1 เอกสารประกอบหลักสูตร โรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม พุทธศักราช 2566 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิจิตร ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
2 ค าน า หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พุทธศักราช 2561 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) นี้ ได้จัดท าขึ้นตามแนวทางที่ก าหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และเป็นไปตามมาตรา 27 วรรคสองแห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2552 ซึ่งก าหนดให้สถานศึกษามีหน้าที่จัดท าสาระของหลักสูตรสถานศึกษาตามวัตถุประสงค์ ที่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานก าหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้มีคุณภาพด้านความรู้ และ ทักษะที่จ าเป็นส าหรับการด ารงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง และแสวงหาความรู้ เพื่อพัฒนาตนเอง อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต คณะกรรมการกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนก าแพงดินพิทยาคมหวัง เป็นอย่างยิ่งว่าหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้เล่มนี้จะเป็นประโยชน์ส าหรับครูผู้สอนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง น าไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดการเรียนการสอนต่อไป คณะกรรมการกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม
3 สารบัญ เรื่อง หน้า ค าน า ส่วนที่ 1 หลักสูตรโรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม 1 วิสัยทัศน์ 2 อัตลักษณ์ของโรงเรียน 2 เอกลักษณ์ของโรงเรียน 2 พันธกิจ 2 เป้าประสงค์ 3 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน 3 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน 4 ส่วนที่ 2 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 5 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 7 คุณภาพผู้เรียน 8 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง 11 วิทยาศาสตร์เพิ่มเติม 42 ผลการเรียนรู้และสาระการเรียนรู้เพิ่มเติม 49 โครงสร้างของกลุ่มสาระการเรียนรู้ ค าอธิบายรายวิชา โครงสร้างรายวิชา หน่วยการเรียนรู้ ภาคผนวก คณะผู้จัดท า ประกาศโรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม ค าสั่งโรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม
4 คณะผู้จัดท า 1. นางสาวนัฐนิดา กล่อมเอี่ยม ต าแหน่ง ครู โรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม 2. นายธีรวัฒน์ มั่นขันธ์ ต าแหน่ง ครู โรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม 3. นางสาวเจนจิรา ศรีสมบัติ ต าแหน่ง ครู โรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม 4. นางสาวปริยาภัทร แสงนาค ต าแหน่ง ครู โรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม 5. นายดิศรณ์ สามัญตระกูล ต าแหน่ง ครู โรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม
5 ส่วนที่ 1 หลักสูตรโรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม หลักสูตรโรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม พุทธศักราช 2561 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ความน า พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2542 พร้อม กฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และพระราชบัญญัติภาคบังคับ พ.ศ.2545 มุ่งเน้นให้การปฏิรูประบบบริหารและ การจัดการทางการศึกษาให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตามค าสั่งกระทรวงศึกษาธิการที่ส านักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ 293/2551 เรื่อง ให้ใช้หลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2551 ก าหนดให้สถานศึกษาในสังกัดจัดการเรียนการสอนโดยใช้หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ตามค าสั่งส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ 821/2561 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2561 เรื่อง ยกเลิกมาตรฐานการเรียนรู้ตัวชี้วัด สาระที่ 2 การออกแบบและเทคโนโลยี และสาระที่ 3 เทคโนโลยีและการสื่อสาร ในกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และเปลี่ยนชื่อกลุ่มสาระการเรียนรู้ และค าสั่งส านักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ 922/2561 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2561 เรื่อง การปรับปรุง โครงสร้างเวลาเรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 รวมถึงส านักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ประกาศการปรับปรุงหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และสาระภูมิศาสตร์(ฉบับปรับปรุง 2560) และให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานปรับปรุงหลักสูตร สถานศึกษาให้เป็นปัจจุบันสอดคล้องสภาวะแวดล้อมโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม จึงด าเนินการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา พุทธศักราช 2566 ขึ้น เพื่อสามารถน าไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้มีความสอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น หลักสูตร ชาติและการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน สามารถเรียนรู้และเท่าทันสังคมในยุคดิจิทัลของศตวรรษที่ 21 ต่อไป วิสัยทัศน์ หลักสูตรโรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม พุทธศักราช 2566 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2561 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็นพลเมืองของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้ง ด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตส านึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครอง ตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติ ที่จ าเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ การศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญบนพื้นฐาน
6 ความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ ตลอดจนมุ่งเน้นจัดการเรียนรู้ให้มี คุณภาพและมาตรฐานระดับสากล สอดคล้องกับประเทศไทย 4.0 และโลกในศตวรรษที่ 21 หลักการ หลักสูตรโรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม พุทธศักราช 2566 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ดังนี้ 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดมุ่งหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายส าหรับพัฒนาเด็ก เยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติและคุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็น ไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค และมีคุณภาพ 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอ านาจให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและ ให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่ยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการเรียนรู้ 5. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาส าหรับการศึกษาในระบบโรงเรียน ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายและ สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์ จุดหมาย หลักสูตรโรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม พุทธศักราช 2566 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุขและมีศักยภาพในการศึกษาต่อและ ประกอบอาชีพ จึงก าหนดจุดหมายให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษา ดังนี้ 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตาม หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมีทักษะชีวิต 3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัยและรักการออกก าลังกาย 4. มีความรักชาติ มีจิตส านึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการ ปกครองตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5. มีจิตส านึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น มีจิตสาธารณะที่มุ่งท าประโยชน์และ สร้างสิ่งที่ดีงามในสังคมและอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข
7 สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน หลักสูตรโรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม พุทธศักราช 2566 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งช่วยให้เกิดสมรรถนะ ส าคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรอง เพื่อขจัดและ ลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยค านึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยค านึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อ ตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการน ากระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ใน การด าเนินชีวิตประจ าวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การท างาน และการอยู่ ร่วมกัน ในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จัก หลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือก และใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การท างาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน หลักสูตรโรงเรียนก าแพงดินพิทยาคม พุทธศักราช 2566 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่น ในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์สุจริต 3. มีวินัย
8 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการท างาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ
9 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิต กับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่ า การถ่ายทอด พลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมาย ของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4 1. สืบค้นข้อมูลและอธิบายความสัมพันธ์ของ สภาพทางภูมิศาสตร์บนโลกกับความลาก หลายของไบโอมและยกตัวอย่างไบโอมชนิด ต่าง ๆ • บ ริเวณ ของโลกแต่ ละบ ริเวณ มีสภ าพท าง ภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน แบ่งออกได้เป็นหลายเขต ตามสภาพภูมิอากาศและปริมาณน้ าฝน ท าให้มี ระบบนิเวศที่หลากหลายซึ่งส่งผลให้เกิดความ หลากหลายของไบโอม 2. สืบค้นข้อมูล อภิปรายสาเหตุและ ยกตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงแทนที่ของระบบ นิเวศ • การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศเกิดขึ้นได้ ตลอดเวลาทั้งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติและเกิดจากการกระท าของมนุษย์ • การเปลี่ยนแปลงแทนที่เป็นการเปลี่ยนแปลงของ กลุ่มสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ เป็นเวลานาน ซึ่งเป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ ทางกายภาพและทางชีวภาพ ส่งผลให้ระบบนิเวศ เปลี่ยนแปลงไปสู่สมดุลจนเกิดสังคมสมบูรณ์ได้ 3. สืบค้นข้อมูล อธิบายและยกตัวอย่าง เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบ ทางกายภาพและทางชีวภาพที่มีผลต่อ การเปลี่ยนแปลงขนาดของประชากร สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ • การเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบในระบบนิเวศ ทั้งท างกายภ าพและท างชีวภาพมีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงขนาดของประชากร 4. สืบค้นข้อมูลและอภิปรายเกี่ยวกับปัญหา และผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งน าเสนอแนวทาง • มนุษย์ใช้ทรัพยากรธรรมชาติโดยปราศจาก ความระมัดระวัง และมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อช่วยอ านวยความสะดวกต่างๆ แก่มนุษย์ส่งผล
