39
ตาราง 2.4 ตารางอุปทาน
ราคาสินค้าต่อหน่วย ปรมิ าณความต้องการเสนอขาย
(P) (Q)
55
10 25
15 30
20 45
30 50
ภาพ 2.12 เสน้ อปุ ทาน
อุปทานสว่ นบคุ คลและอปุ ทานสว่ นตลาด
ตารางอุปทานส่วนบุคคล (individual supply schedule) เป็นตารางตัวเลขแสดง
ปริมาณอุปทานในสินค้าหรือบริการของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ณ ระดับราคาต่างๆและเช่นเดียวกันกับ
กรณีของอุปสงค์ จากตารางน้ีเราสามารถนาตัวเลขแต่ละคู่ลาดับของราคาและปริมาณอุปทานมา
พลอตเป็นจุด และเม่ือเช่ือมโยงจุดเหล่าน้ีเข้าด้วยกันจะได้เส้นอุปทานส่วนบุคคล (ศิริรักษ์ จวงทอง,
2555)
40
ในการพิจารณาอุปทาน ถ้าพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างราคาสินค้ากับปริมาณการเสนอ
ขายสินค้าท่ีผู้ผลิตรายใดรายหน่ึงต้องการเสนอขาย เรียกอุปทานน้ันว่า อุปทานส่วนบุคคล แต่ถ้า
พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างราคาสินค้ากับปริมาณการเสนอขายสินค้าทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจ
หนึ่งๆ เรยี กอุปทานนน้ั วา่ “อปุ ทานตลาด (Market Supply)”
ตาราง 2.5 ตารางอุปทานสว่ นบุคคลและอปุ ทานส่วนตลาด
ราคา (P) ปรมิ าณผูข้ าย A ปริมาณผูข้ าย B ตลาด A+B
25 40 40 80
20 30 30 60
15 20 20 40
10 10 10 20
50 00
ภาพ 2.13 เสน้ อปุ ทานสว่ นบคุ คลและเสน้ อุปทานส่วนตลาด
จากตาราง 2.6 และภาพ 2.13 แสดงว่าถ้าปัจจัยอื่นคงท่ีเม่ือราคาของสินค้าหรือบริการ
สูงขึ้น ทั้งอุปทานส่วนบุคคลและอุปทานรวมจะเพ่ิมขึ้น และในทางกลับกัน เม่ือราคาลดลงปริมาณ
อุปทาน ทั้งสองประเภทจะลดลงด้วย และถ้าพิจารณาจากกราฟจะเห็นได้ว่าลักษณะของทั้งเส้น
อุปทานส่วนบุคคล และอุปทานรวมจะเป็นเส้นท่ีลากเฉียงขึ้นจากซ้ายไปขวา ซ่ึงเป็นไปตามกฎของ
อุปทานท่ีว่าราคาของสินค้าหรือบริการชนิดใดชนิดหนึ่งจะเป็นปฏิภาคโดยตรงกับปริมาณความ
ตอ้ งการเสนอขายหรอื อุปทานในสนิ ค้าชนิดน้ัน โดยอยู่ภายใต้ขอ้ สมมตวิ ่าปจั จัยอืน่ ๆคงท่ี
41
การเปลยี่ นแปลงอุปทาน
การเปลี่ยนแปลงของอุปทานสามารถเปลย่ี นแปลงได้ 2 แบบคอื
1) การเปล่ียนแปลงปริมาณของอุปทาน (Change in quantity supply) เป็นการ
เปล่ียนแปลงอุปทานเนื่องจากราคาสินค้าชนิดน้ันเปลี่ยนแปลงไป ภายใต้ข้อสมมุติปัจจัยอ่ืนๆ ท่ี
กาหนดอุปทานคงท่ี การเปลี่ยนแปลงปริมาณของอุปทานจะทาให้ปริมาณการเสนอขายเปล่ียนแปลง
อยู่บนเส้นอุปทานเส้นเดิม ถ้าพิจารณาจากกราฟการเปลี่ยนแปลงของอุปทานดังกล่าวจะเป็นการ
เปลยี่ นแปลง ในลักษณะของการเคลื่อนไหวอยภู่ ายในเสน้ อุปทานเสน้ เดิม จากจุดหนง่ึ ไปยังอกี จดุ หนงึ่
ภาพ 2.14 การเปลยี่ นแปลงปริมาณของอปุ ทาน
การเปล่ียนแปลงระดับอุปทาน (Change in supply) เป็นการเปล่ียนแปลงอุปทาน
เนื่องจากปัจจัยอื่นๆ ที่มีอิทธิพลต่ออุปทาน เช่น ต้นทุนการผลิต เทคโนโลยีการผลิตเปล่ียนแปลง
ภายใต้ข้อสมมุติราคาสินค้าชนิดนั้นคงท่ี และส่งผลให้เส้นอุปทานเกิดการเคลื่อนย้ายไปจากเส้นเดิม
ถ้าผลการเปล่ียนแปลงทาให้อุปทานเพ่ิมข้ึนเส้นจะเลื่อนระดับไปด้านขวามือของเส้นเดิม และถ้ามีผล
ให้อุปทานลดลงเส้นจะเลื่อนระดับไปทางซ้ายมือของเส้นเดิม ถ้าพิจารณาจากกราฟการเปล่ียนแปลง
ของอุปทานดังกล่าวจะเป็นการเปล่ียนแปลงในลักษณะของการเคลื่อนย้ายเส้นอุปทานไปท้ังเส้นจาก
เส้นเดิมไปสู่เส้นใหม่ โดยถ้าเส้นอุปทานเคลื่อนย้ายไปทางขวาของเส้นเดิมแสดงว่าอุปทานเพ่ิมขึ้น ถ้า
เคลื่อนย้ายไปทางซ้ายแสดงว่าอปุ ทานลดลง
42
ภาพ 2.15 การเปลย่ี นแปลงปรมิ าณของอุปทาน
2.4 ดลุ ยภาพของตลาด (Market Equilibrium)
ภาวะดุลยภาพ เป็นการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์กับอุปทาน เม่ือเกิดความ
สมดุลกันระหว่างปริมาณซื้อ และปริมาณขาย ดังนั้นความหมายของดุลยภาพจึงหมายถึง “ภาวะที่
ปริมาณซื้อเท่ากับปริมาณขาย ณ ระดับราคาหน่ึง” โดยเรียกปริมาณซื้อที่เท่ากับปริมาณขายว่า
ปริมาณดลุ ภาพและเรียกราคา ณ ระดับหนึ่งนน้ั วา่ ราคาดลุ ยภาพ (จดุ E ในภาพ 2.14)
ณ ระดบั ราคาดลุ ภาพ จะเกิดความสมดลุ ระหวา่ งความเตม็ ใจทจ่ี ะซอ้ื ของผู้บริโภคและ
ความพร้อมท่จี ะขายของผู้ผลติ ณ ปริมาณดุลยภาพ
ภาวะดลุ ภาพจะไม่เปลยี่ น ตราบเท่าที่ตวั กาหนดอปุ สงคแ์ ละอุปทานไมเ่ ปลี่ยนแปลง
สภาะดลุ ภาพจะเปลย่ี นแปลงเมอ่ื ปรมิ าณอุปสงคแ์ ละอปุ ทานเปลยี่ นแปลงจะทาใหต้ าแหน่ง
ของดุลภาพ ปรมิ าณดลุ ภาพและราคาดลุ ภาพเปลี่ยนไป (สทิ ธิเดช พงศก์ ิจวรสิน, 2561)
43
ตัวอย่าง อุปสงค์และอปุ ทานของฝร่ังในตลาดแห่งหนึง่ ภายใน 1 วัน
ตาราง 2.6 อปุ สงค์และอปุ ทานของฝร่งั ในตลาดแหง่ หน่งึ ภายใน 1 วัน
ราคาฝรั่ง (บาท/ ปริมาณเสนอซื้อ ( ) (กก./ ปรมิ าณเสนอขาย ( ) (กก./
กโิ ลกรัม) วนั ) วัน)
10 17 7
20 14 9
30 11 11
40 8 13
ตาราง 2.7 เง่ือนไขดุลยภาพ คือ = ดังนั้น ปริมาณดุลยภาพคือ 11 กก./วัน
และราคาดุลยภาพคือ 30 บาท/กก.
อปุ สงค์ส่วนเกินและอปุ ทานส่วนเกิน
ณ ระดับราคาทตี่ า่ กว่าราคาดลุ ยภาพ จะเกดิ อปุ สงค์ส่วนเกนิ (excess demand) คือ
ภาวะทป่ี รมิ าณเสนอซื้อมมี ากกว่าปริมาณเสนอขาย จึงทาให้สนิ ค้าขาดแคลน (shortage)
ณ ระดับราคาที่สูงกวา่ ราคาดลุ ยภาพจะเกิดอปุ ทานส่วนเกิน (excess supply) คอื
ภาวะที่ปรมิ าณเสนอขายมีมากกวา่ ปริมาณเสนอซ้ือ จงึ ทาใหเ้ กดิ สนิ ค้าส่วนเกนิ (surplus)
ภาพ 2.16 อุปสงค์ส่วนเกินและอปุ ทานสว่ นเกิน
44
กาหนดให้จุดดุลยภาพคือจดุ E ราคาดุลยภาพอยู่ท่รี ะดับ OP* และปริมาณดุลยภาพอยู่ท่ี
ระดบั OQ*
ณ ระดับราคา 1 ซ่งึ สูงกว่าราคาดลุ ยภาพ เนือ่ งจาก > กลา่ วคือ
เป็นภาวะ สนิ ค้าล้นตลาด ทาใหเ้ กิดอุปทานสว่ นเกิน (Excess Supply) ดงั นน้ั ราคาจึงมีแนวโน้ม
ลดลงมาสู่ราคาดลุ ยภาพ
ณ ระดบั ราคา 2 ซง่ึ ตา่ กวา่ ราคาดลุ ยภาพ เน่ืองจาก > กลา่ วคอื เป็นภาวะ
สินคา้ ขาดแคลนทาให้เกินอปุ สงค์สว่ นเกนิ (Excess Demand) ดังนัน้ ราคาจึงมีแนวโน้มเพ่มิ ขึ้นมาสู่
ราคาดลุ ยภาพ
ในตลาดทีม่ ีการแข่งขันการปรับตวั ของอปุ สงค์และอุปทานเพื่อ เข้าสูร่ าคาดุลยภาพเปน็ การ
ปรบั ตัวตามกลไกราคา (Price Mechanism)
กลไกราคา หมายถึง ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในระดับราคาสินค้าและบริการอันเกิดจาก
แรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน เมื่อผู้ผลิตพยายามปรับปรุงการผลิตและบริการให้สอดคล้องกับ
ความต้องการของผู้บริโภค ดังนั้นจะเห็นไดว้ ่าราคาสนิ ค้าและบริการเปน็ ตัวแปรสาคัญในการกาหนด
อุปสงค์และอุปทาน ตลอดจนเป็นกระบวนการปรับเปล่ียนราคาให้เข้าสู่จุดดุลยภาพ เช่น เม่ือราคา
สินค้าและบริการเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปแล้วความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ก็จะลดลงแต่อุปทานของสินค้า
และบริการจะเพม่ิ ขึน้ เป็นตน้
การเปลยี่ นแปลงของภาวะดลุ ยภาพ
ภาวะดุลยภาพจะเปล่ียนแปลงได้ 3 กรณี คือ เมื่อเส้นอุปทานเปลี่ยนระดับ (Shift) เมื่อ
ปจั จยั ท่เี ปน็ ตัวกาหนดอุปทานเปลี่ยน และเส้นอุปสงค์เปลยี่ นระดับ (Shift) เมอื่ ปจั จัยที่เปน็ ตวั กาหนด
อุปสงค์เปลี่ยน และเกิดการขยับทั้งอุปสงค์และอุปทาน สามารถวิเคราะห์ในแต่ละกรณีได้ (สิทธิเดช
พงศก์ ิจวรสนิ , 2561) ดงั น้ี
1) Supply shift เพ่ิมข้นึ หรือลดลง โดย Demand คงท่ี
ภาพ 2.17 Supply shift เพ่ิมข้นึ หรอื ลดลง โดย Demand คงที่
45
จากกราฟ จะเห็นว่า เม่ืออุปทานเพ่ิม ราคาลดลง ปริมาณเพ่ิมข้ึน เม่ืออุปทานลด ราคาเพ่ิม
ปรมิ าณลด กล่าวคอื
ถ้าอุปทานเพมิ่ ขึน้ จาก 0 เปน็ 1 ดุลยภาพจะย้ายจาก 0 เปน็ 1
ถา้ อุปทานลดลงจาก 0 เปน็ 2 ดลุ ยภาพจะย้ายจาก 0 เป็น 2
2) Demand shift เพ่มิ ขน้ึ หรือลดลง โดย Supply คงท่ี
ภาพ 2.18 Demand shift เพิม่ ขน้ึ หรือลดลง โดย Supply คงท่ี
จากกราฟ จะเห็นว่า เม่ืออุปสงค์เพิ่ม ราคาและปริมาณเพ่ิมข้ึน และ เม่ืออุปสงค์ลด ราคา
และปรมิ าณลดลง กลา่ วคอื
ถ้าอปุ สงค์เพิ่มขึน้ จาก 0 เปน็ 1 ดลุ ยภาพจะย้ายจาก 0 เปน็ 1
ถา้ อปุ สงค์ลดลงจาก 0 เป็น 2 ดุลยภาพจะย้ายจาก 0 เป็น 2
46
3) ท้งั Demand และ Supply shift
3.1) ถ้าอปุ สงคเ์ พิ่ม และอุปทานลด
(ก) (ข) (ค)
ภาพ 2.19 ภาวะดุลยภาพเม่ืออปุ สงค์เพิ่ม และอุปทานลด
จากภาพ 2.19 ในภาพ ก แสดงให้เห็นว่า เมื่ออุปสงค์เพ่ิม มีค่าเท่ากับ อุปทานลด
หมายถึง ปริมาณคงเดิมแตร่ าคาจะสงู ขน้ึ
ในภาพ ข แสดงให้เห็นว่า เม่ืออุปสงค์เพิ่ม มีค่ามากกว่า อุปทานลด หมายถึง ปริมาณ
เพิม่ แตร่ าคาจะสูงขนึ้
ในภาพ ค แสดงให้เห็นว่า เมื่ออุปสงค์เพิ่ม มีค่าน้อยกว่า อุปทานลด หมายถึง ปริมาณ
ลดลงแต่ราคาจะสงู ข้ึน
3.2) ถ้าอุปสงค์ลด และอุปทานเพิ่ม
(ก) (ข) (ค)
ภาพ 2.20 ภาวะดลุ ยภาพเม่ืออปุ สงคล์ ด และอปุ ทานเพม่ิ
47
จากภาพ 2.20 ในภาพ ก แสดงให้เห็นว่า เม่อื อุปสงคล์ ด มีคา่ เท่ากบั อปุ ทานเพิ่ม
หมายถงึ ปริมาณคงเดิมแตร่ าคาจะลดลง
ในภาพ ข แสดงใหเ้ หน็ ว่า เมื่ออุปสงค์ลด มคี ่าน้อยกวา่ อปุ ทานเพิ่ม หมายถงึ ปริมาณ
และราคาจะลดลง
ในภาพ ค แสดงให้เห็นว่า อุปสงค์ลด มีค่าน้อยกวา่ อปุ ทานเพิม่ หมายถงึ ปริมาณ
เพมิ่ ขน้ึ แตร่ าคาจะลดลง
2.5 การประยกุ ต์แนวคิดเร่ืองอุปสงค์ อปุ ทาน และดลุ ยภาพของตลาด
แนวคิดเร่ือง “อุปสงค์ อุปทาน และดุลยภาพของตลาด” สามารถนามาประยุกต์ใช้ได้กับ
ธุรกิจ การประกอบการ ในการวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ การขาย ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดโดย
พิจารณาจาก จากการที่หน่วยธุรกิจหรือผู้ผลิตต่างต้องการรายรับและกาไรสงู สุด ขณะที่ผู้บริโภคต้อง
