รายงานการวิจัย
เร่อื ง
การบริหารจดั การข้อมูลสารสนเทศเพ่อื การบริหาร
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
An Administrative Management of Informative Data for the
Administration of Mahachulalongkornrajavidyalaya University
Khonkaen Campus
โดย
นางสาวอมรรัตน์ เตชะนอก
นางสาวพันทิวา ทับภูมี
สถาบนั วจิ ัยพทุ ธศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั
(วทิ ยาเขตขอนแกน่ )
พ.ศ. ๒๕๖๐
ไดร้ ับทนุ อดุ หนนุ การวิจัยจากมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย
MCU RS 610760081
(ลขิ สิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย)
รายงานการวิจยั
เรือ่ ง
การบริหารจดั การข้อมลู สารสนเทศเพ่อื การบริหาร
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น
An Administrative Management of Informative Data for the
Administration of Mahachulalongkornrajavidyalaya University
Khonkaen Campus
โดย
นางสาวอมรรัตน์ เตชะนอก
นางสาวพันทิวา ทบั ภูมี
สถาบนั วจิ ัยพทุ ธศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั
(วทิ ยาเขตขอนแกน่ )
พ.ศ. ๒๕๖๐
ไดร้ ับทนุ อดุ หนนุ การวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย
MCU RS 610760081
(ลขิ สิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย)
ก
ชอ่ื รายงานการวิจัย : การบริหารจัดการขอ้ มลู สารสนเทศเพื่อการบรหิ าร
มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่
ผู้วจิ ัย : อมรรัตน์ เตชะนอก, พันทวิ า ทับภมู ี
สว่ นงาน : มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น
ปงี บประมาณ : 2560
ทุนอดุ หนนุ การวจิ ยั : มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั
บทคัดยอ่
การศึกษาวิจัยคร้ังนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research)
ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative
Research) มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพ่ือศึกษาวิธีจัดการข้อมูลสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น 2) เพ่ือพัฒนาวิธีจัดการจัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น 3) เพื่อวิเคราะห์ การเชื่อมโยงข้อมูล
สารสนเทศ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น ไปยังหน่วยงานภายในและ
หนว่ ยงานภายนอก กลมุ่ เป้าหมายท่ีใช้ในงานวิจยั ครั้งนี้เป็นบุคคลกรมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น รวมท้ังสิ้น 86 รูป/คน โดยแยกเป็น ด้านปริมาณ คือ จากการแจก
แบบสอบถาม บุคลากรท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องระดับปฏิบัติการ จานวน 50 รูป/คน ด้านคุณภาพ การ
สัมภาษณ์เชิงลึก ได้แก่ 1) สัมภาษณ์ผู้บริหารระดับสูง จานวน 5 รูป/คน 2) สัมภาษณ์ผู้บริหาร
ระดบั กลาง จานวน 5 รูป/คน 3) สมั ภาษณผ์ ้บู รหิ ารระดบั ต้น จานวน 5 รปู /คน และ4) สัมภาษณ์
บุคลากรระดับปฏิบัติการ กลุ่มงานละ 3 รูป/คน เครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บข้อมูล โดยผู้ศึกษาไดใช้
แบบสอบถามที่สร้างข้ึนเองสามารถแบ่งออกได้ดังน้ี เครื่องมือเชิงปริมาณ คือ 1) แบบสอบถาม
เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศ 2) แบบ Checklist รายการระบบ
และกลไกการทางานของแต่ละสานักงาน เครื่องมือเชิงคุณภาพ 1) แบบสัมภาษณ์และการสังเกต
กระบวนการการทางานของบุคลากรที่มีส่วนร่วม (Observations Participant) ในการจัดการข้อมูล
2) การประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) 3) การสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง วิธีการจัดการข้อมูล
สารสนเทศ เพ่ือนาไปสู่การจัดทาคู่มือการปฏิบัติงาน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้โปรแกรม
คอมพิวเตอรส์ าเร็จรูปทางสถิติ และขอ้ มลู เชิงปรมิ าณวเิ คราะหข์ อ้ มลู ท่ีไดจ้ ากการบรรยายเชิงพรรณนา
ผลการวจิ ัยพบว่า
1) รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตขอนแก่น ด้วยการตอบแบบสอบถามของบุคลากรจากสายงานต่างๆ ในมหาวิทยาลัยมหา
จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น จานวน 50 รูป/คน พบว่า รูปแบบการจัดการข้อมูล
สารสนเทศ ท้ัง 3 ด้าน มีผลการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก = 3.54 (S.D. = 0.32) และเม่ือแยก
ออกเป็นขั้นพบว่า ข้ันท่ีมีระดับการปฏิบัติมากที่สุด คือ ขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูล มีระดับการปฏิบัติ
มาก = 3.61 (S.D. = 0.70) รองลงมาคือ ขั้นการจัดหน่วยหรือคลังข้อมูลในหน่วยงาน มีระดับการ
ข
ปฏิบัติมาก = 3.53 (S.D. = 0.45), ขัน้ การตรวจสอบขอ้ มลู มีระดบั การปฏิบตั ิมาก = 3.52 (S.D.
= 0.44), ข้ันการวิเคราะห์ข้อมูล มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.48 (S.D. = 0.53) และขั้นท่ีมี
การปฏิบัติน้อยท่ีสุด คือ ขั้นการประมวลผล มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.38 (S.D. = 0.40)
ตามลาดับ
2) แนวทางการพัฒนารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ด้วยการตอบแบบสอบถามของบุคลากรจากสายงานต่างๆ ใน
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น จานวน 50 รูป/คน พบว่า แนว
ทางการพัฒนารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศ มีผลการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก = 3.61
(S.D. = 0.54)
3) การตรวจสอบรายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวิธีการจัดการข้อมูล
สารสนเทศเพ่ือการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น โดยรวมมี
ผลการประเมนิ อยใู่ นระดบั พอใช้ คดิ เป็นรอ้ ยละ 66.06
4) การสัมมนาเรื่องวิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ ประกอบด้วยการสัมภาษณ์
ผู้บริหารระดับสูง จานวน 5 รูป/คน ผู้บริหารระดับกลาง จานวน 5 รูป/คน และผู้บริหารระดับต้น
จานวน 5 รูป/คน โดยจากการเก็บข้อมูลการสัมภาษณ์ของผู้บริหารได้มีการแนะนาแนวทางในการ
บริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศนาไปวางแผนในการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานตามภาร
หน้าท่ี ซึ่งในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศน้ันได้มีการกาหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานไว้ ทาให้
เข้าใจวิธีการมากยิ่งข้ึน การทาวิจัยในครั้งน้ีผู้วิจัยจึงได้จัดทาเป็นคู่มือปฏิบัติงานกลุ่มงานบริหาร
วทิ ยาลัยสงฆ์ขอนแก่นขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าประจา
วิทยาลัย และได้ทาการเผยแพร่คู่มือไปยังสานักงานต่างๆ เพ่ือเป็นตัวอย่างในการจัดทาคู่มือ
ปฏิบัติงานอีกด้วย ทั้งนี้ได้การจัดทาคู่มือบริหารหลักสูตรของวิทยาเขตขอนแก่นจานวน 14 หลักสูตร
และไดค้ มู่ อื บริหารหลกั สตู รที่สมบรู ณค์ อื หลกั สูตรครศุ าสตร์บณั ฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย
คาสาคัญ : รปู แบบ, การบริหารจัดการ, สารสนเทศ, การจัดการขอ้ มูลสารสนเทศ, การบรหิ ารจัดการ
ขอ้ มลู สารสนเทศเพ่ือการบรหิ าร
ค
Research Title : An Administrative Management of Informative Data for the
Administration of Mahachulalongkornrajavidyalaya University
Khonkaen Campus
Researchers : Amonrat Techanok, Phanthiwa Thabphumee
Department : Mahachulalongkornrajavidyalaya University Khonkaen Campus
Fiscal Year : 2018
Research Scholarship Supporter : Mahachulalongkornrajavidyalaya University
ABSTRACT
The purposes of this study were aimed at 1) studying the management of informative
data of Mahachulalongkornrajavidyalaya University Khonkaen Campus, 2) developing the
management of informative data for the administration of Mahachulalongkornrajavidyalaya
University Khonkaen Campus, and 3) analyzing the network of informative data connected to
both internal and external departments of Mahachulalongkornrajavidyalaya University Khonkaen
Campus. The study was a mixed method research included qualitative and quantitative research.
The target group in the study was 86 Mahachulalongkornrajavidyalaya University Khonkaen
Campus staffs, who were monks and lay people. The questionnaires used in a quantitative
research were 50 operational staffs. And In-depth Interview used in a qualitative research was 1) 5
chief executives, 2) 5 vice executives, 3) 5 primary executives, and 4) 3 operational staffs from
each department. Research tool used was questionnaires that could be divided into 2 main
groups were 1) quantitative tools; questionnaires of the development of informative data
management, and checklist of system and mechanism of each department; and 2) qualitative
tools; interview and observation forms of observation participants in data management, focus
group, and academic seminar on informative data management. Quantitative data analysis was
by computer programs as statistics and descriptive analysis.
The results of the study were found as follows:
1. The format of informative data management of Mahachulalongkornrajavidyalaya
University Khonkaen Campus by way of completing the questionnaires of 50 staffs was found that
that 3 managements were in a high level, = 3.54 (S.D. = 0.32). As for considering in each level. It
was found that the highest level was data collection, = 3.61 (S.D. = 0.70). And there were data
store of each department, = 3.53 (S.D. = 0.45); data verification, = 3.52 (S.D. = 0.44), data
analysis, = 3.48 (S.D. = 0.53), and data evaluation, = 3.38 (S.D. = 0.40), respectively.
2. The method of informative data development of Mahachulalongkornrajavidyalaya
University Khonkaen Campus by way of completing the questionnaires of 50 staffs was found in a
high level, = 3.61 (S.D. = 0.54).
ง
3. The verification of system and mechanism on informative data management for the
administration of Mahachulalongkornrajavidyalaya University Khonkaen Campus was totally
66.06%.
4. The seminar on informative data management included data collection was
recommended the method of informative data management for attaching in work process as
obligation by interviewing 5 chief executives, 5 vice executives, and 5 primary executives. The
researchers had formed this study as operation manual of administrative division of Khonkaen
Campus and spread out to each department in which the purpose was to be the guideline for
permanent staffs. Meanwhile, there were administrative manuals for 14 curriculums in Khonkaen
Campus and the completed one was Bachelor of Education Program in Teaching Thai Language.
Keywords: Format, Administration, Information, Informative Data Management,
An Administrative Management of Informative Data for the Administration
จ
สารบัญ
เรื่อง หนา้
บทคัดยอ่ ภาษาไทย…..………………………………………….……………………………..…………………………..ก
บทคัดย่อภาษาองั กฤษ………………………………………….……………………………………..…………………..ข
บทที่ 1 บทนา………………………………………………………………………………………….…………..……....1
1.1 ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา……………………..…………………………..…………….…….1
1.2 วัตถปุ ระสงคข์ องโครงการวิจยั ……………….…………………………………………………….……..3
1.3 คาจากัดความของศัพท์ท่ีใชใ้ นการวิจัย….…………………………………………………….……….3
1.4 ขอบเขตของการวิจยั .....................................................................................................4
1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รบั …………….............................................................................4
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเก่ียวข้อง………………………………………..…...…………..………………..5
2.1 แนวคิดเก่ียวกบั การจดั การขอ้ มูลสารสนเทศ……………………….……………….…………..….5
2.2 แนวคดิ เกี่ยวกับการจดั การความรู้ (KM)……………………………..……………………………..21
2.3 แนวคิดเก่ียวระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร………..………………………………….………..31
2.4 แนวคดิ และทฤษฎีทางการจดั การ……………………………………………………………………..39
2.5 งานวิจัยที่เก่ยี วข้อง………………………………………………………………………..………………..60
2.6 กรอบแนวคดิ การวจิ ยั ………………………………………………………………………………………65
บทที่ 3 วิธีดาเนนิ การวจิ ยั ……….………………………………………….…………………………………………66
3.1 รูปแบบการวิจัย…………………………………………………………………….………………………..66
3.2 ประชากรและกลุม่ เป้าหมาย…………………….…………………………….………………………..66
3.3 เครอื่ งมือท่ีใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ……….…………………………….…………………..…..67
3.4 การสรา้ งเครือ่ งมือท่ใี ช้ในงานวิจัย……….…………………………..……….…………………..…..68
3.5 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล……….…………….…………………………….……………..……………..69
3.6 การจดั ทาเก็บขอ้ มลู และวิเคราะห์ข้อมูล……….…….……………………….…………………..…69
บทที่ 4 ผลการวจิ ัย………………….……………………………….………….………………………………………71
4.1 ขอ้ มลู ทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม……………….…………………….………..…….…..………71
4.2 รปู แบบการจัดการข้อมลู สารสนเทศมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย….....73
วิทยาเขตขอนแกน่
4.3 แนวทางการพฒั นารูปแบบการจัดการขอ้ มลู สารสนเทศมหาวทิ ยาลยั ………….…....….82
มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่
4.4 ปัญหาและอปุ สรรคในการการจัดการขอ้ มลู สารสนเทศและข้อเสนอแนะ……….….….83
4.5 รายการระบบและกลไกการทางานรปู แบบวธิ กี ารจดั การขอ้ มูลสารสนเทศ……….…...85
เพ่อื การบริหาร มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น
4.6 ผลการสัมภาษณ์เรื่อง การบริหารจดั การข้อมลู สารสนเทศเพือ่ การบริหาร……….…...93
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่
ฉ
สารบญั (ตอ่ )
เรื่อง หน้า
บทที่ 4 ผลการวจิ ัย……………………………………………………………………………….…………..…….....71
4.7 บทสรุปผลการศกึ ษารปู แบบการจดั การข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลยั ……….....….….99
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่
บทที่ 5 สรปุ อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ…..…………………………..…...…………..………………..102
5.1 สรุปผลการวิจัย.............................................……………………….……………….….……….102
5.2 อภปิ รายผลการวจิ ัย...............................……….…………………..……………………………..108
5.3 ขอ้ เสนอแนะ..................................................….……..……………………………….………..110
บรรณานุกรม…..………………………………………….…………….....………………..…………………………..111
ภาคผนวก…..………………………………………….…………….....………………..………………………....…..114
ภาคผนวก ก บทความวจิ ัย......………………………………………………....………….………………………115
ภาคผนวก ข กิจกรรมท่เี กยี่ วข้องกบั การนาผลจากโครงการวิจัยไปใช้ประโยชน์…………....……128
ภาคผนวก ค ตารางเปรียบเทียบวตั ถปุ ระสงค์ กจิ กรรมทวี่ างแผนไวแ้ ละกจิ กรรมที่ได้.....…....177
ดาเนนิ การมาและผลที่ได้รับของโครงการ
ภาคผนวก ง ตวั อย่างแบบสอบถามท่ีใชใ้ นการวิจยั .........................................…………....……...181
ภาคผนวก จ รายการตรวจสอบรปู แบบวิธกี ารจัดการข้อมูลสารสนเทศ..........................……..189
ภาคผนวก ฉ ตวั อย่างแบบสมั ภาษณ์..................................................................…………....……193
ภาคผนวก ช ภาพกิจกรรมการดาเนินการวิจยั ...............................................…………....……....195
ภาคผนวก ซ ประวตั คิ ณะผูว้ ิจยั ……….........................................................................…....……199
แบบสรุปโครงการวจิ ัย…………..............................................................…........…201
บทที่ 1
บทนา
1.1 ความสาคัญและท่ีมาของปัญหา
การพัฒนาระบบการบรหิ ารงานของมหาวทิ ยาลยั ซึง่ เป็นปัจจัยหลักตามแผนพฒั นาฯ ระยะ 5
ปีท่ีมหาวิทยาลัยจะต้องมีการพัฒนาให้มีความสอดคล้องกับการประกันคุณภาพการศึกษา ซ่ึงการ
ส่งเสริมการวิจัย การพัฒนานิสิต และการพัฒนาบุคลากรจะต้องมีการพัฒนาตามกรอบของ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัย แผนพัฒนาฯ ระยะ 5 ปีของ
มหาวิทยาลัยของแต่ละสถาบัน รวมทั้งการประเมินมาตรฐานการจัดการศึกษาภายในของสถาบัน
ผบู้ ริหารของแต่ละสถาบนั อดุ มศึกษาหลายคนมงุ่ หวังที่จะนาพาองค์กรของตนไปสู่ความสาเร็จหรือไปถึง
เป้าหมายที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น ระยะกลางหรือระยะยาวก็ตาม และความสาเร็จท่ีจะเกิดข้ึนได้
นั้นไม่ใช่เร่ืองง่าย โดยมักจะมีอุปสรรคหรือปัญหาต่าง ๆ อยู่เสมอท่ีถือว่าเป็นเร่ืองปกติการทางานท่ัว ๆ
ไป11ปจั จัยท่ีมอี ิทธิพลต่อประสิทธิผลขององค์การมากอีกปัจจัยหน่ึงคอื ผู้บริหารองคก์ าร ซึ่งเป็นบุคคลที่
มบี ทบาทสาคัญต่อการดาเนนิ การในฐานะที่เป็นผูค้ วบคุมบังบัญชาและรเิ ร่ิมกจิ กรรมต่าง ๆ ขององค์การ
ให้เป็นไปตามเป้าหมาย ในขณะเดียวกันผู้บริหารจะต้องรักษากาลังคนและบรรยากาศการทางานที่ดีไว้
ดว้ ย และเป็นบุคคลท่ีรบั ผิดชอบดแู ลการปฏบิ ตั งิ านต่าง ๆ จนประสบความสาเรจ็ ดว้ ยดี อาจกล่าวได้ว่า
ความสาเร็จของการบริหารจัดการเป็นผลมาจากความรว่ มมือระหว่างบุคลากรในองค์การภายใต้การนา
ของผบู้ รหิ ารงานในองค์การนนั้
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้เร่ิมดาเนินการประกันคุณภาพการศึกษาอย่าง
เป็นทางการเมื่อวันท่ี 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 โดยกองวิชาการ สานักงานอธิการบดีร่วมกับ
คณะกรรมการจัดการประชุมเสวนาการพัฒนาระบบประกันคุณภาพ ได้จัดสัมมนาโดยประชาสัมพันธ์
สร้างความเข้าใจและชี้แจ้งถึงความจาเป็นของการประกันคุณภาพการศึกษาตามพระราชบัญญั ติ
การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 254222มาตรา 4“มาตรฐานการศึกษา” ข้อกาหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะ
คุณภาพ ท่ีพึงประสงค์และมาตรฐานท่ีต้องการให้เกิดข้ึนในสถานศึกษาทุกแห่ง และเพ่ือใช้เป็นหลักใน
การเทียบเคียงสาหรับการส่งเสริมและกากับดูแล การตรวจสอบ การประเมินผลและการประกัน
คุณภาพการศึกษา “การประกันคุณภาพภายใน” การประเมินผลและติดตามตรวจสอบคุณภาพและ
มาตรฐานการศึกษาของสถานท่ีศึกษาภายในโดยบุคลากรของสถานศึกษานั่นเอง หรอื โดยหน่วยงานต้น
สังกัดที่มีหน้าท่ีกากับดูแลสถานศึกษาน้ัน ส่วน “การประเมินคุณภาพภายนอก” หมายความว่า การ
ประเมินผลและติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายนอก โดย
สานกั งานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศกึ ษาหรอื บคุ คลหรอื หนว่ ยงานภายนอกทส่ี านักงาน
1 รอฮมี ปรามาส, วกิ ฤต วสิ ยั ทัศน์ และวงชวี ิตสโู่ ลกอนาคต, (กรุงเทพมหานคร: สานักพมิ พ์มตชิ น, 2549),
หนา้ 13.
2 มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ค่มู อื การประกนั คุณภาพการศึกษาภายใน
ระดับอดุ มศึกษามหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลยั , 2544), หนา้ 17.