10 ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการ แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ต่อการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม • ปัญ ห าที่ เกิ ดกับ ท รัพ ย าก รธ ร รม ช าติ แ ล ะ สิ่งแวดล้อมบางปัญหาส่งผลกระทบในระดับท้องถิ่น บางปัญหาก็ส่งผลกระทบในระดับประเทศ และบาง ปัญหาส่งผลกระทบในระดับโลก • การลดปริมาณการใช้ทรัพยากรธรรมชาติก า ร ก าจัดของเสียที่เป็นสาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อม และการวางแผนจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ดี เป็ น ตั ว อ ย่ าง ข อง แ น ว ท างใน ก า ร อ นุ รั ก ษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ และการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ยั่งยืน ม.5 - - ม.6 - -
11 สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การล าเลียงสารเข้าและออก จากเซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ ที่ท างานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืช ที่ท างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4 1. อธิบายโครงสร้างและสมบัติของเยื่อหุ้ม เซลล์ที่สัมพันธ์กับการล าเลียงสาร และ เปรียบเทียบการล าเลียงสารผ่านเยื่อหุ้ม เซลล์แบบต่าง ๆ • เยื่อหุ้มเซลล์มีโครงสร้างเป็นเยื่อหุ้มสองชั้นที่มีลิพิด เป็นองค์ประกอบและมีโปรตีนแทรกอยู่ • สารที่ละลายได้ในลิพิดและสารที่มีขนาดเล็ก สามารถแพร่ผ่านเยื่อหุ้มเซลล์ได้โดยตรงส่วนสาร ขนาดเล็กที่มีประจุต้องล าเลียงผ่านโปรตีนที่แทรกอยู่ ที่เยื่อหุ้มเซลล์ซึ่งมี2 แบบ คือการแพร่แบบฟาซิลิ เทต และแอกทีฟทรานสปอร์ต ในกรณีสารขนาด ใหญ่ เช่น โปรตีน จะล าเลียงเข้าโดยกระบวนการเอน โดไซโทซิสหรือล าเลียงออกโดยกระบวนการเอกโซไซ โทซิส 2. อธิบายการควบคุมดุลยภาพของน้ าและ สารในเลือดโดยการท างานของไต • การรักษาดุลยภาพของน้ าและสารในเลือด เกิดจากการท างานของไต ซึ่งเป็นอวัยวะใน ระบบ ขับถ่ายที่มีความส าคัญในการก าจัดของเสียที่มี ไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบรวมทั้งน้ าและสารที่มี ปริมาณเกินความต้องการของร่างกาย 3. อธิบายการควบคุมดุลยภาพของกรดเบสของเลือดโดยการท างานของไตและปอด • การรักษาดุลยภาพของกรด-เบสในเลือดเกิดจาก การท างานของไตที่ท าหน้าที่ขับหรือดูดกลับ ไฮโดรเจนไอออน ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน และแอมโมเนียมไอออนและการท างานของปอด ที่ท าหน้าที่ก าจัดคาร์บอนไดออกไซด์
12 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 4. อธิบายการควบคุมดุลยภาพของอุณหภูมิ ภายในร่างกายโดยระบบหมุนเวียนเลือด ผิวหนัง และกล้ามเนื้อโครงร่าง • การรักษาดุลยภาพของอุณหภูมิภายในร่างกาย เกิดจากการท างานของระบบหมุนเวียนเลือดที่ ควบคุมปริมาณเลือดไปที่ผิวหนังการท างานของ ต่อมเหงื่อและกล้ามเนื้อโครงร่าง ซึ่งส่งผลถึง ปริมาณความร้อนที่ถูกเก็บหรือระบายออกจาก ร่างกาย 5. อธิบายและเขียนแผนผังเกี่ยวกับการ ตอบสนองของร่างกายแบบไม่จ าเพาะและ แบบจ าเพาะต่อสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย • เมื่อเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมอื่นเข้าสู่เนื้อเยื่อ ในร่างกาย ร่างกายจะมีกลไกในการต่อต้าน หรือ ท าลายสิ่งแปลกปลอมทั้งแบบไม่จ าเพาะและแบบ จ าเพาะ • เซลล์เม็ดเลือดขาวกลุ่มฟาโกไซต์จะมีกลไกในการ ต่อต้านหรือท าลายสิ่งแปลกปลอมแบบไม่จ าเพาะ • กลไกในการต่อต้านหรือท าลายสิ่งแปลกปลอม แบบจ าเพาะเป็นการท างานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ลิมโฟไซต์ชนิดบีและชนิดทีซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวทั้ง สองชนิดจะมีตัวรับแอนติเจน ท าให้เซลล์ทั้งสอง สามารถตอบสนองแบบจ าเพาะต่อแอนติเจนนั้นๆ ได้ • เซลล์บีท าหน้าที่สร้างแอนติบอดีซึ่งช่วยในการจับ กับสิ่งแปลกปลอมต่างๆ เพื่อท าลายต่อไปโดยระบบ ภูมิคุ้มกัน เซลล์ทีท าหน้าที่หลากหลาย เช่น กระตุ้น การท างานของเซลล์บีและเซลล์ทีชนิดอื่น ท าลาย เซลล์ที่ติดไวรัสและเซลล์ที่ผิดปกติอื่น ๆ 6. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และยกตัวอย่างโรค หรืออาการที่เกิดจากความผิดปกติของระบบ ภูมิคุ้มกัน • บางกรณีร่างกายอาจเกิดความผิดปกติของระบบ ภูมิคุ้มกัน เช่น ภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อแอนติเจนบาง ชนิดอย่างรุนแรงมากเกินไปหรือร่างกาย มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อแอนติเจนของตนเองอาจท า ให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติได้ 7. อธิบายภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องที่มีสาเหตุ มาจากการติดเชื้อ HIV • บุคคลที่ได้รับเลือดหรือสารคัดหลั่งที่มีเชื้อ HIV ซึ่งสามารถท าลายเซลล์ที่ท าให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง และติดเชื้อต่างๆ ได้ง่ายขึ้น 8. ทดสอบและบอกชนิดของสารอาหาร • กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเป็นจุดเริ่มต้น
13 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ที่พืชสังเคราะห์ได้ 9. สืบค้นข้อมูล อภิปราย และยกตัวอย่าง เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากสารต่าง ๆ ที่ พืชบางชนิดสร้างขึ้น ของการสร้างน้ าตาลในพืชพืชเปลี่ยนน้ าตาลไปเป็น สารอาหารและสารอื่นๆเช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ที่จ าเป็นต่อการด ารงชีวิตของพืชและสัตว์ • มนุษย์สามารถน าสารต่าง ๆ ที่พืชบางชนิดสร้าง ขึ้นไปใช้ประโยชน์เช่น ใช้เป็นยาหรือสมุนไพรในการ รักษาโรคบางชนิด ใช้ในการไล่แมลง ก าจัดศัตรูพืช และสัตว์ ใช้ในก ารยับยั้งก ารเจริญ เติบโตของ แบคทีเรีย และใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม 10. ออกแบบการทดลอง ทดลอง และ อธิบายเกี่ยวกับปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการ เจริญเติบโตของพืช 11. สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสารควบคุมการ เจริญเติบโตของพืชที่มนุษย์สังเคราะห์ขึ้น และยก ตั วอ ย่ างก ารน าม าป ระยุก ต์ใช้ ทางด้านการเกษตรของพืช • ปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการเจริญเติบโต เช่น แสง น้ า ธาตุอาหาร คาร์บอนไดออกไซด์และออกซิเจน ปั จ จัยภ ายใน เช่น ฮ อ ร์โมน พื ช ซึ่งพื ชมี ก า ร สังเคราะห์ขึ้นเพื่อควบคุมการเจริญเติบโตในช่วงชีวิต ต่างๆ • มนุษย์มีการสังเคราะห์สารควบคุมการเจริญเติบโต ของพืชโดยเลียนแบบฮอร์โมนพืช เพื่อน ามาใช้ ควบคุมการเจริญเติบโตและเพิ่มผลผลิตของพืช 12. สังเกต และอธิบายการตอบสนองของ พืชต่อสิ่งเร้าในรูปแบบต่างๆ ที่มีผลต่อการ ด ารงชีวิต • การตอบสนองต่อสิ่งเร้าของพืชแบ่งตามความ สัมพันธ์กับทิศทางของสิ่งเร้าได้ ได้แก่ แบบที่มี ทิศทางสัมพันธ์กับทิศทางของสิ่งเร้า เช่น ดอกทานตะวันหันเข้าหาแสง ปลายรากเจริญเข้าหา แรงโน้มถ่วงของโลก และแบบที่ไม่มีทิศทางสัมพันธ์ กับทิศทางของสิ่งเร้า เช่น การหุบและบานของดอก หรือการหุบและกางของใบพืชบางชนิด • การตอบสนองต่อสิ่งเร้าของพืชบางอย่างส่งผล ต่อการเจริญเติบโต เช่น การเจริญในทิศทางเข้าหา หรือตรงข้ามกับแรงโน้มถ่วงของโลก การเจริญในทิศ ทางเข้าหาหรือตรงข้ามกับแสง และการตอบสนอง ต่อการสัมผัสสิ่งเร้า ม.5 - - ม.6 - -
14 สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความส าคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พันธุกรรมการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทาง ชีวภาพและ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4 1. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างยีน การสังเคราะห์โปรตีน และลักษณะทาง พันธุกรรม • ดีเอ็นเอ มีโครงสร้างประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์ มาเรียงต่อกัน โดยยีนเป็นช่วงของสายดีเอ็นเอที่มี ล าดับนิวคลีโอไทด์ที่ก าหนดลักษณะของโปรตีน ที่สังเคราะห์ขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดลักษณ ะท าง พันธุกรรมต่างๆ 2. อธิบายหลักการถ่ายทอดลักษณะที่ถูก ควบคุมด้วยยีนที่อยู่บนโครโมโซมเพศและ มัลติเปิลแอลลีล • ลักษณะบางลักษณะมีโอกาสพบในเพศชาย และเพศหญิงไม่เท่ากัน เช่น ตาบอดสีและฮีโมฟี เลียซึ่งควบคุมโดยยีนบนโครโมโซมเพศบางลักษณะ มีการควบคุมโดยยีนแบบมัลติเปิลแอลลีล เช่น หมู่เลือดระบบ ABO ซึ่งการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมดังกล่าวจัดเป็นส่วนขยายของพันธุ ศาสตร์เมนเดล 3. อธิบายผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง ล าดับนิวคลีโอไทด์ในดีเอ็นเอต่อการแสดง ลักษณะของสิ่งมีชีวิต 4. สืบค้นข้อมูล และยกตัวอย่างการน า มิวเทชันไปใช้ประโยชน์ • มิวเทชันที่เปลี่ยนแปลงล าดับนิวคลีโอไทด์ หรือ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างหรือจ านวนโครโมโซม อาจส่งผลท าให้ลักษณะของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลง ไปจากเดิม ซึ่งอาจมีผลดีหรือผลเสีย • มนุษย์ใช้หลักการของการเกิดมิวเทชันในการชัก น าให้ได้สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะที่แตกต่างจากเดิม โดยการใช้รังสีและสารเคมีต่างๆ 5. สืบ ค้น ข้อมู ล แ ละอภิ ป ร ายผลของ เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอที่มีต่อมนุษย์และ สิ่งแวดล้อม • มนุษย์น าความรู้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอมา ประยุกต์ใช้ทางด้านการแพทย์และเภสัชกรรม เช่น การสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม เพื่อผลิตยา และวัคซีน ด้านก ารเกษตร เช่น พื ชดัดแป ร พันธุกรรมที่ต้านทานโรคหรือแมลง สัตว์ดัดแปร พันธุกรรมที่มีลักษณะตามที่ต้องการ และด้านนิติ วิทยาศาสตร์เช่น การตรวจลายพิมพ์ดีเอ็นเอ เพื่อ
15 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง หาความสัมพันธ์ทางสายเลือด หรือเพื่อหาผู้กระท า ผิด • การใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในด้านต่างๆ ต้อง ค านึงถึงความปลอดภัยทางชีวภาพ ชีวจริยธรรม และผลกระทบทางด้านสังคม 6. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และยกตัวอย่าง ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตซึ่งเป็น ผลมาจากวิวัฒนาการ • สิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบันมีลักษณะที่ปรากฏให้ เห็นแตกต่างกันซึ่งเป็นผลมาจากความหลากหลาย ของลักษณะทางพันธุกรรม ซึ่งเกิดจากมิวเทชัน ร่วมกับการคัดเลือกโดยธรรมชาติ • ผลจากกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ท าให้ สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมาะสมในการด ารงชีวิต สามารถปรับตัวให้อยู่รอดได้ในสิ่งแวดล้อมนั้นๆ • กระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติเป็นหลักการ ที่ส าคัญอย่างหนึ่งที่ท าให้เกิดวิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิต ม.5 - - ม.6 - -
16 สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสาร กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการ เปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4 - - ม.5 1. ระบุว่าสารเป็นธาตุหรือสารประกอบและ อยู่ในรูปอะตอม โมเลกุล หรือไอออนจาก สูตรเคมี • สารเคมีทุกชนิดสามารถระบุได้ว่าเป็นธาตุ หรือ สารประกอบและอยู่ในรูปของอะตอม โมเลกุล หรือไอออนได้ โดยพิจารณาจากสูตรเคมี 2. เปรียบเทียบความเหมือนและความ แตกต่างของแบบจ าลองอะตอมของโบร์กับ แบบจ าลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก • แบบจ าลองอะตอมใช้อธิบายต าแหน่งของ โปรตอนนิวตรอน และอิเล็กตรอนในอะตอม โดย โปรตอนและนิวตรอนอยู่รวมกันในนิวเคลียส ส่วน อิเล็ก ต รอน เคลื่ อนที่ รอบ นิ วเคลี ย ส ซึ่งใน แบบจ าลองอะตอมของโบร์อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ เป็นวง โดยแต่ละวงมีะยะห่างจากนิวเคลียสและมี พลังงานต่างกัน และอิเล็กตรอน วงนอกสุด เรียกว่า เวเลนซ์อิเล็กตรอน • แบบจ าลองอะตอมแบบกลุ่มหมอกแสดงโอกาส ที่จะพบอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียสในลักษณะกลุ่ม หมอกเนื่องจากอิเล็กต รอนมีขน าดเล็กและ เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วตลอดเวลา จึงไม่สามารถ ระบุต าแหน่งที่แน่นอนได้ 3. ระบุจ านวนโปรตอน นิวตรอน และ อิเล็กตรอนของอะตอม และไอออนที่เกิด จากอะตอมเดียว • อะตอมของธาตุเป็นกลางทางไฟฟ้า มีจ านวน โปรตอนเท่ากับจ านวนอิเล็กตรอน การระบุชนิด ของธาตุพิจารณาจากจ านวนโปรตอน • เมื่ออะตอมของธาตุมีการให้หรือรับอิเล็กตรอน ท าให้จ านวนโปรตอนและอิเล็กตรอนไม่เท่ากันเกิด เป็นไอออน โดยไอออนที่มีจ านวนอิเล็กตรอน น้อยกว่าจ านวนโปรตอน เรียกว่า ไอออนบวก ส่วนไอออนที่มีจ านวนอิเล็กตรอนมากกว่าโปรตอน เรียกว่า ไอออนลบ
