๑๖๔
๑.๑ สร้างความรู้สึกเป็นมิตร เป็นท่ีพึ่งพาและไว้วางใจได้ของศิษย์แต่ละคนและทุก
คน เชน่ ให้ความเป็นกันเองกับศษิ ย์ รับฟังปัญหาของศิษย์ และให้ความชว่ ยเหลอื ศษิ ย์ ร่วมทากิจกรรม
กับศิษยเ์ ปน็ ครัง้ คราวตามความเหมาะสม สนทนาไต่ถามทกุ ข์สุขของศิษย์
๑.๒ ตอบสนองข้อเสนอและการกระทาของศิษย์ในทางสร้างสรรค์ และตามสภาพ
ปญั หาความต้องการและศักยภาพของศิษย์แต่ละคนและทุกคน เช่น สนใจคาถามและคาตอบของศิษย์
ทุกคนให้โอกาสศิษย์แต่ละคนได้แสดงออกตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจช่วยแก้ไข
ขอ้ บกพรอ่ งของศษิ ย์ รับการนดั หมายของศษิ ยเ์ กยี่ วกับการเรยี นรู้ก่อนงานอืน่
๑.๓ เสนอและแนะแนวทางการพัฒนาของศิษย์แต่ละคนและทุกคนตามความถนัด
ความสนใจ และศักยภาพของศิษย์ เช่น มอบหมายงานตามความถนัด จัดกิจกรรมหลากหลายตาม
สภาพความแตกตา่ งของศษิ ยเ์ พื่อใหแ้ ต่ละคนประสบความสาเรจ็ อยู่เสมอ แนะแนวทางท่ีถูกใหแ้ กศ่ ิษย์
ปรึกษาหารือกบั ครู ผู้ปกครอง เพอ่ื นนักเรียน เพือ่ หาสาเหตแุ ละวิธแี กป้ ัญหาของศิษย์
๑.๔ แสดงผลงานที่ภูมิใจของศิษย์แต่ละคน และทุกคนทั้งในและนอกสถานศึกษา
เช่นตรวจผลงานของศิษย์อย่างสม่าเสมอ แสดงผลงานของศิษย์ในห้องเรียนหรือห้องปฏิบัติการ
ประกาศหรือเผยแพร่ผลงานของศษิ ย์ทปี่ ระสบความสาเร็จ
๒. ครูต้องอบรมสั่งสอนฝกึ ฝนสรา้ งเสริมความรู้ทกั ษะและนสิ ัยท่ีถกู ตอ้ งดีงาม
ให้เกิดแกศ่ ษิ ย์อยา่ งเตม็ ความสามารถด้วยความบรสิ ทุ ธใิ์ จ
ครูต้องอบรมส่ังสอนฝึกฝนสร้างเสริมความรู้ทักษะและนิสัยท่ีถูกต้องดีงามให้เกิดแก่ศิษย์
อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธ์ิใจ หมายถึง การดาเนินงานต้ังแต่การเลือกกาหนดกิจกรรม
การเรยี นทมี่ ่งุ ผลต่อการพัฒนาในตัวศิษยอ์ ย่างแทจ้ ริง การจัดให้ศษิ ย์มีความรับผิดชอบและเป็นเจ้าของ
การเรียนรู้ตลอดจน การประเมินร่วมกับศิษย์ในผลการเรียนและการเพิ่มพูนการเรียนรู้ภายหลัง
บทเรียนต่าง ๆด้วยความปรารถนาที่จะให้ศิษย์แต่ละคนและทุกคนพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพและ
ตลอดไป พฤตกิ รรมทค่ี รูแสดงออก ไดแ้ ก่
๒.๑ อบรม สั่งสอน ฝกึ ฝน และจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนเพ่ือพฒั นาศิษย์
อยา่ งมุ่งมั่นและต้งั ใจ ตัวอยา่ งเช่น สอนเตม็ เวลา ไม่เบียดบังเวลาของศิษย์ ไม่ไปหาผลประโยชน์สว่ น
ตน เอาใจใส่อบรม สั่งสอนศิษย์จนเกดิ ทักษะในการปฏิบัติงาน อุทิศเวลาเพ่อื พฒั นาศิษย์ตามความ
จาเป็นและเหมาะสม ไม่ละทงิ้ ชั้นเรียนหรือขาดการสอน
๒.๒ อบรม สัง่ สอน ฝกึ ฝนและจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพฒั นาศษิ ย์อยา่ ง
เต็มศกั ยภาพ เช่น เลือกใชว้ ธิ กี ารทีห่ ลากหลายในการสอนให้เหมาะสมกับสภาพของศิษย์ ให้ความรู้
โดยไม่ปดิ บงั เปดิ โอกาสใหศ้ ิษย์ได้ฝึกปฏบิ ัตอิ ย่างเต็มความสามารถ สอนเตม็ ความสามารถและดว้ ย
ความเตม็ ใจ กาหนดเปา้ หมายที่ท้าทาย พัฒนาขนึ้ ลงมือจัด เลือกกจิ กรรมที่นาสูผ่ ลจรงิ ประเมนิ
ปรับปรงุ ให้ได้ผลจริง และภูมใิ จเมื่อศิษย์มีการพฒั นา
๒.๓ อบรม สัง่ สอน ฝึกฝน และจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาศิษย์ด้วย
ความบริสทุ ธ์ใิ จ เช่น ส่ังสอนศิษยโ์ ดยไมบ่ ดิ เบือนหรือปดิ บงั อาพราง อบรมสั่งสอนศิษย์โดยไมเ่ ลอื กที่
รักมักทช่ี งั และมอบหมายงานและตรวจผลงานด้วยความยุติธรรม
๑๖๕
๓. ครูตอ้ งประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตนเป็นแบบอยา่ งทดี่ แี กศ่ ิษย์ทัง้ ทางกาย วาจา และ
จติ ใจ
การประพฤติปฏิบัตติ นเป็นแบบอย่างท่ีดี หมายถึง การแสดงออกอย่างสม่าเสมอของครูที่
ศิษย์สามารถสังเกตรับรู้ได้เอง และเป็นการแสดงท่ีเป็นไปตามมาตรฐานแห่งพฤติกรรมระดับสูงตาม
คา่ นิยมคณุ ธรรม และวฒั นธรรมอนั ดงี ามพฤตกิ รรมท่ีครูแสดงออก ไดแ้ ก่
๓.๑ ตระหนักว่าพฤติกรรมการแสดงออกของครูมีผลต่อการพัฒนาพฤติกรรมของ
ศิษย์อยู่เสมอ เช่น ระมัดระวังในการกระทาและการพูดของตนเองอยู่เสมอ ไม่โกรธง่ายหรือแสดง
อารมณ์ฉุนเฉยี วต่อหนา้ ศิษย์ มองโลกในแง่ดี เป็นตน้
๓.๒ พูดจาสุภาพและสร้างสรรค์ โดยคานึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับศิษย์และสังคม
เช่น ไม่พูดคาหยาบหรือก้าวร้าว ไม่นินทาหรือพูดจาส่อเสียด พูดชมเชยให้กาลังใจศิษย์ด้วยความ
จริงใจ
๓.๓ กระทาตนเป็นแบบอย่างท่ีดี สอดคล้องกับคาสอนของตนและวัฒนธรรม
ประเพณีอันดีงาม ตวั อย่างเช่น ปฏิบัติตนให้มีสุขภาพและบุคลิกภาพท่ดี ีอยู่เสมอ แต่งกายสะอาด วาง
ตนเหมาะสมกับกาลเทศะ แสดงกิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อยอยเู่ สมอ ตรงตอ่ เวลา แสดงออกซึ่งนิสัย
ทด่ี ีในการประหยดั ซอ่ื สตั ย์ อดทน สามัคคี มวี นิ ยั รักษาสาธารณสมบตั แิ ละส่ิงแวดล้อม
๔. ครูต้องไม่กระทาตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ
และสงั คมของศิษย์
การไม่กระทาตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคม
ของศิษย์ หมายถึง การตอบสนองต่อศิษย์ในการลงโทษหรือให้รางวัล หรือการกระทาอ่ืนใดที่นาไปสู่
การลดพฤติกรรมที่พึงปรารถนา และการเพิ่มพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาพฤติกรรมที่ครูแสดงออก
ได้แก่
๔.๑ ละเว้นการกระทาท่ีทาให้ศิษยเ์ กิดความกระทบกระเทือนต่อจิตใจ สติปัญญา
อารมณ์และสังคมของศิษย์ เช่น ไม่นาปมด้อยของศิษย์มาล้อเลียน ไม่ประจานศิษย์ ไม่พูดจาหรือ
กระทาการใดท่ีเป็นการซ้าเติมปัญหาหรือข้อบกพร่องของศิษย์ ไม่นาความเครียดมาระบายต่อศิษย์ไม่
ว่าจะด้วยคาพูดหรอื สีหน้า ท่าทาง ไมเ่ ปรียบเทียบฐานะความเปน็ อยูข่ องศิษย์ ไมล่ งโทษศิษย์ เกินกว่า
เหตุ
๔.๒ ละเว้นการกระทาทเ่ี ปน็ อันตรายต่อสุขภาพและร่างกายของศษิ ย์ เช่น ละเว้น
การกระทาท่ีเป็นอันตรายต่อสุขภาพและร่างกายของศิษย์ ไม่ทาร้ายร่างกายศิษย์ ไม่ลงโทษศิษย์เกิน
กว่าระเบียบกาหนด ไม่จัดหรือปล่อยปละละเลยให้สภาพแวดล้อมเป็นอันตรายต่อศิษย์ ไม่ใช้ศิษย์
ทางานเกนิ กาลังความสามารถ
๔.๓ ละเว้นการกระทาที่สกัดก้ันพัฒนาการทางสติปัญญา อารมณ์ จิตใจ และ
สังคมของศิษย์ เช่น ไม่ตัดสินคาตอบถูกผิดโดยยึดคาตอบของครู ไม่ดุด่าซ้าเติมศิษย์ที่เรียนช้า ไม่
ขัดขวางโอกาสใหศ้ ิษย์ได้แสดงออกทางสรา้ งสรรค์ และไม่ต้งั ฉายาในทางลบใหแ้ ก่ศษิ ย์
๕. ครูไม่แสวงหาผลประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษย์ในการปฏิบัติ
หน้าที่
การไม่แสวงหาประโยชนอ์ ันเป็นอามิสสินจ้างจากศษิ ยใ์ นการปฏบิ ัตหิ น้าทต่ี ามปกติและไม่
ใช้ศิษย์กระทาการใดอันเป็นการหาประโยชน์ให้แก่ตนโดยมิชอบ หมายถึง การไม่กระทาการใดที่จะ
๑๖๖
ได้มาซ่ึงผลตอบแทนเกินสิทธิที่พึงได้จากการปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบตามปกติพฤติกรรมท่ีครู
แสดงออก ไดแ้ ก่
๕.๑ ไม่รับหรือแสวงหาอามิสสินจ้างหรือผลประโยชน์อันมิควรจากศิษย์ เชน่ ไม่
หารายได้จากการนาสินค้ามาขายให้ศิษย์ ไม่ตัดสินผลงานหรือผลการเรียนโดยมีสิ่งแลกเปลี่ยน ไม่
บังคับหรอื สรา้ งเง่อื นไขให้ศิษย์มาเรยี นพิเศษเพอื่ หารายได้
๕.๒ ไม่ใช้ศิษย์เป็นเคร่ืองมือหาประโยชน์ให้กับตนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
วัฒนธรรมประเพณีขนบธรรมเนียม หรือความรู้สึกของสังคม เช่น ไม่นาผลงานของศิษย์ไปแสวงหา
กาไรสว่ นตนไมใ่ ชแ้ รงงานศษิ ยเ์ พือ่ ประโยชน์ส่วนตน ไมใ่ ช้หรือจ้างวานศิษยไ์ ปทาส่ิงผดิ กฎหมาย
๖. ครูย่อมพัฒนาตนเองทั้งในด้านวิชาชีพ ด้านบุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ให้
ทนั ต่อการพัฒนาทางวทิ ยาการ เศรษฐกิจ สงั คม และการเมอื งอยู่เสมอ
การพัฒนาตนเองทัง้ ในด้านวิชาชพี ดา้ นบคุ ลกิ ภาพ และวสิ ยั ทศั น์ใหท้ ันตอ่ การพฒั นาทาง
วิทยาการ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอยู่เสมอ หมายถงึ การใฝ่รู้ ศกึ ษาค้นคว้า ริเร่ิมสร้างสรรค์
ความรู้ใหม่ให้ทันสมัย ทันเหตุการณ์ และทันต่อการเปลี่ยนแปลงท้ังด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
และเทคโนโลยี สามารถพฒั นาบคุ ลิกภาพและวสิ ยั ทัศน์พฤตกิ รรมทค่ี รูแสดงออก ไดแ้ ก่
๖.๑ ใส่ใจศึกษาค้นคว้า ริเริ่ม สร้างสรรค์ความรู้ใหม่ท่ีเกี่ยวกับวิชาชีพอยู่เสมอ เช่น
หาความรู้ จากเอกสาร ตารา และส่ือต่าง ๆ อยู่เสมอ จัดทาและเผยแพร่ความรู้ผ่านส่ือต่าง ๆ ตาม
โอกาสเขา้ รว่ มประชมุ อบรม สมั มนา หรอื ฟงั การบรรยายหรอื อภิปรายทางวิชาการ
๖.๒ มีความรอบรู้ ทันสมัย ทันเหตุการณ์ สามารถนามาวิเคราะห์ กาหนดเป้าหมาย
แนวทางพัฒนาตนเองและวิชาชีพ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การ
อาชีพและเทคโนโลยี เช่น นาเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมมาใช้ประกอบการเรียนการสอน ติดตามข่าวสาร
เหตกุ ารณ์ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การเมืองอยู่เสมอ วางแผนพัฒนาตนเองและพัฒนางาน
๖.๓ แสดงออกทางร่างกาย กิริยา วาจา อย่างสง่างาม เหมาะสมกับกาลเทศะ เช่น
รักษาสุขภาพและปรับปรุงบุคลิกภาพอยู่เสมอ มีความเชื่อมั่นในตนเอง แต่งกายสะอาดเหมาะสมกับ
กาลเทศะและทันสมัย และมคี วามกระตือรอื รน้
๗. ครยู ่อมรักและศรัทธาในวชิ าชีพและเป็นสมาชกิ ทีด่ ีขององค์การวิชาชีพครู
ความรักและศรทั ธาในวชิ าชีพครแู ละเปน็ สมาชิกท่ดี ีขององค์กรวิชาชีพครู หมายถงึ การ
แสดงออกดว้ ยความชนื่ ชม และเชื่อมน่ั ในอาชีพครดู ว้ ยตระหนักวา่ อาชีพนีเ้ ป็นอาชีพท่ีมเี กยี รติ มี
ความสาคญั และจาเปน็ ต่อสังคม ครูพงึ ปฏิบัตงิ านด้วยความเตม็ ใจและภูมิใจ รวมท้งั ปกปอ้ งเกียรตภิ ูมิ
ของอาชีพครู เข้าร่วมกจิ กรรมและสนบั สนุนองค์กรวชิ าชีพครพู ฤติกรรมทค่ี รูแสดงออก ได้แก่
๗.๑ ครูเชื่อมั่น ช่ืนชม ภูมิใจในความเป็นครูและองค์กรวิชาชีพครูว่ามีความสาคัญ
และจาเป็นต่อสงั คม เช่น ชื่นชมในเกยี รติและรางวัลที่ได้รับ และรักษาไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ยก
ย่องชมเชยเพ่ือนครูท่ีประสบผลสาเร็จเก่ียวกับการสอน เผยแพร่ผลสาเร็จของตนเองและเพ่ือนครู
แสดงตนว่าเป็นครูอยา่ งภาคภมู ิ
๗.๒ เป็นสมาชิกองค์กรวิชาชีพครู และสนับสนุน หรือเข้าร่วม หรือเป็นผู้นาใน
กิจกรรมพัฒนาวิชาชีพครู เช่น ปฏิบัติตามเง่ือนไขข้อกาหนดขององค์กร ร่วมกิจกรรมท่ีองค์กรจัดขึ้น
เปน็ กรรมการหรอื คณะทางานขององค์กร
๗.๓ ปกป้องเกียรติภูมิของครูและองค์กรวิชาชีพ เช่น เผยแพร่ประชาสมั พันธ์ผลงาน
ของครแู ละองคก์ รวิชาชพี ครู เมือ่ มผี เู้ ขา้ ใจผิดเกยี่ วกับวงการวิชาชีพครูก็ช้แี จงทาความเขา้ ใจให้ถกู ต้อง
๑๖๗
๘. ครพู งึ ชว่ ยเหลือเก้ือกลู ครแู ละชุมชนในทางสร้างสรรค์
การช่วยเหลอื เกือ้ กูลครแู ละชมุ ชนในทางสรา้ งสรรค์ หมายถึง การให้ความรว่ มมอื แนะนา
ปรึกษาช่วยเหลือแก่เพอื่ นครูทง้ั เรือ่ งส่วนตัว ครอบครัว และการงานตามโอกาสอย่างเหมาะสม รวมทั้ง
เขา้ รว่ มกจิ กรรมของชมุ ชนโดยการให้คาปรกึ ษาแนะนาแนวทางวธิ กี ารปฏบิ ตั ติ น ปฏิบตั ิงานเพือ่ พฒั นา
คณุ ภาพชีวิตของคนในชุมชนพฤติกรรมที่ครแู สดงออก ได้แก่
๘.๑ ให้ความร่วมมือแนะนา ปรึกษาแก่เพื่อนครูตามโอกาสและความเหมาะสม เช่น
ใหค้ าปรกึ ษาการจัดทาผลงานทางวิชาการ ใหค้ าแนะนาการผลิตสอ่ื การเรยี นการสอน
๘.๒ ให้ความช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์ส่ิงของแก่เพ่ือนครูตามโอกาสและความ
เหมาะสมเช่น รว่ มงานกุศลช่วยทรัพย์ เมอื่ เพ่ือนครเู ดอื นรอ้ นจัดต้ังกองทุนเพ่ือช่วยเหลือซึง่ กันและกัน
๘.๓ เข้าร่วมกิจกรรมของชุมชน รวมท้ังให้คาปรึกษา แนะนาแนวทางวิธีการปฏิบัติ
ตนปฏิบัติงานเพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน เช่น แนะแนวทางการป้องกันและกาจัดมลพิษ
รว่ มกจิ กรรมตามประเพณีของชุมชน
๙. ครูพงึ ประพฤตปิ ฏิบตั ิตนเป็นผนู้ าในการอนุรกั ษ์และพัฒนาภูมิปัญญาและ
วฒั นธรรมไทย
การเป็นผู้นาในการอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย หมายถึง การริเริ่ม
ดาเนินกิจกรรม สนับสนุนส่งเสริมภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย โดยรวบรวมข้อมูล ศึกษาวิเคราะห์
เลือกสรรปฏิบัติตน และเผยแพร่ศิลปะ ประเพณี ดนตรี กีฬา การละเล่น อาหาร เคร่ืองแต่งกาย เพื่อ
ใชใ้ นการเรียนการสอน การดารงชวี ติ ตนและสงั คมพฤตกิ รรมที่ครแู สดงออก ได้แก่
๙.๑ รวบรวมข้อมูลและเลือกสรรภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมท่ีเหมาะสมมาใช้
จัดกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น เชิญบุคคลในท้องถ่ินมาเป็นวิทยากร นาภูมิปัญญาท้องถ่ินมาใช้
จัดการเรยี นการสอน นาศิษยไ์ ปศึกษาในแหล่งวทิ ยาการชมุ ชน
๙.๒ เป็นผู้นาในการวางแผนดาเนินการเพ่ืออนรุ ักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาท้องถ่ินและ
วัฒนธรรม เช่น ฝึกการละเล่นท้องถิ่นให้แก่ศิษย์ จัดต้ังชมรม สนใจศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น จัดทา
พิพิธภัณฑ์ในสถานศกึ ษา
๙.๓ สนับสนุนส่งเสริมเผยแพร่และร่วมกิจกรรมทางประเพณีวัฒนธรรมของชุมชน
อย่างสม่าเสมอ เช่น รณรงค์การใช้สินค้าพ้ืนเมือง เผยแพร่การแสดงศิลปะพื้นบ้าน และร่วมงาน
ประเพณขี องท้องถ่นิ
๙.๔ ศึกษาวิเคราะห์ วิจัยภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่นเพื่อนาผลมาใช้ในการจัด
กจิ กรรมการเรียนการสอน เช่น ศึกษาวิเคราะหเ์ กี่ยวกบั การละเล่นพื้นบ้าน นทิ านพ้ืนบ้าน เพลงกล่อม
เด็กตานานและความเชอื่ ถอื นาผลการศึกษาวเิ คราะห์มาใช้ในการเรียนการสอน
จรรยาบรรณครู ฉบับ พ.ศ. ๒๕๓๙ นี้ คณะกรรมการอานวยการคุรุสภาได้วางระเบียบ
ปฏิบัติโดยมีลักษณะมุ่งเน้นความเป็นครใู นด้านบทบาท หนา้ ท่ี และความรับผิดชอบท่ีพึงมีต่อศษิ ย์เป็น
สาคัญข้อสงั เกตของจรรยาบรรณครฉู บับน้ีมี ๒ ประการ คือ
ประการท่ี ๑ จรรยาบรรณวิชาชีพครูไม่ใช่กฎหมายและไม่ได้เป็นกฎกระทรวงศึกษาธิการ
แต่เป็นระเบียบท่คี ณะกรรมการอานวยการคุรุสภากาหนดไว้ เพ่ือใช้เป็นหลักปฏิบัติของสมาชิกคุรุสภา
ท่ีเป็นครูอาจารย์เท่าน้ันกรณีครูอาจารย์ท่ีเป็นสมาชิกของคุรุสภาละเมิดจรรยาบรรณครูข้างต้น ไม่มี
บทลงโทษแต่อย่างใด แมค้ ณะกรรมการครุ สุ ภาไมม่ ีอานาจลงโทษครูอาจารยโ์ ดยตรง
๑๖๘
ประการท่ี ๒ จรรยาบรรณครูฉบับน้ีเป็นฉบับที่ถูกนาไปใช้ในทุกสถานศึกษา ท้ังนี้อาจเป็น
เพราะคุรุสภาในฐานะเป็นองค์กรวิชาชีพครูเป็นผู้ออกจรรยาบรรณครูซ่ึงมีกฎหมายรองรับอย่างเป็น
ทางการคือ พระราชบญั ญัตคิ รู พ.ศ. ๒๔๘๘ ความแตกตา่ งของจรรยาบรรณครฉู บับนก้ี ับจรรยาบรรณ
ของครใู นอดีต คือ บ่งบอกถึงจรรยาบรรณของครูโดยตรงและโดยรวม มิได้จาแนกเป็นจรรยามารยาท
จารตี ประเพณี หรือวินยั ของครู
ปัจจุบันคุรุสภาได้สรุปจรรยาบรรณของวิชาชีพไว้ ๕ ประการ จาแนกตามการปฏิบัติ
หน้าที่๑๓ดังน้ี
๑. จรรยาบรรณต่อตนเอง คือ ครูตอ้ งมีวนิ ัยในตนเอง พัฒนาตนเองดา้ นวิชาชีพบคุ ลิกภาพ
และวสิ ยั ทัศน์ใหท้ นั ต่อการพัฒนาทางวทิ ยาการ เศรษฐกิจสังคม และการเมืองอยเู่ สมอ
๒. จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ คือ ครตู ้องรกั ศรัทธา ซื่อสัตย์สจุ รติ รบั ผิดชอบต่อวิชาชีพและ
เป็นสมาชิกทดี่ ีขององค์กรวิชาชพี
๓. จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ คือ ครูต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้
กาลังใจแก่ศิษย์และผู้รับบริการตามบทบาทหน้าที่โดยเสมอหน้า ครูต้องส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้
ทักษะและนิสัยที่ถูกต้องดีงามแก่ศิษย์และผู้รับบริการตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มความสามารถด้วย
ความบริสุทธ์ิใจ ครูต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ ครูต้องไม่
กระทาตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์และ
ผู้รับบริการ ครูต้องให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอภาค โดยไม่ เรียกรับหรือยอมรับผลประโยชน์
จากการใช้ตาแหน่งหนา้ ท่โี ดยมชิ อบ
๔. จรรยาบรรณต่อผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ คือ ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลซ่ึงกันและกันอย่าง
สรา้ งสรรค์ โดยยดึ มั่นในระบบคณุ ธรรม สร้างความสามัคคใี นหมู่คณะ
๕. จรรยาบรรณต่อสังคม คือ ครูพึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นาในการอนุรักษ์และพัฒนา
เศรษฐกิจ สงั คม ศาสนา ศลิ ปวัฒนธรรม ภูมปิ ัญญา ส่ิงแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของสว่ นรวม และ
ยึดมน่ั ในการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมขุ
ความสาคัญของจรรยาบรรณวชิ าชพี ครู
จรรยาบรรณวิชาชพี โดยท่วั ไปเปน็ ความประพฤตหิ รือข้อกาหนด กริ ยิ าทคี่ วรประพฤติ ซง่ึ
กาหนดไวเ้ ปน็ ลายลักษณอ์ กั ษรเพ่ือใหผ้ ปู้ ระกอบอาชีพนั้น ๆ ได้ยึดถือเปน็ หลักปฏิบัตอิ ยา่ งเครง่ ครดั ผู้
ประกอบอาชพี ทกุ อาชพี ต่างต้องมีจรรยาบรรณท่ีเป็นทย่ี อมรับของสงั คม โดยเฉพาะวชิ าชีพครูซ่งึ เป็น
อาชีพที่เก่ียวข้องกับบุคคลจานวนมาก และสังคมมีความคาดหวังให้ทาหน้าที่สาคัญในการสร้าง
พลเมืองท่ีมีคุณภาพให้แก่ประเทศชาติ ฉะนั้น จรรยาบรรณวิชาชีพครูจึงมีความสาคัญต่อผู้ประกอบ
วิชาชีพครูในหลายด้าน ได้แก่ ปกป้องการปฏิบัติงานของสมาชิกในวิชาชีพ รักษามาตรฐานวิชาชีพ
และพฒั นาวิชาชพี ๑๔
๑๓ สานักงานคณะกรรมการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน.ค่มู อื ครมู ืออาชพี และครผู ชู้ ่วย. [ออนไลน์].แหล่งทมี่ า:
http://www.obec.go.th/documents/๔๗๖๖, ๒๕๕๓. [๒๕๕๔,มีนาคม ๑๔].หนา้ ๕๑-๕๒.
๑๔ พฤทธิ์ ศริ ิบรรณพทิ กั ษ.์ จรรยาบรรณวิชาชพี คร.ู [ออนไลน์].แหล่งทมี่ า:http://www.edu.
chula.ac.th/knowledge/rule/adm-rule.htm, ๒๕๕๔. [๒๕๕๔, เมษายน ๓]. หน้า ๑.
๑๖๙
จ า ก ห นั ง สื อ อิ เล็ ก ท ร อ นิ ก ส์ ม ห า วิ ท ย า ลั ย ร า ม ค า แ ห ง ๑๕ได้ ก ล่ า ว ถึ งค ว าม ส า คั ญ ข อ ง
จรรยาบรรณครูว่า จรรยาบรรณครูชว่ ยควบคุมมาตรฐาน รับประกันคณุ ภาพที่ถูกต้องในการประกอบ
อาชีพ ช่วยควบคุมจริยธรรมของผู้ประกอบอาชีพ ช่วยส่งเสริมมาตรฐาน คุณภาพและปริมาณท่ีดี มี
คณุ คา่ และเผยแพร่ให้รูจ้ กั เป็นทน่ี ิยมเชื่อถอื ชว่ ยส่งเสรมิ จรยิ ธรรมของผู้ประกอบอาชพี ชว่ ยลดปญั หา
อาชญากรรม ลดปัญหาการคดโกง เอารัดเอาเปรียบ และเห็นแก่ตัวได้ ช่วยเน้นให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นใน
ภาพลักษณ์ท่ีดีของผู้มีจริยธรรมช่วยทาหน้าท่ีพิทักษ์สิทธิตามกฎหมายสาหรับผู้ประกอบอาชีพให้
เป็นไปอย่างถูกต้องตามทานองคลองธรรม
จากการศึกษาความสาคัญของจรรยาบรรณครูท่ีกลา่ วมาข้างต้น สามารถได้ข้อสรุปวา่
จรรยาบรรณครู มีความสาคัญต่อผปู้ ระกอบวชิ าชพี ครดู ังน้ี
๑. จรรยาบรรณวิชาชีพครูช่วยควบคุมมาตรฐานคุณภาพของครูให้ครูมีคุณลักษณะที่พึง
ประสงค์ ท้ังด้านการประพฤติปฏบิ ัตติ นและจรยิ ธรรมของครู
๒. จรรยาบรรณวิชาชีพครูช่วยส่งเสริมมาตรฐานคุณภาพและปริมาณท่ีดีมีคุณค่าสู่สังคม
ทาให้ครไู ด้รับความเช่ือถอื ศรทั ธาจากผพู้ บเห็น
๓. จรรยาบรรณวิชาชีพครชู ่วยพทิ ักษ์สทิ ธใิ นการประกอบวิชาชีพครแู ละควบคมุ มาตรฐาน
ในการประกอบวชิ าชีพ
๔. จรรยาบรรณวิชาชีพครูช่วยลดปัญหาความประพฤติปฏิบัติของครูที่ไม่เหมาะสม ไม่
สมควร ผิดหลักศีลธรรมคุณธรรม เช่น ความประพฤติผิดทางเพศ การทาร้ายร่างกายเด็ก การเอารัด
เอาเปรยี บเด็ก เป็นตน้
๕. จรรยาบรรณวิชาชพี ครชู ว่ ยเนน้ ภาพลักษณ์ของครูท่มี ีคุณธรรม จรยิ ธรรมให้เหน็ เด่นชัด
ย่ิงขึ้น เช่น ความรักความเมตตา ความเสียสละ อุทิศตนเพ่ือประโยชน์ส่วนรวม ความรับผิดชอบใน
หน้าที่การงานและอาชพี ความโอบออ้ มอารี เปน็ ต้น
๖. จรรยาบรรณวิชาชีพครูช่วยรักษาชื่อเสียง เกียรติยศ และ ศักด์ิศรีของผู้อยู่ในวงการ
วชิ าชีพ
๗. จรรยาบรรณวิชาชีพครูช่วยให้ครูได้ตระหนักรู้ในความสาคัญของบทบาทหน้าที่และ
ภาระงานของตนตอ่ สงั คม
๘. จรรยาบรรณวิชาชีพครูช่วยปลูกฝังคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์และการประพฤติปฏิบัติ
ตนของครใู ห้ถูกต้องตามทานองคลองธรรม
มาตรฐานวชิ าชพี ครู
เม่ือพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ มีผลใช้บังคับต้ังแต่
วันที่ ๑๒มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๖ ทาให้ผู้ประสงค์จะประกอบวิชาชีพครูต้องมีใบอนุญาตการประกอบ
วิชาชีพครู มีความรู้และประสบการณ์วิชาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพที่กาหนดไว้ในข้อบังคับคุรุสภาว่า
ด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ พ.ศ. ๒๕๔๘๑๖ โดยมีรายละเอียดในการกาหนด
๑๕พฤทธิ์ ศริ ิบรรณพิทักษ์. จรรยาบรรณวิชาชพี ครู. [ออนไลน]์ .แหล่งทมี่ า:http://www.edu.
chula.ac.th/knowledge/rule/adm-rule.htm, ๒๕๕๔. [๒๕๕๔, เมษายน ๓]. ,หนา้ ๙๔.
๑๖ เรอ่ื งเดยี วกนั ,หน้า ๒๐-๒๕, ๓๗,๓๘,๔๔.
