139
ละคนจะซ้ือสินค้าหรือขายสินค้าเป็นจานวนเล็กน้อย เม่ือเปรียบเทียบกับปริมาณสินค้าท้ังหมดที่มีอยู่
ในตลาด
2) สินค้าที่ซ้ือหรือขายจะต้องมีลักษณะเหมือนกัน (homogeneity) สามารถท่ีจะใช้
แทนกันไดอ้ ย่างสมบูรณ์ในทรรศนะหรือสายตาของผูซ้ ื้อ ไมว่ า่ จะซ้อื สนิ ค้าประเภทเดยี วกันนี้จากผู้ขาย
คนใดก็ตามผู้ซ้ือจะได้รับความพอใจเหมือนกัน เช่น ผงซักฟอก ถ้าตลาดมีการแข่งขันกันอย่างแท้จริง
แล้ว ผู้ซื้อจะไม่มีความรู้สึกว่าผงซักฟอกแต่ละกล่องในตลาดมีความแตกต่างกัน คือใช้แทนกันได้
สมบูรณ์ แต่ถ้าเม่ือใดก็ตามท่ีผู้ซ้ือมีความรู้สึกว่าสินค้ามีความแตกต่าง เมื่อน้ันภาวะของความเป็น
ตลาดแข่งขันอยา่ งสมบูรณก์ จ็ ะหมดไป
3) ผู้ซ้ือและผู้ขายจะต้องมีความรอบรู้ในภาวะของตลาดอย่างสมบูรณ์ คือ มีความรู้
ภาวะของอุปสงค์ อุปทาน และราคาสินค้าในตลาด สินค้าชนิดใดมีอุปสงค์เป็นอย่างไร มีอุปทานเป็น
อย่างไร ราคาสงู หรอื ตา่ กส็ ามารถจะทราบได้
4) การติดต่อซื้อขายจะต้องกระทาได้โดยสะดวก หมายความว่าท้ังผู้ซ้ือและผู้ขาย
สามารถทาการติดต่อค้าขายกันได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว รวมถึงการเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิต
จะต้องเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเรว็ ด้วย
5) หนว่ ยธุรกิจสามารถเข้าหรือออกจากธุรกิจการคา้ โดยเสรี ตลาดประเภทนจี้ ะต้องไม่
มีข้อจากัดหรือข้อกีดขวางในการเข้ามาประกอบธุรกิจของนัก โดยธุรกิจรายใหม่หมายความว่าหน่วย
การผลิตใหม่ๆจะเข้ามาประกอบกิจการแข่งขันกับหน่วยธุรกิจท่ีมีอยู่ก่อนเมื่อใดก็ได้ หรือในทาง
ตรงกันข้ามจะเลกิ กจิ การเมือ่ ใดก็ได้ (อาวนิ าช ดกิ ซิต, 2562)
การประมาณการอปุ สงค์และเสน้ รายรบั สว่ นเพิม่ ของผู้ผลิตในตลาดแขง่ ขันสมบรณู ์
จากการท่ีผู้ขายแต่ละรายต้องขายตามราคาตลาด ไม่สามารถตั้งราคาตามใจของตนเองได้
ราคานัน้ เปน็ ราคาดุลยภาพของตลาด หรือผขู้ ายจะสามารถขายได้ราคาเดียว ดังนัน้ อปุ สงคท์ ผี่ ู้ขายพบ
คอื เปน็ เส้นขนานแกนนอน ( ความยดื หุ่นมีค่าเปน็ อสงไขย )
ลักษณะของเส้นอุปสงค์และเส้นรายรับส่วนเพิ่มของผู้ผลิตในตลาดแข่งขันสมบรูณ์ สามารถ
แสดงไดด้ งั ภาพ 5.1
140
ภาพ 5.1 เสน้ อุปสงคแ์ ละเส้นรายรบั สว่ นเพ่ิมของผู้ผลติ ในตลาดแขง่ ขนั สมบรูณ์
จากภาพ 5.1 จะเห็นไดว้ ่าเส้นอุปสงคข์ องหนว่ ยผลิตจะเหน็ ว่า เส้น D, AR และ MR เปน็ เส้น
เดยี วกัน เนอื่ งจากในตลาดมีผซู้ อ้ื และผขู้ ายจานวนมาก และหน่วยผลิตทอ่ี ยู่ในตลาดแข่งขันสมบูรณ์จะ
ไม่มีอานาจในการกาหนดหรือเปล่ียนราคาสินค้าเป็นแต่เพียงผู้รับราคา (Price Taker) และต้องขาย
ตามราคาดุลยภาพ ซึ่งราคาดุลยภาพจะกาหนดจากกลไกตลาด ดังนั้น หน่วยผลิตจะเปล่ียนแปลงได้
แตเ่ ฉพาะปรมิ าณขายเทา่ นนั้
ดุลยภาพในระยะส้ันของตลาดแขง่ ขันสมบรู ณ์
ดุลยภาพของหน่วยผลิต หมายถึง สภาวะท่ีผู้ผลิตไม่มีแนวโน้มที่จะเปล่ียนแปลงการผลิต
การผลิตท่ีเป็นอยู่ในขณะน้ันเป็นการผลิตท่ีดีที่สุด ผู้ผลิตจะทาการผลิต ณ จุดท่ี MC=MR ในระยะสั้น
อาจมีผู้ผลิตบางรายมีต้นทุนต่อหน่วยสูงกว่าราคาสินค้าเน่ืองจากขาดประสิทธิภาพจึงเกิดการขาดทุน
ผู้ผลิตจะต้องเลือกว่าจะดาเนินการต่อหรือไม่โดยการเปรียบเทียบรายรับรวมกับต้นทุนผันแปร ตราบ
ใดท่ีรายรับรวมยังคงสูงกว่าต้นทุนผันแปร ผู้ผลิตจะดาเนินการต่อไปแม้จะขาดทุนเพราะสามารถนา
รายรับท่ีมากกว่าต้นทุนแปรผันรวมมาชดเชยการขาดทุนได้บ้างเพราะถ้าเลิกผลิตก็ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ส่วนของตน้ ทุนคงท่ี
กล่าวโดยสรุป ดุลยภาพของหน่วยผลิต หมายถึง ภาวะที่หน่วยผลติ ได้ตัดสินใจเลือกระดับ
การผลิตที่ก่อให้เกิดกาไรสูงสุด (หรือขาดทุนน้อยสุด) เม่ือเข้าสู่ภาวะนี้แล้วจะมีแนวโน้มว่าหน่วยผลิต
ไมม่ ีการเปลย่ี นแปลงระดบั การผลิต
ดุลยภาพในระยะส้ันเกิดจากหน่วยผลิตไม่สามารถปรับเปล่ียนปัจจัยบางชนิดให้เป็นปัจจัย
ผันแปรได้ ดังน้ัน ในการผลิตระยะส้ัน ต้นทุนการผลิตจะประกอบด้วย ต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร
(สมชาย ภคภาสน์วิวฒั น์ และคณะ, 2556)
การพจิ ารณาดุลยภาพในระยะสน้ั
141
หน่วยผลิตจะทาการผลติ ในปริมาณทท่ี าให้ไดก้ าไรสงู สุดคือปริมาณ ณ จดุ ที่
MC = MR
เม่ือได้ปริมาณที่เหมาะสมแล้วจะทาการเปรียบเทียบต้นทุนเฉลี่ย (AC) และรายรับเฉลี่ย
(AR) วา่ เปน็ อย่างไร
- ถ้า AR > AC แสดงวา่ มีกาไรเกินปกติ (Excess Profit)
- ถา้ AR = AC แสดงวา่ มกี าไรปกติ (Normal Profit)
- ถา้ AR < AC แสดงวา่ ขาดทุน (Loss)
โดยกรณตี ่างๆ สามารถแสดงให้เห็นได้ดงั ภาพตอ่ ไปน้ี
ดุลยภาพในระยะส้ัน กรณีกาไรเกนิ ปกติ
ภาพ 5.2 ดุลยภาพในระยะสน้ั กรณกี าไรเกนิ ปกติ
จากภาพ 5.2 แสดงให้เห็นวา่
1) ดลุ ยภาพคือจุดที่ MC = MR (จุด A) ณ ระดบั ราคา = 0P* และปริมาณ = 0Q*
2) AR = 0P* และ AC = 0C จะเหน็ ว่า AR > AC ซึง่ เป็นกาไรเกนิ ปกติ
3) กาไรต่อหน่วย คอื AR – AC หรือ 0P* - 0C = P*C
4) กาไรรวม = กาไรต่อหน่วย x ปริมาณ หรือเท่ากับ P*C×0Q หรือเท่ากับ พ้ืนท่ี
สเ่ี หล่ียมP*ABC
จากภาพ 5.2 ดลุ ยภาพในระยะสน้ั กรณกี าไรเกินปกติ สามารถตั้งขอ้ สังเกตไดว้ ่า
1) ณ จดุ ที่กาไรสงู สดุ MC = MR ให้ปริมาณท่คี วรผลติ เทา่ กบั Q*
2) ดงั นัน้ รายได้รวมจงึ มคี า่ เทา่ กบั OP*OQ* หรือเทา่ กบั พ้นื ท่ีสเ่ี หลีย่ มใหญ่ OP*AQ*
142
3) ต้นทุนต่อหน่วย ณ ปริมาณการผลิต Q* พิจารณาจากเส้น AC คือ หน่วยละ OC
บาท ดงั นัน้ ตน้ ทนุ รวมเท่ากบั OC.OQ* หรอื เทา่ กับ พื้นทีส่ ่เี หล่ียม OCBQ*
4) กาไรเกินปกติทีไ่ ด้รับ คอื รายได้ - ตน้ ทุน = พนื้ ทส่ี เ่ี หลีย่ ม CP*AB
5) โดยปกติหากเกิดกรณีท่ีมีผู้ผลิตได้กาไรเกินปกติ เน่ืองจากผู้ผลิตรายใหม่เล็งเห็น
กาไรส่วนนี้และด้วยความทเี่ ปน็ ตลาดแขง่ ขนั สมบรู ณ์ ผผู้ ลติ รายใหมส่ ามารถเข้ามาได้โดยง่าย จงึ ทาให้
เกดิ การแข่งขันและกาไรส่วนท่เี กนิ ปกตนิ ้ีก็จะหายไป
6) หากพิจารณาต่อถึง ต้นทุนผันแปรต่อหน่วย เพื่อใช้ในการตัดสินใจ ก็จะได้ข้อสรุป
ในเรือ่ งวา่ เม่ือใดควรผลติ และเมื่อใดควรเลกิ กจิ การ (ราคาตอ้ งสูงกวา่ ต้นทนุ ผันแปรตอ่ หน่วย)
ดลุ ยภาพในระยะส้นั กรณีกาไรปกติ
ภาพ 5.3 ดุลยภาพในระยะสั้น กรณกี าไรปกติ
จากภาพ 5.3 ดุลยภาพในระยะส้นั กรณีกาไรปกติ แสดงใหเ้ ห็นว่า
1) ดุลยภาพคือจดุ ท่ี MC = MR ณ ระดบั ราคา = 0P* และปริมาณ = 0Q*
2) AR = 0P* และ AC = 0P* จะเหน็ ว่า AR = AC หรือกาไรเป็นศนู ย์
3) หนว่ ยผลติ ได้กาไรปกติ (Normal Profit)
ดลุ ยภาพในระยะสนั้ กรณีขาดทุนและผลติ ต่อไป (P > AVC)
143
ภาพ 5.4 ดุลยภาพในระยะสนั้ กรณีขาดทนุ และผลิตต่อไป
จากภาพ 5.4 ดุลยภาพในระยะส้นั กรณีขาดทุนและผลิตต่อไป แสดงให้เห็นว่า
1) ดุลยภาพอยู่ ณ จุด MC=MR (จดุ B) ราคา= 0P* และปริมาณ= 0Q* มตี น้ ทนุ เฉล่ีย
= 0C และมตี ้นทนุ ผันแปรตอ่ หน่วย=0V
2) จะเห็นว่า AVC < P < AC ผู้ผลิตขาดทุนหน่วยละ P*C แต่ผู้ผลิตจะไม่ปิดกิจการ
เน่ืองจากขาดทุนในส่วนของต้นทุนคงที่ (FC) บางส่วนคือ พื้นที่ส่ีเหล่ียม P*CAB ซ่ึงเป็นจุดขาดทุน
น้อยทส่ี ุด หากไมผ่ ลติ จะขาดทนุ ตน้ ทุนคงท่ที ้ังหมดคือ พื้นท่ีสี่เหล่ียม VDAC
144
ดลุ ยภาพในระยะสน้ั กรณีขาดทุนและปิดกจิ การ
ภาพ 5.5 ดุลยภาพในระยะสน้ั กรณขี าดทุนและปิดกิจการ
จากภาพ 5.5 ดลุ ยภาพในระยะสน้ั กรณขี าดทุนและปดิ กจิ การ แสดงใหเ้ ห็นว่า
หากหนว่ ยธรุ กจิ ประสบกบั ภาวะขาดทนุ การตัดสนิ ใจว่าควรทาการผลติ ต่อหรือไมข่ ้ึนอยู่กบั
วา่ ราคาทข่ี ายได้ (P) หรอื รายรบั เฉล่ยี (AR) สูงกว่าต้นทนุ ผนั แปรเฉลี่ย (AVC) หรือไม่
กลา่ วคอื หาก P < AVC ควรหยดุ การผลิต และ หาก P > AVC ควรผลติ ตอ่ ไป
เสน้ อปุ ทานในระยะส้ันของหน่วยผลติ
เส้นอุปทานในระยะส้ันของหน่วยผลิต แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์เกิดจาก
จานวนผู้ซื้อในตลาดเพ่ิมขึ้น ซึ่งผู้ผลิตจะเริ่มทาการผลิตสินค้าออกจาหน่าย ตั้งแต่ระดับที่เกินกว่าจุด
ปิดกิจการ เป็นตน้ ไป ดังนั้น เส้นอปุ ทานกค็ อื เส้น MC ทอี่ ย่เู หนอื จดุ ปิดการ ดงั แสดงในภาพ 5.6
145
ภาพ 5.6 เส้นอุปทานในระยะสนั้ ของหนว่ ยผลิต
จากเงื่อนไขท่ีผู้ผลิตจะทาการผลิตเพ่ือให้ได้กาไรสูงสุด ณ ระดับราคาสินค้าท่ี กาหนดโดย
ตลาดคือ จะผลิตที่ P = MC เมอ่ื ระดบั ราคาสนิ ค้าในตลาดเปลย่ี นผู้ผลิตกจ็ ะ ปรับปริมาณผลติ ดว้ ย แต่
ถ้าราคาสินคา้ ต่ากวา่ จดุ ต่าสุดของเส้นต้นทุนแปรผันเฉล่ีย (AVC) จะทาให้ผ้ผู ลิตขาดทุนต้นทุนแปรผัน
บางส่วน และต้นทุนคงท่ีท้ังหมด ดังน้ัน ผู้ผลิตจะไม่ดาเนินการผลิต หรือไม่มีอุปทาน และ ณ ระดับ
การผลติ ท่ี MR = MC = AVC ณ จดุ ตา่ สดุ ของ AVC จะเปน็ จุดหยดุ การผลิต (Shutdown point) โดย
ถ้าผู้ผลิต ดาเนินการผลิตจะขาดทุนเพียงต้นทุนคงท่ีทั้งหมด ถ้าระดับราคาสินค้าสูงกว่าจุดต่าสุด ของ
AVC ผู้ผลิตจะดาเนินการผลิตต่อไป ดังน้ันเส้น MC ต้ังแต่เหนือจุดต่าสุดของเส้น AVC ข้ึนไป คือเส้น
อุปทานในระยะส้ันของหนว่ ยผลติ เม่ือพจิ ารณาจากภาพ 5.6 แสดงเส้นอปุ ทานในระยะส้ันของหน่วย
ผลิต โดยเส้นอุปทานของหน่วยผลิต คือ เส้น MC ที่อยู่เหนือจุดต่าสุดของเส้น AVC ขึ้นไป หรือต้ังแต่
จดุ D ขึ้นไป
ดลุ ยภาพในระยะยาวของตลาดแข่งขนั สมบูรณ์
ในระยะยาวของตลาดแข่งขันสมบูรณ์จะไม่มีปัจจัยคงท่ี จึงไม่มีต้นทุนคงท่ี จะมีแต่เฉพาะ
ต้นทุนผันแปรเท่านั้น ซ่ึงหากผู้ผลิตขาดทุนจะเลิกกิจการหรือปิดกิจการทันที (Free Exit) เพราะใน
ระยะยาวของตลาดแข่งขนั สมบรู ณ์จะไม่มหี นว่ ยผลิตใดไดก้ าไรเกนิ ปกติ เพราะหากได้กาไรเกนิ ปกติจะ
จูงใจให้ผู้ผลิตรายใหม่ ๆ (Free Entry) เข้าสู่ตลาดมากขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าลดลงจนกระทั่งไม่มี
กาไรเกินปกตใิ นทสี่ ุด
146
ในระยะยาวเมื่อขนาดของโรงงานสามารถเปล่ียนแปลงได้ดุลยภาพของหน่วยผลิต ในตลาด
แข่งขันอย่างสมบูรณ์จะอยู่ ณ จุดที่ผู้ผลิตได้ปรับปรุงขนาดของโรงงานเพื่อท่ีจะ ผลิต ณ จุดต่าสุดของ
เสน้ LAC ซงึ่ สัมผัสกับเส้นอปุ สงค์ของหนว่ ยผลิต ณ ระดบั ราคา ตลาดทเ่ี ป็นอยใู่ นขณะนน้ั ดงั แสดงใน
ภาพ 5.7
ภาพ 5.7 ดุลยภาพในระยะยาวของตลาดแขง่ ขันสมบูรณ์
ถา้ หน่วยผลติ ไดร้ ับกาไรเกนิ ปกติ(excess profit) จะดงึ ดดู ให้ผู้ประกอบการ ใหม่ๆ เข้ามาใน
อุตสาหกรรม อันเน่ืองจากข้อสมมุติของการเข้ามาในการผลิตได้อย่างเสรี โดยผลิตสินค้าที่มีลักษณะ
เหมือนกันและมีความรู้เก่ียวกับข้อมูลอย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับหน่วยผลิตที่มีอยู่เดิม จึงมีผลทาให้
อุปทานของสินค้าเพิ่มข้ึน ผู้ผลิตรายใหม่ ๆ จะเข้ามาดาเนินการผลิตเพ่ิมข้ึนตราบเท่าที่ยังคงได้รับ
กาไรเกินปกติและจะไม่เพิ่มอีก ต่อไปเมื่อหน่วยผลิตได้รับเพียงกาไรปกติ(normal profit) เท่านั้น ถ้า
จานวนหน่วยผลิต รายใหม่ ๆ เพ่ิมมากจนทาให้เกิดการขาดทุนก็จะมีหน่วยผลิตที่จะออกไปจากการ
ดาเนินการผลิต ทาให้อุปทานทั้งหมดลดลงจนกระทั่งแต่ละหน่วยผลิตได้รับกาไรปกติ โดยในตลาด
แข่งขนั สมบูรณห์ น่วยผลิตเม่อื เขา้ สู่ดลุ ยภาพในระยะยาวจะเกดิ เง่ือนไขต่อไปน้ี
SMC = LMC = MR = AR = P = SAC = LAC
โดยผู้ผลิตทุกหน่วยจะได้กาไรปกติเท่าน้ัน และผู้ผลิตทุกรายจะทาการปรับขาดโรงงาน
จนกระท่ังได้ขนาดโรงงานที่เหมาะสม (Optimal Plant Size)
147
5.3 ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ (imperfectly competitive market)
ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ หมายถึง ตลาดท่ีผู้ซ้ือหรือผู้ขายมีอิทธิพลท่ีจะทาการกาหนดราคา
หรือปริมาณซื้อขายสินค้ากันบ้างไม่มากก็น้อย ซ่ึงข้ึนอยู่กับความไม่สมบูรณ์ของ ตลาดจะมีมากน้อย
เพียงใด ตลาดแขง่ ขันไม่สมบรู ณ์แบ่งไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คอื ตลาดก่ึงแข่งขันกง่ึ ผูกขาด (Monopolistic