17 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 4. เขียนสัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธาตุและ ระบุการเป็นไอโซโทป • สัญลักษณ์นิวเคลียร์ประกอบด้วยสัญลักษณ์ธาตุ เลขอะตอมและเลขมวล โดยเลขอะตอมเป็นตัว เลขที่แสดงจ านวนโปรตอนในอะตอม เลขมวลเป็น ตัวเลขที่แสดงผลรวมของจ านวนโปรตอนกับ นิวตรอนในอะตอมธาตุชนิดเดียวกันแต่มีเลขมวล ต่างกันเรียกว่า ไอโซโทป 5. ระบุหมู่และคาบของธาตุ และระบุว่า ธาตุเป็นโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ กลุ่มธาตุ เรพรีเซนเททีฟ หรือกลุ่มธาตุแทรนซิชันจาก ตารางธาตุ • ธาตุจัดเป็นหมวดหมู่ได้อย่างเป็นระบบโดยอาศัย ตารางธาตุ ซึ่งในปัจจุบันจัดเรียงตามเลขอะตอม และความคล้ายคลึงของสมบัติ แบ่งออกเป็นหมู่ซึ่ง เป็นแถวในแนวตั้งและคาบซึ่งเป็นแถวในแนวนอน ท าให้ธาตุที่มีสมบัติเป็นโลหะ อโลหะและกึ่งโลหะ อยู่เป็นกลุ่มบ ริเวณใกล้ๆ กัน และแบ่งธาตุ ออกเป็นกลุ่มธาตุเรพรีเซนเททีฟและกลุ่มธาตุ แทรนซิชัน 6. เปรียบเทียบสมบัติการน าไฟฟ้า ก า ร ใ ห้ และรับอิเล็กตรอนระหว่างธาตุในกลุ่มโลหะ กับอโลหะ • ธาตุในกลุ่มโลหะ จะน าไฟฟ้ าได้ดี และมี แนวโน้มให้อิเล็กตรอน ส่วนธาตุในกลุ่มอโลหะ จะไม่น าไฟฟ้า และมีแนวโน้มรับอิเล็กตรอน โดย ธาตุเรพรีเซนเททีฟในหมู่ IA - IIA และธาตุแทรน ซิชันทุกธาตุจัดเป็นธาตุในกลุ่มโลหะ ส่วนธาตุเรพรี เซนเททีฟในหมู่ IIIA – VIIA มีทั้งธาตุในกลุ่มโลหะ และอโลหะ ส่วนธาตุเรพรีเซนเททีฟในหมู่ VIIIA จัดเป็นธาตุอโลหะทั้งหมด 7. สืบ ค้น ข้อ มู ลแ ล ะน าเสน อ ตั วอ ย่ าง ประโยชน์และอันตรายที่เกิดจากธาตุเรพรีเซน เททีฟและ ธาตุแทรนซิชัน • ธาตุเรพรีเซนเททีฟและธาตุแทรนซิชัน น ามาใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจ าวันได้หลากหลาย ซึ่งธาตุ บางชนิดมีสมบัติที่เป็นอันตราย จึงต้องค านึงถึง การป้องกันอันตรายเพื่อความปลอดภัยในการใช้ ประโยชน์ 8. ระบุว่าพันธะโคเวเลนต์เป็นพันธะเดี่ยว พันธะคู่ หรือพันธะสาม และระบุจ านวนคู่ อิเล็กตรอนระหว่างอะตอมคู่ร่วมพันธะจาก สูตรโครงสร้าง • พันธะโคเวเลนต์ เป็นการยึดเหนี่ยวระหว่าง อะตอมด้วยการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน เกิด เป็นโมเลกุลโดยการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน 1 คู่ เรียกว่าพันธะเดี่ยว เขียนแทนด้วยเส้นพันธะ 1
18 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง เส้นในโครงสร้างโมเลกุล ส่วนการใช้เวเลนซ์ อิเล็กตรอนร่วมกัน 2 คู่ และ 3 คู่ เรียกว่า พันธะคู่ และพันธะสาม เขียนแทนด้วยเส้น 2 พันธะ 2 เส้นและ 3 เส้น ตามล าดับ 9. ร ะ บุ ส ภ าพ ขั้ ว ข อ ง ส า ร ที่ โม เล กุ ล ประกอบด้วย 2 อะตอม 10. ระบุสารที่เกิดพันธะไฮโดรเจนได้จาก สูตรโครงสร้าง 11. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างจุดเดือด ของสารโคเวเลนต์กับแรงดึงดูดระหว่าง โมเลกุลตามสภาพขั้วหรือการเกิดพันธะ ไฮโดรเจน • สารที่มีพันธะภายในโมเลกุลเป็นพันธะโคเวเลนต์ ทั้งหมดเรียกว่า สารโคเวเลนต์โดยสารโคเวเลนต์ที่ ประกอบด้วย 2 อะตอมของธาตุชนิดเดียวกัน เป็นสารไม่มีขั้ว ส่วนสารโคเวเลนต์ที่ประกอบด้วย 2 อะตอมของธาตุต่างชนิดกัน เป็นสารมีขั้ว ส าหรับสารโคเวเลนต์ที่ประกอบด้วยอะตอม มากกว่า 2 อะตอม อาจเป็นสารมีขั้วหรือไม่มีขั้ว ขึ้นอยู่กับรูปร่างของโมเลกุล ซึ่งสภาพขั้วของสาร โคเวเลนต์ส่งผลต่อแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลที่ท า ให้จุดหลอมเหลวและจุดเดือดของสารโคเวเลนต์ แตกต่างกัน นอกจากนี้สารบางชนิดมีจุดเดือดสูง กว่าปกติเนื่องจากมีแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลสูงที่ เรียกว่าพันธะไฮโดรเจนซึ่งสารเหล่านี้มีพันธะ N–H O–H หรือ F–H ภายในโครงสร้างโมเลกุล 12. เขี ย น สู ต ร เค มี ข อ งไ อ อ อ น แ ล ะ สารประกอบไอออนิก • สารประกอบไอออนิกส่วนใหญ่เกิดจากการ รวมตัวกันของไอออนบวกของธาตุโลหะและ ไอออนลบของธาตุอโลหะ ในบางกรณีไอออนอาจ ประกอบด้วยกลุ่มของอะตอม โดยเมื่อไอออน รวมตัวกันเกิดเป็นสารประกอบไอออนิกจะมี สัดส่วนการรวมตัวเพื่อท าให้ประจุของสารประกอบ เป็นกลางทางไฟฟ้า โดยไอออนบวกและไอออนลบ จะจัดเรียงตัว สลับต่อเนื่องกันไปใน 3 มิติ เกิด เป็นผลึกของสาร ซึ่งสูตรเคมีของสารประกอบไอ ออนิกประกอบด้วยสัญลักษณ์ธาตุที่เป็นไอออน บวกตามด้วยสัญลักษณ์ธาตุที่เป็นไอออนลบ โด ย มี ตัวเลขที่แสดงจ านวนไอออนแต่ละชนิดเป็น อัตราส่วนอย่างต่ า
19 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 13. ระบุว่าสารเกิดการละลายแบบแตกตัว หรือไม่แตกตัว พร้อมให้เหตุผล และระบุว่า สารละลายที่ได้เป็นสารละลายอิเล็กโทรไลต์ หรือนอนอิเล็กโทรไลต์ • สารจะละลายน้ าได้เมื่อองค์ประกอบของสาร สามารถเกิดแรงดึงดูดกับโมเลกุลของน้ าได้ โดย การละลายของสารในน้ าเกิดได้ ๒ ลักษณะ คือ การละลายแบบแตกตัว และการละลายแบบไม่ แตกตั ว ก ารละลายแบบแตกตัวเกิดขึ้น กับ สารประกอบไอออนิก และสารโคเวเลนต์บางชนิด ที่มีสมบัติเป็นกรดหรือเบส โดยเมื่อสารเกิดการ ละลายแบบแตกตัวจะได้ไอออนที่สามารถเคลื่อนที่ ได้ท าให้ได้สารละลายที่น าไฟฟ้า ซึ่งเรียกว่า สารละลายอิเล็กโทรไลต์ การละลายแบบไม่แตก ตัวเกิดขึ้นกับสารโคเวเลนต์ที่มีขั้วสูง สามารถ ดึงดูดกับโมเลกุลของน้ าได้ดี โดยเมื่อเกิดการ ละลายโมเลกุลของสารจะไม่แตกตัวเป็นไอออน และสารละลายที่ได้จะไม่น าไฟฟ้า ซึ่ ง เ รี ย ก ว่ า สารละลายนอนอิเล็กโทรไลต์ 14. ระบุสารประกอบอินทรีย์ประเภท ไฮโดรคาร์บอนว่าอิ่มตัวหรือไม่อิ่มตัวจาก สูตรโครงสร้าง • สารประกอบอินทรีย์เป็นสารประกอบของ คาร์บอนส่วนใหญ่พบในสิ่งมีชีวิต มี โค รง ส ร้ าง หลากหลายและแบ่งได้หลายประเภท เนื่องจากธาตุคาร์บอนสามารถเกิดพันธะกับ คาร์บอนด้วยกันเองและธาตุอื่น ๆ นอกจากนี้ พันธะระหว่างคาร์บอนยังมีหลายรูปแบบ ได้แก่ พันธะเดี่ยว พันธะคู่ พันธะสาม • สารประกอบอินทรีย์ที่มีเฉพาะธาตุคาร์บอนและ ไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ เรียกว่า สารประกอบ ไฮโดรคาร์บอน โดยสารประกอบไฮโดรคาร์บอน อิ่มตัวมีพันธะระหว่างคาร์บอนเป็นพันธะเดี่ยว ทุ กพั น ธะในโค รงสร้ าง ส่ วน ส า รป ระ ก อบ ไฮโดรคาร์บอนไม่อิ่มตัว มีพันธะระหว่างคาร์บอน เป็นพันธะคู่หรือพันธะสามอย่างน้อย 1 พันธะ ในโครงสร้าง 15. สืบค้นข้อมูลและเปรียบเทียบสมบัติ • สารที่พบในชีวิตประจ าวันมีทั้งโมเลกุลขนาดเล็ก
20 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ทางกายภาพระหว่างพอลิเมอร์และมอนอ เมอร์ของพอลิเมอร์ชนิดนั้น และขนาดใหญ่ พอลิเมอร์เป็นสารที่มีโมเลกุล ขนาดใหญ่ที่เกิดจากมอนอเมอร์หลายโมเลกุล เชื่อมต่อกันด้วยพัน ธะเคมี ท าให้สมบัติท าง กายภาพของพอลิเมอร์แตกต่างจากมอนอเมอร์ที่ เป็นสารตั้งต้น เช่น สถานะ จุดหลอมเหลว การ ละลาย 16. ระบุสมบัติความเป็นกรด-เบส จาก โครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์ • สารประกอบอินทรีย์ที่มีหมู่ -COOH สามารถ แสดงสมบัติความเป็นกรดส่ ว น ส า ร ป ร ะ ก อ บ อินทรีย์ที่มีหมู่ -NH2 สามารถแสดงสมบัติความ เป็นเบส 17. อธิบายสมบัติการละลายในตัวท า ละลายชนิดต่าง ๆ ของสาร • การละลายของสารพิจารณาได้จากความมีขั้ว ของตัวละลายและตัวท าละลาย โดยสารสามารถ ละลายได้ในตัวท าละลายที่มีขั้วใกล้เคียงกัน โดยสารมีขั้วละลายในตัวท าละลายที่มีขั้ว ส่วนสาร ไม่มีขั้วละลายในตัวท าละลายที่ไม่มีขั้ว และสารมี ขั้วไม่ละลายในตัวท าละลายที่ไม่มีขั้ว 18. วิเคราะห์และอธิบายความสัมพันธ์ ระห ว่ างโค รงส ร้ างกับ สม บัติเทอ ร์ม อ พลาสติกและเทอร์มอเซตของพอลิเมอร์ และการน าพอลิเมอร์ไปใช้ประโยชน์ • โครงสร้างของพอลิเมอร์อาจเป็นแบบเส้นแบบ กิ่งหรือแบบร่างแห โดยพอลิเมอร์แบบเส้นและ แบบกิ่งมีสมบัติเทอร์มอพลาสติก ส่วนพอลิเมอร์ แบบร่างแหมีสมบัติเทอร์มอเซต จึงมีการใช้ ประโยชน์ได้แตกต่างกัน 19. สืบค้นข้อมูลและน าเสนอผลกระทบของ การใช้ผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม พร้อมแนวทางป้องกันหรือ แก้ไข • การใช้ผลิตภัณฑ์พอลิเมอร์ในปริมาณมากก่อให้ เกิดปั ญ ห าที่ ส่งผลก ร ะทบ ต่ อ สิ่งมี ชี วิตแ ล ะ สิ่งแวดล้อมดังนั้นจึงควรตระหนักถึงการลดปริมาณ การใช้ การใช้ซ้ า และการน ากลับมาใช้ใหม่ 20. ระบุสูตรเคมีของสารตั้งต้นผลิตภัณฑ์ และแปลความหมายของสัญ ลักษณ์ใน สมการเคมีของปฏิกิริยาเคมี • ปฏิกิริยาเคมีท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสาร โดยปฏิกิ ริย าเคมีอ าจให้พ ลังง าน ความ ร้อน พลังงานแสง หรือพลังงานไฟฟ้า ที่สามารถน าไปใช้ ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้ • ปฏิกิริยาเคมีแสดงได้ด้วยสมการเคมีซึ่งมีสูตร เคมีของสารตั้งต้นอยู่ทางด้านซ้ายของลูกศร และ
21 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง สูตรเคมีของผลิตภัณฑ์อยู่ทางด้านขวา โดยจ านวน อะตอมรวมของแต่ละธาตุทางด้านซ้ายและขวาท่า กัน 21. ทดลองและอธิบายผลของความเข้มข้น พื้นที่ผิว อุณหภูมิและตัวเร่งปฏิกิริยา ที่มีผล ต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 22 สืบค้นข้อมูลและอธิบายปัจจัยที่มีผลต่อ อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจ าวันหรือในอุตสาหกรรม • อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีขึ้นอยู่กับความเข้มข้น อุณหภูมิพื้นที่ผิว หรือตัวเร่งปฏิกิริยา • ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิด ปฏิกิริยาเคมีสามารถน าไปใช้ประโยชน์ในชีวิต ประจ าวันและในอุตสาหกรรม 23. อธิบายความหมายของปฏิกิริยารีดอกซ์ • ปฏิกิริยาเคมีบางประเภทเกิดจากการถ่ายโอน อิเล็กตรอนของสารในปฏิกิริยาเคมีซึ่งเรียกว่า ปฏิกิริยารีดอกซ์ 24. อธิบายสมบัติของสารกัมมันตรังสี และ ค าน วณ ค รึ่งชี วิตแ ละป ริม าณ ของส าร กัมมันตรังสี • สารที่สามารถแผ่รังสีได้เรียกว่า สารกัมมันตรังสี ซึ่งมีนิวเคลียสที่สลายตัวอย่างต่อเนื่องระยะเวลา ที่สารกัมมันตรังสีสลายตัวจนเหลือครึ่งหนึ่งของ ปริมาณเดิม เรียกว่า ครึ่งชีวิต โดยสาร กัมมันตรังสีแต่ละชนิดมีค่าครึ่งชีวิตแตกต่างกัน 25. สืบค้นข้อมูลและน าเสนอตัวอย่าง ประโยชน์ของสารกัมมันตรังสีและการ ป้องกันอันตราย ที่เกิดจากกัมมันตภาพรังสี • รังสีที่แผ่จากสารกัมมันตรังสีมีหลายชนิดเช่น แอลฟา บีตา แกมมา ซึ่งสามารถน ามาใช้ประโยชน์ ได้แตกต่างกัน การน าสารกัมมันตรังสีแต่ละชนิด มาใช้ต้องค านึงถึงผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแ วด ล้อม รวมทั้งมี ก ารจัดก ารอ ย่ าง เหมาะสม ม.6 - -
