189
ดาเนินนโยบายการเงินโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนการ
ขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน กล่าวคือ ในยามท่ีเศรษฐกิจขาลง หรือตกต่า มีคนว่างงานจานวน
มาก การดาเนินนโยบายการเงินแบบขยายตัว ก็จะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นได้ ขณะที่
หากเกิดภาวะเงินเฟ้อสูง ๆ อันเน่ืองมาจากขยายตัวของเศรษฐกิจท่ีสูงเกินไป จนการผลิตมีมากกว่า
ความต้องการบริโภคท่ีแท้จริง ซ่ึงอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจได้ในอนาคต เพราะสินค้าที่ผลิตมากเกิน
อาจจะขายไม่ออกในเวลาต่อมา นโยบายการเงินก็จะดาเนินไปในแนวทางที่ตึงตัวขึ้นหรือหดตัว เพ่ือ
ลดความร้อนแรงของภาวะเศรษฐกิจ
นโยบายการเงินแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่
1) นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Restrictive monetary policy) เป็นการใช้
เคร่ืองมือนโยบายการเงิน ที่ส่งผลให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจลดลง และใช้เม่ือเกิดปัญหา
เศรษฐกจิ เชน่ ปัญหาเงินเฟอ้ เศรษฐกจิ ขยายตวั มากเกินไป เปน็ ต้น
นโยบายการเงนิ แบบเข้มงวด เป็นนโยบายทม่ี ีผลทาใหป้ ริมาณเงินลดลง มกั ใชใ้ นกรณีท่ี
ระบบเศรษฐกิจเกิดปัญหาสภาวะราคาส้ินสูงขึ้นหรือเกิดปัญหา เงินเฟ้อ ประชานชนมีการจับจ่ายใช้
สอยหรอื มคี วามต้องการบริโภคส้นิ ค้าและบริการต่างๆ มากกวา่ จานวนทีร่ ะบบเศรษฐกิจสามารถผลิต
ได้ เกดิ ปัญหาดลุ การค้าและดลุ การชาระเงินขาดดลุ เปน็ ต้น การใช้นโยบายนจี้ ะช่วยลดความร้อนแรง
ในระบบเศรษฐกิจ ประเทศท่ีดาเนินนโยบายการเงินภาพใต้กรอบเงนิ เฟ้อ นโยบายการเงินแบบนี้จะมี
ผลทาใหอ้ ัตราดอกเบย้ี ในตลาดปรบั ตัวเพ่ิมขนึ้ จะสง่ ผล ให้กจิ กรรมตา่ งๆ ทางเศรษฐกจิ ลดลงและอตั รา
เงนิ เฟอ้ ลดลง
2) นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ( Expansion monetary policy) มี
วัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจในกรณีที่เกิดปัญหาเงินฝืด ภาวะการว่างงานสูง เศรษฐกิจชะลอ
ตัวหรือตกต่า เปน็ ตน้ โดยการใช้เครื่องมือนโยบายการเงินที่สง่ ผลให้ปริมาณเงนิ ในระบบเศรษฐกิจ
มากขึ้น
นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเป็นนโยบายท่ีมีผลทาให้ปริมาณเงินเพ่ิมข้ึน มักใช้ใน
กรณีที่เกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซาหรือเกิดปัญหาเงินฝืด การใช้จ่ายของประชาชน และการลงทุนของ
ผปู้ ระกอบการมนี ้อย เกดิ การผลติ ต่ากวา่ กาลังการผลิตทส่ี ามารถผลติ ได้ ทาใหเ้ กดิ การว่างงาน การใช้
นโยบายน้ีจะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟ้ืนตัว ประเทศท่ีดาเนินนโยบายการเงินภายในใต้กรอบเงินเฟ้อ
นโยบายการเงินแบบน้ีจะมีผลทาให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวลดลง จะส่งผลให้มีกิจกรรมต่างๆ
ทางเศรษฐกิจเพม่ิ มากขนึ้ และอตั ราเงนิ เฟ้อเพม่ิ ขน้ึ (สปิ ปภาส พรสุขสว่าง, 2557)
เคร่อื งมอื ของนโยบายการเงนิ
เครื่องมือของนโยบายการเงินสามารถจาแนกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ การควบคุมทาง
ปริมาณ (Quantitative Control) และโดยมรี ายละเอียดในแต่ละประเภท ดงั นี้
190
1) การควบคุมทางปริมาณ (Quantitative Control) การควบคุมทางปริมาณหรือ
โดยท่ัวไป(Quantitative or General Control) เป็นการควบคุมปริมาณเงินท่ีจะเกิดขึ้นในระบบ
เศรษฐกจิ ใหม้ เี สถยี รภาพโดยเคร่อื งมอี ทใี่ ชใ้ นการควบคุมทางปริมาณ ไดแ้ ก่
1.1) การซ้ือขายหลักทรัพย์ (open-market operation) จุดประสงค์ของการซื้อ
ขายหลักทรัพย์คือ ควบคุมเงินสดสารองของธนาคารพาณิชย์ เงินสดสารองจะเพ่ิมข้ึนเมื่อธนาคาร
กลางซ้ือหลักทรัพย์ ในทางตรงข้ามเงินสดสารองจะลดลงเมื่อธนาคารกลางขายหลักทรัพย์ ในกรณีท่ี
ธนาคารกลางซื้อขายหลักทรัพย์กับผู้ประกอบการการเงินท่ีไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ ไม่เพียงแต่จะมีผล
ทันทีต่อการเปลี่ยนแปลงเงินสดสารองของธนาคารพาณิชย์เท่านั้น แต่ยังมีผลต่อการเปล่ียนแปลง
ปริมาณเงินทนั ทีอกี ดว้ ย โดยผลจากการซ้ือขายหลกั ทรัพย์สามารถแสดงไดด้ งั รูปที่ 6.7
รูป 6.7 ผลจากการซอื้ ขายหลักทรัพย์
1.2 อตั รารบั ช่วงซื้อลด (Rediscount Rate) อตั รารับช่วงซอ้ื ลด หมายถึง ดอกเบ้ยี
เงนิ กู้ทีธ่ นาคารกลางเก็บลว่ งหน้าจากธนาคารพาณิชย์ เม่ือธนาคารพาณชิ ยน์ าต๋ัวเงนิ ที่ธนาคาร
พาณิชยร์ ับซ้ือลด (Discounting) ไปขายต่อให้กับธนาคารกลาง
กระบวนการนี้จะนาดอกเบ้ียเงินกู้ที่ธนาคารกลางเก็บล่วงหน้าจากธนาคารพาณิชย์
เมื่อธนาคารพาณิชย์นาตั๋วที่ธนาคารพาณิชย์รับซื้อลดไปขายลดให้กับธนาคารกลางซึ่งเม่ือธนาคาร
พาณิชย์เกิดปัญหาขาดแคลนเงินสดสารอง อาจมีการแก้ปัญหาโดยการใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น การลด
การขยายสินเชื่อ การขายหลักทรัพย์ในตลาดเพ่ือเพิ่มเงินสดสารอง การขอกู้จากธนาคารพาณิชย์
191
ด้วยกันและการขอกู้ยืมจากธนาคารกลาง โดยธนาคารกลางสามารถเพิ่มหรือลดอัตรารับช่วงซื้อลด
เพ่ือเป็นการเปลี่ยนแปลงปริมาณเงินได้ โดยหากธนาคารกลางลดอัตรารับช่วงซ้ือลดลงก็จะส่งผลให้
ธนาคารพาณิชย์สามารถกู้ยืมได้มากขึ้น ดังนั้นเงินสดสารองจึงเพิ่มขึ้นทาให้ธนาคารพาณิชย์สามารถ
ขยายสินเช่ือได้มากขึ้นและปริมาณเงินเพิ่มสูงข้ึน ธนาคารกลางลดอัตรารับช่วงซ้ือลดแสดงว่าภาวะ
เศรษฐกิจของประเทศกาลังเผชิญกับภาวะเงินฝืดธนาคารกลางจึงจาเป็นที่จะต้องดาเนินนโยบายเ พ่ิม
การขยายตัวของสนิ เชื่อ
รปู 6.8 ผลกระทบจาการเปลีย่ นแปลงอตั รารับชว่ งซอื้ ลด
1.3) อัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (Bank Rate) อัตราดอกเบ้ียมาตรฐาน คือ อัตรา
ดอกเบี้ยท่ีธนาคารกลางคิดจากธนาคารพาณิชย์ โดยปกติเป็นการกู้ยืมโดยมีหลักทรัพย์รัฐบาลค้า
ประกัน หากธนาคารกลางต้องการเพิ่มปริมาณเงินก็จะลดอัตราดอกเบยี้ มาตรฐาน ในทางตรงข้าม ถ้า
ธนาคารกลางตอ้ งการลดปรมิ าณเงินก็จะเพ่มิ อตั ราดอกเบีย้ มาตรฐาน
1.4) อัตราเงินสดสารองตามกฎหมาย (Legal Reserve Ratio) การเปล่ียนแปลง
อัตราเงินสดสารองตามกฎหมาย จะส่งผลกระทบต่อเงินสดสารองส่วนเกิน ซ่ึงในท่ีสุดก็จะส่งต่อ
ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกจิ ด้วย ดงั รูปที่ 6.9
192
รูป 6.9 ผลกระทบจากการเพม่ิ หรอื ลดอัตราเงินสดสารองตามกฎหมาย
1.5) การควบคุมทางด้านคณุ ภาพด้านอ่ืนๆ นอกจากการควบคุมทางด้านคุณภาพได้
กล่าวมาท้ังหมดน้ัน ธนาคารแห่งชาติยังมีมาตรการต่างๆ (แต่ละประเทศจะมีนโยบายแตกต่างกันไป)
ท่ีนามาใช้ในการควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพ ได้แก่ การควบคุมเครดิตเพ่ือ
การซื้อขายหลักทรัพย์ การควบคุมเครดิตเพื่อการอุปโภคบริโภค การควบคุมเครดิตเพ่ือซ้ือบ้านและ
