ความเปน็ ครวู ิชาชพี
Professional Teachers
ผศ.อนสุ รณ์ นามทะราช
ค.บ.,ศษ.ม.(หลกั สตู รและการสอน)
มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่
๒๕๖๓
ความเปน็ ครูวิชาชพี
Professional Teachers
โดย
ผศ.อนสุ รณ์ นามทะราช
ค.บ.,ศษ.ม.(หลกั สตู รและการสอน)
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
พ.ศ. ๒๕๖๓
คำนำ
เอกสารความเปน็ ครวู ชิ าชพี ทอี่ ยูใ่ นมือขณะนเ้ี กิดขน้ึ ด้วยความรีบเรง่ จากการได้รบั ผิดชอบ
รายวชิ าความเปน็ ครวู ชิ าชีพเปน็ เบ้ืองแรก และเปน็ บางหอ้ ง ซึง่ จากภาระงานสอนมีมาก แต่ท้ังนี้ได้
พยายามรวบรวม เพื่อนิสิตจะไดม้ เี อกสารได้ศึกษาเม่ือสดุ ท้ายเทอม ในการจัดทาเอกสารประกอบคา
สอนความเปน็ ครวู ิชาชพี เพื่อใหไ้ ดเ้ น้ือหาความรทู้ ่ีครอบคลุมเกย่ี วกบั วิชาชีพครใู นปัจจุบนั ไดพ้ ยายาม
ศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร หนังสือ ตารา งานวิจัยอินเตอรเ์ นต็ ร่วมกบั ประสบการณ์
ในการจัดการเรยี นรู้ในวชิ าชีพครู เพื่อให้ได้เอกสารวชิ าการท่มี สี าระความรู้ท่ถี ูกต้อง สมบรู ณแ์ ละเป็น
ปัจจบุ นั มากทส่ี ดุ
ในเอกสารมีเนือ้ หาสาระเก่ียวกบั พฒั นาการของวชิ าชพี ครู บทบาท หน้าท่ี และภาระงานของ
ครู คุณลักษณะของครูทด่ี ี ครูกับการพฒั นาบุคลิกภาพ คณุ ธรรม จรยิ ธรรมสาหรับครูศรัทธา ค่านยิ ม
อดุ มการณแ์ หง่ วิชาชพี ครู จรรยาบรรณและมาตรฐานวชิ าชีพครู สมรรถนะของครู ครูกับสงั คมแห่งการ
เรยี นรู้ และกฏหมายทเ่ี ก่ียวกับครูบางส่วน
เอกสารฉบบั น้จี ะเป็นประโยชนต์ อ่ นสิ ิตและผ้สู นใจทวั่ ไปไม่มากกน็ ้อย ในโอกาสนีผ้ ู้รวบรวม
ขอกราบขอบพระคุณผ้เู ขยี นข้อเขยี นต่างๆ ทไี่ ดน้ าเสนอและอา้ งองิ ไว้ในเอกสารนี้ ขอขอบคณุ ผู้ทรง
คุณวฒุ ิทใี่ ห้ข้อคิดทเ่ี ป็นประโยชน์ นสิ ิตสาขาวิชาสังคมศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั
วิทยาเขตขอนแกน่ ในสว่ นที่มคี วามพกพร่องไมส่ มบูรณป์ ระการใดในมุมของผู้อา่ น ผนู้ าเสนอขอรับไว้
และตอ้ งขอโอกาสในการแกไ้ ขและปรบั ปรุงต่อไป
อนสุ รณ์ นามทะราช
สารบัญ
คานา หนา้
สารบัญ (ก)
สารบัญภาพ (ข)
สารบญั ตาราง (จ)
บทท่ี ๑ พัฒนาการวชิ าชีพครู (ช)
๑
ความหมายของครู อาจารย์ และคาท่ีมคี วามหมายคลา้ ยคลึง ๑
ความสาคัญของครู ๘
พัฒนาการวชิ าชพี ครู ๑๒
ทศั นคติของผเู้ รียนต่อวิชาชพี ครใู นปัจจุบนั ๒๕
สรปุ ๒๖
คาถามท้ายบท ๒๗
บทท่ี ๒ บทบาท หนา้ ที่ และภาระงานของครู ๓๑
บทบาทของครู ๓๑
หน้าที่ของครู ๔๑
หนา้ ทขี่ องครูตามเกณฑม์ าตรฐานวิชาชพี ครู ๔๔
ภาระงานของครู ๔๗
ภาระงานครูตามเกณฑง์ านสอนขั้นตา่ ของกระทรวงศึกษาธิการ ๔๘
บทบาท หนา้ ที่ และภาระงานของครูในศตวรรษท่ี ๒๑ ๕๔
สรปุ ๕๕
คาถามท้ายบท ๕๖
บทท่ี ๓ คณุ ลกั ษณะของครูท่ีดี ๕๙
คณุ ลกั ษณะของครูที่ดตี ามหลักพุทธธรรม ๕๙
คณุ ลักษณะของครทู ี่ดีตามแนวพระราชดาริ ๖๐
คณุ ลกั ษณะของครูท่ีดีตามพระราชบัญญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ ๖๖
คณุ ลักษณะของครูที่ดีตามเกณฑม์ าตรฐานวิชาชีพครู ๖๗
คณุ ลกั ษณะของครูที่ดตี ามทัศนะของบคุ คลตา่ ง ๆ ๖๙
คุณลกั ษณะของครูท่ีดจี ากโครงการส่งเสรมิ ครูดี ๗๐
คุณลักษณะของครทู ่ีดตี ามผลการวจิ ยั ๗๖
สรปุ คุณลกั ษณะสาคญั ของครูท่ดี ี ๗๙
ครดู ีตามคุณลักษณะสาคัญของครูท่ดี ี : กรณตี วั อย่างครูสมุ น อมรวิวัฒน์ ๘๐
สรปุ ๘๒
คาถามท้ายบท ๘๓
สารบัญ (ต่อ) หน้า
๘๗
บทที่ ๔ ครกู บั การพัฒนาบุคลกิ ภาพ ๘๗
ความหมายของบุคลกิ ภาพ ๘๘
ลักษณะของบุคลิกภาพ ๙๑
ความสาคญั ของบุคลิกภาพ ๙๒
บคุ ลกิ ภาพสาหรบั ผ้ปู ระกอบวิชาชีพครู ๙๕
บุคลิกภาพพ้นื ฐานของผู้ประกอบวิชาชพี ครพู ึงยดึ ถือปฏิบัติ ๙๗
บคุ ลกิ ภาพของครูในศตวรรษท่ี ๒๑ ๙๙
กระบวนการพฒั นาบคุ ลิกภาพครู ๑๐๕
สรปุ ๑๐๖
คาถามทา้ ยบท ๑๐๙
๑๐๙
บทท่ี ๕ คุณธรรม จริยธรรม สาหรับครู ๑๑๒
ความหมายของคุณธรรม จริยธรรม ๑๑๔
ความสาคัญของคณุ ธรรม จริยธรรมสาหรับผปู้ ระกอบวิชาชพี ครู ๑๑๖
คณุ ธรรมความเป็นครแู ละธรรมิกราชาในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว ๑๑๘
คุณธรรมพ้นื ฐาน ๘ ประการของกระทรวงศึกษาธิการ ๑๒๑
คุณธรรมสาหรบั ครตู ามแนวพุทธธรรม ๑๒๓
คุณธรรม จรยิ ธรรมสาหรับครูในศตวรรษท่ี ๒๑ ๑๓๑
การเสริมสร้างพฒั นาคณุ ธรรม จรยิ ธรรมแกค่ รู ๑๓๒
สรุป ๑๓๗
คาถามทา้ ยบท ๑๓๗
๑๔๔
บทท่ี ๖ ศรทั ธา ค่านยิ ม อุดมการณ์แห่งวิชาชีพครู ๑๕๒
ความศรัทธาต่อวิชาชพี ครู ๑๕๙
ค่านิยมในวชิ าชีพครู ๑๖๕
อุดมการณ์แห่งวิชาชพี ครู ๑๖๖
กรณตี วั อย่างครูผู้มีอุดมการณ์ในศตวรรษท่ี ๒๑ ๑๗๑
สรปุ ๑๗๑
คาถามท้ายบท ๑๗๓
๑๗๕
บทท่ี ๗ จรรยาบรรณและมาตรฐานวิชาชีพครู ๑๗๙
ความหมายของจรรยาบรรณวิชาชพี ๑๘๔
ความเป็นมาของจรรยาบรรณวชิ าชพี ครใู นประเทศไทย ๑๘๕
จรรยาบรรณวชิ าชพี ครูในต่างประเทศ
จรรยาบรรณครู ฉบับ พ.ศ. ๒๕๓๙
ความสาคญั ของจรรยาบรรณวิชาชีพครู
มาตรฐานวชิ าชพี ครู
สารบัญ (ต่อ) หนา้
ใบอนญุ าตประกอบวิชาชพี ครู ๑๙๑
การปฏบิ ัติงานของครูตามจรรยาบรรณและมาตรฐานวชิ าชพี ครู ๑๙๑
สรุป ๑๙๓
คาถามท้ายบท ๑๙๔
บทที่ ๘ สมรรถนะของครู ๑๙๙
ความหมาย ศกั ยภาพ สมรรถนะ และสมรรถภาพ ๑๙๙
ประวตั ิความเป็นมาและความสาคัญของสมรรถนะ ๒๐๐
สมรรถนะของครู ๒๐๓
ระบบการพฒั นาผปู้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษา ๒๐๗
แนวทางการพัฒนาครูและบคุ ลากรทางการศึกษาแนวใหม่ ๒๑๑
กระบวนทศั น์ใหมข่ องการพัฒนาครูวิชาชพี ๒๑๕
สรปุ ๒๒๑
คาถามทา้ ยบท ๒๒๒
บทที่ ๙ ครกู ับสังคมแห่งการเรยี นรู้ ๒๒๕
สงั คมแห่งการเรียนรู้ ๒๒๕
องค์กรแห่งการเรยี นรู้ ๒๓๔
บคุ คลแห่งการเรยี นรู้ ๒๔๐
การเสริมสร้างประชาคมแหง่ การเรียนรใู้ นสถานศึกษา ๒๔๘
การเตรียมตวั ทจ่ี ะอยู่ในสงั คมแหง่ การเรียนรู้ของครู ๒๕๔
สรุป ๒๕๕
คาถามทา้ ยบท ๒๕๖
บรรณานกุ รม ๒๘๗
ภาษาไทย ๒๘๗
ภาษาองั กฤษ ๓๐๐
ประวัตผิ เู้ ขียน ๓๐๓
สารบญั ภาพ
หนา้
ภาพท่ี ๔.๑ ขัน้ ตอนการพัฒนาบุคลิกภาพ ๙๙
ภาพท่ี ๖.๑ ความศรัทธาทค่ี วรปลูกฝังในครไู ทย ๑๔๒
ภาพท่ี ๖.๒ นางสาวจูหลงิ ปงกนั มลู ครูผ้เู สียสละจากเหตุความไมส่ งบ
ในพน้ื ท่ี ๓ จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ๑๕๙
ภาพท่ี ๘.๑ โมเดลภเู ขาน้าแข็ง (Iceberg Model) ๒๐๒
ภาพท่ี ๘.๒ ความสมั พันธ์ระหวา่ งความแตกต่างของบุคคลกับสมรรถนะและผลงาน ๒๐๓
ภาพท่ี ๘.๓ องคป์ ระกอบสมรรถนะครวู ชิ าชีพ (Teacher’s competency model) ๒๐๕
ภาพที่ ๘.๔ หน่วยงานที่เก่ยี วขอ้ งกับการพัฒนา ๒๐๘
ภาพท่ี ๘.๕ รปู แบบการพัฒนาผปู้ ระกอบวชิ าชีพทางการศึกษา ๒๑๐
ภาพท่ี ๘.๖ ผังมโนทศั น์ข้นั ตอนการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ๒๑๔
ภาพท่ี ๘.๗ วธิ กี ารประเมินตนเองโดยใช้ CIPP Model ๒๑๘
ภาพท่ี ๘.๘ Deming Cycle ๒๑๙
ภาพที่ ๙.๑ สภาพสงั คมแหง่ การเรยี นรทู้ ีป่ รากฏในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ
และมาตรฐานการศึกษาของชาติ ๒๓๓
ภาพท่ี ๙.๒ การเกิดสงั คมแห่งการเรยี นรู้ของประเทศไทย ๒๓๔
ภาพท่ี ๑๐.๑ ยุทธวธิ ีเพอ่ื สนบั สนุนและสง่ เสรมิ ใหค้ รูมกี ารใช้เทคโนโลยี ๒๘๑
สารบญั ตาราง
หนา้
ตารางที่ ๒.๑ แสดงจานวนชัว่ โมงภาระงานสอนขนั้ ต่าของครู ๔๙
ตารางที่ ๙.๑ ตัวบง่ ชแ้ี ละการปฏบิ ัตติ ามมาตรฐานแนวการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ๒๓๒
ตารางท่ี ๙.๒ คุณลักษณะสมรรถนะของการเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ๒๔๔
มคอ.๓
รายละเอียดการบริหารจัดการรายวิชา
วชิ าความเปน็ ครูวชิ าชพี
ประจาภาคเรียนที่ ๑/๒๕๖๓
ชอ่ื สถาบนั อุดมศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
วิทยาเขต/คณะ/ภาควิชา วิทยาเขตขอนแกน่ /คณะครุศาสตร์/สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน
หมวดที่ ๑ ขอ้ มลู โดยทว่ั ไป
๑. รหัสและชื่อรายวิชา
๒๐๐ ๑๐๑ ความเป็นครวู ชิ าชีพ (Professional Teacher)
๒. จานวนหน่วยกติ
๓ หนว่ ยกิต (๓-๐-๖)
๓. หลักสูตรและประเภทของรายวิชา
หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑติ (ครศุ าสตร์ ๕ ปี) สาขาวชิ าการสอนภาษาไทย-สาขาวิชาสังคมศกึ ษา
ประเภทรายวชิ า รายวิชามาตรฐานวชิ าชพี ครู
๔. อาจารย์ผรู้ ับผดิ ชอบรายวชิ าและอาจารย์ผสู้ อน
ประธานหลกั สตู ร ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์อนุสรณ์ นามทะราช
อาจารยผ์ รู้ ับผดิ ชอบรายวิชา ผชู้ ่วยศาสตราจารยอ์ นุสรณ์ นามทะราช
อาจารย์ผสู้ อน - ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารยอ์ นุสรณ์ นามทะราช ๐๙๓๓๕๗๙๔๓๑,๐๙๐๓๔๓๗๔๙๕,
Email. [email protected]
๕. ภาคการศกึ ษา / ชั้นปีท่ีเรียน
ภาคการศกึ ษาท่ี ๑/ช้นั ปีท่ี ๑
๖. รายวชิ าทต่ี ้องเรยี นมาก่อน (Pre-requisite) (ถา้ มี) ไม่มี
๗. รายวชิ าท่ีต้องเรียนพร้อมกัน (Co-requisites) (ถา้ ม)ี ไมม่ ี
๘. สถานทเี่ รียน
สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่
๙. วันท่ีจดั ทาหรือปรบั ปรุงรายละเอียดของรายวชิ าคร้ังล่าสดุ
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๓
วชิ าความเป็นครวู ชิ าชีพ อนุสรณ์ นามทะราช ๒
หมวดท่ี ๒ จดุ มุ่งหมายและวตั ถปุ ระสงค์
๑. จดุ มุง่ หมายของรายวิชา
หลังจากนิสิตเรียนจบในรายวิชานีแ้ ล้วสามารถแสดงพฤติกรรมต่อไปน้ี
๑.๑ เพื่อให้นิสติ มีความรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกับความสาคัญของวิชาชีพครู
๑.๒ เพอ่ื ใหน้ สิ ติ มคี วามรู้และทกั ษะเก่ยี วกบั บทบาท หนา้ ท่ี ภาระงานของครู พฒั นาการของวชิ าชพี ครู
๑.๓ เพอื่ ให้นิสิตมีความรู้และทักษะเกี่ยวกับเกณฑม์ าตรฐานวชิ าชีพครู จรรยาบรรณวิชาชพี ครู และกฎหมายท่ี
เก่ยี วกบั ครู
๒. วตั ถปุ ระสงค์ในการพัฒนา/ปรบั ปรงุ รายวิชา
หลังจากเรยี นในรายวิชานแ้ี ล้วผ้สู อนและนสิ ิตไดเ้ สนอแนวคดิ ดังนี้
๒.๑ เพ่ือปรับปรุงพัฒนาเนื้อหาสาระและกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพทันตอ่ การเปลี่ยนแปลงของ
สงั คมโลก
๒.๒ เพอื่ ปรบั ปรงุ พฒั นาเน้ือหาสาระและกจิ กรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับเกณฑ์มาตรฐานของสานักงาน
คณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา และมาตรฐานวชิ าชพี ของครุ ุสภา
หมวดที่ ๓ ลักษณะและการดาเนนิ การ
๑. คาอธบิ ายรายวชิ า
ความสาคญั และพัฒนาการของวิชาชีพครแู ละองคก์ รครู บทบาท หน้าที่ และภาระงานครู คุณลักษณะของครูที่
ดี มาตรฐานวชิ าชพี ครู คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณ หลักธรรมาภบิ าล การปฏิบตั ติ นเปน็ แบบอยา่ งท่ีดี
จรรยาบรรณของวิชาชพี ของครุ ุสภา เส้นทางความกา้ วหน้าและการเสริมสร้างสมรรถภาพส่คู วามเป็นครูมอื อาชพี
องค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา กฎหมายทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับครู
๒. จานวนชั่วโมงทีใ่ ช้ต่อภาคการศึกษา
บรรยาย สอนเสรมิ การฝึกปฏิบัต/ิ งาน การศึกษาดว้ ยตนเอง
ภาคสนาม/การฝึกงาน
บรรยาย ๔๕ ชัว่ โมงตอ่ สอนเสรมิ ตามความ ไม่มีการฝกึ ปฏบิ ัตงิ าน การศกึ ษาด้วยตนเอง ๖
ภาคการศึกษา ต้องการของนสิ ิตเป็น ภาคสนาม ชั่วโมงตอ่ สัปดาห์
รายบุคคล
๓.จานวนชัว่ โมงต่อสปั ดาห์ที่อาจารย์ใหค้ าปรึกษาและแนะนาทางวิชาการแกน่ สิ ติ เปน็ รายบคุ คล
- อาจารย์ประจารายวิชา ประกาศเวลาใหค้ าปรึกษาผ่านเวปไซต์สาขาวชิ า
- อาจารย์จดั เวลาให้คาปรกึ ษาเปน็ รายบคุ คล หรอื รายกล่มุ ตามความต้องการ ๑ ชว่ั โมงตอ่ สัปดาห์ (เฉพาะ
รายทต่ี ้องการ)
- อาจารย์ผสู้ อนเปิดโอกาสให้นสิ ติ เข้าพบไดท้ ุกเวลา ท่ีวา่ งจากการสอนในชนั้ เรียน
- อาจารยเ์ ปดิ ไลน์เป็นกลุม่ ให้นิสติ ได้ปรึกษาและสอบถามความเขา้ ใจในการเรียนได้ตลอดเวลา
วชิ าความเป็นครวู ิชาชพี อนุสรณ์ นามทะราช ๓
หมวดท่ี ๔ การพฒั นาการเรียนรขู้ องนสิ ิต
๑. คุณธรรม จรยิ ธรรม
๑.๑ คุณธรรม จริยธรรมที่ต้องพัฒนา
พัฒนาให้ผู้เรยี นมีความรบั ผิดชอบ มวี ินัย มจี รรยาบรรณในวิชาชีพ นาหลกั ทางธรรมไป ประยุกตใ์ ช้อย่าง
ถกู ต้องเหมาะสมโดยมีคุณธรรม จริยธรรมตามคุณสมบตั ขิ องหลกั สูตรและความเป็นบณั ฑิตท่พี ึงประสงค์ ตามนวลักษณ์
ของมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าฯ วทิ ยาเขตขอนแก่น ดังนี้
ความรบั ผดิ ชอบหลัก
๑) ตระหนกั ในคุณค่าและคุณธรรม จรยิ ธรรม เสยี สละ และซอื่ สตั ย์สุจรติ
๓) มีภาวะความเป็นผู้นาและผู้ตาม สามารถทางานเป็นทีมและสามารถแก้ไขข้อขัดแย้งและลาดับ
ความสาคัญ
ความรบั ผดิ ชอบรอง
๒) มวี ินัย ตรงตอ่ เวลา และความรับผดิ ชอบต่อตนเอง วิชาชพี และสงั คม
๔ เคารพสทิ ธแิ ละรับฟังความคิดเหน็ ของผอู้ ่ืน รวมทง้ั เคารพในคุณค่าและศกั ดศิ์ รีของความเปน็ มนุษย์
๕) เคารพกฎระเบียบและขอ้ บังคบั ตา่ ง ๆ ขององคก์ รทีส่ ังกดั และสังคมโดยรวม
๖) ความมจี รรยาบรรณทางวิชาการและวชิ าชีพ
๑.๒ วิธีการสอน
๑) สอดแทรกระหว่างการเรียนการสอนในทุกครั้ง
๒) การแสดงความคิดเหน็ ในเรื่องความมวี ินัย ใผ่รู้ ความซือ่ สัตย์ ความรับผดิ ชอบและความมีนา้ ใจ
๓) การอภปิ รายกลมุ่ /การเสวนา/กาหนดบทบาทสมมติ
๔) การปฏบิ ตั ติ นอนั เปน็ แบบอยา่ งทด่ี ีของอาจารยผ์ ้สู อน
๑.๓ วธิ กี ารประเมนิ ผล
๑) พฤตกิ รรมการเขา้ เรยี น และสง่ งานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายตามขอบเขตท่ีให้และตรงเวลา
๒) มีการอา้ งอิงเอกสารทีไ่ ดน้ ามาทารายงาน อย่างถกู ตอ้ งและเหมาะสม
๓) ประเมินผลการวเิ คราะห์กรณีศกึ ษาประเมินผลการนาเสนอรายงานท่ีมอบหมาย
๔) ประเมินผลจากพฤตกิ รรมที่แสดงออกในช้นั เรียนและในโอกาสท่สี าขาวชิ าหรือ มหาวทิ ยาลัยจดั กิจกรรม
ตา่ ง ๆ ทเ่ี ก่ยี วข้องกับคุณธรรม จริยธรรม กรสัมมาคารวะต่อผอู้ าวุโสหรอื คณาจารย์
๕) การตรวจสอบการมวี นิ ัยตอ่ การเรียน การตรงต่อเวลาในช้นั เรยี นและการส่งงานมอบหมาย
๖) ประเมินรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นโดยนสิ ิตอ่ืน ๆ ในรายวชิ า
๗) การใช้ระบบนิสิตประเมินตนเอง เพือ่ พฒั นาและรูต้ นเอง
๒. ความรู้
๒.๑ ความรู้ท่ีจะไดร้ ับ (ให้ยึดตามสาระของวิชาชีพครู ให้แบ่งเป็นขอ้ )
๑) ความสาคญั ของวิชาชีพครู บทบาท หน้าท่ี ภาระงานของครู
๒) การพฒั นาการของวิชาชีพครลู ะ การสรา้ งทศั นคติที่ดีต่อวิชาชพี ครู
๓) คุณลกั ษณะของครทู ่ีดี คุณธรรม จรยิ ธรรมของความเปน็ ครู
๔) การสรา้ งศักยภาพและสมรรถภาพความเปน็ ครู
๕) การเปน็ บคุ คลแหง่ การเรียนรแู้ ละการเป็นผนู้ าทางวิชาการ
๖) เกณฑ์มาตรฐานวิชาชพี ครู จรรยาบรรณวิชาชีพครูและ กฎหมายทเ่ี กยี่ วข้องกบั ครู
วชิ าความเป็นครวู ิชาชพี อนุสรณ์ นามทะราช ๔
๒.๒ วิธกี ารสอน
๑) บรรยาย/อภิปราย/การทางานกลุ่มการนาเสนอรายงาน การวเิ คราะห์บทบาทของการมอบหมายงานให้
คน้ ควา้ แบบโครงงานการเรยี นรู้แบบบรู ณาการ เนน้ ผ้เู รยี นเป็นสาคัญ
๒) มีการศกึ ษานอกสถานทที่ เี่ กี่ยวกบั เรื่อง ทส่ี ถานศึกษาการทาหน้าทคี่ รูทีเ่ ป็นตวั อยา่ งในการทางานท่ีดี
๓) มีการเข้ากลุ่มเพื่อการศกึ ษาคน้ ควา้ และแลกเปลีย่ นเรยี นซ่งึ กันและกัน
๔) การศกึ ษาโดยใชป้ ัญหา และโครงงาน Problem base learning และ Student Canter เน้นผเู้ รยี นเปน็
ศูนย์กลาง
๒.๓ วธิ กี ารประเมินผล
๑) มกี ารทาแบบฝกึ หัด ทา้ ยชว่ั โมง การสอบย่อย สอบระหว่างภาค และสอบปลายภาค
๒) การตรวจผลงานรายบคุ คลจากงานทม่ี อบหมายคุณภาพและผลของชนิ้ งาน
๓) การเขา้ ช้นั เรยี น สังเกตการทางานเปน็ กลมุ่ และรายบคุ คล การมสี ่วนร่วมในงานท่ีมอบหมาย
๓. ทกั ษะทางปัญญา
๓.๑ ทกั ษะทางปญั ญาท่ีต้องพฒั นา
๑) พัฒนาความสามารถตัวอย่างใหเ้ ป็นระบบ มีการวิเคราะห์หาสาเหตทุ ีผ่ ูเ้ รียนประสบความสาเรจ็ ใน
การศกึ ษา และการนาตวั อย่างมาเป็นบทวิเคราะหใ์ หแ้ ยกประเด็นดว้ ยการเขยี น
๒) ฝกึ การสร้างสรรคจ์ ดั ใหม้ กี ารแลกเปลยี่ นความคิดเห็นดว้ ยการให้แสดงความคิดเห็น โดยการแสดงออกหนา้
ช้นั เรียนและการนาเสนองานทีเ่ ปน็ รูปเลม่
๓.๒ วธิ กี ารสอน
๑) การมอบหมายให้นสิ ิตฝกึ การเขยี นภาคนิพนธ์ โดยใหไ้ ปคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง
๒) การอภปิ รายกลมุ่ และเสนองานเป็นกลุ่มท่ีเป็นรูปเลม่
๓) การวเิ คราะหก์ รณีศกึ ษาให้หาตวั อย่างทีป่ ระสบความสาเร็จจากการศกึ ษา
๔) มกี ารศกึ ษานอกสถานท่ที เี่ ก่ียวกบั วชิ า เชน่ สถานทแ่ี ละแหลง่ เรียนรู้ทมี่ ีอยู่ท่วั ไปโดยนามาให้ศกึ ษาและจัด
เวลาใหไ้ ด้ไปศกึ ษาเพิ่มเติม
๕) เชิญวิทยากรผทู้ รงคณุ วฒุ ิ บรรยายเสรมิ ความรู้และทักษะ
๖) ฝกึ การนาเสนองานทัง้ ท่ีเปน็ รปู เลม่ และการเสนอดว้ ยปากเปลา่
๓.๓ วิธีการประเมินผล
๑) มกี ารทาแบบฝึกหัด ท้ายชวั่ โมง การสอบยอ่ ย สอบระหวา่ งภาค และสอบปลายภาค
๒) การตรวจผลงานรายบคุ คลจากงานทีม่ อบหมายคุณภาพและผลของช้นิ งาน
๓) การเข้าชนั้ เรียน สังเกตการทางานเป็นกลุ่มและรายบคุ คล การมสี ว่ นรว่ มในงานที่
๔) การตอบคาถามจากปัญหาและการแสดงความคิดเห็นวเิ คราะห์ปัญหาและการศึกษา
๔. ทักษะความสัมพันธร์ ะหว่างบคุ คลและความรับผิดชอบ
๔.๑ ทักษะความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คลและความรบั ผิดชอบทตี่ ้องพัฒนา
๑) ทกั ษะในการสร้างสัมพนั ธภาพระหว่างผ้เู รยี นดว้ ยกนั ความเป็นผนู้ าและผู้ตามในการทางานท้ังรายบคุ คล
และกลุ่ม
๒) การวางตัวและการรว่ มแสดงความคิดเห็นในกลุม่ ได้อย่างเหมาะสม
๓) พฒั นาการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองและมีความรบั ผดิ ชอบในงานทม่ี อบหมายให้ครบถว้ นตามกาหนดเวลา
๔.๒ วธิ กี ารสอน
๑) จดั กจิ กรรมกลมุ่ ในการวเิ คราะหป์ ัญหาการเรียน ดว้ ยการให้เสนอกลุม่ ด้วยตวั นิสิตเอง
วิชาความเป็นครูวชิ าชพี อนุสรณ์ นามทะราช ๕
๒) มอบหมายงานเป็นรายกลุม่ และรายบคุ คล ศึกษาคน้ ควา้ ในรูปแบบโครงงาน(Project work)
๓) การนาเสนองานด้วยการพดู อธบิ ายและอภปิ ราย พรอ้ มทงั้ รปู เล่มรายงาน
๔.๓ วธิ กี ารประเมนิ ผล
๑) มีการทาแบบฝึกหัด ท้ายช่ัวโมง การสอบย่อย สอบระหว่างภาค และสอบปลายภาค
๒) การตรวจผลงานรายบุคคลจากงานทมี่ อบหมายคุณภาพและผลของช้นิ งาน
๓) การเขา้ ช้นั เรียน สงั เกตการทางานเปน็ กล่มุ และรายบคุ คล การมสี ่วนร่วมในงานท่ี
๔) การตอบคาถามจากปัญหาและการแสดงความคดิ เห็นวิเคราะหป์ ญั หาและการศึกษา
๕. ทักษะการวิเคราะหเ์ ชิงตัวเลข การสอ่ื สาร และการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ
๕.๑ ทักษะการวิเคราะห์เชิงตวั เลข การสอ่ื สาร และการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศทตี่ ้องพฒั นา
๑) ทกั ษะการคิดคานวณ เชิงตวั เลข
๒) พัฒนาทักษะในการส่ือสารท้ังการพูด การฟัง การแปล การเขียน โดยการทารายงาน และนาเสนอในช้ัน
เรียน
๓) พฒั นาทักษะในการวเิ คราะหข์ ้อมลู จากกรณีศกึ ษา
๔) พฒั นาทักษะในการสืบค้น ข้อมลู ทางอนิ เทอรเ์ นต็
๕) ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการส่ือสาร เช่น การส่งงานทางอีเมล์ การสร้างห้องแสดงความ
คิดเหน็ ในเรือ่ งตา่ งๆ เชน่ Web lock การสือ่ สารการทางานในกล่มุ ผ่านหอ้ งสนทนา Chat Room
๖) ทกั ษะในการนาเสนอรายงานโดยใช้รปู แบบ เคร่อื งมอื และเทคโนโลยีที่เหมาะสม
๕.๒ วธิ ีการสอน
๑) การสอนทฤษฎี
- ดว้ ยวิธบี รรยาย เน้ือหาสาระประกอบสือ่ การสอน PowerPoint
- การสมั มนากลมุ่ ย่อย โดยการใหห้ นั หน้าเข้าหากนั ปรึกษาและลงความเห็นในตอบ
- การเสนอรายงานท้ังรายกลุ่มและรายบุคคล
- การเชิญวทิ ยากรผทู้ รงคุณวฒุ บิ รรยายเสรมิ
๒) การสอนภาคปฏบิ ตั ิ
- ใหน้ สิ ติ ได้ลงมอื เขยี นรายงานดว้ ยลายมือตนเองท่ีไม่มกี ารพิมพ์
- นิสติ ไดล้ งทาหรือเขยี นภาคนิพนธ์ด้วยตนเองและนามาปรึกษาแนววิธกี ารศึกษา
- ได้เปรียบเทียบผลงานท่ีนาเสนอด้วยเขยี นดว้ ยลายมอื ตนเอง
- การศึกษาเอกสารประกอบการเรยี นต่าง ๆ
- นิสติ ไดส้ มั พันธก์ ับแนวค้นควา้ การลงมือจรงิ ของการแสวงหาความรู้
- มอบหมายงานให้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง จาก website สื่อการสอน e-learning และทารายงาน
โดยเน้นการนาตวั เลข หรอื มสี ถิตอิ า้ งอิง จากแหลง่ ทม่ี าข้อมูลที่น่าเช่ือถอื
- นาเสนอโดยใช้รปู แบบและเทคโนโลยที ่เี หมาะสม
๕.๓ วธิ กี ารประเมนิ ผล
๑) การจดั ทารายงาน และนาเสนอดว้ ยสือ่ เทคโนโลยี
๒) การมีส่วนรว่ มในการอภิปรายและวธิ กี ารอภปิ ราย
วิชาความเปน็ ครูวชิ าชีพ อนุสรณ์ นามทะราช ๖
หมวดท่ี ๕ แผนการสอนและการประเมนิ ผล
๑. แผนการจดั การเรยี นรู้
สัปดาห์ หวั ข้อ/รายละเอียด จานวน กจิ กรรมการเรยี นการ ผูส้ อน/บรรยาย
ท่ี ช่ัวโมง สอน/สื่อที่ใช้ (ถ้ามี)
๑ ชีแ้ จง
ก. แจ้งสังเขปรายวิชา
ข. แผนการจัดการเรียนการสอน
ค. การศกึ ษาและแหล่งค้นควา้ -แนะนาการเรียน
ง .แจง้ จุดประสงค์การเรยี น -ซักถามขอ้ สงสัย
บทท่ี ๑ พฒั นาการวชิ าชีพครูและองคก์ รครู ๔ -บรรยาย/ส่อื
อ.อนุสรณ์ นามทะราช
๑.๑ ความรเู้ บอื้ ตน้ เกีย่ วกับครู -ทดสอบก่อนเรียน
๑.๒ ความหมายครู ,อาจารย์ -รายละเอียดวชิ า
๑.๓ ประเภทของครู -PowerPoint
๒ บทที่ ๑ พัฒนาการวิชาชีพครแู ละองคก์ ร -บรรยาย/สอื่
ครู (ตอ่ ) -ใบกจิ กรรม อ.อนุสรณ์ นามทะราช
๑.๔ ความเปน็ มาของครู ๔ -PowerPoint
๑.๕ ความสาคญั ของครู -เอกสารวิชา
๑.๖ ความสาคัญวชิ าชพี ครู
๓ บทที่ ๒ บทบาทและภาระหนา้ ทีข่ องครู บรรยาย ศึกษา
๒.๑ ความหมายบทบาท ตามรูปศพั ท์ กรณศี ึกษา อภปิ ราย ผศ.อนุสรณ์ นามทะ
๒.๒ บทบาทของครตู ามแนวปฏริ ูป ๔ ศึกษาคน้ ควา้ เป็นกลุ่ม ราช
การศกึ ษา -PowerPoint
๒.๓ บทบาทของครูในการพัฒนาชมุ ชน
บทท่ี ๒ บทบาทและภาระหนา้ ทีข่ องครู -บรรยาย
(ตอ่ ) -ศกึ ษากรณศี ึกษา
๔ ๒.๔ บทบาทของครูในการพัฒนาการเมือง ๔ -อภปิ ราย ตวั อย่างการ อ.