22 สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจ าวัน ผลของแรงที่กระท าต่อวัตถุลักษณะการ เคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4 - - ม.5 1. วิเคราะห์และแปลความหมายข้อมูล ความเร็วกับเวลาของการเคลื่อนที่ของวัตถุ เพื่ออธิบายความเร่งของวัตถุ • การเคลื่อนที่ของวัตถุที่มีการเปลี่ยนความเร็ว เป็นการเคลื่อนที่ด้วยความเร่งความเร่งเป็น อัตราส่วนของความเร็วที่เปลี่ยนไปต่อเวลาและเป็น ปริมาณเวกเตอร์ใน ก ร ณี ที่ วั ต ถุ ที่ อ ยู่ นิ่งห รื อ เคลื่อนที่ในแนวตรงด้วยความเร็วคงตัววัตถุนั้นมี ความเร่งเป็นศูนย์ • วัตถุมีความเร็วเพิ่มขึ้น ถ้าความเร็วและความเร่ง มีทิศเดียวกัน และมีความเร็วลดลง ถ้าความเร็ว และความเร่งมีทิศตรงกันข้าม 2. สังเกตและอธิบายการหาแรงลัพธ์ที่เกิด จากแรงหลายแรงที่อยู่ในระนาบเดียวกันที่ กระท าต่อวัตถุโดยการเขียนแผนภาพการ รวมแบบเวกเตอร์ • เมื่อมีแรงหลายแรงกระท าต่อวัตถุหนึ่งโดยแรง ทุกแรงอยู่ในระนาบเดียวกันสามารถหาแรงลัพธ์ที่ กระต่อวัตถุนั้นได้โดยรวมแบบเวกเตอร์ 3. สังเกต วิเคราะห์และอธิบายวามสัมพันธ์ ระหว่างความเร่งของวัตถุกับแรงลัพธ์ที่ กระท าต่อวัตถุและมวลของวัตถุ • เมื่อแรงลัพธ์มีค่าไม่เท่ากับศูนย์กระท าต่อวัตถุ จะท าให้วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร่งมีทิศท าง เดียวกับแรงลัพธ์โดยขนาดของความเร่งขึ้นกับ ขนาดของแรงลัพธ์กระท าต่อวัตถุและมวลของวัตถุ 4. สังเกตและอธิบายแรงกิริยาและแรง ปฏิกิริยาระหว่างวัตถุคู่หนึ่ง ๆ • แรงกระท าระหว่างวัตถุคู่หนึ่ง ๆ เป็นแรงกิริยา และแรงปฏิกิริยา แรงทั้งสองมีขน าดเท่ ากัน เกิดขึ้นพร้อมกัน กระท ากับวัตถุคนละก้อน แต่มีทิศ ทางตรงข้าม
23 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 5. สังเกตและอธิบายผลของความเร่งที่มีต่อ การเคลื่อนที่แบบต่างๆ ของวัตถุ ได้แก่การ เคลื่อนที่แนวตรงการเคลื่อนที่แบบโพรเจก ไทล์การเคลื่อนที่แบบวงกลม และการ เคลื่อนที่แบบสั่น • วัตถุที่เคลื่อนที่ด้วยความเร่งคงตัว หรือความเร่ง ไม่คงตัวอ าจเป็ น ก ารเคลื่ อน ที่ แน วต รง ก า ร เคลื่อนที่แนวโค้ง หรือการเคลื่อนที่แบบสั่น การ เคลื่อนที่แนวตรงด้วยความเร่งคงตัว น าไปใช้ อธิบายการตกแบบเสรีการเคลื่อนที่แนวโค้งด้วย ความเร่งคงตัว น าไปใช้อธิบายการเคลื่อนที่แบบ โพรเจกไทล์การเคลื่อนที่แนวโค้งด้วยความเร่งมี ทิศทางตั้งฉากกับความเร็วตลอดเวลา น าไปใช้ อธิบายการตกแบบเสรีการเคลื่อนที่แนวโค้งด้วย ความเร่งคงตัว น าไปใช้อธิบายการเคลื่อนที่แบบ โพรเจกไทล์การเคลื่อนที่แนวโค้งด้วยความเร่งมี ทิศทางตั้งฉากกับความเร็วตลอดเวลา น าไปใช้ อธิบายการเคลื่อนที่แบบวงกลมการเคลื่อนที่กลับไป กลับมาด้วยความเร่งมีทิศทางเข้าสู่จุดที่แรงลัพธ์เป็น ศูนย์เรียกจุดนี้ว่า ต าแหน่งสมดุล ซึ่งน าไปใช้อธิบาย การเคลื่อนที่แบบสั่น 6. สืบค้นข้อมูลและอธิบายแรงโน้มถ่วงที่ เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของวัตถุต่าง ๆ รอบ โลก • ในบริเวณที่มีสนามโน้มถ่วง เมื่อมีวัตถุที่มีมวล จะ มีแรงโน้มถ่วงซึ่งเป็นแรงดึงดูดของโลกกระท าต่อ วัตถุแรงนี้น าไปใช้อธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุต่าง ๆ เช่นดาวเทียม และดวงจันทร์รอบโลก 7. สังเกตและอธิบายการเกิดสนามแม่เหล็ก เนื่องจากกระแสไฟฟ้า • กระแสไฟฟ้าท าให้เกิดสนามแม่เหล็กในบริเวณ รอบแนวการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าหาทิศทาง ของสนามแม่เหล็กเนื่องจากกระแสไฟฟ้าได้จากกฎ มือขวา 8. สังเกตและอธิบายแรงแม่เหล็กที่กระท า ต่ ออนุ ภ าคที่ มีป ร ะ จุไฟ ฟ้ าที่ เคลื่ อน ที่ สนามแม่เหล็ก และแรงแม่เหล็กที่กระท าต่อ ล ว ด ตั ว น า ที่ มีก ร ะ แ ส ไฟ ฟ้ า ผ่ า น ใน สนามแม่เหล็กรวมทั้งอธิบายหลักการท างาน ของมอเตอร์ • ในบริเวณที่มีสนามแม่เหล็ก เมื่อมีอนุภาคที่มี ประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่โดยไม่อยู่ในแนวเดียวกับ สนามแม่เหล็กหรือมีกระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวน าโดย กระแสไฟฟ้าไม่อยู่ในแนวเดียวกับสนามแม่เหล็กจะ มีแรงแม่เหล็กกระท า ซึ่งเป็นพื้นฐานในการสร้าง มอเตอร์ 9. สังเกตและอธิบายการเกิดอีเอ็มเอฟ • เมื่อมีสนามแม่เหล็กเปลี่ยนแปลงตัดขดลวด
24 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง รวมทั้งยกตัวอย่างก ารน าความ รู้ไปใช้ ประโยชน์ ตัวน าท าให้เกิดอีเอ็มเอฟ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการ สร้างเครื่องก าเนิดไฟฟ้า 10. สืบค้นข้อมูลและอธิบายแรงเข้มและ แรงอ่อน • ภายในนิวเคลียสมีแรงเข้มที่เป็นแรงยึดเหนี่ยว ของอนุภาคในนิวเคลียส และเป็นแรงหลักที่ใช้ อธิบายเสถียรภาพของนิวเคลียส นอกจากนี้ยังมี แรงอ่อนซึ่งเป็นแรงที่ใช้อธิบายการสลายให้อนุภาค บีตาของธาตุกัมมันตรังสี ม.6 - -
25 สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจ าวัน ธรรมชาติของ คลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งน า ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4 - - ม.5 1. สืบ ค้น ข้อ มู ลแ ล ะอ ธิบ ายพ ลังง าน นิ ว เค ลี ย ร์ ฟิ ช ชั น แ ล ะ ฟิ ว ชั น แ ล ะ ความสัมพันธ์ระหว่างมวลกับพลังงานที่ ปลดปล่อยออกมาจากฟิชชันและฟิวชัน • พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากฟิชชันหรือฟิว ชัน เรียกว่า พลังงานนิวเคลียร์ โดยฟิชชันเป็น ปฏิกิริยา ที่นิวเคลียสที่มีมวลมากแตกออกเป็น นิ วเคลียสที่มีมวลน้อยกว่า ส่วนฟิ วชันเป็น ปฏิกิริยาที่นิวเคลียสที่มีมวลน้อยรวมตัวกันเกิดเป็น นิวเคลียสที่มีมวลมากขึ้นพลังงานนิวเคลียร์ที่ ปลดปล่อยออกมาจากฟิชชันและฟิวชัน มีค่า เป็นไปตามความสัมพันธ์ระหว่างมวลกับพลังงาน 2. สืบค้นข้อมูล และอธิบ ายก ารเป ลี่ยน พลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้าร ว ม ทั้ ง สืบค้นและอภิปรายเกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่ น ามาแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการ ทางด้านพลังงาน โดยเน้นด้านประสิทธิภาพ และความคุ้มค่า ด้านค่าใช้จ่าย • การน าพลังงานทดแทนมาใช้เป็นการแก้ปัญหา หรือตอบสนองความต้องการด้านพลังงาน เช่น การเปลี่ยนพลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานไฟฟ้า ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และการเปลี่ยนพลังงาน แสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าโดยเซลล์สุริยะ • เทคโนโลยีต่างๆ ที่ น า ม า แ ก้ ปั ญ ห า ห รื อ ตอบสนองความต้องการทางด้านพลังงานเป็นการ น าความรู้ทักษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มาสร้างอุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้ การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 3. สังเกตและอธิบายการสะท้อน ก า ร หั ก เห การเลี้ยวเบน และการรวมคลื่น • เมื่อคลื่นเคลื่อนที่ไปพบสิ่งกีดขวาง จะเกิดการ สะท้อน เมื่อคลื่นเคลื่อนที่ผ่านรอยต่อระหว่าง ตัวกลางที่ต่างกัน จะเกิดการหักเห เ มื่ อ ค ลื่ น เคลื่อนที่ไปพบขอบสิ่งกีดขวางจะเกิดการเลี้ยวเบน เมื่อคลื่นสองขบวนมาพบกันจะเกิดการรวมคลื่น เกิดรูปร่างของคลื่นรวม หลังจากคลื่นทั้งสอง
26 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง เคลื่อนที่ผ่านพ้นกันแล้วจะแยกกัน โดยแต่ละคลื่น ยังคงมีรูปร่างและทิศทางเดิม 4. สังเกตและอธิบายความถี่ธรรมชาติ การสั่นพ้อง และผลที่เกิดขึ้นจากการสั่น พ้อง • เมื่อกระตุ้นให้วัตถุสั่นแล้วหยุดกระตุ้นวัตถุจะสั่น ด้วยความถี่ที่เรียกว่า ความถี่ธรรมชาติ ถ้ามีแรง กระตุ้นวัตถุที่ก าลังสั่นด้วยความถี่ของการออกแรง ตรงกับความถี่ธรรมชาติของวัตถุนั้น จะท าให้วัตถุ สั่นด้วยแอมพลิจูดมากขึ้น เรียกว่า การสั่นพ้อง เช่นการสั่นพ้องของอาคารสูง การสั่นพ้องของ สะพานการสั่นพ้องของเสียง ในเครื่องดนตรี ประเภทเป่า 5. สังเกตและอธิบายการสะท้อน ก า ร หั ก เห การเลี้ยวเบน และการรวมคลื่นของคลื่น เสียง • เสียงมีการสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบน และการรวมคลื่นเช่นเดียวกับคลื่นอื่น ๆ 6. สืบค้นข้อมูลและอธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างความเข้มเสียงกับระดับเสียงและผล ของความถี่กับระดับเสียงที่มีต่อการได้ยิน เสียง • ความถี่ของคลื่นเสียงเป็นปริมาณที่ใช้บอกเสียง สูง เสียงต่ า โดยความถี่ที่คนได้ยินมีค่าอยู่ระหว่าง 20-20,000 เฮิรตซ์ ระดับเสียงเป็นปริมาณที่ใช้ บอกความดังของเสียงซึ่งขึ้นกับความเข้มเสียง โดย ความเข้มเสียงเป็นพลังงานเสียงที่ตกตั้งฉากบน พื้นที่หนึ่งหน่วยในหนึ่งหน่วยเวลา เสียงที่มีความ ดังมากเกินไปเป็นอันตรายต่อหู 7. สังเกตและอธิบายการเกิดเสียงสะท้อน กลับ บีต ดอปเพลอร์ และการสั่นพ้องของ เสียง • เมื่อเสียงจากแหล่งก าเนิดเดินทางไปกระทบวัตถุ แล้วสะท้อนกลับมายังผู้ฟัง ถ้าผู้ฟังได้ยินเสียงที่ ออกจากแหล่งก าเนิดและเสียงที่สะท้อนกลับมา แยกจากกัน เสียงที่ได้ยินนี้เป็นเสียงสะท้อนกลับ • เมื่อคลื่นเสียงสองขบวนที่มีความถี่ใกล้เคียงกัน มารวมกันจะเกิดบีต • เมื่อแหล่งก าเนิดเสียงเคลื่อนที่ ผู้ฟังเคลื่อนที่หรือ ทั้งแหล่งก าเนิดและผู้ฟังเคลื่อนที่ผู้ฟังจะได้ยินเสียง ที่มีความถี่เปลี่ยนไปเรียกว่าปรากฏการณ์ดอป เพลอร์ • ถ้าอากาศในท่อถูกกระตุ้นด้วยคลื่นเสียงที่มี
27 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ความถี่เท่ากับความถี่ธรรมชาติของอากาศในท่อ นั้น จะเกิดการสั่นพ้องของเสียง 8. สืบค้นข้อมูล และยกตั วอย่างก ารน า ความรู้เกี่ยวกับเสียงไปใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจ าวัน • ความรู้เกี่ยวกับเสียงน าไปใช้ประโยชน์ในด้าน ต่างๆ เช่น คลื่นเหนือเสียงหรืออัลตราซาวนด์ใช้ ในทางการแพทย์บีตของเสียงในการปรับเทียบ เสียงของเครื่องดนตรี การสั่นพ้องของเสียงใช้ใน การออกแบบเครื่องดนตรีและอธิบายการเปล่ง เสียงของมนุษย์ 9. สังเกตและอธิบายการมองเห็นสีของวัตถุ และความผิดปกติในการมองเห็นสี • เมื่อแสงตกกระทบวัตถุวัตถุจะดูดกลืนแสงสีบาง สีโดยขึ้นกับสารสีบนผิววัตถุและสะท้อนแสงสีที่ เหลือออกมา ท าให้มองเห็นวัตถุเป็นสีต่าง ๆ ขึ้นกับแสงสีที่สะท้อนออกมา ความผิดปกติในการ มองเห็นสีหรือการบอดสีเกิดจากความบกพร่อง ของเซลล์รูปกรวยบนจอตา 10. สังเกตและอธิบายการท างานของแผ่น กรองแสงสี การผสมแสงสี การผสมสารสี และการน าไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ าวัน • แผ่นกรองแสงสียอมให้แสงสีบางสีผ่านออกไปได้ และกั้นบางแสงสี • การผสมแสงสีท าให้ได้แสงสีที่หลากหลาย เปลี่ยนไปจากเดิม ถ้าน าแสงสีปฐมภูมิในสัดส่วน ที่เหมาะสมมาผสมกันจะได้แสงขาว • การผสมสารสีท าให้ได้สารสีที่หลากหลาย เปลี่ยนไปจากเดิม ถ้าน าสารสีปฐมภูมิในปริมาณ ที่เท่ากันมาผสมกันจะได้สารสีผสมเป็นสีด า • การผสมแสงสีและการผสมสารสีสามารถไปใช้ ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านศิลปะ ด้านการแสดง 11. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล แ ล ะ อ ธิ บ า ย ค ลื่ น แ ม่ เห ล็ ก ไ ฟ ฟ้ า ส่ ว น ป ร ะ ก อ บ ค ลื่ น แม่เหล็กไฟฟ้ า และหลักการท างานของ อุปกรณ์บางชนิดที่อาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า • คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าประกอบด้วยสนามแม่เหล็ก และสนามไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดย สนามทั้งสองมีทิศทางตั้งฉากกัน และตั้งฉากกับทิศ ทางการเคลื่อนที่ของคลื่น • อุ ป ก รณ์ บ าง ช นิ ด ท าง าน โด ย อ าศั ย ค ลื่ น แม่เหล็กไฟฟ้า เช่น เครื่องควบคุมระยะไกล
28 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง เครื่องถ่ายภาพ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และเครื่อง ถ่ายภาพการสั่นพ้องแม่เหล็ก 12. สืบค้นข้อมูลและอธิบายการสื่อสาร โดย อ าศั ยคลื่น แม่เห ล็กไฟ ฟ้ าใน ก ารส่งผ่ าน สารสนเทศ และเปรียบเทียบการสื่อสารด้วย สัญญาณแอนะล็อกกับสัญญาณดิจิทัล • ในการสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อส่งผ่านสารสนเทศจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง สารสนเทศจะถูกแปลงให้อยู่ในรูปสัญญาณ ส าหรับส่งไปยังปลายทางซึ่งจะมีการแปลงสัญญาณ กลับมาเป็นสารสนเทศที่เหมือนเดิม • สัญญาณที่ใช้ในการสื่อสารมีสองชนิด คือ แอนะล็อกและดิจิทัล การส่งผ่านสารสนเทศ ด้วยสัญญาณดิจิทัลสามารถส่งผ่านได้โดยมี ความผิดพลาดน้อยกว่าสัญญาณแอนะล็อก ม.6 - -