Competition) ตลาดผู้ขายนอ้ ยราย (Oligopoly) และ ตลาดผูกขาดสมบรู ณ์ (Pure Monopoly)
ตลาดกึ่งแข่งขนั กึ่งผูกขาด (Monopolistic Competition)
ตลาดก่ึงแข่งขันก่ึงผูกขาด เป็นตลาดท่ีมีจานวนผู้ขายมาก ปราศจากส่ิงกีดขวางผู้ผลิตราย
ใหม่ท่ีจะเข้ามาทาการผลิต, ไม่มีการรวมตัวกันของผู้ซ้ือหรือผู้ขาย และสินค้าของผู้ผลิตแต่ละคน
แตกต่างกัน ความแตกต่างน้ีอาจเป็นได้ท้ังด้านภาพร่าง คุณภาพ หรือความรู้สึกของผู้บริโภค จาก
ลักษณะเหล่าน้ีทาให้ผู้ผลิตแต่ละรายในตลาดมีอานาจผูกขาดในสินค้าของตน ย่ิงสามารถทาให้สินค้า
ของตนแตกต่างจากของผู้ผลิตอื่นได้มาก อานาจผูกขาดก็จะมีมากข้ึนตามไปด้วยแต่สินค้าของผู้ผลิต
อ่ืนก็สามารถใช้แทนกันได้ ดังน้ัน หากต้ังราคาสินค้าสูงกว่าของผู้ผลิตอื่นมากเกินไปจะประสบกับการ
เสยี ลูกคา้ ใหก้ บั ผผู้ ลิตอนื่
ลกั ษณะของตลาดก่งึ แข่งขนั กึ่งผูกขาด
สามารถสรปุ ลักษณะของตลาดกง่ึ แข่งขันกึ่งผกู ขาด เปน็ ข้อๆได้ ดังนี้
1) มีผซู้ ือ้ และผูข้ ายจานวนมาก
2) สินค้าประเภทเดียวกันจะมีความแตกต่างกันบา้ งจากรายอื่น ๆ ในตลาด ทาให้ผู้ซ้ือ
อาจพอใจในคุณภาพสินคา้ ของผ้ขู ายรายใดรายหน่ึงมากกวา่ ผ้ขู ายรายอืน่ ๆ
3) ผู้ผลติ และผซู้ ือ้ สามารถเขา้ -ออกตลาดไดอ้ ย่างเสรี
4) ผซู้ อ้ื และผขู้ ายมคี วามรูเ้ รื่องราคาและปรมิ าณตลาดเป็นอย่างดี
5) ผู้ผลิตบางรายอาจมีอานาจผูกขาดได้จากการผลิตสินค้าที่แตกต่างจากคู่แข่งหรือ
สร้างความภักดีตอ่ ตราสนิ คา้ ให้กับผ้บู ริโภคได้
6) สินค้าน้ันไม่ใช่มีลักษณะเดียวกัน ( Heterogeneous Product ) เหมือนกับกรณี
แขง่ ขนั แบบสมบรู ณ์ (ถ้าสินคา้ เหมือนกัน เรยี ก Homogeneous Product)
7) สินค้ามีความแตกต่าง เช่น ภาพลักษณ์ของสินค้า ฟังก์ชันการใช้งาน ถ้าสินค้าย่ิง
แตกตา่ งมากเท่าไรก็สามารถเพิ่มอานาจการผูกขาด
8) การต้ังราคาจะต้ังสูงมากในช่วงนาสินค้าใหม่สู่ตลาดและราคาจะลดเพราะมีคน
เลยี นแบบ (ภราดร ปรดี าศกั ด,์ิ 2556)
การประมาณการอปุ สงค์และรายรับส่วนเพิม่ ของตลาดก่งึ แข่งขันกงึ่ ผกู ขาด
ในตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาดสามารถทาให้สินค้าของตนแตกต่างจากของผู้ผลิตอื่นได้มาก
อานาจผูกขาดก็จะมีมากข้ึนตามไปด้วยแต่สินค้าของผู้ผลิตอื่นก็สามารถใช้แทนกันได้ ดังน้ัน หากตั้ง
148
ราคาสินค้าสูงกว่าของผู้ผลิตอื่นมากเกินไปจะประสบกับการเสียลูกค้าให้กับผู้ผลิตอื่น ทาให้เส้นอุป
สงค์ของผ้ผู ลิตแต่ละคนมีความยดื หยุ่นคอ่ นขา้ งสงู
ภาพ 5.8 เส้นอปุ สงคแ์ ละรายรับสว่ นเพมิ่ ของตลาดก่ึงแขง่ ขันก่งึ ผูกขาด
จากภาพ 5.8 เส้นอุปสงค์และ AR เป็นเส้นเดียวกันมีความชันเป็นลบและมีความยืดหยุ่นสูง
เพราะสินค้ามีความแตกต่างกัน ทาให้ผู้ผลิตสามารถกาหนดราคาแตกต่างได้ ส่งผลให้เส้น D หรือ AR
และ MR มีลักษณะทอดลงจากซ้ายไปขวา เป็นมีความยืดหยุ่นสูงและ เส้น MR มีความชันเป็น 2 เท่า
ของเส้น AR
ดุลยภาพในระยะส้นั ของตลาดกึ่งแข่งขนั ก่ึงผูกขาด
ในระยะสั้นดุลยภาพของผู้ผลิตจะมีลักษณะเดียวกับตลาดแข่งขันสมบูรณ์โดยผู้ผลิตอาจจะ
ได้รับผลตอบแทนทั้งกาไรเกนิ ปกติ (Excess Profit) กาไรปกติ (Normal Profit) และขาดทุน (Loss)
การพิจารณาหาราคาและปริมาณดุลยภาพ คือ ปริมาณ ณ จุดท่ี MC=MR เปรียบเทียบ
ผลตอบแทนระหวา่ ง AR กับ AC
ลักษณะของกราฟของดุลยภาพในระยะส้ันของตลาดก่ึงแข่งขันกึ่งผูกขาด แบ่งเป็น 4 กรณี
ดังแสดงในภาพ 5.9
149
ภาพ 5.9 ลักษณะของกราฟของดุลยภาพในระยะสน้ั ของตลาดก่ึงแขง่ ขนั ก่ึงผกู ขาด
ดุลยภาพในระยะสั้นของผู้ผลิตแต่ละรายในตลาดก่ึงแข่งขันกึ่งผูกขาดเหมือนกับในตลาด
อนื่ ๆ คอื ณ ระดับการผลติ ทต่ี น้ ทุนเพ่มิ เทา่ กับรายรบั เพิ่ม (MC=MR) เสน้ อปุ สงคข์ องผ้ผู ลิตจะเป็นเส้น
ลาดจากซ้ายไปขวาเพราะสินค้าใช้แทนกันได้ดี เส้นรายรับเพิ่มจะอยใู่ ต้เส้นอุปสงค์ซงึ่ เปน็ เส้นเดียวกบั
เส้นรายรับเฉลี่ย แต่หน่วยผลิตอาจประสบกับการขาดทุนได้ ถ้าราคาสินค้าต่ากว่าต้นทุนเฉล่ีย (AC)
หน่วยผลิตจะผลิตต่อไปถ้าราคาสูงกว่าต้นทุนแปรผันเฉลี่ย (AVC) โดยผลิต ณ ระดับผลผลิตซึ่งมี
MC=MR ซ่ึงจะขาดทุนน้อยท่ีสุด (loss minimization) ในทานองเดียวกัน ผู้ผลิตอาจได้รับพียงกาไร
ปกติ (Normal Profit) โดยผู้ผลิตจะผลิต ณ จุดที่ MC=MR ในตลาดน้ีจะนิยมการโฆษณาและการ
สง่ เสริมการขายเพอื่ เพิ่มอปุ สงคข์ องผบู้ ริโภคเพราะถา้ ประสบความสาเร็จ อุปสงค์จะเพ่มิ ข้ึนโดยไม่ต้อง
ลดราคาสินคา้ ดังน้นั กาไรจงึ มากข้นึ ตามไปดว้ ย
จากภาพ 5.9 จะขออธิบายดุลยภาพในระยะส้ันของตลาดก่ึงแข่งขันก่ึงผูกขาด ในกรณีต่างๆ
ดังน้ี
150
กรณีที่ 1 กาไรเกินปกติ จะเห็นไดเ้ หน็ ว่า
1) ดลุ ยภาพคอื จดุ ท่ี MC = MR (จุด C) ณ ระดบั ราคา 0P1 และปรมิ าณ 0Q
2) AR = 0P1 และ AC = 0P จะเห็นวา่ AR > AC ซ่งึ เปน็ กาไรเกนิ ปกติ
3) กาไรตอ่ หนว่ ย คอื AR – AC หรอื 0P1 – 0P = P1*P
4) กาไรรวม = กาไรต่อหน่วย x ปริมาณ หรอื เทา่ กบั พื้นท่สี ่เี หลี่ยม PP1AB
กรณที ่ี 2 กาไรปกติ จะเหน็ ได้เหน็ ว่า
1) ดลุ ยภาพคอื จุดที่ MC = MR ณ ระดบั ราคา = 0P และปรมิ าณ = 0Q
2) AR = 0P และ AC = 0P จะเห็นวา่ AR = AC หรอื กาไรเปน็ ศนู ย์
3) หนว่ ยผลติ ได้กาไรปกติ (Normal Profit)
กรณที ่ี 3 ขาดทุนและผลติ ตอ่ ไป แสดงให้เหน็ วา่
1) ดุลยภาพอยู่ ณ จดุ MC=MR ราคา= 0P และปรมิ าณ= 0Q มตี ้นทนุ เฉล่ยี = 0P1
2) จะเห็นว่า AVC < P < AC ผู้ผลิตขาดทุนหน่วยละ PP1 แต่ผู้ผลิตจะไม่ปิดกิจการ
เน่ืองจากขาดทนุ ในส่วนของต้นทนุ คงท่ีบางสว่ น และยงั คงดาเนินธรุ กจิ ได้ต่อไป
กรณที ่ี 4 ขาดทุนและปิดกจิ การ แสดงใหเ้ ห็นวา่
หากหน่วยธุรกิจประสบกับภาวะขาดทุน การตัดสินใจว่าควรทาการผลิตต่อหรือไม่
ขึ้นอยู่กับว่า ราคาที่ขายได้ (P) หรือรายรับเฉล่ีย (AR) สูงกว่าต้นทุนผันแปรเฉล่ีย (AVC) ซึ่งหาก
พิจารณาพภาพพบวา่ P < AVC จงึ ควรหยุดการผลิต
ดลุ ยภาพในระยะยาวของตลาดกง่ึ แขง่ ขันกงึ่ ผกู ขาด
ดุลยภาพในระยะยาวของตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาดน้ันหน่วยผลิตในตลาดมีแนวโน้มท่ีจะ
ได้รับเพียงกาไรปกติ นั่นคือ ราคาดุลยภาพเท่ากับต้นทุนเฉล่ียเพราะผู้ผลิตใหม่สามารถเข้ามาทาการ
ผลติ แข่งขนั ได้โดยเสรีตราบเทา่ ทห่ี น่วยผลติ ยังมีกาไรเกนิ ปกติ จากการทสี่ ินคา้ ของแตล่ ะหนว่ ยผลิตใน
ตลาดมีความแตกต่างกันทาให้เส้นอุปสงค์ของหน่วยผลิตแต่ละรายลดลงเร่ือยๆ จนในที่สุดสัมผัสกับ
เส้นต้นทุนเฉล่ียก่อนจุดต่าสุด ดังนั้น ราคาจึงเท่ากับต้นทุนเฉล่ีย หน่วยผลิตจึงได้รับเพียงกาไรปกติ
เทา่ นน้ั (ฮาจุน ชาง, 2562) ดงั ภาพ 5.10
151
ภาพ 5.10 ดลุ ยภาพในระยะยาวของตลาดก่ึงแขง่ ขันก่งึ ผูกขาด
จากภาพ 5.10 ราคาดุลยภาพเท่ากับต้นทุนเฉล่ียเพราะผู้ผลิตรายใหม่สามารถเข้ามาผลิต
แข่งขันเพิ่มข้ึนเร่ือยๆ ทาให้เส้น AR(D) ลดลง จนในที่สุดจนสัมผัสกับเส้น LAC ดังนั้น ดุลยภาพใน
ระยะยาวในตลาดก่ึงแข่งขันกึ่งผูกขาด ผู้ผลิตจะได้รับแต่เฉพาะกาไรปกติ (Normal Profit) เช่นดียว
กับตลาดแขง่ ขันสมบูรณ์ และเง่ือนไขดุลยภาพคอื ปรมิ าณ ณ จดุ ที่ LMC=MR
5.4 ตลาดผขู้ ายน้อยราย (Oligopoly)
ตลาดผู้ขายน้อยราย หมายถึง ตลาดท่ีประกอบด้วยผู้ผลิตหรือผู้ขายตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป แต่
ไม่วา่ จานวนผู้ผลติ หรือผู้ขายในตลาดมีก่รี ายเมื่อใด เมือ่ ผ้ผู ลิตรายใดรายหนึ่งทาการเปลี่ยนแปลงราคา
และจานวนผลผลิตจะสง่ ผลกระทบต่อผู้ผลติ รายอื่นในตลาด โดยตลาดผู้ขายนอ้ ยรายจะมีลกั ษณะของ
การกดี ขวางไม่ให้ผผู้ ลิตใหม่เข้ามาทาการผลติ แขง่ ขันได้สะดวกเพื่อรักษากาไรเกินปกติที่ได้รบั ไว้จนใน
ที่สดุ สามารถดารงสภาพตลาดท่ีมีผู้ขายน้อยรายไวไ้ ด้ตอ่ ไป (John M. Gowdy, 2010)
ตลาดประเภทนี้มักพบเห็นได้ทั่วไปโดยเฉพาะในตลาดที่มีผู้ขายรายใหญ่เพียงไม่ก่ีราย การ
แข่งขันกันของผู้ผลิตในตลาดมีสูงมาก และมีการผลิตสินค้าทั้งเหมือนกันบ้างแตกต่างกันบ้าง เช่น
ผลิตภัณฑ์น้าอัดลมอย่างเป๊ปซี่และโค๊ก หรือเครือข่ายโทรศัพท์ในประเทศไทยที่มีเพียง 3 รายท่ีเป็นผู้
ครองตลาดใหญ่ คือ ทรู ดีแทค และเอไอเอส เปน็ ต้น
152
ลกั ษณะของตลาดผ้ขู ายน้อยราย
ลักษณะของตลาดผ้ขู ายน้อยราย สามารถอธิบายเป็นข้อๆ ได้ดงั น้ี
1) มีผู้ผลิตต้ังแต่ 2 รายขึ้นไป และไม่สามารถกาหนดจานวนแน่นอนได้ ซึ่งพฤติกรรม
ของผู้ผลิตรายหนึ่งจะมีผลกระทบกับผู้ผลิตอีกรายอ่ืนในตลาด เช่น การปรับเปลี่ยนราคา คุณภาพ
สินคา้ การสง่ เสรมิ การขาย เป็นตน้ การแข่งขันในตลาดจึงสูงมาก
2) ลกั ษณะสินค้าอาจเหมอื นกนั หรือแตกต่างกันก็ได้
3) การเข้าสู่ตลาดของผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาได้ยาก เนื่องจากอุปสรรคเร่ืองของต้นทุน
การผลิตท่สี งู มาก ชือ่ เสียงของผู้ผลติ รายเดมิ ขนาดของการผลิต
4) ขอ้ มลู ขา่ วสารในตลาดเกีย่ วกับราคาและปรมิ าณไมม่ ีความสมบรู ณ์
จากลักษณะของตลาดผู้ขายน้อยรายทาให้พฤติกรรมของผู้ลิตมี 2 ทางเลือก ได้แก่ 1)
รวมตัวกันกลายเป็นผู้ผูกขาด 2) ถ้าไม่รวมตัวกันจะมีการแข่งขันกันสูงมาก เพราะแต่ละฝ่ายต่างไม่
ไว้วางใจ ซึ่งกันและกัน และคอยดูพฤติกรรมของผู้ผลิตรายอื่น เช่น ถ้านาย A ขึ้นราคาสินค้า ผู้ขาย
รายอื่นในตลาดจะไม่ขึ้นราคาตามเพราะจะขายได้มากกว่า แต่ถ้านาย A ลดราคา รายอ่ืนก็จะลดตาม
(John M. Gowdy, 2010)
แบบจาลองอุปสงค์หกั งอ (Kinked Demand Curve)
จากพฤติกรรมของผู้ขายในตลาด หากไม่มีการรวมตัวกันหรือไม่มีข้อตกลงระหว่างกัน (Non
Collusive Oligopoly) ทาให้ได้เส้นอปุ สงค์ของผ้ผู ลิตรายหนึ่งในตลาดมีลักษณะคือ เป็นเส้นหกั งอ ณ
ราคา OPe คงที่ รวมทั้งเส้น MR จะขาดชว่ ง ณ จดุ ดังกล่าว ดงั นี้
ภาพ 5.11 ลกั ษณะของอปุ สงคแ์ บบหกั งอ
ทั้งนี้ อุปสงค์แบบหักงอสามารถอธิบายถึงท่ีมาและสาเหตุได้ตามภาพ 5.12 โดยจากภาพจะ
พบว่าราคาเดิมอยู่ ณ OP ปริมาณซ้ือจะอยู่ ณ OQ เมื่อทาการลดราคาสินค้าเป็น OP1 ซึ่งผู้ผลิตคาด
ว่าจะขายได้ P1B แต่ในความเป็นจริงจะสามารถขายได้จริงเพียง P1C เพราะรายอ่ืนก็ลดราคาลงด้วย
153
ในขณะเดียวกันหากทาการข้ึนราคาสินค้าเป็น OP2 ผู้ผลิตก็คาดว่าจะขายได้ P2D แต่สามารถขายได้
จริง P2E เพราะรายอ่ืนไม่ขึ้นราคาด้วยจึงทาให้เส้น MR จะมี 2 ช่วง ณ จุดน้ีทาให้เกิดการหักงอ และ
สามารถอธบิ ายความหมายโดยใช้ภาพ 5.13 พิจารณาร่วมด้วย ดงั นี้
ภาพ 5.12 ทม่ี าและสาเหตุของอปุ สงคแ์ บบหักงอ
ภาพ 5.13 รายละเอียดของอุปสงค์แบบหักงอ
เม่ือพิจารณาภาพ 5.13 ในรายละเอียดของอุปสงค์แบบหักงอจะพบว่า จุดผลิตที่ดีที่สุดคือ
จุดท่ี MC1=MR เมื่อผลิตสินค้าออกขาย OQ หน่วย ขายในราคา OP บาทจะได้รับกาไรเกินปกติ
PABC โดยการเปลยี่ นแปลงตน้ ทนุ การผลติ ซ่งึ มีผลทาให้ MC เลอ่ื นในช่วง EF จะไมม่ ีผลทาให้ปริมาณ
154
การผลิตและราคาเปล่ียนแปลง ทั้งนี้ การเกิดอุปสงค์แบบหักงอมักจะเป็นนโยบายท่ีเกิดขึ้นเพ่ือการ
รักษาราคาใหค้ งทใ่ี นตลาดผูข้ ายน้อยราย
ท้งั น้ี ตลาดผ้ขู ายน้อยรายอาจมวี ธิ กี ารดาเนนิ ธรุ กจิ ดว้ ยวธิ ตี า่ งๆ เพื่อรักษาผลประโยชนแ์ ละ
กาไรสูงสดุ โดยวิธีตา่ งๆ ดงั น้ี
การแข่งขนั โดยไม่ใชร้ าคา
ในโลกของธุรกจิ และการแขง่ ขนั สงครามราคา (price war) ทา้ ยท่ีสุดจะนามาซ่งึ ความ
เสยี หายหนว่ ยธุรกิจ จงึ นยิ มใช้นโยบายการแขง่ ขันโดยไม่ใช้ราคา เช่น การปรบั ปรงุ เปล่ียนแปลงภาพ
แบบตวั สินคา้ การทาโปรโมชั่นสง่ เสริมการขาย เป็นต้น
ผผู้ ลติ ในตลาดที่มผี ู้ขายน้อยรายไม่นยิ มแขง่ ขันกันในดา้ นราคา แตจ่ ะแข่งขันกันในด้าน
คณุ ภาพของสนิ คา้ และการจาหนา่ ยสนิ คา้ ซ่ึงการแขง่ ขนั 2 ลกั ษณะถือว่าเปน็ การแขง่ ขันโดยไม่ใชร้ าคา
เหตผุ ลในเรือ่ งนมี้ ี 3 ประการ
1. การลดราคาสนิ ค้าไมช่ ว่ ยใหผ้ ู้ขายน้อยรายสามารถขายสินคา้ เพ่ิมขึน้ ได้มากนัก เพราะ
