The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตำราวิชา เศรษฐศาสตร์จุลภาคประยุกต์ โดย ดร.ดนัยกฤต อินทุฤทธิ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by offdanaikrit, 2022-07-07 23:36:53

ตำราวิชา เศรษฐศาสตร์จุลภาคประยุกต์ โดย ดร.ดนัยกฤต อินทุฤทธิ์

ตำราวิชา เศรษฐศาสตร์จุลภาคประยุกต์ โดย ดร.ดนัยกฤต อินทุฤทธิ์

89

ปัจจยั การผลติ (Factor of Production) ในทางเศรษฐศาสตร์ แบ่งออกเปน็ 4 ชนดิ ได้แก่
แรงงาน ทุน ท่ีดิน ผู้ประกอบการ ซึ่งปัจจัยการผลิตบางอย่างสามารถเพ่ิมขึ้นหรือลดลงได้ทันที หรือ
บางอยา่ งไมส่ ามารถเพม่ิ หรอื ลดไดท้ ันทีแตต่ ้องใชเ้ วลาในการเปลี่ยนแปลง จง่ึ แบง่ ออกได้ 2 ชนิดไดแ้ ก่

1) ปัจจัยคงท่ี (Fixed Factor) คือ ปัจจัยการผลิตท่ีไม่เปลี่ยนแปลงตามระดับการ
ผลติ ไมว่ า่ จะผลติ มากหรือนอ้ ยกใ็ ชป้ ัจจัยเท่าเดมิ เชน่ จานวนเครอ่ื งจกั ร อาคาร พ้นื ทใ่ี นการผลิต

2) ปัจจัยผันแปร (Variable Factor) คือ ปัจจัยท่ีเปล่ียนแปลงไปตามระดับการผลิต
เชน่ จานวนแรงงาน วัตถุดบิ ไฟฟ้า นา้ มันเชื้อเพลงิ (วนั รกั ษ์ มิ่งมณนี าคิน, 2550)

4.2 การผลิตในระยะส้ันและระยะยาว (Short-Run and Long-Run Production)
ระยะเวลาในการผลติ แบ่งโดยถึงความสามารถในการเปลี่ยนแปลงปจั จยั การผลิตท่ีนามาใช้

ผลติ เปน็ สาคัญ โดยท่วั ไปหนว่ ยผลิตสามารถปรบั ขบวนการผลิตเพ่ือให้ไดร้ ับผลผลติ ในระดบั ทต่ี ้องการ
ได้ และเกี่ยวโยงไปถึงการเพ่ิมหรือลดจานวนปัจจัยการผลิต อย่างไรก็ตาม การเปล่ียนแปลงปริมาณ
ปัจจัยการผลิตบางชนิดสามารถทาได้ทันทีแต่บางชนิดต้องใช้เวลากว่าจะเปลี่ยนแปลงได้ การแบ่งการ
ผลิตเป็นระยะสน้ั หรือระยะยาวจงึ จะพิจารณาจากความสามารถในการเปลยี่ นแปลงปริมาณหรือขนาด
ของปัจจัยท่ีใช้ หรือการเปล่ียนแปลงปัจจัยคงท่ีให้เป็นปัจจัยผันแปรซ่ึงแต่ละหน่วยผลิตใช้เวลา
แตกต่างกัน สามารถแบง่ การผลติ ออกได้ 2 ระยะ คือ (เอน็ จอรจ์ ี้ แมนควิ , 2557)

การผลิตในระยะสั้น (Short-Run Production) หมายถึง ช่วงเวลาการผลิตท่ีใน
ขบวนการผลิตประกอบด้วยปัจจัยท่ีไม่สามารถเปล่ียนแปลงจานวนได้เรียกว่า ปัจจัยคงที่ (fixed
factors) และปัจจัยการผลิตที่สามารถเปลี่ยนแปลงจานวนได้เมื่อต้องการเรียกว่า ปัจจัยผันแปร
(variable factors) การผลิตในระยะส้ันจึงมีการใช้ท้ังปัจจัยผันแปรและปัจจัยคงท่ีอย่างน้อย 1 ชนิด
ร่วมกัน

การผลิตในระยะยาว (Long-Run Production) หมายถึง ช่วงเวลาการผลิตท่ีผู้ผลิต
สามารถเปล่ียนแปลงปัจจัยการผลิตทุกอย่างได้ตามความต้องการ ดังน้ัน ขบวนการผลิตในระยะยาว
จึงมีแต่ปัจจัยผันแปรเท่าน้ัน เพราะปัจจัยคงท่ีจะกลายเป็นปัจจัยผันแปรทันทีเม่ือมีการเปลี่ยนแปลง
จานวนหรอื ขนาด

จะเหน็ ได้วา่ ในทางเศรษฐศาสตร์ ไมไ่ ด้นาเอาเร่ืองของระยะเวลา (Time) มาใชเ้ ปน็ เกณฑใ์ น
การพจิ ารณา แต่จะดูจากความสามารถในการเปลยี่ นและใชป้ จั จัยการผลติ (Production Factors)
ว่า หากผู้ผลิตสามารถที่จะเปล่ยี นปจั จยั ได้แค่บางตวั จะถือวา่ เป็นการผลติ ระยะส้ัน แต่หากสามารถ
เปลีย่ นปจั จยั ได้ทุกตวั จะถือว่าเป็นการผลิตระยะยาว ซงึ่ การผลติ ในอุตสาหกรรมแตล่ ะประเภทก็
ย่อมจะมีการผลิตระยะสั้น-ระยะยาวท่ีแตกตา่ งกัน (วนั รักษ์ มงิ่ มณีนาคนิ , 2550)

90

การผลิตในระยะสัน้ (Short-Run Production)
การผลิตในระยะส้ัน ผลผลิตรวมท่ีได้อธิบายได้จากกฎผลผลิตท่ีได้จากการใช้ปัจจัยการผลิต

ในสัดส่วนต่างๆ กัน และกฎว่าด้วยการลดน้อยถอยลงของผลผลิตเพิ่ม (Law of Diminishing
Marginal Physical Returns) กล่าวคือ การผสมปัจจัยการผลิตจะใช้ปัจจัยคงที่ร่วมกับปัจจัยแปรผนั
เม่ือเพ่ิมปัจจัยผันแปรขึ้นทีละหน่วยจนถึงจุดหน่ึงการเพิ่มข้ึนของผลผลิตรวมจะมีค่าลดลงเรื่อยๆ
จนกระทั่งถงึ ศนู ย์และติดลบในที่สดุ ผลผลิตทไ่ี ด้รับจากการผลติ ในระยะสนั้ มหี ลายชนิด ดงั นี้

1) ผลผลิตรวม (Total Product : TP) คอื ผลผลติ ท้งั หมดทเี่ กิดข้ึนจากการใช้ปัจจัย
ผนั แปรรว่ มกบั ปจั จยั คงท่ี ปรมิ าณผลผลติ ทีไ่ ด้จะเปลีย่ นแปลงไปตามปรมิ าณปจั จัยผนั แปรที่ใช้

2) ผลผลิตเฉลี่ย (Average Product : AP) คือ ผลผลิตรวมท้ังหมดคิดเฉลี่ยต่อ
ปจั จยั ผันแปร 1 หนว่ ย ผลผลติ เฉลย่ี คานวณได้จาก

AP  TP
L

โดยท่ี : AP = ผลผลิตเฉล่ยี (Average Product)
TP = จานวนผลผลิตรวมท้ังหมด (Total Product)
L = จานวนปจั จยั ผันแปร

3) ผลผลิตเพิ่ม (Marginal Product : MP) คือ ผลผลิตรวมท่ีเพ่ิมขึ้นเมื่อใช้ปัจจัย
ผันแปรเพิ่มขึ้น 1 หน่วย ในระยะแรกท่ีเพิ่มปัจจัยผันแปรเข้าไปผลผลิตเพิ่มจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ต่อมา
ผลผลิตเพิ่มจะเริ่มลดลง จนกระทั่งเท่ากับศูนย์และติดลบในที่สุด เป็นไปตามกฎการลดน้อยถอยลง
ของผลผลติ เพิ่ม (Law of Diminishing Marginal Physical Returns) ผลผลิตเพิม่ คานวณไดจ้ าก

MP  TP
L

โดยที่ : MP = ผลผลิตเพมิ่ (Marginal Product)
TP = การเปลีย่ นแปลงในผลผลติ รวมท้งั หมด (Total Product)
L = การเปลยี่ นแปลงในปรมิ าณการใช้ปจั จยั ผันแปร

ตาราง 4.1 ตัวอยา่ งผลผลิตในระยะสนั้ 91

L K TP
0
05 0 0 3
5
15 3 3 4
2
25 8 4 0
-2
35 12 4

45 14 3.5

55 14 2.8

65 12 2

จากตวั อยา่ งในตาราง 4.1
ผลผลิตรวม (TP) ช่วงแรก ๆ เม่ือเพ่ิมปัจจัยผันแปรผลผลิตรวมจะเพ่ิมข้ึนในอัตราที่

เพ่ิมข้ึน ต่อมา จะเพ่ิมข้ึนในอัตราที่ลดลง และเม่ือเพ่ิมขึ้นสูงสุดแล้ว หากเพ่ิมปัจจัยผันแปรเข้าไปอีก
TP จะลดลง

ผลผลติ เฉล่ีย (AP) ช่วงแรก ๆ AP จะเพม่ิ ขึน้ แต่ชว่ งหลัง ๆ AP จะลดลงเรอื่ ย ๆ
ผลผลิตสว่ นเพม่ิ (MP) ชว่ งแรก ๆ MP จะเพมิ่ ขึน้ แตช่ ่วงหลัง ๆ MP จะลดลงเรื่อย ๆ
กฎการลดน้อยถอยลงของผลได้ (Law of Diminishing Returns) (เอ็น จอร์จี้ แมนคิว,
2557)
การผลิตในระยะสั้น เม่ือเพ่ิมปัจจัยผันแปรชนิดหน่ึงข้ึนเร่ือย ๆ โดยท่ีปัจจัยชนิดอื่นยังคงที่
ผลผลติ ทไ่ี ด้จากการเพ่ิมปัจจัยผนั แปรหน่วยหลงั ๆ จะคอ่ ย ๆ ลดลดนอ้ ยถอยลงตามลาดับ จนกระทั่ง
เท่ากับศูนย์ และติดลบในที่สุด อาจกล่าวได้ว่ากฎการลดน้อยถอยลงของผลได้ เป็นสิ่งท่ีเกิดขึ้นในการ
ผลิตในระยะส้ัน เม่ือกระบวนการผลิตใช้ปัจจัยแปรผันชนิดหน่ึงเพ่ิมขึ้นทีละหน่วยขณะท่ีปัจจัยการ
ผลิตอื่นๆ คงที่ จะทาให้ผลผลิตเพิ่มท่ีได้รับมีจานวนลดน้อยถอยลงตามลาดับจนถึงศูนย์และติดลบใน
ที่สุด สามารถแสดงลักษณะของเสน้ ผลผลิตชนดิ ต่างๆ

92

ภาพ 4.2 การผลิตระยะสนั้

จากภาพ 4.2 แสดงความสมั พนั ธ์ระหว่างผลผลติ ชนดิ ต่าง ๆ
ความสมั พันธร์ ะหว่าง TP และ MP ณ ระดับการผลิตปจั จัยผนั แปร (L) ใด ๆ พบว่า

ถา้ MP มคี ่าเปน็ บวก จะทาให้ TP เพิ่มข้ึน
ถ้า MP มีค่าเปน็ ศนู ย์ จะทาให้ TP มคี า่ สูงสดุ
ถา้ MP มีค่าตดิ ลบ จะทาให้ TP ลดลง
ความสัมพันธ์ระหว่าง AP และ MPเมื่ผู้ผลิตทาการเพ่ิมปัจจัยผันแปร (L) ถึงระดับหนึ่ง ๆ
แลว้ พบว่า
ถ้า MP มากกว่า AP จะทาให้ AP มคี ่าสูงขน้ึ
ถา้ MP นอ้ ยกวา่ AP จะทาให้ AP มคี า่ ลดลง
ถา้ MP เท่ากบั AP จะทาให้ AP มคี ่าสูงสุด

การแบ่งชว่ งการผลติ (Stage of Production)
ในการผลิตระยะสั้น ผู้ผลิตจะสามารถเพิ่มปัจจัยแปรผันได้แค่ในระดับหนึ่งเท่านั้น หากเกิน

จากนั้น ปัจจัยคงที่จะมีผลทาให้ผลผลิตรวมลดลง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสามารถนามาใช้ในการแบ่งช่วง
ของการผลติ (Stages of Production) ได้ดงั ภาพ 4.3

93

ภาพ 4.3 การแบ่งชว่ งการผลติ

จากความสัมพนั ธ์ของผลผลติ รวม ผลผลิตเฉล่ยี และผลผลติ เพ่ิม สามารถแบ่งขั้นของการ
ผลิตออกได้ 3 ขั้นคอื

Stage 1 เร่ิมต้ังแต่จุด 0 จนถึงจุดท่ี AP มีค่าสูงสุด เมื่อเพ่ิมปัจจัยผันแปรเข้าไป MP จะ
เพ่ิมขึ้นและทาให้ TP เพิ่มขึน้ ในอัตราทีเ่ พิ่มขน้ึ และเมื่อ MP ลดลงจะทาให้ TP เพ่ิมข้ึนในอตั ราทีล่ ดลง
ขั้นนี้ผู้ผลิตจะยังคงเพ่ิมปัจจัยผันแปรเข้าไปอีก สามารถขยายการผลิตและทากาไรได้อีกเนื่องจาก TP
ยังเพมิ่ ขนึ้

Stage 2 เริ่มต้ังแต่จุดท่ี AP มีค่าสูงสุดจนถึงจุดท่ี MP มีค่าเท่ากับศูนย์และ TP มีค่าสูงสุด
ขั้นน้ี MP และ AP จะลดลง แต่ TP ยังเพ่ิมขึ้น ดังน้ัน ผู้ผลิตจะยังคงเพิ่มปัจจัยผันแปรไปจนกระท่ัง
MP เท่ากับศูนย์ ผู้ผลิตควรเลือกทาการผลิต ณ จุดใดจุดหน่ึงในข้ันการผลิตน้ีเพราะจะทาให้ผู้ผลิต
ได้รบั TP สูงสุด

Stage 3 เร่ิมตั้งแต่จุดที่ MP มีค่าเท่ากับศูนย์และ TP มีค่าสูงสุดเป็นต้นไป ข้ันนี้ TP จะ
ลดลงเร่ือยๆ เม่ือเพิ่มปจั จัยผนั แปรเข้าไปอีก ผผู้ ลติ ไมค่ วรทาการผลติ เพราะจะได้รับ TP ที่ลดลง และ
MP มคี า่ ตดิ ลบ

จากภาพ 4.3 ความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นไปตามกฎการลดน้อยถอยลงของผลผลิตเพิ่ม (Law
of Diminishing Marginal Physical Products) น่ันคือ ถ้ามีปัจจัยใดปัจจัยหน่ึงคงที่แล้ว การเพ่ิม
ปัจจัยแปรผัน (L) ขึ้นเรื่อยๆ จะก่อให้เกิดการลดน้อยถอยลงของผลผลิตหน่วยสุดท้ายในที่สุด และ
ผลผลติ หน่วยสุดท้ายอาจจะลดลงเทา่ กบั ศนู ย์หรอื ต่ากวา่ ศูนย์กไ็ ด้

94

การผลติ ในระยะยาว
การผลิตในระยะยาว (Long-Run Production) หมายถึง การผลิตในระยะเวลาที่สามารถ

เปลี่ยนแปลงขนาดและปริมาณของปัจจัยการผลิตทุกชนิดได้ตามต้องการ การปรับเปลี่ยนปัจจัยการ
ผลติ จะขน้ึ อยูก่ ับความสมั พันธร์ ะหว่างจานวนผลผลิตที่ผู้ผลติ ต้องการกบั ปัจจัยการผลิต และขึ้นอยู่กับ
ราคาของปัจจัยการผลิตแต่ละชนิดด้วย ในการผลิตในระยะยาวผู้ผลิตจะเลือกการผลิตท่ีมีต้นทุนต่า
ท่สี ุด เพือ่ เป้าหมายในการได้กาไรสูงสุด ดงั นั้น ปัจจยั การผลิตที่ใช้ในการผลิตมีชนิดเดียวคือ ปจั จัยผัน
แปร การผลิตในระยะยาวอยู่ภายใต้กฎของกฎผลได้จากการขยายขนาดการผลิต (Law of Returns
to Scale) (อาชนัน เกาะไพบลู ย,์ 2561)