29 สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4 - - ม.5 - - ม.6 1. อธิบายการก าเนิดและการเปลี่ยนแปลง พลังงาน สสาร ขนาด อุณหภูมิของเอกภพ หลังเกิดบิกแบงในช่วงเวลาต่างๆ ต า ม วิวัฒนาการของเอกภพ • ทฤษฎีก าเนิดเอกภพที่ยอมรับในปัจจุบัน คือ ทฤษฎีบิกแบง ระบุว่าเอกภพเริ่มต้นจาก บิกแบง ที่เอกภพมีขนาดเล็กมากและมีอุณหภูมิสูงมาก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเวลาและวิวัฒนาการของเอก ภพโดยหลังเกิดบิกแบงเอกภพเกิดการขยายตัวอย่าง รวดเร็ว มีอุณหภูมิลดลง มีสสารคงอยู่ในรูปอนุภาค และปฏิยานุภาคหลายชนิด และมีวิวัฒน าการ ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีเนบิวลา กาแล็กซีดาว ฤกษ์ และระบบสุริยะเป็นสมาชิกบางส่วนของเอก ภพ 2. อ ธิบ ายหลัก ฐานที่สนับสนุนทฤษฎี บิกแบงจากความสัมพันธ์ระหว่างความเร็ว กับระยะทางของกาแล็กซี รวมทั้งข้อมูลการ ค้นพบไมโครเวฟพื้นหลังจากอวกาศ • หลักฐานส าคัญที่สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง คือ การขยายตัวของเอกภพ ซึ่งอธิบายด้วยกฎฮับเบิล โดยใช้ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็วและระยะทาง ของกาแล็กซีที่เคลื่อนที่ห่างออกจากโลก และ หลักฐานอีกประการ คือ การค้นพบไมโครเวฟ พื้นหลัง ที่กระจายตัวอย่างสม่ าเสมอทุกทิศทางและ สอ ดค ล้ องกับ อุ ณ ห ภู มิเฉ ลี่ ย ของอ ว ก าศ มี ค่าประมาณ 2.73 เคลวิน 3. อธิบายโครงสร้างและองค์ประกอบของ กาแล็กซีทางช้างเผือก และระบุต าแหน่ง ของระบบสุริยะพร้อมอธิบายเชื่อมโยงกับ การสังเกตเห็นทางช้างเผือกของคนบนโลก • กาแล็กซีประกอบด้วย ดาวฤกษ์จ านวนหลาย แสนล้านดวง ซึ่งอยู่กันเป็นระบบของดาวฤกษ์ น อกจ ากนี้ ยังป ระก อบด้ วยเทห์ฟ้ าอื่น เช่น เนบิวลา และสสารระหว่างดาว โดยองค์ประกอบ ต่างๆ ภายในของกาแล็กซีอยู่รวมกันด้วยแรงโน้ม ถ่วง
30 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง • กาแล็กซีมีรูปร่างแตกต่างกัน โดยระบบสุริยะอยู่ ในกาแล็กซีทางช้างเผือกซึ่งเป็นกาแล็กซีกังหันแบบ มีคาน มีโครงสร้าง คือ นิวเคลียส จาน และฮาโล ดาวฤกษ์จ านวนมากอยู่ในบริเวณนิวเคลียสและจาน โดยมีระบบสุริยะอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของ กาแล็กซีทางช้างเผือก ประมาณ 30,000 ปีแสง ซึ่ง ทางช้างเผือกที่สังเกตเห็นในท้องฟ้าเป็นบริเวณหนึ่ง ของกาแล็กซีทางช้างเผือกในมุมมองของคนบนโลก แถบฝ้าสีขาวจาง ๆ ของทางช้างเผือกคือดาวฤกษ์ ที่อยู่อย่างหนาแน่นในกาแล็กซีทางช้างเผือก 4. อธิบายกระบวนการเกิดดาวฤกษ์ โดย แสดงการเปลี่ยนแปลงความดัน อุณหภูมิ ขนาดจากดาวฤกษ์ก่อนเกิดจนเป็นดาวฤกษ์ • ดาวฤกษ์ส่วนใหญ่อยู่รวมกันเป็นระบบดาวฤกษ์ คือ ดาวฤกษ์ที่อยู่รวมกันตั้งแต่ 2 ดวงขึ้นไป ดาว ฤกษ์เป็นก้อนแก๊สร้อนขนาดใหญ่ เกิดจากการยุบตัว ของกลุ่มสสารในเนบิวลาภายใต้แรงโน้มถ่วง ท าให้ บางส่วนของเนบิวลามีขนาดเล็กลง ความดันและ อุณหภูมิเพิ่มขึ้น เกิดเป็นดาวฤกษ์ก่อนเกิด เ มื่ อ อุณหภูมิที่แก่นสูงขึ้นจนเกิดปฏิกิริยาเทอร์มอ นิวเคลียร์ดาวฤกษ์ก่อนเกิดจะกลายเป็นดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์อยู่ในสภาพสมดุลระหว่างแรงดันกับแรง โน้มถ่วงซึ่งเรียกว่า สมดุลอุทกสถิต จึงท าให้ดาวฤกษ์ มีเสถียรภาพและปลดปล่อยพลังงานเป็นเวลานาน ตลอดช่วงชีวิตของดาวฤกษ์ • ปฏิกิริยาเทอร์มอนิวเคลียร์ เป็นปฏิกิริยาหลัก ของกระบวนการสร้างพลังงานของดาวฤกษ์ที่แก่น ของดาวฤกษ์ ท าให้เกิดการหลอมนิวเคลียสของ ไฮโดรเจนเป็นนิวเคลียสฮีเลียมแล้วก่อให้เกิด พลังงานอย่างต่อเนื่อง 5. ระบุปัจจัยที่ส่งผลต่อความส่องสว่างของ ดาวฤกษ์ และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง ความส่องสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ • ความส่องสว่างของดาวฤกษ์เป็นพลังงานจาก ดาวฤกษ์ที่ปลดปล่อยออกมาในเวลา 1 วินาทีต่อ หน่วยพื้นที่ ณ ต าแหน่งของผู้สังเกต แต่เนื่องจาก ตาของมนุษย์ไม่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง
31 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ความส่องสว่างที่มีค่าน้อย ๆ จึงก าหนดค่าการ เปรียบเทียบความส่องสว่างของดาวฤกษ์ด้วยค่า โชติมาตร ซึ่งเป็นการแสดงระดับความส่องสว่าง ของดาวฤกษ์ณ ต าแหน่งของผู้สังเกต 6. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างสีอุณหภูมิ ผิวและสเปกตรัมของดาวฤกษ์ • สีของดาวฤกษ์สัมพันธ์กับอุณหภูมิผิว และ สเปกตรัมของดาวฤกษ์ ซึ่งนักดาราศาสตร์ใช้ สเปกตรัมในการจ าแนกชนิดของดาวฤกษ์ 7. อธิบายล าดับวิวัฒนาการที่สัมพันธ์กับ มวลตั้งต้น และวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลง สมบัติบางประการของดาวฤกษ • มวลของดาวฤกษ์ขึ้นอยู่กับมวลของดาวฤกษ์ ก่อนเกิด ดาวฤกษ์ที่มีมวลมากจะผลิตและใช้ พลังงานมากจึงมีอายุสั้นกว่าดาวฤกษ์ที่มีมวลน้อย • ดาวฤกษ์มีการวิวัฒนาการที่แตกต่างกัน การ วิวัฒนาการและจุดจบของดาวฤกษ์ขึ้นอยู่กับ มวลตั้งต้นของดาวฤกษ์ส่วนใหญ่เทียบกับจ านวน เท่าของมวลดวงอาทิตย์ 8. อธิบายกระบวนการเกิดระบบสุริยะ และ การแบ่งเขตบริวารของดวงอาทิตย์และ ลักษณ ะของดาวเค ราะห์ที่เอื้อต่อก าร ด ารงชีวิต • ระบบสุริยะเกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มฝุ่น และแก๊สที่เรียกว่า เนบิวลาสุริยะ โดยฝุ่นและแก๊ส ประมาณร้อยละ 99.8 ของมวล ได้รวมตัวเป็นดวง อาทิตย์ซึ่งเป็นก้อนแก๊สร้อน หรือ พลาสมา สสาร ส่วนที่เหลือรวมตัวเป็นดาวเคราะห์และบริวารอื่น ๆ ของดวงอาทิตย์ดังนั้นจึงแบ่งเขตบริวารของด ว ง อาทิตย์ตามลักษณะการเกิดและองค์ประกอบ ได้แก่ดาวเคราะห์ชั้นใน ดาวเคราะห์น้อย ดาวเคราะห์ชั้นนอก และดงดาวหาง • โลกเป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะที่มีสิ่งมีชีวิต เพราะโคจรรอบดวงอาทิตย์ในระยะทางที่เหมาะสม อยู่ใน เขตที่เอื้อต่อก ารมี สิ่งมีชี วิต มีอุณ หภูมิ เหมาะสมและสามารถเกิดน้ าที่ยังคงสถานะเป็น ของเหลวได้ปัจจุบันมีการค้นพบดาวเคราะห์ที่อยู่ นอกระบบสุริยะจ านวนมาก และมีดาวเคราะห์บาง ดวงที่อยู่ในเขตที่เอื้อต่อการมีสิ่งมีชีวิตคล้ายโลก
32 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 9. อธิบายโครงสร้างของดวงอาทิตย์ การ เกิดลมสุริยะ พายุสุริยะ และสืบค้นข้อมูล วิเค ราะห์ น าเสน อป รากฏ ก ารณ์ ห รือ เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผลของลมสุริยะ และพายุสุริยะที่มีต่อโลกรวมทั้งประเทศไทย • ดวงอาทิตย์มีโครงสร้างภายในแบ่งเป็น แก่น เขตการแผ่รังสี และเขตการพาความร้อน และมีชั้น บรรยากาศอยู่เหนือเขตพาความร้อน ซึ่งแบ่ง เป็น 3 ชั้น คือ ชั้นโฟโตสเฟียร์ชั้นโครโมสเฟียร์ และคอโรนา ในชั้นบรรยากาศของดวงอาทิตย์ มีปรากฏการณ์ส าคัญ เช่น จุดมืดดวงอาทิตย์ การลุกจ้าที่ท าให้เกิดลมสุริยะ และพายุสุริยะ ซึ่งส่งผลต่อโลก • ลมสุริยะ เกิดจากการแพร่กระจายของอนุภาค จากชั้นคอโรนาออกสู่อวกาศตลอดเวลา อนุภาค ที่หลุดออกสู่อวกาศเป็นอนุภาคที่มีประจุลมสุริยะ ส่งผลท าให้เกิดหางของดาวหางที่เรืองแสงและชี้ไป ท างทิศตรงกันข้ ามกับดวงอ าทิตย์และเกิด ปรากฏการณ์แสงเหนือ แสงใต้ • พายุสุริยะ เกิดจากการปลดปล่อยอนุภาคมี ประจุพลังงานสูงจ านวนมหาศาล มักเกิดบ่อยครั้ง ในช่วงที่มีการลุกจ้า และในช่วงที่มีจุดมืดดวง อาทิตย์จ านวนมาก และในบางครั้งมีการพ่นก้อน มวลคอโรนา พายุสุริยะอาจส่งผลต่อสนามแม่เหล็ก โลก จึงอาจรบกวนระบบการส่งกระแสไฟฟ้าและ ก า ร สื่ อ ส า ร ร ว ม ทั้ ง อ า จ ส่ ง ผ ล ต่ อ วง จ ร อิเล็กทรอนิกส์ของดาวเทียมนอกจากนั้นมักท าให้ เกิดปรากฏการณ์แสงเหนือแสงใต้ที่สังเกตได้ ชัดเจน 10. สืบค้นข้อมูล อธิบายการส ารวจอวกาศ โดยใช้กล้องโทรทรรศน์ในช่วงความยาวคลื่น ต่าง ๆ ดาวเทียม ยานอวกาศ สถานีอวกาศ และน าเสนอแนวคิดการน าความรู้ทางด้าน เท คโนโลยี อ วก าศม าป ร ะ ยุ ก ต์ใช้ ใน ชีวิตประจ าวันหรือในอนาคต • มนุษย์ใช้เทคโนโลยีอวกาศในการศึกษาเพื่อ ขยายขอบเขตความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และใน ขณะเดียวกันมนุษย์ได้น าเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น วัสดุศาสตร์ อาหาร การแพทย์ • นักวิทยาศาสตร์ได้สร้างกล้องโทรทรรศน์เพื่อ ศึกษาแหล่งก าเนิดของรังสีหรืออนุภาคในอวกาศ
33 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ในช่วงความยาวคลื่นต่าง ๆ ได้แก่ คลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรด แสง อัลตราไวโอเลต แ ล ะ รังสีเอ็กซ์ • ยานอวกาศ คือ ยานพาหนะที่น ามนุษย์หรือ อุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ขึ้นไปสู่อวกาศ เพื่อส ารวจ หรือเดินทางไปยังดาวดวงอื่น ส่วนสถานีอวกาศ คือ ห้องปฏิบัติการลอยฟ้ า ที่โคจรรอบโลก ใช้ใน การศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในสาขาต่าง ๆ ใน สภาพไร้น้ าหนัก • ดาวเทียม คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการส ารวจวัตถุ ท้องฟ้า และน ามาประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ เ ช่ น การสื่อสาร โทรคมนาคม การระบุต าแหน่งบนโลก การส ารวจทรัพยากรธรรมชาติ อุตุนิยมวิทยาโดย ดาวเทียมมีหลายประเภทสามารถแบ่งได้ตาม เกณฑ์วงโคจรและการใช้งาน
34 สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลง ลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4 - - ม.5 - - ม.6 1. อ ธิบ าย ก ารแบ่งชั้น แล ะ สม บั ติ ของ โครงสร้างโลก พร้อมยกตัวอย่างข้อมูลที่ สนับสนุน • การศึกษาโครงสร้างโลกใช้ข้อมูลหลายด้าน เช่น องค์ประกอบทางเคมีของหินและแร่ องค์ประกอบ ทางเคมีของอุกกาบาต ข้อมูลคลื่นไหวสะเทือน ที่เคลื่อนที่ผ่านโลก จึงสามารถแบ่งชั้นโครงสร้างโลก ได้ 2 แบบ คือ โครงสร้างโลกตามองค์ประกอบทาง เคมีแบ่งได้เป็น 3 ชั้น ได้แก่ เปลือกโลก เนื้อโลก และแก่นโลก และโครงสร้างโลกตามสมบัติเชิงกล แบ่งได้เป็น 5 ชั้น ได้แก่ ธรณีภาค ฐานธรณีภาค มัชฌิมภาค แก่นโลกชั้นนอก และแก่นโลกชั้นใน 2. อ ธิบ ายห ลั ก ฐ าน ท างธ รณี วิท ย าที่ สนับสนุนการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณ • แผ่นธรณีต่าง ๆ เป็นส่วนประกอบของธรณีภาค การเปลี่ยนแปลงขนาดและต าแหน่งตั้งแต่อดีตจนถึง ปัจจุบัน การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีดังกล่าว อธิบาย ได้ตามทฤษฎีธรณีแปรสัณฐาน ซึ่งมีรากฐานมาจาก ทฤษฎีทวีปเลื่อนและทฤษฎีการแผ่ขยายพื้นสมุทร โดยมีหลักฐานที่สนับสนุน ได้แก่ รูปร่างของขอบ ทวีปที่สามารถเชื่อมต่อกันได้ความคล้ายคลึงกัน ของกลุ่มหินและแนวเทือกเขา ซากดึกด าบรรพ์ ร่องรอยการเคลื่อนที่ของตะกอนธารน้ าแข็ง ภาวะ แม่เหล็กโลกบรรพกาล อายุหินของพื้นมหาสมุทร รวมทั้งการค้นพบสันเขากลางสมุทรและร่องลึกก้น สมุทร
35 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 3. ระบุสาเหตุ และอธิบายรูปแบบแนว รอยต่อของแผ่น ธรณี ที่สัมพันธ์กับการ เคลื่อนที่ของแผ่นธรณีพร้อมยกตัวอย่าง หลักฐานทางธรณีวิทยาที่พบ • การพาความร้อนของแมกมาภายในโลก ท าให้ เกิดการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีตามทฤษฎีธรณีแปร สัณฐาน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ส ารวจพบหลักฐาน ท างธรณี วิท ยา ได้แก่ ธรณี สัณ ฐานและ ธรณี โครงสร้าง ที่บริเวณแนวรอยต่อของแผ่นธรณีเช่น ร่องลึกก้นสมุทรหมู่เกาะภูเขาไฟ รูปโค้ง แนวภูเขา ไฟ แนวเทือกเขา หุบเขาทรุดและสันเขากลางสมุทร รอยเลื่อนนอกจากนี้ยังพบการเกิดธรณีพิบัติภัยที่ บริเวณแนวรอยต่อของแผ่นธรณี เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ ซึ่งหลักฐานดังกล่าวสัมพันธ์ กับรูปแบบ ได้แก่ การเคลื่อนที่ของแผ่น ธรณี นักวิทยาศาสตร์จึงสรุปได้ว่าแนวรอยต่อของแผ่น ธรณีมี 3 รูปแบบ ได้แก่แนวแผ่นธรณีแยกตัวแนว แผ่นธรณี เคลื่อนที่เข้าหากันแนวแผ่นธรณีเคลื่อนที่ ผ่านกันในแนวราบ 4. อธิบายสาเหตุกระบวนการเกิดภูเขาไฟ ระเบิด รวมทั้งสืบค้นข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัย ออกแบบและน าเสนอแนวทางการเฝ้าระวัง และการปฏิบัติตนให้ปลอดภัย • ภูเขาไฟระเบิดเกิดจากการแทรกดันของแมกมา ขึ้นมาตามส่วนเปราะบาง หรือรอยแตกบนเปลือก โลกมักพบหนาแน่นบริเวณรอยต่อระหว่างแผ่น ธรณีท าให้บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่เสี่ยงภัย ผลจาก การระเบิดของภูเขาไฟมีทั้งประโยชน์และโทษ จึง ต้องศึกษาแนวทางในการเฝ้าระวัง และการปฏิบัติ ตนให้ปลอดภัย 5. อธิบายสาเหตุกระบวนการเกิดข น า ด และความรุนแร และผลจากแผ่นดินไหว รวมทั้งสืบค้นข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัย ออกแบบ และน าเสนอแนวทางการเฝ้าระวังและการ ปฏิบัติตนให้ปลอดภัย • แผ่นดินไหวเกิดจากการปลดปล่อยพลังงานที่ สะสมไว้ของเปลือกโลกในรูปของคลื่นไหวสะเทือน แผ่นดินไหวมีขนาดและความรุนแรงแตกต่างกันมัก เกิดขึ้นบริเวณรอยต่อของแผ่นธรณีแ ล ะ พื้ น ที่ ภายใต้อิทธิพลของการเคลื่อนของแผ่นธรณีท าให้ บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว ซึ่ง ส่งผลให้สิ่งก่อสร้างเสียหาย เกิดอันตรายต่อชีวิต และทรัพย์สินจึงต้องศึกษาแนวทางในกรเฝ้าระวัง และการปฏิบัติตนให้ปลอดภัย