ซ้ือสินค้าหรือบริการในราคาถูกและสมเหตุสมผล จึงทาให้ราคาดุลยภาพไม่มีความเหมาะสมหรือเป็น
ธรรม อาจเกิดภาวะสนิ ค้าลน้ ตลาดหรือภาวะสนิ คา้ ขาดตลาด จนสง่ ผลให้ผู้ผลิตและผู้บรโิ ภคเดือดรอ้ น
ดังนั้น รัฐบาลจึงมีบทบาทในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพ่ือให้ การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ โดยใชว้ ธิ กี ารแทรกแซงตลาด ได้แก่ การประกนั ราคาข้ันต่า และการกาหนดราคาข้ันสูง
รวมทั้งการใช้มาตรการด้านทางภาษี โดยผเู้ ขยี นจะขอยกตัวอย่างการนาแนวคิดเรื่อง อุปสงค์ อุปทาน
และดุลยภาพของตลาด มาประยกุ ต์ใช้ในการการเก็บภาษีและการผลักภาระภาษี
การเกบ็ ภาษีและการผลกั ภาระภาษี
การเกบ็ ภาษตี ่อหน่วย (Specific Tax or Unit Tax) เปน็ ภาษที ี่รัฐบาลเรียกเกบ็ ต่อหน่วย
ของสินค้าท่มี ีการซ้ือขายท้ังจากผู้ซอ้ื และผู้ขาย โดยสินค้าแต่ละหนว่ ยท่ขี ายจะต้องเสียภาษเี ท่ากันทุก
ระดบั ราคา
ภาพ 2.21 การเกบ็ ภาษตี ่อหน่วย
48
จากภาพก่อนรฐั บาลเก็บภาษีเส้นอุปทานเป็นคือเสน้ S เมอ่ื รัฐบาลเรียกเก็บภาษีต่อหนว่ ย
จะทาใหผ้ ขู้ ายมตี น้ ทุนการผลิตเพ่ิมขึน้ เท่ากับภาษที ีเ่ รยี กเก็บ (T) ส่งผลใหเ้ ส้นอุปทานลดลง (Shift) มา
ทางซา้ ยเปน็ เส้น S+T ในลกั ษณะขนานกบั เสน้ S
การเก็บภาษีตามราคาขายหรือเกบ็ ตามมูลค่า (Ad Valorem Tax) เป็นภาษีทเ่ี กบ็ ตามมูลคา่
หรอื ราคาของสินคา้ ทีข่ าย โดยคิดเป็นรอ้ ยละ (%) ของราคาขาย ซ่งึ เม่ือราคาสงู การเรยี กเกบ็ ภาษีก็
จะสงู ขึ้นตาม ดงั ภาพ 2.22
ภาพ 2.22 การเก็บภาษีตามราคาขาย
โดยทัว่ ไป การซ้ือขายสนิ ค้าและบริการโดยทัว่ ไปรฐั บาลจะมกี ารเกบ็ จากผู้ซื้อหรอื ผ้ขู าย
สินค้า โดยมลี ักษณะของภาษีท่ีจัดเก็บแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คอื
การจดั เกบ็ ภาษจี ากผ้ขู าย : จะมผี ลตอ่ เสน้ อปุ ทานเปล่ียนแปลง
การจดั เก็บภาษจี ากผขู้ าย : จะมผี ลต่อเส้นอุปทานเปลีย่ นแปลง
เม่ือรัฐบาลมีการเรียกเก็บภาษีราคาสินค้าที่ซื้อขายกันในท้องตลาดส่วนใหญ่จะมีการรวม
ภาษีไว้แล้ว ในการชาระภาษีผู้ขายอาจมีการผลักภาระมายังผู้บริโภคได้ ซ่ึงจะมากหรือน้อยข้ึนอยู่กับ
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์
49
ภาพ 2.23 การผลกั ภาระภาษีเม่อื พิจาณาจากความยดื หยุ่นของอปุ สงค์
การประยกุ ต์แนวคดิ เรอื่ งอุปสงค์ อปุ ทานใน SME ตลาดออร์แกนิค
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินไว้ว่าธุรกิจสินค้าออร์แกนิคในไทยมีแนวโน้มเติบโตได้ดี
ศูนย์วิจยั กสิกรไทย ประเมินว่าในป 2561 มูลค่าตลาดสนิ คา้ ออร์แกนิคของไทยจะอยู่ที่ 2,700-2,900
ล้านบาทและน่าจะมีมูลค่าพุ่งไปสู่ระดับ 5,400 ล้านบาท ทั้งนี้ตลาดสินค้าออร์แกนิคในประเทศ ถือ
เป็นธุรกิจสร้างเงินของ SME ไทยในปัจจุบัน โดยธุรกิจสินค้าออร์แกนิคน้ันมีแนวโน้มเติบโตข้ึนเรื่อยๆ
มาตั้งแต่ปี 2561 โดยตลาดออร์แกนิคใหญ่ ๆ ของโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรป จีน
ออสเตรเลยี ตลาดอาเซียนอย่าง สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟลิ ปิ ปนิ ส์ และไทย กม็ ีอัตราการเติบโตราว ๆ ร้อย
ละ 10 ตอ่ ปี (ศนู ย์วิจยั กสกิ รไทย, 2564)
สาเหตุที่ธุรกิจสินค้าออร์แกนิคน้ันมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเร่ือยๆ มาจากกระแสรักสุขภาพของ
คนรุ่นใหม่เติบโตอย่างรวดเร็วมาก เนื่องจากการใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันมีความเสี่ยงท่ีจะได้รับ
สารพิษจากสง่ิ แวดล้อมมากมาย มลภาวะในอากาศ อาหาร นา้ ดืม่ สารเคมีตกค้างตามแหลง่ ต่าง ๆ ทง้ั
50
พษิ จากโลหะหนกั สารตะก่วั พลาสติก ปิโตรเคมี ภาชนะทใ่ี สอ่ าหาร โรคภัยไขเ้ จ็บ โรคระบาด รวมถงึ
ภาวะความเครียด ล้วนเป็นปัจจัยท่ีส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยตรง ซึ่งผลกระทบอาจไม่เกิดข้ึนทันที
แต่จะสะสมจนรา่ งกายเปน็ อนั ตรายได้
ท้งั นี้ หากวิเคราะหท์ ้ังห่วงโซ่การผลติ ในตลาดออร์แกนิคของไทย พบวา่ ผปู้ ระกอบการ SME
ส่วนใหญ่จะ กระจุกตัวอยู่ในผลิตภัณฑ์ต้นน้าและกลางน้ามากที่สุด โดยสินค้าออร์แกนิคท่ีผลิตและ
จาหน่ายสว่ นใหญ่จะเป็นกลุ่ม อาหารสดที่มคี วามหลากหลายน้อย เช่น ผักผลไม้ ข้าวและธัญพืช หรือ
หากเปน็ ผลิตภัณฑอ์ าหารแปรรูป ก็จะมีนวัตกรรมอาหารไม่สงู มาก สามารถผลติ ไดไ้ ม่ยาก ผลทีต่ ามมา
คือเกิดการแข่งขันในตลาดสูง แตกต่างจาก ผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นทาตลาด
ผลิตภัณฑ์กลางน้าถึงปลายน้าท่ีเน้นนวัตกรรมด้านอาหารสูงขึ้นมา อีกระดับ เช่น อาหารออร์แกนิค
แปรรูปขั้นสงู อาหารเสริมและวิตามิน เปน็ ตน้ ซงึ่ สร้างมลู ค่าเพ่ิมมากข้ึน
ภาพ 2.24 ภาพรวมห่วงโซก่ ารผลติ ในตลาดออร์แกนิคของไทย
ตามที่อธิบายไปข้างต้นว่ากระแสการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค เร่ิมต้นมาจากการที่คน
กลุ่มหน่ึงหันมาตระหนักและใส่ใจสุขภาพของตนเอง เม่ือใช้แล้วดี มีการบอกต่อ ก็เติบโตขึ้นมา
กลายเป็นเทรนด์การบริโภค อย่างไรก็ดี คนก็เห็นว่าเทรนด์น้ีมีประโยชน์และเป็นผลดีต่อสุขภาพ
ร่างกายของตนเอง จึงกลายมาเป็นวิถีการดาเนินชีวิตแบบใหม่ของคนท่ีใส่ใจสุขภาพ อีกประเด็นท่ี
สาคัญ คอื นโยบายสนับสนนุ ส่งเสริมของภาครฐั เพอ่ื ช่วยเหลอื เกษตรกรทลี่ งทนุ เก่ียวกับเกษตรอินทรีย์
กท็ าใหค้ วามต้องการผลิตภณั ฑ์ออร์แกนิคในประเทศเพ่มิ ขึน้ เมอ่ื ผลติ ภัณฑต์ ่าง ๆ เริม่ กลายเป็นทน่ี ิยม
51
ก็มีตลาดทั้งในและต่างประเทศ มีตลาดส่งออกที่มีศักยภาพรองรับ ตลาดออร์แกนิคจึงเติบโตอย่าง
รวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยหลักท่ีทาให้สินค้าออร์แกนิคกลายเป็นที่นิยมมากข้ึนจะมาจากการ
เข้าถึงและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี หลัก ๆ แล้วมีกลุ่มเป้าหมายอยู่ 3 กลุ่ม สาหรับ
ตลาดสินคา้ ออรแ์ กนิค
1) กลุ่มคนรุ่นใหม่ ซ่ึงมีต้ังแต่วัยเรียน วัยทางาน วัยผู้ใหญ่ ซึ่งเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้
อย่างรวดเร็ว ตัดสินใจซ้ือจากการติดตามไลฟ์สไตล์ของผู้มีช่อื เสียงในโลกออนไลน์ การอ่านรีวิวต่าง ๆ
นยิ มจับจ่ายซือ้ ของผา่ นช่องทางออนไลน์ อีกทงั้ พฤตกิ รรมทนี่ า่ สนใจคือ มไี ลฟ์สไตลท์ ่เี ร่งรีบ ชอบความ
สะดวกสบาย แต่ก็ต้องการมีคุณภาพชีวิตท่ีดี จึงหันมาเอาใส่ใจสุขภาพของท้ังตนเองและคนใน
ครอบครัว ดว้ ยสินค้าคณุ ภาพดี
2) กลุ่มผู้สูงอายุ ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบในปี 2564 น้ี ทาให้
ประชากรกลุ่มนเ้ี ปน็ อีกกลุม่ เปา้ หมายที่สาคัญ ถึงจะอายุมาก แต่หลายคนยังแข็งแรงดี และอยากจะมี
สุขภาพที่ดีไปนาน ๆ จึงต้องการผลิตภัณฑ์ท่ีมีคุณภาพสูงในการดูแลสุขภาพ อีกท้ังคนกลุ่มนี้หลายคน
เป็นวัยเกษียณท่ีมีฐานะปานกลางข้ึนไป มีกาลังซื้อสูง ลูกหลานดูแล สามารถใช้โซเชียลมีเดียด้วย
ตนเอง และมีการหาข้อมลู วธิ ีการดูแลสขุ ภาพ
3) กลุ่มผู้ป่วย ผู้คนในปัจจุบันเผชิญปัญหาสุขภาพ โรคภัยไข้เจบ็ รุมเร้า ท้ังสุขภาพกาย
และสุขภาพจติ มีความเครยี ดจากการทางานและการใช้ชวี ิต โดยเฉพาะคนในสงั คมเมอื ง ได้รบั สารพิษ
สะสมในร่างกายจากสภาพแวดล้อมชุมชนเมือง และพฤติกรรมสุขภาพท่ีไม่ถูกสุขลักษณะ จึงหาวิธีที่
จะดแู ลรักษาสขุ ภาพของตนเองใหด้ ีขนึ้
ดังนั้น เมื่อมองในด้านของคุณภาพและความปลอดภัยต่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคเป็น
ผลิตภัณฑ์ที่ให้คุณค่าเฉพาะทาง ในมุมมองของผู้บริโภค จะมองว่าสินค้าออร์แกนิคเป็นสินค้าพรีเมยี ม
ผู้บริโภคท่ีมีกาลังซื้อจึงเน้นเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยก่อนที่จะพิจารณาราคา ประกอบกับ
รายได้ของประชากรชนชั้นกลางที่มีรายได้ปานกลางถึงสูงสูงขึ้น และข้อจากัดด้านสุขภาพ จึงมองว่า
เร่อื งสขุ ภาพเปน็ เรอ่ื งท่คี ุ้มค่าทจี่ ะลงทนุ ยอมจา่ ยแพงข้ึนอกี หน่อย เพือ่ สนิ คา้ ทด่ี ี มคี ณุ ภาพ และคมุ้ ค่า
ดา้ นความปลอดภัยต่อรา่ งกาย แตป่ ัจจบุ นั เนอื่ งจากตลาดออร์แกนิคเตบิ โตเร็ว มผี ู้คา้ ในตลาดมากขึ้น
การแข่งขันสูงขึ้น ทาให้ราคาของผลิตภัณฑ์หลาย ๆ ลงมาอยู่ในระดับท่ีผู้คนจับต้องได้ง่ายข้ึน เพ่ือ
เข้าถึงกลมุ่ ผู้บริโภคที่กวา้ งข้นึ เม่อื เทยี บกับคุณภาพและความปลอดภัย ที่มีจดุ ขายวา่ มาจากธรรมชาติ
ไม่มีสารเคมีสังเคราะห์ ไม่อันตราย แม้ว่าจะราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไปก็ยอมลงทุนเพื่อสุขภาพของ
ตนเอง ทาให้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม
กลายเป็นทีน่ ยิ มตามยุคสมัยทเ่ี ปลีย่ นไป
52
จากการท่ีธุรกิจสินค้าออร์แกนิคในไทยมีแนวโน้มเติบโต ผู้เขียนจึงสามารถสังเคราะห์ถึง
ปัจจัยท่ีสาคัญที่ทาให้เกิดการเติบโตของสินค้าออร์แกนิค ซ่ึงสามารถนาไปประยุกต์ร่วมกับแนวคิดอุป
สงคแ์ ละอปุ ทานไดว้ า่ หัวใจสาคัญของการแขง่ ขนั ท่ีเติบโตของธุรกิจออร์แกนคิ คอื ราคา จากการท่ี
ตลาดออร์แกนิคเตบิ โตเร็ว มีผู้ค้าในตลาดมากขึ้น การแข่งขันสูงข้ึน ทาให้ราคาของผลิตภัณฑ์หลาย ๆ
ลงมาอยใู่ นระดับท่ผี ้คู นจบั ตอ้ งไดง้ า่ ยขึ้น สอดคลอ้ งกบั กฏของอุปสงค์ทรี่ ะบุวา่ ปริมาณความต้องการ
ซื้อสินค้าหรือบริการชนิดใดชนิดหนึ่งย่อมเปล่ียนแปลงในทิศทางตรงกันข้ามกับราคาเสมอ ดังน้ันใน
การจะแข่งขันเพื่อกาหนดราคาในสินค้าในธุรกิจออร์แกนิค ผู้ประกอบการจาเป็นต้องพิจารณาการ
กาหนดอปุ สงค์อยา่ งถี่ถ้วน โดยจาเปน็ ตอ้ งใช้หลักการในการพิจารณารว่ ม ดังน้ี
1) พิจารณารายได้ของกลุ่มผู้บริโภค โดยพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างรายได้และ