เครอ่ื งมอื ในการวเิ คราะห์การผลิตในระยะยาว
1) เส้นผลผลิตเท่ากัน (Isoquant Curve :Q) คือ เส้นท่ีแสดงส่วนผสมต่าง ๆ ของ

ปัจจัยการผลติ สองชนดิ ทีทาใหไ้ ด้ผลผลิตในปริมาณเทา่ กนั
2) เส้นต้นทุนเท่ากัน (Isocost Line) คือ เส้นที่แสดงส่วนผสมต่าง ๆ ของปัจจัยการ

ผลติ สองชนดิ ซงึ่ สามารถซือ้ ดว้ ยเงนิ ทนุ จานวนเทา่ กนั

ตาราง 4.2 ปจั จัยทุนและปจั จยั แรงงานที่แสดงผลผลิตเท่ากัน

ปจั จยั แรงงาน (L) ปจั จัยทุน (K) 5
1 234 15
21
1 3 8 12 14 26
28
2 8 14 18 20 29

3 12 18 22 25

4 14 20 25 27

5 15 21 26 28

จากตาราง 4.2 แสดงให้เห็นการใช้ปัจจัยทุนและปัจจยั แรงงานท่ีแสดงผลผลติ เทา่ กัน เชน่
กรณที ่ี 1 เมอื่ เราใชป้ ัจจัยแรงงาน 1 คน และปจั จยั ทุน 2 เครือ่ ง จะได้ผลผลิตเท่ากับ 8

ชนิ้ งาน ซงึ่ เทา่ กับการใช้ปจั จัยแรงงาน 2 คน และปัจจัยทุน 1 เคร่อื ง

95
กรณีท่ี 2 เมื่อเราใช้ปัจจัยแรงงาน 2 คน และปัจจัยทุน 2 เคร่ือง จะได้ผลผลิตเท่ากับ
14 ช้ินงาน ซ่ึงเท่ากับการใช้ปัจจัยแรงงาน 1 คน และปัจจัยทุน 4 เครื่อง และยังเท่ากับการใช้ปัจจัย
แรงงาน 4 คน และปัจจยั ทนุ 1 เคร่อื ง
กรณีที่ 3 เมื่อเราใช้ปัจจัยแรงงาน 2 คน และปัจจัยทุน 4 เครื่อง จะได้ผลผลิตเท่ากับ
20 ชิ้นงาน ซึ่งเทา่ กับการใช้ปัจจยั แรงงาน 4 คน และปจั จยั ทุน 2 เครื่อง
จากท้งั 3 กรณสี ามารถนามาพลอตเปน็ กราฟได้ ดังภาพ 4.4 ดังนี้

ภาพ 4.4 เส้นผลผลติ เท่ากนั
จากภาพ 4.4 ทแี่ สดงลักษณะเสน้ ผลผลิตเท่ากนั ซ่ึงมีความชันเปน็ ลบ อนั เป็นผลมาจากการ
ทดแทนกันของปัจจัยการผลิต 2 ชนิด โดยเส้นผลผลิตเท่ากันจะเป็นเส้นโค้งเว้าเข้าหาจดุ กาเนิด ท้ังนี้
เสน้ ผลผลติ เทา่ กนั จะไม่ตัดกัน และเส้นท่อี ยู่สูงกวา่ จะแสดงผลผลติ จานวนมากกวา่
อัตราการทดแทนทางเทคนิคส่วนเพิ่ม (Marginal Rate of Technical Substitution :
MRTS)
อัตราการทดแทนทางเทคนิคส่วนเพ่ิมเป็นอัตราทดแทนกันระหว่าง 2 ปัจจัย กล่าวคือถ้าผู้
ผู้ผลิตเพิ่ม (หรือลด) การใช้ปัจจัย L ลง 1 หน่วย จะสามารถลด (หรือเพิ่ม) การใช้ปัจจัย K ได้เท่าใด
โดยไมท่ าให้ผลผลติ (Q) เปลีย่ นแปลงไปจากเดิม สตู รทใ่ี ช้คอื

−∆
= ∆
โดยจะขอยกตวั อยา่ งและอธิบายตามภาพ 4.5 ดังน้ี

96

ภาพ 4.5 กราฟแสดงอตั ราการทดแทนทางเทคนิคสว่ นเพ่ิม

จากภาพ 4.5 ณ จดุ A K = 4 L = 1 และ ณ จุด B K =2 L = 2 แทนค่าลงในสตู รจะพบว่า
−∆

= ∆
= −(2−4)

(2−1)

= −2 = 2

ผลทีไ่ ดห้ มายความวา่ ถ้าเพ่ิมแรงงานข้ึน 1 คน จะลดเค่ืองจักรลง 2 เครื่อง

เมือ่ มีการเปล่ยี นเมื่อมีการเคล่ือนยา้ ยบนเส้นจากจุด A ไปจุด B ผลผลติ ทีใ่ ช้ K ลดลง =
ผลผลิตทีใ่ ช้ L เพ่ิมช้นึ จะใช้สูตร

× ∆ = × ∆

= ∆ =

จากจดุ B ไปจุด A ผลผลิตทีใ่ ช้ K เพมิ่ ขึ้น = ผลผลิตทใ่ี ช้ L ลดลง จะใชส้ ตู ร

× ∆ = × ∆

= ∆ =

97

การทดแทนกนั ของปัจจัยแรงงงานและปจั จยั ทุนจะแสดงถงึ ความสามารถในการทดแทนกัน
ของปจั จยั การผลติ โดยความสามารถในการทดแทนกนั ของปจั จยั การผลติ สามารถอธิบายดว้ ยกราฟ 3
กราฟดังภาพ 4.6

ภาพ 4.6 ความสามารถในการทดแทนกันของปัจจัยการผลิต

จากภาพ 4.6 แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสามารถในการทดแทนกันของปัจจยั แรงงงานและปจั จยั
ทุน โดยภาพ (ก) แสดงใหเ้ หน็ วา่ ปจั จัยแรงงงานและปัจจยั ทุนทดแทนกันได้แบบสมบรู ณ์ ขณะที่ภาพ
(ข) แสดงใหเ้ ห็นว่าปัจจัยแรงงงานและปัจจยั ทุนทดแทนกันไมไ่ ดเ้ ลย และภาพ (ค) แสดงใหเ้ หน็ ว่า
ปจั จยั แรงงงานและปัจจยั ทนุ ทดแทนกันได้แต่ไมส่ มบรู ณ์

การผลติ ในระยะยาวผผู้ ลติ จะเลือกการผลติ ทีม่ ีต้นทนุ ตา่ ทส่ี ุด เพือ่ เปา้ หมายในการได้กาไร
สงู สดุ ดงั น้ัน ปจั จยั การผลติ ท่ีใชใ้ นการผลติ มชี นิดเดยี วคือ ปัจจัยผันแปร การผลิตในระยะยาวอยู่
ภายใต้กฎของกฎผลได้จากการขยายขนาดการผลติ (Law of Returns to Scale) ซึ่งอธบิ ายการ
เปลยี่ นแปลงของผลผลติ รวมขณะทป่ี จั จัยการผลิตตา่ งๆ เปลี่ยนแปลงไป แบง่ ระยะการเปล่ียนแปลง
ผลผลิตรวมได้ 3 ระยะ คือ

1) ผลได้ต่อขนาดเพมิ่ ขน้ึ (Increasing Return to Scale) คือผลผลติ เพ่ิมขึ้นในอัตราสูงกวา่
อตั ราการเพ่ิมปจั จยั การผลติ เชน่ เพม่ิ ปจั จยั การผลิต 5% ได้ปริมาณผลผลิตเพิ่มขึน้ 10%

2) ผลได้ต่อขนาดคงท่ี (Constant Return to Scale) คือผลผลิตเพิม่ ข้ึนในอตั ราเท่ากับ
อตั ราการเพ่ิมปจั จัยการผลิต เช่น เพิม่ ปัจจัยการผลิต 3% ได้ปรมิ าณผลผลิตเพ่มิ ขึน้ 3%

3) ผลได้ตอ่ ขนาดลดลง (Decreasing Return to Scale)คอื ผลผลติ เพิ่มขน้ึ ในอัตราท่ีนอ้ ย
กวา่ อัตราการเพิ่มปจั จยั การผลติ เช่น เพ่มิ ปจั จยั การผลิต 4% ได้ปรมิ าณผลผลติ เพ่ิมขึ้น 2% (ปิยะศิริ
เรอื งศรมี ั่น และคณะ, 2556)

เส้นตน้ ทุนเท่ากัน (Isocost Curve)
เส้นตน้ ทนุ เท่ากนั หมายถงึ เส้นทีแ่ สดงสว่ นประกอบตา่ งๆ ของปจั จยั การผลิตสองชนิด

(K,L) ทผี่ ้ผู ลิตสามารถซื้อได้ด้วยเงินจานวนเทา่ กัน

98
ตวั อย่าง มงี บประมาณ 1,000 บาท K ราคาหนว่ ยละ 200 บาท และ L ราคาหนว่ ยละ 100
บาท จะสามารถจดั สรรงบเพ่ือซอื้ ตน้ ทนุ ได้อยา่ งไรบา้ ง
นาขอ้ มลู ไปทาตารางกาหนดงบไว้ท่ี 1,000 บาท และนามาพลอตกราฟ
ตาราง 4.3 ตารางต้นทนุ เทา่ กัน
จานวน K จานวน L
50
42
34
26
18
0 10

ภาพ 4.7 เสน้ ตน้ ทนุ เทา่ กัน
การเปลี่ยนแปลงของเส้นต้นทุนเทา่ กนั จะมีการเปล่ยี นแปลงได้ 2 ลักษณะ ดงั ภาพ 4.8

ภาพ 4.8 การเปลยี่ นแปลงเส้นต้นทนุ เทา่ กัน

99
จากภาพ 4.8 แสดงการเปลยี่ นแปลงเส้นตน้ ทนุ เทา่ กัน โดยในภาพ (ก) จะเกิดขึน้ กรณีที่
ราคาปจั จัย L ถูกลง ขณะที่ภาพ (ข) จะเกิดขึ้นกรณีท่ีตน้ ทุนการผลติ เพ่มิ ขนึ้
ดุลยภาพการผลติ (Producer Equilibrium)
การใช้ส่วนผสมของปัจจัยการผลิตท่ีเหมาะสมหรือดุลยภาพของผู้ผลิต ( Producer
Equilibrium) คือ เงื่อนไขการผลิตที่เหมาะสมซ่ึงกาหนดจากจุดท่ีเส้นผลผลิตเท่ากันหรือเส้น IQ
สมั ผสั กับเสน้ ตน้ ทนุ เทา่ กนั หรือเส้น IS โดย ณ จุดสัมผสั ค่าความชัน (Slope) ของเสน้ IQ และเสน้ IS
จะมีค่าเท่ากนั ดงั แสดงในภาพ 4.9

ภาพ 4.9 ดลุ ยภาพการผลิต

จากภาพ 4.9 จะแสดงให้เห็นดุลยภาพการผลิต ซ่ึงสามารถอธิบายได้ว่า ณ จุด A : ได้รับ
ผลผลิตเท่ากับ 1 ขณะท่ีจุด B : ได้รับผลผลิตเท่ากับ 1 เช่นเดียวกับจุด C : ได้รับผลผลิตเท่ากบั
1

เมื่อพิจารณาจากทั้ง 3 จุดแล้วนั้น จะต้องเลือกใช้จุด A ใช้ต้นทุนต่าที่สุด เพราะเป็นจุดท่ี
ผูผ้ ลติ จะเลือกผลติ

เส้นแนวทางการขยายผลผลิต (The Expansion Path)
การเปลีย่ นแปลงดลุ ยภาพการผลติ ในระยะยาว จะเกดิ จากการท่ีเงนิ ทนุ เปลยี่ นแปลง สาหรับ

เส้นท่ีนามาใช้ในการอธิบายการเปล่ียนแปลงดังกล่าว เรียกว่า เส้นแนวทางการขยายผลผลิต (The
Expansion Path) ซ่งึ เปน็ เสน้ ท่ีแสดงสว่ นผสมของปัจจัยการผลติ ทีเ่ สียต้นทุนต่าทสี่ ุด ดงั แสดงในภาพ
4.10

100

ภาพ 4.10 เสน้ แนวทางการขยายผลผลิต

เส้นแนวทางการผลิต คือ เส้นทีล่ ากผ่านจุดที่เสียต้นทนุ ตา่ สุด ณ ระดับตน้ ทุนต่าง ๆ และทา
ให้เกิดประสิทธิภาพในการผลติ สูงสดุ จากภาพ 4.10 เมื่อมีการขยายการผลิตเพิ่มข้ึนดุลยภาพจะอย่ทู ่ี
จุด A B และ C ตามลาดับ (ปยิ ะศริ ิ เรอื งศรมี ่ัน และคณะ, 2556)

4.3 ตน้ ทนุ การผลิต (Cost of Production)
การวิเคราะห์เรื่องต้นทุนการผลิตมีรากฐานมาจากการวิเคราะห์เรื่องการผลติ ทั้งน้ีเพราะใน

การผลิตสินค้า ผู้ผลิตได้รวบรวมปัจจยั การผลิตจากเจ้าของปัจจัยการผลติ มาใชใ้ นการผลติ ดังนั้น จึง
ต้องจ่ายค่าผลตอบแทนให้เจ้าของปัจจัยการผลิตน้ันๆ ในภาพของค่าเช่า ค่าจ้าง ดอกเบี้ย และกาไร
ซึง่ คา่ ใชจ้ า่ ยๆตา่ งๆท่ีจ่ายให้กบั เจ้าของปัจจัยการผลติ รวมเรียกว่า ต้นทุนการผลติ (สดุ ารัตน์ พมิ ลรัตน
กานต์, 2556)

ลกั ษณะของตน้ ทนุ ทางเศรษฐศาสตร์
ในทางเศรษฐศาสตร์ ตน้ ทนุ การผลติ หมายถงึ คา่ ใชจ้ ่ายทุกชนิดทั้งที่จ่ายเป็นตัวเงินและมิใช่

ตัวเงนิ ทใี่ ช้ในการผลิตสินคา้ หรอื บริการ ต้นทนุ ทางเศรษฐศาสตร์มีอยู่หลายประเภท ดังนี้
1) ต้นทุนชัดแจ้ง (Explicit Cost) เป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการผลิตท่ีต้องจ่ายเป็นตวั

เงิน หรือเรียกได้ว่าเป็นต้นทุนทางบัญชี หรืออาจกล่าวได้ว่าต้นทุนที่จ่ายออกไปจริงสามารถบันทึกลง
ในบญั ชไี ด้ เชน่ คา่ แรงงาน คา่ วัตถดุ ิบ ค่าโฆษณา เป็นตน้

2) ต้นทุนไม่ชัดแจ้ง (Implicit Cost) หรือต้นทุนแฝง เป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการ
ผลิตท่ีไม่ต้องจ่ายเป็นตัวเงินหรือจ่ายต่ากว่าราคาตลาด แต่สามารถประเมินค่าเป็นตัวเงินได้ เช่น ใช้
บ้านหรือทีด่ นิ ตนเองเปน็ สถานประกอบการ ใช้แรงงานตนเองในการผลิตสินคา้ เปน็ ตน้ หรืออาจกล่าว

101

ได้ว่าเป็นต้นทุนที่ไม่ได้จ่ายออกไปเป็นเงินจริงแต่เป็นค่าเสียโอกาสที่จะใช้ปัจจัยการผลิตไปทา
ประโยชน์อ่นื

3) ต้นทุนคา่ เสยี โอกาส (Opportunity Cost) เปน็ ผลประโยชน์สูงสดุ ท่เี จา้ ของปจั จัย
การผลิตต้องสูญเสียไปจากทางเลือกอ่ืน จากการนาเอาปัจจัยการผลิตมาผลิตสินค้าหรือบริการการ
ชนิดใดชนิดหน่ึง หรือ เป็นมูลค่าสูงสุดของบรรดาทางเลือกอ่ืนท่ีไม่ได้เลือก ตัวอย่างเช่น บรูโน่ กับ
อาชพี นกั ร้อง อาจใชใ้ นการผลิตบรกิ ารได้ 3 ทาง ดงั น้ี

