลอด
ทวั่ ถงึ ทง้ั อนจิ ฺจํ ท้งั ทกุ ขฺ ํ ท้งั อนตฺตา โดยทีเ่ ราพิจารณาเพยี ง
ไตรลกั ษณใ ดไตรลกั ษณห นงึ่ เทา นนั้ มนั จะซมึ ซาบกนั ไปหมด ถา
พจิ ารณาเปน ไตรลกั ษณก เ็ ปน ไตรลกั ษณอ ยา งประจกั ษ ไมส งสยั
ภายในจติ ใจ
ปลอดภยั ไรก ังวล - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปาบา นตาด วันท่ี ๑๕ สงิ หาคม ๒๕๒๓
87
ปญญาทีส่ มาธิอบรมแลว
ทานจึงวา สมาธิปริภาวิตา ปฺญา มหปฺผลา โหติ
มหานิสํสา ปญญาท่สี มาธอิ บรมแลว ยอมมีผลมาก มีอานิสงส
มาก น่ัน คือจิตท่ีพิจารณาดวยความอ่ิมตัว หมายถึงสมาธิ
จิตมีความสงบรมเย็นแลวมีความอิ่มตัวไมหิวโหยกับอารมณ
อะไร จะพิจารณาอารมณอันใดกต็ าม กรรมฐานในแงใดกต็ าม
บรรดาอาการ ๓๒ ทีม่ อี ยูในรา งกายน้ี ตลอดถึงเวทนา สญั ญา
สังขาร วิญญาณ จิตใจยอมต้ังหนาตั้งตาทำงานดวยความ
มีสติสตัง รูเปนช้ินเปนอันข้ึนมา ถอดถอนเปนชองเปนทางไป
เร่ือย ๆ นี่เรียกวาปญญา
เม่ือถึงกาลถึงเวลาท่ีจะพิจารณาปญญาแลว ไมตอง
เก่ียวกับเร่ืองสมาธิ ใหทำหนาที่ของปญญาไปดวยความมีสติ
ไตรตรองไปดวยเหตุดวยผลในแงตาง ๆ แหงธรรมท้ังหลายที่
มีอยูในรางกายและจิตใจนี้ สติเปนของสำคัญ ปญญาจะทำ
หนา ท่ีไปเรื่อย ๆ
รากแกว ของวัฏจักร - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปาบานตาด วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๒๑
88 : กำหนดลม บริกรรม พจิ ารณาธรรม
มนั ก็คือธาตุ
การพจิ ารณาอยา งนก้ี เ็ พอื่ เปน อบุ ายถอนอปุ าทานความ
ยดึ มน่ั ถอื มนั่ วา สง่ิ เหลา นเ้ี ปน เราเปน ของเรา เปน เขาเปน ของเขา
ดินเปนดินอยูแลวดั้งเดิม ใครจะทำใหดินน้ีเปนอะไรอีกไมได
ถึงจะปรับปรุงใหมันเปนชนิดไหนก็ตาม มันก็คือธาตุดิน เปน
ชนิดนั้น ๆ อยูน่ันแล ไมเปนสัตวเปนบุคคลดังท่ีเราเสกสรร
ปน ยอ นค่ี อื ความจรงิ ลบไมส ญู จะลบใหเ ปน อยา งอน่ื เปน ไปไมไ ด
ถึงจะปรากฏข้ึนมาในสวนผสมของธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ประชุมกัน มีจิตวิญญาณเขาไปครองนี้วาเปนเราเปนของเรา
ก็สักแตวาเทานั้น ความจริงก็คือดิน คือน้ำ คือลม คือไฟ
ทร่ี วมตัวกนั อยู จติ กค็ อื จิต ทีไ่ ปหลงงมงายกับสงิ่ เหลานี้ ไปยึด
วานีเ้ ปน เราเปน ของเราเทา นน้ั ไมเ ห็นมอี ะไร นที่ างปญญา
ตามดคู วามจรงิ - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปา บา นตาด วันท่ี ๑๘ ตุลาคม ๒๕๒๑
89
ออนเพลยี ... ตอ งพกั
เมอื่ ออ นเพลยี ในการทำงานแลว กต็ อ งยอ นเขา มาสทู พ่ี กั
คอื สมาธไิ ดแ กค วามสงบ ไมต อ งคดิ ตอ งปรงุ เรอ่ื งราวอะไรทงั้ นนั้