ท่ีดิน การควบคุมอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ การชักชวนให้ปฏิบัติตาม
(Moral Suasion) การกาหนดอัตรารับช่วงซื้อลดเป็นพิเศษสาหรับตั๋วเงินบางประเภทต่ากว่าอัตรา
ซ้ือลดปกติ การกาหนดเงินมัดจาสาหรับการส่ังซื้อสินค้าจากต่างประเทศ และการควบคุมการ
ดาเนนิ งานของธนาคารพาณชิ ยไ์ ม่ให้เสี่ยงเกินไป (John B. taylor, 2001)
สามารถสรุปวิธีการ ลักษณะการปฏิบัติในการควบคุมทางด้านคุณภาพนโยบายการเงินทั้ง
แบบเขม้ งวดและผอ่ นไดด้ งั ตาราง 6.4
193
ตาราง 6.4 วธิ กี าร ลกั ษณะการปฏิบัติในการควบคุมทางด้านคณุ ภาพนโยบายการเงิน
แบบเขม้ งวด แบบผ่อนคลาย
นโยบายการเงิน ทาใหป้ รมิ าณเงนิ ในระบบ ทาใหป้ รมิ าณเงินในระบบเศรษฐกิจ
เศรษฐกจิ ลดลง เพม่ิ ข้นึ
ธนาคารกลางซื้อขายหลักทรัพย์ ออกขายหลักทรัพย์ ซ้อื คนื หลักทรพั ย์
อตั ราเงนิ สดสารองตามกฎหมาย เพม่ิ ลด
อตั ราดอกเบย้ี มาตรฐาน เพ่ิม ลด
อัตรารบั ชว่ งซื้อลด เพ่มิ ลด
กรณที ่ใี ช้ เกดิ เงินเฟอ้ เกิดเงินฝืด หรอื เศรษฐกิจตกต่า
2) การควบคมุ โดยตรง (Direct Control)
การควบคุมโดยตรงเป็นเครือ่ งมอื ของนโยบายการเงินซ่ึงเปน็ วธิ ีการทีเ่ ลือกใช้เมื่อเหน็ ว่ากลไก
การทางานตามหลักเศรษฐศาสตร์ เกิดผลหรือไม่เกิดผลในเวลาท่ีต้องการ ทาให้ต้องใช้วิธีการควบคุม
โดยตรงโดยการบงั คับให้ธนาคารพาณิชยแ์ ละสถาบันการเงนิ ต่าง ๆ ปฏบิ ัติตามเงอ่ื นไขทธี่ นาคารกลาง
กาหนดขึ้น โดยอาศัยดุลยพินิจของผู้บริหาร การบังคับนั้นถ้ากาหนดได้ถูกต้องและได้ผลก็ดีไป แต่ถ้า
ผิดพลาดจะเกดิ ผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจได้ ไดแ้ ก่ การกาหนดเป้าหมายใหธ้ นาคารพาณชิ ย์ให้กู้ยืมแก่
เศรษฐกิจแต่ละสาขาที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ เช่น การบังคับให้ขยายเครดิตแก่ภาค
เกษตรกรรมไม่ต่ากว่า 18% เป็นต้น หรือการบังคับให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยกู้ได้ในวงเงิน
สูงสุดเท่ากบั เทา่ ไร
6.2 นโยบายการคลงั
การคลัง หรือเศรษฐกิจภาครัฐบาล หมายถึง การศึกษาวิธีการหารายได้ของรัฐบาลเพื่อ
นามาใช้จ่ายในการบริหารประเทศ และศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการจัดหารายได้ และการใช้
จา่ ยของรัฐบาล
194
นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) หมายถึง การกาหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่าย
หรือรายจ่ายของภาครัฐบาล และการหารายได้ของรัฐบาล รวมท้ังการบริหารหนี้สาธารณะ เพ่ือสร้าง
เสถียรภาพของการใช้จ่ายมวลรวมของระบบเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับ ท่ีเหมาะสม และบรรลเุ ป้าหมาย
ทางเศรษฐกจิ ของประเทศ
วตั ถปุ ระสงคข์ องนโยบายการคลังทสี่ าคญั มีดงั นี้
1) ส่งเสริมการจัดสรรทรัพยากรระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐบาลให้เป็นไปอย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ
2) สง่ เสริมการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม
3) เสรมิ สรา้ งความเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกิจ
4) รกั ษาเสถยี รภาพทางเศรษฐกิจ
เคร่ืองมือของนโยบายการคลงั
การคลังรัฐบาลเปน็ การศึกษาเกี่ยวกับข้อเทจ็ จริง ทฤษฎี วิธีการ และผลกระทบของการรบั -
จา่ ยเงินของรัฐบาล และการกอ่ หนสี้ าธารณะ ซ่งึ เครือ่ งมือของนโยบายการคลงั จะตอ้ งพจิ ารณาแยก
ไปตามนโยบาย ดังน้ี
1) นโยบายทางด้านรายจ่ายของรัฐบาล เก่ียวข้องกับการตัดสินใจของรัฐบาลท่ีจะ
ปล่อยเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของเอกชน ซึ่งมีผลกระทบต่อระดับรายได้ประชาชาติและการจ้างงาน
ของประเทศ โดยจะมากหรือน้อยก็ข้ึนอยู่กับขนาดของการใช้จ่าย และประเภทของการใช้จ่ายว่าเปน็
การใช้จา่ ยเพื่อซื้อสนิ ค้าและบริการ หรือการลงในโครงพฒั นาปจั จัยพืน้ ฐานทางเศรษฐกจิ
2) นโยบายทางด้านรายได้ สว่ นใหญ่เก่ียวกับนโยบายการจัดเกบ็ ภาษี เพื่อดงึ เงินออก
จากระบบเศรษฐกิจของภาคเอกชนจะมากหรือน้อยข้ึนอยู่กับอัตราภาษีและประเภทภาษี การดึงเงิน
ออกจากระบบเศรษฐกิจมีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการบริโภค การออมและการลงทุนของ
ภาคเอกชน ตลอดจนระดับรายไดป้ ระชาชาติ และการจา้ งงานในท่สี ดุ
3) นโยบายด้านหน้ีสาธารณะ เก่ียวข้องกับการกู้ยืมเงินของรัฐบาล และการบริหาร
หน้สี นิ ของรฐั บาล
4) นโยบายด้านงบประมาณ เก่ียวข้องกับการแผนการจัดทารายได้และการใช้จ่าย
ของรัฐบาลใหส้ อดคลอ้ งกบั ภาวะเศรษฐกิจในแตล่ ะชว่ ง (ธีระพงษ์ วกิ ติ เศรษฐ, 2559)
ด้านรายจ่ายของรฐั บาล
รัฐบาลมีนโยบายด้านรายจ่ายหลักๆแบ่งได้เป็นสามกลุ่ม ได้แก่ นโยบายรายจ่ายประจาเพื่อ
การบริหาร เช่น เงินเดือนข้าราชการ ค่าน้าไฟ วัสดุอุปกรณ์ นโยบายรายจ่ายลงทุน คือรายจ่ายที่
195
ก่อให้เกิดการพฒั นาเศรษฐกจิ เช่น การสร้างถนน คลองชลประทาน และนโยบายรายจา่ ยเงนิ โอนหรือ
เงินท่ีรัฐโอนใช้ประชาชนบางกลุ่มโดยไม่ใช่ค่าจ้าง เช่นเงินสงเคราะห์คนชรา เงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้
นอกจากสามกลุม่ ดังกล่าวยังมนี โยบายรายจ่ายเพื่อชาระเงินกู้ เม่อื รัฐมีการใช้จา่ ยมากกวา่ รายรบั หรอื
เรียกอีกอย่างว่าใช้งบประมาณเกินดุล รัฐก็ต้องกู้เงินมาเพื่อให้พอรายจ่ายส่วนท่ีเกินมากทาให้
ก่อให้เกดิ หน้ี หน้นี เ้ี รยี กว่า หนส้ี าธารณะ เมอ่ื กอ่ หน้ีรัฐบาลกต็ ้องใชจ้ า่ ยหน้ีคืนเจ้าหนตี้ ่อไปในอนาคต
รายจา่ ยของรฐั บาลเมือ่ จาแนกตามลกั ษณะเศรษฐกจิ สามารถแบ่งไดเ้ ปน็ 2 วิธี ดังน้ี
วธิ ีที่ 1 แบ่งเปน็
รายจ่ายในการลงทุนของภาครัฐบาล (Capital or Investment Expenditure : GK)
และ
รายจ่ายประจาหรอื รายจ่ายในการบริโภค (Current or Consumption Expenditure
: GC)
จากสมการรายไดป้ ระชาชาติเดมิ Y = C + I + G + (X – M) จะเห็นได้ว่า G ที่อยู่ใน
สมการไม่ได้แยกกิจกรรมระหว่างการบริโภคกับการลงทุน แต่เมื่อพิจารณาในนโยบายการคลังด้าน
รายจา่ ยของรัฐบาลจะทาใหไ้ ด้สมการใหม่ ดังน้ี
Y = C + I + GC + GK + (X – M)
โดยท่ี Gk เป็นรายจ่ายเพ่ือสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจ และรายจ่ายเพื่อการได้มาซ่ึง
ครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง และ Gc เป็นรายจ่ายเพ่ือการบริหารงานประจา เงินรายจ่ายประเภท
เงนิ เดือน ค่าจา้ ง และรายจา่ ยเพื่อสวัสดกิ ารแกข่ า้ ราชการ
วธิ ที ี่ 2 แบง่ เป็น
- รายจา่ ยในการซอ้ื สนิ ค้าและบรกิ ารของรัฐบาล (exhaustive expenditure)
- รายจ่ายเงินโอน (Transfer expenditure) หรือรายจ่ายเงินโอนที่ไม่มีผลตอ่ การสรา้ ง
ผลผลิต เช่น เงินบาเหนจ็ เงินบานาญ
- รายจ่ายในการซ้ือทรัพย์สินมือสอง เช่น ซ้ือส่ิงก่อสร้างเก่า จ่ายค่าเวนคืนที่ดิน (ศิริ