๒.๕ บทบาทของครูในการพัฒนาเศรษฐกจิ อนิ เทอรเ์ นต็
-PowerPoint
บทท่ี ๒ บทบาทและหน้าท่ีของครู (ตอ่ ) -บรรยาย ศึกษากรณศี ึกษา
๒.๖ บทบาทของครูในฐานะเปน็ วศิ วกร -ศึกษาจากปญั หาโครง
๕ สังคม ๔ งาน Problem base อ.
๓.๗ บทบาททัว่ ๆ ไปของครู learning
บทท่ี ๓ ลกั ษณะของครูท่ดี ี -บรรยาย
๔.๑ การทาหน้าท่ีครูท่ีดี -ศกึ ษากรณีศึกษา อ.อนุสรณ์ นามทะราช
๖ ๔.๒ การเป็นครูทส่ี อนดแี ละอบรมผู้เรียน ๔ -อภิปราย
๔.๓ การเตรยี มตวั ท่จี ะเป็นครทู ่ดี ี -ใบกจิ กรรม
-PowerPoint
วิชาความเปน็ ครูวชิ าชีพ อนุสรณ์ นามทะราช ๗
สปั ดาห์ หวั ข้อ/รายละเอยี ด จานวน กิจกรรมการเรียนการ ผู้สอน/บรรยาย
ท่ี ชั่วโมง สอน/ส่ือทใี่ ช้ (ถา้ ม)ี
บทท่ี ๓ ลกั ษณะของครทู ี่ด(ี ตอ่ ) -บรรยาย/PowerPoint
๔.๔ ครใู นลกั ษณะทนี่ ยิ ามตามกฎหมาย -ศึกษากรณศี ึกษา
๔ -อภิปราย ตวั อย่างระบบ อ.อนุสรณ์ นามทะราช
๗ ๔.๕ ครูดีในลักษณะทน่ี ักเรียนนยิ าม
๔.๖ ครทู ด่ี ตี ามคานยิ ามของสงั คม สนเทศ
๘ บทที่ ๔ มาตรฐานวชิ าชพี ครู บรรยาย ศกึ ษา
๔.๑ มาตรฐานความร้แู ละประสบณว์ ชิ าชีพ กรณศี ึกษา อภิปราย การ อ.อนสุ รณ์ นามทะราช
๔.๒ มาตรฐานปฎิบตั งิ าน วิเคราะหร์ ะบบจาก
๔.๓ มาตรฐานปฏบิ ัตติ น สถานการณ์จรงิ จาก
บทท่ี ๕ คณุ ธรรม จริยธรรมและ บรรยาย ศกึ ษา
จรรยาบรรณ หลักธรรมาภิบาล กรณศี ึกษา อภิปราย การ
๔ วิเคราะหร์ ะบบจาก
๙ ๕.๑ คุณธรรม จรยิ ธรรมของครู
๕.๒ การมีธรรมาภิบาล สถานการณ์จริงจาก
บทท่ี ๖ การปฏิบตั ติ นเป็นแบบอยา่ งทดี่ ี บรรยาย ศึกษา
๖.๑ การทาหน้าท่คี รูที่ดี กรณศี ึกษา อภิปราย
๑๐ ๖.๒ การดาเนนิ ชวี ติ ในโลกปัจจุบนั ของครู ๔ ตัวอยา่ งระบบสนเทศ
๖.๓ หลัธรรมสาหรบั ครทู ด่ี ี เพื่อการตัดสินใจ
บทท่ี ๗ จรรยาบรรณวชิ าชีพของคุรสุ ภา บรรยาย ศึกษา
๔ กรณศี ึกษา อภปิ ราย
๗.๑ จรรยาบนนณต่อตนเอง ตัวอย่างระบบสนเทศ เพือ่ อ.อนุสรณ์ นามทะราช
๑๑ ๗.๒ จรรยาบรรณตอ่ อาชีพ
๗.๓ จรรยาบรรณตอ่ หนา้ ท่ี การตัดสนิ ใจ
บทท่ี ๘ เสน้ ทางสคู่ รูมืออาชีพชาชีพ บรรยาย
๘.๑ เส้นทางความก้าวหน้าในวชิ าชีพครู ศกึ ษากรณีศึกษา
๑๒ ๘.๒ วธิ สี รา้ งศกั ยภาพและสมรรถภาพ ๓ อภปิ ราย ตัวอย่างระบบ
ความเป็นครูมืออาชีพ ศึกษาจากปัญหาโครงงาน
๘.๓ การเป็นบคุ คลแหง่ การเรียนร้แู ละ PowerPoint
การเปน็ ผู้นาทางวชิ าการ
บทที่ ๙ องคก์ รกลางการบริหารครูและ บรรยาย ศกึ ษา
บุคลากรทางการศึกษา กรณีศึกษา อภปิ ราย การ
๓ วเิ คราะหร์ ะบบจาก
๑๓ ๙.๑ ความสาคญั ขององค์กรครู
๙.๒ การกากับดแู ลและพฒั นาครู สถานการณจ์ ริง
บทที่ ๙ องคก์ รกลางการบรหิ ารครแู ละ บรรยาย ศกึ ษา
บุคลากรทางการศึกษา(ต่อ) กรณศี ึกษา อภิปราย จาก
๓ คดอี าชญากรรม
๑๔ ๙.๓ พร.บ.การศกึ ษาแหง่ ชาติ
๙.๔ กฏหมายและประกาศคุรสุ ภา คอมพวิ เตอร์ในปัจจุบนั
๑๕ ๑. สรปุ เนื้อหาทั้งหมด -บรรยาย อ.อนุสรณ์ นามทะราช
๒ .แนะนาการทาขอ้ สอบและการเตรยี มตวั ๓ - อภิปราย/ซกั ถาม
อ.
วิชาความเปน็ ครูวชิ าชีพ อนุสรณ์ นามทะราช ๘
สปั ดาห์ หัวข้อ/รายละเอยี ด จานวน กิจกรรมการเรียนการ ผู้สอน/บรรยาย
ที่ ช่วั โมง สอน/สื่อที่ใช้ (ถ้ามี)
สอบ
๒. แผนการประเมนิ ผลการเรียนรู้
กจิ กรรม ผลการเรียนรู้ กจิ กรรมการประเมิน กาหนดการ สดั สว่ นการ
ประเมิน ประเมนิ
๑ ความรแู้ ละทักษะการวิเคราะห์หลกั สตู รและ ๘/๑๕ ๓๐
การใชห้ ลกั สตู ร พร้อมการจดั สาระรายวิชา -นาเสนอรายงานรูปเล่ม
๒ ความรู้ ความเข้าใจ การสอบระหวา่ งภาค ๘ ๒๐
๓ ความรู้การจดั สาระและการเขียนแผนการ -การสอบภาคทฤษฎีและ ๑๑-๑๖ ๓๐
จดั การเรียนร้/ู การทาสอ่ื การสอน ภาคปฏิบัติ
๔ ความรบั ผดิ ชอบต่อการเรียน การเข้าช้นั เรยี น ทุกช่ัวโมง ๑๐
๕ ทักษะความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งบุคคลและ การสงั เกต/การทางานกลุม่ ทกุ สปั ดาห์ ๑๐
ความรบั ผดิ ชอบ
* ระบผุ ลการเรียนรู้หวั ขอ้ ย่อยตามท่ปี รากฏในแผนทแ่ี สดงการกระจายความรับผดิ ชอบของรายวชิ าของรายละเอยี ด
ของหลักสูตร (แบบ มคอ. ๒)
หมวดที่ ๖ ทรัพยากรประกอบการเรยี นการสอน
๑. เอกสารและตาราหลัก
ฉวีวรรณ สวุ รรณาภา,ผศ. เอกสารประกอบการสอน วชิ าความเปน็ ครู. มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลยั วิทยเขตแพร่, ๒๕๕๒. (อดั สาเนา)
สิปนนท์ เกตุทตั . ปฏริ ูปการศกึ ษา : ครู ผบู้ ริหารการศึกษาและโลกาภิวัฒน์. วารสารข้าราชการคร.ู
( มนี าคม ๒๕๓๙ ) ปที ่ี ๑๖ ฉบับท่ี ๓.,๒๕๓๙.
๒. เอกสารและขอ้ มลู สาคญั (ภาษาองั กฤษ)
ภาษาไทย
คณะกรรมการครู, สานกั งาน. การปฏิรปู การสรรหาครู. สานกั งานการศึกษา. กรุงเทพฯ. โรงพิมพ์คุรุสภา.
๒๕๔๔.
คณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ, สานักงาน. การปฏริ ปู การฝึกหัดครู : ร่วมกันคิดแบง่ กันทา.
สานักงานปฏิรปู วิชาชพี ครู. กรุงเทพมหานคร: สกศ.,๒๕๔๐.
_______. การศึกษาในรฐั ธรรมนญู : การเปรียบเทยี บระหวา่ งไทยกบั ตา่ งประเทศ. กรุงเทพมหานคร,
พริ้นตง้ิ กรปุ๊ จากัด. ๒๕๔๐.
_______. ความสามารถในการแข่งขนั ระดบั นานาชาติ. พ.ศ.๒๕๔๒. กรงุ เทพมหานคร, พริ้นต้ิงกรุ๊ป
จากัด. ๒๕๔๒.
_______. ครูตน้ แบบ. กองทนุ รางวลั เกียรตยิ ศแห่งวิชาชพี (กรค.) กรุงเทพฯ. พร้นิ ติ้งกรุ๊ปจากัด.๒๕๔๓ ก.
_______. ความสามารถของเยาวชนไทยในเวทีโลก : จากผลการแข่งขนั โอลิมปิกวิชาการ. ปี 2540
วิชาความเปน็ ครวู ชิ าชพี อนสุ รณ์ นามทะราช ๙
– 2542. กรุงเทพมหานคร, พรน้ิ ติ้งกรุ๊ปจากัด.๒๕๔๓ ข.
รงุ่ แกว้ แดง. การศกึ ษากบั กาลงั อานาจของชาติ. สกศ. กรุงเทพมหานคร, สกศค, ๒๕๔๓.
สภาสถาบนั ราชภัฎ, สานกั งาน. กรอบหลกั สตู รครุศาสตร์ สถาบนั ราชภฎั พทุ ธศักราช 2539.
สรภ.กรุงเทพมหานคร, โอเดยี นส,์ ๒๕๔๓.
อบุ ล เล้ยี ววาริณ. ความเป็นครูวิชาชพี . กรงุ เทพฯ : วิทยาลัยฝึกหัดครู มหาวทิ ยาลัยราชภัฏพระนคร, ๒๕๕๖.
ภาษาองั กฤษ
Education Goal 2000 (2001) Reform act the Federal Level : America 2000 Excellence
in
Education Bill.
[http://www.ed.gov/legislation/GOALS2000/TheAct/pubs/prog2000/ pt3fd.htm ]
Octrober 15, 2000
The British Constitution (2000) Advance Skill Teacher : Comparative School Law.
(http://www.dfee.gov.uk/ast/indext.htm) October 10, 2000
ที่มา: http://socialscience.igetweb.com/index.php?mo=3&art=91165
สืบค้นเมอื่ วันท่ี 19 สิงหาคม 2551
๓. เอกสารและข้อมลู สาคญั ไมม่ ี
๔. เอกสารและข้อมลู แนะนา
เว็บไซด์ ท่ีเกย่ี วกับหวั ข้อในประมวลรายวชิ า เชน่ wikipedia คาอธบิ ายศพั ท์
-www.ru.ac.th ห้องสมุดอเิ ลกโทนักส์
หมวดที่ ๗ การประเมนิ และปรบั ปรุงการดาเนนิ การของรายวิชา
๑. กลยทุ ธ์การประเมินประสิทธผิ ลของรายวิชาโดยนสิ ติ
๑.๑ ประเมนิ ผลการสอนโดยใชร้ ะบบออนไลน์
๑.๒ สอบถามความคิดเห็นนิสิตในสปั ดาหส์ ดุ ทา้ ยของภาคเรยี น โดยมแี บบสอบถาม
๑.๓ ใหน้ ิสิตแสดงความคดิ เหน็ ในการสอนในสปั ดาห์สดุ ทา้ ย ดว้ ยการเขียนบทความส่ง
๑.๔ นสิ ิตสามารถลงแสดงความคิดเห็นในคอมพิวเตอรไ์ ด้ คือ อีเมลของอาจารย์
๒. กลยทุ ธก์ ารประเมนิ การสอน
ในการเก็บขอ้ มูลเพื่อประเมินการสอน ได้มกี ลยทุ ธ์ ดังนี้
- การสังเกตการณก์ ารสอนของกจิ กรรมการสอนและการต้ังใจเรยี นของผเู้ รียน
- การจัดการวัดผลการสอนดว้ ยแบบประเมนิ ผลทน่ี สิ ติ เป็นผใู้ ห้ขอ้ มลู
- การทวนสอบผลประเมนิ การเรยี นรู้
- จัดประชุมระดมความคดิ เหน็ จากคณาจารย์ผ้สู อนระดับวิทยาลัย ในปลายภาคเรยี น
- จัดประชุมยอ่ ยปรึกษาและเสนอแนะคณาจารยใ์ นระดบั สาขาวิชาในภาคการเรียน
- ได้มีการทาวิจัย เกี่ยวกบั การใช้ PowerPoint
๓. การปรบั ปรงุ การสอน
หลังจากผลการประเมินการสอนในข้อ ๒ จงึ มกี ารปรับปรงุ การสอน โดยการจดั กิจกรรมในการระดมสมอง และ
หาข้อมลู เพม่ิ เติมในการปรบั ปรุงการสอน ดังนี้
วิชาความเปน็ ครวู ิชาชพี อนสุ รณ์ นามทะราช ๑๐
๓.๒ สมั มนาการจัดการเรยี นการสอน
๓.๑ การวิจัยในและนอกชัน้ เรียน
๓.๓ นาผลการประเมินทกุ อย่างมาใชใ้ นการสะทอ้ นการสอนเพื่อการปรบั ปรงุ การเรยี นการสอนของรายวชิ า
๓.๔ ศึกษาค้นควา้ เพมิ่ เตมิ ความรใู้ หม่ ๆ เก่ียวกับการจัดการศึกษาระดบั อุดมศึกษามาใชใ้ นการสอน
๓.๕ กลุ่มสายอาจารย์ได้มีการจดั อบรมสัมมนา/อภปิ ราย/เสวนา เกยี่ วกับการพัฒนาการเรยี นการ
สอนทุกปีการศึกษา เพอ่ื มาประกอบการพฒั นารายวชิ าให้มีสาระและการสอนให้เหมะสมและน่าสนใจตลอดเวลา
๔. การทวนสอบมาตรฐานผลสมั ฤทธขิ์ องนกั ศึกษาในรายวิชา
ในระหวา่ งกระบวนการสอนรายวิชา มีการทวนสอบผลสัมฤทธิใ์ นรายหัวขอ้ ตามที่คาดหวังจากการเรยี นรู้ใน
วชิ า ได้จาก การสอบถามนิสติ หรอื การสมุ่ ตรวจผลงานของนิสิต รวมถึงพจิ ารณาจากผลการทดสอบย่อย และหลังการ
ออกผลการเรียนรายวิชา มกี ารทบทวนสอบผลสมั ฤทธโ์ิ ดยรวมในวชิ าไดด้ ังนี้
- การทวนสอบการใหค้ ะแนนจากการสมุ่ ตรวจผลงานของนิสติ โดยอาจารย์อน่ื หรอื ผทู้ รงคณุ วุฒิ ที่ไม่ใช่
อาจารยป์ ระจาหลักสตู ร
- มกี ารตัง้ คณะกรรมการในสาขาวชิ า ตรวจสอบผลการประเมินการเรยี นรขู้ องนิสิตโดยตรวจสอบข้อสอบ
รายงาน วิธีการใหค้ ะแนนสอบ และการให้คะแนนพฤติกรรม
- ให้นิสิตได้มโี อกาสตรวจสอบการใหค้ ะแนนทกุ อย่างและการใหเ้ กรดของรายวชิ าตรวจสอบความ
ถูกต้องก่อนการนาส่งฝา่ ยทะเบยี นของมหาวทิ ยาลยั
๕. การดาเนินการทบทวนและการวางแผนปรบั ปรงุ ประสทิ ธิผลของรายวิชา
จากผลการประเมนิ และทวนสอบผลสมั ฤทธิป์ ระสทิ ธิผลรายวชิ า ได้มกี ารวางแผนการปรบั ปรุงการสอน และ
รายละเอยี ดวิชา เพ่ือใหเ้ กิดคุณภาพมากขึ้น ดังน้ี
- ปรบั ปรุงรายวชิ าทุก ๓ ปี หรือตามขอ้ เสนอแนะและผลการทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธ์ิตามข้อ ๔
- เปลี่ยนหรอื สลับอาจารย์ผสู้ อน เพอ่ื ใหน้ สิ ิตมมี ุมมองในเรื่องการประยุกตค์ วามรู้นี้กบั ปญั หาที่มา จาก
งานวจิ ัยของอาจารยห์ รอื อตุ สาหกรรมตา่ ง ๆ
- นาผลท่ไี ดจ้ ากการสอบความความคิดเห็นของนิสิต เกีย่ วกับคะแนน มาประชุมสัมมนา และสรปุ ผลเพ่ือ
พัฒนารายวิชาก่อนการสอนในภาคการศึกษาหน้าต่อไป
****************
บทที่ ๑
พฒั นาการวชิ าชีพครู
ครูเป็นคำสัน้ ๆ แต่มีควำมหมำยลกึ ซึง้ และฉำยภำพลักษณ์แหง่ ควำมดงี ำมของผู้ทรี่ บั ภำระหนกั
ในกำรสร้ำงคนพัฒนำคนใหม้ ีคุณภำพครูเปน็ ผ้มู ีบทบำทสำคัญในกำรกอ่ ใหเ้ กดิ กำรเรียนรู้และกำรพฒั นำ
โดยรอบดำ้ นแกผ่ ู้เรียนครเู ป็นผปู้ ระพฤตปิ ฏบิ ัติตนเปน็ แบบอย่ำงทด่ี ีงำมเปน็ ผ้ชู ้ที ำงสว่ำงทำงแห่งควำม
สำเร็จแกศ่ ษิ ย์สังคมยอมรบั ในควำมสำคญั ของครูว่ำเป็นบคุ คลท่มี เี กยี รติมคี วำมสงู ค่ำในวิชำชพี และใน
อดีตครูไดร้ ับกำรยกย่องเชิดชวู ่ำเป็นปูชนียบุคคลแม้ในสภำพสังคมท่เี ปลีย่ นแปลงไปในปัจจุบนั วชิ ำชพี ครู
ก็ยงั คงไดร้ บั กำรยอมรบั วำ่ เป็นวิชำชพี ระดบั สงู แขนงหน่ึงในสงั คมและมบี ทบำทสำคัญในกำรพฒั นำ
ประเทศชำติอีกดว้ ย หำกพิจำรณำกำรผลติ และกำรพฒั นำครใู นโลกปัจจุบันทกุ ประเทศต่ำงให้ควำม
สำคญั ตอ่ กำรพัฒนำคุณภำพครอู ย่ำงต่อเนอื่ งมีกำรส่งเสริมพัฒนำศำสตร์และศิลป์แห่งวิชำชพี ครพู ัฒนำผู้
ประกอบวชิ ำชพี ครูให้เปน็ ครูมืออำชีพจำกอดตี ครมู หี น้ำท่สี ั่งสอนศิษย์ครูเปน็ ศูนย์กลำงของกำรให้ควำมรู้
แก่ศิษยแ์ ต่ในปัจจบุ นั ครตู อ้ งปรับบทบำทของตนเป็นผู้ออกแบบกำรเรียนรใู้ ห้เหมำะสมแก่ศิษยแ์ ละต้อง
ศกึ ษำคน้ คว้ำหำควำมรใู้ หม่ๆให้ทันตอ่ เหตุกำรณ์ท่ีเปลยี่ นแปลงอยำ่ งรวดเร็วเพื่อจดั กระบวนกำรเรียนร้ทู ี่
เหมำะสมแก่ศิษย์ฉะน้ันวิชำชพี ครูในปัจจบุ นั และอนำคตจึงไมไ่ ดม้ ขี อบเขตเฉพำะกำรอบรมสั่งสอนศษิ ย์
เทำ่ น้นั แต่ยงั เป็นงำนพฒั นำบุคลำกรของประเทศซงึ่ เป็นกลไกสำคัญของกำรพัฒนำสงิ่ อื่นๆให้
เจรญิ กำ้ วหนำ้ อีกดว้ ย
ความหมายของครูอาจารย์
คำวำ่ “ครู” มีควำมหมำยลึกซ้ึงและกวำ้ งขวำงยำกทีจ่ ะสรุปใหม้ ีควำมหมำยคงทอี่ ยำ่ งหนง่ึ
อย่ำงใดทง้ั นขี้ ้นึ อยูก่ ับกำรตีควำมของผู้ทใ่ี ห้ควำมหมำยนั้น ฉะนนั้ ในท่นี จ้ี ะสรปุ ควำมหมำยของคำว่ำ
“ครู” โดยจำแนกตำมรูปศัพท์ตำมพจนำนุกรมตำมแนวคิดปรัชญำทำงกำรศึกษำตำมพระรำชบัญญัติ
กำรศกึ ษำแห่งชำติและตำมแนวคิดของบุคคลต่ำง ๆ ดังนี้
ความหมายของคาว่า “ครู”ตามรปู ศพั ท์ในพจนานกุ รม
คำว่ำ “ครู” มำจำกรำกศัพท์ภำษำบำลวี ำ่ “คุรุ” หรือ “ครุ” แปลว่ำเคำรพหนักสูงมำจำกภำษำ
สนั สกฤตวำ่ “ครุ ”ุ แปลว่ำหนกั ใหญห่ ำกพจิ ำรณำควำมหมำยจำกรำกศัพทภ์ ำษำบำลีและสันสกฤตแลว้
คำว่ำ “ครู” หมำยถึงผู้ที่มีควำมหนักผู้ควรเคำรพหรอื นำ่ เคำรพคำว่ำหนักในทน่ี ้ี หมำยถึง หนกั ดว้ ยงำน
หนกั ด้วยบญุ คณุ หนักดว้ ยควำมสำคัญ ฉะนนั้ ควำมหมำยจำกรำกศัพท์ภำษำบำลีและภำษำสันสกฤตแลว้
ครหู มำยถงึ ผู้ทห่ี นักดว้ ยงำนหนักด้วยบุญคณุ เปน็ ผู้ควรแก่กำรเคำรพ
๒
ในพจนำนกุ รมฉบบั รำชบณั ฑิตยสถำน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้นยิ ำมควำมหมำยคำวำ่ “คร”ู หมำยถึงผู้
สง่ั สอนศิษย์, ผถู้ ่ำยทอดควำมรูใ้ ห้แก่ศิษย์. (รำชบณั ฑิตยสถำน, ๒๕๕๖, หนำ้ ๒๖๕) ๑ ส่วนใน
พจนำนกุ รมไทย-ไทย อ.เปลอื้ ง ณ นคร (๒๕๕๔ ,หน้ำ ๑)๒ ได้ใหค้ วำมหมำยของคำว่ำครดู ังนค้ี รูหมำยถึง
ผมู้ ีควำมหนักแนน่ หรือผ้คู วรแกก่ ำรเคำรพของศษิ ยห์ รือผสู้ ัง่ สอนเทยี บกับศัพทใ์ นภำษำอังกฤษวำ่
Instructor หรือ Teacher
ในวกิ พิ ีเดยี (๒๕๕๔, หน้ำ ๑)๓ ไดใ้ ห้ควำมหมำยของคำว่ำครูไว้วำ่ ครคู ือผู้ที่มีควำมสำมำรถให้
คำแนะนำเพื่อใหเ้ กดิ ประโยชน์ทำงกำรเรยี นสำหรบั นักเรยี นหรอื นักศึกษำในสถำบนั กำรศึกษำต่ำงๆทั้ง
ของรฐั และเอกชนมหี นำ้ ที่หรือมีอำชีพในกำรสอนนักเรยี นเกี่ยวกบั วิชำควำมรูห้ ลักกำรคิดกำรอ่ำนรวมถึง
กำรปฏบิ ัติและแนวทำงในกำรทำงำนโดยวิธใี นกำรสอนจะแตกต่ำงกันออกไปโดยคำนงึ ถงึ พ้นื ฐำนควำมรู้
ควำมสำมำรถและเปำ้ หมำยของนกั เรียนแตล่ ะคน
Good (๒๐๑๑, p ๕๘๖)๔ ไดใ้ ห้ควำมหมำยของคำวำ่ “คร”ู (Teacher) สรปุ ได้ดงั นี้
๑. ครคู ือบุคคลทที่ ำงรำชกำรจำ้ งไวเ้ พื่อทำหน้ำที่ใหค้ ำแนะนำหรอื อำนวยกำรในกำรจัด
ประสบกำรณ์กำรเรียนสำหรับนกั เรยี นหรอื นักศกึ ษำในสถำบนั กำรศึกษำไมว่ ่ำจะเป็นของรัฐหรือเอกชน
๒. ครูคือบคุ คลท่มี ปี ระสบกำรณ์หรือมีกำรศึกษำมำกหรือดีเปน็ พเิ ศษหรอื มีท้งั
ประสบกำรณ์และกำรศึกษำดีเปน็ พเิ ศษในสำขำวิชำใดวชิ ำหนง่ึ ที่สำมำรถช่วยทำใหบ้ ุคคลอ่ืนๆเกดิ ควำม
เจรญิ งอกงำมและพัฒนำก้ำวหนำ้ ได้
๓. ครูคือบุคคลที่สำเร็จหลักสูตรวิชำชพี จำกสถำบนั ฝกึ หดั ครแู ละกำรฝกึ อบรมน้นั ได้รับ
กำรรบั รองอยำ่ งเป็นทำงกำรโดยกำรมอบประกำศนยี บัตรทำงกำรสอนใหแ้ ก่บุคคลนน้ั
๔. ครคู ือบคุ คลทสี่ ัง่ สอนอบรมคนอนื่ ๆ
จำกกำรสงั เครำะห์ควำมหมำยของคำว่ำครูตำมพจนำนุกรมสรปุ ได้ว่ำครูหมำยถงึ บคุ คลทสี่ ำเรจ็
กำรศึกษำในหลกั สตู รวชิ ำชีพครูและไปทำหน้ำท่ีสงั่ สอนอบรมและถ่ำยทอดควำมรู้ให้กับเยำวชนใน
สถำนศกึ ษำ
ความหมายของคาวา่ “ครู”ตามแนวคิดปรัชญาทางการศึกษา
ในแนวคิดปรชั ญำทำงกำรศึกษำควำมหมำยของคำว่ำ “ครู”จะมีควำมแตกต่ำงกันตำมควำมเช่อื
ในปรัชญำกำรศึกษำน้ัน ๆ ดังน้ี
๑. ปรชั ญำกำรศึกษำสำรัตถนิยมเปน็ ปรัชญำกำรศึกษำที่มีควำมเชอ่ื วำ่ กำรศึกษำเปน็ เครอื่ งมือ
ในกำรถำ่ ยทอดควำมรู้และควำมจรงิ ทำงธรรมชำติเกย่ี วกับกำรดำรงชีวติ ของมนุษย์แนวคิดหลักท่สี ำคัญ
๑ พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน, พ.ศ. ๒๕๕๔, เฉลมิ พระเกยี รตพิ ระบำทสมเด็จพระเจำ้ อยู่หวั
เนื่องในโอกำสพระรำชพธิ มี หำมงคลเฉลิมพระชนมพรรษำ ๗ รอบ ๕ ธนั วำคม ๒๕๕๔ (กรุงเทพฯ : ศิริวฒั นำ
อนิ เตอร์พรนิ ท์ จำกัด (มหำชน), ๒๕๕๖), หน้ำ ๒๖๕.