คแู่ ขง่ อน่ื สามารถโตต้ อบการลดราคาได้ทนั ที ทาใหส้ ว่ นท่ีควรขายได้มากข้ึนถกู แบ่งเฉลีย่ ระหวา่ ง
ผผู้ ลิตต่างๆและยงั เล่ียงต่อการถกู ตัดราคาอีกดว้ ย ซงึ่ จะเกิดผลเสยี แก่ผู้ทเี่ กยี่ วข้องทุกคนในที่สุด
2. ผขู้ ายน้อยรายส่วนมากเชื่อว่า การแข่งขนั โดยไม่ขึ้นราคาสามารถเอาชนะคู่แข่งขันได้
ถาวรกว่า เพราะการเลียนแบบคุณภาพสินค้า และการจาหน่ายสนิ ค้าตอ้ งใช้เวลานานและทาไดไ้ ม่
สมบูรณ์ ซึ่งตรงข้ามกบั กับการลดราคาสนิ ค้า คแู่ ขง่ ขนั ทาตามได้ทันที
3. เนอ่ื งจากผ้ขู ายน้อยรายเปน็ ผู้ผลติ รายใหญ่ มจี านวนผลผลิตและฐานะการเงินสูงมาก
สามารถทุ่มโฆษณาสนิ ค้าและพฒั นาคุณภาพของสนิ ค้า
การแขง่ ขนั โดยไม่ใช้ราคาเป็นทนี่ ยิ มของผผู้ ลติ ในตลาดที่มีผ้ขู ายนอ้ ยรายและตลาดก่งึ
แขง่ ขนั กึง่ ผูกขาด แต่มีมากกวา่ ในตลาดท่มี ีผขู้ ายน้อยราย เพราะผู้ขายในตลาดท่มี ีผู้ขายนอ้ ยรายผลติ
สนิ ค้าเป็นจานวนมากกว่า มที รพั ยากรการเงนิ มากกว่า ดงั นนั้ จึงสามารถทาไดม้ ากกว่า
ตัวอย่างการแข่งขันโดยไม่ใช้ราคา สามารถทาได้หลากหลายวิธีการ เช่น การรวมกลุ่มคาร์
เทล (cartel) คือ การผูกขายท่ีเกิดขึ้นเมื่อผู้ผลิตน้อยรายและกลุ่มผู้ผลิตนั้นทาการตกลงกันในการ
กาหนดราคาสินค้าและปริมาณการผลิต โดยมีจุดมุ่งหมายท่ีจะทากาไรรวมของกลุ่มผู้ผลิต หรือการ
สรา้ งนวตั กรรมเพอื่ ดึงดดู ลกู ค้า การมีโปรโมชันต่างๆเพอื่ ดงึ ดดู กลุ่มลกู คา้ เปน็ ต้น
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการใช้นโยบายจะส่งผลต่อด้านต้นทุน คือ ต้นทุนเพิ่มข้ึน
(ต้นทุนต่อหน่วยเพ่ิม, ต้นทุนคงที่เพ่ิม) ในขณะที่ด้านรายรับ หากประสบความสาเร็จส่วนแบ่งตลาด
มากขึ้น (รายรับมากข้ึน) กล่าวคือหากกรณีผลจากการดาเนินนโยบายส่งเสริมการขายที่ทาให้กาไร
ลดลงจะทาให้หน่วยธุรกิจมีต้นทุนสูงขึ้นมากกว่ารายรับท่ีเพิ่ม ในทางตรงกันข้ามกรณีผลจากการ
155
ดาเนนิ นโยบายสง่ เสริมการขายทป่ี ระสบความสาเร็จหน่วยธรุ กจิ สามารถมรี ายรับเพ่ิมมากกวา่ ต้นทุนที่
สงู ข้นึ (Ben Fine, 2016)
การเป็นผู้นาราคา (price leadership)
ในทางปฏบิ ัติผผู้ ลิตมกั จะมกี ารตัง้ ราคาตามผูน้ า (Price Leadership) หรือรวมตวั กนั กาหนด
ราคา (Collusion) โดยไม่มีการแข่งขันในเร่ืองราคาสินค้าเพราะจะทาลายผลประโยชน์ของผู้ผลิตทุก
รายในตลาด
การตั้งราคาตามผู้นา (Price Leadership) เม่ือผู้ผลิตในตลาดผู้ขายน้อยรายได้กาหนดราคา
และปริมาณการผลิตของตนแล้วอาจไม่ม่ันใจว่าผู้ผลิตรายอื่นจะตอบโต้อย่างไร จึงต้องมีการชักจูงให้
ผผู้ ลติ รายอ่นื เหน็ ดว้ ยกบั ราคาสนิ ค้าที่ตนกาหนดขึ้นและยอมรบั ราคาดงั กล่าวเปน็ ราคาขายใน
นโยบายการเป็นผู้นาราคา เป็นวิธีการที่ง่ายท่ีสุดในการขจัดปัญหาการกระทบกระทั่ง
ระหว่างหน่วยธุรกิจ และเป็นที่ใช้อยู่โดยท่ัวไป โดยวิธีการด้วยการเป็น ผู้นาราคาโดยผู้ผลิตรายใหญ่
(price leadership by dominant firm) หรือผู้นาราคาโดยผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่า (price leadership
by a low cost firm) หรืออาจเกดิ ผู้นาราคาจากการตกลงร่วมกนั (collusive price leadership)
การรวมตวั กันระหวา่ งหนว่ ยธรุ กจิ : การรวมตวั กันอย่างสมบูรณ์ (perfect collusion)
ตลาด จึงถือว่า ผู้ผลิตรายนั้นได้ตั้งตนขึ้นเป็นผู้นาด้านราคา เพ่ือขจัดปัญหาการแข่งขันและ
การโตต้ อบทจี่ ะเกิดข้นึ
การรวมตวั กันของผู้ผลติ (Collusion) เป็นการรวมตัวเข้าดว้ ยกัน (Collusion) ของผู้ผลิตใน
ตลาดเสมือนว่ามีผู้ผลิตในตลาดรายเดียวและทาการตกลงดาเนินนโยบายร่วมกัน รวมถึงการกาหนด
ราคาของสินค้าร่วมกันเพียงราคาเดียวโดยราคาท่ีกาหนดนจ้ี ะทาให้กลุ่มได้รับกาไรรวมสงู สุด ปริมาณ
ผลผลติ ทงั้ หมดของกลุ่มจะทาให้ต้นทุนเพ่มิ (MC) ของกลมุ่ เทา่ กบั รายรบั เพมิ่ (MR) ของกลุม่ ผผู้ ลติ แต่
ละรายจะได้รับการจัดสรรการผลิตตามข้อตกลงของกลุ่มและขายสินค้าในราคาที่กาหนดขึ้นเท่าน้ัน
การรวมตวั น้ีเรยี กว่าคารเ์ ทล (cartel) ซ่ึงถือว่าเป็นการรวมตวั กนั อยา่ งสมบูรณ์ (perfect collusion)
โดยสรุป การรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์ จะเกิดข้ึนเม่ือหน่วยธุรกิจทุกรายจะตกลงร่วมมือกนั ท่ี
จะดาเนินนโยบายเดียวกันในทุกเรื่อง โดยจะยึดราคาสินค้ามีเพียงราคาเดยี วและเป็นราคาท่ีกาไรรวม
ของกลุ่มสูงสุดโดยท่ี ปริมาณการผลิตท้ังหมดเป็นปริมาณการผลิตที่ MC ของกลุ่มเท่ากับ MRของ
กลมุ่ ซ่งึ หนว่ ยธุรกิจจะได้รบั การจัดสรรโควตาการผลติ ทตี่ น้ ทนุ แตกต่างกัน ซง่ึ กาไรต่อหนว่ ยแตกต่าง
กนั
156
การรวมตัวกันระหวา่ งหนว่ ยธรุ กจิ : การรวมตวั กันอย่างไม่สมบรู ณ์ (imperfect collusion)
การรวมตวั กันอยา่ งไมส่ มบรู ณ์ เป็นการรวมตวั กนั อย่างหลวมๆ โดยมีข้อตกลงในการกาหนด
นโยบายร่วมกันบางเรื่องเท่านั้น เช่น ตกลงกันในเร่ืองการกาหนดราคาขายไว้เป็นราคาเดียวกัน
สาหรบั นโยบายสง่ เสริมการขายเป็นสิทธทิ ห่ี นว่ ยธรุ กิจสามารถทจ่ี ะดาเนินการอย่างใดกไ็ ด้
การรวมหัวกันอย่างไม่สมบูรณ์(Imperfect Collusion) เป็นการตกลงกันของหน่วยผลิตใน
อุตสาหกรรมตลาดผู้ขายน้อยราย โดยตกลงกันอย่างไม่เป็นแบบแผนเพื่อต้ังราคาเดียวกัน หรือ ราคา
ผู้นาสาหรับอุตสาหกรรมท่ีหน่วยผลิตนั้นดาเนินการอยู่ การเป็นผู้นาทางด้านราคาอาจเปน็ หน่วยผลติ
ท่ีมีต้นทุนต่า (Price Leadership by a Low Cost Firm) หรือเป็นหน่วยผลิตท่ีใหญ่และสาคัญท่ีสุด
ในอุตสาหกรรมนั้น (Price Leadership by a Dominant Firm) และการเป็นผู้นาราคาแบบบารอ
เมตรกิ (Barometric Price Leadership) (Ben Fine, 2016)
5.5 ตลาดผูกขาด (Monopoly Market)
ลักษณะสาคัญของตลาด คือ มีผู้ผลิตหรือผู้ขายเพียงรายเดียว เรียกว่า ผู้ผูกขาด
(Monopolist), สินค้าไม่สามารถหาสินค้าอ่ืนใช้ทดแทนได้ และผู้ผลิตสามารถกีดกันไม่ให้ผู้อ่ืนเข้ามา
ผลิตแข่งขันได้ จากลักษณะของตลาดท่ีกล่าวมาจะเห็นได้ว่า ผู้ผูกขาดมีอานาจในการกาหนดราคา
สินคา้ (Price Maker) หรอื กาหนดปรมิ าณขาย (Price Searcher) อย่างใดอยา่ งหน่งึ ได้ตามตอ้ งการ
โดยสาเหตุของการผกู ขาดเกิดขึ้นได้จาก
1) การท่ีผผู้ ลติ รวมตวั กันเป็นกลุม่ ผผู้ ูกขาดในการผลิตสนิ ค้านัน้
2) รัฐบาลออกกฎหมายรับรองเพ่ือให้มีการผูกขาดการผลิตเพียงผู้เดียว กิจการเหล่านี้
ส่วนใหญ่เป็นกิจการสาธารณูปโภค เพื่อรักษาระดับราคาหรือปริมาณสินค้าไม่ให้เปลี่ยนแปลงจน
กอ่ ให้เกดิ ความเดือดร้อนแก่ประชาชนหรือเป็นกจิ การท่ีทารายไดเ้ ข้าสรู่ ฐั สูง โดยรฐั บาลทาการผูกขาด
เองหรอื ให้สทิ ธแิ ก่ภาคเอกชนแตอ่ ยภู่ ายใต้การควบคุมของรัฐบาลเพื่อปอ้ งกนั การเอาเปรียบผู้บริโภค
3) การผกู ขาดที่เกดิ ขึ้นจากขนาดการผลติ ของผูผ้ ูกขาดเนื่องจากกิจการบางอยา่ งขนาด
ของกิจการจะตอ้ งใหญม่ ากจึงจะสามารถลดตน้ ทนุ การผลิตให้ตา่ ได้ (Economy of Scale) หากขนาด
การผลิตไม่ใหญ่และผลิตในจานวนมากพอจะไม่สามารถดาเนินการอย่างมีประสิทธิภาพได้ ทาให้
กิจการขนาดใหญท่ ี่มีอยูก่ ลายเปน็ ผผู้ กู ขาดไปโดยปรยิ าย
4) การผกู ขาดที่เกิดขึน้ จากผู้ผูกขาดเปน็ เจา้ ของปัจจัยการผลติ ท่สี าคัญเพียงผู้เดียว ทา
ให้ผู้ผลิตรายอื่นไม่สามารถทาการผลิตสินค้าได้ตราบใดที่ไม่สามารถหาวัตถุดิบอื่นมาใช้ทดแทนปัจจัย
การผลิตนน้ั และเจ้าของปจั จยั การผลิตน้นั จะกลายเปน็ ผู้ผกู ขาดในการผลิตสินค้า
157
5) การจดทะเบียนลิขสิทธ์ิตามกฎหมาย ในประเทศท่ีมีกฎหมายลิขสิทธิ์คุ้มครอง
สิ่งประดิษฐ์ ผู้ประดิษฐ์จะมีอานาจผกู ขาดในการผลิตส่ิงประดษิ ฐ์น้นั เท่ากับอายุของทะเบียนลิขสทิ ธิ์ที่
กฎหมายกาหนดไว้ (สิทธิเดช พงศ์กจิ วรสนิ , 2561)
เสน้ อุปสงคแ์ ละเส้นรายรบั หน่วยสดุ ทา้ ยของตลาดผกู ขาด
เส้นรายรับเฉลี่ย (AR) กับเส้นอุปสงค์ (D) จะเป็นเส้นเดียวกัน มีลักษณะลาดลงจากซ้ายไป
ขวา ดงั แสดงในภาพ 5.14
ภาพ 5.14 เส้นอปุ สงค์และเสน้ รายรับหน่วยสุดท้ายของตลาดผูกขาด
จากภาพ 5.14 เส้นรายรับส่วนเพ่ิม (MR) มีลักษณะทอดลงจากซ้ายไปขวา และอยู่ในระดับ
ต่ากว่าเส้นอุปสงค์และมีความชันเป็นสองเท่า ขณะที่เส้นอุปสงค์ของลาดผูกขาดจะมีลักษณะชันมาก
แสดงให้เห็นถึงอานาจตลาดทม่ี าก
ดุลยภาพระยะสัน้ ของผู้ผูกขาด
ดุลยภาพระยะสนั้ ของผูผ้ ูกขาดคือ การผลิตทป่ี ริมาณ ณ จุด MC=MR ดังแสดงในภาพ 5.15
ที่ผูกขาดจะเป็นผู้ผลิตรายเดียวในตลาด ดังนั้น จึงมีอานาจเต็มที่ในการกาหนดราคาหรือปริมาณ
ผลผลิต ผู้ผูกขาดท่ีแสวงหากาไรสูงสุดจะเลือกผลิต ณ จุดท่ี MC=MR ดุลยภาพของผู้ผลิตและ
อุตสาหกรรมในตลาดจะเป็นส่งิ เดียวกนั เพราะผผู้ กู ขาดคอื อุตสาหกรรม ในระยะส้ัน ผผู้ ูกขาดไม่จาเป็น
ท่ีต้องได้รับกาไรเกินปกติเสมอไปข้ึนอยู่กับต้นทุนเฉลี่ยของการผลิตว่ามีค่าสูงหรือต่ากว่าราคาสินค้า
ดุลยภาพ ถ้าราคาดุลยภาพเท่ากับต้นทุนเฉล่ียจะได้รับเพียงกาไรปกติ แต่ถ้าราคาดุลยภาพต่ากว่า
ต้นทุนเฉลี่ยจะประสบกับภาวะขาดทุน แม้ว่าผู้ผูกขาดจะขาดทุนแต่ยังสามารถผลิตต่อไปได้เน่ืองจาก
158
เป็นการขาดทุนน้อยที่สุดและถ้าหากผู้ผลิตรายใดสามารถรักษากาไรเกินปกติของตนไว้เรียกกาไรน้ัน
ว่า กาไรจากการผูกขาด (Monopoly Profit) ในตลาดผูกขาดการเข้ามาผลิตของผู้ผลิตรายใหม่ไม่
สามารถเกิดข้ึนได้ ทาให้ผู้ผูกขาดท่ีได้กาไรปกติหรือขาดทุนในระยะสั้นสามารถทากาไรเกินปกติได้
เน่ืองจากสามารถปรับขนาดการผลิตและขนาดของโรงงานให้เหมาะสมได้ ขนาดของโรงงานที่
เหมาะสมท่ีสุดจะเปน็ โรงงานขนาดเดยี วกับตลาดแขง่ ขันสมบูรณห์ รือไมก่ ็ได้ขนึ้ อยู่กับสภาพของตลาด
การมีผู้ผลิตรายเดียวในตลาดทาให้อาจจะมีการต้ัองราคาท่ีสูงมาก รัฐบาลจึงมักเข้ามา
ควบคมุ ราคา การวเิ คราะหจ์ ึงแบง่ ได้ 2 แบบ ไดแ้ ก่ ตลาดผกู ขาดทไี่ ม่มีรฐั บาลควบคุมราคา และตลาด
ผูกขาดทีม่ รี ฐั บาลควบคมุ ราคา
1) ตลาดผกู ขาดทไ่ี ม่มีรัฐบาลควบคุมราคา เมื่อไม่มีรฐั บาลควบคุม ผู้ผลิตอาจเปน็ ได้ท้ังผู้
กาหนดราคาหรือผู้กาหนดปริมาณผลผลิตก็ได้ แต่เป็นท้ัง 2 อย่างพร้อมกันไม่ได้ ในระยะส้ันผู้ผูกขาด
อาจเผชิญกับภาวะทั้งกาไรเกินปกติ กาไรปกติ หรือขาดทุน ในที่น้ีขอยกตัวอย่างเป็นกรณีกาไรเกิน
ปกติ ดงั ภาพ 5.15
ภาพ 5.15 ลักษณะกราฟตลาดผูกขาดทีไ่ ม่มรี ัฐบาลควบคุมราคา
จากภาพ 5.15 ณ จุด C คือจุด MC=MR มีการผลิตท่ีระดับ 0Q หน่วย และระดับราคา 0P
บาท มีต้นทุนเฉล่ียเท่ากับ 0P1 โดยผู้ผูกขาดได้รับกาไรเกินปกติ เน่ืองจาก AR > AC หรือ 0P > 0P1
ทงั้ น้ผี ู้ผูกขาดได้กาไรเทา่ กับ พนื้ ทส่ี ี่เหลีย่ ม PABP1
2) ตลาดผูกขาดท่ีมีรัฐบาลควบคุมราคา รัฐบาลมักจะเข้าควบคุมราคาไม่ให้สูงเกินไป
โดยเฉพาะกจิ การท่ีมีผลกระทบกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ เชน่ กิจการรถไฟ ประปา ไฟฟา้ สลากกนิ
แบ่งรฐั บาล เป็นต้น ลกั ษณะกราฟตลาดผกู ขาดทีม่ ีรฐั บาลควบคมุ ราคา ดังแสดงภาพ 5.16
การต้ังราคาจะไม่ทาให้เกิดกาไรสูงสุดแต่จะต้ังราคาให้มีการจัดสรรทรัพยากรให้มี
ประสิทธิภาพ
159
การควบคมุ ราคา ณ ระดับราคายุตธิ รรม (Fair Price : Pf) นนั่ คือ ระดับ AR = AC
หรอื หาก Pf มีการใช้ทรัพยากรไม่เหมาะสม รฐั บาลจะควบคุมราคา ณ ระดับราคาอุดมการณ์ (Ideal
Price : Pi ) นน่ั คือ ระดับ MC=AR
(ก) (ข)
ภาพ 5.16 ลกั ษณะกราฟตลาดผกู ขาดที่มีรัฐบาลควบคมุ ราคา
จากภาพ 5.16 (ก) เป็นกรณีท่ีราคายุติธรรมที่ใช้ทรัพยากรน้อยเกินไป หรือ Pf สูงเกินไป
ขณะที่ภาพ 5.16 (ข) เป็นกรณีที่ราคายุติธรรมท่ีใช้ทรัพยากรมากเกินไป หรือ Pf ต่าเกินไป เมื่อ
พิจารณาจากภาพจะเห็นว่าการตั้งราคาจะไม่ทาให้เกิดกาไรสูงสุดแต่จะต้ังราคาให้มีการจัดสรร
ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพการควบคุมราคา ณ ระดับราคายุติธรรม (Fair Price : Pf) น่ันคือ ระดับ
AR = AC หรือหาก Pf มีการใช้ทรัพยากรไม่เหมาะสม รัฐบาลจะควบคุมราคา ณ ระดับราคา