ปริมาณการเสนอซ้ือสินค้าขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้าในกรณีสินค้าปกติ (Normal Goods) และสินค้า
ฟุ่มเฟือย(Superior Goods) รายได้และปริมาณการเสนอซ้ือสินค้าของผู้บริโภคจะมีความสัมพันธ์ใน
ทิศทางเดียวกันส่วนในสินค้าด้อยคุณภาพ (Inferior Goods) รายได้และปริมาณการเสนอซื้อสินค้า
ของผู้บรโิ ภคจะมคี วามสมั พันธใ์ นทศิ ทางตรงกันข้าม
2) ระดับราคาสนิ คา้ ชนดิ อนื่ ปรมิ าณการเสนอซื้อสินค้าถูกกาหนด โดยราคาสนิ ค้าชนิด
อ่ืนด้วยเนื่องจากสินค้าท่ีซื้อขายในตลาดมีความสัมพันธ์กันกล่าวคือสินค้าบางชนิดสาม ารถใช้แทนกัน
ได้ (Substitute goods) หรือสินค้าบางชนิดต้องใช้ร่วมกัน (complementary goods) ดังนั้นการที่
ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งปริมาณเท่าใดต้องพิจารณาถึงราคาของสินค้าชนิดอื่นที่สัมพันธ์
กนั ดว้ ย
3) รสนิยมของผู้บริโภครสนิยมของบุคคล โดยท่ัวไปจะแตกต่างกันไปตามอายุ อาชีพ
ขนบธรรมเนยี มประเพณี ระดับการศกึ ษา และบคุ ลิกสว่ นตวั นอกจากนย้ี ังเปลย่ี นแปลงตามกาลเวลา
4) การคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคต การคาดคะเนเหตุการณ์ในอนาคตเป็นปัจจัย
หนง่ึ ที่ทาให้อุปสงคข์ องสนิ คา้ เปล่ียนแปลงไปขึน้ อย่กู ับการคาดคะเนของผบู้ ริโภคแตล่ ะคน
5) ขนาดและโครงสรา้ งของประชากร โดยปกติถา้ จานวนประชากรเพมิ่ ขนึ้ อุปสงค์ของ
สินค้าแทบทุกชนิดย่อมเพิ่มข้ึนแต่ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะโครงสร้างประชากรด้วยลักษณะ โครงสร้าง
ประชากรมีผลให้ อุปสงคข์ องสินคา้ บางชนดิ เพ่มิ ขึ้นและบางชนิดลดลง
6) ปัจจัยอื่นๆการที่ผู้บริโภคจะมีอุปสงค์ต่อสินค้ายังขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย เช่น
อปุ นสิ ยั ในการใชจ้ ่ายลักษณะการจดั เก็บภาษีของรฐั อตั ราดอกเบ้ยี เปน็ ตน้
ทง้ั น้ี ก่อนทจ่ี ะกาหนดราคาผู้ประกอบการจาเปน็ ทจี่ ะตอ้ งพิจารณาให้ถี่ถว้ นวา่ สินคา้ ในธุรกจิ
ออร์แกนคิ ของผปู้ ระกอบการจัดเปน็ กลุ่มสินค้าประเภทใด มีความสัมพันธก์ บั สนิ คา้ ประเภทอืน่ หรอื ไม่
(หากมีความสมั พันธ์กับสนิ คา้ ประเภทอน่ื กเ็ ป็นจดุ แข็งของผลิตภณั ฑ์) พร้อมกับพิจารณากลุ่มลกู คา้ ว่า
53
เหมาะสมกบั ขนาดและโครงสรา้ งของประชากรรปู แบบใดก่อนที่จะทาการเจาะตลาดกลมุ่ ลูกค้า
ประเภทดงั กล่าว
หากเมื่อพิจารณาปัจจัยที่กาหนดอุปสงค์ ผู้ประกอบการจาเป็นต้องนาหลักการปัจจัยที่
กาหนดอุปทานเข้ามาพิจารณาร่วมด้วย โดยต้องพิจารณาร่วมกับปัจจัยท่ีส่งผลให้เกิดความ
เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ของอุปทาน หรือ การที่ผู้ผลิตจะผลิตสินค้า จัดจาหน่ายสินค้า-บริการเพ่ือสนอง
ความต้องการของผบู้ ริโภคมากหรือนอ้ ยเพียงใด ขนึ้ อยกู่ บั ปัจจยั ต่าง ๆ ดังตอ่ ไปนี้
1. ราคาสนิ ค้าและบรกิ ารในขณะนั้น ๆ หรือบริการท่เี กยี่ วขอ้ ง ต้องพจิ ารณาวา่
ราคาปจั จบุ นั ทีท่ าการกาหนด หรอื ราคาอ่ืนๆ ท่เี กี่ยวข้อง เช่น การขนส่ง การเก็บรักษา เปน็ ต้น มี
ความเหมาะสมกบั การนาไปจัดจาหนา่ ยหรอื ไม่
2. ตน้ ทนุ การผลิตทเ่ี ปลี่ยนแปลง (วตั ถดุ ิบ) ผปู้ ระกอบการจาเป็นตอ้ งพิจารณาราคา
ที่กาหนดจากปัจจัยกาหนดอุปสงคส์ อดคล้องกับต้นทนุ วตั ถุดิบหรอื ต้นทุนการผลติ ที่ไดท้ าการผลิตไป
หรือไม่ ก่อนทจ่ี ะจดั จาหนา่ ย
3. เทคโนโลยีการผลิตทน่ี ามาใช้ จาเป็นต้องพิจารณาราคาที่กาหนดจากปัจจยั กาหนด
อุปสงค์มีความเหมาะสมกับการใช้เทคโนโลยีท่ีมาใช้ในกระบวนการผลิตหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น หาก
กระบวนการผลิตเป็นการผลิตน้าแร่ที่มีกระบวนการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีมากกว่าการผลิตน้าด่ืม
ธรรมดา ราคาในการขายกค็ วรจะสงู กวา่ นา้ ดม่ื ธรรมดา
4. ฤดูกาล การกาหนดราคาจาเป็นต้องพิจารณาฤดูกาลที่สามารถผลิตได้ หาก
ผลติ ภัณฑส์ ามารถผลิตออกมาไดน้ อกฤดูกาลควรตงั้ ราคาสูงกว่าราคาปกติ
5. สภาวะของตลาดและภาวะเศรษฐกิจในขณะน้ัน ภาวะเศรษฐกิจเป็นสิ่งท่ีกาหนด
ความสามารถของผู้ซื้อ ดังน้ันควรต้องกาหนดราคาให้เหมาะสมกับภาวะการณ์ทางเศรษฐกิจใน
ช่วงเวลานัน้ ๆ ด้วย
จากทน่ี าเสนอมาจะพบว่า ธรุ กิจสินค้าออร์แกนิค และธรุ กจิ ทว่ั ไปจาเป็นต้องนาหลักการทาง
อุปสงค์และอุปทานซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์มาพิจารณาร่วมกันก่อนที่จะทาการผลติ
หรือจัดจาหน่าย ท้ังน้ี ธุรกิจสินค้าออร์แกนิคในประเทศไทยเป็นธุรกิจที่มีความได้เปรียบในการผลิต
สินค้าต้นน้าและกลางน้า แต่การจะก้าวไปสู่ผลิตที่ครบวงจรได้นั้น ผู้ประกอบการจาเป็นต้องศึกษาถึง
อปุ สงค์และอุปทานรวมทัง้ ตลาดในตา่ งประเทศเพ่ือการแข่งขนั ในธรุ กจิ
งานวจิ ัยที่นาแนวคิดเร่ืองอุปสงค์ อปุ ทานมาประยุกต์
จากการทบทวนเนื้อหาสาระ แนวคิดทฤษฎี และการประยุกต์กรณีศึกษาจากองค์ความรู้
เร่ือง อุปสงค์ อุปทาน และดุลยภาพของตลาดที่ได้นาเสนอมา ผู้เขียนได้นำองค์ควำมรู้น้ีไป
ประยุกต์ใช้กับงำนวิจัยเร่ือง ปัจจยั ทม่ี ีอทิ ธพิ ลต่อการซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชันชอปป้งิ ของนักศึกษา
มหาวิทยาลัยของรัฐในกรุงเทพฯ โดยที่ผู้เขียนได้นาความรู้เก่ียวกับเร่ืองอุปสงค์และปัจจัยกาหนดอุป
54
สงค์มาสกัดเป็นตัวแปรสังเกตได้ในกลุ่มอุปสงค์ต่อการถือเงิน เพื่อศึกษาปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อการซ้ือ
สินค้าผ่านแอปพลิเคชันชอปป้ิงของนักศึกษามหาวิทยาลัยของรัฐในกรุงเทพฯผ่านการรวบรวมข้อมูล
จากแบบสอบถามซ่ึงใช้วิธีการวิเคราะห์เส้นทางปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการซ้ือสินค้าผ่านแอปพลิเค
ชันชอปปิ้งออนไลน์จานวน 400 คน ผลการวิจัยพบวา่ ปัจจัยส่วนผสมการตลาดเป็นปัจจัยท่ีมีอิทธิพล
ทางตรงท่ีมากท่ีสุด ขณะที่ปัจจัยการประเมินทางเลือกเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลทางอ้อมที่มากท่ีสุด และ
ปัจจัยการแสวงหาข้อมูลและปัจจัยประสบการณ์ในการซ้ือของออนไลน์เป็นตัวแปรท่ีมีทั้งอิทธิพล
ทางตรงและทางอ้อมต่อการตัดสินใจซ้ือสินค้า งานวิจัยน้ีมีข้อเสนอแนะให้หน่วยธุรกิจท่ีอยู่ในระบบช
อปปิ้งออนไลน์ให้โปรโมทและให้ข้อมูลสินค้าให้มากข้ึนเพราะผู้บริโภคกลุ่มนักศึกษาให้ความสนใ จ
เกี่ยวกบั การแสวงหาข้อมลู อย่างมาก (ดนัยกฤต อินทุฤทธ,ิ์ 2561)
55
แบบฝึกหัดประจาบทท่ี 2
1. ความต้องการซ้อื ในนยิ ามของอุปสงค์และความต้องการธรรมดา (want) ตา่ งกันอย่างไร จงอธิบาย
พร้อมท้งั ยกตวั อย่างประกอบ
2. ฟังกช์ นั อุปสงคค์ ืออะไร
3. จงอธบิ ายความหมายของ อุปสงคต์ ่อราคา อุปต่อรายได้ อปุ สงคต์ ่อราคาสินค้าชนดิ อ่ืน
4. เพราะเหตใุ ดเมอื่ ราคาต่อหน่วยของสินค้าชนิดหนึง่ สงู ช้ิน(หรือลดลง) ปรมิ าณซื้อสินค้านน้ั จงึ ลดลง
(หรอื เพิ่มขนื้ ) เมอ่ื สง่ิ อน่ื อยูค่ งท่ี
5. เมือ่ มีรายได้เพิ่มข้ึนจะดม่ื กาแฟสดเพมิ่ ขนึ้ แสดงวา่ กาแฟสดเปน็ สนิ ค้าประเภทใด จงอธบิ ายพร้อม
วาดภาพประกอบ
6. เมอ่ื รถยนตย์ หี่ ้อ Ford ราคาสูงขึ้น ทาให้ความต้องการใชร้ ถ Ford ลดลง แตร่ าคารถยี่ห้อ Nissan
เทา่ เดมิ ความตอ้ งการใชร้ ถ Nissan จงึ สงู ข้นึ เพราะมองว่ารถย่ีห้อ Nissan แพงกว่า แสดงว่ารถยห่ี ้อ
Ford กับ Nissan เปน็ สินค้าประเภทใด จง
7. จงอธบิ ายความหมายของอุปทาน (Supply) และกฎอปุ ทาน (Law ofSupply)
8. อปุ ทานสว่ นเกิน (Excess Supply) เกดิ ขน้ึ เม่ือใด จงอธบิ ายพร้อมวาดภาพประกอบ
9. การเปลีย่ นแปลงระดบั ของอุปทาน (Shift in Supply) คอื อะไร อธิบาย และวาดภาพประกอบ
10. จงอธิบายความหมายของคาว่า กลไกราคา (Price Mechanism)
56
ตวั อยา่ งข้อสอบบทท่ี 2
1. ผู้บริโภคจะเกดิ อุปสงค์ (Demand) ไดน้ ้นั จะตอ้ งข้ึนอย่กู บั เงื่อนไขที่สาคญั คือ
ก. ความต้องการซื้อ ความเต็มใจท่ีจะซอื้ และความต้องการขาย
ข. ความตอ้ งการซื้อ ราคาสนิ คา้ และความสามารถที่จะซื้อ
ค. ความต้องการซื้อ ความเต็มใจท่ีจะซ้อื และอานาจซอ้ื
ง. ความตอ้ งการซือ้ ประโยชน์จากสนิ ค้า
2. พฤตกิ รรมของผ้ซู ื้อในขอ้ ใดทเ่ี ปน็ ไปตามกฎอปุ สงค์ (Law of Demand)
ก. ไบรอันซ้ือชอ็ กโกแลต็ ปรมิ าณมากข้ึน เมื่อราคาช็อกโกแลต็ ถกู ลง
ข. เจซอื้ กาแฟเยน็ ปริมาณมากขึ้น เม่ือราคากาแฟเย็นแพงขึ้น
ค. เดวิดซอ้ื เนอื้ ววั ปริมาณน้อยลง แมร้ าคาเนื้อวัวจะลดลง
ง. จสั ตนิ ซ้อื กะหล่าปลีปริมาณเทา่ เดิม เม่ือราคากะหล่าปลีแพงขึน้
3. ข้อใดแสดงประเภทของอุปสงคไ์ ดอ้ ยา่ งถูกต้อง
ก. อปุ สงค์ต่อราคา อุปต่อรายได้ อปุ สงคต์ ่อราคาสนิ ค้าชนดิ อน่ื
ข. อุปสงค์ต่อราคา อุปสงค์ไขว้ อุปสงคต์ ่อราคาสินค้าชนิดอื่น
ค. อปุ สงคม์ ากกว่า 1 อปุ สงค์นอ้ ยกว่า 1 อปุ สงค์เท่ากบั 1ง. อปุ สงค์ที่แทจ้ รงิ อปุ สงคท์ ่ีมีศักยภาพ
อปุ สงค์ไขว้
จงพิจารณาเหตกุ ารณข์ อ้ ท่ี 4 - 5 และใชต้ ัวเลือกตอ่ ไปน้ีตอบคาถาม
ก. สนิ คา้ ปกติ (Normal Goods) ข. สินคา้ ดอ้ ยคุณภาพ (Inferior Goods)
ค. สินค้าประกอบกัน (Complementary Goods) ง. สินค้าทดแทนกนั
(Substitution Goods)
4. เมื่อมรี ายไดเ้ พ่ิมขึ้นจะดม่ื กาแฟสดเพิม่ ข้นึ แสดงว่ากาแฟสดเปน็ สนิ ค้าประเภทใด
5. เมอื่ รถยนต์ยหี่ ้อ Ford ราคาสงู ขนึ้ ทาให้ความตอ้ งการใช้รถ Ford ลดลง แตร่ าคารถยห่ี ้อ
Nissan เทา่ เดมิ ความต้องการใชร้ ถ Nissan จึงสูงขึ้น เพราะมองวา่ รถย่ีห้อ Nissan แพง
กวา่ แสดงวา่ รถยี่ห้อ Ford กับ Nissan เปน็ สนิ คา้ ประเภทใดกนั
57
6. กฎอุปทาน (Law of Supply) แสดงความสมั พนั ธร์ ะหว่าง
ก. ปริมาณเสนอขายและราคาสินคา้ มคี วามสัมพันธใ์ นทิศทางตรงขา้ ม