ข้ึนชื่อวากิริยาแหงการกระทำ ระงับจิตเขาสูความสงบ ปลอย
ความคิดความปรงุ ท้ังมวลใหอยูกบั ความรูลวนๆ หากในความรู
ลวนๆ จิตไมยอมอยู จติ จะออกทำงานกใ็ หน ำคำบริกรรมบทใด
บทหน่ึง มาผกู มามดั มายดึ กันไว ใหอ ยูกบั บทนั้นจริงๆ ไมตอ ง
สนใจกบั ดานปญ ญาเลยในขณะนนั้
ปรารภความเพยี รจึงตง้ั หลกั ได - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปา บา นตาด เม่ือวนั ท่ี ๒ กันยายน ๒๕๒๕
90 : กำหนดลม บรกิ รรม พิจารณาธรรม
พระโสดาบัน ... ผูมิใชผ ูเห็นขันธห า เปน เรา
คำวา พระอรยิ เจา น้นั แปลวาผปู ระเสรฐิ เพราะธรรม
ทที่ า นไดบ รรลเุ ปน ธรรมอนั ประเสรฐิ มอี ยสู ชี่ น้ั คอื ชน้ั พระโสดา
ชน้ั พระสกทิ าคา ชนั้ พระอนาคา และชน้ั พระอรหนั ต ผสู ำเรจ็ ชน้ั
พระโสดา ทา นกลา วไวว า ละสงั โยชนไ ดส าม คอื สกั กายทฏิ ฐหิ นงึ่
วิจิกิจฉาหน่ึง สีลัพพตปรามาสหน่ึง สักกายทิฏฐิท่ีแยกตาม
อาการของขนั ธม ยี สี่ บิ โดยตงั้ ขนั ธห า แตล ะขนั ธ ๆ เปน หลกั ของ
อาการนน้ั ๆ ดงั น้ี ความเหน็ กายเปน เราเหน็ เราเปน กาย คอื เหน็
รปู กายของเราน้ีเปน เรา เห็นเราเปน รูปกายอนั น้ี เหน็ รปู ภายใน
อนั นม้ี ใี นเรา เหน็ เรามใี นรปู กายอนั นร้ี วมเปน สี่ เหน็ เวทนาเปน เรา
เห็นเราเปนเวทนา เห็นเวทนามีในเรา เห็นเรามีในเวทนา น่ีก็
รวมเปนส่ีเหมือนกันกับกองรูป แมสัญญา สังขาร วิญญาณ
กม็ นี ยั สอี่ ยา งเดยี วกนั โปรดเทยี บกนั ตามวธิ ที กี่ ลา วมาคอื ขนั ธห า
แตละขันธม ีนยั เปน ส่ี ส่ีหา คร้ังเปนย่สี ิบ เปน สักกายทิฏฐิยี่สบิ ...
พระโสดาบนั บคุ คลละไดโ ดยเดด็ ขาด...ผลู ะสกั กายทฏิ ฐยิ ส่ี บิ ได
เด็ดขาดน้ัน เมื่อสรุปแลวก็พอไดความวา ผูมิใชผูเห็นขันธหา
เปนเรา เห็นเราเปนขันธหา เห็นขันธหามีในเรา เห็นเรามีใน
ขนั ธหา ... เปน กาย
รวมลงในจติ แหงเดียวกนั - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปาบา นตาด เมื่อวนั ที่ ๑๘ กมุ ภาพนั ธ ๒๕๐๗
91
ดนู รกดสู วรรค ดูกรรมดเู วร
โดยมากมักคิดและพูดกันเสมอวา ภาวนาดูนรกสวรรค
ดกู รรมดเู วรของตนและผอู น่ื ขอ นท้ี า นทมี่ งุ ตอ อรรถธรรมสำหรบั
ตวั จรงิ ๆ กรณุ าสงั เกตขณะภาวนาวา จติ ไดม สี ว นเกยี่ วขอ งผกู พนั
กับเร่ืองดังกลาวเหลานี้บางหรือไม ถามีควรระวังอยาใหมีขึ้น
ไดสำหรับผูภาวนาเพ่ือความสงบเย็นเห็นผลเปนความสุขแกใจ
โดยถกู ทางจรงิ ๆ เพราะสงิ่ ดงั กลา วเหลา นนั้ มใิ ชข องดดี งั ทเี่ ขา ใจ
แตเปนความคิดที่ริเร่ิมจะไปทางผิด เพราะจิตเปนส่ิงท่ีนอม
นึกเอาสิ่งตางๆ ท่ีตนชอบไดแมไมเปนความจริง นานไปส่ิงท่ี
