ตำรำวชิ ำ
เศรษฐศำสตร์จุลภำคประยกุ ต์
ดร.ดนยั กฤต อินทุฤทธิ์
สำขำเศรษฐศำสตร์ คณะบรหิ ำรธรุ กจิ และเทคโนโลยสี ำรสนเทศ
มหำวิทยำลัยเทคโนโลยรี ำชมงคลตะวนั ออก
2565
ISBN 978-616-590-554-1
ตำรำวชิ ำ
เศรษฐศำสตร์จุลภำคประยกุ ต์
ดร.ดนยั กฤต อินทุฤทธิ์
สำขำเศรษฐศำสตร์ คณะบรหิ ำรธรุ กจิ และเทคโนโลยสี ำรสนเทศ
มหำวิทยำลัยเทคโนโลยรี ำชมงคลตะวนั ออก
2565
ISBN 978-616-590-554-1
ข
สารบัญ
คานา ความร้ทู ่วั ไปเก่ียวกับวิชาเศรษฐศาสตร์ หน้า
สารบัญ 1.1 ความเปน็ มาของวิชาเศรษฐศาสตร์ ก
สารบญั ตาราง 1.2 ความหมายของวิชาเศรษฐศาสตร์ ข
สารบญั ภาพ 1.3 ความขาดแคลน การเลือก และเสน้ เป็นไปได้ในการผลิต จ
บทที่ 1 1.4 ทรพั ยากรการผลติ สินค้าและบรกิ าร ช
1.5 แขนงของวิชาเศรษฐศาสตร์ 1
บทที่ 2 1.6 ปญั หาพ้นื ฐานทางเศรษฐกจิ 1
1.7 ระบบเศรษฐกจิ 2
บทที่ 3 1.8 เคร่อื งมือประกอบการศึกษาเศรษฐศาสตร์ 3
แบบฝึกหัดประจาบทท่ี 1 5
ตัวอย่างข้อสอบบทท่ี 1 7
อุปสงค์ อปุ ทาน และดุลยภาพของตลาด 8
2.1 อุปสงค์ 8
2.2 การประมาณการอปุ สงค์ 14
2.3 อุปทาน 17
2.4 ดุลยภาพของตลาด 18
การประยุกต์ กรณีศึกษา 20
แบบฝกึ หดั ประจาบทที่ 2 20
ตัวอยา่ งข้อสอบบทที่ 2 30
พฤติกรรมผูบ้ ริโภค 37
3.1 ทฤษฎีพฤตกิ รรมผ้บู ริโภค 42
3.2 การวเิ คราะห์พฤติกรรมของผ้บู รโิ ภค 47
3.3 หลักการตัดสนิ ใจภายใต้ความเสีย่ งและความไม่แน่นอนใน 55
ยุคเศรษฐกิจดิจิทลั 56
58
58
67
78
ค
บทที่ 4 สารบญั (ต่อ) หน้า
บทท่ี 5 82
บทท่ี 6 3.4 การประยกุ ต์ กรณีศึกษา 85
แบบฝึกหดั ประจาบทท่ี 3 86
ตวั อย่างข้อสอบบทท่ี 3 87
แนวคดิ เกี่ยวกบั การผลติ 87
4.1 ทฤษฎกี ารผลติ 89
4.2 การผลิตในระยะส้ันและระยะยาว 100
4.3 ตน้ ทุนการผลติ 107
4.4 การใชท้ ฤษฎีต้นทุนหาเส้นอปุ ทาน 112
4.5 การพยากรณ์ต้นทุน 119
4.6 รายรบั และกาไรจากการผลิต 126
4.7 การประยกุ ต์ กรณีศึกษา 132
แบบฝึกหัดประจาบทท่ี 4 134
ตัวอยา่ งข้อสอบบทที่ 4 137
การกาหนดระดับผลผลติ และราคาในตลาดสินคา้ 137
5.1 ความหมายและประเภทของตลาด 138
5.2 ตลาดแขง่ ขนั สมบรู ณ์ 147
5.3 ตลาดแข่งขนั ไมส่ มบูรณ์ 151
5.4 ตลาดผ้ขู ายน้อยราย 156
5.5 ตลาดผูกขาด 160
5.6 การแทรกแซงตลาด 163
5.7 การประยกุ ต์ กรณีศกึ ษา 167
แบบฝึกหดั ประจาบทท่ี 5 168
ตวั อย่างข้อสอบบทท่ี 5 170
นโยบายสาธารณะ 170
6.1 นโยบายการเงิน 193
6.2 นโยบายการคลัง 202
6.3 การประยุกต์ นโยบายสาธารณะที่มผี ลต่อการประกอบการ 206
แบบฝึกหดั ประจาบทท่ี 6
สารบัญ (ต่อ) ง
บรรณานกุ รม ตัวอย่างข้อสอบบทท่ี 6 หน้า
ภาคผนวก หนังสือการรับรองการเผยแพร่ตารา 208
211
215
216
จ
สารบัญตาราง หน้า
4
ตารางท่ี 6
1.1 สว่ นผสมที่เปน็ ไปได้ในการผลิตสนิ ค้า 2 ชนิด 15
1.2 ประเภทปจั จัยการผลิตและผลตอบแทน 24
1.3 ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหวา่ งราคาและปริมาณเสนอขาย 28
2.1 ตารางอุปสงค์ต่อราคา 32
2.2 อุปสงค์ส่วนบุคคลและอปุ สงค์ตลาด 39
2.3 สรุปคาตอบของคาถามและค่าความนา่ จะเป็นของคาถาม 40
2.4 ตารางอุปทาน 43
2.5 ตารางอุปทานส่วนบคุ คลและอปุ ทานสว่ นตลาด 61
2.6 อุปสงค์และอปุ ทานของฝรั่งในตลาดแห่งหน่งึ ภายใน 1 วัน 63
3.1 ความสัมพันธ์ของอรรถประโยชน์รวมและอรรถประโยชนส์ ว่ นเพิม่
3.2 ดลุ ยภาพของผู้บรโิ ภค กรณีท่ีผบู้ รโิ ภคมีรายไดไ้ ม่จากัดและสนิ ค้าทกุ ชนดิ ราคา 64
เท่ากัน
3.3 ดลุ ยภาพของผ้บู ริโภค กรณผี ูบ้ ริโภคมรี ายไดจ้ ากดั และสินค้าแต่ละชนิดราคา 65
เท่ากัน 66
3.4 กรณที ีผ่ ้บู รโิ ภคมรี ายไดจ้ ากดั และราคาสนิ ค้าแตล่ ะชนิดไม่เทา่ กัน 69
3.5 ตารางอรรถประโยชนส์ ว่ นเพม่ิ ของสินค้า 2 ชนิด 72
3.6 แผนการซ้ือสินคา้ 2 ชนิด 91
3.7 ตัวอย่างการหาเสน้ งบประมาณ 94
4.1 ตัวอย่างผลผลิตในระยะส้นั 98
4.2 ปัจจยั ทนุ และปจั จัยแรงงานที่แสดงผลผลติ เทา่ กัน 103
4.3 ตารางตน้ ทนุ เท่ากัน 120
4.4 ตน้ ทนุ การผลติ และจานวนการผลิต 121
4.5 ตารางรายรบั กรณีตลาดสมบรูณ์ 175
4.6 ตารางรายรบั กรณีใม่ใช่ตลาดแขง่ ขนั สมบรูณ์ 179
6.1 ตวั อย่างองคป์ ระกอบของปริมาณเงินตามความหมายแคบ (M1) 187
6.2 ความแตกต่างระหว่างตลาดเงินและตลาดทุน 193
6.3 กระบวนการสรา้ งเงนิ ฝากของธนาคารพานิชย์
6.4 วธิ กี าร ลกั ษณะการปฏบิ ตั ใิ นการควบคมุ ทางด้านคุณภาพนโยบายการเงนิ
สารบญั ตาราง (ต่อ) ฉ
ตารางท่ี หน้า
6.5 โครงสรา้ งอตั ราภาษี 198
6.6 เปรียบเทียบนโยบายการคลังแบบหดตวั กับแบบขยายตัว 201
สารบัญภาพ ช
ภาพท่ี หน้า
1.1 เส้นความเปน็ ไปได้ในการผลิต 5
1.2 กราฟแสดงสมการ C = 100 + 0.75Yd 15
2.1 เส้นอุปสงคข์ อง นาย ก. ที่มีต่อเนอ้ื หมใู น 1 สปั ดาห์ 23
2.2 กราฟอุปสงค์ต่อราคา 25
2.3 เสน้ อุปสงค์ต่อรายได้ กรณีสนิ ค้าปกติ 25
2.4 เสน้ อุปสงค์ต่อรายได้ กรณีสินค้าปกติ 26
2.5 เสน้ อุปสงคไ์ ขว้ กรณสี ินค้าทใี่ ช้แทนกันได้ 27
2.6 เส้นอุปสงคไ์ ขว้ กรณสี นิ ค้าท่ีใช้แทนกันได้ 27
2.7 เส้นอปุ สงคส์ ว่ นบคุ คลของนาย ก นาย ข และเส้นอปุ สงคต์ ลาด 29
2.8 การเปลย่ี นแปลงปรมิ าณของอุปสงค์ 29
2.9 การเปลย่ี นแปลงระดับของอุปสงค์ 30
2.10 เส้นอปุ สงค์ต่อกระเป๋าสตางค์ของผู้บริโภค 33
2.11 เส้นกราฟและสมการรปู แบบตา่ งๆ 36
2.12 เสน้ อปุ ทาน 39
2.13 เส้นอุปทานส่วนบคุ คลและเส้นอปุ ทานสว่ นตลาด 40
2.14 การเปลย่ี นแปลงปริมาณของอปุ ทาน 41
2.15 การเปลีย่ นแปลงปรมิ าณของอุปทาน 42
2.16 อุปสงค์ส่วนเกินและอุปทานส่วนเกิน 43
2.17 Supply shift เพม่ิ ขนึ้ หรือลดลง โดย Demand คงที่ 44
2.18 Demand shift เพมิ่ ข้นึ หรอื ลดลง โดย Supply คงที่ 45
2.19 ภาวะดุลยภาพเมื่ออุปสงคเ์ พิ่ม และอปุ ทานลด 46
2.20 ภาวะดุลยภาพเม่อื อุปสงคล์ ด และอุปทานเพ่ิม 46
2.21 การเก็บภาษตี ่อหน่วย 47
2.22 การเก็บภาษีตามราคาขาย 48
2.23 การผลักภาระภาษีเม่ือพจิ าณาจากความยดื หยุน่ ของอุปสงค์ 49
2.24 ภาพรวมหว่ งโซก่ ารผลิตในตลาดออร์แกนิคของไทย 50
3.1 การผลติ ระยะส้ัน 61
3.2 ความสัมพนั ธ์ของเสน้ อรรถประโยชนร์ วมและเสน้ อรรถประโยชนส์ ่วนเพิม่ 62
ซ
สารบญั ภาพ (ต่อ) หน้า
63
ภาพที่ 70
3.3 การสร้างเสน้ อุปสงค์ตอ่ ราคา 71
3.4 เส้นความพอใจเท่ากนั ของการบรโิ ภคสนิ คา้ X และสนิ ค้า Y 71
3.5 ตัวอยา่ งเส้นความพอใจเทา่ กัน 73
3.6 เสน้ ที่อย่เู หนือกวา่ ให้ความพอใจมากกวา่ 74
3.7 ตัวอย่างการหาเสน้ งบประมาณ 75
3.8 การเปล่ียนแปลงของเส้นงบประมาณ 76
3.9 ดุลยภาพของผบู้ ริโภคตามทฤษฎเี ส้นความพอใจเทา่ กัน 76
3.10 การเปลี่ยนแปลงดุลยภาพของผบู้ รโิ ภค กรณีราคาสินค้าชนิดหนึง่ เปลย่ี นแปลง 78
3.11 การเปลยี่ นแปลงดลุ ยภาพของผบู้ ริโภค กรณงี บประมาณหรอื รายไดเ้ ปลีย่ นแปลง 88
3.12 การสร้างเส้นอปุ สงค์โดยใชเ้ สน้ ความพอใจเท่ากัน 92
4.1 แผนภมู เิ บอ้ื งตน้ เก่ียวกับการผลิต 93
4.2 การผลิตระยะส้ัน 95
4.3 การแบง่ ช่วงการผลติ 96
4.4 เสน้ ผลผลิตเทา่ กนั 97
4.5 กราฟแสดงอัตราการทดแทนทางเทคนิคส่วนเพิ่ม 98
4.6 ความสามารถในการทดแทนกนั ของปัจจัยการผลิต 98
4.7 เส้นตน้ ทนุ เท่ากนั 99
4.8 การเปลีย่ นแปลงเส้นตน้ ทุนเท่ากัน 100
4.9 ดุลยภาพการผลติ 104
4.10 เสน้ แนวทางการขยายผลผลติ 104
4.11 ความสมั พันธ์ของเส้น TFC, TVC และ TC 106
4.12 ความสัมพนั ธ์ของเส้น AFC AVC AC และ MC 106
4.13 ต้นทนุ รวมในระยะยาว 107
4.14 ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง LMC และ LAC 108
4.15 ความสมั พนั ธ์ระหว่างต้นทุนในระยะส้นั และตน้ ทนุ ในระยะยาว 109
4.16 การใช้ทฤษฎีต้นทนุ หาเส้นอปุ ทาน (1) 109
4.17 การใชท้ ฤษฎตี น้ ทุนหาเส้นอปุ ทาน (2) 110
4.18 การใชท้ ฤษฎีตน้ ทนุ หาเส้นอปุ ทาน (3)
4.19 การใช้ทฤษฎตี ้นทุนหาเส้นอปุ ทาน (4)
สารบญั ภาพ (ตอ่ ) ฌ
ภาพที่ หน้า
4.20 การประหยดั และการไมป่ ระหยดั จากการขยายขนาดการผลิต 111
4.21 ลกั ษณะความผันแปรต่างๆในอนกุ รมเวลา 115
4.22 รปู แบบคา่ แนวโนม้ ระยะยาว 116
4.23 ลักษณะความผันแปรต่างๆในอนุกรมเวลา 117
4.24 ดชั นีนา ดัชนีพ้อง และดชั นคี ลอ้ ยตาม 118
4.25 ลักษณะของเส้นรายรับ กรณีตลาดเปน็ ตลาดสมบรูณ์ 121
4.26 ลกั ษณะของเสน้ รายรบั กรณีตลาดเป็นตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ 122
4.27 การสรา้ งเส้น MR จากเส้น AR หรอื เส้นอุปสงค์ 123
4.28 กาไรสูงสดุ จากการพิจารณารายรบั รวมและตน้ ทุนรวม 124
4.29 กาไรสงู สดุ จากรายรับรวมกับตน้ ทนุ สว่ นเพิ่ม กรณตี ลาดแข่งขันสมบรูณ์ 125
4.30 กาไรสูงสุดจากรายรับรวมกบั ตน้ ทนุ สว่ นเพิม่ กรณตี ลาดแข่งขันไมส่ มบรูณ์ 126
5.1 เสน้ อปุ สงคแ์ ละเสน้ รายรับสว่ นเพ่มิ ของผผู้ ลติ ในตลาดแข่งขันสมบรณู ์ 140
5.2 ดุลยภาพในระยะสั้น กรณีกาไรเกินปกติ 141
5.3 ดุลยภาพในระยะสน้ั กรณีกาไรปกติ 142
สารบญั ภาพ (ตอ่ ) ญ
ภาพท่ี หน้า
5.4 ดุลยภาพในระยะสัน้ กรณีขาดทุนและผลิตต่อไป 143
5.5 ดลุ ยภาพในระยะสนั้ กรณีขาดทนุ และปดิ กิจการ 144
5.6 เสน้ อปุ ทานในระยะสน้ั ของหนว่ ยผลิต 145
5.7 ดุลยภาพในระยะยาวของตลาดแขง่ ขันสมบรู ณ์ 146
5.8 เส้นอปุ สงค์และรายรับส่วนเพิ่มของตลาดกง่ึ แข่งขนั กง่ึ ผูกขาด 148
5.9 ลกั ษณะของกราฟของดลุ ยภาพในระยะส้ันของตลาดกง่ึ แขง่ ขนั กง่ึ ผกู ขาด 149
5.10 ดุลยภาพในระยะยาวของตลาดก่ึงแข่งขันกึง่ ผกู ขาด 151
5.11 ลกั ษณะของอุปสงคแ์ บบหักงอ 152
5.12 ที่มาและสาเหตขุ องอปุ สงคแ์ บบหักงอ 153
5.13 รายละเอยี ดของอปุ สงค์แบบหักงอ 153
5.14 เสน้ อุปสงค์และเสน้ รายรบั หน่วยสุดทา้ ยของตลาดผูกขาด 157
5.15 ลักษณะกราฟตลาดผกู ขาดท่ีไมม่ รี ฐั บาลควบคุมราคา 158
5.16 ลกั ษณะกราฟตลาดผกู ขาดท่ีมรี ฐั บาลควบคุมราคา 159
5.17 ลกั ษณะกราฟดลุ ยภาพระยะยาวของผผู้ กู ขาด 160
5.18 การรบั ซ้อื อปุ ทานส่วนเกนิ 161
5.19 การจา่ ยเงนิ อุดหนุนใหแ้ ก่เกษตรกร 162
5.20 การกาหนดราคาขน้ั สงู 163
6.1 วิวัฒนาการของเงิน 172
6.2 โครงสรา้ งตลาดเงนิ 176
6.3 ลกั ษณะความสมั พันธข์ องตลาดแรกและตลาดรอง 178
6.4 อุปสงคต์ ่อเงนิ 180
6.5 อปุ ทานต่อเงิน 181
6.6 ดลุ ยภาพของตลาดเงนิ 181
6.7 ผลจากการซื้อขายหลักทรพั ย์ 190
6.8 ผลกระทบจาการเปล่ยี นแปลงอตั รารบั ช่วงซอื้ ลด 191
6.8 ผลกระทบจากการเพิม่ หรือลดอัตราเงินสดสารองตามกฎหมาย 192
1
บทท่ี 1