อุดมการณ์ (Ideal Price : Pi ) นนั่ คอื ระดบั MC=AR
ดุลยภาพระยะยาวของผู้ผูกขาด
ดุลยภาพระยะยาวของผู้ผูกขาดในระยะยาวผู้ผูกขาดจะไดรับกาไรเกินปกติ และจะผลิตใน
ปริมาณ ณ จุดที่ LMC = MR ซึ่งดุลยภาพจะอยู่ ณ ระดับท่ี P > LAC > LMC =MR ดังแสดงในภาพ
5.17
160
ภาพ 5.17 ลักษณะกราฟดลุ ยภาพระยะยาวของผู้ผกู ขาด
เม่ือพิจารณาภาพ 5.17 ณ จุด D คือ จุด LMC=MR มีการผลิตท่ีระดับ 0Q หน่วย มีราคา
ระดับ 0P บาท และตน้ ทนุ เฉล่ยี เท่ากับ 0C บาท โดยผ้ผู ลิตไดร้ ับกาไรเกินปกติ เน่ืองจาก P>LAC หรือ
0P>0C ซ่ึงผผู้ ลติ ไดร้ ับกาไรเท่ากบั พื้นท่ีสี่เหลีย่ ม PCBA
ธรุ กิจในตลาดผูกขาดในระยะยาวคอื ธุรกจิ หน่งึ ของการผลติ ในระยะส้ัน ซ่งึ จะเสียตน้ ทนุ การ
ผลิตต่าที่สุดสาหรับจานวนผลิตที่ต้องการ หรือในระยะยาวจะผลิต ณ ระดับที่ LAC=SAC หรือ
LMC=SMC แสดงถึงถ้าอยู่ในดุลยภาพระยะยาวจะต้องอยู่ในดุลยภาพระยะส้ันด้วย แต่ถ้าอยู่ในดุลย
ภาพระยะสั้นไม่จาเปน็ ต้องอย่ใู นดลุ ยภาพระยะยาวเสมอไป
5.6 การแทรกแซงตลาด
จากการท่ีหน่วยธุรกิจหรือผู้ผลิตต่างต้องการรายรับและกาไรสูงสุด ขณะที่ผู้บริโภคต้องซ้ือ
สินค้าหรือบริการในราคาถูกและสมเหตุสมผล จึงทาให้ราคาดุลยภาพไม่มีความเหมาะสมหรือเป็น
ธรรม อาจเกิดภาวะสนิ คา้ ล้นตลาดหรือภาวะสินค้าขาดตลาด จนสง่ ผลใหผ้ ้ผู ลติ และผู้บรโิ ภคเดอื ดรอ้ น
ดังนั้น รัฐบาลหรือเอกชนจึงมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพ่ือให้ การจัดสรรทรัพยากรเปน็ ไป
อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้วิธีการแทรกแซงตลาด ได้แก่ การประกันราคาข้ันต่า และการกาหนด
ราคาขั้นสูง รวมท้ังการใช้มาตรการด้านทางภาษี โดยจะขอยกตัวอย่างที่น่าสนใจของการแทรกแซง
ตลาดดังนี้
การประกันราคาขนั้ ตา่ (Minimum Price)
การกาหนดราคาข้ันต่า (Floor Price หรือ Minimum price หรือ Price Support)
หมายถงึ ราคาตา่ สุดที่ถูกกาหนดขึ้นมาในระดบั ที่สงู กว่าราคาดุลยภาพอนั เกิดจากการทางานของกลไก
161
ราคาเพื่อป้องกันไม่ให้ราคาสินค้าชนิดต่างๆต่าเกินไป การกาหนดราคาข้ันต่าจะเกิดขึ้นในฝั่งของ
อุปทาน เป็นมาตรการท่ีใช้ในการช่วยเหลือผู้ผลิต เรียกอีกอย่างว่า การประกันราคา หรือ การพยุ ง
ราคา ท่ีเห็นได้ชัดคอื กรณกี ารชว่ ยเหลือเกษตรกรในการประกันราคาสนิ คา้ ทางการเกษตร เมื่อรัฐบาล
พิจารณาเห็นว่า ราคาตลาดหรือราคาดุลยภาพของสินค้าเกษตรในช่วงเวลาหน่ึงเป็นราคาท่ีต่าเกินไป
ไม่ได้สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง ทาให้เกษตรกรเดือดร้อน รัฐบาลก็จะมีนโยบายประกันราคา
สนิ ค้าให้สงู กวา่ ราคาดลุ ยภาพเพือ่ เปน็ การชว่ ยเหลือเกษตรกร
การเข้ามาแทรกแซงตลาดดังกล่าว ส่งผลให้เกษตรกรต้องการนาสินค้าออกมาขายเพ่ิมมาก
ขน้ึ ขณะท่ีผู้บรโิ ภคลดจานวนการซอ้ื ลงเน่ืองจากการเพมิ่ ขนึ้ ของราคา ทาให้สินคา้ ลน้ ตลาด (Surplus)
ดังจะเห็นว่า ณ จุด AB เกิดส่ิงท่ีเรียกว่า อุปทานส่วนเกิน (Excess Supply) ข้ึน ซึ่งถ้าเป็นไปตาม
กลไกตลาดปกติ ราคาสินคา้ เกษตรก็จะถูกดันกลับลงมายังจุด PM ทเี่ ปน็ ดุลยภาพของตลาด (Market
Equilibrium) แต่การเข้ามาแทรกแซงของรัฐบาลทาให้กลไกตลาดเกิดการบิดเบือนไป (อัครนันท์ คิด
สม, 2564)
การจะแกป้ ัญหาอุปทานส่วนเกนิ ทเ่ี กดิ ข้ึน เพื่อใหก้ ารทางานของกลไกตลาดกลบั มาสจู่ ุดดุลย
ภาพ รัฐบาลสามารถกระทาไดใ้ น 2 ลักษณะคือ
ลักษณะที่ 1 รัฐบาลรบั ซ้ืออปุ ทานสว่ นเกิน
ภาพ 5.18 การรบั ซ้ืออปุ ทานส่วนเกิน
เดิมดลุ ยภาพอยูท่ ีจ่ ดุ 0 ณ ระดบั ราคา 0 0 และปริมาณ 0 0 ตอ่ มาเมือ่ รฐั ใชน้ โยบาย
ประกันราคาสินค้าไว้ ณ ระดับ 0 1 จะทาให้มีการซ้ือในปริมาณ 0 1 และผู้ขายจะขายสินค้าใน
162
ปริมาณ 0 2 ซ่ึงทาให้เกิดภาวะอุปทานส่วนเกินหรือสินค้าล้นตลาดจานวน 1 2 ดังนั้นรัฐจึง
ต้องรบั ซอ้ื ในจานวนท่ีคงเหลอื คอื 1 2
ลกั ษณะที่ 2 รัฐบาลจา่ ยเงนิ อดุ หนนุ ใหแ้ กเ่ กษตรกร
ภาพ 5.19 การจ่ายเงนิ อดุ หนุนใหแ้ ก่เกษตรกร
กรณีเมอ่ื สนิ ค้าเพ่มิ ปริมาณการผลติ ไม่ได้ ( = 0) เชน่ ส้นิ ฤดูกาลทเ่ี กษตรกรไม่สามารถ
เพิ่มผลผลิตได้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระของรัฐบาลมาก ราคาและปริมาณดุลยภาพก่อนรัฐบาลจ่ายเงิน
อุดหนุนคือ 0 0 และ 0 0 ตามลาดับ เมื่อรัฐบาลกาหนดราคาข้ันต่าในราคา 0 1 รัฐจะต้อง
จ่ายเงินชดเชยหรือเงินอดุ หนุนเท่ากบั พืน้ ท่ี 0 0 1A
การกาหนดราคาข้นั สูง (Price Control)
เป็นมาตรการที่รฐั บาลใช้ในยามเศรษฐกิจไม่ปกติ เช่น ภาวะสงคราม เกิดภัยธรรมชาติ ฯลฯ
จนเกิดภาวะสินค้าขาดตลาด ราคาจึงสูงข้ึนอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค รัฐบาลจึงกาหนด
ราคาข้ันสงู หรือเพดานราคา (Price Ceiling) ของสินคา้ หรอื บรกิ ารชนดิ ใดชนดิ หน่งึ
163
ภาพ 5.20 การกาหนดราคาขนั้ สูง
เดิมดุลยภาพอยทู่ ่จี ุด 0 ณ ระดับราคา 0 0 และปรมิ าณ 0 0 ตอ่ มาเมือ่ เกิดภาวะขาด
แคลนสินค้า รัฐจึงใช้กาหนดราคาข้ันสูง ณ ระดับ 0 จะทาให้มีต้องการซ้ือในปริมาณ 0 2 และ
ผู้ขายจะขายสินค้าในปริมาณเพียง 0 1 ซึ่งทาให้เกิดภาวะอุปสงค์ส่วนเกินจานวน 1 2 ดังนั้น
รัฐจงึ แก้ไขโดยวิธีการปนั ส่วน คือการแจกคูปองเพื่อซื้อสินค้าท่ีมีอยู่อย่างจากัด รวมท้ังจากดั จานวนใน
การบริโภคของแต่ละคนหรือครัวเรือน ณ ระดับราคา 0 ซึ่งสูงกว่าราคาท่ีรัฐกาหนด เป็นราคา
สนิ ค้าในตลาดมืดท่ีรฐั เขา้ ไปควบคมุ ไม่ท่ัวถึง ซึ่งยังมผี ู้บรโิ ภคบางสว่ นยนิ ดที ่จี ะจ่ายในราคาดงั กลา่ ว
5.7 การประยกุ ต์แนวคิดเร่อื งตลาด
แนวคิดเรื่องตลาด การกาหนดราคาและผลผลิตภายใต้ตลาดประเภทต่างๆ ผลกระทบของ
การแทรกแซงตลาดโดยปัจจยั ตา่ งๆ ทมี่ ตี อ่ การดาเนินธุรกจิ ทง้ั ในระยะสนั้ และระยะยาว สามารถนาไป
ประยกุ ตใ์ ช้กับการประกอบการได้ในหลายๆรูปแบบ เชน่ ศกั ยภาพการผลิต โครงสรา้ งการตลาด เป็น
ตน้ โดยผูเ้ ขยี นไดข้ อยกตัวอยา่ งกรณีศกึ ษาการนาองคค์ วามรเู้ รื่องตลาดไปประยุกตใ์ ช้ ดงั นี้
ผู้เขียน ดนัยกฤต อินทุฤทธิ์ ได้นาความรู้จากแนวคิดเรื่องตลาดมาประยุกต์ใช้งานวิจัยเร่ือง
พฤติกรรมผู้บริโภคท่ีมีต่อการซื้อเวชภัณฑ์เบ้ืองต้นเม่ือเกิดสถานการณ์ โรคระบาด กรณีศึกษา การ
ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในจังหวัดเชียงใหม่ ซ่ึงเป็นงานวิจัยระดับชาติท่ีจัดศูนย์ดัชนีการอ้างอิง
วารสารไทยระดับท่ี 1 (TCI 1) โดยได้นาองค์ความรู้จากแนวคิดเรื่องตลาดเก่ียวกับเร่ืองการตลาด
ผูกขาด เพราะเน่ืองจากในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงระลอกแรก สินค้า
ประเภทเวชภัณฑ์เบื้องต้นเป็นสินค้าท่ีหาได้ยากและมีราคาท่ีสูง จึงก่อนให้เกิดการผูกขาดของคนบาง
กลุ่ม อีกทั้งเม่ือนาแนวคิดเร่ืองตลาดเก่ียวกับเร่ืองการแทรกแซงราคามาประยุกต์ทาความเข้าใจ
164
สถานการณ์ท่ีเกิดขึ้นเพ่ือใช้ในงานวิจัย เน่ืองจากในสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วง
ระลอกแรกที่สินค้าประเภทเวชภัณฑ์เบื้องต้นเป็นสินค้าท่ีหาได้ยากและมีราคาที่สูง รัฐบาลจึง
จาเป็นต้องเขามาแทรกแซงราคา โดยท่ีงานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคท่ีมีต่อ
การซื้อเวชภัณฑ์เบ้ืองต้นเมื่อเกิดสถานการณ์โรคระบาด โดยศึกษาจากสถานการณ์การระบาดของ
ไวรสั โควิด-19 หรือไวรสั โคโรน่าสายพันธ์ใหม่โดยเลือกพนื้ ที่จังหวดั เชยี งใหมเ่ ปน็ พ้ืนทศ่ี ึกษา เนือ่ งจาก
จงั หวัดเชียงใหมเ่ ปน็ เมอื งทอ่ งเท่ียวทม่ี นี ักท่องเทยี่ วโดยเฉพาะนกั ทอ่ งเทีย่ วชาวจนี เดินทางมาเทย่ี วเป็น
จานวนมาก งานวิจัยนี้จะพิจารณาพฤติกรรมผู้บริโภคผ่านการวิเคราะห์เส้นทางปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ
การซอ้ื เวชภัณฑ์เบอื้ งต้นเม่ือเกิดสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควดิ -19 ด้วยการรวบรวมขอ้ มูลจาก
แบบสอบถามกบั ประชาชนในจงั หวดั เชยี งใหมจ่ านวน 400 คน ผลการวจิ ัยพบว่า อุปสงคต์ อ่ เวชภัณฑ์
เบื้องต้นเป็นทั้งปัจจัยท่ีมีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อการตัดสินใจซ้ือเวชภัณฑ์ในช่วงการเกิดโรค
ระบาดมากที่สุดโดยมีค่าสัมประสิทธ์ิ 0.364 ในทางตรง และ 0.381 .ในทางอ้อม ขณะที่ปัจจัยการ
แสวงหาข้อมูลและการประเมินทางเลือกท่ีมีค่าสัมประสิทธ์ิ 0.362 เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงที่
รองลงมา (ดนยั กฤต อนิ ทุฤทธิ์, 2563)
อินทนิล นิลเกตุ และ ธเนศ วัฒนกูล ได้นาความรู้จากแนวคิดเร่ืองตลาดมาประยุกต์ใช้
งานวิจัยเร่ืองการวิเคราะหศ์ ักยภาพการผลิตปาลม์ น้ามนั และโครงสรา้ งการตลาด : กรณีศึกษา จังหวดั
หนองคาย และบึงกาฬ โดยงานวิจัยน้ีมีการประยุกต์ใช้ความรู้จากแนวคิดเรื่องตลาดเก่ียวกับการ
วเิ คราะหร์ ูปแบบตลาด โครงสร้างตลาดมาเปน็ สาระสาคัญในการต้ังกรอบแนวคิดการวิจัย ซึ่งงานวิจัย
นี้เป็นการศึกษาศักยภาพการผลิตจากต้นทุนการผลิตและผลตอบแทนการลงทุน และการศึกษา
โครงสร้างการตลาดปัญหา อุปสรรคในการปลูกปาลม์ น้ามันในจงั หวัดหนองคายและบึงกาฬ ใช้ข้อมูล
จากกลุ่มตัวอย่างจานวน 157 ราย การวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงินใช้ข้อมูลจากประชากร
จานวน 17 ราย เป็นเกษตรกรปลูกปาล์มน้ามันขนาดสวน 5 ไร่ ซ่ึงเป็นขนาดสวนปาล์มน้ามันที่นิยม
ปลูก มากทสี่ ดุ ในจังหวัดหนองคายและบงึ กาฬ กาหนดระยะเวลาของโครงการ 25 ปี และอตั ราคิดลด
รอ้ ยละ 7 ผลการศกึ ษาพบว่า มลู ค่าปจั จุบนั สุทธิ (NPV) เทา่ กบั 87,325 บาท อัตราสว่ นผลประโยชน์
ต่อต้นทุน (BCR) เท่ากับ 1.24อัตราผลตอบแทนภายในโครงการ (IRR) เท่ากับ 14% และระยะเวลา
คืนทุน (Payback period) เท่ากบั 5 ปี แสดงว่า มคี วามคุ้มคา่ ต่อการลงทนุ โครงสรา้ งการตลาดปาลม์
น้ามันในจังหวัดหนองคายและ บึงกาฬมีลักษณะโครงสร้างตลาดแบบตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์
(Imperfect Market) (อนิ ทนลิ นลิ เกตุ และ ธเนศ วฒั นกูล, 2557)
, สมภมู ิ แสวงกุล ไดน้ าความรจู้ ากแนวคิดเรอ่ื งตลาดมาประยุกตใ์ ชง้ านวิจัยเรือ่ ง การวิเคราะห์
โครงสร้างตลาดและปัจจัยที่เป็นตัวกาหนดราคาผลิตภัณฑ์กาแฟพร้อมด่ืมโดยงานวิจัยน้ีมีการ
ประยุกต์ใช้ความรู้จากแนวคิดเร่ืองตลาดเก่ียวกับรูปแบบการกาหนดราคาในตลาดผลิตภัณฑ์กาแฟ
พร้อม และการพิจารณโครงสร้างตลาดผลิตภัณฑ์กาแฟพร้อมมาเป็นสาระสาคัญในการสกัดตัวแปร
165
การวิจัย โดยการวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาโครงสร้างตลาดและพฤติกรรมการแข่งขันของ
ต ล า ด ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ก า แ ฟ พ ร้ อ ม ดื่ ม แ ล ะ ปั จ จั ย ท่ี เ ป็ น ตั ว ก า ห น ด ร า ค า ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ก า แ ฟ พ ร้ อ ม ดื่ ม
ภายในประเทศไทย โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน โดยการวิจัยเชิงปริมาณอาศัยข้อมูลราคาและ
คุณลักษณะของผลิตภัณฑ์กาแฟพร้อมด่ืมที่วางจาหน่ายในร้านค้าปลีกสมัยใหม่แห่งหนึ่งในเขต
ปริมณฑลของกรุงเทพมหานคร ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2557 - มกราคม 2558 นามา
วิเคราะห์ข้อมูลด้วยแบบจาลองราคาฮีดอนนิค การวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณด้วยเทคนิควิธี
กาลังสองน้อยท่ีสุด และการวิจัยเชิงคุณภาพอาศัยการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่างผู้ประกอบการ
ผลิตภัณฑ์กาแฟพร้อมดื่มจานวน 5 ราย ผลการวิจัยพบว่า ค่าดัชนีเฮอร์ฟินดัลฯแสดงให้เห็นถึงตลาด
ผลิตภัณฑ์กาแฟพร้อมดื่มมีโครงสร้างตลาดเป็นแบบผู้ขายน้อยราย มีรูปแบบการแข่งขันท่ีไม่ใช้ราคา
เป็นกลยุทธ์หลัก สาหรับผลการวิเคราะห์สมการถดถอยแบบพหุคูณกับผลิตภัณฑ์กาแฟพร้อมด่ืมใน