๒ เปลอ้ื ง ณ นคร, ครู, [Online]. Available from : http://guru.sanook. com/dictionary/dicttt/
?source page=๒&source_location= ๑&spell=%A๔%C๓%D๙&x=๒๕&y=๙.๓๐ มกรำคม ๒๕๕๔., หน้ำ ๑.
๓ วิกพิ เี ดีย, เทคโนโลยีสารสนเทศ, [Online]. Available from: http://th.Wikipedia. org/wiki/
เทคโนโลยีสำรสนเทศ, ๓ มีนำคม ๒๕๕๔., หน้ำ ๑.
๔ Good Carter V, Teacher, [Online]. Available from: http://onlinelibrary.wiley.com
/doi/๑๐.๑๐๐๒/sce.๓๗๓๐๓๐๐๒๕๖/abstract. (๒๘ January ๒๕๕๔,๒๐๑๑), p ๕๘๖.
๓
คือกำรอนุรักษว์ ัฒนธรรมอันเป็นมรดกสำคัญของสงั คมซ่งึ หมำยถึงทุกสิ่งทุกอย่ำงทม่ี นุษย์จะตอ้ งเรยี นรู้
เกีย่ วกบั กฎเกณฑ์ทำงธรรมชำติและถือว่ำโรงเรยี นตอ้ งเป็นแหล่งพฒั นำคุณธรรมรักษำและถำ่ ยทอด
คณุ ธรรมของสงั คมในอดตี ให้คงอยู่ตลอดไปส่ิงใดท่สี งั คมยอมรบั ว่ำเปน็ ควำมจรงิ เป็นควำมดงี ำมโรงเรยี น
ตอ้ งถ่ำยทอดส่งิ น้นั ไปส่คู นรนุ่ หลงั ดงั น้ัน
ควำมหมำยของ “ครู” ตำมแนวคิดปรัชญำทำงกำรศึกษำสำรัตถนิยมครูคือผู้อำวโุ สทีม่ คี วำมรู้
และประสบกำรณ์เป็นผทู้ ี่มีควำมประพฤตเิ ปน็ แบบอย่ำงทด่ี ีตำมหลักเกณฑ์ของศำสนำศลี ธรรมจรยิ ธรรม
วัฒนธรรมประเพณีกฎระเบยี บและมำรยำทสังคมครูเป็นศูนยก์ ลำงของกำรเรียนกำรสอนเปน็ ผกู้ ำหนด
วตั ถปุ ระสงค์เนื้อหำวธิ ีสอนและกำรประเมินผลเปน็ ผ้นู ำทำงควำมรู้และเป็นแบบฉบับของคนดีทผ่ี ู้เรียน
จะต้องยึดถือลอกเลยี นแบบและปฏิบัตติ ำม
๒. ปรัชญำกำรศึกษำสัจนิยมวิทยำเป็นปรชั ญำกำรศกึ ษำทีม่ ีควำมเช่ือวำ่ คนทุกคนมธี รรมชำติ
เหมือนกันกำรศึกษำจึงควรเป็นแบบเดียวกันสำหรับทุกคนแต่มนุษยม์ ีคุณสมบัติทีแ่ ตกตำ่ งจำกสัตวอ์ ืน่ ๆ
คือเป็นผู้สำมำรถใชเ้ หตุผลในกำรดำรงชีวติ และควบคุมกำกับตนเองดังน้ันกำรศึกษำจึงควรเน้นกำร
พฒั นำควำมมีเหตผุ ลและกำรใชเ้ หตุผลกำรศกึ ษำเปน็ กำรเตรียมตวั เพือ่ กำรใชช้ วี ติ ชว่ ยใหม้ นษุ ย์ปรับตัว
ใหเ้ ขำ้ กบั ควำมจริงแทแ้ น่นอนที่ถำวรไม่เปลี่ยนแปลงหลกั กำรของควำมรู้ตอ้ งมลี กั ษณะจีรงั ยั่งยืนคงท่ีไม่
เปลีย่ นแปลงทคี่ วรอนุรักษแ์ ละถ่ำยทอดให้ใชท้ ง้ั ในปจั จบุ ันและอนำคตดงั นัน้
ควำมหมำยของ “ครู” ตำมแนวคิดปรัชญำทำงกำรศึกษำสัจนยิ มวทิ ยำครคู ือผสู้ อนผบู้ รรยำยผู้
สำธติ โดยพยำยำมโนม้ น้ำวอ้ำงอิงและยกเหตผุ ลอรรถำธบิ ำยให้เห็นถึงควำมจรงิ ของสรรพส่ิงทง้ั หลำย
๓. ปรัชญำกำรศึกษำพิพฒั นำกำรนยิ มเปน็ ปรัชญำกำรศึกษำทม่ี คี วำมเช่ือวำ่ ว่ำโลกใบน้ีคือโลก
ของประสบกำรณ์ชวี ติ คือกำรเดนิ ทำงเพื่อแสวงหำประสบกำรณ์ในโลกนไี้ ม่มีสงิ่ ใดมีคำ่ เท่ำกบั กำร
แสวงหำประสบกำรณ์ใหม่ๆควำมสขุ ของคนเรำคอื กำรได้พบกบั ประสบกำรณ์แปลกๆใหม่ๆท่ที ้ำทำย
ควำมอยำกรอู้ ยำกเห็นของตนเองดังนนั้ ควำมหมำยของ “คร”ู ตำมแนวคดิ ปรัชญำทำงกำรศกึ ษำพิพัฒ
นำกำรนยิ มครูคือผูจ้ ดั กำรกำรเรียนรู้โดยมงุ่ เน้นกำรสร้ำงบรรยำกำศและจดั กิจกรรมใหเ้ อ้ือต่อกำรเรยี นรู้
แก่ผเู้ รยี นใหผ้ เู้ รียนได้ลงมือปฏบิ ัตดิ ว้ ยตนเองเพ่ือใหเ้ กิดกำรเรยี นรู้และประสบกำรณ์
๔. ปรัชญำกำรศึกษำปฏิรปู นิยมเปน็ ปรัชญำกำรศึกษำทมี่ ีควำมเช่อื พ้ืนฐำนเหมือนกับปรัชญำ
กำรศึกษำสำขำพิพฒั นำกำรนิยมแตกต่ำงกันเฉพำะเป้ำหมำยของสังคมเป็นปรชั ญำกำรศึกษำท่ีพยำยำม
สร้ำงสงั คมใหม่มุง่ เนน้ ให้กำรศึกษำเปน็ เคร่อื งมอื ในกำรพฒั นำสงั คมใหม่ที่เรียกว่ำปฏิรปู สังคมปรัชญำ
กำรศกึ ษำในแนวนี้มองวำ่ สงั คมปัจจุบันวำ่ มีปญั หำมำกไมว่ ่ำจะเปน็ ด้ำนสังคมเศรษฐกจิ ศิลปวัฒนธรรม
และกำรเมืองปัญหำเกิดข้ึนท้งั ในระดบั ท้องถ่ินระดบั เมอื งระดับประเทศและระดบั โลกสังคมมคี วำม
ต้องกำรแกป้ ญั หำแนวคิดน้มี องสถำนศกึ ษำเปน็ เคร่อื งมือทีส่ ำคัญในกำรสรำ้ งระเบียบทำงสังคมขน้ึ มำ
ใหม่ดงั นน้ั ควำมหมำยของ “ครู” ตำมแนวคดิ ปรชั ญำทำงกำรศกึ ษำปฏิรปู นิยมครคู ือผู้นำสังคมผบู้ ุกเบิก
ผสู้ ร้ำงระเบียบแบบแผนท่ีเหมำะสมให้เกิดข้นึ ในสงั คมมที ักษะในกำรวเิ ครำะห์ปญั หำและแกป้ ัญหำมี
หนำ้ ทีน่ ำกระบวนกำรประชำธปิ ไตยไปใชก้ ับผูเ้ รียนทงั้ ขณะอยใู่ นโรงเรียนและในสังคมลักษณะสำคญั
ของครูคือจะต้องมีควำมเป็นประชำธิปไตยครูไม่ใช่ผู้รูผ้ เู้ ดียวและไม่ใช่ผชู้ ้ที ำงแตเ่ พยี งคนเดยี วกำรเรียน
สอนของครูจะมุง่ เนน้ กระบวนกำรประชำธปิ ไตยเพื่อกำรเป็นสมำชกิ ทด่ี ีในสังคมและกำรพฒั นำผ้เู รยี นให้
ตระหนักในบทบำทหนำ้ ที่ของตนทมี่ ตี ่อสังคมและกำรปฏิรูปใหส้ งั คมดขี ึ้น
๔
๕. ปรัชญำกำรศึกษำอตั ถภิ ำวนิยมเปน็ ปรชั ญำกำรศึกษำทเี่ กดิ ใหมใ่ นศตวรรษที่๒๐นีเ้ องเป็น
ปรชั ญำกำรศึกษำที่มคี วำมเช่ือในควำมสำคัญของบุคคลแต่ละคนและเนน้ กำรดำรงชวี ิตอยใู่ นปจั จบุ ันโดย
เชอ่ื วำ่ โลกนเี้ ป็นโลกส่วนตัวมนษุ ยเ์ กิดมำพร้อมกับเสรภี ำพในตวั เองจึงเป็นผู้ลิขติ ชวี ติ ของตนเองควำมสุข
เกิดจำกกำรได้ทำในสิง่ ทตี่ ัวเองตอ้ งกำรมนษุ ย์ไม่ควรตกอยู่ภำยใตอ้ ทิ ธพิ ลของสง่ิ แวดล้อมเชน่ ประเพณี
วฒั นธรรมหรอื กฎเกณฑ์ตำ่ ง ๆ ในสงั คมแต่ควรมีอิสรภำพในกำรตัดสินใจเลอื กหนทำงของชีวติ ด้วย
ตนเองโดยไม่ต้องมใี ครมำบงกำรด้วยกำรยึดตนเองเปน็ ศนู ย์กลำงทกุ เร่ืองหำกส่งิ ที่ตนกระทำนั้นมไิ ด้ทำ
ให้ผอู้ น่ื เดือดรอ้ นและขอให้ปัจจบุ นั ตนมีควำมสขุ กพ็ อดังนั้นควำมหมำยของ “ครู” ตำมแนวคิดปรัชญำ
ทำงกำรศึกษำอัตถิภำวนยิ มนี้ครคู อื ผู้กระตุ้นหรือผูเ้ รำ้ ควำมสนใจเพอื่ ให้ผเู้ รยี นเกดิ ควำมกระตอื รือร้น
และเช่ือวำ่ ตนเองสำมำรถศกึ ษำคน้ ควำ้ หำควำมรจู้ ำกแหลง่ กำรเรียนรตู้ ำ่ งๆไดด้ ว้ ยตนเองและสำมำรถ
สร้ำงควำมรู้ได้ดว้ ยตนเอง
จำกควำมหมำยของคำว่ำ “ครู” ตำมแนวคดิ ปรชั ญำทำงกำรศกึ ษำสำมำรถสรปุ ไดว้ ่ำ ครูมี
ควำมหมำยแตกตำ่ งกันไปตำมควำมเชือ่ ในปรชั ญำกำรศึกษำนนั้ ๆ ท่ีม่งุ หวงั ในกำรใช้กำรศึกษำเป็น
เครอ่ื งมือในกำรพัฒนำคุณภำพของบคุ คลในรปู แบบต่ำงๆท่ีสอดคล้องกบั สภำพของสังคมในยคุ สมยั น้ันๆ
แตอ่ ยำ่ งไรก็ตำมไม่วำ่ จะเป็นควำมเชอ่ื ในปรชั ญำทำงกำรศึกษำใดๆก็ตำมควำมสอดคลอ้ งทีเ่ หมอื นกนั คือ
ครไู ด้ถูกจัดเปน็ ผ้ทู ่ีมคี ณุ ภำพมีศกั ยภำพมคี ุณค่ำทำงสงั คมอย่ำงสูงทม่ี ีบทบำทหนำ้ ท่ีในกำรพัฒนำคุณภำพ
ของบุคลำกรในสงั คมโดยเฉพำะกลุ่มคนรนุ่ ใหม่หรือเยำวชนทีจ่ ะเตบิ โตเปน็ ผูใ้ หญ่ในอนำคตท่ีจะทำหน้ำที่
สบื ทอดควำมเปน็ ประเทศชำติตอ่ ไป
ความหมายของคาว่า “ครู”ตามพระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ
“ครู” ตำมควำมหมำยในพระรำชบัญญตั ิกำรศึกษำแห่งชำติพุทธศกั รำช ๒๕๔๒ และฉบบั
ปรบั ปรงุ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบบั ท๓ี่ ) พทุ ธศักรำช ๒๕๕๓ ได้บญั ญัติควำมหมำยของคำวำ่ ครูไว้ในสว่ นนำของ
พระรำชบญั ญตั วิ ่ำ “ครู” หมำยถงึ บคุ ลำกรวชิ ำชีพซึง่ ทำหน้ำทหี่ ลกั ทำงด้ำนกำรเรียนกำรสอนและกำร
สง่ เสริมกำรเรยี นร้ขู องผ้เู รยี นด้วยวธิ ีกำรต่ำง ๆ ในสถำนศึกษำท้ังรัฐและเอกชน
(กระทรวงศึกษำธกิ ำร, ๒๕๕๓, หน้ำ ๔)๕
ความหมายของคาว่า “ครู”ตามแนวคดิ ของบคุ คลต่างๆ
พระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภกิ ขุ, ๒๕๓๙, หน้ำ ๑๓)๖ กลำ่ วว่ำครคู ือผยู้ กวิญญำณของสัตว์
โลกคำวำ่ ครูน้ีอย่ำงนอ้ ยกค็ ือ Spiritual Guide คอื เป็นมัคคุเทศก์ทำงวญิ ญำณครูท่เี ปน็ ครูอยำ่ งเตม็ ที่
อย่ำงถูกต้องก็คือผู้ยกวญิ ญำณของมนษุ ย์ให้สงู ขึ้นมำๆโดยวิธตี ่ำงๆตงั้ แตต่ ้นจนปลำยเรำเรียกวำ่ ครูบำ
อำจำรย์เป็นผ้มู ีพระคณุ เหนือเกลำ้ เหนอื เศยี รมีพระคุณยงิ่ กว่ำบิดำมำรดำเพรำะวำ่ บิดำมำรดำยงั ไม่ไดย้ ก
สถำนะทำงวิญญำณเพียงให้กำเนิดชวี ิตมำและท่สี ำมำรถยกสถำนะทำงวิญญำณก็มีเป็นส่วนนอ้ ยเพียงแต่
๕ กระทรวงศกึ ษำธิกำร, พระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ ๒๕๔๒, สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขน้ั
พืน้ ฐำน. หนังสือรำชกำรเรื่องกำรกำหนดภำระงำนสอนขน้ั ตำ่ ของขำ้ รำชกำรครูและบคุ ลำกร ทำงกำรศกึ ษำสำยงำน
สอน. (กรงุ เทพฯ : กระทรวงศกึ ษำธิกำร, ๒๕๕๓), หนำ้ ๔.
๖ พระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภกิ ข)ุ . ธรรมสาหรบั ครู, พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๒, (กรงุ เทพฯ : สำนกั งำน
คณะกรรมกำรกำรประถมศกึ ษำแหง่ ชำติ, ๒๕๓๙), หนำ้ ๑๓.
๕
เป็นพ้ืนฐำนให้ครบู ำอำจำรยท์ ่ีสอนนกั เรียนนักศกึ ษำน้นั ยกสถำนะทำงวิญญำณต่อไปจนดวงวญิ ญำณของ
เด็กของเยำวชนของคนคนนัน้ สูงสดุ เท่ำทม่ี นั จะสงู ได้น้ีคอื ครูบำอำจำรยไ์ ม่ใชเ่ พื่อนไมใ่ ช่คนรบั จ้ำงสอน
หนงั สอื
ยนต์ ชุ่มจติ (๒๕๕๐, หน้ำ ๗๑-๗๘)๗ กล่ำววำ่ “คร”ู ตรงกับคำศัพท์ในภำษำอังกฤษวำ่
Teachers และได้อธบิ ำยควำมหมำยของตวั อักษรแต่ละตวั ในคำดังกล่ำวไว้ดังนี้
T (Teaching) กำรสอนหมำยถงึ ครคู ือผอู้ บรมส่ังสอนศิษย์ใหม้ ีควำมรคู้ วำมสำมำรถในวิชำกำร
ทง้ั ปวง
E (Ethics) จริยธรรมหมำยถงึ ครูคือผู้อบรมส่งเสรมิ จรยิ ธรรมให้แกน่ ักเรียน
A (Academic) วชิ ำกำรหมำยถึงครูคือผ้รู ับผดิ ชอบในทำงวิชำกำรทั้งของตนเองและในดำ้ น
ควำมเจริญงอกงำมของศิษย์
C (Culture Heritage) กำรสืบทอดวัฒนธรรมหมำยถึงครคู ือผู้สืบทอดมรดกทำงวัฒนธรรมจำก
คนรุ่นหนง่ึ ให้ตกทอดไปสู่คนรุ่นตอ่ ๆไป
H (Human Relationship) มนุษย์สมั พนั ธห์ มำยถึงครูคือผมู้ มี นุษยสมั พนั ธ์ที่ดที ้งั ต่อ
ครูและศิษย์
E (Evaluation) กำรประเมินผลหมำยถึงครูคือผู้รบั ผิดชอบในกำรประเมนิ ผลผเู้ รียน
R (Research) กำรวจิ ัยหมำยถึงครคู ือผคู้ น้ หำเหตผุ ลและเป็นนักแก้ปญั หำ
S (Service) กำรบริกำรหมำยถงึ ครูคือผู้บำเพ็ญประโยชนต์ ่อสงั คมและบรกิ ำรสังคม
ประไพ สิทธิเลิศ (๒๕๔๒, หนำ้ ๑)๘ ได้อธบิ ำยควำมหมำยของคำว่ำ “คร”ู คือผ้ถู ่ำยทอดวชิ ำ
ควำมร้ใู ห้กำรอบรมสงั่ สอนปลกู ฝงั คุณธรรมและจรยิ ธรรมผูจ้ ัดประสบกำรณ์เพ่ือให้เกิดกำรเรยี นรูแ้ ก่
ผู้เรียนเป็นผกู้ ำกบั ผูช้ แ้ี นะสำระทท่ี ้ำทำยและแหล่งควำมรู้ท่ีผู้เรียนสำมำรถศกึ ษำค้นคว้ำด้วยตนเอง
ประพฤติปฏิบัตติ นเปน็ แบบอย่ำงที่ดใี นกำรดำเนนิ ชวี ิตและถำ้ หำกพิจำรณำในแงข่ องวชิ ำชพี แล้วครู
หมำยถงึ ผเู้ ปดิ ประตูทำงวิญญำณของศิษยเ์ พ่ือให้ได้พฒั นำควำมเปน็ มนุษยใ์ หเ้ ป็นผู้มีชวี ติ จิตใจทสี่ งู คือรู้
ผดิ ชอบชั่วดีรู้ส่ิงใดควรไมค่ วร
ผกำ สตั ยธรรม (๒๕๕๐, หนำ้ ๑)๙ ได้ให้ควำมหมำยครวู ำ่ ครูคอื ผทู้ ใี่ ห้ควำมรูแ้ ละอบรมส่ังสอน
ให้ลกู ศิษย์เปน็ บุคคลท่ีมคี วำมสำมำรถและมีคุณธรรมควบคู่กันไปคือท้ังให้ควำมรู้และใหแ้ นวทำงทจ่ี ะ
ประพฤติตนเป็นคนดีไปด้วย
วรรณะ บรรจง (๒๕๕๑, หน้ำ ๒๕)๑๐ ครูหมำยถึง ผู้ที่ไดร้ ับกำรฝึกหดั ใหม้ คี วำมรู้เหมำะสมกับ
กำรประกอบอำชพี ทง้ั เชงิ วชิ ำกำรและเชิงวชิ ำชีพครูและมีคุณเฉพำะตำมมำตรฐำนของวิชำชีพชั้นสูง
เพือ่ ใหม้ ีควำมพร้อมในพัฒนำผู้เรยี นใหบ้ รรลเุ ป้ำหมำยของกำรศึกษำ
๗ ยนต์ ชมุ่ จิต, ความเปน็ ครู, พิมพ์คร้งั ที่ ๔, (กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริ้นติ้งเฮา้ ส,์ ๒๕๕๐), หนา้ ๗๑-๗๘.
๘ ประไพ สิทธเิ ลศิ , ความเปน็ ครู, (กรุงเทพฯ : คณะครศุ าสตรม์ หาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนนั ทา, ๒๕๔๒),
หน้า ๑.
๙ ผกา สตั ยธรรม, คุณธรรมของคร,ู พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๒, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพพ์ ลอยเพลท, ๒๕๕๐), หนา้ ๑.
๑๐ วรรณะ บรรจง, ปจั จยั เชิงสาเหตแุ ละผลของเอกลกั ษณ์นักศึกษาครู และการรบั รู้ความสามารถของ
ตนในการเป็นครนู ักวิจัยทีม่ ีต่อพฤติกรรมครนู กั วจิ ัยของนกั ศกึ ษาครูในยคุ ปฏิรปู การศึกษา, (วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ ญา
ดษุ ฎบี ัณฑิตคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทร วโิ รฒ ๒๕๕๑), หนา้ ๒๕.
๖
รุง่ แก้วแดง (๒๕๕๔, หน้ำ ๑)๑๑ ครคู อื ผู้กำหนดอนำคตของชำติชำตใิ ดก็ตำมที่ไดค้ รูเปน็ ผมู้ ี
ควำมรูเ้ ปน็ คนเก่งเปน็ คนเสยี สละตง้ั ใจทำงำนเพื่อประโยชนข์ องนักเรียนชำตนิ ัน้ จะไดพ้ ลเมอื งทีเ่ กง่
ฉลำดมีศักยภำพและมีควำมสำมำรถท่จี ะแข่งขนั กบั ทกุ ประเทศในโลกได้
เนำวรัตนพ์ งษ์ไพบลู ย์นักกวรี ำงวัลซไี รต์ไดแ้ ต่งบทประพันธเ์ กยี่ วกบั ควำมเป็นครแู ละแสดงถึง
ควำมหมำยของครูไวอ้ ยำ่ งลึกซึ้งและเป็นทร่ี ู้จกั คุน้ เคยโดยท่ัวไปดังน้ี
ใครคือครคู รูคือใครในวันนีใ้ ช่อยทู่ ่ปี ริญญำมหำศำล
ใช่อยู่ท่เี รยี กว่ำครอู ำจำรย์ใชอ่ ยูน่ ำนสอนนำนในโรงเรยี น
ครูคอื ผู้ชน้ี ำทำงควำมคดิ ให้รถู้ ูกรผู้ ิดคดิ อ่ำนเขยี น
ใหร้ ทู้ กุ ขร์ ู้ยำกรพู้ ำกเพยี รให้รู้เปล่ยี นแปลงสรู้ สู้ ร้ำงงำน
ครคู ือผยู้ กระดับวิญญำณมนุษย์ให้สงู สุดกว่ำสัตวเ์ ดรัจฉำน
ครูคือผู้ส่งั สมอดุ มกำรณ์มีดวงมำลยเ์ พื่อปวงชนใช่ตนเอง
ครจู ึงเปน็ นักสร้ำงผู้ใหญย่ ่ิงสร้ำงคนจรงิ สร้ำงคนกลำ้ สร้ำงคนเก่ง
สร้ำงคนให้เป็นตัวของตัวเองขอมอบเพลงนี้มำบูชำ “คร”ู
จำกกำรสังเครำะห์ของผูเ้ ขียนในทศั นะทีห่ ลำกหลำยของควำมหมำยคำว่ำ “ครู”ดงั กล่ำวมำแลว้
ข้ำงต้นสำมำรถสรปุ ควำมหมำยของครไู ด้ใน ๔ นัยยะ ดงั นี้
นยั ยะแรก ครูหมำยถงึ ผู้ให้ควำมร้โู ดยเปน็ ผถู้ ำ่ ยทอดควำมรู้ทัง้ ควำมรทู้ ำงวิชำกำรและควำมรู้
ทำงวิชำชพี
นยั ยะทส่ี อง ครหู มำยถึงผ้อู บรมส่งั สอนทักษะกำรดำเนินชีวิตโดยปลกู ฝงั เสรมิ สรำ้ งควำมเปน็ ผมู้ ี
คุณธรรมจรยิ ธรรมสืบสำนวฒั นธรรมประเพณีภูมปิ ัญญำตำ่ งๆ
นัยยะทส่ี ำม ครูหมำยถึงผูด้ ำเนนิ งำนจดั กิจกรรมกำรเรียนรู้เพื่อกำรพฒั นำผเู้ รยี นให้เปน็ พลเมอื ง
ท่ดี ีมคี ุณภำพของสงั คมโดยเป็นผู้ท่ีมที ักษะและควำมสำมำรถในกำรฟังกำรพูดกำรอ่ำนกำรเขียนและกำร
คิดวิเครำะห์สงั เครำะห์
นยั ยะที่ส่ี ครูหมำยถงึ ผ้จู ัดประสบกำรณ์เพื่อใหเ้ กิดกำรเรยี นร้แู กผ่ ู้เรียนทงั้ ในวทิ ยำกำรสมัยใหม่
และวิถีกำรดำเนินชวี ิตทเ่ี หมำะสมทง้ั นี้เพื่อใหศ้ ิษย์ได้พัฒนำควำมเป็นมนุษย์ที่สมบรู ณ์ทม่ี ีสำนึกรผู้ ิดชอบ
ช่วั ดีรบู้ ำปบุญคุณโทษรู้ประโยชนม์ ใิ ช่ประโยชน์
ความหมายของคาว่า “อาจารย์”
คำวำ่ อำจำรย์ในอดีตใช้เรยี กกันเฉพำะในหมู่ของพระสงฆ์ในพระพุทธศำสนำมีควำมหมำยเปน็
ตำแหนง่ พระอำวโุ สท่มี ีหนำ้ ที่ควบคุมดแู ลหรือสงั่ สอนพระบวชใหม่
พระธรรมปิฎกป. อ. ปยตุ ฺโต (๒๕๓๘, หน้ำ ๒๐๓)๑๒ ไดอ้ ธิบำยควำมหมำยของ “อำจำรย์” ไว้
ในหนังสอื พจนำนกุ รมพทุ ธศำสตร์ฉบบั ประมวลธรรมวำ่ “อำจำรย์” หมำยถึงผู้ประพฤติอันเกือ้ กลู แก่
ศษิ ย์ที่ศิษย์พงึ ประพฤตดิ ้วยควำมเออ้ื เฟื้อผสู้ ัง่ สอนวิชำและอบรมดูแลควำมประพฤติ
ในพจนำนุกรมฉบับรำชบณั ฑิตยสถำน พ.ศ.๒๕๔๒ คำว่ำ “อำจำรย์” หมำยถงึ ผสู้ ง่ั สอนวิชำ
๑๑ รุง่ แก้วแดง, บทความครูในครมู ืออาชพี , [Online]. Available from:
http://www.thaileam.net / index_teacher.html., ๒๓ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๕๔, หนา้ ๑.