นอมนึกน้ันอาจปรากฏเปนภาพขึ้นมาราวกับเปนของจริงก็ได
น่ีรูสึกแกยาก แมผูสนใจในทางนั้นอยูแลวจนปรากฏสิ่งที่ตน
เขาใจวาใชและชอบขึ้นมาดวยแลว ก็ยิ่งทำความม่ันใจหนัก
แนนข้ึนไมมีทางลดละ จะไมยอมลงกับใครงายๆ เลย จึงได
เรียนเผดียงไวกอนวา ควรสังเกตระวังอยาใหจิตนึกนอมไป
ในทางน้ัน จะกลายเปนนักภาวนาท่ีนาทุเรศเวทนา ท้ังที่ผูน้ัน
ยังทะนงถือความรูความเห็นของตัววาเปนส่ิงถูกตองอยู และ
พรอมจะสั่งสอนผูอื่นใหเปนไปในแนวของตนอีกดวย จิตถาได
นึกนอ มไปในส่ิงใดแลว แมสง่ิ นั้นจะผิดกย็ งั เห็นวาถูกอยนู ่ันเอง
จงึ เปน การลำบากและหนกั ใจแกก ารแกไขอยไู มนอย
ปฏปิ ทาของพระธดุ งคกรรมฐานสายทา นพระอาจารยมนั่ ภูริทตั ตะ
94 : หลวงตาแกข้ ้อสงสยั
สมาธหิ รือปญญา อยางไหนกอ นหลัง
สงบไดแคไหนอุบายแหงปญญาที่จะนำมาใชในกาลอัน
ควรเหมาะสมกนั แคน ั้น การพินจิ พิจารณาตามโอกาสท่เี รยี กวา
ปญญา เอา พจิ ารณาลงไป อยา ไปคาดไปคิดวา ใหส มาธิไปกอ น
ใหป ญ ญาเดนิ ตามหลงั ควรจะใชป ญ ญาเมอ่ื ไรใหใ ช ควรจะใชใ น
ทางดา นสมาธเิ พอ่ื ความสงบเยน็ ใจเมอื่ ไร เอาตงั้ หนา ตงั้ ตาทำลง
ไปไมผ ิด ไมจ ำเปน ตองเรยี งลำดับลำดา เอาความเหมาะสมกบั
เหตกุ ารณท เ่ี กดิ ขน้ึ กบั ตน ทเี่ รยี กวา กเิ ลสนน้ั แหละเปน เหตกุ ารณ
ท่ีเหมาะสม ถืออันนั้นเปนประมาณ ควรจะพิจารณาแยกแยะ
ดว ยสตปิ ญ ญาขณะไหนผาดโผนเพยี งไรเอาใหเ ตม็ เมด็ เตม็ หนว ย
อยา ทอ ถอย ควรทจี่ ะทำใหส งบกเ็ อาใหส งบใหอ ยใู นเงอื้ มมอื ของ
นกั ปฏบิ ัติ ไมม ีคำวา มากอนมาหลงั
ปญญาไมส น้ิ สดุ กับผูใด - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปา บา นตาด วันที่ ๒ มนี าคม ๒๕๒๕
95
ถงึ เวลาพกั กต็ อ งพกั
ความจริงสมาธินั้นก็เปนพ้ืนฐานใหไดรับความสะดวก
สบายในขณะท่ีเขาพัก เชนเดียวกับคนทำงาน เราจะถือวา
การทำงานเปนผลโดยถายเดียว การพักผอนนอนหลับการ
รับประทานอาหารทำใหเสียเวล่ำเวลาและสิ้นเปลืองอาหาร
การกนิ ไปเปลา ๆ นน้ั กผ็ ดิ เพราะรา งกายเมอ่ื ไมม เี ครอื่ งบรรเทา
ไมมีเคร่ืองบำรุงรักษา หรือไมมีปจจัยเคร่ืองอุดหนุนแลว
จะทำงานทนไปไดแคไหน ... มันก็ตายคนเรา แมจะสิ้นเปลือง
ทรพั ยส มบตั หิ รอื อาหารการกนิ ไปมากนอ ย และเสยี เวลาไปเพราะ
การพกั ผอ นนอนหลบั กใ็ หเ สยี ไปในขณะนน้ั การเสยี ไปของเวลา
น้ี เพอ่ื เปน การสนบั สนนุ กำลงั หรอื สน้ิ เปลอื งอาหารทรี่ บั ประทาน
ลงไปก็เพ่ือเปนกำลังของรางกายที่จะทำงานตอไปใหถึงผล
สำเร็จ เพราะฉะน้ันสมาธิจึงเปนเชนเดียวกัน ถึงเวลาจะพัก
ผอน พักไมตองกังวลกับเร่ืองปญญาเลย บังคับเอาไวใหอยูกับ