(1) จัดคอนเสิร์ตตามงานวัด รายไดเ้ ดือนละ 18,000 บาท
(2) จดั คอนเสริ ์ตตามหา้ งสรรพสนิ ค้าชัน้ นา รายได้เดือนละ 25,000 บาท
(3) เปน็ พนักงานขายเครอ่ื งเสียงตามหา้ งสรรพสนิ คา้ รายไดเ้ ดือนละ 20,000 บาท
จากท้ัง 3 ทางเลือกอาจกล่าวได้ว่า ถ้า บรูโน่ เลือกทางเลือกท่ี 1 จะมีต้นทุนค่าเสีย
โอกาสเท่ากับ 25,000 บาท ขณะที่ถ้า บรูโน่ เลือกทางเลือกที่ 2 จะมีต้นทุนค่าเสียโอกาสเท่ากับ
20,000 บาท และ ถ้า บรูโน่ เลือกทางเลอื กท่ี 3 จะมีต้นทุนคา่ เสียโอกาสเท่ากับ 25,000 บาท
4) ต้นทุนทางสังคม (Social Cost) เป็นต้นทุนทุกชนิดที่เกิดจากการดาเนินการผลิต
สนิ คา้ หรือบริการทุกรายการทเ่ี กดิ ขึน้ แกส่ งั คม ประกอบดว้ ย
(1) ต้นทุนเอกชน คือ ต้นทุนท้ังหมดที่เกิดขึ้นภายในกิจการ และเป็นต้นทุนท่ี
ผู้ผลติ ตอ้ งรบั ภาระ
(2) ต้นทุนภายนอก คือ ต้นทนุ ที่เกิดขึ้นกบั บคุ คลท่ีสาม ทไี่ มเ่ กย่ี วข้องกับการผลิต
โดยตรง เช่น ค่าใช้จ่ายของรัฐบาลในการปัญหามลพิษ น้าเสีย ที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม เม่ือมี
การประเมินค่าต้นทนุ การผลติ ของเอกชน ผู้ผลติ จะไมน่ าตน้ ทนุ ภายนอกนับรวมเป็นต้นทนุ
ความแตกต่างระหวา่ งต้นทุนทางเศรษฐศาสตรแ์ ละตน้ ทนุ ทางบัญชี
ต้นทุนทางบัญชี (Accounting Cost) หมายถึง ต้นทุนท่ีจ่ายออกไปจริงและจดบันทึก
ลงบญั ชไี ว้
ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ (Economics Cost) หมายถึง ต้นทุนทุกอย่างท่ีเกิดข้ึนในการ
ผลติ ไมว่ า่ จะจ่ายออกไปจรงิ หรือไมก่ ็ตาม
ด้วยเหตุนี้ ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์จึงสูงกว่าต้นทุนทางบัญชี ทาให้กาไรทางเศรษฐศาสตร์
นอ้ ยกว่ากาไรทางบญั ชี

ต้นทนุ การผลติ ในระยะสั้น
การผลิตในระยะสั้นเป็นการผลิตในระยะเวลาที่ประกอบด้วยปัจจัยคงที่ (Fixed Factors)

และปัจจัยผันแปร (Variable Factors) ต้นทุนการผลิตในระยะสั้นจึงประกอบด้วยต้นทุนคงท่ีและ

102

ต้นทุนผันแปร โดยต้นทุนคงท่ีจะไม่เปลี่ยนแปลงตามจานวนผลผลิต ส่วนต้นทุนผันแปรจะ
เปลี่ยนแปลงไปตามจานวนผลผลติ ดังน้นั ตน้ ทนุ การผลิต ประกอบด้วยต้นทนุ ชนดิ ต่าง ๆ ดังนี้

1) ต้นทุนคงที่รวม (Total Fixed Cost : TFC) ต้นทุนชนิดน้ีจะมีจานวนคงที่ตลอดไม่ว่า
ปริมาณการผลิตจะมากหรือน้อย แม้จะไม่ทาการผลิตเลยก็จะเกิดต้นทุนคงที่ ต้นทุนประเภทนี้ เช่น
ค่าเสื่อมของเคร่ืองจักร กล่าวคือ เป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อปัจจัยการผลิตต่างๆ รวมกัน แต่ไม่
เปลีย่ นแปลงไปตามจานวนผลผลิต

2) ต้นทนุ ผันแปรรวม (Total Variable Cost : TVC) คือ ค่าใชจ้ า่ ยในการซอื้ ปัจจัยการผลิต
ต่างๆ รวมกัน และจะเปลยี่ นแปลงไปตามจานวนผลผลติ ตน้ ทนุ น้จี ะเปลย่ี นแปลงไปตามจานวนสินค้า
ที่ผลิต ถ้าผลิตมากจะเสียต้นทุนชนิดน้ีมาก และถ้าไม่ผลิตก็ไม่เสียเลย ต้นทุนประเภทน้ี เช่น ค่าจ้าง
แรงงาน เปน็ ต้น

3) ต้นทุนรวม (Total Cost : TC) คือ ค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดที่เกิดจากการผลิตสินค้า เป็น
ต้นทุนท้ังหมดที่เกิดขึ้นจากการใช้ปัจจัยการผลิตชนิดต่างๆ ในการผลิตสินค้าและบริการจานวนหนึ่ง
ในระยะส้นั ตน้ ทุนรวมสามารถแสดงสมการได้ ดงั นี้ (สุดารตั น์ พิมลรัตนกานต,์ 2556)

TC = TFC + TVC

ต้นทุนคงที่เฉล่ีย (Average Fixed Cost : AFC) ต้นทุนคงที่ต่อหน่ึงหน่วยของผลผลิต
หรือ

AFC  TFC
Q

ต้นทุนผันแปรเฉล่ีย (Average Variable Cost : AVC) ต้นทุนผันแปรต่อหนึ่งหน่วยของ
ผลผลิต หรือ

AVC  TVC
Q

ต้นทุนเฉล่ีย (Average Cost : AC) เป็นต้นทุนทั้งหมดเฉลี่ยต่อปริมาณผลผลิต 1 หน่วย
หรอื

AC  TC
Q

โดยท่ี Q แทนจานวนผลผลติ ณ ระดับการผลติ ตา่ ง ๆ
นอกจากน้ยี ังสามารถหาไดจ้ าก AC = AFC + AVC

103

. ต้นทุนส่วนเพิ่มหรือต้นทุนหน่วยสุดท้าย (Marginal Cost : MC) คือ ต้นทุนท่ีเพ่ิมขึ้น

จากการเพิ่มปรมิ าณผลผลติ หน่ึงหนว่ ย

∆ หรอื = ∆
= ∆ ∆

หรือในกรณีทผี่ ้ผู ลติ ทาการผลิตสนิ คา้ เพมิ่ ขนึ้ ทลี ะ 1 หน่วย จะหา MC ได้จาก
= − −1

โดยที่ แทนต้นทนุ รวมจากการผลติ สินคา้ n หนว่ ย
และ −1 แทนตน้ ทุนรวมจากการผลติ สินคา้ n-1 หนว่ ย
เพื่อแสดงความสัมพันธ์ของเส้น TFC, TVC และ TC จะขอยกตัวอย่างด้วยตาราง 4.4

ต่อไปน้ี

ตาราง 4.4 ตน้ ทุนการผลิตและจานวนการผลติ

จานวน ตน้ ทุน ต้นทนุ ผัน ต้นทนุ ต้นทนุ ต้นทนุ ผัน ต้นทนุ ต้นทุน
ผลผลติ คงท่ีรวม แปรรวม รวม คงท่ี แปรเฉลยี่ รวม หน่วย
เฉล่ีย (AVC) เฉล่ยี สดุ ทา้ ย
(Q) (TFC) (TVC) (TC) (AFC) (AC) (MC)

0 5 055 0 5 -

1 5 5 10 5 5 10 5

2 5 8 13 2.5 4 6.5 3

3 5 15 20 1.67 5 6.67 7

4 5 32 37 1.25 8 9.25 17

5 5 65 70 1 13 14 33

เมอ่ื นาข้อมลู จากตาราง 4.4 มาพลอตกราฟจะแสดงความสัมพันธ์ของเสน้ TFC, TVC และ
TC ดงั ภาพ 4.11

104

ภาพ 4.11 ความสัมพนั ธ์ของเสน้ TFC, TVC และ TC
และเมื่อนา AFC AVC AC และ MC มาพจิ ารณาถึงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตน้ ทนุ และ
ปริมาณผลผลิต จะไดด้ ังภาพ 4.12

ภาพ 4.12 ความสมั พนั ธข์ องเส้น AFC AVC AC และ MC

105

จากภาพ 4.12 สามารถอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุนผันแปรเฉล่ียกับต้นทุนเพ่ิม
และต้นทนุ เพิ่มกับต้นทนุ เฉลย่ี ไดว้ า่

ความสมั พันธร์ ะหวา่ งตน้ ทนุ ผันแปรเฉลี่ย (AVC) กับต้นทนุ เพม่ิ (MC)
1) ตราบที่ MC มีคา่ นอ้ ยกวา่ AVC , AVC จะมคี ่าลดลงเมอ่ื ผู้ผลติ ขยายการผลติ ออกไป
2) ตราบที่ MC มคี ่ามากกว่า AVC , AVC จะมคี ่าสงู ขึ้นเมอ่ื ผู้ผลิตขยายการผลติ ออกไป
3) MC จะมีคา่ เทา่ กับ AVC ณ จุดที่ AVC มีคา่ ต่าสดุ

ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งต้นทนุ เพ่ิม (MC) กบั ตน้ ทุนเฉลี่ย (AC)
1) ตราบที่ MC มคี ่านอ้ ยกว่า AC , AC จะมคี า่ ลดลงเม่ือผผู้ ลติ ขยายการผลติ ออกไป
2) ตราบที่ MC มคี ่ามากกว่า AC , AC จะมคี ่าสงู ข้นึ เมอ่ื ผู้ผลิตขยายการผลิตออกไป
3) MC จะมีคา่ เท่ากับ AC ณ จดุ ท่ี AC มีคา่ ต่าสดุ

ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหวา่ ง MC กับ AVC เหมือนกับกรณีของเส้น ACและลักษณะเส้น AVC
เป็นภาพตวั U เน่ืองมาจากกฎการลดลงของผลได้ (สดุ ารตั น์ พิมลรัตนกานต์, 2556)

ต้นทุนการผลิตในระยะยาว
ในระยะยาวผ้ผู ลติ สามารถเปลย่ี นแปลงขนาดการผลิตให้เหมาะสมกับทต่ี ้องการได้ ปัจจัยทกุ

ชนิดท่ีใช้ในการผลิตเป็นปัจจัยผันแปร ดังนั้น ต้นทุนการผลิตในระยะยาวจึงมีเฉพาะแต่ต้นทุนผันแปร
เท่าน้ัน

การผลิตในระยะยาวเป็นช่วงเวลาท่ีผู้ผลิตสามารถควบคุมหรือ เปล่ียนแปลงปัจจัยการผลิต
ทกุ ชนิดได้ตามตอ้ งการ ดังนั้นตน้ ทุนการผลติ ในระยะยาวนนั้ จงึ มีแต่ตน้ ทุนผนั แปร

ลกั ษณะของต้นทนุ การผลิตในระยะยาวประเภทต่าง ๆ จึงมี ดงั น้ี (อมรทิพย์ แท้เท่ยี งธรรม,
2544)

1) ต้นทุนรวมในระยะยาว (Long-run Total Cost : LTC) คือ ค่าใช้จ่ายท้ังหมดที่เกิดข้ึน
จากการผลติ ในระยะยาว หรอื ตน้ ทนุ ผันแปรทั้งหมดในระยะยาว โดยเสน้ ต้นทนุ รวมในระยะยาวจะมี
ลกั ษณะเดียวกับต้นทุนผันแปรรวมรวมในระยะส้นั ดังภาพ 4.13

106

ภาพ 4.13 ตน้ ทนุ รวมในระยะยาว
2) ต้นทุนเฉล่ียในระยะยาว (Long-run Average Cost : LAC) คือค่าเฉล่ียของต้นทุนรวม
ในระยะยาวต่อผลผลิต 1 หน่วย ซึง่ หาไดจ้ าก = /
3) ต้นทุนหน่วยสุดทา้ ยในระยะยาว (Long-run Marginal Cost : LMC) คอื ตน้ ทนุ ทเี่ พมิ่ ข้ึน
จากการผลติ สนิ ค้าเพม่ิ ขึ้น 1 หน่วย ซง่ึ หาไดจ้ าก =∆ /∆

ภาพ 4.14 ความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง LMC และ LAC

107
ความสัมพนั ธ์ระหว่างตน้ ทนุ ในระยะสนั้ และต้นทนุ ในระยะยาว

การพิจารณาการผลิตในระยะยาว คือการนาการผลิตในระยะส้ันขนาดการผลิตต่าง ๆ มา
ประกอบกัน ทาให้สามารถสรา้ งเส้นตน้ ทนุ เฉล่ยี ในระยะยาวจากเส้นตน้ ทุนเฉล่ยี ในระยะยาวได้

ภาพ 4.15 ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งต้นทนุ ในระยะส้ันและต้นทุนในระยะยาว

จากภาพ 4.15 ให้มีโรงงาน 3 ขนาด แต่ละขนาดเหมาะสมสาหรับการผลิตระดับต่างๆ และ
แต่ละโรงงานมีต้นทุนเฉล่ียระยะสั้น (Short-Run Average Cost : SAC) คือ SAC1 SAC2 และ SAC3
ตามลาดับ ในระยะยาวขนาดของโรงงานท่ีเหมาะสมในการผลิตจะพิจารณาจากปริมาณผลผลิตที่
ต้องการคือ ถ้าต้องจานวนผลผลิต Q1 ต้องสร้างโรงงานท่ีมีขนาดของต้นทุน SAC1 เพราะจะเสีย
ค่าใช้จ่ายต่ากว่าการใช้โรงงานในขนาดอ่ืนๆ เป็นต้น จะเห็นได้ว่าในโรงงานขนาดต่างๆ น้ันจะมีอยู่
ขนาดหนึ่งซึ่งเหมาะสมท่ีสุด (Optimum Scale of Plant) คือ เสียต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยต่าสุดเม่ือ
เปรียบเทียบกบั โรงงานในขนาดตา่ งๆ ขนาดของโรงงานขนาดที่เหมาะสมนจี้ ะอยู่ ณ จุดตา่ สุดของเส้น
SAC ทีส่ มั ผสั กบั จุดต่าสดุ ของเส้น LAC ดังน้นั โรงงานทีม่ ีตน้ ทนุ SAC2 ผลผลติ ทีเ่ หมาะสม (Optimum
Output) คือ Q3 หรือเส้นต้นทุนเฉลี่ยในระยะยาว (LAC) ได้มาจากเส้น SAC ของโรงงานขนาดต่างๆ
แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม ผู้ผลิตไมจ่ าเป็นจะตอ้ งสร้างโรงงานที่มีขนาดเหมาะสมที่สดุ และทาการผลิต ณ ระดบั
ท่เี หมาะสม (Optimum Output) นั้น ยกเวน้ ในกรณที ม่ี ีการแข่งขนั สมบูรณ์ (Perfect Competition)

4.4 การใชท้ ฤษฎตี น้ ทนุ หาเส้นอปุ ทาน
การใช้ทฤษฎีต้นทุนหาเส้นอุปทานนั้น ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าออกขาย โดยการพิจารณา

เปรยี บเทียบระหวา่ งรายไดท้ ี่จะไดร้ บั กับต้นทุนทีใ่ ชใ้ นการผลติ ซ่งึ

108
รายได้ = ราคาสินค้า (P)
ตน้ ทนุ สินค้าแต่ละหนว่ ย = ตน้ ทุนหน่วยสุดทา้ ย (MC)
กาไรของผู้ผลิต จะเท่ากับรายได้หักด้วยต้นทุน เพ่ือความเข้าใจจะขออธิบายโดยใช้ภาพ
4.16

ภาพ 4.16 การใชท้ ฤษฎีตน้ ทนุ หาเสน้ อปุ ทาน (1)
จากภาพ 4.16 เม่ือทาการกาหนดใหร้ าคาคงทีเ่ ทา่ กบั 0P ปริมาณการผลิต 0Q1 เป็นชว่ งท่ี
มตี ้นทุนมากกวา่ รายได้ (ชว่ งแรกของการผลติ ยงั ไม่สามารถกระจายตน้ ทุนคงทไ่ี ด้มากนัก) ดงั น้นั
ปริมาณการผลิต Q1Q* เปน็ ชว่ งท่ีรายรับมากกว่าตน้ ทุน และปรมิ าณการผลติ ท่ีมากกวา่ Q* ตน้ ทนุ จะ
มีค่ามากกว่ารายไดอ้ ีกคร้ังหนึ่ง

109

ภาพ 4.17 การใชท้ ฤษฎีต้นทุนหาเส้นอปุ ทาน (2)

จากภาพ 4.17 เม่ือ กาไร = รายได้ – ตน้ ทนุ จะเห็นได้วา่ การผลติ ณ ปริมาณ Q* จะทา
ให้ได้รับกาไรมากทีส่ ดุ เท่ากบั พื้นท่ี ARE ลบด้วยส่วนท่ีขาดทนุ ในตอนเริ่มกจิ การ CPA เน่ืองจากกาไร
สูงสุดเมอ่ื P = MC