๑๒ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ ฺโต), ความเป็นกลั ยาณมิตรของหลวงบูชา, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์
สหธรรมจากัด, ๒๕๓๘), หน้า ๒๐๓.
๗
ควำมรเู้ ปน็ คำที่ใช้เรียกนำหน้ำชื่อบคุ คลเพือ่ แสดงควำมยกยอ่ งว่ำมีควำมรู้ในทำงใดทำงหนึ่ง (รำชบณั ฑติ
สถำน, ๒๕๕๔, หน้ำ ๑)๑๓
ศุภำนัน สิทธเิ ลิศ (๒๕๔๙, หนำ้ ๑๓)๑๔ ไดใ้ ห้ควำมหมำยของอำจำรยต์ ำมบทบำทหนำ้ ที่ดังน้ีคือ
๑. อำจำรยเ์ ปน็ ผูช้ ้แี นะสรรพวิทยำกำรต่ำงๆช้ีแนะแหลง่ กำรเรยี นรทู้ ่ีหลำกหลำยและท้ำทำย
ควำมคดิ ของผูเ้ รยี นใหผ้ ู้เรียนได้แสวงหำควำมรู้ด้วยตนเองอย่ำงอสิ ระ
๒. อำจำรยเ์ ป็นผจู้ ัดกจิ กรรมกำรเรียนรู้จัดสถำนกำรณ์จดั บรรยำกำศที่เอื้ออำนวยต่อกำรเรียนรู้
โดยเน้นผ้เู รียนเปน็ สำคัญและจดั ประสบกำรณใ์ หเ้ กดิ กำรเรียนรแู้ กผ่ ู้เรียน
๓. อำจำรยเ์ ปน็ ผู้ปลูกฝงั ระเบียบวนิ ยั อบรมจรยิ ำลักษณะนิสยั ทด่ี ีเชน่ ควำมอดทนควำมมุ่งม่นั
ควำมขยันหมั่นเพยี รควำมซื่อสตั ยค์ วำมรักงำนควำมเสียสละคำ่ นิยมทพ่ี ึงประสงค์และควำมเป็น
ประชำธิปไตย
๔. อำจำรย์เปน็ ผู้อำนวยกำรเปน็ ผ้กู ำกบั ตดิ ตำมและให้คำปรึกษำแกผ่ เู้ รียนทัง้ ด้ำนวชิ ำกำรดำ้ น
วชิ ำชพี และกำรใช้ทักษะชีวติ ทีเ่ หมำะสมและมีคณุ ภำพ
๕. อำจำรยเ์ ป็นผู้พัฒนำตนเองด้วยกำรศกึ ษำคน้ ควำ้ วิจัยเพ่ือแสวงหำควำมรู้และสร้ำงองค์
ควำมรู้ใหม่ๆอยำ่ งต่อเนื่องไม่หยดุ น่ิง
อย่ำงไรกต็ ำมควำมหมำยของคำว่ำ “อำจำรย์” ไม่มีปรำกฏอย่ใู นพระรำชบัญญัติกำรศึกษำ
แห่งชำติพ.ศ. ๒๕๔๒ แต่มีคำวำ่ “คณำจำรย์” เข้ำมำแทนซึง่ หมำยควำมว่ำบุคลำกรซ่งึ ทำหนำ้ ทหี่ ลัก
ดำ้ นกำรสอนและกำรวจิ ยั ในสถำนศึกษำระดับอุดมศึกษำระดับปริญญำตรขี องรัฐและเอกชนดังนั้นเม่อื
พจิ ำรณำนยั ของควำมหมำยดังกล่ำวจึงวิเครำะห์ควำมแตกต่ำงของคำวำ่ “คณำจำรย์” ได้วำ่ เป็นคำท่ใี ช้
เรียกผู้สอนในสถำบนั ระดบั อุดมศกึ ษำทเ่ี ท่ำกับหรือสูงกว่ำระดบั ปริญญำตรเี ท่ำนน้ั
คาทม่ี ีความหมายคลา้ ยคลึงกบั ครอู าจารย์
คำที่มีควำมหมำยคล้ำยคลงึ กับครูอำจำรยห์ รือคำศัพทก์ ลุ่มเดียวกันไดแ้ ก่
๑. อุปัชฌำยห์ มำยถงึ ผูส้ อนอำชีพเปน็ ผู้ทีศ่ ิษยต์ อ้ งคอยเพ่งตำมหรือคอยมองตำมที่ทำ่ นสัง่
สอนมองตำมท่ีท่ำนทำให้ดูเป็นผู้ส่ังสอนศลิ ปะศำสตร์ในอำชีพตำ่ ง ๆ
๒. ทิศำปำโมกขห์ มำยถึงอำจำรย์ทีม่ ีควำมรู้มีชอื่ เสียงโด่งดังที่ผู้มีอนั จะกินในสมยั โบรำณนิยมส่ง
บตุ รหลำนไปสำนักทิศำปำโมกข์เพื่อเรยี นวิชำทเี่ ปน็ อำชีพหรอื วชิ ำที่กลับมำประกอบหน้ำท่ีกำรงำน
สำคัญ ๆ เก่ียวกับกำรปกครองบำ้ นเมอื ง
๓. บรุ พำจำรยห์ รือบูรพำจำรย์คืออำจำรยเ์ บ้ืองตน้ ซึง่ หมำยถึงบิดำมำรดำอันนับว่ำเป็นครูคน
แรกของบุตรธิดำ
๑๓ รำชบัณฑิตสถำน, พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ เฉลมิ พระเกยี รติ
พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู ัวเนอ่ื งในโอกาสพระราชพิธมี หามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม
๒๕๕๔, (กรงุ เทพฯ : ศริ วิ ัฒนำอินเตอร์พรินท์ จำกดั ,(มหำชน) ๒๕๕๔), หนำ้ ๑.
๑๔ ศุภำนัน สทิ ธเิ ลิศ. เอกสารคาสอนรายวิชาความเป็นครู, (กรงุ เทพฯ : ศูนยส์ ือ่ และสงิ่ พิมพแ์ กว้ เจ้ำ
จอมมหำวิทยำลยั รำชภฏั สวนสนุ ันทำ ศูนย์กำรศึกษำนอกระบบ โรงเรียนจังหวัดลำพูน.(๒๕๕๔). ควำมหมำยและ
ควำมสำคญั ของจรรยำบรรณ. [Online]. Available from:http://lpn.nfe.go.th/e_learning/ LESSON๒/ UNIT
๒.HTM. ๓ เมษำยน ๒๕๕๙), หน้ำ ๑๓.
๘
๔. ปรมำจำรย์คืออำจำรยผ์ ูเ้ ป็นเอกผยู้ อดเย่ยี มในสำขำวิชำใดวิชำหน่ึงจนยำกจะหำผมู้ ีควำมรู้
ควำมสำมำรถเสมอได้
๕. ผ้ชู ่วยศำสตรำจำรยใ์ ชอ้ กั ษรย่อว่ำ “ผศ.” เปน็ ตำแหน่งทำงวิชำกำรสำหรบั ผู้สอนใน
ระดบั อุดมศึกษำที่มคี วำมรู้ควำมชำนำญในสำขำวชิ ำทีส่ อนโดยมีผลงำนวิชำกำรผำ่ นเกณฑป์ ระเมิน
ตำมวธิ ีกำรของสำนกั งำนคณะกรรมกำรอุดมศึกษำ
๖. รองศำสตรำจำรยใ์ ช้อักษรย่อวำ่ “รศ.”เป็นตำแหนง่ ทำงวิชำกำรสำหรบั ผู้สอนในระดบั
อดุ มศึกษำทมี่ ีควำมรู้ควำมเชี่ยวชำญในสำขำวชิ ำท่ีสอนสูงกว่ำตำแหน่งผชู้ ่วยศำสตรำจำรย์แตต่ ำ่ กว่ำ
ตำแหน่งศำสตรำจำรย์
๗. ศำสตรำจำรยใ์ ชอ้ ักษรย่อว่ำ “ศ.” เป็นตำแหน่งทำงวิชำกำรสำหรับผูส้ อนในระดบั อดุ มศกึ ษำ
ท่มี คี วำมรู้ควำมชำนำญอย่ำงยอดเยยี่ มในสำขำวชิ ำที่สอนสูงกวำ่ ตำแหน่งรองศำสตรำจำรย์และถือว่ำ
เป็นตำแหนง่ สงู สุดทำงวิชำกำร
สำหรับคำศัพทใ์ นภำษำองั กฤษคำว่ำครคู ือ Teacher และในทำนองเดียวกนั ในคำศัพท์
ภำษำอังกฤษก็มีควำมหมำยคลำ้ ยคลงึ กบั teacher เช่นกันโดยได้อธิบำยในหนงั สือ Collins Cobuild
Dictionary English Language (Collins, ๒๐๑๑, p ๑)๑๕ ดงั น้ี
Teacher หมำยถึงบุคคลซึง่ ปฏบิ ตั หิ น้ำที่ประจำในโรงเรียนหรือสถำบันกำรศกึ ษำตำ่ งๆตรง
กับคำวำ่ ครหู รือผู้สอน
Instructor หมำยถงึ บคุ คลผู้ทำหน้ำที่เป็นผู้สอนโดยเฉพำะในมหำวทิ ยำลยั ตรงกับคำวำ่
อำจำรย์
Facilitator หมำยถงึ ผทู้ ำหนำ้ ท่ีจัดกำรเรยี นรู้หรอื เป็นผูอ้ ำนวยกำรจดั กำรเรยี นรใู้ ห้กับผู้เรยี น
ในสถำนศกึ ษำทุกระดับ
Professor ในประเทศองั กฤษหมำยถึงตำแหน่งผ้สู อนที่ถือว่ำเป็นตำแหน่งสงู สุดในแตล่ ะ
สำขำวชิ ำในมหำวทิ ยำลัย
Lecturer หมำยถงึ บุคคลผู้สอนในมหำวทิ ยำลยั หรือวทิ ยำลัยตรงกับคำว่ำผบู้ รรยำยหรือ
ผ้สู อนเปน็ รำยบคุ คล (Macquarie Thesaurus, ๑๙๙๒, p ๔๐๐)๑๖
Advisor หมำยถึงบคุ คลทรี่ บั ผิดชอบให้คำแนะนำคำปรึกษำในเร่ืองกำรศึกษำและเรื่องสว่ นตวั
ในเร่อื งกำรแนะนำสถำบันกำรศกึ ษำและแนะแนวอำชพี (Farlex, ๒๐๑๑, p ๑)๑๗
Monitor หมำยถงึ บคุ คลที่มีหน้ำทก่ี ำกับดแู ลให้ควำมชว่ ยเหลือนกั เรียนในสถำบนั (Farlex,
๒๐๑๑, p ๑)
คำว่ำ “ครู” และ “อำจำรย์” ในสงั คมต่ำงชำติและสงั คมไทยมีควำมหมำยทีแ่ ตกตำ่ งกนั ซ่ึงใน
สงั คมไทยจะคุ้นเคยและใช้คำ ๒ คำนีค้ วบคู่ปะปนกนั มำเป็นเวลำนำนจนดูเสมอื นหนึ่งว่ำมีควำมหมำย
เปน็ คำเดียวกันแต่ถำ้ พจิ ำรณำควำมหมำยตำมรำกศัพท์ของ “ครู” แล้วพบวำ่ มสี ำระสำคญั ทช่ี ใี้ ห้เห็นวำ่ มี
๑๕ Collins, Characteristics of a Profession, [Online]. Available from:
http://www.Adprima.com/profession.html. ๗ February ๒๕๕๔, ๒๐๑๑, p ๑.
๑๖ Macquarie Thesaurus, Lecturer. Sydney, : The Macquarie Library Pty Ltd. ๑๙๙๒, p ๔๐๐.
๑๗ Farlex, Advisor, [Online]. Available from :http://www.thefreedictionary.com.
๒๐๑๑, p ๑.
๙
ควำมหมำยแตกตำ่ งไปจำกคำว่ำ “อำจำรย์” แตถ่ ้ำพิจำรณำภำระงำนของครูและอำจำรยท์ ่ตี ้องปฏิบตั ิ
แลว้ พบวำ่ มีควำมหมำยคลำ้ ยคลึงกัน
ในอดตี ควำมหมำยของ “ครู” หรือ “อำจำรย์” พิจำรณำจำกภำระงำนซ่ึงมคี วำมแตกต่ำงกนั
แต่ปจั จุบันควำมหมำยของ “คร”ู หรอื “อำจำรย์” ไมแ่ ตกต่ำงกนั เพรำะไม่วำ่ จะเรยี กครูอำจำรยห์ รือ
คณำจำรย์ก็คอื ผู้ทที่ ำหน้ำทีจ่ ัดกำรเรยี นรู้ใหก้ ับผูเ้ รียนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเช่นเดยี วกัน
ดังน้นั อำจสรปุ ได้วำ่ คำวำ่ “คร”ู “อำจำรย์” “คณำจำรย์” มใิ ช่อยู่ที่เรยี กขำนบุคคลทที่ ำหนำ้ ท่ี
จดั กำรเรียนกำรสอนเท่ำนนั้ แต่อยูท่ ่ีกำรปฏิบัตหิ นำ้ ที่ไดค้ รบถ้วนสมบูรณ์ดว้ ยควำมรักควำมศรทั ธำใน
วิชำชีพและเป็นไปตำมเกณฑ์มำตรฐำนของวิชำชพี ครู
จำกกำรสังเครำะห์ควำมหมำยของคำว่ำ “ครู” “อำจำรย์” และคำท่ีมีควำมหมำยคลำ้ ยคลงึ กับ
ครอู ำจำรย์ในหลำกหลำยทศั นะดังกลำ่ วข้ำงตน้ สรปุ พอเป็นสังเขปได้ว่ำผู้ทจ่ี ะประกอบวิชำชีพเป็น“คร”ู
จะมคี ุณลกั ษณะสำคญั ๒ประกำรคือควำมเป็นผ้มู ีควำมรู้และควำมเปน็ ผูท้ ่ีมคี ุณธรรมหรือกล่ำวส้นั ๆไดว้ ำ่
ผเู้ ปน็ “คร”ู ควรหมำยถึงผทู้ ี่มีควำมรู้คู่คุณธรรมคือผู้ประกอบวชิ ำชพี ครูจะต้องทำหน้ำท่ีถำ่ ยทอดควำมรู้
ถ่ำยโยงควำมรู้หรือจดั กำรควำมรู้เพ่ือศษิ ย์และในกำรกระทำเชน่ นน้ั ผปู้ ระกอบวิชำชพี ครูจะตอ้ งเป็นผู้ท่มี ี
ควำมร้คู วำมสำมำรถตลอดจนทกั ษะต่ำงๆจำกกำรศึกษำวทิ ยำกำรควำมรู้ต่ำงๆทำงวชิ ำชพี เฉพำะทำง
เพ่ือกำรทำหน้ำท่ีน้ีได้อยำ่ งสมบรู ณใ์ นขณะเดียวกันผปู้ ระกอบวิชำชีพครูจะตอ้ งทำหนำ้ ที่ใหก้ ำรฝกึ ฝน
อบรมส่งั สอนกลอ่ มเกลำศิษยเ์ พือ่ ให้ศิษย์เป็นคนดีมีศลี ธรรมมีควำมสำนกึ รู้ผิดชอบชว่ั ดีรบู้ ำปบญุ คุณโทษ
รสู้ งิ่ ท่เี ปน็ ประโยชน์และมิเป็นประโยชน์ท้ังนเ้ี พ่ือพัฒนำศษิ ย์ให้มีควำมเป็นมนุษยท์ ่ีสมบรู ณโ์ ดยกำรจะทำ
หนำ้ ท่เี ช่นนนั้ ได้ผู้ทจ่ี ะประกอบวชิ ำชีพครจู ะต้องเปน็ ผูท้ ่มี ีควำมรกั ควำมศรัทธำในวชิ ำชีพและมีควำม
เมตตำควำมปรำรถนำดีต่อผู้อ่ืนอยู่เสมอหรือกล่ำวไดว้ ่ำจะต้องเปน็ ผูท้ ี่มีคุณธรรมจริยธรรม
ความสาคญั ของครู
คนทกุ คนมบี ิดำมำรดำเป็นผู้มีพระคณุ อนั สงู สดุ เพรำะทำ่ นเป็นผู้ใหช้ วี ติ ใหค้ วำมรกั ให้ควำม
เมตตำห่วงใยและเสียสละเพ่ือลกู นอกจำกบิดำมำรดำแลว้ ก็มคี รเู ป็นผู้มีพระคุณคล้ำยบิดำมำรดำคือ
เปน็ ผ้อู บรมสั่งสอนถำ่ ยทอดวิชำควำมรู้ให้รวมท้งั ให้ควำมรักควำมเมตตำต่อศิษย์ทุกคนนับได้วำ่ ครู
เปน็ ผู้เสยี สละทไ่ี ม่แพบ้ ุพกำรีครูจึงเป็นปูชนยี บุคคลที่มีควำมสำคญั อย่ำงมำกในกำรให้กำรศึกษำเรียนรู้
ทง้ั ในดำ้ นวชิ ำกำรและประสบกำรณ์ตลอดเปน็ ผมู้ คี วำมเสียสละดแู ลเอำใจใสส่ ัง่ สอนอบรมใหเ้ ดก็ ได้
พบกบั แสงสวำ่ งแห่งปญั ญำอันเปน็ หนทำงแห่งกำรประกอบอำชพี เล้ยี งดูตนเองรวมทั้งนำพำสงั คม
เศรษฐกจิ กำรเมอื งกำรปกครองของประเทศชำติก้ำวไปส่คู วำมเจริญรงุ่ เรืองฉะนนั้ จึงกลำ่ วได้ว่ำครูมี
ควำมสำคัญต่อกำรพัฒนำประเทศโดยมีควำมสำคัญตอ่ กำรพัฒนำบุคคลเศรษฐกิจสังคมและกำรเมือง
กำรปกครองดังนี้
ความสาคญั ของครูต่อการพัฒนาบคุ คล
ครมู สี ว่ นสำคญั ในกำรพฒั นำคุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ใหแ้ ก่บคุ คลโดยครจู ะใช้กระบวนกำร
เรียนกำรสอนในกำรพัฒนำคนให้เปน็ มนษุ ยท์ ่ีสมบรู ณ์ท้ังร่ำงกำยจติ ใจรจู้ กั พฒั นำตนเองตลอดจน
สำมำรถแก้ไขปัญหำของตนเองและท้องถิ่นรวมไปถึงปัญหำของประเทศชำติได้อย่ำงถกู ต้องเหมำะสม
โดยมสี ำระสำคัญสรปุ ไดด้ ังน้ี
๑. ครมู ีสว่ นสำคัญในกำรใช้กระบวนกำรทำงกำรศึกษำเพื่อช่วยฝึกฝนอบรมบ่มนสิ ัยขัดเกลำ
๑๐
เสรมิ สร้ำงและพฒั นำบุคคลให้มีคุณสมบตั ิท่ดี เี ช่นขยนั อดทนประหยัดซ่ือสตั ย์พึง่ ตนเองภำคภมู ิใจใน
ศกั ดิศ์ รีของตนเองสำมำรถทำงำนร่วมกับผู้อืน่ ไดม้ ีมำรยำทดีมีอิริยำบถเหมำะสมกับกำลเทศะและเพ่ือให้
เป็นพลเมืองทด่ี ีในสงั คม
๒. ครมู สี ว่ นสำคัญในกำรใชก้ ลวธิ ที ำงกำรศกึ ษำท่ีหลำกหลำยเพื่อช่วยใหผ้ ู้เรยี นมีควำมร้ใู น
วิทยำกำรและชว่ ยฝกึ ให้มที ักษะชำนำญกำรในวิชำเฉพำะด้ำนเพือ่ กำรประกอบอำชีพ
๓. ครมู ีสว่ นสำคัญในกำรจดั กิจกรรมทำงกำรศึกษำเพื่อปลูกฝังบุคคลใหเ้ คำรพกฎหมำย
กติกำและประพฤตปิ ฏิบัตติ นตำมสทิ ธหิ น้ำที่ของตนเอง
๔. ครูมสี ว่ นสำคัญในกำรปลกู ฝงั บคุ คลให้รู้คุณคำ่ ของศิลปวฒั นธรรมและประเพณีของชำติ
ตลอดจนมีควำมสำนึกและควำมรับผดิ ชอบในกำรรกั ษำควำมม่ันคงควำมมีเสถียรภำพและเอกรำชของ
ประเทศชำติ
๕. ครูมีสว่ นสำคัญในกำรเสริมสรำ้ งและปลกู จิตสำนึกผ้เู รียนใหเ้ หน็ ประโยชน์และคุณค่ำของ
ธรรมชำติส่ิงแวดลอ้ มทรัพยำกรธรรมชำติสำธำรณสมบัติเพ่ือกำรใช้อย่ำงประหยดั และเกิดประโยชน์
สงู สุด
๖. ครมู ีส่วนสำคญั ในกำรพัฒนำบุคคลใหร้ ู้จกั รักษำสุขภำพอนำมัยสว่ นตนร้จู กั กำรใชเ้ วลำ
วำ่ งใหเ้ กิดประโยชนน์ ำข้อคิดข้อปฏบิ ตั ิทำงศำสนำท่ีตนนับถือมำใช้เปน็ แนวทำงในกำรดำเนนิ ชวี ติ เพื่อ
ควำมสงบสขุ ในชีวิต
๗. ครูมีสว่ นชว่ ยเตรียมบุคคลในสังคมให้สำมำรถเผชิญปัญหำและวกิ ฤตกำรณ์ใหมๆ่ ดว้ ย
สตปิ ญั ญำและควำมม่นั คงแห่งอำรมณ์
ความสาคัญของครตู ่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
นกั กำรศึกษำและนักเศรษฐศำสตรห์ ลำยทำ่ นได้แสดงควำมคดิ เห็นไวว้ ำ่ ถ้ำต้องกำรให้ระบบ
เศรษฐกิจหน่งึ ๆพฒั นำไปอยำ่ งรวดเร็วและมีประสทิ ธิภำพวิธีกำรหนึ่งคอื กำรเร่งรัดให้กำรศกึ ษำเพ่ือ
เพม่ิ คุณภำพของประชำกรซ่ึงจะส่งผลต่อกำรพัฒนำทำงเศรษฐกิจตำมมำและผูม้ ีบทบำทสำคญั ในกำรทำ
หนำ้ ทน่ี ั้นกค็ ือครูกล่ำวคือครูมีควำมสำคญั ต่อกำรพฒั นำเศรษฐกิจได้ดังน้ี
๑. ครมู ีควำมสำคญั ในกำรชว่ ยพัฒนำคณุ ภำพของแรงงำนซงึ่ สง่ ผลตอ่ รำยไดป้ ระชำชำติสงู ขึ้น
กลำ่ วคอื เมื่อบุคคลในประเทศได้รบั กำรศกึ ษำเพ่ิมขน้ึ โดยมีควำมรู้ควำมสำมำรถในกำรผลิตและสำมำรถ
ผลิตสินค้ำและบริกำรได้เพมิ่ มำกขึน้ ย่อมส่งผลต่ออตั รำกำรขยำยตัวของรำยไดป้ ระชำชำติ
๒. ครมู ีควำมสำคญั ในกำรผลติ กำลังคนท่ีมีควำมรู้มีทกั ษะมีควำมเชีย่ วชำญในหลำกหลำย
สำขำวชิ ำและอำชีพตำมควำมต้องกำรของสังคมเชน่ ผลติ นกั วิทยำศำสตร์แพทย์วศิ วกรชำ่ งเทคนคิ ตำ่ งๆ
นักธรุ กิจครพู ยำบำลเปน็ ตน้ โดยบุคคลต่ำงๆเหลำ่ น้ีจะเป็นตัวจกั รสำคัญในกำรดำเนนิ งำนต่ำงๆทำงสังคม
๓. ครูมคี วำมสำคญั ในกำรช่วยขัดเกลำและเสริมสรำ้ งบทบำททำงสงั คมของบุคคลโดยให้เปน็
สมำชกิ ท่ีดีของสงั คมมีควำมรู้มที กั ษะที่จำเป็นในกำรประกอบอำชีพตลอดจนมคี วำมเขำ้ ใจในสงั คมและ
วัฒนธรรมเพ่อื กำรทำหน้ำท่ีที่ดีในฐำนะสมำชกิ ทำงสังคม
๔. ครมู คี วำมสำคญั ในกำรช่วยสร้ำงควำมเสมอภำคในกำรกระจำยรำยไดใ้ นสงั คมกลำ่ วคือ
ควำมเหลือ่ มลำ้ ของรำยไดซ้ ่ึงก่อใหเ้ กิดควำมไม่เป็นธรรมทำงสังคมโดยกลมุ่ ทม่ี รี ำยไดส้ งู ซ่งึ มีอยนู่ ้อยจะมี
ควำมเป็นอยู่ท่ีดีมีมำตรฐำนกำรครองชพี สูงสว่ นกลุ่มที่มีรำยได้ต่ำซง่ึ มีอยูจ่ ำนวนมำกจะมีควำมแรน้ แคน้
และขำดโอกำสในกำรเลอ่ื นฐำนะแหง่ ตนกำรสง่ เสรมิ ใหป้ ระชำชนไดร้ ับกำรศึกษำมำกข้นึ โดยครทู ี่
๑๑
กระจำยอยู่ท่วั ประเทศชว่ ยให้กำรศึกษำแก่ประชำชนโดยเฉพำะในท้องทหี่ ำ่ งไกลจะมีสว่ นชว่ ยให้
ประชำชนนำควำมรู้ไปปรับปรุงพฒั นำงำนที่ทำอยู่เดิมให้มีประสิทธภิ ำพสงู ขน้ึ สง่ ผลทำใหร้ ะดับรำยได้
สงู ขึ้นตำมไปซึ่งช่วยลดควำมเหล่ือมล้ำทำงด้ำนรำยได้
๕. ครูมีควำมสำคัญในกำรเป็นตัวเรง่ ในกำรพฒั นำเศรษฐกิจประสบผลสำเรจ็ กล่ำวคอื ประเทศที่
ประสบควำมสำเร็จในกำรพัฒนำทำงเศรษฐกจิ ส่วนใหญป่ ระชำกรในประเทศจะมรี ะดับกำรศึกษำสูงมี
ทักษะฝีมือแรงงำนมเี จตคติค่ำนยิ มในทศิ ทำงท่ีทนั สมยั มีควำมใฝ่ร้เู ปน็ ตน้ ซง่ึ ส่วนหน่ึงมำจำกกำรไดร้ บั
กำรศึกษำส่วนประเทศที่มคี วำมลำ้ หลังประชำกรในประเทศสว่ นใหญ่ไดร้ ับกำรศกึ ษำตำ่ ประชำกรเชื่อถือ
โชคลำงไม่ค่อยยอมรับกำรเปลย่ี นแปลงมีสขุ ภำพอนำมัยทีไ่ มส่ มบรู ณ์เป็นตน้ กำรผลักดนั ใหป้ ระเทศ
ประสบผลสำเรจ็ ทำงกำรพฒั นำทำงดำ้ นเศรษฐกิจจำเปน็ ต้องใช้ครูช่วยพฒั นำประชำกรในประเทศให้
ได้รบั กำรศกึ ษำสงู ขึ้นเพ่อื ช่วยให้ประชำกรในประเทศเป็นบุคคลท่ีมีเหตุผลรจู้ กั กำรรักษำสขุ ภำพอนำมัย
มีวินัยและมีอำชพี ซง่ึ ส่งผลต่อกำรประสบผลสำเรจ็ ในกำรพัฒนำทำงเศรษฐกิจ
ความสาคญั ของครตู ่อการพัฒนาสงั คม
สภำพสงั คมโดยท่วั ไปในปัจจุบันมีลกั ษณะเป็นพลวตั รคอื มีกำรเปลยี่ นแปลงและมีกำร
เคลอ่ื นไหวอย่เู สมอทงั้ นส้ี ืบเน่ืองมำจำกกำรมปี ฏิกริ ยิ ำตอบสนองต่อสภำพแวดลอ้ มทั้งทำงเศรษฐกิจ
สงั คมกำรเมืองและเทคโนโลยตี ลอดจนกำรเปลยี่ นแปลงเจตคตคิ ำ่ นิยมและพฤติกรรมของสมำชกิ ใน
สงั คมเพ่ือใหส้ มำชิกในสังคมมีบทบำทหน้ำที่และรปู แบบควำมสมั พันธ์ระหวำ่ งสมำชกิ ได้เหมำะสมย่ิงข้ึน
จำเปน็ ต้องอำศยั กำรศึกษำเป็นเคร่อื งมอื และครจู ะเปน็ ผู้มีบทบำทสำคัญในกำรทำหนำ้ ทีน่ ้ันกล่ำวคอื ครูมี
ควำมสำคญั ต่อกำรพฒั นำสังคมดงั นี้
๑. ครูมสี ่วนสำคญั ในฐำนะชว่ ยสรำ้ งควำมมั่นคงให้แก่สังคมกล่ำวคือในระบบสงั คมหน่ึงๆจะ
ประกอบด้วยระบบย่อยหลำยระบบได้แก่ระบบกำรศกึ ษำระบบเศรษฐกจิ ระบบกำรเมืองกำรปกครอง
เปน็ ตน้ ซึ่งแตล่ ะระบบจะมบี ทบำทหนำ้ ท่ีเก่ียวขอ้ งเชื่อมโยงกันสถำบนั กำรศึกษำนับเป็นระบบย่อยของ
สังคมที่มีสว่ นชว่ ยสืบสำนถำ่ ยทอดควำมรปู้ ระสบกำรณ์ตำ่ งๆใหแ้ ก่สมำชิกใหม่ในสงั คมและผูม้ บี ทบำท
หนำ้ ท่ใี นกำรถำ่ ยทอดควำมรู้และพัฒนำคนออกไปสูส่ งั คมกค็ อื ครู
๒. ครูมสี ่วนสำคญั ในกำรสร้ำงคนในชำติให้มีคณุ ภำพมคี ุณค่ำมีควำมรับผิดชอบมคี วำมเสยี สละ
เพื่อสว่ นรวมมีควำมสมคั รสมำนสำมัคคีมีคุณธรรมจริยธรรมมีระเบียบวินยั เหน็ แกส่ ่วนรวมมำกกวำ่
ส่วนตวั เปน็ ตน้ โดยครจู ะทำหน้ำทอี่ บรมสง่ั สอนเพำะบ่มจติ ใจแก่สมำชิกในสงั คมโดยผำ่ นกจิ กรรมทำง
กำรศึกษำตำ่ งๆเช่นกจิ กรรมบำเพ็ญประโยชนก์ จิ กรรมลูกเสือเนตรนำรกี จิ กรรมทำงด้ำนศำสนำเปน็ ตน้