ข. ปรมิ าณเสนอขายและราคาสินคา้ มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดยี วกัน
ค. ปริมาณเสนอซื้อและราคาสนิ ค้ามคี วามสัมพนั ธใ์ นทิศทางตรงข้าม
ง. ปรมิ าณเสนอซื้อและราคาสินค้ามคี วามสมั พนั ธ์ในทิศทางเดยี วกนั
7. จากภาพเมือ่ ดุลยภาพตลาดมันสาปะหลังเปลี่ยนแปลงจากจุด เป็น จะส่งผลอย่างไร
ตอ่ ราคาและปริมาณ
ก. ราคาลดลงและปริมาณลดลง
ข. ราคาลดลงและปรมิ าณเพิ่มข้ึน
ค. ราคาเพิม่ ข้นึ และปริมาณเพ่ิมขึน้ ง. ราคาเพิม่ ขน้ึ และปริมาณลดลง
8. อปุ ทานสว่ นเกิน (Excess Supply) เกดิ ข้ึนเมื่อใด
ก. ราคาสนิ ค้าอยสู่ งู กว่าราคาดลุ ยภาพ
ข. ราคาสนิ ค้าอยู่ตา่ กวา่ ราคาดลุ ยภาพ
ค. อุปสงค์เปล่ียนแปลงแตอ่ ปุ ทานคงท่ี
ง. อุปสงคค์ งทแี่ ต่อปุ ทานเปล่ียนแปลง
สามารถตรวจคาตอบได้ที่ : https://goo.gl/RDNvLr
58
บทท่ี 3
พฤตกิ รรมผบู้ รโิ ภค
การศึกษาพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของหนว่ ยเศรษฐกิจใดเศรษฐกิจหน่ึง ภายใต้ขีดจากัดของ
รายได้จานวนหนึ่ง เป็นการศึกษาพฤติกรรมการลงทุน ศึกษากลไกตลาดและการใช้ระบบราคาเพื่อ
การจัดสรรสินค้าและบริการ และทรัพยากรอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามการเข้าใจในการตัดสินใจของ
ผู้บริโภคนับเป็นส่ิงสาคัญท่ีสุดก่อนท่ีผู้ประกอบการจะดาเนินการผลิตซ่ึงผู้ผลิตจาเป็นศึกษาการแสดง
อาการทีเ่ ป็นกระบวนการเก่ยี วกับพฤติกรรมการซ้ือ การใช้ การประเมนิ ผลสินคา้ หรือบริการ จากการ
ได้มาตามความต้องการและคาดหวังของผู้บริโภค โดยที่การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค จะทาให้
สามารถสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่สรา้ งความพึงพอใจให้แก่ผบู้ ริโภคและความสามารถในการค้นหา
ทางแก้ไข พฤติกรรมในการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคในสังคมได้ถูกต้องและสอดคล้องกับ
ความสามารถในการตอบสนองของธรุ กิจมากย่งิ ขึ้น
3.1 ทฤษฎพี ฤตกิ รรมผูบ้ รโิ ภค
ผู้บริโภค จะทาให้สามารถสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจท่ีสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้บริโภคและ
ความสามารถในการค้นหาทางแก้ไข พฤติกรรมในการตัดสินใจซ้ือสินค้าของผู้บริโภคในสังคมได้
ถูกต้องและสอดคล้องกับความสามารถในการตอบสนองของธุรกิจมากยิ่งขึ้น ท่ีสาคัญจะช่วยในการ
พัฒนาตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีข้ึน ในธุรกิจปัจจุบันถือว่าผู้บริโภคเป็นใหญ่ และมีความสาคัญ
ที่สุดของผู้ประกอบการจึงจาเป็นอย่างยิ่งสาหรับผู้ประกอบการ ท้ังน้ี ทฤษฎีที่ใช้วิเคราะห์หรือศึกษา
ถึงพฤตกิ รรมของผู้บริโภคในทางเศรษฐศาสตร์จะใช้อยู่ 2 แนวคดิ ได้แก่
1) ทฤษฎอี รรถประโยชน์ (Utility Theory) เปน็ การวเิ คราะหแ์ บบนบั หน่วย
2) ทฤษฎเี ส้นความพอใจเทา่ กนั (Indifference Curve Theory) ซ่งึ การวิเคราะห์แบบ
เรยี งลาดับ
ทฤษฎอี รรถประโยชน์ (Utility Theory) (อาวนิ าช ดกิ ซติ , 2562)
ผู้บริโภคทุกคนมีเงินหรือรายได้ที่จากัด ดังนั้นจึงต้องมี ‘การตัดสินใจเลือก’ ซ่ึงก่อนท่ีจะมี
การตดั สนิ ใจเลอื กทางใด ในฐานะของผบู้ ริโภคต้องมีการคานึงถึงว่า ทางเลอื กนัน้ เปน็ ทางเลือกที่จะทา
ให้ตนเองได้รับความพอใจสูงสุดหรือเปล่า เพราะทุกครั้งท่ีมีการตัดสินใจเลือก นั่นแปลว่า เงินหรือ
ทรัพยากรที่ผู้บริโภคมีอยู่อย่างจากัดน้ันจะลดลง ผู้บริโภคจึงต้องเลือกสิ่งที่จะทาให้ได้รับความพอใจ
สงู สุด โดยความพอใจท่วี า่ นี้ ในทางเศรษฐศาสตร์เรยี กวา่ ‘อรรถประโยชน์’ (Utility)
อรรถประโยชน์ หมายถึง ความพึงพอใจท่ีผู้บริโภคได้รับจากการบริโภคสินค้าหรือบริการ
ชนิดหน่ึง ๆ กล่าวคือ ความสามารถของสินค้าหรือบริการชนิดหนงึ่ ๆ ในการตอบสนองความต้องการ
59
ของผู้บริโภคได้มากน้อยเพียงใด ทฤษฎีอรรถประโยชน์มีพ้ืนฐานมาจากหลักจิตวิทยา ที่กล่าวว่า
มนุษยเ์ ราจะทาตามความพึงพอใจของตนเอง ดงั น้ันการซ้ือสินคา้ และบริการก็เกิดจากความพงึ พอใจท่ี
จะไดร้ บั จากการซ้อื สนิ ค้าดังกลา่ ว
อรรถประโยชน์ (Utility) จึงคอื ความพอใจทผ่ี ู้บริโภคไดร้ บั จากการอุปโภคบริโภคสนิ ค้าและ
บริการ ซึ่งสามารถวัดเป็นหน่วยได้ เรียกว่า Util โดย ‘เศรษฐทรัพย์’ (Economic goods) ทุกชนิด
ย่อมมีอรรถประโยชน์ ท้ังนี้ข้ึนอยู่กับความต้องการในสินค้า อย่างไรก็ตาม สินค้าชนิดเดียวกันจานวน
เท่ากันอาจให้อรรถประโยชน์ต่างกันได้ ท้ังในกรณีท่ีเวลาต่างกัน หรือผู้บริโภคต่างคนกัน ดังน้ันแม้
ความพอใจจะสามารถวดั ได้ แต่ก็ยังมีความแตกต่างระหวา่ งบุคคลอยู่ การจะพิจารณาเรือ่ งความพอใจ
จึงต้องศึกษาผู้บริโภคคนใดคนหน่ึงว่า ผู้บริโภคคนนั้นจะตัดสินใจซ้ือสินค้าชนิดใดชนิดหน่ึงมากหรือ
น้อย ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับอรรถประโยชน์หรือความพอใจท่ีเขาจะได้รับเป็นสาคัญ ท้ังน้ีอรรถประโยชน
สามารถต้งั ขอ้ สมมตไิ ด้ 3 ประการ ดังนี้
1) ผู้บริโภคมีรายไดจ้ ากดั ในการเลือกบรโิ ภค โดยข้นึ อยู่กับความชอบหรือความพอใจ
2) อรรถประโยชน์วดั คา่ ได้ มหี น่วยเป็นยทู ิล (Util)
3) สินคา้ สามารถแบง่ เปน็ หน่วยยอ่ ย ๆ ได้
อรรถประโยชน์รวม (Total Utility : TU)
อรรถประโยชน์รวมเป็นระดับความพึงพอใจท้ังหมดท่ีผู้บริโภคได้รบั จากการบริโภคสินค้าใน
ปริมาณหน่ึง หรือผลรวมของอรรถประโยชน์ส่วนเพ่ิมที่ได้รับจากการบริโภคสินค้าหรือบริการตั้งแต่
หนว่ ยแรกจนถงึ หนว่ ยทก่ี าลงั ศึกษาอยู่ โดยหาได้จากสมการ
= + +…. +
หรอื = ∑ =
โดยท่ี แทนอรรถประโยชน์รวมจากการบริโภคสินค้า n หนว่ ย
… แทนอรรถประโยชน์ส่วนเพิ่มของการบริโภค
สินคา้
ตั้งแตห่ น่วยที่ 1 จนถึง n หน่วย
อรรถประโยชน์ส่วนเพ่ิม (Marginal Utility : MU)
ความพงึ พอใจทผี่ ู้บรโิ ภคจะได้รบั เมอื่ มีการบรโิ ภคสนิ ค้าหรือบริการชนดิ หน่งึ เพ่ิมขนึ้ หรือ
ลดลงจากเดมิ ทลี ะ 1 หนว่ ย โดยมสี มการดงั นี้
60
= − −1
∆
หรือ = ∆ =
โดยที่ แทนความพอใจท่เี กิดจากการบรโิ ภคสินคา้ ชนดิ หนึ่ง ณ หน่วยท่ี
n
แทนความพึงใจรวมทงั้ หมด n หน่วย ท่ไี ด้รบั จาการบรโิ ภคสินคา้
หรอื
บริการชนิดหนึ่ง
−1 แทนความพงึ พอใจรวมท้ังหมด n-1 หนว่ ย ทไ่ี ดร้ ับจาการบรโิ ภค
สนิ คา้ หรือบรกิ ารชนิดหนึ่ง
∆ แทนการเปล่ียนแปลงของ
∆ แทนการเปล่ยี นแปลงการบริโภคสนิ ค้าหรือบริการชนดิ หนง่ึ ท่ี
เปล่ยี นแปลงข้นึ
ลง 1 หนว่ ย
กฎการลดนอ้ ยถอยลงของอรรถประโยชนส์ ่วนเพ่ิม (อาวนิ าช ดกิ ซติ , 2562)
กฎการลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์ส่วนเพิม่ (Law of Diminishing Marginal Utility
) กวา่ ววา่ “เมื่อบริโภคสินคา้ หรอื บริการใดเพิ่มขึ้นเรอ่ื ย ๆ อยา่ งต่อเนื่อง โดยท่ีการบริโภคสินค้าหรอื
บริการอนื่ ๆ คงเดิม จะทาให้อรรถประโยชน์สว่ นเพม่ิ (MU) จากสินค้าหรือบริการชนดิ น้ันลดลงเรือ่ ย
ๆ แม้วา่ อรรถประโยชนร์ วม (TU) จะเพม่ิ ขนึ้ กต็ าม และเม่ือใดที่การบริโภคนั้นไปถงึ จุดท่ี TU สูงสุดแล้ว
ยังบรโิ ภคเพม่ิ อีก MU จะติดลบ”
กฎการลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์ส่วนเพ่ิมสามารถอธิบายได้ชัดเจนมากข้ึนเมื่อ
พิจารณาจากการผลิตในระยะสั้น โดยการผลิตในระยะสั้น เม่ือเพิ่มปัจจัยผันแปรชนิดหน่ึงขึ้นเร่ือย ๆ
โดยที่ปัจจัยชนิดอื่นยังคงที่ ผลผลิตท่ีได้จากการเพ่ิมปัจจัยผันแปรหน่วยหลัง ๆ จะค่อย ๆ ลดลดน้อย
ถอยลงตามลาดับ จนกระทั่งเท่ากับศูนย์ และติดลบในที่สุด อาจกล่าวได้ว่ากฎการลดน้อยถอยลงของ
ผลได้ เป็นส่ิงที่เกิดข้ึนในการผลิตในระยะสั้น เม่ือกระบวนการผลิตใช้ปัจจัยแปรผันชนดิ หน่ึงเพ่ิมข้ึนที
ละหน่วยขณะท่ีปัจจัยการผลิตอื่นๆ คงที่ จะทาให้ผลผลิตเพิ่มที่ได้รับมีจานวนลดน้อยถอยลง
ตามลาดบั จนถึงศูนย์และตดิ ลบในที่สุด สามารถแสดงลกั ษณะของเสน้ ผลผลติ ชนดิ ตา่ งๆ
61
ความสัมพนั ธอ์ รรถประโยชนร์ วมและอรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม (พรพมิ ล สันตมิ ณรี ตั น,์ 2545)
ความสมั พันธข์ องอรรถประโยชนร์ วมและอรรถประโยชนส์ ว่ นเพิม่ สามารถจาแนกได้ 3 กรณี
หน่ึงคือหากอรรถรปะโยชน์รวมเพ่ิมค่าของอรรถประโยชน์ส่วนเพ่ิมจะมีค่าเป็นบวก กรณีท่ีสอง คือ
หากอรรถประโยชน์รวมคงท่ีค่าของอรรถประโยชน์ส่วนเพ่ิมจะมีค่าเป็นศูนย์ และกรณีท่ีสามหาก
อรรถประโยชนร์ วมคงทีค่ า่ ของอรรถประโยชนส์ ว่ นเพ่มิ จะมีค่าติดลบ ดังแสดงในตาราง 3.1
ถ้าคา่ ↑→ มีคา่ เป็นบวก
ถา้ คา่ − → มคี ่าเป็น 0
ถ้าคา่ ↓ → มคี า่ ตดิ ลบ
ตาราง 3.1 ความสมั พนั ธ์ของอรรถประโยชนร์ วมและอรรถประโยชนส์ ่วนเพ่มิ
ภาพ 3.2 ความสัมพันธข์ องเส้นอรรถประโยชนร์ วมและเส้นอรรถประโยชนส์ ่วนเพม่ิ
62
ดลุ ยภาพของผูบ้ ริโภค ตามทฤษฎอี รรถประโยชน์ (พรพมิ ล สันติมณีรัตน์, 2545)
ดลุ ยภาพของผู้บริโภค (Consumer Equilibrium) คือจดุ ซึ่งผู้บริโภคไดร้ บั ความพึงพอใจรวม
สูงสุดหรอื อรรถประโยชน์รวมสูงสดุ ภายใตร้ ายได้ ท่มี ีจากัด โดยดุลยภาพของผู้บรโิ ภค แยกพจิ ารณา
ไดเ้ ปน็ 3 กรณี ได้แก่
1) กรณที ่ีผบู้ ริโภคมรี ายไดไ้ ม่จากดั และสนิ คา้ ทุกชนิดราคาเทา่ กนั
2) กรณีผบู้ ริโภคมีรายได้จากัดและสนิ ค้าแต่ละชนิดราคาเทา่ กัน
3) กรณที ผ่ี บู้ ริโภคมีรายไดจ้ ากัดและราคาสนิ คา้ แต่ละชนิดไมเ่ ทา่ กัน
โดยเม่ือพิจารณาแยกยอ่ ยในแต่ละกรณีของดลุ ยภาพของผบู้ รโิ ภค ตามทฤษฎี
อรรถประโยชนจ์ ะสามารถระบุรายละเอยี ดต่างๆ ดงั น้ี
กรณที ผ่ี ู้บริโภคมีรายไดไ้ ม่จากัดและสนิ ค้าทุกชนิดราคาเท่ากัน
เงอื่ นไขที่พอสรปุ ได้ว่า
และ มคี า่ สูงสุดเม่ือ = 0
เง่ือนไขดลุ ยภาพคือ มีค่าสูงสดุ เม่ือ = 0
รวม = + +…....