2
ดังกล่าวรับรอง เพื่อเป็นการประกันคุณภาพและให้มีการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของ
สถานศกึ ษา
ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสัมพันธ์กับการบริหารเป็นอย่างมาก และเป็นส่ิงจาเป็น
สาหรับองค์กรต่างๆ โดยเข้ามามีส่วนในการปฏิบัติงานประจาขององค์กรสร้างเครือข่ายการทางาน
ระหว่างพนักงานในองค์กรและบุคคลอ่ืนๆ ช่วยในกระบวนการบริหารจัดการและการตัดสินใจ รวมท้ัง
การวางแผนต่างๆ ท้ังในระยะสั้นและระยะยาว ช่วยในการสร้างการพัฒนาผลผลิตใหม่ บริการใหม่ มี
นวัตกรรมใหม่ๆ รวมท้ังปรับปรุงระบบการทางานเดิมให้มีประสิทธิภาพสูงข้ึน ลดรายจ่ายบางส่วน
ปรับปรุงคุณภาพการบริหารจัดการ จะเห็นได้ว่าการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีสารสนเทศมีรูปแบบท่ี
หลากหลายต้ังแต่การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการปฏิบัติงานประจา การดาเนินงาน งานบริหาร
หรืองานธุรการประจาขององคก์ ร ไปจนถงึ การสร้างระบบในการสนับสนนุ การตัดสินใจของผ้บู ริหาร
ดงั น้ันการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศขององค์กรจงึ จาเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วย
เพ่ือการบริหารซงึ่ จะชว่ ยให้ผู้ปฏิบัติงานในองค์กรสามารถทางานได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพประสทิ ธิผลมาก
ขึน้ และช่วยผู้บริหารในการคน้ หาปัญหาทอี่ าจเกดิ ขึ้นในระบบ โดยพิจารณาจากข้อมูลและสารสนเทศท่ี
องคก์ รสรา้ ง เพอื่ ดูวา่ มสี ถานการณ์ท่ีสอ่ ใหเ้ หน็ ว่ามีปญั หาเกดิ ข้นึ หรือไม่
และกาหนดประเด็นปัญหา ระบบสารสนเทศจะต้องเอื้อให้มีการค้นหาข้อมูลในระบบ
ฐานข้อมูล รวมทัง้ ข้อมลู ประกอบอืน่ ๆที่ชไ้ี ปถึงปัญหาหรือข้อระวงั ใดๆวิธีการค้นหาที่นามาใชจ้ ะแตกตา่ ง
กันไป ตามสถานการณ์ ระบบสารสนเทศจะช่วยในการสร้างสารสนเทศ และวิเคราะห์ทางแก้ปัญหา
ต่างๆ เพ่ือเสนอทางแก้ไข ระบบสารสนเทศจะต้องให้กระบวนการในการพิจารณาทางเลือกต่างๆ โดย
เร่ิมด้วยตัวแบบท่ีเหมาะสมและทดสอบข้อสมมติบานของตัวแบบ เสนอวิธีการสร้างทางเลือก และ
ทดสอบความเป็นไปได้ของทางเลือกเหล่านั้น รวมทั้งการประเมินทางเลือกเพื่อช่วยผู้บริหารตัดสินใจ
นอกจากน้ีเทคโนโลยีสารสนเทศยังช่วยในการข้ึน ติดตาม ประเมินผลการดาเนินงานของบุคคลและ
หน่วยงานตา่ งๆขององค์กร และช่วยจัดเก็บฐานข้อมูลที่สอดคล้องกับการประกนั คุณภาพการศึกษาให้มี
การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาด้วย อย่างไรก็ตามลักษณะการใช้และ
ลกั ษณะของสารสนเทศสาหรบั ผู้บรหิ ารแต่ละคนย่อมมีความแตกตา่ งกัน ทง้ั น้ีขน้ึ อยู่กับระดับการบรหิ าร
และขอบขา่ ยความรับผดิ ชอบของผบู้ ริหารนนั้ 33
เหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงศึกษางานวิจัยเร่ือง การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการ
บริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่ เน่อื งจากผวู้ ิจัยเป็นผู้ปฏิบัตงิ าน
และมีส่วนรับผิดชอบการจัดเก็บข้อมูลบุคลากรสายวิชาการ ข้อมูลเกี่ยวกับงานบริหารวิชาการ ข้อมูล
หลักสูตร ข้อมูลโครงการ/กจิ กรรม ข้อมลู เอกสารงานวชิ าการ ของวิทยาเขตขอนแก่น จึงมีความสนใจท่ี
จะศึกษาการบรหิ ารจดั การข้อมลู สารสนเทศเพื่อการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตขอนแก่นโดยมุ่งศึกษาวิธีจัดการข้อมูลสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตขอนแก่น การเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศ และการพัฒนาวิธีจัดการจัดการข้อมูลสารสนเทศ
เพื่อการบริหาร มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น เพ่ือนาเสนอผลงานวิจัย
3สุชาดา กีระนนั ท,์ เทคโนโลยีสารสนเทศสถิติ:ขอ้ มูลในระบบสารสนเทศ, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2552) หนา้ 16
3
ไปใช้เป็นข้อมูลประกอบการพัฒนาระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่ ใหม้ ีประสทิ ธิภาพมากยงิ่ ขนึ้
1.2 วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั
1.2.1 เพ่ือศึกษาวิธีจัดการข้อมูลสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วทิ ยาเขตขอนแกน่
1.2.2 เพ่ือพัฒนาวิธีจดั การจัดการข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
1.2.3 เพ่ือวิเคราะห์ การเช่ือมโยงข้อมูลสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น ไปยงั หน่วยงานภายในและหน่วยงานภายนอก
1.3 ขอบเขตของการวจิ ยั
ผู้วิจัยใช้กรอบแนวคิดเร่ืองการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหาร ศึกษาแนวคิด
การจัดการข้อมูลสารสนเทศ แนวคิด ทฤษฎีระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารอย่างย่ังยืน และเก็บ
ข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์ (Dept-Interview) และแบบสอบถาม (Questionnaire) จากกลุ่มตัวอยา่ งที่มี
ความเก่ียวข้อง คือบุคลากร และผู้บริหารของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต
ขอนแกน่ การศกึ ษาครงั้ นี้มีขอบเขตในการศึกษา ดงั น้ี
1.3.1 ขอบเขตด้านเอกสารขั้นปฐมภูมิ มุ่งเน้นศึกษาแนวคิดการจัดการข้อมูลสารสนเทศ
แนวคิด ทฤษฎีระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร แนวคิด ทฤษฎีการจัดการความรู้ตลอดถึงเอกสารทาง
วิชาการหนังสือ ตาราและเอกสารงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วข้อง
1.3.2 ขอบเขตด้านเน้อื หาแบง่ ออกเป็น 3 ประเด็นคอื
1) ศึกษาวิธี รูปแบบ การจัดการข้อมูลสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่
2) ศกึ ษาการพฒั นาวิธีการจัดการข้อมลู สารสนเทศเพ่ือการบริหาร มหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่นมุ่งเน้นศึกษา วิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศปัญหา
และอปุ สรรคเก่ยี วกบั การจัดการข้อมลู สารสนเทศ
3) ศึกษาการเชื่อมโยงขอ้ มลู สารสนเทศระหว่าง มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่นทั้งหน่วยงานภายในและหน่วยงานภายนอกมุ่งเน้นศึกษาวิธีเชื่อมโยง
ข้อมลู สารสนเทศหน่วยงานภายในและหนว่ ยงานภายนอก ศึกษาทั้งหมด 5 ดา้ น
- ดา้ นการศกึ ษา - ด้านการเงนิ
- ดา้ นการวจิ ยั - ด้านพฒั นานิสติ
- ด้านทรัพยากรมนษุ ย์
1.3.3 ขอบเขตดา้ นพนื้ ทแี่ ละกลมุ่ ประชากร (Field Study)
ใช้แบบสัมภาษณ์กรณีตัวอย่างเจ้าหน้าท่ีผู้ปฏิบัติงานแต่ละกลุ่มงานท่ีนาแนวคิดการจัดเก็บ
ขอ้ มูลสารสนเทศไปประยุกตใ์ ช้กบั การจดั เก็บข้อมูลและสมั ภาษณผ์ บู้ ริหารและผู้มสี ่วนเก่ยี วข้องดังนี้
1) พืน้ ท่กี ารศึกษา
ขอบเขตดา้ นพนื้ ท่สี าหรับการวิจยั ผูว้ จิ ยั กาหนดเขตพื้นทส่ี าหรบั การวิจัย โดยจากัด
4
เฉพาะมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่
2) กลุ่มเป้าหมาย บุคคลกรมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต
ขอนแก่น รวมท้งั สน้ิ 86 รูป/คน โดยแยกไดด้ ังนี้
- ด้านปริมาณ คือ จากการแจกแบบสอบถาม บุคลากรท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องระดับ
ปฏบิ ัติการ จานวน 50 รปู /คน
- ดา้ นคณุ ภาพ การสัมภาษณเ์ ชงิ ลึก ได้แก่
2.1) สัมภาษณ์ผบู้ รหิ ารระดบั สูง จานวน 5 รูป/คน
2.2) สัมภาษณ์ผู้บรหิ ารระดบั กลาง จานวน 5 รปู /คน
2.3) สมั ภาษณผ์ ู้บริหารระดบั ตน้ จานวน 5 รูป/คน
2.4) สมั ภาษณบ์ คุ ลากรระดบั ปฏิบัตกิ าร กล่มุ งานละ 3 รูป/คน
1.4 นิยามศัพท์ทีใ่ ชใ้ นการวจิ ยั
การจัดการ หมายถึง การตดั สินใจเกย่ี วกบั การวางแผนและควบคุมการปฏบิ ตั ิงาน
ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริง ข่าวสาร สัญลักษณ์ ท้ังตัวเลขและตัวหนังสือท่ียังไม่ผ่านการ
ประมวลผล
การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร หมายถึง การบริหารจัดการข้อมูล
สารสนเทศ ดา้ นการศึกษา ดา้ นการเงนิ ด้านการวิจัย ดา้ นพัฒนานิสิต และดา้ นทรัพยากรมนษุ ย์
สารสนเทศ หมายถึง ข้อมลู ซง่ึ ผ่านการเลือกสรรแลว้ โดยการประมวลผล เกดิ จากการวิเคราะห์
ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงแล้วจัดระเบียบให้เป็นความรู้หรือข่าวกรอง ซ่ึงจะใช้เป็นข้ออ้างอิงเป็นพ้ืนฐานใน
การคาดการณล์ ว่ งหนา้ หรอื ชว่ ยในการวนิ จิ ฉยั สั่งการได้ทันที
การเชอ่ื มโยง หมายถึง ระดับความสามารถในการเช่ือมโยงระหว่างฐานข้อมูลตา่ งๆ เพื่อใช้เป็น
เครอื ขา่ ยในการปฏิบตั งิ านเพ่ือการบริหาร
สารสนเทศเพ่ือการบริหาร หมายถึง สารสนเทศท่ีเอื้ออานวยให้สามารถมีข้อมูลที่นามาใช้ใน
การบริหารประกอบด้วยบุคคลท่ีรวมกันเป็นโครงสร้าง มีระเบียบ วิธีการปฏิบัติที่ช่วยให้ข้อมูลท่ีถูกต้อง
บริหารและใช้วิธีการประมวลผลท้ังด้วยมือและด้วยเครื่องจกั ร สามารถเรยี กใช้ได้ทันความต้องการของ
ผบู้ รหิ ารและเปน็ ประโยชน์ในการวางแผนและควบคมุ งานให้ดาเนินการไปอย่างมีประสทิ ธภิ าพ
1.5 ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะไดร้ ับ
1.5.1 ทราบวิธีจัดการข้อมูลสารสนเทศ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตขอนแก่น
1.5.2 ทราบวิธีพัฒนาวธิ ีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ ของมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น
1.5.3 ทราบผลวิเคราะห์ การเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่ ไปยงั หน่วยงานภายในและหน่วยงานภายนอก
1.5.4 นาผลจากการศึกษาน้ีไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการวิธีการจัดการข้อมูล
สารสนเทศ ของมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่
5
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กี่ยวขอ้ ง
การวิจัยเร่ือง “การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น” น้ี ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีต่าง ๆ จากเอกสาร และ
งานวจิ ยั ท่เี กย่ี วขอ้ ง เพื่อใช้ในการกาหนดกรอบแนวคดิ และทศิ ทางการวิจยั มีสาระสาคัญดงั นี้
2.1 แนวคิดเกยี่ วกับการจดั การขอ้ มูลสารสนเทศ
2.2 แนวคิดเกยี่ วกับการจัดการความรู้ (KM)
2.3 แนวคดิ เกยี่ วระบบสารสนเทศเพื่อการบรหิ าร
2.4 แนวคิดและทฤษฎีทางการจัดการ
2.5 งานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวข้อง
2.6 กรอบแนวคดิ การวิจัย
2.1 แนวคดิ เกีย่ วกบั การจดั การข้อมลู สารสนเทศ
สมาคมการจัดการระบบ (Association for Systems Management) ได้ให้ความหมายของ
ข้อมูลไว้ว่า “ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริง (facts) การติดต่อ (transaction) หรือ สถิติ (statistics) ท่ีไม่มี
ความสมั พนั ธห์ รือการแปลความหมาย”4
2.1.1 ความหมายของสารสนเทศ
กรมวิชาการ ให้ความหมายของข้อมูลไว้ว่า ข้อมูล หมายถึง “ตัวเลข ภาษาข้อเท็จจริงเหล่าน้ี
เป็นการรวบรวมมาโดยไม่ผ่านการประมวลผลหรือการวิเคราะหก์ ารจัดกระทา จึงทาให้ไม่มีความหมาย
ทจี่ ะนาไปใช้ประกอบการตดั สนิ ได้”5
ณัฏฐพันธ์ เขจรนันท์และคณะ ได้ให้ความหมายของคาว่า ข้อมูล หมายถึง “ข้อมูลดิบ (raw
dada) ท่ีถูกเก็บรวบรวมจากแหล่งต่างๆ ท้ังภายในและภายนอกองค์กร โดยข้อมูลดิบ จะยังไม่มี
ความหมายในการนาไปใชง้ านหรือตรงความตอ้ งการของผใู้ ช้เท่าที่ควร”6
ไพโรจน์ คชชา กลา่ วว่า สารสนเทศ (information) หมายถึง “ขอ้ มลู ตา่ งๆ ที่ได้ผ่าน
การเปล่ียนแปลงหรอื มกี ารกระทาการประมวลผลหรือการวเิ คราะหผ์ ลให้อยู่ในรปู แบบที่มีความสัมพันธ์
กัน มีความหมายหรือมีคณุ คา่ เพ่ิมข้ึนหรือมีวัตถุประสงค์ในการใช้งานอย่างใดอยา่ งหนงึ่ ”7
4 ทองอินทร์ วงศโ์ สธร, ประเภทและลักษณะของสารสนเทศเพ่อื การบริหารการศึกษา ในประมวลสาระชุด
วิชาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและเทคโนโลยการบริหารการศึกษา หน่วยท่ี 1 ( ตอนที่ 1.3), (นนทบุรี:
มหาวทิ ยาลยั สุโขทยธรรมาธริ าช, 2537), หนา้ 113.
5 กรมวิชาการ, หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน, พิมพ์คร้ังท่ี 2 , (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพองคการรับส
งสินคา้ และพสั ดุภัณฑ,์ 2544), หน้า 2.
6 ณัฏฐพันธ์ เขจรนันท์และคณะ, TQAM กลยุทธ์การสร้างองค์การคุณภาพ, (กรุงเทพฯ : เอ็กซเปอร์เน็ท,
2545), หนา้ 110.
7 ไพโรจน์คชชา, ระบบข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหารงานโรงเรียน. กรุงเทพฯ: สหธรรมิก, 2540), หน้า
199.
6
สุภาพร พิศาลบุตร และนารีรัตน์ หวังสุนทราพร กล่าวว่า สารสนเทศ เป็นข้อมูลที่
รวบรวมไว้แล้วได้รับการเรียบเรียง ทาการวิเคราะห์ประมวลผล หรือผสมผสานข้อเท็จจริงต่าง ๆ เข้า
ด้วยกัน อันเป็นกระบวนการในการเพิ่มคุณค่าให้กับข้อมูลน้ัน ๆ เพื่อทาให้ข้อมูลนั้นมีความหมาย
สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ได8้
สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ให้ความหมายของ สารสนเทศ ว่า
เป็นข้อมูลท่ีผ่านการตรวจสอบแล้ว เป็นการประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล การเปรียบเทียบผลการ
ดาเนินงาน ต้ังแต่เริ่มดาเนินงานและจัดทาให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมจะนาไปใช้ ได้อาจอยู่ในรูปแบบต่าง
ๆ ตามความเหมาะสม เช่น แผนภูมิแผนผัง ท้ังน้ีเนื้อหาสาระของสารสนเทศ ที่นาเสนอมีความถูกต้อง
ตรงกับความเป็นจริง ตรงต่อความต้องการของผู้ใช้มีความสมบูรณ์ครอบคลุม เพียงพอต่อการตัดสินใจ
ใชง้ า่ ยมีความชัดเจน ไม่ยุง่ ยากซบั ซอ้ น ดึงดูดความสนใจของผู้พบเห็นให้มี ความต้องการใชแ้ ละสามารถ
จดั เป็นระบบได้ตั้งแต่การเตรียมการจัดเกบ็ ขอ้ มูล การประมวลผลและ การวิเคราะห์ข้อมูล การนาไปใช้
ประโยชนก์ ารปรับแกใ้ ห้เหมาะสม ปรบั เปลีย่ นไปใช้ได้ในหลากหลาย สถานการณ9์
จากที่กล่าวสรุปได้ว่า สารสนเทศ เป็นข้อมูลท่ีผ่านการวิเคราะห์และประมวลผลก่อน
นาไปจัดเก็บเป็นฐานข้อมูลต่างๆ อย่างเป็นระบบ เพ่ือใช้ในการประกอบการทางานหรือเพื่อสนับสนุน
การตัดสนิ ใจในการลงมือปฏิบัติงานตา่ งๆ ใหไ้ ดต้ ามวัตถปุ ระสงคข์ องงาน
2.1.2 ความสาคัญของสารสนเทศ
มนี กั การศกึ ษาหลายทานไดกล่าวถงึ ความสาคัญของสารสนเทศ ไวหลายทศั นะ ดงั นี้
สานิตย์ กายาผาด กล่าวว่า การบริหารการศึกษาจาเป็นต้องสอดคล้องกับสภาพ
เศรษฐกิจและสังคมท่ีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผู้บริหารการศึกษาจึงต้องใช้ข้อมูลสารสนเทศที่มี
ความรวดเร็วทนั เหตุการณเ์ พ่ือชว่ ยในการตัดสนิ ใจ10
ดังน้ัน ต้องมีการพัฒนาองค์ความรู้ด้านการจัดระบบสารสนเทศในหน่วยงานอยู่
ตลอดเวลา แต่ความสาคัญของสารสนเทศน้ันมีมาก มีส่วนช่วยในการตัดสินใจให้เป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ ในทางตรงกันข้ามหากผู้ปฏิบัติงานหรือผู้บริหารไม่สนใจนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้
ประกอบการตัดสนิ ใจ การปฏบิ ัติงานจะไม่แตกต่างกับการลองผิดลองถกู และต้องเสยี่ งต่อความผิดพลาด
ที่จะเกิดสูง11
8 สุภาพร พิศาลบุตรและนารีรัตน์ หวังสุนทราพร, ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร ทรัพยากรมนษย์,
(กรงุ เทพมหานคร ว.ี เจ.พรน้ิ ต้งิ ,2547), หนา้ 27.
9 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, แนวทางการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา เพ่ือพร้อม
รบั การประเมินภายนอก, (กรงุ เทพฯ: พิมพ์ดี, 2544), หนา้ 12.
10 สานิตย์ กายาผาด, เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือชีวิต, พิมพ์ครั้งที่2, (กรุงเทพฯ : เฮิร์ดเวฟ 154 เอ็ด
ดูเคชั่น, 2542), หน้า 129.