๓. ครูมสี ว่ นสำคญั ในกำรสร้ำงบุคคลในสงั คมใหป้ ระพฤติปฏิบตั ิตนตำมบทบำทหน้ำท่กี ฎกตกิ ำ
มำรยำทมีค่ำนยิ มที่เหมำะสมตลอดจนธำรงไวซ้ งึ่ ระเบยี บแบบแผนของสงั คมซ่ึงสง่ ผลตอ่ ควำมสงบเรียบ
ร้อยแก่มวลสมำชกิ ทำงสงั คมโดยครจู ะมสี ่วนช่วยสร้ำงพฤติกรรมรว่ มทดี่ ีใหเ้ กดิ ขน้ึ ในสงั คมจำกกำรผ่ำน
กระบวนกำรอบรมขัดเกลำในสถำบันกำรศึกษำทำให้สมำชิกในสังคมร้จู ักระเบยี บแบบแผนตลอดจน
กฎเกณฑต์ ำ่ งๆภำยในสงั คม
๔. ครมู ีส่วนชว่ ยสรำ้ งคนทม่ี คี ุณภำพคนที่มคี วำมสำมำรถในกำรเรียนรมู้ ีควำมคิดมีจนิ ตนำกำรมี
ควำมคิดสรำ้ งสรรค์มจี ิตสำนึกทำงสังคมเมอ่ื คนในสังคมมีคุณภำพพวกเขำสำมำรถจดั ตั้งองค์กรทำงสังคม
ทม่ี ีเปำ้ หมำยที่ชดั เจนมีกำรบริหำรจัดกำรที่ดแี ละถ้ำคนในสงั คมมีกำรศึกษำดมี ีจิตสำนึกท่ีดีตอ่ สังคมพวก
๑๒
เขำสำมำรถชว่ ยผลติ และบริโภคอย่ำงพอดีพอเหมำะพอดีไมท่ ำลำยสภำพแวดล้อมสำมำรถสร้ำงคณุ
ประโยชน์ทเี่ กือ้ กลู กันและเกื้อกูลสังคมช่วยพัฒนำสังคมช่วยเปลีย่ นแปลงสงั คมไปในทำงที่ดีขึ้น
ความสาคญั ของครตู อ่ การพฒั นาการเมือง
ครมู คี วำมสำคญั ต่อกำรพฒั นำกำรเมืองโดยครูช่วยพัฒนำทักษะควำมรู้ควำมสำมำรถทเ่ี ก่ียวกับ
กำรเมืองให้บคุ คลดังนี้
๑. ครูมีควำมสำคัญในกำรสร้ำงเสรมิ บคุ คลให้มคี วำมรู้ควำมเข้ำใจในระบบกำรเมืองกำร
ปกครองรจู้ กั คิดวิเครำะห์ตัดสินใจดว้ ยเหตุผลและข้อมลู มีควำมซอ่ื สัตยม์ ีอดุ มกำรณ์ทำงกำรเมืองและเห็น
แกป่ ระโยชน์ของประเทศชำติมำกกว่ำประโยชน์ส่วนตนซึ่งจะมสี ่วนช่วยในกำรพฒั นำกำรเมอื ง
๒. ครูมสี ่วนสำคญั ในกำรปลูกฝังควำมรกั และควำมศรัทธำในระบบกำรปกครองในระบอบ
ประชำธปิ ไตยแกส่ มำชกิ ในสังคมชว่ ยเผยแพร่อุดมกำรณ์ทำงกำรเมืองและสรำ้ งควำมเสมอภำคของ
บุคคลในสังคม
๓. ครมู ีสว่ นสำคญั ในกำรชว่ ยเตรยี มพลเมืองใหเ้ ปน็ ผู้อำ่ นออกเขยี นได้และพลเมืองที่มีคณุ ภำพ
เหลำ่ นีจ้ ะสำมำรถตอบรบั กำรสื่อสำรทำงกำรเมืองภำยในประเทศได้อย่ำงมปี ระสทิ ธภิ ำพซึ่งจะมีสว่ นชว่ ย
ในกำรสง่ เสริมเสถยี รภำพและควำมม่นั คงทำงกำรเมือง
๔. ครูมสี ่วนสำคัญในกำรพัฒนำผนู้ ำกำรเมืองท่ีมีคุณสมบัติสอดคล้องกบั ระบอบประชำธิปไตย
ดว้ ยเหตทุ ว่ี ำ่ บุคคลท่ีได้รับกำรศกึ ษำมำกมีส่วนช่วยเพมิ่ พูนโอกำสในกำรแสวงหำอำชีพท่ีดีขึ้นและมรี ำย
ไดส้ ูงขนึ้ ซงึ่ เปน็ กำรสะสมสถำนภำพของควำมเป็นผนู้ ำทำงกำรเมืองอย่ำงเป็นขั้นตอน
๕. ครมู ีสว่ นสำคัญในกำรปลกู จิตสำนกึ ควำมเป็นไทยส่งเสริมควำมร้สู ึกของควำมเป็นอนั หนึ่ง
อันเดียวกนั ท่ีมีต่อชำตชิ ่วยให้มกี ำรเชอ่ื มโยงระหวำ่ งควำมรู้สกึ ภำคนยิ มควำมรู้สึกชำตินยิ มควำมเปน็
กลุ่มเดยี วกนั เพ่อื ควำมม่นั คงของชำติ
จำกกำรสังเครำะห์ควำมสำคัญของครทู ่มี ีต่อกำรพัฒนำบุคคลกำรพัฒนำเศรษฐกิจกำรพัฒนำ
สังคมและกำรพฒั นำกำรเมืองกำรปกครองดังกล่ำวข้ำงตน้ สำมำรถสรุปควำมสำคัญของครูพอสงั เขปได้
ว่ำครไู ดใ้ ช้กระบวนกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนผ่ำนกจิ กรรมกำรเรยี นรตู้ ่ำงๆในกำรพัฒนำบุคคลให้มี
คณุ ภำพมคี ณุ ธรรมมคี วำมเป็นมนุษย์ทสี่ มบูรณ์ทงั้ ร่ำงกำยจิตใจอำรมณส์ ังคมรูจ้ กั กำรพฒั นำตนเองและ
แก้ไขปญั หำของตนเองได้อยำ่ งเหมำะสมพฒั นำศักยภำพของบุคคลใหม้ ีทกั ษะควำมรคู้ วำมชำนำญทำง
วชิ ำชีพเพ่ือเตรยี มบุคคลเข้ำสู่วงกำรอำชีพตำ่ งๆในสงั คมตำมควำมต้องกำรของระบบเศรษฐกิจไทย
นอกจำกน้ีครูยังมคี วำมสำคัญต่อกำรกระตุน้ ใหบ้ คุ คลในสังคมตนื่ ตัวท่ีจะพัฒนำชีวิตควำมเป็นอยู่ใหด้ ขี ึน้
ทั้งในดำ้ นกำรดูแลสุขภำพอนำมยั กำรปฏบิ ตั ิตำมขนบธรรมเนียมประเพณแี ละวัฒนธรรมกำรสืบสำน
รกั ษำมรดกควำมเป็นไทยตลอดจนกำรแกป้ ัญหำควำมขัดแย้งต่ำงๆโดยสนั ติวิธแี ละครูยงั มีควำมสำคญั ต่อ
กำรผลติ พลเมืองของชำตใิ ห้มีควำมรู้พื้นฐำนเกี่ยวกับกำรปกครองระบอบประชำธิปไตยอันมี
พระมหำกษัตรยิ ์เปน็ ประมขุ ปลกู ฝงั จิตสำนกึ ควำมเปน็ ไทยควำมเปน็ กลมุ่ พวกเดยี วกันเพอื่ ควำมมนั่ คง
ของชำตซิ ึ่งด้วยควำมสำคัญของครทู ่ีมีต่อกำรพัฒนำคุณภำพของบคุ คลซึง่ มีผลต่อกำรพัฒนำเศรษฐกิจ
สังคมและกำรเมืองกำรปกครองทำใหว้ ิชำชีพครมู ีควำมสำคัญตอ่ กำรพัฒนำของประเทศ
๑๓
พฒั นาการวชิ าชีพครู
กำรประกอบอำชีพเป็นกำรปฏบิ ัติหนำ้ ทีโ่ ดยในสังคมที่มคี วำมซับซ้อนเช่นปัจจุบนั กำร
ประกอบอำชีพก็มีควำมซบั ซอ้ นตำมไปดว้ ยฉะน้ันกำรปฏบิ ัติงำนในรปู แบบต่ำงๆจึงมีกำรบัญญัติศัพท์เพือ่
ใช้ตำมลกั ษณะกำรปฏิบัตงิ ำนทแ่ี ตกต่ำงกันไปเชน่ งำนกำรงำนงำนอำชีพและงำนวิชำชีพโดยงำน (Job)
หมำยถงึ เร่ืองท่ที ำเปน็ ภำรกิจต่อสงิ่ ใดสิง่ หนงึ่ เป็นครำวๆไปกำรงำน (Work) หมำยถงึ ภำรกิจท่ีตอ้ งทำอยู่
เสมออำจมงี ำนหลำยอย่ำงที่ทำเปน็ ประจำอำชีพ (Career) หมำยถึงภำรกจิ ท่ีทำเป็นประจำเพอ่ื เล้ยี งชีพ
ส่วนวิชำชีพ (Profession) กเ็ ป็นอำชพี แต่เป็นอำชีพทีต่ ้องอำศัยวิชำควำมรูท้ ี่ไดฝ้ กึ ฝนจนเชี่ยวชำญ
ความหมายวชิ าชพี (Profession)
ในพจนำนกุ รมฉบบั รำชบัณฑิตยสถำนพ.ศ. ๒๕๕๔ (๒๕๕๖, หนำ้ ๑๑-๑๘)๑๘ ได้ให้ควำมหมำย
วชิ ำชพี หมำยถงึ อำชีพท่ตี ้องใช้ควำมรูค้ วำมชำนำญเปน็ วิชำทีน่ ำไปใช้ในกำรประกอบอำชีพไดเ้ ช่น
วชิ ำแพทย์วชิ ำชำ่ งไมว้ ชิ ำชำ่ งยนต์
Collins (๒๐๑๑, p๑๑-๔๖)๑๙ อธบิ ำยควำมหมำยของวิชำชพี ว่ำเป็นลักษณะหนึ่งของงำน
(Job) ซ่ึงเปน็ งำนที่ผู้ทำตอ้ งได้รับกำรฝึกฝนโดยเฉพำะและเปน็ งำนทีท่ ำให้ผปู้ ระกอบกำรน้นั ได้รับฐำนะท่ี
สูงเปน็ พิเศษจำกสังคมตวั อยำ่ งเช่นกำรงำน (Work) ท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั กำรรักษำโรคกฎหมำยหรอื กำรใช้
กำรศึกษำอบรม
ในวิกพิ ีเดีย (Wikipedia, ๒๐๑๑, p ๑)๒๐ ได้อธบิ ำย “วิชำชีพ” คอื อำชีพท่ีมีควำมพิเศษท่ีไดร้ ับ
กำรฝกึ ฝนโดยมีวตั ถปุ ระสงค์หลกั ในกำรใหบ้ ริกำรแกผ่ ้อู ่ืนในด้ำนตำ่ งๆทเ่ี ปน็ กำรเฉพำะเจำะจงปรำศจำก
เป้ำหมำยของกำรเอำผลประโยชน์เชิงธุรกจิ วชิ ำชพี ตำ่ งๆเปน็ งำนท่ีจำเปน็ ต้องใชค้ วำมเช่ียวชำญเฉพำะ
ดำ้ นตอ้ งมีควำมร้ทู ี่เป็นระบบมีควำมเปน็ หนงึ่ ต้องใชท้ ักษะทำงวชิ ำชพี ท่ตี ้องผำ่ นกำรฝกึ อบรมมสี มำคม
วิชำชพี ท่ีมอี ำนำจในกำรควบคุมสมำชกิ ของตนใหเ้ ปน็ ไปตำมมำตรฐำนท่ีกำหนด
ดังนน้ั อำจกลำ่ วได้วำ่ “วชิ ำชพี ” เป็นอำชพี ที่ผู้ประกอบกำรตอ้ งมีควำมรู้ควำมชำนำญท่ีฝกึ ฝน
มำโดยเฉพำะซ่ึงมขี ้อกำหนดคุณลักษณะบำงประกำรทที่ ำให้วิชำชพี แตกตำ่ งจำกอำชีพทัว่ ๆไปในระบบ
เศรษฐกิจปจั จบุ นั แบ่งระดบั ของกำรประกอบอำชีพสจุ รติ ในสังคมไดเ้ ปน็ ๔ ระดับคือ
ระดบั ท่ี ๑ ระดับแรงงำนหรือกรรมกำร (Labour)
ระดับที่ ๒ ระดบั แรงงำนฝมี ือ (Semi-labour)
ระดบั ท่ี ๓ ระดับชำ่ งฝีมือ (Technician)
ระดับท่ี ๔ ระดบั วิชำชพี หรือวชิ ำชีพชัน้ สงู (Profession)
กำรประกอบอำชพี ทงั้ ๔ ระดับน้นั อำจแบง่ กว้ำงขนึ้ เปน็ ๒กลุ่มคอื
กลุม่ แรกคือระดับที่ ๑ ถงึ ระดับที่๓จดั เป็นอำชีพทต่ี ้องอำศัยกำลงั กำยหรือแรงงำนเป็นสำคัญ
๑๘ พจนำนกุ รมฉบบั รำชบัณฑิตยสถำน, เฉลิมพระเกียรติพระบำทสมเดจ็ พระเจำ้ อยู่หัว เนอ่ื งในโอกำสพระ
รำชพธิ ีมหำมงคลเฉลมิ พระชนมพรรษำ ๗ รอบ ๕ ธนั วำคม ๒๕๕๔. (กรุงเทพฯ : ศริ ิวฒั นำอินเตอรพ์ รนิ ท์ จำกดั
(มหำชน), ๒๕๕๖), หนำ้ ๑๑-๑๘.
๑๙ Collin, Value, [Online]. Available from: http//www.colinslanguage.com/results.aspx.
๓ April ๒๕๕๔. ๒๐๑๑, p ๑๑-๔๖.
๒๐ Wikipedia, Profession, [Online]. Available from: http://en.wikipedia.org/wiki/Profession.
๒๘ January ๒๕๕๔. ๒๐๑๑, p ๑.
๑๔
กลุ่มสองคอื ระดับท่ี ๔ น้นั เป็นกลุม่ อำชีพท่ใี ชก้ ำลังควำมคิดหรือกำลังสมองเป็นสำคัญกลุม่
อำชพี ระดับน้ีเป็นอำชพี ท่ีไดร้ ับกำรยกย่องจำกสงั คมว่ำเปน็ วชิ ำชีพช้ันสูงท่ที ำใหผ้ ู้ประกอบอำชพี มฐี ำนะ
ทไี่ ด้รับเกียรติเปน็ พิเศษในสังคมทุกประเทศทวั่ โลก
คณุ ลกั ษณะของวชิ าชีพ (Characteristics of Professions)
อำชีพทส่ี ังคมให้กำรยกย่องหรือมีสถำนะพเิ ศษในสังคมวำ่ เป็น “วชิ ำชีพ” น้นั ต้องมีคุณลักษณะ
ตำมเกณฑ์ต่ำง ๆ ดังนี้คือ
Rutledge (n.d., ๒๐๑๑, p ๑)๒๑ ได้ใหท้ ัศนะเกีย่ วกับคุณลกั ษณะพ้นื ฐำนของกำรเปน็ วิชำชพี
ดังนี้
๑. ผปู้ ระกอบวชิ ำชีพตอ้ งมคี วำมรับผิดชอบสงู ในบทบำทและภำระหน้ำที่ของตน
กล่ำวคอื ผู้ประกอบวิชำชพี ต้องมคี วำมรูค้ วำมสำมำรถและมีคณุ ภำพ
๒. ผปู้ ระกอบวชิ ำชพี ต้องมีธรรมำภิบำลในวชิ ำชีพตอ้ งมีควำมโปรง่ ใสสำมำรถรับกำร
ตรวจสอบจำกสังคมหรือลูกค้ำได้
๓. ตอ้ งมคี วำมรู้เฉพำะทำงทกั ษะเฉพำะทำงโดยต้องสำมำรถใช้เทคนิควิธใี นสำยงำน
อย่ำงผู้เชยี่ วชำญและชำนำญกำร
๔. มสี ถำบนั วิชำชีพทำหน้ำที่ผลติ ผ้ปู ระกอบวชิ ำชีพจดั กำรฝึกประสบกำรณว์ ชิ ำชีพแกผ่ ู้ที่
จะประกอบวชิ ำชีพโดยผ่ำนกำรจัดกำรศึกษำและกำรฝึกอบรมเพื่อกำรพัฒนำให้ไดม้ ำตรฐำน
๕. มีอตั ลักษณ์ในวิชำชีพมีควำมเฉพำะเจำะจงมีศักยภำพในวชิ ำชีพมีควำมรับผิดชอบ
สูงสุดตอ่ วิชำชพี
๖. ผปู้ ระกอบวิชำชพี ตอ้ งปฏบิ ัติตอ่ ผูร้ ับบรกิ ำรเสมอื นคนไข้รบั กำรดแู ลจำกหมอพ่อคำ้ เอำ
ใจใสต่ ่อลกู ค้ำกลำ่ วคือไม่มุ่งหวงั แตก่ ำไรจำกผรู้ บั บริกำรแตเ่ พยี งอย่ำงเดยี ว
๗. ผู้ประกอบกำรปฏิบตั ิต่อผู้รับบริกำรโดยตรงอยำ่ งผเู้ ชี่ยวชำญไม่ผำ่ นผอู้ ื่น
๘. มจี รรยำบรรณในวชิ ำชพี
๙. มกี ำรพัฒนำคุณภำพควำมสมั พันธก์ บั ผ้รู ับบรกิ ำรใหบ้ รกิ ำรอยำ่ งมีคุณภำพ
วจิ ิตร ศรสี อ้ำน (๒๕๓๕, หน้ำ ๘๒๓-๘๒๔)๒๒ ไดใ้ ห้ควำมคิดเห็นว่ำกำรเรยี กอำชีพที่มีควำม
เฉพำะเจำะจงว่ำ “วชิ ำชีพ” น่ำจะเรียกเป็น “วิชำชพี ชนั้ สูง” โดยได้อธิบำยคณุ ลกั ษณะของวิชำชพี ช้ันสงู
ไว้ ๖ ลักษณะดังน้ี
๑. วชิ ำชพี ช้นั สูงจะต้องมีบรกิ ำรที่ให้แก่สังคมที่มีลักษณะเฉพำะเจำะจงและจำเป็น
(Social Service) วิชำชพี หลักๆในแตล่ ะวชิ ำชพี ตำ่ งก็มบี ริกำรทีใ่ หแ้ กส่ ังคมเปน็ กำรเฉพำะของแตล่ ะ
๒๑ Rutledge (n.d.) , What is a profession?, [Online]. Available from:
http://designprofessionalism.com/defining-design-professionalism- ๑.php. ๒๘ January ๒๕๕๔. ๒๐๑๑,
p ๑.
๒๒ วิจติ ร ศรสี อ้ำน, ประสบการณว์ ิชาชีพบริหารการศึกษา, (กรงุ เทพฯ : สำนกั พิมพ์
มหำวิทยำลยั สุโขทยั ธรรมำธริ ำช, ๒๕๓๕), หน้ำ ๘๒๓-๘๒๔.
๑๕
วชิ ำชพี โดยไมซ่ ำ้ ซ้อนกนั บริกำรของวชิ ำชีพน้อี ำจมีควำมสัมพันธ์กนั อย่ำงใกล้ชดิ เช่นบริกำรของแพทย์กับ
พยำบำลหรือวศิ วกรกบั สถำปนิกแต่ทุกฝำ่ ยก็มีขอบเขตบริกำรของตนเองท่ีชัดเจนแยกออกจำกกันได้
วิชำชพี ชั้นสงู เนน้ กำรบรกิ ำรต่อสังคมมำกกวำ่ กำรหำประโยชน์จำกผรู้ บั บริกำร
๒. สมำชิกของวชิ ำชพี ช้ันสงู จะตอ้ งใชว้ ธิ ีกำรแหง่ ปญั ญำในกำรให้บรกิ ำร (Intellectual
Method) หมำยควำมวำ่ กำรวินิจฉัยตัดสนิ ใจในกำรปฏิบัติตอ่ ผูร้ ับบรกิ ำรของวิชำชพี น้นั จะตอ้ งอำศยั
ควำมรู้ควำมคิดและสติปญั ญำเปน็ พน้ื ฐำนสำคัญมำกกวำ่ กำรใช้ทักษะและควำมชำนำญกำรแต่เพยี ง
ด้ำนเดียวแต่เปน็ กิจกรรมท่ตี ้องอำศัยควำมรู้ควำมคิดหลกั กำรและทฤษฎีจงึ จะประกอบกำรได้
วิธกี ำรอยำ่ งน้ีเรียกว่ำ “วธิ ีกำรแห่งปญั ญำ”
๓. สมำชิกของวิชำชพี ชัน้ สงู จะต้องได้รับกำรศึกษำอบรมให้มคี วำมรู้กวำ้ งขวำงลึกซ้งึ โดยใช้
ระยะเวลำนำนพอสมควร (Long Period of Training) เนื่องจำกตอ้ งใช้วิธีกำรแห่งปัญญำในกำร
ใหบ้ ริกำรโดยปกติมักจะถือเป็นเกณฑว์ ่ำอย่ำงน้อยควรต้องไดร้ บั กำรศึกษำในสำขำวชิ ำชีพนัน้ ๆไมต่ ่ำกวำ่
ระดบั ปรญิ ญำตรีและมักจะใชเ้ วลำศกึ ษำมำกกว่ำ ๔ ปี หลกั จำกมัธยมศึกษำตอนปลำยทั้งน้ีเพ่อื จะให้
หลักประกนั แก่ผรู้ บั บรกิ ำรว่ำผูใ้ ห้บรกิ ำรสำมำรถใหบ้ รกิ ำรทม่ี คี ุณภำพตำมมำตรฐำนวิชำชีพไดเ้ พรำะมี
กำรศึกษำอบรมมำกพอ
๔. สมำชกิ ของวชิ ำชีพชั้นสูงจะตอ้ งมีเสรภี ำพในกำรใชว้ ชิ ำชพี นน้ั ๆตำมมำตรฐำนของ
วิชำชีพ (Professional Autonomy) หมำยควำมวำ่ กำรวินิจฉัยในกำรให้บริกำรภำยในขอบเขตของ
วิชำชพี แตล่ ะวชิ ำชีพนน้ั สมำชิกของวชิ ำชีพนน้ั ๆควรจะมีเสรีภำพในกำรใหบ้ ริกำรโดยปรำศจำกกำร
แทรกแซงจำกบุคคลภำยนอกกำรใชเ้ สรีภำพทำงวชิ ำชีพเป็นควำมรับผิดชอบสำคญั เม่ือผู้ทเี่ ป็นสมำชิก
ของวชิ ำชีพไดร้ ับกำรศกึ ษำอบรมมำดีแลว้ ก็เปน็ ธรรมดำทจ่ี ะสำมำรถวนิ ิจฉัยเพื่อใหบ้ ริกำรไดถ้ ูกตอ้ งตำม
ลำพงั ควำมเปน็ อสิ ระในกำรให้บริกำรเป็นลักษณะที่จำเปน็ ทที่ ุกวิชำชพี ต้องมแี ต่จะมีมำกน้อยเพยี งใด
ขึ้นอย่กู ับควำมยอมรบั ของสังคมและผูร้ บั บริกำรเปน็ สำคญั
๕. วชิ ำชีพชัน้ สูงจะตอ้ งมจี รรยำบรรณ (Professional Ethics) จรรยำบรรณเปน็ แนวทำง
ของกำรปฏบิ ตั วิ ชิ ำชีพผทู้ ล่ี ะเมิดจรรยำบรรณจะต้องไดร้ ับกำรลงโทษในกรณรี ้ำยแรงอำจถกู เพิกถอน
ใบอนญุ ำตประกอบวชิ ำชีพได้ในทุกสงั คมจะมีกฎหมำยควบคมุ กำรประกอบวชิ ำชีพโดยเฉพำะวชิ ำชพี
หลกั ๆซงึ่ ใหบ้ รกิ ำรอนั อำจมีผลกระทบต่อสวัสดิกำรสวสั ดิภำพและควำมมัน่ คงปลอดภยั ของสังคมใน
ประเทศไทยกม็ ีกฎหมำยคมุ้ ครองกำรปฏบิ ตั ิวิชำชีพอยหู่ ลำยวิชำชีพผจู้ ะปฏบิ ัตวิ ชิ ำชีพจะต้องไดร้ บั
ใบอนญุ ำตประกอบวชิ ำชีพจึงจะกระทำได้เช่นวิชำชพี เวชกรรมวิศวกรรมหรอื สถำปัตยกรรม
๖. วชิ ำชีพช้นั สูงจะต้องมสี ถำบันวิชำชีพเปน็ แหลง่ กลำงในกำรสรำ้ งสรรคจ์ รรโลงมำตรฐำน
ของวชิ ำชพี (Professional Institution) สถำบันหรอื องค์กรวิชำชพี เปน็ แหล่งกลำงในกำรเสริมสร้ำง
ควำมสมั พันธ์ระหว่ำงสมำชกิ ของวิชำชพี สถำบันวชิ ำชีพมี ๒ ลักษณะคือลักษณะที่ ๑ เป็นสถำบัน
ควบคมุ และพฒั นำมำตรฐำนและกำรปฏบิ ตั วิ ชิ ำชีพเชน่ แพทยสภำหรอื เนตบิ ณั ฑิตยสภำลักษณะท่ี ๒
เปน็ สมำคมวชิ ำชีพเพื่อเป็นแหลง่ สง่ เสรมิ ควำมสมั พันธ์ระหวำ่ งสมำชิกและเสรมิ สรำ้ งควำมแข็งแกร่งและ
ควำมกำ้ วหน้ำของวิชำชพี เชน่ แพทยสมำคมหรือสมำคมกำรจัดกำรธรุ กจิ แหง่ ประเทศไทย
๑๖
วิชาชีพครู : ศาสตร์และวชิ าชพี ชน้ั สงู
งำนครูเป็นงำนทย่ี ำกเปน็ งำนท่ีตอ้ งฝึกฝนตนจนมีควำมชำนำญทั้งในวิชำควำมรแู้ ละวิชำสอน
งำนครมู คี ุณลกั ษณะของควำมเปน็ ศำสตรแ์ ละควำมเป็นวชิ ำชพี ระดับสูงแขนงหนึง่ ในสังคมโดย
พิจำรณำจำกองคป์ ระกอบของศำสตร์ท่วี จิ ิตร ศรสี อ้ำน (๒๕๔๑, หนำ้ ๑)๒๓ ได้กล่ำวถึงองค์ประกอบ
สำคัญของศำสตร์ตำ่ ง ๆ ดงั น้ี
ศำสตร์หรือสำยวชิ ำต่ำงๆประกอบด้วย ๓ องคป์ ระกอบคอื
องคป์ ระกอบที่ ๑ ศำสตร์ทกุ ศำสตรจ์ ะต้องมีศัพทเ์ ฉพำะวิชำของตนเอง (Nomen–culture
หรือ Terminologies)
องค์ประกอบที่ ๒ องค์ประกอบของศำสตรท์ ุกสำขำเรียกว่ำ Classificatory System หรอื
Taxonomy หมำยถึงกำรแบ่งระบบศำสตร์ออกเป็นสว่ นๆ
องคป์ ระกอบท่ี ๓ คือวิชำกำรค้นควำ้ หรือกำรวิจัยท่ีเรยี กว่ำ Mode of Inquiry
เมื่อพจิ ำรณำจำกองคป์ ระกอบของศำสตรห์ รือสำยวิชำแลว้ วิชำชีพครนู บั เปน็ ศำสตรเ์ พรำะมี
องค์ประกอบครบกลำ่ วคือ
๑. วชิ ำครมู ศี พั ท์เฉพำะศำสตรข์ องตน
๒. มีกำรแบ่งระบบของศำสตร์เปน็ ส่วนๆเชน่ สว่ นวชิ ำกำรศึกษำทัว่ ไป (General
Education) และวิชำเฉพำะ (Subject Specialty) และ
๓. มกี ำรวิจัยเพ่ือคน้ คว้ำหำควำมรใู้ หม่ในศำสตร์ของวชิ ำชีพครเู สมอ
ศักด์ิไทย สุรกิจบวร ( ๒๕๕๔,หนำ้ ๑)๒๔ ไดแ้ สดงทัศนะวำ่ ในควำมเปน็ วชิ ำชีพของอำชพี ครูมี
องค์ประกอบท่สี ำคญั คือวชิ ำชพี ครเู ป็นวชิ ำชพี ทใ่ี ห้กำรบริกำรแกส่ ังคมในลกั ษณะทมี่ ีควำมจำเพำะ
เจำะจง (Social Service) สมำชกิ ในวงกำรวชิ ำชีพครจู ะตอ้ งใชว้ ธิ ีกำรแหง่ ปัญญำในกำรใหบ้ รกิ ำร
(Intellectual Method) สมำชิกในวงกำรวชิ ำชพี ครจู กั ตอ้ งไดร้ บั กำรศึกษำอบรมให้มีควำมรกู้ ว้ำงขวำง
ลกึ ซึ้งโดยใชร้ ะยะเวลำยำวนำนพอสมควร (long period training) สมำชิกในวงกำรวิชำชพี ครูจักต้องมี
เสรีภำพในกำรใช้วชิ ำชพี น้ันๆตำมมำตรฐำนของวิชำชพี (Professional autonomy) และวิชำชพี ครู
จะต้องมีจรรยำบรรณวชิ ำชพี (Professional Ethics) และมีสถำบันแหง่ วชิ ำชีพเป็นแหล่งกลำงในกำร
สร้ำงสรรคจ์ รรโลงควำมเป็นมำตรฐำนวชิ ำชีพ (Professional Institute) รวมทง้ั มลี ักษณะของควำมเป็น
มืออำชีพท่ีสำคญั กล่ำวคือบคุ คลนัน้ ทยี่ ึดถือวิชำชพี นัน้ ๆจะต้องมีควำมร้ใู นวชิ ำชพี มเี จตคตทิ ดี่ ีต่อวชิ ำชีพมี
ทกั ษะทเ่ี หมำะสมกบั วชิ ำชีพมีจติ วญิ ญำณต่อวชิ ำชีพกล้ำรับผดิ ชอบกล้ำเผชญิ ตอ่ ผลกำรกระทำอัน
เนอื่ งมำจำกภำรกิจทเี่ กี่ยวข้องกับวชิ ำชีพ
๒๓ วจิ ติ ร ศรสี อ้ำน, ประสบการณ์วิชาชพี บริหารการศึกษา, (กรุงเทพฯ : สำนักพมิ พ์
มหำวทิ ยำลยั สโุ ขทยั ธรรมำธริ ำช, ๒๕๔๑, หน้ำ ๑.