๑๗๐
มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชพี ครู มาตรฐานการปฏิบตั ิงานครูและมาตรฐานการปฏิบัติตน
ดังรายละเอียดต่อไปน้ี
มาตรฐานดา้ นความรู้และประสบการณว์ ชิ าชีพครู
ในข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ พ.ศ.๒๕๔๘ ได้
กาหนดมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชพี ครู ดงั น้ี
๑. มาตรฐานดา้ นความรู้
ครูต้องมีคุณวุฒิไม่ต่าว่าปริญญาตรีทางการศึกษา หรือเทียบเท่า หรือคุณวุฒิท่ีคุรุสภา
รับรองโดยมีความรู้ใน ๙ ด้าน คือ ภาษาและเทคโนโลยีสาหรับครู การพัฒนาหลักสูตร การจัดการ
เรียนรู้จิตวิทยาสาหรับครู การจัดและการประเมินผลศึกษา การบริหารจัดการในห้องเรียน การวิจัย
ทางการศึกษา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา และความเป็นครู ในความรู้แต่ละ
ดา้ นครูต้องมสี าระความรแู้ ละสมรรถนะตามมาตรฐานความรู้ดงั รายละเอียดตอ่ ไปนี้
๑.๑ ภาษาและวฒั นธรรม
สาระความรู้ ป ระกอบ ด้วย ๑) ภาษาไทยสาหรบั ครู ๒) ภาษาองั กฤษ หรือ
ภาษาตา่ งประเทศอ่ืน ๆ สาหรบั ครู และ ๓) เทคโนโลยีสารสนเทศสาหรับครู
สมรรถนะ ประกอบด้วย ๑) สามารถใช้ทักษะในการฟัง การพดู การอ่าน การเขียน
ภาษาไทยเพอ่ื การสอื่ ความหมายได้อยา่ งถูกตอ้ ง ๒) สามารถใชท้ กั ษะในการฟัง การพูด การอา่ น การ
เขยี นภาษาอังกฤษ หรอื ภาษาตา่ งประเทศอื่น ๆ เพื่อการส่อื ความหมายได้อยา่ งถกู ต้อง ๓) สามารถใช้
คอมพวิ เตอร์ขนั้ พนื้ ฐาน
๑.๒ การพฒั นาหลกั สูตร
สาระความรู้ ประกอบด้วย ๑) ปรัชญา แนวคิดทฤษฎีการศึกษา ๒) ประวัติความ
เปน็ มาและระบบการจดั การศึกษาไทย ๓) วิสัยทัศนแ์ ละแผนพัฒนาการศกึ ษาไทย ๔) ทฤษฎีหลักสูตร
๕) การพัฒนาหลักสูตร ๖) มาตรฐานและมาตรฐานช่วงช้ันของหลักสูตร ๗) การพัฒนาหลักสูตร
สถานศกึ ษาและ ๘) ปัญหาและแนวโนม้ ในการพัฒนาหลักสูตร
สมรรถนะ ประกอบด้วย ๑) สามารถวิเคราะห์หลักสูตร ๒) สามารถปรับปรุงและ
พัฒนาหลักสูตรได้อย่างหลากหลาย ๓) สามารถประเมินหลักสูตรได้ท้ังก่อนและหลัง การใช้หลักสูตร
๔)สามารถจัดทาหลกั สตู ร
๑.๓ การจัดการเรยี นรู้
สาระความรู้ ประกอบด้วย ๑) ทฤษฎีการเรียนรู้และการสอน ๒) รูปแบบการเรียนรู้
และการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน ๓) การออกแบบและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้
๔) การบูรณาการเนื้อหาในกลุม่ สาระการเรยี นรู้ ๕) การบูรณาการการเรยี นรู้แบบเรียนรวม ๖) เทคนิค
และวิทยาการจัดการเรียนรู้ ๗) การใช้และการผลิตสื่อและการพัฒนานวัตกรรมในการเรียนรู้ ๘) การ
จดั การเรียนรู้แบบยดึ ผู้เรียนเป็นสาคัญ ๙) การประเมนิ ผลการเรียนรู้
สมรรถนะ ประกอบด้วย ๑) สามารถนาประมวลรายวิชามาจัดทาแผนการเรียนรู้ราย
ภาคและตลอดภาค ๒) สามารถออกแบบการเรียนท่ีเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน ๓) สามารถเลือกใช้
พัฒนาและสร้างส่ือ อุปกรณ์ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน ๔) สามารถจัดกิจกรรมท่ีส่งเสริมการ
เรียนรขู้ องผเู้ รียน และจาแนกระดบั การเรียนของผเู้ รียนจากการประเมนิ ผล
๑๗๑
๑.๔ จิตวิทยาสาหรบั ครู
สาระความรู้ ประกอบด้วย ๑) จิตวิทยาพ้ืนฐานที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการมนุษย์ ๒)
จติ วทิ ยาการศึกษา ๓) จิตวิทยาการแนะแนวและใหค้ าปรึกษา
สมรรถนะ ประกอบดว้ ย ๑) เข้าใจธรรมชาติของผู้เรียน ๒) สามารถชว่ ยเหลือผู้เรียน
ให้เรียนรู้และพัฒนาได้ตามศักยภาพของตน ๓) สามารถใหค้ าแนะนาชว่ ยเหลือผเู้ รยี นใหม้ คี ุณภาพชีวิต
ทีด่ ขี ้นึ ๔) สามารถส่งเสรมิ ความถนัดและความสนใจของผ้เู รยี น
๑.๕ การวดั และประเมินผลการศกึ ษา
สาระความรู้ ประกอบด้วย ๑) หลักการและเทคนิคการวัดและประเมินผลทางการ
ศึกษา ๒) การสร้างและการใชเ้ คร่ืองมอื วัดผลและประเมินผลการศกึ ษา ๓) การประเมินตามสภาพจริง
๔)การประเมินจากแฟ้มสะสมงาน ๕) การประเมินภาคปฏิบัติ ๖) การประเมินผลแบบย่อยและแบบ
รวม
สมรรถนะ ประกอบด้วย ๑) สามารถวัดและประเมินผลได้ตามสภาพความเป็นจริง
๒)สามารถนาผลการประเมินไปใชใ้ นการปรบั ปรงุ การจัดการเรยี นรูแ้ ละหลักสูตร
๑.๖ การประกนั คณุ ภาพการศึกษา
สาระความรู้ ประกอบด้วย ๑) ทฤษฎีและหลักการบริหารจัดการ ๒) ภาวะผู้นาทาง
การศึกษา ๓) การคิดอย่างเป็นระบบ ๔) การเรียนรู้วัฒนธรรมองค์กร ๕) มนุษย์สัมพันธ์ในองค์กร ๖)
การติดต่อสื่อสารในองค์กร ๗) การบริหารจัดการชั้นเรียน ๘) การประกันคุณภาพการศึกษา ๙) การ
ทางานเป็นทีม ๑๐) การจัดทาโครงงานทางวิชาการ ๑๑) การจัดโครงการฝึกอาชีพ ๑๒) การจัด
โครงการและกิจกรรมเพ่ือพัฒนา ๑๓) การจัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ ๑๔) การศึกษา
เพื่อพัฒนาชุมชน
สมรรถนะ ประกอบด้วย ๑) มีภาวะผู้นา ๒) สามารถบริหารจัดการในชั้นเรียน ๓)
สามารถสื่อสารได้อย่างมีคุณภาพ ๔) สามารถในการประสานประโยชน์ ๕) สามารถนานวัตกรรมใหม่
ๆมาใชใ้ นการบรหิ ารจัดการ
๑.๗ การวจิ ยั ทางการศึกษา
สาระความรู้ ประกอบด้วย ๑) ทฤษฎีการวิจัย ๒) รูปแบบการวิจัย ๓) การออกแบบ
การวิจัย ๔) กระบวนการวิจัย ๕) สถิติเพ่ือการวิจัย ๖) การวิจัยในชั้นเรียน ๗) การฝึกปฏิบัติการวิจัย
๘)การนาเสนอผลงานวิจัย ๙) การค้นควา้ ศึกษางานวจิ ัยในการพัฒนากระบวนการจดั การเรียนรู้ ๑๐)
การใช้กระบวนการวจิ ยั ในการแกป้ ัญหา ๑๑) การเสนอโครงการเพอื่ ทาวจิ ยั
สมรรถนะ ประกอบด้วย ๑) สามารถนาผลการวิจัยไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน
๒)สามารถทาวจิ ัยเพื่อพฒั นาการเรียนการสอนและพัฒนาผู้เรียน
๑.๘ นวัตกรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษา
สาระความรู้ ประกอบด้วย ๑) แนวคิด ทฤษฎี เทคโนโลยี และนวัตกรรมการศึกษาท่ี
ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ ๒) เทคโนโลยีและสารสนเทศ ๓) การวิเคราะห์ปัญหาท่ีเกิดจาก
การใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ ๔) แหล่งการเรียนรู้และเครือข่ายการเรียนรู้ ๕) การ
ออกแบบ การสรา้ ง การนาไปใช้ การประเมนิ และการปรับปรงุ นวตั กรรม
สมรรถนะ ประกอบด้วย ๑) สามารถเลือกใช้ ออกแบบ สร้าง และปรับปรุง
นวัตกรรมเพื่อใช้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดี ๒) สามารถพัฒนาเทคโนโลยีและสารสนเทศเพ่ือให้ผู้เรียน
เกดิ การเรียนรูท้ ่ีดี ๓) สามารถแสวงหาแหลง่ เรียนรูท้ ่ีหลากหลายเพ่อื สง่ เสรมิ การเรียนรู้ของผู้เรียน
๑๗๒
๑.๙ ความเปน็ ครูวชิ าชีพ
สาระความรู้ ประกอบด้วย ๑) ความสาคัญของวิชาชีพครู บทบาท หน้าท่ี ภาระงาน
ของครู ๒) พัฒนาการของวิชาชีพครู ๓) คุณลักษณะของครูที่ดี ๔) การสร้างทัศนคติท่ีดีต่อวิชาชีพครู
๕)การเสริมสร้างศักยภาพและสมรรถภาพความเป็นครู ๖) การเป็นบคุ คลแห่งการเรียนรู้ และการเป็น
ผู้นาทางวิชาการ ๗) เกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู ๘) จรรยาบรรณของวิชาชีพครู ๙) กฎหมายท่ี
เก่ยี วขอ้ งกับการศึกษา
สมรรถนะ ประกอบด้วย ๑) รัก เมตตา และปรารถนาดีต่อผู้เรียน ๒) อดทนและ
รบั ผดิ ชอบ ๓) เป็นบคุ คลแห่งการเรียนรู้และเป็นผนู้ าทางวิชาการ ๔) มีวิสยั ทัศน์ ๕) ศรัทธาในวิชาชีพ
ครู ๖) ปฏิบตั ิตามจรรยาบรรณของวชิ าชพี ครู
๒. มาตรฐานประสบการณว์ ชิ าชีพ
ครูต้องผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาตามหลักสูตรปริญญาทางการศึกษาเป็น
เวลาไมน่ อ้ ยกว่า ๑ ปี และผา่ นเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่อื นไขที่
คณะกรรมการคุรุสภากาหนด ๒ ด้าน คือ ๑) การฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน ๒) การปฏิบัติการ
สอนในสถานศกึ ษาในสาขาศกึ ษาในสาขาวิชาเฉพาะ ดงั มีรายละเอียดดงั นี้
๒.๑ การฝึกปฏบิ ัติวชิ าชพี ระหว่างเรยี น
สาระการฝึกทักษะ ประกอบด้วย ๑) การบูรณาการความรู้ท้ังหมดมาใช้ในการฝึก
ประสบการณ์วิชาชีพในสถานศึกษา ๒) ฝึกปฏิบัติการวางแผนการศึกษาผู้เรียน โดยการสังเกต
สัมภาษณ์ รวบรวมข้อมูล และนาเสนอผลการศึกษา ๓) มีส่วนร่วมกับสถานศึกษาในการพัฒนาและ
ปรับปรุงหลักสูตรรวมท้ังการนาหลักสูตรไปใช้ ๔) ฝึกการจัดทาแผน การจัดการเรียนรู้ร่วมกับ
สถานศึกษา ๕) ฝึกปฏิบัตกิ ารดาเนินการจดั กจิ กรรมเก่ยี วกับการจัดการเรียนรู้ โดยเข้าไปมีส่วนร่วมใน
สถานศึกษา ๖) การจดั ทาโครงการทางวิชาการ
สมรรถนะ ประกอบด้วย ๑) สามารถศึกษาและแยกแยะผู้เรียนได้ตามความแตกต่าง
ของผู้เรียน ๒) สามารถจัดทาแผนการเรียนรู้ ๓) สามารถฝึกปฏิบัติการสอน ต้ังแต่การจัดทาแผนการ
สอนปฏิบัตกิ ารสอน ประเมินผล และปรับปรุง ๔) สามารถจัดทาโครงงานทางวชิ าการ
๒.๒ การปฏิบัตกิ ารสอนในสถานศกึ ษาในสาขาวชิ าเฉพาะ
สาระการฝึกทักษะ ประกอบด้วย ๑) การบูรณาการความรู้ท้ังหมดมาใช้ในการ
ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา ๒) การจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ท่ียึดผู้เรียนเป็นสาคัญ ๓) การจัด
กระบวนการเรียนรู้ ๔) การเลือกใช้ การผลิตสื่อและนวัตกรรมท่ีสอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ ๕)
การใช้เทคนิคและยุทธวิธีในการจัดการเรียนรู้ ๖) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ๗) การทาวิจัยใน
ชั้นเรียนเพ่ือพัฒนาผู้เรียน ๘) การนาผลการประเมินมาพัฒนาการจัดการเรียนรู้และพัฒนาคุณภาพ
ผูเ้ รยี น ๙) การบันทกึ และรายงานผลการจดั การเรยี นรู้ ๑๐) การสมั มนาทางการศึกษา
สมรรถนะ ประกอบด้วย ๑) สามารถจัดการเรียนรู้ในสาขาวิชาเฉพาะ ๒) สามารถ
ประเมิน ปรับปรุง และพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับศักยภาพของผู้เรียน ๓) สามารถทา
วิจัยในชัน้ เรียนเพ่ือพฒั นาผเู้ รยี น ๔) สามารถจดั ทารายงานผลการจดั การเรยี นรู้และการพัฒนาผเู้ รียน
มาตรฐานดา้ นการปฏิบตั งิ านครู
ในข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ พ.ศ.๒๕๔๘ ได้
กาหนดมาตรฐานดา้ นการปฏิบตั ิงานครู ประกอบดว้ ย ๑๒ มาตรฐานดงั น้ี
๑๗๓
มาตรฐานท่ี ๑ ปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการเก่ียวกับการพัฒนาวิชาชีพครูอยู่เสมอการ
ปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการเก่ียวกับการพัฒนาวิชาชีพครูอยู่เสมอ หมายถึง การศึกษาค้นคว้าเพ่ือ
พัฒนาตนเอง การเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ และการเข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาการที่องค์การหรือ
หน่วยงานหรือสมาคมจดั ข้ึน เช่น การประชุม การอบรม การสมั มนา และการประชุมปฏิบัติการ ฯลฯ
ทง้ั นต้ี อ้ งมีผลงานหรอื รายงานทป่ี รากฏชัดเจน
มาตรฐานที่ ๒ ตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ โดยคานึงถึงผลที่จะเกิดแก่ผู้เรียนการ
ตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ โดยคานึงถึงผลที่จะเกิดแก่ผู้เรียน หมายถึง การเลือกอย่างชาญฉลาด
ด้วยความรักและหวังดีต่อผู้เรียน ดังน้ัน ในการเลือกกิจกรรมการเรียนรู้และกิจกรรมอื่น ๆ ครูต้อง
คานงึ ถงึ ประโยชน์ทจ่ี ะเกดิ แก่ผเู้ รียนเป็นหลัก
มาตรฐานท่ี ๓ มุ่งม่ันพัฒนาผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ การมุ่งม่ันพัฒนาผู้เรียนให้เต็ม
ตามศักยภาพ หมายถึง การใช้ความพยายามอย่างเต็มความสามารถของครูท่ีจะให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้ให้มากที่สุดตามความถนัด ความสนใจ ความต้องการโดยวิเคราะห์วินิจฉัยปัญหาความต้องการ
ที่แท้จริงของผู้เรียน ปรับเปล่ียนวิธีการสอนที่จะให้ได้ผลดีกว่าเดิม รวมทั้งการส่งเสริมพัฒนาการด้าน
ตา่ ง ๆ ตามศักยภาพของผู้เรียนแตล่ ะคนอย่างเปน็ ระบบ
มาตรฐานท่ี ๔ พัฒนาแผนการสอนให้สามารถปฏิบัติได้เกิดผลจริง การพัฒนาแผนการ
สอนให้สามารถปฏบิ ัติได้เกิดผลจริง หมายถึง การเลือกใช้ ปรับปรงุ หรือสร้างแผนการสอน บนั ทึกการ
สอน หรือเตรียมการสอนในลักษณะอ่ืน ๆ ที่สามารถนาไปใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียน
บรรลุวัตถปุ ระสงค์ของการเรียนรู้
มาตรฐานที่ ๕ พัฒนาสอื่ การเรยี นการสอนให้มปี ระสทิ ธิภาพอยู่เสมอ การพัฒนาส่ือการ
เรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ หมายถึง การประดิษฐ์ คิดค้น ผลิต เลือกใช้ปรับปรุง
เครอื่ งมอื อปุ กรณ์ เอกสารส่ิงพิมพ์ เทคนคิ วิธีการต่าง ๆ เพอื่ ใหผ้ ้เู รียนบรรลจุ ุดประสงค์ของการเรียนรู้
มาตรฐานที่ ๖ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเน้นผลถาวรที่เกิดแก่ผู้เรียนการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนโดยเนน้ ผลถาวรที่เกิดแก่ผู้เรยี น หมายถึง การจัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้น
ให้ผู้เรียนประสบผลสาเร็จในการแสวงหาความรู้ตามสภาพความแตกต่างของบุคคล ด้วยการปฏิบัติ
จริง และสรุปความรู้ทั้งหลายได้ด้วยตนเอง ก่อให้เกิดค่านิยมและนิสัยในการปฏิบัติจนเป็นบุคลิกภาพ
ถาวรตดิ ตัวผ้เู รียนตลอดไป
มาตรฐานที่ ๗ รายงานผลการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้อย่างมีระบบการรายงานผล
การพัฒนาคณุ ภาพของผู้เรียนได้อย่างมรี ะบบ หมายถงึ การรายงานผลการพัฒนาผู้เรียนท่เี กดิ จากการ
ปฏบิ ตั ิการเรยี นรูใ้ หค้ รอบคลุมสาเหตุ ปัจจยั และการดาเนินงานทเ่ี กี่ยวขอ้ งโดยครูนาเสนอรายงานการ
ปฏบิ ตั ใิ นรายละเอียดดังนี้
๑. ปัญหาความตอ้ งการของผ้เู รยี นท่ตี อ้ งได้รบั การพฒั นาและเป้าหมายการพฒั นา
๒. เทคนิค วิธกี าร หรอื นวัตกรรมการเรยี นการสอนที่นามาใช้เพื่อการพัฒนาคุณภาพ
ของผเู้ รียนและขนั้ ตอนวิธกี ารใชเ้ ทคนิควิธกี ารหรอื นวัตกรรมนั้น ๆ
๓. ผลการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนตามวิธกี ารทกี่ าหนดที่เกิดแก่ผ้เู รียน
๔. ข้อเสนอแนะ แนวทางใหม่ ๆ ในการปรับปรงุ และพัฒนาผูเ้ รยี นให้ไดผ้ ลดียิง่ ขึ้น
มาตรฐานท่ี ๘ ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างท่ีดีแก่ผู้เรียน การปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่
ผู้เรียน หมายถึง การแสดงออก การประพฤติและปฏิบัติในด้านบุคลิกภาพท่ัวไป การแต่งกาย กิริยา
๑๗๔
วาจา และจริยธรรมท่ีเหมาะสมกับความเป็นครูอย่างสม่าเสมอท่ีทาให้ผู้เรียนเล่ือมใส ศรัทธา และถือ
เป็นแบบอย่าง
มาตรฐานที่ ๙ ร่วมมือกับผู้อื่นในสถานศึกษาอย่างสร้างสรรค์ร่วมมือกับผู้อื่นใน
สถานศึกษาอย่างสร้างสรรค์ หมายถึง การตระหนักถึงความสาคัญรับฟังความคิดเห็น ยอมรับใน
ความรู้ความสามารถ ให้ความร่วมมือในการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆของเพ่ือนร่วมงานด้วยความเต็มใจ
เพอื่ บรรลุเปา้ หมายของสถานศกึ ษาและรว่ มรบั ผลทีเ่ กดิ ขนึ้ จากการกระทานน้ั
มาตรฐานท่ี ๑๐ รว่ มมือกับผู้อื่นอย่างสรา้ งสรรค์ในชุมชนร่วมมือกบั ผอู้ ื่นอย่างสร้างสรรค์
ในชุมชน หมายถึง การตระหนักในความสาคัญ รับฟังความคิดเห็น ยอมรับในความรู้ความสามารถ
ของบุคคลอ่ืนในชุมชน และร่วมมือปฏิบัติงานเพ่ือพัฒนา งานของสถานศึกษา ให้ชุมชนและ
สถานศึกษามกี ารยอมรับซ่ึงกันและกัน และปฏิบตั ิงานร่วมกนั ด้วยความเต็มใจ
มาตรฐานที่ ๑๑ แสวงหาและใช้ข้อมูลข่าวสารในการพัฒนาการแสดงหาและใช้ข้อมูล
ข่าวสารในการพัฒนา หมายถึง การค้นหา สังเกต จดจา และรวบรวมข้อมูลข่าวสารตามสถานการณ์
ของสังคมทุกด้าน โดยเฉพาะสารสนเทศเกี่ยวกับวิชาชีพครูสามารถวิเคราะห์วิจารณ์อย่างมีเหตุผล
และใช้ขอ้ มูลประกอบการแก้ปญั หา พฒั นาตนเอง พฒั นางานและพฒั นาสงั คมไดอ้ ย่างเหมาะสม
มาตรฐานที่ ๑๒ สร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในทุกสถานการณ์การสร้างโอกาสให้
ผู้เรียนได้เรียนรู้ในทุกสถานการณ์ หมายถึง การสร้างกิจกรรมการเรียนรู้โดยการนาเอาปัญหาหรือ
ความจาเป็นในการพัฒนาตา่ ง ๆ ที่เกิดขึน้ ในการเรยี นและการจัดกจิ กรรมอ่ืน ๆ ในโรงเรียนมากาหนด
เป็นกจิ กรรมการเรยี นรู้เพอ่ื นาไปสกู่ ารพัฒนาของผู้เรียนทถ่ี าวรเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาของครูอีก
แบบหน่ึงที่จะนาเอาวิกฤตต่าง ๆ มาเป็นโอกาสในการพัฒนา ครูจาเป็นต้องมองมุมต่าง ๆ ของปัญหา
แล้วผันมุมของปัญหาไปในทางการพัฒนา กาหนดเป็นกิจกรรมในการพัฒนาผู้เรียน ครูจึงต้องเป็นผู้
มองมมุ บวกในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ กล้าทจี่ ะเผชญิ ปญั หาต่าง ๆ มีสติในการแก้ปัญหา มไิ ด้ตอบสนอง
ปัญหาต่าง ๆ ด้วยอารมณ์หรือแง่มุมแบบตรงตัว ครูสามารถมองหักมุมในทุก ๆ โอกาส มองเห็น
แนวทางทน่ี าสผู่ ลก้าวหนา้ ของผ้เู รียน
มาตรฐานด้านการปฏิบตั ิตนของครูหรอื จรรยาบรรณของวชิ าชีพครู
มาตรฐานการปฏิบัตติ น หรอื จรรยาบรรณของวิชาชีพของผู้ประกอบวชิ าชีพครู ผูบ้ รหิ าร
สถานศึกษา ผูบ้ ริหารการศกึ ษา และบคุ ลากรทางการศึกษาอน่ื ๆ เชน่ ศกึ ษานเิ ทศก์ จะมคี วาม
เหมอื นกัน แตใ่ นมาตรฐานส่วนความรแู้ ละประสบการณ์วิชาชพี มาตรฐานการปฏิบตั งิ านจะแตกตา่ ง
กนั โดยรายละเอียดของมาตรฐานการปฏิบัติตนจะจาแนกออกเปน็ ๔ ดา้ น คือ มาตรฐานการปฏิบตั ติ น
หรอื จรรยาบรรณต่อตนเอง ตอ่ วิชาชีพ ตอ่ ผรู้ ับบรกิ าร ตอ่ ผู้ร่วมประกอบวชิ าชพี และต่อสงั คมดงั น้ี
๑. มาตรฐานการปฏบิ ัตติ นหรือจรรยาบรรณต่อตนเอง ประกอบด้วย
๑.๑ ต้องมีวนิ ัยในตนเอง พฒั นาตนเองดา้ นวชิ าชพี บคุ ลิกภาพ และวิสยั ทัศน์ ใหท้ นั
ต่อการพฒั นาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สังคม และการเมอื งอย่เู สมอ
๑.๒ ผูป้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษาต้องรัก ศรัทธา ซอ่ื สัตยส์ จุ รติ รบั ผดิ ชอบต่อ
วิชาชีพและเปน็ สมาชกิ ท่ีดีขององค์กรวชิ าชีพ
๑.๓ ผปู้ ระกอบวชิ าชพี ทางการศึกษาต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ชว่ ยเหลอื สง่ เสริม ให้
กาลังใจแก่ศษิ ย์และผู้รับบรกิ ารตามบทบาทหน้าท่ีโดยเสมอหนา้
๑๗๕
๑.๔ ผปู้ ระกอบวชิ าชพี ทางการศึกษาต้องส่งเสรมิ ให้เกดิ การเรียนรู้ ทกั ษะนสิ ัยที่
ถกู ต้องดีงามแก่ศิษยแ์ ละผู้รับบรกิ ารตามบทบาทหน้าทอี่ ย่างเต็มความสามารถดว้ ยความบริสุทธ์ใิ จ
๑.๕ ผปู้ ระกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษาต้องประพฤตปิ ฏิบัติตนเปน็ แบบอยา่ งทดี่ ที ้ังทาง
กายวาจา และจติ ใจ
๑.๖ ผปู้ ระกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษาต้องไม่กระทาตนเป็นปฏิปกั ษ์ตอ่ ความเจริญทาง
กายวาจา และจติ ใจ อารมณ์ และสังคมของศษิ ย์และผรู้ บั บริการ
๑.๗ ผู้ประกอบวชิ าชีพทางการศกึ ษาต้องใหบ้ รกิ ารด้วยความจรงิ ใจและเสมอภาค
โดยไมเ่ รยี กรบั หรือยอมรับผลประโยชนจ์ ากการใช้ตาแหน่งหน้าท่ีโดยมชิ อบ
๒. มาตรฐานการปฏิบัตติ นต่อผ้รู ว่ มประกอบวิชาชพี หรือจรรยาบรรณตอ่ ผรู้ ่วมประกอบ
วชิ าชพี มอี ย่เู พยี งขอ้ เดียวคอื ผ้ปู ระกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษาพึงชว่ ยเหลอื เกื้อกูลซ่งึ กนั และกนั อย่าง
สรา้ งสรรค์ โดยยึดมน่ั ในระบบคณุ ธรรม สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ
๓. มาตรฐานการปฏบิ ตั ติ นต่อสังคมหรือจรรยาบรรณตอ่ สังคม มีอยูเ่ พยี งข้อเดียวเช่นกัน
คอื ผู้ประกอบวชิ าชพี ทางการศึกษาพึงประพฤติปฏบิ ัติตนเปน็ ผนู้ าในการอนรุ ักษ์และพัฒนาเศรษฐกจิ
สังคมศาสนา ศลิ ปวัฒนธรรม ภมู ิปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม และยดึ มั่นใน
การปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมุข
ใบอนุญาตประกอบวชิ าชพี ครู
พระราชบัญญัตสิ ภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ กาหนดใหว้ ชิ าชพี ครู เป็น
วชิ าชีพควบคมุ ผ้ปู ระกอบวิชาชพี ควบคุมท่ีจัดการศึกษาในสถานศกึ ษาปฐมวยั การศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน
และระดับอุดมศึกษาที่ต่ากว่าปริญญาทง้ั ของรฐั และเอกชน จะตอ้ งไดร้ ับใบอนุญาตประกอบวชิ าชพี
จากคุรสุ ภา จึงจะมสี ิทธิประกอบวชิ าชีพ การได้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพจะเป็นหลกั ประกันความมี
มาตรฐานและคุณภาพของการประกอบวิชาชีพ และเป็นการยกระดบั มาตรฐานวชิ าชีพครูให้สงู ขึน้
นอกจากนขี้ ้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษาท่มี ใี บอนญุ าตประกอบวชิ าชพี จะไดร้ บั เงนิ เดือน
เงินวิทยฐานะตาม พ.ร.บ. เงนิ เดอื นเงินวทิ ยฐานะ และเงินประจาตาแหนง่ ของขา้ ราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิม่ เติม ผู้มีสิทธิได้รบั ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู
ผู้ทไี่ ด้วฒุ ิปริญญาทางการศกึ ษาหรือเทียบเท่า หรือวฒุ อิ ื่นทคี่ รุ สุ ภารบั รอง ผา่ นการปฏบิ ตั กิ ารสอนใน
สถานศึกษาตามหลักสตู รปรญิ ญาทางการศึกษา เปน็ เวลาไมน่ ้อยกวา่ ๑ ปี และผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน
การปฏิบตั ิการสอน ตามหลกั เกณฑ์วธิ กี ารและเง่ือนไขทค่ี ณะกรรมการคุรุสภากาหนด มอี ายไุ ม่ตา่ กว่า
๒๐ ปีบริบรู ณ์ และไม่มีลกั ษณะต้องห้าม ตามมาตรา ๔๔ (ข) แหง่ พ.ร.บ. สภาครูและบุคลากร
ทางการศึกษาพ.ศ. ๒๕๔๖๑๗
จากการศึกษามาตรฐานวชิ าชพี ดังกลา่ วข้างตน้ ไดข้ ้อสรปุ ว่า ครู ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา
ผบู้ รหิ ารการศกึ ษา และบคุ ลากรทางการศกึ ษาอนื่ ท่กี ฎกระทรวงกาหนดให้เป็นวชิ าชพี ควบคุม ต้องมี
ใบประกอบวิชาชพี ภายใต้ข้อบังคบั แหง่ ขอ้ จากดั และเง่อื นไขของครุ ุสภา คอื ต้องประพฤติตนตาม
มาตรฐานและจรรยาบรรณของวชิ าชีพ รวมทงั้ ต้องพัฒนาตนเองอย่างต่อเนอื่ ง เพื่อดารงไวซ้ งึ่ ความรู้
ความสามารถและความชานาญการตามระดบั คณุ ภาพของมาตรฐานในการประกอบวิชาชพี หากผู้
๑๗พฤทธิ์ ศิรบิ รรณพทิ กั ษ.์ จรรยาบรรณวชิ าชีพคร.ู [ออนไลน์].แหล่งทม่ี า:http://www.edu.
chula.ac.th/knowledge/rule/adm-rule.htm, ๒๕๕๔. [๒๕๕๔, เมษายน ๓]. หนา้ ๕๔-๕๕.