ความสงบแนว ในขณะน้ัน
องครักษข องอวชิ ชา - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปาบานตาด วนั ที่ ๑๐ กนั ยายน ๒๕๒๑
96 : หลวงตาแกข้ อ้ สงสยั
อบุ ายวธิ ี ข้ึนกบั จริตนิสยั ดว ย
อบุ ายวธิ แี ตล ะอยา งๆ นนั้ ขน้ึ อยกู บั จรติ นสิ ยั ดว ย บางราย
เดินนานไดผลดี ท้ังที่ความเพียรดวยสติปญญาก็จดจออยูเชน
เดยี วกนั บางรายนงั่ ดี บางรายผอ นอาหารดี บางรายอดอาหารดี
อยางนี้ก็ตองหมุนไปตามการเห็นผลดีของตน รายใดที่ดีดวย
อุบายวธิ ีการใดกต็ องหนกั ไปตามอบุ ายวธิ ีการนั้น ซึง่ เหมาะกบั
จรติ ของตน ไมใชจ ะทำแบบสมุ แบบเดา เหน็ ใครทำก็ทำ ไดผล
ไมไดผลก็ทำอยางน้ัน นั่นเปนความผิดจากหลักธรรม คือ
ความฉลาด
ทวนกระแสโลก - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปาบา นตาด วนั ท่ี ๒๖ ตุลาคม ๒๕๒๔
97
นิพพานไมใ ชไ ตรลกั ษณ
นิพพาน คืออะไร ก็คือใจท่ีบริสุทธ์ิลวน ๆ ธรรมกับใจ
เปนอันเดียวกันแลวอยางสมบูรณ นั้นแลทานเรียกวานิพพาน
เท่ยี ง เอาตรงนัน้
นพิ พาน จึงไมใ ช อนจิ จฺ ํ
นพิ พาน จึงไมใ ช ทุกฺขํ
นิพพาน จงึ ไมใ ช อนตตฺ า
นิพพานจึงไมใชไตรลักษณ วานิพพานเปน อนตฺตาๆ
ถา นพิ พานเปน อนตตฺ าแลว ไตรลกั ษณค อื อะไรพจิ ารณาเพอื่ อะไร
ไตรลกั ษณค ือ อนจิ ฺจํ ทุกขฺ ํ อนตฺตา พิจารณาเพอ่ื พระนิพพาน
เม่ือถึงพระนิพพานแลว ทำไมนิพพานจึงจะมากลายเปน
อนตฺตาไปเสีย ซ่ึงเปนเรื่องของไตรลักษณ นิพพานวิเศษอะไร
เม่อื เปน เชน นนั้
ท่ีพ่ึงเปน พงึ่ ตาย - เทศนอบรมพระ
ณ วัดปาบานตาด วนั ที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๒๘
98 : หลวงตาแก้ขอ้ สงสัย
ปุถชุ น กับ พระอรหนั ต
ไมวาปุถุชน ไมวาพระอรหันต การชวยตัวเองนั่น
สัญชาตญาณมนั เปน ของมนั เองอยา งนัน้ ละ จะพลกิ ตัวทันที ๆ
จนกระทั่งวาไมไหวแลวถึงจะยอมลม ถายังจะพลิกตัวแกชวย
ตัวเองไดอยูแลว จะไมยอมหกลมกมกราบงาย ๆ อันน้ีคือ
สัญชาตญาณ จะเปนเหมือนกันหมดทั้งพระอรหันตท้ังปุถุชน
มีสัญชาตญาณที่รับผิดชอบตัวเอง แตจะใหยึดม่ันถือม่ัน
น้นั หมดปญ หาไปแลว จะไปพูดอะไร อะไรพาใหยดึ กเ็ ม่อื กเิ ลส
สิ้นไปหมดแลว จะเอาอะไรพาใหยึด หากเราไมใหมันยึดมันก็
ไมยึดจะวายังไง ไมมสี ง่ิ พาใหย ึดนี่ แตสญั ชาตญาณธรรมชาตนิ ี้
มีต้งั ใจไมตง้ั ใจมนั กเ็ ปนของมันเอง เสียดายไมเสยี ดายมันก็เปน
นล่ี ะทเี่ หมอื นกนั ระหวา งปถุ ชุ นกบั พระอรหนั ต คอื ความ
รบั ผดิ ชอบตามสญั ชาตญาณของตนเองแตล ะขนั ธ ๆ เหมอื นกนั
เชนวามองไปนี่รากไมมันเหมือนกับงู กาวลงไปน้ีกำลังจะ
เหยียบ เขา ใจวา งนู จ้ี ะโดดผงึ ทนั ทเี ลย นป่ี ถุ ุชนกับพระอรหนั ต