ความรทู้ ัว่ ไปเกย่ี วกบั เศรษฐศาสตร์จลุ ภาค
เศรษฐศาสตร์เป็นวิชาท่ีศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในการใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่จากัดให้เกิด
ประโยชน์สูงสุด เพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ท่ีมีไม่จากัด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อยกระดับการ
ดารงชีพให้ดีข้ึน หรือในอีกนัยยะหน่ึงเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาทางสังคมศาสตรท์ ี่ศึกษาเกี่ยวกับการผลติ
การกระจาย การบริโภคสนิ ค้าและบรกิ าร หรอื เป็นการศึกษากจิ กรรมเศรษฐกิจของมนษุ ย์ในการเลือก
หาแนวทางท่จี ะใช้ปัจจยั การผลติ ท่มี ีอยูอ่ ยา่ งจากัด เพอื่ ตอบสนองความต้องการท่ีไม่จากดั ของมนุษย์
1.1 ความเปน็ มาของวชิ าเศรษฐศาสตร์
แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์มีมายาวนานต้ังแต่สมัยยุคกรีกโบราณโดยนักปราชญ์สมัยน้ัน
พยายามสอดแทรกแนวความคิดและกฎเกณฑ์ทางเศรษฐศาสตร์ปะปนอยู่ในหลักปรัชญา ศาสนา
ศีลธรรมและหลักปกครอง แต่ความคิดเหล่าน้ียังไม่ถือเป็นทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ เช่น แนวคิดเร่ือง
การแบ่งงานกนั ทาของเพลโต (Plato) แนวคดิ เรอื่ งความมงั่ คง่ั ของอรสิ โตเตลิ (Aristotle) เปน็ ต้น
ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้มีนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษบุคคลแรกท่ีวางรากฐานวิชา
เศรษฐศาสตร์ คือ อดัม สมิธ (Adam Smith) ไดเ้ ขยี นตาราทางเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของโลก ซึ่งมชี ่ือ
ค่อนข้างยาวว่า “An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations” หรือ
เรยี กสนั้ ๆวา่ “The Wealth Nations” (ความมงั่ คง่ั แห่งชาติ) ตพี ิมพ์ครง้ั แรกเมือ่ ค.ศ.1776 โดยเสนอ
ความคิดว่า รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศควรเข้าแทรกแซงการผลิตและการค้าให้น้อยท่ีสุด โดย
ยินยอมให้เป็นภาระหน้าท่ีของเอกชน ท้ังน้ีเป็นการสะท้อนถึงแนวความคิดแบบเสรีนิยมหรือส่งเสริม
ระบบเศรษฐกิจแบบเสรี จากหนังสือของ อดัม สมิธ ดังกล่าวถือเป็นตาราทางเศรษฐศาสตร์ที่สาคัญ
เลม่ แรกของโลก และตัวเขาได้รับการยกย่องให้เปน็ “บิดาแห่งวชิ าเศรษฐศาสตร์” ในสมยั ต่อมา
ทัศนะและข้อเขียนของ อดัม สมิธ ได้เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากต่อวิชาเศรษฐศาสตร์ แต่
ภายหลังแนวคิดเร่ืองนโยบายเสรีนิยมได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก โดยเฉพาะเม่ือเกิดภาวะ
เศรษฐกิจโลกตกต่าขนานใหญ่ในชว่ งปี 1930 ได้ส่งผลใหค้ วามถือท่ีมีตอ่ ความสามารถของกลไกตลาด
ลดลงมาก ท้ังนี้เพราะเกิดการว่างงานอย่างมากและติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยท่ีนโยบายเสรีนิยมไม่
สามารถแก้ปัญหาท่ีเกิดข้ึนได้ พร้อมกันน้ีกลางคริสต์ศตวรรษท่ี 19 เกิดลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยคาร์ล
มาร์กซ์ (Carl Marx) โดยท่ีหนังสือ Das Kapital เป็นหนังสือสาคัญของคาร์ล มาร์กซ์ กล่าวถึงวิธีการ
ขูดรีดของนายทุนจากกรรมกร และแนวคิดเร่ืองการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันและแบ่ง
ผลประโยชนอ์ ยา่ งเสมอภาค
ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 อัลเฟรด มาร์แชล (Alfred Marshall) ได้เสนอทฤษฎีว่าด้วยการ
2
ผลิต (Theory of the Firm) ซ่ึงต่อมากลายเป็นท่ีมาของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาค และในปี 1954
จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มีบทบาทอย่างมากท้ัง
ในวงการวิชาการและกระบวนการกาหนดนโยบายของอังกฤษ ได้เขียนหนังสือช่ือ “The General
Theory of Employment, Interest and Money” หรือเรียกส้ันๆว่า “The General Theory”
เน้ือหาภายในหนังสือเล่มนี้ขัดแย้งกับเศรษฐศาสตร์รุ่นก่อนๆ ในเรื่องกลไกตลาด ที่ไม่สามารถทางาน
ได้ดีพอสาหรับการแก้ไขปัญหาการว่างงานและปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่าที่เกิดข้ึน ดังนั้น รัฐจึงควร
ถือเป็นหน้าท่ีที่ต้องแทรกแซง เพื่อการกระตุ้นให้เศรษฐกิจกระเตื้องข้ึนและลดการว่างงานลง โดยรัฐ
อาจสรา้ งงานให้ประชาชน เช่น การสร้างถนน สรา้ งเขอ่ื น หรอื สรา้ งสถานทท่ี างานของรัฐ เป็นตน้ การ
เรียกร้องให้รัฐเข้ามาแทรกแซง เพ่ือแก้ไขปัญหาการว่างงานและเศรษฐกิจตกต่าน้ันได้รับการยอมรับ
มาก และเคนส์จึงได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์มหภาค ในเวลาต่อมากลุ่มนักธุรกิจ
เร่ิมวิตกกังวลว่า ถ้าบทบาทของรัฐในระบบเศรษฐกิจขยายกว้างมากขึ้นจะทาให้ภาคธุรกิจไม่สามารถ
ทางานได้เต็มท่ี จะเห็นได้ว่าแนวคิดของ อดัม สมิธ ที่ว่ารัฐควรลดบทบาทหรือลดการแทรกแซงทาง
เศรษฐกิจลง แต่ความคิดของเคนส์กลับเห็นว่า รัฐควรมีบทบาททางเศรษฐกิจมากขึ้น ซ่ึงปรัชญาทาง
ความคิดของทัง้ สองตา่ งกันแตก่ ็มเี หตุผลและมีความสาคญั อยา่ งทดั เทียมกัน (นราทิพย์ ชุตวิ งศ,์ 2558)
1.2 ความหมายของวิชาเศรษฐศาสตร์
จากการได้ทราบถึงความเป็นมาของวิชาเศรษฐศาสตร์ซึ่งได้กล่าวมาแล้วนั้นจะเห็นได้ว่า
เศรษฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ให้ความสาคัญกับการดารงชีวิตของมนุษย์ท่ามกลางเศรษฐกิจและสังคมท่ี
เปลย่ี นไป โดยมนี ักเศรษฐศาสตรห์ ลายคนไดใ้ ห้คานิยาม ความหมายเก่ยี วกับวชิ าเศรษฐศาสตรไ์ ว้ ดังนี้
(ประพันธ์ เศวตนันทน์ และ ไพศาล เลก็ อุทยั , 2560)
อัลเฟรด มาร์แซลล์ นักเศรษฐศาสตร์ ชาวอังกฤษ ได้นิยามความหมายของวิชา
เศรษฐศาสตร์ว่าในหนังสือของเขาที่ช่ือว่า ”Principles of Economics” ว่า “เศรษฐศาสตร์เป็น
ศาสตร์ว่าด้วยการดารงชีวิตตามปกติของมนุษย์ โดยศึกษาถึงการกระทาของสังคมและปัจเจกชน
เฉพาะส่วนทมี่ คี วามสัมพันธ์อย่างแนน่ แฟ้นท่ีสดุ กบั การบรรลุความอยู่ดีกินดี และการใชว้ ัตถุปจั จัยเพื่อ
การอยดู่ ีกินด”ี
พอล เอ. แซมมวลสัน นกั เศรษฐศาสตรช์ าวอเมรกิ ันเจ้าของรางวัล Nobel Memorial Prize
in Economic Sciences (1970) ได้นิยามว่า เศรษฐศาสตร์เป็นการศึกษาถึงเร่ืองมนุษย์และสังคม
ตัดสินใจเลือกใช้ทรัพยากรการผลิตอันมีอยู่อย่างจากัดซึ่งอาจใช้ไปเพ่ือการต่างๆ กันได้ ไปผลิตสินค้า
และบริการต่างๆ และแจกแจงสินค้าและบริการเหล่าน้ันเพื่อการบริโภค ไม่ว่าในปัจจุบันหรือใน
อนาคตระหวา่ งประชาชนและกลุม่ ตา่ งๆ ในสงั คม ไม่วา่ จะต้องใช้เงินหรือไม่ก็ตาม
3
รัตนา สายคณติ (2544, 1) กล่าววา่ เศรษฐศาสตร์ คือวชิ าท่ศี กึ ษาถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่
อยา่ งจากดั เพอ่ื ผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารที่มนุษย์ต้องการและทาการจาแนกจ่ายสินคา้ และบริการเหล่าน้ัน
ไปบาบดั ความตอ้ งการของบคุ คลในสังคม
วนั รกั ษ์ ม่ิงมณีนาคนิ (2548, 2) กล่าวว่า เศรษฐศาสตร์ คอื ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการเลือก
หนทางในการใชท้ รัพยากรการผลติ อันมีอย่อู ย่างจากัด เพ่ือผลติ สินคา้ และบริการใหไ้ ดป้ ระโยชน์สูงสุด
สามารถสนองความต้องการอันไมจ่ ากดั ของบุคคลและกลุ่มบุคคลในสังคม
จากความหมายของวิชาเศรษฐศาสตร์ท่ีได้กล่าวมาแล้วน้ัน อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า
เศรษฐศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ศึกษาถึงกระบวนการการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัด เพ่ือผลิต
สนิ ค้าและบรกิ ารต่างๆสาหรับสนองความต้องการของมนุษยท์ ี่มีอยา่ งไม่จากดั
1.3 ความขาดแคลน การเลือก และเสน้ เป็นไปไดใ้ นการผลิต
เศรษฐศาสตร์ เข้ามามีบทบาทในการช่วยสร้างแนวคิดในการจัดการกับปญั หาในการจดั สรร
ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัดโดยมีจุดมุ่งหมายท่ีแท้จริง คือเพ่ือความเป็นธรรมในการจัดการกับ
ทรพั ยากรท่ีมีอยูอ่ ยา่ งขาดแคลน (นราทิพย์ ชตุ ิวงศ์, 2558)
ความขาดแคลน
ความขาดแคลน (Scarcity) หมายถึง จานวนทรัพยากรที่มีอยู่จากัดไม่เพียงพอท่ีจะผลิต
สินค้าได้มากมายหลายชนิดเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการภาพแบบต่างๆของมนุษย์ได้ ทั้งนี้
เน่ืองจากความต้องการของมนุษย์มีอยู่ไม่กาจัด เช่น ปัจจุบันปัญหาการขาดแคลนน้านับวนั จะเพิ่มข้ึน
เร่ือยๆ เนื่องจากประชากรนับวันก็เพิ่มข้ึน ทาให้ความต้องการน้าเพิ่มขึ้นเม่ือเทียบกับปริมาณน้ามีอยู่
คงเดิม จงึ ทาให้มปี ัญหา
เนื่องจากเกิดการขาดแคลนของทรัพยากร จึงเป็นสาเหตุให้มนุษย์ต้องมีการตัดสินใจเลือก
(Choices) ใช้ทรัพยากรเหล่าน้ีให้เกิดเหมาะสมที่สุด หรือประโยชน์สูงสุด เม่ือมีการตัดสินใจเลือก
ทรัพยากรท่ีขาดแคลนไปทางใดทางหนึ่ง ย่อมก่อให้เกิดต้นทุนเสียโอกาส (Opportunity Cost)
หมายความว่า เม่ือเราใช้ทรัพยากรที่ขาดแคลนไปผลิตสินค้าอย่างหน่ึง ย่อมทาให้เราต้องสูญเสีย
โอกาสไปผลติ สินคา้ อกี หลายอย่างเสมอ
การเลือก
การเลือก (Choice) เป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากความขาดแคลนเพราะทรัพยากรต่าง ๆ
สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้หลายทางนอกจากนี้ ความไม่สมดุลระหว่างความต้องการที่ไม่จากัดกับ
ทรัพยากรการผลิตท่ีมีอยู่จากัด ทาให้ความต้องการบางส่วนไม่สามารถบรรลุผลได้ เราจึงต้องเลือกใช้
ทรัพยากรอันมีจากัดไปในทางที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หรือ ให้ความพอใจมากท่ีสุด การ
ตัดสินใจเลือกดังกล่าวนี้เป็นพฤติกรรมเชิงเศรษฐกิจข้ันพ้ืนฐานท่ีต้องเผชิญตั้งแต่ระดับบุคคล กลุ่ม
4
บุคคล และระดับประเทศชาติ ดังนั้นอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าการเลือกเป็นส่ิงท่ีเกิดจากปัญหาความ
ขาดแคลนของทรัพยากร และโภคภัณฑ์ต่างๆ ทุกสังคมจึงเผชิญกับการกาหนดทางเลือก กล่าวคือ จะ
เลอื กผลติ โภคภณั ฑช์ นิดใด การผลติ โภคภณั ฑ์แต่ละชนดิ จะใชป้ ัจจัยอะไร มากนอ้ ยเพยี งใด
เส้นเป็นไปไดใ้ นการผลิต
เส้นเป็นไปได้ในการผลิต (production possibility curve : PPC) หมายถึง เส้นสมมุติ
ที่แสดงส่วนประกอบของสินค้าสองชนดิ ที่ประเทศหนึ่งสามารถผลิตข้ึนโดยใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่ท้ังหมด