11 อ้างแล้ว, กรมวิชาการ, หลกั สูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน, พมิ พ์คร้งั ที่ 2 , (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พองค
การรับสงสนิ คา้ และพัสดุภณั ฑ,์ 2544), หนา้ 8.
7
จิตติมา เทียมบุญประเสริฐ (2544, 10) ได้กล่าวถึง ความสาคัญของสารสนเทศท่ี
จาเป็นต่อผู้บริหารว่าผู้บริหารระดับสูงจะใช้ข้อมูลสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจ การวางแผน
การดาเนนิ งานหรอื ใช้ในการแกป้ ญั หาต่างๆ ท่เี กิดขึน้ 12
กมล ภู่ประเสริฐ (2547, 77 – 80) ปัจจุบันทางการศึกษามองเห็นความสาคัญของ
ระบบ ข้อมูลและสารสนเทศมากขึ้น เพราะว่าระบบนี้มีส่วนส าคัญยิ่งต่อการตัดสินใจในการดาเนินงาน
ตา่ งๆ ช่วยการตัดสินใจใหถ้ ูกต้อง วางแผนการดาเนินการได้เหมาะสมเกิดผลทด่ี ีตอ่ การพัฒนาการศึกษา
ระบบข้อมูลสารสนเทศมีแนวคิดที่เก่ียวข้องและมีภารกิจในการบริหารข้อมูลและสารสนเทศหลาย
ประการ ดงั ตอ่ ไปนี้
1) ระบบข้อมูลและสารสนเทศทางการศึกษา หมายถึง ระบบดาเนินงานในการ
รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์จัดเก็บการใช้ข้อมูลและสารสนเทศให้เป็นประโยชน์ต่อครูอาจารย์ผู้บริหาร
ผู้เรียนชุมชน และหน่วยงานต่างๆ ดังนั้น จึงมีข้ันตอนในการดาเนินงาน เช่นเดียวกับงานอ่ืนๆ ได้แก่ มี
การวางแผน การดาเนินงาน และการประเมนิ ผล
2) ข้อมูลสารสนเทศท่ีมีคุณภาพ จะต้องมีความถูกต้อง ทันต่อสภาพความเป็นจริงใน
ปัจจุบัน และตรงกับความต้องการใช้ประโยชน์ในการวางแผนการดาเนินงาน ระบบข้อมูลและ
สารสนเทศ จงึ ต้องคานึงถึงแหล่งข้อมูลท่ีเช่ือถือได้การรวบรวมข้อมูลอย่างสม่าเสมอในช่วงท่ีเหมาะสมที่
จะนาไป ประมวลผลจัดเก็บและนาไปใช้และต้องตระหนกั ถึงความเปล่ียนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น อันมีผล
ใหข้ ้อมลู เปลี่ยนแปลงไป
3) ข้อมูลสารสนเทศทางวิชาการท่ีมีความต้องการสูง ได้แก่ ข้อมูลและสารสนเทศที่
เกย่ี วกับหลกั สูตรการเรยี นการสอน การประเมนิ ผลการเรียนและการพัฒนาบคุ ลากร ดงั น้ี
กล่าวโดยสรุป สารสนเทศเป็นหัวใจของการบรหิ ารเกือบทุกขั้นตอน ไม่ว่าองค์การน้ัน
จะเปน็ องคก์ ารทเ่ี ลก็ หรอื ใหญ่ ลว้ นต้องการระบบสารสนเทศท่ดี ีเหมาะสมตอ่ ลักษณะการปฏิบัติงาน
2.1.3 ความสาคัญของข้อมลู สารสนเทศ
แม้จะยอมรับว่าข้อมูลและสารสนเทศเป็นส่ิงจาเป็นและเป็น เครื่องมือช้ีนาในการ
บริหารและดาเนินงานทางการศึกษาได้แต่น่ันหมายถึง ข้อมูลและสารสนเทศ เหลา่ นั้นจะต้องมีคุณภาพ
ทั้งในดา้ นความถกู ต้อง เชือ่ ถอื ไดม้ ีความเป็นปัจจบุ ัน สามารถตอบสนองผู้ใช้ไดท้ ันเหตกุ ารณ์ดังน้นั การที่
จะสรา้ งระบบสารสนเทศใหม้ ีคณุ ภาพไดน้ น้ั จงึ ควรทจี่ ะต้องคานงึ ถงึ ปจั จัยต่อไปน้ี13
1. มกี ารตรวจสอบความถูกตอ้ ง (Verifiability)
2. มีความถกู ตอ้ งแมน่ ยา (Accuracy)
3. มีความสมบรู ณ์และครอบคลมุ (Comprehensiveness)
4. มคี วามชัดเจน (Clarity) ไมต่ อ้ งตีความ แตม่ ีความกะทัดรัดได้ใจความ
5. มคี วามเกยี่ วขอ้ งตรงตอ่ ความต้องการของผใู้ ช้(Relevance)
12 จิตตมิ า เทียมบุญประเสริฐ, ระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ : โปรแกรมวิชา
วิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลยีสถาบันราชภัฏสวนดสุ ติ , 2544), หน้า 10.
13 อ้างแล้ว, กรมวิชาการ, หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน, พิมพ์คร้ังที่ 2 , (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพองค
การรบั สงสินคา้ และพสั ดภุ ัณฑ,์ 2544), หน้า 9.
8
6. มีความยืดหยุ่น (Flexibility) ปรบั ใชไ้ ด้หลายสถานการณ์
7. ใชไ้ ด้งา่ ยและรวดเร็ว (Accessibility)
8. มีการจัดระบบต้ังแต่การเตรียมข้อมูลนาเข้า มีการประมวลผลและสามารถนาผล
รายงานไดใ้ นเวลาทีท่ ันตอ่ เหตกุ ารณ์ (Timeliness)
เกรยี งศักดิ์ พราวศรี ไดก้ ล่าวถึง สารสนเทศที่มีคุณภาพ จะต้องมีคุณสมบัติ 3 ประการ
คอื 14
1) ความถูกต้อง มีความถูกต้องสมบูรณ์มากที่สุด เพ่ือเป็นสารสนเทศที่มีคุณค่า
สาหรับการบรหิ ารงานของผบู้ ริหาร
2) ตรงกับความต้องการสารสนเทศจะต้องตรงเรื่องท่ีต้องการใช้ โดยมีรายละเอียด
เหมาะสม ชัดเจนและเพียงพอ
3) ทันต่อการใช้งาน สารสนเทศจะต้องรวดเร็วทันเวลาและการใช้งาน การจัดเตรียม
สารสนเทศให้ทันต่อการใช้งานอาจเตรียมได้ 2 ลักษณะ คือ จัดทาล่วงหน้ากับการจัดทาตาม
กาหนดเวลาที่เหตุการณ์นั้นๆ กาลังเกิดข้ึน การจัดทาสารสนเทศจะต้องมีความยืดหยุ่น สามารถรองรับ
ความจาเป็นเร่งดว่ นในการใชไ้ ด้
ข้อมูลเป็นวัตถุดิบสาคัญในการจัดทาสารสนเทศเพื่อให้สารสนเทศนั้ นมีคุณภาพ
เหมาะสมและตรงกับความต้องการของผู้ใช้ ระบบสารสนเทศจะต้องมีข้อมูลที่ถูกต้องและมีคุณภาพท่ี
เพียงพอไวใ้ นระบบ ซึ่งควรมีคณุ สมบัติ ดงั ต่อไปนคี้ ือ15
1) ถูกต้อง ข้อมูลท่ีดีจะต้องมีความถูกต้องและปราศจากความคลาดเคลื่อนเพื่อให้
สารสนเทศเกดิ ความเช่ือถอื มากข้นึ
2) ทันเวลา ทันต่อเหตกุ ารณ์และไม่ล้าสมัย
3) สอดคล้องกับงาน สารสนเทศท่เี ป็นประโยชน์ต่อผู้บรหิ ารจะต้องไดม้ าจากข้อมลู ท่ีมี
สาระตรงกันหรอื สัมพันธก์ ับปญั หาของงาน
4) สามารถตรวจสอบได้ ข้อมูลท่ีได้มาอาจมาจากภายในและภายนอกองค์กรซึ่งผู้ใช้
ต้องทาการตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือได้ของสารสนเทศก่อนนามาใช้งาน มิเช่นน้ันจะ
ทาใหเ้ กิดความเสยี หายกบั องคก์ รได้
ศรีไพร ศักดิ์รุ่งพงศากุล กล่าวถึง คุณลักษณะของสารสนเทศที่มี คุณภาพว่า
สารสนเทศจะช่วยให้ผู้บริหารสามารถใช้สารสนเทศนั้น ๆ ในการตัดสินใจได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
คุณลกั ษณะของสารสนเทศทดี่ ีมคี ุณภาพ16 ควรมลี กั ษณะ ดังนี้
1) ถูกต้องแม่นยา (Accurate) สารสนเทศที่มีความถูกต้องปราศจากข้อผิดพลาด
อย่างไร ก็ตาม ถ้าข้อมูลท่ีป้อนเข้าสู่ระบบการประมวลผลไม่ถูกต้อง อาจก่อให้เกิดสารสนเทศที่ไม่
ถกู ต้องซงึ่ มกั เรยี กทัว่ ๆ ไปว่า GIGO (Garbage In Garbage Out)
14 จิตตมิ า เทียมบุญประเสริฐ, ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ : โปรแกรม วชิ า
วิทยาการคอมพวิ เตอร์ คณะวิทยาศาสตรเ์ ทคโนโลยสี ถาบนั ราชภฏั สวนดสุ ติ , 2544), หนา้ 46.
15 อ้างแล้ว, ณัฏฐพันธ์ เขจรนันท์และคณะ, TQAM กลยุทธ์การสร้างองค์การคุณภาพ, (กรุงเทพฯ : เอ็กซ
เปอร์เนท็ , 2545), หนา้ 122-123.
16 ศรีไพรศักดิ์ รุ่งพงศากุล, เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดดูเคชั่น . สถาบัน
สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย,ี กรุงเทพฯ : สถาบันฯ 2547), หน้า 153 – 154.
9
2) สมบูรณ์ครบถ้วน (Complete) สารสนเทศที่มีความสมบูรณ์ต้องประกอบด้วย
ข้อเท็จจริงท่ีส าคัญอย่างครบถ้วน ตัวอย่างเช่น ใบรายงานผลการเรียนของนักเรียนแต่ละภาค
การศกึ ษาจะต้องประกอบดว้ ยผลการเรียน (เกรด) แต่ละรายวิชาท่ลี งทะเบียน พร้อมทั้งเกรดเฉล่ีย และ
เกรดเฉล่ยี สะสม (GPA) เปน็ ต้น
3) เข้าใจง่าย (Simple) สารสนเทศท่ีมีคุณภาพจะต้องเข้าใจง่าย ไม่ซ้าซ้อนต่อการทา
ความ เข้าใจ กล่าวคือ ต้องไม่แสดงรายละเอียดที่ลึกมากเกินไป เพราะจะทาให้ผู้ที่นาไปใช้ใน การ
ตดั สินใจ สบั สน และไม่สามารถตดั สินใจได้วา่ ขอ้ มูลหรอื สารสนเทศใดมีความจาเปน็ จรงิ ๆ
4) ทันต่อเวลา (Timely) สารสนเทศท่ีดีนอกจากจะมีความถูกต้องแล้ว ข้อมูลต้อง
ทนั สมยั รวดเรว็ ทันตอ่ เวลา และความตอ้ งการของผู้ใช้ในการตัดสินใจ
5) เช่ือถือได้ (Reliable) ข้ึนอยู่กับความน่าเชื่อถือของวิธีการรวบรวมข้อมูลที่นาเข้าสู่
ระบบ
6) คุ้มค่า (Economical) สารสนเทศที่ผลิตควรจะต้องมีความประหยัด เหมาะสม
คุ้มค่า กับราคาผู้บริหารมักจะพิจารณาถึงคุณค่าของสารสนเทศกับราคาท่ีจะต้องจ่ายเพ่ือการได้มา ซึ่ง
สารสนเทศน้ันๆ
7) ตรวจสอบได้(Verifiable) สารสนเทศจะต้องตรวจสอบความถกู ต้องได้กลา่ วคอื ผ้ใู ช้
สามารถตรวจสอบขอ้ มูล เพื่อความม่ันใจมีความถูกต้องต่อการนาไปตัดสินใจได้ซึ่งอาจมีการ ตรวจสอบ
ข้อมูล โดยการเปรยี บเทียบขอ้ มูลลักษณะเดยี วกนั จากแหล่งข้อมลู หลายๆ แหล่ง
8) ยืดหยุ่น (Flexible) สารสนเทศท่ีมีคุณภาพนั้น ควรจะสามารถนาไปใช้ได้ใน
วัตถุประสงค์ท่ีแตกต่างกันหลายๆ ด้าน เช่น รายงานสินค้าคงคลัง พนักงานขายอาจใช้สาหรับ
ตรวจสอบวา่ มีสินคา้ เหลอื อยู่ในคลังสินคา้ เท่าใด เพียงพอกับการขายหรือไม่ ในขณะท่ผี ู้จดั การฝา่ ย ผลิต
ใชร้ ายงานนสี้ าหรับชว่ ยตดั สนิ ใจว่า จะผลิตสินค้าเพ่ิมอกี เท่าใด
9) สอดคล้องกับความต้องการ (Relevant) สารสนเทศท่ีมีคุณภาพจะต้องมีความ
สอดคล้องตามวตั ถปุ ระสงค์และสนองต่อความต้องการของผู้ใชเ้ พื่อการตดั สินใจ
10) สะดวกในการเข้าถึง (Accessible) สารสนเทศจะต้องง่ายและสะดวกต่อการ
เข้าถึง ข้อมูลตามระดับสิทธิของผู้ใช้เพ่ือจะได้ข้อมูลหรือสารสนเทศที่ถูกต้องตามรูปแบบและทันต่อ
ความ ต้องการ
11) ปลอดภยั (Secure) สารสนเทศจะตอ้ งถูกออกแบบและจัดการให้มีความปลอดภัย
จากผูท้ ่ีไม่มีสทิ ธิในการเขา้ ถงึ ข้อมูลหรอื สารสนเทศนั้น
กล่าวโดยสรุป จะเห็นได้ว่าคุณลักษณะของสารสนเทศที่มีคุณภาพน้ัน ต้องมีคุณสมบัติ
ท่ีเหมาะสม ได้แก่ ชัดเจน เชื่อถือได้มีความทันสมัยทันต่อเหตุการณ์มีความถูกต้องแม่นยา มีความ
สมบรู ณค์ รบถว้ น ตรงตามความตอ้ งการ เรียกใช้งา่ ย มคี วามยืดหยุ่น และต้องตรวจสอบได้
2.1.4 ประเภทของสารสนเทศ
การจดั แบ่งประเภทของสารสนเทศน้นั ได้มผี ูจ้ ัดแบ่งสารสนเทศ โดยยดึ หลกั ตา่ งๆ พอ
สรปุ ไดด้ งั น้ี
10
1) สารสนเทศแบ่งตามวธิ ีการท่ีได้มา วิธีการที่ได้มาแบง่ ออกเป็น 2 วิธี คอื สารสนเทศ
เป็นทางการและสารสนเทศไมเ่ ป็นทางการ17
1.1) สารสนเทศแบบเป็นทางการ เป็นสารสนเทศท่ีได้มาด้วยวิธีการที่มีแบบแผน
ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของแบบฟอร์มท่ีออกใช้ในองค์กรหรือรายการต่างๆ ที่เกิดข้ึนท้ังในและนอกองค์กร
เช่น ตัวบทกฎหมาย นโยบายของกระทรวง นโยบายของกรม สัญญาจัดซ้ือจัดจ้าง แบบบันทึกประวัติ
ของข้าราชการ ประวัตนิ ักเรียน บญั ชกี ารเงิน
1.2) สารสนเทศแบบไม่เป็นทางการ เป็นสารสนเทศท่ีได้มาแบบไม่มีแบบแผนที่
แน่นอน เช่น ความคิดเห็น คาวิพากษ์วิจารณ์ ข่าวลือ ประสบการณ์ของแต่ ละบุคคล เป็นต้น
สารสนเทศชนดิ น้ี จะไม่มีแบบฟอรม์ ทแี่ น่นอนและไมส่ ามารถนาไปประมวลผลได้
2) สารสนเทศแบ่งตามแหล่งที่มา แหล่งที่มาสารสนเทศแบ่งได้อย่างกว้างๆ ได้ 2
แหล่งที่มา คือ สภาพแวดลอ้ มภายในองค์กร และสภาพแวดล้อมภายนอกองค์กร ซ่ึงมีความแตกต่างกัน
ดังนี้
2.1) สารสนเทศจากสภาพแวดล้อมภายนอกองคก์ ร ไดแ้ ก่สารสนเทศทบี่ ่งบอกถึง
ความเป็นไปขององค์กรอื่น และส่ิงต่างๆที่เก่ียวข้องกับองค์กร เช่น การเปลี่ยนแปลงวิธีการคัดเลือก
นักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของรัฐ จานวนพนักงานในโรงงาน
อุตสาหกรรม ทีจ่ บชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 เปน็ ตน้
2.2) สารสนเทศจากสภาพแวดล้อมภายในองค์กร ได้แก่ สารสนเทศที่อธิบายถึง
ทรัพยากรต่างๆ ท่ีมีอยู่ในองค์กร ท้ังท่ีมีตัวตนและไม่มีตัวตน เช่น จานวนนักเรียน จานวนครู จานวน
ครุภณั ฑ์ กระบวนการเรยี นการสอน การจดั กจิ กรรมนกั เรียน ตามลาดับ เป็นตน้
3) สารสนเทศท่ีจัดแบ่งตามหน้าท่ีในองค์กร การจัดแบ่งสารสนเทศตามหน้าที่ ในการ
ทางานน้ีเป็นท่ีนิยมโดยทั่วไป โดยเฉพาะงานหรือโครงการซ่ึงมีการปฏิบัติงานตามหน้าท่ีและความ
รับผิดชอบท่ีแตกต่างกัน ตัวอย่างของสารสนเทศท่ีเกี่ยวกับการบัญชี สารสนเทศที่เก่ียวกับการเงิน
สารสนเทศเกี่ยวกับบุคลากร เป็นต้น การแบ่งประเภทโดยยึดหลักของหน้าท่ีนี้ นิยมใช้ในการออกแบบ
และพัฒนาระบบสารสนเทศในองค์กร โดยใช้วิธีการวเิ คราะห์รายละเอยี ดตามความต้องการสารสนเทศ
ของแต่ละหน้าทโี่ ดยครบถ้วน
4) สารสนเทศทแ่ี บ่งตามกรอบของเวลาและความสัมพันธ์ การจัดแบ่งสารสนเทศแบบ
น้ีนอกจากจะสมั พันธ์กับเวลาแลว้ ตัวสารสนเทศเองยังสัมพันธ์กบั การบรหิ ารงานในองคก์ รดว้ ย
การจดั แบง่ สารสนเทศ วิธีน้สี ามารถแบ่งได้ 3 ประการคอื
4.1) สารสนเทศที่เป็นประวัติศาสตร์ ได้แก่ สารสนเทศที่เกิดข้ึนในอดีต เช่น
ผลกระทบที่เกิดข้ึนกับองค์กรเมื่อมีการปรับโครงสร้างทางภาษีในอดีตท่ีผ่านมา ผลกระทบที่เกิดจาก
อาคารสถานที่ เปน็ ตน้
4.2) สารสนเทศเพ่ือการวางแผน สารสนเทศประเภทนี้แบ่งออกเปน็ 3 ประเภท
คอื
17 อ้างแล้ว, ทองอินทร์ วงศ์โสธร, ประเภทและลกษณะของสารสนเทศเพ่ือการบริหารการศึกษา ใน
ประมวลสาระชุดวิชาระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการและเทคโนโลยการบริหารการศึกษา หน่วยท่ี 1 ( ตอนที่
1.3), (นนทบรุ :ี มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยธรรมาธิราช, 2537), หนา้ 132.