๒๔ ศกั ด์ิไทย สรุ กิจบวร, ครมู อื อาชีพ : สงิ่ จาเป็นท่ีควรมแี ละควรเปน็ , [Online].
Available from: http://www.kruthacheen.com/index.php?lay=show& ac=article&Id=
๕๓๘๖๘๒๕๓๗&Nype=๒. ๒๐ กมุ ภำพนั ธ์ ๒๕๕๔, หนำ้ ๑.
๑๗
Gerald and Runté( ๑๙๙๕,p๑)๒๕ ได้ให้ทัศนะว่ำผปู้ ระกอบวิชำชีพครูทเ่ี ปน็ ระดบั มอื อำชีพ
เพอ่ื วิชำชพี ครูสำมำรถเป็นวิชำชีพช้ันสูงไดน้ ้ันผปู้ ระกอบวิชำชพี ครูจะมีคณุ ลักษณะดงั น้ี
๑. ครูในระดับวชิ ำชีพตอ้ งมที ักษะควำมร้ดู ้ำนกำรศึกษำและมีประสบกำรณ์ในกำรจัดกำร
เรยี นกำรสอนหรอื กำรจดั ประสบกำรณก์ ำรเรยี นรู้ในระดบั สูง
๒. ครูในระดับวชิ ำชพี ต้องเป็นบุคคลทใ่ี ฝ่หำควำมรพู้ ฒั นำและฝกึ อบรมด้ำนวิชำกำรใน
วชิ ำชีพของตนเองอยเู่ สมอเพ่ือใหท้ ันกบั ควำมเจรญิ ก้ำวหน้ำทำงวิชำชีพและร่วมมือกบั คณำจำรย์ใน
ระดับมหำวทิ ยำลัยเพือ่ พฒั นำศำสตรแ์ ห่งวชิ ำชพี ครู
๓. มสี มำคมวชิ ำชพี ทีใ่ หใ้ บประกำศนียบตั รรับรองควำมสำมำรถของควำมเปน็ ครรู ะดับ
วชิ ำชพี
๔. ครใู นระดบั วิชำชพี จะทำงำนในองค์กรหรอื หนว่ ยงำนท่ีเป็นทำงกำรหรือทม่ี ีควำมม่นั คง
๕. ครใู นระดับวชิ ำชพี ควรมพี ฤติกรรมทีเ่ หมำะสมเช่นเคำรพรับผิดชอบให้เกียรติผู้อืน่
๖. ครใู นระดับวิชำชพี ตอ้ งมคี วำมรกั ควำมศรัทธำในวิชำชีพให้ควำมช่วยเหลอื แก่ผ้เู รียนไม่
เห็นแก่ตวั
Gutek (๒๐๑๑,p๓๘๒-๓๘๔)๒๖ ไดก้ ล่ำวไวว้ ่ำคณุ ลักษณะของวชิ ำชพี ครูยังนบั เปน็ วชิ ำชพี
ระดับสงู แขนงหนง่ึ ในสงั คมเป็นวิชำชีพพเิ ศษสำขำหนึ่งทีส่ ังคมยอมรับท้ังนี้พิจำรณำจำกเกณฑว์ ิชำชีพครู
ดงั น้ี
๑. วชิ ำชพี ครเู ป็นวชิ ำชีพท่มี กี ิจกรรมที่ใชว้ ิถที ำงแหง่ ปัญญำใชว้ ชิ ำควำมรูเ้ ฉพำะดำ้ นกำร
สอนเป็นกจิ กรรมทำงปัญญำเป็นกำรถ่ำยทอดควำมรู้ประสบกำรณค์ ่ำนิยมทักษะต่ำงๆไปสู่ผู้เรียนผู้
ประกอบวชิ ำชพี ครตู ้องใช้ศำสตร์และศลิ ปแ์ หง่ วิชำชพี อันเป็นวิทยำกำรเฉพำะดำ้ น
๒. กำรประกอบวิชำชพี ครูเป็นกจิ กรรมท่ีให้บรกิ ำรแกส่ ังคมทเี่ ฉพำะเจำะจงกำรสอนเป็น
กำรใหบ้ ริกำรแกส่ ังคมเพ่ือพัฒนำสมำชิกใหม่ในสงั คมให้ดำรงตนอยู่ได้เป็นกจิ กรรมสำคัญทเ่ี ปน็ รำกฐำน
ของสังคมเป็นวิชำชพี หลักทเ่ี ป็นแหลง่ กำเนดิ ของอำชีพต่ำงๆในสังคม
๓. กำรประกอบวิชำชพี ครูอยู่บนพืน้ ฐำนทำงทฤษฎีทำงวิทยำกำรของศำสตร์แตล่ ะสำขำที่
ประยกุ ต์มำเปน็ กำรปฏิบัติกำรสอนเปน็ กำรผสมผสำนวทิ ยำกำรมำกมำยทั้งปรัชญำกำรศึกษำ
ประวัติศำสตร์จิตวทิ ยำสงั คมวิทยำหลกั กำรสอนกำรประเมินผลกำรศกึ ษำเป็นตน้
๔. กำรเขำ้ สูว่ งกำรวิชำชพี ครูผู้ประกอบวชิ ำชพี ครูตอ้ งเตรยี มตัวในกำรศึกษำเล่ำเรยี น
วชิ ำชพี จำกวทิ ยำลัยหรือมหำวิทยำลัยเปน็ ระยะเวลำท่ีมำกพอสมควรและใช้ระยะเวลำในกำรฝกึ ฝน
อบรมในสถำบนั ผลิตครูไม่นอ้ ยกว่ำ ๔ ปี จึงจะสำเร็จกำรศึกษำออกไปทำกำรสอนได้
๕. วชิ ำชีพแตล่ ะสำขำจะกำหนดมำตรฐำนวชิ ำชีพขึ้นทงั้ มจี รรยำบรรณวิชำชพี เพ่ือควบคุม
ควำมประพฤติและกำรปฏิบัติตนตลอดจนมำตรฐำนและคุณภำพในกำรประกอบวชิ ำชพี ของมวล
๒๕ Gerald and Runté, Thinking about teaching, : An introduction. Toronto:
Harcourt Brace. [Online]. Available from: http://www.uleth.ca/edu/runte/professional/teaprof.htm.
(๑ March ๒๕๕๔,๑๙๙๕) p๑.
๒๖ Gutek. Education and Schooling in America, [Online]. Available from:
http://www. goodreads.com/author/show/๖๑๘๙๓๕. Gerald_L_Gutek. (๑๕ January ๒๕๕๔,๒๐๑๑), p
๓๘๒-๓๘๔.
๑๘
สมำชกิ ในวิชำชพี
๖. ผูป้ ระกอบวิชำชีพครูมีเอกสิทธิแ์ ละเสรภี ำพทำงวชิ ำชีพมีเอกสิทธิ์ในกำรตกลงใจและ
ตดั สินใจทจ่ี ะใชค้ วำมรใู้ นกำรแกไ้ ขปัญหำมีเอกสิทธใิ์ นกำรกำหนดวิธีสอนและออกแบบกจิ กรรมกำร
เรียนรใู้ หส้ อดคล้องกบั จุดประสงค์ทก่ี ำหนดในหลักสูตร
๗. สมำชกิ แห่งวิชำชีพมีกำรจัดตง้ั องคก์ รวชิ ำชีพท่เี ปน็ อสิ ระในกำรควบคุมจรรยำบรรณ
มำตรฐำนในกำรประกอบวิชำชีพและสำมำรถลงโทษสมำชิกตลอดจนสง่ เสริมควำมก้ำวหนำ้ ของ
วชิ ำชีพ
จำกทก่ี ลำ่ วมำท้งั หมดขำ้ งตน้ ได้ขอ้ สรปุ วำ่ วชิ ำชพี ครเู ป็นวิชำชีพชัน้ สูงประกอบด้วยกำรมี
ควำมจำเพำะและเจำะจงกำรมวี ถิ ีทำงแห่งปัญญำในกำรบริกำรกำรมีเสรีภำพทำงวชิ ำกำรและวชิ ำชพี
กำรศึกษำอบรมเพื่อถำ่ ยทอดองค์ควำมรู้ทกั ษะควำมชำนำญสมรรถนะและทัศนคติกำรมีหลักสตู ร
และระยะเวลำท่เี พยี งพอกำรฝกึ งำนหรอื ประสบกำรณ์วิชำชีพกำรมใี บรบั รองกำรมจี รรยำบรรณ
วิชำชพี กำรมอี งคก์ รหรือสมำคมวิชำชีพชนั้ สูงรวมทั้งกำรมีจิตวิญญำณต่ออำชีพกล้ำรับผิดชอบกล้ำ
เผชญิ ต่อผลกำรกระทำอันเนือ่ งมำจำกภำรกจิ ทเ่ี กีย่ วข้องกบั อำชีพมีควำมเป็นมืออำชพี ด้ำนควำมรูม้ ี
เจตคตทิ ี่ดีต่อวิชำชีพและทกั ษะทเี่ หมำะสมต่อวชิ ำชีพ
พฒั นาการวชิ าชีพครจู ากอดีตสปู่ จั จบุ นั
คำวำ่ “ครู” เป็นคำทม่ี ปี ระวตั ิควำมเปน็ มำอันยำวนำนสืบเน่ืองต้ังแต่สมัยโบรำณก่อนมีระบบ
โรงเรยี นและกำรจดั กำรศกึ ษำอย่ำงเปน็ ระบบเช่นปจั จบุ ันในอดตี “คร”ู คือผู้ทำหนำ้ ทใี่ นกำรอบรมสง่ั
สอนหรอื ถ่ำยทอดควำมรแู้ กผ่ ู้อ่ืนแต่งำนในอดีตน้นั ไม่ใชง่ ำนอำชพี แต่เป็นงำนทำงศีลธรรมคอื อบรมส่ัง
สอนศิษย์ให้เป็นคนดมี วี ชิ ำควำมร้โู ดยทำหนำ้ ทคี่ ลำ้ ยบิดำมำรดำส่ังสอนบุตรในอดีตนับต้ังแตส่ มยั สุโขทัย
อยุธยำจนถงึ รัตนโกสนิ ทร์ตอนตน้ ครสู ่วนใหญ่จะเปน็ พระซึ่งจะเปน็ ผู้ท่ีได้รบั ควำมเคำรพนบั ถอื จำก
ประชำชนแตภ่ ำยหลังมรี ะบบโรงเรยี นในรชั สมยั พระบำทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้ำเจ้ำอยู่หัวรชั กำลท่ี๕ซง่ึ
มีพระบรมรำชโองกำรประกำศตงั้ กรมศกึ ษำธกิ ำรขน้ึ เพื่อดูแลโรงเรียนทัง้ ปวงใน พ.ศ. ๒๔๓๐ ในรชั สมัย
รชั กำลท่ี ๕ และรัชกำลที่ ๖ นัน้ วชิ ำชีพครูนับได้ว่ำเปน็ วิชำชพี ช้ันสงู โดยกำรเขำ้ สู่เสน้ ทำงวชิ ำชพี ครูมี
กำรคดั สรรคนเก่งคนดีเข้ำมำเรยี นครูโดยได้รับทนุ กำรศกึ ษำมีกำรบ่มเพำะบคุ คลให้มีคุณลักษณะครดู ี
และรกั ศรัทธำในวชิ ำชพี ครูก่อนท่จี ะเขำ้ สวู่ ชิ ำชีพครูและเม่ือมอี ำชีพครูจะไดร้ บั กำรบรรจเุ ป็นครูของทำง
รำชกำรมีเงนิ เดือนในกำรยังชพี เป็นอำชีพหนง่ึ ท่ีได้รบั ควำมนยิ มและเป็นที่ยอมรับของสังคมคนเกง่ ๆใน
สมยั น้นั นิยมเขำ้ สู่อำชีพครู
สำหรบั กำรจัดต้ังสถำนศึกษำเพ่ือจดั กำรศึกษำสำหรบั ผู้ท่จี ะศกึ ษำเลำ่ เรยี นเพ่ือประกอบวิชำชีพ
ครนู ้นั จัดตงั้ ข้ึนครัง้ แรกเม่อื พ.ศ. ๒๔๓๕ ท่ีโรงเลี้ยงเดก็ และตึกปน้ั หยำถนนบำรุงเมืองเรยี กว่ำ“โรงเรียน
ฝึกหัดอำจำรย์” เปดิ สอนเม่ือวนั ท่ี ๑๒ ตุลำคม พ.ศ. ๒๔๓๕ โดยปแี รกทเี่ ปดิ เรียนมนี ักเรียนฝึกหัด
อำจำรย์๓คนซึง่ ไดร้ ับทนุ เลำ่ เรยี นสนับสนนุ จำกรฐั บำลเพอื่ เปน็ ข้อผกู มดั วำ่ เมื่อสำเรจ็ กำรศกึ ษำแล้ว
จะต้องรบั รำชกำรเปน็ ครูโรงเรียนฝึกหัดอำจำรย์ได้ยำ้ ยสถำนที่หลำยคร้งั อนั เนื่องมำจำกสถำนทเ่ี ดมิ คบั
แคบผลกระทบจำกสงครำมโลกในปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ไดย้ ำ้ ยไปอยู่ที่ตึกแมน้ นฤมิตร วัดเทพศริ นิ ทร์ และ
ตอ่ มำพ.ศ. ๒๔๔๖ ไดต้ ้ังโรงเรยี นฝึกหดั ครูเพิ่มข้ึนอีกแห่งหน่ึงณโรงเรียนรำชวทิ ยำลัยฝงั่ ตะวนั ตกหลังวัด
ประยรู วงศำวำสเรียกว่ำโรงเรียนฝึกหัดครูฝงั่ ตะวนั ตก
๑๙
หลังกำรเปลย่ี นแปลงกำรปกครองเม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๕ คณะรำษฎรไ์ ดป้ ระกำศให้หลักว่ำดว้ ย
กำรศึกษำเป็นหนึง่ ในหลักกำรบริหำรกจิ กำรบ้ำนเมอื งโดยกำหนดวำ่ “จะตอ้ งใหก้ ำรศึกษำอยำ่ งเต็มทแ่ี ก่
รำษฎร” เพรำะกำรปกครองระบอบประชำธิปไตยจะดำเนนิ ไปโดยรำบร่นื ต้องอำศัยกำรศึกษำพลเมืองท่ี
มีกำรศึกษำดีย่อมสำมำรถจรรโลงควำมรุ่งเรอื งแกป่ ระเทศชำติสง่ ผลใหร้ ฐั บำลประกำศใช้แผนกำรศกึ ษำ
ชำตเิ ม่อื วันท่ี ๒๘ มีนำคม พ.ศ. ๒๔๗๕ สรุปสำระสำคัญคอื ประกำศใช้พระรำชบญั ญตั ิประถมศกึ ษำข้ึน
ทั้งกรุงเทพฯและหัวเมืองจัดต้ังฝกึ หดั ครทู ุกประเภททุกชั้นจัดตง้ั โรงเรยี นวิสำมัญศกึ ษำทง้ั แผนกสกิ รรม
อุตสำหกรรมและพำณชิ ยกรรมจัดตัง้ มหำวทิ ยำลยั ใหส้ อนช้นั ปริญญำได้ทัดเทียมกับนำนำประเทศท้ังใน
กรุงเทพฯและหวั เมืองจัดเคร่ืองอปุ กรณ์กำรศึกษำให้แพรห่ ลำยอุปถัมภศ์ ำสนำอนั เป็นปัจจยั สำคัญในกำร
อบรมมนุษยธรรมกำรประกำศใช้แผนกำรศึกษำดงั กลำ่ วทำให้มีกำรขยำยกำรศกึ ษำอยำ่ งกว้ำงขวำง
โดยเฉพำะอย่ำงยิ่งระดับประถมศึกษำส่งผลให้อำชพี ครูเป็นที่ต้องกำรของสังคมมำกรัฐจึงแก้ปัญหำโดย
กำรจดั ต้ัง“โรงเรียนฝกึ หัดครูประกำศนียบตั รจงั หวัด” ข้ึนกำรฝึกหดั ครูก้ำวหนำ้ และขยำยตัวอย่ำง
รวดเรว็ และใน พ.ศ. ๒๔๙๗ จงึ มีกำรขยำยงำนกองกำรฝึกหัดครูเป็นกรมกำรฝกึ หัดครูมีหนำ้ ท่ผี ลิตครู
และอบรมครูโดยเฉพำะและมีกำรจัดตงั้ วทิ ยำลัยวิชำกำรศึกษำข้นึ ต่อมำใน พ.ศ. ๒๕๐๔-พ.ศ. ๒๕๐๙
นับเป็นระยะเร่ิมตน้ ของกำรปรับปรุงกรมกำรฝึกหัดครแู ละยกฐำนะเป็นวทิ ยำลัยครู
ต่อมำมีกำรขยำยกำรศกึ ษำภำคบังคบั เป็น ๗ ปีส่งผลต่อปัญหำขำดแคลนครกู รมกำรฝึกหัดครูจงึ
เร่งผลิตครมู ำกข้ึนมีกำรจดั กำรศกึ ษำภำคนอกเวลำเพ่ือสนองควำมตอ้ งกำรศึกษำต่อสง่ ผลต่อกำรเพิม่
จำนวนบคุ ลำกรกรมกำรฝกึ หัดครูอย่ำงรวดเร็วในขณะเดยี วกันวิทยำลยั วชิ ำกำรศึกษำก็ได้มีกำรขยำย
ปรมิ ำณกำรผลิตครูผลิตบณั ฑิตสง่ ใหก้ บั กรมกำรฝกึ หัดครูมำกข้ึนในขณะท่ีชว่ ง พ.ศ. ๒๕๑๕-พ.ศ. ๒๕๑๙
ประเทศไทยมีอัตรำเพิม่ ของประชำกรจำนวนมำกมีปญั หำขำดแคลนบุคลำกรระดับกลำงและระดบั สูง
ขำดแคลนครจู ำเปน็ ต้องขยำยอตั รำกำรผลติ ครูโดยจดั กำรสอนภำคปกตภิ ำคค่ำและภำคสมทบจนมีอตั รำ
ครเู พิ่มเกนิ ควำมตอ้ งกำรสง่ ผลให้คณุ ภำพครูลดลงและพบว่ำครสู ว่ นหนึ่งไม่ไดร้ ับกำรฝกึ อบรมดำ้ นกำร
ฝึกหัดครูหลักสตู รกำรฝึกหดั ครูไม่สอดคล้องกับควำมต้องกำรกำรผลิตครูในหลำยหน่วยงำนขำดกำร
ประสำนงำนกันในขณะทวี่ ิทยำลัยวิชำกำรศกึ ษำไดย้ กฐำนะขนึ้ เปน็ มหำวทิ ยำลยั และมีกำรตง้ั วิทยำลยั ครู
เพิ่มมำกขึน้ (จิรพันธ์ ไตรทิพจรัส, ๒๕๕๔, หนำ้ ๑)๒๗
เพ่ือเป็นกำรแก้ไขปัญหำวิชำชีพครทู ำงรำชกำรจึงไดอ้ อกกฎหมำยเพ่ือควบคุมวิชำชีพคือ
พระรำชบญั ญตั ิครู พ.ศ. ๒๔๘๘ และกำหนดให้มีองคก์ รวิชำชีพครขู ึ้นเรียกวำ่ ครุ ุสภำให้อำนำจหน้ำที่ใน
กำรควบคมุ ดแู ลจรรยำมำรยำทและวนิ ยั ของครตู ลอดจนพิจำรณำโทษครผู ้ปู ระพฤติผิดและกำหนดให้ครู
ทกุ คนต้องเป็นสมำชกิ ของคุรุสภำในมำตรำ ๒๖ กำรผลติ ครูเริม่ เป็นระบบแบบประเทศตะวันตกและ
พฒั นำข้ึนตำมลำดับมีกำรจัดต้ังโรงเรยี นฝกึ หัดครเู พื่อผลิตครูอำชพี กระจำยไปทว่ั ประเทศแลว้ พัฒนำข้นึ
เปน็ วิทยำลัยครพู ร้อมๆกับมกี ำรจัดตงั้ คณะวิชำทเ่ี กย่ี วกับกำรผลติ ครูในมหำวทิ ยำลยั ตำ่ งๆ
กลำ่ วไดว้ ่ำกำรผลติ ครเู ป็นกจิ กำรของรัฐมำโดยตลอดและมีกำรพัฒนำคณุ ภำพกำรผลติ ครูให้
เหมำะสมกบั สภำพสังคมทเี่ ปลย่ี นแปลงตลอดเวลำและกำรพัฒนำระบบกำรจัดกำรศึกษำมำกข้นึ ทำให้
อำชพี ครูมีคำ่ ตอบแทนมสี ถำนทีถ่ ่ำยทอดควำมร้จู งึ มีคนนยิ มมำประกอบอำชีพนมี้ ำกขึน้ มีสถำนที่ฝกึ หดั
๒๗ จริ พันธ์ ไตรทิพจรสั , บทความในวนั คลา้ ย “วันสถาปนาการฝกึ หัดครูไทย”, ครบรอบ ๑๑๙ ปี
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔. [Online]. Available from: http://www.dru.ac.th/uploads advertise/mueythai.pdf,
๓๐ มกรำคม ๒๕๕๔, หน้ำ ๑.
๒๐
ครูเพ่ือทำหน้ำท่ีคดั คนท่ีเก่งคนดมี ำทำกำรฝึกหัดเพื่อออกไปทำอำชีพครูจึงมีกำรออกกฎหมำยใหม้ ี
กำรศกึ ษำภำคบังคับสำหรบั ผู้ประกอบวชิ ำชีพครู
ดงั นนั้ กระแสควำมนยิ มให้คนท่เี รยี นเก่งไม่อยำกมำเรียนครูจงึ มีมำกขึ้นจงึ เป็นสำเหตุให้วิชำชพี
ครใู นสงั คมไทยตกตำ่ ลงรุ่ง แก้วแดง (๒๕๕๔, หนำ้ ๑๓)๒๘ ได้กลำ่ วไวใ้ นหนงั สือปฏิวัตกิ ำรศึกษำไทยวำ่
เกยี รตภิ มู ขิ องครูนั้นตกตำ่ เพรำะมีสำเหตดุ งั นี้
๑. กำรลดควำมสำคญั ในกำรประกอบอำชีพครูคนท่ีเรียนครูไม่ได้ต้ังใจท่ีจะเป็นอย่ำง
แทจ้ ริงเพรำะมักจะเลือกเรยี นเป็นอันดบั ทำ้ ยๆจงึ มักไดย้ นิ ว่ำไมร่ ูจ้ ะเรียนอะไรแลว้ มำเลือกเรยี นครู
๒. ครูขำดกำรพฒั นำตนเองครสู ว่ นใหญไ่ ม่ได้พฒั นำตนเองหลงั จำกจบจำกสถำบนั ฝึกหดั
ครูไปแลว้ ตวั ครเู องไม่ค่อยสนใจศึกษำต่อยอดควำมรู้เพิ่มเตมิ ควำมรู้ส่วนใหญจ่ ึงเปน็ ควำมรู้ที่ได้จำก
กำรฝึกประสบกำรณ์ในสถำบันฝึกหดั ครูมำจึงทำให้ไม่ทนั ต่อกำรเปล่ียนแปลงของวทิ ยำกำรใหมๆ่ ที่
เกดิ ขนึ้ ในปจั จบุ ันทคี่ ่อนข้ำงรวดเร็ว
๓. ครูขำดกำรวจิ ัยและพฒั นำตนเองศำสตร์ในสำขำกำรศึกษำมีกำรวิจยั และพัฒนำมีนอ้ ย
เม่อื เทยี บกับวงกำรอื่นๆเชน่ วงกำรแพทยส์ ำรสนเทศวงกำรวิศวกรรมฯลฯหรอื แม้จะมีงำนวิจัยอยู่
น้อยแต่ไมน่ ิยมสนใจที่จะนำมำปรับขยำยผลกับนกั เรียนของตน
๔. กำรใหค้ ่ำตอบแทนไมส่ มดุลกับคำ่ ครองชีพในภำวะทีส่ งั คมนิยมวตั ถุมำกขน้ึ คำ่ ครอง
ชีพสูงขน้ึ แต่ครูไดร้ บั ค่ำตอบแทนนอ้ ยจงึ ทำใหค้ รูจำนวนหนึ่งเป็นหน้ีสินจนกลำยเป็นปญั หำระดับชำติ
๕. กำรใหค้ วำมสำคัญกับสำยงำนบรหิ ำรกำรศึกษำโอกำสและควำมก้ำวหนำ้ ของครูใน
สำยวชิ ำกำรมีควำมกำ้ วหน้ำน้อยกวำ่ ตำแหน่งในสำยกำรบริหำรจงึ ทำใหค้ รูที่เกง่ ต้องกำรเข้ำส่ตู ำแหน่งใน
สำยบรหิ ำรมำกขึ้น
๖. ครขู ำดเสรภี ำพทำงวชิ ำกำรหลักสูตรกำหนดให้ครูต้องสอนตำมจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
และวำงระเบียบไวเ้ ข้มงวดทำให้มองวำ่ ครสู อนไมเ่ ปน็ ไม่มีควำมคดิ สร้ำงสรรคต์ ้องมีกรอบไว้ควบคมุ เปน็
เหตใุ ห้ขำดเสรภี ำพทำงกำรสอนของครู
๗. ครูขำดกำรศึกษำวฒั นธรรมประเพณแี ละสภำพของชมุ ชนครทู ท่ี ำหน้ำทีส่ อนในโรงเรียน
สว่ นหน่ึงไม่ใช่คนในพ้ืนทีจ่ งึ ไม่เขำ้ ใจวัฒนธรรมควำมสำคัญของประเพณีท้องถิน่ ซ่งึ เด็กไดร้ ับกำรปลกู ฝงั
จำกชุมชนจึงทำให้ครูไมเ่ ขำ้ ใจพฤติกรรมบำงอย่ำงของเดก็ ได้อย่ำงลกึ ซึง้ นอกจำกนยี้ ังเกิดปัญหำสำหรับ
ครทู ตี่ ้องกำรย้ำยกลบั ภูมิลำเนำย้ำยติดตำมคสู่ มรสจงึ ทำให้ขำดควำมต่อเนอ่ื งในกำรเรยี นรู้ของผู้เรียน
๘. ครใู นสถำนศกึ ษำขำดกำรทำงำนเชงิ รุกถนดั ในกำรตั้งรับมำกกวำ่ ชุมชนกับโรงเรียนไม่ได้
ร่วมกันพฒั นำกำรศึกษำอยำ่ งจริงจงั กำรดำเนินกำรศึกษำผู้ปกครองไมค่ ่อยได้มสี ว่ นร่วมทำใหข้ ำดกำร
ยอมรับจำกชมุ ชนเพรำะไม่มสี ่วนรว่ มต้ังแต่เรม่ิ แรก (ครูไทยในศตวรรษท่ี ๒๑ เผ็ดหรือจดื ชืดมุมมองของ
นกั วชิ ำกำร, ๒๕๕๒, หนำ้ ๑)๒๙
จำกกำรเสวนำทำงวิชำกำรเรื่อง “กำรผลิตครู : วิกฤตและโอกำส” ในวนั สถำปนำกำรฝึกหัดครู
ไทย (กระทรวงศึกษำธิกำร, ๒๕๕๔, หนำ้ ๑)๓๐ ในท่ปี ระชุมได้เสวนำเร่ืองทิศทำงควำมเปล่ยี นแปลงของ
๒๘ รุ่ง แกว้ แดง, บทความครูในครูมอื อาชีพ, [Online]. Available from:http://www. thaileam.
net/index_teacher.html. ๒๓ กุมภำพนั ธ์ ๒๕๕๔, หน้ำ ๑๓.
๒๙ นกั วชิ ำกำร, ครไู ทยในศตวรรษที่ ๒๑เผด็ หรือจดื ชืดมมุ มองของนกั วิชำกำร ครบู า้ นนอกบล็อก,
[Online]. Available : http://www.kroobannok.com/blog/๑๑๘๘๕. ๒๓ พฤษภำคม ๒๕๕๒, หนำ้ ๑.