อย่างเต็มศักยภาพในระยะเวลาหน่ึงและด้วยเทคนิคการผลิตที่มีอยู่ในขณะน้ัน (นราทิพย์ ชุติวงศ์,
2558)
การใช้เส้นเป็นไปได้ในการผลิตน้ันจะสะท้อนภาพให้เข้าใจถึงความสามารถในการผลิตของ
ประเทศน้ันท่ีต้องผ่าน “การเลือก” ผลิตสินค้าในกรณีท่ีมีทรัพยากรมี “ความขาดแคลน” เพื่อให้
เกิดผลดีในการเลือกสรรทรัพยากรท่ีดีที่สุด โดยจะขอยกตัวอย่างเพ่ือให้ง่ายแก่ความเข้าใจ สมมุติว่า
ประเทศๆหน่ึงใช้ทรัพยากรท้ังหมดไปเพ่ือผลิตสินค้าได้เพียง 2 ชนิด คือ สินค้าเกษตรกรรม(X) และ
สินค้าอุตสาหกรรม(Y) ซ่ึงจะเกิด “ความเป็นไปได้” ในการผลิตสินค้า 2 ชนิดในส่วนผสมต่างๆ ดัง
ตาราง 1.1 ดังนี้
ตาราง 1.1 ส่วนผสมทเี่ ปน็ ไปไดใ้ นการผลิตสนิ คา้ 2 ชนดิ Y : สนิ ค้าอุตสาหกรรม (ลา้ นหนว่ ย)
แผนการผลติ X : สนิ ค้าเกษตร (ล้านหนว่ ย) 15
A0 14
B1 12
C2 9
D3 5
E4 0
F5
จากตาราง 1.1 ด้วยทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจากัดแผนการผลิตสินค้าเกษตรกรรมและสินค้า
อตุ สาหกรรมมีอยู่ 5 แผน สามารถยกตัวอยา่ งอธิบายได้ ดงั นี้
- หากเลือกที่จะผลิตที่แผน A จะผลิตได้เพียงสินค้าอุตสาหกรรมอย่างเดียว 15 ล้าน
หน่วย แตจ่ ะไมส่ ามารถผลิตสนิ ค้าเกษตรได้เลย (X=0, Y=15)
- หากเลือกจะผลิตที่แผน C จะพบว่าทรัพยากรท้ังหมดจะถูกผลิตเป็นสินค้า
อุตสาหกรรม 12 ล้านหน่วย และถกู ผลติ เป็นสนิ ค้าเกษตรกรรม 2 ล้านหนว่ ย (X=2, Y=12)
5
หากนาตาราง 1.1 มาพลอตกราฟโดยกาหนดให้แกน X เป็นผลผลิตสินค้าเกษตร และ
กาหนดให้แกน Y เป็นผลผลิตสินค้าอุตสาหกรรม ก็จะได้เส้นความเป็นไปได้ในการผลิต ดังแสดงใน
ภาพ 1.1
ภาพ 1.1 เสน้ ความเป็นไปได้ในการผลิต
จากภาพ 1.1 แสดงให้เห็นถึงเส้นความเป็นไปได้ท่ีแสดงถึงศักยภาพการเลือกใช้ทรัพยากร
ของประเทศน้ี ซงึ่ สามารถอธิบายยกตวั อย่างได้ ดงั น้ี
- เส้น AF คือเส้น PPC ของประเทศ ทุกจุดบนเส้น PPC แสดงให้เห็นถึงการใช้
ทรัพยากรอย่างเตม็ ที่ในการผลิตสินคา้ และบริการ
- การเปลี่ยนแปลงจากจุด A เป็นจุด C แสดงให้เห็นถึง การลดลงของจานวนการผลติ
สนิ คา้ Y เพ่ือไปผลติ สินค้า X ใหม้ ากข้ึน
- การผลติ ทจี่ ดุ G เปน็ จดุ การผลิตทต่ี ่ากวา่ ระดับการใช้ทรัพยากรอย่างเต็มที่ ซ่ึงอาจจะ
มที รัพยากรบางสว่ นทีถ่ ูกทง้ิ วา่ งอยู่ หรอื มีการวา่ งงาน
- จุด H แสดงให้ถึงการขยายกาลังการผลิตสินค้าเม่ือประเทศมีทรัพยากรมากข้ึนหรือมี
เทคโนโลยีท่ีกา้ วหน้าขึน้ ทาใหเ้ สน้ PPC เปลยี่ นจากเส้น AF เป็นเส้น PP
ทงั้ น้ี เส้นเสน้ ความเป็นไปได้ในการผลิตอาจจะขยับเปล่ียนแปลงไปได้ (เช่นเดียวกับเสน้ PP)
เม่อื ประเทศมที รพั ยากรการผลิตเพมิ่ ขนึ้ หรอื มีเทคโนโลยีที่ดขี ้นึ อย่างใดอยา่ งหน่ึงหรือทงั้ 2 อย่าง
1.4 ทรพั ยากรการผลติ สินค้าและบรกิ าร
ทรพั ยากรการผลติ (Productive Resources) หมายถึง ส่งิ ที่ใช้ในการผลติ สนิ คา้ และบริการ
ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและถูกมนุษย์สร้างหรือกาหนดข้ึน (ผุสดี) ทรัพยากรการผลิตเรียกอีก
6
อย่างว่า ปัจจัยการผลิต (Factor of Production) ที่นามาผลิตสินค้าและบริการ แบ่งออกเป็น 4
ประเภท ดังตาราง (ปยิ ะศริ ิ เรอื งศรมี ั่น, 2556)
ตาราง 1.2 ประเภทปัจจยั การผลติ และผลตอบแทน
ประเภท ท่ดี ิน (Land) แรงงาน ทนุ (Capital) ผ้ปู ระกอบการ
ปจั จยั การผลติ (Labor) (Entrepreneur)
ดอกเบ้ยี
ค่าจา้ ง (Wage) (Interest) กาไร (Profit)
ผลตอบแทน ค่าเชา่ (Rent) และเงนิ เดือน
(Salary)
จากตาราง 1.2 ท่ีแสดงให้เห็นประเภทปัจจัยการผลิตซึ่งแต่ละประเภทจะต้องมีผล
ผลตอบแทนเกดิ ข้นึ สามารถอธบิ ายขยายความแต่ละประเภท ดังน้ี
1) ที่ดิน (land) ได้แก่ท่ีดินรวมท้ังทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ เช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ สัตว์น้า
ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ปริมาณน้าฝน และส่ิงแวดล้อมตามธรรมชาติต่าง ๆ เป็นต้น ส่ิงเหล่านี้มอี ยู่
ตามธรรมชาติ มนุษย์สร้างขึ้นไม่ได้ แต่สามารถปรับปรุงคุณภาพของทรัพยากรธรรมชาติได้บ้าง เช่น
ปรับปรงุ ท่ดี นิ ใหอ้ ุดมสมบรู ณข์ น้ึ ผลตอบแทนจากการใชท้ ่ดี ิน เรียกว่า ค่าเชา่ (rent)
2) แรงงาน (labor) หรือทรัพยากรมนุษย์ (human resource) หรือทุนมนุษย์ (human
capital) ได้แก่ แรงกาย แรงใจ ตลอดจนสติปญั ญา ความรู้ และความคดิ ท่มี นษุ ยท์ ุ่มเทใหแ้ ก่การผลิต
สินค้าและบริการ (แรงงานสัตว์ไม่ถือเป็นปัจจัยผลิตประเภทแรงงาน แต่ถือเป็นทุนประเภทมีชีวิต)
โดยทวั่ ไป แบง่ แรงงานออกเป็น 3 ประเภท คอื
2.1) แรงงานฝมี ือ (Skilled Labor) หมายถึง ผูท้ ม่ี ีความรู้ทางทฤษฎแี ละเชยี วชาญด้าน
ใดดา้ นหน่ึงโดยเฉพาะ สามารถคิดวิเคราะห์แก้ไขและตัดสินใจแก้ไขปญั หาข้อผดิ พลาดจากการทางาน
ไดด้ ว้ ยตนเอง เช่น นักวิทยาศาสตร์ นักวชิ าการ วิศวกร แพทย์ และนักวชิ าชีพตา่ ง ๆ เปน็ ต้น
2.2) แรงงานกึ่งมีฝีมือ (Semi-skilled Labor) หมายถึง ผู้ท่ีมีความรู้ทางทฤษฎีและ
ปฏิบัติในส่ิงทม่ี ีความชานาญเพยี งบางสว่ นของงานอาชีพ เชน่ ชา่ งไม้ ช่างเทคนิค พนกั งานเสมยี น ชา่ ง
เทคนคิ คมุ เครือ่ งจกั รในโรงงาน เป็นตน้
2.3) แรงงานไร้ฝีมือ (Unskilled Labor) หมายถึง ผู้ท่ีทางานโดยใช้กาลังกาย ไม่
จาเป็นต้องใช้ความรู้ความชานาญ เพียงได้รับคาแนะนาบ้างเล็กน้อยก็สามารถทางานได้แรงงาน เช่น
กรรมกรใช้แรง นักการภารโรง คนยาม เปน็ ตน้
3) ทุน ( Capital) ในความหมายทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง ส่ิงก่อสร้าง และเคร่ืองจักร
เครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นการผลิต นอกจากน้ีทุนยงั แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท คือ
7
3.1) เงินทนุ (Money Capital) หมายถึง ปริมาณเงินตราทเี่ จ้าของเงินนาไปซ้ือวัตถุดิบ
จ่ายค่าจ้าง ค่าเชา่ และดอกเบ้ยี
3.2) สินค้าประเภททุน (Capital Goods) หมายถึง ส่ิงก่อสร้าง รวมถึงเครื่องมือ
เคร่ืองจกั รที่ใชใ้ นการผลติ เป็นตน้ ผลตอบแทนจากเงินทนุ คอื ดอกเบ้ีย (Interest)
4) ผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) หมายถึง บุคคลท่ีสามารถนาปัจจัยการผลิตต่าง ๆ
มาดาเนนิ การผลิตให้มีประสิทธิภาพสุด โดยอาศัยหลกั การบริหารทด่ี ี การตัดสนิ ใจจากข้อมูลหรือจาก
เกณฑ์มาตรฐานอยา่ งรอบคอบ รวมถงึ ความรับผดิ ชอบ ผลตอบแทน คอื กาไร (Profit)
สนิ คา้ และบริการ
สินค้าและบริการ (goods and services) หมายถึง สิ่งใดๆที่สามารถสนองความต้องการ
ของหรือความพอใจของผู้บริโภคได้ ไม่ว่าส่ิงน้ันจะมีตัวตนจับต้องได้หรือไม่มีก็ตาม ท้ังน้ี ส่ิงที่จับต้อง
ได้ (tangible) เรียกว่า สินค้า เช่น เส้ือผ้า กระเป๋า หนังสือ แต่ส่ิงใดที่ไม่มีตัวตนและจับต้องไม่ได้
(intangible) เรียกว่า บริการ เช่น บริการเสิร์ฟอาหาร บริการสัญญาณอินเทอร์เน็ต บริการซักอบรีด
เปน็ ต้น
ในทางเศรษฐศาสตร์ได้จาแนกสินค้าและบริการตามปริมาณการมีอยู่หรือจะหามาได้ซ่ึง
สินค้าและบรกิ ารชนิดน้ันๆ แบ่งได้ 2 ประเภท ได้แก่
1) สินค้าทางเศรษฐกิจหรือเศรษฐทรัพย์ (Economics Goods) หมายถึง สินค้า
และบริการที่มีต้นทุน ผ่านกระบวนการผลิต ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีอยู่อย่างจากัดเม่ือเทียบ
กับความต้องการมนุษย์ ทาให้เกิดมูลค่าหรือราคา การได้เศรษฐทรัพย์มาครอบครองจะต้องมีการจา่ ย
ผลตอบแทนให้ เชน่ ข้าวราดแกง โทรศัพท์ บา้ น ดนิ สอ เป็นตน้
2) สินค้าท่ีได้เปล่าหรือสินค้าไร้ราคา (Free Goods) หมายถึง สินค้าและบริการที่
เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่มีต้นทุนการผลิต และมีอยู่อย่างไม่จากัดเม่ือเทียบกับความต้องการของ
มนุษย์ ซึ่งมนษุ ยส์ ามารถใชไ้ ดโ้ ดยไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนใด ๆ ทง้ั สน้ิ เช่น อากาศ ลม นา้ ฝน แสงแดด
น้าทะเล เปน็ ต้น
(ภราดร ปรีดาศักด,์ิ 2556)
1.5 แขนงของวชิ าเศรษฐศาสตร์
ในการศกึ ษาวชิ าเศรษฐศาสตร์แบบเบอ้ื งต้นนนั้ อาจแบ่งแขนงของวชิ าได้เป็น 2 แขนงใหญ่ๆ
ได้แก่ เศรษฐศาสตร์จุลภาค และเศรษฐศาสตร์มหภาค โดยสามารถอธิบายรายละเอียดของแขนงวชิ า
แบบพอสังเขปได้ ดงั นี้
1) เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Microeconomics) จะศึกษาพฤติกรรมและการตัดสินใจ
ในการเลือกใช้ทรัพยากรให้บรรลุเปา้ หมายของหน่วยเศรษฐกิจหน่วยย่อยท่ีเก่ียวข้องกับบุคคล หน่วย
8
ธรุ กจิ หรือหน่วยครวั เรือน เชน่ พฤติกรรมผ้บู ริโภค พฤติกรรมผู้ผลิต ในอตุ สาหกรรม การศกึ ษาระบบ
ราคาในสนิ คา้ ชนิดใดชนิดหน่ึง เปน็ ต้น
2) เศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics) จะศึกษาพฤตกิ รรมโดยส่วนรวมของ
ทั้งประเทศ หรือศึกษากิจกรรมทางเศรษฐกิจของระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ เช่น การบริโภค การจ้าง
งาน การออมการลงทุน รายได้ประชาชาติ การเจิรญเตบิ โตทางเศรษฐกจิ และการพัฒนาเศรษฐกิจของ
ทั้งประเทศ เป็นตน้
1.6 ปัญหาพน้ื ฐานทางเศรษฐกิจ (Basic Economic Problem)
ทรพั ยากรมจี านวนจากัดไม่พอท่ีจะบาบดั ความต้องการทุกอยา่ งของทกุ คนในสังคมได้ ดังนน้ั
ทุกสังคมต้องประสบกับปัญหาพื้นฐานท่ีเหมือนกัน คือ ผลิตอะไร ผลิตอย่างไร และผลิตเพ่ือใคร ซ่ึง
รวมเรยี กว่า ปัญหาพืน้ ฐานทางเศรษฐกจิ (ภราดร ปรีดาศักด์ิ, 2556)
1) ผลิตอะไร (what) เป็นปัญหาการตัดสินใจว่าควรจะผลิตสินค้าอะไร ผลิตเป็นจานวน
เท่าไร ปญั หานเ้ี กิดจากทรพั ยากรผลิตทมี่ ีอย่างจากัด จึงต้องเลอื กผลติ เฉพาะสนิ ค้าทจี าเป็น แตถ่ า้ หาก
มีทรพั ยากรการผลิตเพียงพอ ระบบเศรษฐกจิ ก็จะไม่ประสบปญั หานี้
2) ผลิตอย่างไร (how) เป็นการพิจารณาว่าจะผลิตสินค้าและบริการด้วยเทคนิคการผลิต
แบบไหน และใช้ปัจจัยการผลิตอะไรบ้าง แต่ละชนิดใช้เป็นสัดส่วนเท่าไร จึงจะมีประสิทธิภาพในการ
ผลติ ที่ได้ผลผลติ มากหรอื ใชต้ น้ ทนุ น้อยท่ีสุด
3) ผลิตเพื่อใคร (for whom) เป็นการพิจารณาสินค้าและบริการท่ีผลิตได้จะจัดสรรให้แก่
บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดในสังคมด้วยวิธีการอะไรและมีกระบวนการอย่างไร เช่น การให้เปล่า การ
จดั สรร การใช้กลไกราคา เปน็ ต้น
การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจท้ัง 3 ประการน้ีในสังคมของประเทศต่างๆจะต้องอาศัยระบบ