รกั ษ์ จวงทอง, 2555)
รายไดข้ องรฐั บาล
รายไดข้ องรัฐบาล ไดแ้ ก่ รายได้จากภาษอี ากรกับรายได้มิใช่ภาษอี ากร สว่ นรายรบั รัฐบาล
ได้แก่รายได้ของรัฐบาล รวมเงินกู้และเงินคลัง
รายไดข้ องรัฐบาล อาจจาแนกได้ 2 ประเภท คือ
1) รายได้จากภาษอี ากร (Tax – revenue) ภาษอี ากร คอื “สงิ่ ท่ี G บังคบั เรียกเกบ็ จาก
บุคคลท่ีมี Y ให้บรจิ าคให้แก่ G เพ่อื ใช้จ่ายในการบริหารประเทศและกิจการอ่ืน ๆ อนั เป็นประโยชน์
196
สาธารณะ โดยผบู้ ริจาคเงินมิได้รบั ประโยชนห์ รอื สงิ่ อืน่ ใดที่มีมลู ค่าเท่ากนั หรือสัดสว่ นกับจานวนเงินท่ี
เสยี ภาษีเป็นการตอบแทนโดยตรง หากแตไ่ ดร้ ับประโยชนท์ างอ้อม เพราะ G ไดน้ าเงินภาษีอากรไป
ใช้จ่ายทนุบารุงประเทศเปน็ สาธารณะประโยชนแ์ กบ่ คุ คลทั่วไปทอ่ี าศยั อยภู่ ายในประเทศ ”
1.1) วตั ถุประสงคข์ องการจัดเก็บภาษีอากร
(1) เพอ่ื เป็นรายได้ของรฐั
(2) เพื่อการควบคุม (Regulatory Taxation)
(3) เพือ่ การจดั สรรและกระจายรายได้
(4) เพอ่ื ชาระหน้ีสินของรฐั
(5) เพือ่ เปน็ เครอ่ื งมือในนโยบายทางธรุ กิจ
(6) เพ่ือเป็นเคร่อื งมือในนโยบายการคลัง
1.2) ประเภทของภาษีอากร แบง่ ได้ 2 วิธี คอื
(1) แบง่ ตามหลกั การผลกั ภาระ มี 2 ประเภท คอื
(ก) ภาษีทางตรง (Direct Tax) เป็นภาษีท่ีผู้มีหน้าท่ีเสียภาษีตามกฎหมายต้อง
รับภาระภาษีไว้เอง ไม่สามารถผลักภาระไปยังผ้อู ่ืนได้หรือกระทาได้โดยยาก เช่น ภาษีเงินได้ ภาษี
ทรัพย์สนิ ภาษีมรดก เปน็ ตน้
(ข) ภาษีทางอ้อม (Indirect Tax) เป็นภาษีท่ีผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามกฎหมาย
สามารถผลักภาระไปยังผอู้ นื่ ไดบ้ างส่วนหรอื ทัง้ หมด เชน่ ภาษกี ารค้า ภาษีมลู คา่ เพิ่ม ภาษสี รรพมิต
และภาษีศลุ กากร เปน็ ตน้
(2) แบ่งตามลักษณะของฐานภาษี (Tax base) มี 3 ประเภท คือ
(ก) ภาษีที่เก็บจากเงินได้ (Taxes on Income) ได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคล
ธรรมดา ภาษีเงินไดน้ ติ บิ คุ คล และภาษมี ลู ค่าเพ่ิมของทรพั ย์สนิ (Capital Gain Tax ) เปน็ ต้น
(ข) ภาษีท่ีเก็บจากทรัพย์สิน (Taxes on property) ได้แก่ ภาษีทรัพย์สิน ภาษี
มรดก เป็นต้น
(ค) ภาษีท่ีเก็บจากการบริโภค (Taxes on Commodity) ได้แก่ ภาษีการค้า ภาษี
สรรพสามติ และภาษีศลุ กากร เปน็ ตน้
1.3) รายได้ทีม่ ใิ ชภ่ าษีอากร (Non-Tax Revenues) ได้แก่
1.3.1 รายไดจ้ ากรัฐสามติ (Public domain) เปน็ รายได้อนั เกิดจากกรรมสิทธใิ์ น
ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ค่าภาคหลวงป่าไม้ เหมืองแร การประมง ซ่ึง G เรียกเก็บจากผู้เช่า
ทรัพยากรของชาติไปประกอบอาชีพ
1.3.2 รายได้จากรัฐพาณิชย์ (State enterprise) เป็นรายได้จากผลกาไรในการ
ประกอบวสิ าหกิจของรฐั
197
1.3.3 เงินค่าธรรมเนยี ม
1.3.4 รายไดจ้ ากเงนิ ช่วยเหลือจากต่างประเทศ
1.3.5 รายได้อ่ืนๆ จากดอกเบ้ียเงินกู้ ค่าปรับ และรายได้เบ็ดเตล็ดอื่น ๆ (ศิริรักษ์ จวง
ทอง, 2555)
โครงสรา้ งอตั ราภาษี (Tax rate)
ไดแ้ กจ่ านวนเงินค่าภาษที ี่จดั เกบ็ จากเงนิ ภาษีหน่วยหน่ึงๆ โดยทั่วไปมักถอื หลกั ความสามารถ
ในการจา่ ยภาษใี นการจดั เก็บ อตั ราภาษีทีจ่ ัดเก็บแบ่งออกไดเ้ ปน็ 3 ลักษณะ คอื
1) อัตราภาษีถดถอยหรือถอยหลัง (regressive tax rate) เป็นอัตราภาษีที่เก็บลดลง
เมื่อฐานภาษีเพิ่มขน้ึ
2) อัตราภาษีตามสัดส่วน (proportional tax rate) เป็นอัตราภาษีที่มีลักษณะ คงที่
ไมว่ า่ ฐานภาษีจะเปน็ จานวนเท่าใด
3) อัตราภาษีกา้ วหน้า (progressive tax rate) เปน็ อตั ราภาษที จ่ี ัดเกบ็ สูงขน้ึ เมอ่ื ฐาน
ภาษเี พ่ิมขึ้น (อนุสรณ์ สรพรหม, 2550)
การพจิ ารณาโครงสรา้ งอตั ราภาษี ว่าเป็นโครงสรา้ งแบบใดนั้น พจิ ารณาจากการเปรียบเทียบ
อัตราภาษีเฉลี่ย (Average Tax Rate) กับอัตราภาษีส่วนเพิ่ม (Marginal Tax Rate) ซ่ึงคานวณได้
ดังนี้
อตั ราภาษเี ฉลี่ย = จานวนภาษที ่ีต้องชาระ x 100
ฐานภาษี
อตั ราภาษีส่วนเพ่มิ = จานวนภาษที ี่ต้องเสยี เพิ่มขน้ึ x 100
ฐานภาษีส่วนที่เพมิ่
โดยจะยกตวั อย่างโครงสรา้ งอตั ราภาษีแสดงในตาราง 6.5 ดงั นี้
198
ตาราง 6.5 โครงสร้างอัตราภาษี ฐานภาษี อตั ราภาษี (%) จานวนภาษี
โครงสร้างอตั ราภาษี
อัตราภาษีแบบก้าวหนา้ 1,000 7 70
2,000 10 200
อตั ราภาษีแบบคงที่ 3,000 15 450
อตั ราภาษีแบบถดถอย 1,000 7 70
2,000 7 140
3,000 7 210
1,000 15 150
2,000 10 200
3,000 7 210
หน้สี าธารณะ (Public Debt)
หน้ีสาธารณะ เป็นการก้ยู ืมของรฐั บาลเม่ือมีรายได้ไม่เพียงพอกบั รายจา่ ย ซ่ึงเป็นการผูกพันธ์
จากการกู้จากรัฐบาลโดยตรง จาแนกเป็น หน้ีระยะสั้น กับ หน้ีระยะยาว และ หน้ีภายในประเทศ กับ
หนต้ี ่างประเทศ ดังนน้ั หน้ีสาธารณะเป็นความผูกพนั ของรัฐบาล ซ่ึงเกิดจากการกู้ยืมโดยตรงและหรือ
เกดิ จากการค้าประกนั เงนิ กู้ โดยรฐั บาล ปัจจุบนั ประเทศต่าง ๆ ก่อหน้ีสาธารณะเพ่ือพัฒนาและแก้ไข
ภาวะเศรษฐกจิ มากขนึ้
วตั ถุประสงค์ของการก้ยู ืม การกู้เงินของรฐั บาลนั้น อาจมวี ตั ถุประสงคท์ แ่ี ตกตา่ งกันไดห้ ลาย
กรณี คือ
1) เพื่อใชจ้ า่ ยในโครงการลงทุนของรฐั บาล เนื่องจากรายได้จากภาษีอากรไมเ่ พยี งพอ
2) เพราะเก็บรายไดไ้ ม่ทนั รายจ่าย จึงตอ้ งกยู้ ืมระยะสน้ั ให้เพียงพอกบั รายจ่ายเป็นการ
ชว่ั คราว จนกวา่ จะสามารถเก็บรายได้ไดเ้ ตม็ จานวน
3) เพอ่ื รักษาดุลงบประมาณ
4) เพื่อใชจ้ า่ ยเม่ือมคี วามจาเป็นรีบดว่ น
ประเภทของการกู้เงิน แยกเปน็ ประเภทต่าง ๆ ไดด้ งั น้ี
1) แบ่งตามระยะเวลาของการกู้ จาแนกเป็น
(1) กู้ระยะสน้ั ไมเ่ กิน 1 ปี
(2) กรู้ ะยะปานกลาง ระหวา่ ง 1-5 ปี
199
(3) กรู้ ะยะยาวตั้งแต่ 5 ปขี ึ้นไป
2) แบง่ ตามแหล่งที่มาของเงนิ กู้ จาแนกเปน็
(1) กู้ภายในประเทศจากเอกชนและสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารพาณิชย์ ธนาคาร
กลาง เปน็ ตน้
(2) กู้ภายนอกประเทศจากรัฐบาลและสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เช่น ธนาโลก
หรือก้จู ากธรุ กิจการเงินตา่ งประเทศโดยออกพันธบัตรจาหน่าย (นราทพิ ย์ ชุติวงศ์, 2558)
ผลดแี ละผลเสยี จากการกู้เงนิ ของรัฐบาล
ผลดจี ากการก้เู งินของรฐั บาล
1) เป็นการพฒั นาประเทศ จากการลงทุนในโครงการใหญ่ ๆ
2) เปน็ การเพมิ่ คณุ ภาพชวี ิตท่ดี ีแกป่ ระชาชนในประเทศ
3) เปน็ การสร้างงานใหแ้ กป่ ระชาชนในประเทศ
ผลเสียจากการกเู้ งินของรฐั บาล
1) ทาใหเ้ กดิ ภาวะเงนิ เฟอ้ ถา้ รฐั บาลใช้จา่ ยมากเกนิ ไป
2) เปน็ การสรา้ งหนีใ้ ห้คนรนุ่ หลัง
3) อาจทาให้ฐานะทางการเงนิ ของประเทศไมม่ ั่นคงถา้ มกี ารก้เู งินมากเกินไป
งบประมาณแผ่นดนิ (Government Budget)
งบประมาณ (Budget) เป็นแผนทางการเงินของรัฐบาล ท่ีจัดทาขึ้นเพื่อแสดงรายรับและ
รายจ่ายตามโครงการตา่ ง ๆ ที่รัฐบาลกาหนดจัดเก็บว่าจะกระทาในปีต่อไป ” (ปีงบประมาณ 1 ตค.-
30 กย.)