จะเหมอื นกนั แตส ง่ิ ทต่ี า งกนั กค็ อื จติ ปถุ ชุ นจะรอ นวบู เลย ตกอก
ตกใจภายในหวั ใจนี่ แตพ ระอรหนั ตท า นไม แยบ็ เดยี วเทา นนั้ พงุ
99
ทแ่ี ยบ็ คอื ความรบั ผดิ ชอบ โดดเหมอื นกนั แตจ ติ ไมไ หว นต่ี า งกนั
ตรงนน้ั ตางกนั อยภู ายในจิตเทา นั้น แตก ริ ิยานเ้ี หมอื นกนั ลน่ื นี้
ไมย อมลม งาย ๆ ละ
อยูอ ยา งมที ่พี ึ่ง - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปาบานตาด วันท่ี ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๒๘
100 : หลวงตาแกข้ อ้ สงสยั
ศลี สมาธิ ปญญา ... ไมมีอะไรเกดิ เอง
เพยี งมีศีลแลวสมาธจิ ะเกดิ เอง
มสี มาธแิ ลว ปญ ญาจะเกดิ เอง ดังน้ี
แมจนวนั ตายกไ็ มเ กดิ
อยาพากันนั่งคอยนอนคอยแบบลมๆ แลงๆ ท้ังศีล
ท้ังสมาธิ ทงั้ ปญ ญา ตองทำใหเ กิดทงั้ สนิ้ จึงจะเกดิ มี ...
ถามีศีลแลวไมทำสมาธิใหเกิดดวยจิตตภาวนา สมาธิก็
ไมเ กดิ อยากจะใหส มาธเิ กิดตองทำภาวนา ...
ถา อยากใหป ญ ญาเกดิ ตอ งคดิ คน ทางดา นปญ ญา ปญ ญา
ถงึ จะเกดิ ไมใ ชสมาธจิ ะไปหนนุ ใหปญญาเกดิ ไดเอง ...
ยอมตายกับความเพยี ร - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปาบานตาด วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๑
101
ภาวนาตองมหี นกั มีเบา
การปฏิบัติภาวนาก็ตองใหมีหนักมีเบา เหมือนเขาเดิน
ทางทีส่ ูงกก็ า ว ทีต่ ่ำกก็ าว ควรเรงกเ็ รง ทค่ี วรชา ก็ชา ท่คี วรเบา
ก็เบา ควรหนกั ตองหนัก เรื่องของความเพยี รเปน อยา งน้นั นะ
โมฆภิกษุ - เทศนอบรมพระ
ณ วัดปา บานตาด วนั ท่ี ๒ เมษายน ๒๕๓๓
102 : หลวงตาแก้ขอ้ สงสัย
ศลี เปนร้ัว
ศีลน้ันเปนธรรมข้ันหยาบ ทานใหชื่อวาศีล ความจริง
ก็คือธรรมข้ันหยาบ เพ่ือรักษากายวาจาที่แสดงออก อาจเปน
ความเสียหายทำลายตนเองและผูเกี่ยวของมากมายได จึงตอง
ใหร ะมดั ระวงั รกั ษา ธรรมประเภทนใ้ี หช อื่ วา เปน ศลี ความจรงิ ก็
คอื ธรรมนน่ั แล เหมอื นกบั รวั้ ของบา น ศลี เหมือนรวั้ บา น ธรรม
เหมือนกบั สมบตั ิอยูในบา น มคี ุณคา มากนอ ยเพียงไรกเ็ ก็บไวใน
ทีป่ ลอดภยั หรอื ทดี่ ที ี่สุดในบานของเรา
ศลี เปน รว้ั สำหรบั กน้ั เขตแดนหรอื อนั ตรายตา ง ๆ เพราะ
ฉะน้ันจึงตองรักษาศีล เพ่ือไมใหสิ่งท่ีเปนขาศึกท้ังหลายเขามา
ยำ่ ยธี รรมอนั เปน สว นละเอยี ด ซง่ึ กำลงั จะงอกงามขน้ึ ภายในจติ
ดวยการปฏบิ ัติจติ ตภาวนาของเรา น่เี ปนหลกั ใหญ
แทงทะลุดวยสติปญ ญา - เทศนอบรมพระ
ณ วดั ปา บานตาด วนั ท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๒๓
103
คำบริกรรม คอื ความคิดความปรุง ?