๑๗๖
ประกอบวิชาชีพครูประพฤติผิดจรรยาบรรณของวชิ าชพี จนทาใหเ้ กดิ ความเสียหายแกบ่ ุคคลอื่น และ
คุรสุ ภาได้รบั เร่ืองกล่าวหา/กลา่ วโทษคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพอาจวนิ จิ ฉยั ชีข้ าดตามมาตรา ๕๔
อยา่ งใดอย่างหนง่ึ ดงั นี้ (๑) ยกข้อกลา่ วหา (๒) ตักเตือน (๓) ภาคทัณฑ์ (๔) พกั ใชใ้ บอนญุ าตได้ไม่เกิน
๕ ปี (๕) เพิกถอนใบอนุญาต การกาหนดให้วชิ าชีพทางการศกึ ษาเป็นวิชาชพี ควบคมุ นบั เป็น
ความกา้ วหน้าของวิชาชีพทางการศึกษา และเป็นการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพใหส้ งู ขน้ึ อนั จะเป็น
ผลดตี ่อผรู้ ับบริการทางการศึกษาที่จะได้รบั การศึกษาอยา่ งมคี ณุ ภาพและมีมาตรฐานท่สี งู ขนึ้ ดว้ ย ซง่ึ
จะทาให้วชิ าชพี และผปู้ ระกอบวิชาชพี ทางการศึกษาไดร้ บั ความเชอ่ื ถอื ศรทั ธา มเี กยี รตแิ ละศกั ด์ิศรใี น
สังคม
การปฏบิ ตั งิ านของครตู ามจรรยาบรรณและมาตรฐานวิชาชีพครู
จากการศึกษาการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพครู ธีรวัฒน์ เล่ือนฤทธ์ิ๑๘ กล่าวถึงการ
พัฒนาตัวบ่งชี้คัดสรรการปฏิบัติงานของครู พบว่าครูมีการปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพท่ีคุรุสภา
กาหนดได้ในระดับดีมาก ไดแ้ ก่ มาตรฐานท่ี ๙ การรว่ มมือกับผ้อู ่ืนในสถานศึกษาอยา่ งสร้างสรรค์มีการ
ปฏิบัติงานสูงสุด และพบว่า มาตรฐานท่ี ๑ ครูปฏิบัติงานทางวิชาการเก่ียวกับการพัฒนาวิชาชีพครูมี
การปฏิบัติงานต่าทส่ี ดุ
จากงานวิจัยของผู้เขียน อุบล เลี้ยววาริณ๑๙ ซึ่งทาการศึกษาว่าผู้ประกอบวิชาชีพครูใน
ปัจจุบัน ได้ปฏิบัติงานตามจรรยาบรรณและมาตรฐานวิชาชีพครูในระดับมากน้อยเพียงใดโดยเก็บ
ข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างครูท่ีปฏิบัติงานในโรงเรียนสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จานวน ๓๗๕ คน เป็นครูอายุงานมากกว่า ๓ ปี จานวน ๒๐๕ คน คิดเป็นร้อยละ ๕๔.๖ เป็นครูอายุ
งานน้อย ๓ ปี จานวน ๑๗๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๔๕.๓ ผลวิจัยสาคัญมี ๔ ประการ คือประการท่ี ๑ ผู้
ประกอบวิชาชีพครูมีการรายงานว่า ตนปฏิบัติงานตามจรรยาบรรณวิชาชีพครูในภาพรวมอยู่ในระดับ
มากท่ีสุด โดยปฏิบัติตนใน ๕ ข้อน้ีในระดับมากท่ีสุด คือ ๑) ให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอภาค
โดยไม่เรียกรับหรือยอมรับผลประโยชน์จากการใช้ตาแหน่งหน้าท่ีโดยมิชอบ ๒) รัก เมตตา เอาใจใส่
ช่วยเหลือ ส่งเสรมิ และใหก้ าลงั ใจ ๓) ไมก่ ระทาตนเป็นปฏิปักษต์ อ่ ความเจริญทางกาย สตปิ ัญญา จติ ใจ
อารมณ์ และสังคมของศิษย์และผรู้ ับบริการ ๔) ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกนั อย่างสรา้ งสรรค์ โดยยึด
ม่นั ในระบบคุณธรรม สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ และ ๕) ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะและนิสัย
ท่ีถูกต้องดีงามแก่ศิษย์และปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธ์ิใจ ส่วน
ข้อท่ีปฏิบัติในระดับมากมจี านวน ๓ ข้อ คอื ๑) ประพฤตปิ ฏิบตั ิตนเปน็ แบบอย่างที่ดี ทั้งทางกาย วาจา
และจิตใจ ๒) ประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นาในการอนุรักษ์และพัฒนาเศรษฐกิจสังคม ศาสนา
ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม และยึดม่ันในการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ๓) และมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด้าน
วิชาชีพ บุคลิกภาพและวิสยั ทัศน์ ใหท้ ันต่อการพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอยู่
เสมอประการที่ ๒ ผู้ประกอบวิชาชีพครูมีการรายงานว่า ตนปฏิบัติงานตามมาตรฐานวิชาชีพครูใน
๑๘ ธีรวฒั น์ เล่อื นฤทธ.ิ์ การพัฒนาตัวบ่งชี้คัดสรรการปฏิบัตงานมาตรฐานวิชาชพี ครู. วิทยานพิ นธ์
ครศุ าสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าวจิ ัยและจิตวิทยาการศึกษา จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั ,บทคัดยอ่ .
๑๙ อุบล เลีย้ ววารณิ . รายงานการวิจยั เร่ืองปฏบิ ตั งิ านตามจรรยาบรรณและมาตรฐานวชิ าชพี ของครู
ในโรงเรียนสังกัดสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน, (กรงุ เทพฯ:คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั
สวนสนุ นั ทา. ๒๕๕๓), หนา้ ๔๙-๕๐.
๑๗๗
ภาพรวมอยู่ในระดับมาก และหากพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อท่ีมีการรายงานว่าปฏิบัติอยู่ในระดับ
มากมี ๑๒ ข้อ ดังนี้คือ ๑) มุ่งม่ันพัฒนาผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ ๒) ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างท่ีดีแก่
ผู้เรียน ๓) ตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ โดยคานึงถึงผลที่จะเกิดแก่ผู้เรียน ๔) สร้างโอกาสให้ผู้เรียน
ไดเ้ รยี นรใู้ นทุกสถานการณ์ ๕) ปฏิบัติกจิ กรรมทางวิชาการเก่ียวกบั การพัฒนาวชิ าชพี ครูอย่เู สมอ ๖)จัด
กิจกรรมการเรียนการสอน โดยเน้นผลถาวรที่เกิดแก่ผู้เรียน ๗ ) แสวงหาและใช้ข้อมูลข่าวสารในการ
พัฒนา ๘) ร่วมมือกับผู้อ่ืนในสถานศกึ ษาอย่างสร้างสรรค์ ๙) พัฒนาแผนการสอนให้สามารถปฏิบัติได้
เกิดผลจริง ๑๐) รายงานผลการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียนได้อย่าง มีระบบ ๑๑) พัฒนาสื่อการเรียน
การสอนให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ และ ๑๒) ร่วมมือกับผู้อื่นในชุมชนอย่างสร้างสรรค์ประการที่ ๓
ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างครูอายุงานมากกับครูอายุงานน้อยในด้านการ
ปฏิบัติงานตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพครพู บว่า ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ
.๐๕ ในภาพรวมและในทุกขอ้ ดังกล่าวไวใ้ นผลวิจัยประการท่ี ๑ ยกเว้นข้อไม่ กระทาตนเป็นปฏปิ ักษต์ ่อ
ความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์และผู้รับบริการ ที่ครูอายุงานน้อย
รายงานว่าตนปฏิบัติมากกว่าครูอายุงานมากประการที่ ๔ ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างของ
ค่าเฉลี่ยระหว่างครูอายุงานมากกับครูอายุงานน้อย ในด้านการปฏิบัติตนตามมาตรฐานวิชาชีพครูใน
ภาพรวมพบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ โดยครูอายุงานน้อยรายงานว่าตนปฏิบัติ
มากกวา่ ครูอายุงานมาก และหากพิจารณาเป็นรายข้อพบว่าแตกต่างกันอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติใน ๖
ข้อ คือ ๑) สร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในทุกสถานการณ์ ๒) แสวงหาและใช้ข้อมูลข่าวสารในการ
พัฒนา ๓) ปฏบิ ัติกจิ กรรมทางวชิ าการเก่ียวกับการพัฒนาวิชาชีพครูอย่เู สมอ ๔) รายงานผลการพฒั นา
คุณภาพของผู้เรียนได้อย่างมีระบบ ๕) พฒั นาสื่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพอยู่เสมอ และ ๖)
รว่ มมือกับผู้อ่ืนในสถานศึกษาอย่างสร้างสรรคโ์ ดยครูอายุงานน้อยรายงานว่าตนปฏิบัติมากกว่าครูอายุ
งานมาก ส่วนข้อที่ไม่มีความแตกต่างกนั ของค่าเฉลี่ยอย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติคือ ครูอายงุ านน้อยและ
ครูอายุงานมากมีการปฏิบัติงานตนไม่แตกต่างกัน มี ๖ ข้อ คือ ๑) ตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ โดย
คานึงถึงผลที่จะเกิดแก่ผู้เรียน ๒) มุ่งม่ันพัฒนาผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ ๓) พัฒนาแผนการสอนให้
สามารถปฏิบัติได้เกิดผลจริง ๔) จัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยเน้นผลถาวรท่ีเกิดแก่ผู้เรียน ๕)
ปฏิบัตติ นเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผเู้ รยี น ๖) ร่วมมอื กบั ผูอ้ ่ืนในชมุ ชนอยา่ งสร้างสรรค์ ผลจากงานวิจยั ของ
ผเู้ ขียนสามารถสรุปได้ว่า ในสภาพสังคมปัจจุบันผู้ประกอบวิชาชีพครูมคี วามตน่ื ตัว ความกระตอื รอื ร้น
ในการปฏิบัติงานตามจรรยาบรรณและมาตรฐานวิชาชีพครูที่กาหนดไว้โดยรัฐเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกันครูอายุงานน้อยมีการรายงานว่าตนปฏิบัติงานตามจรรยาบรรณและมาตรฐานวิชาชีพครู
ในระดับมากกว่าครูอายุงานมากในบางข้อ ทาให้มีความหวังได้ว่าผู้ประกอบวิชาชีพครูในประเทศไทย
ในปัจจุบันและอนาคตจะมีศักยภาพในการปฏิบัติงานในหน้าที่ตามจรรยาบรรณและมาตรฐานวิชาชีพ
ครูอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพมากขึ้นตามลาดบั
สรปุ
จรรยาบรรณและมาตรฐานวิชาชีพครูมีความสาคัญต่อผู้ประกอบวิชาชีพครูในหลายด้าน
ได้แก่ช่วยควบคุมมาตรฐานคุณภาพของครูทั้งด้านการประพฤติปฏิบัติตนและจริยธรรมของครู ช่วย
พิทักษ์สิทธิในการประกอบวิชาชีพครู ควบคุมมาตรฐานในการประกอบวิชาชีพ ช่วยเน้นภาพลักษณ์
ของครูท่ีมีคุณธรรม จริยธรรมให้เห็นเด่นชัดยิ่งข้ึน เช่น จรรยาบรรณด้านความรักความเมตตา ความ
เสียสละความโอบอ้อมอารี ความรับผิดชอบในหน้าที่การงานและการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
๑๗๘
ช่วยให้ครูได้ตระหนักรู้ในความสาคัญของบทบาทหน้าท่ี และภาระงานของตนต่อสังคม ช่วยปลูกฝัง
คุณลักษณะที่พึงประสงค์แก่เยาวชน และการประพฤติปฏิบัติตนของครูที่ถูกต้องตามทานองคลอง
ธรรมจากการปฏิบัติตามจรรยาบรรณและมาตรฐานของวิชาชีพของครูจะมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบ
วิชาชีพครูสามารถปฏิบัติงานในวิชาชีพได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด ก่อให้เกิดความม่ันใจต่อวิชาชีพครูใน
สงั คมประเทศ และสง่ ผลดตี ่อคณุ ภาพเยาวชนและประชาชนสบื ไป
๑๗๙
คาถามท้ายบท
คาถามตอ่ ไปนเ้ี ปน็ คาถามอัตนัยมจี านวน ๑๐ ขอ้ ให้ทาทุกข้อ
๑. อธบิ ายความหมายของจรรยาบรรณวิชาชพี ครู
๒. จรรยาบรรรณครูในประเทศไทยมีองค์ประกอบที่เก่ียวข้องกับความเป็นครูในด้าน
ใดบา้ งและใบอนญุ าตประกอบวชิ าชีพมีความสาคัญอยา่ งไรต่อผู้ประกอบวิชาชพี ครู
๓. วิเคราะห์เปรียบเทียบ จรรยาบรรณครูไทยและครูในต่างประเทศ มีความเหมือนหรือ
แตกต่างกนั อยา่ งไร พร้อมยกตวั อยา่ ง
๔. จรรยาบรรณสาหรับครู ฉบบั พ.ศ. ๒๕๓๙ มหี ลักประพฤติปฏิบัตสิ าหรับครูอย่างไร
๕. ครูรุ่งนภาให้ความเป็นกันเองกับศิษย์ รับฟังปัญหาของศิษย์ และให้ความช่วยเหลือ
ศษิ ย์ ร่วมทากจิ กรรมกบั ศิษย์ รวมท้ังสนทนาไต่ถามทุกข์สุขของศิษย์เป็นประจา ท่านคิดว่าครรู ุ่งนภามี
ความประพฤตติ ามจรรยาบรรณครูอย่างไร
๖. ครูนทีชอบหารายได้จากการนาสินค้ามาขายให้ศิษย์ มักตัดสินผลงานหรือผลการเรียน
โดยมีสิ่งแลกเปลี่ยน และสร้างเงื่อนไขให้ศิษย์มาเรียนพิเศษเพ่ือหารายได้ ท่านคิดว่าครูนทีมีความ
ประพฤติตามจรรยาบรรณครูเป็นอย่างไร และหากท่านเป็นเพ่ือนครูนทีท่านจะมีแนวทางการ
แก้ปัญหาอย่างไร
๗. ผู้ประกอบวิชาชีพครูควรมีจรรยาบรรณต่อตนเอง ต่อวิชาชีพ ต่อผู้รับบริการ ต่อผู้ร่วม
ประกอบวิชาชพี และตอ่ สังคม อยา่ งไร
๘. จรรยาบรรณครูมีความสาคัญตอ่ ผู้ประกอบวิชาชพี ครอู ย่างไร
๙. อธิบายความหมายของข้อความ “ ครูต้องอบรมส่ังสอนฝึกฝนสร้างเสริมความรู้ทักษะ
และนสิ ัยทถี่ กู ตอ้ งดีงามใหเ้ กิดแก่ศิษย์อย่างเต็มความสามารถดว้ ยความบริสุทธใ์ิ จ”
๑๐. ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ พ.ศ. ๒๕๔๘
กาหนดมาตรฐานความรู้ ประสบการณ์วิชาชีพครู มาตรฐานการปฏิบัติงานครู และมาตรฐานการ
ปฏิบัตติ น เปน็ อย่างไรบ้าง จงอธิบายพอสงั เขป
๑๘๐
เอกสารอา้ งอิงประจาบท
๑ ราชบัณฑติ ยสถาน. พจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ เฉลิมพระ
เกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู ัวเนือ่ งในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา ๗
รอบ ๕ ธนั วาคม ๒๕๕๔. (กรุงเทพฯ : ศริ ิวัฒนาอนิ เตอร์พรินท์จากดั (มหาชน). ๒๕๕๖), หน้า ๓๙,
๓๐๑.
๑ ศูนย์การศึกษานอกระบบโรงเรียนจังหวัดลาพูน. ความหมายและความสาคัญของ
จรรยาบรรณ. [ออนไลน์]. แหล่งที่มา: http://lpn.nfe.go.th/e_learning/LESSON๒/UNIT๒.
HTM. ๒๕๕๔. [๒๕๕๔, เมษายน ๓].,หนา้ ๑.
๑ กัลยาณี สูงสมบัติ. สื่อการเรียนรู้ออนไลน์ วิชา เทคนิคการจัดการสมัยใหม่.
[ออนไลน์].แหล่งท่ีมา: http://uhost.rmutp.ac.th/kanlayanee.so/L๓/๓-๑-๑.htm, ๒๐๐๗.
[๒๕๕๔, เมษายน ๓].,หน้า ๑.
๑ แหล่งเรียนรู้พัฒนาศักยภาพความเป็นครู.จรรยาบรรรณวิชาชีพครูในบ้านสอบครู.
[ออนไลน์].แหล่งที่มา: http://www.sobkroo.com/detail_room_index.php?nid=๙๒.(๒๕๕๔).
[๒๕๕๔, เมษายน ๓].๒๕๕๔ ,หนา้ ๑.
๑ พฤทธ์ิ ศริ บิ รรณพิทักษ์. จรรยาบรรณวชิ าชพี คร.ู [ออนไลน์].แหลง่ ทีม่ า:
http://www.edu. chula.ac.th/knowledge/rule/adm-rule.htm, ๒๕๕๔. [๒๕๕๔, เมษายน
๓].,หน้า ๑.
๑ หนังสอื อิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลยั รามคาแหง. บทท่ี ๗ จรรยาบรรณครู. [ออนไลน]์ .
แหล่งทม่ี า: http://e-book.ram.edu/e- book/c/ CU๕๐๓/ CU๕๐๓-๗.pdf. ( ๒๕๕๔).
[๒๕๕๔, เมษายน ๓] , หน้า ๙๕.
๑ อดิศร ก้อนคา.จรรยาบรรณในวชิ าชีพคร.ู [ออนไลน์].แหล่งทีม่ า: http://
www.roobannok.Com/ ๒๖๐๕. (๒๕๕๑). [๒๕๕๔, เมษายน ๓].,หน้า ๑.
๑ Code of Ethics for Teachers in the Philippines. Philippine contacts -
Rizalianablog. [Online]. Available:http://eduphil.org/forum/code-of-ethics-for-
teachersin- the-philippines-t-449.html, 2011. [2011, April 5]., p1.
๑ Association for Early Childhood Educators. SingaporeCode of Ethics.
[Online].Available: http://www.aeces.org/code_of_ethics, 2011. [2011, April 5].,p1.
๑ Association of American Educators. Code of Ethics. [Online].Available:
http://aaeteachers.org/index.php/about-us/aae-code-of-ethics, 2011.[2011, April5].p 1.
๑ Athena Vongalis-Macrow. Teachers’ Ethics: Education International and
theForgivng of Professional Unity. Journal of Educational controversy. [Online]
.Available:http:// www.wce.wwu.edu/Resources/CEP/eJournal/v002n002/a 013.shtml,
2011. [2011, April 5]., p 1.
๑๘๑
๑ สานักงานเลขาธิการคุรุสภา,กระทรวงศึกษาธิการ. เกณฑ์มาตรฐานและจรรยาบรรณ
วชิ าชีพครู .พิมพ์ คร้งั ท่ี๑, (กรงุ เทพฯ:โรงพิมพ์ครุ สุ ภาลาดพร้าว, ๒๕๔๔).,หนา้ ๑-๔.
๑ สานกั งานคณะกรรมการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน.คู่มือครูมืออาชีพและครผู ู้ช่วย. [ออนไลน์].
แหลง่ ทมี่ า: http://www.obec.go.th/documents/๔๗๖๖, ๒๕๕๓. [๒๕๕๔,มนี าคม ๑๔].หนา้
๕๑-๕๒.
๑ พฤทธ์ิ ศิริบรรณพทิ ักษ์. จรรยาบรรณวิชาชีพครู. [ออนไลน]์ .
แหล่งท่มี า:http://www.edu. chula.ac.th/knowledge/rule/adm-rule.htm, ๒๕๕๔. [๒๕๕๔,
เมษายน ๓]. หน้า ๑.
๑พฤทธิ์ ศิรบิ รรณพทิ ักษ.์ จรรยาบรรณวิชาชีพคร.ู [ออนไลน์].
แหล่งที่มา:http://www.edu. chula.ac.th/knowledge/rule/adm-rule.htm, ๒๕๕๔. [๒๕๕๔,
เมษายน ๓]. ,หน้า ๙๔.
๑ เรอ่ื งเดยี วกัน ,หนา้ ๒๐-๒๕, ๓๗,๓๘,๔๔.
๑พฤทธิ์ ศริ ิบรรณพทิ ักษ.์ จรรยาบรรณวชิ าชพี คร.ู [ออนไลน์].
แหลง่ ทมี่ า:http://www.edu. chula.ac.th/knowledge/rule/adm-rule.htm, ๒๕๕๔. [๒๕๕๔,
เมษายน ๓]. หนา้ ๕๔-๕๕.
๑ ธรี วัฒน์ เลือ่ นฤทธ.ิ์ การพฒั นาตวั บ่งชค้ี ดั สรรการปฏิบัตงานมาตรฐานวิชาชีพคร.ู
วิทยานพิ นธ์ครศุ าสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาวจิ ยั และจติ วิทยาการศึกษา จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย,
บทคัดย่อ.
๑ อุบล เลย้ี ววาริณ. รายงานการวิจัยเร่ืองปฏิบัติงานตามจรรยาบรรณและมาตรฐานวชิ าชีพของครู
ในโรงเรียนสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน, (กรุงเทพฯ:คณะครุศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยราชภฎั สวนสนุ นั ทา. ๒๕๕๓), หนา้ ๔๙-๕๐.
บทท่ี ๘
สมรรถนะครู
ผ้ปู ระกอบวิชาชีพครนู ับเป็นบุคคลท่มี ีความสาคัญต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งน้ีเพราะครูมีบท
บาทหน้าท่ีในการพฒั นาบุคลากรในสังคมให้มีความเจริญงอกงามเตม็ ตามศักยภาพ เพอ่ื บคุ คลเหล่าน้ัน
สามารถใช้ความรู้ความสามารถของตนในการพัฒนาชาตบิ า้ นเมืองต่อไป ดงั นัน้ การเสรมิ สรา้ ง พฒั นา
ศกั ยภาพและสมรรถนะครู จึงเป็นหัวใจสาคญั ในการปฏริ ปู การศกึ ษา เพราะงานทุกชนิดของสถานศึกษา
จะดาเนินการไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพและไดร้ ับผลสาเร็จตามเป้าหมายข้นึ อยู่กบั ความสามารถ และ
ความร่วมมือจากครู แมว้ ่าครูทุกคนของสถานศึกษาจะมคี วามสามารถเพยี งใดกต็ ามแตใ่ นสงั คมโลก
ปจั จุบันทีม่ ีการเปล่ยี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ วชิ าความรู้มกี ารพัฒนาไปอยา่ งมาก จึงจาเปน็ อย่างยิ่งทจ่ี ะ
ตอ้ งมีการพัฒนาครูและบคุ ลากรทางการศึกษาให้มคี ณุ ภาพสงู สดุ และได้ตามมาตรฐานท่กี าหนด การ
เนน้ การพฒั นาตวั ครทู ง้ั ดา้ นวิชาการ วิชาชีพในด้านต่าง ๆ ยอ่ มส่งผลตอ่ ขวัญและกาลังใจครตู ลอดจน
ส่งผลตอ่ ความก้าวหน้าในงานวิชาชพี ของครู ช่วยใหค้ รสู ามารถจัดการเรยี นรู้ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ
เปน็ ท่ยี อมรบั เชื่อถือของบคุ ลากรในสังคม และนาครไู ปสูก่ ารเปน็ ครมู อื อาชีพ การเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพ
และสมรรถนะครูจึงเป็นยุทธศาสตร์สาคัญต่อการพฒั นาครใู นประเทศชาติที่มี ประสิทธภิ าพสงู สดุ
ความหมายของคาวา่ ศกั ยภาพ สมรรถนะ และสมรรถภาพ
ในพจนานุกรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้มีการอธิบายความหมายของคาวา่
ศกั ยภาพ (Potential) สมรรถนะ และสมรรถภาพ (Competency) ไว้ดงั น้ี
ศักยภาพ หมายถึง ภาวะแฝง อานาจหรือคณุ สมบัติทม่ี ีแฝงอยู่ในสงิ่ ต่าง ๆ อาจทาให้พฒั นา
หรอื ให้ปรากฏเป็นส่งิ ท่ีประจักษไ์ ด้ เช่น เขามศี ักยภาพในการทางานสูง น้าตกขนาดใหญ่มีศักยภาพใน
การใหพ้ ลงั งานได้มาก (ราชบณั ฑติ ยสถาน, ๒๕๕๖, หน้า ๑๑๓๙)
ส่วนคาว่า สมรรถ หมายถงึ สามารถ ผู้สามารถ ความสามารถ และสมรรถนะ หมายถงึ
ความสามารถ แตใ่ ช้กับเครื่องยนต์ เชน่ รถยนตแ์ บบน้ีมีสมรรถนะดเี ยย่ี มเหมาะกบั การเดินทางไกล
สว่ นสมรรถภาพ หมายถึง ความสามารถเช่นกนั แตใ่ ชก้ บั บุคคล เช่น เขาเป็นคนท่ีมีสมรรถภาพในการ
ทางานสูงสมควรไดเ้ ลือ่ นตาแหน่ง (ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๖,หนา้ ๑๑๖๙)
คาวา่ ศักยภาพและสมรรถนะ หรือสมรรถภาพ เป็นความสามารถคู่กนั ของบุคคล โดย
ศักยภาพเป็นความสามารถท่ีแอบแฝงอยใู่ นตวั บุคคลท่ียังไม่ได้ถูกนามาใช้งานจรงิ แต่สมรรถนะหรอื
สมรรถภาพเป็นความรูค้ วามสามารถทป่ี ระจกั ษเ์ ห็นเป็นพฤตกิ รรมชัดเจน คาว่า ศักยภาพ สมรรถนะ
หรอื สมรรถภาพ แมไ้ มใ่ ช่คาท่ีใหม่ แต่ได้มีการนามาใชใ้ นวงการศึกษาอยา่ งแพรห่ ลายเม่ือมีการปฏริ ูป
การศึกษาและปฏริ ูประบบบริหารภาครัฐประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่เนน้ ผลสมั ฤทธิ์ในการทางาน โดยได้
มีการปรับปรงุ ระบบจาแนกตาแหน่งและคา่ ตอบแทนท่ีนาเรื่องสมรรถนะมาใช้ในการบริหารผลงาน
ขา้ ราชการ การบริหารงานทรัพยากรบุคคลด้านตา่ ง ๆ และกระทรวงศกึ ษาธกิ ารได้กาหนดใหม้ ี
นโยบายในการพฒั นาสมรรถนะของขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา เรอื่ งของศักยภาพ
สมรรถนะ หรือสมรรถภาพจงึ มกี ารศึกษาอย่างจรงิ จังและต่อเนือ่ งนับตัง้ แต่นั้นมา และได้มกี าร
๑๘๐
นามาใชใ้ นวงการวชิ าชีพครูอยา่ งแพร่หลายในปจั จุบัน โดยคาทนี่ ิยมใช้อยา่ งแพรห่ ลายคือคาวา่
สมรรถนะ ฉะนนั้ ส่วนของเน้ือหาตอ่ ไปน้ีจะใช้คาว่าสมรรถนะตามความนยิ มแทนคาว่าสมรรถภาพซงึ่
เป็นคาทใี่ ช้ถูกต้องตามพจนานกุ รม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔
สานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนได้ให้ความหมายของคาว่า สมรรถนะ ว่าเป็น
คุณลกั ษณะเชงิ พฤติกรรมทเี่ ป็นผลมาจากความรู้ ทกั ษะ ความสามารถ และคุณลักษณะอ่ืน ๆ ท่ที าให้
บุคคลสามารถสร้างผลงานได้โดดเด่นกวา่ เพ่ือนรว่ มงานอ่ืน ๆ ในองค์การ กล่าวคอื การที่บุคคลจะ
แสดงสมรรถนะใดสมรรถนะหนึ่ง จะตอ้ งมีองคป์ ระกอบของความรู้ ทกั ษะ ความสามารถ และ
คุณลักษณะอน่ื ๆ (สานักงาน ก.พ., ๒๕๔๘, หน้า ๔)
จากความหมายของศักยภาพ สมรรถนะ หรอื สมรรถภาพดังกลา่ วข้างต้น เมือ่ นามาโยงกบั ผู้
ประกอบวชิ าชพี ครู ศกั ยภาพความเป็นครู จงึ หมายถงึ คุณสมบัตติ า่ ง ๆ ท่มี ีแฝงอย่ใู นผู้ประกอบ
วชิ าชพี ครู ส่วนสมรรถนะครูหรอื สมรรถภาพความเปน็ ครจู ึงหมายถงึ ความสามารถของผู้ประกอบ
วชิ าชพี ครเู มือ่ รวมคาว่าศกั ยภาพและสมรรถนะครจู งึ หมายถึง คณุ สมบัตติ ่าง ๆ ทีม่ ีแฝงอยใู่ นตวั ครู ซง่ึ
แสดงออกมาในรปู ความสามารถต่าง ๆ ของครู เช่น การท่คี รูมคี ณุ ธรรม จริยธรรม มคี วามรูใ้ นวิชาการ
ตา่ ง ๆในตวั สามารถแสดงออกเปน็ พฤตกิ รรมการสอนทมี่ ีประสทิ ธภิ าพ สามารถพฒั นาคุณภาพผูเ้ รียน
ได้ และเปน็ ครทู ีม่ ีความรัก ความเมตตา เอื้ออาทรต่อศษิ ย์ เป็นตน้
ประวตั ิความเปน็ มาและความสาคัญของสมรรถนะ
เมอื่ พดู ถึงเรื่องสมรรถนะหรือสมรรถภาพ กม็ กั มีการกล่าวอ้างถงึ เดวิด ซี. แมคเคลเลน
(DavidC. McClelland) ศาสตราจารยด์ ้านจติ วิทยาจากมหาวิทยาลัยฮารว์ ารด์ ประเทศสหรัฐอเมรกิ า
กลา่ วคอื ใน ค.ศ. ๑๙๗๐ หรอื พ.ศ. ๒๕๔๓ ซึ่งขณะน้นั รฐั บาลสหรฐั อเมริกากาลงั ประสบปัญหาเกีย่ ว
กับการคัดเลอื กบคุ ลากรเขา้ ทางานเปน็ เจา้ หนา้ ท่ีเผยแพรว่ ัฒนธรรมให้กบั ชาวตา่ งชาติ เพอ่ื ทาหน้าที่
เป็นตวั แทนของประเทศสหรัฐอเมริกาในประเทศต่าง ๆ ท่วั โลก เรยี กว่า Foreign Service
Information Officers: FSIOS มีหนา้ ท่เี ผยแพรว่ ฒั นธรรมและเรอื่ งราวตา่ ง ๆ ของประเทศสหรฐั
อเมรกิ าในประเทศเหลา่ น้ัน บุคลากรท่ผี ่านการพิจารณาคดั เลอื กเข้าทางานในตาแหน่งดังกล่าว ส่วน
ใหญ่เปน็ คนผิวขาว ซ่ึงการคัดเลือกเจา้ หนา้ ที่ FSIOS ดังกล่าวได้ใชแ้ บบทดสอบทม่ี ุ่งทดสอบด้านทักษะ
ที่เจ้าหน้าทรี่ ะดบั สงู ของหนว่ ยงานคิดวา่ จาเป็นสาหรับการปฏบิ ัติงานในตาแหน่งดังกลา่ ว และพบวา่
แบบทดสอบมจี ุดอ่อนทสี่ าคัญ คอื ๑) เปน็ การวัดวัฒนธรรมของชนชน้ั กลางและชัน้ สงู และยงั ใชเ้ กณฑ์
ท่สี ูงมากในการตดั สนิ ทาให้ชนกลมุ่ นอ้ ยในประเทศหรือคนผวิ ดาไม่มโี อกาสท่ีจะสอบผา่ น สะท้อนให้
เหน็ ว่า การคดั เลือกพนักงานของหนว่ ยงานมีลักษณะของการเลอื กปฏบิ ตั ิ และ ๒) มกี ารคน้ พบภาย
หลังวา่ คะแนนสอบไม่สมั พันธก์ ับผลการปฏิบตั ิงาน กล่าวคือ ผทู้ าคะแนนสอบได้ดีกลับไมไ่ ด้มีผลการ
ปฏิบตั งิ านท่ีดีตามทอ่ี งค์การคาดหวงั เสมอไป ตอ่ มารฐั บาลสหรัฐอเมริกาจึงไดค้ ดิ หาวิธีการปรบั ปรุง
แบบทดสอบ จงึ ไดว้ า่ จา้ งบรษิ ัทแมคเบอร์ (McBer) ซึ่งมี เดวิด ซ.ี แมคเคลเลน (David C.