ตลาด 400 ผลิตภัณฑ์ด้วยวิธีการเลือกตัวอย่างแบบสองขั้นตอน พบว่า ปัจจัยที่มีผลเชิงลบต่อราคา
ผลิตภัณฑ์คือ ระดับกาแฟสกัด ในขณะที่ปัจจัยท่ีมีผลเชิงบวกต่อราคาผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ระดับผงโกโก้
ยี่ห้อ ระดับแอลคารน์ ทิ นี ระดับสารใหค้ วามหวานแทนน้าตาล ระดบั น้าตาล ระดบั โครเมยี มอะมิโนแอ
ซิดคีเลต ระดับนมผง และระดับนมสด ตามลาดับ โดยปัจจัยทั้งหมดสามารถอธิบายความแปรปรวน
ของราคาผลิตภัณฑ์กาแฟพร้อมดื่มได้ร้อยละ 80.7 ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ผู้บริโภคจ่ายราคาส่วน
เพิ่มใหก้ ับขอ้ มูลคุณค่าทางโภชนาการ และตราสนิ ค้าท่ไี ด้รบั ความนิยม (สมภมู ิ แสวงกุล, 2559)
ยุพยงค์ ดาเวียงคา และ ธเนศ วัฒนกูล ได้นาความรู้จากแนวคิดเรื่องตลาดมาประยุกต์ใช้
งานวิจัยเร่ืองการวิเคราะห์โครงสร้างตลาดและกลยุทธ์การแข่งขันของธุรกิจประกันภัยรถยนต์
กรณีศึกษา จังหวัดอุดรธานีโดยงานวิจัยน้ีมีการประยุกต์ใช้ความรู้จากแนวคิดเร่ืองตลาดเก่ียวกับ
รูปแบบการกาหนดราคาธุรกิจประกันภัยรถยนต์ โดยการวิเคราะห์โครงสร้างตลาดของธุรกิจ
ประกันภัยรถยนต์ จากเอกสารข้อมูลสถิติการประกันวินาศภัยซ่ึงรวบรวมข้อมูลโดยสานักงาน
คณะกรรมการกากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และใช้แบบสอบถามเก็บ
รวบรวมข้อมูลเก่ียวกับกลยุทธ์การแข่งขันของธุรกิจประกันภัยรถยนต์ จากผู้ประกอบการธุรกิจ
ประกันภัยรถยนต์ ซ่ึงเป็นพนักงานบริษัท ประกันวินาศภัยในจังหวัดอุดรธานี จานวน 100 ตัวอย่าง
นาเสนอในรูปแบบตารางแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ียค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน และสถิติท่ีใช้คือ
T-test และ One-Way ANOVA ผลการศึกษาพบว่าโครงสร้างตลาดของธุรกิจประกันภัยรถยนต์มี
ลักษณะใกล้เคียงกับตลาดกึ่งแข่งขันก่ึงผูกขาด ซ่ึงมีจานวนผู้ประกอบการจานวนมากแต่ส่วนแบ่ง
ตลาดใหญ่ๆ จะอยู่ท่ีบริษัทประกันภัยขนาดใหญ่เพียงไม่กี่บริษัทเท่าน้ัน ปัจจัยส่วนผสมทางการตลาด
ท่ีมีผลต่อการกาหนดกลยุทธ์การแข่งขันอยู่ในระดับสาคัญมากที่สุด ได้แก่ ปัจจัยด้านบุคลากร ปัจจัย
ด้านกระบวนการให้บริการ และปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ และปัจจัยที่มีผลต่อการกาหนดกลยุทธ์การ
แข่งขนั อยู่ในระดบั สาคัญมาก ไดแ้ ก่ ปจั จยั ด้าน ลักษณะทางกายภาพ ปจั จัยด้านราคา ปัจจัยดา้ นช่อง
166
ทางการจัดจาหน่าย และปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาดกลยุทธ์ทางการตลาด (ยุพยงค์ ดาเวียงคา
และ ธเนศ วัฒนกลู , 2558)
167
แบบฝึกหดั ประจาบทท่ี 5
เขยี นคาตอบท่ีถกู ต้องท่สี ุดเพียงคาตอบเดยี ว โดยใชข้ ้อมูลจากกราฟท่ีกาหนดให้ เพื่อนามาใชต้ อบ
คาถาม
P MC
AC
AVC
48
35 D=P=AR=MR
20
Q
0 10
1. ดลุ ยภาพการผลติ คือ จดุ ..............................................
2. ผผู้ ลิตควรผลติ สนิ ค้า................................................หนว่ ย
3. รายรับเฉล่ยี หนว่ ยละ.................................................บาท
4. รายรบั รวมมีค่าเท่ากบั ...............................................บาท
5. ตน้ ทุนเฉลย่ี หนว่ ยละ..................................................บาท
6. ต้นทนุ รวมมคี า่ เท่ากบั ................................................บาท
7. ผลประกอบการทีไ่ ด้รับคือ................................................
8. กาไรหรือขาดทนุ เฉล่ียหน่วยละ.................................บาท
9. ในการผลติ สินคา้ มตี น้ ทุนค่า AVC………………..…….…บาท
10. ในการผลติ สินค้ามตี น้ ทุนคา่ AFC………………..……..บาท
11. เมือ่ ผผู้ ลิตนารายรับเฉลย่ี ท่ีได้ไปจา่ ยค่า AVC แล้วจะ เหลอื เงนิ .................บาท
12. ซ่ึงตอ้ งนาเงนิ ที่เหลอื จากขอ้ 11.ไปจา่ ยค่าตน้ ทุนอีกชนดิ ทีช่ อื่ ..............................
13. ซ่งึ ผู้ผลติ สามารถจ่ายตน้ ทุนในข้อ 12. ไดค้ รบหรือไม่.....................
14. ผปู้ ระกอบการจะตัดสินใจในการดาเนินการผลิตอย่างไร……………………………………………………
15. ตลาดที่ทา่ นวิเคราะหเ์ ปน็ การวเิ คราะห์ในระยะส้ันหรอื ระยะยาว..............................
168
ตัวอยา่ งข้อสอบบทที่ 5
1. ตลาดในทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง
ก. แหลง่ ทีผ่ ู้ซอ้ื และผขู้ ายมาพบกัน
ข. การตกลงระหวา่ งผูซ้ ื้อผ้ขู าย
ค. สถานท่ผี ู้ซื้อและผขู้ ายมาพบปะกนั
ง. บริเวณท่ีผซู้ อ้ื ผขู้ ายสามารถตดิ ต่อซอ้ื ขายไดโ้ ดยสะดวก
2. ตลาดท่แี บง่ ตามวตั ถุประสงค์ในการดาเนินงานแบง่ เปน็
ก. ตลาดสินค้าและบริการ
ข. ตลาดสินค้าใหมแ่ ละตลาดมอื สอง
ค. ตลาดแข่งขนั สมบรู ณ์และไมส่ มบรู ณ์ ง. ตลาดสินค้าบริการและตลาด
ปจั จัยการผลิต
3. ผขู้ ายหรอื ผูผ้ ลิตท่ีอยูใ่ นถานะเป็นผูร้ ับราคา (Price Taker) คอื ผู้ขายในตลาดประเภทใด
ก. ตลาดแขง่ ขันสมบูรณ์
ข. ตลาดกงึ่ แข่งขนั ก่ึงผกู ขาด
ค. ตลาผ้ขู ายน้อยราย
ง. ตลาดผกู ขาด
4. ข้อใดเปน็ ลักษณะเส้นอุปสงคข์ องหน่วยผลติ จะเผชิญในตลาดแขง่ ขนั สมบูรณ์
ก. ตัง้ ฉากกบั แกนนอน ข. ขนานกับแกนนอน
ค. ทอดลงจากซ้ายไปขวา ง. ทอดข้นึ จากซ้ายไปขวา
5. ตัวอยา่ งสนิ คา้ ทใ่ี กล้เคยี งกบั ตลาดแข่งขนั สมบูรณม์ ากทีส่ ุด
ก. สนิ ค้าอุตสาหกรรม ข. สินค้ามอื สอง ค. สนิ คา้ เกษตร ง. สนิ คา้
ฟุ่มเฟอื ย
6. ผผู้ ลติ จะหยดุ ผลิตหรือปิดกิจการ (Shut Down Point) เม่ือเกิดเหตกุ ารณ์ใด
ก. เมอื่ ราคาตา่ กว่าตน้ ทนุ ผนั แปรเฉลยี่ (P < AVC) ข. เมอ่ื ราคาต่ากวา่ ตน้ ทุนเฉลี่ย (P < AC)
ค. เมอ่ื ราคาต่ากว่าต้นทุนส่วนเพม่ิ (P < MC)
ง. เม่อื ราคาเทา่ กบั ตน้ ทนุ เฉลี่ย (P = AC)
169
7. คุณลักษณะใดของตลาดกึ่งแขง่ ขันกงึ่ ผูกขาดท่ีมคี วามแตกต่างจากตลาดแข่งขนั สมบรู ณ์
ก. มีผูซ้ ้อื และผู้ขายในตลาดเป็นจานวนมาก และสามารถเข้า-ออกในตลาดไดอ้ ย่างเสรี
ข. ผขู้ ายจะขายสินค้าประเภทเดยี วกนั และขายในราคาเดียวกัน
ค. สินคา้ ประเภทเดียวกนั จะมีความแตกต่างกันบ้างจากรายอน่ื ๆ ในตลาด
ง. ผ้ซู ้อื และผู้ขายมคี วามรู้เรื่องข้อมูลข่าวสารเก่ยี วราคาและปริมาณตลาดเปน็ อยา่ งดี
8. ข้อใดอธิบายถึงลกั ษณะของเสน้ อปุ สงค์ของตลาดกึ่งแข่งขนั กง่ึ ผูกขาด
ก. ระดบั การผลติ ของรายรับส่วนเพ่มิ จะมีคา่ ความชนั เปน็ 2 เทา่ ของเส้นอปุ สงค์
ข. ลักษณะจะเป็นเส้น Kinked Demand Curve ส่วนเสน้ MR จะมีลักษณะขาดตอน
ค. เปน็ เสน้ ทีม่ ีความชันมากกวา่ ทกุ ตลาด มีคา่ ความยดื หยุ่นน้อย
ง. มีเส้น D,AR และ MR เปน็ เสน้ เดยี วกนั
9. ตามแนวคดิ แบบจาลองอุปสงค์หกั งอเม่ือผู้ขายรายหนึ่งลดราคา จะทาให้ผู้ขายรายอ่นื ๆ จะ
ดาเนินกลยทุ ธ์ใด
ก. ลดราคาตาม ข. เพ่ิมราคา
ค. คงราคาไว้ ง. ไม่มีข้อถูก
10. ข้อใดถือได้วา่ เป็นผผู้ ูกขาดในประเทศไทย
ก. องค์การโทรศพั ทแ์ ห่งประเทศไทย (TOT)
ข. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA)
ค. ไปรษณีย์ไทย (Thailand Post)
ง. การสื่อสารแหง่ ประเทศไทย (CAT)
11. ดลุ ยภาพในระยะยาว ผู้ผกู ขาดจะเผชิญกบั ภาวะใด
ก. ขาดทุน ข. กาไรปกติ
ค. กาไรเกินปกติ ง. ถกู ทกุ ขอ้
สามารถตรวจคาตอบได้ท่ี : https://goo.gl/RDNvLr
บทที่ 6
นโยบายสาธารณะ
แม้ว่าเน้ือหาสาระท่ีเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะจะเป็นหลักการทางเศรษฐศาสตร์มหภาคแต่
เมื่อพิจาณาในความเป็นจริงจะพบว่า หลากหลายนโยบายสาธารณะส่งผลต่อเศรษฐกิจในระดับ
ครัวเรือนไปจนถึงผู้ประกอบการรายย่อย ดังเช่น นโยบายคนละคร่ึง ท่ีเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
ของรัฐบาลที่ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบต่อผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ดังนั้น
ผู้เขยี นจึงมองเห็นความสาคัญท่จี ะต้องนานโยบายสาธารณะมาระบุในตาราวชิ าเศรษฐศาสตร์ประยกุ ต์
เศรษฐกิจท่ีเจริญเติบโตได้ดีนั้น ต้องมีรากฐานจากนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของ
รัฐบาล โดยรัฐบาลจะใช้นโยบายสาธารณะทั้งนโยบายสาธารณะที่เป็นนโยบายทางการเงิน
(Monetary policy) และนโยบายสาธารณะที่เป็นนโยบายการคลัง (Fiscal policy) ในการขบั เคลื่อน
เศรษฐกิจของประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศสามารถดาเนินไปได้อย่างมีเสถียรภาพ คาว่ามี
เสถียรภาพน้ีหมายถึงการเจริญเติบโตที่ดีและเร็วท่ีสุดเท่าท่ีจะเป็นไปได้ แต่ก็ต้องมีรากฐานทาง
เศรษฐกิจที่มั่นคงด้วย มิฉะน้ันแล้วอาจก่อให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆตามมา โดยนโยบาย
สาธารณะท่ีเครื่องมือที่สาคัญในการควบคุมเศรษฐกิจ ประกอบไปด้วย นโยบายการเงินและนโยบาย
การคลัง โดยมรี ายละเอียด ของนโยบายสาธารณะทัง้ 2 เคร่ืองมอื ดงั นี้
6.1 นโยบายการเงิน (Monetary policy)
นโยบายการเงิน คือ มาตรการทางการเงินชนิดหนึ่งทธ่ี นาคารกลาง(แบงก์ชาติ) เป็นผ้คู วบคุม
เพื่อรักษาเสถยี รภาพทางการเงนิ ภายในประเทศ อาจกล่าวไดว้ า่ เป็นเครอ่ื งมือของธนาคารกลางในการ
กาหนดต้นทุนการกู้ยืมหรือปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย เปน็ เคร่อื งมอื หลักในการดาเนินนโยบายการเงิน
ความหมายและความสาคญั ของเงนิ
เงินแม้โดยตัวของมันเองจะไม่ได้มีมูลค่าอะไร แต่เป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับกันทั่วไปว่า เป็น
ส่ือกลางในการแลกเปล่ียนและถือว่าเป็นทรัพย์สินท่ีมีสภาพคล่องสูงสุด คือ สามารถแลกเปลี่ยนเป็น
สิ่งของได้ทันที ขณะที่ทรัพย์สินอื่นๆ เช่น ทองคา ฉโนดท่ีดิน เป็นต้น มีสภาพคล่องต่ากว่า เนื่องจาก
สามารถแลกเปลี่ยนเปน็ สงิ่ ของไดช้ า้ กว่า
เงิน (Money) คือ อะไรก็ตามท่ีคนในสังคมยอมรับในฐานะเป็นสื่อกลางในการแลกเปล่ียน
สินค้าและบริการ โดยสามารถชาระค่าสนิ ค้าและบรกิ ารได้ และสามารถชาระหนไี้ ด้ท้ังในปัจจุบนั และ
อนาคต อาจจะกล่าวโดยสรุปได้ว่า เงิน หมายถึง สิ่งที่ผู้คนในสังคมได้สมมุติข้ึนเพื่อใช้เป็นส่ือกลางใน
171
การแลกเปล่ียน ดังนั้นเงินจึงเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดการผลิตและช่วยขับเคล่ือนสินค้าจากแหล่งผลิตไป
ยังผบู้ ริโภค และเงินยังสามารถทาหนา้ ทีซ่ งึ่ มีความสาคัญทางเศรษฐกิจ 4 ประการ ไดแ้ ก่
1) เป็นสื่อกลางในการแลกเปล่ียน โดยสมัยก่อนนั้น เราใช้ระบบแลกของต่อของ/ แลก
สนิ ค้าต่อสินค้า (Barter system) ก่อนจะมกี ารวิวัฒนาการจนมาเปน็ การใช้เงินอยา่ งในปัจจบุ ัน
2) เป็นมาตรฐานในการวัดค่า คือเป็นการบ่งบอกว่าสินค้าชนิดนั้นถ้าคิดเป็นเงินแล้วมี
มลู ค่าเท่าไหร่ โดยเทยี บค่าส่งิ ของตา่ งๆ กบั เงิน
3) เป็นเครอ่ื งสะสมค่า คือสามารถเก็บเอาไว้ได้ ขณะทีถ่ า้ เปน็ สง่ิ ของยงั มกี ารเส่ือมสภาพ
ทาให้ค่าไม่เท่าเดิม ซึ่งการสะสมค่าของเงินจะต้องมีการนาเอาไปฝากไว้ที่ธนาคารเพื่อให้ค่าของเงิน
ยังคงอยู่ หรือชว่ ยใหผ้ ถู้ อื สามารถสะสมคา่ เพิ่มขึน้ ได้
4) เป็นมาตรฐานในการชาระหน้ี ดังที่มีคาซ่ึงพิมพ์ไว้บนธนบัตรว่า “ธนบัตรเป็นเงินที่
ชาระหนีไ้ ด้ตามกฎหมาย” คือเปน็ ท่ยี อมรบั โดยทั่วไป (สปิ ปภาส พรสุขสว่าง, 2557)
วิวัฒนาการของเงิน
“เงนิ ” ถอื เปน็ สือ่ กลางในการซื้อขายแลกเปลย่ี นสินค้าระหวา่ งกัน โดยมีววิ ฒั นาการโดยสรุป
ได้ (ชวากร เลศิ รงั สิทธิ, 2562) ดงั น้ี
ปี 6000 B.C. — ระบบการแลกเปลี่ยนแบบของต่อของ (barter system) คือ การ
แลกเปลยี่ นของตามทต่ี กลงกัน เชน่ เอาไข่ไปแลกกบั แอปเป้ลิ เป็นต้น
ปี 1000 B.C. — เหรียญโลหะ (metal coins) และ หอยเบี้ย (shell money) สมัยโบราณ
หอยเบ้ียถกู นามาใชเ้ ป็นสือ่ กลางในการซือ้ ขายหรือแลกเปล่ยี นสนิ ค้าระหวา่ งชุมชน ซงึ่ เป็นทีน่ ิยมอย่าง
มากในบรเิ วณรอบทะเลสาบ Carribean แอฟริกาตะวนั ตก และประเทศ Papua New Guinea