อารมณแ หง ธรรม คือ ความคดิ ความปรงุ ในคำบริกรรม
น้ี แมจะเปนความปรุงเหมือนกันกับความคิดปรุงตางๆ ท่ีเกิด
ขึ้นเพราะกิเลสผลักดันใหคิดใหปรุง แตความคิดปรุงประเภท
น้ีเปนความคิดปรุงในแงธรรมเพื่อความสงบ ผิดกับความคิด
ปรุงธรรมดาของกิเลสพาใหปรุงอยูมาก กิเลสพาใหคิดปรุงน้ัน
เหมอื นเราเอามอื หรอื เอาไมล งกวนนำ้ ทมี่ ตี ะกอนอยแู ลว แทนที่
มันจะใสแตกลับขุนมากข้ึนฉะนั้น แตถาเอาสารสมลงกวนน้ัน
ผิดกัน น้ำกลับใสข้ึนมา น่ีการนำอารมณเขามากวนใจ แทนที่
ใจจะสงบ แตกลับไมสงบและกลับแสดงผลขึ้นมาใหเปนความ
ทุกขรอนเสยี อกี ถาเอาพุทโธเปน ตน เขา ไปบริกรรมหรือแกวง
ลงในจิต โดยบริกรรมพุทโธๆ แมจะเปนความคิดปรุงเหมือน
กันก็ตามแตคำวาบริกรรมนี้ซ่ึงเปรียบเหมือนสารสม จึงทำให
ใจสงบเยน็ ลงไป
ขันธ ๕ ตางหากจากจิต - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปาบานตาด วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๒๑
104 : หลวงตาแก้ขอ้ สงสยั
มัชฌิมาปฏิปทา ... ไมใ ชเ ปนฟน ทงั้ ดนุ
กเิ ลสมหี ลายประเภท เครอื่ งมอื ทจี่ ะแกก เิ ลสกต็ อ งหลาย
ประเภท รวมแลวเรียกวามัชฌิมา คือเหมาะสม ใชสติปญญา
ความเพียรใหเ หมาะสมกบั กิเลสประเภทนนั้ ๆ ... คำวา มชั ฌมิ า
ปฏิปทาไมใชเปนฟนทั้งดุน แตมีลักษณะทาทีหมุนทันกับกิเลส
ทุกประเภท กิเลสหยาบปญญาก็หนัก ปญญาสูกันก็ตองหนัก
ความเพยี รตอ งหนัก เพราะอยูใ นเกณฑบงั คบั บัญชาตอ งบงั คับ
บญั ชา ยงั ไมถ งึ เกณฑเ ปน อตั โนมตั กิ ต็ อ งไดบ งั คบั บญั ชาเสยี กอ น
เพราะจติ ยงั ไมเห็นผลของงาน เชน ยงั ไมเหน็ ผลของสมาธนิ ี้ยิ่ง
ข้ีเกียจภาวนาไมอยากทำ พอเริ่มเห็นผลสมาธิคือความสงบ
เกิดความเย็นใจเกิดความสุข เกิดความแปลกประหลาดข้ึนมา
นั้นแหละคือผล ทีนี้เกิดเปนเครื่องดูดดื่มจิตใจใหมีความ
พากเพียรตอ ไป
พอเปน สมาธแิ ลว ทางดา นปญ ญา ผลเกดิ ทางดา นปญ ญา
ยังไมมี ก็ตองไดบังคับทางดานปญญาใหพิจารณา ไมอยาง
นั้นติดสมาธิ ติดสมาธิแลวถอนตัวไมออก เกิดเขาใจวาความ
บริสุทธ์ิอยูกับสมาธิ เขาใจวานิพพานอยูกับสมาธิไปเสียแลว
105
เลยกลายเปนความเห็นผิดไป พากันเขาใจอยางน้ี ถึงเวลา
พจิ ารณาทางดา นปญ ญา จะพจิ ารณาแยกแยะเรอื่ งธาตเุ รอื่ งขนั ธ
ใหเ ปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า หรอื เปน อสภุ ะอสภุ งั ใหจ ติ จอ อยนู น้ั
กบั งานไมล ดละถอยหลัง หมนุ ต้ิว ๆ อยู สติเปนเครื่องควบคุม
อยา คดิ เรอ่ื งอะไรทง้ั หมดเวลานนั้ เปน เรอื่ งอดตี อนาคตไมส ำคญั
ยิ่งกวาเร่ืองปจจุบันท่ีเรากำลังพิจารณาอยูน้ัน เม่ือเราไดฝกฝน
อบรมอยูเสมอ สติยอมมีความสืบตอกันไปเร่ือย ๆ คอยเจริญ
รุงเรืองขึ้นไปเร่ือย ๆ พอมีเหตุการณอะไรมาสัมผัสสัมพันธน้ี