McClelland) มาจากมหาวิทยาลัยฮารว์ ารด์ ใหเ้ ขา้ มาชว่ ยแกไ้ ขปัญหาดังกล่าว ส่งิ ท่ี เดวิด ซี. แมคเคล
เลน ไดร้ บั มอบหมายคือ การหาเครือ่ งมอื ใหม่ทดี่ ีกว่า และสามารถทานายผลการปฏิบัตงิ านของ
เจ้าหนา้ ที่ FSIOS ได้อย่างแม่นยา แทนแบบทดสอบเก่า เดวิด ซี. แมคเคลเลน ได้เร่ิมตน้ การทางาน
ด้วยกระบวนการดงั ตอ่ ไปน้ี คอื ๑) ทาการเปรยี บเทียบเจ้าหน้าที่ FSIOS ที่มีผลการปฏิบัติงานดกี ับ
เจ้าหนา้ ท่ีท่มี ีผลการปฏบิ ัติงานตามเกณฑ์เฉล่ยี ๒) พฒั นาเทคนคิ การประเมนิ ใหม่ เรียกว่า
Behavioral Event Interview: BEI ซึ่งเปน็ เทคนิคท่ีทาให้ผ้ทู าแบบทดสอบตอบคาถามเก่ยี วกบั
๑๘๑
ความสาเรจ็ สูงสุด ๓ เร่ือง และความล้มเหลวสงู สดุ ๓ เรอื่ ง เพอื่ นาไปสูส่ งิ่ ที่ เดวดิ ซ.ี แมคเคลเลน
ตอ้ งการคน้ หา คือ ลักษณะพฤตกิ รรม ของผู้ที่มีผลการปฏิบัตงิ านดี และ ๓) วเิ คราะหค์ ะแนนสอบท่ไี ด้
จากแบบทดสอบ BEI ของเจ้าหนา้ ท่ที ่มี ีผลการปฏิบัติงานดี และเจ้าหนา้ ที่ที่มีผลการปฏบิ ัติงานตาม
เกณฑเ์ ฉลี่ยเพ่ือคน้ หาลักษณะทีแ่ ตกตา่ งกนั ของคน ๒ กลุ่มน้ี แมคเคลเลนเรียกลักษณะพฤตกิ รรมท่ี
ก่อให้เกิดผลการปฏบิ ตั งิ านท่ีดี (Superior Performance) น้ีว่า Competencyตอ่ มาใน ค.ศ. ๑๙๘๒
บอยาสซสิ (Boyatzis) ไดเ้ ขียนหนังสือ The Competent Manager: AModel of Effective
Performance โดยอธบิ าย Competency วา่ เปน็ คุณลกั ษณะภายในของบุคคลทีเ่ ป็นสาเหตุทาใหผ้ ล
งานมีประสิทธภิ าพ และเน้นว่าคุณลักษณะที่อยู่ภายในเป็นทักษะมิใช่พฤติกรรมเพราะเป็นสิ่งที่กาหนด
อยภู่ ายในของบุคคลนัน้ ทาให้เกิดคณุ ลักษณะทแี่ ตกตา่ งอย่างสาคญั มากเน่ืองจากเกดิ ข้นึ อย่กู ับ
สภาพแวดลอ้ มตา่ ง ๆ และจะเกดิ ข้ึนเม่ือมีการกาหนดหรอื เหตผุ ลจากส่งิ ทีอ่ ยู่ ภายในค.ศ. ๑๙๙๔ แกรี่
แฮนเซล และพราฮาเลน (Garry Hansel and Prahalad) ได้เขยี นหนังสอื Competing for the
future และนาเสนอสงิ่ ท่ีเรยี กวา่ สมรรถนะหลัก (Core Competency) โดยระบุวา่ สมรรถนะหลัก
เป็นความสามารถทางธุรกจิ และความสามารถน้จี ะทาให้ธุรกิจชนะคแู่ ข่งขันได้
แนวคดิ สมรรถนะหลักจงึ ไดม้ ีการนาไปประยกุ ต์ใช้ในงานบรหิ ารงานบุคคลของหน่วยงาน
สหรฐั อเมริกามากย่งิ ขึน้ โดยกาหนดเปน็ ปจั จัยพ้นื ฐานวา่ ตาแหนง่ งานหน่งึ ๆ นนั้ จะตอ้ งมีความรู้
ทักษะ และความสามารถหรือพฤตินสิ ัยอะไรบ้าง และ อย่ใู นระดบั ใดจงึ จะทาใหบ้ คุ ลากรน้ันมี
คุณลักษณะทีด่ ี มีผลต่อการปฏิบัตงิ านอยา่ งมีประสิทธิภาพสงู และไดผ้ ลการปฏบิ ัตงิ านตรงตาม
วัตถปุ ระสงค์ขององค์การต่อมาไดข้ ยายผลของแนวคิดไปยงั ภาคธุรกิจเอกชนของสหรฐั อเมรกิ ามาก
ยงิ่ ขึ้น และสามารถสรา้ งผลสาเร็จใหแ้ กธ่ รุ กจิ อยา่ งเห็นผลชดั เจน ใน ค.ศ. ๑๙๙๘ นิตยสาร Fortune
ฉบบั เดอื นกนั ยายน ไดส้ ารวจความคิดเห็นจากผู้บรหิ ารระดับสูงจานวนมากกว่า ๔,๐๐๐ คน จาก ๑๕
ประเทศ พบว่าธรุ กจิ ชน้ั นาได้นาแนวคิดนไี้ ปใชเ้ ป็นเครื่องมือในการบรหิ ารมากถึง ๖๗%สาหรับใน
ประเทศไทยไดม้ ีการนาแนวคิดสมรรถนะมาใชใ้ นองค์การท่ีเปน็ เครือขา่ ยบรษิ ัทขา้ มชาตชิ ั้นนาทมี่ ี
หน่วยงานหรือสานักงานต้ังอยใู่ นประเทศไทย กอ่ นทจี่ ะแพร่หลายเขา้ สบู่ รษิ ัทชนั้ นาของประเทศ เช่น
บรษิ ทั เครือปนู ซิเมนต์ไทย บริษัทชนิ คอร์เปอรเ์ รชั่น บรษิ ัทไทยธนาคาร การปิโตรเลียมแหง่ ประเทศ
ไทย ท่ีนาแนวคิดสมรรถนะมาใชใ้ นองค์การ และด้วยเหตุผลท่ภี าคเอกชนได้นาแนวความคดิ สมรรถนะ
ไปใชแ้ ละเกดิ ผลสาเรจ็ อย่างเห็นได้ชัดเจน ไดก้ ่อใหเ้ กดิ ความต่ืนตัวในวงการราชการ จงึ ไดม้ กี ารนา
แนวคิดสมรรถนะไปทดลองใช้ในหนว่ ยราชการ สานกั งานคณะกรรมการขา้ ราชการพลเรอื น
(สานกั งาน ก.พ.) ได้จา้ งบริษัทเฮย์ กรุป๊ (Hay Group) ซ่งึ เป็นที่ปรกึ ษามาเปน็ ทปี่ รึกษาในการนา
แนวคดิ สมรรถนะมาทดลองใชใ้ นการพัฒนาขา้ ราชการพลเรอื น โดยในระยะแรกได้ทดลองนามาใช้ใน
ระบบการสรรหาผูบ้ ริหารระดับสูงใน พ.ศ. ๒๕๔๗ (ดนยั เทยี นพุฒ, ๒๕๕๔, หน้า ๕๘;
จรมั พร ประถมบูรณ์, ๒๕๕๔,หน้า ๓; สุกญั ญา รศั มธี รรมชาติ, ๒๕๔๘,หน้า ๑๑-๑๒; ธารง
ศกั ด์ิ คงคาสวสั ดิ์, ๒๕๔๙,หนา้ ๔-๕; สานักงาน ก.พ., ๒๕๔๘, หน้า ๑-๒)
สานกั งาน ก.พ. (๒๕๔๘, หน้า ๓) ไดแ้ บง่ สมรรถนะออกเปน็ ๒ ประเภท คือ สมรรถนะ
พื้นฐาน(threshold competencies) และสมรรถนะที่แยกความแตกต่าง (differentiating
competencies)ดังนี้
สมรรถนะพน้ื ฐาน ได้แก่ ความรู้หรือทักษะพนื้ ฐานทผี่ ้ปู ฏิบัตงิ านทุกคนจาเป็นต้องมเี พอ่ื ให้
สามารถปฏิบัตงิ านได้ แตไ่ ม่สามารถแยกผูท้ ่ีปฏบิ ตั ิงานดีออกจากผูท้ ่ีปฏิบตั งิ านปานกลาง
สมรรถนะที่แยกความแตกต่าง ได้แก่ ปัจจยั ตา่ ง ๆ ท่ีผ้ปู ฏบิ ตั ิงานที่ดีมี แต่ผู้ทป่ี ฏบิ ัตงิ านปาน
๑๘๒
กลางไม่มี สมรรถนะน้จี ึงมีสิง่ ทบี่ อกความแตกต่างระหวา่ งผู้ท่มี ีผลการปฏบิ ัตงิ านดีและผูท้ ่ีมผี ลการ
ปฏบิ ตั งิ านปานกลาง
แนวคดิ เรื่องสมรรถนะมกั อธบิ ายดว้ ยโมเดลภูเขาน้าแข็ง ดังภาพที่ ๘.๑ ซึง่ อธิบายว่า ความ
แตกตา่ งระหว่างบุคคลเปรียบเทียบได้กบั ภูเขานา้ แขง็ โดยมสี ว่ นท่ีเหน็ ไดง้ า่ ยและพฒั นาได้ง่าย คือส่วน
ท่ลี อยอยเู่ หนือนา้ นั่นคอื องค์ความรู้และทักษะต่าง ๆ ทีบ่ คุ คลมีอยู่ และส่วนใหญ่ทีม่ องเหน็ ไดย้ ากอยู่
ใต้ผิวนา้ ไดแ้ ก่ แรงจงู ใจ อปุ นสิ ยั ภาพลักษณภ์ ายใน และบทบาทที่แสดงออกต่อสังคม สว่ นท่ีอยใู่ ต้น้า
มีผลต่อพฤติกรรมการทางานของบุคคลอย่างมากและเปน็ สว่ นทพ่ี ัฒนาได้ยาก
นอกจากนี้การอธิบายความสัมพนั ธ์ระหว่างความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลท่ีแสดงในรูปของ
ภเู ขานา้ แข็งกับสมรรถนะและผลงานสามารถแสดงไดด้ ังภาพที่ ๘.๒ โดยจากภาพแสดงใหเ้ ห็นวา่
ความรู้ทกั ษะ ความสามารถต่าง ๆ ตลอดจนคุณลกั ษณะต่าง ๆ ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นอุปนิสยั
แรงจงู ใจ หรือแรงผลักดันตา่ ง ๆ ส่งผลให้บคุ คลมีสมรรถนะ (พฤติกรรมในการทางาน) ในรปู แบบตา่ ง
ๆ และสมรรถนะตา่ ง ๆ เหลา่ น้ีมคี วามสมั พันธ์กบั ผลงานของบุคคล
สมรรถนะของครู
ในปัจจุบันภายหลงั การปฏริ ูปการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๒ และการปฏริ ูประบบราชการ พ.ศ.
๒๕๔๗ทศิ ทางการพัฒนาครแู ละบุคลากรทางการศึกษาของกระทรวงศกึ ษาธกิ ารได้มีการกาหนดโดย
เนน้ ระบบการพฒั นาวิชาชีพที่เนน้ สมรรถนะครูและบุคลากรทางการศึกษา (teachers and
personals competency) ซ่ึงหมายถึงความสามารถในการผนกึ ความรู้ (knowledge) ทกั ษะ (Skill)
แรงจูงใจ (Motivation) ทัศนคติ (Attitude) และคณุ ลักษณะสว่ นตวั ของบุคคลเขา้ ดว้ ยกนั แลว้
แสดงออกในเชงิ พฤติกรรมทีส่ ่งผลตอ่ ความสาเร็จของงานในบทบาทหนา้ ที่อย่างโดดเด่นและมี
ประสิทธภิ าพ (สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา, ๒๕๕๔ ,หนา้ ๑)
สาหรบั สมรรถนะของครนู ั้น ไดก้ าหนดไวใ้ นพระราชบัญญตั ิสภาครแู ละบุคลากรทางการ
ศกึ ษาพ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๔๙ กาหนดใหค้ รูต้องมีสมรรถนะในการปฏิบัติงานตามมาตรฐานความรู้
ทางวิชาชพี ๙ ดา้ น และ ตามมาตรฐานประสบการณ์วิชาชพี
นอกจากน้ีทางคณะกรรมการข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา (ก.คศ.) ได้กาหนด
สมรรถนะทผี่ ู้ประกอบวชิ าชพี ครจู าเปน็ ต้องมอี ีก ๒ ดา้ น ฉะนัน้ สมรรถนะท่ผี ปู้ ระกอบวชิ าชีพครพู ึงมี
จงึ ประกอบด้วย ๑) สมรรถนะหลัก ๒) สมรรถนะประจาสายงาน ๓) สมรรถนะตามมาตรฐานความรู้
เชิงวชิ าชพี ๔) สมรรถนะตามมาตรฐานประสบการณว์ ชิ าชีพครู โดยจะกลา่ วลาดับตอ่ ไปน้ี (สถาบนั
พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศกึ ษา, ๒๕๕๔, หนา้ ๑-๓; สานักงานเลขาธิการครุ สุ ภา,
๒๕๔๙, หน้า ๒๑-๒๕)
สมรรถนะหลัก (core competency)
สมรรถนะหลกั เปน็ สมรรถนะรว่ มทีค่ รูและบุคลากรทางการศึกษาตอ้ งมี เพราะเป็นสมรรถนะ
พื้นฐานของบุคลากรท่จี ะส่งผลใหก้ ารปฏบิ ตั งิ านในทุกตาแหนง่ หน้าทีป่ ระสบผลสาเรจ็ ประกอบดว้ ย
๔สมรรถนะ คือ
๑. การม่งุ ผลสมั ฤทธ์ิ หมายถงึ การปฏิบัตงิ านดว้ ยความมุ่งม่ันเพ่ือให้งานสาเร็จ ถูกต้อง
สมบรู ณ์ มีความคดิ ริเร่ิมสร้างสรรค์ในการทางานและพัฒนาผลงานให้มีคุณภาพอย่างต่อเน่อื ง
๒. การบรกิ ารทดี่ ี หมายถึง ความตั้งใจที่จะปรบั ปรงุ ระบบบริการให้มีประสทิ ธิภาพเพอ่ื ให้
๑๘๓
ผรู้ ับบริการ เชน่ นักเรยี น ครู ผู้ปกครองพงึ พอใจ
๓. การพัฒนาตนเอง หมายถึง การศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิม่ เติมอยู่เสมอ พรอ้ มกับ
ติดตามศึกษาองค์ความรูแ้ ละเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในวงวชิ าการและวชิ าชพี ทง้ั นีเ้ พื่อพัฒนาตนเองและ
วชิ าชพี
๔. การทางานเป็นทีม หมายถึง ความร่วมมือร่วมใจ สนับสนุน ส่งเสริม ชว่ ยเหลอื ให้
กาลังใจแกเ่ พ่ือนร่วมงาน มมี นษุ ยสมั พันธ์ท่ดี ี ปรับตวั เขา้ กับสถานการณ์และกลมุ่ คนท่ีหลากหลายได้
และมีภาวะผนู้ า ผ้ตู ามทดี่ ี
สมรรถนะประจาสายงาน (functional competency)
สมรรถนะประจาสายงาน หมายถงึ สมรรถนะเฉพาะทเ่ี กีย่ วกับการปฏบิ ัตงิ านของบุคลากรแต่
ละตาแหน่ง เช่น ผู้บรหิ าร ครู และศึกษานเิ ทศก์ ทาให้สามารถปฏิบัตงิ านในสายงานน้นั ๆ ได้สาเร็จ
ตามเปา้ หมาย ซึ่งสมรรถนะประจาสายงานของครูนนั้ ประกอบดว้ ย ๕ สมรรถนะ คอื
๑. การจดั การเรียนรู้ หมายถึง ความรู้ ความสามารถในการสรา้ งและพัฒนาหลักสตู ร
สถานศึกษา ความรลู้ กึ เรื่องเนื้อหาสาระ เทคนิคกระบวนการจดั การเรยี นรู้ การสร้าง การเลอื ก การใช้
สื่อแหลง่ เรียนรแู้ ละนวตั กรรมทางการศึกษา ตลอดจนการวดั ผลและประเมินผลการจดั การเรยี นรู้
๒. การพฒั นาผู้เรียน หมายถึง ความสามารถในการปลกู ฝังคุณลักษณะอนั พงึ ประสงคแ์ ก่
ผู้เรียน ท้ังคุณธรรม จริยธรรม ทกั ษะชวี ติ สขุ ภาพพลานามัย ความเป็นประชาธปิ ไตย ความเปน็ ไทย
รวมไปถงึ การดูแลช่วยเหลอื นักเรยี น
๓. การบรหิ ารจัดการชัน้ เรียน หมายถึง ความสามารถในการกากับดูแลชนั้ เรียน สรา้ ง
บรรยากาศในการจดั การเรยี นรู้ จัดทาขอ้ มูลสารสนเทศประจาชน้ั และประจาวิชา
๔. การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การวจิ ยั คือ ความสามารถในการคดิ แยกแยะ ทาความ
เข้าใจในประเด็นต่าง ๆ แลว้ สรุปเป็นกฎเกณฑ์ หลกั การ สามารถรวบรวมข้อมูลตา่ ง ๆ อย่างเปน็ ระบบ
เพ่ือแกป้ ญั หาหรือพฒั นางาน
๕. การสร้างความรว่ มมอื กบั ชุมชน หมายถงึ การมีสว่ นร่วมกับกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชน
เพอ่ื ดึงชมุ ชนให้เข้ามาร่วมกิจกรรมตา่ ง ๆ ของโรงเรยี น ท้ังนี้เพอื่ ใหเ้ กิดการสนบั สนนุ ส่งเสรมิ
ชว่ ยเหลอื ซงึ่ กนั และกัน
กลา่ วโดยสรุป สมรรถนะที่จาเปน็ ของผู้ประกอบวชิ าชพี ครูประกอบดว้ ยสมรรถนะหลกั และ
สมรรถนะประจาสายงาน ซึ่งสามารถสรปุ เป็นแผนภูมิองค์ประกอบของสมรรถนะผู้ประกอบวชิ าชีพครู
(Teacher’s competency model) สมรรถนะท่จี าเปน็ ของผปู้ ระกอบวิชาชีพครู ได้แก่ ๑)
สมรรถนะหลัก ๔ ด้านคอื การมงุ่ ผลสมั ฤทธ์ิ การบรกิ ารท่ีดี การพฒั นาตนเอง และการทางานเปน็ ทีม
๒) สมรรถนะประจาสายงานครู ๕ ดา้ น คอื การจดั การเรยี นรู้ การพฒั นาผูเ้ รียน การบริหารจัดการชั้น
เรยี น การวเิ คราะห์สังเคราะห์และการวิจัย และการสร้างความร่วมมอื กับชมุ ชน
สมรรถนะตามมาตรฐานความรู้เชงิ วิชาชพี ครู
สมรรถนะในด้านนเ้ี ป็นสมรรถนะในการปฏบิ ตั ิงานในวิชาชีพครซู ึ่งมคี ณุ ลักษณะเฉพาะ ซง่ึ
ประกอบด้วยสมรรถนะ ๙ ด้านดังนี้ คือ
๑. สมรรถนะครดู า้ นภาษาและเทคโนโลยี
ผู้ประกอบวชิ าชพี ครตู ้องมีสมรรถนะดา้ นภาษาและเทคโนโลยดี ังนี้
๑๘๔
๑.๑ สามารถใช้ทักษะในการฟัง การพดู การอา่ น การเขยี นภาษาไทยเพื่อการสอ่ื
ความหมายได้อย่างถกู ตอ้ ง
๑.๒ สามารถใชท้ ักษะในการฟัง การพดู การอ่าน การเขยี นภาษาองั กฤษ หรอื
ภาษาต่างประเทศอืน่ ๆ เพือ่ การสอ่ื ความหมายได้อยา่ งถูกต้อง
๑.๓ สามารถใช้คอมพวิ เตอร์ข้ันพ้นื ฐาน
๒. สมรรถนะครดู ้านการพฒั นาหลักสตู ร
ผ้ปู ระกอบวชิ าชีพครตู ้องมสี มรรถนะด้านการพัฒนาหลักสตู รดงั น้ี
๒.๑ สามารถวเิ คราะห์หลกั สูตร
๒.๒ สามารถปรับปรุงและพัฒนาหลกั สูตรได้อย่างหลากหลาย
๒.๓ สามารถประเมนิ หลกั สตู รไดท้ ้ังกอ่ นและหลังการใช้หลกั สูตร
๒.๔ สามารถจดั ทาหลักสตู ร
๓. สมรรถนะครดู ้านการจดั การเรยี นรู้
ผปู้ ระกอบวิชาชีพครตู อ้ งมีสมรรถนะด้านการจดั การเรยี นรู้ดงั น้ี
๓.๑ สามารถนาประมวลรายวิชามาจัดทาแผนการเรยี นรรู้ ายภาคและตลอดภาค
๓.๒ สามารถออกแบบการเรียนรู้ทเี่ หมาะสมกับวัยของผเู้ รียน
๓.๓ สามารถเลือกใช้ พัฒนา และสร้างสอ่ื อปุ กรณท์ ่ีสง่ เสริมการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น
๓.๔ สามารถจัดกจิ กรรมที่สง่ เสรมิ การเรียนรู้ของผู้เรียน และจาแนกระดบั การเรยี นรู้
ของผเู้ รียนจากการประเมนิ ผล
๔. สมรรถนะครดู า้ นจิตวทิ ยา
ผปู้ ระกอบวิชาชีพครูต้องมีสมรรถนะดา้ นจติ วิทยาดังน้ี
๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของผเู้ รียน
๔.๒ สามารถช่วยเหลือผ้เู รียนให้เรยี นรู้และพัฒนาไดต้ ามศักยภาพแห่งตน
๔.๓ สามารถใหค้ าแนะนาช่วยเหลอื ผเู้ รยี นใหม้ คี ุณภาพชีวติ ทีด่ ขี ึ้น
๔.๔ สามารถส่งเสริมความถนัดและความสนใจของผู้เรียน
๕. สมรรถนะครูด้านการวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา
ผูป้ ระกอบวชิ าชีพครตู ้องมสี มรรถนะด้านการวัดและประเมินผลการศึกษาดังน้ี
๕.๑ สามารถวดั และประเมนิ ผลได้ตามสภาพความเป็นจรงิ
๕.๒ สามารถนาผลการประเมินไปใชใ้ นการปรับปรุงการจดั การเรียนรู้และหลกั สูตร
๖. สมรรถนะครูด้านการบริหารจัดการในชนั้ เรยี น
ผปู้ ระกอบวชิ าชพี ครูตอ้ งมสี มรรถนะดา้ นการบรหิ ารจัดการในช้นั เรียนดงั น้ี
๖.๑ มภี าวะผ้นู า
๖.๒ สามารถบรหิ ารจัดการในชนั้ เรียน
๖.๓ สามารถสื่อสารไดอ้ ย่างมีคณุ ภาพ
๖.๔ สามารถใชก้ ารประสานประโยชน์
๖.๕ สามารถนานวตั กรรมใหม่ ๆ มาใชใ้ นการบริหารจัดการ
๗. สมรรถนะครูดา้ นการวจิ ยั ทางการศกึ ษา
ผปู้ ระกอบวิชาชีพครูต้องมสี มรรถนะด้านการวิจัยทางการศึกษาดงั นี้
๗.๑ สามารถนาผลการวจิ ยั ไปใช้ในการจดั การเรยี นการสอน
๑๘๕
๗.๒ สามารถทาวิจยั เพอื่ พฒั นาการเรยี นการสอนและพฒั นาผเู้ รียน
๘. สมรรถนะครดู ้านนวัตกรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษาผู้ประกอบวชิ าชพี ครู
ตอ้ งมีสมรรถนะด้านนวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษาดังน้ี
๘.๑ สามารถเลือกใช้ ออกแบบ สร้าง และปรบั ปรุงนวตั กรรมเพื่อให้ผูเ้ รยี นเกดิ การ
เรียนรูท้ ด่ี ี
๘.๒ สามารถพัฒนาเทคโนโลยีและสารสนเทศเพื่อใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ การเรียนรู้ที่ดี
๘.๓ สามารถแสวงหาแหล่งเรียนรู้ทหี่ ลากหลายเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของผ้เู รียน
๙. สมรรถนะครดู ้านความเป็นครผู ูป้ ระกอบวชิ าชีพครตู ้องมีสมรรถนะด้านความเป็นครู ดงั นี้
๙.๑ รกั เมตตา และปรารถนาดีต่อผเู้ รยี น
๙.๒ อดทนและรับผดิ ชอบ
๙.๓ เป็นบุคคลแห่งการเรยี นรแู้ ละเปน็ ผ้นู าทางวิชาการ
๙.๔ มวี ิสัยทศั น์
๙.๕ ศรัทธาในวชิ าชพี ครู
๙.๖ ปฏบิ ัตติ ามจรรยาบรรณของวิชาชพี ครู
สมรรถนะตามมาตรฐานประสบการณว์ ชิ าชีพครู
ผู้ประกอบวชิ าชพี ครูตอ้ งมีสมรรถนะตามมาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพครูดงั ต่อไปนี้
๑. สมรรถนะครดู า้ นการฝึกปฏิบตั วิ ิชาชีพระหว่างเรียนผู้ท่จี ะประกอบวชิ าชพี ครู จะต้องมีการ
ฝกึ ปฏบิ ตั วิ ชิ าชพี ระหว่างเรียนโดยต้องมสี มรรถนะด้านประสบการณ์วชิ าชพี ครดู งั นี้
๑.๑ สามารถศึกษาและแยกแยะผเู้ รยี นได้ตามความแตกตา่ งของผูเ้ รยี น
๑.๒ สามารถจัดทาแผนการเรียนรู้
๑.๓ สามารถฝึกปฏิบัติการสอนตง้ั แตก่ ารจัดทา แผนการสอน ปฏบิ ัติการสอน
ประเมนิ ผล และปรบั ปรุง
๑.๔ สามารถจัดทาโครงงานทางวชิ าการ
๒. สมรรถนะครูดา้ นการปฏิบัตกิ ารสอนในสถานศึกษาในสาขาวชิ าเฉพาะผปู้ ระกอบวิชาชพี
ครูต้องมสี มรรถนะดา้ นการปฏิบตั กิ ารสอนในสถานศึกษาดังน้ี
๒.๑ สามารถจดั การเรยี นรู้ในสาขาวิชาเฉพาะ
๒.๒ สามารถประเมิน ปรับปรงุ และพัฒนา การจดั การเรยี นรู้ให้เหมาะสมกบั
ศักยภาพของผู้เรียน
๒.๓ สามารถทาวจิ ยั ในชัน้ เรยี นเพ่ือพฒั นาผ้เู รยี น
๒.๔ สามารถจัดทารายงานผลการจัดการเรยี นร้แู ละการพัฒนาผเู้ รยี น
ระบบการพฒั นาผปู้ ระกอบวชิ าชพี ทางการศึกษา
องค์กรวิชาชพี ครโู ดยครุ สุ ภาซ่ึงมีบทบาทสาคญั ในการพัฒนาผ้ปู ระกอบวชิ าชพี ทางการศึกษา
ซึ่งประกอบด้วย ครู ผบู้ ริหารการศกึ ษา ผู้บรหิ ารสถานศึกษา และผู้สนบั สนนุ การศึกษา ไดม้ ีการ
กาหนดกรอบการพฒั นาซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานทเ่ี ก่ยี วข้องกบั การพัฒนา รปู แบบการพัฒนา และ
แนวทางการดาเนนิ งานพัฒนาในภาพกวา้ ง เพอื่ ให้เป็นกลไกในการพฒั นาผ้ปู ระกอบวิชาชพี ทางการ
ศึกษาใหไ้ ด้มาตรฐาน และพัฒนาไปส่คู วามเป็นเลิศทางวิชาการและวิชาชีพ อันจะสง่ ผลดีต่อการ
๑๘๖
พัฒนาผูร้ ับบรกิ ารและสังคมโดยรวมตอ่ ไป โดยมเี น้อื หาดงั ต่อไปน้ี (สานักเลขาธิการครุ สุ ภา, ๒๕๔๙ ,
หนา้ ๖๔-๖๖)
กรอบการพัฒนาผปู้ ระกอบวิชาชีพทางการศกึ ษา
ครุ สุ ภาได้กาหนดกรอบการพัฒนาผปู้ ระกอบวชิ าชีพทางการศึกษาใน ๓ ดา้ น คอื ๑)
หน่วยงานท่เี กี่ยวข้องกบั การพัฒนา ๒) รปู แบบการพัฒนาผปู้ ระกอบวิชาชพี ทางการศึกษา และ๓)
แนวทางการดาเนินงานพฒั นาผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา โดยมีรายละเอยี ด ดังนี้
หนว่ ยงานที่เก่ียวข้องกบั การพัฒนา
หน่วยงานท่เี กีย่ วข้องกบั การพัฒนาผูป้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษาประกอบดว้ ย ๓
หน่วยงานใหญ่ คอื หน่วยวางแผนกาหนดมาตรฐานและรับรองการพฒั นา หน่วยปฏิบตั ิเพอื่ การพฒั นา
และหนว่ ยสนับสนนุ ส่งเสริมการพฒั นา
หนว่ ยงานท่เี ก่ยี วข้องกบั การพัฒนาประกอบดว้ ย ๓ หนว่ ยงาน คือ
๑. หนว่ ยวางแผนกาหนดมาตรฐานและรับรองการพฒั นา ประกอบด้วยครุ สุ ภา สานักงาน
คณะกรรมการขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และ
บุคลากรทางการศึกษา (สคบศ.) สถาบนั ผลิตครู และสานักงานคณะกรรมการมาตรฐานการ
บรหิ ารงานบุคคลส่วนท้องถน่ิ
๒. หนว่ ยปฏิบตั ิเพื่อการพัฒนา ประกอบด้วยครุ ุสภา สถาบันผลิตครู สมาคม/ชมรม
วชิ าชีพ และเครอื ข่ายการพฒั นา
๓. หนว่ ยสนบั สนุนส่งเสริมการพัฒนา ประกอบดว้ ยสานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษา กรม
สง่ เสริมการปกครองทอ้ งถ่นิ สานกั การศึกษากรุงเทพมหานคร สานกั บรหิ ารงานคณะกรรมการสง่ เสริม
การศึกษาเอกชน สมาคม/ชมรมวชิ าชีพ และเครือข่ายการพฒั นา
กล่าวโดยสรุป หนว่ ยงานท่ีเก่ียวข้องกบั การพัฒนา ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่
สาคัญคือ ครุ ุสภา สถาบนั ผลติ ครู สานักงานคณะกรรมการข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา
(ก.ค.ศ.) สถาบนั พฒั นาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา (สคบศ.) สมาคม/ชมรมวิชาชีพ
เครอื ข่ายการพัฒนา สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษา สานกั การศึกษากรงุ เทพมหานคร และสานักงาน
คณะกรรมการมาตรฐานและบรหิ ารงานบคุ คลสว่ นท้องถ่นิ โดยหน่วยงานต่าง ๆ เหล่าน้ีจะรว่ มมอื กนั
ในการพฒั นาครูและบุคลากรทางการศกึ ษา
รปู แบบการพัฒนาผู้ประกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษา
คุรุสภาไดก้ าหนดรปู แบบการพัฒนาผู้ประกอบวชิ าชพี ครูและบุคลากรทางการศกึ ษา โดย
เน้นให้ผู้ประกอบวชิ าชพี พฒั นาตนเองอย่างต่อเน่ือง เพ่ือการดารงอย่ใู นวชิ าชีพและมคี วามกา้ วหนา้
ทางวชิ าชพี โดยหน่วยงานที่กล่าวแล้วในขอ้ ๑ ให้การสนับสนุน
รปู แบบการพฒั นาผ้ปู ระกอบวชิ าชีพทางการศึกษา ประกอบดว้ ย ๓ รูปแบบดังนี้ คอื
๑. การพฒั นาตนเองโดยการศกึ ษาในระบบ เชน่ การศกึ ษาต่อในระดบั ปรญิ ญาตรี
ปรญิ ญาโท ปรญิ ญาเอก หรอื การเขา้ รับการฝึกอบรมในหลักสตู รระยะสน้ั เพ่ือเพิ่มศกั ยภาพและ
สมรรถภาพในการประกอบวิชาชีพครู
๒. การพฒั นาตนเองโดยการศึกษานอกระบบ เช่น การเขา้ ร่วม การประชมุ อบรม
สัมมนา การศึกษาดงู าน การอบรมเชิงปฏบิ ตั ิการ หรืออื่น ๆ
๑๘๗
๓. การพฒั นาตนเองโดยการศกึ ษาตามอธั ยาศัย เชน่ การศึกษาดว้ ยตนเองจากแหลง่
ความรตู้ ่าง ๆ ศกึ ษาจากเทคโนโลยีและการส่อื สาร การเสวนาและพบปะสงั สรรค์เพ่ือแลกเปลีย่ น