รวม สูงสดุ เมื่อ = = … . = 0
ในการพจิ ารณาดุลยภาพของผบู้ ริโภค ตามทฤษฎีอรรถประโยชน์ กรณที ี่ผ้บู ริโภคมีรายได้ไม่
จากัดและสินค้าทุกชนิดราคาเท่ากัน จะต้องอรรถประโยชน์ส่วนเพ่ิมของการบริโภคสินค้า A และ
สินค้า B กรณีที่ผู้บริโภคมีรายได้ไม่จากัดและสินค้าทุกชนิดราคาเท่ากัน โดยสามารถพิจารณาได้ตาม
ตาราง 3.2
63
ตาราง 3.2 ดุลยภาพของผู้บรโิ ภค กรณีที่ผบู้ ริโภคมรี ายได้ไม่จากัดและสินคา้ ทกุ ชนิดราคาเท่ากนั
การบริโภคสินคา้ A การบริโภคสินค้า B
จานวน อรรถประโยชน์ จานวนสินคา้ อรรถประโยชน์
สนิ ค้า A B
0 0 0 0 0 0
1 99 1 66
2 7 16 2 4 10
3 5 21 3 2 12
4 3 24 4 1 13
5 1 25 5 0 13
6 0 25 6 -1 12
7 -1 24 7 -2 10
จากตาราง 3.2 ดุลยภาพของผู้บริโภค กรณีท่ีผู้บริโภคมีรายได้ไม่จากัดและสินค้าทุกชนิด
ราคาเท่ากนั หากสมมตุ ิให้ผบู้ ริโภคมรี ายไดไ้ ม่จากัด และตอ้ งการสินค้าเพยี ง 2 ชนดิ คอื สนิ คา้ A และ
สนิ คา้ B ในราคาเทา่ กัน
- หากผู้บริโภคบริโภคสินค้า A และสินค้า B ไปจนกว่า MU = 0 ซึ่งเป็นจุดดุลยภาพของ
ผบู้ รโิ ภค
- จากตารางดุลยภาพของผบู้ รโิ ภคเกดิ ข้นึ เม่ือ
= 0 A = 6 = 25 ยูทลิ
= 0 B = 5 = 13 ยูทลิ
ดงั นน้ั TUรวม = 25 + 13 = 38 ยูทิล
64
กรณผี ูบ้ รโิ ภคมรี ายได้จากัดและสนิ คา้ แตล่ ะชนิดราคาเท่ากัน
ในการพิจารณาดุลยภาพของผู้บริโภค ตามทฤษฎีอรรถประโยชน์ กรณีผู้บริโภคมีรายได้
จากดั และสนิ คา้ แตล่ ะชนดิ ราคาเท่ากนั พบวา่
มีเง่ือนไขดุลยภาพคือ = = = ⋯ = =
เมือ่ คือ ค่าชดุ ตวั เลขท่ีทาให้เกิดดลุ ยภาพ
ผูบ้ ริโภคจะเลอื กซือ้ สินคา้ ทพี่ งึ พอใจสงู สดุ ก่อน
ในการพิจารณาดุลยภาพของผู้บริโภค ตามทฤษฎีอรรถประโยชน์ กรณีผู้บริโภคมีรายได้
จากัดและสินค้าแต่ละชนิดราคาเท่ากัน จะต้องพิจารณาเง่ือนไขดุลยภาพ โดยขอยกตัวอย่างตาม
ตาราง 3.3
ตาราง 3.3 ดลุ ยภาพของผู้บรโิ ภค กรณผี ู้บรโิ ภคมีรายได้จากดั และสินค้าแตล่ ะชนดิ ราคาเทา่ กัน
การบริโภคสนิ ค้า A การบรโิ ภคสินค้า B
จานวนสินค้า อรรถประโยชน์ จานวนสินคา้ B อรรถประโยชน์
A
0 00 0 00
1 16 16 1 19 19
2 13 29 2 17 36
3 10 39 3 13 49
4 7 46 4 9 58
จากตาราง หากสมมุติให้ผู้บริโภคมีรายได้ 5 บาทในการเลือกซ้ือสินค้า A และ B ใน
ราคาหน่วยละ 1 บาทเท่ากัน ผลการพิจารณาพบวา่
เง่ือนไขดุลยภาพคือ = = แทนค่า จะได้ 13=13=13
ดังน้ัน ผู้บริโภคจะซ้ือสินค้า A จานวน 2 หน่วย ท่ีมี = 13 และซื้อสินค้า B
จานวน 3 หนว่ ย ท่ีมี = 13
65
กรณที ผ่ี ูบ้ รโิ ภคมีรายไดจ้ ากดั และราคาสนิ คา้ แต่ละชนิดไม่เทา่ กัน
ในการพิจารณาดุลยภาพของผู้บริโภค ตามทฤษฎีอรรถประโยชน์ กรณีที่ผู้บริโภคมีรายได้
จากัดและราคาสินค้าแต่ละชนิดไม่เท่ากัน สามารถพิจารณาตามลาดับขั้นตอน ดังนี้ เงื่อนไขดุลย
ภาพคอื
= = = ⋯ = = K
โดยท่ี แทนอรรถประโยชนส์ ว่ นเพมิ่ ของสินค้าตัง้ แต่ชนดิ ท่ี 1 (A) ถงึ n
แทนราคาต่อหน่วยของสินค้าตั้งแต่ชนิดที่ 1 (A) ถึง n
ภายใต้ขอ้ จากดั ที่ผู้บรโิ ภคมีรายได้ ( ) ทจ่ี ากัด นัน่ คอื
( × ) + ( × ) + ( × ) + ⋯ + ( × ) ≤
สมมติใหผ้ ู้บรโิ ภคมรี ายได้ 10 บาท ราคาสนิ ค้า A และ B หนว่ ยละ 1 และ 2 บาทตามลาดับ
อรรถประโยชนข์ องสินค้า A และสินค้า B แสดงได้ ดงั ตาราง 3.4
ตาราง 3.4 กรณที ผ่ี ู้บรโิ ภคมรี ายไดจ้ ากัดและราคาสนิ คา้ แตล่ ะชนดิ ไม่เท่ากนั
จานวน สินค้า A ( = ) สินค้า B ( = )
สินคา้
1 10 10 24 24
10 12
28 18 8 20 44 10
37 25 7 18 62 9
46 31 6 16 88 8
55 36 5 12 100 6
64 40 4 6 106 3
กรณที ผี่ บู้ ริโภคมรี ายไดจ้ ากดั และราคาสินคา้ แต่ละชนิดไมเ่ ท่ากนั เง่อื นไขการหาดุลยภาพคือ
= = 8
66
โดยใช้เงิน 10 พอดี ผบู้ ริโภคจะซือ้ สินค้า A จานวน 2 หนว่ ย และซอ้ื สนิ ค้า B จานวน 4
หนว่ ย แล้วจะทาใหไ้ ดร้ บั อรรถประโยชนส์ งู สุดเทา่ กบั 106 ยูทิล
การสร้างเสน้ อปุ สงค์จากดลุ ยภาพของทฤษฎีอรรถประโยชน์ (สดุ ารัตน์ พมิ ลรตั นกานต์, 2556)
การหาเส้นอุปสงค์ต่อราคาของสินค้าใดก็ตาม ย่อมหาได้จากการเปล่ียนแปลงดุลยภาพของ
ผู้บริโภคอันเน่ืองมาจากการเปล่ียนแปลงของระดับราคาสินค้าชนิดหน่งึ ในขณะท่ีราคาสินค้าชนิดอืน่
ๆ และให้ปจั จยั อนื่ ๆ คงท่ี ดังตวั อยา่ งต่อไปน้ี
EX สมมติผู้บริโภคมีรายได้ 11 บาท ต้องการซ้ือสินค้า A และสินค้า B โดยสินค้า A
ราคาหน่วยละ 1 บาท ( 1) และสินค้า B ราคาหน่วยละ 2 บาท ( ) และต่อมาเม่ือสินค้า A เพิ่ม
ราคาเปน็ หน่วยละ 2 บาท ( 2) โดยทีส่ นิ คา้ B ราคาคงเดมิ แสดงได้ดงั ตารางตอ่ ไปนี้
ตาราง 3.5 ตารางอรรถประโยชน์สว่ นเพ่มิ ของสนิ ค้า 2 ชนิด สนิ คา้ B
จานวนสนิ ค้า สนิ คา้ A
(Q)
1 40 40 20 38 19
2 38 38 19 32 16
3 32 32 16 18 9
4 20 20 10 8 4
5 99 4.5 4 2
6 44 2 -2 -1
7 00 0 -4 -2
จากตาราง 3.5 ตารางอรรถประโยชน์สว่ นเพม่ิ ของสนิ คา้ 2 ชนิด พบว่า ดลุ ยภาพเดิมคอื
67
1 = = 9
1
โดยใชเ้ งิน 11 บาท
เมือ่ พจิ ารณาดลุ ยภาพใหม่ คือ
2 = = 16
2
โดยใช้เงิน 11 บาท
จากข้อมลู ในตารางสามรถนามาสรา้ งเส้นอปุ สงค์ตอ่ ราคาของสินค้า A ดังต่อไปน้ี
ณ ดุลยภาพเดมิ ถ้า = บาท = หน่วย
ณ ดลุ ยภาพใหม่ ถา้ = บาท = หนว่ ย
ดังแสดงในภาพ
ภาพ 3.3 การสร้างเสน้ อุปสงคต์ อ่ ราคา
3.2 การวเิ คราะห์พฤตกิ รรมของผู้บริโภค
การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคน้ันจะต้องนาความรู้เรื่องทฤษฎีอรรถประโยชน์ทั้งในเรื่อง
อรรถประโยชน์รวม อรรถประโยชน์สว่ นเพิ่ม ความสัมพันธ์ของอรรถระโยชน์รวมและอรรถประโยชน์
ส่วนเพิ่ม ดุลยภาพของผู้บริโภค ตามทฤษฎีอรรถประโยชน์ มาวิเคราะห์ร่วมกับทฤษฎีเส้นความพอใจ
เท่ากัน เส้นงบประมาณหรือเส้นราคามาใช้ในการวิเคราะห์ โดยสามารถแสดงรายละเอียดได้ (สุดา
รตั น์ พิมลรัตนกานต์, 2556) ดังน้ี
ทฤษฎเี ส้นความพอใจเทา่ กัน (Indifference Curve Theory)
เส้นความพอใจเท่ากัน (Indifference Curve : IC) หมายถึง เส้นที่แสดงการเลือกบริโภค
สินค้า 2 ชนิด ในสัดส่วนท่ีแตกต่างกัน ซึ่งจะทาให้ผู้บริโภคได้รับความพอใจเท่ากัน โดยเส้นความ
พอใจเท่ากันจะแสดงการเปรียบเทียบความพอใจในรูปแบบของการเรียงลาดับ ไม่สามารถวัดออกมา
เปน็ ตวั เลขได้
68
เส้นความพอใจเท่ากัน (Individual Indifference Curve) หรือ IC เป็นเส้นที่แสดงให้เห็น
จานวนต่างๆ ของสินค้า 2 ชนิด ซึ่งจะทาให้ผู้บริโภคได้รับความพอใจเท่ากัน ส่วนประกอบของสินค้า
X และ Y ในปริมาณต่างๆกัน ซึ่งให้ความพอใจแก่ผู้บริโภคเท่ากัน เส้นความพอใจเท่ากันใช้ศึกษา
ผู้บรโิ ภคเปน็ รายบุคคล ส่วนเสน้ ความพอใจของสงั คม (Community indifference curve) ใช้สาหรับ
ผู้บรโิ ภคทกุ คนรวมกนั
ขอ้ สมมติของเสน้ ความพอใจเท่ากนั
มีข้อสมมติว่า ผู้บริโภคเป็นมีเหตุผล (Rationality) โดยหลักการของการมีเหตุผล สามารถ
แสดงออกได้ดงั นี้
(1) สามารถเปรยี บเทียบความพอใจของผูบ้ รโิ ภคออกมาได้ 3 ลักษณะ ดังนี้
หากสมมตุ ถิ ้ามีสินคา้ 2 ชนิดคือ A และ B)
ก) ชอบ A > B
ข) ชอบ A = B
ค) ชอบ A < B
(2) หลกั ความคงเสน้ คงวา (Consistency) คือ เม่อื ผบู้ ริเลือกอยา่ งใดอยา่ งหนึ่งใน
3 อยา่ งข้างต้น จะต้องเป็นไปตามน้ันแนน่ อน
ก) ชอบ A > B
ข) ชอบ A = B
ค) ชอบ A < B
ทง้ั 3 ข้อ จะเปน็ จรงิ เวลาเดยี ว ไมไ่ ด้ตอ้ งขอ้ ใดข้อหนง่ึ ตลอดชว่ งที่พจิ ารณา
(3) รสนยิ มจะมลี กั ษณะถ่ายทอดกนั ได้ (Transitivity) คือ มีลักษณะคงเส้นคงวา
ถา้ ชอบ A > B
และชอบ B > C
แสดงว่าต้องชอบ A > C ดว้ ย
(4) ความพอใจไม่มีจุดอ่ิมตัว (Never Satified) คือ ผู้บริโภคย่อมชอบชุดที่มีสินค้าท่ี
มาก > ชดุ ท่ีมสี นิ ค้านอ้ ย
จากข้อสมมติ 4 ข้อข้างต้น อาจเป็นข้อจากัด เพราะในโลกความเป็นจริงน้ัน อาจไม่เป็นจริง
ตามขอ้ สมมติ ซึง่ พอจะต้ังข้อสงั เกตไุ ดจ้ าก
1) เราอาจไม่สามารถ เลือก แต่ส่ิงท่ีดีกีบส่ิงท่ีดีกว่าได้ตลอด แต่อาจต้องเลือกอย่างใด
อยา่ งหนึ่ง เช่น สละอวยั วะสว่ นหนึง่ ไปเพอ่ื รักษาชีวิต
69
2) ในความเป็นจริงความสัมพันธ์ไม่อาจเป็นแบบถ่ายทอดได้ เช่น การแข่งขัน
บาสเกตบอลอาจมีการพลิกล็อกได้ เม่ือมีการแข่งขันกันทีม A ชนะทีม B และทีม B ชนะทีม C แต่
ไมไ่ ด้หมายความวา่ ทีม A จะชนะทีม C ไดเ้ สมอไป
3) ในความเป็นจริง การบริโภคที่เพ่ิมขึ้นอาจทาให้เป็นทุกข์หรือมีความพอใจลดลง
(แทนทจ่ี ะเพมิ่ ขนึ้ ) เช่น การดมื่ เบยี ร์ทเี่ พมิ่ ขน้ึ (สดุ ารัตน์ พมิ ลรตั นกานต์, 2556)
เส้นความพอใจเทา่ กัน (Indifference Curve : IC)
หมายถึง เส้นที่แสดงการบริโภคสินค้า 2 ชนิดในสัดส่วนที่แตกต่างกันแต่ได้รับความพอใจท่ี
เทา่ กันตลอดท้ังเส้น ไม่วา่ จะเลอื กบริโภคทจ่ี ดุ ใดของเสน้ มแี ผนการบรโิ ภคสินคา้ อยา่ งไร ผู้บรโิ ภคกจ็ ะ
ไดร้ ับความพอใจทเี่ ท่ากันทั้งเสน้ สามารถแสดงขอ้ มูลไดด้ งั ตาราง 3.6 (ชวลิต สละ, 2551)
ตาราง 3.6 แผนการซ้ือสนิ ค้า 2 ชนิด
แผนการซื้อ สนิ ค้า X สินคา้ Y ระดับความพอใจ
8 S
A1 5 S
3 S
B2 2 S
C3
D4
จากตาราง 3.6 แผนการซ้ือสินค้า 2 ชนิดแสดงเส้นความพอใจเท่ากันของการบริโภคสินค้า
X และสนิ คา้ Y สามารถเขียนเปน็ กราฟได้ดังภาพ 3.4
70
ภาพ 3.4 เสน้ ความพอใจเทา่ กันของการบรโิ ภคสนิ คา้ X และสินค้า Y
คุณสมบตั ขิ องเสน้ ความพอใจเท่ากนั
(1) มคี วามชัน (Slope) เปน็ ลบ (-)
(2) เว้าเข้าหาจุดกาเนิด (Origin) แสดงให้เห็นถึงการทดแทนกันของสินค้า 2 ชนิด ใน
ลักษณะลดลงเรื่อยๆ และค่าความชันที่ลดลง เรียกว่า อัตราส่วนการทดแทนของสินค้า X ต่อ สินค้า
Y มีค่าลดลง (Marginal Rate of Substitution of X for Y Diminishing : ) พิสจู นโ์ ดย
= −∆ = เส้น
∆
71