งบประมาณแผ่นดินเป็นเครื่องมอื สาคัญ เพราะเป็นแผนบริหารการเงินของรัฐ ประกอบด้วย
ประมาณการรายได้และประมาณการรายจ่าย โดยวัตถุประสงค์ในการจัดทางบประมาณมีอยู่ 3
ประการ คือ
1) เพอ่ื จัดสรรจากการใช้ทรัพยากรของประเทศใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุด
2) เพื่อลดความไมเ่ ทา่ เทยี บของรายได้ในบุคคลใหม้ ีน้อยท่สี ุด
3) เพื่อรักษาเสถยี รภาพทางเศรษฐกิจ
โดยความสาคัญของงบประมาณแผน่ ดนิ มีอยู่ 3 ประการ คอื เปน็ เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ควบคุม เป็น
เคร่อื งมอื ในการบริหาร และเป็นเคร่ืองมือเพื่อดาเนินนโยบายเศรษฐกจิ
โดยสรุป งบประมาณแผ่นดิน หมายถึง แผนเกี่ยวกับการใช้จ่ายมวลรวมของรัฐบาล และ
แผนในการจัดหารายได้ให้เพียงพอกับการใช้จ่ายตามแผนการของรัฐบาลในรอบระยะเวลาหน่ึง โดย
ปกติใช้ 1 ปี บางครั้งเรียกว่า งบประมาณแผ่นดินประจาปี สาหรับงบประมาณแผ่นดินของประเทศ
200
ไทย จะเร่ิมตั้งแต่ 1 ตุลาคมของปีหนึ่งไปจนถึง 30 กันยายนของปีถัดไป เช่น งบประมาณแผ่นดิน
ประจาปี 2545 จะเร่ิมต้ังแต่ 1 ตุลาคม 2544 จนถึง 30 กันยายน 2545 โดยใน 1 ปีน้ีจะเรียกว่า
ปีงบประมาณ
งบประมาณแผน่ ดินแบ่งได้ 2 ประเภท คือ
1) งบประมาณสมดุล (Balanced budget) หมายถึง งบประมาณที่รายได้ของรัฐบาล
รวมกันแล้วเท่ากับรายจ่ายของรัฐบาลพอดี ดังนั้น รัฐบาลไม่จาเป็นต้องกู้เงินมาใช้จ่ายหรือนาเงินคง
คลงั ออกมาใช้
2) งบประมาณไม่สมดุล (Unbalanced budget) หมายถึง งบประมาณท่ีรายได้ของ
รัฐบาลไม่เท่ากับรายจ่ายของรัฐบาล ถ้ารายได้ของรัฐบาลสูงกว่ารายจ่ายของรัฐบาลเรียกว่า
งบประมาณเกินดุล (Surplus budget) ซ่ึงรัฐบาลจะมีรายได้เหลือจากการใช้จ่าย เงินคงคลังของ
รัฐบาลจะเพม่ิ ข้ึน ถ้ารายได้ของรฐั บาลต่ากว่ารายจ่ายของรัฐบาล เรียกว่า งบประมาณขาดดุล (Deficit
budget) ซึง่ รฐั บาลตอ้ งกูเ้ งินหรือนาเงินคงคลังออกมาใช้จ่าย
ส่วนใหญ่งบประมาณของประเทศจะเป็นลักษณะไม่สมดุล โดยถ้าเศรษฐกิจของประเทศ ณ
ขณะนั้นเจริญเติบโตได้ดี รัฐบาลก็จะใช้งบประมาณเกินดุล นั่นคือ รัฐบาลไม่จาเป็นต้องเข้าไป
แทรกแซงมาก ปล่อยให้ภาคธุรกิจดาเนินกิจการไป โดยรัฐมีหน้าท่ีแค่เก็บภาษีและใช้จ่ายตามหน้าท่ี
เทา่ น้ัน ซง่ึ ลกั ษณะเชน่ น้รี ฐั บาลจะมเี งินออม ทาให้เงินคงคลงั ของประเทศเพ่ิมสูงข้ึน
ในอีกทางหน่ึง หากเศรษฐกิจตกต่า เช่น ในรัฐบาลของ นายสมัคร สุนทรเวช ได้ประกาศ
ออกมาว่า จะดาเนินนโยบายโดยใช้งบประมาณขาดดุล เพราะต้องการนาเงินไปใช้ในโครงการเมกกะ
โปรเจก็ ท์-กองทนุ เงินกูต้ ่างๆ เพอ่ื ทีจ่ ะกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้ประชาชนนาเงินออกมาใชจ้ ่าย
ถ้ารัฐใช้งบประมาณแบบขาดดุลเม่ือไหร่ จะต้องมีการกู้ยืมเงินเกิดข้ึน น่ันคือ เป็นการก่อหนี้
สาธารณะ หรือหากมีสมบัติเก่าหรือเงนิ เก็บอยู่ ก็จะต้องนาเงินตรงน้ันออกมาใช้ ส่งผลให้เงินออมของ
รัฐบาลลดลง ซ่ึงในอดีตเงินเก็บของหลวงทั้งหมดจะอยู่ในท้องพระคลัง แต่ปัจจุบันเงินในท้องพระคลงั
หรือท่ีเรียกว่า เงินคงคลัง น้ีได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเงินสารองระหว่างประเทศ โดยมีธนาคาร
แห่งประเทศไทยเป็นผู้ดแู ล (ประพันธ์ เศวตนนั ทน์และ ไพศาล เล็กอทุ ัย, 2560)
ประเภทของนโยบายการคลัง
นโยบายการคลังจาแนกตามลักษณะปญั หาเศรษฐกจิ ทีต่ ้องแก้ จาแนกได้ 2 แบบ ดงั นี้
1) นโยบายการคลังแบบขยายตัว (Expansionary fiscal policy) นโยบายการคลังท่ี
เพมิ่ งบประมาณรายจา่ ยและลดภาษี เปน็ การใช้แผนงบประมาณแบบขาดดุล
ใชใ้ นกรณีเศรษฐกจิ ตกต่า
เครอื่ งมอื : เพมิ่ รายจ่าย และ ลดอัตราภาษี (GT)
งบประมาณรายได้ < งบประมาณรายจ่าย
201
การใชง้ บประมาณขาดดุล
ตัวอย่างเช่น เศรษฐกิจกาลังซบเซา และรัฐบาลมองว่า หากไปกระตุ้นภาคการผลิตอีกก็จะ
เกิดปัญหา เพราะความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ทาให้นักธุรกิจไม่กล้ามาลงทุน รัฐบาลจึงใช้
นโยบายการคลังด้วยการข้ึนเงินเดือนข้าราชการ คือ เพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล (G) เพื่อทาให้
เศรษฐกจิ ขยายตวั ซ่ึงผลกระทบท่เี กิดข้ึนแสดงเป็นแผนภาพได้ดังน้ี
Gรายได้การบริโภคการผลติ การลงทนุ การจา้ งงานY
2) นโยบายการคลังแบบหดตัว (Contractionary fiscal policy) เป็นนโยบายการคลัง
ท่ีลดงบประมาณรายจ่ายและเพ่ิมภาษี เปน็ การใชแ้ ผนงบประมาณแบบเกนิ ดุล
ใช้ในกรณีเศรษฐกิจมีการขยายตวั มากเกินไป
เครอ่ื งมอื : ลดรายจา่ ย และ เพิ่มอัตราภาษี (GT)
งบประมาณรายได้ > งบประมาณรายจ่าย
การใช้งบประมาณเกินดุล
ตัวอย่างเช่น รัฐบาลมองว่า เศรษฐกิจกาลังร้อนแรง CPI สูงมาก เน่ืองจากอัตราเงินเฟ้ออยู่
ในระดับสูง หากไมม่ กี ารเหยยี บเบรคอาจทาใหเ้ กิดปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจ รัฐบาลกจ็ ะไปใช้นโยบาย
ผ่านการเก็บภาษี (Tax) เพื่อให้เศรษฐกิจเกิดการชะลอตัวลง ซึ่งผลกระทบท่ีเกิดข้ึนแสดงเป็น
แผนภาพได้ดังนี้
T รายได้การบรโิ ภคการผลิตการลงทุนการจา้ งงานY
โดยสามารถสรุปข้อเปรียบเทียบระหว่างนโยบายการคลังแบบหดตัวกับนโยบายการคลัง
แบบขยายตัวได้ดังตาราง 6.6
ตาราง 6.6 เปรยี บเทียบนโยบายการคลงั แบบหดตัวกบั แบบขยายตัว
เศรษฐกจิ ขยายตัวมาก เศรษฐกิจตกต่า
นโยบายการคลงั แบบหดตัว นโยบายการคลงั แบบขยายตวั
ลดรายจา่ ย เพ่มิ รายจา่ ย
เพิ่มรายได้ (ภาษี) ลดรายได้ (ภาษี)
งบประมาณแบบเกนิ ดุล งบประมาณแบบขาดดุล
202
นโยบายการคลงั จาแนกตามจาแนกตามลกั ษณะการทางาน จาแนกได้ 2 แบบ ดงั นี้
1) น โ ยบายแ บบอัตโ น มัติ ( Non-Discretionary Fiscal Policy หรือ Built-in
Stabilizer) เป็นการดาเนินโยบายเม่ือระบบเศรษฐกิจมีเสถียรภาพ รัฐบาลจึงจึงไม่เข้าไปเปล่ียนการ
ใช้จ่ายและการจัดหารายได้มาก จึงดาเนินการโดย รัฐบาลจะจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้าหรือคงที่
และลดค่าใช้จ่ายในส่วนของเงนิ โอน และเงินชว่ ยเหลือ
2) นโยบายการคลังแบบจงใจ (Discretionary Fiscal Policy) เปน็ การดาเนนิ นโยบาย
ท่ีรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลงการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายให้สอดคล้องหรือเหมาะสมกับภาวะ
เศรษฐกิจในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เช่น ถ้าต้องการเพ่ิมรายได้
ประชาชาติก็อาจจะลดการเก็บภาษีลง หรือ ถ้าต้องการลดรายได้ประชาชาติลงก็ทาการเก็บภาษี
เพ่ิมขนึ้ (พฤทธ์สรรค์ สุทธไิ ชยเมธี, 2555)
6.3 การประยกุ ต์ นโยบายสาธารณะที่มผี ลต่อการประกอบการ และบทวิเคราะห์ของผเู้ ขียน
แนวคิดเร่ืองทั้งนโยบายสาธารณะท่ีเป็นนโยบายทางการเงิน และนโยบายสาธารณะที่เป็น
นโยบายการคลัง สามารถนาไปประยุกต์ใช้กับการประกอบการได้ในหลายๆรูปแบบ เช่น ศักยภาพ
การผลิต โครงสร้างการตลาด เป็นต้น โดยผู้เขียนได้ขอยกตัวอย่างกรณีศึกษาการนาองค์ความรู้เรื่อง
นโยบายสาธารณะไปประยุกต์ เปน็ นโยบายสาธารณะท่มี ีผลต่อการประกอบการใช้ ดงั นี้
ธนวรรณ แฉ่งขาโฉม ได้นาเสนอบทความวิชาการโดยนาความรู้จากแนวคิดเรื่องนโยบาย
สาธารณะมาประยุกต์ใช้งานวิจัยเรื่อง ผลกระทบของการใช้ นโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง
ของรัฐบาลในการสนับสนุนแก่อุตสาหกรรม พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยระบุว่านโยบายการเงินการ
คลังของรัฐบาลถูกนามาใช้เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ
อันเป็นเป้าหมายในการบริหารงานที่สาคัญของรัฐบาล ซึ่งการนาเคร่ืองมือต่างๆมาใช้ และการเลือก