เรยี นรู้การพฒั นาโดยองค์กรและหมู่คณะ เปน็ ตน้
แนวทางการดาเนนิ งานพฒั นาผปู้ ระกอบวชิ าชีพทางการศกึ ษา
คุรสุ ภาได้กาหนดแนวทางการดาเนนิ งานพัฒนาผู้ประกอบวิชาชพี ทางการศกึ ษาเป็น ๔
ดา้ น คือ การพัฒนาดา้ นมาตรฐานวชิ าชีพ การพฒั นาด้านจรรยาบรรณวชิ าชีพ การพัฒนาด้านการวจิ ยั
และพฒั นาวชิ าชีพ และการพัฒนาสคู่ วามเปน็ เลิศทางวิชาการและวิชาชพี (สานกั งานเลขาธกิ ารครุ ุ
สภา,๒๕๔๙, หนา้ ๖๖) ดังนี้
๑. การพฒั นาดา้ นมาตรฐานวิชาชพี คุรุสภาจะดาเนนิ การกาหนดมาตรฐานกลางของ
หลักสตู รการพัฒนาตามเกณฑม์ าตรฐานวิชาชีพ รบั รองหลักสูตรฝกึ อบรมเพื่อพฒั นาตามเกณฑ์
มาตรฐานวชิ าชพี สนบั สนนุ สง่ เสรมิ ใหม้ เี ครือขา่ ยฝึกอบรมเพื่อพฒั นาผูป้ ระกอบวิชาชพี ตามเกณฑ์
มาตรฐาน รณรงค์ให้ผู้ประกอบวิชาชีพปฏบิ ัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชพี อย่างตอ่ เนื่อง
ประสานงานและสง่ เสริมใหส้ ถานศึกษาและหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง จัดกิจกรรม/โครงการพัฒนาผู้
ประกอบวิชาชพี สู่มาตรฐานวิชาชพี
๒. การพฒั นาดา้ นจรรยาบรรณวชิ าชีพ ครุ ุสภากาหนดมาตรฐานกลางของหลกั สตู ร
การพัฒนาตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ รับรองหลักสตู รฝึกอบรมเพ่ือการพัฒนาตามจรรยาบรรณของ
วชิ าชีพ สง่ เสรมิ ให้ครูรวมกลุ่มกอ่ ต้ังชมรมหรอื สมาคมเพื่อจัดกจิ กรรมกลมุ่ เสริมสร้างและพัฒนา
จรรยาบรรณของวชิ าชพี สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้บริหารใช้ภาวะผู้นาปฏิบัตติ นเป็นแบบอย่างที่ดี พร้อมท้ังกากับ
ดูแล และเร่งรดั การปฏบิ ัตติ ามจรรยาบรรณวิชาชพี ประสานงานทกุ หน่วยงานนาจรรยาบรรณไปใช้ใน
การประเมินการปฏบิ ตั ิงานของครู รณรงค์ สรา้ งแรงจูงใจ ยกย่องเชดิ ชเู กียรติใหผ้ ู้ประกอบวิชาชีพมี
พฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวชิ าชพี
๓. การพัฒนาด้านการวจิ ยั และพฒั นาวชิ าชีพ ครุ ุสภาส่งเสริม สนบั สนุนการวจิ ัยเพื่อ
พัฒนามาตรฐานวิชาชพี และจรรยาบรรณของวชิ าชพี จัดตั้งกองทุนอดุ หนนุ การวจิ ัยเพื่อพัฒนาวชิ าชีพ
สนับสนุนให้นาผลวิจยั ไปสกู่ ารปฏิบัติ จัดให้มกี ารเผยแพรแ่ ลกเปล่ยี นความรู้ ประสบการณ์ และ
ผลงานวิจัย จัดให้มีศูนย์ค้นคว้าความรู้ด้านการพฒั นาวชิ าชพี และองค์ความรู้ในศาสตรส์ าขาต่าง ๆ
สร้างเครือข่ายการวจิ ยั ส่งเสรมิ ความคดิ รเิ ริ่มสรา้ งสรรค์ในการผลติ และใชส้ ือ่ นวตั กรรมและเทคโนโลยี
ในการพฒั นาวชิ าชีพ
๔. การพฒั นาสู่ความเปน็ เลศิ ทางวชิ าการและวิชาชพี คุรสุ ภาสนับสนนุ สง่ เสริม
งานวจิ ัยเพ่อื พฒั นามาตรฐานวิชาชพี และจรรยาบรรณของวชิ าชีพ สนับสนนุ สง่ เสริมให้ผปู้ ระกอบ
วิชาชีพทางการศึกษามจี ิตสานกึ และตระหนกั ในการพัฒนาตนเองอยา่ งต่อเนอ่ื ง จัดหาทุนเพอ่ื
สนบั สนุนใหผ้ ปู้ ระกอบวิชาชีพทางการศึกษาทาผลงานทางวชิ าการ การวจิ ัย การสร้างสรรค์สิง่ ใหม่ ๆ
ทางด้านวิชาการ สนบั สนนุ ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายในการพฒั นาเฉพาะสาขาวิชา มศี ูนย์
แลกเปลย่ี นและเผยแพร่นวตั กรรมแต่ละสาขาวชิ า จดั ทาหรือมกี ารประเมินผลงานความกา้ วหนา้ ทาง
วิชาการตามเวลาทก่ี าหนดแนวทางการดาเนนิ งานพฒั นาท่ีสานักเลขาธกิ ารได้กาหนดไวเ้ พ่ือเป็นกรอบ
การพัฒนาผู้ประกอบวชิ าชพี ทางการศกึ ษาซง่ึ เป็นกลุ่มเป้าหมายสาคัญ อันประกอบดว้ ยครู ผู้บริหาร
สถานศึกษาผูบ้ ริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอ่นื ๆ ท้ังนี้เพื่อให้การพฒั นาวชิ าชีพครู
วิชาชีพทางการศึกษาได้มาตรฐานทั้งในระดบั ชาติและระดบั สากลสบื ไป
แนวทางการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศกึ ษาแนวใหม่
๑๘๘
จากทิศทางการพฒั นาครูและบคุ ลากรทางการศึกษาทไ่ี ด้มีการปรับเปลย่ี นเป็นการพัฒนาท่ี
เนน้ สมรรถนะในวิชาชพี กระทรวงศกึ ษาธกิ ารจึงได้แบ่งกระบวนการพฒั นาครขู อง
กระทรวงศกึ ษาธิการเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑ คือ การผลิตครูใหม่ ส่วนท่ี ๒ คอื การพฒั นาครู
ประจาการ โดยในส่วนการพัฒนาสมรรถนะของนักศึกษาครูน้ัน สถาบนั การศึกษาทีผ่ ลิตครไู ด้พัฒนา
หลักสูตรใหมท่ รี่ องรับมาตรฐานตา่ งๆ ไวค้ รบถ้วนแล้ว เน่ืองจากตอ้ งใหน้ ักศึกษาครไู ด้รับใบประกอบ
วชิ าชีพเมือ่ สาเรจ็ การศกึ ษา แต่ในสว่ นของครูประจาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร โดยสถาบันพฒั นาครู
คณาจารย์ และบุคลากรทางการศกึ ษา(สคบศ.) ได้จดั สมั มนาผทู้ รงคณุ วฒุ ิ และผ้เู กีย่ วข้องกบั
การศกึ ษาไทยระหวา่ ง พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๔๙ และไดก้ าหนดหลักการ รปู แบบ และวิธกี ารพฒั นา การ
ประเมนิ การพัฒนา ข้ันตอนการพฒั นา และการเชอื่ มโยงการพฒั นากับการเล่อื นวทิ ยฐานะ (สถาบัน
พฒั นาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศึกษา,๒๕๕๔, หน้า ๒-๓ ; วีระชยั จวิ ะชาติ, ๒๕๕๔ ,หน้า
๑-๔ ) โดยจะกล่าวตามลาดับตอ่ ไปนี้
หลักการการพฒั นาครูและบุคลากรทางการศกึ ษา
การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา มีหลักการ ดังน้ี
๑. การพฒั นาตอ้ งก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงทตี่ ัวผู้เรยี น
๒. การพัฒนาต้องเกิดจากความตอ้ งการของครแู ละบุคลากรทางการศึกษา
๓. การพฒั นาต้องมุง่ เน้นลักษณะโรงเรียนเปน็ ฐาน
๔. การพฒั นาตอ้ งมีหลากหลายรปู แบบใหเ้ ลอื กตามความเหมาะสมของบุคคล
๕. การพฒั นาต้องสอดคล้องกับภารกจิ และหน้าที่ทปี่ ฏิบตั ิของครูและบคุ ลากรทางการ
ศึกษา
๖. การพฒั นาต้องดาเนินการในรปู แบบเครอื ข่ายกระจายทั่วประเทศ
๗. การพัฒนาตอ้ งสอดคล้องกับนโยบายและข้อกาหนดของหน่วยงานทีเ่ ก่ียวข้อง
๘. การพัฒนาต้องกระทาอยา่ งทวั่ ถึงและครอบคลุมกลุม่ เป้าหมายทง้ั ในและนอก
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
รปู แบบและวิธีการพัฒนา
การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา มีรูปแบบและวธิ กี ารดังนี้
๑. การพัฒนาครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษามงุ่ เน้นให้มีสมรรถนะตามมาตรฐานตาแหนง่
และมาตรฐานวิชาชพี ท้ังสมรรถนะหลกั สมรรถนะการปฏบิ ตั งิ านในหน้าท่ี และสมรรถนะเฉพาะกลมุ่
สาระ ตามท่ีคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) กาหนด
๒. รปู แบบของการพัฒนามุ่งเน้น การสร้างเครือขา่ ยท่ีมคี ุณภาพตามท่ีสถาบนั พัฒนาครู
คณาจารยแ์ ละบคุ ลากรทางการศึกษา (สคบศ.) กาหนดให้กระจายอยู่ท่ัวประเทศ เพ่ือความสะดวกใน
การเข้ารบั การพฒั นาของครูและบุคลากรทางการศึกษาท้ังที่เปน็ องค์กรเครอื ข่าย บคุ คล เครือข่าย
และเครือขา่ ยทางไกล
๓. วิธีการพัฒนาต้องมีความหลากหลาย สอดคลอ้ งกับความต้องการพฒั นาของครแู ละ
บคุ ลากรทางการศึกษา จาแนกเปน็
๓.๑ การพัฒนาที่มุง่ เน้นภายในสถานศกึ ษา หรือใช้โรงเรยี นเป็นฐาน (School
Based Development/Inside Based Development) ไดแ้ ก่ การพฒั นาแบบเพือ่ นช่วยเพอ่ื น การ
๑๘๙
วจิ ยั ในช้นั เรยี น การศึกษาดว้ ยตนเองผา่ นส่อื ทางไกลต่าง ๆ ทัง้ ส่อื สิ่งพิมพ์ E-Book, E-Learning วทิ ยุ
โทรทศั น์ เปน็ ตน้
๓.๒ การพฒั นาภายนอกสถานศกึ ษา (Outside Based Development) เชน่ การ
อบรม การศึกษาดงู าน การฝกึ ประสบการณ์ การสัมมนา เปน็ ตน้ ซึง่ การพัฒนาด้วยวิธีนร้ี ฐั อาจจัดใหม้ ี
องค์กรเครือข่ายตา่ ง ๆ ท่ีมีมาตรฐานเข้ารว่ มพฒั นา เช่น มหาวทิ ยาลัย สถาบันอดุ มศึกษาทง้ั ภาครัฐ
และภาคเอกชน สมาคมวิชาชพี ต่าง ๆ องค์กรเอกชน บคุ คลเครอื ข่ายตา่ ง ๆ เช่น ผทู้ รงคุณวฒุ ิใน
ท้องถนิ่ ปราชญ์ชาวบ้านทกี่ ระจายอยูท่ ั่วประเทศ เพือ่ อานวยความสะดวกให้แก่ครูและบุคลากร
ทางการศึกษาทปี่ ระสงค์ไดร้ ับการพฒั นาดว้ ยวธิ ีการน้ี
๔. ผลลัพธท์ เ่ี กิดจากการพฒั นาจะเชื่อมโยงกับการเลื่อนวทิ ยฐานะ การพิจารณาความดี
ความชอบ รวมถงึ ใชป้ ระกอบการขอต่อใบอนุญาตประกอบวชิ าชีพต่อหนว่ ยงานทีเ่ กย่ี วข้อง
การประเมินการพฒั นา
การประเมินการพฒั นาครแู ละบุคลากรทางการศึกษาได้แบ่งเป็น ๒ ข้ันตอนดังนี้ คือ
๑. การประเมินก่อนการพฒั นา มีจุดประสงค์เพ่ือให้ครูและบคุ ลากรทางการศึกษาไดท้ ราบ
ความตอ้ งการและความจาเป็นของคนท่จี ะต้องรับการพฒั นาเป็นขั้นตอนของการประเมินตนเอง แลว้
จดั ทา แผนพัฒนาตนเอง (Individual Development Plan: ID-Plan) โดยทางสถาบนั พฒั นาครู
คณาจารย์ และบุคลากรทางการศกึ ษากาหนดให้ใช้ข้อกาหนดสมรรถนะของครแู ละบุคลากรทางการ
ศึกษาทท่ี างคณะกรรมการข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษากาหนดเปน็ เป้าหมายในการ
ประเมนิ
๒. การประเมนิ หลงั การพัฒนา มีจดุ ประสงค์เพื่อตดิ ตามผลการนา ความร้แู ละประสบการณ์
ทไ่ี ดร้ บั จากการพัฒนาของครูและบุคลากรทางการศึกษาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการพฒั นากระบวนการเรยี น
การสอนหรอื ในภารกิจท่ีตนเองรบั ผดิ ชอบ ดังน้ัน การประเมนิ ในกรณนี ี้ จึงมี ๒ ลกั ษณะ คือ การ
ประเมนิ ภายใน และการประเมินภายนอก
๒.๑ การประเมินภายใน มจี ดุ ประสงคเ์ พื่อติดตามดรู ่องรอย ขนั้ ตอน และพฤติกรรม
การสอนหรือการทางานของครูและบคุ ลากรทางการศึกษา รวมทัง้ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของ
นักเรยี นหรอื ประสิทธิผลของงานทีเ่ กดิ ข้นึ โดยผู้บริหารสถานศึกษา/หน่วยงาน สานักงานเขตพืน้ ที่
การศึกษาหน่วยงานต้นสังกัด และ สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
๒.๒ การประเมนิ ภายนอก มีจดุ ประสงคเ์ พื่อตดิ ตามคุณภาพและประสิทธิภาพของ
สถานศึกษา/หน่วยงานทางการศึกษาในภาพรวม โดยหน่วยงานตน้ สงั กัดและองค์กรภายนอก เช่น
สานกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศกึ ษา
ขัน้ ตอนการพฒั นาครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา
สถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบคุ ลากรทางการศึกษา (สคบศ.) ร่วมกับคณะกรรมการ
ขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ไดเ้ ชื่อมโยงการพฒั นาครกู ับการเลือ่ นวิทยฐานะ
และการพิจารณา ความดีความชอบของครู โดยไดส้ รุปเปน็ ข้นั ตอนการพฒั นาครูและบุคลากรทางการ
ศกึ ษาตามผังมโนทัศน์ ผงั มโนทศั นข์ ้ันตอนการพัฒนาครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาประกอบดว้ ย ๕
ขัน้ ตอน ดังนี้
๑๙๐
ข้ันตอนที่ ๑ การประเมนิ ตนเอง เพอื่ ทราบความต้องการและความจาเป็นของตนทจ่ี ะต้อง
ไดร้ บั การพัฒนา แลว้ กาหนดเปน็ แผนพัฒนาตนเอง (ID-Plan) โดยใช้เกณฑ์ของสถาบันพัฒนาครู
คณาจารยแ์ ละบุคลากรทางการศึกษา ในการประเมนิ ตนว่ามสี มรรถนะหลัก สมรรถนะการปฏบิ ตั งิ าน
ในหนา้ ทแ่ี ละสมรรถนะเฉพาะกลุ่มสาระที่ตนรบั ผดิ ชอบ ตลอดจนจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพมากนอ้ ย
เพยี งใด ควรได้รบั การพัฒนาอะไรบา้ ง มากน้อยเพียงใด
ขั้นตอนที่ ๒ การเข้าสูก่ ระบวนการพัฒนา ดว้ ยวธิ ีการทเ่ี หมาะสม สอดคล้องกบั ความต้องการ
ของครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยรัฐสนับสนุนงบประมาณเพอ่ื การพฒั นาในรปู คูปองวชิ าการ
ขน้ั ตอนที่ ๓ การนาความรจู้ ากการพฒั นาไปสู่การปฏบิ ตั ิในการเรียนการสอนผ้เู รยี น เช่น ครู
มีการสร้างนวัตกรรมการสอน ครูมีการวดั ความรูผ้ ้เู รียนกอ่ นและหลังการเรียนการสอน เป็นตน้
ขัน้ ตอนที่ ๔ การประเมนิ ผลการพัฒนาครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษาโดยประเมิน ๒ ดา้ น คอื
๔.๑ ประเมินผลการพฒั นาท่ีตวั ครู
๔.๒ ประเมนิ ผลสมั ฤทธ์ิว่าผเู้ รยี นมพี ัฒนาการการเรียนรเู้ พิม่ ข้ึนตามมาตรฐานหรอื ไม่
ขัน้ ตอนท่ี ๕ การรวบรวมข้อมูลและการจัดทาเอกสารสรุปผลการพฒั นาครูและบุคลากร
ทางการศกึ ษา โดยทาเอกสารสรปุ ผลการปฏบิ ตั งิ านทง้ั หมดของครู และนาผลสว่ นน้ไี ปเชื่อมโยงกับ
การเลอ่ื นวิทยฐานะ โดยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.
๒๕๔๗มาตรา ๕๔ ได้กาหนดหลกั เกณฑ์และวธิ ปี ระเมนิ เพื่อการเล่ือนวิทยฐานะโดยคานึงใน ๓ ดา้ น
คอื
๕.๑ ดา้ นวินยั คุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวชิ าชพี
๕.๒ ดา้ นคณุ ภาพการปฏบิ ตั งิ านพจิ ารณาจากสมรรถนะหลักและสมรรถนะประจา
สายงาน
๕.๓ ด้านผลงานท่เี กดิ จากการปฏิบตั หิ นา้ ที่
หลักเกณฑ์การประเมนิ เพ่อื เล่ือนวิทยฐานะดังกล่าวในดา้ นท่ี ๑ และด้านท่ี ๒ สอดคล้องกับ
แนวทางการพฒั นาครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษาแนวใหม่ ซง่ึ ใชส้ มรรถนะและจรรยาบรรณแห่ง
วิชาชพี ครใู นการประเมนิ และนบั ว่าเปน็ การพฒั นาครูเพ่อื ประสิทธภิ าพในการปฏบิ ัตงิ านของครตู าม
แผนพัฒนารายบุคคล ส่วนผลงานที่เกดิ จากการปฏิบัตงิ านก็คอื เอกสารสรปุ ผลการปฏิบตั ิงานที่เกดิ ข้นึ
จากการนาความร้จู ากการพฒั นาไปปฏิบตั ิจริงจนผูเ้ รียนมีผลสัมฤทธ์ิและมีการพฒั นาที่เพิ่มข้ึน
กระบวนทศั น์ใหม่ของการพัฒนาครูวชิ าชีพ
ด้วยความสาคัญของการพัฒนาผู้ประกอบวชิ าชีพครูทจี่ ะตอ้ งกระทาอยา่ งต่อเน่ืองและเป็น
ระบบ ท้งั นี้นอกเหนือจากการทปี่ ฏบิ ัติตามรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
มาตรา ๘๑ ท่บี ัญญตั ิ เรอ่ื งการพฒั นาการศกึ ษาและการพัฒนาวชิ าชีพครู และพระราชบัญญตั ิ
การศึกษาแหง่ ชาติ พทุ ธศักราช ๒๕๔๒ และที่แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๕๒ ท่ี
กาหนดใหก้ ระทรวงศึกษาธิการสง่ เสริมใหม้ ีระบบกระบวนการผลิต การพัฒนาครู คณาจารย์ และ
บุคลากรทางการศึกษาให้มคี ุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกบั การเปน็ วิชาชพี ชน้ั สงู โดยพัฒนาท้ัง
บคุ ลากรใหม่และบุคลากรประจาการอยา่ งต่อเน่ือง
อย่างไรกต็ าม ด้วยสภาพการปฏบิ ตั ิงานของผปู้ ระกอบวิชาชพี ครใู นปัจจุบนั ท่ีมีภาระงานใน
หน้าทที่ ั้งงานสอนและงานเสริมอืน่ ๆ ในปรมิ าณท่ีมาก อาจสง่ ผลให้ผปู้ ระกอบวชิ าชีพครูไม่ได้สนใจ
หรอื ไม่ไดร้ ับการดูแลใหเ้ กิดการพัฒนาอย่างต่อเนือ่ งและเพียงพอ ฉะนน้ั วถิ ีทางหนง่ึ ทจี่ ะแกป้ ญั หาท่ี
๑๙๑
อาจจะเกิดข้นึ นน่ั คือ การเปล่ียนแปลงความคดิ การเปล่ียนแปลงวัฒนธรรมการทางาน โดยควรสรา้ ง
เสรมิ วัฒนธรรมการทางานแบบสรา้ งและสงั่ สมความร้อู ย่างต่อเนอ่ื ง และวฒั นธรรมการประเมินเพ่ือ
พฒั นาตนเอง นอกจากน้ผี ู้ประกอบวิชาชพี ครคู วรมีการพฒั นาสมรรถนะต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยจะ
นาเสนอในรายละเอยี ดตามลาดบั ดังน้ี
การสรา้ งเสรมิ วัฒนธรรมการทางานแบบสรา้ งและสงั่ สมความรู้
วัฒนธรรมการทางานแบบสร้างและสง่ั สมความรู้ หมายถงึ การปฏบิ ัติงานทย่ี ึดการเพ่ิมพูน
คณุ ประโยชน์ โดยทง้ั ผปู้ ฏิบัติงาน ผรู้ ับบริการทุกระดับต้องมคี ุณภาพสงู ขึน้ อย่างต่อเนื่อง มีการ
ประเมินปรบั ปรงุ เพ่ือหาวิธที ่ดี กี วา่ เดมิ จนเป้าหมาย วิธกี าร และการประเมนิ รวมเปน็ เน้ือเดยี วกัน เกิด
ความคมุ้ ค่าและการพฒั นาอย่างมั่นคงยืนยาวขององคก์ ร ผลงานเป็นทีช่ นื่ ชมจนเป็นผลให้สงั คมมี
ความก้าวหนา้ เปน็ หน่งึ เดยี วกัน (สานักงานเลขาธิการครุ สุ ภา, ๒๕๔๙ ,หน้า ๗๑)
สาหรบั กิจกรรมดาเนนิ งานเพื่อสร้างเสรมิ วัฒนธรรมการทางานแบบสรา้ งและสัง่ สมความรู้
ประกอบด้วย
๑. จดั ทาระบบการปฏบิ ัตงิ านพฒั นาวิชาชีพท่มี ีการสั่งสมความรู้
๒. จัดทาเกณฑ์คุณภาพของงานและผปู้ ฏิบตั งิ านทุกระดบั และทกุ สาขางาน
๓. จดั สรา้ งระบบการสงั่ สมประสบการณว์ ชิ าชีพเพ่อื ใชใ้ นการประเมินและนาเสนอ
เกียรติภูมิด้วยผลงานเชงิ ประจักษ์
๔. จัดทาระบบติดตามงานและส่งเสรมิ การพฒั นาวชิ าชีพ
๕. จดั ทาเกณฑ์คณุ ภาพในการเชิดชูเกียรตแิ ละเนน้ คุณภาพผลงานเชิงประจักษ์
สว่ นยทุ ธวิธใี นการดาเนนิ งาน ประกอบด้วย
๑. การจดั ทาคมู่ ือการปฏบิ ตั งิ านตามแนวทางพัฒนาวัฒนธรรมสร้างและสงั่ สมความรู้
๒. ประชุม ช้ีแจง เผยแพร่ ประชาสมั พันธก์ บั องคก์ รที่เกย่ี วข้อง
๓. วางระบบ Internet และ Intranet
๔. สรา้ งเครอื ข่ายองค์กรภายนอกและภายใน
๕. ประชาสัมพนั ธ์ สรา้ งขวัญกาลงั ใจ และ จงู ใจใหใ้ ชฐ้ านข้อมลู
๖. ประสานงานการสง่ เสรมิ มาตรฐานวิชาชพี กับหนว่ ยงานตา่ ง ๆ
๗. จดั สร้างบรรยากาศสนบั สนุนการพัฒนาวชิ าชีพดว้ ยการเรยี นรแู้ บบตา่ ง ๆ การเสนอ
ผลงานการประชุมสมั มนาและการวจิ ยั
๘. เพม่ิ พนู ความเปน็ มืออาชีพในองค์กรวชิ าชีพทางการศึกษา
การดาเนนิ งานตามกิจกรรมและยทุ ธวิธดี ังกลา่ วขา้ งตน้ ควรดาเนินการใหเ้ ปน็ ผลงานเชิง
ประจักษ์ และใหม้ ีการปรบั ปรุงพัฒนาอย่างต่อเนอ่ื งจนเกิดเปน็ วฒั นธรรมการทางานแบบสรา้ งและส่งั
สมความรทู้ เ่ี ป็นวถิ ีชีวติ แก่ผปู้ ระกอบวิชาชีพครสู บื ไป (สานกั งานเลขาธิการครุ ุสภา, ๒๕๔๙ ,หน้า ๗๔-
๗๕)
การสร้างวฒั นธรรมการประเมินเพอื่ พฒั นาตนเอง
การสร้างวฒั นธรรมการประเมนิ เพื่อพฒั นาตนเอง หมายถึง การปฏิบัติงานในการรวบรวม
ข้อมูลจากการปฏบิ ัติงานของตนเองเปรยี บเทียบกบั เป้าหมายทีต่ นเองกาหนดไว้ เพ่ือการตดั สนิ ใจหรอื
๑๙๒
ตดั สินคุณคา่ ในงานมาใชใ้ นการพัฒนาตนเองอย่างตอ่ เนื่อง อาจจะเป็นการพัฒนาความรู้
ความสามารถประสบการณ์ พฒั นาคุณธรรม จรยิ ธรรม หรอื ความชานาญ การประเมนิ ตนเองเพือ่ ให้
เป็นวฒั นธรรมควรประเมนิ ตนเองทุกวนั กับงานท่ตี นรับผดิ ชอบ พร้อมท้ังมีการปรับปรงุ แกไ้ ขหรอื
พัฒนาตนเองควบคู่ไปดว้ ย การสรา้ งวฒั นธรรมการประเมินในแต่ละบุคคลมีข้นั ตอนต่าง ๆ ๔ ขั้นตอน
ดงั นี้
ขัน้ ตอนท่ี ๑ การสร้างความตระหนกั (Awareness) หมายถงึ การสร้างความรสู้ กึ หรอื
จติ สานึกให้บุคคลเห็นความสาคัญและความจาเป็นของการประเมนิ
ข้นั ตอนที่ ๒ ความพยายาม (Attempt) หมายถึง การมคี วามเพียรทจ่ี ะพัฒนาหรอื ศกึ ษา
หาความรูเ้ ร่อื งการประเมินตนเองอย่างงา่ ยหรือแบบไมเ่ ป็นทางการและแบบเป็นทางการ
ขั้นตอนที่ ๓ ผลสัมฤทธ์ิ (Achievement) หมายถงึ การไดผ้ ลการประเมนิ ตนเองซ่ึงต้อง
อยู่ภายใตค้ วามคิดทเ่ี ป็นกลาง ไม่ลาเอียง และเหมาะสมมากน้อยเพียงใด อย่างไร
ขัน้ ตอนท่ี ๔ ขั้นการพฒั นา (Development) หมายถึง การนาขอ้ มลู จากการประเมนิ
มาพัฒนาตนเอง (สานกั งานเลขาธิการคุรุสภา, ๒๕๔๙,หนา้ ๗๕-๗๖)
การประเมนิ ตนเองเพื่อการพัฒนาตนเองนอกเหนือจากทีท่ างสานกั งานเลขาธกิ ารคุรุสภาได้
เสนอแนะดังกลา่ วขา้ งตน้ ในเร่อื งดงั กลา่ วได้มีนักวชิ าการได้เสนอแนะแนวทางการประเมินเพือ่ พัฒนา
ตนเอง โดยในทน่ี ี้จะกลา่ วเฉพาะ ๒ วิธีการท่ีสามารถนาไปประยุกต์ใช้ไดโ้ ดยไม่ยากดังต่อไปนี้
๑. วธิ กี ารประเมนิ ตนเองโดยอสิ ระด้วยกระบวนการวเิ คราะห์ SWOT (SWOT
Analysis) ซึง่ เปน็ กลยุทธใ์ นการวเิ คราะห์องคก์ ร ซ่ึงสามารถปรบั ใชใ้ นการวเิ คราะห์เพอ่ื ประเมนิ ตนเอง
ไดว้ ่า ตนมจี ุดแข็ง จุดออ่ น โอกาส และอุปสรรคอย่างไรบ้าง
SWOT เปน็ คาย่อมาจากคาว่า Strength, Weakness, Opportunities, and Threats
มคี วามหมายดังตอ่ ไปน้ี
Strength คือ จุดแข็ง หมายถึง ความสามารถหรือจดุ เดน่ หรือคณุ ลักษณะของตัวเราทีเ่ ป็น
บวกที่สามารถนามาใช้ประโยชน์ในการทางานเพ่ือให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์ เชน่ ในกรณีทเ่ี ราเป็นครู เรามี
จุดแขง็ หรือจดุ เด่นอะไรบ้าง เราต้องวิเคราะหต์ นเองในดา้ นต่างๆ โดยรอบ กลา่ วคอื ในดา้ นวชิ าการ
เราเป็นคนชอบอ่าน รกั การอา่ น รกั การแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ หรือไม่ ถา้ ตอบวา่ ใช่คณุ ลักษณะเหล่านี้
จะเป็นจดุ ทีช่ ว่ ยสง่ เสริมให้เราสามารถพฒั นาตนเองไดใ้ นสงั คมปัจจบุ นั ในด้านวชิ าชีพเรามีความรกั
ความศรัทธาในวชิ าชพี ครูหรือไม่ เรามคี วามรกั ในการจดั กระบวนการเรียนรู้หรอื ไม่ ถ้าตอบว่ามี
คุณลักษณะเหลา่ นจี้ ะส่งเสริม สนับสนนุ ให้เราเปน็ ครูทีด่ ี เปน็ ตน้ นอกจากนี้ในดา้ นบุคลิกภาพเราเปน็
คนแต่งกายสะอาด เรยี บรอ้ ย น่าชืน่ ชมหรอื ไม่ การพดู นา้ เสยี งเป็นอยา่ งไร มคี วามเป็นมิตรหรอื ไม่ ซง่ึ
คุณลกั ษณะดา้ นบคุ ลิกภาพท่ีดีจะมีสว่ นส่งเสรมิ ในการเป็นครทู ่ีดี เพราะศิษยก์ ลา้ เขา้ ใกล้คาถามตา่ ง ๆ
เหล่าน้ีเปน็ ตัวอย่างในการพิจารณาและประเมนิ ตนเอง
Weakness คือ จุดออ่ น หมายถงึ คุณลักษณะทีเ่ ป็นลบ เป็นขอ้ ด้อย ขอ้ บกพร่องท่ีต้อง
ปรับปรุงแก้ไข เพราะคณุ ลกั ษณะน้ีไมส่ ามารถนามาใชป้ ระโยชนใ์ นการทางานเพ่ือให้บรรลุ