เมือ่ P>MC : ตน้ ทุนตา่ กวา่ ราคา การเพ่ิมปรมิ าณการผลิตจะทาให้กาไรสูงขึ้น
เม่อื P<MC : การผลิตเพมิ่ ขึ้น จะทาให้ต้นทุนย่ิงสูงขน้ึ

(ก) (ข)
ภาพ 4.18 การใชท้ ฤษฎีต้นทุนหาเสน้ อปุ ทาน (3)

110
เมอ่ื พิจารณาภาพ 4.18 (ก) ณ ระดบั ราคา P ผ้ผู ลิตจะผลิตสนิ ค้าออกมาขาย เท่ากบั 0Q
เน่อื งจากเป็นจดุ ที่ P = MC ซ่ึงจะทาให้ไดร้ ับกาไรสูงสุด
ถา้ ราคาเพิ่มเปน็ P1 แลว้ การผลิต ณ 0Q ไม่ได้รบั กาไร EAE1 ดงั นั้นต้องผลิต ณ 0Q1 ได้รับ
กาไรสูงสุด
เมอื่ พจิ ารณาภาพ 4.18 (ข) ณ ระดับราคา P ผูผ้ ลติ จะผลติ สนิ ค้าออกมาขาย เท่ากับ 0Q
เนอื่ งจากเปน็ จุดที่ P = MC ซ่ึงจะทาให้ไดร้ บั กาไรสงู สุด
ถ้าราคาลดลงเปน็ P2 การผลติ ณ 0Q กาไรลดลง EBE2 เพราะปริมาณการผลิต Q2Q
ต้นทนุ มากกว่ารายได้ ผู้ผลติ ต้องลดการผลิตลง ดงั น้ัน ต้องผลิต ณ 0Q2 ได้รบั กาไรสงู สุด

ภาพ 4.19 การใช้ทฤษฎีตน้ ทนุ หาเสน้ อุปทาน (4)

เมื่อพิจารณาภาพ 4.18 จะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างราคากับปริมาณเสนอขาย เป็นไปตาม
กฎอุปทาน กล่าวคือ ราคาเพิ่มข้ึน ปริมาณเสนอขายเพิ่มขึ้น และราคาลดลง ปริมาณเสนอขายลดลง
ดังนั้น เสน้ อปุ ทานจะเปน็ เสน้ เดียวกบั MC ของผผู้ ลิต ดังภาพ 4.19

การประหยดั และการไมป่ ระหยัดจากการขยายขนาดการผลิต (Economies and
Diseconomies of Scale)

เส้นต้นทุนเฉล่ียในระยะยาว (LAC) โดยท่ัวไปจะมีภาพตัว U หรือภาพโค้งก้นกระทะ แสดง
ใหเ้ หน็ ว่า

ช่วงของการผลิตที่ทาใหต้ น้ ทุนเฉล่ยี มคี า่ ลดลงโดยท่ีหนว่ ยผลติ ทาการขยายผลผลิต
เรยี กว่า ช่วงทท่ี าให้เกดิ การประหยัดจากขนาด (economies of scale) ดงั ฝ่ังซ้ายของภาพ 4.20

111
ช่วงของการผลิตท่ีทาให้ต้นทุนเฉล่ียมีค่าเพิ่มข้ึนโดยที่หน่วยผลิตทาการขยายผลผลิต
เรียกว่า ช่วงท่ีทาให้เกิดการไม่ประหยัดจากขนาด (diseconomies of scale) ดังฝั่งขวาของภาพ
4.20

ภาพ 4.20 การประหยดั และการไมป่ ระหยัดจากการขยายขนาดการผลติ
การประหยัดต่อขนาด หมายถึง ต้นทุนต่อหน่วย (ต้นทุนเฉล่ีย) ลดลงจากการท่ีธุรกิจขยาย
ขนาดการผลติ สามารถแบง่ ออกเปน็ ได้หลายดา้ น ดังน้ี

การประหยัดทางด้านแรงงาน เกิดการแบ่งงานกันทา มีความชานาญเฉพาะอย่าง ทา
ให้ประสทิ ธภิ าพการผลิตสูงข้ึน

การประหยัดทางด้านเทคนิค เกิดข้ึนเมื่อหน่วยธุรกิจมีขนาดใหญ่ และมีความสามารถ
ทีจ่ ะนาเอาเคร่ืองจกั รท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพสงู มาใช้

การประหยัดทางด้านการจัดการ เป็นผลจากการกระจายต้นทุนคงที่ เช่น เงินเดือน
ผู้จัดการ ค่าเช่าสถานที่ ค่าเบี้ยประกัน เป็นต้น หากหน่วยธุรกิจสามารถขยายการผลิตได้มากข้ึน
ต้นทนุ คงทตี่ ่อหน่วยจะลดลง

การประหยดั ทางด้านการตลาด
ซอ้ื วัตถดุ บิ : การซ้ือเปน็ จานวนมากๆ จะได้รับสว่ นลด ทาใหต้ ้นทุนลดลง
ขายสินค้า : ต้นทุนค่าขนส่งลดลง ค่าโฆษณาลดลง คือ หน่วยธุรกิจท่ีมีขนาดใหญ่

แม้จะมตี ้นทุนในการขายสูง แตก่ จ็ ะสามารถทาใหข้ ายไดม้ ากข้ึน ตน้ ทุนเฉลยี่ จะลดลง

112

การประหยัดทางด้านการเงิน เนื่องจากกิจการขนาดใหญ่ จะเป็นที่เชื่อถือในวงการ
ธุรกจิ ไดร้ ับเครดติ ในการซอ้ื สินค้า และสามารถกู้เงนิ ได้งา่ ย เสียดอกเบ้ียตา่

การไม่ประหยัดต่อขนาด หมายถึง ต้นทุนต่อหน่วย (ต้นทุนเฉลี่ย) เพ่ิมข้ึน จากการที่ธุรกิจ
ขยายขนาดการผลิต น่ันคือ ขยายขนาดการผลิตมากเกินไป เช่น ความยุ่งยากในการบริหารงาน
ปัญหาการดูแลไม่ทั่วถึง ปัญหาการติดต่อประสานงาน ปัญหาทางด้านการจัดการแรงงาน หรือการ
ขาดแคลนปจั จัยการผลิต (อมรทพิ ย์ แทเ้ ทย่ี งธรรม, 2544)

4.5 การพยากรณ์ตน้ ทุน
การพยากรณต์ น้ ทุนหรือการพยากรณธ์ รุ กิจ คอื การคาดการณส์ งิ่ ที่จะเกดิ ข้ึนในอนาคต โดย

อาศัยการวเิ คราะห์ข้อมลู ในอดตี ข้อมลู ปัจจบุ ันและจากประสบการณผ์ ลของการพยากรณ์จะทาให้
ธรุ กจิ สามารถนาไปใชเ้ พ่ือให้ทราบถึงแนวโน้มการเปลย่ี นแปลงของธุรกิจหรือสภาพแวดลอ้ มท่ีจะมีผล
ตอ่ ธรุ กจิ ได้ในอนาคต และทาให้สามารถท่จี ะวางแผนหรือกาหนดนโยบายเพื่อให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์
ของธุรกิจได้

ความสาคัญของการพยากรณ์ต้นทุนหรอื การพยากรณธ์ ุรกจิ น้ัน มคี วามสาคัญของการ
พยากรณธ์ ุรกจิ ท่มี ตี ่อองค์กรพอจะสรุปได้ดังน้ี (มนตรี สิงหะวาระ, 2564) .

1) ทาให้ผบู้ รหิ ารธุรกิจทราบขนาดความต้องการผลิตภณั ฑ์ของตลาด และเพอ่ื ลดความ
ไมแ่ น่นอนของตลาดในอนาคต

2) ทาให้ผ้บู ริหารใชผ้ ลการพยากรณเ์ ปน็ ข้อมลู ในการวางแผนในแผนกงานตา่ งๆของ
ธรุ กจิ เพือ่ ความอย่รู อดหรือสร้างความได้เปรียบทางธุรกจิ

3) ทาใหผ้ ู้บรหิ ารธรุ กจิ สามารถใชผ้ ลการพยากรณ์พิจารณาวิเคราะหส์ ภาพแวดล้อม
การแข่งขนั และวเิ คราะห์ธรุ กิจรวมทั้งกาหนดวสิ ัยทศั น์ พันธกิจ เป้าหมาย วัตถุประสงค์ แผนกลยุทธ์
และแผนปฏบิ ตั กิ ารได้อย่างเหมาะสมกบั สภาวะการณ์

4) ทาให้ธุรกจิ สามารถจัดสรรทรพั ยากรณไ์ ด้อย่างเหมาะสม
5) ทาให้ธรุ กิจสามารถลดความสูญเสยี ทจี่ ะเกดิ ข้ึนธรุ กจิ ได้
6) ทาให้เกิดการประสานงานและประสานการใชท้ รัพยากรของธุรกจิ ใหเ้ กดิ
ประสิทธภิ าพ
7) สร้างผลตอบแทนใหก้ ับผู้มีส่วนได้สว่ นเสียเพ่ือใหเ้ กดิ ความพงึ พอใจสงู สดุ
ประเภทของการพยากรณใ์ นทางธุรกิจ
การพยากรณส์ ามารถจาแนกได้ 3 ประเภท ดงั น้ี
1) การพยากรณ์ธุรกิจตามมิติของเวลา (Time forecasting procedure) ประเภทของการ
พยากรณ์ธุรกิจตามมติ ิของเวลาจาแนกออกเป็น

113

1.1) การวางแผนระยะยาว (Long - term forecast) เป็นการพยากรณ์ในช่วง
ระยะเวลา 3 ปี เป็นต้นไป

1.2) การพยากรณ์ระยะปานกลาง (Intermediate-term forecast) เป็นการพยากรณ์
ในชว่ งระยะเวลาไม่เกนิ 3 ปี

1.3) การพยากรณ์ระยะสั้น (Short-term forecast) เปน็ การพยากรณ์ในช่วงระยะเวลา
ไม่เกิน 1 ปี ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผู้บริหารระดับล่างใช้เพ่ือการกาหนดแผนปฏิบัติการในการดาเนินงาน
เพอ่ื ให้บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์
ในระยะสน้ั ของธุรกิจ

2) การจาแนกประเภทของการพยากรณ์ตามมิตขิ องระดบั ตาแหน่ง (Position forecasting)
เป็นการจาแนกประเภทของการพยากรณ์ตามระดับตาแหน่งในการวิเคราะห์อย่างต่อเน่ือง สามารถ
จาแนกไดด้ งั นี้

2.1) การพยากรณ์ระดบั มหภาค (Macro - forecast) เป็นการพยากรณ์ในภาพรวมของ
ธรุ กจิ ท้ังประเทศหรือทงั้ ตลาด

2.2) การพยากรณ์ในระดับจุลภาค (Micro-forecast) เป็นการพยากรณ์ในรายละเอยี ด
ส่วนยอ่ ยเปน็ การพยากรณท์ ีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ธรุ กจิ โดยตรง

3) การจาแนกประเภทของการพยากรณ์ธุรกิจตามมิติของกระบวนการพยากรณ์
(Forecasting Process)

3.1) การพยากรณ์เชิงคุณภาพ (Qualitative forecast) เป็นวิธีการพยากรณ์โดยอาศัย
การสารวจความคิดเห็นเป็นพ้ืนฐาน โดยปกติการพยากรณ์ในลักษณะนี้มักเป็นการพยากรณ์ในระยะ
ส้นั เมือ่ ข้อมลู เชิงปริมาณไมป่ รากฏอยู่

3.2) การพยากรณ์เชิงปริมาณ การพยากรณ์เชิงปริมาณที่จะกล่าวถึงน้ีเป็นการนา
เครื่องมือทางสถติ มิ าประยกุ ตใ์ ชเ้ พื่อการคาดคะเนทางเศรษฐศาสตร์และธุรกิจ

การใช้แบบจาลองเศรษฐมิติ
เป็นการผนวกเอาเครื่องมือทางด้านสถิติและคณิตศาสตร์มาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัว

แปรต่างๆ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างในรูปแบบจาลองเชิงซ้อน (Multiple -
equation system)

แบบจาลองสมการเชิงซ้อน
ในความเปน็ จริงแล้วตวั แปรทางเศรษฐกิจไม่ไดม้ ีความสัมพันธ์กับตัวแปรใดตวั แปรหนึ่งเพียง
ตวั แปรเดยี ว แตจ่ ะมีความสัมพันธท์ ่ีซับซ้อนกว่า ความสัมพันธ์ทเี่ กิดขึ้นนี้เราเรียกว่าความสมั พนั ธ์แบบ
เชิงซอ้ น (Complex relations) การพยากรณ์จงึ ต้องใชช้ ดุ ของสมการ (มีสมการมากกวา่ หน่งึ )

114

ตัวอยา่ ง สมการเชงิ ซ้อนในการวิเคราะห์ระดับจุลภาค สมมตวิ า่ บริษทั ขายคอมพิวเตอร์และ

อปุ กรณเ์ สริมมีรายรบั รวมของบริษัท(TR) ซึง่ ประกอบไปดว้ ยรายรบั จากการขายคอมพิวเตอร์ (C) และ
รายรับจากการขายพรินเตอร์ (M) โดยรายรับจากการขายคอมพิวเตอร์ในงวดเวลาใดจะเป็นฟังก์ชัน

กบั รายรับรวมในงวดเวลาน้นั และรายรับจากการขายพรนิ เตอรใ์ นงวดเวลาใดจะเป็นฟังก์ชัน่ กับรายรับ

จากการขายคอมพิวเตอร์ในงวดเวลาก่อน
จากความสมั พนั ธ์ขา้ งตน้ สามารถเขยี นสมการได้ คอื สมการเอกลักษณ์ :

สมการเชิงพฤตกิ รรม = +

= 0 + 1 + 1
= 0 + 1 −1 + 2
เมอ่ื ทาการแทนคา่ ตัวแปรสมการเชงิ พฤติกรรมในสมการเอกลักษณ์ จะได้

= 0 + 0 + (1 1 −1
(1 − 1) − 1)
การวเิ คราะหอ์ นุกรมเวลา

เป็นการวิเคราะห์โดยอาศัยการสร้างแบบจาลองการพยากรณ์โดยอนุกรมเวลา ( Time-
series forecasting models) ซ่ึงจะอาศัยข้อมูลในอดีตเพื่อคาดการณ์ส่ิงท่ีจะเกิดขึ้นในอนาคต โดย

อาศัยหลักการทางสถิติ ส่วนประกอบในอนุกรมเวลาในการวิเคราะห์อนุกรมเวลา ตัวแปรนาหรือตัว

แปรอสิ ระในทีน่ ีค้ ือเวลา ซ่ึงอาจกาหนดเปน็ สัปดาห์ เดอื น ปี หรอื อืน่ ๆ และตวั แปรตามกค็ ือ ตัวแปรท่ี
เราต้องการพยากรณ์ค่าการผันแปรของตัวแปรตามในอนุกรมเวลาหนึ่ง ๆ สามารถแยกได้เป็นส่ีส่วน

ดว้ ยกนั คือ
สว่ นประกอบอนกุ รมเวลา

1) แนวโน้มระยะยาว (Secular trend) จากภาพ 5.1 จะแสดงการผันแปรของค่าตัวแปร

ทางเศรษฐกิจในระยะยาวเป็นต้นว่าในการวิเคราะห์อุปสงค์ต่อสินค้าตามระยะเวลาการเปลี่ยนแปลง
ของจานวนประชากรหรอื รสนิยมในการบรโิ ภคสินค้าจะมีผลให้อุปสงค์ต่อสินค้าเพ่ิมขึ้นหรือลดลงตา่ ง

ๆ กันไปในชว่ งเวลาภายในหน่ึงปี
2) ความผันแปรตามฤดูกาล (Seasonal variations) เป็นความผันแปรของค่าตัวแปรทาง

เศรษฐกจิ ที่มีแนวโนม้ จะมรี ูปแบบเดยี วกันในชว่ งระยะเวลาตา่ ง ๆ ภายในหน่งึ ปี เป็นต้นว่าปรมิ าณการ

ใช้ไฟฟ้าในระหว่างเดือนมีนาคม- มิถุนายนของทุกปีจะสูงและระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์
จะมีค่าตา่