11
- สารสนเทศจาแนกตามระดับของการกาหนดนโยบายและแผน ได้แก่
สารสนเทศประเภทน้ี จาแนกได้เป็น 2 ระดบั คอื
ระดับสถาบัน เป็นการกาหนดนโยบายและแผนในระดับสถานศึกษาที่มีขอบข่าย
เน้นเฉพาะของสถาบัน ข้อมลู มลี ักษณะทเ่ี ป็นรายละเอียดมากกวา่
ระดับท่ีสูงกว่าสถาบัน ได้แก่ ระดับชาติ เช่น การวางแผนพัฒนาการศึกษาของ
ชาติ เป็นต้น ระดับกรม ระดับเขตการศึกษา ระดับจังหวัด เป็นต้น สารสนเทศระดับนี้มีขอบข่ายกว้าง
กว่า เน้นท่ภี าพรวมและมขี ้อมูลท่เี ป็นลักษณะสรปุ รวม
- สารสนเทศ จาแนกตามระดับขององค์กร องค์กรโดยท่ัวไปแบ่งได้เป็น 3 ระดับ
คือ ระดับนโยบาย ระดับการจัดการ และระดับปฏิบัติการ ความต้องการของสารสนเทศขององค์กรใน
แต่ละระดบั แตกต่างกนั ระดับนโยบายและระดับการจัดการจะใช้สารสนเทศที่มีแหลง่ ทมี่ าจากภายนอก
ที่มีขอบข่ายกว้างขวาง เน้นในภาพรวม ไม่เน้นรายละเอียด เก่ียวข้องกับอนาคตมากกว่าปัจจุบันหรือ
อดีต ส่วนในระดับปฏิบัติการ จะใช้สารสนเทศภายในที่มีขอบข่ายแคบแต่มีรายละเอียดมาก ข้อมูลเป็น
ทงั้ ข้อมูลในอดตี และขอ้ มูลปจั จบุ ัน มคี วามทันสมยั และมีความถกู ตอ้ งมาก
- สารสนเทศ จาแนกตามประเภทของแผน แผนจาแนกออกเป็น 5 ประเภท คือ
แผนระยะสนั้ การจดั ทางบประมาณ แผนประจาปี แผนระยะยาว และแผนกลยุทธ์18
(ทองอินทร์ วงศโ์ สธร, 2537) ความตอ้ งการสารสนเทศของแต่ละแผน แต่ละประเภทต่างกนั ดังนี้
การพยากรณ์ระยะสั้น ใช้สารสนเทศท้ังภายใน และภายนอกเป็นข้อมูลลักษณะ
สรุปรวมการจัดทางบประมาณ ใช้สารสนเทศภายในที่มรี ายละเอยี ดมาก
แผนประจาปี ใช้สารสนเทศทั้งภายในและภายนอก มีสารสนเทศสภาพแวดลอ้ ม
บางข้อมูลเป็นแบบใหร้ ายละเอยี ด
แผนระยะยาว ใช้สารสนเทศทั้งภายในและภายนอกและสภาพแวดล้อมท่ี
ใกล้เคียง ข้อมูลเปน็ แบบรายละเอียด
แผนกลยุทธ์ ใช้สารสนเทศท้ังภายในและภายนอก ข้อมูลมีลักษณะเป็นข้อมูล
เชิงกลยทุ ธ์ มขี อบขา่ ยกวา้ งขวาง มลี กั ษณะขอ้ มูลเป็นแบบสรุปรวม
4.3) สารสนเทศเพือ่ การควบคุม เปน็ สารสนเทศทีแ่ สดงถึงส่ิงตา่ งๆ ทกี่ าลงั ดาเนิน
อยู่ในปัจจุบัน สารสนเทศชนิดน้ี ใช้สาหรับการควบคุมการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผน เช่น จานวน
นกั เรยี น จานวนครู จานวนห้องเรียน เปน็ ตน้
5) สารสนเทศ แบ่งตามกรรมวิธีการประมวลผลท่ใี ชก้ บั เคร่อื งคอมพิวเตอร์ การจัดแบ่ง
สารสนเทศในลักษณะนี้ มีสาเหตุมาจากการนาเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้ในระบบสารสนเทศ จึงแบ่ง
สารสนเทศออกเป็น 2 แบบคอื
5.1) สารสนเทศท่ีได้จากการประมวลผลข้อมูลในทันทีที่ส่งข้อมูลผ่านอุปกรณ์
เคร่ืองรับข้อมูล ซึงต่อโดยตรงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เราเรียกการประมวลผลข้อมูลชนิดน้ีว่า การ
ประมวลผลแบบกลุ่ม
18 อ้างแล้ว, ทองอินทร์ วงศ์โสธร, ประเภทและลกษณะของสารสนเทศเพ่ือการบริหารการศึกษา ใน
ประมวลสาระชุดวิชาระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการและเทคโนโลยการบริหารการศึกษา หน่วยท่ี 1 ( ตอนที่
1.3), (นนทบุร:ี มหาวิทยาลยั สุโขทยธรรมาธิราช, 2537), หนา้ 115-116.
12
5.2) เป็นสารสนเทศที่ได้รับจากการประมวลผลข้อมูลในทันทีท่ีส่งข้อมูลผ่าน
อุปกรณ์เคร่ืองรับข้อมูล ซึ่งต่อโดยตรงกับเคร่ืองคอมพิวเตอร์ เราเรียกการประมวลผลข้อมูลชนิดนี้ว่า
การประมวลผลแบบออนไลน์
ธงชยั สันตวิ งษ์ ได้แบ่งชนิดของข้อมูลออกเปน็ 3 ชนิด19 คอื
1) ข้อมูลการวางแผน (planning information) ข้อมูลชนิดนี้ได้แก่ ข้อมูลท่ีเกี่ยวข้อง
กับฝ่ายบริหารระดับสูง ที่จะต้องเป็นผู้พิจารณากาหนดวัตถุประสงค์ขององค์กรตลอดจนจานวนและ
ชนิดของทรัพยากรทีจ่ าเป็นสาหรบั การทางานให้สาเร็จตามเป้าหมาย รวมท้ังนโยบายที่ใช้กับการทางาน
ต่างๆ ข้อมูลเหล่าน้ีส่วนมากมักจะมาจากภายนอกและจะได้ข้อเท็จจริงในปัจจุบันและคาดการณ์ถึง
สภาพฐานะของสภาวะเศรษฐกิจ ความพร้อมของทรัพยากรต่างๆ ตลอดจนสภาวะทางการเมืองและ
กฎหมาย ขอ้ มลู ชนิดนีเ้ ปน็ ขอ้ มูลทีป่ ระมวลผลเข้ามาเพื่อตัดสินใจทไ่ี มค่ ่อยจะเปน็ ระเบียบแบบแผน
2) ข้อมูลการควบคุม (control information) เป็นข้อมูลท่ีมีความสาคัญ ในการช่วย
ให้ผู้บริหารตัดสินใจและกากับงานให้งานต่างๆ ดาเนินไปอย่างสม่าเสมอเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์
เพ่ือให้การใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างถูกต้อง เป็นข้อมูลที่ช่วยให้ผู้บริหารระดับกลางทราบผลการ
ปฏิบัติงานที่ทาได้จริงว่ามีการสอดคล้องหรือแตกต่างจากเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ ข้อมูลส่วนใหญ่เป็น
ข้อมลู ทีอ่ ยู่ในแผนการตา่ งๆ ส่วนหน่งึ อีกสว่ นหนึ่งคอื งบประมาณและการวัดผลงานท่ีกระทาโดยหัวหน้า
งาน
3) ข้อมูลสาหรับการดาเนินงาน (operational information) เป็นข้อมูลที่เก่ียวกับ
กิจกรรมประจาวนั ขององคก์ ร เชน่ ข้อมูลทางบัญชี การควบคุมสินคา้ คงเหลอื ตารางเวลาการผลิต เป็น
ต้น ข้อมูลเหลา่ นี้ จะผลิตออกมาจากจุดของงานแต่ละด้านที่ทา ผู้ที่ตอ้ งการขอ้ มูลชนิดน้ีใช้งานมากท่ีสุด
ก็คอื หัวหน้าคนงาน
จากการจัดแบ่งสารสนเทศดังกล่าวข้างต้นพอสรุปได้ว่า การจัดแบ่งสารสนเทศ นั้น
เป็นการแบ่งตามวัตถุประสงค์ หรือความต้องการใช้ประโยชน์จากงานนั้นซ่ึงมักเปล่ียนแปลงหรือ
ประยุกต์ใชใ้ หท้ นั สมยั อยู่เสมอ
2.1.5 การจดั เกบ็ ข้อมลู สารสนเทศ
ในการจดั ระบบสารสนเทศในสถานศึกษาน้นั ต้องอาศัยองค์ประกอบของกระบวนการ
ในการ ดาเนินงานในหลายข้ันตอน โดยมีนักวิชาการและหน่วยงานต่าง ๆ ได้เสนอแนวทางในการ
ดาเนินงาน การจดั ระบบสารสนเทศไว้ดงั นี้
ยรรยง อัมพวา กล่าวว่า ระบบสารสนเทศที่มีการจัดทาขึ้นมีความแตกต่างกัน
ตามลาดับความสาคัญของหน่วยงาน พ้ืนฐานของระบบควรมี 3 องค์ประกอบ คือ 1) กาหนดวิธีการ
จดั เก็บข้อมูล 2) การวเิ คราะหข์ อ้ มูล 3) การนาไปใช้ประโยชน์20
19 ธงชัย สันติวงษ์, การบริหารงานบุคคล, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์ไทยวัฒนาพาณิช, 2533), หน้า
67-68.
20 ยรรยง อมั พวาและคณะ, รายงานศกึ ษาวิจยั การศกึ ษารปู แบบและแนวทางการพัฒนา ระบบข้อมลู และ
สารสนเทศเพ่ือการวางแผนพัฒนาโรงเรยี น, (ราชบุร:ี สานักงานโครงการ พัฒนาทรัพยากรมนุษ ภาคกลางและภาค
ตะวันออก, 2540), หน้า 15.
13
สุทธาสินี ขันธสอน กล่าวว่า แนวทางการจัดทาระบบสารสนเทศสถานศึกษา มี 5
ข้ันตอน คือ 1) การเก็บรวบรวมข้อมูล 2) การตรวจสอบข้อมูล 3) การจัดประมวลข้อมูล 4) การ
นาเสนอข้อมูลและสารสนเทศ 5) การเก็บรักษาข้อมูลและสารสนเทศ เพ่ือให้เกิดความเข้าใจท่ีชัดเจน
เก่ยี วกบั องค์ประกอบการจัดระบบสารสนเทศ21
สามารถสรุป กระบวนการในแต่ละขั้นตอนโดยละเอียดตามแนวปฏิบัติของสานัก
ทดสอบทางการศึกษา กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ ได้กาหนดแนวทางการดาเนินงานหลักๆ ของ
การจดั ระบบสารสนเทศไว้ 5 ขั้นตอน22 ดังน้ี
1) การเก็บรวบรวมข้อมูล (Collecting Data) การเก็บรวบรวมข้อมูล นับว่ามี
ความสาคัญเป็นอันดับแรกของการจัดทาระบบสารสนเทศ ซ่ึงจะเป็นแนวทางนาไปสู่การปฏิบัติในด้าน
ต่างๆ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลได้มีนักวิชาการสรุปเป็น แนวคิดไว้หลายประการ ดังนี้ สานักงาน
คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ กล่าวว่า การเก็บรวบรวมข้อมูลมาจากแหล่ง ซ่ึงมีท้ังที่อยู่
ภายนอกหนว่ ยงานและในหนว่ ยงาน มแี นวปฏบิ ัติเปน็ ขน้ั ตอน และกจิ กรรมย่อยๆ ดงั น้ี
1.1) กาหนดหน่วยงานและบุคลากรรับผิดชอบได้ชัดเจน แม้ว่าหน่วยงานระดับ
สถานศกึ ษา จะไม่มกี รอบอัตรากาลังทางดา้ นนผ้ี ู้บริหารกค็ วรมอบหมายให้มีผู้รับผดิ ชอบท่แี น่นอน
1.2) กาหนดรายการข้อมูลสารสนเทศ ท่ีสถานศึกษาจะต้องไปจัดเก็บมาจาก
แหล่งข้อมูล ตามหลักการและกรอบแนวความคิด สถานศึกษาควรวเิ คราะห์โดยใช้คณะทางานและโดย
บุคลากรท่ี มีความรู้ความเข้าใจในเร่ืองแต่ละเรื่อง สารสนเทศสาคัญ และจาเป็น ในระดับสถานศึกษา
สถานศกึ ษาอาจตอ้ งไปกาหนดเพิ่มเตมิ ขน้ึ ในส่วนท่เี ป็นความแตกต่างของแตล่ ะพืน้ ท่ี
1.3) กาหนดวิธีการจัดเก็บและสร้างเคร่ืองมือเก็บให้สอดคล้องกับลักษณะของ
ข้อมูลและแหล่งข้อมูล เช่น แบบสารวจ แบบรายงาน แบบสัมภาษณ์หรือแบบสอบถาม การศึกษาวิจัย
เป็นตน้
1.4) กาหนดเวลาหรือปฏิทินในการจัดเก็บแล้วกาหนดวันเก็บข้อมูลให้ชัดเจนว่า
จะมีก่ีวัน ในหน่ึงปีหมายความว่า ข้อมูลเปล่ียนไปอย่างไร แต่การใช้จะต้องใช้ ณ วันท่ีกาหนด เช่น
ข้อมลู ณ วันท่ี 10 มิถนุ ายน ของทุกปี เปน็ ตน้
1.5) การไปเก็บรวบรวมข้อมูลมาจากแหล่งข้อมูลซ่ึงอยู่ทั้งในและนอกหน่วยงาน
ตามเวลา
1.6) ข้อมูลสารสนเทศบางตัวยังไม่มีแหล่งให้เก็บต้องสร้างเง่ือนไขให้เกิดข้ึนมา
เช่น ข้อมูล เกี่ยวกับความคดิ เห็น ความตอ้ งการในเร่ืองต่าง ๆ อาจต้องจัดประชุมสัมมนา ประชุมระดม
ความคิด ทาการศึกษาวิจัย เป็นต้น
กรมวิชาการ (2544, 23 - 28) กล่าวว่า ในการเก็บรวบรวมจากแหล่งข้อมลู ต่าง ๆ น้ัน
จะต้อง กาหนดรายการข้อมูลท่ีต้องการกาหนดวธิ ีการจัดเก็บ สร้างหรือจดั หาเครื่องมือในการจัดเก็บให้
21 สุทธาสินี ประสานวงศ์, ปัจจัยที่มีผลตอการตัดสินใจของผูปกครองในการสงเด็กเขา เรียนระดับ
การศึกษาปฐมวัยของโรงเรียนเอกชน จังหวัดมหาสารคาม”, (วิทยานิพนธศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัย
ราชภัฎมหาสารคาม, 2550), หน้า 36.
22 กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้ นฐาน พุ ทธศักราช 2545.
(กรงุ เทพมหานคร : องคก์ ารรับส่งสินคา้ และพสั ดภุ ณั ฑ์ (ร.ส.พ.), 2545), หนา้ 22 – 31.
14
สอดคล้องกับลักษณะของข้อมูลและแหล่งข้อมูล เช่น แบบสารวจ แบบสัมภาษณ์แบบสอบถาม แบบ
บันทึก การสังเกต เป็นต้น นอกจากนั้นควรกาหนดเวลาในการจัดเก็บและหน่วยงานหรือบุคลากรท่ี
รับผิดชอบในการจัดเก็บให้ชัดเจนด้วย ท้ังน้ีต้องคานึงถึงการได้มาซ่ึงข้อมูลท่ีตรงตามความ ต้องการท่ี
กาหนดไว้และมีความเชื่อถือได้การท่ีจะรวบรวมข้อมูลได้เท่ียงตรงและเช่ือถือได้น้ัน ข้ึนอยู่ กับ
องค์ประกอบบางประการ23 ดงั น้ี
- การวิเคราะห์ข้อมูลและสารสนเทศท่ีต้องการจัดเก็บ เพื่อให้ได้สารสนเทศที่จาเป็น
และเกบ็ รวบรวมข้อมูลไดห้ ลาย ๆ ดา้ น จากแหล่งข้อมลู เดียวกันในคราวเดียวกนั ท้ังนเ้ี พ่ือความสะดวก
ในการ สร้างเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลด้วย ดังนั้นก่อนการเก็บรวบรวมข้อมูลสถานศึกษาควร
วเิ คราะห์ สารสนเทศที่ตอ้ งการ ประกอบดว้ ยวิธกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู
- เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล มีความเท่ียงตรง ชัดเจนเข้าใจง่าย กระบวนการ
เก็บ รวบรวมข้อมูลท่ีดีเครื่องมือท่ีใช้ต้องมีคุณภาพ โดยเฉพาะอย่างย่ิงมีความเท่ียงตรง กล่าวคือ
สามารถรวบรวมข้อมูลได้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ต้องการทราบ รวมทั้งครอบคลุมสิ่งท่ีต้องการเก็บ
รวบรวม ข้อมูลท่ีได้เป็นจริง เชื่อถือได้ข้อคาถามชัดเจน ไม่กากวมจานวนข้อไม่มาก สะดวกต่อการ
นาไปใช้ ประการสาคัญ คือ ผู้เก็บรวบรวมข้อมูลต้องมีความซื่อตรง ยึดม่ันว่าจะต้องรวบรวมข้อมูลให้
ถูกต้อง ตามความเป็นจริงมากท่ีสุด ซึ่งสอดคล้องกับ นิตยา ทับพุ่ม ที่กล่าวว่าการเก็บ รวบรวมข้อมูล
เป็นข้ันตอนการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลท่ีมีอยู่ในหน่วยงานและนอกหน่วยงาน จึงควร
กาหนดบุคลากรท่ีรับผิดชอบให้ชัดเจน มีการกาหนดรวบรวมข้อมูลสารสนเทศที่ สถานศึกษาจะต้อง
จัดเก็บ โดยสถานศึกษาควรมีการวิเคราะห์ข้อมูลที่จาเป็น นอกจากน้ันแล้วควรมีการกาหนดวิธีการ
จัดเก็บและสร้างเครื่องมือเก็บให้สอดคล้องกับลักษณะของข้อมูลและแหล่ง ของข้อมูลและที่สาคัญ
สถานศกึ ษาควรมีการกาหนดระยะเวลาหรอื ปฏทิ นิ ในการจดั เกบ็ ข้อมูล ใหช้ ัดเจน24
สรุปได้ว่า การเก็บรวบรวมข้อมูล คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลที่มาจากแหล่งทั้งท่ีมีอยู่
ภายใน หน่วยงานและนอกหน่วยงาน กาหนดบุคลากรรับผิดชอบให้ชัดเจน การกาหนดรายการข้อมูล
และ สารสนเทศที่ต้องการนาไปใช้การกาหนดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล การสร้างเครื่องมือหรือ
แบบฟอรม์ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลให้มีความสอดคล้องกับลักษณะของข้อมลู และแหลง่ ข้อมลู
2) การตรวจสอบข้อมูล (Checking Data) การตรวจสอบข้อมูล เป็นข้ันตอนสาคัญใน
ระบบการผลิตสารสนเทศ ท้ังนี้เพ่ือให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ได้รับการรวบรวมและการบันทึกเอาไว้อย่าง
ถกู ต้อง การตรวจสอบขอ้ มลู เป็นการคน้ หารายการข้อมูลที่ยังมคี วามผิดพลาด (Error) ลักษณะคล้ายกับ
การท าความสะอาดวัตถุดิบก่อนนาเข้าสู่ ระบบการผลิต ในการตรวจสอบข้อมูลจะกระทาในลักษณะ
เป็นไปตามลาดับ การดาเนินงานข้อมูลเร่ิมต้ังแต่ผู้กรอกข้อมูลของสถานศึกษา เจ้าหน้าที่ข้อมูลของ
สานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษา เป็นต้น วิธีการ ตรวจสอบขอ้ มลู นี้ได้มนี ักวชิ าการสรุปเป็นแนวคิดไว้หลาย
ประการ ดงั น้ี
23 อ้างแล้ว, กรมวิชาการ, หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน, พิมพ์คร้ังท่ี 2, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพองค
การรบั สงสินคา้ และพัสดุภณั ฑ,์ 2544), หน้า 23-28.