ภาพ 3.5 ตวั อยา่ งเส้นความพอใจเท่ากัน
จากภาพ 3.5 ตวั อย่างเส้นความพอใจเท่ากนั จาก A B C ค่า MRSxy จะลดลง
ตามลาดับ ตามกฎการลดน้อยถอยลงของ MRS โดยที่
MRSxy (A B) = - 2
MRSxy (B C) = - 1
(3) เสน้ ความพอใจเทา่ กนั เส้นทอี่ ยเู่ หนือกวา่ ใหค้ วามพอใจมากกวา่ ตามหลักเหตุผลที่ว่า
ชอบชุดสนิ ค้ามาก มากกวา่ ชอบชุดสินคา้ น้อย
ภาพ 3.6 เสน้ ท่อี ยเู่ หนือกว่าให้ความพอใจมากกว่า
72
(4) เส้นความพอใจเท่ากัน จะไม่ตดั กนั เพราะถ้าตัดกนั จะขัดกบั ข้อสมมติ
จากรูป A = B เพราะอย่บู น 1
A = C เพราะอยบู่ น 2
แต่ B > C
ไมเ่ ปน็ ไปตามข้อสมมติในเรื่องการถ่ายทอดกนั ได้ ฉะน้นั จึงขดั แย้งกัน แสดงวา่ ตัดกนั
ไมไ่ ด้
เสน้ งบประมาณหรือเสน้ ราคา (Budget Line or Price Line)
เส้นท่ีแสดงความสมั พันธ์ระหวา่ งปริมาณการซื้อสนิ ค้า 2 ชนดิ ท่ผี บู้ รโิ ภคสามารถซ้อื ได้ด้วย
งบประมาณท่มี ีอย่างจากัด ณ ระดบั ราคาตลาดขณะนน้ั
วิธกี ารหาเส้นงบประมาณ (ชวลิต สละ, 2551)
หากสมมุตใิ ห้ว่าผูบ้ ริโภคมีเงิน 100 บาท ตอ้ งการซือ้ สินคา้ X ราคาหนว่ ยละ 25 บาท และ
สินค้า Y ราคาหนว่ ยละ 10 บาท ดังข้อมลู ในตาราง 3.7
ตาราง 3.7 ตัวอยา่ งการหาเสน้ งบประมาณ จานวนสนิ คา้ X งบประมาณทีใ่ ช้
แผนการซื้อสนิ คา้ จานวนสนิ ค้า Y ( = 25) (บาท)
100
( = ) 0 100
A 10 100
2
B5
4
C0
จากตารางตัวอย่างการหาเส้นงบประมาณ จะสามารถพลอตกราฟได้ดังภาพ xxx
73
ภาพ 3.7 ตัวอย่างการหาเสน้ งบประมาณ
จากภาพ 3.7 ตวั อย่างการหาเสน้ งบประมาณ ผู้บรโิ ภคมเี งนิ 100 บาท สินคา้ X และ
สนิ คา้ Y ราคาหนว่ ยละ 25 บาทและ 10 บาท ตามลาดบั
ณ จุด A ซ้ือสินค้า Y ได้อย่างเดียว จานวน 10 หนว่ ย
ณ จุด B ซอื้ สินค้า X ไดจ้ านวน 2 หน่วย และซอ้ื สนิ คา้ Y ได้จานวน 5 หนว่ ย
ณ จดุ C ซื้อสนิ คา้ X ได้อย่างเดียว จานวน 4 หน่วย
จุดต่าง ๆ บนเสน้ งบประมาณ จึงแสดงให้เห็นถงึ ปริมาณตา่ ง ๆ ของสนิ ค้า X และสินค้า Y
ซงึ่ สามรถซื้อได้ดว้ ยงบประมาณ 100 บาท โดยเขยี นใหอ้ ยู่ในรปู สมการ ดงั นี้
งบประมาณ ( ) = +
ณ จดุ B งบประมาณ 100 = 2(25) + 5(10)
ความชนั ของเส้นงบประมาณ = = ÷
= ×
=
74
การเปล่ยี นแปลงของเส้นงบประมาณ (พฤทธ์สรรค์ สทุ ธิไชยเมธ,ี 2555)
เสน้ งบประมาณสามารถเปล่ียนแปลงได้ เมอ่ื มีการเปล่ียนแปลงในราคาสนิ คา้ X และราคา
สินคา้ Y หรอื มีการเปล่ยี นแปลงในงบประมาณหรือรายได้ของผบู้ ริโภค แยกพิจารณาได้ 2 กรณี ดังน้ี
1) กรณรี าคาสินค้าเปล่ยี นแปลง
2) กรณงี บประมาณเปลีย่ นแปลง ดังแสดงในภาพ 3.8
ภาพ 3.8 การเปล่ยี นแปลงของเสน้ งบประมาณ
ดลุ ยภาพของผบู้ รโิ ภคตามทฤษฎเี ส้นความพอใจเท่ากัน
ดุลยภาพของผบู้ ริโภคเป็นการทาความเขา้ ใจว่าผู้บรโิ ภคจะตัดสนิ ใจเลือกบริโภคสินค้าแต่ละ
ชนิดในส่วนผสมใด จึงจะทา ให้บรรลุซ่ึงความพอใจสูงสุดด้วยเงินรายได้ท้ังหมดที่มีอยู่ในขณะน้ัน
การศึกษาถึงสภาวการณ์นี้เรียกว่า “ดุลยภาพของผู้บริโภค” เรื่องดุลยภาพของผู้บริโภค เป็นหัวข้อที่
ไดศ้ ึกษามาแลว้ ครั้งหน่ึงในทฤษฎีอรรถประโยชน์ แตส่ าหรับหัวข้อน้ีจะเป็ นการศึกษาโดยใช้เคร่ืองมือ
ท่สี าคัญในการวเิ คราะห์ คือ เส้นความพอใจเทา่ กัน และเสน้ งบประมาณ
75
ภาพ 3.9 ดลุ ยภาพของผบู้ ริโภคตามทฤษฎีเส้นความพอใจเท่ากัน
จากภาพ 3.9 ดลุ ยภาพของผู้บรโิ ภคตามทฤษฎีเสน้ ความพอใจเท่ากัน พบว่าดลุ ยภาพของ
ผ้บู ริโภคคือ จุดท่ีเส้นงบประมาณและเส้นความพอใจเทา่ กันสมั ผสั กัน น่นั คอื จดุ E จะทาให้ซื้อสินค้า
X ไดจ้ านวน 1 และซ้ือสินค้า Y ไดจ้ านวน 1 จึงจะไดร้ ับความพอใจสูงสดุ ดว้ ยเสน้ งบประมาณ
1
ณ จดุ A และ B แม้จะใชง้ บเทา่ กับ 1 แต่ 1 นอ้ ยกวา่ 2
ณ จุด G แมจ้ ะได้รบั ความพอใจเทา่ กบั จดุ E แตใ่ ชง้ บเทา่ กับ 2 ซึ่งมากกวา่ 1
76
การเปลย่ี นแปลงดุลยภาพของผูบ้ รโิ ภค
(1) กรณรี าคาสินคา้ ชนดิ หนง่ึ เปลี่ยนแปลง
ภาพ 3.10 การเปล่ียนแปลงดุลยภาพของผู้บรโิ ภค กรณีราคาสนิ ค้าชนดิ หนงึ่ เปลีย่ นแปลง
- เดิมเส้นงบประมาณคือเสน้ 1 เสน้ ความพอใจเท่ากันคือ 1และดุลยภาพคือจดุ 1
- เม่ือ ลดลง โดย คงเดมิ ทาใหเ้ ส้นงบประมาณเปล่ียนเปน็ 3ดุลยภาพจะ
เปล่ียนเป็น 3
- เมอ่ื เพม่ิ ขึ้น โดย คงเดมิ ทาให้เสน้ งบประมาณเปล่ียนเปน็ 2ดุลยภาพจะ
เปลีย่ นเป็น 2
- เมอ่ื ลากเส้นผา่ นจุด 1 2 3 จะไดเ้ สน้ PCC ของผ้บู รโิ ภค ซึง่ เปน็ เส้นท่ีแสดง
ความสัมพันธ์ของราคาและปรมิ าณการบริโภค
- จากภาพเส้น PCC มลี กั ษณะทอดข้นึ ไปทางขวามือแสดงว่า X กับ Y เป็นสนิ ค้าประกอบกัน
แตห่ ากมีลักษณะทอดลงไปทางขวามือ แสดงว่า X กับ Y เปน็ สนิ ค้าทดแทนกั
77
(2) กรณงี บประมาณหรือรายได้เปล่ียนแปลง
ภาพ 3.11 การเปลย่ี นแปลงดลุ ยภาพของผบู้ ริโภค กรณงี บประมาณหรือรายไดเ้ ปล่ยี นแปลง
- ณ จดุ 1 คือดุลยภาพเดิมของผู้บรโิ ภค
- เมอ่ื ผู้บริโภคมรี ายไดส้ ูงขึน้ ดุลยภาพจะเปลีย่ นเปน็ จุด 3
- เมอ่ื ผู้บรโิ ภคมีรายไดล้ ดลงดุลยภาพจะเปล่ียนเป็นจุด 2
- หากลากเสน้ ผ่านจุด 1 2 3 จะได้เสน้ ICC ซ่ึงแสดงถึงแนวทางการบรโิ ภคทเี่ ปลีย่ นไป
เม่ือระดับรายได้เปล่ยี นแปลง
- จากภาพเสน้ ICC จะมีค่าความชันเป็นบวก แสดงว่า X และ Y เปน็ สินคา้ ปกติ แตห่ ากมคี วาม
ชันเป็นลบ แสดงว่า X และ Y เปน็ สนิ คา้ ดอ้ ย
78
การสรา้ งเส้นอุปสงค์โดยใช้เส้นความพอใจเทา่ กัน
ภาพ 3.12 การสร้างเส้นอุปสงคโ์ ดยใชเ้ ส้นความพอใจเท่ากัน
• เสน้ MN1 คอื เสน้ งบประมาณของผูบ้ ริโภค เม่อื มีงบประมาณจานวนหน่งึ และราคาสนิ คา้
X เป็น PX1 ปริมาณซื้อ 0Q1
• ถา้ ราคาสินค้า X ลดลงเปน็ PX2 ทาใหเ้ สน้ งบประมาณเปลยี่ นเปน็ MN2 ทาใหซ้ ื้อสนิ ค้า
ได้มากขน้ึ เป็น 0Q2
• ถ้าราคาสนิ ค้า X ลดลงเป็น PX3 ทาให้เส้นงบประมาณเปลี่ยนเปน็ MN3 ทาให้ซื้อสินคา้
ได้มากขึน้ เปน็ 0Q3
• จากการเปลี่ยนแปลงทาให้ดลุ ยภาพของผบู้ รโิ ภคเปลยี่ นแปลงไป โดยสามารถสรา้ งเส้นอุป
สงค์ตอ่ ราคาของสินค้า X ได้โดยลากเส้นเชือ่ มจุด A B และ C ซ่งึ มคี วามชันเปน็ ลบ
3.3 หลกั การตดั สินใจภายใตค้ วามเสี่ยงและความไม่แน่นอนในยคุ เศรษฐกิจดิจิทลั
“เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) คือ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยการน
าเอา ไอทีหรือเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิต เพ่ิมผลงาน โดยใช้เวลาน้อยลงและสร้าง
มูลค่าเพ่ิมให้แก่สินค้า และบริการต่างๆ เพ่ือให้เราแข่งขันกับชาติต่างๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างย่ิง ยุค
79
ปัจจุบันท่ีการใช้สมาร์ทดีไวซ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ติดต่อสื่อสารกันผ่าน
เครือข่ายไรส้ ายความเร็วสูง (Wireless Broadband) เช่น 3G, 4G ซง่ึ ใชง้ านได้งา่ ยกว่า PC มาก ทา
ให้เกิดการใช้งานในวงกว้าง แม้กระทั่งในคนที่ไม่เคยใช้คอมพิวเตอร์หรืออินเทอร์เนต็ มาก่อน ซ่ึงทาให้
เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ มากมายในแทบทุกสาขาเศรษฐกิจ (สานักงานพัฒนาธุรกรรมทาง
อเิ ลก็ ทรอนิกส,์ 2564)
ต้ังแต่ ปี 2560 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เร่ิมพัฒนาอย่างจริงจังเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล
โดยมีแนวนโยบายด้านดิจิทัลของรัฐบาลที่ชัดเจนในการส่งเสริมการพัฒนาและการใช้นวัตกรรม
เทคโนโลยีดิจิทัล เพ่ือให้ประเทศหลุดพ้นจากกับดักการพัฒนาทั้งในเชิงเศรษกิจและสังคม นอกจากน้ี
พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพ่ือเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. 2560 ยังช้ีประเด็นสาคัญในการ
สง่ เสริมไปส่เู ป้าหมายดังกล่าว ทงั้ ในเร่อื งของการส่งเสริมอตุ สาหกรรม และนวัตกรรม การลงทุน การ
นาไปใช้ประโยชน์ ท้ังเชิงเศรษฐกิจและสังคม รวมไปถึงการพัฒนากาลังคนดิจิทัลของประเทศ โดยจะ
เห็นได้ว่าการที่ประเทศไทยเพิ่งเริ่มเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลน้ันจะมีความเส่ียงในการประกอบการธุรกิจ
จึงจาเปน็ จะต้องนาองค์ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์มาใช้สาหรบั การตัดสินใจภายใต้ความเสี่ยงและความ
ไม่แน่นอน
การตดั สินใจภายใต้สภาวะความเส่ียงและความไมแ่ นน่ อน (มนตรี สงิ หะวาระ, 2564)
การที่จะตัดสินใจภายใต้สภาวะความแน่นอน ความเสี่ยง หรือความไม่แน่นอนนั้นเราต้องรู้
ถงึ ความหมายของสภาวะดังกลา่ วนี้กอ่ น
ความแน่นอน(Certainty) คือ สภาวะที่มีผลลัพธ์ที่เป็นไปได้มีเพียงหนึ่งเดียวและเรารู้ถึง
ผลลัพธน์ ้ันอย่างแน่นอนอยู่แลว้ ตัวอย่างเช่น การลงทนุ ในพนั ธบัตรรัฐบาลซึ่งเรารู้ถงึ ผลตอบแทนท่ีถูก
กาหนดในอัตราคงที่ (อัตราดอกเบ้ีย) และการเป็นตราสารจากภาครัฐบาลซึ่งแทบจะไม่มีความเสี่ยง
จากการผิดสัญญาในการคืนเงินต้นและผลตอบแทนเลยในทางกลับกันการลงทุนในตราสารหนี้ของ
ภาคเอกชนผลตอบแทนที่ได้อาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามความสามารถในการทากาไรเพราะนั้นจึงทาให้
เกิดความเสยี่ งและความไมแ่ นน่ อนเกดิ ขนึ้
ความเสี่ยง (Risk) คือ เหตุการณ์ท่ีอาจจะทาให้ผลลัพธ์ (Outcome) ท่ีเกิดข้ึนจริงเบี่ยงเบน
ไปจากผลลัพธ์ที่คาดหวัง (Expectation) ไม่ว่าจะเป็นการเบ่ียงเบนไปในทิศทางที่ดีกว่าหรือเลวร้าย
กว่าท่ีคาดหวังก็ตาม ความเส่ียงอาจจะมีผลลัพธ์ท่ีเป็นไปได้มากกว่าหน่ึงโดยผลลัพธ์อาจจะเป็นไปได้
หลายรูปแบบ เพราะฉะนั้นความเสี่ยงจึงมีความเก่ียวเน่ืองกับเรื่องของความน่าจะเป็นของเหตุการณ์
ใดๆท่ีได้คาดการณ์เอาไว้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้น ยิ่งความเบี่ยงเบนเกิดขึ้นมากเท่าใดก็จะยิ่ง