สติจะมาทันที ปญญาจะวิ่งตามกันปบ ๆ ไปพรอมกันสติกับ
ปญญา เวลาปญญามีความชำนาญข้ึนแลวก็เปนอยางน้ัน สติ
มีความชำนาญก็ระลึกรูไดเร็ว เวลามีสิ่งมาสัมผัสเกิดขึ้นจาก
การทีเ่ ราอบรมอยูเสมอ ยอมมีความเจรญิ เติบโตขนึ้ ได เหมอื น
กันกับเด็กท่ีไดรับการเล้ียงดูดวยความถูกตอ ง สติปญญาก็เปน
เชน นั้น
องครกั ษข องอวชิ ชา - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปา บา นตาด วนั ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๒๑
106 : หลวงตาแกข้ อ้ สงสยั
มชั ฌิมาของกเิ ลส
เราอยาเขาใจวาปฏิบัติไปเสมอ ๆ อยูธรรมดา ๆ เปน
มชั ฌมิ าของธรรม นน่ั มนั มชั ฌมิ าของกเิ ลสตา งหาก ไมใ ชม ชั ฌมิ า
ของธรรม ควรหนกั ก็ตองหนกั มชั ฌมิ าแปลวา ความเหมาะสม
หรอื ทามกลาง ทามกลางกค็ อื ความเหมาะสมความพอดนี นั่ เอง
จะพอดีกับกิเลสประเภทใดๆ ก็ผลิตขึ้นมาบรรดาสติปญญา
ศรัทธา ความเพียร ความเพียรก็ใหกลาแข็ง แข็งจนแกรงเปน
หนิ เปน เหลก็ ไปเลย สตปิ ญ ญากต็ งั้ ไมห ยดุ ไมถ อย พนิ จิ พจิ ารณา
ไมละไมวางเพราะสติปญญาอยูกับตัวของเราเอง นี่เรียกวา
มัชฌิมา คือเหมาะสมกับการแกกิเลสแตละประเภทๆ และ
แตละกาลแตละสมัยที่กิเลสปรากฏตัวขึ้นมา และตอสูกัน
ไมล ดละปลอยวาง
ยอมตายกับความเพียร - เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปาบา นตาด วนั ที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๑
107
กรรมฐาน ๔๐ ... ไมต องเอาทง้ั หมด
การจะทำจิตใหเปนสมาธิดวยอุบายวิธีใดที่เปนสมถวิธี
ทที่ า นแสดงไวห ลายแงห ลายกระทง เพอ่ื ใหเ หมาะกบั จรติ จติ ใจ
ของผูปฏิบัติธรรมซึ่งมีแปลกตางกัน ทานกลาวไววากรรมฐาน
๔๐ หอง มีอนุสสติ ๑๐ เปนตน รวมกันทั้งหมดเปน ๔๐
คำวา ๔๐ นี้ ไมใ ชเ ราจะกวานเอามาประพฤติปฏิบตั ิหมด เม่ือ
ชอบในธรรมบทใดใน ๔๐ วิธีการนั้น ก็นำวิธีท่ีตนชอบนั้น
มาอบรมจิตใจอันเปนแนวทางเครื่องชวยกัน ใจเมื่อไดรับการ
อบรมดวยความถูกตอง และธรรมท่ีเหมาะกับจริตจิตใจ จิตใจ
ของตนยอ มมีความสงบได
ฝกจิตใหม ีคณุ คา – เทศนอ บรมพระ
ณ วดั ปา บานตาด วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๑
108 : หลวงตาแกข้ อ้ สงสยั
ครอู าจารย สำคัญมาก
เร่ืองครูบาอาจารยสำคัญมาก จะทำใหกะทัดรัดเขาไป
เรือ่ ย ๆ รวดเร็วราบร่นื ดีกวาทำโดยลำพังอยูมาก นีแ่ ลทางดา น
จิตตภาวนาจึงสำคัญมากสำหรับครูอาจารยผูคอยใหอุบาย
จะเอาธรรมสมุ สส่ี มุ หา มาสอนกนั ไมไ ดน ะเรยี นจนจบพระไตรปฎ ก
ก็เถอะ นี่มิไดประมาทการเรียน พูดตามความจริง ถาลงจิตนี้
ไมไ ดท รงอรรถทรงธรรมประจกั ษใ จจากการปฏบิ ตั แิ ลว จะสอน
ไมถูกจุดที่จำเปน แมยกมาสอนทั้งพระไตรปฎก ก็ไมถูกจุดที่