24 นิตยา ทับพุ่ม, ปัญหาและความต้องการจาเป็นในการพัฒนาการจัดระบบ การสนเทศทางการศึกษา
ของโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสานักงานการ ประถมศึกษาจังหวัดลพบุรี, (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต
สถาบนั ราชภัฏ เทพสตร,ี 2544), หน้า 30 – 35.
15
สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ได้กล่าวถึง การ ตรวจสอบข้อมูล
ว่า ทุกครั้งที่เก็บข้อมูลมาจากแหล่งจะต้องนามาตรวจสอบทุกคร้ัง เพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีมี คุณสมบัติ
ประกอบด้วย 3 ประการสาคัญ25 ไดแ้ ก่
- ความเป็นปัจจุบันของข้อมูล หมายถึง ช่วงเวลาที่ข้อมูลเกิดคือ เมื่อใดเหมาะ
กับเวลาและ ทันกับเวลาท่ีจะใช้หรือไม่ข้อมูลบางตัวต้องเก็บปีละครั้งข้อมูลบางตัวมีอายุได้ปัจจุบัน 3 ปี
มาแล้ว คือ ยงั ไมม่ ตี ัวทีใ่ หม่กวา่ น้ี
- มีความตรงตามเนื้อหาของสารสนเทศที่ต้องการสารสนเทศท่ีดีจะต้องมี
คณุ สมบัติในการ ส่อื ความหมายตามวัตถุประสงค์และลักษณะงานมีความพอเพียงและไม่เบ่ียงเบน เช่น
ข้อมูลจานวน นักเรียนที่สาหรับรายงานผลก็อาจจะเพียง 1 ปีการศึกษา แต่หากเพ่ือการวางแผนอาจ
ต้องใชย้ อ้ นหลัง 5 ปพี ยากรณไ์ ปลว่ งหนา้ อีก 5 ปีเป็นต้น
- มีความถูกต้องแม่นยา คุณสมบัติข้อนี้แสดงถึงคุณค่าและประโยชน์ของ
สารสนเทศท่ีนับว่า ส าคัญมาก เพราะแม้สารสนเทศนั้นจะตรงต่อความต้องการและสามารถผลิตได้
ทันเวลา แต่ถ้าขาด ความถูกต้องแล้วก็จะหาประโยชน์ไม่ได้เลย สารสนเทศท่ีมีความถูกต้องแม่นยา
จะต้องมีการบันทึกจากสภาพความเป็นจริงในเวลาท่ีสารวจและผ่านกระบวนการในการจัดเก็บด้วย
วิธีการ เคร่ืองมือ ที่ถูกต้องมาตรฐานหากตรวจสอบแล้วพบข้อผิดพลาดบกพร่องก็ต้องจัดเก็บหรือแก้ไข
ใหม่
กรมวิชาการ กล่าวว่า ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้ก่อนท่ีจะนาไป ประมวลผล ควรมี
การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลกอ่ น เนอื่ งจากในระบบของการจัดเกบ็ และการบนั ทึก ข้อมลู อาจมี
ข้อผดิ พลาดเกดิ ขึ้นไดเ้ สมอ การตรวจสอบขอ้ มลู โดยท่ัวไปกระทาได้ใน 3 ลักษณะ26 คอื
- ความถูกตอ้ งของขอ้ มูล อาจพจิ ารณาได้จากความสอดคล้องระหว่างขอ้ มลู ใน
ส่วนย่อย และสว่ นรวม ความสมเหตสุ มผลของข้อมลู และความเกย่ี วข้องของขอ้ มูลตาม ความตอ้ งการ
- ความสมบูรณ์ของข้อมูล อาจพิจารณาความครบถ้วนของข้อมูล และความ
เพียงพอของ ข้อมูลตามความตอ้ งการ
- ความเป็นปัจจุบันของข้อมูลอาจพิจารณาจากวัน เวลาท่ีระบุในเอกสารหรือ
แหล่งข้อมูลน้ัน ๆ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ ข้อมูลทุติยภูมิซึ่งเป็นข้อมูลที่หน่วยงานอื่น หรอื บุคคลอ่นื ๆ เป็นผู้
จัดเก็บต้อง พิจารณาว่าช่วงเวลาของการเกิด หรือการจัดเก็บข้อมูลเหล่าน้ันตรงกับความต้องการใช่
หรอื ไม่ จากแนวความคิดในการตรวจสอบขอ้ มลู ดังกล่าว
สรุปได้ว่า การตรวจสอบข้อมูล หมายถึง การตรวจสอบข้อมูลที่เก็บรวบรวมเพ่ือให้ได้
ข้อมูลท่ีมีคุณสมบัติท่ีดีซ่ึงประกอบด้วย ความถูกต้อง ครบถ้วน แม่นยา ความเป็นปัจจุบันของข้อมูล
ความตรงตามเน้ือหาของสารสนเทศที่ต้องการ และ ผ่านกระบวนการในการจัดเก็บด้วยวิธีการหรือ
เคร่อื งมือที่ถกู ต้องไดม้ าตรฐาน
25 สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, การพัฒนาสถานศึกษาท้ังระบบ ส่กูารปฏิรปู
การศึกษา, (กรงุ เทพฯ: ผ้แู ตง่ , 2542), หนา้ 17-18.
26 อ้างแล้ว, กรมวิชาการ, หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน, พิมพ์ครัง้ ท่ี 2, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพองค
การรบั สงสินคา้ และพัสดุภณั ฑ,์ 2544), หนา้ 28-29.
16
3) การจัดประมวลผลข้อมูล (Processing Data) การจัดกระทาข้อมูล เป็นข้ันตอนท่ี
สาคัญ เพราะเป็นวิธีการดาเนินการกระทาข้อมูลดิบให้ เป็นสารสนเทศให้ตรงกับความต้องการในการ
นาไปใช้การกระทาดงั กล่าว นกั วิชาการบางท่านได้ กลา่ ววา่ เป็นวิธีการประมวลผลขอ้ มูล ซง่ึ เป็นวธิ ีการ
อยา่ งเดยี วกนั นกั วิชาการได้สรปุ ความคิดเหน็ เกย่ี วกบั การจดั กระทาข้อมลู ไวด้ ังน้ี
3.1) มอบหมายรู้รับผิดชอบท่ีมีความรู้ความเข้าใจทางด้านคณิตศาสตร์สถิติหรือ
ผูร้ ับผดิ ชอบ งานขอ้ มูลของสถานศกึ ษาเป็นผ้ดู าเนินการประมวลผล
3.2) การประมวลผลข้อมูลเป็นสารสนเทศ จะต้องจัดทาเฉพาะสารสนเทศท่ี
หน่วยงานได้ กาหนดขอบข่ายไว้แล้วเท่านั้น เช่น ในการวางแผนทางการศึกษาก็จะมีรายการดัชนี
(Indicator) เพื่อการวางแผนที่ได้กาหนดไว้แล้วว่า มีตัวช้ีวัดใดบ้าง หรือในการรายงานข้อมูลประจาปีก็
จะสามารถ ตรวจสอบจากตารางได้ว่าตารางใดบ้างที่ต้องนาข้อมูล (Data) มาประมวลผลเป็น
สารสนเทศกอ่ น จึงจะกรอกเพ่ือรายงานได้ก็ประมวลเฉพาะตวั นัน้ ๆ โดยยึดหลักการทว่ี ่าการประมวลผล
แต่ละตัว ต้องตอบคาถามให้ได้ว่าสารสนเทศตัวนี้เอาไปใช้ประโยชน์อะไร มิฉะนั้นจะเสียเวลาในการ
จดั ทา
3.3) หากสถานศึกษาใดได้น าเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้ก็ควรจัดทา
โปรแกรมคู่มือโดยควร ยึดโปรแกรมให้สอดคล้องกับระดับจังหวัดเพราะในอนาคตจะเช่ือมโยงเป็น
เครอื ขา่ ย (Data net) และสง่ สายตรงกัน (Online)
กรมวิชาการ ได้กล่าวถึง การดาเนินการในข้ันนี้ว่า เป็นการนาข้อมูลมา ประมวลผล
เป็นสารสนเทศหรือเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่นาไปใช้ประโยชน์ได้ ข้อมูลใดที่เป็น
สารสนเทศอยู่แล้วก็นามาจัดกลุ่มแยกแยะตามลักษณะและประเภทของสารสนเทศ ซึ่งการประมวลผล
นั้นอาจเป็นการจัดหมวดหมู่ การเรียงลาดับการแจงนับ ตลอดจนการใช้สูตรทางคณิตศาสตร์การ
ดาเนินการอาจใช้ตั้งแตว่ ิธีการงา่ ยๆ ที่เรียกว่า ทาด้วยมอื ใช้เคร่อื งคานวณเล็กๆ มาช่วยจนกระทั่งการใช้
เทคโนโลยีสมัยใหมค่ อื คอมพิวเตอร์ ในการประมวลผลขอ้ มลู ตอ้ งคานงึ ถึงประเด็นสาคัญ27 ดังน้ี
- ข้อมูลท่ีนามาวิเคราะห์ต้องมีความชัดเจนในตนเอง ไม่ว่าจะวิเคราะห์โดยใคร
เม่อื ใด ผลท่ีได้ยอ่ มได้ตรงกนั เสมอ เชน่ การคานวณเกีย่ วกบั คา่ สถิตติ ่าง ๆ
- ข้อมูลท่ีเป็นนามธรรม ต้องอธิบายด้วยความเรียง เช่น ความซ่ือสัตย์ความ
รับผิดชอบของ ผู้เรียน ต้องวิเคราะห์โดยอาศัยดุลพินิจของคณะบุคคล ความเห็นที่ได้ควรเป็นเอกฉันท์
หรือเป็นเสยี ง ส่วนใหญ่จริง
- ในการวิเคราะห์ข้อมูลควรใช้ค่าสถิติท่ีง่ายและตรงที่สุด ค่าสถิติที่นิยมใช้ใน
การวิเคราะห์ ข้อมูลท่ีมีหลายค่า เชน่ ค่าร้อยละ อัตราส่วน สัดส่วน ค่าเฉล่ีย คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐานหรือ
แม้กระทั่ง การแจกแจงความถี่ที่เป็นการหาคา่ สถิติทงี่ ่ายที่สุด ในการคานวณค่าสถิติต่างๆ ควรศึกษาให้
เขา้ ใจชดั เจนถงึ วธิ กี ารคานวณ ตลอดจนขอ้ ตกลงเบ้ืองต้นจากตาราทางสถิติท่ีมีอยู่มากมาย
จากแนวความคิดในการประมวลผลข้อมูลท่ีกล่าวมาสรุปได้ว่า การประมวลผลข้อมูล
หมายถึง การนาข้อมลู ทีต่ รวจสอบแล้วมาวิเคราะห์และประมวลผล ใหเ้ ปน็ สารสนเทศตามความต้องการ
และจุดมุ่งหมายของผู้ใช้การมอบหมายผู้รับผิดชอบที่มีความรู้ความเข้าใจทางสถิติ เป็นผู้ดาเนินการ
27 อ้างแล้ว, กรมวิชาการ, หลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน, พิมพ์ครั้งท่ี 2, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพองค
การรับสงสนิ ค้าและพสั ดุภัณฑ์, 2544), หนา้ 29-30.
17
ประมวลผล การนาเทคนิคหรือวิธีการใหม่ๆ มาใช้ในการประมวลผล การเตรียมดัชนีทางการศึกษาไว้
เพ่ือแสดงให้เห็นภาพของข้อมูลสารสนเทศทาง การศึกษาในด้านต่างๆ ท่ีชัดเจนการ สรุปผลข้อมูล
สารสนเทศที่จาเป็นในภาพรวมไวเ้ พอ่ื ความสะดวกและรวดเร็วตอ่ การนาไปใช้
4) การนาเสนอข้อมูลและสารสนเทศ การนาข้อมูลไปใช้ถือว่าเป็นเป้าหมายสุดท้าย
ของการดาเนินงานด้านสารสนเทศ หรือการ เผยแพร่ให้กับผู้ใช้ในรูปแบบต่างๆ ท้ังแบบรายงาน หรือ
การแสดงบนจอภาพ โดยใช้เคร่ือง คอมพิวเตอร์นอกจากน้ียังรวมถึงการนาข้อมูลไปใช้ตลอดจนการ
ประเมนิ การนาระบบสารสนเทศไป ใชซ้ งึ่ ได้มีนกั วชิ าการสรุปแนวคิดไว้ดงั นี้
สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ได้กล่าวถึงการนา ข้อมูลสารสนเทศ
ไปใช้ประโยชน์ว่า ข้อมูลสารสนเทศเม่ือได้ผ่านขั้นตอนต่าง ๆ เรียบร้อยแล้วจะเป็น ประโยชน์ต่อกลุ่มบุคคล 3
กลุ่ม ท่ีจะนาข้อมูลสารสนเทศทางการศึกษานี้ไปใช้ประโยชน์ในการบริหาร จัดการ และการพัฒนาการ
เรียนการสอน28 คือ
- สถานศึกษา
- หน่วยงานในสังกัด
- ผ้ปู กครองและชมุ ชน
กรมวชิ าการ ได้กล่าวว่า ข้อมูลท่ผี ่านการประมวลผลหรือจัดทาจน เป็นสารสนเทศท่ีมี
ความหมายชัดเจน มคี วามกะทัดรัด ตรงต่อความต้องการและสะดวกต่อการ นาไปใช้อาจนาเสนอส่ผู ู้ใช้
ในรูปของตาราง แผนภาพ กราฟ หรือการบรรยายก็ได้ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับ ความเหมาะสมของการนาไปใช้
และลักษณะของสารสนเทศนั้นๆ29
นติ ยา ทับพุ่ม ท่ีกล่าวว่า ขั้นตอนการนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ หมายถงึ การนาข้อมูล
สารสนเทศทีจ่ ดั กระทาแล้ว ไปนาเสนอตามความตอ้ งการและวตั ถุประสงค์ของผู้ใช้ เช่น ใชป้ ระกอบการ
ตัดสินใจ การวิเคราะห์ศักยภาพของสถานศึกษาเพื่อการวางแผนปฏิบัติงาน การพัฒนาคุณภาพ
การศึกษา การรายงานความก้าวหน้าในการปฏิบัติงาน การดดเนินงานประกัน คุณภาพในสถานศึกษา
การรายงานข้อมูลสารสนเทศต่อหน่วยเหนือ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์การ ทางานของสถานศึกษา
การให้บริการข้อมูลสารสนเทศโดยทั่วไป เป็นต้น การนาเสนอข้อมูล สารสนเทศนั้นสามารถนาเสนอใน
รปู แบบต่างๆ เช่น ตาราง แผนภมู ิกราฟ แผนภาพและ จอคอมพวิ เตอร์ ฯลฯ30
จากแนวคิดในการนาเสนอข้อมูลและสารสนเทศ ดังที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การนาเสนอ
ข้อมูลและสารสนเทศ หมายถึง การนาข้อมูลสารสนเทศที่ผ่านการจัดกระทาแล้วจากแหล่งท่ีจัดเก็บไว้
ไปนาเสนอ ตามความต้องการและวัตถุประสงค์ของผู้ใช้การวางแผนและการนาข้อมูลสารสนเทศไป ใช้
ในการบริหารงานทางด้านการศึกษาในทุกๆ ด้าน การกาหนดผู้รับผิดชอบในการให้ผู้บริการข้อมูล
สารสนเทศ การใช้งบประมาณอปุ กรณ์และเครือ่ งมือต่าง ๆ ที่เอ้ือต่อการนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้อย่าง
28 การประถมศกึ ษาแหง่ ชาต,ิ สานกั งาน, ระบบสารสนเทศและแนวปฏิบัตใิ นการ จดั ระบบสารสนเทศระดับ
โรงเรยี น, (กรงุ เทพมหานคร : คุรสุ ภา 2537), หนา้ 21-22.
29 อ้างแล้ว, กรมวิชาการ, หลักสตู รการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน, พิมพ์คร้งั ท่ี 2, (กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พองค
การรบั สงสนิ คา้ และพัสดุภณั ฑ,์ 2544), หน้า 30-35.
30 อ้างแล้ว, นติ ยา ทับพุ่ม, ปญั หาและความตอ้ งการจาเปน็ ในการพฒั นาการจดั ระบบ การสนเทศทางการ
ศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษา สังกดั สานกั งานการ ประถมศึกษาจงั หวัดลพบรุ ี, (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบณั ฑิต
สถาบนั ราชภฏั เทพสตร,ี 2544), หนา้ 30 – 35.
18
มีประสิทธิภาพ โดยมีการนาเสนอข้อมูลสารสนเทศในรูปแบบท่ีหลากหลาย เข้าใจง่าย น่าสนใจ
เหมาะสมกับลักษณะของข้อมูล
5) การเก็บรักษาข้อมูลและสารสนเทศ จะต้องเก็บขอ้ มูลพื้นฐานและสารสนเทศที่ผ่าน
การจดั กระทาเรยี บร้อยแล้ว โดยการเก็บไว้ในส่อื ต่างๆ แล้วแตว่ า่ จะเปน็ ระบบการจัดกระทาดว้ ยมอื หรือ
ใช้คอมพิวเตอร์ถ้าเป็นระบบการจัด กระทาด้วยมือ การจัดเก็บจะเป็นระบบแฟ้ม ซึ่งเก็บข้อมูลและ
สารสนเทศไว้ในสื่อที่เป็นเอกสารหรือบัตร ถ้าเป็นระบบท่ีใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดเก็บให้เป็นระบบ ซ่ึง
ไดม้ นี กั วิชาการสรปุ ความคดิ เหน็ เกี่ยวกับการจดั เกบ็ ข้อมูลสารสนเทศไวด้ ังน้ี
สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ กล่าวว่า การจัดหน่วยหรือ
คลังข้อมูลไว้ในหน่วยงานขั้นนี้เป็นการจัดให้มีแหล่งรวมของข้อมูลสารสนเทศไว้ใน หน่วยงาน ซ่ึงอาจ
เรยี กว่า ศนู ยส์ ารสนเทศทางการศึกษาระดับสถานศกึ ษา31 ซง่ึ มีแนวปฏิบตั ิดงั ต่อไปนี้
- ต้องจัดให้มีสถานที่ เช่น มีห้อง ๆ หนึ่งหรือส่วนใดส่วนหน่ึงของสถานศึกษา
เปน็ ศูนย์ สารสนเทศ อาจใช้สว่ นหนง่ึ ของหอ้ งสมุดหอ้ งอืน่ ๆ หรือหากมีคอมพวิ เตอร์อาจใชค้ อมพวิ เตอร์
- จัดให้มีครุภัณฑ์วัสดุจ าเป็น เช่น ตู้ส าหรับจัดเก็บแฟ้มข้อมูลสารสนเทศเก็บ
แผ่นบันทึกข้อมูล (แผ่นดิสก์เกต) กรณีใช้คอมพิวเตอร์ไว้ในห้อง ข้อ 1. 3. จัดระบบค้นหา (E-Filling)
หากเป็นแฟ้มหรือเป็นคอมพิวเตอร์ก็ควรจัดทาเป็นโปรแกรมให้สอดคล้องกับลักษณะงานของ
สถานศึกษา เพ่ือประสิทธิภาพของการใชแ้ ละการบริหาร ข้อมูลของหน่วยงานและที่สาคญั คือ ตอ้ งสร้าง
ให้สอดคล้องกับโปรแกรมในระดับจังหวัดและอาเภอ เพื่อวัตถุประสงค์ที่กล่าวมาแล้วในข้ันการจัด
กระทาข้อมูล
กรมวิชาการ กล่าวว่า การจัดเก็บข้อมูลและสารสนเทศนี้เป็นการจัดเก็บทั้ง
ส่วนที่เป็นข้อมูลและส่วนท่ีเป็นสารสนเทศไว้ในส่ือต่าง ๆ อย่างมีระบบ สะดวกต่อการค้นหา เพ่ือ
นามาใช้ประโยชน์การจัดเก็บอาจจัดเก็บเป็นแฟ้มเอกสารหรือแฟ้มอิเล็กทรอนิกส์ตามศักยภาพของ
สถานศึกษาแต่ต้องคานึงถึงระบบของการค้นหาให้สะดวกต่อการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงข้อมูลให้ เป็น
ปัจจุบัน การนาข้อมูลไปประมวลผลใหม่ รวมท้ังการนาสารสนเทศไปใช้ประโยชน์ในงานต่าง ๆ การ
จัดเกบ็ ขอ้ มลู อยา่ งเป็นระบบอาจจดั แฟ้มข้อมูลเรยี งลาดบั ในแต่ละแฟ้ม32 แบ่งไดด้ ังนี้
- แฟม้ ขอ้ มูลหลัก เปน็ ขอ้ มูลพ้นื ฐานซึง่ แบ่งเปน็ หลายแฟม้ ตามโครงสรา้ ง
- แฟ้มข้อมูลย่อยเป็นแฟ้มข้อมูลใหม่ ๆ ของแฟ้มข้อมูลหลัก แต่ยังอาจต้องปรับ
ให้เปน็ ปจั จุบัน
- แฟ้มดัชนเี ป็นแฟม้ เลขดัชนีทีร่ ะบุวา่ ขอ้ มลู ใดอยู่ส่วนไหนของข้อมลู หลัก
- แฟ้มข้อมลู สรปุ เป็นแฟม้ ท่รี วบรวมขอ้ มูลในรปู แบบของการสรุปผล
- แฟ้มข้อมูลส ารองเป็นการสร้างแฟ้มสารองข้อมูลสาคัญๆ เพื่อประโยชน์ใน
กรณที ข่ี ้อมูลเดมิ สูญหาย
31 อ้างแล้ว, สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ, ระบบสารสนเทศและแนวปฏิบัติในการ
จดั ระบบสารสนเทศระดบั โรงเรียน,(กรุงเทพมหานคร : ครุ สุ ภา 2537), หน้า 16-24.