ปี 806 — เงนิ กระดาษ และ ธนบัตร (paper money)
ปี 1816 — อังกฤษเป็นประเทศแรกท่ีได้รับมาตรฐานทองคาอย่างเป็นทางการในปี 1816
และต่อมาสหรฐั อเมริกาได้ประกาศใชม้ าตรฐานทองคา ในปี 1900
ปี 1950 — นาย แฟรงค์ แมคนามารา ได้ร่วมมือกับทนายความ นาย ราล์ฟ ชไนเดอร์ ใน
การสรา้ งบัตร ไดเนอรส์ คลับ ขน้ึ มาเพอ่ื ใชใ้ นการซ้ือสินค้าและบรกิ ารแทนการชาระเงนิ สด ภายหลังได้
มีบรษิ ทั American Express และ Visa ไดอ้ อกบัตรเครดติ เพ่อื อานวยความสะดวกใหก้ ับนักท่องเที่ยว
ทีจ่ ะต้องเดนิ ทางไปต่างประเทศ โดยไมจ่ าเปน็ ต้องพกเงนิ สดเปน็ จานวนมาก
ปี 1994 — ธนาคารต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา ได้เร่ิมมีการศึกษาในระบบ online banking
เพ่ือเป็นประโยชน์แก่ธนาคาร และประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ธนาคารคาดหวังว่าระบบ online
banking จะสามารถลดต้นทุนในการบริการธนาคารได้มาก และในปี 1995 ธนาคารใหญ่หลายแหง่ ใน
สหรัฐอเมริกา เช่น Wells Fargo และ Bank of America ได้เริ่มเปิดบริการบนอินเทอร์เน็ต โดย
ลูกค้าสามารถดขู อ้ มลู สว่ นบุคคลบนอินเทอรเ์ นต็ สมัครสนิ เช่ือ และชาระค่าสนิ ค้า หรือคา่ บรกิ ารได้
172
ปี 2009 — บทิ คอยน์ (Bitcoin: BTC) คือสกุลเงนิ ดิจทิ ัลตัวแรกที่ถูกสรา้ งขึ้นในปี 2009 โดย
ผู้ท่ีไม่ประสงค์ออกนามหรือกลุ่มคนท่ีไม่ประสงค์ออกนาม โดยใช้นามแฝงว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ เขา
หรือกลุ่มคนเหล่านี้ได้สร้างระบบเงินอิเล็กโทรนิคท่ีมีความกระจายศูนย์อย่างสมบูรณ์ โดยไม่มี
เซิร์ฟเวอร์กลาง หรือ ผู้มีอานาจใดๆอยู่เบื้องหลัง ข้อมูลธุรกรรมต่างๆจะไม่ได้ถูกเก็บอยู่ในท่ีใดที่หน่ึง
หรือเป็นขององค์กรใดองค์กรนึง ทุกคนในระบบจะเป็นเจ้าของข้อมูลร่วมกัน (ชวากร เลิศรังสิทธิ,
2562)
ทมี่ า: ชวากร เลศิ รังสิทธิ, 2562
รูปที่ 6.1 วิวัฒนาการของเงิน
173
คณุ สมบัติของเงินทดี่ ี คณุ สมบัตทิ ีพ่ งึ ประสงค์ของเงินจะมลี กั ษณะดังต่อไปน้ี
โดยท่ัวไปส่ิงของท่ีนาใช้เป็นเงินต้องเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับว่าเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
เงินมลี กั ษณะแตกต่างกันไปตามสภาพท้องถ่นิ ภูมิศาสตร์ และความจาเปน็ ของมนษุ ย์ สิ่งทเี่ หมาะสมที่
จะนามาใชเ้ ป็นเงนิ ควรมีคุณสมบัตดิ งั นี้
- ยอมรับกันโดยทั่วไป เงินจะต้องเป็นส่ิงท่ีสังคมยอมรับว่าเป็นสื่อกลางในการ
แลกเปล่ียน ดังนั้น เงินจึงมีอยู่หลายชนิดตามความแตกต่างของสังคม เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการและ
ยอมรบั เปน็ ตวั กลางในการแลกเปลี่ยน
- หายาก (Scarcity) ส่ิงของท่ีหาได้ง่ายมักมีมูลค่าต่าและไม่เป็นสิ่งท่ียอมรับกัน
โดยทั่วไปท่ีจะใช้เป็นเงิน ในขณะที่สิ่งของหายากซ่ึงมีมูลค่าในตัวสูงจะเหมาะสมที่จะนามาใช้เป็นเงิน
มากกว่า
- คงทนถาวร (Durability) สง่ิ ทน่ี ามาใช้เปน็ เงินควรมีความคงทนถาวร ไม่เน่าเป่อื ย สกึ
หรอ เพราะจะทาให้มูลคา่ หมดไปและสังคมก็ไมย่ อมรับเปน็ สื่อกลางในการแลกเปล่ียน
- มีลักษณะเหมือนกัน (Homogeneity) เงินท่ีเป็นส่ือกลางในการแลกเปลี่ยนควรมี
ลักษณะเหมอื นกนั เพอ่ื ใหเ้ งนิ มมี ลู ค่าคงที่ เพอื่ ให้ผู้รับมคี วามพอใจเทา่ กนั และมคี วามเชอ่ื ถือในเงินนัน้
- ดอู อกง่าย (Recognition) เป็นส่งิ ท่เี หน็ จาได้ง่ายและรู้ได้ทนั ทีว่าเป็นเงนิ จริง ซง่ึ จะทา
ให้สะดวกในการใช้เงนิ นัน้
- แบ่งเป็นหน่วยย่อยได้ (Divisibility) เงินควรจะแบ่งออกเป็นส่วนย่อยได้สะดวกและมี
มูลค่าต่างกันได้ เนื่องจากการแลกเปล่ียนสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจมีการแลกเปลี่ยนใน
ปรมิ าณทม่ี ากน้อยแตกตา่ งกัน
- มีมูลค่าคงตัว (Constant Value) เงินท่ีดีจะต้องทนทาน ไม่เน่าเป่ือยและเสียได้ง่าย
สามารถเกบ็ ไวไ้ ด้โดยมมี ูลคา่ คงตวั ไม่เปลยี่ นแปลง
- ขนย้ายได้สะดวก (Portable) เงินที่ดีต้องสะดวกท่ีจะนาไปใช้ในท่ีต่างๆ มีขนาดไม่
ใหญ่และเล็กจนเกินไป พกติดตัวได้สะดวก จากลักษณะของเงินท่ีดีข้างต้น เป็นเหตุผลที่ทาให้มีการ
ยกเลิกการใช้ส่ิงของบางชนิดแทนเงินเนื่องจากไม่เหมาะสมกับเหตุการณ์ในช่วงเวลาน้ันและมีการ
กาหนดสงิ่ ใหม่ๆ ขนึ้ มาแทนเงนิ เสมอ
ปริมาณเงนิ หรอื อปุ ทานของเงนิ (Money Supply : MS)
ปริมาณเงิน หรือ อุปทานของเงิน หมายถึง เงินที่หมุนเวียนอยู่ในมือของประชาชนในขณะ
ใดขณะหน่ึง ประกอบด้วยสนิ ทรัพย์ทีม่ สี ภาพคล่องสงู สดุ คอื
- ธนบัตร (paper currency) หน่วยงานท่ีรับผิดชอบในการผลิต คือ ธนาคารแห่ง
ประเทศไทย ตัวอย่างเช่น การออกธนบัตรท่ีระลึก เหตุผลท่ีต้องมีการออกในจานวนจากัด เพราะการ
174
ออกธนบตั รทีร่ ะลึกเป็นการดึงเงนิ ออกจากระบบเศรษฐกิจ ทาใหเ้ งินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหรือ
เงนิ ในมือประชาชนลดลง
- เหรียญกษาปณ์ (coins) หน่วยงานที่รับผิดชอบในการผลิต คือ กรมธนารักษ์
กระทรวงการคลัง
- เงินฝากเผ่ือเรียก (demand deposit) หรือเรียกว่า การออกเช็ค (check) ซ่ึงเรา
จะต้องมีบัญชีท่ีธนาคารพาณิชย์ถึงจะสามารถมีสมุดเช็คได้ โดยหน่วยงานท่ีรับผิดชอบในการดูแลเงนิ
ฝากเผือ่ เรียก คอื ธนาคารพาณิชย์
ซ่ึงความหมายของปริมาณเงิน สามารถแยกออกเป็น 4 แบบคอื
1) ปริมาณเงิน M1 หรือปริมาณเงินตามความหมายแคบ (Narrow Money)
ประกอบด้วย
ธนบตั ร + เหรยี ญกษาปณ์ + เงินฝากเผื่อเรียก
2) ปริมาณเงิน M2 หรือปริมาณเงินตามความหมายกว้าง ( Broad Money)
ประกอบดว้ ย
ปรมิ าณเงนิ ตามความหมายแคบ + เงินฝากออมทรัพย์ (ATM) + เงนิ ฝากประจา
3) ปริมาณเงิน M2a หมายถึง ปริมาณเงินที่อยู่ในมือประชาชน (Broad Money M2a)
ประกอบด้วย ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง + ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือเงินที่บริษัทเงินทุนฯ รับฝาก
จากประชาชน
4) ปริมาณเงิน M3 หรือปริมาณเงินตามความหมายท่ีกว้างท่ีสุด (Broad Money M3)
ประกอบด้วย ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง + เงินฝากทุกประเภทของสถาบันการเงินท่ีรับฝาก
จากประชาชน + ต๋ัวสัญญาใชเ้ งินของบรษิ ทั เงนิ ทุน (สปิ ปภาส พรสุขสว่าง, 2557)
โดยแสดงตวั อยา่ งองค์ประกอบของปริมาณเงินตามความหมายแคบ (M1) ดังตาราง 6.1
175
ตาราง 6.1 ตัวอยา่ งองคป์ ระกอบของปริมาณเงนิ ตามความหมายแคบ (M1)
ทม่ี า : ธนาคารแห่งประเทศไทย
ตลาดการเงนิ (Financial Market)
ตลาดการเงิน (Financial Market) หมายถึง ศูนย์กลางหรือสถานท่ีท่ีเกิดกิจกรรมการซ้ือ
ขายผลิตภัณฑ์หรือตราสารทางการเงินจากบุคคล (หรือหน่วยงาน) หน่ึงไปยังอีกบุคคล (หรือ
หน่วยงาน) หนึ่ง ซ่ึงในตลาดการเงินจะมีการกาหนดราคาหรือคานวณมูลค่า ขั้นตอนการซื้อขาย การ
ส่งมอบ และการชาระราคาระหว่างกัน ท้ังน้ีเพื่อท่ีจะอานวยความสะดวกในการเปลี่ยนมือด้านเงินทนุ
โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือเพ่ิมช่องทางในการจัดหาเงินของผู้ต้องการเงินทุน ขณะเดียวกันก็เพ่ิมช่องทาง
และทางเลอื กในการลงทุนให้กับผมู้ ีเงนิ ทุนเหลือด้วย
ตลาดการเงินเกิดข้ึนเม่ือผู้ต้องการเงินทุน กับผู้มีเงินทุนเหลือ (ผู้ออมหรือผู้ลงทุน) พบกัน
เพ่อื ท าการซ้อื ขายตราสารทางการเงินหรือก้ยู ืมเงินระหว่างกัน โดยการกยู้ ืมดังกล่าวอาจเป็นการกู้ยืม
โดยตรง การทารายการผ่านตลาดการเงินหรือผ่านสถาบันการเงินก็ได้โดยที่ผู้ต้องการเงินทุนและผู้
ลงทุน อาจจะเป็นบุคคลธรรมดา หน่วยงานภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐ หรือสถาบันการเงิน ก็ได้
(อจั ฉรา ชวี ะตระกูลกิจ)
บทบาทหนา้ ที่ของตลาดเงนิ และตลาดทนุ มดี ังนี้
1) สง่ เสริมการลงทุนและการผลิต เพอื่ ใหน้ กั ธรุ กิจมาลงทุนในประเทศเยอะๆ
2) สง่ เสรมิ การบรโิ ภค สามารถให้ผบู้ ริโภคกู้ยืมเงนิ เพื่อการบรโิ ภคได้
3) ส่งเสริมการค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ
176
4) ช่วยทาให้เศรษฐกิจขยายตัวและช่วยให้มีการจ้างงานเพิ่มข้ึน เน่ืองจากมีการลงทุน
และมีการบริโภคของผู้บรโิ ภคเพ่มิ มากขึ้น
ความหมายและหนา้ ที่ของตลาดเงิน
"ตลาดการเงิน" ประกอบไปด้วย ตลาดเงิน และตลาดเงนิ ทนุ หรอื ตลาดหุ้นซ่ึงมบี ทบาทหน้าที่
ในการระดุมเงินออมจกาบุคล หน่วยธุรกิจ หรือองค์กรท่ีมีเงินเหลือไปยังบุคคล หน่วยธุรกิจหรือ
องคก์ รที่มีเงินขาดแคลนซ่งึ เป็นผตู้ อ้ งการกู้ยืมเงิน
ตลาดเงิน หมายถึง ตลาดที่มีการกู้ยืมเงิน เป็นการกู้เงินระสั้น คือไม่เกิน 1 ปี สินทรัพย์กัน
ซอ้ื ขายอายกุ ารไถถ่ อนก็เช่นกัน ไมเ่ กนิ 1ปี ตลาดนีจ้ งึ มีความสาคญั เช่นกันในระบบเศรษฐกจิ
ตลาดทุนหรือตลาดหุ้น หมายถึง ตลาดท่ีมีระยะเวลาการกู้เกิน 1 ปีขึ้นไป (ระยะยาว)
หลักทรัพย์ในตลาดแหล่งนี้ ก็คือ หุ้น เป็นส่วนใหญ่ออกโดยบรษิ ัท ผู้ถือหลักทรัพย์จะได้รับเป็นเงนิ ปนั
ผล โดยแบง่ เปน็ ตลาดแรกและตลาดรอง (อมรทพิ ย์ แท้เที่ยงธรรม, 2544)
การแบ่งโครงสร้างตลาดเงินจะสามารถแบ่งได้ ดังรูปท่ี 6.2
รูป 6.2 โครงสร้างตลาดเงิน
ตลาดแรก คือ ตลาดการเงินท่ีซ้ือขายหลักทรัพย์ออกใหม่คร้ังแรก หลักทรัพย์ที่ซ้ือขายกัน
เช่น ห้นุ พนั ธบตั ร
ตลาดรอง คือ ตลาดการเงินท่ีซื้อขายหลักทรัพย์เก่าท่ีเคยผ่านการซ้ือขายมาแล้ว และได้
นามาซอ้ื ขายเปลย่ี นมอื กนั ไปเรือ่ ยๆ
177
ลกั ษณะความสมั พันธ์ของตลาดแรกและตลาดรอง
ตลาดการเงิน (Financial Markets) อยูในฐานะตัวกลางทางการเงิน ซ่ึงเปนสถานท่ีที่ใหผูต
องการเงินทุนในสินทรัพยทางการเงินนั้นสรางสินทรัพยทางการเงินออกขาย ตัวอยางสินทรัพยทาง
การเงิน เชน หุนสามัญ หุนบุริมสิทธิ์ หุนกู ปนตน เพื่อระดมเงินทุนจากผูมีเงินทุนท่ีตองการออมหรือ
ลงทุนเพ่ือผลตอบแทน โดยท่ัวไปหากแบงประเภทตลาดการเงินตามเกณฑการนาสินทรัพยออกขาย
การระดมเงินทุนผานตลาดการเงินนั้นสามารถทาไดโดยลงทุนผานตลาดแรกและการลงทุนผานตลาด
รอง
ตลาดแรก (Primary Market) การระดมทุนในตลาดแรกคือการท่ีผูระดมทุนสรางสินทรัพย
ทางการเงินออกขายสูตลาดการเงนิ เปนครั้งแรกใหกับผูมเี งินทุนโดยตรง กลาวคือ โดยไมไดผานบุคคล
อ่ืนใด ดังน้ัน ในทางเศรษฐศาสตร จึงถือวาการซื้อขายในตลาดแรกเปนการลงทุนที่แทจริงเพราะผู
ระดมทุนเปนผูไดรับเงินและใชในการลงทุนทาธุรกรรมทางเศรษฐกิจจริง เชน การเสนอขายหุนใหม
(Initial Public Offering: IPO)
ตลาดรอง (Secondary Market) การระดมทุนในตลาดรองซ่ึงเปนตลาดท่ีซื้อขายสินทรัพย
ทางการเงนิ ภายหลังการซ้ือขายคร้ังแรกในตลาดแรกแลว ไมไดมกี ารสรางสินทรพั ยทางการเงนิ ขึ้นใหม
ท่ีไดแสดงความเปนเจาหนี้หรือเจาของเงินทุน ดังน้ันการซื้อขายในตลาดรองจึงถือเปนการเปลี่ยนมือ
ระหวางผูถือสินทรัพยทางการเงิน และชวยในการเพ่ิมสภาพคลองทางการเงินใหกับผูลงทุนในตลาด
แรกใหมีชองทางในการขายสินทรัพยท่ีถือครองนั้น เปลี่ยนเปนเงินทุนเมื่อมีความตองการใชจายในอ
นาคต
ธุรกรรมในตลาดแรกเกิดขึ้นครั้งเดียว เมื่อผูระดมทุนสรางสินทรัพยทางการเงินเพื่อขายใน
ขณะทีธ่ ุรกรรมในตลาดรองนั้นสามารถเกิดข้ึนไดหลายคร้ง สงผลใหธรุ กรรมในตลาดรองทางการเงินมี
สะสมเพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ ควบคูกับการที่ธุรกรรมนั้นเกิดข้ึนไดหลายครั้ง สงผลใหธุรกรรมในตลาดรองมี
มูลคาเพ่ิมขึ้นเร่ือยๆ ซ่ึงมีผลใหความสาคัญของตลาดรองทางการเงินในระบบการเงินของไทยสูงข้ึน
ตัวอยางของตลาดรองทางการเงินในประเทศไทย อาทิเชน ตลาดหลักทรัพยแหงประเทศไทย (The
Stock Exchange of Thailand:SET) ศูนย ซื้อขายตราสารหน้ีไทย (Thai Bond Dealer Club:
TBDC) และตลาดทผ่ี ูซือ้ และผูขายตดิ ตอซ้อื ขายกนั เอง (Over-the-Counter:OTC) เปนตน (สิปปภาส
พรสุขสว่าง, 2557)
178
รูป 6.3 ลักษณะความสัมพนั ธข์ องตลาดแรกและตลาดรอง