แสดงถงึ ความเสี่ยงมากขึ้นเทา่ น้นั
ความไม่แน่นอน (Uncertainty) คือ ผลลัพธ์ที่มีความเป็นไปได้มากกว่าหน่ึงโดยที่ความ
น่าจะเป็นของแต่ละผลลัพธ์นั้นเราไม่สามารถท่ีรู้ได้ ที่เป็นเช่นน้ีอาจจะมีเหตุผลเน่ืองมาจากการขาด
80
ข้อมูลในอดีตเพ่ือใช้ในการตดั สนิ ใจหรอื ความไม่มเี สถียรภาพของตวั แปรที่มีผลตอ่ ผลลัพธ์ ตัวอย่างเช่น
การลงทุนขุดเจาะน้ามันในเขตพื้นท่ีที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่ามีน้ามันอยู่จริงหรือไม่ นักลงทุนรายน้ีจึง
ต้องเผชิญกับความไมแ่ นน่ อนเพราะเขาไม่รู้ถงึ ความน่าจะเปน็ ท่จี ะพบนา้ มัน
ในการตัดสินใจภายใต้สภาวะความเสยี่ งตอ่ ไปนเ้ี ราจะยดึ หลกั การท่ีสาคัญ 3 ประการ ได้แก่
1) กลยุทธ์ (Strategy) หมายถึงวิธีการต่างๆหรือทางเลือกที่ธุรกิจสามารถนามาใช้ได้
เชน่ การเพมิ่ หรือลดราคาสนิ ค้า การโฆษณาหรอื ไม่โฆษณา เป็นตน้
2) สภาวะการณ์ (States of nature) หมายถึง สภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นกับธุรกิจ เช่น
เศรษฐกจิ รุ่งเรอื งหรอื เศรษฐกิจตกตา่ ราคานา้ มันสงู ขน้ึ หรอื ราคาน้ามันที่ตา่ ลง เป็นต้น
3) ตารางผลลัพธ์ (Payoff matrix) หมายถึง ผลลัพธ์ที่สามารถจะเกิดขึ้นได้จากการ
ดาเนินกลยุทธ์ต่างๆที่ธุรกิจเลือกใช้ภายใต้สภาวการณ์ท่ีเกิดขึ้น เช่น ผลกาไรของธุรกิจท่ีเกิดจากการ
เลือกกลยุทธ์ในการใช้โรงงานขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ภายใต้สภาวการณ์เศรษฐกิจที่อาจจะรุ่งเรือง
หรอื ตกตา่
การวดั ความเส่ียงโดยใชก้ ารกระจายความนา่ จะเปน็
ความเสี่ยงเป็นสถานการณ์ที่จะทาให้ผลลัพธ์จากการตัดสินใจของธุรกิจมีความเป็นไปได้
มากกว่าหนึ่งผลลัพธ์ โดยท่ีผลลัพธ์สามารถท่ีจะเกิดขึ้นได้ตามความน่าจะเป็นซ่ึงในส่วนต่อไปน้ีจะใช้
เครื่องมอื ในการกระจายความน่าจะเป็นเพื่อใชว้ ัดระดบั ความเส่ยี ง
การแจกแจงความนา่ จะเป็น (Probability distribution)
ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ใดๆ คือ โอกาสท่ีเหตุการณ์น้ันจะเกิดข้ึน ตัวอย่างเช่น ความ
น่าจะเป็นที่ภาวะเศรษฐกิจจะเติบโตมากขึ้นในปีต่อไปเท่ากับ 0.25 หรือ 25% ซ่ึงหมายความว่า มี
โอกาสท่ีจะเกิดขึ้น 1 ใน 4 ของผลลัพธ์ที่มีความเป็นไปได้ทั้งหมดถ้าเรานาผลลัพธ์ที่เป็นไปได้มา
วิเคราะห์ร่วมกับความน่าจะเป็นเราจะเรียกสิ่งนี้ว่า การแจกแจงความน่าจะเป็น ตัวอย่างเช่น ถ้ามี
โอกาสท่ีภาวะเศรษฐกิจจะเป็นไปได้ 3 ลักษณะ คือ เศรษฐกิจรุ่งเรือง คงตัว และตกต่า โดยแต่ละ
ภาวะมีความนา่ จะเปน็ เฉพาะทาใหเ้ ราได้ภาพแสดงถงึ การแจกแจงความนา่ จะเป็นต่อไปน้ี
ตาราง 3.8 การแจกแจงความน่าจะเป็นสภาวะทางเศรษฐกิจ
สภาวะทางเศรษฐกจิ ความนา่ จะเป็น
รุง่ เรอื ง 0.25
ทรงตัว 0.50
ตกต่า 0.25
ทัง้ หมด 1.00
81
โดยท่ีผลบวกของความน่าจะเป็นจากตาราง 3.8 เท่ากับ 1 หรือ 100 % หลักการของการ
แจกแจงความน่าจะเป็นน้ีถูกใช้เพ่ือประเมินและเปรียบเทียบในโครงการการลงทุนต่างๆ โดยทั่วไป
แล้วผลลัพธ์หรือผลกาไรจากโครงการจะมีค่ามากเมื่อเศรษฐกิจอยู่ในสภาวะรุ่งเรืองและผลกาไรจะ
ลดลงหรือขาดทุนถ้าเศรษฐกิจตกต่า ถ้าเรานาผลผลัพธ์หรือผลกาไรจากการลงทุนที่เป็นไปได้มาคูณ
กับค่าความน่าจะเป็นของแต่ละผลลัพธ์แล้วนามาบวกกันทั้งหมด ทาให้ได้ค่าผลลัพธ์หรือผลกาไร
คาดหวัง สามารถเขียนเป็นสตู รได้ คือ
= ∑
=1
โดยที่ π คือ ระดับของผลกาไรที่ผลลัพธ์ i , Pi คือ ค่าความน่าจะเป็นท่ีผลลัพธ์ i จะเกิดขึ้น
และ i = 1 ถงึ n คือ จานวนของผลลัพธ์หรือสภาวะแวดล้อม เพราะฉะนั้น ผลกาไรคาดหวงั จึงถูก
ถ่วงน้าหนักโดยเฉลี่ยด้วยความน่าจะเป็นของผลกาไรท่ีจะเกิดขึ้นในแต่ละสถานะทางเศรษฐกิจ
(รุ่งเรือง , คงตัว , ตกต่า) ค่าของผลกาไรคาดหวังจากการลงทุนเป็นส่ิงสาคัญมากเพราะจะถูกใช้เพ่ือ
ประกอบการตัดสนิ ใจวา่ จะลงทุนหรือไม่
การวดั คา่ ความเสยี่ งแบบสัมบรู ณ์
การแจกแจงหรือการกระจายผลลัพธ์หรือกาไรดังในภาพ 11.2 สามารถวัดได้จากค่าส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation ) โดยมีหลักการ คือ ถ้าค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานมีค่าสูง
จะแสดงถึงการกระจายหรือการแจกแจงท่ีสูงด้วย หมายความว่า โครงการน้ันจะให้ค่าความเสี่ยง
มากกว่าโครงการทีม่ ีคา่ สว่ นเบี่ยงเบนน้อย การคานวณคา่ ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานทาได้โดย
1) นาค่าคาดหวังหรือค่าเฉลี่ยจากการกระจายของผลลัพธ์มาลบออกจากค่าผลลัพธ์ที่
เป็นไปได้ (Xi) ทาใหไ้ ดช้ ุดของค่าความเบ่ยี งเบนจากค่าคาดหวังดังนี้
= − ̅
2) ยกกาลังสองค่าความเบี่ยงเบนแล้วนาค่าที่ได้มาคูณกับค่าความน่าจะเป็นของแต่ละ
ผลลัพธ์ จากนั้นจึงนาค่าที่ได้มาบวกกัน เราเรียกค่าท่ีได้น้ีว่าค่าความแปรปรวน (Variance) สามารถ
เขียนได้ คอื
= 2 = ∑ =1( + ̅ )2
82
คา่ สมั ประสทิ ธคิ วามแปรผัน (Coefficient of variation)
ในหัวข้อที่ผ่านมาเราพบแล้วว่าค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานสามารถใช้บอกถึงความเสี่ยงของ
โครงการได้ แต่อย่างไรก็ตามการใช้ค่าส่วนเบ่ียงเบนก็ยังคงมีข้อจากัดกล่าวคือเราสามารถนาค่าส่วน
เบี่ยงเบนของแต่ละโครงการมาวิเคราะห์เปรียบเทียบกันได้อย่างสมเหตุสมผลถ้าขนาดของโครงการ
หรือคา่ เฉลี่ยของผลลัพธท์ ี่ได้จากโครงการไม่มีความแตกตา่ งกนั มากนัก
ตัวอย่าง ถ้าโครงการ A มีค่าเฉล่ียของกาไรเท่ากับ $5,000 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
เท่ากับ $707.11 โครงการ B มีค่าเฉลี่ยของกาไรเท่ากับ $500 และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ
$212.13
: จะเห็นได้ว่าถ้าเปรียบเทียบโดยพิจารณาจากค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานโครงการ A จะมี
ความเสี่ยงมากกว่าโครงการ B แต่เนื่องจากโครงการ A มีค่าเฉล่ียมากกว่าโครงการ B จึงไม่สามารถ
นามาเปรียบเทยี บกนั ได้ ดงั นน้ั จึงตอ้ งใชว้ ิธีการคานวณคา่ สัมประสิทธ์ิความแปรผนั เสยี ก่อนแลว้ จึงนา
คา่ สัมประสิทธิ์ความแปรผันมาเปรียบเทียบกนั โครงการใดท่ใี ห้คา่ สัมประสทิ ธคิ์ วามแปรผนั สูงแสดงว่า
โครงน้นั มคี วามเส่ยี งสูงดว้ ย
ค่าสัมประสิทธค์ิ วามแปรผันสามารถคานวณไดจ้ ากสตู ร
=
̅
ค่าสัมประสทิ ธิ์ความแปรผนั ที่ได้ คือ คา่ ความเบี่ยงเบนมาตรฐานต่อเงนิ 1 หนว่ ย ซ่ึงอาจจะ
เรียกวา่ คา่ ความเบยี่ งเบนมาตรฐานเปรียบเทยี บ (Relative standard deviation)
จากสตู รของสมการ สามารถคานวณคา่ สัมประสทิ ธ์คิ วามแปรผันไดด้ งั นี้
โครงการ A : C = $707.11 / $5,000 = 0.14
โครงการ B : C = $212.13 / $500 = 0.42
จากการคานวณจะเห็นว่าโครงการ A มีค่าสัมประสิทธิ์ความแปรผันน้อยกว่าโครงการ B
เพราะฉะนน้ั โครงการ A จงึ มคี วามเสย่ี งนอ้ ยกว่าโครงการ B เพราะฉะน้ันนักลงทนุ ที่ไมช่ อบความเส่ียง
กจ็ ะเลอื กโครงการ A (มนตรี สิงหะวาระ, 2564)
3.4 การประยกุ ต์แนวคดิ พฤติกรรมผ้บู ริโภค
แนวคิดเรื่อง “พฤติกรรมผู้บริโภค” สามารถนามาประยุกต์ใช้ได้กับธุรกิจ การประกอบการ
ตลอดจนงานวจิ ยั ทางวิชาการ โดยจะขอยกตวั อย่าง ดังน้ี
งานวจิ ัยทนี่ าแนวคดิ เร่ืองพฤติกรรมผ้บู ริโภคประยุกต์
แนวคิดเร่ือง “พฤติกรรมผู้บริโภค.” สามารถนามาประยุกต์ใช้ได้กับธรุ กิจ การประกอบการ
ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค ซ่ึงจะทาให้สามารถสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สร้างความพึงพอใจ
83
ให้แก่ผู้บริโภคและความสามารถในการค้นหาทางแก้ไข พฤติกรรมในการตัดสินใจซ้ือสินค้าของ
ผู้บริโภคในสังคมได้ถูกต้องและสอดคล้องกับความสามารถในการตอบสนองของธุรกิจมากย่ิงข้ึน โดย
จะขอยกตวั อยา่ งกรณีศกึ ษาท่ีนาไปประยุกตใ์ ช้ได้ ดงั นี้
ผู้เขียน ดนัยกฤต อินทุฤทธ์ิ ได้นาความรู้จากแนวคิดเร่ืองพฤติกรรมผู้บริโภคมาประยุกต์ใช้
งานวิจัยเรื่อง “พฤติกรรมผู้บริโภคท่ีมีต่อการซ้ือเวชภัณฑ์เบื้องต้นเมื่อเกิดสถานการณ์ โรคระบาด
กรณีศึกษา การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในจังหวัดเชียงใหม่” ซึ่งเป็นงานวิจัยระดับชาติที่จัดศูนย์
ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทยระดับที่ 1 (TCI 1) โดยได้นาองค์ความรู้มาสกัดเป็นตัวแปรท่ีใชใ้ นงานวิจัย
คือ ตัวแปรอรรถประโยชน์สูงสุด โดท่ีงานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคท่ีมีต่อการ
ซือ้ เวชภณั ฑ์เบื้องตน้ เมื่อเกิดสถานการณ์โรคระบาด โดยศึกษาจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโค
วิด-19 หรือไวรัสโคโรน่าสายพันธใ์ หม่โดยเลือกพื้นท่ีจังหวัดเชียงใหม่เป็นพ้ืนท่ีศึกษา เนื่องจากจังหวดั
เชียงใหม่เป็นเมืองท่องเท่ียวที่มีนักท่องเท่ียวโดยเฉพาะนักท่องเท่ียวชาวจีนเดินทางมาเที่ยวเป็น
จานวนมาก งานวิจัยน้ีจะพิจารณาพฤติกรรมผู้บริโภคผ่านการวิเคราะห์เส้นทางปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อ
การซือ้ เวชภณั ฑเ์ บอื้ งต้นเม่ือเกิดสถานการณ์การระบาดของไวรสั โควดิ -19 ดว้ ยการรวบรวมขอ้ มูลจาก
แบบสอบถามกับประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่จานวน 400 คน ผลการวจิ ัยพบว่า อุปสงค์ต่อเวชภัณฑ์
เบ้ืองต้นเป็นท้ังปัจจัยท่ีมีอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมต่อการตัดสินใจซ้ือเวชภัณฑ์ในช่วงการเกิดโรค
ระบาดมากท่ีสุดโดยมีค่าสัมประสิทธิ์ 0.364 ในทางตรง และ 0.381 .ในทางอ้อม ขณะที่ปัจจัยการ
แสวงหาข้อมูลและการประเมินทางเลือกที่มีค่าสัมประสิทธิ์ 0.362 เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลทางตรงท่ี