32 อา้ งแล้ว, หลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐาน, พิมพ์ครัง้ ที่ 2, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พองคการรับสงสินค้า
และพัสดุภณั ฑ,์ 2544), หน้า 30.
19
สรุปไดว้ ่า การจัดเก็บข้อมลู และสารสนเทศ หมายถึง การนาข้อมูลท่ผี ่านการจัด
กระทาแล้ว มาจาแนกประเภทของข้อมูลสารสนเทศเป็นหมวดหมู่ของการใช้และประเภทของข้อมูลท่ี
ชัดเจนมีความสมบูรณ์ เป็นปัจจุบันพร้อมท่ีจะนาไปใช้โดยนาไปจัดเก็บไว้อย่าง เป็นระบบ และ
สอดคล้องกับลักษณะของงาน เพื่อความสะดวกในการนาไปใช้ในการบริหารงานและการจัดหา
งบประมาณสนบั สนนุ ต่อไป
2.1.6 รปู แบบของระบบฐานข้อมูล
รูปแบบของระบบฐานขอ้ มูล มอี ยูด่ ว้ ยกัน 3 ประการคือ
1) ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) เป็นการเกบ็ ข้อมูลในรูปแบบทีเ่ ป็น
ตาราง (Table) หรือเรียกว่า รีเลชัน (Relation) มีลักษณะเป็น 2 มิติ คือเป็นแถว (Row) และเป็น
คอลัมน์ (Column) การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างตารางจะเช่ือมโยงโดยใช้แอททริบิวต์ (Attribute) หรือ
คอลัมน์ท่ีเหมือนกันท้ังสองตารางเปน็ ตัวเชื่อมโยงข้อมูล ตัวอย่างเช่น ตารางการลงทะเบียน ถ้าต้องการ
ทราบว่านักเรียนรหัส 1001 ลงทะเบียนวิชาอะไรกี่หน่วยกิต ก็สามารถนารหัสวิชาในตารางนักเรียนไป
ตรวจสอบกับรหัสวิชา ซ่ึงเป็นคีย์หลักในตารางหลักสูตร เพื่อนาช่ือวิชาและจานวนหน่วยกิตมาใช้ดัง
ตาราง
ภาพที่ 1 แสดงตวั อยา่ งฐานข้อมูลเชิงสมั พันธ์ (Relational Database) ทเ่ี ปน็ แบบตาราง
2) ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Database) ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย จะเป็น
การรวมระเบียนต่าง ๆ และความสัมพันธ์ระหว่างระเบียนแต่ละต่างกับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์คือ ใน
ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์จะแฝงความสมั พนั ธ์เอาไว้ โดยระเบียนที่มีความสัมพันธ์กัน จะต้องมีค่าของข้อมูล
ในแอททริบิวต์หนึ่งเหมือนกัน แต่ในฐานข้อมูลแบบเครือข่าย จะแสดงความสัมพันธ์อย่างชัดเจน โดย
แสดงไว้ในโครงสร้างตวั อย่างเชน่
20
ภาพท่ี 2 ตัวอยา่ งฐานขอ้ มลู แบบเครือขา่ ย (Network Database) แบบโครงสรา้ ง
จากรูปที่ 2 จะเห็นได้ว่า กรอบส่ีเหลี่ยมแสดงถึงชนิดของระเบียนในฐานข้อมูล โดยมี
เส้นทางแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล เป็นการแสดงความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม (many to
many) จากรูปพบว่าในแต่ละสาขามีหลักสูตรมากกว่า 1 รายวิชาและในแต่ละวิชาพบว่า มีนักศึกษา
ลงทะเบียนเรียนมากกว่า 1 คน และนกั ศกึ ษา 1 คนก็สามารถลงทะเบียนไดม้ ากกวา่ 1 วชิ า
3) ฐานข้อมูลแบบลาดับช้ัน (Hierarchical Database) ฐานข้อมูลแบบลาดับชั้น เป็น
โครงสร้างท่ีจัดเก็บข้อมูลในลักษณะความสัมพันธ์แบบ Parent-Child Relationship Type หรือเป็น
โครงสร้างรปู แบบต้นไม้ (Tree) ขอ้ มูลทจ่ี ดั เกบ็ ในท่ีน้ี คือ ระเบยี น (Record) ซงึ่ ประกอบด้วยค่าของเขต
ขอ้ มูล (Field) ของเอนทิต้ีหนึ่ง ๆ น่ันเอง
ฐานข้อมูลแบบลาดับชั้นน้ีคล้ายคลึงกับฐานข้อมูลแบบเครือข่าย ต่างกันท่ีฐานข้อมูล
แบบลาดับช้ันมีกฎเพิ่มขึ้นมาหนึ่งประการ คือในแต่ละกรอบจะมีลูกศรว่ิงเข้าหาได้ไม่เกิน 1 หัวลูกศร
ดังน้ันจากตัวอย่าง รูปที่ 2 จะพบว่า กรอบนักเรียนจะมีลูกศรเข้ามา 2 ทาง ดังน้ันจึงไม่อาจสร้าง
ฐานขอ้ มูลสาหรับตัวอยา่ งรปู ที่ 3 โดยใชฐ้ านขอ้ มลู แบบลาดบั ชน้ั ด้วยวธิ ปี กตไิ ด้
ภาพท่ี 3 ตวั อยา่ งฐานข้อมูลแบบลาดบั ช้ัน (Hierarchical Database)
2.1.7 ประโยชน์ของสารสนเทศ
นักการศกึ ษาหลายทา่ นไดก้ ล่าวถงึ ประโยชน์ของระบบสารสนเทศไว้ดังต่อไปนี้
ชุมพล ศฤงคารศิริ ได้กล่าวถึง ประโยชน์ของระบบสารสนเทศว่า เม่ือมีการเรียกใช้
สารสนเทศ (Retrieve) เกิดขึ้นจากข้อมูลท่ีเก็บไว้ในหลาย ๆ รูปแบบ บ่อยคร้ังเท่าไรก็ยิ่งทาให้
สารสนเทศน้ันมีคุณค่ามากข้ึนเท่าน้ัน (ลักษณะการเก็บข้อมูลนั้น อาจมีความแตกต่างจากการเก็บ
21
ทรัพยากรอื่น) คุณค่าของสารสนเทศมีความหมายอย่างย่ิง โดยเฉพาะการตัดสินใจ การเก็บรวบรวม
ข้อมูล วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ เพื่อนาไปใช้ประโยชน์ในการสนับสนุน การ
ดาเนนิ งาน การจัดการและการตัดสินใจของหนว่ ยงาน33
ณัฏฐพันธ์ เขจรนันท์และไพบูลย์ เกียรติโกมล กล่าวถึง ประโยชน์และ ความสาคัญ
ของระบบสารสนเทศเพอ่ื การจดั การ34 ไว้ดงั นี้
1) ชว่ ยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศท่ีต้องการได้อย่างรวดเร็วและทนั ต่อเหตุการณ์
เนอ่ื งจากข้อมลู ถกู จัดเกบ็ และบรหิ ารอย่างเป็นระบบ
2) ช่วยผู้ใช้ในการกาหนดเป้าหมาย กลยุทธ์และการวางแผนปฏิบัติการ โดยผู้บริหาร
จะ สามารถนาความรู้ที่ได้จากระบบสารสนเทศมาช่วยในการวางแผนและการกาหนดเป้าหมายในการ
ดาเนินการ
3) ช่วยผู้ใช้ในการตรวจสอบผลการดาเนินการ เม่ือแผนงานถูกนาไปปฏิบัติในช่วง
ระยะ เวลาหนึ่ง ผู้ควบคุมจะต้องตรวจสอบผลการดาเนินการ โดยนาข้อมูลบางส่วนมาประเมินผล เพ่ือ
ประกอบการประเมินสารสนเทศท่ีได้จะแสดงให้เห็นผลการดาเนินงานว่าสอดคล้องกับ เป้าหมายที่
ต้องการเพียงไร
4. ช่วยผู้ใช้ในการศึกษาและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา ผู้บริหารสามารถใช้ระบบ
สารสนเทศ ประกอบการศกึ ษาและการค้นหาสาเหตุ หรือข้อผิดพลาดทเ่ี กิดขึน้ ในการดาเนินงาน ถ้าการ
ดาเนนิ งานไม่เป็นไปตามแผนท่วี างไว้โดยอาจเรียกนาขอ้ มูลเพิ่มเติมออกจากระบบ เพ่ือให้ทราบว่าความ
ผดิ พลาดในการปฏบิ ตั ิงาน เกดิ ขน้ึ จากสาเหตุใดหรือจดั รูปแบบสารสนเทศในการวิเคราะห์ ปัญหาใหม่
5. ช่วยให้ผู้ใช้วิเคราะห์ปัญหาหรืออุปสรรคท่ีเกิดขึ้น เพื่อหาวิธีปรับปรุงแก้ไขปัญหา
สารสนเทศท่ีเกิดจากการประมวลผลจะช่วยให้ผบู้ ริหารวเิ คราะห์ว่าในการดาเนินการใน แต่ละทางเลือก
จะชว่ ยแกไ้ ขหรือควบคมุ ปัญหาทีเ่ กดิ ข้นึ ได้อย่างไร
6. ชว่ ยลดค่าใช้จ่ายระบบสารสนเทศท่ีมีประสทิ ธิภาพจะช่วยให้ธุรกิจลดเวลา แรงงาน
และ คา่ ใช้จา่ ยในการทางาน
ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ ได้กล่าวถึง ประโยชน์ของระบบ สารสนเทศไว้ 4 ด้าน35
ดงั น้ี
1. ด้านประสิทธิภาพ (Efficiency) ได้แก่ ความรวดเร็วในการจัดเก็บข้อมูลปริมาณ
มาก การตดิ ต่อส่ือสารท่ีรวดเรว็ ลดต้นทุน และการขยายขอบเขตการติดต่อประสานงานของหน่วยงาน
ต่าง ๆ
2. ด้านประสิทธิผล ได้แก่ การช่วยสนับสนุนการตัดสินใจขององค์การ การช่วยเหลือ
การ ให้บริการท่ีเหมาะสม และการปรบั ปรงุ คณุ ภาพการบริการให้ดขี ึน้
33 ชุมพล ศฤงคารศริ ,ิ ระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ, พมิ พ์ครัง้ ที่5, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ คลังวชิ า, 2543),
หน้า 57.
34 ณัฏฐพันธ์ เขจรนันท์และไพบูลย์ เกียรติโกมล, ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ, (กรุงเทพฯ : ซีเอ็ด
ยูเคชน่ั , 2547), หนา้ 40-41.
35 ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์, ทฤษฎีองค์การสมัยใหม่, (พิมพ์คร้ังท่ี 5), (กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์
แซทโฟร์พร้ินตง้ิ , 2547), หนา้ 25.
22
3. ความได้เปรียบทางการแข่งขัน ได้แก่ การสร้างนวัตกรรม การให้บริการลูกค้าท่ีไม่
เหมือน ใครและการติดต่อกับซัพพลายเออร์ เพ่ือลดต้นทุนและทาให้ส่งวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เป็นไปอย่าง
รวดเรว็
4. คุณภาพชีวิตการทางาน คือ การทาให้ผู้ปฏิบัติงานมีความพึงพอใจและเกิด
ประสิทธิภาพ การทางานพร้อมกันดว้ ย จากความหมายดังกลา่ วขา้ งต้นสรปุ ได้วา่ ระบบสารสนเทศ เป็น
วิธีการหรือกระบวนการใน การบริหารจดั การข้อมลู เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประสิทธภิ าพในการนาไปใช้ประโยชน์ได้
ทนั ต่อความต้องการและ การดาเนนิ เป็นไปด้วยความถกู ต้อง ส่งผลให้องคก์ ารมปี ระสิทธภิ าพมากขึน้
2.2 แนวคดิ เกยี่ วกับการจดั การความรู้ (KM)
แนวคิดการจัดการความรูมีจุดเนนไมเหมือนกัน ถาเปนชัดแจง (Explicit Knowledge) เนน 2
T คือ Tool & Technology เครื่องมือและเทคโนโลยีแตถาเปนฝงลึก (Tacit Knowledge) เนน 2 P
คือ Process & People กระบวนการและคน การจัดการความรูท้ัง 2 สวนมีจุดเชี่ยมท่ีสาคัญคือการ
นาไปปรับใชซ่ึงจะชวยในการปรับความรูชัดแจงใหเกิดข้ึนในบุคล และนาความรูที่มีอยูในตัว บุคคล
ความรูฝงลึก นามาปรับใชทดสอบหลายครั้งจนนาไปสูความรูที่ชัดแจงจัดเก็บและเผลแพร ไดยกตัวอย
าง เชน ในตาราบอกวาการเปนผูบรหิ ารท่ีดีตองทาตามนี้แตทุกคนทนี่ าไปปฏิบตั ิใชวา จะสาเร็จทุกคน ต
องมีองคความรูทมี่ ีอยูในตัวตน ประกอบดวยการจดั การความรูทัง้ สองสวนตอง สมดุลกนั
2.2.1 ความหมายของการจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) ได้มี
นักวิชาการหลาย
ความรู้คือ สิ่งที่สั่งสมมาจากการศึกษาเล่าเรียน การค้นคว้าหรือประสบการณ์ รวมทั้ง
ความสามารถ เชิงปฏิบัติและทักษะ ความเข้าใจ หรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ ส่ิงที่ได
รับมาจากการได้ยินได้ฟัง การคิดหรือการปฏิบัติองค์วิชาในแต่ละสาขา ความรู้คือ สารสนเทศที่ผ่าน
กระบวนการคิด เปรียบเทียบเชื่อมโยงกับความรู้อื่นจนเกิดเป็นความเข้าใจและนาไปใช้ในการ สรุปและ
การติดสินใจในสถานการณต่าง ๆ โดยไม่จากัดช่วงเวลา (Hideo yamazaki)36 และไดม้ นี ักวิชาการได้ให้
ความหมายของการจัดการความร้หู ลายท่าน สรปุ ได้ ดังนี้
เบนเน็ท และเบนเน็ท (Bennet & Bennet, 2004 อางถึงใน ทิพวรรณ หล่อสุวรรณ
รัตน์, 2548) ไดให้ความหมายว่า การจัดการความรูคือกระบวนการท่ีเป็นระบบในการสร้างรักษาและ
สนับสนุนให้องค์การใช้ความรูของบุคคลและความรูของสวนร่วมในการทางานเพื่อให้บรรลุพันธกิจของ
องค์การ โดยมองการจัดการความรูเป็นเสมือนการสร้างความไดเปรียบในการ แข่งขันอย่างย่ังยืนเพ่ือให้
การทางานมผี ลงานสูงขน้ึ
โทมัส (Thomas อา้ งถงึ ใน พรธิดา วเิ ชียรปัญญา, 2547) กล่าวว่า การจัดการ ความรู
หมายถึงการบริหารจัดการองค์การเพื่อมุ่งไปสูการสร้างฐานความรูแห่งองค์การใหม่ อย่างต่อเน่ืองซ่ึงได
แกการสร้างโครงสร้างองค์การที่ให้การสนับสนุนการจัดการความรู การอานวยความสะดวกให้กับ
สมาชิกท่ีอยู่ในองค์การ หรือแม้กระท่ังการสร้างเครื่องมือทางด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ ท้ังน้ีโดยให้
ความสาคัญกบั การทางานเปน็ ทีมและการเผยแพรความรู้
36 ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542, (กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์ศิริวัฒน
อนิ เตอรพ์ ร้ิน, 2546), หน้า 80.
23
บูรชัย ศิริมหาสาคร (2550) การจัดการความรู้ไว้ว่า “การจัดการความรู้ คือ การ
บริหารจัดการท่ีส่งเสริมให้คนในองค์กร ได้แลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน เพ่ือต่อยอดความรทู้ ่ีแต่ละคนมีอยู่
ให้สมบูรณ์ แล้วนาไปใชส้ ร้างนวตั กรรมในการแก้ปญั หาหรือพฒั นางาน
รณินทรกิจเกลา (2555) การจัดการความรู้ หมายถงึ กระบวนการในการนาความรู้ที่มี
อยู่หรือได้เรียนรู้มา ใช้ให้เกิด ประโยชน์สูงสุดตอองคกรและเป็นเคร่ืองมือเพ่ือการบรรลุเปาหมายของ
องคก์ รในดานการทางาน ดา้ นการพัฒนาคน ด้านการเป็นองค์กรการเรียนรู้ด้านการเปนชุมชนท่ีมีความ
เอ้ืออาทรระหวางกัน ในที่ทางาน และดา้ นการตอบสนองความตองการของผู้มีส่วนได้เสียขององคก์ รใน
ทุกกลุม โดยผ่าน กระบวนการต่างๆ เช่น การสร้างการรวบรวม การแลกเปล่ียนและการนาไปใช้งาน
โดยมเี ป้าหมาย ขององค์กรในด้านการทางานที่สาคัญ คือ
1) การตอบสนอง (Responsiveness) เปนการตอบสนองความตองการของลูกคา เจา
ของกิจการหรอื ผูถอื หุน บุคลากร สังคมสวนรวมและผูมีสวนไดสวนเสยี ทุกกลุม
2) การมีนวัตกรรม (Innovation) เปนนวัตกรรมในการทางานและนวัตกรรมดาน
ผลิตภัณฑหรือบริการ
3) การมีสมรถนะ (Competency) เปนขีดความสามารถขององคกรและของบุคลลา
กรท่พี ฒั นาขน้ึ ซ่ึงสะทอนภาพการเรยี นรูขององคกร
4) การมีประสิทธิภาพ (Efficiency) เปนสัดสวนระหวางผลลัพธกับตนทุนที่ลงไป การ
ทางานท่ีมีประสทิ ธิภาพสูงคอื การลงทุนลงแรงนอยแตไดผลมากหรอื คุณภาพสงู
ดังน้ันจึงสรุป ได้ว่าาการจัดการความรู้เป็นการสร้างรวบรวม จัดเก็บความรู้ในคลัง
ความรู้มาประมวลผล และนามาใช้ให้เกิดประโยชน์โดยการเผยแพรถ่ายทอดความรู้จากบุคคล หรอื จาก
เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้เปน็ ประโยชนในการทางานตอ่ องคก์ ารอย่างงมีประสทิ ธภิ าพ
เป้าหมายของการจดั การความรู้ มี 3 ประการ ดงั นี้
1) การพัฒนาคน ได้แก่ ผู้ปฏิบัติงานและผู้บริหาร ให้มีสมรรถนะ ซ่ึงประกอบด้วย
ความรู้ ทักษะ คุณลักษณะ สูงขนึ้ ปฏบิ ตั ิงานไดด้ ีขนึ้ โดยทีบ่ ุคลากรระดบั ต้น ระดับกลางจะไดป้ ระโยชน์
มากทสี่ ุด
2) การพัฒนางาน ทาให้การทางานมปี ระสทิ ธภิ าพ เชน่ ผิดพลาดน้อยลง รวดเรว็ ข้ึน มี
ประสทิ ธิผล เช่น ลดตน้ ทุน ผลผลติ สงู ขนึ้ เกดิ นวตั กรรม
3) การพัฒนาองค์กร ทาให้องค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์/ยุทธศาสตร์
มศี ักยภาพใน การแขง่ ขนั สงู สามารถเติบโตก้าวหนา้ อยา่ งย่งั ยืน
2.2.2 กระบวนการจัดการความรู้
กระบวนการจัดการความรูจะทาใหความรูในองคกรเกิดการหมุนเวียนในลักษณะของ
เกลียวความรูเพ่ือพัฒนาองคกรใหเปนองคกรแหงการเรียนรูโดยบุคลากรสามารถนาความรูไปพัฒนา
ตนเองเพื่อพัฒนาองคกรตอไป กระบวนการการจัดการความรูประกอบดวย 7 ขนั้ ตอน37 ดงั นี้
37 ศรีไพร ศกั ดริ์ ุงพงศากลุ และเจษฎาพร ยทุ ธนวิบูลยชัย, ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีการจัดการความรู้,
กรงุ เทพฯ : ซีเอด็ ยูเคชัน่ , 2549), หน้า 66-70.