๒๑
ระบบเศรษฐกจิ โลกสง่ ผลต่อระบบกำรศกึ ษำของไทยทำให้ครูต้องมกี ำรพฒั นำให้กำ้ วทันและกำ้ วไกลและ
ประเทศไทยก็กำลงั จะก้ำวเข้ำสู่ประชำคมอำเซียนจึงจำเปน็ ต้องมีกำรจดั ระบบกำรศกึ ษำ โดยเฉพำะเรื่อง
ภำษำอังกฤษกำรจดั กำรศึกษำแบบบรู ณำกำรรว่ มกันพฒั นำทอ้ งถิน่ สถำบันผลิตครูเป็นองคก์ รหลักในกำร
พฒั นำครใู ห้มีศกั ยภำพมีคณุ ภำพไปพรอ้ มกบั เป็นครูท่ีทันสมัยเรียนรเู้ ทคโนโลยใี หมๆ่ และเปน็ กลไกสำคัญ
ท่ีจะชว่ ยพฒั นำท้องถิน่ และขับเคลอ่ื นระบบเศรษฐกจิ ของประเทศให้ก้ำวหน้ำทันควำมเปลยี่ นแปลงของ
โลก
ฉะน้ันผู้ประกอบวิชำชีพครตู อ้ งมคี วำมรปู้ ระสบกำรณ์ควำมชำนำญและทัศนคติท่ีดีต่อกำร
สอนตอ้ งมีกำรพฒั นำตนเองอยำ่ งตอ่ เน่ืองหลงั จำกสำเรจ็ กำรศกึ ษำจำกสถำบันครุศึกษำทั้งหลำยอัน
ได้แก่คณะศึกษำศำสตรแ์ ละคณะครุศำสตร์ดว้ ยกำรพฒั นำผลงำนทำงวิชำกำรและกำรศึกษำคน้ ควำ้
และวจิ ัยเพื่อให้เปน็ ผู้มีควำมรู้เท่ำทนั กำรเปล่ยี นแปลงและปรบั ปรงุ วธิ กี ำรสอนอยำ่ งต่อเน่ืองรวมทั้งมี
จิตสำนกึ และมุ่งมน่ั ในกำรทำหนำ้ ที่ของครูอยำ่ งแทจ้ รงิ เพรำะวิชำชีพครเู ปน็ วิชำชีพช้ันสูงท่มี ีควำมสำคัญ
ต่อกำรพฒั นำคุณภำพของบุคคลสังคมเศรษฐกิจกำรเมืองกำรปกครองของประเทศ
แนวโนม้ การพฒั นาวชิ าชีพครู
ในสังคมปจั จุบันที่มกี ำรเปล่ียนแปลงอยำ่ งรวดเรว็ สืบเนือ่ งจำกควำมเจรญิ กำ้ วหน้ำของ
วิทยำศำสตร์เทคโนโลยสี ำรสนเทศและกำรสอื่ สำรทำให้เหตุกำรณท์ ่ีเกิดขนึ้ ณจดุ ใดจดุ หนง่ึ จะส่งผล
กระทบแพร่กระจำยไปยงั ส่วนอื่นได้อยำ่ งรวดเร็วโดยเฉพำะควำมเสอื่ มโทรมด้ำนจรยิ ธรรมของสังคม
ท่ีมำจำกสำเหตุของกำรยดึ ติดในวัตถมุ ำกกว่ำคุณงำมควำมดเี กดิ กำรแข่งขันเพ่ือเอำชนะมำกกวำ่ กำร
ร่วมมอื มองผอู้ ่นื เปน็ ค่แู ขง่ มำกกว่ำเปน็ พันธมิตรกำรศกึ ษำจึงเปน็ ทำงออกท่ีดตี ่อปญั หำดังกล่ำวและ
ครูซ่ึงเป็นควำมหวังของกำรเป็นแบบอยำ่ งท่ีดีดำ้ นคณุ ธรรมจรยิ ธรรมแกน่ กั เรยี นและบคุ คลอ่ืนๆใน
สังคมทำให้วชิ ำชพี ครไู ด้ถูกจดั อยู่ในวิชำชพี ทีม่ ีควำมสำคัญต่อกำรพัฒนำคุณภำพของบุคลำกรใน
ประเทศตำ่ งๆท่ัวโลกประเทศไทยก็เช่นเดยี วกนั และในปัจจุบนั รฐั ใหก้ ำรสนบั สนุนงบประมำณด้ำน
กำรศกึ ษำเปน็ อนั ดับตน้ ๆผูป้ ระกอบวชิ ำชพี ครไู ดร้ บั กำรดแู ลและใสใ่ จจำกรัฐเปน็ อย่ำงมำก
ฉะน้นั แนวโนม้ ของกำรพัฒนำวชิ ำชีพครไู ทยจำกปจั จบุ ันน้ีไปสู่อนำคตจึงมที ศิ ทำงกำรพฒั นำที่ดี
ขน้ึ โดยกำรพัฒนำวชิ ำชพี ครูอันจะสง่ ผลตอ่ คุณภำพของวิชำชีพครูทส่ี ำคญั มี๒แนวทำงคอื ๑) แนว
ทำงกำรพฒั นำผู้ประกอบวชิ ำชีพครูใหม้ ีคุณภำพดว้ ยรูปแบบทหี่ ลำกหลำยและ ๒) แนวทำงกำรพัฒนำ
องค์กรวชิ ำชพี ครใู ห้เป็นองค์กรท่ีทนั สมัยและมคี วำมเป็นสำกลดังรำยละเอียดต่อไปนี้
แนวทางการพัฒนาผปู้ ระกอบวชิ าชีพครใู ห้มีคณุ ภาพด้วยรปู แบบท่ีหลากหลาย
จำกกำรเปลยี่ นแปลงของระบบกำรศึกษำท่วั โลกด้วยกำรเปลยี่ นแปลงของขอ้ มูลขำ่ วสำรและ
องค์ควำมรตู้ ำ่ งๆในระบบสำรสนเทศทร่ี วดเร็วเน่อื งจำกควำมเจรญิ ทำงวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยีทำให้
เกดิ กำรพฒั นำของวิชำชพี ครูเพรำะครซู ่ึงเป็นปัจจยั สำคัญในควำมสำเร็จของกำรปฏิรปู กำรศึกษำกำร
ปรับเปลยี่ นบทบำทหนำ้ ท่ีครใู นปจั จุบนั จึงมีควำมสำคัญและจำเปน็ ต่อกำรพัฒนำระบบกำรศกึ ษำใน
๓๐ กระทรวงศึกษำธกิ ำร, “การผลิตครู : วิกฤตและโอกาส”, ในวนั สถำปนำกำรฝกึ หัดครไู ทย ๒๕๕หนำ้
๑.
๒๒
ศตวรรษที่ ๒๑ นีซ้ ่ึงเป็นยคุ แห่งขอ้ มลู ข่ำวสำรท่ไี ร้พรมแดนซึง่ ผู้เรยี นสำมำรถเข้ำถึงข้อมูลไดอ้ ยำ่ งสะดวก
รวดเรว็ ด้วยตนเองครจู งึ ตอ้ งปรบั เปลีย่ นบทบำทจำกกำรเป็นผู้ถ่ำยทอดควำมรเู้ ป็นผู้ใหค้ ำแนะนำในกำร
เรยี นรู้เปน็ ผู้เอ้ืออำนวยควำมสะดวกใหผ้ เู้ รียนเกิดกำรเรยี นรู้ครูจงึ ตอ้ งศกึ ษำควำมรู้ในวทิ ยำกำรสมยั ใหม่
เพื่อสำมำรถช่วยให้ผ้เู รยี นได้พัฒนำตนในทักษะกำรคดิ กำรฟงั กำรพดู กำรอำ่ นและกำรเขียนรวมถึงวถิ ี
กำรดำเนนิ ชีวิตท่เี หมำะสมในสังคมที่มีกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็วครูจงึ ตอ้ งศึกษำค้นควำ้ เพ่อื พฒั นำ
กระบวนกำรเรยี นกำรสอนใหท้ นั ต่อเหตุกำรณ์อย่เู สมอและกำรใช้เทคโนโลยสี ำรสนเทศจึงเปน็ สง่ิ สำคัญ
ต่อกำรแสวงหำควำมรูข้ องครู (วิจำรณ์ พำนิช, ๒๕๕๔, หนำ้ ๑)๓๑
ฉะนน้ั ในกำรพัฒนำผปู้ ระกอบวิชำชีพครูให้มีคณุ ภำพเพื่อสำมำรถทำหนำ้ ท่ใี นควำมเปน็ ครูไดใ้ น
ปจั จบุ ันและในอนำคตได้จงึ จำเปน็ ต้องพัฒนำผปู้ ระกอบวิชำชพี ครูด้วยรปู แบบทหี่ ลำกหลำยในเรอื่ งท่ี
หลำกหลำยเช่นต้องพฒั นำผปู้ ระกอบวชิ ำชพี ครใู ห้มีควำมสำมำรถดำ้ นเทคโนโลยีสำรสนเทศและกำร
สอื่ สำรด้ำนกำรใช้ภำษำต่ำงประเทศโดยเฉพำะภำษำอังกฤษดำ้ นกำรจดั กำรเรยี นร้ดู ้วยรูปแบบที่
หลำกหลำยโดยมรี ำยละเอยี ดดังน้ี
๑. กำรพฒั นำผปู้ ระกอบวิชำชีพครูให้มีควำมสำมำรถด้ำนเทคโนโลยีสำรสนเทศและกำร
สือ่ สำรกำรพฒั นำผปู้ ระกอบวิชำชีพครูใหม้ ีควำมสำมำรถด้ำนเทคโนโลยสี ำรสนเทศและกำรส่อื สำรนัน้
นบั เป็นสงิ่ สำคัญและจำเปน็ ในสงั คมยุคปัจจบุ ันโดยเทคโนโลยสี ำรสนเทศและกำรสอ่ื สำรทผี่ ปู้ ระกอบ
วชิ ำชีพครูทุกคนควรเรียนรูใ้ นกำรเปน็ นวัตกรรมกำรศึกษำใหม่ท่มี คี วำมจำเป็นต่อกำรจดั กำรเรียนกำร
สอนในศตวรรษท๒่ี ๑ประกอบด้วยกำรใชค้ อมพวิ เตอรใ์ นกำรจัดกำรเรียนกำรสอนโดยมีกำรบูรณำกำรใน
หลำกหลำยประเภทเชน่ กำรจัดกำรเรียนกำรสอนบนอินเทอร์เน็ตและเวิลดไ์ วดเ์ วบ็ กำรสอนทำงไกลดว้ ย
กำรสง่ สัญญำณผ่ำนดำวเทยี มกำรใช้บทเรียนลกั ษณะข้อควำมหลำยมติ ิและสื่อหลำยมติ ิกำรบนั ทึกข้อมลู
และสำรสนเทศด้วยซีดีและดีวีดกี ำรเรยี นกำรสอนด้วยเทคโนโลยไี ร้สำยฯลฯ
โดยผ้ปู ระกอบวชิ ำชีพครูต้องเรยี นรู้และพัฒนำตนเองจำกกำรเขำ้ รับกำรฝกึ อบรมกำรลงมอื ฝกึ
ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเองด้วยควำมเพียรพยำยำมใชบ้ ่อยๆกำรแลกเปล่ยี นเรยี นรู้กบั เพื่อนครหู รือขอคำแนะนำ
จำกผ้เู ชี่ยวชำญด้วยควำมตระหนกั รู้ในควำมจำเปน็ ควำมสำคญั ของกำรเรียนรเู้ รื่องเกย่ี วกับเทคโนโลยี
สำรสนเทศและกำรสอ่ื สำรในโลกปจั จบุ ัน
๒. กำรพัฒนำผู้ประกอบวชิ ำชพี ครูให้มีควำมสำมำรถดำ้ นกำรใช้ภำษำอังกฤษ
ประเทศไทยเข้ำสปู่ ระชำคมอำเซยี นเพื่อควำมรว่ มมอื ทำงด้ำนเศรษฐกจิ กำรเมืองสังคม
และวัฒนธรรมเพือ่ ใหค้ นไทยเขำ้ ใจอำเซยี นเขำ้ ใจกำรอยู่ร่วมกนั กับประเทศเพื่อนบำ้ นจึงจำเป็นที่
จะตอ้ งทำควำมรู้จักประเทศเพือ่ นบำ้ นไม่วำ่ จะเปน็ จีนพมำ่ ลำวเวยี ดนำมกัมพูชำมำเลเซียเปน็ ตน้
เพ่อื เตรียมควำมพรอ้ มดำ้ นกำรศกึ ษำในกำรเขำ้ สปู่ ระชำคมจำเปน็ ต้องใช้ภำษำอังกฤษเป็นภำษำกลำงใน
กำรสอ่ื สำรและดว้ ยสงั คมโลกทีแ่ คบลงจำกควำมเจรญิ กำ้ วหน้ำทำงวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี
ภำษำกลำงที่ใชใ้ นกำรสอ่ื สำรก็เปน็ ภำษำอังกฤษเชน่ เดียวกันฉะนนั้ จึงเปน็ สง่ิ ท่ีผู้ประกอบวชิ ำชีพครทู ุก
คนจะต้องสำมำรถส่ือสำรด้วยภำษำอังกฤษได้ทั้งน้เี พ่ือประโยชน์แก่ตัวครแู ละผเู้ รยี นและในปัจจุบนั
๓๑ วิจำรณ์ พำนิช, การจดั การความรู้, [Online]. Available from: http://www.thaiall.com/km/
indexo.html. ๗ กันยำยน ๒๕๕๔, หนำ้ ๑.
๒๓
กระทรวงศกึ ษำธกิ ำรได้เตรยี มกำรรองรบั กำรเขำ้ ส่ปู ระชำคมอำเซียนโดยต้งั เป้ำหมำยให้นักเรยี นที่จบชั้น
ประถมศึกษำปีท่ี๖สำมำรถส่อื สำรเปน็ ภำษำอังกฤษได้เพอ่ื ใชภ้ ำษำอังกฤษในกำรคน้ ควำ้ หำควำมรู้จำก
อินเทอร์เนต็ และสื่อกำรเรียนรทู้ ่มี ีควำมหลำกหลำยโดยไดม้ ีกำรดำเนนิ กำรแลว้ ในหลำยด้ำน เชน่
๑) กำรสรำ้ งศนู ย์อำนวยกำรเพอ่ื ให้ครเู จ้ำของภำษำครเู กษียณอำยุก่อนกำหนดและครู
อำสำสมคั รจำกต่ำงประเทศเชน่ สหรฐั อเมรกิ ำอังกฤษจนี และฟลิ ิปปินส์มำสอนภำษำต่ำงประเทศใน
โรงเรียน
๒) กำรพัฒนำกำรเรียนกำรสอนแบบ English for Integrated Studies (EIS) โดย
บูรณำกำรกำรสอนภำษำอังกฤษในวชิ ำวิทยำศำสตรแ์ ละคณติ ศำสตร์
๓) กำรพฒั นำห้องเรยี นแห่งอนำคต (The Global Class) ซ่ึงเปน็ ห้องเรียน
อเิ ล็กทรอนกิ สท์ ส่ี ำมำรถเช่ือมโยงกำรเรยี นกำรสอนได้อย่ำงหลำกหลำยเชน่ กำรสอนภำษำองั กฤษของตวิ
เตอรท์ ีม่ ชี ่ือเสียงและเปน็ ทีน่ ยิ มโดยครูเปน็ ผ้คู วบคุมกำรสอนและทดสอบควำมเขำ้ ใจของนักเรียน
๔) กำรอบรมภำษำอังกฤษให้กบั ครูเพ่อื ให้ครยู คุ ใหม่สำมำรถส่ือสำรเปน็
ภำษำองั กฤษไดแ้ ละสำมำรถใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำรหรือท่ีเรียกสั้นๆวำ่ ICT ได้
๓. กำรพัฒนำผู้ประกอบวิชำชีพครูใหม้ ีควำมสำมำรถด้ำนกำรจดั กำรเรียนรดู้ ว้ ยรูปแบบที่
หลำกหลำยด้วยจดุ มงุ่ หมำยของกำรปฏิรูปกำรศึกษำกำรปฏิรูปกำรเรยี นรู้เป็นหัวใจสำคญั ใน
กระบวนกำรปฏิรูปกำรศึกษำทงั้ น้ีเพื่อกำรพฒั นำองค์ควำมรูด้ ้ำนกำรเรียนรู้อนั นำไปสกู่ ำรพัฒนำ
คุณภำพผเู้ รียนใหเ้ ปน็ คนไทยทีม่ คี ุณภำพและสอดคลอ้ งกับมำตรำ๒๒กำรจดั กำรศกึ ษำท่ียึดหลัก
ผู้เรียนทกุ คนมีควำมสำมำรถเรยี นร้แู ละพัฒนำตนเองไดแ้ ละถือวำ่ ผูเ้ รยี นมีควำมสำคัญท่ีสุด
กระบวนกำรจดั กำรศึกษำต้องส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นสำมำรถพัฒนำตำมธรรมชำตแิ ละเต็มตำมศักยภำพและ
มำตรำ๒๔ข้อ (๒) และข้อ (๓) แห่งพระรำชบญั ญัตกิ ำรศกึ ษำแหง่ ชำติพ.ศ.๒๕๔๒ และแกไ้ ขเพมิ่ เติม่
(ฉบบั ท๒ี่ ) พ.ศ. ๒๕๔๕ หมวด ๔ แนวกำรจดั กำรศกึ ษำทเี่ น้นกำรฝกึ ทักษะกระบวนกำรคิดกำรฝึกทักษะ
กำรแสวงหำควำมรดู้ ว้ ยตนเองจำกแหลง่ เรียนรู้ทีห่ ลำกหลำยกำรฝกึ ปฏบิ ัตจิ รงิ และกำรประยกุ ตใ์ ช้ควำมรู้
เพ่อื กำรป้องกนั และแก้ปญั หำกำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนรู้ให้ผู้เรียนจงึ มคี วำมสำคัญ (กำรจดั กำรนวตั กรรม
และสำรสนเทศ, ๒๕๕๔, หนำ้ ๑)๓๒ และปจั จบุ ันมแี นวทำงกำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนรูท้ ่ีเน้นผูเ้ รยี นเปน็
สำคัญมีหลำยแนวทำงซง่ึ ผู้ประกอบวิชำชพี ครใู นศตวรรษท่ี๒๑นี้ตอ้ งเรยี นรู้และสำมำรถดำเนินกำร
จัดกำรเรยี นรู้ด้วยรูปแบบทห่ี ลำกหลำยได้ดังต่อไปนี้
๓.๑ กำรจัดกำรเรียนร้จู ำกแหล่งเรียนร้กู ำรใช้แหลง่ เรยี นรมู้ ีควำมสำคัญในกระบวนกำร
จดั กำรเรียนรู้สำหรับผ้เู รยี นเพรำะผเู้ รียนสำมำรถเรยี นรูจ้ ำกสภำพจริงกำรจดั กำรเรยี นรู้จำกแหลง่ เรียนรู้
จะเกยี่ วข้องกบั บุคคลสถำนที่ธรรมชำติหนว่ ยงำนองคก์ รสถำนประกอบกำรชมุ ชนและสง่ิ แวดลอ้ มอนื่ ๆ
ซึ่งผู้เรียนผู้สอนสำมำรถศึกษำคน้ คว้ำหำควำมรหู้ รือเรอื่ งที่สนใจไดจ้ ำกแหลง่ เรียนร้ทู ั้งท่ีเป็นธรรมชำติ
และทมี่ นุษย์สร้ำงขน้ึ ชุมชนและธรรมชำตเิ ปน็ ขมุ ทรพั ย์มหำศำลทีเ่ รำสำมำรถค้นพบควำมร้ไู ด้ไม่จบทำให้
ผเู้ รยี นเกิดกำรเรยี นรแู้ ละสร้ำงองค์ควำมรู้ดว้ ยตนเองได้ลักษณะเดน่ ของกำรจดั กำรเรยี นรู้จำกแหลง่
เรียนรู้คือผเู้ รียนได้ปฏิบัตจิ รงิ ค้นควำ้ หำควำมรดู้ ้วยตนเองผู้เรียนได้ฝกึ ทำงำนเปน็ กลุ่มร่วมคดิ ร่วมทำรว่ ม
แก้ไขปัญหำต่ำงๆซึ่งจะช่วยให้เกิดกำรเรียนรู้และทักษะกระบวนกำรตำ่ งๆผเู้ รียนได้ฝึกทักษะกำรสงั เกต
๓๒ กำรจัดกำรนวัตกรรมและสำรสนเทศ, บทความนวัตกรรม, [Online]. Available :
http://portal.in.th/inno-roj/pages/๑๒๓๗/, ๓ มีนำคม ๒๕๕๔, หน้ำ ๑.
๒๔
กำรเกบ็ ขอ้ มลู กำรวิเครำะห์ข้อมลู กำรตีควำมและกำรสรปุ ควำมคิดแก้ปญั หำอยำ่ งเปน็ ระบบผู้เรยี นได้
ประเมินผลกำรทำงำนดว้ ยตนเองผู้เรียนสำมำรถนำควำมรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใชแ้ ละเผยแพร่ควำมรูไ้ ด้
ผสู้ อนเป็นทปี่ รึกษำใหค้ วำมรู้ให้คำแนะนำให้กำรสนบั สนุน
๓.๒ กำรจัดกำรเรียนรู้แบบบูรณำกำรพหปุ ญั ญำกำรจดั กำรเรยี นรแู้ บบบรู ณำกำรสพู่ หุ
ปัญญำเปน็ กำรพฒั นำกระบวนกำรเรียนกำรสอนในลักษณะเชอ่ื มโยงควำมสมั พันธ์ระหวำ่ งสำระกำร
เรยี นรูแ้ ละควำมสำมำรถทำงกำรเรยี นรู้ท่ีมีอย่ใู นตวั ผู้เรียนตำมทฤษฎีพหปุ ญั ญำของโฮวำรด์ กำรเ์ นอร์
จำแนกไว้ ๘ ดำ้ นได้แก่ดำ้ นวำจำภำษำดำ้ นดนตรจี ังหวะด้ำนตรรกะคณติ ศำสตรด์ ำ้ นทศั นสมั พนั ธม์ ติ ิ
สมั พันธ์ดำ้ นร่ำงกำยกำรเคล่ือนไหวดำ้ นธรรมชำตดิ ้ำนกำรรู้จักตนเองและด้ำนควำมสมั พันธ์กบั ผูอ้ น่ื โดย
มงุ่ เนน้ ให้ผเู้ รียนแตล่ ะคนไดพ้ ัฒนำศกั ยภำพและควำมสำมำรถในกำรแก้ปญั หำรวมถงึ กำรสรำ้ งผลงำน
และเกดิ ผลลัพธ์กำรเรยี นรู้อย่ำงมคี วำมสุขและย่งั ยืน
๓.๓ กำรจัดกำรเรยี นรู้แบบประสบกำรณ์และทเ่ี น้นกำรปฏิบัตลิ ักษณะกำรจัดกำร
เรียนรูค้ ือผู้เรียนได้มโี อกำสรบั ประสบกำรณ์ไดร้ ับกำรกระตุ้นให้สะท้อนสิ่งต่ำงๆทไ่ี ดจ้ ำกประสบกำรณ์
ออกมำเพื่อพฒั นำทักษะใหม่ๆเจตคติใหม่ๆหรอื วิธีกำรใหม่ๆใชท้ รพั ยำกรท้งั ๔ด้ำนคือเวลำสถำนท่ภี ูมิ
ปญั ญำท้องถน่ิ และส่ือกำรสอนเปน็ ตวั เชื่อมโยงใหผ้ เู้ รียนก้ำวสู่กำรเรยี นร้โู ลกรอบตวั ผเู้ รียนไดป้ ระยุกต์ใช้
ควำมคิดประสบกำรณค์ วำมสำมำรถและทักษะต่ำงๆในเวลำเดยี วกันจนสำมำรถสร้ำงองคค์ วำมร้ดู ว้ ย
ตนเองและผูเ้ รยี นได้แลกเปลี่ยนควำมรู้ควำมคิดและประสบกำรณร์ ะหวำ่ งผูเ้ รยี นด้วยกัน
๓.๔ กำรจัดกำรเรยี นรู้แบบโครงงำนลกั ษณะกำรเรยี นรแู้ บบโครงงำนเป็นกระบวนกำร
แสวงหำควำมรู้หรอื กำรคน้ คว้ำหำคำตอบในสง่ิ ทผ่ี ้เู รยี นอยำกรู้หรอื สงสยั ด้วยวกี ำรต่ำงๆเปน็ วิธกี ำร
เรยี นรทู้ ผี่ เู้ รียนไดเ้ ลอื กศึกษำตำมควำมสนใจของตนเองหรือของกลุ่มเป็นกำรตัดสินใจรว่ มกันจนได้
ชิน้ งำนท่สี ำมำรถนำผลกำรศึกษำไปใช้ได้ในชีวิตจรงิ กำรเรียนรแู้ บบโครงงำนเป็นกำรเรียนรทู้ ใ่ี ชเ้ ทคนิค
หลำกหลำยรูปแบบนำมำผสมผสำนกันไดแ้ ก่กระบวนกำรกลุ่มกำรฝึกคดิ กำรแกป้ ญั หำกำรเนน้
กระบวนกำรกำรสอนแบบปริศนำควำมคิดและกำรสอนแบบร่วมกันคดิ ท้ังนม้ี ุ่งหวังใหผ้ เู้ รียนเรยี นรู้เรื่อง
ใดเรือ่ งหน่ึงจำกควำมสนใจอยำกรู้อยำกเรยี นของผู้เรียนเองโดยใชก้ ระบวนกำรและวธิ ีกำรทำง
วิทยำศำสตร์ผูเ้ รียนจะเปน็ ผ้ลู งมือปฏบิ ัติกจิ กรรมต่ำงๆเพ่อื คน้ หำคำตอบดว้ ยตนเองเป็นกำรเรียนรทู้ ่ี
มุ่งเน้นใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รยี นรจู้ ำกประสบกำรณ์ตรงกบั แหล่งเรียนรเู้ บอ้ื งตน้ ผูเ้ รียนสำมำรถสรุปควำมรู้ไดด้ ว้ ย
ตนเองซ่งึ ควำมรทู้ ผี่ ู้เรียนได้มำไม่จำเป็นต้องตรงกบั ตำรำแต่ผู้สอนจะสนับสนุนให้ผเู้ รยี นไดศ้ ึกษำคน้ คว้ำ
เพม่ิ เติมจำกแหล่งเรียนรู้และปรับปรุงควำมรทู้ ี่ได้ให้สมบรู ณ์
๓.๕ กำรจัดกำรเรยี นรู้แบบสร้ำงองค์ควำมรลู้ กั ษณะกำรจัดกำรเรียนรู้แบบสรำ้ งองค์
ควำมรู้คอื กำรให้ควำมสำคญั ของกระบวนกำรเรียนรู้ของผู้เรียนและควำมสำคญั ของควำมรูผ้ ู้สอนเปดิ
โอกำสใหผ้ ูเ้ รยี นเป็นผแู้ สดงควำมรู้สรำ้ งควำมรดู้ ้วยตนเองผู้เรียนสังเกตส่งิ ทตี่ นอยำกเรียนร้แู ลว้ ค้นควำ้
แสวงหำควำมรเู้ พิ่มเช่อื มโยงกับควำมรู้เดิมประสบกำรณ์เดิมผนวกกบั ควำมร้ใู หม่จนสรำ้ งสรรคเ์ กิดเป็น
องค์ควำมร้ใู หม่กลำ่ วคอื เป็นกำรเรียนรโู้ ดยให้ผเู้ รียนลงมือปฏิบตั ิจริงคน้ หำควำมรดู้ ้วยตัวเองจนคน้ พบ
ควำมร้แู ละรจู้ กั สิ่งทีค่ น้ พบเรียนรวู้ ิเครำะหต์ อ่ จนร้จู รงิ รลู้ ึกซึ้งว่ำส่ิงน้ันคืออะไรมีควำมสำคัญมำกน้อย
เพียงไรกำรเรียนร้แู บบนี้ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนได้พัฒนำควำมสำมำรถในกำรคิดพรอ้ มทัง้ ฝึกทักษะทำงสงั คมที่
ดีไดร้ ว่ มแลกเปล่ยี นเรยี นรรู้ ะหวำ่ งผู้เรียนกับผ้สู อน
๒๕
๓.๖ กำรจัดกำรเรียนรแู้ บบใช้ปัญหำเปน็ ฐำนลักษณะกำรจดั กำรเรียนร้แู บบใช้ปัญหำ
เปน็ ฐำนเป็นกระบวนกำรจัดกำรเรียนรทู้ เ่ี ริ่มต้นจำกปัญหำท่ีเกดิ ขึ้นโดยสร้ำงควำมรจู้ ำกกระบวนกำร
ทำงำนกลมุ่ เพื่อแก้ปัญหำหรอื สถำนกำรณเ์ กย่ี วกบั ชีวติ ประจำวันและมีควำมสำคัญต่อผ้เู รียนตวั ปญั หำ
จะเป็นตวั ต้งั ตน้ ของกระบวนกำรเรยี นรู้และเปน็ ตวั กระตุ้นกำรพัฒนำทักษะกำรแก้ปัญหำด้วยเหตุผลและ
กำรสืบคน้ หำข้อมูลเพอ่ื เข้ำใจกลไกของตัวปัญหำรวมทัง้ วิธีกำรแกป้ ัญหำกำรเรียนรู้แบบน้ีมุ่งเนน้ พฒั นำ
ผ้เู รยี นในด้ำนทักษะและกระบวนกำรเรยี นรู้และพฒั นำผ้เู รยี นให้สำมำรถเรยี นรูโ้ ดยกำรชี้นำตนเองซ่ึง
ผู้เรยี นจะได้ฝกึ ฝนกำรสรำ้ งองค์ควำมรู้โดยผำ่ นกระบวนกำรคดิ ดว้ ยกำรแกป้ ญั หำอยำ่ งมีควำมหมำยต่อ
ผเู้ รียน
๓.๗ กำรจัดกำรเรียนรู้แบบกระบวนกำรแกป้ ัญหำลักษณะกำรจัดกำรเรียนร้แู บบ
กระบวนกำรแกป้ ัญหำคอื ผูเ้ รียนเป็นผู้ปฏิบตั ิกจิ กรรมมีชนิ้ งำนทีเ่ ป็นรปู ธรรมผู้เรียนมปี ฏสิ มั พันธ์กับ
ผู้สอนและเพือ่ นได้พฒั นำทักษะกำรคิดแกป้ ัญหำและตระหนกั ร้ใู นปญั หำท่ีอำจเกิดขน้ึ สำมำรถใช้ทักษะ
กำรคดิ แกป้ ัญหำทพ่ี บกำรจดั กำรเรียนรูแ้ บบกระบวนกำรแกป้ ัญหำมีควำมสำคัญต่อกำรเรียนร้เู ปน็ อย่ำง
มำกเพรำะเปน็ กำรเรยี นรูจ้ ำกปญั หำของชีวิตและมีควำมหมำยต่อผูเ้ รยี นผเู้ รยี นไดฝ้ ึกคดิ ด้วยตนเองจำก
สถำนกำรณ์หรือปัญหำทีน่ ่ำสนใจท้ำทำยให้คดิ กระบวนกำรเรียนรชู้ ่วยพฒั นำทกั ษะกำรคิดของผู้เรยี น
อย่ำงเปน็ ลำดบั ขนั้ ตอนโดยผำ่ นกำรวิเครำะห์อย่ำงเปน็ ระบบตำมกระบวนกำรทำงวทิ ยำศำสตรก์ ำร
จัดกำรเรยี นรใู้ ชว้ ิธีกำรท่หี ลำกหลำยเชน่ บทบำทสมมติโครงงำนกำรสบื สวนสอบสวนกำรศกึ ษำนอก
สถำนทก่ี ำรเรียนรูร้ ูปแบบนจี้ ะกระตนุ้ ควำมสนใจของผู้เรียนใหต้ ั้งใจเรียนมำกขึ้นพรอ้ มกับกำรเหน็