เศรษฐกจิ แบบตา่ งๆเปน็ เครื่องมือชว่ ยทาหนา้ ท่ตี ดั สนิ ปัญหาดังกลา่ วให้มีประสิทธภิ าพสงู สุด
1.7 ระบบเศรษฐกิจ (Economic System)
ระบบเศรษฐกิจสามารถจาแนกออกเป็น 4 ระบบด้วยกัน คือ ระบบทุนนิยม สังคมนิยม
คอมมิวนิสต์ และแบบผสม โดยมีลักษณะสาคัญและข้อดี ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบต่างๆ
ดงั ต่อไปน้ี (สดุ ารตั น์ พมิ ลรัตนกานต์, 2556)
1) ระบบเศรษฐกจิ แบบเสรี (Free Economy) หรือทุนนิยม (Capitalism)
ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีหรือทุนนิยมน้ันเป็นระบบเศรษฐกิจท่ีเอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยการ
ผลิต มีเสรีภาพในการดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ โดยที่รัฐบาลจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรอื
แทรกแซงในการดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รฐั ทาหน้าทีใ่ นการอานวยความสะดวกและการจัดสร้าง
9
สาธารณูปโภคต่างๆ ดังน้ันเอกชนจึงเป็นผู้ตัดสินแก้ปัญหาพ้ืนฐานทางเศรษฐกิจต่างๆ โดยใช้ระบบ
ราคาหรือระบบตลาดช่วยในการตัดสินใจว่าจะผลิตอะไร ผลิตอย่างไร ท้ังน้ีราคาเป็นตัวกาหนดว่ามี
ผบู้ รโิ ภคมากน้อยเพยี งใดหรอื มผี ผู้ ลติ จานวนเท่าใด ณ ราคานัน้ ๆ กาไรคอื แรงจงู ใจของการผลิต จงึ ทา
ให้ระบบเศรษฐกิจนี้มีการแข่งขันทางราคาสูงมากและเป็นไปอย่างเสรี ทั้งนี้เพราะราคาถูกกาหนด
ขึ้นมาจากอุปสงคแ์ ละอุปทานของตลาด
อังกฤษเป็นประเทศแรกทใ่ี ช้ระบบนี้ เพราะมีความรงุ่ เรืองทางด้านธรุ กจิ และอุตสาหกรรมมา
ก่อน ประชาชนชาวอังกฤษเองก็มีอาชีพทางด้านการค้ามาช้านานโดยใช้ทรัพยากรทั้งในและนอก
ประเทศมีอาณานิคมอยู่รอบโลก และภายใต้ระบบเศรษฐกิจในลักษณะนี้บุคคลมีเสรีภาพโดยสมบรู ณ์
ท่ีจะถือทรัพย์สินส่วนตัว มีเสรีภาพจะเลือกการบริโภคการตัดสินใจในการแก้ปัญหาพื้นฐานทาง
เศรษฐกิจ จะทาโดยผ่านระบบตลาดแข่งขัน โดยที่ราคาในตลาดจะเป็นเคร่ืองบ่งชี้ถึงความต้องการ
ของสังคม (อัมพร วจิ ิตรพันธ์, 2515)
หลักการสาคัญของระบบเศรษฐกิจแบบเสรี ในระบบแบบเสรีมีหลักการท่ีสาคัญพอสรุปได้
ดงั น้ี
(1) การถือสิทธิ์ในทรัพยากร ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม หรือทุนนิยมยอมรับเร่ือง
กรรมสิทธ์ิ คือ ยอมให้หน่วยธุรกิจหรือเอกชนเป็นเจ้าของทรัพย์สินและปัจจัยการผลิตได้ ผู้ถือ
กรรมสิทธ์ใิ นทรัพยเ์ หล่าน้ีจงึ มีสิทธเิ สรภี าพในการจัดกระทาใดๆ กบั ทรพั ยข์ องตนกไ็ ด้
(2) เสรีภาพในการประกอบการ ทั้งปัจเจกบุคคลและกลุ่มบุคคลที่เป็นองค์การหรือ
หน่วยธุรกิจ ต่างมีเสรภี าพอย่างเต็มเป่ียมในการประกอบการใดๆ เพือ่ จัดดาเนินการกบั ปัจจัยการผลิต
และทรพั ย์สินของตนไดอ้ ย่างอิสระ ปราศจากการบังคับควบคุมจากสงิ่ ใดทั้งส้นิ
(3) กาไรเป็นเคร่ืองจูงใจ ในระบบเศรษฐกิจแบบเสรี กาไรซ่ึงเป็นส่วนของผลได้ท่ีเพิ่ม
ข้ึนมาจากการลงทุนเป็นส่ิงสาคัญในการจูงใจให้หน่วยธุรกิจผู้ผลิตทาการผลิต โดยมุ่งนาเทคนิคใหม่ๆ
ท่ีมาช่วยลดต้นทุนการผลิตมาใช้ในการดาเนินการ เพ่ือที่จะได้กาไรสูงสุด ส่วนผู้บริโภคจะยึดเกณฑ์
การเลือกบริโภคสินค้าและบริการท่ีจะนาความพอใจสูงสุด ด้วยการจ่ายเงินน้อยที่สุด โดยทาการ
เปรียบเทียบความตอ้ งการของตนเองจากบรรดาสินคา้ ชนิดคา่ งๆ
(4) กลไกของราคา ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีใช้ราคาเป็นตัวตัดสินปัญหาพื้นฐานด้าน
การผลิต คือ ผู้ผลิตตัดสินใจว่าจะผลิตอะไร เป็นจานวนเท่าใด โดยดูแนวโน้มความต้องการของผู้
จ่ายเงินซื้อสินค้าชนิดต่างๆ และดูระดับราคาสินค้าที่ผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายซ้ือ ถ้าผู้บริโภคต้องการ
สินค้าชนิดใดมากก็จะใช้เงินซ้ือสินค้านั้นมาก แม้ราคาจะสูงก็ยังจะซ้ืออยู่ เมื่อเป็นดงนั้นผู้ผลิตก็จะทมุ่
ทุนกาลังการผลิต ผลิตสินค้าชนิดนั้น เพราะแน่ใจว่าขายได้แน่นอน วิธีดูแนวโน้มของราคาและ
พฤติกรรมของผู้บริโภคนี้เองเป็นตัวกาหนดท่ีผู้ผลิตใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่าจะผลิตอะไร ใน
ปริมาณเท่าใด ราคาในระบบเศรษฐกิจเสรีจึงทาหน้าท่ีบ่งช้ีและควบคุมการทางานภายในระบบ
10
เศรษฐกิจจนกล่าวกันว่า ราคาทาหน้าท่ีแทนผู้บริโภค ชี้ทางให้ผู้ผลิตผลิตเฉพาะสินค้าท่ีผู้บริโภค
ตอ้ งการ
(5) บทบาทของรัฐ ระบบเศรษฐกิจแบบเสรี รัฐจะไม่มีบทบาทในทางเศรษฐกิจเลย รัฐ
ทาหน้าที่เพียงด้านความยุติธรรมและป้องกันประเทศ โดยที่รัฐบาลจะเป็นฝ่ายให้บริการและอานวย
ความสะดวกแก่เอกชนหรือผู้ผลิตสินค้าและบริการ ดังเช่น อดัม สมิธ ได้กาหนดและวางหน้าที่
บางอย่างแก่รัฐ ดังนี้ การป้องกันประเทศจากการรุกรานโดยใช้กาลัง ไม่ว่าภาพแบบใดๆ ทั้งภายใน
และภายนอกประเทศ การคุ้มครองมิให้พลเมืองได้รับความอยุติธรรม หรือการกดข่ีข่มเหงจากการ
กระทาของพลเมอื งด้วยกันเอง การสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ เพอื่ อานวยความสะดวกต่อประชาชน
2) ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม (Socialism) หรือระบบเศรษฐกิจแบบวางแผน
(Planned Economy)
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เป็นระบบเศรษฐกิจที่รัฐเข้าไปควบคุมการดาเนินกิจกรรม
ทางเศรษฐกิจ โดยมีจุดมุ่งหมายให้เกิดความยุติธรรมในการกระจายผลผลิตแก่ประชาชน นอกจากนี้
รัฐบาลยังเป็นผู้ตัดสินใจในการแก้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ โดยมีการวางแผนการดาเนินงานทาง
เศรษฐกิจจากส่วนกลาง ในระบบเศรษฐกิจแบบน้ีรัฐบาลจะเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตส่วนใหญ่ แต่
ยงั คงให้เอกชนมีสิทธิในการถือครองทรัพย์สนิ สว่ นตัว อาทิ ที่พกั อาศัย
หลักการสาคัญของระบบเศรษฐกจิ แบบสังคมนิยม หรือระบบเศรษฐกจิ แบบวางแผน มีหลัก
ที่สาคัญ 2 ประการ คือ กรรมสิทธ์ิในปัจจัยการผลิตเป็นขององค์การหรือหน่วยงานสาธารณะ (คือ
รัฐบาลและองค์การบริหารต่างๆ) ท้ังน้ีเพื่อให้กิจกรรมผลิตสาคัญท่ีมีขนาดใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุม
ดาเนนิ การในวถิ ที างที่จะยังผลประโยชน์แก่ส่วนรวม
รัฐเป็นผู้ดาเนินการกิจกรรมทางเศรษฐกิจท่ีสาคัญ ได้แก่ การดาเนินการเกี่ยวกับปัญหา
พ้ืนฐานทางเศรษฐกิจของชาติท้ังด้านการผลิตและการจาหน่าย ท้ังในระดับนโยบายและการปฏิบัติ
เป็นงานหน้าท่ีของรัฐ โดยมีเป้าหมายให้บรรลุแผนเศรษฐกิจรวมของชาติ เพ่ือยกมาตรฐานความ
เปน็ อยู่ของประชาชนใหด้ ขี ึน้
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบสงั คมนยิ ม ประกอบไปด้วย
- ประชาชนมีความสามัคคีรว่ มแรงร่วมใจมากกวา่ ระบบที่ต่างคนต่างอยู่
- ประชาชนมรี ายไดใ้ กลเ้ คียงกนั และเศรษฐกิจไม่ค่อยผันแปรขึ้นลงมากนัก
- รัฐจะครอบครองปัจจัยขั้นพื้นฐานไว้ท้ังหมด และความคุมกิจการสาธารณูปโภค
ท้งั หมด
ข้อเสยี ของระบบเศรษฐกจิ แบบสงั คมนิยม ประกอบไปดว้ ย
- แรงจูงใจในการทางานต่า เพระกาไรตกเป็นของรัฐ คนงานจะได้รับส่วนแบ่งตาม
ความจาเป็น
11
- ผบู้ ริโภคไมม่ โี อกาสเลือกสินคา้ ได้มาก
- ประชาชนไม่มีเสรีภาพอยา่ งเตม็ ทใ่ี นการทาธรุ กิจทตี่ นเองมคี วามรู้ ความสามารถหรือ
ต้องการจะทา
- ไม่ค่อยมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพราะไม่มีการแข่งขัน สินค้าอาจไม่มี
คุณภาพ
3) ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนสิ ต์ (Communism)
ระบบเศรษฐกจิ แบบคอมมวิ นิสต์ หมายถึง ระบบเศรษฐกิจและการเมืองท่ีรฐั เป็นเจ้าของทุน
แลละปัจจัยการผลิตทุกชนิด โดยรัฐเป็นผู้กาหนดการตัดสินใจในทางเศรษฐกิจและสังคมท้ังหมด ซ่ึง
เป็นระบบที่ตรงกันข้ามกับระบบทุนนิยมโดยส้ินเชิง รัฐจะเข้ามาควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจไว้
ทั้งหมด โดยจะกาหนดว่าจะผลิตสินค้าและบริการอะไร ผลิตอย่างไร และผลิตเพ่ือใคร เอกชนไม่มี
สิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สินเพื่อการผลิตต่างๆ เช่น การถือครองท่ีดิน เป็นต้น ระบบเศรษฐกิจแบบ
คอมมิวนิสต์น้ันพัฒนามาจากแนวความคิดทางเศรษฐกิจของคาร์ล มาร์ค ( Karl Marx) นัก
เศรษฐศาสตร์ผู้ซึ่งได้รับสมญานามว่า “บิดาแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์” และวาลาดิเนีย อิสยิช อัลยานอบ
(Vladinir Ilych Ulyanov) หรอื ทีร่ ูจ้ กั กันโดยทั่วไปในนามของ เลนิน (Lenin) นกั ปฏวิ ัติโซเวียต ซง่ึ ได้
เปลี่ยนแปลงการปกครองและนาระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์มาใช้กับสหภาพรัสเซียเปน็ ประเทศ
แรก
ระบบเศรษฐกจิ แบบคอมมวิ นสิ ต์มีลักษณะทแ่ี ตกตา่ งจากระบบทนุ นยิ ม ที่เหน็ ได้เด่นชัด ดงั น้ี
(1) ประชาชนไม่มีเสรีภาพในการเลือกสรรบริโภคสินค้าและบริการต่างๆ ตามความ
พอใจของตน เพระรัฐบาลจะเปน็ ผู้กาหนดสินค้าและบรกิ ารตา่ งๆ ใหป้ ระชาชนเปน็ ผบู้ ริโภคตามความ
เหมาะสมและความจาเป็นเท่านั้น
(2) ประชาชนไม่มีกรรมสิทธิ์ในการถือครองและเป็นเจา้ ของทรัพย์สินซึ่งสามารถนาไป
ผลติ สินคา้ และบริการตา่ งๆ หรอื นาไปแสวงหารายได้ เช่น ทีด่ นิ โรงงาน เครื่องจกั ร ฯลฯ
(3) ประชาชนไม่มีเสรภี าพในการเลือกทางานหรืออาชีพตามอาเภอใจเพราะรัฐบาลจะ
เป็นผู้กาหนดการทางานและคา่ จ้างให้แก่ประชาชนตามความสามารถ ประชาชนจงึ มสี ภาพเป็นลูกจ้าง
ของรฐั บาลทุกคน
(4) รัฐบาลจะเป็นผู้กาหนดการผลิตสินค้าและบริการ ว่าจะผลิตอะไร ผลิตอย่างไร
ปริมาณมากน้อยเทา่ ใด เอกชนไมม่ เี สรีภาพในการผลติ สนิ คา้ และบริการต่างๆ ได้เอง ทั้งน้ีสืบเน่อื งจาก
ปัจจัยการผลิตต่างๆ ท่จี ะใช้ผลิตสินคา้ และบริการเปน็ ของรฐั การกาหนดราคาสนิ ค้าและบริการต่างๆ
รฐั จะเปน็ ผู้กาหนดโดยไม่ใชก้ ลไกราคาดงั เชน่ ระบบทุนนิยม
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนสิ ต์
- ไม่เกดิ การไดเ้ ปรยี บ เสียเปรียบของประชาชนในเชงิ เศรษฐกิจ
12
- เกิดความเสมอภาค เพราะรัฐเป็นผู้แจกจ่ายผลผลิต ให้แก่บุคคลต่างๆ ในสังคมโดย
เทา่ เทียมกนั
- ไม่เกดิ การผกู ขาดทางเศรษฐกจิ โดยผลิตรายใด
ข้อเสยี ของระบบเศรษฐกิจแบบคอมมวิ นสิ ต์
ตามท่ีกล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์น้ัน ความแตกต่างใน
ฐานะทางเศรษฐกิจมีน้อยกว่าระบบทุนนิยม เพราะประชาชนเป็นลูกจ้างของรัฐ แต่จากอดีตที่เป็น