จากลักษณะความสัมพันธ์ของตลาดเงินและตลาดทุนที่ไดอ้ ธิบายมานนั้ ทาให้สามารถ
จาแนกข้อแตกต่างได้ ดังตาราง 6.2
179
ตาราง 6.2 ความแตกตา่ งระหวา่ งตลาดเงนิ และตลาดทุน
เงือ่ นไข ตลาดเงนิ ตลาดทุน
มากกว่า 1 ปี
ระยะเวลาการกู้ ไม่เกิน 1 ปี เพอื่ สะสมทุน เชน่ ซ้อื เครือ่ งมอื
เคร่อื งจักรใหม่
วัตถปุ ระสงค์การกู้ เพอื่ การค้า หรือเปน็ ทุน หุ้นทุน (มีฐานะเป็นเจ้าของ
กจิ การ) และหุ้นกู้ (มีฐานะเป็น
หมุนเวียน เจา้ หนี)้
ตลาดหลักทรัพย์แหง่ ประเทศไทย
เครื่องมอื ในการกู้ ตัว๋ สัญญาใชเ้ งิน ต๋ัวแลกเงิน บรษิ ัทประกนั ภัย บริษัทเงินทุน
หลักทรัพย์
ธนาคาร ต๋ัวเงนิ คลงั เอกสาร สภาพคลอ่ งน้อย : มีกาหนดอายุ
ไถ่ถอนแนน่ อน
ทางการคา้
เส่ียงมาก เน่ืองจากความ ไม่
ประเภทสถาบนั การเงิน ธนาคารกลาง ธนาคารพาณิชย์ แน่นอนของราคาหลกั ทรัพย์ และ
อัตราผลตอบแทน
สภาพคล่อง สภาพคลอ่ งสงู : เบิกถอน ใช้วธิ ีการประมูลราคา เช่น
ความเส่ยี ง เงินฝากไดส้ ะดวก ไมม่ ีอายุไถ่ ประเมินราคาซอ้ื ขายห้นุ ในตลาด
ถอน
เส่ียงน้อย
วิธกี ารกู้ ตอ่ รองผลตอบแทนในรูปของ
อัตราดอกเบ้ยี
อปุ สงค์ต่อเงิน (Demand for Money)
จานวนของความมั่งค่ังที่ทุกๆคนในระบบเศรษฐกิจต้องการถือครองเอาไว้ในรูปของเงิน
เรียกว่า อุปสงค์ของเงิน (demand for money) เน่ืองจากครัวเรือนเลือกว่าจะแบ่งปริมาณความม่ัง
ค่ังท่ีมีอยู่ของพวกเขาออกเป็นเงิน (money) และพันธบัตร(bond) อย่างไร ดังน้ัน ถ้าเรารู้ถึงอุปสงค์
ของเงินเรากจ็ ะรถู้ งึ อปุ สงค์ของพนั ธบัตรด้วยการกาหนดระดับของความมั่งคั่งให้คงที่
การเพ่มิ ในอปุ สงค์ของเงิน หมายถงึ การลดลงในอุปสงคข์ องพนั ธบตั ร และถ้าครัวเรือนอยู่ใน
ดุลยภาพในส่วนของการถือครองเงินของพวกเขา ก็จะอยู่ในดุลยภาพในส่วนของการถือครองพันธะ
บัตรด้วย ทั้งน้ี การถือครองเงินมีต้นทุนค่าเสียโอกาสในการนาเงินน้ันไปซ้ือพันธบัตรท่ีสามารถให้
ผลตอบแทนในรปู ของดอกเบ้ียได้อีกดว้ ย (เอน็ จอร์จี้ แมนควิ , 2557)
ดังนั้น อุปสงค์ต่อเงินหรืออุปสงค์ต่อการถือเงิน คือ ปริมาณความต้องการ ถือเงินของระบบ
เศรษฐกิจในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เส้นอุปสงคต์ อ่ เงิน (Dm) ลักษณะทอดลงจากซ้ายไปขวา ดงั รูป 6.4
180
รูป 6.4 อุปสงค์ต่อเงิน
สาเหตุท่ปี ระชาชนตอ้ งการถือเงิน
1) ถือเงินไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจาวัน โดยจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับรายได้ ถ้ารายได้มาก
ปริมาณ ในการถือเงินก็จะมาก หรือระยะเวลาในการรับรายได้ ถ้าระยะเวลารับรายได้นานก็จะถือ
เงินไวใ้ นปรมิ าณท่มี ากกวา่
2) ถือเงินไว้ใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉิน เป็นกรณีที่ไม่ได้คาดการณ์ว่าจะเกิดข้ึนทาให้ต้องใช้จ่าย
อย่างฉุกเฉนิ เชน่ คา่ รกั ษาพยาบาลยามเจบ็ ปว่ ยกระทันหนั อบุ ัตเิ หตุ คา่ ซ่อมแซมยานพาหนะ
3) ถือเงินไว้สาหรับเก็งกาไร ในกรณีน้ีจะข้ึนอยู่กับอัตราดอกเบี้ย ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูง ความ
ต้องการถือเงินก็จะมีน้อย ราคาหลักทรัพย์จะต่า ผู้มีเงินออมย่อมคาดว่าอนาคต อัตราดอกเบ้ียจะ
ลดลงและราคาหลักทรัพย์จะสูงขึ้นก็จะเปล่ียนจากการถือเงินไปเป็นหลักทรัพย์แทน (ปิยะลักษณ์
พทุ ธวงศ,์ 2557)
อุปทานของเงิน (Money Supply)
อปุทานของเงิน คือ ปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในขณะใดขณะหนึ่ง อุปทาน
ของเงินจะมากหรือน้อยข้ึนอยู่กบั การควบคุมหรือนโยบายการเงนิ ของธนาคารของแต่ละประเทศ โดย
ธนาคารกลางสามารถที่ควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจได้โดยเคร่ืองมือท่ีเป็นนโยบายการเงิน
อันได้แก่ การเปลยี่ นแปลงอตั ราเงินสดสารองทางการ (reserve ratio) อัตราส่วนลด (discount rate)
หรือการกระทาผ่านตลาด (open market operations) ในกรณีเช่นน้ีปริมาณเงินจะถูกกาหนดจาก
ธนาคารกลาง และจะทาให้เส้นปริมาณเงินเป็นเส้นต้ังฉากดังรูปที่ 6.5 ซ่ึงการท่ีเส้นปริมาณเงินมี
ลักษณะที่ต้ังฉากกับแกนตั้ง (อัตราดอกเบี้ย) แสดงว่าธนาคารกลางสามารถที่จะเปล่ียนแปลงปริมาณ
181
เงินไดอ้ ยา่ งเป็นอสิ ระจากอัตราดอกเบย้ี น่ันเอง เส้นอปุ ทานของเงิน (Sm) ลักษณะต้งั ฉากกบั แกนนอน
หรือไม่มคี วามยืดหยนุ่ (เอน็ จอร์จี้ แมนคิว, 2557) ดังแสดงในรูปที่ 6.5
รูป 6.5 อปุ ทานต่อเงิน
ดลุ ยภาพของตลาดเงนิ
ดลุยภาพทางการเงิน (Monetary equilibrium) เกิดข้ึนเมื่ออุปสงค์ของเงินเท่ากับอุปทาน
ของเงิน ในตลาดที่มีการแข่งขันสมบูรณ์สาหรับสินค้าหนึ่งๆ ราคาจะปรับตัวเข้าสู่ราคาดุลยภาพ
เช่นเดียวกับในตลาดเงินที่จะทาให้เกิดอัตราดอกเบ้ียดุลยภาพหรืออัตราดอกเบ้ียตลาดข้ึน ซ่ึงจะได้
อตั ราดอกเบีย้ ดลุ ยภาพ (Equilibruim Interest Rate) ดงั แสดงในรูปที่ 6.6
รูป 6.6 ดลุ ยภาพของตลาดเงิน
182
จากภาพจุด E คือจดุ ดลุ ยภาพ อัตราดอกเบี้ยดลุ ยภาพคอื r0
หากอัตราดอกเบี้ยเพ่ิมข้ึนเป็น r1 จะทาให้เกิดอุปทานส่วนเกินของเงิน และส่งผลให้
อัตราดอกเบ้ยี ปรบั ลดลงสู่อตั ราดอกเบ้ยี ดลุ ยภาพ r0
หากอัตราดอกเบี้ยลดลงเปน็ r2 จะทาให้เกิดอุปสงคส์ ่วนเกนิ ของเงิน และสง่ ผลให้อัตรา
ดอกเบ้ยี สูงปรับสูงขน้ึ สู่อัตราดอกเบ้ียดลุ ยภาพ r0
ธนาคารกลาง
ธนาคารกลาง (Central Bank) จัดเป็นสถาบันการเงินระดับสูง ซึ่งมีอานาจหน้าที่ในการ
ควบคุมระบบการเงินและเครดิตเพ่ือเอ้ืออานวยผลประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยส่วนรวม ทั้ง
ก่อให้เกิดความเจริญเติบโตและความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ธนาคารกลางหรือ
ธนาคารชาติโดยท่ัวไปมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่บางแห่งก็มีลักษณะท่ีแตกต่างออกไปทั้งทางด้าน
โครงสรา้ ง การควบคมุ และสว่ นประกอบของธนาคาร สว่ นใหญ่แตล่ ะประเทศจะมีธนาคารกลางซึ่ง
คอยควบคมุ ดแู ลทางด้านการเงนิ เพยี งแห่งเดียวรวมท้งั ประเทศไทย แตบ่ างประเทศมีหลายแห่ง เช่น
สหรัฐอเมริกาซึ่งเรียกว่าเฟด มีธนาคารกลางคอยควบคุมดูแลทางด้านการเงินถึง 12 แห่ง ตั้ง
กระจายอยู่ตามรัฐต่างๆ โดยขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหารของธนาคารกลางท่ีตั้งอยู่ท่ีกรุงวอชิงตัน
ความแตกต่างของธนาคารกลางข้ึนอยู่กับปัจจัยหลายชนิดด้วยกัน แตกต่างตามขนาดของประเทศ
แตกต่างเรื่องพระราชบัญญัติธนาคาร หรือแตกต่างด้วยโครงสร้างของธนาคารพาณิชย์ (สถาบัน
พัฒนาความรตู้ ลาดทุน ตลาดหลกั ทรพั ยแ์ หง่ ประเทศไทย, 2559)
ทุกประเทศจะมีธนาคารกลางทาหน้าท่ีดูแลสถานการณ์ของระบบเศรษฐกิจ เป็นนาย
ธนาคารของรัฐบาลและธนาคารพาณิชย์ในการเป็นแหล่งเงินกู้ แหล่งสุดท้าย สาหรับธนาคารกลาง
ของประเทศไทยเรยี กวา่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (Bank of Thailand : BOT)
อานาจหนา้ ท่ีของธนาคารกลาง
- ออกธนบตั ร ธนาคารกลางเปน็ ผูอ้ อกธนบัตรเพยี งผู้เดยี วตามกฎหมาย โดยมีสินทรัพย์เป็น
ทุนสารอง ดว้ ยเหตนุ ้ี ธนาคารกลางจึงสามารถควบคมุ ภาวะเงินและเครดิตของประเทศได้
- รักษาเงินทุนสารองระหว่างประเทศ (International Reserves Management)
ธนาคารกลางมีหน้าที่ในการรักษาเงินทุนสารองระหว่างประเทศโดยการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่มี
ความมั่นคง ปลอดภัย ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า รวมท้ังต้องดูแลเงินสดสารองให้มีสภาพคล่องสูงสุดเพ่ือ
รักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศให้มีเสถียรภาพ โดยเงินทุนสารองจะมากน้อยเพียงใด
ข้ึนอยู่กับฐานะทางเศรษฐกจิ และดลุ การชาระเงินของประเทศ
- เป็นนายธนาคารของรัฐบาล โดยให้บริการรัฐบาลในด้านการเงินดังน้ี รับฝากเงินของ
รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจซึ่งเรียกเงินน้ีว่า "เงินคงคลัง" โดยไม่ต้องจ่ายดอกเบ้ียเงินฝาก นอกจากน้ียังให้
รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจกู้ยืมเพ่ือให้นาไปใช้จ่ายตามงบประมาณหรือกรณีฉุกเฉิน ทาหน้าท่ีเป็นท่ี
183
ปรึกษาด้านการเงินและตัวแทนของรัฐบาลในการติดต่อหรือกระทาธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ตามท่ี
รฐั บาลได้มอบหมาย
- เป็นนายธนาคารของธนาคารพาณิชย์ ธนาคารกลางจะไห้บริการแก่ธนาคารพาณิชย์ดังนี้
เก็บรักษาเงินสดสารองธนาคารตามท่ีกฎหมายกาหนด ให้บริการในการโอนเงิน ให้กู้ยืมเงินในกรณีที่
ขาดแคลนเงินสด โดยคิดดอกเบี้ยเป็น "อัตราส่วนลด (Discount Rate)” ตรวจสอบกิจการของ
ธนาคารพาณิชย์เพ่ือปรับปรุงแก้ไขหรือวางนโยบายให้ถูกต้องและเหมาะสม ควบคุมปริมาณเงินที่
หมุนเวยี นในระบบเศรษฐกิจให้มสี ดั ส่วนเหมาะสม
- ควบคุมสถาบันการเงิน ธนาคารกลางจะควบคุมการขยายตัวของสถาบันการเงินให้มี
ประสิทธิภาพ มีความปลอดภัยของเงินทุนท่ีประชาชนฝากไว้ มีความมั่นคง และจานวนพอเหมาะกับ
ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย กาหนดนโยบายและแก้ปัญหาต่างๆให้
ดาเนนิ การอยู่ในกรอบ ไมส่ ง่ ผลกระทบตอ่ ระบบเศรษฐกจิ จนเป็นผลเสยี หายต่อการพฒั นาประเทศ
- ควบคุมอัตราแลกเปล่ียนเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกลางจะกาหนดอัตราแลกเปล่ียน
เงินตราต่างประเทศกับเงินต่างประเทศสกุลต่างๆ ควบคุมการซ้ือขายและแลกเปลี่ยนเงินตรา
ต่างประเทศเพราะจะมีผลกระทบต่อปริมาณเงนิ ภายในประเทศและปรมิ าณเงนิ สดสารองของธนาคาร
เปลยี่ นแปลงได้
ส่งเสริมการพฒั นาเศรษฐกจิ ธนาคารกลางเปน็ สถาบันทางการเงินของรฐั บาลทีม่ ีบทบาทสาคัญในการ
กาหนดและการวางแผนเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นไปได้รวดเร็วเพียงใดข้ึนอยู่กับความสามารถและ
ประสิทธภิ าพในการดาเนนิ งานทางการเงินของธนาคารกลาง
- การควบคุมปริมาณเงิน การควบคุมปริมาณเงินเป็นหน้าที่ที่สาคัญท่ีสุดของธนาคารกลาง
เพื่อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับระบบเศรษฐกิจ มีการจ้างงานเต็มท่ีและมีเสถียรภาพทางราคา วิธี
ควบคุมปริมาณเงิน คือ การควบคุมเงินสารองส่วนเกินของธนาคารพาณิชย์ ซ่ึงทาได้โดยการใช้
นโยบายการเงนิ ดังน้ี
- การเปลย่ี นแปลงอัตราเงินสดสารอง (Change in The Legal Reserve) โดยอตั ราเงิน
สารองตามกฎหมายเปน็ ตวั กาหนดคา่ ของตัวทวขี องเงนิ ฝาก (สทิ ธิเดช พงศ์กจิ วรสนิ , 2561)
บทบาทและอานาจหนา้ ท่ขี องธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ตามพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2485 ท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม พ.ศ. 2551 ดังน้ี
(ธนาคารแหง่ ประเทศไทย (ธนาคารแหง่ ประเทศไทย, 2561)
1) ออกและจัดการธนบตั รของรฐั บาลและบัตรธนาคาร เปน็ ผูอ้ อกธนบัตรของรฐั บาล
ภายใต้บงั คับแห่งบทบัญญตั ิของกฎหมายว่าด้วยเงินตรา และมีสิทธแิ ต่ผ้เู ดยี วท่ีจะออกบัตรธนาคารใน
ราชอาณาจักร
184
2) กาหนดและดาเนินนโยบายการเงิน ดาเนินนโยบายการเงินตามท่ี
คณะกรรมการนโยบายการเงนิ กาหนด ได้แก่ รับเงินฝาก กาหนดอตั ราดอกเบ้ียในการให้กู้ยืมเงินแก่
สถาบันการเงิน ซื้อขายเงินตราต่างประเทศและแลกเปล่ียนกระแสเงินสดในอนาคต กู้ยืมเงินตรา
ต่างประเทศเพ่ือดารงไว้ซ่ึงเสถียรภาพแห่งค่าของเงินตรา กู้ยืมเงินเพ่ือการดาเนินนโยบายการเงิน
ซ้ือขายหลักทรัพย์เท่าท่ีจาเป็นและแลกเปล่ียนกระแสเงินสดในอนาคต เพ่ือควบคุมปริมาณเงินใน
ระบบการเงนิ ของประเทศ รวมถึงยมื หรือให้ยมื หลักทรัพยต์ ามท่ีกาหนดโดยมหี รือไมม่ ีค่าตอบแทน
3) บริหารจัดการสินทรัพย์ของ ธปท. บริหารจัดการสินทรัพย์ของ ธปท. (ไม่รวม
สินทรัพย์ในทุนสารองเงินตราตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา) การนาสินทรัพย์ไปลงทุนหาประโยชน์
โดยคานึงถึงความมั่นคง สภาพคล่อง ผลประโยชน์ตอบแทนของสินทรัพย์ และความเสี่ยงในการ