115

ภาพ 4.21 ลักษณะความผนั แปรต่างๆในอนุกรมเวลา

3) ความผันแปรตามวฏั จกั ร (Cyclical variations) เป็นความผันแปรในทางเพิ่มขึน้ และ
ลดลงของค่าตัวแปรทางเศรษฐกจิ ในชว่ งเวลาทีม่ ักจะยาวนานกว่าหน่ึงปี เปน็ ต้นว่า อปุ สงค์ตอ่ ที่อยู่
อาศยั มักจะมีชว่ งของการขยายตัวและหดตวั ท่ีค่อนขา้ งยาวนาน ซึ่งเมื่อไรที่ปรากฏว่ามีความผนั แปร
ตามวฎั จักรอยูใ่ นชุดข้อมูลที่ใช้ในการพยากรณ์ เพราะฉะน้ันสมการถดถอยท่ปี ระมาณค่าไดจ้ ากข้อมูล
ดงั กลา่ วจะให้คา่ ท่คี ลาดเคลื่อน อันเน่ืองจากการเกดิ มี Autocorrelation ท่เี ป็นบวก

4) ความผนั แปรแบบสุ่ม (Random variations) นอกเหนือจากความผันแปรชนิดต่าง ๆ
ขา้ งตน้ คา่ ตัวแปรทางเศรษฐกจิ ยงั อาจตกอยู่ภายใต้อิทธพิ ลของปจั จัยอ่นื ๆ ทไี่ มอ่ าจคาดคะเนไดเ้ ป็น
ต้นวา่ สงครามโรคภยั ไข้เจบ็ หรอื นโยบายที่ไมใ่ ช่นโยบายโดยปกตขิ องรฐั เราเรยี กความผันแปรที่
เกดิ ข้ึนจากสาเหตุเหลา่ นี้ว่าความผนั แปรแบบสุ่ม

วธิ ีการพยากรณ์จากการวิเคราะห์อนุกรมเวลา
1) การใช้วธิ ีการพยากรณ์แบบงา่ ยทส่ี ุด วิธกี ารพยากรณ์แบบง่ายท่สี ดุ (Simplest model)

ไดร้ ะบุวา่ ค่าพยากรณ์ของตัวแปรในชว่ งเวลาถดั ไป จะมีค่าเท่ากับค่าของตวั แปรนัน้ ๆ ทเ่ี กิดขนึ้ จริงใน
ชว่ งเวลากอ่ นหรอื เขยี นได้ว่า

̂ +1 =
2) การพยากรณ์จากค่าแนวโน้มในระยะยาว (Secular trend) แนวโน้มการเปล่ียนแปลง
ของตัวแปรตามระยะเวลาอาจอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ โดยแนวโน้มดังกล่าวอาจมีลักษณะเป็นแนวโน้ม
เส้นตรง (Linear trend) ดังภาพ 4.22 (ก) หรืออาจเป็นแนวโน้มที่มีการเพ่ิมขึ้นในอัตราที่คงท่ี
(Constant rate of growth) ดังภาพ 4.22 (ข) อาทิ รายไดข้ องหน่วยธุรกิจที่เปล่ยี นไปตามระยะเวลา

116
หรือเป็นแนวโน้มท่ีมีการเพ่ิมข้ึนในอัตราที่ลดลงดัง ภาพ 4.22 (ค) อาทิ ยอดขายของสินค้าใหม่ที่เลย
จดุ อมิ่ ตัวไปแลว้

ภาพ 4.22 รปู แบบคา่ แนวโน้มระยะยาว
3) การพยากรณ์เมื่อนาเร่ืองของการผันแปรตามฤดูกาลเข้ามาพิจารณาร่วมด้วย เส้นแนว
โน้มท่ีประมาณได้ในภาพ 4.23 จะเห็นได้ว่าการพยากรณ์โดยใช้เส้นแนวโน้มที่ประมาณค่าได้น้ันไม่ได้
คานึงถึงนัยสาคัญของความผันแปรตามฤดูกาลของตัวเลขข้อมูลท่ีมีอยู่แต่อย่างใด ตัวเลขข้อมูลของ
ยอดขายได้ช้ีให้เห็นวา่ ยอดขายในแต่ละช่วงของปีมีไม่เท่ากัน โดยยอดขายไอศครีมจะมีแนวโน้มลดลง
ในช่วงไตรมาสท่ี 4 และไตรมาสท่ี 1 ในขณะท่ีไตรมาสท่ี 2 กับ 3 จะมีแนวโน้มเพิ่มข้ึน แสดงการ
ปรากฎมีอยขู่ องการผนั แปรตามฤดกู าลของความต้องการบรโิ ภคไอศครีมในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้น เพ่ือ
ปรบั การพยากรณใ์ หถ้ กู ตอ้ งยิ่งขึ้น เราจะตอ้ งนาเอาความผนั แปรตามฤดูกาลเขา้ มาพิจารณารว่ มดว้ ย

117

ภาพ 4.23 ลักษณะความผนั แปรตา่ งๆในอนุกรมเวลา

4) เทคนิคการทาให้เรียบ (Smoothing techniques) เทคนิคการทาให้เรียบเป็นวิธีการ
หน่ึงของแบบจาลองอนุกรมเวลา โดยมีข้อสมมติว่าข้อมูลในอดีตมีรูปแบบการเปล่ียนแปลงที่แน่นอน
และสามารถที่จะพยากรณ์ได้ ข้อมูลดังกล่าวอาจจะประกอบไปด้วยการเปลี่ยนแปลงเชิงสุ่ม
(เหตุการณ์ท่ีไม่สามารถคาดคะเนได้) วิธีการทาให้เรียบมีหลักการที่ สาคัญคือ การขจัดการ
เปล่ียนแปลงที่มากเกินไป(ท้ังการเพ่ิมขึ้นและลดลงของข้อมูล) ของการเปล่ียนแปลงเชงิ สุ่มโดยการหา
ค่าเฉลี่ยข้อมูลในอดีต เทคนิคการทาให้เรียบจะมีประสิทธิภาพมากถ้าข้อมูลในอดีตมีแนวโน้มการ
เปลี่ยนแปลงแบบคอ่ ยเปน็ ค่อยไป

5) วิธีการแยกส่วนประกอบอนุกรมเวลา ในข้อมูลอนุกรมเวลาหนึ่งถ้าเราได้นามาพิจารณาดู
จะเห็นได้ว่าข้อมูลเหล่านี้มีความผันผวนสูงคืออาจจะเพ่ิมข้ึนในช่วงเวลาหน่ึงแล้วอาจจะลดลงในอีก
ช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าเราจะหาสาเหตุของปรากฎการณ์ดังกล่าว คงต้องทาการแยกส่วนประกอบของ
อนุกรมเวลาดังกล่าวออกเป็นส่วนๆ ซึ่งสามารถแยกได้ออกเป็น 4 ส่วน คือ การผันแปรตามแนวโน้ม
การผันแปรตามฤดูกาล การผันแปรตามวัฎจักรและการผันแปรเนื่องจากเหตุการณ์ผิดปรกติ ดังได้
กล่าวไวแ้ ล้วในหัวข้อสว่ นประกอบอนกุ รมเวลา (มนตรี สิงหะวาระ, 2564) .

โดยทัว่ ไปแลว้ ตวั แบบอนกุ รมเวลามี 2 ตวั แบบ คอื
ตวั แบบการบวก (Additive model) คอื การกาหนดให้ Y = T + S + C + I
ตัวแบบการคูณ (Multiplicative model) คอื การกาหนดให้ Y = T * S * C * I

118

โดยท่ี Y = อนกุ รมเวลา
T = แนวโนม้
S = ความผนั แปรตามฤดูกาล
C = ความผันแปรตามวัฏจักร
I = ความผันแปรตามวัฏจกั ร

ดัชนบี ารอมเิ ตอร์
การเปล่ียนแปลงในดัชนีบารอมิเตอร์โดยปกติจะนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงในตัวแปรท่ีเรา

ต้องการพยากรณ์ค่านั่นหมายถึงว่าจากการสารวจระดับค่าดัชนีบารอมิเตอร์ในอนุกรมเวลาและการ
เปลีย่ นแปลงท่เี กิดขึ้น เราจะสามารถพยากรณ์ลักษณะการเปลีย่ นแปลงของตวั แปรที่อยู่ในความสนใจ
ได้

1) ชุดของดัชนีนา ดัชนีพ้อง และดัชนีคล้อยตาม ดัชนีบารอมิเตอร์ประเภทแรกจะ
ประกอบดว้ ย ชุดของดัชนนี า เปน็ ต้นว่า ถ้าเราสามารถค้นพบว่าการผันผวนในมลู ค่าของตัวแปรต่างๆ
ทางเศรษฐกจิ ชุดหน่งึ จะเกิดข้ึนก่อน และจะบ่งชี้ใหเ้ หน็ ถึงทศิ ทางทางเศรษฐกิจหรือธุรกิจในเวลาต่อมา
ทาให้เราสามารถคาดการณ์อนาคตได้มากข้ึน เพราะฉะนั้นเราเรียกชุดของตัวแปรชุดแรกนี้ว่าดชั นีนา
(Leading indicators)

ภาพ 4.24 ดชั นนี า ดชั นีพ้อง และดชั นคี ล้อยตาม

2) ดัชนีประกอบ เพื่อหลีกเล่ียงปัญหาของความเช่ือถือไม่ได้จากการใช้ดัชนีนาเพียงชุด
เดียว จึงได้มีการนาเอาดัชนีประกอบ (Composite leading indicator) ซ่ึงก็คือ ค่าถัวเฉลี่ยถ่วง

119

น้าหนักของดัชนีแต่ละชุดมาใช้แทน โดยดัชนีชุดใดที่มีการช้ีนาท่ีดีกว่าก็จะได้รับการให้น้าหนักที่สูง
กว่า การหาค่าถัวเฉล่ียถ่วงน้าหนักของดัชนีนาแต่ละชุด ดังกล่าวจะช่วยขจัดปัญหาของการผันแปร
แบบสุ่มให้ลดน้อยลง และดังนั้น ดัชนีประกอบจึงเป็นดัชนีนาที่น่าเช่ือถือได้มากกว่าในการนามาใช้
พยากรณใ์ นอนกุ รมเวลา

3) ดัชนี Diffusion ดัชนีบารอมิเตอร์ประเภทท่ีสามก็คือ Diffusion index ซ่ึงเป็นดัชนี
ที่ใช้แก้ปัญหากรณีท่ีเกิดการขัดแย้งกันเองระหว่างดัชนีนาต่าง ๆ ท่ีนามาประกอบกันเป็นดัชนี
ประกอบ (Composite index) เป็นต้นว่า ในการพยากรณ์ค่า GNP ถ้าปรากฏว่าดัชนีนาท่ีสาคัญสว่ น
หน่ึงใน 12 ตัวข้างต้นแสดงทิศทางของการเคล่ือนตัวสูงขึ้น ในขณะท่ีดัชนีนา อีกบางส่วนใน 12 ตัว
แสดงทิศทางของการเคล่ือนตวั ต่าลง แทนการนาดัชนีทั้ง 12 ตัวมาประกอบกันในลักษณะของการหา
ค่าถวั เฉลย่ี ถว่ งนา้ หนกั (มนตรี สงิ หะวาระ, 2564) .

4.6 รายรับและกาไรจากการผลิต
รายรบั (Revenue) คือ รายไดท้ ่ีเกดิ จากการขายสินคา้ หรือบริการของหนว่ ยผลติ โดย

แบง่ เป็นรายรับประเภทต่าง ๆ ดงั นี้ (เสาวลักษณ์ กูเ้ จริญประสิทธิ,์ 2557)
1) รายรับรวมหรือรายรบั ท้ังหมด (Total Revenue : TR) เปน็ รายรับท่ีผผู้ ลติ ได้รับ

จากการขายสินคา้ หรอื บริการจานวนหนงึ่ ๆ หาไดจ้ ากปริมาณสินค้าที่ขายได้ (Q) คณู กับราคาขายต่อ
หนว่ ย (P) เขยี นเป็นสมการได้ดังน้ี

= ×

โดยท่ี TR แทนรายรบั รวม
P แทนราคาขายต่อหน่วย
Q แทนปรมิ าณสนิ ค้าท่ีขาย

2) รายรับเฉลี่ย (Average Revenue : AR) เปน็ ราคาขายสนิ ค้าหรือบริการตอ่ หนว่ ย

(P) หาได้จาก

( ) =


3) รายรบั หนว่ ยสุดทา้ ยหรอื รายรบั ส่วนเพิม่ (Marginal Revenue : MR) เป็น
รายรบั รวมทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป เมอื่ หนว่ ยผลิตเปลย่ี นแปลงปริมาณขายจากเดิมไป 1 หนว่ ย หาได้จาก

120


= ∆

เพ่อื ให้เหน็ ถึงความสัมพันธข์ องตวั แปรต่างในรายรบั จะขออธบิ ายผ่านตารางและลกั ษณะ
ของเส้นรายรบั ในตาราง 4.5

ตาราง 4.5 ตารางรายรบั กรณตี ลาดสมบรูณ์ รายรับเฉล่ีย รายรบั ส่วนเพ่มิ
ราคา : หน่วย ปริมาณทขี่ าย รายรบั รวม (AR) (MR)
(P) (Q) (TR)
20 20
20 1 20 20 20
20 2 40 20 20
20 3 60 20 20
20 4 80 20 20
20 5 100

จากตาราง 4.5 ตารางรายรับ กรณนี ีจ้ ะเกิดข้ึนได้เฉพาะตลาดแขง่ ขันสมบรู ณเ์ พราะราคา
ตอ่ หนว่ ยจะเปน็ ราคาเดยี วกนั หมด ทาใหร้ าคา รายรบั รวม และรายรับเฉลย่ี มีค่าเท่ากนั หมด และ
สามารถพลอตกราฟได้ดงั ภาพ 4.21

121

ภาพ 4.25 ลกั ษณะของเส้นรายรบั กรณตี ลาดเปน็ ตลาดสมบรูณ์

จากภาพ 4.25 เป็นลักษณะของเส้นรายรับ กรณีตลาดเป็นตลาดสมบรูณ์ ภาพแสดง
ความสัมพันธข์ อง TR AR และ MR กรณีราคาคงท่ี

หากกาหนดราคาเป็นราคาเดียวกันท้ังตลาด ทาให้รายรับรวม (TR) สูงข้ึนเร่ือย ๆ ส่วนราคา
ต่อหน่วย รายรับเฉล่ีย และรายรับหน่วยสุดท้ายจะมีค่าเท่ากัน น่ันคือ เส้นอุปสงค์ (D) เส้น AR และ
เส้น MR เป็นเสน้ เดยี วกนั

หากรายรับเป็นกรณีราคาสินหรือบริการเปลี่ยนแปลงหรือกรณีไม่ใช่ตลาดแข่งขันสมบรูณ์
แสดงได้ในตาราง 4.6

ตาราง 4.6 ตารางรายรบั กรณีใมใ่ ชต่ ลาดแข่งขนั สมบรูณ์

ราคา : หนว่ ย ปริมาณท่ี รายรับรวม รายรบั เฉลย่ี รายรบั สว่ นเพิม่
(MR)
(P) ผลผลติ (Q) (TR) (AR) 6
4
61 66 2
0
5 2 10 5 -2
-4
4 3 12 4

3 4 12 3

2 5 10 2

16 61

122

จากตาราง 4.6 จะเหน็ ไดว้ า่ รายรบั กรณีราคาสินหรือบริการเปลย่ี แปลงซึ่งจะเกดิ ข้นึ ในตลาด
แข่งขันไมส่ มบรู ณ์ท่ีผู้ผลติ มีอานาจในการกาหนดราคา สามารถพลอตกราฟได้ ดงั ภาพ 4.26

ภาพ 4.26 ลักษณะของเสน้ รายรบั กรณีตลาดเปน็ ตลาดแขง่ ขนั ไมส่ มบูรณ์
จากภาพ 4.26 แสดงความสมั พนั ธข์ อง TR AR และ MR ไดว้ ่า

- เมอ่ื MR เป็น + คา่ TR จะสูงขึน้
- เมอื่ MR=0 ค่า TR จะมีค่าสูงสุด
- เมอื่ MR เป็น – คา่ TR จะลดลง
- เมอ่ื ขายสนิ ค้าเพิ่มข้ึนคา่ AR และ MR จะลดลง แต่ MR<AR
- ราคาต่อหน่วย (P) และรายรับเฉลี่ย (AR) จะมีค่าเท่ากัน ทาให้เส้น AR และเส้นอุป
สงค์ (D) เปน็ เส้นเดยี วกนั
การสร้างเส้น MR จากเสน้ AR หรือเสน้ อปุ สงค์ (D)
จากตาราง 4.5 และภาพ 4.22 จะสามารถนามาสร้างเส้น MR หรือเส้นอุปสงค์ (D) ได้ ดัง
ภาพ 4.27