ความจรงิ ปรากฏวา่ ระบบนีย้ งั มขี อ้ บกพรอ่ งอยู่หลายประการ คือ
- ประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าและบริการไม่พัฒนาเจริญก้าวหน้าเท่าที่ควรท้ังนี้
เพราะขาดแรงจงู ใจในการผลิตไมม่ ีผลกาไรท่เี ป็นสง่ิ ลอ่ ใจ
- สิทธแิ ละเสรีภาพของประชาชนถูกจากดั โดยรัฐบาล
- การดาเนินงานลา่ ช้าเพราะต้องผ่านข้ันตอนต่างๆ มากมาย มีลักษณะคล้ายกับระบบ
ราชการ
ปัจจุบันประเทศท่ีพอจะอนุโลมให้เป็นแบบอย่างของระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ได้แก่
สหภาพโซเวียต (ซึ่งปัจจุบันล่มสลายไปแล้ว) สาธารณรัฐประชาชนจีน ท้ังนี้เนื่องจากระบบเศรษฐกิจ
แบบคอมมวิ นิสต์จรงิ ๆ นั้นเปน็ เพยี งอดุ มคตยิ ังไม่มปี ระเทศใดก้าวไปถึง
4) ระบบเศรษฐกิจแบบผสม (Mixed Economy)
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม หมายถึง ระบบเศรษฐกิจท่ีรวมเอาลักษณะสาคัญของระบบ
เศรษฐกิจแบบทุนนิยมและสังคมนิยมเข้าไว้ด้วยกัน ระบบเศรษฐกิจแบบผสม หรือท่ีเรียกกันโดยท่ัวๆ
ไปอีกอย่างหนึ่งว่า ”ระบบเศรษฐกิจแบบ ทุนนิยมใหม่” เป็นระบบเศรษฐกิจท่ีท้ังรัฐบาลและเอกชน
รับผิดชอบร่วมกันในการตัดสินใจเก่ียวกับปัญหาพ้ืนฐานทางเศรษฐกิจ อันได้แก่จะผลิตอะไร ใน
ปริมาณเท่าใด ผลิตอย่างไร และแบ่งปันผลผลิตในหมู่สมาชิกของสังคมอย่างไร ระบบน้ีรัฐบาลจะเข้า
มามีบทบาทในการวางแผนในกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางประการ ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้เอกชน
ดาเนนิ การทางเศรษฐกิจส่วนใหญโ่ ดยอาศัยกลไกราคาเปน็ เครื่องนาทาง
ลกั ษณะทส่ี าคญั ของระบบเศรษฐกจิ แบบผสม มีดังนี้
1) เอกชนและรัฐบาลมีส่วนร่วมกันในการวางแผนเศรษฐกิจของประเทศว่าจะเปน็ การ
ผลิตสินค้าและบริการอะไร ปริมาณมากน้อยเท่าใด และการกระจายสินค้าและบริการท่ีผลิตได้ไปสู่
ใครอยา่ งไรบ้าง ทง้ั นต้ี ง้ั อยู่บนพ้นื ฐานของการรว่ มมอื กันทงั้ ภาคเอกชนและภาครฐั บาล
2) ท้ังเอกชนและรัฐบาลสามารถจะเป็นเจ้าของปัจจัยในการผลิตสินค้าและบริการ
อย่างเสรี แต่อาจมีการจากัดสิทธิเสรีภาพในการผลิตสินค้าและบริการบางประเภทที่รัฐบาลพิจารณา
แล้วเห็นว่าหากปล่อยให้เอกชนดาเนินงานอาจไม่ปลอดภัยต่อความม่ันคงของชาติ หรือเอกชนอยู่ใน
ฐานะที่เหมาะสมซ่ึงจะดาเนินงานได้เพราะอาจจะขาดแคลนเงินทุน ขาดเจ้าหน้าท่ีผู้เชี่ยวชาญ ฯลฯ
13
กิจกรรมดังกล่าวนี้ เช่น กิจกรรมสาธารณูปโภค สาธารณูปการ การรักษาความปลอดภัย การป้องกัน
ประเทศ เป็นตน้
3) กลไกราคายังเป็นสิ่งที่สาคัญในการกาหนดราคาสินค้าและบริการต่างๆ ในระบบ
เศรษฐกิจแบบผสมนี้ แต่รัฐบาลยังมีอานาจในการเข้าไปแทรกแซงภาคเอกชนเพื่อกาหนดราคาสินค้า
ให้มีเสถียรภาพและเกิดความเปน็ ธรรมท้ังผู้ผลิตและผ้บู รโิ ภค
4) รัฐจะคอยให้ความคุ้มครองและความช่วยเหลือ ตลอดจนอานวยความสะดวกแก่
ผู้ประกอบการในภาคเอกชนด้วยการสร้างพ้ืนฐานทางด้านเศรษฐกิจ เช่น การสร้างถนน สะพาน
สนามบิน ฯลฯ ไว้คอยอานวยประโยชน์ต่อเอกชนในการดาเนินธุรกิจ (สุดารัตน์ พิมลรัตนกานต์,
2556)
ข้อดขี องระบบเศรษฐกิจแบบผสม
- เป็นการยกฐานะของคนในสังคมให้เท่าเทียมกันและเป็นการแลกเปล่ียนแปลงจาก
ทุนนยิ มเปน็ แบบสังคมนิยม โดยสันตวิ ธิ ที างรฐั สภา
- รายได้ถูกนามาเฉล่ียให้ผู้ทางานตามกาลังงานที่ได้กระทา มิใช่ตามความจาเป็น
แรงจูงใจในการทางานจึงดกี ว่า
- เอกชนยังมีบทบาททางเศรษฐกจิ มกี ารแข่งขัน สินคา้ จึงมีคุณภาพสงู
- ผบู้ ริโภคมโี อกาสเลอื กสนิ ค้าได้มากพอสมควร
ขอ้ เสียระบบเศรษฐกิจแบบผสม
- ระบบนี้มีการวางแผนเพียงบางส่วน จึงอาจจะไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในกรณีท่ี
ต้องการเรง่ รัดพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเรว็ เชน่ ยามสงคราม
- การควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจบางส่วนโดยรัฐ เป็นเคร่ืองกีดขวางเสรีภาพของ
เอกชน
- การวางแผนจากส่วนกลางเพื่อประสานประโยชน์ของรัฐบาลเข้ากับเอกชนใหเ้ กิดผล
ดแี ก่ส่วนรวมอยา่ งแทจ้ รงิ ทาไดย้ าก
- นักธุรกิจขาดความม่ันใจในการลงทุน เพราะไม่แน่ใจว่าในอนาคตกิจกรรมของตนจะ
ถกู โอนเป็นของรัฐหรือไม่
- การบริหารงานอุตสาหกรรมของรัฐมีประสิทธิภาพไม่ดีไปกว่าสมัยที่อยู่ในมือของ
เอกชน (สุดารตั น์ พิมลรัตนกานต,์ 2556)
14
1.8 เครื่องมอื ประกอบการศกึ ษาเศรษฐศาสตร์
เนื่องจากการใช้เคร่ืองมือทางคณิตศาสตร์สามารถนามาอธิบายทฤษฎีให้ชัดเจน และเข้าใจ
ง่ายขึ้น ในที่น้ีจะกล่าวเฉพาะเครอื่ งมือวิเคราะห์บางอย่างทีผ่ ู้เร่ิมศึกษาควรทราบ ซ่ึงได้แก่ฟังก์ชันและ
สิ่งท่เี กย่ี วขอ้ งกับฟังกช์ ัน คา่ สว่ นเพม่ิ คา่ สูงสดุ คา่ ตา่ สุด
1) ฟังก์ชัน (function) ในวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึง ความสัมพันธ์ของตัวแปร
(variables) ต้งั แต่ 2 ตัวขึ้นไป เช่น ตวั แปร X และตวั แปร Y เปน็ ตน้
ถา้ X ขนึ้ กบั Y หมายความว่า คา่ ของ X เปลี่ยนแปลงเมอ่ื Y เปลย่ี นแปลง
เราจะเรียก X ว่าเป็น ตัวแปรตาม (dependent variable) และ Y เป็น ตัวแปรอิสระ
(independent variable) ความสมั พนั ธข์ า้ งตน้ น้ี แสดงให้ทราบโดยการใชค้ ณิตศาสตร์ ดังน้ี
X = f(Y)
อ่านว่า X เปน็ ฟังก์ชนั ของ Y หรอื แปลไดว้ า่ คา่ ของ X จะขึ้นอยกู่ บั คา่ ของ Y
การใช้ฟังก์ชันจะเป็นการอธบิ ายความสมั พันธ์ของตัวแปรตามและตัวแปรอิสระท่ีมีผลต่อกัน
โดยจะขอยกตัวอย่าง ฟังก์ชนั การผลติ เพอ่ื ใหเ้ ห็นภาพชัดเจนมากข้ึน ดงั นี้
Qs = f (L)
โดยท่ี Q คอื ปริมาณผลผลิต (ตวั แปรตาม)
Y คือ ปัจจยั การผลติ ประเภทแรงงาน (ตัวแปรอสิ ระ)
จากฟังก์ชันข้างต้น Q เป็นฟังก์ชันของปัจจัย L หมายความว่าปริมาณผลผลิตจะมากหรือ
น้อยข้ึนอยู่กับแรงงาน ถ้ามีแรงงานเพิ่มข้ึน ปริมาณผลผลิตก็เพ่ิมข้ึนตาม โดยที่ Q เป็นตัวแปรตาม
เพราะไม่สามารถกาหนดค่าขึ้นเองได้แต่จะถูกกาหนดค่าโดยตัวแปรอิสระท่ีไม่ข้ึน กับตัวแปรอ่ืนใน
ฟังกช์ นั ตัวแปรนาในกรณนี ค้ี ือ L หรือแรงงาน (โดยกาหนดให้ปัจจยั อืน่ คงท)ี่ เปน็ ตน้
2) สมการ (equation) คือ การแสดงความสัมพันธ์ของตัวแปรตามกับตัวแปรอิสระ โดย
อธิบายผ่านภาพแบบของสมการว่ามีความสัมพันธ์ในลักษณะใด เช่น ฟังก์ช่ันอุปทานข้างต้นจะมี
สมการอุปทาน ดังน้ี
Qs = 20 + 4P
จากสมการทาให้ทราบว่า Qs และ P มีความสัมพันธ์ในทางบวก ดังนั้น หาก P สูงขึ้นจะทาให้ Qs
สงู ข้ึนตามมา
15
3) ตาราง (Table) เป็นการแสดงความสัมพันธ์ของตัวแปรท่ีใช้ศึกษา โดยกาหนดค่าของ
ตัวแปรเป็นตัวเลข แล้วนาตัวเลขไปใส่ในตาราง โดยตัวเลขในตารางอาจได้มาจากการแทนค่าตัวแปร
อิสระในสมการ หรืออาจได้มาจากการเก็บข้อมูล เช่น ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคาและ
ปรมิ าณเสนอขาย ดังแสดงตาราง 1.3
ตาราง 1.3 ตารางแสดงความสัมพันธร์ ะหว่างราคาและปริมาณเสนอขาย
ราคา (P) ปรมิ าณเสนอขาย ( )
7 48
6 44
5 40
4) กราฟ (Graphical) การใชก้ ราฟเป็นเครื่องมอื ที่แสดงในภาพ 1.2 ของเสน้ กราฟ ซึง่ จะ
แสดงความสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ โดยสมมติให้มี 2 ตัวแปร ตัวอย่างเช่น สมมติให้ C แทนการ
บรโิ ภค และ Yd แทนระดับรายได้ เขยี นสมการการบรโิ ภคได้ ดังน้ี
ภาพ 1.2 กราฟแสดงสมการ C = 100 + 0.75Yd
การหาคา่ ตา่ งๆจากกราฟ สามารถทาได้ ดงั นี้
การหาค่าความลาดชัน (Slope) คือ ค่าที่แสดงอัตราส่วนระหว่างอัตราส่วนการ
เปลีย่ นแปลงทางแกนตั้ง (∆Y) กบั อตั ราสว่ นการเปลย่ี นแปลงทางแกนนอน (∆X)
16
Slope = ∆Y = 2 − 1
∆X 2 − 1
การหาค่ารวม (Total Value) เป็นยอดรวมท้ังหมด เช่น รายได้รวม ต้นทุนรวม รายจ่าย
มวลรวม เปน็ ต้น
การหาค่าเฉล่ีย Average Value) เป็นอัตราส่วนระหว่าง 2 ตัวแปร เช่น ต้นทุนเฉล่ียต่อ
หน่วยรายไดป้ ระชาชาติต่อคน เปน็ ตน้
การหาค่าส่วนเพิ่ม (Marginal) แสดงให้เห็นว่า ถ้าตัวแปรอิสระเปล่ียนแปลงไป 1 หน่วย
จะทาให้ตัวแปรตามเปลี่ยนแปลงไปเท่าใด หรือ อัตราการเปล่ียนแปลงของตัวแปรตาม(∆ )ต่อ
อัตราการเปล่ยี นแปลงของตัวแปรอิสระ (∆ ) ดงั นัน้
ค่า Marginal = ∆Y = คา่ Slope
∆X
ประโยชน์ของการศึกษาวชิ าเศรษฐศาสตร์ (นราทิพย์ ชตุ วิ งศ์, 2558)
1) ในฐานะผู้บริโภค จะช่วยให้สามารถวางแผนและประมาณการค่าใช้จ่ายในการบริโภค
และการออม ภายใต้รายได้ทีจ่ ากัดอย่างไร จงึ จะได้รับความพึงพอใจสูงสดุ
2) ในฐานะผู้ผลิต จะใช้ประโยชน์ในการกาหนดว่าจะผลิตสินค้าหรือบริการชนิดใด
ปริมาณและราคาเทา่ ใดใชเ้ ทคนคิ หรอื กรรมวธิ กี ารผลติ อย่างไรจงึ จะมตี น้ ทนุ ตา่ ทีส่ ุดและไดก้ าไรสูงสดุ
3) ในฐานะเจ้าของปัจจัยการผลิต จะช่วยในการตัดสินใจว่าควรจัดสรรปัจจัยการผลิต
อยา่ งไรจงึ จะไดร้ บั ผลตอบแทนสูงสดุ
4) ในฐานะบุคคลท่ัวไป จะช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ทางเศรษฐกิจได้ดีข้ึน สามารถ
แก้ปัญหาหรือปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ได้สมเหตุสมผล ตลอดจนเข้าใจบทบาทของรัฐบาลในการ
ดาเนินกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ
5) ในฐานะผู้บริหารประเทศหรือรัฐบาล ช่วยใหเ้ ข้าใจปัญหาทางเศรษฐกิจและควรจะการ
แก้ไขปัญหาอย่างไร รวมทั้งการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ เพ่ือนาไปกาหนดนโยบายในการบริหาร
ประเทศ
17
แบบฝึกหัดประจาบทที่ 1
1. ในบรรดาปัจจยั การผลติ ท้งั 4 ประเภท ทา่ นคดิ ว่าปัจจยั การผลติ ใดมีความสาคญั ท่สี ุดในการสร้าง
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกจิ เพราะเหตุใด จงอธบิ าย
2. เศรษฐศาสตรม์ หภาคและเศรษฐศาสตร์จลุ ภาคต่างกนั อยา่ งไร?
3. ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและระบบเศรษฐกจิ แบบวางแผนมลี ักษณะสาคัญตา่ งกันอย่างไร
4. ระบบเศรษฐกิจแบบทนุ นิยม มีแนวทางการแก้ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจอยา่ งไร
5. ระบบเศรษฐกจิ แบบวางแผน มีแนวทางการแก้ปญั หาพื้นฐานทางเศรษฐกจิ อย่างไร
6. ปญั หาพ้นื ฐานทางเศรษฐกจิ คอื อะไร เหตุใดทุกระบบเศรษฐกจิ จึงต้องประสบกบั ปัญหาพ้ืนฐาน
ทางเศรษฐกิจ
7. เศรษฐทรัพย์ และสนิ คา้ ไร้ราคาต่างกนั อย่างไร ยกตวั อย่างสนิ คา้ ที่เคยเป็นสินค้าไร้ราคาแตเ่ ปลย่ี น
สภาพมาเป็นเศรษฐทรัพย์
8. เสน้ ความเปน็ ไปได้ในการผลิต (Production Possibility Curve: PPC) คืออะไร?