ประโยชนข์ องกำรเรยี นร้สู ร้ำงนิสัยใฝร่ ู้กำรคน้ คว้ำหำควำมรู้และฝึกนิสัยให้เปน็ คนมเี หตุผลและมี
ควำมคิดริเรม่ิ สรำ้ งสรรค์
แนวทางการพัฒนาองค์กรวิชาชีพครูใหเ้ ปน็ องค์กรทที่ นั สมัยและมคี วามเปน็ สากล
ในพระรำชบัญญัตกิ ำรศึกษำแหง่ ชำติ พ.ศ. ๒๕๔๒ หมวด๗ท่เี กย่ี วกบั ครูคณำจำรย์และบุคลำกร
ทำงกำรศึกษำมำตรำ ๕๓ ได้กำหนดใหม้ ีองค์กรวชิ ำชีพครูผู้บรหิ ำรสถำนศึกษำและผูบ้ ริหำรกำรศกึ ษำมี
ฐำนะเปน็ องค์กรอิสระภำยใต้กำรบรหิ ำรของสภำวชิ ำชีพในกำกับของกระทรวงศึกษำธกิ ำรองค์กรทเ่ี กี่ยว
ข้องกบั วชิ ำชพี ครตู ำมกฎหมำยมี ๒ องคก์ ร คือคุรุสภำหรือสภำครูและบคุ ลำกรทำงกำรศึกษำและสำนกั
งำนคณะกรรมกำรส่งเสริมสวัสดกิ ำรและสวัสดิภำพครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำโดยมรี ำยละเอียดดังนี้
๑. สภำครแู ละบคุ ลำกรทำงกำรศกึ ษำซ่ึงเรียกวำ่ คุรุสภำมฐี ำนะเปน็ นติ บิ คุ คลอยู่ในกำกับของ
กระทรวงศึกษำธิกำรมีอำนำจหน้ำท่ีเก่ียวกบั กำรกำหนดมำตรฐำนวิชำชีพกำหนดนโยบำยแผนพัฒนำ
วชิ ำชีพออกและเพิกถอนใบอนญุ ำตประกอบวิชำชพี กำกบั ดูแลกำรปฏบิ ตั ติ ำมมำตรฐำนและจรรยำบรรณ
ของวชิ ำชีพพทิ ักษ์สทิ ธิของครูภำยในขอบเขตท่ีกฎหมำยกำหนดสง่ เสริมให้ครไู ดร้ ับสวสั ดิกำรต่ำง ๆ ตำม
สมควรรวมท้งั กำรพฒั นำวชิ ำชพี ครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำโดยพัฒนำควำมร้คู วำมสำมำรถคุณภำพ
และประสทิ ธิภำพของครตู ลอดจนสง่ เสรมิ กำรศึกษำและวิจัยเกีย่ วกบั กำรประกอบวชิ ำชีพครแู ละใน
พระรำชบญั ญตั ิครูพุทธศักรำช ๒๔๘๘ มำตรำ ๒๖ ได้กำหนดให้ครทู ุกคนต้องเป็นสมำชิกคุรสุ ภำฉะน้นั
ผทู้ ไ่ี ด้บรรจุแตง่ ต้ังใหเ้ ป็นครจู ึงถือวำ่ เป็นสมำชิกครุ สุ ภำครุ สุ ภำบรหิ ำรงำนโดยคณะกรรมกำรบริหำร
คณะกรรมกำรคุรุสภำคณะกรรมกำรมำตรฐำนวิชำชพี และสำนกั งำนเลขำธิกำรคุรุสภำซึ่งแตง่ ตั้งมำจำก
ผู้ทรงคุณวุฒิทีม่ ีควำมรู้ควำมเชี่ยวชำญและประสบกำรณส์ ูงด้ำนกำรศึกษำมนษุ ยศำสตร์สังคมศำสตร์
๒๖
กฎหมำยวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยีคณบดีคณะครุศำสตร์หรอื ศกึ ษำศำสตรห์ รือกำรศกึ ษำผู้ประกอบ
วิชำชีพทำงกำรศึกษำทด่ี ำรงตำแหน่งครูผบู้ ริหำรสถำนศึกษำผู้บรหิ ำรกำรศกึ ษำและบุคลำกรทำงกำร
ศึกษำอนื่ ๆ
๒. สำนกั งำนคณะกรรมกำรส่งเสรมิ สวัสดิกำรและสวัสดิภำพครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ มี
ฐำนะเป็นนิตบิ คุ คลอยใู่ นกำกับของกระทรวงศึกษำธกิ ำรภำยใตก้ ำรบรหิ ำรของคณะกรรมกำรสง่ เสริม
สวัสดกิ ำรและสวสั ดิภำพครูและบคุ ลำกรทำงกำรศึกษำมีอำนำจหน้ำทเี่ กีย่ วกับกำรส่งเสริมสวัสดกิ ำร
สวสั ดิภำพสิทธิประโยชน์เกอื้ กูลอื่นและควำมม่นั คงของผปู้ ระกอบวชิ ำชีพทำงกำรศึกษำและ ผปู้ ฏิบัตงิ ำน
ดำ้ นกำรศึกษำสง่ เสริมควำมสำมัคคีและผดงุ เกยี รติของผปู้ ระกอบวิชำชพี ส่งเสริมและสนับสนุนกำรจัด
กำรศกึ ษำของกระทรวงในเรื่องสื่อกำรเรยี นกำรสอนวัสดุอุปกรณ์กำรศกึ ษำและกำรศึกษำวิจัยเกยี่ วกับ
กำรพฒั นำดำเนินงำนดำ้ นสวสั ดกิ ำรและเรอ่ื งอ่ืนๆทเ่ี ก่ยี วกับกำรจดั กำรศกึ ษำเชน่ กำรฌำปนกิจสงเครำะห์
ชว่ ยเพ่อื นครแู ละบุคลำกรทำงกำรศึกษำ (ช.พ.ค.) โครงกำรสวสั ดกิ ำรเงินกู้แก่สมำชิกกำรบรกิ ำรด้ำนสุข
ภำพโดยสถำนพยำบำลสำนักสวสั ดกิ ำรครกู ำรบรกิ ำรที่พักสำหรบั สมำชิกและประชำชนท่ัวไปโดยมสี ถำน
ทพ่ี กั ในกรงุ เทพมหำนครและบำ้ นพกั ชะอำจงั หวัดเพชรบุรี บริหำรงำนโดยคณะกรรมกำรผทู้ ม่ี คี วำมรู้
ควำมเช่ียวชำญและประสบกำรณ์สงู ในด้ำนสวัสดกิ ำรสงั คมบริหำรธรุ กจิ กฎหมำยและผู้ประกอบวิชำชีพ
ทำงกำรศึกษำ
นอกจำกน้ีในวงกำรวิชำชพี ครูไทยยังมีองค์กรที่รับผิดชอบโดยตรงและเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบ
วิชำชีพครไู ดแ้ ก่สถำบันผลติ ครูตำ่ งๆองค์กรผใู้ ช้ครูซึง่ เป็นสถำนศกึ ษำในสังกัดตำ่ งๆตลอดจนสมำคม
วิชำชพี ทเ่ี กยี่ วข้องกับผปู้ ระกอบวชิ ำชพี ครแู ละบคุ ลำกรทำงกำรศึกษำตำ่ งๆเช่นสมำคมกำรศึกษำแห่ง
ประเทศไทยสมำคมครูโรงเรยี นรำษฎร์แห่งประเทศไทยสมำคมพฒั นำวิชำชพี ครแู หง่ ประเทศไทยฯลฯ
โดยองค์กรวชิ ำชีพดังกล่ำวมำท้งั หมดนต้ี ้องมีกำรพัฒนำองค์กรของตนให้ทนั สมัยและเปน็ สำกลกำร
บรหิ ำรองค์กรตอ้ งมกี ำรปรบั เปลยี่ นบทบำทใหเ้ หมำะสมกบั ยคุ สมยั ทเี่ ปลี่ยนแปลงโดยใช้เทคโนโลยี
สำรสนเทศและกำรสื่อสำรท่ีทันสมัยในปจั จบุ นั เปดิ โอกำสให้ผู้ประกอบวชิ ำชีพครแู ละบุคลำกรทำงกำร
ศกึ ษำต่ำงๆได้มสี ว่ นรว่ มในกำรแสดงควำมคดิ เหน็ ตอ่ กำรพัฒนำวชิ ำชพี ดำเนนิ กำรให้ผ้ปู ระกอบวิชำชพี
ครูทั้งในประเทศและต่ำงประเทศได้แลกเปลีย่ นเรียนรู้ประสบกำรณ์ วธิ ีกำรนวตั กรรมและเทคนคิ กำร
พัฒนำผู้เรยี นตำมแนวปฏิรปู กำรเรียนรู้อยำ่ งต่อเนือ่ ง นอกจำกนีค้ วรส่งเสริมให้ผปู้ ระกอบวชิ ำชีพครไู ด้
สรำ้ งสรรคผ์ ลงำนครูในกำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนกำรสอนและกำรวจิ ยั เพื่อพัฒนำผู้เรยี น
สว่ นองคก์ รที่ทำหนำ้ ทีผ่ ลติ ครูทกุ แหง่ ทั่วประเทศซึง่ เป็นคณะครุศำสตร์หรือคณะศึกษำศำสตร์
ของมหำวทิ ยำลัยในสงั กดั สำนักงำนคณะกรรมกำรอุดมศกึ ษำกระทรวงศึกษำธิกำรต้องคงไวซ้ ึง่ มำตรฐำน
ของวิชำชพี ในระดับเดยี วกันท่ัวประเทศแม้จะมรี ำยละเอยี ดของกำรผลิตผปู้ ระกอบวชิ ำชีพครทู ่ีแตกตำ่ ง
กนั เพื่อไม่ให้เกดิ ปญั หำในดำ้ นมำตรฐำนคุณภำพของผลผลิตบณั ฑติ ครูซึง่ สง่ ผลกระทบต่อควำมนำ่ เชื่อถือ
ของหนว่ ยงำนผู้ใชค้ รูองค์กรวิชำชพี ครูและสังคมทว่ั ไปโดยนำระบบกำรประกนั คณุ ภำพอุดมศึกษำมำใช้
รับนักศกึ ษำท่ีมีควำมสำมำรถสูงและอยำกประกอบวชิ ำชพี ครมู ำฝกึ ฝน อบรมเพื่อเปน็ ครูท่มี คี ณุ ภำพใน
อนำคตและเชน่ เดยี วกบั ผูป้ ระกอบวชิ ำชพี ครูอื่นๆ
คณำจำรย์ของสถำบันผลิตครูกต็ อ้ งได้รับกำรพฒั นำขดี ควำมสำมำรถ๓ด้ำนเชน่ กนั คอื
ควำมสำมำรถในกำรจัดกำรเรียนรู้ในรูปแบบตำ่ งๆโดยมผี เู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลำงควำมสำมำรถในกำรใช้
เทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสอื่ สำรในกำรศึกษำค้นคว้ำจำกแหลง่ ข้อมลู ตำ่ งๆและใชใ้ นกำรจดั กำรเรียน
๒๗
กำรสอนควำมสำมำรถในกำรใชภ้ ำษำอังกฤษและภำษำตำ่ งประเทศอนื่ ๆในกำรสื่อสำรนอกจำกนี้
คณำจำรย์ของสถำบนั ผลิตครูต้องมีควำมสำมำรถในกำรสร้ำงองคค์ วำมร้ใู หมท่ ำงกำรศึกษำผ่ำนกำรวิจัย
และเผยแพร่องคค์ วำมรใู้ หม่นั้นแก่ผปู้ ระกอบวชิ ำชีพครูในสถำนศกึ ษำระดบั พน้ื ฐำนทั้งน้ีเพอื่ เพ่มิ ควำม
เข้มแข็งแก่วชิ ำชีพครู
นอกจำกนอ้ี งคก์ รท่ีเก่ียวข้องกับวิชำชีพครทู ุกองค์กรไมว่ ำ่ จะเป็นองค์กรวิชำชีพตำมกฎหมำย
หรือกำรจดั ตง้ั จำกควำมรว่ มมือของผ้ปู ระกอบวชิ ำชพี ตำ่ งควรทำหน้ำทขี่ องตนและควรมีกำรประสำน
สัมพันธเ์ ช่ือมโยงงำนกนั ในแต่ละสว่ นเพ่อื ไมใ่ หเ้ กดิ ควำมซ้ำซอ้ นท้ังน้ีเพรำะทุกองค์กรตำ่ งมเี ป้ำหมำย
สดุ ทำ้ ยท่เี หมือนกันคอื ควำมพัฒนำแหง่ วิชำชีพครู
สรุป
วชิ ำชีพครูเป็นวิชำชพี ชั้นสงู ท่มี ีควำมแตกต่ำงจำกอำชีพโดยทวั่ ไปในควำมเปน็ วิชำชีพมอี งค์
ประกอบสำคญั คอื มีศัพทเ์ ฉพำะศำสตร์ซ่ึงเป็นศัพท์ที่ใช้สือ่ สำรกนั ในกลุ่มสมำชิกวชิ ำชพี มีองคค์ วำมรู้ ท่ี
จำเป็นสำหรบั กำรประกอบอำชีพและมีวธิ กี ำรศกึ ษำค้นควำ้ เพือ่ ขยำยพรมแดนแห่งองคค์ วำมรขู้ อง
วทิ ยำกำรใหเ้ จรญิ กำ้ วหน้ำและในควำมเปน็ วิชำชพี ช้ันสงู วชิ ำชพี ครูมีลักษณะเดน่ ได้แก่มีเสรีภำพทำง
วชิ ำกำรใชก้ ระบวนกำรทำงสติปญั ญำลกั ษณะบรกิ ำรท่ีไมเ่ หมอื นวชิ ำชพี อ่ืนมกี ำรศึกษำอบรมเพื่อถ่ำย
ทอดองค์ควำมรทู้ ักษะควำมชำนำญสมรรถนะและทศั นคติโดยมีหลกั สูตรและระยะเวลำท่ีเพียงพอมีกำร
ฝกึ ประสบกำรณว์ ิชำชีพมใี บอนญุ ำตประกอบอำชีพมีจรรยำบรรณวิชำชพี และมีองค์กรวิชำชพี
เพอ่ื เปน็ กำรรำลึกและยกย่องวชิ ำชพี ครทู ุกวันที่ ๑๖ มกรำคมของทุกปเี ป็นวนั ครูและวชิ ำชพี ครู
ได้ถูกบัญญตั ิไว้ในกฎหมำยให้เปน็ “วชิ ำชีพชั้นสงู ” ตำม พ.ร.บ. กำรศึกษำแหง่ ชำติ พ.ศ.๒๕๔๒ โดย
กำหนดให้กระทรวงศึกษำธิกำรมรี ะบบกระบวนกำรผลติ และกำรพฒั นำครูคณำจำรย์และบุคลำกรทำง
กำรศกึ ษำให้มีคุณภำพและมำตรฐำนทเ่ี หมำะสมส่งผลใหผ้ ปู้ ระกอบวิชำชีพครูต้องพฒั นำตนเองใหส้ มกบั
ควำมเป็น “วชิ ำชพี ชัน้ สูง” ตำมเจตนำรมณ์ของกฎหมำยคือเป็นผทู้ ่มี ีควำมร้สู งู มีมำตรฐำนในกำร
ปฏิบัตงิ ำนสงู มีกำรติดตำมศึกษำคน้ หำองค์ควำมรู้ทเี่ กดิ ขึ้นใหมท่ ้งั ควำมรู้ที่เกดิ ขึ้นในประเทศและ
ตำ่ งประเทศมีควำมสำมำรถในกำรใชภ้ ำษำอังกฤษเทคโนโลยีคอมพิวเตอรเ์ ทคนิคกำรจดั กำรเรยี นร้ใู หมๆ่
ในขณะเดียวกันเป็นผู้มีคณุ ธรรมจรยิ ธรรมดว้ ยสง่ ผลใหว้ ิชำชพี ครูในปัจจบุ ันและอนำคตมีกำรพฒั นำมำก
ขึน้ และส่งผลดตี ่อกำรพัฒนำประเทศสืบไป
*********
แบบฝกึ หัดท้ายบท
๒๘
จงตอบคาถามต่อไปนี้ได้ใจความ(เปน็ คาถามอตั นยั มีจานวน ๑๐ ขอ้ )
๑. อธบิ ำยควำมหมำยของคำว่ำครูตำมรปู ศัพทต์ ำมพจนำนุกรมตำมแนวคิดปรชั ญำทำง
กำรศกึ ษำตำมพระรำชบญั ญัติกำรศกึ ษำแหง่ ชำติและตำมแนวคดิ ของบุคคลต่ำงๆพอสงั เขป
๒. อธบิ ำยควำมหมำยของคำว่ำ “คร”ู และ “อำจำรย์” เหมือนหรือตำ่ งกันอย่ำงไรจงอธบิ ำย
๓. ควำมสำคัญของครใู นด้ำนกำรพัฒนำบุคคลกำรพฒั นำเศรษฐกจิ กำรพฒั นำสงั คมและ
กำรเมืองกำรปกครองจง อธบิ ำยพร้อมยกตัวอยำ่ งประกอบ
๔. วชิ ำชีพช้นั สูงมอี งค์ประกอบท่สี ำคัญอยำ่ งไรบ้ำง ทำ่ นเห็นด้วยหรือไม่วำ่ “วิชำชพี ครูเป็น
ศำสตรแ์ ละวิชำชีพชั้นสงู ” เพรำะเหตุใดจงึ คดิ เช่นนั้น
๕. วชิ ำชพี ครมู ีควำมแตกต่ำงจำกวิชำชพี อืน่ ๆอย่ำงไรบ้ำงอธิบำยพร้อมยกตวั อย่ำงประกอบ
๘. วิเครำะหเ์ ปรยี บเทยี บบทบำทของครูในอดีตและปจั จบุ นั มีควำมเหมือนและแตกตำ่ งกัน
อยำ่ งไร
๖. จำกควำมกำ้ วหนำ้ ของเทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสอ่ื สำรทำให้เกดิ ควำมเส่ือมโทรม
ทำงดำ้ นจรยิ ธรรมของคนในสังคมผูป้ ระกอบวิชำชีพครูควรมีบทบำทในกำรฟน้ื ฟูสงั คมได้อยำ่ งไรบ้ำง
๗. กำรพฒั นำผปู้ ระกอบวิชำชีพครใู ห้มีควำมสำมำรถดำ้ นเทคโนโลยีสำรสนเทศและกำรสื่อสำร
มีควำมสำคญั อย่ำงไรบำ้ งต่อครูในปจั จบุ นั และมีแนวทำงกำรพฒั นำได้อย่ำงไร
๙. ผู้ประกอบวิชำชพี ครูในศตวรรษท่ี ๒๑ ควรมกี ำรจดั กำรเรยี นร้ดู ว้ ยรูปแบบทหี่ ลำกหลำย
อย่ำงไรบ้ำงเพ่ือใหผ้ เู้ รยี นเกิดควำมสำมำรถในกำรเรียนรู้
๑๐. ทำ่ นเหน็ ด้วยหรอื ไม่วำ่ “ทัศนคติของนักศึกษำครตู ่อวชิ ำชพี ครมู ีผลต่อกำรประกอบวชิ ำชพี
ครใู นอนำคต” บอกเหตุผลประกอบ
อ้างองิ ประจาบท
๒๙
พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน, พ.ศ. ๒๕๕๔, เฉลิมพระเกยี รติพระบำทสมเดจ็ พระเจ้ำอยูห่ วั
เน่อื งในโอกำสพระรำชพิธีมหำมงคลเฉลมิ พระชนมพรรษำ ๗ รอบ ๕ ธนั วำคม ๒๕๕๔
(กรงุ เทพฯ : ศิรวิ ฒั นำอินเตอร์พรนิ ท์ จำกดั (มหำชน), ๒๕๕๖), หน้ำ ๒๖๕.
เปลื้อง ณ นคร, ครู, [Online]. Available from : http://guru.sanook. com/dictionary/dicttt/
?source page=๒&source_location= ๑&spell=%A๔%C๓%D๙&x=๒๕&y=๙.๓๐
มกรำคม ๒๕๕๔., หน้ำ ๑.
วกิ พิ เี ดีย, เทคโนโลยสี ารสนเทศ, [Online]. Available from: http://th.Wikipedia. org/wiki/
เทคโนโลยสี ำรสนเทศ, ๓ มนี ำคม ๒๕๕๔., หน้ำ ๑.
กระทรวงศึกษำธิกำร, พระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ ๒๕๔๒, สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำ
ขน้ั พนื้ ฐำน. หนงั สือรำชกำรเรอื่ งกำรกำหนดภำระงำนสอนขัน้ ต่ำของขำ้ รำชกำรครูและ
บุคลำกร ทำงกำรศึกษำสำยงำนสอน. (กรงุ เทพฯ : กระทรวงศึกษำธกิ ำร, ๒๕๕๓), หนำ้ ๔.
พระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภกิ ข)ุ . ธรรมสาหรับครู, พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๒, (กรุงเทพฯ : สำนกั งำน
คณะกรรมกำรกำรประถมศกึ ษำแหง่ ชำติ, ๒๕๓๙), หน้ำ ๑๓.
ยนต์ ชุ่มจิต, ความเปน็ ครู, พิมพ์ครัง้ ท่ี ๔, (กรงุ เทพฯ : โอ.เอส.พรน้ิ ต้งิ เฮ้ำส์, ๒๕๕๐), หนำ้ ๗๑-๗๘.
ประไพ สทิ ธเิ ลิศ, ความเปน็ ครู, (กรงุ เทพฯ : คณะครุศำสตรม์ หำวิทยำลยั รำชภัฏสวนสุนนั ทำ,
๒๕๔๒), หนำ้ ๑.
ผกำ สัตยธรรม, คุณธรรมของครู, พมิ พค์ ร้งั ที่ ๒, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พลอยเพลท, ๒๕๕๐), หนำ้ ๑.
วรรณะ บรรจง, ปจั จยั เชงิ สาเหตแุ ละผลของเอกลักษณ์นกั ศกึ ษาครู และการรบั รู้ความสามารถของ
ตนในการเปน็ ครนู กั วจิ ยั ท่ีมีต่อพฤติกรรมครนู ักวจิ ยั ของนกั ศกึ ษาครใู นยคุ ปฏริ ปู
การศึกษา, (วทิ ยำนพิ นธ์ปริญญำดุษฎบี ณั ฑติ คณะวิทยำศำสตร์ มหำวิทยำลยั ศรีนครินทร
วโิ รฒ ๒๕๕๑), หน้ำ ๒๕.
รงุ่ แก้วแดง, บทความครูในครมู อื อาชีพ, [Online]. Available from: http://www.thaileam.net
/ index_teacher.html., ๒๓ กมุ ภำพนั ธ์ ๒๕๕๔, หน้ำ ๑.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), ความเป็นกลั ยาณมิตรของหลวงบชู า, (กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์สหธรรม
จำกัด, ๒๕๓๘), หน้ำ ๒๐๓.
รำชบณั ฑติ สถำน, พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานพ.ศ. ๒๕๕๔ เฉลิมพระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็
พระเจา้ อยู่หัวเน่อื งในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕
ธันวาคม ๒๕๕๔, (กรุงเทพฯ : ศริ ิวฒั นำอินเตอร์พรินท์ จำกัด,(มหำชน) ๒๕๕๔), หน้ำ
๑.
ศุภำนนั สิทธิเลิศ. เอกสารคาสอนรายวิชาความเป็นครู, (กรงุ เทพฯ : ศนู ย์ส่ือและสิง่ พิมพ์แก้วเจำ้
จอมมหำวิทยำลัยรำชภฏั สวนสุนันทำ ศนู ยก์ ำรศึกษำนอกระบบ โรงเรยี นจงั หวัด
ลำพูน.(๒๕๕๔). ควำมหมำยและควำมสำคญั ของจรรยำบรรณ. [Online]. Available
from:http://lpn.nfe.go.th/e_learning/ LESSON๒/ UNIT๒.HTM. ๓ เมษำยน
๒๕๕๙), หน้ำ ๑๓.
พจนำนุกรมฉบบั รำชบัณฑิตยสถำน, เฉลมิ พระเกยี รติพระบำทสมเด็จพระเจำ้ อยหู่ ัว เนอื่ งในโอกำสพระ
๓๐
รำชพิธมี หำมงคลเฉลิมพระชนมพรรษำ ๗ รอบ ๕ ธันวำคม ๒๕๕๔. (กรงุ เทพฯ : ศริ ิ
วัฒนำอนิ เตอรพ์ รนิ ท์ จำกดั (มหำชน), ๒๕๕๖), หน้ำ ๑๑-๑๘.
วจิ ติ ร ศรสี อำ้ น, ประสบการณ์วชิ าชพี บริหารการศกึ ษา, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มหำวิทยำลยั
สุโขทยั ธรรมำธิรำช, ๒๕๓๕), หน้ำ ๑,๘๒๓-๘๒๔.
ศักดิ์ไทย สุรกิจบวร, ครมู อื อาชพี : สิง่ จาเป็นที่ควรมแี ละควรเปน็ , [Online]. Available from:
http://www. kruthacheen.com/index.php?lay=show& ac=article&Id=
๕๓๘๖๘๒๕๓๗&Nype=๒. ๒๐ กมุ ภำพันธ์ ๒๕๕๔, หนำ้ ๑.
จิรพนั ธ์ ไตรทพิ จรสั , บทความในวันคลา้ ย “วนั สถาปนาการฝึกหัดครูไทย”, ครบรอบ ๑๑๙ ปี
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔. [Online]. Available from: http://www.dru.ac.th/uploads
advertise/mueythai.pdf, ๓๐ มกรำคม ๒๕๕๔, หนำ้ ๑.
รุ่ง แก้วแดง, บทความครูในครมู ืออาชีพ, [Online]. Available from:http://www. thaileam.
net/index_teacher.html. ๒๓ กุมภำพันธ์ ๒๕๕๔, หนำ้ ๑๓.
นกั วิชำกำร, ครูไทยในศตวรรษท่ี ๒๑เผด็ หรือจดื ชืดมุมมองของนักวชิ ำกำร ครูบา้ นนอกบลอ็ ก,
[Online]. Available : http://www.kroobannok.com/blog/๑๑๘๘๕. ๒๓
พฤษภำคม ๒๕๕๒, หนำ้ ๑.
กระทรวงศกึ ษำธิกำร, “การผลิตครู : วิกฤตและโอกาส”, ในวันสถำปนำกำรฝกึ หดั ครไู ทย ๒๕๕. หน้ำ
๑.
วิจำรณ์ พำนชิ , การจัดการความรู้, [Online]. Available from: http://www.thaiall.com/km/
indexo.html. ๗ กันยำยน ๒๕๕๔, หน้ำ ๑.
กำรจดั กำรนวตั กรรมและสำรสนเทศ, บทความนวตั กรรม, [Online]. Available :http://portal.in.th
/inno-roj/pages/๑๒๓๗/, ๓ มนี ำคม ๒๕๕๔, หน้ำ ๑.
Good Carter V, Teacher, [Online]. Available from: http://onlinelibrary.wiley.com
/doi/๑๐.๑๐๐๒/sce.๓๗๓๐๓๐๐๒๕๖/abstract. (๒๘ January ๒๕๕๔,๒๐๑๑), p
๕๘๖.
Collins, Characteristics of a Profession, [Online]. Available from: http://www.Adprima.
com/profession.html. ๗ February ๒๕๕๔, ๒๐๑๑, p ๑.
Macquarie Thesaurus, Lecturer. Sydney, : The Macquarie Library Pty Ltd. ๑๙๙๒, p
๔๐๐.
Farlex, Advisor, [Online]. Available from :http://www.thefreedictionary.com.
๒๐๑๑, p ๑.
Collin, Value, [Online]. Available from: http//www.colinslanguage.com/results.aspx.
๓ April ๒๕๕๔. ๒๐๑๑, p ๑๑-๔๖.
Wikipedia, Profession, [Online]. Available from: http://en.wikipedia.org/wiki/Profession.
๒๘ January ๒๕๕๔. ๒๐๑๑, p ๑.
Rutledge (n.d.) , What is a profession?, [Online]. Available from:
๓๑
http://designprofessionalism.com/defining-design-professionalism- ๑.php.
๒๘ January ๒๕๕๔. ๒๐๑๑, p ๑.
Gerald and Runté, Thinking about teaching, : An introduction. Toronto:
Harcourt Brace. [Online]. Available from: http://www.uleth.ca/edu/runte
/professional/teaprof.htm. (๑ March ๒๕๕๔,๑๙๙๕) p๑.
Gutek. Education and Schooling in America, [Online]. Available from:
http://www. goodreads.com/author/show/๖๑๘๙๓๕. Gerald_L_Gutek. (๑๕
January ๒๕๕๔,๒๐๑๑), p ๓๘๒-๓๘๔.