36 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 6. อธิบายสาเหตุกระบวนการเกิดแ ล ะ ผ ล จากสึนามิรวมทั้งสืบค้นข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัย ออกแบบและน าเสนอแนวทางการเฝ้าระวัง และการปฏิบัติตนให้ปลอดภัย • สึนามิคือ คลื่นน้ าที่เกิดจากการแทนที่มวลน้ า ในปริมาณมหาศาล ส่วนมากจะเกิดในทะเลหรือ มหาสมุทร โดยคลื่นมีลักษณะเฉพาะ คือ ความยาว คลื่นมากและเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเมื่ออยู่กลาง มหาสมุทรจะมีความสูงคลื่นน้อย และอาจเพิ่ม ความสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อคลื่นเคลื่อนที่ผ่าน บริเวณน้ าตื้น จึงท าให้พื้นที่บริเวณชายฝั่งบาง บริเวณเป็นพื้นที่เสี่ยงภัย สึนามิก่อให้เกิดอันตราย แก่มนุษย์และสิ่งก่อสร้างในบริเวณชายหาดนั้น จึง ต้องศึกษาแนวทางในการเฝ้าระวัง และการปฏิบัติ ตนให้ปลอดภัย 7. อธิบายปัจจัยส าคัญที่มีผลต่อการได้รับ พลังงานจากดวงอาทิตย์แตกต่างกันในแต่ละ บริเวณของโลก • พื้นผิวโลกแต่ละบริเวณได้รับพลังงานจากดวง อาทิตย์ในปริมาณที่แตกต่างกัน เนื่องจากปัจจัย ส าคัญหลายประการ เช่น สัณฐานและการเอียง ของแกนโลก ลักษณะของพื้นผิว ละอองลอยและ เมฆ ท าให้แต่ละบริเวณบนโลก มีอุณหภูมิไม่เท่ากัน ส่งผลให้มีความกดอากาศแตกต่างกัน และเกิดการ ถ่ายโอนพลังงานระหว่างกัน 8. อธิบายการหมุนเวียนของอากาศ ที่เป็น ผลมาจากความแตกต่างของความกดอากาศ • การหมุนเวียนของอากาศเกิดขึ้นจากความกด อากาศที่แตกต่างกันระหว่างสองบริเวณโดยอากาศ เคลื่อนที่จากบริเวณที่มีความกดอากาศสูงไปยัง บริเวณที่มีความกดอากาศต่ า ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจน ในการเคลื่อนที่ของอากาศในแนวราบ และเมื่อ พิจารณาการเคลื่อนที่ของอากาศในแนวดิ่งจะ พบว่าอากาศเหนือบริเวณความกดอากาศต่ าจะมี การยกตัวขึ้นขณะที่อากาศเหนือบริเวณความกด อากาศสูง จะจมตัวลงโดยการเคลื่อนที่ของอากาศ ทั้งในแนวราบและแนวดิ่งนี้ท าให้เกิดเป็นการ หมุนเวียนของอากาศ 9. อธิบายทิศทางการเคลื่อนที่ของอากาศที่ เป็นผลมาจากการหมุนรอบตัวเองของโลก • ก ารห มุน รอบตั วเองของโลกท าให้เกิ ดแ รง คอริออลิสส่งผลให้ทิศทางการเคลื่อนที่ของอากาศ
37 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง เบนไป โดยอากาศที่เคลื่อนที่ในบริเวณซีกโลกเหนือ จะเบนไปทางขวาจากทิศทางเดิม ส่วนบริเวณซีกโลก ใต้จะเบนไปทางซ้ายจากทิศทางเดิม 10. อธิบายการหมุนเวียนของอากาศตาม เขตละติจูดและผลที่มีต่อภูมิอากาศ • โลกมีความกดอากาศแตกต่างกันในแต่ละบริเวณ รวมทั้งอิทธิพลจากการหมุนรอบตัวเองของโลก ท า ให้อากาศในแต่ละซีกโลกเกิดการหมุนเวียนของ อากาศตามเขตละติจูด แบ่งออกเป็น 3 แถบ โดย แต่ละแถบมีภูมิอากาศแตกต่างกัน ได้แก่ การ หมุนเวียนแถบขั้วโลกมีภูมิอากาศแบบหนาวเย็น การหมุนเวียนแถบละติจูดกลาง มีภูมิอากาศแบบ อบอุ่น และการหมุนเวียนแถบเขตร้อนมีภูมิอากาศ แบบร้อนชื้น • นอกจากนี้บริเวณรอยต่อของการหมุนเวียน อากาศแต่ละแถบละติจูด จ ะ มี ลั ก ษ ณ ะ ล ม ฟ้ า อากาศที่แตกต่างกัน เช่น บริเวณใกล้ศูนย์สูตรมี ปริมาณหยาดน้ าฟ้าเฉลี่ยสูงกว่าบริเวณอื่น บริเวณ ละติจูด 30 องศา มีอากาศแห้งแล้ง ส่วนบริเวณ ละติจูด 60 องศา อากาศมีความแปรปรวนสูง 11. อธิบายปัจจัยที่ท าให้เกิดการหมุนเวียน ของน้ าผิวหน้าในมหาสมุทร และรูปแบบการ หมุนเวียนของน้ าผิวหน้าในมหาสมุทร •การหมุนเวียนของกระแสน้ าผิวหน้าในมหาสมุทร ได้รับอิทธิพลจากการหมุนเวียนของอากาศ ในแต่ละแถบละติจูดเป็นปัจจัยหลักท าให้บริเวณ ซีกโลกเหนือมีการหมุนเวียนของกระแสน้ าผิวหน้า ในทิศทางตามเข็มนาฬิกา และทวนเข็มนาฬิกาใน ซีกโลกใต้ซึ่งกระแสน้ าผิวหน้าในมหาสมุทร มีทั้ง กระแสน้ าอุ่น และกระแสน้ าเย็น 12. อ ธิบ ายผลของการหมุนเวียนของ อากาศและน้ าผิวหน้าในมหาสมุทรที่มีต่อ ลักษณะ ภูมิอากาศ ลมฟ้าอากาศ สิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อม • การหมุนเวียนอากาศและน้ าในมหาสมุทรส่ง ผ ล ต่ อภู มิ อ าก าศ ลมฟ้ าอ าก าศ สิ่งมี ชี วิต แ ล ะ สิ่งแวดล้อมเช่น กระแสน้ าอุ่นกัลฟ์สตรีมที่ท าให้ บางประเทศในทวีปยุโรปไม่หนาวเย็นเกินไป และ เมื่อการหมุนเวียนอากาศและน้ าในมหาสมุทร แปรปรวน ท าให้เกิดผลกระทบต่อสภาพลมฟ้า
38 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง อากาศ เช่น ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา ซึ่ง เกิดจากความแปรปรวนของลมค้าและส่งผลต่อ ประเทศที่อยู่บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก 13. อธิบายปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศของโลก พร้อมทั้งน าเสนอแนว ปฏิบัติเพื่อลดกิจกรรมของมนุษย์ที่ส่งผลต่อ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก • โลกได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์โดยปริมาณ พลังงานเฉลี่ยที่โลกได้รับเท่ากับพลังงานเฉลี่ยที่โลก ปลดปล่อยกลับสู่อวกาศ ท าให้เกิดสมดุลพลังงาน ของโลก ส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกในแต่ละปี ค่อน ข้ างคงที่ แล ะมีลั กษ ณ ะภู มิอ าก าศที่ไม่ เปลี่ยนแปลงหากสมดุลพลังงานของโลกเกิดการ เปลี่ยนแปลงไปจะท าให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกและ ภูมิอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เนื่องจากปัจจัย หลายประการทั้งปัจจัยที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและ การกระท าของมนุษย์ เช่น แก๊สเรือนกระจก ลักษณะผิวโลก และละอองลอย • มนุษย์มีส่วนช่วยในการชะลอการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศโลกได้โดยการลดกิจกรรมที่ท าให้เกิด การเปลี่ยนแปลงสมดุลพลังงาน เช่น ลดการปลด ปล่อยแก๊สเรือนกระจกและละอองลอย 14. แปลความหม ายสัญ ลักษณ์ ลมฟ้ า อากาศที่ส าคัญจากแผนที่อากาศ แ ล ะ น า ข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ มาวางแผนการ ด าเนินชีวิตให้สอดคล้องกับสภาพลมฟ้า อากาศ • แผนที่อากาศผิวพื้นแสดงข้อมูลการตรวจอากาศ ในรูปแบบสัญลักษณ์หรือตัวเลข เช่น บริเวณความ กดอากาศสูง หย่อมความกดอากาศต่ า พายุหมุน เขต ร้อน ร่องค ว าม ก ดอ าก าศต่ า ก า รแป ล ความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้าอากาศท าให้ทราบ ลักษณะลมฟ้าอากาศ ณ บริเวณหนึ่ง • การแปลความหมายสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนแผน ที่อากาศ ร่วมกับข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เช่น โปรแกรมประยุกต์เกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศ เรดาร์ตรวจอากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม สามารถ น ามาวางแผนการด าเนินชีวิตให้สอดคล้องกับ สภาพลมฟ้าอากาศ
39 สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการด ารงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ ศาสตร์อื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยค านึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4 1. วิเคราะห์แนวคิดหลักของเทคโนโลยี ความสัมพันธ์กับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะ วิทยาศาสตร์ หรือ คณิตศาสตร์รวมทั้ง ประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อมนุษย์ สังคมเศรษฐกิจ และ สิ่งแวดล้อม เพื่อเป็น แนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยี • ระบบทางเทคโนโลยี เป็นกลุ่มของส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่สองส่วนขึ้นไปประกอบเข้าด้วยกันและท างาน ร่วมกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยในการท างาน ของระบบทางเทคโนโลยีจะประกอบไปด้วย ตัวป้อน (input) กระบวนการ (process) และ ผลผลิต (output) ที่ สัมพั น ธ์กั นน อ ก จ ากนี้ ร ะบ บ ท าง เทคโนโลยีอาจมีข้อมูลย้อนกลับ (feedback) เพื่อใช้ ปรับปรุงการท างานได้ตามวัตถุประสงค์ โดยระบบ ทางเทคโนโลยีอาจมีระบบย่อยหลายระบบ (subsystems) ที่ท างานสัมพันธ์กันอยู่ และหากระบบ ย่อยใดท างานผิดพลาดจะส่งผลต่อการท างานของ ระบบอื่นด้วย • เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีสาเหตุหรือปัจจัยมาจาก หลายด้านเช่น ปัญหา ความต้องการความก้าวหน้า ของศาสตร์ต่าง ๆ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม 2. ระบุปั ญ ห าห รือค ว าม ต้ องก ารที่ มี ผลกระทบต่อสังคม รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล และแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่มีความ ซับซ้อนเพื่อสังเคราะห์วิธีการ เทคนิคในการ แก้ปัญหาโดยค านึงถึงความถูกต้องด้าน ทรัพย์สินทางปัญญา • ปัญหาหรือความต้องการที่มีผลกระทบต่อสังคม เช่น ปัญหาด้านการเกษตร อาหาร พลังงาน การ ขนส่งสุขภาพและการแพทย์การบริการ ซึ่งแต่ละ ด้านอาจมีได้หลากหลายปัญหา • การวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาโดยอาจใช้เทคนิค หรือวิธีการวิเคราะห์ที่หลากหลาย ช่วยให้เข้าใจ เงื่อนไขและกรอบของปัญหาได้ชัดเจน จากนั้น
40 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ด าเนินการสืบค้น รวบรวมข้อมูล ความรู้จากศาสตร์ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อน าไปสู่การออกแบบแนว ทางการแก้ปัญหา 3. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา โดยวิเคราะห์ เป รียบเทียบ และตัดสินใจเลือกข้อมูลที่ จ าเป็นภายใต้เงื่อนไขและทรัพยากรที่มีอยู่ น าเสนอแนวทางการแก้ปัญหาให้ผู้อื่นเข้าใจ ด้วยเทคนิคหรือวิธีการที่หลากหลายโดยใช้ ซอฟต์แวร์ ช่วยในการออกแบบ วางแผน ขั้นตอนการท างานและด าเนินการแก้ปัญหา • การวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือก ข้อมูลที่จ าเป็น โดยค านึงถึงทรัพย์สินทางปัญญา เงื่อนไขและทรัพยากร เช่น งบประมาณ เวลา ข้อมูลและสารสนเทศ วัสดุ เครื่องมือและอุปกรณ์ ช่วยให้ได้แนวทางการแก้ปัญหาที่เหมาะสม • การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาท าได้หลาก หลายวิธีเช่น การร่างภาพการเขียนแผนภาพ การเขียนผังงาน • ซอฟต์แวร์ช่วยในการออกแบบและน าเสนอมี หลากหลายชนิดจึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับงาน • การก าหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการท างาน ก่อนด าเนินการแก้ปัญหาจะช่วยให้การท างาน ส าเร็จได้ตามเป้าหมาย และลดข้อผิดพลาดของ การท างานที่อาจเกิดขึ้น 4. ทดสอบ ประเมินผล วิเคราะห์และให้ เหตุผลของปัญหาหรือข้อบกพร่องที่เกิดขึ้น ภายใต้กรอบเงื่อนไข หาแนวทางการปรับปรุง แก้ไขและน าเสนอผลการแก้ปัญหา พ ร้อ มทั้ง เสนอแนวทางการพัฒนาต่อยอด • การทดสอบและประเมินผลเป็นการตรวจสอบ ชิ้นงานหรือวิธีการว่าสามารถแก้ปัญหาได้ตาม วัตถุประสงค์ภายใต้กรอบของปัญหา เพื่อหาข้อบก พร่อง และด าเนินการปรับปรุง โดยอาจทดสอบซ้ า เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ • การน าเสนอผลงานเป็นการถ่ายทอดแนวคิด เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการท างานและ ชิ้นงานหรือวิธีการที่ได้ซึ่งสามารถท าได้หลายวิธี เช่น การท าแผ่นน าเสนอผลงาน การจัดนิทรรศการ การน าเสนอผ่านสื่อออนไลน์หรือการน าเสนอต่อ ภาคธุรกิจเพื่อการพัฒนาต่อยอดสู่งานอาชีพ 5. ใช้ความรู้และทักษะเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ กลไก ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และเทคโนโลยีที่ซับซ้อนในการแก้ปัญหา • การท าโครงงานเป็นการประยุกต์ใช้ความรู้และ ทักษะจากศาสตร์ต่าง ๆ รวมทั้งทรัพยากรในการ สร้างหรือพัฒนาชิ้นงานหรือวิธีการ เพื่ อ แ ก้ ปั ญ ห า