9. จงสร้างเส้นเปน็ ไปไดก้ ารผลติ (Product Possibility Curve : PPC) จากขอ้ มูลในตารางตอ่ ไปน้ี
แผนการผลติ เนย (ล้านกโิ ลกรมั ) หมากฝร่ัง (พันห่อ)
A 0 15
B 1 14
C 2 12
D39
E44
F50
10. ทา่ นคดิ ว่าเศรษฐศาสตร์มีความสมั พันธ์อย่างไรกบั สาขาทีท่ ่านศึกษา อธบิ ายโดยยกตัวอย่าง
ประกอบทีท่ ่านคดิ ขืน้ เอง
18
ตวั อย่างข้อสอบบทท่ี 1
1. ข้อความใดให้ความหมายของวิชาเศรษฐศาสตร์ไดถ้ ูกตอ้ งท่สี ดุ
ก. การศกึ ษาถึงพฤติกรรมการอยูร่ ่วมกนั ของมนุษยใ์ นสงั คม
ข. การศึกษาเกยี่ วกับปรชั ญาการเมอื งในการปกครองประเทศใหเ้ กดิ ความสงบสุข
ค. การศกึ ษาถึงวิธกี ารจดั สรรทรัพยากรทีม่ อี ย่อู ย่างจากัดใหเ้ กิดประสทิ ธภิ าพสงู สดุ
ง. การศึกษาถึงแนวทางในการสรา้ งและพัฒนาธุรกิจใหเ้ จรญิ เตบิ โต
2. อะไรเป็นสาเหตุของการขาดแคลน (Scarcity)
ก. ทรพั ยากรมีจากัดแต่ความตอ้ งการของมนุษยม์ ไี ม่จากัด
ข. ทรัพยากรที่มีไมจ่ ากดั และความตอ้ งการของมนุษยม์ ีไมจ่ ากัด
ค. ทรพั ยากรมจี ากดั และความต้องการของมนุษย์มจี ากัด
ง. ทรัพยากรมไี ม่จากัดแตค่ วามตอ้ งการของมนุษยม์ ีจากัด
3. ปัจจัยการผลิต (Factors of Production) ได้แก่
ก. ที่ดิน เงินทนุ ทนุ ผู้ประกอบการ ข. ทดี่ นิ ทนุ แรงงาน ผปู้ ระกอบการ
ค. ที่ดิน เงนิ ทุน แรงงาน ผ้ปู ระกอบการ ง. ที่ดิน ทนุ แรงงาน ผู้บริโภค ผผู้ ลิต
4. ขอ้ ใดเป็นผลตอบแทนของทดี่ ิน (Land)
ก. ดอกเบย้ี ข. ค่าเช่า ค. กาไร/ขาดทนุ ง. ค่าจ้างหรือเงนิ เดือน
5. ข้อใดแสดงถงึ ทนุ ในทางเศรษฐศาสตร์ที่ถูกที่สุด
ก. เงิน ทีด่ นิ น้า ข. ชา้ งลากซุง เงิน นา้ มนั
ค. เลอื่ ย ช่างภาพ ทราย ง. คอมพิวเตอร์ ปนู ช้างลากซุง
6. ขอ้ ใดแสดงตัวอยา่ งของสนิ คา้ ได้เปล่าหรือสนิ คา้ ไรร้ าคา (free goods) ได้ถูกต้อง
ก. แสงแดดยามเยน็ ที่ชายทะเลแห่งหน่ึง ข. ตู้เยน็ ทร่ี ับจากการส่งชิ้นส่วนชิงโชค
ค. สมุด หนงั สอื ท่ีมูลนิธิแจกให้นักเรยี นยากจน ง. น้าดม่ื ฟรีตามทีส่ าธารณะตา่ ง ๆ
7. ปญั หาพน้ื ฐานทางเศรษฐกิจได้แก่ปัญหาใดบา้ ง
ก. จะผลติ อะไร จะขายอะไร และจะกาหนดราคาเทา่ ใด
ข. จะผลิตสนิ คา้ ทกุ ชนดิ ใช้ภายในประเทศไดอ้ ย่างไร
ค. จะผลิตอะไร จะผลิตอย่างไร และจะผลติ เพ่ือใคร
ง. จะผลิตสินค้าเกษตรกรรม/สินคา้ อตุ สาหกรรมเพอื่ สนองความต้องการสว่ นรวมมากท่ีสุด
19
8. ระบบเศรษฐกจิ แบบผสม (Mixed Economy) หมายถงึ ระบบท่ผี สมผสานระหว่าง
ก. เศรษฐกิจแบบเสรนี ยิ มและทุนนยิ ม
ข. เศรษฐกิจแบบสงั คมนิยมและสังคมไม่นยิ ม
ค. เศรษฐกิจแบบสงั คมนิยมและวางแผนจากสว่ นกลาง
ง. เศรษฐกิจแบบเสรีนยิ มและสงั คมนิยม
บทท่ี 2
อปุ สงค์ อปุ ทาน และดลุ ยภาพของตลาด
ในระบบเศรษฐกิจของโลกที่ขับเคล่ือนดว้ ยการที่นาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สารมา
เป็นกลไกสาคัญในการดาเนินธุรกิจ การค้า การบริการ ที่ส่งผลให้การค้า การลงทุนระหว่างประเทศ
เติบโตและวิวฒั นการข้นึ มาเป็นลาดับ ในระบบเศรษฐกิจแบบทนุ นิยมและแบบผสม ตามหลักการแบ่ง
งานกันทาจะทาให้เกิดความชานาญ ความชานาญจะนาไปสู่การเพิ่มปริมาณผลผลิตรวม การเพิ่ม
ผลผลิตรวมย่อมทาให้บุคคลในชุมชนมีความเป็นอยู่ดีข้ึน โดยนาสินค้าและบริการท่ีตนผลิตได้ไปแลก
สินค้าและบริการอื่นที่ตนไม่ได้ผลิต การค้าระหว่างบุคคลในชุมชนเดียวกันหรือต่างชุมชนกัน เกิดข้ึน
เน่ืองจากการแบ่งงานกันทาตามความชานาญท่ีแตกต่างการค้าก็เกิดขึ้น โดยที่กลไกราคาจะเป็น
เครื่องมือในการแก้ปัญหาพ้ืนฐานทางเศรษฐกิจ ว่าจะผลิตอะไร และผลิตอย่างไร ซึ่งส่ิงท่ีเป็น
ตัวกาหนดราคาสินค้าและบรกิ ารในทางเศรษฐกิจ คอื อุปสงค์ของผบู้ รโิ ภค และอปุ ทานของผ้ผู ลติ
2.1 อปุ สงค์
การศกึ ษาอปุ สงค์ เป็นการศึกษาพฤติกรรมผู้บรโิ ภคในการซ้ือสินคา้ และบรกิ าร ภายใต้
เงอ่ื นไขท่ีวา่ ผู้บรโิ ภคจะเลือกซอื้ สนิ ค้าทต่ี นเองไดร้ ับความพอใจสงู สุดภายใต้งบประมาณที่ตนเองมีอยู่
ความหมายของอปุ สงค์
อุปสงค์ หมายถึง จานวนต่าง ๆ ของสินค้าและบริการอย่างใดอย่างหน่ึงท่ีมีผู้บริโภค
ต้องการซ้ือในระยะเวลาหนึ่ง ณ ระดับราคาต่าง ๆ ของสินค้าและบริการชนิดน้ัน ๆ ในระยะเวลา
และสถานทก่ี าหนด
จากความหมายของอุปสงค์ การท่ีอุปสงค์จะสัมฤทธ์ิ (effective demand) ได้ต้อง
ประกอบดว้ ยลกั ษณะ 3 ประการ (ประพนั ธ์ เศวนันทน์ และไพศาล เล็กอุทัย, 2540) ดงั นี้
1) ความตอ้ งการซ้ือ (wants) คือ ผู้บริโภคตอ้ งมีความอยากหรือความต้องการสินค้า
และบรกิ ารนั้นกอ่ น
2) ความเต็มใจที่จะจ่าย (willingness to pay) คือ ผู้บริโภคมีความยนิ ดีที่จะสละ
เงนิ ของตนท่จี ะแลกเปล่ียนกบั สนิ คา้ หรือบรกิ าร
3) ความสามารถทีจ่ ะซอ้ื (purchasing power or ability to pay) คอื ผู้บรโิ ภค
ตอ้ งมเี งินทีจ่ ะซือ้ สนิ คา้ หรอื บริการนน้ั ได้
อุปสงค์ = ความต้องการซอื้ + ความเต็มใจที่จะจ่าย + ความสามารถทจ่ี ะซ้ือ
21
อุปสงค์ท่ีจะสัมฤทธิ์ผลได้ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบท้ัง 3 ส่วน ยกตัวอย่าง เช่น
ผู้บริโภครายหนึ่งมีความต้องการซื้อรถจากยุโรป ราคา 2 ล้านบาท แต่ตนเองมีเงินเพียง 1 แสน
บาท ความต้องการซ้ือน้ันเป็นความต้องการซื้อธรรมดา ไม่ใช่อุปสงค์ที่สัมฤทธิ์ผลเป็นเพียงอุปสงคท์ ่ี
ยังไม่ก่อให้เกิดการซื้อขาย (potential demand) การเป็นอุปสงค์ที่สัมฤทธิ์ นอกจากมีความ
ต้องการซื้อแลว้ ผบู้ ริโภครายน้นั ตอ้ งมีเงินทจี่ ะจ่ายและเตม็ ใจทจี่ ะจ่ายด้วย
ปจั จัยทก่ี าหนดอุปสงค์
ปัจจัยท่ีกาหนดอุปสงค์คือปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อจานวนสินค้าที่ต้องการจะซ้ือซึ่งปัจจัยจะมี
อทิ ธพิ ลต่อปริมาณซ้ือมากหรือน้อยขน้ึ อยู่กบั พฤติกรรมของผูบ้ รโิ ภคแต่คนและเวลา เช่น ราคาสนิ ค้าที่
ซ้ือ จานวน และส่วนประกอบของประชากร รายได้เฉลี่ยของครัวเรือน การเปล่ียนแปลงของฤดูกาล
การศึกษาและการโฆษณาการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าชนิดอื่นๆทีเ่ กย่ี วข้อง เป็นตน้ ปัจจยั กาหนด
อปุ สงค์ ไดแ้ ก่
(ธีระพงษ์ วิกิตเศรษฐ, 2559)
1) รายได้ของผู้บริโภคความสัมพันธ์ระหวา่ งรายได้และปริมาณการเสนอซ้ือสินค้าขึ้นอยู่กับ
ชนิดของสินค้าในกรณีสินค้าปกติ (Normal Goods) และสินค้าฟุ่มเฟือย(Superior Goods) รายได้
และปริมาณการเสนอซ้ือสินค้าของผู้บริโภคจะมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันส่วนในสินค้าด้อย
คุณภาพ (Inferior Goods) รายได้และปริมาณการเสนอซ้ือสินค้าของผู้บริโภคจะมีความสัมพันธ์ใน
ทศิ ทางตรงกนั ขา้ ม
2) ระดับราคาสินค้าชนิดอ่ืนปริมาณการเสนอซ้ือสินค้าถูกกาหนด โดยราคาสินค้าชนิดอ่ืน
ด้วยเนื่องจากสินค้าท่ีซ้ือขายในตลาดมีความสัมพันธ์กันกล่าวคือสินค้าบางชนิดสามารถใช้แทนกันได้
(Substitute goods) หรือสินค้าบางชนิดต้องใช้ร่วมกัน (complementary goods) ดังนั้นการท่ี
ผู้บริโภคจะซ้ือสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งปริมาณเท่าใดต้องพิจารณาถึงราคาของสินค้าชนิดอ่ืนท่ีสัมพันธ์
กนั ดว้ ย
3) รสนิยมของผู้บริโภครสนิยมของบุคคล โดยทั่วไปจะแตกต่างกันไปตามอายุ อาชีพ
ขนบธรรมเนยี มประเพณี ระดบั การศึกษา และบุคลกิ ส่วนตัว นอกจากน้ียังเปลย่ี นแปลงตามกาลเวลา
4) การคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคต การคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคตเป็นปัจจัยหนึ่งท่ี
ทาใหอ้ ุปสงค์ของสินค้าเปลยี่ นแปลงไปขึ้นอยู่กับการคาดคะเนของผู้บรโิ ภคแตล่ ะคน
5) ขนาดและโครงสร้างของประชากร โดยปกติถ้าจานวนประชากรเพิ่มขึ้นอุปสงค์ของ
สินค้าแทบทุกชนิดย่อมเพิ่มข้ึนแต่ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับลักษณะโครงสร้างประชากรด้วยลักษณะ โครงสร้าง
ประชากรมผี ลให้ อปุ สงคข์ องสินคา้ บางชนิดเพม่ิ ข้ึนและบางชนดิ ลดลง
22
6) ปัจจัยอื่นๆการท่ีผู้บริโภคจะมีอุปสงค์ต่อสินค้ายังขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย เช่น อุปนิสัย
ในการใช้จ่ายลักษณะการจัดเก็บภาษีของรัฐอัตราดอกเบี้ยเป็นต้น (ประพันธ์ เศวนันทน์ และไพศาล
เล็กอทุ ยั , 2540)
กฎของอุปสงค์ (Law of Demand)
กฎของอุปสงค์ คือ ปริมาณความต้องการซ้ือสินค้าหรือบริการชนิดใดชนิดหนึ่งย่อม
เปล่ียนแปลงในทิศทางตรงกันข้ามกับราคาเสมอ โดยกาหนดให้ปัจจัยอ่ืน ๆ คงที่ กล่าวคือ เมื่อราคา
สินค้าหรือบริการสูงขึ้น ผู้บริโภคจะซื้อในปริมาณท่ีน้อยลง และเมื่อราคาลดลง ผู้บริโภคจะซื้อใน
ปรมิ าณที่มากขึ้น
กฎของอุปสงค์ (Law of Demand) อธิบายถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อ
สินค้าเมื่อราคาสินค้าเปล่ียนแปลงไปกฎของอุปสงค์ กล่าวว่า "ปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการซื้อ
ในขณะใดขณะหนึ่งจะมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามกับราคาสินค้าชนิดนั้น” โดยมีข้อสมมติให้
ปัจจัยอ่ืนๆคงท่ีแสดงว่าเม่ือกาหนดให้ส่ิงอ่ืนๆคงที่ผลดังกล่าวเราเรียกว่าผลของราคา (price effect)
เป็นผลสบื มาจากเนอื่ งจากสาเหตุ 2 ประการ คือ
1) เมอื่ ราคาสนิ ค้าชนดิ นัน้ ลดลงผบู้ รโิ ภคจะร้สู ึกว่าสนิ คา้ ชนดิ นนั้ มีราคาถูกเมื่อเทียบกับ
ราคาของสนิ คา้ ชนิดอื่นๆจงึ ลดการบรโิ ภคสินค้าชนิดอืน่ ลงแล้วหันมาบรโิ ภคสนิ ค้าชนดิ นน้ั เพิ่มข้ึนแทน
การบริโภคสินค้าชนิดอ่ืนที่ลดลงในตรงกันข้ามถ้าราคาสินค้าชนิดนั้นสูงขึ้นผู้บริโภคจะรู้สึกว่าสินค้า
ชนิดน้ันมีราคาแพงเม่ือเทียบกับราคาของสินค้าชนิดอ่ืนๆจึงลดการบริโภคสินค้าชนิดน้ันลงแล้วหันมา
บริโภคสินค้าชนิดอ่ืนๆแทนซ่ึงเรียกผลของการเปล่ียนแปลงปริมาณการบริโภคอันเนื่องมาจากการ
เปล่ยี นแปลงในราคาเปรียบเทยี บ (Relative price) ของสนิ ค้าวา่ ผลของการใช้แทนกัน (Substitution
effect)
2) เมื่อราคาสินค้าชนิดนั้นลดลงผู้บริโภคจะรู้สึกว่าเหมือนกับว่ามีรายได้เพ่ิมข้ึนทั้งน้ี
เพราะรายไดจ้ านวนเดิมจะมีอานาจซื้อมากขนึ้ ดงั นั้นผู้บรโิ ภคจงึ ซ้ือสินคา้ เพ่ิมข้นึ ในทางตรงกนั ข้ามถ้า
ราคาสินค้าชนิดนั้นสูงข้ึนผู้บริโภคจะรู้สึกว่าเหมือนกับว่ามีรายได้น้อยลง ดังนั้นผู้บริโภคจึงซ้ือสินค้า
ลดลงเราเรียกผลของการเปล่ียนแปลงปริมาณการบริโภคอันเน่ืองมาจากการเปลี่ยนแปลงในอานาจ
ซ้ือของเงินรายได้ว่าผลของรายได้ (Income effect) โดยปกติฟังก์ช่ันของอุปสงค์เป็นสมการที่แสดง
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตามคืออุปสงค์กับตัวแปรอิสระหรือตัวแปรที่กาหนดอุปสงค์ตัวใดตวั หนึ่ง
หรอื หลายตวั
จากการกาหนดของอุปสงค์จะพบว่าถ้าราคาสินค้าแพงขึ้นผู้บริโภคจะซื้อสินค้าในปริมาณลดลง
และถ้าราคาสินค้าถูกผู้บริโภคจะซ้ือสินค้าในปริมาณท่ีเพิ่มข้ึน ท้ังท่ีเกิดจากผลทางรายได้ (income
effect) และผลทางการทดแทน (substitution effect) กล่าวคอื เมื่อราคาสนิ ค้าเพิ่มขน้ึ ผู้บริโภค
23