อุตสาหกรรมที่เหมาะสมท่ีจะกระตุ้นเศรษฐกิจนับเป็นสิ่งสาคัญ อุตสาหกรรมการพัฒนา
อสังหาริมทรัพย์ถือเป็นอุตสาหกรรมหลักท่ีเกือบทุกประเทศให้ความสนใจในการใช้มาตรการการเงิน
และการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งน้ีเพราะอุตสาหกรรมน้ีเป็นส่วนที่อยู่กลางน้า ซึ่งจะส่งผล
กระทบต่ออุตสาหกรรมต้นน้า คือวัสดุก่อสร้าง และ งานรับเหมาก่อสร้าง และท้ังยังส่งผลกระทบต่อ
อุตสาหกรรมปลายน้าได้แก่ วัสดุตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเรือน เครื่องครัว รวมทั้งการปล่อย
สินเช่ือให้ไดต้ ามเป้าหมายของสถาบนั การเงินอีกด้วย การใช้นโยบายการคลงั ในเรื่องการลดภาษี การ
ลดค่าธรรมเนียมการทาธุรกรรมเก่ียวกับที่ดิน การขอความร่วมมือในการปล่อยสินเชื่อจากธนาคาร
พาณิชย์ การใช้มาตรการลดหย่อนทางภาษีสาหรับการจ่ายเงินซื้อท่ีอยู่อาศัย และการลดหย่อนให้แก่
ดอกเบี้ยท่ีเกิดจากการซื้อท่ีอยู่อาศัย ล้วนเป็นมาตรการทางการเงิน และการคลังที่รัฐบาลได้เคย
นามาใช้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวในการซ้ือที่อยู่อาศัย
203
เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีรากฐานชีวิตที่ม่ันคง เน่ืองจากท่ีอยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยส่ี
วัตถุประสงค์ต่อมาคือช่วยให้ภาคธุรกิจเอกชนผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ได้ระบายสินค้า
ในสต็อคเพื่อให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินแก่ธุรกิจ และส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของ
ประเทศ แม้ว้าจะเกิดผลกระทบในด้านหนี้สินภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลขาดรายได้ด้านภาษี
และค่าธรรมเนียมท่ีจะนามาเป็นงบประมาณบริหารประเทศบางส่วน แต่ผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ย่อมได้ผลคุ้มกว่าท่ีเสียไป อย่างไรก็ตามรัฐต้องรักษาวินัยการเงิน การคลังให้ม่ันคงเพ่ือไม่ให้เกิด
ผลกระทบดา้ นความเสยี หายต่อความมน่ั คงทางการเงินของประเทศ (ธนวรรณ แฉง่ ขาโฉม, 2559)
ฐณดม ราศีรัตนะ ได้นาเสนอบทความวิชาการโดยนาความรู้จากแนวคิดเร่ืองนโยบาย
สาธารณะมาประยุกต์ใช้งานวิจัยเรื่อง ผลกระทบของนโยบายภาครัฐ (เงินเดือนปริญญาตรี 15,000
บาท) กบั การตัดสินใจจ้างพนักงานบัญชีของธุรกจิ SMEs ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยระบุว่า
นโยบายภาครฐั (เงินเดอื นปริญญาตรี 15,000 บาท) เปน็ นโยบายทภ่ี าครฐั กาหนดขน้ึ เพ่ือเพิ่มค่าครอง
ชีพให้แก่ประชาชนท่ียังมีรายได้น้อยและขาดโอกาสในการเพ่ิมรายได้เพื่อพัฒน าคุณภาพชีวิตของ
ประชาชนให้เติบโตมากยิ่งขึ้น และเพื่อนาประเทศไทยไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจท่ีสมดุล เพ่ิมความ
เข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจภายในประเทศมากขึ้นซึ่งจะเป็นพื้นฐานท่ีสาคัญของการสร้างการเติบโตอยา่ ง
มีคุณภาพและย่ังยืนดังนั้น คณะผู้วิจัยจึงมีความสนใจท่ีจะศึกษาวิจัยเร่ืองผลกระทบของนโยบาย
ภาครัฐ (เงนิ เดือนปริญญาตรี 15,000 บาท) กบั การตัดสินใจจ้างพนักงานบัญชีของธรุ กจิ SMEs ในเขต
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายภาครัฐ การ
ตัดสินใจจ้างงานนักบัญชีและผลกระทบของนโยบายท่ีมีต่อการตัดสิ นใจจ้างงานนักบัญชีของธุรกิจ
SME ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในการวิจัยนี้ใช้แบบสอบถามเป็นเครอื่ งมือในการเก็บรวมรวม
ข้อมูลจากธุรกิจ SMEs ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จานวน 141 ฉบับ สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์
ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุคูณ
ผลการวิจัย พบว่าธุรกิจ SMEs ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความคิดเห็นเก่ียวกับนโยบาย
ภาครัฐ (เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท) โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และรายด้านพบว่าอยู่ใน
ระดับมาก และปานกลาง ได้แก่ ด้านผลกระทบจากการปรับอตั ราเงนิ เดือน ดา้ นความสามารถในการ
ปรับตัวเพื่อปฏิบตั ิตามนโยบาย และด้านความต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาล และมีความคิดเหน็
เกี่ยวกับการตัดสินใจจ้างพนักงานบัญชี โดยรวมอยู่ในระดับมาก และรายด้านพบว่าอยู่ในระดับมาก
ท่ีสุด และมาก ได้แก่ ด้านความรับผิดชอบ ด้านทักษะ และด้านความเช่ียวชาญ ส่วนการวิเคราะห์
ผลกระทบพบว่า (1) นโยบายภาครัฐ (เงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท)ด้านความต้องการความ
ช่วยเหลือจากรัฐบาลมีผลกระทบเชิงลบกับการตัดสินใจจ้างพนักงานบัญชีด้านความรับผิดชอบและมี
ผลกระทบเชงิ บวกกับการตดั สนิ ใจจ้างพนักงานบัญชี ด้านประสบการณ์ (2) นโยบายภาครฐั (เงินเดือน
ปริญญาตรี 15,000 บาท)ด้านผลกระทบจากการปรับอัตราเงินเดือนมีผลกระทบเชิงบวกกับการ
204
ตัดสินใจจ้างพนักงานบัญชี ด้านทักษะและด้านความเชี่ยวชาญ โดยสรุปนโยบายภาครัฐ (เงินเดือน
ปริญญาตรี 15,000 บาท)มีผลกระทบตอ่ การตัดสินใจจา้ งพนกั งานบัญชีของธุรกจิ SMEs ท้งั ดา้ นความ
รับผิดชอบด้านทักษะ ด้านความเช่ียวชาญ และด้านประสบการณ์ดังนั้น ผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs
จึงควรนาข้อมูลที่ได้จากการวิจัยคร้ังนี้ไปใช้เป็นข้อมูลสาหรับการตัดสินใจจ้างพนักงานบัญชีให้ธุรกิจ
ได้รับพนักงานบัญชีท่ีมีความรู้ความสามารถภายใต้อัตราเงินเดือนที่เหมาะสมตลอดจนผู้ประกอบการ
ธุรกิจ SMEs สามารถนาข้อมูลที่ได้รับไปพัฒนาประสิทธิภาพในการทางานของพนักงานบัญชีและยัง
สามารถใชเ้ ปน็ ข้อมลู ในการเตรยี มความพรอ้ มทีจ่ ะปฏบิ ัติตามนโยบายภาครัฐต่อไป (ฐณดม ราศีรัตนะ
, 2557)
จากการทบทวนวรรณกรรมและองค์ความรู้เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะที่เป็นนโยบายทาง
การเงิน และนโยบายสาธารณะท่ีเป็นนโยบายการคลัง ผู้เขียนได้นิรนัยข้อมูลซึ่งสามารถสังเคราะห์
ได้วา่ นโยบายการเงินและนโยบายการคลังเปน็ ปจั จัยสาคัญทีจ่ ะต้องนามาวิเคราะห์รว่ มในทุกๆหัวข้อ
ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมผู้ผลิต พฤติกรรมผู้บริโภค แนวทางการประกอบการ
ภาวะการณ์ตลาด ฯลฯ เพราะในแต่ละประเทศล้วนแต่มีนโยบายการเงินและนโยบายการคลังใน
แนวทางและเคร่ืองมือของประเทศน้ันๆ ในการดาเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ อาจกล่าวได้ว่าในทุกๆ
เร่ืองที่จะพิจารณาเก่ียวกับเศรษฐกิจจาเป็นต้องพิจารณานโยบายการเงินและนโยบายการคลังมา
วิเคราะห์ร่วมด้วย โดยจะขอยกตัวอย่าง งานวิจัยของผู้เขียน ดนัยกฤต อินทุฤทธ์ิ ได้นำควำมรู้จำก
แนวคิดเร่ืองนโยบำยสำธำรณะมำประยุกต์ใช้งำนวิจัยเรื่อง การออมและการลงทุนของคนกลุ่มเจน
เนอเรชันวายและเจนเนอเรชนั แซดในสถานการณ์โรคระบาด กรณีศึกษา การออมและการลงทุนของ
คนที่เกิดระหว่างปีพ.ศ.2523 - 2542 ในสถานการณ์การระบาด Covid-19 คน เขตพื้นท่ี
กรุงเทพมหานครฯ โดยท่ผี ู้เขยี นได้นาความรเู้ กีย่ วกับนโยบายสาธารณะมาสกัดเป็นตัวแปรสังเกตได้ใน
กลุ่ม ปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยท่ีงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาองค์ประกอบเชิงยืนยันและ
พยากรณ์แนวโน้มในการออมเงินและการลงทุนเพื่อการออมเงินและการลงทุนของคนกลุ่ม Gen Y
และ Gen Z ในสถานการณ์โรคระบาดโดยใช้การออมและการลงทุนของคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.