41 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง หรือพัฒนางาน ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย หรืออ านวยความสะดวกในการท างาน • การท าโครงงานการออกแบบและเทคโนโลยี สามารถด าเนินการได้โดยเริ่มจาก ก า ร ส า ร ว จ สถานการณ์ปัญหาที่สนใจ เพื่ อ ก า ห น ด หั ว ข้ อ โครงงานแล้วรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้อง กับปัญหาออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา วางแผน และด าเนินการแก้ปัญหา ทดสอบ ประเมินผล ปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน และ น าเสนอวิธีการแก้ปัญหา ม.6 - -
42 สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงค านวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การท างาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจริยธรรม ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4 1. ประยุกต์ใช้แนวคิดเชิงค านวณในการ พัฒนาโครงงานที่มีการบูรณาการกับวิชาอื่น อย่างสร้างสรรค์ และเชื่อมโยงกับชีวิตจริง • การพัฒนาโครงงาน • การน าแนวคิดเชิงค านวณไปพัฒนาโครงงานที่ เกี่ยวกับชีวิตประจ าวัน เช่น การจัดการพลังงาน อาหาร การเกษตร การตลาด การค้าขาย การท า ธุรกรรม สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม • ตัวอย่างโครงงาน เช่น ระบบดูแลสุขภาพ ระบบ อัตโนมัติควบคุมการปลูกพืช ระบบจัดเส้นทาง การขนส่งผลผลิตระบบแนะน าการใช้งานห้องสมุด ที่มีการโต้ตอบกับผู้ใช้และเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ม.5 1. รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล และใช้ความรู้ ด้ าน วิท ยาก ารคอมพิ วเตอ ร์สื่อดิจิทั ล เทคโนโลยีสารสนเทศในการแก้ปัญหาหรือ เพิ่มมูลค่าให้กับบริการหรือผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ในชีวิตจริงอย่างสร้างสรรค • ก ารน าความ รู้ด้าน วิท ยาก ารคอมพิ วเตอ ร์ สื่อดิจิทัล และเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้แก้ปัญหา กับชีวิตจริง • การเพิ่มมูลค่าให้บริการหรือผลิตภัณฑ์ • การเก็บข้อมูลและการจัดเตรียมข้อมูลให้พร้อม กับการประมวลผล • การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ • การประมวลผลข้อมูลและเครื่องมือ • การท าข้อมูลให้เป็นภาพ (data visualization) เช่น barchart , scatter , histogram • การเลือกใช้แหล่งข้อมูล เช่น data.go.th, Wolfram alpha , OECD.org , ตลาดหลักทรัพย์ , world economic forum • คุณค่าของข้อมูลและกรณีศึกษา • กรณีศึกษาและวิธีการแก้ปัญหา • ตัวอย่างปัญหาเช่น - รูปแบบของบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดความสนใจ และ
43 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ตรงตามความต้องการผู้ใช้ในแต่ละประเภท - การก าหนดต าแหน่งป้ายรถเมล์เพื่อลดเวลา เดินทางและปัญหาการจราจร - ส ารวจความต้องการรับประทานอาหาร ในชุมชนและเลือกขายอาหารที่จะได้ก าไรสูงสุด - ออกแบบรายการอาหาร 7 วัน ส าหรับผู้ป่วย เบาหวาน ม.6 1. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการน าเสนอ และแบ่งปันข้อมูลอย่างปลอดภัย มีจริยธรรม และวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี สารสนเทศที่มีผลต่อการด าเนินชีวิต อาชีพ สังคม และวัฒนธรรม • การน าเสนอและแบ่งปันข้อมูล เช่น การเขียน บล็อก อัปโหลดวิดีโอ ภาพอินโฟกราฟิก • การน าเสนอและแบ่งปันข้อมูลอย่างปลอดภัย เช่น ระมัดระวังผลกระทบที่ตามมา เมื่อมีการ แบ่งปันข้อมูลหรือเผยแพร่ข้อมูล ไม่สร้างความ เดือดร้อนต่อตนเองและผู้อื่น • จริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ • เทคโนโลยีเกิดใหม่ แนวโน้มในอน าคต การ เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี • นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง กับชีวิตประจ าวัน • อาชีพเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ • ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการ ด าเนินชีวิต อาชีพ สังคม และวัฒนธรรม
44 สาระวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม วิทยาศาสตร์เพิ่มเติมจัดท าขึ้นส าหรับผู้เรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย แผนการ เรียนวิทยาศาสตร์ ที่จ าเป็นต้องเรียนเนื้อหาในสาระชีววิทยา เคมี ฟิสิกส์ และโลก ดาราศาสตร์และ อวกาศ ซึ่งเป็นพื้นฐานส าคัญและเพียงพอส าหรับการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในด้าน วิทยาศาสตร์ เพื่อประกอบวิชาชีพในสาขาที่ใช้วิทยาศาสตร์เป็นฐาน เช่น แพทย์ ทันตแพทย์สัตวแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ เทคนิคการแพทย์วิศวกรรม สถาปัตยกรรม ฯลฯ โดยมีผลการเรียนรู้ที่ ครอบคลุมด้านเนื้อหา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 รวมทั้งจิต วิทยาศาสตร์ที่ผู้เรียนจ าเป็นต้องมีวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมนี้ได้มีการปรับปรุงเพื่อให้มีเนื้อหาที่ทัดเทียม กับนานาชาติเน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา รวมทั้งเชื่อมโยงความรู้สู่การน าไปใช้ ในชีวิตจริง เรียนรู้อะไรในวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม วิทยาศาสตร์เพิ่มเติม ผู้เรียนจะได้เรียนรู้สาระส าคัญ ดังนี้ 1. ชีววิทยา เรียนรู้เกี่ยวกับ การศึกษาชีววิทยา สารที่เป็นองค์ประกอบของ สิ่งมีชีวิต เซลล์ของ สิ่งมีชีวิต พันธุกรรมและการถ่ายทอด วิวัฒนาการ ความหลากหลายทางชีวภาพ โครงสร้างและการท างาน ของส่วนต่าง ๆ ในพืชดอก ระบบและการท างานในอวัยวะต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์และสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม 2. เคมีเรียนรู้เกี่ยวกับ ปริมาณสาร องค์ประกอบและสมบัติของสาร การเปลี่ยนแปลง ของสาร ทักษะและการแก้ปัญหาทางเคมี 3. ฟิสิกส์เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติและการค้นพบทางฟิสิกส์แรงและการเคลื่อนที่ และพลังงาน 4. โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับ โลกและกระบวนการเปลี่ยนแปลง ทาง ธรณีวิทยา ข้อมูลทางธรณีวิทยาและการน าไปใช้ประโยชน์การถ่ายโอนพลังงานความร้อนของโลก การ เปลี่ยนแปลงลักษณะลมฟ้าอากาศกับการด ารงชีวิตของมนุษย์ โลกในเอกภพ และดาราศาสตร์กับมนุษย์ สาระวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม สาระชีววิทยา 1. เข้าใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ สารที่เป็น องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าที่ของ เซลล์ การล าเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ การแบ่งเซลล์ และการหายใจระดับเซลล์ 2. เข้าใจการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบัติและหน้าที่ของ สารพันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐานข้อมูลและแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการ
45 ของสิ่งมีชีวิต ภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก การเกิดสปีชีส์ใหม่ ความหลากหลายทางชีวภาพ ก าเนิดของ สิ่งมีชีวิตความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต และอนุกรมวิธาน รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ าของพืช การล าเลียงของพืช การ สังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทั้งน า ความรู้ไปใช้ประโยชน์ 4. เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนุษย์รวมทั้งการหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊ส การ ล าเลียงสารและการหมุนเวียนเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้และการตอบสนองการ เคลื่อนที่ การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์รวมทั้ง น าความรู้ไปใช้ประโยชน์ 5. เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียนสารใน ระบบนิเวศ ความหลากหลายของไบโอม การเปลี่ยนแปลงแทนที่ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ ประชากร และรูปแบบการเพิ่มของประชากร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัญหา และผลกระทบที่เกิดจาก การใช้ประโยชน์และแนวทางการแก้ไขปัญหา สาระเคมี 1. เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมีและสมบัติ ของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรีย์และพอลิเมอร์รวมทั้งการ น าความรู้ไปใช้ประโยชน์ 2. เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยา เคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์และเซลล์เคมีไฟฟ้า รวมทั้ง การน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. เข้าใจหลักการท าปฏิบัติการเคมีการวัดปริมาณสาร หน่วยวัดและการเปลี่ยนหน่วยการค านวณ ปริมาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบาย ปรากฏการณ์ในชีวิตประจ าวันและการแก้ปัญหาทางเคมี สาระฟิสิกส์ 1. เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนวตรง แรงและกฎการ เคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทาน สมดุลกลของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์ พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การเคลื่อนที่แนวโค้ง รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ประโยชน์ 2. เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกส์อย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการได้ยิน ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแสงรวมทั้งน าความรู้ไปใช้ ประโยชน์
46 3. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า ความจุไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าและกฎ ของโอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงานไฟฟ้าและก าลังไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงาน ไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระท ากับประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวน าแม่เหล็กไฟฟ้า และกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ ประโยชน์ 4. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยุ่น ของวัสดุ และมอดุลัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยุง และหลักของอาร์คิมีดีส ความตึงผิวและแรง หนืดของของเหลว ของไหลอุดมคติและสมการแบร์นูลลีกฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของแก๊สอุดมคติและ พลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค กัมมันตภาพรังสีแรงนิวเคลียร์ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ ฟิสิกส์อนุภาค รวมทั้งน าความรู้ไปใช้ ประโยชน์ สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ 1. เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ธรณีพิบัติภัยและผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม การศึกษาล าดับชั้นหิน ทรัพยากรธรณีแผนที่และการน าไปใช้ประโยชน์ 2. เข้าใจสมดุลพลังงานของโลก การหมุนเวียนของอากาศบนโลก การหมุนเวียนของน้ าใน มหาสมุทร การเกิดเมฆ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกและผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการ พยากรณ์อากาศ 3. เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพกาแล็กซีดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ ความสัมพันธ์ของดาราศาสตร์กับมนุษย์จากการศึกษาต าแหน่งดาวบนทรงกลมฟ้าและ ปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ รวมทั้งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ คุณภาพผู้เรียน ผู้เรียนที่เรียนครบทุกผลการเรียนรู้ มีคุณภาพดังนี้ 1. เข้าใจวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นหาค าตอบเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต สารที่เป็นองค์ประกอบ ของสิ่งมีชีวิต และปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ การใช้กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์การ ล าเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์การแบ่งเซลล์และการหายใจระดับเซลล์ 2. เข้าใจหลักการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต การถ่ายทอดยีนบนออโตโซมและ โครโมโซมเพศ โครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ การจ าลองดีเอ็นเอ กระบวนการ สังเคราะห์โปรตีน การเกิดมิวเทชันในสิ่งมีชีวิต หลักการและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐานและข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เงื่อนไขของภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก กระบวนการเกิดสปีชีส์ใหม่ของสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทาง ชีวภาพ ก าเนิดของสิ่งมีชีวิต ลักษณะส าคัญของสิ่งมีชีวิต กลุ่มแบคทีเรีย โพรทิสต์ พืช ฟังไจ และสัตว์การ จ าแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่และวิธีการเขียนชื่อวิทยาศาสตร์