บรหิ ารจดั การ
4) เป็นนายธนาคารและนายทะเบียนหลักทรัพย์ของรัฐบาล เป็นนายธนาคารของ
รฐั บาล โดยมอี านาจหนา้ ทีใ่ นการรับจา่ ยเงนิ เพ่ือบัญชฝี ากของกระทรวงการคลัง การรับเก็บรักษาเงิน
หลักทรพั ย์ หรอื ของมีค่าอยา่ งอ่ืนเพื่อประโยชน์ของรัฐบาล การเปน็ ตวั แทนของรฐั บาลในการซื้อขาย
โลหะทองคาและเงนิ การซ้ือขายและโอนตัว๋ แลกเงิน หลกั ทรพั ยแ์ ละใบหุ้น การควบคุมและการรวม
ไว้ในแหล่งกลางซึ่งเงินปริวรรตต่างประเทศ หรืออาจเป็นนายธนาคารของรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงาน
อื่นของรัฐ นอกจากน้ี อาจเป็นนายทะเบียนหลักทรัพย์ของรัฐบาล โดยมีอานาจกระทาการจัด
จาหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐบาล จ่ายเงินต้นและดอกเบ้ีย หรืออาจเป็นนายทะเบียนหลักทรัพย์ของ
รฐั วิสาหกิจ สถาบันการเงนิ ท่มี ีกฎหมายเฉพาะจัดตงั้ ขน้ึ หรอื หน่วยงานอ่นื ของรัฐ
5) เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงนิ เป็นนายธนาคารของสถาบันการเงิน โดยมี
อานาจหน้าท่ีในการให้กู้ยืมเงินหรือใหค้ วามช่วยเหลอื ทางการเงินแก่สถาบันการเงิน การรับเก็บรักษา
เงิน หลักทรัพย์ หรือของมีค่าอย่างอ่ืนของสถาบันการเงิน รวมถึงการสั่งใหส้ ถาบันการเงินส่งรายงาน
หรอื ชี้แจงเพ่ืออธิบายเกีย่ วกบั ทรพั ยส์ ิน หนี้สิน หรือภาระผกู พนั ได้
6) จัดตั้งหรือสนับสนุนการจัดต้ังระบบการชาระเงิน จัดตั้งหรือสนับสนุนการจัดตั้ง
ระบบการชาระเงิน ระบบการหักบัญชีระหว่างสถาบันการเงิน และบริหารจัดการระบบดังกล่าวให้
เกดิ ความปลอดภัยและมปี ระสทิ ธิภาพ
7) กากับและตรวจสอบสถาบันการเงิน กากับ ตรวจสอบ วิเคราะห์ฐานะและการ
ดาเนินงาน ตลอดจนการบรหิ ารความเสย่ี งของสถาบนั การเงนิ เพื่อใหม้ ีเสถยี รภาพ
8) บริหารจัดการอัตราแลกเปล่ียนเงินตราภายใต้ระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา
รวมท้ังบริหารจดั การสินทรพั ยใ์ นทนุ สารองเงินตรา ตามกฎหมายวา่ ด้วยเงินตรา
9) ควบคุมการแลกเปล่ียนเงินตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปล่ียนเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย ใช้นโยบายการเงินเป็นหลักในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจใน
185
ระดับมหภาคเพ่ือดูแลเศรษฐกจิ ให้มีเสถียรภาพด้านราคาเพื่อเออื้ ใหเ้ ศรษฐกจิ สามารถขยายตวั ได้อย่าง
ตอ่ เน่ืองและย่ังยืน
ธนาคารพาณิชยแ์ ละการสร้างเงินฝาก
ธนาคารพาณิชย์ คอื สถาบันทางการเงินของเอกชนหรือรฐั บาลที่ทาธุรกิจดา้ นการเงิน โดยมี
ขอ้ แตกตา่ งจากสถาบันการเงินอืน่ ๆ คือ มสี ิทธใ์ิ นการรับฝากเงินประเภทกระแสรายวนั ท่จี า่ ยโอนโดย
เช็คได้ ทาให้ธนาคารพาณิชย์สามารถสร้างและทาลายเงินฝากได้ และมีธนาคารกลางกากับดูแลอยา่ ง
ใกล้ชิด เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ นอกจากน้ีธนาคารพาณิชย์จะ
แสวงหากาไร จากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบ้ียเงินกู้และอัตราดอกเบ้ียเงินฝาก โดยธนาคาร
พาณชิ ยจ์ ะมีหน้าทต่ี ่างๆ ดงั น้ี
1) การรับฝากเงิน (Deposits) แบ่งได้ 2 ประเภทคือ เงินฝากกระแสรายวัน (Current
Account) เป็นเงินฝากท่ีธนาคารจะต้องจ่ายคืนใหแ้ ก่ผู้ฝากเงินทนั ทีเม่ือทวงถาม การติดต่อจะกระทา
โดยการใช้เชค็ เงนิ ฝากประเภทนไ้ี ด้รบั อตั ราดอกเบ้ยี ตา่ เพราะธนาคารไมส่ ามารถนาไปลงทุนระยะยาว
ได้ เงินฝากอีกประเภทหน่ึงคือ เงินฝากออมทรัพย์ (Saving Deposits) เงินฝากประเภทน้ีการติดต่อ
จะใช้สมุดฝาก (Pass Book) ซึ่งธนาคารจะออกให้กับผู้ฝาก ปัจจุบันได้มีการอานวยความสะดวกโดย
ออกบัตร ATM ให้โดยผู้ฝากจึงเป็นท่ีนิยมของผู้ฝากมากขึ้น และเงินฝากประจา (Fixed or Time
Deposits) เงินฝากประเภทน้ีมีการกาหนดระยะเวลาของการฝากไว้ชัดเจน อัตราดอกเบี้ยจะสูงกว่า
การฝากประเภทอื่นเพราะธนาคารสามารถนาเงนิ ไปลงทุนในธุรกิจหรือสร้างเงินฝากในระบบธนาคาร
ได้ กรณีท่ีต้องการถอนเงินก่อนกาหนดธนาคารจะคิดอัตราดอกเบ้ียให้ในอัตราท่ีต่าลงหรือตาม
ระยะเวลาทฝ่ี าก
2) การให้กยู้ ืม (Loans) การให้กู้ยืมของธนาคารหรอื การใหส้ ินเช่อื และเครดติ (Credit) ใน
ปัจจุบันใช้กันมากในวงธุรกิจและการค้า การให้สินเชื่อในที่นี้รวมถึงการให้เบิกเงินเกินบัญชี (Over
Draft : O/D) ซึ่งธนาคารจะให้กู้ยืมในกรณีที่ลูกค้ามีเงินฝากอยู่กับธนาคารและสามารถสั่งจ่ายเช็คได้
มากกว่าจานวนเงินที่มีฝากอยู่ ส่วนใหญ่ผู้กู้จะเป็นพ่อค้าหรือนักธุรกิจท่ีมีเงินทุนหมุนเวียนตลอดเวลา
มีความตอ้ งการเงินมาก การกูช้ นดิ นจ้ี ะกไู้ ดเ้ รอื่ ยๆ เม่อื นาเงินเข้าบญั ชีครบแลว้ จะสามารถกไู้ ดอ้ ีก
3) การซ้ือลดตั๋วเงิน (Discounting Rates) ธนาคารจะรับซ้ือตั๋วสัญญาใช้เงินท่ียังไม่ถึง
กาหนดชาระทีร่ ะบไุ ว้ในต๋วั เมือ่ ผ้ถู อื ตวั๋ เงินนาต๋ัวเงินน้นั จะขายลดใหก้ ับธนาคารสามารถรบั เงินได้ทันที
ก่อนถึงกาหนดวันชาระเงินตามที่ตั๋วระบุไว้โดยหักส่วนลด (Discount Rate) จากผู้ขายต๋ัว และ
ธนาคารอาจจะนาตั๋วไปขายต่อใหก้ ับธนาคารกลางก่อนถึงวนั กาหนด อัตราที่ธนาคารกลางรับช่วงซอื้
ลด (Rediscount Rate) จะต่ากว่าทธ่ี นาคารคดิ ลดไวจ้ ากลูกคา้ ทข่ี ายตัว๋ เงิน
186
4) การโอนเงิน การโอนเงินจากที่หนึ่งไปอีกท่ีหนึ่งโดยดราฟท์ทางไปรษณีย์ ทางโทรเลข
ทางโทรศพั ท์ หรือทางโทรพิมพ์ โดยธนาคารกลางจะคดิ คา่ ธรรมเนยี มตามอัตราบริการทีก่ าหนดไว้เป็น
การตอบแทน
5) การเรียกเก็บเงินตามตราสาร เม่อื ธนาคารได้รบั ตราสารทางการเงินจะทาการเรียกเก็บ
แทนลูกค้าเม่ือเรียกเก็บได้แล้วจะนาเข้าบัญชีให้ลูกค้า โดยที่ตราสารน้ันอาจจะเป็นตราสารท้องถ่ิน
หรอื ตราสารต่างประเทศก็ได้
6) การรับรองและการค้าประกัน ธนาคารจะพิจารณาฐานะของลูกค้าเช่นเดียวกับการให้
กู้ยืม โดยจะพิจารณาถึงความสามารถของบุคคลท่ีจะค้าประกันยึดหลักปฏิบัติตามสัญญาที่จะค้า
ประกนั หรอื วางหลกั ประกันตามความเหมาะสม
7) การลงทุนในหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์จะนาเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ท่ีมีระยะเวลา
สั้นเพ่ือหารายได้ รวมทั้งลงทนุ ในสนิ ทรัพย์ท่ีก่อให้เกิดรายได้ สว่ นการลงทนุ ในหุ้นบรษิ ัทจะลงทุนได้ไม่
เกินร้อยละ 10 ของจานวนหุ้นที่บริษทั น้ันจาหน่าย และจานวนเงินทนี่ าไปลงทุนต้องไม่เกินร้อยละ 20
ของเงินกองทนุ รวมทั้งหมด (วันรักษ์ ม่ิงมณีนาคิน, 2538)
การสร้างเงินฝากของธนาคารพาณชิ ย์
ธนาคารพาณิชย์สามารถสร้างเงินฝากได้ในขณะท่ีสถาบันการเงินอื่นไม่สามารถทาได้ ทั้งนี้
เพราะธนาคารพาณิชย์สามารถรบั ฝากเงนิ กระแสรายวนั ท่ีจา่ ยโอนโดยเชค็ ได้
การสร้างเงินของระบบธนาคารมีหลายลักษณะข้ึนอยู่กับลักษณะของระบบธนาคารท่ี
พิจารณา ในที่นี้จะพิจารณาการสร้างเงินของธนาคารตามลักษณะของระบบธนาคาร ดังน้ี กรณี
ธนาคารเดียว ธนาคารจะสร้างเงินฝากได้สูงสุดไม่เกินเงินสดสารองส่วนเกินที่ธนาคารมีอยู่ เพราะ
ธนาคารจะสร้างเงินฝากจากการนาเงินสดสารองส่วนเกินออกให้กู้ ดังน้ัน เงินฝากจะเพ่ิมข้ึนเท่ากับ
จานวนเงินท่ใี ห้กู้
การสรา้ งเงนิ ฝากของธนาคารพาณิชย์จาเปน็ ต้องทาความเข้าใจกับความหมายของคาต่อไปนี้
เงินฝากข้ันแรก (Primary Deposit) คือ เงินสดท่ีมีผู้นามาฝากเข้าบัญชีเงินฝาก
กระแสรายวนั ที่ธนาคารพาณิชย์
เงินฝากข้ันต่อไป (Secondary Deposit) คือ เงินฝากที่เกิดจากการให้ลูกค้าของ
ธนาคารกู้ยืม แล้วเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน โดยลูกค้าได้นาเงินกู้ดังกล่าวฝากเข้ากับของ
ตนเองท่ธี นาคาร
อัตราเงินสดสารองตามกฎหมาย (Legal Reserve Ratio) คือ อัตราร้อยละท่ี
ธนาคารกลางกาหนดไว้ให้ธนาคารพาณชิ ย์สารองเงินสดไว้เพอ่ื ป้องกนั ความเส่ียง
187
เงินสดสารองตามกฎหมาย (Legal Reserve : LR) คือ เงินที่ธนาคารพาณิชย์ต้อง
สารองไว้ท่ธี นาคารกลางตามกฎหมายกาหนด โดยคานวณจากอตั ราเงินสดสารองตามกฎหมายคูณกับ
จานวนเงินฝากบญั ชกี ระแสรายวนั
เงนิ สดสารองส่วนเกนิ (Excess Reserve : ER) คอื เงนิ สดคงเหลอื หลงั จากหักเงนิ สด
สารอง ตามกฎหมายแล้ว โดยธนาคารพาณิชย์สามารถนาเงินจานวนน้ีไปให้กู้หรือลงทุนอย่างอื่น
ได้
เงินสดสารองทั้งส้ิน (Cash Reserve) คือ ผลรวมของเงินสดสารองตามกฎหมายกับ
เงินสดสารองสว่ นเกิน (LR + ER)
โดยกระบวนการสร้างเงินฝากของธนาคารพานิชย์ สามารถอธิบายได้โดยนาตาราง 6.3 มา
พิจารณารว่ ม ดังนี้
ตาราง 6.3 กระบวนการสร้างเงนิ ฝากของธนาคารพานชิ ย์
(1) (2) (3) (4) (5)
เงนิ ใหก้ ู้หรือเงิน
ธนาคาร เงินฝาก เงินสดสารองตาม เงินสดสารอง ฝาก ขัน้ ตอ่ ไป =
กฎหมาย (คดิ สว่ นเกิน (4)
10% ของเงนิ = (2) – (3) 900
810
ฝาก) 729
↓
= (2) × 0.10
8,000
A 1,000 100 900
B 900 90 810
C 810 81 729
↓ ↓↓ ↓
ธนาคารอ่นื ๆ
รวม 9,000 1,000 8,000
จากตาราง 6.3 จะเห็นได้ว่า เม่ือระบบธนาคารมีเงินฝากข้ันต้น 1,000 บาท อัตราเงินสด
สารอง ตามกฎหมายร้อยละ 10 ระบบการสร้างเงินฝากของ ธ.พาณิชย์ สามารถสร้างเงิน
ฝากเพมิ่ ขน้ึ ไดเ้ ทา่ กบั 9,000 บาท ซ่ึงเปน็ ไปตามลักษณะของตัวทวีการสรา้ งเงินฝาก คานวณไดจ้ าก
188
ตัวทวกี ารสร้างเงินฝาก = 1 = 1 = 10 เทา่
อัตราเงินสดสารองตามกฎหมาย 0.10
เมื่อได้ค่าตัวทวีการสร้างเงินฝากแล้ว ระบบการสร้างเงินฝากของ ธ.พาณิชย์ ทั้งส้ินเท่ากับ
เงนิ ฝากขั้นแรกหรอื เงินสารองสว่ นเกนิ ทปี่ ลอ่ ยกคู้ รั้งแรก คณู ด้วยตัวทวกี ารสรา้ งเงนิ ฝาก
เงินฝากท่ีสร้างได้ทัง้ ส้ิน = 900 × 10 = 9,000 บาท
การทาลายเงนิ ฝาก
การทาลายเงินฝาก (Destruction of Money) คือ การท่ีธนาคารพาณิชย์มีเงินสดสารอง
สว่ นเกนิ ลดลงจึงได้เรยี กเงนิ กกู้ ลับคืนจากหน่วยธรุ กจิ หรือประชาชนทีไ่ ด้ปล่อยสนิ เช่ือไป การกระทานี้
เรียกว่า การทาลายเงินฝาก ในกรณีท่ีเป็นธนาคารเดียว จานวนเงินฝากที่ลดลงจะเท่ากับจานวนเงิน
สดสารองส่วนเกินท่ีลดลง ถ้าเป็นธนาคารผูกขาดหรือระบบธนาคาร จานวนเงินฝากท่ีลดลงจะเท่ากับ
เงินสดสารองส่วนเกินที่ลดลงคูณดว้ ยตวั คูณของการสร้างเงนิ
ธนาคารพาณิชย์จะทาลายเงินฝากหรือหดเครดิต เมื่อเงินสดสารองตามกฎหมายลดลง เช่น
อาจเกิดจากการทธี่ นาคารกลางปรับเปล่ยี นนโยบายเรื่องอัตราสารองตามกฎหมาย เพราะการเสียเงิน
สดสารองตามกฎหมายเป็นผลมาจากการใช้เงินสดสารองส่วนเกิน (Excess Reserve : ER) อย่าง
เต็มที่จากการให้กู้ยืมหรือลงทุนซ้ือหลักทรัพย์เต็มท่ี ดังนั้นธนาคารพาณิชย์จึงแก้ปัญหาโดยการเรียก
คนื เงนิ กู้หรือขายหลักทรพั ยท์ ่มี อี ยู่ เพอ่ื ใหไ้ ด้เงินสดมาสารองตามท่ีกฎหมายกาหนด
การหดเครดิตจะไม่เกิดข้ึนเฉพาะธนาคารเดียว แต่จะเกิดขึ้นกับหลายธนาคารติดต่อกันเป็น
ลูกโซ่ เครดติ ทธี่ นาคารสรา้ งไว้จะลดลงหลายเทา่ ของเงินสดสารองทสี่ ูญเสยี
นโยบายการเงนิ (Monetary Policy)
นโยบายการเงิน หมายถึง การกากับดูแลปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับท่ี
เหมาะสม เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจของประเทศ อันได้แก่ การรักษาเสถียรภาพทางด้าน
ราคา ส่งเสริมให้มีการจ้างงานเพ่ิมขึ้น รักษาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รักษาดุลยภาพของ
ดุลการชาระเงนิ ตลอดจนการกระจายรายไดท้ เี่ ปน็ ธรรม
นโยบายการเงินเปน็ นโยบายที่เก่ียวข้องกับเคร่ืองมือทางการเงิน ได้แก่ ปริมาณเงิน (Money
supply) อตั ราแลกเปลี่ยน (Exchange rate) และอัตราดอกเบีย้ (Interest rate) ทาโดยการปรับลด-
เพ่ิมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจท่ีจะมีผลต่อการกาหนดทิศทางของอัตราแลกเปล่ียนให้แข็งค่าหรือ
อ่อนค่า และการปรับลด-เพิ่มของอัตราดอกเบ้ีย ซึ่งเป็นหน้าท่ีของธนาคารกลาง หรือธนาคารแห่ง
ประเทศไทยในการกาหนดทิศทางของการดาเนินนโยบายการเงิน โดยธนาคารกลางทั่วโลกต่างก็