123

ภาพ 4.27 การสรา้ งเส้น MR จากเส้น AR หรือเส้นอปุ สงค์
จากภาพ 4.27 การสรา้ งเส้น MR จากเส้น AR หรอื เสน้ อปุ สงค์อธิบายได้วา่ ในตลาดแข่งขัน
สมบูรณ์เส้น AR, D และ MR จะเป็นเส้นเดียวกัน โดยขนานกับแกนนอน (ปริมาณขาย) แต่ในตลาด
แขง่ ขันไมส่ มบูรณ์ ผผู้ ลิตจะมอี านาจตลาดมากกว่าตลาดแขง่ ขันสมบรู ณ์ ทาให้เส้น AR และ D ลาดลง
จากซา้ ยมาขวาและมคี วามชันเป็นลบ
ดังน้ันในตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์เส้น MR จะมีความชันเป็น 2 เท่าของเส้น AR หรือเส้นอุป
สงค์ (D) เนื่องจาก MR จะมีคา่ นอ้ ยกวา่ AR
กาไรจากการผลติ
กาไร (Profit) หมายถงึ ผลตา่ งระหวา่ งต้นทนุ การผลิตทั้งหมด (Total Cost) กับรายรบั จาก
การขายผลผลิตทง้ั หมด (Total Revenue) เขยี นเป็นสมการไดด้ งั น้ี

= −
ถา้ TR = TC ดังนัน้ π = 0 ในทางเศรษฐศาสตรห์ มายถึง กาไรปกติ (Normal Profits)
ถ้า TR > TC ดังน้ัน π > 0 ในทางเศรษฐศาสตร์หมายถึง กาไรทางเกินปกติ
(Economic Profits)
ถา้ TR < TC ดงั น้ัน π < 0 ในทางเศรษฐศาสตรห์ มายถึง ขาดทุน (Loss)

124
ในการผลิตท่ัวไป ผู้ผลิตย่อมต้องการได้รับกาไรสูงสุด (Maximized Profit) จากการผลิต
การที่จะไดร้ ับกาไรสูงสุดจากการผลติ มวี ิธพี ิจารณา 2 วิธี คอื
1) การหากาไรสงู สดุ จากการพิจารณารายรบั รวมและตน้ ทนุ รวม ดงั แสดงในภาพ 4.24

ภาพ 4.28 กาไรสงู สุดจากการพจิ ารณารายรับรวมและต้นทนุ รวม
จากภาพ 4.28 จะเห็นว่า ณ ปริมาณการผลิต Q จะเป็นปริมาณท่ีผู้ผลิตได้รับกาไรสูงสุด
เน่ืองจากเส้น TR และ TC อยู่ห่างกันมากท่ีสุดคือช่วง AB ถ้าก่อน 0 หรือหลัง 1 จะเป็นช่วงท่ี
ขาดทุน เนอื่ งจากเส้นต้นทุนรวมมากกว่ารายรับรวม หรอื เสน้ ตน้ ทุนรวมอย่สู งู กว่าเส้นรายรบั รวม
2) การหากาไรสูงสุดจากการพิจารณารายรับส่วนเพิ่ม (MR) กับต้นทุนส่วนเพ่ิม (MC)
ดังแสดงในภาพ 4.29

125

ภาพ 4.29 กาไรสูงสดุ จากรายรบั รวมกับตน้ ทุนส่วนเพ่ิม กรณีตลาดแข่งขนั สมบรูณ์
ภาพ 4.29 เป็นตลาดแข่งขนั สมบรณู เ์ พราะ MR=AR=D จะเหน็ ไดว้ ่าปริมาณผลติ ที่ทาให้
เกิดกาไรสงู สดุ คือปรมิ าณทท่ี าใหค้ า่ ความชนั ของ TR กบั TC เทา่ กนั หรอื กลา่ วได้วา่ เป็นจุดท่ี
MR=MC
จากภาพจะเหน็ วา่ MC=MR มอี ยู่จุดคือ A และ B ถา้ MR>MC แสดงว่ากาไรจะเพ่ิมขนึ้ ทลี ะ
หน่วย ซ่ึงจุด A หรือปรมิ าณ 0 จึงยังไมใ่ ช่จุดทไ่ี ด้กาไรสงู สดุ จึงควรผลติ เพมิ่ ขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุด B
หรอื ปรมิ าณ 1จีงจะไดร้ บั กาไรสูงสุด แต่ถ้าผลิตมากกวา่ 1 ซ่ึงเป็นชว่ งท่ี MR<MC จะทาให้
กาไรรวมลดลง
หากตอ้ งการหากาไรสูงสดุ จากการพิจารณารายรับรวมกบั ต้นทุนสว่ นเพ่มิ กรณีตลาดเป็น
ตลาดแข่งขนั ไมส่ มบรณู ์ แสดงในภาพ 4.30

126

ภาพ 4.30 กาไรสงู สุดจากรายรบั รวมกบั ต้นทุนสว่ นเพมิ่ กรณีตลาดแขง่ ขนั ไมส่ มบรูณ์

ในตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ เช่น ตลาดผูกขาด ตลาดผู้ขายน้อยราย หรือตลาด ก่ึงแข่งขันก่ึง
ผูกขาด ทาให้เส้น AR กับเส้น MR ไม่ใช่เส้นเดียวกัน ณ จุด A คือจุดท่ี MC=MR เป็นจุดท่ีผู้ผลิตจะ
ได้รับกาไรสูงสุดซ่ึงมีการผลิตท่ีปริมาณ 0 0 หน่วย และขายในราคา 0 0 บาท (เสาวลักษณ์ กู้
เจรญิ ประสทิ ธ์,ิ 2557)

4.7 การประยุกต์ทฤษฎกี ารผลิต
แนวคิดเร่ือง “ทฤษฎีการผลิต” สามารถนามาประยุกต์ใช้ได้กับธุรกิจ การประกอบการ

ตลอดจนงานวจิ ยั ทางวิชาการ โดยจะขอยกตัวอยา่ ง ดังน้ี
การประยกุ ต์แนวคดิ เรอื่ งทฤษฎกี ารผลิตเพ่ือลดต้นทุนผลิตของการปลูกข้าว
พิกุล พงษ์กลาง ได้นาเสนอแนวทางลดต้นทุนผลิตของการปลูกข้าว ผ่านบทความวิชาการ

ซ่ึงระบวุ า่ สาเหตุของปัญหาราคาข้าวตกต่านั้นมาจาก ปจั จยั ภายในประเทศ รวมท้งั ภาวะตลาดส่งออก
ท่ีไม่เอ้ือ อานวย ซ่ึงเป็นปัจจัยภายนอกประเทศนับเป็นส่วนหน่ึง ท่ีทาให้ปัญหาราคาข้าวตกต่แก้ไขได้
ยากข้ึน เนอ่ื งจาก ขา้ วเป็นสนิ ค้าเกษตรตามฤดกู าลเม่อื มผี ลผลติ เกิน ความตอ้ งการจงึ เกบ็ ไวใ้ นปริมาณ
สูงทั้งน้ีเมื่อพิจารณา จากปริมาณการส่งออกแล้วพบว่าในปัจจุบันข้าวไทย อยู่ในสถานะดาวร่วงของ
ภูมิภาคอาเซียนเน่ืองจากมี ผู้ผลิตประเทศอื่นในภูมิภาคเข้ามาร่วมค้ามากขึ้นท้ัง ประเทศเวียดนามท่ี
เป็นผู้ค้ารายใหญ่ของโลกรวมท้ัง ประเทศกัมพูชาและเมียนมาร์มีการขยายตัวด้านการ ค้าข้าวอย่าง
ก้าวกระโดดขณะท่ีประเทศคู่ค้าสาคัญใน ภูมิภาคอาเซียนของไทยอย่างฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ
มาเลเซียเริ่มมีนโยบายลดการนาเข้าข้าวโดยส่งเสริม ให้ปลูกข้าวบริโภคเองในประเทศรวมถึง

127

ประสิทธิภาพ การผลิตข้าวของประเทศไทยค่อนข้าง แต่มีต้นทุน - สูง ชาวนามีจานวนเงินเหลือน้อย
เม่ือเทียบกับประเทศ เพ่ือนบ้าน โดยแนวทางในการลดต้นทุนผลิตของการปลูกข้าวสามารถแจกแจง
รายละเอียด ดงั น้ี

แนวทางท่ี 1 ตอ้ งมีการจดบันทกึ ข้อมูลรายรับ เป็น รายจา่ ยแบบง่ายโดยเรม่ิ ตง้ั แต่วันท่ี
ลงมือทานาจนถึงวัน ประ ที่จาหน่ายผลผลิตรวมทั้งจดบันทึกและสรุปข้อมูลเก่ียว สอบ กับจานวน
ผลผลิตท่ีได้เม่ือส้ินฤดูการทานาเพื่อให้ตนเอง รวบ สามารถนาข้อมูลท่ีได้บันทึกไว้มาใช้ประโยชน์ใน
การ ชุมชน วิเคราะห์ต้นทุนได้อย่างต่อเน่ืองรวมทั้งสามารถตรวจ ไว้ คือ สอบได้ว่าผลผลิตที่ได้มีกาไร
หรอื ขาดทุนเทา่ ไร

แนวทางท่ี 2 ต้องเพ่ิมประสิทธิภาพด้านการลดต้นทุนการผลิตเพ่ือเพ่ิมรายได้ ซ่ึงการ
เพิ่มรายได้จากการปลูกข้าวนั้นเกษตรกรไม่สามารถเพ่ิมราคาขายผลผลิตในตลาดได้ อาจส่งผลให้
สูญเสียตลาดให้กับคู่แข่งขันได้ ดังน้ันหลักประกันในการเพ่ิมรายได้ของชาวนาไม่ใช่การกาหนดราคา
ขายเพราะข้าวเป็นผลิตผลทางการเกษตรที่ราคามีความเคลื่อนไหวตามความต้องการของตลาดโลก
และราคาข้าวจะแตกต่างกันตามคุณภาพของข้าว ดังนั้นหลักประกันในการเพิ่มรายได้ของชาวนาจึง
เป็นการลดหรือควบคุมต้นทุนการผลิตขา้ ว ซ่ึงการลดตน้ ทุนและค่าใชจ้ ่ายในการผลิตมี 2 ส่วนท่ีสาคัญ
คือ ส่วนแรกเป็นการลดการใช้ปัจจัยการผลิตของชาวนา โดยใช้นโยบายลด คือ ลดการใช้ปุ๋ย ลดการ
ใช้ยาฆ่าแมลง และลดค่าจ้างในการทานา ส่วนที่สองน้ันเป็นการลดต้นทุนท่ีสาคัญของการทานาอีก
อย่างหนึ่งคือเมล็ดพันธ์ุข้าวสาหรับกรณีของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์เมล็ดพันธ์ุข้าวตาบลออนใต้นั้น
สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนได้รับเมล็ดพันธุ์แจกจากกรมการข้าวให้นาไปผลิตต่อเป็นเมล็ดพันธุ์ดีเพ่ือ
ดาเนินการเพาะปลูกเองดังนั้นจากนโยบายลดดังกล่าวข้างต้นถ้าชาวนาสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ก็
เท่ากับชาวนาสามารถควบคุมต้นทุนการผลิตได้ จะส่งผลให้ชาวนามีโอกาสทากาไรในการผลิตข้าวได้
มากขึ้น

แนวทางท่ี 3 แนวทางการบริหารจัดการเป็นการมุ่งแก้ปัญหาภายในว่าจะจัดการ
บริหารงานอย่างไรจึงจะช่วยให้การปลูกข้าวได้ผลผลิตสูง ต้นทุนการผลิตต่ามีกาไรและสามารถ
คาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคตได้ตามกระบวนการบริหารท่ีสาคญั โดยข้อมูลทส่ี ามารถตอบสนองความ
ต้องการเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายท่ีต้ังไว้จะต้องมีกระบวนการจัดการท่ีดีซ่ึงจะช่วยให้การบริหารงาน
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพโดยกระบวนการท่ีสาคัญประกอบด้วยการวางแผนการปฏิบัติตามแผน
การตรวจสอบและการดาเนินการให้เหมาะสม โดยจะต้องมีการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อช่วย
ให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสามารถปฏิบัติงานได้บรรลุเป้าหมายที่กาหนดไว้ คือ รวบรวมข้อมูลเพื่อ
พิจารณาปัญหาท่ีเกิดข้ึน หาช่องทางในการแก้ไขปัญหาและเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดจากทางเลือก
หลายๆทางซึ่งการบริหารจัดการของเกษตรกรเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้มีพลังใน การ
ขบั เคล่อื นสู่การแกไ้ ขปญั หาความยากจน และการสร้างโอกาสใหแ้ กป่ ระชาชนอย่างย่งั ยืนตามแนวทาง

128

เศรษฐกิจพอเพียงเพ่ือพัฒนาศักยภาพของประชาชนให้มีความพร้อมในกร ะบวนการการสร้างสรรค์
ความคิดและนาไปสู่แนวทางปฏิบัติในดา้ นการดารงชวี ติ ใหม้ คี ณุ ภาพอยา่ งมน่ั คงและยัง่ ยนื

แนวทางท่ี 4 การเรียนรู้เก่ียวกับการคานวณต้นทุนการผลิตและการบริหารต้นทุนการ
ผลิตของการปลูกข้าว จากหน่วยงานต่าง ๆ อย่างสม่าเสมอ รวมทั้งมีการรวมกลุ่มเกษตรกรชาวนาใน
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องดังกลา่ วเพ่ือนาไปสู่แนวทางในการลดต้นทุนการผลิตของการปลกู
ขา้ วแต่ละปไี ดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ

นอกจากน้ีชาวนายังสามารถนาความรู้เทคโนโลยีการปลูกข้าวอย่างเหมาะสมไปบริหาร
จดั การและควบคุมคา่ ใช้จ่ายทไี่ มจ่ าเป็นทเ่ี กิดขน้ึ เพ่ือลดต้นทนุ การผลติ ของการปลูกข้าว ดังน้ี

1) การปรับเปล่ียนวิธีการจากการจ้างคนอ่ืนทาทุกข้ันตอน ไปเน้นการพึ่งตนเองให้ได้
รวมท้ังมีการปรับทักษะของตนให้ทางานบางอย่างโดยไม่ต้องไปจ้างคนอื่นเป็นการทาเองซ่ึงสามารถ
ดูแลไดท้ วั่ ถงึ กว่าการจา้ งคนอื่นสง่ ผลใหต้ น้ ทุนค่าแรงงานถูกลงนาไปสูก่ าไรท่มี ากขึน้

2) การใช้เมล็ดพันธุ์ที่ดีและมีคุณภาพ เหมาะสมกับพื้นท่ี ในอัตราท่ีเหมาะสมทาให้มี
ผลผลติ มากขน้ึ

3) ปรกึ ษานักวิชาการส่งเสริมการเกษตรเพื่อเรยี นร้วู ธิ ีการในการจัดการไร่นาให้ถูกต้อง
ตามหลักวิชาการ เพอ่ื ใหไ้ ดผ้ ลผลิตทด่ี มี ีคุณภาพ

4) วิเคราะห์ดินเพ่ือทราบความต้องการใชป้ ุ๋ยเน้นการปรับปรุงหน้าดิน โดยการไถกลบ
ตอซัง เร่งการผุพังสลายตัว ไม่เผาฟาง นามูลสัตว์มาใช้ประโยชน์ในการปรบั ปรุงบารุงดิน เพื่อให้ดินมี
ความอุดมสมบูรณ์ ทาให้มีความจาเป็นในการใช้ปุ๋ยเคมีลดลง ส่งผลให้ต้นกล้าท่ีข้ึนมาแตกกอดีข้ึน
แขง็ แรง และมคี วามตา้ นทานโรค ส่งผลให้ไดผ้ ลผลิตมากขึน้

5) หาแนวทางในการลดตน้ ทุนการผลติ ในการใช้ปจั จัยให้คุ้มคา่ และระมดั ระวงั ให้มาก
ท่สี ดุ ดังนี้

5.1) ตรวจสอบแปลงนาก่อนการใช้ปุ๋ยเคมี และควรใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ไมใ่ ส่เกนิ ความตอ้ งการของพืชและดินเพื่อไมใ่ ห้ส้นิ เปลืองโดยเปลา่ ประโยชน์

5.2) ตรวจสอบแปลงนาก่อนฉีดพ่นสารป้องกันกาจัดศัตรูข้าวและฉีดพ่นให้ถูกวิธี
และในปรมิ าณทีเ่ หมาะสม ควรใชร้ ว่ มกับสารชีวภาพ เพ่ือรกั ษาสมดุลธรรมชาตแิ ละประหยัดค่าใช้จา่ ย

งานวจิ ัยท่นี าแนวคดิ เรื่องทฤษฎกี ารผลติ มาประยกุ ต์
แนวคิดเร่ือง “ทฤษฎีการผลิต” สามารถนาไปประยุกต์ใช้กับการประกอบการได้ในหลายๆ