ได้รับผลทางรายได้ จากการที่มีรายได้เท่าเดิม ผู้บริโภคสามารถซ้ือสินค้าในปริมาณท่ีลดลง และ
ไดร้ ับผลทางการทดแทนคือ สนิ ค้าชนิดอนื่ ท่ที ดแทนไดม้ ีราคาทคี่ งที่ ผู้บรโิ ภครู้สกึ ว่าซือ้ สินค้าท่ีขึ้น
ราคาได้ในปริมาณที่ลดลง จึงหันไปซ้ือสินค้าที่ทดแทนกันได้ (ธีระพงษ์ วิกิตเศรษฐ, 2559) สามารถ
เขยี นสญั ลักษณแ์ สดงความสมั พันธ์ได้ดงั นี้
Px Q dx
Px Q dx
ลกั ษณะของเสน้ อปุ สงค์
เส้นอุปสงค์ (Demand Curve) จะมีลักษณะเป็นเส้นตรงลาดลงจากซ้ายมาขวา ความชัน
(slope) ของเส้นเป็นลบ เนื่องจากราคาและปริมาณความต้องการซ้ือมีความสมั พันธ์ในทิศทางตรงกนั
ขา้ ม
ราคา
70 A เส้นอุปสงค์
B
60 C
50
40 D
135 7 ปริมาณ
ภาพ 2.1 เส้นอปุ สงคข์ อง นาย ก. ทม่ี ตี อ่ เนื้อหมใู น 1 สปั ดาห์
ฟงั กช์ ันของอปุ สงค์
ฟงั ก์ชนั ของอปุ สงค์สามารถกาหนดได้จากปจั จยั ทกี่ าหนดอุปสงค์ โดยปัจจัยที่กาหนดอปุ สงค์
เขยี นเป็นฟังก์ชั่นของอุปสงคไ์ ด้ ดังนี้
= ( , , , , )
24
กาหนดให้
คอื ปริมาณความต้องการซ้อื สนิ ค้า X
คอื ราคาสินค้า X
คอื รายไดข้ องผู้ซอ้ื
คอื รสนิยมของผู้ซื้อ
คือ จานวนประชากร
คือ ราคาสนิ ค้าชนิดอ่ืนทเี่ กี่ยวข้อง
ประเภทของอุปสงค์ (ไมเคลิ ปาร์กิน้ และโรบนิ เบด, 2550)
อุปสงค์แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ อุปสงค์ต่อราคา อุปสงค์ต่อรายได้และอุปสงค์ต่อ
ราคาสนิ คา้ ชนดิ อื่นหรอื อุปสงคไ์ ขว้
1) อปุ สงค์ต่อราคา หมายถงึ ปริมาณความต้องการซ้ือสนิ ค้าหรือบรกิ ารชนิดใดชนดิ หน่ึงใน
ช่วงเวลาใดเวลาหนง่ึ ณ ระดบั ราคาต่าง ๆ กันของสินคา้ และบรกิ ารชนดิ นัน้ โดยกาหนดให้ปจั จยั อ่นื ๆ
คงท่ี (Other Things Being Equal)
จากกฎของอุปสงค์ ตารางอุปสงค์ (Demand Schedule) และเส้นอุปสงค์ (Demand
Curve) แสดงได้ดงั ตอ่ ไปนี้
ตาราง 2.1 ตารางอุปสงคต์ ่อราคา
ราคาสนิ คา้ X ( ) ปริมาณสนิ คา้ X ( )
0 60
1 50
2 40
3 30
4 20
5 10
60
25
ภาพ 2.2 กราฟอุปสงคต์ ่อราคา
2) อุปสงค์ตอ่ รายได้ หมายถงึ ปริมาณความต้องการซ้ือสินคา้ ชนดิ ใดชนดิ หนงึ่ ณ ระดับ
รายได้ต่าง ๆ โดยกาหนดใหป้ ัจจยั อ่นื ๆ คงที่
รายได้เป็นตัวกาหนดในการบริโภคสินค้าและบริการ ถ้าหากรายไดข้ องผบู้ รโิ ภคเพ่ิมขึ้นแล้ว
มีผลทาให้ผู้บริโภคซ้ือสินค้าชนิดใดชนิดหน่ึงเพ่ิมขึ้น เรียกสินค้าประเภทน้ันว่าเป็น สินค้าปกติ
(mormal goods) หรอื อาจกล่าวได้วา่ สินค้าปกติ คือ สินค้าท่ีผบู้ ริโภคจะทาการบริโภคมากขึน้ เม่ือมี
รายได้สงู ข้นึ และจะซอ้ื น้อยลงเมอ่ื มรี ายไดล้ ดลง เชน่ น้า ข้าว
ภาพ 2.3 เส้นอุปสงค์ต่อรายได้ กรณสี ินค้าปกติ
26
ในทางตรงกันข้ามหาว่ารายได้ของผู้บริโภคเพ่ิมข้ึน แล้วมีผลทาให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าชนิด
หน่ึงลดลง เรียกสินค้าประเภทนั้นว่า เป็น สินค้าด้อยคุณภาพ (inferior goods) หรืออาจกล่าวได้
ว่าสนิ ค้าด้อย คือ สนิ ค้าที่ผบู้ ริโภคจะซอื้ น้อยลงเมอ่ื มีรายได้สงู ขนึ้ เช่น บะหม่ีกึง่ สาเรจ็ รปู เป็นตน้
ภาพ 2.4 เสน้ อปุ สงคต์ ่อรายได้ กรณีสินค้าปกติ
3) อปุ สงค์ไขว้ หมายถึง ปริมาณความตอ้ งการซื้อสินค้าชนดิ หน่ึง ณ ระดบั ราคาตา่ งๆ
พิจารณาต่อสินค้าอกี ชนิดหน่ึงท่เี ก่ียวข้องภายในระยะเวลาหนง่ึ โดยกาหนดใหป้ จั จยั อนื่ ๆ คงที่ โดย
สินคา้ ทีเ่ กยี่ วข้องกนั แบ่งได้ 2 ชนิด ดงั นี้
(1) สนิ คา้ ทใี่ ชป้ ระกอบกนั (Complementary Goods) เป็นสินค้าท่ใี นการอปุ โภค
บริโภคตอ้ งใช้ร่วมกัน ถ้าขาดสิง่ ใดส่งิ หนึง่ จะไมส่ ามารถบรโิ ภคได้ เชน่ รถยนต์และน้ามัน เป็นต้น
ความสมั พนั ธ์ของสินค้าทต่ี ้องใชป้ ระกอบกนั จะมที ิศทางตรงกนั ข้าม
(2) สนิ ค้าทดแทนกนั (Substitute Goods) เป็นสินคา้ ท่ีในการอุปโภคบรโิ ภค ถา้ หา
สินคา้ ชนดิ หน่งึ ไม่ได้สามารถใชส้ นิ ค้าอกี ชนดิ หน่งึ ทดแทนได้ เชน่ เนอ้ื หมกู ับเนื้อไก่ เปน็ ตน้
ความสมั พนั ธข์ องสนิ ค้าทใ่ี ช้ทดแทนกันไดจ้ ะมที ิศทางเดียวกนั
สามารถยกตวั อยา่ งของความสัมพนั ธ์ได้ดงั น้ี
Pชา Q ชา Q กาแฟ
Pชา Q ชา Q กาแฟ
เขียนกราฟแสดงความสัมพนั ธไ์ ด้ดังนี้
27
ราคา(ชา)
Pชา
Q กาแฟ
ภาพ 2.5 เสน้ อปุ สงค์ไขว้ กรณสี ินค้าท่ใี ชแ้ ทนกันได้
สินค้าท่ีใช้ประกอบกัน (complementary goods) เช่น โต๊ะกับเก้าอี้ เหล้ากับโซดา
กาแฟกับน้าตาล การซ้ือสินค้าของผู้บริโภคมักจะซื้อพร้อมกันท้ัง 2 ชนิด สามารถยกตัวอย่างของ
สัมพนั ธ์ได้ดังน้ี
Pชา Q ชา Q นา้ ตาล
Pชา Q ชา Q น้าตาล
เขียนกราฟแสดงความสัมพันธไ์ ด้ดงั น้ี
ราคา(ชา)
Pชา
Q นา้ ตาล
ภาพ 2.6 เส้นอุปสงค์ไขว้ กรณีสนิ คา้ ท่ีใช้แทนกันได้
28
อปุ สงคส์ ่วนบุคคล (Individual Demand) และอปุ สงคต์ ลาด (Market Demand)
การพิจารณาอุปสงค์ ถ้าพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างราคาสินค้ากับปริมาณสินค้าท่ี
ผู้บริโภคคนใดคนหนึ่งต้องการ โดยอุปสงค์สินค้าใดสินค้าหนง่ึ ของผู้บริโภคเรียกว่า อุปสงค์ส่วนบุคคล
หรืออุปสงค์ปัจเจกชน (Individual Demand) ถ้ารวมปริมาณความต้องการซ้ือของผู้บริโภคแต่ละคน
ณ ระดบั ราคาตา่ ง ๆ เขา้ ดว้ ยกันจะไดอ้ ุปสงคต์ ลาด (Market Demand) ของสนิ ค้าใดสินค้าหน่งึ
ตาราง 2.2 อุปสงคส์ ว่ นบุคคลและอุปสงค์ตลาด
ปรมิ าณความต้องการซ้ือ
ราคาสนิ ค้า (P) นาย ก. นาย ข. ตลาด
0 ( ) ( )
( = +
60 60 )
120
1 50 50 100
2 40 40 80
3 30 30 60
4 20 20 40
5 10 10 20
6 00 0
29
อปุ สงค์ของนาย ก. อุปสงค์ของนาย ข. อปุ สงค์ของตลาด B
ราคา ราคา ราคา
6A
6a 6 a/
3b 3 b/ 3
30 60 ปริมาณ 30 60 ปริมาณ 60 ปริม1า2ณ0
ภาพ 2.7 เส้นอปุ สงค์สว่ นบุคคลของนาย ก นาย ข และเสน้ อปุ สงคต์ ลาด
การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ (ไมเคิล ปารก์ น้ิ และโรบิน เบด, 2550)
การเปล่ยี นแปลงของอปุ สงคส์ ามารถเปลยี่ นแปลงได้ 2 แบบ คอื
(1) การเปลย่ี นแปลงปริมาณของอุปสงค์ (Change in quantity demand) เปน็ การ
เปลยี่ นแปลงอุปสงค์เน่ืองจากราคาสินคา้ ชนิดนั้นเปลีย่ นแปลงไป ภายใต้ข้อสมมุติปัจจัยอื่นๆ ท่ี
กาหนดอปุ สงคค์ งท่ี การเปล่ยี นแปลงปริมาณของอุปสงค์จะทาให้ปริมาณการเสนอซื้อเปลย่ี นแปลงอยู่
บนเส้นอุปสงค์เสน้ เดมิ
ภาพ 2.8 การเปลยี่ นแปลงปริมาณของอุปสงค์
ถ้าพิจารณาจากกราฟ การเปลยี่ นแปลงของอุปสงค์ ดังกลา่ วจะเป็นการเปลย่ี นแปลงใน
ลกั ษณะของการเคลื่อนไหวอยู่ภายในเสน้ อุปสงค์เส้นเดิมจาก จดุ หนง่ึ ไปยังอีกจุดหน่ึง
30
(2) การเปลย่ี นแปลงระดับอุปสงค์ (Change in demand) เป็นการเปล่ยี นแปลงอุปสงค์
เน่ืองจากปัจจัยอื่นๆ ท่ีมีอิทธิพลต่ออุปสงค์ เช่น รายได้ ราคาสินค้าชนิดอื่นที่เก่ียวข้อง เปล่ียนแปลง
ภายใตข้ ้อสมมตุ ริ าคาสินคา้ ชนดิ นน้ั คงที่ และส่งผลใหเ้ ส้นอุปสงคเ์ กิดการเคล่ือนย้ายไปจากเส้นเดมิ ถา้
ผลการเปลี่ยนแปลงทาให้อุปสงค์เพิ่มข้ึนเส้นจะเล่ือนระดับไปด้านขวามือของเส้นเดิม และถ้ามีผลให้
อปุ สงค์ลดลงเส้นจะเล่ือนระดับไปทางซา้ ยมอื ของเสน้ เดิม
ภาพ 2.9 การเปลี่ยนแปลงระดับของอปุ สงค์
ถา้ พิจารณาจากกราฟ การเปล่ยี นแปลงอุปสงคด์ ังกล่าวจะเปน็ การเปล่ียนแปลงในลกั ษณะ
ของการเคล่ือนย้ายเสน้ อุปสงคไ์ ปทั้งเสน้ จากเสน้ เดิมไปสู่เส้นใหม่ โดยถ้าเสน้ อปุ สงคเ์ คล่อื นยา้ ยไป
ทางขวาของเสน้ เดิมแสดงวา่ อุปสงคเ์ พม่ิ ขึ้น ถ้าเคลื่อนยา้ ยไปทางซ้ายแสดงว่าอปุ สงค์ลดลง
2.2 การประมาณการอปุ สงค์
ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อการกาหนดอุปสงค์มีหลากหลายปัจจัย โดยทั่วๆ ไปมักจะมีตัวแปรที่
หน่วยธุรกิจควบคุมไม่ได้ เช่น รายได้ของผู้บริโภค รสนิยมและการคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคตของ
ผบู้ ริโภคไดแ้ ละตวั แปรทหี่ นว่ ยธรุ กิจสามารถควบคมุ ได้ เชน่ ราคา จานวนสินค้า เป็นต้น การประมาณ
อุปสงค์หรือหาค่าสัมประสิทธ์ิดังกล่าวได้อย่างไร จึงเป็นเร่ืองจาเป็นสาหรับผู้ประกอบการจะช่วยให้
การดาเนินธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ (มนตรี สิงหะวาระ, 2564) โดยสามารถเขียนเป็น
ฟงั กช์ ัน่ ก์อุปสงคไ์ ด คอื
Qx = f (Px, Py, I, A, T, R)
ฟงั ก์ชนั อปุ สงค์ข้างตน้ สามารถเขยี นให้อยใู่ นรปู ของสมการเส้นตรงได้ คือ
Qx = a + b1Px + b2Py + b3I + b4A + b5T + b6R
คา่ a คอื ค่าคงท่ี หมายความว่า ถ้าปัจจยั ต่างๆในสมการ (4.2) มคี า่ เปน็ ศูนย์ อุปสงค์
สินค้าจะมีคา่ เท่ากบั a
31
ในขณะที่ คา่ b1 ,….., b6 คอื ค่าพารามเิ ตอร์ หรือคา่ สมั ประสิทธิ (Coefficient) ของ
ตัวแปรต่าง หมายความว่า การเปล่ยี นแปลงของตวั แปรดา้ นขวามือของสมการทีละ 1 หน่วย จะมีผล
ให้ อุปสงคเ์ ปลีย่ นแปลงไปอย่างไรมากหรือน้อย
ดังน้ัน การประมาณอุปสงค์จึงมีความสาคัญ ในการประมาณค่าสัมประสิทธ์ิในสมการ
อุปสงค์นั้นสามารถทาได้ 2 วิธีด้วยกัน คือ การประมาณอุปสงค์ทางตรง (Direct method) และการ
ประมาณค่าอุปสงคท์ างออ้ ม (Indirect method) ดังต่อไปน้ี
การประมาณอุปสงคท์ างตรง (Direct method)
การสัมภาษณแ์ ละการออกแบบสอบถาม
วิธีการประมาณค่าสัมประสิทธิ์ของตัวแปรในสมการอุปสงค์โดยตรงที่ใช้กันมากท่ีสุดก็
คือการใช้วิธีง่ายๆทาการสอบถามบรรดาผู้ท่ีมีโอกาสจะเป็นผู้ซ้ือสินค้าของหน่วยธุรกิจ (Potential
buyers) ถงึ ปฏกิ ริ ิยาที่บรรดาบุคคลเหลา่ นจ้ี ะมตี ่อการเปล่ยี นแปลงในราคาสนิ คา้ ของหนว่ ยธุรกิจ หรือ
การเปล่ียนแปลงในตัวแปรอ่ืนๆ ท่ีมีส่วนต่อการตัดสินใจซ้ือสินค้าของเขา คาถามที่จะใช้ก็เช่น การ
สอบถามว่า ถ้าราคาสินค้า (หรือการโฆษณา หรือตัวแปรอิสระอื่นๆตัวใดตัวหน่ึง ) เปลี่ยนแปลงไปใน
จานวนหน่งึ เขาจะซื้อสินคา้ ของหน่วยธรุ กจิ เพ่มิ ขน้ึ หรอื ลดลงมากน้อยเพียงใดตวั อยา่ ง บริษัทแหง่ หนึง่
ต้ังใจที่จะผลิตกระเป๋าสตางค์ออกจาหน่าย และต้องการท่ีจะประมาณค่าอุปสงค์ของตลาดท่ีจะมีต่อ
สินค้าของตน จึงได้ทาการสัมภาษณ์ผู้ที่กาลังซื้อสินค้าประเภทดังกล่าวจานวน 1,000 คนโดยผู้ถูก
สัมภาษณ์แต่ละคนจะมีคาตอบให้เลือกตอบได้ทั้งหมด 6 ทางเลือกด้วยกัน ณ ระดับราคาที่กาหนดไว้
5 ระดับราคาดงั กล่าวคือ 900 800 700 600 และ 500 บาท และทางเลอื กท้ัง 6 ทางเลือกได้แก่
1) ไมซ่ ้อื อย่างแน่นอน
2) มแี นวโนม้ ว่าจะไม่ซ้อื
3) อาจไม่ซื้อ
4) อาจซื้อ
5) มแี นวโน้มว่าจะซ้ือ และ
6) ซอื้ อย่างแน่นอน
จานวนคาตอบในแต่ละทางเลือก ณ ระดับราคาต่างๆ ท่ีได้รับ ได้แสดงไว้ในตาราง 2.3
โดยผู้วิเคราะห์ได้ประมาณสถานการณ์และกาหนดโอกาสหรือความน่าจะเป็นท่ีผู้ที่ใหค้ าตอบในแตล่ ะ
ทางเลือกจะทาการซื้อกระเป๋าสตางค์จริงๆ ณ แต่ละระดับราคาดังตัวเลขท่ีแสดงไว้ในแถวล่างของ
ตาราง
32
ตาราง 2.3 สรุปคาตอบของคาถามและค่าความน่าจะเปน็ ของคาถาม
ราคา (บาท) (1) ความนา่ จะเปน็ ทจ่ี ะซื้อสนิ ค้า ปรมิ าณขายทีป่ ระมาณ
(2) (3) (4) (5) (6) ได้ในแตล่ ะระดับราคา
900 500 300 125 50 25 0 160
800 300 225 175 150 100 50 335