วตั ถุประสงค์ได้ เชน่ ในกรณีท่ีเป็นครู เราวเิ คราะห์ตนเองพบวา่ เป็นผู้ที่ไมร่ กั การอ่าน ไม่สนใจแสวงหา
ความร้ใู หม่ ๆ เปน็ คนเกียจคร้าน คุณลกั ษณะเชน่ นยี้ ่อมส่งผลต่อประสิทธภิ าพในการปฏิบัตงิ านใน
วิชาชีพครู ซ่ึงตอ้ งมีการปรับปรงุ พัฒนา หรอื ในกรณีท่ีผูป้ ระกอบวชิ าชพี ครู เมื่อวเิ คราะห์ตนเองพบว่า
เป็นผมู้ บี ุคลิกภาพไมเ่ ป็นมติ ร มองโลกในแง่ร้ายย่อมส่งผลกระทบต่อการประกอบวชิ าชพี เชน่ นี้ ฉะน้ัน
คณุ ลักษณะทเ่ี ปน็ จุดอ่อนหรือข้อด้อยตา่ ง ๆ เหลา่ น้ี เปน็ คุณลกั ษณะทผ่ี ้ปู ระเมินตนเองต้องวเิ คราะห์
๑๙๓
ตนเองไดเ้ พ่ือการปรับปรุงแกไ้ ขหรือพัฒนาต่อไป
Opportunities คอื โอกาส หมายถงึ ปัจจัยหรือสถานการณภ์ ายนอกทเ่ี อื้ออานวย
ให้การทางานของตนบรรลุวตั ถุประสงค์ หรือหมายถงึ สภาพแวดล้อมภายนอกทีเ่ ออ้ื ประโยชนต์ ่อการ
ทางานของตน เชน่ การเปน็ ครูวิชาชพี ปจั จุบนั มีโอกาสก้าวหนา้ ในวิชาชีพของตนเอง โดยการประเมิน
เพือ่ การเล่ือนวทิ ยฐานะ หรอื การพจิ ารณาความดีความชอบเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ในงาน คอื ผลการ
พฒั นาท่ตี วั ผ้เู รียน กล่าวคือ การพัฒนาตนเองของครูสอดคลอ้ งกับภารกิจและหน้าทปี่ ฏิบตั ขิ องครู
Threats คือ อปุ สรรค หมายถงึ ปัจจยั หรือสถานการณภ์ ายนอกท่ีขดั ขวางการทางานของเรา
ไมใ่ หบ้ รรลวุ ัตถุประสงค์ หรอื หมายถงึ สภาพแวดลอ้ มภายนอกทเ่ี ป็นปัญหาต่อการทางานของเรา เชน่
ในการประกอบวชิ าชีพครู ถา้ เรามีปัญหาในครอบครัว อาจส่งผลกระทบทาให้การทางานของเราไม่
ราบรนื่ หรือการมีทอี่ ยู่อาศัยทหี่ า่ งไกลจากโรงเรียนทาให้ไปทางานสายบ่อย หรอื หนว่ ยงานให้
งบประมาณไม่เพียงพอแก่การผลติ สื่อการสอน ส่งผลใหก้ ระบวนการจัดการเรียนรู้มปี ระสิทธภิ าพต่า
เป็นตน้
สาหรับโอกาสและอุปสรรคเป็นสง่ิ ทีส่ ามารถเปลีย่ นแปลงได้ ฉะนน้ั ในการประเมนิ เพื่อ
พฒั นาตนเอง จงึ จาเป็นต้องปรบั เปลี่ยนกลยทุ ธข์ องตนใหท้ ันต่อการเปล่ยี นแปลงของสถานการณ์
แวดลอ้ มด้วยการประเมนิ ตนเองโดยใชห้ ลักการวิเคราะห์ SWOT น้นั ควรกระทาอยา่ งน้อยภาคเรียน
ละครัง้ ทง้ั น้เี พื่อพฒั นาศกั ยภาพและสมรรถภาพแหง่ ตนและคุณภาพของผู้เรียน
๒. วธิ กี ารประเมนิ ตนเองโดยใช้ CIPP Model
การประเมินตนเองโดยวธิ ีนเี้ ปน็ การประเมินตนเองทีม่ ีต่อการศกึ ษาถึงปจั จยั
สภาพแวดลอ้ มอืน่ ๆ ที่มีผลต่อตวั เราซง่ึ เป็นผลผลติ กล่าวคือ มีการประเมินบริบททางสังคม ปัจจัย
ป้อนเข้ากระบวนการ ซ่งึ ส่งผลถึงผลผลิตสดุ ทา้ ย โดยมรี ายละเอียดดังนี้
C = Context คือ บริบท หมายถึง สถานการณ์แวดล้อมภายนอกท่ีอย่รู อบ ๆ ตวั
ครู เช่น บรรยากาศในสถานศึกษา ความเป็นประชาธิปไตยในสถานศึกษา การมสี ่วนร่วมของ
ผูป้ กครองหรือชมุ ชนต่อโรงเรียนทค่ี รทู างานอยู่ นโยบายทางการศึกษา แผนพฒั นาของสถานศึกษา
สภาพเศรษฐกิจ สงั คม และการเมอื งของประเทศไทย และของสงั คมโลก เปน็ ตน้ ซึ่งสถานการณ์
แวดล้อมภายนอกต่าง ๆ เหลา่ นี้อาจส่งผลตอ่ การจดั การเรียนการสอน ต่อการพัฒนาตนเองของครู
ซ่ึงครูควรประเมินบริบทตา่ ง ๆ และประเมินตนเองวา่ ตนมีความรอบรู้เท่าทนั สถานการณแ์ วดลอ้ ม
ภายนอกทง้ั ในโรงเรียน ชุมชน สังคม และประเทศหรือไม่ เพ่อื ให้กา้ วทันต่อสถานการณ์และสามารถ
เป็นท่นี า่ เชื่อถือของสังคมโดยรวมได้
I = Input คอื ปัจจัยป้อนเข้า หมายถึง ทรัพยากรเบ้ืองต้นที่จะนาเข้าไปสู่การ
จัดการเรยี นรู้ท่ีมีคุณภาพในสถานศกึ ษา ไดแ้ ก่ ตวั นกั เรยี น ผ้ปู กครอง นโยบายของผบู้ ริหาร คุณภาพ
ของครแู ละนักเรยี น งบประมาณ สภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน เปน็ ต้น การประเมินตนเองของครูคือ
ครูตอ้ งยอมรับว่าตนเปน็ ปจั จัยป้อนเขา้ ปจั จัยหนึง่ ทม่ี คี วามสาคญั มากในการพฒั นาคุณภาพของผูเ้ รียน
ผเู้ ปน็ ครตู อ้ งประเมินความรู้ความสามารถในการเป็นครูของตนว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ มีศักยภาพ
Context Input Process Product และสมรรถภาพแหง่ วิชาชีพเพยี งใด มีความพรอ้ ม
ทางดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ อารมณ์ และสงั คมที่จะมี ปฏิสัมพนั ธก์ บั ผ้อู ่ืนหรือไม่ เพียงใด การประเมนิ
ตนเองดา้ นน้ี เพอ่ื หาขอ้ บกพร่องเพ่ือการพฒั นาต่อไป
P = Process คอื กระบวนการ หมายถงึ กระบวนการทางานของครูหลาย ๆ ดา้ น
เพื่อพฒั นาประสทิ ธิภาพของผู้เรียน ไดแ้ ก่ การจัดทาแผนการเรยี นรู้ การจัดเตรียมส่อื การสอน การวัด
๑๙๔
และประเมินผล เป็นต้น ครตู ้องมีการประเมินตนเองว่า ตนมกี ระบวนการทางานตามวิชาชพี ครบถว้ น
หรือไม่ มีการวางแผนการทางาน มีการเตรียมการจดั กระบวนการเรยี นรู้ มีการปฏิบัตงิ านสอนเปน็ ท่ี
พงึ พอใจของนักเรียน ผูป้ กครอง และบรรลผุ ลตามเปา้ หมายหรอื ไม่ ทงั้ น้ีเพื่อหาข้อบกพร่องเพื่อการ
พฒั นาตนเองต่อไป
P = Product คือ ผลผลิต ในที่นีค้ ือผู้เรยี น โดยการประเมินผู้เรียน ประเมนิ จาก
ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน พฤติกรรมของผูเ้ รยี นวา่ เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานและเป้าหมายของ
หลักสตู รตลอดจนความคาดหวังของสงั คมหรอื ไม่ การประเมินตนเองของครูในขน้ั ตอนน้ีนัน้ เป็นการ
ประเมนิ เพอ่ื ดูผลผลติ ที่ได้จากบรบิ ท ปจั จัยป้อนเขา้ และกระบวนการในแตล่ ะข้นั ตอนทสี่ ่งผลมาท่ตี ัว
ผู้เรียนหรือผลผลติ ถา้ พบวา่ ผลผลติ หรอื ผเู้ รียนไม่เปน็ ไปตามเปา้ หมายทีว่ างไว้ ผเู้ ป็นครตู ้องทบทวน
ตนเองตลอดจนกระบวนการทางาน แลว้ วางแผนการปฏิบัติงานใหม่ ซึ่งอาจใชว้ งจรของเดมมงิ
(DemingCycle) คือ วางแผน (Plan) ดาเนินการตามแผน (Do) ตรวจสอบ (Check) ความถกู ต้อง
ชัดเจน แลว้ ลงมอื ปฏิบัติการ (Act) จากนนั้ ก็ทบทวนเพื่อการปรบั ปรงุ พัฒนาสบื ไป
การประเมินตนเองโดยใช้ CIPP Model นนั้ เปน็ อกี ทางเลือกของการวเิ คราะหแ์ ละประเมิน
จดุ เด่น จุดดอ้ ยของตนในกระบวนการทางาน และเมื่อประเมนิ แล้วเราต้องยอมรบั ดว้ ยความจริงใจ
และปรบั ปรงุ ข้อด้อยให้ลดลง ตลอดจนพฒั นาจุดเด่นใหแ้ ข็งแกร่งยง่ิ ข้นึ ท้งั น้เี พอื่ ความก้าวหนา้ ใน
วิชาชพี การประกอบวชิ าชพี ครู ต้องเป็นบุคคลทีม่ ีความร้รู อบด้าน รู้ความสัมพันธข์ องตนกับปจั จยั
แวดล้อมอ่นื ๆ วา่ มีความสอดคลอ้ งกันเพยี งใด ตอ้ งปรับแก้จุดไหน เพื่อการพฒั นาตนให้เปน็ ครมู ือ
อาชพี
การพัฒนาสมรรถนะด้วยตนเอง
จากเป้าหมายสาคัญของการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาโดยมีเป้าหมายใหเ้ ปน็ ผู้มี
ความรู้ ทักษะ ความสามารถ และคุณลักษณะอ่ืน ๆ ทีส่ อดคลอ้ งกับวชิ าชีพ การบรรลุเป้าหมาย
ดงั กล่าวครูควรมีศักยภาพในการพฒั นาสมรรถนะของตนดว้ ยตนเอง โดยขัน้ ตอนของการพัฒนา
สมรรถนะตนเองน้นั ประกอบด้วย ๖ ขน้ั ตอน ดงั นี้ .
๑. การรวบรวมขอ้ มลู ป้อนกลับ (gather feedback) การรวบรวมขอ้ มูลเพื่อใชใ้ นการจัดทา
แผนพัฒนาตนเอง เร่มิ จากการประเมนิ ระดบั สมรรถนะปัจจบุ นั เพือ่ ทราบจดุ แข็ง จดุ อ่อน โอกาสหรอื
ความตอ้ งการทจี่ ะพฒั นา โดยสอดคลอ้ งกับบทบาทหน้าที่ของครูและเป้าหมายของงาน โดยการ
ประเมินระดบั สมรรถนะนั้นสามารถใช้เทคนคิ การประเมินตนเองท่ีได้กล่าวไวแ้ ลว้ หรอื ใช้วิธีการมสี ว่ น
รว่ มของผ้บู รหิ ารของหนว่ ยงาน เพอ่ื นรว่ มงาน หรือนกั เรยี นรว่ มกนั ประเมิน หรอื ใช้เครื่องมือประเมิน
ท้ังนเ้ี พ่ือให้ได้ข้อมูลป้อนกลับจากฝา่ ยตา่ ง ๆ เพือ่ นาข้อมูลทีไ่ ด้มาวเิ คราะหห์ าคา่ ความแตกตา่ งของ
สมรรถนะที่เปน็ จริงและสมรรถนะท่ีคาดหวัง เพอ่ื คน้ หาสมรรถนะและคุณลักษณะท่จี าเป็นตอ้ งได้รบั
การพัฒนาทัง้ สมรรถนะหลกั สมรรถนะประจาสายงานครู และสมรรถนะเฉพาะของแต่ละกล่มุ สาระ
การเรยี นรู้
๒. การเลอื กสมรรถนะทีจ่ ะพัฒนา (select competencies) การเลอื กสมรรถนะทีจ่ ะพัฒนา
ควรเร่มิ จากการเน้นสมรรถนะเพียง ๑ หรือ ๒ สมรรถนะที่จะเกิดประโยชนต์ ่อตนเองให้มากทสี่ ุดก่อน
เช่น สมรรถนะท่ีจะสง่ ผลกระทบต่อประสิทธิผลของงาน เปน็ ตน้ และควรเลอื กหลักสูตรการพฒั นาท่ดี ี
สอดคล้องกับสมรรถนะท่ีต้องการจะพัฒนา
๓. การเลอื กกจิ กรรมการเรยี นรู้ (select activities) การเลือกกิจกรรมการเรยี นรู้ ให้เลือก
๑๙๕
กจิ กรรมการเรยี นร้ทู ่ีสามารถทาใหเ้ กดิ การพฒั นาสมรรถนะตามท่ีกาหนดไว้ โดยกิจกรรมการเรียนรู้
เพือ่ การพัฒนาน้ันมหี ลากหลาย เช่น การเรียนรู้ในงาน การฝึกอบรม การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง เช่น การ
อ่านกจิ กรรมในงาน e-learning ฯลฯ
๔. การจดั ทา แผนพฒั นาตนเอง (development the plan) แผนพัฒนาตนเองควร
ประกอบดว้ ยสมรรถนะสาคัญท่ีควรพัฒนา ซงึ่ อาจเปน็ สมรรถนะประจาสายงานของครู เชน่ การ
จดั การเรยี นรู้ การพัฒนาผูเ้ รยี น การบริหารจัดการช้นั เรยี น การวิจัยเพือ่ พฒั นางาน การสรา้ งความ
ร่วมมือกับชมุ ชน เป็นตน้ หรือสมรรถนะเฉพาะของแตล่ ะกลุ่มสาระการเรยี นรู้ นอกจากน้ีใน
แผนพัฒนาตนเองยงั ควรประกอบดว้ ยระดับสมรรถนะทตี่ ้องการ กจิ กรรม การพัฒนา กรอบเวลาทจ่ี ะ
พฒั นาสมรรถนะให้เสร็จสมบูรณ์
๕. การพฒั นาสมรรถนะตนเองตามแผน (implement the plan) การพฒั นาสมรรถนะ
ตนเองตามแผนมีดังนี้
๕.๑ เมอ่ื มีการพัฒนาสมรรถนะตนเองตามแผนทก่ี าหนดไว้แลว้ เพ่อื ให้มัน่ ใจว่าจะเกิด
การพัฒนาขึน้ อยา่ งแท้จริง ครแู ละผู้บรหิ ารหรอื หวั หนา้ งานควรรว่ มมือกนั กาหนดระบบการวัด
ความก้าวหน้าของการพัฒนาระหวา่ งวตั ถปุ ระสงค์กับแผนที่สรา้ งขึน้ เพอื่ ให้ได้ข้อมลู ป้อนกลับเกย่ี วกบั
การเปลี่ยนแปลงของการพฒั นา ซ่งึ อาจจะประกอบด้วยเนื้อหาดังน้ี คอื วธิ ีการวัดความก้าวหนา้ ใคร
เปน็ ผวู้ ัดความกา้ วหนา้ ลกั ษณะ/ประเภทความก้าวหนา้ ที่จะใชว้ ดั เม่อื ไหร่/กาหนดเวลาวัด
ความกา้ วหน้า
๕.๒ ความสาเร็จของการพฒั นาสมรรถนะขึ้นอย่กู ับปจั จยั สาคญั ต่อไปน้ี คือ
๕.๒.๑ มีการสอบถามเพื่อให้ไดข้ อ้ มลู ป้อนกลับ
๕.๒.๒ พฒั นาสมรรถนะทเ่ี ปน็ จดุ แขง็ ให้เพ่ิมมากขึ้น
๕.๒.๓ กาหนดเป้าหมายการพฒั นาอย่างสมเหตุสมผล
๕.๒.๔ เต็มใจท่ีจะเสย่ี ง
๕.๒.๕ ดแู ลแผนพฒั นาตนเองใหช้ ดั เจนและเปน็ ปัจจุบัน
๕.๒.๖ เน้นการพัฒนาอยา่ งต่อเน่อื ง
๖. การประเมนิ การพฒั นา (Assess Level) หลังจากการจัดทาแผนพัฒนาสมรรถนะตนเอง
และมีการพัฒนาตนเองตามกรอบของแผนแลว้ ควรมีการติดตามประเมินดูวา่ สมรรถนะเป้าหมายท่ี
ได้รบั การพฒั นามาแลว้ น้นั เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสถานศึกษาอย่างไร เชน่
๖.๑ ผูป้ ระกอบวิชาชพี ครูมสี มรรถนะท่ไี ด้รับการพัฒนาเพม่ิ ข้ึนมากตามท่ีคาดหวงั หรือไม่
๖.๒ ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา หรอื ผ้ปู กครองนักเรียน หรือผู้เกี่ยวข้องในชมุ ชน หรอื นกั เรียน
ได้เหน็ ผลของการมสี มรรถนะเพิ่มขนึ้ ของผูป้ ระกอบวชิ าชีพครูที่สง่ ผลตอ่ การปฏบิ ตั งิ านในสถานศกึ ษา
หรอื ไม่
๖.๓ ผบู้ ริหารและเพือ่ นรว่ มงานสามารถใชก้ ารประเมินเพือ่ ใหเ้ หน็ ถงึ ระดบั สมรรถนะที่
ต้องการ และสามารถใช้เคร่ืองมือที่พฒั นาขึ้น ทาการพัฒนาระดบั สมรรถนะไปสรู่ ะดบั ท่ีต้องการได้
( สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศกึ ษา, ๒๕๕๔, หนา้ ๑-๒, ชชั รินทร์ ชวน
ชนั .,๒๕๕๔, หน้า ๑-๒)
จากกระบวนการพฒั นาต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นการเสนอแนวทางในการพฒั นาสมรรถนะ
ของผูป้ ระกอบวชิ าชีพครู ซ่งึ มีความสาคัญมากในสงั คมปจั จุบัน และไมว่ า่ ผปู้ ระกอบวิชาชีพครจู ะใช้
วธิ กี ารหรอื แนวทางใดก็ตามในการพัฒนาสมรรถนะตนเอง ผปู้ ระกอบวิชาชพี ตอ้ งมคี วามเพียรพยายาม
๑๙๖
ในการกระทาอยา่ งต่อเนื่อง และต้องแสวงหาความรู้ใหม่ๆ เพ่ือการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ดว้ ยการ
เปลยี่ นแปลงอยา่ งรวดเร็วของสังคมโลกปัจจุบนั
สรปุ
สมรรถนะของครหู รอื ความสามารถของผู้ประกอบวิชาชพี ครูนน้ั ไดถ้ กู กาหนดไวใ้ น
พระราชบัญญตั ิสภาครแู ละบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยครูต้องมสี มรรถนะในการ
ปฏิบตั ิงานตามมาตรฐานความรู้ และ ประสบการณ์วชิ าชีพ องค์กรวชิ าชีพครูหรือครุ ุสภา ได้กาหนด
ระบบการพฒั นาซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานท่เี ก่ียวข้องกับการพฒั นา รูปแบบการพฒั นา และแนวทาง
การดาเนินงานพฒั นา โดยกาหนดการพฒั นาใน ๔ ดา้ น คือ ด้านมาตรฐานวิชาชพี ดา้ นจรรยาบรรณ
วชิ าชีพดา้ นการวิจยั และด้านการพฒั นาสูค่ วามเป็นเลิศทางวชิ าการและวิชาชีพ ส่วนวิธกี ารพัฒนา
ประกอบดว้ ย ๕ ข้นั ตอน คือ ขัน้ ตอนที่ ๑ เปน็ การประเมินตนเอง เพอ่ื ทราบความต้องการและความ
จาเปน็ ของตนทีจ่ ะตอ้ งได้รบั การพฒั นา ขัน้ ตอนที่ ๒ เปน็ การเขา้ สกู่ ระบวนการพัฒนาด้วยวธิ ีการท่ี
เหมาะสมกับตนเอง ขั้นตอนท่ี ๓ เปน็ การนาความรูจ้ ากการพฒั นาไปสู่การปฏบิ ัติในการเรียนการสอน
ผ้เู รียน ขนั้ ตอนที่ ๔ เป็นการประเมนิ ผลการพัฒนาโดยประเมนิ ใน ๒ ดา้ น คือ ประเมนิ ผลการพฒั นาท่ี
ตวั ครู และประเมินผลสมั ฤทธ์ิทต่ี วั ผู้เรียน และในข้นั ตอนที่ ๕ ซึง่ เปน็ ขั้นตอนสุดท้ายเปน็ การรวบรวม
ขอ้ มลู และการจัดทาเอกสารสรุปผลการพฒั นา
๑๙๗
คาถามท้ายบท
คาถามต่อไปนี้เปน็ คาถามอตั นัยมีจานวน ๑๐ ขอ้ ใหท้ าทุกขอ้
๑. อธบิ ายความหมายของ ศกั ยภาพ สมรรถนะ และสมรรถภาพ
๒. การกาหนดใหม้ นี โยบายในการพฒั นาสมรรถนะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการ
ศึกษา เร่ืองของศักยภาพ สมรรถนะหรอื สมรรถภาพมีผลกระทบต่อการปฏิบตั ิงานของครูในปัจจุบัน
อย่างไร
๓. ระบบการพัฒนาวิชาชีพทเี่ น้นสมรรถนะครูและบุคลากรทางการศกึ ษา ส่งผลตอ่
ความสาเร็จในการปฏบิ ตั งิ านของผูป้ ระกอบวิชาชพี ครอู ย่างไร
๔. สมรรถนะท่ีผปู้ ระกอบวชิ าชีพครูพึงมปี ระกอบดว้ ยสมรรถนะใดบ้าง อธิบายพรอ้ ม
ยกตวั อย่าง
๕. สมรรถนะหลักท่คี รูและบุคลากรทางการศึกษาตอ้ งมเี พ่ือให้การปฏบิ ัติงานในทุกตาแหนง่
หนา้ ทป่ี ระสบผลสาเรจ็ มีแนวทางการปฏบิ ตั ิอย่างไร
๖. การจดั การเรยี นรู้จดั เป็นสมรรถนะดา้ นใด และผ้ปู ระกอบวชิ าชพี ครมู ีแนวทางในการ
ปฏบิ ัติตามสมรรถนะนี้อยา่ งไร
๗. แนวทางการพัฒนาครูและบคุ ลากรทางการศึกษาแนวใหมม่ กี ระบวนการพฒั นาอย่างไร
๘. วิธีการประเมนิ ตนเองโดยใช้ CIPP Model มปี ระโยชนอ์ ยา่ งไรต่อกระบวนการพัฒนาครู
๙. ปจั จัยใดบ้างที่ส่งผลใหผ้ ู้ประกอบวิชาชีพครูมีสมรรถนะด้านการบรหิ ารจดั การในช้นั เรยี นท่ี
มีประสทิ ธภิ าพ
๑๐. รปู แบบการพัฒนาผปู้ ระกอบวชิ าชีพทางการศกึ ษาประกอบด้วยรปู แบบใดบ้าง
บทท่ี ๙
ครูกับสงั คมแหง่ การเรยี นรู้
ดว้ ยความเจริญก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยสี ารสนเทศในสังคมปจั จบุ นั ทาให้
สภาพสงั คมโลกไดม้ กี ารเปลี่ยนแปลงไปอยา่ งรวดเรว็ สงั คมโลกกลายเปน็ สังคมท่ีไร้พรมแดน เป็น
สงั คมแห่งข้อมูลสารสนเทศ การดารงชีวติ อยูใ่ นสังคมปัจจุบันต้องอาศยั การเรยี นรูอ้ ยู่ตลอดเวลา โดย
ไม่จาเป็นต้องเรยี นรใู้ นระบบโรงเรียนเชน่ อดตี ท่ีผา่ นมา การเรยี นรู้ในศตวรรษน้จี งึ สามารถเกิดไดท้ ุกท่ี
ทุกเวลา ฉะนนั้ การจะมีชีวิตอยูใ่ นสังคมปัจจุบนั อย่างรู้เท่าทันการเปลีย่ นแปลง จาเปน็ ต้องปรบั เปลยี่ น
วิถชี วี ิตตนเองให้เป็นบคุ คลแห่งการเรียนรู้ และดว้ ยวิชาชพี ซ่ึงครตู อ้ งเป็นแบบอย่างทด่ี ีแก่ผู้เรียนและ
สงั คมการเปน็ ครใู นยุคปัจจุบนั จงึ ต้องมีความรู้ ความเขา้ ใจในเร่อื งตา่ งๆ ที่เก่ียวขอ้ งกบั ความเป็นมา
ของสงั คมแหง่ การเรียนรู้ในประเทศไทย บุคคลแหง่ การเรยี นรู้ องคก์ รแหง่ การเรียนรู้ สังคมแห่งการ
เรียนรู้ การพัฒนาสถานศึกษาเปน็ องค์กรแห่งการเรียนรู้ การเสริมสรา้ งชมุ ชนเปน็ ประชาคมแห่งการ
เรยี นรู้ และการส่งเสริมผเู้ รียนเป็นบคุ คลแห่งการเรยี นรู้ และทีส่ าคญั การเปน็ ตัวแบบของบคุ คลแหง่
การเรยี นรู้ เพื่อครูจะไดม้ ีบทบาทในการช่วยสรา้ งสงั คมแห่งการเรียนรขู้ องบุคคลในประเทศและเพ่ือ
การทาหน้าท่ีความเปน็ ครทู ่ีสมบูรณ์
สังคมแหง่ การเรยี นรู้ (Learning Society)
ความหมายของสังคมแหง่ การเรยี นรู้
ในทางสังคมวิทยา สังคม หมายถงึ รปู แบบของการส่ือสารและความสัมพนั ธ์ท่เี ชอื่ มโยงกัน
เป็นเครือข่าย พฒั นาการของสังคมและสมาชกิ ขนึ้ อย่ซู ่ึงกันและกัน ความสัมพนั ธ์ในรูปเครือขา่ ยนเ้ี ปน็
เคร่ืองมอื สาคัญทช่ี ว่ ยใหส้ มาชิกของสังคมเขา้ ถึงและแบ่งปันทรพั ยากรสารสนเทศระหวา่ งกนั ไดง้ า่ ย
ยิ่งข้ึน อกี ทงั้ ยงั ช่วยกระต้นุ ความรู้ และการเรยี นรู้ เมอ่ื กลา่ วถึงสงั คมแห่งการเรียนรู้ นักวิชาการสว่ น
ใหญ่ให้ความเห็นว่ายากทจ่ี ะระบุความหมายใหช้ ัดเจน ท้งั น้ีเพราะมสี ภาวะและขอบเขตท่ีแตกตา่ งกนั
แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม ต่างเหน็ พอ้ งกนั วา่ เป็นเครอ่ื งมือทช่ี ว่ ยปรับปรงุ สขุ ภาวะของสังคมและบุคคล
(สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, ๒๕๕๑,หนา้ ๑๔)๑
ในทศั นะของนักวิชาการในยคุ แรก ๆ ทส่ี นใจเรอื่ งสงั คมแหง่ การเรยี นรู้ ได้ให้ความหมายของ
คาว่าสงั คมแห่งการเรยี นรู้ ดังตอ่ ไปนี้
๑ สำนกั งำนเลขำธิกำรสภำกำรศกึ ษำ, กระทรวงศึกษำธิกำร รายงานการปฏิรปู การเรยี นรู้ ระดบั
การศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน : พหุกรณีศกึ ษา, (กรงุ เทพฯ: คุรุสภำ ลำดพรำ้ ว, ๒๕๕๑), หนำ้ ๑๔.
๑๙๙
สงั คมแห่งการเรียนรู้ คือ สงั คมทีม่ ีลักษณะ ๑) เรียนรเู้ กยี่ วกบั สังคมและวิชาการทส่ี ังคม
เปล่ียนแปลง ๒) มีความต้องการท่ีจะเปล่ียนแปลงวธิ กี ารเรียนรู้ของตนเอง ๓) สมาชิกทกุ คนในสังคมมี
การเรยี นรู้ และ ๔) เรียนรู้ทจ่ี ะเปลยี่ นแปลงสภาพของการเรียนรู้อย่างเปน็ ประชาธปิ ไตย (Merricks,
๒๐๑๐, p ๑๒๓-๑๓๓)๒
กรฟิ ฟิน และบราวน์ ฮิลล์ (Griffin & Brownhill, ๒๐๑๐, p ๕๕-๖๘)๓ ไดใ้ หค้ วามหมายของ
สงั คมแหง่ การเรยี นรู้ โดยการวเิ คราะห์แนวคดิ จากนักวชิ าการประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสวเี ดน
และประเทศนวิ ซแี ลนด์ ซ่ึงสรปุ ผลการวเิ คราะหเ์ ปน็ ๓ แนวทาง ตามมุมมองด้านมานุษยวิทยา ดา้ น
เทคโนโลยสี ารสนเทศ และด้านการเมืองแบบประชาธปิ ไตยดงั นี้ คือ
๑. ในมุมด้านมานุษยวทิ ยา สงั คมแห่งการเรยี นรู้จะให้ความสาคญั กบั วัฒนธรรม โดยเหน็
วา่ สงั คมแหง่ การเรียนรู้ คือ คณุ คา่ หรอื ค่านิยม (values) ในดา้ นตา่ ง ๆ ท่ใี ห้แกก่ ารเรียนรู้ โดยสังคม
แห่งการเรียนรูจ้ ะทาให้คนในสังคมเป็นผมู้ วี ฒั นธรรม มคี วามสามารถในการเลือกและตัดสินใจเอง
๒. ในมมุ มองด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สงั คมแห่งการเรยี นรู้ คอื พฒั นาการของ
เทคโนโลยีสารสนเทศทเ่ี ป็นส่วนสาคัญตอ่ รปู แบบของชีวิตในหนา้ ท่ีการงาน ครอบครวั ชุมชน โดย
สังคมแหง่ การเรียนรตู้ ้องการผูท้ ส่ี ามารถควบคุมดูแลตัวเองได้ เรยี นรวู้ ธิ ีเรยี นและการนาไปใช้
๓. ในมมุ มองด้านการเมืองระบอบประชาธปิ ไตย สงั คมแห่งการเรียนรู้ คือ การเป็น
พลเมอื งทีม่ ีสว่ นร่วมและไดร้ ับโอกาสการเรียนรู้อย่างทวั่ ถึง โดยทาให้เปน็ ผู้มีความพึงพอใจในตนเอง
และในขณะเดียวกนั ก็ยอมรับฟังและพร้อมที่จะเรียนรจู้ ากผู้อ่ืนด้วย
จารว์ ิสและโทเซ (Jarvivis & Tosey, ๒๐๑๐, p ๒๗-๓๘)๔ ไดอ้ ธิบายวา่ สงั คมแหง่ การเรียนรู้
คอื ผลผลิตของโลกาภิวฒั น์และความรู้ การเรยี นร้เู ปน็ การลงทนุ เป็นการเพ่ิมมูลคา่ ให้กบั มนษุ ย์และ
ต้นทนุ ทางสังคม ซ่งึ จะก่อใหเ้ กดิ การจ้างงานและการทางานทม่ี ปี ระสิทธิภาพ
โฮลเดนและคอนเนลล์ (Holden & Connelly, ๒๐๑๐, p ๒๖-๒๘)๕ ไดใ้ ห้ความหมายสงั คม
แห่งการเรียนรู้ คือ สังคมทีใ่ ช้กลวธิ ีการพัฒนาแบบยั่งยนื ด้วยกระบวนการเรียนรู้อยา่ งต่อเนอ่ื ง และถือ
เปน็ หนา้ ทห่ี ลักท่สี ังคมต้องกระทาใน ๔ มติ ิ คือ การใหท้ กุ ฝ่ายเขา้ มามสี ่วนรว่ ม การบริการทมี่ คี ุณภาพ
การออกแบบสังคมทเี่ หมาะสม และการถ่ายทอดความร้ใู หเ้ กิดการเรยี นรู้ทจ่ี ะปฏิบัติ
จากการสังเคราะห์ความหมายของสังคมแหง่ การเรยี นรูจ้ ากการศึกษาของนักวิชาการต่างๆ
ข้างต้น พอสรปุ ได้วา่ สังคมแหง่ การเรียนรู้ คอื สังคมท่ีใหค้ วามสาคัญตอ่ การพฒั นาทใ่ี ช้ความรู้เป็นฐาน
กระตุน้ ใหส้ มาชกิ ในสงั คมมีการแลกเปล่ยี นเรียนรทู้ งั้ ภายในสงั คมและกบั สังคมอ่นื ๆ โดยมกี ารเรยี นรู้
อยา่ งต่อเนอ่ื งตลอดชีวิต
๒ Merricks, L. Implications of the learning society for education beyond school,
๒๐๑๐, p ๑๒๓-๑๓๓.