2523-พ.ศ.2542 ในสถานการณ์การระบาด Covid-19 ในเขตพ้ืนทก่ี รุงเทพฯ เปน็ กรณีศึกษา งานวิจยั
น้จี ะพจิ ารณาองค์ประกอบเชงิ ยนื ยนั ผ่านการวเิ คราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันลาดับสองและพยากรณ์
แนวโนม้ โดยสมการการวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบเส้นทางด้วยการรวบรวมข้อมูล จากแบบสอบถามกับ
กลุ่มตัวอย่างในกรุงเทพมหานครฯ จานวน 400 คน ผลการวิจัยผู้เขียนได้นิรนัยข้อมูลซึ่งสามารถ
สังเคราะห์ได้ว่าพบว่าจานวนผู้พ่ึงพิงรายได้ในครอบครัวและนโยบายหรือผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการออม
จากภาคเอกชนเป็นองค์ประกอบเชิงยืนยันต่อการออมที่มีค่าสัมประสิทธ์ิการพยากรณ์ สูงสุดเป็น 2
ลาดับแรก ขณะเดียวกันอุปสงค์ต่อการถือเงินเพ่ือใช้สอยในชีวิตประจาวันและความหลากหลายของ
แพลตฟอรม์ การลงทุนในระบบออนไลนเ์ ป็นองคป์ ระกอบเชิงยืนยันต่อการลงทุนทีม่ คี ่าสมั ประสิทธิ์การ
205
พยากรณ์ สูงสดุ เป็น 2 ลาดบั แรก ในขณะทีก่ ารพยากรณแ์ นวโน้มการออมพบว่าจานวนผู้พง่ึ พิงรายได้
ในครอบครัวและอุปสงค์ต่อการถือเงินเพื่อใช้ในชีวิตประจาวันเป็นตัวแปรพยากรณ์ท่ีมีค่าสัมประสิทธิ์
สูงสุด 2 ลาดับแรก และการพยากรณ์แนวโน้มการลงทุนพบว่า อุปสงค์ต่อการถือเงินเพ่ือใช้สอยใน
ชีวิตประจาวันและรายได้เป็นตัวแปรพยากรณ์ที่มีค่าสัมประสิทธ์ิสูงสุด 2 ลาดับแรก (ดนัยกฤต อินทุ
ฤทธ,์ิ 2564)
206
แบบฝึกหัดประจาบทท่ี 6
คาชแ้ี จง จงทาเครื่องหมาย หากขอ้ ความนัน้ ถูก และทาเครื่องหมาย หากข้อความนั้นผดิ
……... 1. เงนิ เปน็ สิง่ ทีไ่ มส่ ามารถชาระหน้ไี ด้ทัง้ ใน ……... 10. ธนาคารกลางเปน็ ผ้คู วบคุมและ
ปัจจบุ ันและอนาคต กากบั นโยบายการเงินของประเทศ
……... 2. ธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะเปน็ ผู้ ……... 11. ธนาคารกลางไม่มีอานาจใน
การตรวสอบการทางานของธนาคารพาณิชย์
จัดพมิ พธ์ นบัตร
……... 3. เงนิ เป็นส่ิงทม่ี ลี ักษณะเฉพาะจาได้ง่าย ……... 12. อุปทานเงนิ คือ ปรมิ าณเงนิ ท่ี
หมนุ เวียนในระบบเศรษฐกิจช่วงใดช่วงหนง่ึ
แต่ไมส่ ามารถแบ่งเปน็ หนว่ ยย่อย ๆ ได้
……... 4. ถ้าอตั ราดอกเบยี้ ต่า จะทาให้ความ ……... 13. การสรา้ งเงินฝากของธนาคาร
ต้องการในการถอื เงนิ จะน้อยลง พาณชิ ย์จะมากหรือนอ้ ยขน้ึ อย่กู บั อัตราเงนิ สด
……... 5. หากมปี รมิ าณเงนิ ในระบบเศรษฐกิจ สารองตามกฎหมาย
นอ้ ยลง จะทาใหร้ ายได้ประชาชาตนิ ้อยลงตาม ……... 14. ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถทาลาย
เงนิ ฝากทีส่ ร้างข้ึนได้
……... 6. ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง ( 2)
ประกอบดว้ ย เหรยี ญกษาปณ์ ธนบัตร และเงิน ……... 15. เงนิ สดทธ่ี นาคารพาณิชย์สามารถ
ฝากกระแสรายวัน ปลอ่ ยกูห้ รอื ลงทนุ อย่างอืน่ ได้คือ เงนิ สด
……... 7. วัตถุประสงค์ในการกเู้ งนิ ในตลาดทนุ คือ สารองส่วนเกนิ
เพ่ือเปน็ ทนุ หมนุ เวียนในการค้า ……... 16. ธนาคารกลางจะดาเนนิ นโยบาย
……... 8. ธนาคารกลางของแต่ละประเทศสามารถ การเงนิ แบบเข้มงวด เม่ือเกิดปัญหาเงินเฟ้อ
รบั ฝากเงนิ ประเภทกระแสรายวันท่ีจ่ายโอนโดย ……... 17. ธนาคารกลางจะซ้ือหลกั ทรัพยจ์ าก
เชค็ ได้ สถาบันการเงิน เพ่ือลดปริมาณเงนิ ในระบบ
เศรษฐกิจ
……... 9. ความตอ้ งการถือเงินของคนมสี าเหตุ 2
อยา่ งคือ เพ่ือใชจ้ า่ ยในชีวติ ประจาวนั และสารองไว้ ……... 27. รฐั บาลจะจัดทางบประมาณแบบ
เกนิ ดลุ เมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อหรอื เศรษฐกิจ
ในยามฉุกเฉนิ
ขยายตัวมากเกนิ ไป
……... 18.รฐั บาลไมใ่ ชผ่ ูก้ าหนดนโยบายการคลัง
……... 28.งบประมาณแผน่ ดินเป็นแผนการ
ของประเทศ แตเ่ ปน็ ธนาคารกลาง
บรหิ ารการเงนิ ของรฐั บาลท่ีเกี่ยวขอ้ งแต่
……... 19.นโยบายด้านหน้สี าธารณะคือ 1 ใน เฉพาะรายจ่ายเท่านน้ั
เครื่องมอื ของนโยบายการคลัง
207
……... 20.การจา่ ยเงนิ บาเหน็จ เงนิ บานาญ เปน็ ……... 29.รัฐบาลจะดาเนนิ นโยบายการคลงั
รายจ่ายเงินโอนของรัฐบาล และไมน่ ับรวมเปน็ แบบอตั โนมตั ิ เมื่อเศรษฐกิจของประเทศมี
รายไดป้ ระชาชาติ เสถยี รภาพ
……... 21.รายได้จากการเก็บภาษีคอื รายได้ส่วน ……... 30.ถ้ามกี ารใชจ้ า่ ยของรฐั บาลน้อยลง
ใหญจ่ ากรายไดท้ ัง้ หมดของรฐั บาล จะไม่มีผลทาให้รายได้ประชาชาตินอ้ ยลงตาม
……... 22.รฐั บาลจะทาการกเู้ งนิ จากสถาบัน ……... 31.การดาเนินนโยบายการคลงั เป็นสว่ น
การเงินในประเทศเมื่อตอ้ งการลงทนุ ในโครงการ สาคัญทีส่ ่งเสรมิ การกระจายรายไดใ้ ห้เปน็
ใหญ่ ๆ (Mega Project) ธรรมในสงั คม
……... 23.ธนาคารกลางไม่ใชแ่ หล่งกเู้ งนิ หนว่ ย ……... 32.โครงสรา้ งอตั ราภาษีมี 3 ลกั ษณะคอื
สดุ ทา้ ยของรฐั บาล แบบถดถอย แบบคงท่ี และแบบก้าวหนา้
……... 24.ธนาคารกลางของประเทศสหรัฐอเมริกา ……... 33.ภาษเี งินไดบ้ คุ คลธรรมดาและภาษี
มชี ่อื วา่ Federal Reserve หรือ Fed เงนิ ได้นิตบิ ุคคล เปน็ ภาษที ส่ี ามารถผลกั ภาระ
……... 25.ปงี บประมาณของประเทศไทยใน ให้ผู้อน่ื ไดง้ ่าย
ปจั จบุ นั คือ ปีงบประมาณ 2560 ……... 34.นโยบายการคลงั แบบขยายตวั เป็น
……... 26.การจัดทางบประมาณขาดดลุ คือ การที่ การเพ่ิมการใช้จ่ายของรัฐบาลและลดการเกบ็
ภาษีลง
รัฐบาลมรี ายไดม้ ากกวา่ รายจา่ ย
……... 35.หากมีการดาเนินการนโยบาย
การเงนิ และนโยบายการคลงั ท่ไี มส่ อดคล้องกัน
อาจจะทาให้เศรษฐกจิ ไม่เติบโต
208
ตวั อย่างข้อสอบบทท่ี 6
1. จากแนวคดิ เร่ืองนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ข้อใดตอ่ ไปน้ี ถูกต้อง
ก. เงนิ เป็นสิง่ ทไ่ี มส่ ามารถชาระหนไี้ ด้ทั้งในปัจจุบนั และอนาคต
ข. หากมปี รมิ าณเงินในระบบเศรษฐกจิ น้อยลง จะทาใหร้ ายได้ประชาชาติน้อยลงตาม
ค. เงินเป็นสง่ิ ทีม่ ลี ักษณะเฉพาะจาได้งา่ ย แต่ไมส่ ามารถแบ่งเป็นหนว่ ยยอ่ ยๆ ได้
ง. ถา้ อตั ราดอกเบย้ี ต่า จะทาให้ความต้องการในการถือเงนิ จะน้อยลง
2. จากแนวคดิ เร่อื งนโยบายการเงนิ และนโยบายการคลงั ข้อใดต่อไปน้ี ไม่ถกู ต้อง
ก. นโยบายด้านหน้สี าธารณะคอื 1 ในเครื่องมือของนโยบายการคลงั
ข. การจา่ ยเงนิ บาเหน็จ เงนิ บานาญ เปน็ รายจา่ ยเงินโอนของรฐั บาล และไม่นบั รวมเป็นรายได้
ประชาชาติ
ค. ความตอ้ งการถือเงนิ ของคนมีสาเหตุ 2 อยา่ งคือ เพื่อใชจ้ ่ายในชีวิตประจาวันและสารองไว้ใน
ยามฉกุ เฉนิ ขาดเกง็ กาไร
ง. รายไดจ้ ากการเก็บภาษีคือรายไดส้ ว่ นใหญจ่ ากรายไดท้ ัง้ หมดของรัฐบาล
3. จากรูป เพราะเหตใุ ด เส้นอุปทานของเงนิ จงึ ไม่มคี วามยืดหยนุ่ เลย
ก. เพราะอุปสงค์ต่อการถือเงินจะเปน็ สงิ่ กาหนดปริมาณเงินในระบบ
ข. เพราะอปุ ทานของเงนิ จะมากหรือน้อยข้นึ อยู่กับการควบคมุ หรอื นโยบายการเงินของธนาคาร
ของแต่ละประเทศ
ค. เพราะปริมาณเงนิ สารองของประเทศมคี งที่
ง. เพราะอปุ ทานเงินตราตา่ งประเทศไม่สง่ ผลต่ออัตราดอกเบย้ี ทจี่ ะกาหนดผ่านธนาคารกลาง
ของแตล่ ะประเทศเทา่ น้นั
209
จงใช้พิจารณารูป และตอบคาถามในขอ้ ที่ 4-5
4. จากรปู หากอตั ราดอกเบี้ยเปลย่ี นเป็น r1 จะมีผลอย่างไร
ก. เกิดอปุ สงคส์ ่วนเกินของเงิน และส่งผลให้อตั ราดอกเบย้ี สูงปรับสงู ข้ึนสู่อตั ราดอกเบี้ยดลุ ยภาพ
ข. เกิดอุปทานสว่ นเกินของเงิน และส่งผลใหอ้ ตั ราดอกเบี้ยปรับลดลงสู่อัตราดอกเบีย้ ดลุ ยภาพ
ค. เกดิ จดุ ดุลยภาพจุดใหม่ ปริมาณเงนิ ลดลงและอตั ราดอกเบ้ียสงู ขึ้น
ง. เกิดจดุ ดุลยภาพจดุ ใหม่ ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นและอัตราดอกเบี้ยลดลง
5. จากรูปหากอตั ราดอกเบี้ยเปลย่ี นเปน็ r2 จะมีผลอย่างไร
ก. เกดิ อุปสงคส์ ่วนเกินของเงิน และสง่ ผลให้อัตราดอกเบ้ียสงู ปรบั สูงขน้ึ ส่อู ตั ราดอกเบ้ยี ดลุ ยภาพ
ข. เกดิ อุปทานสว่ นเกนิ ของเงิน และส่งผลให้อตั ราดอกเบี้ยปรับลดลงสอู่ ตั ราดอกเบี้ยดลุ ยภาพ
ค. เกิดจดุ ดุลยภาพจดุ ใหม่ ปรมิ าณเงินลดลงและอตั ราดอกเบีย้ สูงข้ึน
ง. เกดิ จุดดลุ ยภาพจุดใหม่ ปรมิ าณเงนิ เพ่ิมขึ้นและอัตราดอกเบ้ียลดลง
6. นโยบายการเงนิ แบบเข้มงวด (Restrictive monetary policy) มีลักษณะอยา่ งไร
ก. มีวัตถปุ ระสงคเ์ พื่อแก้ปัญหาเศรษฐกจิ ในกรณีที่เกิดปัญหาเงินฝดื ภาวะการวา่ งงานสูง
เศรษฐกิจชะลอตวั หรอื ตกตา่ เป็นต้น โดยการใชเ้ ครอ่ื งมอื นโยบายการเงินทีส่ ่งผลให้ปรมิ าณเงนิ ใน
ระบบเศรษฐกจิ มากขึ้น
ข. เป็นการใช้เคร่ืองมอื นโยบายการเงินทสี่ ่งผลใหป้ ริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจลดลง และใชเ้ ม่ือ
เกดิ ปญั หาเศรษฐกจิ เชน่ ปญั หาเงนิ เฟ้อ เศรษฐกจิ ขยายตวั มากเกนิ ไป เปน็ ตน้
ค. เปน็ วตั ถุประสงคเ์ พ่อื กระตุน้ เศรษฐกจิ โดยการใช้ภาษี
ง. ไมม่ ีข้อถูก
210
7. นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Expansion monetary policy) มลี กั ษณะอยา่ งไร
ก. มวี ตั ถุประสงคเ์ พื่อแกป้ ัญหาเศรษฐกจิ ในกรณที ่ีเกิดปญั หาเงินฝืด ภาวะการวา่ งงานสูง
เศรษฐกิจชะลอตวั หรอื ตกต่า เป็นต้น โดยการใชเ้ ครื่องมอื นโยบายการเงินท่ีส่งผลใหป้ ริมาณเงนิ ใน
ระบบเศรษฐกิจมากข้ึน
ข. เปน็ การใช้เครือ่ งมือนโยบายการเงนิ ที่สง่ ผลใหป้ รมิ าณเงินในระบบเศรษฐกิจลดลง และใชเ้ ม่ือ
เกดิ ปัญหาเศรษฐกจิ เชน่ ปัญหาเงินเฟ้อ เศรษฐกจิ ขยายตวั มากเกนิ ไป เปน็ ต้น
ค. เปน็ วัตถปุ ระสงค์เพ่ือกระตนุ้ เศรษฐกจิ โดยการใช้ภาษี
ง. ไมม่ ขี ้อถูก
บรรณานุกรม
จำนง สมประสงค์ และประดิษฐ์ ชำสมบัติ. 2519.เศรษฐศาสตร์แรงงาน.กรงุ เทพฯ: ไทยวัฒนำพำนชิ .