รูปแบบ เช่น แบบจาลองการพยากรณ์ทั้งในเรื่องราคา ต้นทุน กาไร ฯลฯ หรือสามารถนาไปใช้
วิเคราะห์จุดคุ้มทุนโดยการใช้เทคนิคพยากรณ์เพ่ือการวางแผนกาไรขาดทุนได้ โดยผู้เขียนได้ขอ
ยกตวั อย่างกรณศี ึกษาการนาองค์ความรู้เรื่องทฤษฎกี ารผลิตไปประยุกต์ใช้ ดงั น้ี

129

อนุธิดา ประเสริฐศักด์ิ ได้นาองค์ความรู้เรื่องทฤษฎีการผลิตไปประยุกต์ใช้ในบทความ
วิชาการเรื่อง การลดต้นทุนเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ โดยผลการวิจัยระบุว่า ปัญหาเศรษฐกิจนับเป็น
ปัญหาหน่ึงของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสินค้าขาดแคลนและมีราคาแพงก็ตาม ผู้ประกอบการ
ที่เป็นผู้ผลิตสินค้าก็เกิดปัญหาทางด้านต้นทุนซึ่งมีราคาสูงข้ึน ไม่ว่าจะเป็น วัตถุดิบ ค่าแรงงาน และ
ค่าใช้จ่ายการผลิตอื่นๆ โดยเฉพาะค่าน้ามันท่ีต้องใช้ในการขนสง่ สินค้า ค่าวัตถุดิบที่ใช้ในการผลติ และ
ให้บริการซ่ึงมีราคาสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของสินค้าท่ีผลิต ดังนั้น ผู้บริหารควรตระหนักถึง
ความสาคัญของการลดต้นทุนเพ่ือความอยู่รอดและเพ่ิมศักยภาพในการแข่งขันของกิจการ และ
บรรเทาปญั หาทางเศรษฐกจิ สังคมของประเทศ ธุรกิจทีแ่ ตกตา่ งกันย่อมมีลกั ษณะของต้นทนุ ท่ีแตกต่าง
กัน เพื่อประโยชน์สาหรับการนาข้อมูลต้นทุนมาใช้ในการบริหาร ผู้บริหารต้องมีความรู้ความเข้าใจ
เกี่ยวกบั ต้นทนุ ของกจิ การตนเอง เพอื่ นามาใชใ้ นการบริหารเรือ่ งการวางแผนและตดั สินใจ การควบคมุ
การจัดทางบประมาณ และการเพ่ิมประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน การลดต้นทุนถือเป็นส่ิงสาคัญ
เพราะต้นทุนที่เพ่ิมขึ้นย่อมหมายถึงกาไรที่ลดลง แต่ถ้ากิจการสามารถลดต้นทุนลงได้ น่ันถือเป็น
ช่องทางหนง่ึ ของการเพมิ่ กาไร ผบู้ ริหารสามารถนากลยุทธ์การลดต้นทุนไปประยุกต์ใชใ้ ห้เหมาะสมกับ
กจิ การของตนเอง ไดแ้ ก่ การลดตน้ ทนุ ด้วยการเพิ่มผลผลิต การลดต้นทนุ ดา้ นโลจสิ ติกส์ การลดต้นทุน
โดยใช้การประเมินผลดุลยภาพ การลดต้นทุนด้วยการเรียนรู้วิธกี ารปฏิบัติท่ีดีที่สดุ จากหน่วยธุรกิจอ่นื
การลดต้นทุนด้วยการควบรวมกิจการ การลดต้นทุนด้วยวิธีซิกซิกม่า การลดต้นทุนการตลาดแบบ
กองโจร การลดต้นทุนด้วยการสร้างอานาจในการต่อรอง การลดต้นทุนด้วยการใช้วิธีการจัดจ้าง
บุคคลภายนอก และการลดต้นทุนโดยการลดพนักงานฯลฯ ซ่ึงจะมีผลทาให้เกิดความย่ังยืนของธุรกิจ
(อนุธดิ า ประเสรฐิ ศกั ด,ิ 2551)

อรทัย วานิชดี ธณกร เทียมอุดมฤกษ์ จงจิตต์ แซ่ล้ี และ แววระวี ชนะนนท์ ได้นาองค์
ความรู้เร่ืองทฤษฎีการผลิตไปประยุกต์ใช้ในงานวิจัยเรื่อง “การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนและการใช้เทคนิค
พยากรณ์เพ่ือการวางแผนกาไร กรณีศึกษาผลิตภัณฑ์ เดอะ ทรีทเม้นท์ เซรั่ม ของวิสาหกิจชุมชนวา
เบลล์ล่าซ์ จังหวัดพิจิตร” โดยที่งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์จุดคุ้มทุนและใช้เทคนิค
พยากรณ์เพื่อการวางแผนกาไร ผลิตภัณฑ์ เดอะ ทรีทเม้นท์ เซร่ัม ของวิสาหกิจชุมชนวาเบลล์ล่าซ์
จังหวัดพิจิตร โดยใช้ข้อมูลอนุกรมเวลารายเดือนต้ังแต่เดือนมกราคม พ.ศ.2560 – เดือนธันวาคม
พ.ศ.2561 ผลการวิเคราะห์ จุดคุ้มทุนในอดีตของผลิตภัณฑ์เดอะทรีทเม้นท์ เซรั่ม พบว่าในปีพ.ศ.
2560 และปีพ.ศ.2561 มีจุดคุ้มทุนเฉลี่ยประมาณ 21,132.87 บาทและ 21,450.79 บาท
ตามลาดับ ในส่วนของการพยากรณ์โดยการเปรียบเทียบเทคนิคการพยากรณ์ด้วยวิธี Holt’s
exponential smoothing และวิธี Winter’s exponential smoothing ใช้เกณฑ์วิเคราะห์
ค่าเฉล่ียเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนสมบูรณ์(MAPE) พบว่าการพยากรณ์ด้วยวิธีWinter’s
exponential smoothing ของข้อมลู ยอดขาย ต้นทนุ คงท่ี และตน้ ทุนผันแปรมีค่าเฉล่ีย เปอร์เซ็นต์

130

ความคลาดเคลื่อนสมบูรณ์น้อยกว่าโดยมีค่า MAPE เท่ากับ 2.07%, 0.03% และ1.96%
ตามลาดับ จึงสรุปได้ว่าวิธีการพยากรณ์ดังกล่าวมีความเหมาะสมให้ผลที่แม่นย ากว่า ผลการน า
ข้อมูลพยากรณ์ปีพ.ศ.2562ไปใช้ในการวิเคราะห์จุดคุ้มทุนปรากฏว่าจุดคุ้มทุน พยากรณ์เฉลี่ยเท่ากับ
21,803.33 บาท หรือคิดเป็นหน่วยประมาณ 37 ขวด (อรทัย วานิชดี ธณกร เทียมอุดมฤกษ์ จง
จิตต์ แซล่ ้ี และ แววระวี ชนะนนท์, 2563)

ปิยธิดา หฤทัยปรีดากุล และ พัฒน์ พัฒนรังสรรค์ ได้นาองค์ความรู้เร่ืองทฤษฎีการผลิตไป
ประยุกต์ใช้ในงานวิจัยเร่ือง “แบบจาลองการพยากรณ์ยอดขายโดยวิธีการทางเศรษฐมิติ: กรณีศึกษา
ช้ินส่วน นิวเมติกส์ของบริษัท นิวแม็ก จากัด สาขาชลบุรี” โดยที่งานวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือกาหนด
แบบจาลองทางเศรษฐมิติสาหรับการพยากรณ์ยอดขายอุปกรณ์นิวเมติกส์ของบริษัท นิวแม็ก จากัด
สาขาชลบุรี โดยใช้ข้อมูลอนุกรมเวลารายไตรมาส ต้ังแต่ไตรมาส 1 ปี 2550 ถึงไตรมาส 4 ปี 2560
รวมท้ังส้ิน 44 ไตรมาสและนามาวิเคราะห์หาแบบจาลองการพยากรณ์ยอดขายโดยวิธีการทางเศรษฐ
มิติด้วยวิธีกาลังสองน้อยท่ีสุดสามช้ัน (Three-stage Least Squares; 3SLS) ซึ่งได้กาหนดระบบ
สมการเก่ยี วเนื่องท่ปี ระกอบไปด้วยแบบจาลองยอดขายชิ้นสว่ น อุปสงค์ยางรถยนต์ ปรมิ าณรถยนต์ใน
ประเทศ และปริมาณรถยนต์ส่งออก เพ่ือแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางเศรษฐกิจต่าง ๆ
ที่มีผลต่อยอดขายชิ้นส่วนท้ังทางตรงและทางอ้อม ผลการวิจัยพบว่าแบบจาลองทางเศรษฐมิติที่
นาเสนอในการศึกษาน้สี ามารถใชเ้ ป็นทางเลือกในการพยากรณ์สนิ ค้าและผลติ ภณั ฑ์ชนิดอื่นๆ ได้ โดย
ผลการศึกษาเชิงประจักษ์สาหรับการพยากรณ์ยอดขายของช้ินส่วนนิวเมติกส์ของบริษัท นิวแม็ก
จากัด สาขาชลบุรี ณ นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อยอดขายอะไหล่ของ
เครอื่ งจกั ร PCD245NB-100SP ไดแ้ ก่ ปรมิ าณการสง่ั ซอ้ื ยางรถยนต์และราคาอะไหล่ ปัจจยั ทส่ี ง่ ผลต่อ
ปริมาณรถยนต์ในประเทศ ได้แก่ ราคาน้ามันดิบในตลาดโลก และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
ของไทย ในขณะท่ีปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณรถยนต์ส่งออก ได้แก่ ราคาน้ามันดิบในตลาดโลก ดัชนี
ผลิตภัณฑ์มวลรวมของโลก และราคารถยนต์ส่งออก ทั้งน้ี ผลจากการนาแบบจาลองที่ประมาณได้ไป
ใช้ในการพยากรณ์ยอดขายอะไหล่ของเคร่ืองจักร PCD245NB-100SPพบว่ายอดขายอะไหล่จะมี
แนวโน้มลดลงเล็กน้อย ซ่ึงผลการพยากรณ์น้ีเองสามารถใช้เป็นข้อมูลสาหรับการวางแผนการส่ังซ้ือ
และจดั เก็บชิ้นสว่ นเพ่ือให้การบริหารจัดการเปน็ ไปอย่างมีประสิทธภิ าพ (ปยิ ธดิ า หฤทัยปรีดากุล และ
พฒั น์ พฒั นรังสรรค์

จากการทบทวนเน้ือหาสาระ แนวคิดทฤษฎี และการประยุกต์กรณีศึกษาจากงานวิจัยที่ได้
นาเสนอมา ผูเ้ ขียนได้นิรนัยข้อมูลซ่ึงสามารถสังเคราะห์ได้ว่าองค์ความรูเ้ รื่องทฤษฎกี ารผลิตสามารถ
นาไปใช้ประโยชน์ได้จริงกับธุรกิจโดยเฉพาะอย่างย่ิงการนาข้อมูลขนาดใหญ่มาทาการพยากรณ์ท้ังใน
เร่ืองราคา ต้นทุน กาไร ฯลฯ ซึ่งอาจจะต้องพิจารณาว่าเป็นการผลิตในระยะส้ันหรือการผลิตในระยะ
ยาวเพื่อที่จะวางแผนการพยากรณ์ให้เหมาะสม ทั้งน้ีการพยากรณ์ท่ีไม่ว่าจะเป็นการพยากรณ์ต้นทุน

131

ผลผลิตหรือกาไรจะต้องเลือกใช้ประเภทของการพยากรณ์ให้เหมาะสมกับเคร่ืองมือทางสถิติ โดย
อาจจะจัดประเภทการพยากรณ์ไว้ 3 รูปแบบ คือ การวางแผนระยะยาว ที่เป็นการพยากรณ์ในช่วง
ระยะเวลา 3 ปีข้ึนไป การพยากรณ์ระยะปานกลาง ที่เป็นการพยากรณ์ในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี
และการพยากรณ์ระยะสั้น เป็นการพยากรณ์ในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี ซ่ึงเป็นข้อมูลที่ผู้บริหาร
ระดบั ลา่ งใชเ้ พ่ือการกาหนดแผนปฏบิ ัติการในการดาเนินงานเพือ่ ใหบ้ รรลุวัตถุประสงค์ในระยะสั้นของ
ธรุ กิจ โดยสงิ่ ท่ีสาคญั ทจี่ ะตอ้ งนาไปใช้ควบคูใ่ นการพยากรณ์ร่วมกับองค์ความรเู้ รื่องทฤษฎีการผลิต คือ
การใช้แบบจาลองเศรษฐมติ ิ โดยจะต้องพจิ ารณาให้ดีวา่ จะใชแ้ บบจาลองสมการเดย่ี ว หรอื แบบจาลอง
สมการเชิงซ้อน โดยพิจารณาจากต้องพจิ ารณาจากความสัมพนั ธ์กบั ตัวแปรที่มีต่อกนั และกนั ให้ดีจึงจะ
นาไปทาการวิเคราะหแ์ ละพยากรณใ์ ห้เกิดประสทิ ธิภาพสงู สุด

132

แบบฝึกหดั ประจาบทท่ี 4

1. การผลติ ในระยะสน้ั และการผลิตในระยะยาวคืออะไร แตกต่างกันอย่างไร

2. กฎว่าดว้ ยการลดนอ้ ยถอยลงของผลผลติ เพ่ิม (Law of Dimishing Marginal Physical Returns)

มสี าระสาคญั อย่างไร เหตุใดจึงเกดิ ปรากฏการณ์ดังกล่าว อธิบายพร้อมยกตวั อย่างประกอบ

3. จงแสดงเสน้ กราฟของต้นทุนต่อไปนี้ (ให้พจิ ารณาจุดต่าสุดหรือจดุ ตัดของแต่ละเสน้ )

ก) ต้นทนุ คงทเ่ี ฉลย่ี (AFC)

ข) ตน้ ทุนรวมเฉล่ยี (ATC หรือ AC)

ค) ต้นทุนผนั แปรเฉลย่ี (AVC)

ง) ต้นทนุ เพิ่ม (MC)

4. เหตใุ ด MC=MR จึงเป็นเงื่อนไขการผลติ ทใ่ี ห้กาไรสูงสดุ จงอธบิ ายพร้อมทั้งวาดภาพประกอบ

5. จงคานวณและเติมคาตอบ ผลผลิตของขา้ ว (จานวนถัง) โดยใช้ปรมิ าณปุย๋ (ปจั จัยผันแปร) ตา่ ง ๆ

เน้อื ที่ (ไร)่ ปรมิ าณป๋ยุ ผลผลติ ท้ังหมด ผลผลิตเฉล่ยี ต่อ ผลผลิตหนว่ ย

(กิโลกรัม) ของข้าวทไี่ ด้ ป๋ยุ 1 กโิ ลกรมั สดุ ทา้ ย (ถัง)

(ถงั )

115

1 2 12

1 3 21

1 4 32

1 5 40

1 6 42

1 7 42

1 8 40

1 9 36

6. "นาย ก ทาการผลติ นา้ หอม ในช่วงแรกๆสามารถสร้างรายรับให้กับกจิ การไดอ้ ย่างสงู แต่เมื่อเกดิ
สถานการณน์ ้าท่วมทาให้วตั ถุดิบสูงขึน้ แม้จะมรี ายรบั เข้ามา แตก่ ็พบว่าขาดทุนไปเล็กน้อย เม่อื
พิจารณาเร่ืองต้นทุนจะสามารถอธิบายเหตกุ ารณน์ ้ีได้อย่างไร
7.การผลิตระยะยาวและระยะสนั้ แตกตา่ งกันอย่างไร จงอธบิ าย

133

8. หลักการวิเคราะห์หากาไรสูงสดุ จากการใช้เส้นสว่ นเพ่มิ คอื ความสัมพนั ธร์ ะหว่างเส้นใด จงอธบิ าย
และวาดภาพประกอบ
9. จงคานวณและเติมคาตอบ ต้นทุนการผลติ หมวกมีต้นทุนการผลิต

ผลผลติ TFC TVC TC AFC AVC AC MC
(Q)

0 10 0

1 10 2.00

2 10 3.00

3 10 3.50

4 10 3.75

5 10 5.50

6 10 8.00

7 10 12.00

8 10 18.00

9 10 26.00

10 10 36.00

10. จงคานวณและเตมิ คาตอบ ดลุ ยภาพในการผลิต ตน้ ทุน รายรับ และกาไรจากการผลติ

ปรมิ าณ (Q) ราคา TR TC กาไร (π) MR MC

(P)

1 13 23

2 12 27

3 11 30

4 10 32

59 33

68 36

77 40

134

ตวั อย่างข้อสอบบทท่ี 4

1. ขอ้ ใดเป็นปจั จัยคงท่ี (Fixed Factors)
ก. ค่าจ้างแรงงาน ข. คา่ ขนสง่ ทางอากาศ ค. ค่าเช่าท่ตี ง้ั โรงงาน ง. คา่ วตั ถุดบิ