๓ Griffin, C. & Brownhill, B. The learning society, In P. Jarvis (๒nd ed) The age of learning,
London: Kogan, ๒๐๑๐, p ๕๕-๖๘.
๔ Jarvis, P. & Tosey, P. Corporations and professions, In P. Jarvis (๓rd ed) the age of
learning, London: Kogan, ๒๐๑๐, p ๒๗-๓๘.
๕ Holden, M. & Conelly, S. The learning city : Urban sustainability education building
toward WUF legacy, (๒nd ed) Canada: Simon Fraser University, ๒๐๑๐, p ๒๖-๒๘.
๒๐๐
ลกั ษณะสาคญั ของสงั คมแห่งการเรียนรู้
ดว้ ยความหมายของการเรียนรู้ทเ่ี ปน็ กระบวนการของการเปลีย่ นถา่ ยประสบการณไ์ ปเป็น
ความรู้ ทักษะ และเจตคติ โดยอาศยั กระบวนการท่หี ลากหลาย มคี นจานวนมากใช้คาวา่ การเรยี นรู้
กับการศึกษา และการเรยี นรู้กับความรู้ในความหมายเดียวกนั แต่นักวิชาการมคี วามเห็นว่า การเรยี นรู้
และการศึกษามคี วามหมายต่างกนั และการเรียนร้กู ับความรู้กม็ ีความหมายตา่ งกันดว้ ย โดยพน้ื ฐาน
แลว้ การเรียนรอู้ าจปรากฏในกระบวนการทางสังคมทีเ่ ป็นระบบและอาจปรากฏภายในตัวบุคคล ซง่ึ
อาจจะเปน็ หรือไมเ่ ปน็ ผลลพั ธ์จากการศึกษา แตอ่ ยา่ งไรก็ตามการเรยี นรู้โดยผา่ นกระบวนการ
ปฏิสมั พนั ธ์ทางสงั คมความรู้ ทกั ษะ และเจตคติสามารถทาให้เกิดขน้ึ ได้ โดยทั่วไปแลว้ แนวคิดเร่อื งการ
เรียนรูส้ ามารถจาแนกการเรยี นรอู้ อกเปน็ ๓ ประเภท คอื การเรยี นรใู้ นระบบ การเรยี นรนู้ อกระบบ
และการเรยี นรตู้ ามอธั ยาศัย โดยการเรียนร้ใู นระบบ หมายถึง กระบวนการทีเ่ ป็นระบบและกิจกรรมที่
วางแผนไว้ล่วงหน้าซง่ึ ปกติจะจัดโดยสถาบันการศึกษาหรือองค์กรเพ่ือให้บรรลุตามเปา้ หมายทีต่ ้องการ
สว่ นการเรยี นร้นู อกระบบจะปรากฏขึ้นนอกสถานศึกษา แตก่ จิ กรรมการเรยี นรอู้ าจจะได้รบั การ
จัดระบบไว้ เพ่อื ใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถบรรลถุ งึ วัตถุประสงค์การเรยี นรูเ้ ฉพาะอย่าง และการเรียนรตู้ าม
อธั ยาศยั หมายถงึ การที่บุคคลได้รับทกั ษะ ความรู้ เจตคติจากประสบการณ์ จากสง่ิ แวดลอ้ มทาง
สังคมของบุคคลนัน้ ๆ (สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา, ๒๕๕๑,หน้า ๑๕)๖
โดยอาศยั ความคิดเห็นเหลา่ นี้เป็นฐาน การเรยี นรขู้ องสงั คม จึงหมายถึง สถานการณท์ ่ีการ
เรียนรปู้ รากฏในฐานะกระบวนการเรยี นรู้ในสงั คม โดยสมาชกิ ของสงั คมจะตอ้ งทางานรว่ มกันเพ่ือ
ช่วยกนั แก้ปญั หา หรือปรับปรงุ สงั คมของตน สังคมแห่งการเรยี นรู้แตกต่างจากการเรียนรู้ของสงั คม
โดยสงั คมแหง่ การเรียนร้ถู กู มองว่าเป็นสงั คมทีส่ มาชิกเรียนรรู้ ว่ มกัน โดยการเรียนรเู้ กิดในแนวระนาบ
แต่การเรียนรขู้ องสังคมอาจเกิดในแนวด่งิ หรือแนวระนาบ หรอื กลา่ วอีกนัยหนึ่งก็คือ ในขณะท่ีสมาชกิ
ของสงั คมเรยี นรู้ สังคมเองก็เรียนรู้เช่นกัน และในสภาพที่เป็นจริงการเรียนรูท้ ั้ง ๒ ประเภทตา่ งมี
ความสาคัญต่อการพฒั นาทางสังคม และผลลพั ธจ์ ากการเรียนรกู้ ็คอื ความรู้ ซ่ึงความรู้มิไดม้ ี
ความหมายเพียงความรู้ด้านวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี แตห่ มายรวมถงึ ความรูท้ ี่ฝงั ลกึ ในตวั คน เกดิ
จากการส่งั สมความรูแ้ ละประสบการณ์จากการทางาน ความรู้ขององค์กร ความร้ปู ระเภทอื่น ๆ หลาย
ประเภทตา่ งสง่ เสรมิ ความเจริญก้าวหนา้ ด้านเศรษฐกิจ หรอื ทาใหเ้ ปน็ สงั คมเศรษฐกจิ ความรู้ ซง่ึ
ประชาชนทีม่ ีส่วนสรา้ งสงั คมชนิดนจี้ ะต้องมีการเรียนรู้ มีความรู้ มีทักษะในการทางาน มีเครอื ขา่ ย
และสามารถเรียนรู้ไดด้ ้วยตนเอง
ฉะน้ัน สังคมแห่งการเรยี นรู้ซึ่งเปน็ ผลผลติ ของความเจรญิ ก้าวหน้าของโลกและความรู้
คณุ ลักษณะทสี่ าคัญของสังคมการเรียนรู้ มีดังน้ี
๑. เปน็ สังคมท่ีใหค้ ุณคา่ ต่อนสิ ัยของการเรยี นรู้
๒. เป็นสังคมทส่ี นับสนุนการเรียนรูต้ ลอดชีวติ
๓. เป็นสงั คมท่จี ัดโครงการเรียนรู้ทย่ี ดื หยนุ่
๔. เปน็ สังคมท่ีสนับสนนุ เครอื ขา่ ยการเรยี นรู้
๕. เป็นสังคมที่นาสังคมเขา้ มามีสว่ นร่วมในการเรียนรู้
๖. เป็นสังคมที่กระตุ้นการเป็นชุมชนแหง่ การเรียนรู้
๖ สานกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา, กระทรวงศึกษาธิการ รายงานการปฏิรูปการเรียนรู้ ระดบั
การศกึ ษาข้นั พื้นฐาน : พหุกรณีศกึ ษา, (กรงุ เทพฯ : คุรสุ ภา ลาดพร้าว ๒๕๕๑), หนา้ ๑๕.
๒๐๑
๗. เป็นสังคมที่ตระหนักถึงความสาคญั ในพัฒนาการของมนุษย์ตัง้ แตเ่ ยาวว์ ัยจนถงึ ผ้สู งู อายุ
๘. เปน็ สงั คมที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเคร่ืองมือสง่ เสริมและจัดการเรยี นรู้ให้เหมาะ
กับความต้องการของปัจเจกบุคคล องคก์ ร ชมุ ชน และสังคม
๙. เปน็ สังคมที่กระตนุ้ และส่งเสรมิ ใหส้ ร้างและใช้ความรู้
๑๐. เป็นสังคมท่ีให้คณุ ค่าต่อการเชอื่ มโยงกันระหว่างวัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ ภูมิภาค และโลก
๑๑. เป็นสังคมที่กระตุน้ ใหเ้ กิดนโยบายสาธารณะท่ปี ระกันความเสมอภาคในการเข้าถึงการ
เรียนรู้ สารสนเทศ และ เทคโนโลยีสารสนเทศ (สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา, ๒๕๕๑, หน้า ๑๗)
องค์ประกอบของสังคมแห่งการเรียนรู้
สังคมแหง่ การเรยี นรู้ไมไ่ ดเ้ กิดขึ้นเอง หากแต่เป็นผลรวมท่ีเกิดจากองคป์ ระกอบย่อยๆ ของ
สงั คมกล่าวคือ ในสังคมแห่งการเรยี นรูจ้ ะตอ้ งประกอบด้วย บคุ คลแหง่ การเรยี นรู้และองค์กรแห่งการ
เรยี นรู้แต่การทบ่ี ุคคลจะเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ได้ต้องอาศยั การศึกษาไม่วา่ จะเป็นการศึกษาใน
ระบบโรงเรียน การศึกษานอกระบบ หรอื การศกึ ษาตามอธั ยาศัย ทง้ั นต้ี ้องเปน็ การศึกษาท่ีทาให้บุคคล
มกี ารเรียนร้ตู ลอดชีวิต และการมีบุคคลแหง่ การเรยี นรูจ้ านวนมากในองค์กรจะมสี ว่ นช่วยทาใหอ้ งค์กร
เปน็ องค์กรแห่งการเรยี นรู้ และการมีองค์กรแห่งการเรยี นรใู้ นสงั คมจานวนมากกจ็ ะมีส่วนส่งเสรมิ ให้
สงั คมเป็นสังคมแหง่ การเรียนรู้
รูปแบบของสังคมแหง่ การเรยี นรู้
นกั วิชาการได้จาแนกรูปแบบของสงั คมแห่งการเรียนรู้ตามแนวคดิ ของตน ดังน้ี
๑. รปู แบบของสังคมแหง่ การเรียนร้ตู ามแนวคดิ ของคอฟฟิลด์ (Coffield, ๒๐๑๐, p
๑๒๙-๑๓๖)๗ คอฟฟลิ ด์ไดส้ ารวจรปู แบบของสงั คมแห่งการเรยี นรู้ที่เกดิ ขึ้นในประเทศองั กฤษและ
ประเทศในประชาคมยโุ รป โดยผ่านโครงการวจิ ยั ควบคู่กบั การศกึ ษาผู้ใหญ่ ไดใ้ ห้ข้อสรุปสังคมแหง่ การ
เรียนร้ใู น ๕ รปู แบบ คอื
๑.๑ รูปแบบพรรณนา (Descriptive Model) เปน็ รูปแบบแรกท่ีมีลักษณะแนวคดิ ว่า
สังคมแหง่ การเรียนรเู้ ปน็ สิง่ ท่ีปรากฏจรงิ หรือไม่ เปน็ แนวคิดเชงิ พรรณนาปรากฏการณ์ของสังคม
๑.๒ รูปแบบโรงเรียน (Schooling Model) เปน็ รูปแบบทส่ี งั คมบรรลเุ ป้าหมายของ
การเข้าไปมสี ่วนร่วมในการจัดการการศึกษาภายหลังการศึกษาภาคบังคบั เต็มเวลาระดับสูง กลา่ วคือ
สงั คมบรรลุเปา้ หมายในการจัดการศึกษาตลอดชวี ิต
๑.๓ รูปแบบความเช่อื ถอื Credentials Model เป็นรปู แบบท่สี งั คมใหค้ วามสาคญั
ต่อการเพิ่มสัดส่วนของประชากรท่ีมคี ุณวฒุ ิการศึกษาวา่ จะส่งผลตอ่ การเพ่มิ ขึ้นของการเรียนรูข้ อง
บคุ คลทาให้เกิดสงั คมแหง่ การเรียนรู้
๑.๔ รูปแบบการเข้าถงึ ระบบอินเทอร์เนต็ (Access Model) เป็นรูปแบบท่สี ังคมมี
ความต้องการในการเขา้ ถึงระบบอินเทอร์เนต็ เพื่อการศกึ ษาและการฝึกอบรมตลอดชีวิตของบุคคล
๑.๕ รูปแบบการสะท้อน (Reflexive Model) เป็นรูปแบบทใ่ี หค้ วามสาคัญต่อการ
เรียนรู้ในลักษณะการกระจายศกั ยภาพในการเรียนรใู้ นระดับกวา้ ง และในการสร้างความสัมพนั ธท์ าง
สงั คม ความสัมพนั ธ์ในองค์กร ตลอดจนความสมั พนั ธ์ส่วนตวั ของบคุ คลจากการเรียนรู้ในสังคม
๗ Coffield, F. A national strategy for lifelong learning, (๔th ed), London : University of
New castle, ๒๐๑๐, p ๑๒๙-๑๓๖.
๒๐๒
หลังจากนั้นคอฟฟิลด์ได้เสนอรปู แบบสังคมแห่งการเรยี นรใู้ น ๒ รปู แบบ คือรปู แบบแรก คอื
รูปแบบผ้ชู านาญการทางวิชาการ (Technocratic Model) รปู แบบนี้เป็นรปู แบบทเ่ี น้นความสาคญั
และความจาเปน็ ในการพฒั นาแรงงานท่ีมฝี ีมอื ชานาญการเฉพาะทาง เพ่ือตอบสนองการแขง่ ขันใน
สังคมโลกาภวิ ตั น์ โดยการศกึ ษาจะเปน็ เคร่ืองมือที่จาเปน็ และสาคัญต่อการพัฒนาบุคคลใหเ้ กิดการ
เรยี นรู้ มีความรู้ มที ักษะ มคี วามสามารถ เพอ่ื การทางานได้ตลอดชีวิตรปู แบบท่สี อง คือ รูปแบบสงั คม
ทศิ ทางเดยี ว (Social Polarization) รปู แบบนี้มองสงั คมแห่งการเรยี นรูเ้ ปน็ การผสมผสานระหว่าง
อตั ราของการเข้าไปมสี ่วนรว่ มกบั ระบบคณุ วฒุ ิทีช่ ่วยในการผลติ คนเพอื่ การจ้างงาน และชว่ ยลด
ช่องวา่ งเรื่องการทางานระหว่างคนทีม่ ีคณุ วุฒกิ บั คนที่ไมม่ ีคุณวุฒิ
๒. รูปแบบของสังคมแห่งการเรียนรูต้ ามแนวคดิ ของบอสเฮอร์ (Boshier, ๒๐๑๐, p ๖๓-
๖๙)๘ ดว้ ยหลักการของสังคมแหง่ การเรียนรู้ทว่ี า่ ลกั ษณะของความเป็นพลเมอื งดีจะต้องถูกพัฒนา ขน้ึ
ภายใต้กระบวนการให้เหตผุ ลเชงิ ปฏบิ ตั ิ บอสเฮอร์ได้เสนอรูปแบบของสังคมแหง่ การเรยี นรทู้ ่สี ะท้อน
หลักการดังกล่าวใน ๓ รูปแบบ คอื
๒.๑ รปู แบบวฒั นธรรม ซ่ึงเปน็ รปู แบบทม่ี องสังคมแห่งการเรยี นรู้ วา่ เปน็ สังคมที่มี
คา่ นยิ มเฉพาะอยา่ ง ท่แี วดลอ้ มดว้ ยการเรยี นรู้
๒.๒ รูปแบบเทคนิควิทยา ซึ่งเปน็ รปู แบบที่มองสงั คมแห่งการเรยี นรู้ ว่าเป็น
พฒั นาการของเทคโนโลยกี ารส่ือสาร ที่บูรณาการเขา้ กับวิถีชีวติ ของมนษุ ย์ทั้งวถิ ีชวี ิตในการทางาน วถิ ี
ชีวติ ในครอบครวั วิถชี วี ติ ชุมชน และอ่นื ๆ
๒.๓ รปู แบบประชาธปิ ไตย ซ่งึ เปน็ รูปแบบทม่ี องสงั คมแหง่ การเรียนรู้ เป็นการ
แสดงออกของความเป็นประชาธปิ ไตยพน้ื ฐาน ท่ีเนน้ การมสี ่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้
องค์ประกอบสาคัญในการพฒั นาไปส่สู ังคมแหง่ การเรียนรู้
การพัฒนาสังคมไปสสู่ งั คมแห่งการเรียนรูต้ ้องมีองค์ประกอบสาคญั ดงั นค้ี ือ
๑. ความชดั เจนของเจตจานงทางการเมอื งและสงั คม การพัฒนาไปส่สู ังคมแห่งการเรยี นรู้
เริ่มตน้ ตอ้ งเกิดจากความเช่ือวา่ สงั คมตอ้ งมกี ารเปล่ยี นแปลงไปสูส่ ภาพที่ดีกวา่ และเจตนารมณน์ ้ีจะ
เป็นตวั จุดประกายใหเ้ กิดการสนบั สนุนจากรฐั บาลและองค์กรต่าง ๆ ในสงั คม
๒. แผนยุทธศาสตร์ กลมุ่ ผูร้ บั ผิดชอบซงึ่ ประกอบด้วยผูน้ าทางสังคม ผ้นู าท้องถิน่ และกลุ่ม
อาชีพต่าง ๆ ตอ้ งมีการกาหนดเป้าหมาย ทศิ ทาง และแนวปฏบิ ตั เิ พอื่ การพฒั นาทีช่ ัดเจน โดยกาหนด
วิสยั ทัศน์ ยุทธศาสตร์ และแผนปฏบิ ัติการ กาหนดเป้าหมายของการพัฒนาไวใ้ นระบบคุณภาพของ
อุดมศึกษา คุณภาพชีวิตของประชาชนและบรกิ ารสังคมที่ดี
๓. การสนับสนนุ การเงนิ และการลงทนุ เป็นเง่อื นไขอีกประการหน่งึ สาหรบั การนา
ยทุ ธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ โดยกอ่ นการปฏิบัติตอ้ งมีการกาหนดตวั ช้ีวัดหลกั ทเ่ี ช่ือมโยงกับแผน
ยุทธศาสตร์ และระบุค่าเป้าหมายท่ตี ้องการ เพ่อื เปน็ การประกนั ว่าจะไดร้ ับการสนบั สนุนด้านการเงิน
ได้รบั การสนับสนนุ จากองค์กรต่าง ๆ ทัง้ ภาครัฐและเอกชน โดยผา่ นการเก็บภาษีที่มีโครงสร้างแตกต่าง
กันและโดยการระดมทุนสาธารณะระดับชาตแิ ละระดบั นานาชาติ
๔. การจดั ตง้ั องค์กรท่ีพฒั นาองคค์ วามรู้ จัดว่าเปน็ สง่ิ สาคัญทต่ี ้องทาหากต้องการเป็น
๘ Boshier, R. Toward the learning society, (๕th ed), Vancouver: Learning Press, ๒๐๑๐,
p ๖๓-๖๙.
๒๐๓
สังคมแห่งการเรยี นรู้ องค์กรเหล่านี้อาจเป็นมูลนิธทิ างเทคนิควทิ ยา ศนู ย์หรอื สถาบนั วิจยั และ
มหาวทิ ยาลัย เป็นต้น องค์กรเหล่านจ้ี ะเขา้ ไปเกยี่ วข้องกบั กิจกรรมหลากหลาย เช่น การวจิ ยั และ
พฒั นาเพื่อสร้างความรว่ มมอื ระหว่างวทิ ยาศาสตรส์ าขาตา่ ง ๆ ให้เข้มแข็ง มีการแลกเปลย่ี นเรยี นรู้
ความรทู้ ่ีได้การดงึ ดูดและเกบ็ ความรู้ของผ้ปู ฏิบตั งิ าน การพัฒนาเศรษฐกิจแบบย่ังยนื เป็นต้น
๕. การอยรู่ ่วมกนั ไดข้ องประชากรทีม่ าจากภูมหิ ลงั หลากหลาย เมอ่ื เป็นสงั คมแห่งการเรยี นรู้
ส่งิ หน่ึงทีเ่ กดิ ขึน้ คือ สามารถดึงเอาคนเก่งจากภูมิหลงั หลากหลายมาอย่รู ่วมกนั โดยคนที่มีความคดิ
สรา้ งสรรค์เหล่านจี้ ะพอใจท่จี ะอยูใ่ นเมืองทีม่ ีลักษณะหลากหลาย อดทนต่อความแตกตา่ งและเปดิ
กวา้ ง เพราะบรรยากาศดงั กลา่ วกระตุน้ การคิดข้ามสายและการคิดนอกกรอบ และสนับสนุนการไหล
ของความรู้ โดยเมอ่ื มองย้อนหลงั ถึงการเกดิ ของสังคมแหง่ การเรยี นรู้ของเมืองต่าง ๆ พบวา่ ลักษณะ
หน่ึงทม่ี ีร่วมกันคือ การมเี จตคตเิ ชิงบวกตอ่ การอพยพของคน เมอื งแหง่ ความร้จู ะมีวธิ รี บั ฟังและค้นหา
วธิ ีสนบั สนุน ความแตกต่างระหวา่ งภูมิหลัง ความคดิ เห็น วฒั นธรรม และประสบการณ์ของประชาชน
ซึง่ มีสว่ นร่วมอย่างแทจ้ ริงในการให้ความคดิ เหน็ และนวัตกรรมเพ่ือการพัฒนาเมือง
๖. การมีเว็บไซตข์ องเมือง การพฒั นาเว็บไซต์ของหนว่ ยตา่ ง ๆ เพ่ือตอบสนองความต้องการ
และความคาดหวงั ของประชาชนในสงั คม โดยประชาชนจะสามารถคน้ หาข้อมูลและรบั สารสนเทศต่าง
ๆ เขา้ ถึงข่าวสารของชมุ ชนอ่ืน ๆ ไดโ้ ดยสะดวก คณุ ภาพของเวบ็ ไซต์สะท้อนให้เห็นไดจ้ าก ๓ ลักษณะ
คือ ลกั ษณะแรก มที างเข้าใหญ่ ๑ ทาง แทนทีจ่ ะมีหลายช่องทาง ลักษณะที่ ๒ หน้าของเว็บไซตด์ ู
ทันสมยั ตอบสนองตอ่ การใช้ครบทกุ เกณฑ์ และลกั ษณะที่ ๓ มีการนาเสนอบริการท่ีมีประสิทธิภาพ
ของรัฐบาลอิเล็กทรอนกิ ส์
๗. การสรา้ งคุณคา่ ให้ประชาชน ลกั ษณะเบอ้ื งต้นที่จาเป็นของการเปน็ สังคมแหง่ การ
เรยี นรู้ ทปี่ ระสบความสาเร็จอยา่ งหนึง่ คือ การเปดิ โอกาสในการสรา้ งคุณค่าให้กับประชาชน เช่น การ
เปิดพื้นท่ีให้มี การสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ การสรา้ งเว็บไซต์ขนาดใหญ่คุณภาพสงู และมลี ักษณะโดด
เด่นด้านการดดู ซับความรู้ การกระจายความรู้ และการแลกเปล่ียนเรยี นรู้เกยี่ วกับองค์ความรู้ใหม่ ๆ
ซง่ึ ส่งผลในการเร่งให้สงั คมพัฒนาการเรียนร้ไู ด้เรว็ ยง่ิ ขึ้น
๘. การขบั เคลอ่ื นนวัตกรรมสงั คม คอื ระบบทส่ี ามารถจดุ ประกาย ผลิต กระตนุ้ การเติบโต
และเร่งการตอบสนองต่อนวัตกรรมของสงั คม ระบบน้ีค่อนข้างซับซ้อนเพราะจะครอบคลุมไปถึงบุคคล
ความสัมพันธ์ ค่านิยม กระบวนการ เคร่อื งมือ และสงิ่ อานวยความสะดวกด้านวัตถแุ ละเงิน ตัวอย่าง
ของการขบั เคลื่อนนวัตกรรมทางสังคม ไดแ้ ก่ หอ้ งสมดุ รา้ นกาแฟ ตลาดหุน้ ศาลาประชาคม
มหาวิทยาลัย และพิพธิ ภัณฑ์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มิใช่ทกุ โครงสรา้ งจะมบี ทบาทเหมือนกันในการ
ขบั เคลอ่ื นนวัตกรรมสงั คม แต่การผสมผสานการทางานกนั ระหว่างโครงสรา้ งต่าง ๆ จะทาใหเ้ กิดการ
ขับเคลื่อนทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณ์
๙. การประกนั สิทธิทางความรู้ของประชาชน สงั คมแหง่ การเรยี นร้ตู อ้ งใหค้ วามมน่ั ใจแก่
ประชาชนในสังคมวา่ จะไดร้ ับสทิ ธดิ งั ต่อไปนี้
๙.๑ สิทธใิ นการเข้าถงึ ข้อมลู ขา่ วสาร โดยสังคมต้องมีเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ตความเร็ว
สูงสาหรบั ประชาชนทกุ คน
๙.๒ สทิ ธิในสารสนเทศ หมายถงึ การเข้าถึงข้อมลู ข่าวสารตอ้ งสะดวก เข้าถงึ ได้ง่าย
สมบูรณ์ หลากหลาย ทันสมยั และประกนั ความโปร่งใส
๙.๓ สทิ ธใิ นการศึกษาและฝึกอบรม หมายถึง ประชาชนทกุ คนจะตอ้ งไดร้ บั สิทธใิ น
๒๐๔
การศึกษาอบรมเพ่อื จะได้ใช้บริการและเขา้ ถงึ องค์ความรู้อย่างมีประสิทธภิ าพดว้ ยเทคโนโลยกี าร
สอ่ื สารและสารสนเทศ
๙.๔ สิทธใิ นการเข้าไปมสี ว่ นร่วม หมายถึง ประชาชนมีสิทธทิ ่จี ะรับรกู้ ารตัดสินใจท่ี
เกย่ี วกบั การบรหิ ารจัดการสาธารณะทโ่ี ปร่งใสในทกุ ระดบั ระบบการบริหารจะต้องทาให้ประชาชนเข้า
มามีสว่ นรว่ มและสร้างความเขม้ แข็งใหก้ บั สงั คม (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา,๒๕๕๑,หนา้ ๓๗-
๓๙)๙
สงั คมแห่งการเรียนร้ขู องประเทศไทย
ประเทศไทยไดเ้ ริ่มมีแนวโน้มและทิศทางการพัฒนาประเทศไปสกู่ ารเปน็ สงั คมแห่งการเรียนรู้
โดยปรากฏเหน็ ได้เดน่ ชัดจากแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติฉบับตา่ ง ๆ ท่ีถือได้วา่ เป็นการ
ประมวลสถานะในทกุ ด้านของประเทศไทย และจากการทบทวนแผนปฏิบัตใิ นช่วงแผนพัฒนา
เศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๘ (พ.ศ. ๒๕๔๐-พ.ศ.๒๕๔๔)๑๐ พบว่าศกั ยภาพของคนไทยและ
ระดบั คุณภาพชีวติ โดยรวมดขี ึ้น ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาอยา่ งต่อเนื่อง และได้เร่มิ เน้นกระบวนการมี
ส่วนรว่ มของประชาชนทุกภาคสว่ นของสังคมไทยในกระบวนการพัฒนาประเทศ ทาให้เกิดการ
รวมกลุม่ ของประชาสังคมในหลายรูปแบบ มีการขยายเครือข่ายเช่อื มโยงกันอย่างกวา้ งขวาง และมีการ
ทางานรว่ มกบั ภาครัฐในลกั ษณะห้นุ สว่ นการพฒั นามากขึ้น
ในแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี ๙ (พ.ศ. ๒๕๔๕-พ.ศ.๒๕๔๙) ไดม้ ีจุดมุ่ง
หมายหลกั ในการแกป้ ัญหาความยากจน และยกระดบั คุณภาพชีวติ ให้เกดิ การพฒั นาท่ียั่งยนื และความ
อยดู่ ีมีสุขของคนไทย นอกจากน้ใี นแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติฉบับน้ีไดก้ าหนดคณุ
ลกั ษณะของสังคมไทยทพี่ ึงประสงค์ซง่ึ สอดคล้องกับการเปน็ สังคมแหง่ การเรยี นร้ตู ามที่ได้กลา่ วมาแล้ว
คณุ ลักษณะน้ี ไดแ้ ก่ การเป็นสังคมคุณภาพ การเปน็ สงั คมแหง่ ภูมปิ ัญญา และการเป็นสังคมที่มี
วิสัยทศั นร์ ว่ ม ซ่งึ มีการขยายความดงั น้คี ือ
๑) การเป็นสงั คมคุณภาพ คอื คนไทยทกุ คนมีโอกาสและความเสมอภาคท่จี ะพัฒนา
ตนเองอย่างเตม็ ศักยภาพ เพอื่ เปน็ คนดี คนเก่ง ถึงพรอ้ มดว้ ยคณุ ธรรม จรยิ ธรรม มวี นิ ัย เคารพ
กฎหมายมคี วามรบั ผดิ ชอบและมีจติ สานกึ สาธารณะ มคี วามสามารถคดิ เอง ทาเองและพ่งึ พาตนเอง
มากขึ้น
๒) การเป็นสังคมแหง่ ภมู ิปัญญา คือ การสรา้ งสงั คมไทยเป็นสังคมแหง่ การเรยี นรู้
ภมู ิปญั ญาและการเรียนรู้ที่สร้างโอกาสให้คนไทยทุกคนคิดเป็น ทาเป็น มเี หตผุ ล สามารถเรยี นรไู้ ด้
ตลอดชีวติ พร้อมรบั กบั การเปลย่ี นแปลง มีการเสรมิ สรา้ งฐานทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มีนวตั กรรม
ความคิดรเิ รม่ิ สรา้ งสรรคส์ ามารถสงั่ สมทุนทางปัญญา เพือ่ เสริมสมรรถนะและขีดความสามารถในการ
แขง่ ขันของประเทศ
๓) การเปน็ สงั คมท่ีมวี ิสยั ทัศน์ร่วม คือ การให้คนไทยทุกคนสรา้ งวสิ ัยทัศนข์ องปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียงเพ่ือไปสู่สงั คมทมี่ ีคุณภาพทัง้ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองส่วนในแผนพัฒนา
เศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ.๒๕๕๐-พ.ศ.๒๕๕๔) ได้เน้นความสาคัญของการพฒั นา
๙ สำนักงำนเลขำธกิ ำรสภำกำรศึกษำ, กระทรวงศกึ ษำธิกำร รายงานการปฏริ ูปการเรียนรู้ ระดบั
การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน : พหุกรณีศกึ ษา, (กรุงเทพฯ : คุรุสภำ ลำดพร้ำว ๒๕๕๑), หน้ำ ๓๗-๓๙
๑๐ สำนักงำนคณะกรรมกำรพฒั นำเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชำติ, แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคม
แหง่ ชาติ ฉบับที่ ๘, [Online]. Available: http://www.nesdb.go.th., ๓ เมษำยน ๒๕๕๔.