ชยนั ต์ ตันตวิ ัสดำกำร. 2556. พมิ พ์ครั้งท่ี 2. เศรษฐศาสตร์จุลภาค : ทฤษฎแี ละการประยกุ ต์.
กรุงเทพฯ: สำนกั พิมพ์มหำวิทยำลยั ธรรมศำสตร.์
ชวลิต สละ. 2551.หลกั เศรษฐศาสตรแ์ รงงานเบื้องตน้ .
กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์จุฬำลงกรณม์ หำวทิ ยำลยั .
ชวำกร เลิศรังสทิ ธิ. 2562 .ววิ ัฒนาการของเงิน. [ระบบออนไลน]์ .
แหล่งทม่ี ำ: https://medium.com/bitkub/evolution-money-barter-digital-
cryptocurrency-84c740329328) (17 ธันวำคม 2563).
ฐณดม รำศรี ัตนะ. 2557. ผลกระทบของนโยบำยภำครัฐ (เงินเดือนปริญญำตรี 15,000 บำท) กับกำร
ตดั สนิ ใจจำ้ งพนักงำนบญั ชขี องธุรกจิ SMEs ในเขตภำคตะวันออกเฉยี งเหนือ. วำรสำรวจิ ยั
และพัฒนำ มหำวิทยำลัยรำชภฏั เลย. 9 (29), 5 - 25.
ดนยั กฤต อนิ ทฤุ ทธ์ิ. 2561.กำรสง่ เงินกลับประเทศของแรงงำนขำ้ มชำติชำวเมียนมำร์. วำรสำรสงขลำ
นครนิ ทร์ ฉบับสงั คมศำสตร์และมนุษยศำสตร์. 24 (3), 197 – 220.
ดนัยกฤต อนิ ทฤุ ทธ์ิ. 2564. พฤติกรรมผ้บู ริโภคทมี่ ีต่อกำรซ้ือเวชภณั ฑ์เบื้องตน้ เมื่อเกิดสถำนกำรณ์โรค
ระบำด กรณีศึกษำ กำรระบำดของไวรสั โควดิ -19 ในจงั หวัดเชียงใหม่. วำรสำรปำริชำติ.
34 , 138-154.
ดนยั กฤต อินทุฤทธ.ิ์ 2564. กำรออมและกำรลงทนุ ของคนกล่มุ เจนเนอเรชนั วำยและเจนเนอเรชนั
แซดในสถำนกำรณ์โรคระบำด กรณศี ึกษำ กำรออมและกำรลงทนุ ของคนท่เี กดิ ระหว่ำงปีพ.ศ.
2523 - 2542 ในสถำนกำรณ์กำรระบำด Covid-19 คน เขตพน้ื ท่ีกรุงเทพมหำนคร. รำยงำน
สืบเน่ืองกำรประชุมวชิ ำกำรนำเสนอผลงำนวิจยั ระดบั บณั ฑิตศกึ ษำแหง่ ชำติ ครั้งท่ี 53 “กำร
จัดกำรเรยี นรู้ กำรวิจัยและนวัตกรรมเพื่อกำรพฒั นำทยี่ ัง่ ยืน”, 131-162.
ดนัยกฤต อนิ ทุฤทธิ์. 2562. ปจั จยั ทมี่ อี ิทธิพลต่อกำรไมซ่ ื้อสนิ คำ้ ผำ่ นระบบออนไลนข์ องนักศึกษำ
มหำวิทยำลยั ของรฐั ในกรงุ เทพฯ. รำยงำนสืบเน่ืองกำรกำรประชุมวชิ ำกำรและนำเสนอ
ผลงำนวิจยั ระดับชำติ ครงั้ ท่ี 11 ถกั ทองำนวิจัยท้องถนิ่ .....กำ้ วไกลสู่สำกล
มหำวทิ ยำลยั รำชภฎั นครรำชสีมำ, 581-588.
ธนวรรณ แฉง่ ขำโฉม. 2559. ผลกระทบของกำรใช้ นโยบำยกำรเงิน และนโยบำยกำรคลังของรฐั บำล
ในกำรสนบั สนนุ แก่อุตสำหกรรม พัฒนำอสงั หำริมทรัพย์. วำรสำรมนุษย์ศำสตร์และ
สงั คมศำสตร์ มหำวิทยำลยั ธนบรุ ี 10 (22), 128 -140.
ธเนศ ศรีวชิ ยั ลำพนั ธ.์ 2558. การพฒั นาเศรษฐกจิ ชุมชน. คณะเศรษฐศำสตร์
มหำวิทยำลยั เชียงใหม่
212
บรรณานกุ รม (ต่อ)
ธรี ะพงษ์ วิกิตเศรษฐ. 2559. จลุ เศรษฐศาสตร์ : ทฤษฎีและการประยกุ ต์ ฉบบั ปรับปรุงครง้ั ท่ี 2. กรงุ เทพฯ:
โครงกำรส่งเสรมิ และพัฒนำเอกสำรวชิ ำกำร สถำบันบัณฑติ พัฒนบรหิ ำรศำสตร์
นรำทิพย์ ชตุ วิ งศ์. 2558. ทฤษฎเี ศรษฐศาสตรจ์ ลุ ภาค. พิมพค์ รงั้ ที่ 11.
กรุงเทพมหำนคร: โรงพิมพจ์ ุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย.
นรำทิพย์ ชตุ ิวงศ.์ 2540.หลักเศรษฐศาสตร์ 1: จุลภาค.
กรงุ เทพมหำนคร: โรงพิมพจ์ ุฬำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั :
ประพันธ์ เศวตนันทน์, ไพศำล เลก็ อทุ ัย. 2560.หลักเศรษฐศาสตร์. พมิ พ์ครง้ั ที่ 14.
กรงุ เทพมหำนคร : โรงพมิ พจ์ ุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย.
ปิยะลักษณ์ พทุ ธวงศ์. 2557. เศรษฐศาสตร์จลุ ภาค 1 : ทฤษฎแี ละการประยกุ ต์ใช้.
เชยี งใหม่ : โครงกำรผลติ ตำรำ คณะเศรษฐศำสตร์ มหำวิทยำลยั เชียงใหม.่
ปิยะศริ ิ เรืองศรีม่นั และคณะ. 2556.พิมพ์ครั้งท่ี 4. หลกั เศรษฐศาสตร์เบ้ืองต้น เลม่ 1.
นนทบุรี: สำนักพมิ พม์ หำวิทยำลัยสโุ ขทัยธรรมธิรำช.
พฤทธส์ รรค์ สุทธิไชยเมธี . 2555. ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาค. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ ซีเอ็ดยูเคช่นั
พฤทธส์ รรค์ สุทธิไชยเมธี. 2556.เศรษฐศาสตรท์ ัว่ ไป. พิมพ์ครั้งท่ี 10.
กรงุ เทพฯ: สำนกั พิมพ์ ซีเอด็ ยูเคชนั่ .
พรพิมล สนั ติมณีรตั น์. 2545. เศรษฐศาสตรจ์ ลุ ภาค. พิมพ์คร้ังที่ 2.
กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์มหำวิทยำลยั ธรรมศำสตร.์
ภรำดร ปรดี ำศักด์ิ .2556 .หลักเศรษฐศาสตรจ์ ุลภาค. . กรุงเทพฯ.
สำนกั พมิ พม์ หำวิทยำลัยธรรมศำสตร์.
มนตรี สงิ หะวาระ. 2564.E-learning Managerial Economics บทท่ี 4 การประมาณการอปุ สงค์.
[ระบบออนไลน์]. แหลง่ ทม่ี ำ:
http://lms.mju.ac.th/courses/158/locker/EC373/content4.htm
(11 ตุลำคม 2564).
มนตรี สิงหะวาระ. 2564.E-learning Managerial Economics บทที่ 11 การประมาณการอปุ สงค.์
[ระบบออนไลน]์ . แหล่งทม่ี ำ:
http://lms.mju.ac.th/courses/158/locker/EC373/content4.htm
(24 ตุลำคม 2564).
ไมเคิล ปำร์กน้ิ และโรบิน เบด. 2550. เศรษฐศาสตรจ์ ุลภาค ฉบับมาตรฐาน.
แปลโดย จุฑำมำศ ทวีไพบูลย์วงษ์. กรุงเทพฯ: เพียรส์ ัน เอด็ ดูเคชั่น อินโดไชน่ำ.
รัชนี โตอำจ. 2549. เศรษฐศาสตรม์ หภาคเบอ้ื งต้น. กรงุ เทพมหำนคร : วิรตั น์ เอด็ ยเู คช่ัน.
213
บรรณานุกรม (ตอ่ )
วรวิทย์ เจรญิ เลศิ . 2535.พัฒนาการเศรษฐกิจเปรยี บเทยี บ. กรุงเทพฯ: โครงกำรตำรำศนู ย์บรกิ ำรเอกสำร
วชิ ำกำรคณะเศรษฐศำสตร์ จฬุ ำลงกรณ์มหำวทิ ยำลยั .