ตอ งการ ถา ไมร ทู างจติ ตภาวนามากอ น ถา เปน ยากย็ กกนั ทงั้ หบี
น่ันแล ไมส ามารถหยบิ ยาขนานเฉพาะมารักษาคนไขไ ด
พระกรรมฐานตดิ ครอู าจารย - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปาบานตาด วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๒๔
109
หนักแนนอยา ถอยหลัง
หลักใหญของการปฏิบัติก็คือ จงมีความหนักแนนแกน
นักรบ หวังจบชีวิตในสงครามลางโลกออกจากใจ ถาไมชนะก็
ตองตายถวายชีวิตเปนพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ไปเลย
อยาถอยหลังดวยความพายแพ จะเสียหนาและถูกกิเลส
เยยหยันไปนาน ทนความต่ำตอยนอยหนา อับอายกิเลสวัฏฏ
ไมไ หว ไปโลกไหนจะมแี ตก เิ ลสตามชห้ี นา วา มาเกดิ แบกกองทกุ ข
หาสมบัติอะไรไอคนไมเปนทา รบกันทีไรแพเราหลุดลุยทุกที
ไมเคยมีคำวา “ชนะ” บา งเลย น่ันฟงซิ
วตั รเคร่ืองหามลอ กิเลส - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปา บา นตาด วนั ท่ี ๑๙ มกราคม ๒๕๒๐
112 : คำยำ้ เตอื น
อยากไปนพิ พานเปนมรรค ไมใ ชต ณั หา
ความอยากไปนิพพานน้ันเปนมรรค ไมใชเปนตัณหา
อยากพนทุกขเปนมรรคไมใชเปนตัณหา ความอยากมีสอง
ประเภท อยาก(ที)่ เปนโลก อยาก(ท)ี่ เปน ธรรม ...
ทีนี้ความอยากหลดุ พน จากทกุ ข ความอยากไปนพิ พาน
สรางกำลังทางดานอรรถดานธรรมใหมากข้ึนภายในตนเอง
ความอตุ สา หก เ็ ปน มรรค ความเพยี รเปน มรรค ความอดความทน
เปน มรรค ความบกึ บนึ ทกุ แงท กุ มมุ เพอื่ ความพน ทกุ ขเ ปน มรรค
ท้ังมวล เมือ่ ถึงทถ่ี ึงฐานเต็มทีแ่ ลว ความอยากกห็ ายไป
พฒั นาจติ ใหพ น พลังดึงดดู ของกเิ ลส - เทศนอบรมพระ
ณ วัดปาบา นตาด วันท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๒๕
113
อยาประมาท
ขอใหทุกทานจงอยาประมาทนิ่งนอนใจ จะเสียวันเสีย
เวลาและชีวิตจิตใจไปวันละเล็กละนอย ตายแลวไดประโยชน
อะไร ประโยชนจะไดในขณะที่มีชีวิตอยูเทาน้ัน ตายแลวหมด
ราคา แมอวัยวะยังมีอยูยังไมสลายจากกันก็ตาม พอความ
รูสึกออกจากรางแลวเขาเรียกวาคนตายกันทั้งน้ัน และจะทำ
ประโยชนอะไรไดเ ลา เพราะ ศีล สมาธิ ปญญา พระนพิ พาน
ไมเคยปรากฏมีในคนตาย ตลอดปฏิปทาทุกขอ พระองคไม
ไดทรงประทานใหแกคนตาย แตประทานใหไวสำหรับคนเปน
ทมี่ คี วามรสู กึ ด-ี ช่วั สขุ -ทุกข อยเู ทาน้ัน
เขา สูแดนอวกาศของจติ ของธรรม - เทศนอ บรมพระ
ณ วัดปาบา นตาด วันท่ี ๕ พฤศจิกายน ๒๕๐๕
114 : คำยำ้ เตอื น
เพียงมศี ลี แลว้ สมาธิจะเกิดเอง
มีสมาธแิ ลว้ ปัญญาจะเกิดเองดังน้ี
แม้จนวนั ตายก็ไม่เกดิ
อยา่ พากันนง่ั คอยนอนคอยแบบลม ๆ แล้ง ๆ
ทั้งศลี ทง้ั สมาธิ ทงั้ ปญั ญา
ต้องทำใหเ้ กิดทัง้ ส้ิน
จงึ จะเกดิ มี
ยอมตายกบั ความเพยี ร
๒๓ ส.ค. ๒๑