๒๐๕
สสู่ ังคมท่มี ีความสุขอย่างยงั่ ยืน โดยใหค้ วามสาคญั กับการสรา้ งสมดุลของการพฒั นาให้เกิดขน้ึ ในทุกมิติ
ทัง้ เศรษฐกิจ สงั คม ทรัพยากรธรรมชาติ และส่งิ แวดล้อม และยทุ ธศาสตรก์ ารพัฒนาใหส้ าคัญต่อการ
พฒั นาคนและสงั คมไทยไปสู่สังคมภูมปิ ัญญาและการเรียนรู้ โดยมุ่งเน้นการพฒั นาคนไทยใหม้ ีความรคู้ ู่
คณุ ธรรม เพม่ิ ทักษะความร้เู พื่อสร้างความม่นั คงในการประกอบอาชีพ สร้างโอกาสและกระบวนการ
เรียนรตู้ ลอดชีวิตทกุ ชว่ งวยั นอกจากนี้ยังได้กาหนดสิง่ ท่จี ะชว่ ยให้เกดิ การจัดการความรู้ของสงั คมแห่ง
การเรยี นรู้ โดยใหม้ ีการพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้และภูมปิ ัญญาให้เกดิ ความรใู้ หม่ สร้างสภาพแวดล้อม
ทเ่ี อ้ือต่อการเพ่ิมทุนทางสังคมด้วยการส่งเสริมกระบวนการเรยี นรู้สง่ เสรมิ ให้องค์กรตา่ ง ๆ ทุกภาคสว่ น
เขา้ มามีส่วนร่วมในการพฒั นา
นอกจากแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติได้ตระหนักในความเปลย่ี นแปลงอยา่ ง
รวดเรว็ ของส่งิ ตา่ ง ๆ ในโลกและพจิ ารณาวางแผนต้ังรบั การเปล่ยี นแปลงเพื่อใหป้ ระเทศไทยสามารถ
อยู่ได้อย่างดีในประชาคมโลก การเตรียมการต้งั รบั แม้ทาไวใ้ นหลายรปู แบบ แต่สิ่งที่สาคัญที่สามารถ
จดั การความเปลีย่ นแปลงได้อย่างดี คือ การพัฒนาคุณภาพของบุคคลโดยการศึกษา และจากการ
ปฏิรปู การศกึ ษาในพระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และท่ีแกไ้ ขเพิ่มเตมิ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๕ ไดก้ าหนดใหส้ านกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา สรา้ งมาตรฐานการศึกษาของชาติ และ
ไดผ้ ่านความเหน็ ชอบของคณะรัฐมนตรี วันท่ี ๒๖ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๔๗ (สานกั งานเลขาธกิ ารสภา
การศึกษา, ๒๕๕๑, หน้า ๓)๑๑
หลักการสาคัญในมาตรฐานการศกึ ษานี้คือ การจัดการศึกษาเพ่ือพฒั นาสงั คมไทยใหเ้ ป็นสังคม
แห่งความรแู้ ละเพ่ือให้คนไทยทั้งปวงได้รบั โอกาสเทา่ เทียมกันทางการศกึ ษา พัฒนาคนได้อยา่ งต่อเน่ือง
ตลอดชวี ติ ซึง่ เปน็ ปจั จัยสาคัญในการพฒั นาประเทศอยา่ งยัง่ ยืน สามารถพึ่งตนเองและ พึง่ กันเองได้
และสามารถแข่งขนั ได้ในระดับนานาชาติ มาตรฐานการศึกษาของชาตไิ ด้กาหนดไว้ ๓ มาตรฐาน และ
๑๑ ตัวบ่งชี้ คอื
มาตรฐานที่ ๑ คุณลกั ษณะของคนไทยทพี่ ึงประสงค์
มาตรฐานที่ ๒ แนวการจดั การศึกษา
มาตรฐานท่ี ๓ แนวการสรา้ งสังคมแหง่ การเรยี นรู้/สงั คมแห่งความรู้
การเป็นสงั คมแห่งการเรียนรู้ของประเทศไทยมีจุดเริม่ ต้นต่างจากข้อมูลของต่างประเทศท่ีได้
เสนอมา กลา่ วคือ การเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ของประเทศไทย เร่มิ ตน้ จากนโยบายที่กาหนดไวใ้ น
แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และมาตรฐานการศึกษาของชาติ โดยมีปรชั ญาเศรษฐกจิ
พอเพียงเป็นหลักยึด ตอ่ จากนั้นไดก้ ระจายไปสู่การกาหนดนโยบายและแนวปฏิบัตใิ นแผนพฒั นา
การศึกษาของประเทศ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งมผี ลการปฏริ ปู การศึกษาที่ตอ้ งการให้คนไทยมีการเรียนรู้
ตลอดชวี ิตซ่งึ ถือว่าเป็นปจั จยั สาคัญของการสรา้ งสังคมแห่งการเรยี นรู้ การนาเอาหลักการท้งั หมดสู่การ
ปฏบิ ตั ิให้เกิดผล กระทาโดยการจดั การศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย เพื่อสรา้ งบคุ คล
องค์กร และชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ อันเป็นองค์ประกอบสาคัญของสงั คมแห่งการเรียนรู้ ความสัมพนั ธ์
ระหวา่ งปจั จัยทง้ั หมดมีลกั ษณะเปน็ เกลียวพฒั นาต่อเนื่องอยา่ งไม่ร้สู ้ินสดุ (สานักงานเลขาธกิ ารสภา
การศึกษา, ๒๕๕๑ ,หน้า ๗๘)
๑๑ สำนกั งำนเลขำธกิ ำรสภำกำรศึกษำ, กระทรวงศึกษำธิกำร รายงานการปฏริ ปู การเรียนรู้ ระดับ
การศึกษาขน้ั พื้นฐาน : พหุกรณศี ึกษา, (กรุงเทพฯ : คุรสุ ภำ ลำดพรำ้ ว ๒๕๕๑), หน้ำ ๓
๒๐๖
องคก์ รแห่งการเรยี นรู้ (Learning Organization)
ความหมายองค์กรแหง่ การเรียนรู้
คาวา่ องค์กรแหง่ การเรียนรู้ มจี ุดเริ่มตน้ จากองคก์ รเอกชนด้วยเหตผุ ลทวี่ ่า “การเรียนรู้” ทา
ใหเ้ กิดข้อได้เปรยี บในการแข่งขันทางธุรกิจ โดยคานไ้ี ดเ้ รม่ิ ใชป้ ระมาณ ค.ศ. ๑๙๘๙ โดยเพลลาร์
(Pedlar,อ้างใน Jarvivis & Tosey, ๒๐๑๐, p๑๗-๑๙) โดยใหค้ วามหมายว่า องค์กรแห่งการเรยี นรู้
คือ องค์กรท่ีสนับสนนุ ให้สมาชิกในองค์กรมีการเรียนรแู้ ละ เปน็ องค์กรทม่ี ีการปรบั เปลี่ยนตนเอง
ตลอดเวลา
ตอ่ มาวัตคนิ และมารซ์ คิ (Watkins & Marsick ,๒๐๑๐, p ๘-๙)๑๒ ไดใ้ หค้ วามหมายของ
องค์กรแห่งการเรยี นรวู้ ่า องค์กรแหง่ การเรยี นรูเ้ ปน็ องค์กรท่มี กี ารเรยี นรู้อยา่ งต่อเนื่องและปรับเปลย่ี น
ตนเอง การเรยี นร้เู กดิ ขึน้ ในระดับบคุ คล ทีม องคก์ ร หรือแมแ้ ตใ่ นชุมชน การเรียนรู้จะเป็น
กระบวนการทใ่ี ช้ยทุ ธศาสตร์และเกิดข้ึนอย่างต่อเน่ือง โดยนาไปบรู ณาการและสอดคล้องกับการ
ทางาน การเรยี นรจู้ ะทาให้เกิดการเปลยี่ นแปลงความรู้ ความเชอื่ และพฤติกรรม นอกจากนกี้ ารเรียนรู้
จะช่วยส่งเสรมิ ระดับความสามารถขององค์กรในด้านนวัตกรรมและความเจริญเตบิ โต องค์กรแห่งการ
เรียนรูจ้ ะมีระบบการสรา้ งและแลกเปล่ยี นความรู้อยู่ในการทางานขององค์กร
ไดซอน (Dixon ,๑๙๙๔, p ๓)๑๓ ไดใ้ หค้ วามหมายองค์กรแห่งการเรยี นรคู้ ือ ความสามารถ
ขององค์กรในการใชศ้ ักยภาพของสมาชิกทัง้ หมดเพ่ือสรา้ งสรรคก์ ระบวนการต่าง ๆ ในการปรับปรุง
ตนเองโดยสมั พันธ์กับการจดั การความรู้ ในสภาพแวดล้อมและบริบทในปัจจบุ นั
สกายมี (Skyrme ,๒๐๐๖, p ๑)๑๔ ได้ขยายความว่า องคก์ รแห่งการเรยี นรูต้ อ้ งมรี ะบบ กลไก
และกระบวนการที่ใชใ้ นการสนับสนนุ ศกั ยภาพขององคก์ ร และของสมาชิกสาหรบั บรรลุถงึ
วตั ถุประสงค์ทีย่ ่งั ยืน ทง้ั ของตนเองและชุมชน ที่องคก์ รนนั้ มีส่วนร่วม
จากการสังเคราะห์ความหมายขององค์กรแห่งการเรียนรู้จากการศึกษาของนักวิชาการต่างๆ
ขา้ งต้น พอสรปุ ไดว้ า่ องค์กรแห่งการเรียนรู้ คอื องค์กรที่มกี ารเรยี นรรู้ ่วมกันของสมาชกิ ในองค์กรใน
ทกุ ระดับรวมทั้งชุมชน โดยองค์กรมีการจดั กระบวนการและปัจจัยสง่ เสริมให้มกี ารแลกเปลีย่ น
ประสบการณ์และการปฏิบตั ิที่เป็นเลิศ เพือ่ รว่ มกนั พัฒนาทกั ษะและสมรรถนะของบุคลากรใหด้ ขี ้นึ
ความสาคญั และผลลพั ธ์ทีเ่ กดิ จากองค์กรแหง่ การเรียนรู้
โดยทัว่ ไปองค์กรต่าง ๆ ตอ้ งแสวงหากลยุทธใ์ นการปรบั ปรงุ คุณภาพขององค์กรอย่างต่อเนือ่ ง
ทัง้ นี้ สืบเน่อื งจากการเปลีย่ นแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมปจั จุบนั การรับมือกับการเปลีย่ นแปลงทาให้
องค์กรต้องพัฒนาศกั ยภาพโดยการเรยี นร้ทู ่จี ะรับการเปลี่ยนแปลง ประกอบกับสภาพแวดลอ้ มในการ
แขง่ ขนั ซับซอ้ นและรุนแรง มากขึ้น การเรยี นรูแ้ ละการกระทาจงึ ต้องกระทาควบคู่กัน โดยตอ้ งมีการ
จัดการทรัพยากรบุคคล ท้งั ดา้ นทกั ษะ เจตคติ และวัฒนธรรมองคก์ รความสนใจเรื่องความสาคัญของ
๑๒ Watkins, K. & Marsick, V. Sculpting the learning organization, (๔th ed), San Francisco:
Jossey Bass, ๒๐๑๐, p ๘-๙.
๑๓ Dixon, N. The organizational learning cycle : How we can learn collectively.
London: McGraw-Hill, ๑๙๙๔, p ๓.
๑๔ Skyrme, D. The learning organization, [Online].Available: http://www.skyrme.com/
Insights/๓lrnorg.htm Skyrme, ๓ April ๒๐๐๖, p ๑.
๒๐๗
การเป็นองคก์ รแหง่ การเรียนรู้มีรากฐานมาจากการตระหนกั ว่าการรเิ ริ่มใด ๆ ก็ตามไมส่ ามารถทางาน
ได้ดว้ ยตนเอง แตต่ ้องการสิ่งเหลา่ น้ี คือ
ประการท่ี ๑ การรับมอื กับการเปลีย่ นแปลงทีไ่ ม่คาดคิดขณะท่ีอยูใ่ นการตอบสนองท่ีกาหนด
ไว้
ประการท่ี ๒ ความยดื หยนุ่ ที่จะรบั มือกับสถานการณ์ทีเ่ ปลย่ี นแปลงไปอยตู่ ลอดเวลา
ประการท่ี ๓ ความขดั แย้งระหวา่ งปฏิบตั ิเพอื่ ตอบสนองความต้องการของลูกคา้ กับเงือ่ นไขใน
กระบวนการปฏิบัติซึ่งองคก์ รจัดทาข้นึ ดว้ ยเหตุน้ีนกั วชิ าการในสายการจัดการองค์กร จึงสรปุ วา่
องค์กรจะต้องพฒั นาศักยภาพโดยการเรียนรูท้ จี่ ะรับการเปล่ียนแปลง ขณะที่สง่ิ แวดลอ้ มด้านการ
แข่งขันซับซ้อนและรนุ แรงมากขึน้ การเรยี นรูแ้ ละการกระทาจะต้องเตบิ โตควบคหู่ รือล้าหนา้ คู่แข่ง
ต้องมีการจดั การทรัพยากรบุคคลเพ่ือตอบสนองความต้องการ สร้างความเช่ือ การท้าทาย และตอ้ ง
ยอมรบั ว่าการเรียนรู้ตลอดชวี ติ มีความจาเป็น(สานกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา กระทรวงศึกษาธิการ
, ๒๕๕๑,หน้า ๔๒)๑๕
การเรียนรู้ในองค์กรแหง่ การเรยี นรู้
องค์กรแหง่ การเรยี นร้มู ีการเรียนรูท้ ั้งการพฒั นาทักษะงานเฉพาะประเภท การพฒั นาความรู้
และทกั ษะในระดับสงู จึงสามารถแบง่ ระดบั การเรียนรู้ในองค์กร โดยสานักงานเลขาธกิ ารสภา
การศกึ ษา (๒๕๕๑ , หนา้ ๔๓) ไดแ้ บ่งระดับการเรียนรูใ้ นองคก์ รเป็น ๔ ระดับ คือ
ระดบั ที่ ๑ การเรียนร้ขู อ้ เทจ็ จรงิ ความรู้ กระบวนการ และวธิ ีปฏบิ ตั งิ านซ่ึงใช้ในสถานการณ์
ที่รู้จักกันแลว้ และมีการเปลย่ี นแปลงเลก็ นอ้ ยเกดิ ขึน้
ระดบั ท่ี ๒ การเรียนรู้ทักษะงานใหมท่ ีส่ ามารถถ่ายโยงไปยังสถานการณ์อ่นื ระดับนี้เป็นการ
เรยี นรูเ้ พ่ือใช้งานในสถานการณ์ใหม่ ซ่งึ การตอบสนองท่ีเป็นอยูป่ ัจจุบันตอ้ งเปลี่ยนแปลง ในขนั้ นี้อาจ
จาเป็นต้องนาผ้เู ชีย่ วชาญภายนอกเขา้ มาร่วมดว้ ย
ระดบั ที่ ๓ การเรยี นรเู้ พื่อปรับตวั ระดบั นี้ใช้กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปเร่อื ย ๆ จน
ผปู้ ฏบิ ัติงานต้องพฒั นาตนเองดา้ นความสามารถในการแก้ไขปญั หา มีการทดลองและเรียนรูจ้ าก
ความสาเร็จและความล้มเหลว
ระดบั ท่ี ๔ การเรียนร้วู ิธเี รียน ในระดบั น้เี ปน็ การเรยี นรนู้ วตั กรรมและการสร้างสรรคเ์ พอื่
ออกแบบอนาคตแทนที่จะปรับตัวอยา่ งเดยี ว ในระดับนเี้ ป็นระดบั ท่ขี ้อตกลงเบ้ืองตน้ ท่ีเคยใช้ ถูกท้า
ทายและความรเู้ ดิมถกู จัดกรอบใหม่ หรือกล่าวอกี อยา่ งหน่ึงวา่ สิง่ ที่เคยเรียนรู้ กฎ และหลกั การ
ท้งั หลายดูเหมอื นจะไม่สามารถนามาใชไ้ ด้อีกต่อไป
ลักษณะขององคก์ รแห่งการเรยี นรู้
ไดม้ นี กั วชิ าการอธบิ ายถึงลกั ษณะขององค์กรแห่งการเรียนรู้ในหลากหลายทัศนะตาม
การศกึ ษาของแต่ละทา่ น ดงั น้ี
ในทัศนะของโรเซนการ์เตน (Rosengarten,๑๙๙๙ cited by Turkington,๒๐๐๔, p ๑๗)
ไดส้ ังเคราะห์ลกั ษณะองคก์ รแห่งการเรียนรู้ พบว่าองค์กรแหง่ การเรียนรู้มลี กั ษณะสาคญั ๑๐ ประการ
คือ
๑๕ สำนักงำนเลขำธิกำรสภำกำรศกึ ษำ, กระทรวงศึกษำธกิ ำร รายงานการปฏิรูปการเรยี นรู้ ระดับ
การศกึ ษาข้ันพื้นฐาน : พหกุ รณศี กึ ษา, (กรุงเทพฯ : ครุ สุ ภำ ลำดพร้ำว ๒๕๕๑), หน้ำ ๔๒.
๒๐๘
๑. มีการทางานเปน็ ทีมและการเรียนรเู้ ป็นทีม
๒. คิดเป็นระบบและมรี ูปแบบความคดิ
๓. มีการไหลเวียนของสารสนเทศทัง้ แนวดงิ่ และแนวระนาบ
๔. มกี ารศกึ ษาและการฝึกอบรมในสถานท่ีทางาน
๕. มีระบบรางวัลสาหรบั การเรียนรขู้ องพนักงาน
๖. มีการปรับปรงุ งานอย่างต่อเน่อื ง
๗. มีความยืดหยุ่นในยทุ ธศาสตร์ขององค์กรและยทุ ธศาสตร์เกี่ยวกับบุคลากร
๘. มกี ารกระจายอานาจและการบริหารจดั การแบบมีสว่ นรว่ ม
๙. มกี ารทดลองดว้ ยการเรยี นรู้อย่เู สมอ
๑๐. มวี ัฒนธรรมสนับสนุนการเรียนรู้ โดยสงั เกตได้จากการสนทนา การรว่ มกนั ตีความจาก
ความจริง การมวี สิ ยั ทัศนแ์ ห่งอนาคตรว่ มกนั การอทุ ิศตนและความมีขนั ติ การกลา้ เสยี่ ง และ
ความรับผิดชอบ
ส่วนมารค์ อร์ด (Marquardt, ๒๐๑๐, p ๑๕)๑๖ ซง่ึ เป็นนักการศกึ ษาทีส่ นใจเร่ืององค์กรแห่ง
การเรียนร้ไู ด้เสนอแนวคิดวา่ องค์กรแห่งการเรยี นรู้มลี กั ษณะสาคัญ ๕ ประการ ประกอบดว้ ย
๑. พลวัตการเรยี นรขู้ ององค์กร หมายถึง องค์กรได้จดั ให้มีการเรยี นรู้อยา่ งต่อเนือ่ งทัง้
ระดับบุคคล ระดับทีม/กลมุ่ และระดบั องค์กรเพ่ือปรบั ปรุงประสิทธภิ าพและประสทิ ธิผลในการ
ปฏบิ ัติงาน
๒. การเปลย่ี นสภาพองค์กร หมายถงึ การเปล่ียนวิสยั ทัศน์ วัฒนธรรม ยทุ ธศาสตร์ และ
โครงสรา้ ง
๓. การกระจายอานาจ หมายถงึ การปฏบิ ตั งิ านทเี่ อ้ือต่อการเรยี นรขู้ องกลุม่ ผู้บรหิ าร ผู้
ปฏบิ ัติ ลกู ค้า/ผ้รู ับบริการ พันธมติ ร ผสู้ ่งมอบ และชุมชน
๔. การจัดการความรู้ หมายถึง การแสวงหา การสร้าง การจดั เกบ็ การค้น การถ่ายโยง
และการนาไปใช้
๕. การประยุกต์เทคโนโลยี หมายถึง การเรยี นรูโ้ ดยใชเ้ ทคโนโลยีเปน็ ฐานและระบบ
สนบั สนนุ การปฏบิ ัตงิ านด้วยอิเลก็ ทรอนิกส์
ในทศั นะของสกายมี (Skyrme, ๒๐๐๖, p ๑-๒)๑๗ ได้เสนอความคดิ เห็นว่า ลักษณะของ
องค์กรแห่งการเรียนรู้ ควรจะประกอบดว้ ย
๑. วัฒนธรรมแหง่ การเรียนรู้ หมายถงึ องค์กรจะต้องมีบรรยากาศท่ีปลกู ฝงั การเรยี นรู้ ซง่ึ
เป็นลักษณะท่ีคล้ายคลึงกนั กับการกระตุ้นใหเ้ กิดนวัตกรรม
๒. กระบวนการ องคก์ รจะต้องมกี ระบวนการทีช่ ่วยกระตุ้นใหเ้ กิดการปฏสิ ัมพนั ธ์ข้ามสาย
งาน ทงั้ กระบวนการ อานวยความสะดวก พฒั นา และบรหิ ารจัดการซ่ึงลกั ษณะเหลา่ นี้เห็นได้ชดั เจน
จากองคก์ รที่รเิ ริ่มพฒั นากระบวนการธุรกิจใหม่
๓. เครื่องมือและเทคนิค องค์กรจะต้องมีวิธชี ว่ ยใหบ้ ุคคลและกล่มุ เกดิ การเรียนรู้ ทั้งการ
สรา้ งสรรค์และการแกป้ ญั หา
๑๖ Marquardt, M. Building the learning organization, (๒nd ed) California: Davies-
Black, ๒๐๑๐, p ๑๕.
๑๗ Skyrme, D. The learning organization, [Online].Available: http://www.skyrme.com/
Insights/๓lrnorg.htm Skyrme, ๓ April ๒๐๐๖, p ๑-๒.
๒๐๙
๔. ทกั ษะและแรงจูงใจ องคก์ รต้องกระตนุ้ ให้บุคคลมีความร้คู วามชานาญ รวมทั้งมีแรง
กระตุ้นให้พร้อมทจี่ ะเรยี นรูแ้ ละปรับตวั
ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการศึกษาลกั ษณะขององค์กรแหง่ การเรียนร้ทู ีเ่ ป็นสถานศึกษา
พบว่า สถานศึกษานนั้ ๆจะมลี ักษณะสาคัญ ๕ ประการ คือ
๑. มีการทางานเปน็ ทีมและการเรียนรูเ้ ปน็ ทมี
๒. คดิ เปน็ ระบบและมีรูปแบบความคดิ
๓. กระจายอานาจและบรหิ ารจัดการแบบมสี ่วนร่วม
๔. มีการทดลองด้วยการเรยี นร้อู ยู่เสมอ
๕. มวี ฒั นธรรมสนบั สนุนการเรยี นรู้ โดยสังเกตได้จากการสนทนา การรว่ มกนั ตีความจาก
ความจริง การมวี สิ ัยทัศน์แห่งอนาคตร่วมกัน การอุทศิ ตนและความมีขันติ การกลา้ เสยี่ ง และความ
รับผดิ ชอบ (Senge, ๒๐๐๐, p ๙)๑๘
สว่ นในประเทศออสเตรเลียได้มกี ารศึกษาลักษณะขององค์กรการเรียนร้ทู ีเ่ ป็นสถานศึกษา
เชน่ กนั และพบผลการศึกษาในลกั ษณะคลา้ ยคลงึ กัน (Turkington ,๒๐๐๔, p ๑๘)๑๙ กล่าวคือ
๑. มกี ารคดิ อยา่ งเป็นระบบ
๒. มกี ารปรบั ปรุงงานอย่างต่อเนอ่ื ง
๓. มคี วามคดิ ริเริ่มและกลา้ เสี่ยง
๔. พฒั นาวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง
๕. มีบรรยากาศของการยอมรับกนั และกัน
๖. มีวิสัยทศั น์และพนั ธกจิ ร่วม
๗. ช่องทางการส่อื สารมปี ระสิทธภิ าพ
๘. มกี ารทางานและการเรยี นรเู้ ปน็ ทีม
ในระยะเวลาต่อมา ไดม้ ีการศึกษาคุณลกั ษณะของสถานศึกษาที่เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้อกี
ครั้ง ก็พบผลการศึกษาในลักษณะเดียวกนั จึงสามารถสรุปได้วา่ องค์กรแห่งการเรยี นรใู้ นสถานศกึ ษาจะ
ประกอบด้วย คุณลักษณะ ดังนี้
๑. มีการทางานเป็นทีมและเรียนรู้เป็นทมี
๒. มีการคดิ อยา่ งเปน็ ระบบ
๓. มีการสื่อสารอยา่ งมีประสิทธภิ าพท้งั แนวดิ่งและแนวระนาบ
๔. มวี ิสยั ทัศนแ์ ละพนั ธกิจร่วมกันของบุคลากรในโรงเรยี น
๕. มกี ารศกึ ษาและการฝกึ อบรมในสถานที่ทางานอย่างสมา่ เสมอ (Sillins & Mulford,
๒๐๐๖, p ๒๔-๓๒)๒๐
๑๘ Senge, P. Schools that learn, (๓rd ed), New York : Doubleday, ๒๐๐๐, p ๙.
๑๙ Turkington, M. The catholic education office (CEO) Sydney as a learning
organization and its perceived impact on standards. Ed. D. Dissertation,
Australian Catholic University, Australia ๒๐๐๔, p ๑๘.
๒๐ Sillins, H. Zarins, S. & Mulford, B. What characteristics and processes define a
school as a learning organization? Is this a useful concept to apply to schools? International
education journal, ๓(๑), ๒๐๐๖, p ๒๔-๓๒.
๒๑๐
จากการสงั เคราะหล์ ักษณะขององค์กรแห่งการเรียนรู้ทัง้ ทเี่ ป็นองค์กรท่ัวไปและองค์กร
ทางการศกึ ษา พอสรุปไดว้ ่า องค์กรแหง่ การเรยี นรตู้ ้องมีลักษณะสาคญั ดงั น้ี
๑. มีวฒั นธรรมสนับสนุนการเรียนรู้ โดยมีการแลกเปลี่ยนเรียนรซู้ ่ึงกนั และกนั หรอื เรียนรู้
จากผูอ้ ่นื หรอื เรียนรู้จากบทเรยี นในอดีต
๒. มีรูปแบบความคิดเป็นระบบ เชน่ มกี ารแก้ปัญหาองคก์ รอย่างเปน็ ระบบ เป็นตน้
๓. มกี ระบวนการปรบั ปรงุ งานอย่างต่อเนือ่ ง โดยอาศัยหลักทางวิทยาศาสตร์ คือ การใช้
วงจรของเดมมิง (PDCA : Plan, Do, Check, and Act) เปน็ ตน้
๔. มีความคดิ รเิ ริม่ และกลา้ เสี่ยง ไมย่ ึดตดิ กบั สง่ิ เดมิ ๆ ทเ่ี คยทามา
๕. มบี รรยากาศของการยอมรับซ่ึงกนั และกัน
๖. มกี ระบวนการพฒั นาวิชาชพี อยา่ งต่อเน่ือง โดยมีการทางานเป็นทมี มกี ารจัดการ
ความรู้ ถ่ายทอดความรู้ โดยวธิ ีการตา่ ง ๆ เชน่ การจัดทารายงาน การสาธิต การฝึกอบรม เป็นตน้
๗. มีช่องทางในการสื่อสารอย่างมีประสทิ ธภิ าพ
คุณลักษณะท่ีต้องพฒั นาให้บคุ ลากรในองค์กรแหง่ การเรยี นรู้
ในการนาพาองคก์ รไปสู่องคก์ รแห่งการเรียนรซู้ ่ึงเปน็ องคก์ รยคุ ใหมท่ ต่ี ้องการการเปล่ยี นแปลง
เพ่อื ยกระดับความสามารถในการพฒั นา การพฒั นาบุคลากรในองค์กรซึง่ เป็นกลไกสาคญั ในการ
ยกระดบั การพฒั นาองคก์ ร คุณลักษณะสาคัญท่ีต้องปลูกฝงั และพฒั นาบุคลากรในองคก์ รใหม้ ี
ประกอบดว้ ย ลักษณะดงั นี้ (สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา,๒๕๕๑, หน้า ๒๑-๒๒ ๒๕๕๑, หน้า
๓๗-๓๙)๒๑
๑. ความเป็นผรู้ อบรู้ (Personal Mastery) การเรียนรขู้ องปัจเจกบคุ คลเป็นจุดเร่ิมต้นของ
องค์กรแหง่ การเรียนรู้ ฉะนั้น บุคลากรในองค์กรต้องไดร้ บั การสง่ เสริมใหม้ ีการพัฒนาและเปน็ ผู้มีความ
กระตือรอื ร้นในการแสวงหาความรใู้ หม่ ๆ อยเู่ สมอ โดยเนน้ การเรยี นรู้ด้วยตนเองในที่ทางาน เรียนรู้
งานในหนา้ ที่เพื่อเพมิ่ ศกั ยภาพของตัวเองใหเ้ ป็นผรู้ อบรู้
๒. แบบแผนความคดิ (Mental Models) กลา่ วคือ คนในองค์กรจะตอ้ งมีแบบแผนความคดิ
ทัศนคติ ความเชือ่ พ้ืนฐาน ข้อสรปุ ทส่ี อดคล้องกบั สถานการณป์ จั จุบัน สามารถพัฒนาแบบแผน
ความคิดความอา่ นของตนเองอยเู่ สมอ มคี วามยดื หย่นุ ปรับวธิ คี ิด และวถิ ีปฏิบตั ิได้สอดคล้องกบั
สถานการณ์ท่เี ปลี่ยนไป
๓. การสร้างวสิ ยั ทัศนร์ ่วม (Shared Vision) กลา่ วคือ คนในองค์กรจะต้องมีภาพหรือ
ภาพลกั ษณ์ท่เี ป็นที่ต้องการในอนาคตขององคก์ รรว่ มกนั ซึง่ เป็นสภาพที่ผเู้ ก่ยี วข้องในทุกระดับของ
องค์กรได้มสี ่วนสรา้ ง และทาให้เกิดแนวปฏิบัตริ ว่ มกัน มีการดาเนนิ งานไปในทศิ ทางท่ตี ้องการ เพ่ือให้
ภาพนัน้ เปน็ จรงิ โดยบรรลุจดุ มุ่งหมายร่วมกนั ขององคก์ ร
๔. การเรยี นรรู้ ว่ มกันของทีม (Team Learning) เปน็ การเรียนรูร้ ่วมกันของสมาชิกในองค์กร
โดยการพูดคยุ อภปิ ราย แลกเปล่ียนขอ้ มลู ความคิดเหน็ เสวนา เสนอมุมมองต่าง ๆ เพ่อื หาข้อสรุป
รว่ มกัน นาไปสกู่ ารตัดสินใจเลือกและเลอื กแนวคิดท่เี ป็นประโยชนส์ ูงสดุ นามาปฏิบตั ิ
๒๑ สำนกั งำนเลขำธิกำรสภำกำรศึกษำ, กระทรวงศกึ ษำธิกำร รายงานการปฏิรูปการเรียนรู้ ระดบั
การศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน : พหุกรณีศกึ ษา, (กรุงเทพฯ : ครุ สุ ภำ ลำดพร้ำว ๒๕๕๑), หนำ้ ๒๑-๒๒,๓๗-๓๙.