วนั รกั ษ์ มิ่งมณนี ำคิน. 2538.หลักเศรษฐศาสตรม์ หภาค.พิมพค์ รัง้ ท่ี 6. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนำพำณชิ ,
วันรกั ษ์ ม่ิงมณีนำคิน. เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศเบอ้ื งตน้ .พมิ พ์ครั้งท่ี 5.
กรุงเทพฯ : โรงพมิ พจ์ ุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลยั , 2548.
วันรักษ์ มิง่ มณนี ำคิน. 2550. พิมพค์ รั้งท่ี 19. หลกั เศรษฐศาสตร์จุลภาค.
กรุงเทพฯ : สำนกั พิมพ์มหำวิทยำลยั ธรรมศำสตร์.
ศิรริ กั ษ์ จวงทอง. 2555. เศรษฐศาสตรจ์ ุลภาค.
สงขลำ : ตำรำวิชำกำรรำชภัฏเฉลิมพระเกยี รติ มหำวิทยำลัยรำชภัฏสงขลำ.
สถำบันพฒั นำควำมรู้ตลำดทุน ตลำดหลักทรัพยแ์ ห่งประเทศไทย. 2559. เศรษฐศาสตร์:
เครือ่ งมอื เพ่ือการวเิ คราะห์การลงทนุ . พิมพ์คร้ังที่ 5.
กรุงเทพฯ : สถำบันพัฒนำควำมรูต้ ลำดทุน ตลำดหลักทรพั ย์แห่งประเทศไทย.
สิทธิเดช พงศก์ ิจวรสิน. 2561. หลกั เศรษฐศาสตร์จลุ ภาคเบื้องตน้ : การวเิ คราะหแ์ ละประยุกต์.
กรงุ เทพฯ : สำนักพมิ พ์แหง่ จุฬำลงกรณ์มหำวิทยำลัย.
สิปปภำส พรสขุ สวำ่ ง. 2557. เศรษฐศาสตร์ตลาดการเงนิ .พมิ พ์ครั้งที่ 10.
กรงุ เทพฯ: สำนักพิมพ์มหำวทิ ยำลยั ธรรมศำสตร์.
สมชำย ภคภำสนว์ ิวฒั น์ และคณะ. 2556.พิมพ์คร้ังท่ี 6. เศรษฐกจิ กับการเมืองไทย เล่ม 1.
นนทบุรี: สำนกั พิมพม์ หำวทิ ยำลยั สุโขทยั ธรรมธริ ำช .
สมภมู ิ แสวงกลุ . 2559. กำรวิเครำะหโ์ ครงสรำ้ งตลำดและปัจจยั ทเ่ี ป็นตัวกำหนดรำคำผลิตภัณฑก์ ำแฟ
พร้อมด่มื . วำรสำรบริหำรธุรกจิ เศรษฐศำสตร์และกำรส่ือสำร. 11 (1), 28 – 41.
สดุ ำรัตน์ พมิ ลรตั นกำนต์. 2556. พิมพ์คร้ังท่ี 2. เศรษฐศาสตรเ์ บือ้ งต้น.
กรงุ เทพฯ: สำนกั พิมพ์ ซเี อ็ดยูเคชน่ั
เสำวลักษณ์ กู้เจรญิ ประสิทธ์ิ. 2557. เศรษฐศาสตร์จลุ ภาค. พมิ พ์ครัง้ ที่ 3.
กรงุ เทพฯ : สำนกั พมิ พ์มหำวิทยำลยั เกษตรศำสตร์.
อนสุ รณ์ สรพรหม.2550. ทฤษฎีและตวั อยา่ งโจทย์เศรษฐศาสตรม์ หภาค.
กรุงเทพฯ: แมคกรอ-ฮิลอินเตอรเ์ นชันแนลเอนเตอร์ไพร์สอิงค.์
อมรทิพย์ แท้เทีย่ งธรรม.2544.เศรษฐศาสตร์มหภาค. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหำวิทยำลัยเกษตรศำสตร์.
อำวนิ ำช ดิกซติ . 2562. เศรษฐศาสตร์จุลภาค : ความรฉู้ บับพกพา. แปลโดย พรเทพ เบญญำอภิกุล.
กรุงเทพฯ: สำนกั พิมพ์ บคุ๊ สเคป.
214
บรรณานุกรม (ต่อ)
อนิ ทนลิ นิลเกตุ และ ธเนศ วฒั นกูล. 2557. กำรวเิ ครำะห์ศักยภำพกำรผลติ ปำลม์ นำ้ มนั และ
โครงสรำ้ งกำรตลำด : กรณศี ึกษำ จังหวัดหนองคำย และบึงกำฬ. วำรสำรวจิ ัย
มหำวิทยำลยั ขอนแก่น มนุษย์และสงั คมศำสตร์. 2 (1), 60-70.
อัครนนั ท์ คิดสม. 2564. เศรษฐศาสตรจ์ ุลภาค 1.
กรุงเทพฯ : ภำควิชำเศรษฐศำสตร์ คณะเศรษฐศำสตร์ มหำวทิ ยำลยั เกษตรศำสตร์.
อมั พร วิจติ รพันธ์. ประวัติลัทธิเศรษฐกิจ. กรงุ เทพมหำนคร : โรงพิมพส์ หกรณ์, 2515
เอ็น จอร์จี้ แมนคิว. 2557. หลักเศรษฐศาสตร์. แปลโดย คมิ ไชยแสนสุข
และ สุพรรณิกำ ลือชำรัศม.ี กรงุ เทพฯ: สำนกั พิมพ์ เซนเกจ เลินนิ่ง อนิ โดขไชนำ่ .
อำชนัน เกำะไพบูลย.์ 2561. พิมพค์ ร้งั ที่ 8. เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศเพอ่ื การพัฒนา.
กรงุ เทพฯ: สำนกั พิมพม์ หำวทิ ยำลยั ธรรมศำสตร.์
ฮำจุน ชำง. 2562. เศรษฐศาสตร์ (ฉบับทางเลือก). แปลโดย วรี ะยทุ ธ กำญจนช์ ฉู ัตร.
กรุงเทพฯ: สำนกั พิมพ์ บุค๊ สเคป.
Anthony Endres. 2002. The Foundations of the Market Economy Series.
Ed.: Taylor & Francis e-Library ed. London : Routledge.
Bairoch, Paul (1995). Economics and World History: Myths and Paradoxes.
Chicago: University of Chicago Press. ISBN 0226034631
Ben Fine. 2016. Microeconomics : A Critical Companion. London : Pluto Press.
Browing, Edgar K. and Mark A. Zupan. Microeconomics : Theory and Applications.
9th. Ed. New York: John Wiley and Sons Inc., 2006.
John B. taylor. 2001. principles of macroeconomics. Houghton Mifflin company.
John M. Gowdy. 2010 .Microeconomic Theory Old and New : A Student's Guide.
Ed.: Stanford, Calif : Stanford Economics and Finance.
Karl E. Case , Ray C. Fair & Sharon E. Oster. 2016. Principles of Economics.
Pearson Education Limited. Harlow, United Kingdom
McConnell, Campbell R. Economics: Principles, Problems, and Politics.
16th. Ed. New York: McGraw-Hill, 2005.
Michelle Andrews. 2016. Mobile Promotions: A Framework and Research Priorities.
. Journal of Interactive Marketing. 34, 15-24.
Solomon Cohen. 2001. Microeconomic Policy. London : Routledge.
ภาคผนวก
แบบตอบรบั การเผยแพรต่ ารา
ที่ อว ๐๖๑๓.๙/๕๘ สำนกั วิทยบรกิ ารและเทคโนโลยสี ารสนเทศ
มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ลำปาง
อำเภอเมือง จงั หวัดลำปาง ๕๒๑๐๐
๑๙ เมษายน ๒๕๖๕
เรอ่ื ง ขอขอบคณุ ที่มอบตำรา
เรียน คณบดีคณะบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ
อา้ งถึง หนังสอื คณะบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก
ที่ อว ๐๖๕๑.๒๐๘๖(๑)/๐๗๐๒ ลงวนั ท่ี ๑๒ เมษายน ๒๕๖๕
ตามหนังสือที่อ้างถึงท่านได้มอบตำราเศรษฐศาสตร์จุลภาคประยุกต์ ( Applied
Microeconomics) ของนายดนัยกฤต อินทฤุ ทธิ์ ตำแหน่งอาจารย์ประจำสาขาเศรษฐศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ
และเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก จำนวน ๑ เล่ม เพื่อเผยแพร่และ
ประโยชน์ในการศกึ ษาค้นควา้ สำหรบั ผ้ทู ี่สนใจ นัน้
สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางได้รับตำราดังกล่าว
เรียบร้อยแล้ว และจะนำไปเผยแพร่แก่ผู้ที่สนใจ อาทิ คณาจารย์ นักศึกษา บุคลากร และประชาชนทั่วไปให้เกดิ
ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของทา่ นต่อไป
จงึ เรียนมาเพอ่ื โปรดทราบและขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้
ขอแสดงความนบั ถือ
(ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ปรชี า โพธ์ิแพง)
ผู้อำนวยการสำนกั วิทยบริการและเทคโนโลยสี ารสนเทศ
ปฏบิ ตั ริ าชการแทน อธกิ ารบดีมหาวิทยาลัยราชภฏั ลำปาง
สำนกั งานผอู้ ำนวยการ
โทร. ๐ ๕๔๒๓ ๗๓๙๙ ตอ่ ๖๐๐๐, ๐๖ ๓๗๙๗ ๙๖๓๖
e-Mail : [email protected]
ท่ี ม.ฟ.อ. 2205/006
27 เมษายน 2565
เรอ่ื ง ขอขอบคุณ
เรียน คณบดคี ณะบรหิ ารธรุ กิจและเทคโนโลยสี ารสนเทศ
ตามที่ คณะบรหิ ารธรุ กจิ และเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลตะวนั ออก
ได้กรณุ ามอบตาราทางวชิ าการ เร่ือง เศรษฐศาสตรจ์ ุลภาคประยกุ ต์ (Applied Microeconomics)
ซง่ึ จดั ทาโดย อาจารย์ดนัยกฤต อนิ ทุฤทธ์ิ จานวน 1 เล่ม แกส่ านกั วทิ ยบรกิ าร มหาวทิ ยาลยั ฟารอ์ ีสเทอรน์
เพ่ือเผยแพร่แก่อาจารย์ นักศึกษา และผู้ที่สนใจ ความทราบแล้วนั้น
สานักวิทยบรกิ าร มหาวทิ ยาลัยฟารอ์ สี เทอร์น จะนาเข้าระบบจดั เกบ็ และจัดบรกิ ารแกอ่ าจารย์
นกั ศึกษา และผู้ทสี่ นใจ ตอ่ ไป
จงึ เรยี นมาเพื่อทราบ และขอขอบคุณเป็นอยา่ งสงู มา ณ โอกาสน้ี
ขอแสดงความนบั ถือ
(นางสาววณิชากร แก้วกัน)
หวั หนา้ สานักวิทยบรกิ าร
สานกั วิทยบริการ มหาวิทยาลัยฟารอ์ ีสเทอร์น
โทรศัพท:์ (053) 201800-4 ตอ่ 3211-12
โทรสาร: (053) 201810