24
1) การบงช้ีความรู Knowledge Identification) เปนการกาหนดความรูหลัก (Core
Knowledge) ซึ่งเปนความรูหลักขององคกรเพ่ือการบรรลุเปาหมายหลักขององคกร เปนเข็มทิศในการ
จัดการความรูขององคกร โดยการพิจารณาวาเปาหมายหลักขององคกรคืออะไร และตองการความรู
หลกั ดานไหนบางเพ่อื บรรลุเปาหมายดังกลาวนั้น เชน พิจารณาวา วสิ ยั ทัศน พันธกิจ/เปาหมายคืออะไร
และเพอ่ื ใหบรรลเุ ปาหมายเราจาเปนตองรูอะไรขณะนเ้ี รามีความรูอะไรบางอยู ในรปู แบบใดอยูท่ีใคร
2) การสรางและแสวงหาความรู Knowledge Creation and Acquisition) เปนการ
เสาะหาปรับปรุง ดันแปลง สรางความรูบางสวน หรือการสรางความรูใหมแสวงหาความรูจาก ภายนอก
รักษาความรูเกากาจัดความรูที่ใชไมไดแลว ใหเหมาะตอการใชงานของตน อาจเร่ิมจาก ทุนปญญา
(Intellectual Capital) ท่ีมีอยูแลวภายในองคกรในรปู ของผลงานที่เปนเลศิ หรือ ความสาเร็จทส่ี ะทอน
จากวิธีปฏิบัติงานท่ีเปนเลิศ (Best Practices) การทาวิจัย R2R Miniresearch Research หรือสราง
นวตั กรรม
3) การจัดการความรูใหเปนระบบ (Knowledge Organization) เปนการจัดการและ
จัดเก็บความรูที่องคกรสรางใหเปนหมวดหมูและเก็บลงในฐานขอมูลพรอมกับดาเนินการสราง เครอื ขาย
ความรูกับโลกภายนอก มีระบบการรับรูและตรวจสอบขาวสารพัฒนาความกาวหนาของความรู
แลกเปล่ียนเรียนรูกบั ภาคีหรือเครอื ขาย อนั เปนการใหความสาคัญกับความรูชัดแจงและความรูฝงลกึ อย
างเทาเทยี มกนั และมกี ารพัฒนาอยางตอเนอื่ งเพ่ือประโยชนขององคกร
4) ก า ร ป ร ะ ม ว ล แ ล ะ ก ล่ั น ก ร อ ง ค ว า ม รู Knowledge Codification and
Refinement) หมายถึงการกลั่นกรองความรูทไี่ ดมาเพื่อจัดระดับวาเปนความรูจาเปนในระดับใดเช่ือถือ
ไดใน ระดับใดมีการใชหลักฐานเชิงประจักษในการกล่ันกรองความรูอยางเปนระบบและเรียบเรยี งความ
รู ใหงายตอการนามาใชงานจริงซึ่งอาจดาเนินการโดยจดั ผูเชี่ยวชาญในเรอื่ งน้ันๆ มาตรวจสอบวิเคราะห
วาความรูที่มีอยูมีความถูกตองทันสมัยหรอื ไมกอนท่ีจะนาไปเผยแพรใหใชความรูนั่นเปนการ “จะทาให
เขาใจงายและสมบรู ณอยางไร” เชน ปรับปรุงรปู แบบเอกสารใหเปนมาตรฐานใชภาษาเดยี วกันปรบั ปรุง
เน้ือหาใหสมบรู ณ์
5) การเขาถึงความรู Knowledge Access) เปนการทาใหผูใชความรูนนั้ เขาถึงความรู
ที่ ตองการไดงายและสะดวกรวดเร็วเขาถึงไดดวยตนเองซึ่งควรมีการนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)
มาประยุกตใชเชน Intra Net, Face Book, Web Board บอรดประชาสัมพันธเปนตน
6) การแบงปนแลกเปล่ียนความรู Knowledge Sharing) เปนการนาความรูเทคนิค
ในการทางานเทคนิคการแกไขปญหาที่ไดจากการปฏิบัติงานแลวมาแลกเปล่ียนเรียนรูซึ่งกันและกัน ซึ่ง
ทาไดหลากหลายวิธีการตัวอยางเชน วัน KM Day เวทีความรู Knowledge Forum) การประชุมทาง
วิชาการการประชุมเชิงปฏิบัติการการแลกเปล่ียนความรูวิธีปฏิบัติที่เปนแบบอยางที่ดี (Best Practice)
ชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practice หรือ CoP) เปนตนกรณีเปน Explicit Knowledge อาจ
จัดทาเปนเอกสารฐานความรูเทคโนโลยีสารสนเทศกรณีเปน Tacit Knowledge อาจจัดกิจกรรมชุมชน
นักปฏิบัติ (Community of Practice หรือ CoP) เวทีความรู Knowledge Forum) การประชุมทาง
วชิ าการการประชุมเชิงปฏบิ ัติการการแลกเปลยี่ นความรูวธิ ปี ฏิบตั ิท่ีเปนแบบอยางทาดี (Best Practice)
แลวสกดั องคความรูจากกิจกรรมมาจัดทาเปน Explicit Knowledge เพอื่ นาไปใชงานตอไป
7) การเรียนรู Learning) เปนการนาความรูที่ไดจากการแลกเปล่ียนไปใชประโยชน
ในการทางานเพื่อแกปญหาพัฒนาองคกรหรือเพ่ือปรับปรุงงานใหดีข้ึนกวาเดิมโดยการใหผูไดรับความรู
25
นาความรูไปปฏิบัติจริงเมื่อปฏิบัติตามแลวมีปญหาตรงไหนมีจุดที่ตองปรับปรุงแกไขอยางไร ผูปฏิบัติก็
แจงข้อมูลปอนกลับ (Feedback) เพ่ือใหหนวยงานนาไปพิจารณาปรับปรงุ งานเกิดระบบการเรียนรูจาก
สรางองคความรู > นาความรูไปใช > เกิดการเรียนรูและประสบการณใหมและหมุนเวยี นตอไปอยางต่อ
เนื่อง
ภาพที่ 4 กระบวนการจดั การความรู้
โดยสรุปการจัดการความรูเปนกระบวนการหนึ่งซ่ึงชวยองคการในการระบุคัดเลือก
รวบรวมเผยแพรและโอนยายสารสนเทศที่มีความสาคัญอีกท้ังยังประกอบดวยความรูและความ ชานาญ
งานโดยจัดเก็บไวในฐานความรูขององคการซึ่งความรูเหลาน้ีจะชวยแกปญหาอันเกิดจาก การทางานที
มักเกิดการเปล่ียนแปลงอยูเสมอโดยกระบวนการจะเริ่มตนต้ังแตการะบุถึงความรูที่ ตองการสราง
รูปแบบของกาจัดเก็บความรูอยางเปนทางการในการเพ่ิมมูลคาของความรูนั้นทาได ดวยการนาความรู
ไปใชอีกบอยครัง้ เทาท่ีตองการดังนน้ั ในองคการทป่ี ระสบผลสาเร็จจะตอง สามารถปรับเปลี่ยนความรูให
อยูในรูปแบบของทุนทางปญญา (Intellectual Capital) โดยมีการแลกเปล่ียนความรูระหวางบุคคล
และการเผยแพรกระจายความรูอยางกวางขวางจนกอใหเกิด ฐานความรูขนาดใหญท่ีสามารถเรียกใช
เพอ่ื การแกไขปญหาภายในองคการแหงการเรียนรูและยงั นาไปสูการสรางความรทู ่ีเพม่ิ ข้นึ เร่อื ยๆ และมี
การปรบั เปลีย่ นความรูใหทันสมัยขึ้นอยางไมมวี ันจบ
26
2.2.3 องคประกอบสาคญั ของวงจรความรู
วงจรความรูมีองคประกอบสาคัญ 3 องคประกอบ คือ
1) คน เปนองคประกอบสาคัญท่ีสุดเพราะเปนแหลงท่ีกอใหเกิดความรูและเปนผูนา
ความรูไปใชหากไมมีคน จะทาใหความรูนั้นไมสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลง เรียนรูถายทอดไดดวย
ตัวเอง
2) เทคโนโลยีเปนเคร่ืองมือท่ีทาใหคนสามารถคนหา จัดเก็บ แลกเปล่ียนและนาความ
รไู ปใชไดอยางสะดวกงายดายและรวดเร็วข้ึน
3) กระบวนการจัดการความรูเปนการบริหารจัดการเพ่ือนาความรูจากแหลงความรู
ไปใหผูใชเพ่ือทาใหเกดิ การปรบั ปรงุ และเกดิ นวัตกรรมใหมๆ
2.2.4 กระบวนการบรหิ ารจดั การเปลย่ี นแปลง
กระบวนการบริหารจัดการเปลี่ยนแปลง เปนการจัดการความรูโดยมุงเนนถึงปจจัย
แวดล้อมภายในองคกร ทม่ี ผี ลกระทบตอการจดั การความรูประกอบดวย 6 องคประกอบ
ศรีไพร ศักด์ิรุงพงศากุลและเจษฎาพร ยุทธนวิบูลยชัย โดยในแตละองคประกอบมี
รายละเอยี ดสรุป38 ไดดงั น้ี
1) ก ารเต รีย ม ก ารแ ล ะป รับ เป ลี่ ย น พ ฤ ติ ก รรม (Transition and Behavior
Management) เปน การเปล่ียนแปลงคานิยม พฤติกรรมของผูบริหารและบุคลากร ใหเปนผูยึดแนว
การทางานท่ีเปดรับ และพรอมจะสรางสรรคงานใหมๆ พรอมเปนผูแบงปนความรูซ่ึงกันและกัน เพ่ือ
สร้างบรรยากาศที่ดีในการทางานมีมุมมองผูบริหาร เพ่ือนรวมงานและผูใตบังคบั บญั ชาในเชิงบวกเปดโอ
กาสให ทุกคนมีสวนรวมในการทางาน และใหโอกาสทีมงานดวยความสมัครใจ ปลูกฝงแนวคิดท่ีเอ้ือต
อการทางาน เชน กิจกรรมการมีสวนรวมและสนับสนุนจากผูบรหิ ารทีมงานหรือหนวยงานที่รับผิดชอบ
ระบบการติดตามและประเมนิ ผลกาหนดปจจัยของความสาเร็จท่ชี ัดแจน
2) การสื่อสาร (Communication) เปนสิ่งที่ทาใหทุกคนเขาใจถึงสิ่งท่ีองคกรจะ
ดาเนินการรวมกัน การสื่อสารที่สาคัญ ไดแก 1) สื่อสารเพื่อใหความรูความเขาใจเบ้ืองตน เชน
ความหมายความสาคัญ องคประกอบ ประโยชนของการจัดการความรู 2) ส่ือสารเพื่อสรางความ เขาใจ
เกี่ยวกับกระบวนการข้ันตอนในการจัดการความรูตลอดจนเคร่ืองมือที่จะใชในการจัดการความรู 3)
ส่ือสารถึงบทบาทหนาที่คณะทางานและผูเก่ียวของในการจัดการความรู และ 4) สื่อสารเกี่ยวกับเปา
หมายของการจัดการความรูตลอดจนความยาก และปญหาทอ่ี าจจะพบในการจดั การ ความรู
3) กระบวนการและเครื่องมือ (Process and Tools) ชวยใหการคนหา เขาถึง ถา
ยทอด และแลกเปลยี่ นความรูสะดวกรวดเร็วข้ึน โดยการเลือกใชกระบวนการและเคร่ืองมือ ขึ้นกบั ชนิด
ของความรูลักษณะขององคกรลักษณะการทางาน วัฒนธรรมองคกรทรัพยากร เครื่องมือที่ใชในการ
จัดการความรูแบงออกเปน 2 ประเภท ถาเปนการจัดการความรูประเภทชัดแจง (Explicit
Knowledge) มักจะใชส่ือเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) สวนเคร่ืองมือที่ใชในการจัดการ ความรู
ประเภทฝงลึก (Tacit Knowledge) มักจะเปนกระบวนการที่สามารถแลกเปล่ียนเรยี นรูและ แบงปนได
38 อ้างแล้ว, ศรีไพร ศักดิ์รุงพงศากุลและเจษฎาพร ยุทธนวิบูลยชัย, ระบบสารสนเทศและเทคโนโลยีการ
จดั การความรู้, กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยเู คช่นั ), 2549 หน้า 72-74.
27
เชน การประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการร่วมกันการสอนงาน (Coaching) การเรียนรูโดยการปฏิบัติ
(Action Learning) การจัดชมุ ชนนักปฏิบัติ (Community of Practice หรือ CoP)
4) การเรียนรู Learning) เพื่อสรางความเขาใจและตระหนักถึงความสาคัญและ
หลักการของการจัดการความรูโดยการเรียนรูตองพิจารณาถึงเนื้อหากลุมเปาหมาย วิธีการการ
ประเมนิ ผลและปรับปรงุ เชน การเรียนรูโดยการจัดชุมชนนกั ปฏิบัติ (CoP) มีกระบวนการขั้นตอน ดังน้ี
(1) การกาหนดเปาหมาย (Desired State) ซ่ึงเปนความตองการในการจัดการ
ความรูเพ่ือตอบคาถามวาจะนาไปใชประโยชนในเรื่องใด และจะทาใหใครเปนผูไดรับประโยชนในการ
จดั การความรูนั้น
(2) สรรหาผูปฏิบัติงานท่ีเปนเลิศ (Best Practice) เขารวมแลกเปลี่ยนแบงปน
ประสบการณสมาชิกทุกคนที่เขารวมเวทีตองเปนตัวจริง คือเปนผูปฏิบัติงานในเร่ืองนั้นๆ ท่ีประสบ
ความสาเรจ็ เปนท่ยี อมรบั เปนแบบอยางทีด่ ีและมาจากความแตกตางหลากหลายจึงจะเกิดพลัง
(3) คนหาความรูฝงลึกในตัวผูปฏิบัติซึ่งเขามีวิธีการปฏิบัติอยางไร จึงประสบ
ผลสาเร็จผานเทคนิคการเลาเร่ือง (Story Telling) โดยใชกระบวนการสกัดขุมความรู Knowledge
Assets) เปนรายบุคคลแลวหลอมรวมวิธีปฏิบัติท่ีเปนเลิศของทุกคนใหเปนแกนความรู Core
Competence)
(4) สรางความรูท่ีกระจัดกระจายอยูมากมายมารวมไวเพ่ือจัดทาเน้ือหาให
เหมาะสม และตรงกบั ความตองการของผูใชโดยจัดทาเปนฐานขอมูลตางๆ ตามความเหมาะสม
(5) เลือกและกลั่นกรอง (Refine) โดยสรรหาเลือกความรูที่เปนประโยชนและ
โดดเดน ซ่ึงอาจจะนาไปเทียบเคยี งทฤษฎีหลักการ หรอื แนวคิดทมี่ ีบันทึกไวหากไมตรงกับหลักการใดเรา
อาจจะไดหลักการปฏบิ ตั ใิ หมๆ เพม่ิ ขน้ึ
(6) การเผยแพรความรู Knowledge Distribution) กิจกรรมน้ีนาการจัดการท่ี
เปนระบบแลวเผยแพรแกนักปฏิบัติที่มีความตองการจะนาองคความรูที่ไดจากการจัดการความรูไป ใช
ประโยชน
(7) การนาความรูไปใชประโยชน Use) เปนกิจกรรมที่มีความจาเปนอยางย่ิง
เพราะเมอ่ื มีการจัดการความรูแลวไมนาไปใชประโยชนก็ไมบงั เกดิ ผลใดๆ ทาใหเกิดความสูญเปลาในการ
จัดการความรู
(8) การนาความรูท่ีไดมาและผานการนาไปใชแลววาเกิดประโยชนจริง มาเก็บ
ไวในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอินเทอรเน็ตไวเปนแหลงความรู (Knowledge Assets)
เพือ่ ใหเกดิ พลงั ในการแลกเปล่ยี นเรียนรู
(9) การตรวจสอบ (Monitor) เปนการทบทวนดูวาทุกขั้นตอนของการจัด
กระบวนการความรูมีข้ันตอนใดที่จะตองปรับปรุงใหมีประสิทธิภาพย่ิงขึ้น ขั้นตอนใดมีความเหมาะสมดี
แล้ว
5) การวัดผล (Measurement) เพื่อใหทราบวาการดาเนินการไดบรรลุเปาหมายท่ีต้ัง
ไวหรือไมมีการนาผลของการวัดมาใชในการปรับปรุงแผนและการดาเนินการใหดีข้ึน มีการนาผลการวัด
มาใชในการส่ือสารกับบุคลากรในทุกระดับ ใหเห็นประโยชนของการจัดการความรูและการวัดผลตอง
พิจารณาดวยวาจะวัดผลที่ขั้นตอนไหน อันไดแก วัดระบบ (System) วัดที่ผลลัพธ (Output) หรือวัดท่ี
28
ประโยชนท่ีจะไดรับ (Outcome) การวัดผลจะทาใหเราไดรวู าการจัดการความรูกอใหเกิดการพัฒนาได
อย่างเปนรปู ธรรมจรงิ หรอื ไม
6) การยกยองชมเชยและใหรางวัล (Recognition and Rewards) เปนการสราง
แรงจูงใจใหเกิดการปรับเปล่ียนพฤติกรรมและการมีสวนรวมของบุคลากรในทุกระดับ โดยขอควร
พิจารณา ไดแก คนหาความตองการของบคุ ลากร แรงจงู ใจระยะสน้ั และระยะยาว บรู ณาการกับระบบท่ี
มีอยูปรับเปลี่ยนใหเขากับกิจกรรมท่ีทาในแตละชวงเวลา ในการจัดการความรูใหประสบความสาเร็จ
ตามเปาหมายที่วางไวน้ันจะตองมสี ่ิงกระตุน ผลักดันใหเกิดการแลกเปล่ียนเรยี นรูการพิจารณาเร่อื งการ
ยอมรับ และใหรางวัลก็เพ่ือใหทุกคนตระหนักถึงความสาคัญความสอดคลองและความเต็มใจถายทอด
ร่วมกับผูอ่ืน ซ่ึงแตละองคกรตองพิจารณาตามความเหมาะสม เชน ของรางวัล ประกาศเกียรติคุณค่า
ยกยองชมเชยเปนตน
ภาพที่ 5 กระบวนการเปล่ียนแปลง
2.2.5 แนวทางการจัดการความรูภายในองคกร
สานักงาน ก.พ.ร. และสถาบันเพ่ิมผลผลิตแหงชาติ ไดเสนอแนวทางการจัดการ ความ
รภู ายในองคกรไวดวยกนั 4 ข้ันตอนหลัก39 ซง่ึ แตละขัน้ ตอนมีรายละเอียดดงั นี้
ขน้ั ตอนท่ี 1 สารวจความรู
การบงชี้ความรูเชน พิจารณาวา วสิ ัยทัศน /พันธกิจ/เปาหมายคืออะไรและเพื่อ
ให บรรลุเปาหมายเราจาเปนตอนรูอะไรขณะนเี้ รามีความรูอะไรบางอยูในรูปแบบใดอยูทีใ่ คร
ขัน้ ตอนที่ 2 รวบรวมพัฒนา
39 สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และสถาบันเพ่ิมผลผลิตแห่งชาติ, การจัดการ
ความรู้จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ, (กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการพัฒนา ระบบราชการ และสถาบันเพิ่มผลผลิต
แหง่ ชาต,ิ 2548) หนา้ 122.