รองลงมา งานวิจัยนี้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายให้หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนต้องทาการสารอง
เวชภัณฑ์เบื้องต้นในปรมิ าณท่ีมากเพ่ือตอบสนองต่อความต้องการครอบครองเวชภัณฑ์ของประชาชน
ในชว่ งทเ่ี กดิ โรคระบาด (ดนัยกฤต อนิ ทฤุ ทธ,ิ์ 2563)
เช่นเดียวกับงานวิจัยของ Michelle Andrews (2016). ได้นาแนวคิดเร่ืองพฤติกรรม
ผู้บริโภคมาประยุกต์ใช้งานวิจัยเร่ือง Mobile Promotions: A Framework and Research
Priorities โดยทาการนาแนวคิดเรื่องทฤษฎีเส้นความพอใจเท่ากันมาสกัดตัวแปรมาสกัดในการวิจัย
เป็นปัจจัยผลักและปัจจัยดูดที่ทาให้ลูกค้าตัดสินใจซ้ือสินค้าผ่านสมาร์ทโฟน โดยงานวิจัยนี้มีที่มาและ
ความสาคัญในประเด็นว่าสมาร์ทโฟนเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตผู้คนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างใน
ธุรกิจการค้าที่มีการแข่งขันการอย่างเข้มข้นที่จะดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาซื้อสินค้าของตนผ่านโปรโมชัน
ตา่ งๆทีท่ างผู้ประกอบการสร้างมาเพ่ือแขง่ ขัน งานวจิ ัยนจ้ี ึงมวี ัตถุประสงคเ์ พื่อศึกษาวา่ การตลาดโดยใช้
ส่วนผสมการตลาดแบบโปรโมชันผ่านการแข่งขันการชอปป้ิงผ่านสมาร์ทโฟนมีผลต่อการตัดสินใจซ้ือ
ของผู้บริโภคหรือไม่ ท้ังน้ี งานวิจัยน้ีได้ทาการศึกษาปัจจัยผลักและปัจจัยดูดท่ีทาให้ลูกค้าตัดสินใจซ้ือ
สินค้าผ่านสมาร์ทโฟนผ่านเครื่องมือวิจัยแบบสอบถาม โดยผลการวิจัยสามารถอธิบายได้ว่าอาจนริ นัย
โดยสรุปได้วา่ ปจั จยั ผลักดนั ท่เี กิดการซื้อขายผ่านสมารท์ โฟน คอื กลยุทธ์ทางการตลาดทผี่ ่านส่ือต่างๆ
84
การกระตุ้นด้วยการส่งข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าให้ผู้ซ้ือได้ทาการประเมินทางเลือกก่อนตัดสินใจ การ
โฆษณาประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ขณะท่ีปัจจัยดึงดูดที่สาคัญคือ การกระตุ้นการขายด้วยโปรโมชันดึงดดู ใจ
ผู้ซื้อ การขนส่งท่ีรวดเร็วและสามารถติดตามสินค้าได้ โดยสรุปแล้วงานวิจัยนี้ได้นิรนัยว่าการชอปปิ้ง
ผ่านสมาร์ทโฟนเป็นสิ่งท่ีทาให้เกิดผลกระทบต่อผู้ซื้อและผู้ขายเป็นอย่างมาก โดยปัจจัยดึงดูดที่ทาให้
เกิดการชอปปิ้งผ่านสมาร์ทโฟน คือ การป้อนข้อมูลให้ลูกค้าได้ประเมินทางเลือกผ่านส่ือต่างๆ และ
ปัจจยั ดงึ ดูดทส่ี าคัญท่ีทาให้เกิดการตัดสินใจชอปป้งิ ผ่านสมารท์ โฟน คือ ส่วนผสมการตลาดโดยเฉพาะ
อยา่ งยง่ิ โปรโมชันทก่ี ระตนุ้ ใหล้ กู คา้ ตดั สินใจชอปป้งิ ผา่ นสมาร์ทโฟนในท่สี ดุ
จากการทบทวนเนื้อหาสาระ แนวคิดทฤษฎี และการประยุกต์กรณีศึกษาจากงานวิจัยท่ีได้
นาเสนอมา ผู้เขียนได้นิรนัยข้อมูลซ่ึงสามารถสังเคราะห์ได้ว่าแนวคิดทฤษฎีจากเรื่องพฤติกรรม
ผู้บริโภค สามารถนามาประยุกต์ได้หลากหลายในการวิเคราะห์เก่ียวกับการสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจท่ี
ส ร้ า ง ค ว า ม พึ ง พ อ ใ จ ใ ห้ แ ก่ ผู้ บ ริ โ ภ ค โ ด ย พิ จ า ร ณ า จ า ก ก า ร น า แ น ว คิ ด อ ร ร ถ ป ร ะ โ ย ช น์ ร ว ม แ ล ะ
อรรถประโยชน์ส่วนเพิ่มมาวิเคราะห์ความพึงพอใจในการบริโภคสินค้าใดสินค้าหน่ึงที่ต้องพิจารณา
ความพงึ พอใจรวมสูงสุดหรือ อรรถประโยชนร์ วมสูงสดุ ภายใตร้ ายได้ ที่มจี ากดั โดยพิจารณาจากดุลย
ภาพของผบู้ ริโภคที่สามารถนามาวิเคราะห์รว่ มกบั เส้นงบประมาณและเส้นราคาเพ่ือให้ได้ข้อมูลชัดเจน
ผ่านการใช้โปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติมาวิเคราะห์ให้มีความแม่นยามากข้ึน เพื่อการศึกษากลุ่ม
ผู้บริโภคให้ละเอียด ถึงสาเหตุของการซื้อ การเปลี่ยนแปลงการซื้อ การตัดสินใจซื้อ ฯลฯ จะช่วยให้
ผู้บริหารทายใจหรือเดาใจกลุ่มผู้บริโภคของกิจการได้ถูกต้องว่ากลุ่มผู้บริโภคเหล่าน้ันต้องการอะไร มี
พฤติกรรมการซ้ืออย่างไร แรงจูงใจในการซื้อเกิดจากอะไร แหล่งข้อมลู ทผ่ี ู้บรโิ ภคนามาตัดสินใจซื้อคือ
อะไร รวมทั้งกระบวนการตัดสินใจซื้อข้อมูลต่างๆ เหล่าน้ีเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนต่อการ
ประกอบการธรุ กจิ
85
แบบฝึกหดั ประจาบทท่ี 3
1. กฎการลดนอ้ ยถอยลงของอรรถประโยชนส์ ่วนเพ่มิ อธิบายไวว้ ่าอยา่ งไร
2.จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอรรถประโยชน์รวมและอรรถประโยชน์ส่วนเพ่ิม เขียนรูป
ประกอบการอธิบาย
3. จงแสดงเง่ือนไขแหง่ ดลุ ยภาพของผูบ้ ริโภคตามทฤษฎคี วามพอใจเท่ากัน
4.การเปลย่ี นแปลงของเสน้ งบประมาณ สามารถแบ่งได้กี่ประเภท จงอธบิ ายและวาดรปู ประกอบ
5. กฎการลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์สว่ นเพิ่ม มหี ลักการวา่ อย่างไร จงอธิบาย
6. เส้นความพอใจเทา่ กนั คืออะไร มหี ลักการอยา่ งไร จงอธิบายและวาดรปู ประกอบ
7. อรรถระโยชน์รวมและอรรถประโยชนส์ ว่ นเพ่มิ มีความแตกต่างและความสมั พันธ์กันอย่างไร จง
อธบิ าย
8.ดลุ ยภาพของผู้บรโิ ภคตามทฤษฎีเสน้ ความพอใจเท่ากนั มีหลักการอยา่ งไร
9. ถา้ ผู้บริโภคมีเงินจานวน 30 บาท ท่จี ะซ้ือสินคา 3 ชนิดคือ A, B และ C ซึ่งมีคา่ อรรถประโยชน์
หนว่ ยสดุ ทา้ ยดังตวั เลขในตาราง
10. จากโจทย์ข้อ 9 ถ้าปรากฏว่าราคาสินค้า A ลดลงเหลือ 3 บาท ราคาสินค้า B เพิ่มขึ้นเป็น 10
บาท และราคาสินค้า C ไม่เปล่ียนแปลง ผู้บริโภคจะเปลี่ยนแปลงปริมาณการซ้ือสินค้าทั้ง 3 ชนิด
อย่างไร เม่ืองบประมาณเพิ่มขึ้นเป็น 120 บาท จะมีเงินเหลืออยู่เท่าใด และจะได้รับความพอใจรวม
ทงั้ หมดเท่าใด
86
ตวั อย่างข้อสอบบทท่ี 3
1. ตารางต่อไปนี้แสดงส่วนประกอบของสินค้า A และ B ที่ให้ความพอใจเท่ากันสองระดับด้วยกันคือ
IC1 และ IC2 เสน้ ความพอใจทั้งสองเส้นจะมีลักษณะอย่างไร ให้แสดงเสน้ ท้ังสองบนแผนภาพเดียวกนั
2. จากข้อ 1 ถ้าผบู้ ริโภคมีงบประมาณทั้งหมด 30 บาท ราคา A และ B หน่วยละ 3 บาทและ 1 บาท
ตามลาดบั ใหแ้ สดงวธิ ที าและใช้กราฟวเิ คราะหห์ าปริมาณการบริโภคสนิ ค้าที่ใหค้ วามพอใจสงู สุดแก่
ผ้บู รโิ ภค
สามารถตรวจคาตอบไดท้ ี่ : https://goo.gl/RDNvLr
บทที่ 4
แนวคดิ เก่ยี วกบั การผลิต
การศึกษาเศรษฐศาสตร์เปน็ การศึกษาชดุ ความคิดที่อธบิ ายเกยี่ วกบั พฤตกิ รรมของบุคคลหรือ
สงั คมในการเลือกหนทางเพ่ือจัดสรรทรัพยากรการผลิตท่ีมีอยู่อยา่ งจ่ากัด เพ่ือใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสุด
หนึ่งในส่ิงสาคัญเกี่ยวกับผู้ประกอบการก็คือ การผลิต เมื่อกล่าวถึงการผลิต กระบวนการผลิต ต้นทุน
การผลิต รายรับจากการผลิตอาจกล่าวได้ว่าหลักการในการทาความเข้าใจเรื่องดังกล่าวมีรากฐานมา
จากการวิเคราะห์โดยใช้ทฤษฎีการผลิตท้ังสิ้น ทั้งนี้เพราะในการผลิตสินค้า ผู้ผลิตได้รวบรวมปัจจัย
การผลิตจากเจ้าของปัจจัยการผลิตมาใช้ในการผลิต จึงจะต้องใช้ทฤษฎีของการผลิตเข้ามาทาความ
เข้าใจ ในบทนี้จะได้นาเสนอในเรือ่ งของทฤษฎกี ารผลติ ตน้ ทนุ การผลิต และเร่อื งรายรับและกาไร เปน็
หัวข้อใหญท่ ส่ี าคญั โดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี
4.1 ทฤษฎีการผลติ
ทฤษฎกี ารผลติ (Production Theory) หมายถึง ลกั ษณะของฟังก์ช่นั การผลิต (Production
Function) ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการผลิตท่ีใส่เข้าไปในกระบวนการผลติ กับการผลิตท่ี
ไดร้ บั ออกมา
แนวคิดเกยี่ วกบั การผลติ
การผลิต (Production) หมายถึง ขบวนการหรือข้ันตอนที่เปล่ียนแปลงปัจจัยการผลิต
(Input) ให้เป็นผลผลิต (Output) ซ่ึงปัจจัยการผลิตนอกจากจะหมายถึง ที่ดิน แรงงาน ทุนและ
ผู้ประกอบการแล้วยงั หมายถึง วตั ถุดบิ และสินคา้ ขนั้ กลางทกุ ชนดิ ท่ีใช้ในขบวนการผลิตด้วย
หน่วยผลิต (Firm) หมายถึง ผู้ผลิต ผู้ขาย หรือองค์กรธุรกิจท่ีทาหน้าที่ผลิต และขาย สินค้า
และบริการให้แกผ่ ู้บริโภค
หนว่ ยผลิตจะเลือกเทคนิคหรือกรรมวิธกี ารผลติ สนิ คา้ หรือบริการทดี่ ีที่สุดหรือมีประสิทธิภาพ
สุด เพ่ือให้ได้ผลผลิต (Q) ออกมาสงู สดุ ใช้ปจั จัยการผลติ ต่าทส่ี ุด รวมท้ังให้ได้กาไรสูงสดุ (วนั รกั ษ์ มง่ิ
มณีนาคิน, 2550) ดงั ภาพ 4.1
88
INPUT PROCESS OUTPUT
ปจั จยั การผลิตมจี ากดั การผลิต สนิ ค้าและบริการ
(PRODUCTION) (เศรษฐทรัพย์)
ต้นทุนการผลิต
ภาพ 4.1 แผนภูมิเบ้ืองตน้ เกี่ยวกบั การผลติ
จากภาพ 4.1 จะเห็นได้วา่
- กิจกรรมใดกต็ ามที่เปน็ การเปล่ียนหรือแปรภาพปัจจัยการผลิตใหเ้ ปน็ สินคา้ และ
บริการ
- การผลติ ถือเปน็ การสร้างอรรถประโยชนใ์ หแ้ ก่ปจั จยั การผลติ
- สนิ ค้าและบริการทผ่ี ลติ ไดถ้ ือเปน็ เศรษฐทรพั ย์ นัน่ คือ มีราคาทต่ี ้องจ่าย
- เปา้ หมายของผ้ผู ลติ คือ กาไรสงู สดุ (Maximize profit)
ฟังก์ชนั การผลติ
ฟงั กช์ นั การผลิตคือ สัญลักษณท์ างคณติ ศาสตร์ท่ีแสดงความสมั พันธ์ระหวา่ งปจั จัยการผลติ
ต่างๆ และจานวนผลผลติ ทเ่ี กิดจากปัจจัยการผลิตนน้ั ๆ ในช่วงระยะเวลาหน่งึ
ฟังกช์ ่นั การผลติ (The Production Function) แสดงถงึ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งผลผลิตรวม
(Q) หรอื Total Product และปัจจัยการผลติ ในระยะเวลาหน่งึ ภายใต้เทคโนโลยีที่มีในขณะนน้ั
สมการการผลิต
= ( , )
เมือ่ Q แทนปริมาณการผลติ
K แทนปจั จัยการผลติ ประเภททนุ
L แทนปจั จยั การผลิตประเภทแรงงาน
ฟังก์ชันการผลิตจะแสดงถึง จานวนผลผลิตรวมที่ผลิตขึ้นในระยะเวลาหน่ึงซ่ึงข้ึนอยู่กับ
จานวนของปัจจัยการผลิตท่ีใช้ในการผลิตน้ัน หน่วยธุรกิจสามารถเพ่ิมหรือลดจานวนผลผลิตได้ด้วย
การเพมิ่ หรอื ลดจานวนของปัจจยั การผลติ ชนิดใดชนิดหนึง่ หรือหลายชนิดทใ่ี ช้อย่ใู นขบวนการผลิตนั้น