700 100 150 250 250 150 100 500
600 50 100 100 300 250 200 640
500 0 25 50 225 300 400 800
ความน่าจะ
เป็น 0 0.2 0.4 0.6 0.8 1
ทจ่ี ะซ้ือ
สินคา้
คา่ ท่ีประมาณได้ (Expected value) ของอุปสงค์ ณ ระดับราคาเทา่ กบั 900 บาทซง่ึ มีค่าเท่ากับ
E(Q) = 500(0) + 300(0.2) + 125(0.4) + 50(0.6) + 25(0.8) + 0(1) = 160 หน่วย
สาหรับค่าท่ีประมาณได้ ณ ระดับราคาอื่นๆ ก็สามารถหาได้ด้วยวิธีการเดียวกัน และเม่ือนา
ตัวเลขที่แสดงความสมั พนั ธ์ระหว่างราคาและปริมาณขายทีป่ ระมาณได้มาลงจุด เรากจ็ ะไดเ้ ส้นอุปสงค์
ดังเส้นในภาพ 4.1ซึ่งจะเห็นได้ว่า เส้นอุปสงค์ที่ได้จาการนาตัวเลขมาลงจุดจะมีจุดตัดบนแกน P ท่ี
เท่ากับ 1,000 โดยประมาณ และมีค่าความชันของเส้นที่ประมาณได้เท่ากับ 500/800 เนื่องจากเม่ือ
ราคากระเป๋าลดลงจาก 1,000 เหลือเพียง 500 บาท (= -500) ปริมาณเสนอซื้อได้เพ่ิมจาก 0 เป็น
800 (= 800 )ค่าความชนั ของเสน้ อปุ สงค์ซงึ่ จะเทา่ กับ -500/800 = - 0.625
33
ภาพ 2.10 เสน้ อุปสงค์ต่อกระเป๋าสตางคข์ องผู้บรโิ ภค
ดังน้ัน สมการอุปสงค์ที่ประมาณได้คือP=1,0000.625Qและเนื่องจากสมการและเส้น
อุปสงค์ทป่ี ระมาณไดน้ ีไ้ ดใ้ ช้ข้อมลู จากตัวอย่างของผู้บรโิ ภคซึ่งเปน็ ส่วนที่น้อยมากเม่ือเทยี บกับผู้บริโภค
ท้ังตลาด ดังนั้น ถ้าเราใช้ ตัวอย่างเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ อุปสงค์ของตลาดก็จะเปน็ 100 เท่าของอุปสงค์
ที่ประมาณได้จากตัวอย่าง ซึ่งสมการอุปสงค์ของตลาดน้ีจะหาได้โดยการคูณค่าความชันของเส้นอุป
สงค์ด้วยสดั สว่ นของตวั อยา่ ง ดงั น้นั สมการอุปสงคข์ องตลาดท่ีประมาณได้จากตวั อย่างจะเทา่ กบั
1
P = 1,000 – 0.625 x 100 = 1,000 – 0.00625
เส้นอุปสงค์ของตลาดในกรณีนก้ี ็จะมีความชนั ลดลง 100 เท่าของอุปสงค์ที่คานวณได้จากคา่
ตัวอย่างและจากการรู้ค่าเสน้ อุปสงค์ของตลาด (AR) เราก็สามารถหาค่า MR และคา่ ความยืดหยุ่นของ
อุปสงค์ต่อราคาได้
การทดลองตลาด
เป็นการทดสอบความรู้สึกของผู้บริโภคที่มีต่อการซื้อสินค้าเมื่อ ราคา คุณภาพสินค้าวิธีการ
นาเสนอการตกแต่งร้านค้า ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการทดสอบผลที่เกิดจาก
การเปลยี่ นแปลงของราคา รปู แบบทน่ี ิยมใช้กนั คือ ทดลองการตัดสินใจเลือกของผู้บริโภคในตลาดจริง
หรือสถานท่ีมีการควบคุมสภาพแวดล้อมให้เหมือนจริง เช่น การกาหนดราคาสนิ ค้าใหม้ ีความแตกต่าง
กันระหว่างรา้ นค้าในแต่ละย่านหรอื ต่างเมืองเพอื่ ดูผลกระทบทเ่ี กิดขึน้ หรือการขายสนิ ค้าทางไปรษณีย์
(Direct mail) แล้วมีการกาหนดราคาสินค้าให้มีความแตกต่างกัน หรือการที่บริษัทกาหนดราคาโดย
34
คานึงถงึ กลุม่ ลกู คา้ ที่แตกต่างกนั วิธกี ารทดลองตลาดนี้จะทาใหท้ ราบถงึ พฤติกรรมการเลือกซอ้ื สินค้าที่
หลากหลายได้
การสร้างสถานการณ์ตลาดจาลอง อีกวิธีการหน่ึงของการศึกษาปฏิกิริยาของผู้บริโภค ต่อ
การเปล่ียนแปลงของราคาสินค้าหรือความพยายามในการส่งเสรมิ การขายก็โดยการสร้างสถานการณ์
ตลาดจาลอง (Simulated market situation)แล้วคอยสังเกตพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ได้คัดเลือกมา
รวมอยู่ในตลาดจาลองนั้นวิธีการนีม้ ักเรียกว่าการสร้างคลนิ ิกผู้บรโิ ภค (Consumer clinic) และมักจะ
อยู่ในรูปของการจ่ายเงินให้ผู้เข้าร่วมอยู่ในสถานการณ์จานวนหน่ึงแล้วขอให้บุคคลเหล่านั้นจับจ่ายใช้
สอยเงินจานวนที่ได้รับในร้านที่จาลองขึ้นผู้เข้าร่วมในสถานการณ์จาลองที่ต่างกลุ่มกันจะเผชิญกับ
โครงสร้างราคาของสินค้าและรูปแบบของการส่งเสริมการขายท่ีแตกต่างกันภายหลังจากการ
สังเกตการณ์ถึงปฏิกิริยาท่ีบุคคลแต่ละกลุ่มมีต่อการเปล่ียนแปลงราคาและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ
การส่งเสริมการขายที่ต่างกนั ผู้ทาการศกึ ษาก็จะสามารถสรปุ ไดว้ ่าตลาดท้ังตลาดจะมปี ฎกิ รยิ าต่อการ
เปลี่ยนแปลงของราคา หรือ การเปลี่ยนแปลงการส่งเสริมการขายอย่างไร โดยอาศัยข้อสรุปที่ได้จาก
สถานการณ์จาลองนั้น
ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ธุรกิจท่ีมีขนาดเล็กและไม่มีความต้องการที่จะตั้งแผนกวิจัย
ตลาดท่ีจะทาให้เสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงธุรกิจอาจจะเลือกใช้บรกิ ารจากบริษัทที่ปรึกษาจากภายนอก
อาจจะอยู่ในรูปของการว่าจ้างที่ปรึกษาท่ีมีความเชี่ยวชาญเฉพาะส่วน เช่น อาจารย์มหาวิทยาลัย นัก
บริหารมืออาชีพ เป็นต้น โดยการขอความคิดเห็นจากที่ปรึกษาเหล่านี้แล้วนามาปรับปรุงเพ่ือให้
สอดคล้องกับนโยบายของธุรกิจ การมีที่ปรึกษาอาจจะมีมากกว่าหนึ่งคน เรียกวิธีน้ีว่า "Delphi
method" ซง่ึ จะทาใหไ้ ด้คาตอบท่ีไม่มีความเอนเอียง การคาดการณห์ รือความคดิ เห็นดังกล่าวเกิดจาก
ภมู ิความรู้และข้อมลู ท่ีน่าเชื่อถอื ได้
การประมาณค่าอปุ สงคท์ างอ้อม (Indirect method)
การประมาณค่าอุปสงค์แบบทางอ้อมน้ันก็คือการอาศัยวิธีการทางสถิติเพื่อการใช้หา
ความสัมพันธ์ของตัวแปรท่ีเราให้ความสนใจ วิธีการน้ีเหมาะสมกับกรณีท่ีเรามีข้อมูลที่มากเพียงพอ
โดยขั้นตอนในการประมาณการประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การรวบรวมและปรับปรุงข้อมูล
(Gathering and adjust the data) การประมาณสมการแสดงความสัมพันธ์ของข้อมูล (Fitting a
curve and equation to the data) และการทดสอบและประเมินผลที่ประมาณขึ้น(Test and
evaluate the equation)
การรวบรวมและปรับปรุงขอ้ มูล
ข้อมูลที่ธุรกิจมีความเก่ียวข้องด้วยแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ข้อมูลแบบอนุกรมเวลา
(Time-series data) และขอ้ มูลแบบตดั ขวาง (Cross section data)
35
1) ข้อมูลอนุกรมเวลา คือข้อมูลท่ีจัดเก็บ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งที่กาหนดไว้แน่นอน
หรอื ในชว่ งระยะเวลาหนึง่ โดยขอ้ มูลส่วนใหญ่แลว้ จะมีการจัดเก็บเปน็ รายปี
2) ข้อมูลภาคตัดขวาง หมายถึง ข้อมูลท่ีจัดเก็บภายในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ซึ่ง
ในช่วงเวลาน้ันอาจจะเป็น วัน สัปดาห์ เดือน หรือ ปี ก็ได้ เช่น การเก็บข้อมูลรายจา่ ยในการซื้อสนิ ค้า
ของผบู้ รโิ ภคต่อหนึง่ เดอื น
การประมาณสมการและความสัมพันธข์ องขอ้ มูล
ในการประมาณค่าสมการนั้นจาเป็นต้องเลือกรูปแบบความสัมพันธ์ท่ีเหมาะสมของ
ความสัมพันธร์ ะหว่างตัวแปรต้น (Independent variable ) กบั ตัวแปรตาม (Dependent variable)
ซ่งึ จะทาให้ไดค้ ่าพารามิเตอร์ท่ีเหมาะสม โดยรูปแบบของสมการนั้นอาจจะเปน็ สมการเสน้ ตรง(สมการ
กาลังหน่ึง) สมการเส้นโค้ง(สมการกาลังสองหรอื มากกวา่
36
ภาพ 2.11 เส้นกราฟและสมการรูปแบบตา่ งๆ
การวิเคราะห์สมการถดถอยเชงิ เสน้ ตรงและไม่ใชเ่ สน้ ตรง (Linear and nonlinear
of regression Equation ) ความสมั พนั ธใ์ นแบบเส้นตรง สามารถเขยี นรปู แบบความสัมพันธไ์ ด้ คือ
= + 1 1 + 2 2 + 3 3 + ⋯ . + + (4.3)
สมการท่ีอยู่ในรปู ของคอบดักลาส ซึ่งอย่ใู นรูปผลคูณ คือ
= 1 1 2 2 (4.4)
ความสมั พนั ธ์นี้อยใู่ นรปู ของผลคูณ เราสามารถทาให้อยู่ในรูปของเส้นตรงไดโ้ ดยการ
แปลง
ใหอ้ ยใู่ นรปู ของ log ทาใหไ้ ด้สมการดังต่อไปนี้
log = log + 1 log 1 + 1 log 2 + ⋯ log (4.4)
เม่ือทาการประมาณสมการถดถอยเราสามารถหาค่าสัมประสิทธ์ิ B1 และ B2 ไดโ้ ดยตรง
สว่ นคา่ คงที่ a จะหาได้โดยการหาคา่ Antilog ของ loga ที่ไดจ้ ากสมการถดถอยนัน้
ความหมายของคา่ สัมประสิทธ์จิ ากสมการถดถอยเชิงเส้นตรงและทไ่ี มใ่ ช่เสน้ ตรง
(Linear and nonlinear of regression equation )
1) สมการเส้นตรงและสมการในรูปของคา่ log สมการท่ีมีความสัมพนั ธเ์ ป็น
เสน้ ตรงและสมการทเี่ กิดจากการแปลงคา่ ใหอ้ ยู่ในรปู ของค่า log จะมสี มการอยู่ 4 รปู แบบดงั นี้
37
∶ = + 1 1 +
∶ log = + 1 1 +
∶ = + 1 log 1 +
∶ log = log + 1 log 1 +
สมการ Linear จากสมการบนสุด คา่ สัมประสทิ ธ์ิ ?1 หมายถงึ การเปลีย่ นแปลง
ของค่า X1 1 หนว่ ยจะทาให้ คา่ Y เปลีย่ นแปลงไป B1 หนว่ ย เชน่ สมมตวิ า่ สมการยอดขายสนิ ค้า คือ
Sale = 963,191 + 18,501 x Pm
ถา้ การสง่ เสรมิ การขาย Pm = 0 ยอดขายจะเท่ากับ 963,191 บาท และถ้า Pm เพิ่มขนึ้ 1
บาท จะทาใหย้ อดขายเพ่ิมข้ึน 18,501 บาท เป็นต้น (มนตรี สงิ หะวาระ, 2564)
2.3 อุปทาน (Supply)
การศึกษาอุปทานเป็นการศึกษาพฤติกรรมผู้ผลิต ในการผลิตหรือความต้องการขายสินค้า
ภายใตเ้ ป้าหมายที่ตอ้ งการกาไรสูงสุด การท่ผี ผู้ ลติ จะไดร้ ับกาไรเท่าใดน้นั จะมคี วามสมั พนั ธ์ถึงตน้ ทุน
การผลิตรวมถึงการต้ังราคาที่จะขาย จึงเป็นเร่ืองที่ศึกษาถึงพฤติกรรมของผู้ผลิต (ศิริรักษ์ จวงทอง,
2555)
นิยามของอุปทาน
อุปทาน หมายถึง จานวนต่าง ๆ ของสินค้าและบริการอย่างใดอย่างหน่ึงที่ผู้ผลิตมีความ
ต้องการผลิตและนาออกมาขาย ณ ระดับราคาต่าง ๆ ในระยะเวลาและสถานทีท่ กี่ าหนด
ตัวกาหนดอปุ ทาน
ตัวกาหนดอุปทาน หมายถึง ปัจจัยต่าง ๆ ท่ีมีผลต่อจานวนสินค้าและบริการที่ผู้ขาย
ตอ้ งการผลิตออกมาขาย ประกอบด้วย (นราทพิ ย์ ชตุ วิ งศ,์ 2540)
ราคาสนิ คา้ ชนิดนั้น (price ; Px)
ตน้ ทนุ การผลิต (costs of production : C)
ราคาสินค้าทีเ่ กี่ยวข้อง (Py)
- ราคาสนิ ค้าอืน่ ท่ีแทนกันได้ (substation in supply)
- ราคาสนิ คา้ ทใี่ ชร้ ่วมกัน (goods in joint supply)
38
จดุ ประสงค์ของผูผ้ ลิต (aims of produces : Aim)
การคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าในอนาคต (expectations of future price
changes)
เทคโนโลยีการผลติ (technology of production : Tech)
จากการศึกษาตัวกาหนดอปุ ทาน สามารถเขียนสมการแสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ งอปุ ทาน
กับตัวกาหนดอปุ ทานเปน็ ฟังก์ชนั่ ของอุปทานได้ ดงั น้ปี ัจจยั ท่ีกาหนดอปุ ทานเขียนเปน็ ฟังกช์ ่ันของ
อุปทานได้ ดังน้ี
= ( , , , n, )
กาหนดให้
คือ ปรมิ าณความต้องการขายสนิ ค้า X
คอื ราคาสนิ คา้ X
คือ ราคาปัจจยั การผลิต
คอื เทคโนโลยี
คอื จานวนผู้ขายหรอื ผูผ้ ลติ
คือ ราคาสินค้าชนดิ อื่นท่ีเกย่ี วข้อง อาจจะเป็นสินค้าท่ีใชป้ ระกอบกัน
หรือ ทดแทนกันได้
กฎของอุปทาน (law of supply) เป็นการอธิบายความสัมพันธร์ ะหว่างอุปทานกับราคา
สนิ ค้า ตามกฎของอุปทาน กลา่ ววา่ ปรมิ าณของสนิ ค้าและบรกิ ารชนิดหนึ่งที่ผู้ผลติ ต้องการผลิตออก
ขายจะแปรผันโดยตรงกับราคาสินค้าและบริการชนิดนัน้ เสมอ โดยมีเง่ือนไขว่าตัวกาหนดอุปทานอื่น
ๆ ต้องคงท่ี กล่าวคือ ถ้าราคาสินค้าเพิ่มข้ึนปริมาณสินค้าที่เสนอขายจะเพ่ิมขึ้น และถ้าราคาสินค้า
ลดลงปรมิ าณสินคา้ ท่เี สนอขายจะลดลงด้วย
ตารางอุปทานและเส้นอุปทาน ในทานองเดียวกันกับตารางอุปสงค์ ตารางอุปทาน
(supply schedule) เป็นตารางตัวเลขที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณอุปทานของสินค้าหรือ
บริการอย่างใดอยา่ งหน่ึง ณ ระดบั ราคาตา่ งๆ