47 3. เข้าใจโครงสร้างและส่วนประกอบของพืชทั้งราก ล าต้น และใบ การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคาย น้ า การล าเลียงน้ าและธาตุอาหาร การล าเลียงอาหาร การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช กระบวนการสร้าง เซลล์สืบพันธุ์และการปฏิสนธิของพืชดอก การเกิดผลและเมล็ด บทบาทของสารควบคุมการเจริญเติบโต ของพืชและการประยุกต์ใช้และการตอบสนองของพืช 4. เข้าใจกลไกการรักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต โครงสร้าง หน้าที่ และกระบวนการต่าง ๆ ของ สัตว์และมนุษย์ได้แก่ การย่อยอาหาร การแลกเปลี่ยนแก๊ส การเคลื่อนที่ การก าจัดของเสียออกจาก ร่างกายของสิ่งมีชีวิต ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์การท างานของระบบ ประสาทและอวัยวะรับความรู้สึก ระบบสืบพันธุ์การปฏิสนธิการเจริญเติบโต ฮอร์โมน และพฤติกรรมของ สัตว์ 5. เข้าใจกระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียนสารในระบบนิเวศ ความหลากหลาย ของไบโอม การเปลี่ยนแปลงแทนที่แบบต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การเปลี่ยนแปลงจ านวนประชากรมนุษย์ใน ระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับโลก แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม 6. เข้าใจการศึกษาโครงสร้างอะตอมของนักวิทยาศาสตร์การจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอม สมบัติ บางประการของธาตุและการจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ พันธะเคมีสมบัติของสารที่มีความสัมพันธ์กับพันธะ เคมีกฎต่าง ๆ ของแก๊ส และสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรีย์และประเภทและ สมบัติของพอลิเมอร์ 7. เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมีการค านวณปริมาณสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยา เคมีอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีและปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีสมดุลในปฏิกิริยาเคมีและ ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุลเคมีทฤษฎีกรด-เบส สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส สารละลายบัฟเฟอร์ ปฏิกิริยา รีดอกซ์และเซลล์เคมีไฟฟ้า 8. เข้าใจข้อปฏิบัติเบื้องต้นเกี่ยวกับความปลอดภัยในการท าปฏิบัติการเคมีการเลือกใช้อุปกรณ์ หรือเครื่องมือในการท าปฏิบัติการ หน่วยวัดและการเปลี่ยนหน่วยวัดด้วยการใช้แฟกเตอร์เปลี่ยนหน่วย การค านวณเกี่ยวกับมวลอะตอม มวลโมเลกุล และมวลสูตร ความสัมพันธ์ของโมล จ านวนอนุภาค มวล และปริมาตรของแก๊สที่ STP การค านวณสูตรอย่างง่ายและสูตรโมเลกุลของสาร ความเข้มข้นของ สารละลาย การเตรียมสารละลาย และการบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบายปรากฏการณ์ใน ชีวิตประจ าวันและการแก้ปัญหาทางเคมี 9. เข้าใจธรรมชาติของฟิสิกส์กระบวนการวัด ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการ เคลื่อนที่ การเคลื่อนที่ในแนวตรง แรงลัพธ์กฎการเคลื่อนที่ แรงเสียดทาน กฎความโน้มถ่วงสากล สนาม โน้มถ่วง งาน กฎการอนุรักษ์พลังงานกล สมดุลกลของวัตถุ เครื่องกลอย่างง่าย โมเมนตัมและการดล กฎ การอนุรักษ์โมเมนตัม การชน และการเคลื่อนที่ในแนวโค้ง 10. เข้าใจการเคลื่อนที่แบบคลื่น ปรากฏการณ์คลื่น การสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบนและการ แทรกสอด หลักการของฮอยเกนส์การเคลื่อนที่ของคลื่นเสียง ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง ความเข้ม
48 เสียงและระดับเสียง การได้ยิน ภาพที่เกิดจากกระจกเงาและเลนส์ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับแสงและ การมองเห็นแสงสี 11. เข้าใจสนามไฟฟ้า แรงไฟฟ้า กฎของคูลอมบ์ ศักย์ไฟฟ้า ตัวเก็บประจุตัวต้านทานและกฎของ โอห์ม พลังงานไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลังงาน สนามแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กกับกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวน าแม่เหล็กไฟฟ้า ไฟฟ้า กระแสสลับ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และประโยชน์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 12. เข้าใจผลของความร้อนต่อสสาร สภาพยืดหยุ่น ความดันในของไหล แรงพยุงของไหลอุดมคติ ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส แนวคิดควอนตัมของพลังงาน ทฤษฎีอะตอมของโบร์ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิ ภาวะของคลื่นและอนุภาค การสลายของนิวเคลียสกัมมันตรังสีกัมมันตภาพ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ พลังงาน นิวเคลียร์ ความสัมพันธ์ระหว่างมวลและพลังงานแรงภายในนิวเคลียส และการค้นคว้าวิจัยด้านฟิสิกส์ อนุภาค 13. เข้าใจการแบ่งชั้นและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุ และรูปแบบการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณี ที่สัมพันธ์กับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐานและธรณีโครงสร้างแบบต่าง ๆ หลักฐานทางธรณีวิทยาที่พบใน ปัจจุบันและการล าดับเหตุการณ์ทางธรณีวิทยาในอดีต สาเหตุ กระบวนการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟ ระเบิด สึนามิผลกระทบ แนวทางการเฝ้าระวัง และการปฏิบัติตนให้ปลอดภัย สมบัติและการจ าแนกชนิด ของแร่ กระบวนการเกิดและการจ าแนกชนิดหิน กระบวนการเกิดและการส ารวจแหล่งปิโตรเลียมและถ่าน หิน การแปลความหมายจากแผนที่ภูมิประเทศและแผนที่ธรณีวิทยา และการน าข้อมูลทางธรณีวิทยาไปใช้ ประโยชน์ 14. เข้าใจปัจจัยส าคัญที่มีผลต่อการรับและปลดปล่อยพลังงานจากดวงอาทิตย์กระบวนการที่ท า ให้เกิดสมดุลพลังงานของโลก ผลของแรงเนื่องจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอริออลิส แรงสู่ ศูนย์กลางและแรงเสียดทานที่มีต่อการหมุนเวียนของอากาศการหมุนเวียนของอากาศตามเขตละติจูด และ ผลที่มีต่อภูมิอากาศปัจจัยที่ท าให้เกิดการแบ่งชั้นน้ าและการหมุนเวียนของน้ าในมหาสมุทร รูปแบบการ หมุนเวียนของน้ าในมหาสมุทร และผลของการหมุนเวียนของน้ าในมหาสมุทรที่มีต่อลักษณะลมฟ้าอากาศ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างเสถียรภาพอากาศและการเกิดเมฆ การเกิดแนวปะทะ อากาศแบบต่าง ๆ และลักษณะลมฟ้าอากาศที่เกี่ยวข้องปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ของโลก รวมทั้งการแปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้าอากาศและการพยากรณ์ลักษณะลมฟ้าอากาศ เบื้องต้น จากแผนที่อากาศและข้อมูลสารสนเทศ 15. เข้าใจการก าเนิดและการเปลี่ยนแปลงพลังงาน สสาร ขนาดอุณหภูมิของเอกภพ หลักฐานที่ สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซีโครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก กระบวนการเกิดดาวฤกษ์และการสร้างพลังงานของดาวฤกษ์ ปัจจัยที่ส่งผลต่อความส่องสว่างของดาวฤกษ์ และความสัมพันธ์ระหว่างความส่องสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ความสัมพันธ์ระหว่างสีอุณหภูมิผิว และสเปกตรัมของดาวฤกษ์วิธีการหาระยะทางของดาวฤกษ์ด้วยหลักการแพรัลแลกซ์ วิวัฒนาการและการ เปลี่ยนแปลงสมบัติบางประการของดาวฤกษ์กระบวนการเกิดระบบสุริยะ การแบ่งเขตบริวารของดวง
49 อาทิตย์ลักษณะของดาวเคราะห์ที่เอื้อต่อการด ารงชีวิต การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ด้วย กฎเคพเลอร์และกฎความโน้มถ่วงของนิวตัน โครงสร้างของดวงอาทิตย์การเกิดลมสุริยะ พายุสุริยะและผล ที่มีต่อโลก การระบุพิกัดของดาวในระบบขอบฟ้าและระบบศูนย์สูตร เส้นทางการขึ้นการตกของดวง อาทิตย์และดาวฤกษ์ เวลาสุริยคติและการเปรียบเทียบเวลาของแต่ละเขตเวลาบนโลก การส ารวจอวกาศ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ 16. ระบุปัญหา ตั้งค าถามที่จะส ารวจตรวจสอบ โดยมีการก าหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ต่าง ๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ตั้งสมมติฐานที่เป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือกตรวจสอบ สมมติฐานที่เป็นไปได้ 17. ตั้งค าถามหรือก าหนดปัญหาที่อยู่บนพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ ที่ แสดงให้เห็นถึงการใช้ความคิดระดับสูงที่สามารถส ารวจตรวจสอบหรือศึกษาค้นคว้าได้อย่างครอบคลุม และเชื่อถือได้สร้างสมมติฐานที่มีทฤษฎีรองรับหรือคาดการณ์สิ่งที่จะพบ เพื่อน าไปสู่การส ารวจตรวจสอบ ออกแบบวิธีการส ารวจตรวจสอบตามสมมติฐานที่ก าหนดไว้ได้อย่างเหมาะสม มีหลักฐานเชิงประจักษ์ เลือกวัสดุ อุปกรณ์ รวมทั้งวิธีการในการส ารวจตรวจสอบอย่างถูกต้องทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ และ บันทึกผลการส ารวจตรวจสอบอย่างเป็นระบบ 18. วิเคราะห์แปลความหมายข้อมูล และประเมินความสอดคล้องของข้อสรุปเพื่อตรวจสอบกับ สมมติฐานที่ตั้งไว้ให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงวิธีการส ารวจตรวจสอบ จัดกระท าข้อมูลและน าเสนอข้อมูล ด้วยเทคนิควิธีที่เหมาะสม สื่อสารแนวคิด ความรู้จากผลการส ารวจ ตรวจสอบ โดยการพูด เขียน จัดแสดง หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ โดยมีหลักฐานอ้างอิงหรือมีทฤษฎีรองรับ 19. แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น รับผิดชอบ รอบคอบ และซื่อสัตย์ ในการสืบเสาะหาความรู้โดยใช้ เครื่องมือ และวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้อง เชื่อถือได้มีเหตุผลและยอมรับได้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจมี การเปลี่ยนแปลงได้ 20. แสดงถึงความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้พบค าตอบ หรือแก้ปัญหาได้ท างาน ร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์แสดงความคิดเห็นโดยมีข้อมูลอ้างอิงและเหตุผลประกอบเกี่ยวกับผลของการ พัฒนาและการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และยอมรับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น 21. เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งผลให้มีการคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้า ผลของเทคโนโลยีต่อ ชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม 22. ตระหนักถึงความส าคัญและเห็นคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใช้ใน ชีวิตประจ าวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการด ารงชีวิตและการ ประกอบอาชีพ แสดงความชื่นชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ชิ้นงานที่เป็นผลมาจากภูมิปัญญาท้องถิ่น และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ท าโครงงานหรือสร้างชิ้นงานตามความสนใจ
50 23. แสดงความซาบซึ้ง ห่วงใย มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมของท้องถิ่น