2. ผลผลติ ส่วนเพมิ่ (Marginal Product : MP) หมายถึง
ก. จานวนผลผลิตทง้ั หมดทไี่ ดจ้ ากการผลติ โดยใช้ปัจจยั การผลติ ผนั แปรจานวนหน่งึ และปัจจัย

คงท่ี
ข. จานวนผลผลติ ทงั้ หมดที่ไดต้ อ่ ปัจจัยผันแปรหน่งึ หนว่ ย
ค. ปัจจัยการผลิตท่ีไม่เปลี่ยนแปลงตามระดับการผลิต ไม่ว่าจะผลิตมากหรือน้อยก็ใช้ปัจจัย

เท่าเดิม
ง. จานวนผลผลิตทเี่ ปลีย่ นแปลงไป เมือ่ ปจั จัยการผลติ เปลย่ี นแปลงไป 1 หน่วย

3. จากภาพการผลติ ในช่วงใดเหมาะสมทสี่ ุด

ก. ช่วงการผลิตที่ 1 ข. ช่วงการผลิตท่ี 2

ค. ชว่ งการผลติ ที่ 3 ง. ไม่มขี ้อถูก

4. จากภาพข้อ 36 สาเหตุใดที่ผูผ้ ลติ ควรจะเลือกการผลิตสินคา้ หรือบรกิ ารในช่วงที่ 2 ตาม

แนวคิดการแบ่งชว่ งการผลติ

ก. เปน็ ช่วงที่ให้ผลผลิตรวม (TP) สูงสุด

ข. เป็นชว่ งทใ่ี ห้ผลผลิตรวม (TP) ลดลง

ค. เป็นช่วงท่ีใช้ปจั จยั ผันแปรมากท่ีสดุ

ง. เป็นชว่ งทใ่ี ช้ผลผลิตรวม (TP) ตา่ ท่ีสดุ

5. ขอ้ ใดแสดงความหมายของการผลิตระยะส้นั ไดอ้ ย่างถกู ต้อง

ก. ระยะที่ใช้ปัจจยั คงที่เพยี งชนดิ เดยี ว ข. ระยะที่ใชป้ ัจจัยผนั แปรเพียงชนิดเดยี ว

ค. ระยะท่ีใช้ปจั จยั คงที่ร่วมกับปัจจยั ผันแปร ง. ระยะท่ใี ช้ปจั จัยการผลิตลดลง

135

6. ต้นทนุ ทางเศรษฐศาสตร์ มีคา่ ไมเ่ ทา่ กบั ตน้ ทุนทางบัญชเี พราะอะไร
ก. ต้นทนุ ทางบญั ชีคิดเฉพาะ Explicit Cost
ข. ตน้ ทุนทางเศรษฐศาสตร์คิดรวม Implicit Cost และ Explicit Cost
ค. ต้นทุนทางบญั ชคี ดิ ละเอียดกวา่ ตน้ ทนุ ทางเศรษฐศาสตร์
ง. หลกั และองค์ประกอบในการคิดต้นทนุ แตกตา่ งกันอย่างส้ินเชิง

7. ขอ้ ใดเป็นความหมายของเส้นผลผลิตเทา่ กัน (Isoquant Curve)
ก. เสน้ ท่แี สดงถึงการใช้ปจั จัยการผลติ 2 ชนดิ ในส่วนผสมตา่ งๆกันซึง่ ใหผ้ ลผลติ เทา่ กนั
ข. เสน้ ท่ีแสดงถงึ การได้ผลผลิตทเี่ ท่ากนั
ค. เสน้ ท่ีแสดงถงึ ปัจจัยการผลติ ทใี่ ช้เพ่อื ผลติ สนิ คา้ และบรกิ าร
ง. เสน้ ทีแ่ สดงถึงการใชป้ จั จัยการผลติ มากกว่า 2 ชนิดท่ีทาให้ผลผลิตเท่ากนั ท้งั หมด

8. เส้นผลผลิตเทา่ กัน (Isoquant Curve) ที่เป็นเส้นโค้งหมายถึง
ก. ปจั จัยการผลติ ท่ีอยู่บนแกนทัง้ สองทดแทนกนั ได้อย่างสมบรู ณ์
ข. ปัจจัยการผลิตทอี่ ย่บู นแกนทั้งสองทดแทนกันไมไ่ ด้เลย
ค. ปจั จยั การผลิตทอี่ ยูบ่ นแกนทง้ั สองทดแทนกนั ได้ไมส่ มบูรณ์
ง. ผิดทกุ ข้อ

9. เสน้ ทแี่ สดงส่วนประกอบต่าง ๆ ของปัจจัยการผลติ สองชนิดที่ผูผ้ ลิตสามารถซื้อไดด้ ้วยเงนิ
จานวนเท่ากัน หมายถึง

ก. เส้นตน้ ทนุ เทา่ กนั ข. เส้นผลผลิตส่วนเพม่ิ
ค. เส้นผลผลติ ทั้งหมด ง. เส้นผลไดต้ ่อขนาด
10. ข้อใดกล่าวถูกตอ้ งเกยี่ วกับผลไดต้ อ่ ขนาดเพิ่มขนึ้ (Increasing Return to Scale)

ก. เม่อื เพิ่มปจั จยั การผลิต 3% ไดป้ ริมาณผลผลิตเพ่ิมข้ึน 3%
ข. เม่อื เพ่ิมปัจจยั การผลติ 3% ไดป้ ริมาณผลผลติ เพิ่มขน้ึ 6%
ค. เมอ่ื เพิ่มปจั จัยการผลติ 3% ได้ปริมาณผลผลติ เพ่ิมข้ึน 2%
ง. เมื่อเพ่ิมปจั จยั การผลติ 3% ปริมาณผลผลิตไม่เพมิ่ ขึน้ เลย
11. ข้อใดต้นเหตทุ ท่ี าให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale)
ก. คนงานขาดทักษะ ข. วัตถุดิบขาดแคลน
ค. วตั ถดุ ิบราคาถูก ง. ธุรกจิ ไม่มคี วามน่าเชอ่ื ถือ
12. ขอ้ ใดแสดงการคานวณคา่ AC ได้อย่างถกู ตอ้ ง
ก. AFC + AVC ข. AFC + ATC ค. TR/Q ง. TC x Q

136

13. เม่ือมีการผลิตสนิ ค้าในปรมิ าณท่ีเพม่ิ ขึน้ ต้นทนุ ชนิดใดจะลดลงเรอ่ื ย ๆ

ก. ตน้ ทนุ เฉล่ยี ข. ต้นทนุ ผนั แปรเฉลี่ย

ค. ตน้ ทุนคงท่เี ฉลย่ี ง. ต้นทุนสว่ นเพม่ิ

14. ต้นทุนรวมในระยะยาว (Long-run Total Cost : LTC) จะมคี า่ เท่าใด หากไม่มีการผลิต

สินค้าเลย

ก. LTC = 0 ข. LTC > 0

ค. LTC < 0 ง. ไมม่ ขี ้อถกู

15. ถ้าหนว่ ยผลติ มี รายรับรวม (TR) เทา่ กับ ตน้ ทนุ รวม (TC) ในเศรษฐศาสตรห์ มายถึง

ก. ขาดทุน ข. เทา่ ทุน ค. กาไรปกติ ง. กาไรเกินปกติ

16. ข้อใดแสดงหลักการวเิ คราะหห์ ากาไรสูงสุดจากการใชเ้ สน้ สว่ นเพ่ิมได้ถูกต้องท่ีสดุ

ก. ช่วงหา่ งมากท่สี ุดระหว่างเส้น TR กับเสน้ TC

ข. ชว่ งห่างนอ้ ยทสี่ ุดระหว่างเสน้ TR กบั เส้น TC

ค. MR = MC ง. AR = AC

สามารถตรวจคาตอบได้ท่ี : https://goo.gl/RDNvLr

137

บทที่ 5
การกาหนดระดบั ผลผลิต และราคาในตลาดสนิ คา้

ทฤษฎีลักษณะตลาดทางเศรษฐศาสตร์ เป็นทฤษฎีหนึ่งที่เป็นจริงในธรรมชาติของโลก
สามารถอธิบายเห็นภาพได้ชัดเจนว่า การแข่งขันทางการค้าเสรีซ่ึงการค้าเสรีเป็นพันธะกรณีระหว่าง
ประเทศสมาชิกในองค์การค้าเสรี (WTO) ซง่ึ ประเทศไทยก็ทาข้อตกลงเกย่ี วกับสินค้ากวา่ หมื่นรายการ
ตลาดในระบบเศรษฐกิจน้ันเปน็ ส่งิ สาคัญเป็นอย่างย่ิง เน่ืองจากตลาดทาหน้าท่ีเช่ือมโยงระหว่างผ้ผู ลิต
และผู้บริโภคซ่ึงจะช่วยทาให้กลไกที่เกิดข้ึนในการค้า การลงทุนเกิดความสมบรูณ์มากข้ึน ตามที่ได้
กล่าวมาตลาดในระบบเศรษฐกิจนับว่ามีความสาคัญเป็นอย่างมาก เน่ืองจากตลาดทาหน้าที่เชื่อมโยง
ระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค ซ่ึงจะช่วยทาให้สินค้าจากแหล่งผลิตไปสู่ผู้บริโภค และยังช่วยให้ผู้บริโภคมี
สินค้าและบริการมาบาบัดความต้องการได้อยา่ งท่ัวถึงซง่ึ ในบทนจ้ี ะอธิบายถึงความหมายและประเภท
ของตลาดและประเภทของตลาดแต่ละประเภท โดยสามารถแบ่งรายละเอียดในการอธบิ ายได้ ดงั นี้

5.1 ความหมายและประเภทของตลาด
ความหมายของตลาด
คาว่า ตลาด ในความหมายของบุคคลท่ัวไปจะหมายถึง สถานที่ซ่ึงผู้ซ้ือและผู้ขายสามารถ

พบปะกันเพ่ือตกลงซ้ือขายแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการระหว่างกัน ท้ังในภาพของวัตถุดิบและสินค้า
สาเร็จภาพเป็นประจา เป็นครั้งคราว หรือตามวันที่กาหนด โดยที่ตั้งของตลาดอาจมีเพียงที่เดียว หรือ
หลายท่ีท่ีตั้งอยู่ใกลก้ ันในบริเวณท่ีมที าเลเหมาะสม เช่น เป็นศูนย์กลางของชุมชน และเหมาะจะเป็นท่ี
นัดพบ หรือเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารต่างๆของคนในชุมชนนั้นๆ ด้วยเหตุน้ีเม่ือมีชุมชนอยู่
ณ ท่ใี ด กม็ กั จะมีตลาดอยู่ ณ ท่นี น้ั ตลาดจงึ มีมาแตค่ ร้ังโบราณในทุกสงั คม

แต่ทางเศรษฐศาสตร์จะมีความหมายกว้างกว่า นั่นคือ ตลาดในทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง
การตกลงในการซื้อขายสินค้าหรือบริการซึ่งกันและกันระหว่างผู้ซ้ือและผู้ขาย โดยไม่จาเป็น ต้องมี
สถานท่ีก็ได้

ตลาดทางเศรษฐศาตร์ หมายถึง กิจกรรมการตกลงซื้อขายสินค้า บริการ รวมทั้งปัจจัยการ
ผลิต เชน่ แรงงาน ซึ่งจะกินความหมายกว้างกวา่ ตลาดที่รจู้ กั กนั อยู่ทั่วไป โดยตลาดอาจมีได้หลายแบบ
ตง้ั แตต่ ลาดภายในประเทศ ตลาดขายสง่ ตลาดขายปลกี ตลาดต่างประเทศ ตลาดผลผลติ ตลาดปจั จยั
การผลิต ตลาดการเงิน ตลาดเงนิ ตราตา่ งประเทศหรือตลาดอัตราแลกเปลยี่ นท่ีได้ยินกันบ่อยๆ รวมไป
ถึงตลาดซื้อขายล่วงหน้า เช่น ตลาดซ้ือขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า เป็นต้น ซ่ึงการท่ีตลาดมีอยู่หลาย
แบบ เพราะเป็นการกาหนดจากผู้เรียกว่าจะเรียกตลาดโดยแบ่งตามหลักเกณฑ์อะไร เช่น หลักเกณฑ์

138

ตามขอบเขตทางภูมิศาสตร์ ตามชนิดของสินค้าที่ขายอยู่ในตลาด หรือตามสภาพของการซื้อขายท่ี
เกดิ ข้ึน รวมทง้ั หลกั เกณฑ์อน่ื ๆ จะเห็นได้ว่าตลาดในวิชาเศรษฐศาสตร์จะมคี วามหมายกว้างกว่าตลาด
ทั่วๆ ไป เน่ืองจากอาจจะไม่จาเป็นต้องมีตัวสถานท่ีซื้อขายท่ีเป็นตลาดจริง ๆ ก็ได้ แต่ที่สาคัญคือ ตัว
กิจกรรมในการซอ้ื ขายมากกวา่ (อาวนิ าช ดกิ ซิต, 2562)

ประเภทของตลาด
1) จาแนกตามวัตถปุ ระสงค์ของการดาเนินงาน แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1.1) ตลาดสินค้าหรือบริการ หรือตลาดผลผลิต (Goods and Service Market

หรือ Product Market) คือตลาดที่มีการซ้ือขายสินค้าหรือบริการเพื่อนาไปใช้ในการบริโภคได้
ในทันที

1.2) ตลาดปัจจัยการผลิต (Factor Market) คือตลาดท่ีมีการซื้อขายปัจจัยการผลิต
หรอื สนิ คา้ เพ่อื นาไปผลติ ต่อเปน็ สนิ คา้ สาเรจ็ ภาพสาหรับจาหน่ายตอ่ ไป

2) จาแนกตามลักษณะการแข่งขันที่เกิดข้ึนภายในตลาด หรือจาแนกตามโครงสร้างของ
ตลาด ทั้งจานวนของผู้ขายและผู้ซ้ือ ลักษณะสินค้า และความสามารถในการเข้าออกตลาด ซ่ึง
สามารถแบ่งเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดงั นี้

1) ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (competitive market) หรืออาจเรียกว่าตลาดท่ีมีการ
แข่งขันอย่างสมบูรณ์ (perfect or pure competition) ตลาดประเภทนี้มีอยู่น้อยมากในโลกแห่ง
ความเปน็ จริง อาจกล่าวได้วา่ เปน็ ตลาดในอดุ มคติ (ideal market) ของนักเศรษฐศาสตร์

2) ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ (non-perfectcompetition market) ตลาดตาม
สภาพแท้จริงในโลกนส้ี ว่ นใหญ่เปน็ ตลาดท่มี ีการแข่งขันไม่สมบูรณ์ เนอื่ งจากตลาดที่มกี ารแข่งขนั อย่าง
สมบูรณ์เป็นตลาดท่ีหาได้ยากเพราะเป็นตลาดในอุดมคติของนักเศรษฐศาสตร์ ซ่ึงสามารถจาแนกได้
เป็น 3 ประเภท คือ ตลาดก่ึงแข่งขันก่ึงผูกขาด ตลาดผู้ขายน้อยราย และตลาดผูกขาด (สมชาย ภค
ภาสน์วิวฒั น์ และคณะ, 2556)

5.2 ตลาดแข่งขนั สมบูรณ์ (Competitive Market)
ลกั ษณะของตลาดแขง่ ขันสมบูรณ์
ตลาดชนิดนี้เป็นตลาดที่ราคาสินค้าเกิดข้ึนจากแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทานโดย

แทจ้ ริง ไมม่ ปี จั จัยอืน่ ๆมาผลกั ดันในเรื่องราคา ลักษณะสาคญั ของตลาดประเภทนี้ คอื
1) มีผู้ซ้ือและผู้ขายจานวนมาก (many buyers and sellers) แต่ละรายมีการซ้ือขาย

เปน็ สว่ นนอ้ ยเมือ่ เปรยี บเทยี บกบั จานวนผูซ้ ้อื และผู้ขายทง้ั หมดในตลาด การซ้ือขายสินคา้ ของผู้ซื้อหรือ
ผู้ขายแต่ละรายไมม่ ีอิทธพิ ลตอ่ การกาหนดราคาในตลาด กลา่ วคอื ถงึ แม้ผูซ้ ้ือหรอื ผ้ขู ายจะหยุดซื้อหรือ
ขายสินค้าของตนก็จะไม่กระทบกระเทือนต่อปริมาณสินค้าทั้งหมดในตลาด เพราะผู้ซื้อหรือผู้ขายแต่


Click to View FlipBook Version