29
การสรางและแสวงหาความรูเชนการสรางความรูใหม แสวงหาความรูจาก
ภายนอก รกั ษาความรูเกา กาจัดความรูทใ่ี ชไมไดแลว
ขนั้ ตอนท่ี 3 จัดเก็บสังเคราะห
1) การจัดความรูใหเปนระบบเปนการวางโครงสรางความรูเพื่อเตรียมพรอม
สาหรบั การเกบ็ ความรูอยางเปนระบบในอนาคต
2) การประมวลและกล่ันกรองความรูเชนปรับปรุงรูปแบบเอกสารใหเป็น
มาตรฐาน ใชภาษาเดยี วกัน ปรับปรุงเนื้อหาใหสมบรู ณ
ขัน้ ตอนที่ 4 ถายทอด
1) การเขาถึงความรูเปนการทาใหผูใชความรูน้ันเขาถึงความรูที่ตองการไดงาย
และ สะดวกเชนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) Web Board บอรดประชาสัมพนั ธเปนตน
2) การแบงปนแลกเปล่ียนความรูทาไดหลายวิธีการโดยกรณีเปน Explicit
Knowledge อาจจัดทาเปนเอกสารฐานความรูเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือกรณีเปน Tacit Knowledge
อาจจดั ทา เปนระบบทมี ขามสายงาน กิจกรรมกลุมคณุ ภาพและนวัตกรรม ชุมชนแหงการเรียนรูระบบพ่ี
เลี้ยง การสบั เปลยี่ นงาน การยมื ตวั เวทแี ลกเปลยี่ นความรูเปนตน
3) การเรียนรูควรทาใหการเรียนรูเปนสวนหน่ึงของงาน เชน เกิดระบบการ
เรียนรู จากสรางองคความรู > นาความรูไปใช > เกิดการเรียนรูและประสบการณใหมและหมุนเวียน
ต่อไปอย่างตอ่ เนื่อง
2.2.6 ปจจัยท่ีมีผลตอความสาเรจ็ (Key Success Factors) ของการจัดการความรู
1) ผูบริหาร : การจัดการความรูในองคกรผูบริหารควรมีบทบาทหนาที่ในการกาหนด
นโยบาย สนันสนุน และมีสวนรวมในการจัดกิจกรรมท่ีเก่ียวของกับการพัฒนาองคกรไปสูองคกร แห่ง
การเรียนรูเชน กิจกรรมระดมสมองผูบริหาร หรือการประชมุ จัดทาแผนยุทธศาสตร
2) จิตอาสา : การดาเนินการจัดการความรูในองคกรองคกรควรสงเสริมและ
พัฒนาการทางานแบบจิตอาสาโดย เปดโอกาสใหบุคลากรที่มีความต้ังใจและสนใจในการพัฒนาองคกร
ไปสูองคกรแหง่ การเรยี นรูเขามามบี ทบาทในการดาเนินงานจดั การความรู
3) สรางทมี ขบั เคลอ่ื น : เพอ่ื ใหการดาเนนิ การจัดการความรูในองคกร มีการขับเคลื่อน
ไปขางหนาไดอยางตอเนื่ององคกรควรจัดกิจกรรมฝกอบรม เพื่อปูพื้นฐานการจัดการความรูใน องคกร
และพัฒนาบุคลากรใหเปนผูที่สามารถดาเนินการการจัดการความรูไดเชน การอบรมบุคลากรเพื่อทา
หน้าท่ีเป็นคุณอานวย (Knowledge Facilitator) คอยอานวยความสะดวกและกระตุน การดาเนินการ
จัดการความรูเปนตน ซ่ึงจะทาใหองคกรเกิดการกาวกระโดดจนถึงระดับการนาองคกรไปสูองคกรแห่ง
การเรยี นรูได
4) กระบวนการคุณภาพ PDCA (Plan Do Check Act) : เพื่อใหการดาเนินการ
จัดการ ความรูในองคกรเกิดการดาเนินการอยางตอเน่ืองและพัฒนาอยางมีคุณภาพ ควรทาหลักการ
PDCA (Plan Do Check Act) มาใชในการดาเนินการกิจกรรมตางๆ ของการจัดการความรูในองคกร
เร่ิมตั้งแตมีกระบวนการวางแผนการจัดการความรูมีการปฏิบัติการตามแผน มีการนาองคความรูสูการ
ปฏิบัติมีการวิเคราะหปรับปรุงการดาเนินงาน มีคณะทางานติดตามอยางจริงจัง มีการรายงานตอผู
บริหารและบคุ ลากรทกุ ระดับอยางท่ัวถงึ และมคี ณะกรรมการประสานงาน เพอ่ื แกไขปญหา
30
5) การเปดหูเปดตาบุคลากรในองคกร : เพ่ือสรางความเขาใจถึงความสาคัญของการ
จัดการความรูในองคกรของบุคลากรในองคกร ซึ่งอาจดาเนินการไดหลายรูปแบบ เชน การจัดกิจกรรม
การประชมุ ชแี้ จงแกบุคลากรเปนตน
6) การเปดใจยอมรับ : เพ่ือใหบุคลากรเปดใจยอมรับการดาเนินการจัดการความรู ใน
องคกรและการแลกเปล่ียนเรียนรูองคกรอาจดาเนินการไดโดยการทากิจกรรมกลุมสัมพันธการ
สอดแทรกกิจกรรมการยอมรับความคิดเห็นซ่ึงกันและกัน เชน Before Action Review (BAR) และ
After Action Review (AAR) เปนตน
7) การมีสวนรวม : เพ่ือใหเกิดการมีสวนรวมในการจัดการความรูจากหนวยงานตางๆ
ภายในองคกร และหนวยงานภายนอกองคกรควรจัดกิจกรรมเปดโอกาสใหหนวยงานท่ีสนใจเขามารวม
แลกเปล่ยี นเรียนรูรวมท้ังเปดรบั ฟงความคิดเหน็
8) การสรางบรรยากาศ : การดาเนินการกิจกรรมการจัดการความรูควรมีการสราง
บรรยากาศที่เหมาะสมตอกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรูการยอมรับความคิดเห็นของบุคลากร ซ่ึงอาจ
ทาไดในรูปแบบตางๆ เชน กิจกรรมสภากาแฟ การเปล่ียนสถานท่ีแลกเปล่ียนเรียนรูการนาเทคนิค
Edutainment มาใชในการแลกเปล่ยี นเรียนรูหรือการเสริมสรางบรรยากาศใหมใหเราใจ เปนตน
9) การจัดใหมีเวทีแลกเปล่ียนเรียนรู้ : ในการจัดการความรูองคกรควรสงเสริม
สนับสนุนใหเกิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู Knowledge Forum) เพ่ือสกัดขุมความรูออกมาจาก
กระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรูและบันทึกไวใชงานตอและเกิดการตื่นตัวในการเรียนรู ซ่ึงสามารถ
ดาเนินการไดหลายรูปแบบ เชน ชุมชนแหงการเรียนรูหรือชุมชนนักปฏิบัติ (Communities of
Practice : CoP) การเลาเรื่องแบบ SST (Success Story Telling) กระบวนการสุนทรียสนทนา
(Dialogue) หรอื กระบวนการสภากาแฟโลก (World Café) เปนตน
10) การใหรางวัล ยกยองชมเชย : เปนการสรางแรงจูงใจใหเกิดการปรับเปล่ียน
พฤติกรรมและการมีสวนรวมของบุคลากรในทุกระดับ โดยขอควรพิจารณา ไดแก คนหาความตองการ
ของบุคลากร, แรงจูงใจระยะส้ันและระยะยาว, บูรณาการกับระบบที่มีอยู, ปรับเปล่ียนให เขากับ
กิจกรรมท่ีทาในแตละชวงเวลาการใหรางวัลยกยองชมเชยอาจทาไดโดยการประเมินผลพนักงาน การ
ประกวดเรื่องเล่าเราพลังการประกวด CoP ดีเดน การมอบโลรางวัลหรือเกียรติบัตรหรือจัดใหมีเงิน
รางวลั พเิ ศษ เปนตน
11) การจัดเอกสารประกันคุณภาพ (QA Document) : เพ่ือใหการดาเนินงานการ
จัดการความรูในองคกร สามารถตรวจสอบและประกันคุณภาพไดองคกรควรเก็บรวมรวมเอกสาร ที่
เก่ียวของอยางเปนระบบ เชน จดหมายเวียน ประกาศใชแผนดาเนินงาน การถอดบทเรียน คูมือการ
จัดการความรูการจดั เกบ็ เอกสารทีเ่ ปนคลังความรูท้ังน้ีอาจใชซอฟทแวรมาชวยในการบรหิ ารจดั การ
12) การส่ือสารภายในองคกร : เพ่ือใหบุคลากรในองคกรทุกคน ทุกระดับสามารถ
ติดตามขอมูลขาวสารการดาเนินการจัดการความรูในหนวยงานไดอยางตอเนื่องควรทาการสื่อสารกับ
บุคลากร ซ่ึงอาจดาเนินการไดโดยการจัดทาวารสาร/จุลสารการจัดการความรูการจัดทาเว็บไซต การ
จดั การความรูการจัดทาบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเวบ็ ไซตหรอื Web Blog
ซึ่งมีเครื่องมือหรือซอฟทแวรที่ใชในการเขียน Blog ไดมากมายเชน WordPress หรือ Movable Type
เป็นต้น
31
2.3 การจัดระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหาร
2.3.1 ความหมายของระบบสารสนเทศเพอื่ การบรหิ าร
ระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหาร (Management Information System หรือ MIS)
มีผู้ใหค้ วามหมายไว้ดงั น้ี
ธงชัย สันติวงษ์ ได้ให้ความหมายของระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารไว้ว่า ระบบ
สารสนเทศเพื่อการบริหาร หมายถึง ระบบท่ีเอื้ออานวยให้สามารถมีข้อมูลท่ีจะใช้ในการบรหิ ารหรอื อีก
ความหมายหนึ่งคือ ระบบทม่ี ีการจดั อย่างเป็นระเบียบและรวมเข้าเป็นกลุ่มโครงสรา้ งที่ประกอบข้ึนจาก
บุคคลจานวนมาก เครื่องจักรและระเบียบวิธีต่างๆ ที่จะช่วยให้ข้อมูลถูกต้องท้ังจากแหล่งภายนอกและ
แหล่งภายใน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการวางแผนควบคุมการดาเนินการด้านต่างๆ ของ
องค์กร ท้ังนี้โดยการเอื้ออานวยให้สามารถมีข้อมูลที่เป็นระเบียบแบบแผนที่จะเป็นรากฐานสาหรับการ
ตดั สนิ ใจ40
ทักษิณา สวนานนท์ ได้กล่าวถึงระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ ไว้ว่า ระบบ
สารสนเทศนั้น จะต้องได้รับการออกแบบ ให้มีการป้อนข้อมูลแก่ผู้บริหารทุกระดับช้ันเพ่ือช่วยในการ
ตัดสินใจ ระบบนี้จะต้องมีการเน้นในเรื่อง การเรียกหาข้อมลู ได้อย่างรวดเร็ว แฟ้มข้อมูลจะต้องมีตัวเลข
ต่างๆ ที่จะตอบคาถามผู้บริหารได้อย่างง่ายๆ และมุ่งแสดงตัวเลขที่จะทาให้มีการตัดสินใจได้ง่ายและ
รวดเร็ว เน่ืองจากในภาวะปัจจุบัน การท่ีผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วนับว่า มีความสาคัญ
มาก41
กรมสามัญศึกษา ได้กล่าวถึง ความสาคัญของระบบสารสนเทศ ไว้ว่า สารสนเทศเป็น
กญุ แจไปสคู่ วามสาเร็จของการบรหิ ารงาน เพราะหนว่ ยงานใดๆ แท้จริงแลว้ ก็คอื ระบบการจัดกระทากับ
สารสนเทศน่ันเอง และผู้บริหารก็คือ ผู้ท่ีรู้จักใช้ สารสนเทศ ที่หมุนเวียนอยู่ในหน่วยงานน้ันๆ ให้เกิด
ประโยชน์ ระบบสารสนเทศ มีความสาคัญ เพราะการบริหารงานในปัจจุบันมีความยุ่งยากกว่าในอดีต
ขนาดขององค์กรมีขนาดใหญ่กว่าในอดีต การเปล่ียนแปลงทางด้านเทคโนโลยีเป็นไปอย่างรวดเร็ว การ
กระจายขา่ วสารและขอ้ มูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและกวา้ งขวางมกี ารทางานกันอย่างเป็นระบบในลักษณะ
feedback control42
ครรชิต มาลัยวงศ์ ได้กล่าวถึง ความสาคัญของระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหาร ไว้ว่า
เปน็ ระบบท่ีผบู้ ริหารและผู้ปฏิบตั ิงานในหน่วยงานท้ังหลายต้องการ เพราะการบรหิ ารงานในหนว่ ยงานมี
ความเร่งด่วนในการใช้ข้อมูลและข้อมูลในหน่วยงานก็มีมากขึ้น ซ่ึงต้องการรายละเอียดและข้อสรุปที่
สามารถนาไปใช้เพื่อการบริหารและการตัดสินใจได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ระบบสารสนเทศจะเป็น
40 อ้างแล้ว, ธงชัย สันติวงษ์, การบริหารงานบุคคล, (กรุงเทพมหานคร : สานักพิมพ์ไทยวัฒนาพาณิช,
2533), หน้า 55.
41 ทักษิณา สวนานนท์, คู่มือการใช้โปรแกรม PageMaker 4.0, (กรุงเทพมหานคร ไฮเทคพร้ินติ้ง, 2536),
หนา้ 34.
42 กรมสามัญศึกษา, เอกสารประกอบการประชุมปฏิบัติการเพื่อจัดทาแผนหลักในการเร่งรัดพัฒนา
คุณภาพการศึกษา แนวทางพัฒนาคุณภาพการศึกษาของกรมสามัญศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ, (กรุงเทพ :
กรมสามญั ศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2538), หนา้ 139.
32
ระบบที่สนับสนนุ การจัดการของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน ได้แก่ การวางแผน การจัดงบประมาณ การ
กาหนดเวลางาน การติดตามการปฏิบัตงิ าน การควบคมุ งานและทส่ี าคัญท่ีสดุ คือ การตัดสนิ ใจ43
พิชิต สุขเจริญพงษ์ ได้กล่าวถึงระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหาร ไว้ดังน้ี ระบบ
สารสนเทศท่ีทาหน้าท่ีให้สารสนเทศหรือข่าวสารเพ่ือการตัดสินใจของผู้บริหารในเรื่องของกระบวนการ
จัดองค์กร เช่น การวางแผน การจัดองค์กรและการควบคุมเพ่ือให้องค์กรสามารถดาเนินไปตาม
วตั ถุประสงค์ที่ต้งั ไว้ หนา้ ทห่ี ลักของระบบสารสนเทศ44 คือ
- ให้สารสนเทศเพ่ือช่วยในการตัดสินใจของผูบ้ ริหาร
- ให้สารสนเทศแก่ผู้บริหารทกุ ระดบั ได้
- ใหส้ ารสนเทศ เพ่ือชว่ ยในการแกป้ ัญหาทุกรปู แบบของปญั หาได้ใหส้ ารสนเทศที่
รวดเร็วเหมาะสมกบั การใชง้ าน
ไพโรจน์ คชชา กล่าวว่า ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร หมายถึง “กระบวนการการนา
คอมพิวเตอร์มาใช้จัดทาระบบข้อมูล และการนาสารสนเทศเพ่ือมาใช้ในกระบวนการบริหารงานใน
องคก์ รในแต่ละข้ันตอนให้บรรลุเปา้ หมายอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ”45
สานักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ (2541) กล่าวถึง การจัดระบบสารสนเทศเพื่อการ
บรหิ าร46 ดังภาพ
ข้อมูล การประมวลผล สารสนเทศ
การวเิ คราะห์
การจัดเก็บขอ้ มลู การปรบั ปรุง การนาไปใชป้ ระกอบการ
และพัฒนาระบบ ตดั สนิ ใจ
ภาพท่ี 6 ระบบสารสนเทศเพื่อการบรหิ าร
ทีม่ า (สานักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ, 2541)
43 ครรชติ มาลัยวงศ์, ก้าวไกลไปกับคอมพิวเตอร์: สาระคอมพิวเตอร์ที่ขา้ ราชการต้องร้,ู (กรุงเทพฯ : ศูนย์
เทคโนโลยีอิเลก็ ทรอนิกส์และคอมพิวเตอรแ์ ห่งชาต,ิ 2538), หนา้ 65.
44 พิชิต สุขเจริญพงษ์, “วิธีการเชิงระบบ”, ในเอกสารการสอนชุดวิชาระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ
หนว่ ยท่ี 1-8, พมิ พ์ครง้ั ท่ี 2, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช, 2538), หน้า 110.
45ไพโรจน์ คชา, ค่มู อื การใช้คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI), (กรงุ เทพฯ : คอมแพคชน่ั , 2540), หนา้ 32.
46 คณะกรรมการการประถมศึกษาแหงชาติ, สานักงาน, ชุดฝึกอบรมด้วยตนเองการนิเทศภายใน โรงเรียน
ประถมศึกษาอยา่ งเป็นระบบ. (กรุงเทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว, 2541), หนา้ 52.
33
1) การจัดเก็บข้อมูล เป็นขั้นตอนแรก ที่ต้องดาเนินการโดยรวมถึงการวิเคราะห์สภาพ
บริบทของหน่วยงาน ความต้องการข้อมูลสารสนเทศ เพื่อใช้ในการดาเนินงานและเพื่อการบริหารการ
กาหนดเคร่ืองมือ การจัดกระทาเคร่ืองมือจัดเก็บข้อมูลและการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยเคร่ืองมือที่
เหมาะสม ซึง่ อาจจะเป็นเคร่อื งมืออยา่ งใดอยา่ งหนึง่ หรือหลายอย่างตามความเหมาะสม
2) การประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล ปัจจุบันมีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้กันอย่าง
แพร่หลายจึงทาให้เข้าใจว่า การประมวลผลต้องใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์เป็นหลัก หากไม่มีเคร่ือง
คอมพิวเตอร์ไม่สามารถทาการประมวลผลได้ แต่แท้จริงแล้วการประมวลผลสามารถใช้อุปกรณ์
เครื่องมือต่างๆ ทดแทนกันได้ ข้อจากดั ท่ีมโี ดยเฉพาะข้อมูลในระดับล่างสุด ซ่ึงมีจานวนไม่มากและยังไม่
สลับซบั ซ้อนมากนัก การประมวลผลอาจใชม้ ือ หรอื เครือ่ งมือคานวณธรรมดากไ็ ด้
3) การนาไปใชต้ ดั สินใจ เปน็ ขน้ั ตอนทผ่ี ูใ้ ช้ นาข้อมูลสารสนเทศไปใชป้ ระโยชนต์ ่างๆ
สก๊อต (Scott, 1970) กล่าวถึง MIS ไว้พอสรุปได้ว่า MIS คือ การรวบรวม อย่าง
สมบูรณ์และผสมผสานกันของข้อมูลข่าวสารและการจัดระบบข้อมูลให้กลายเป็นข้อสนเทศในหลายๆ
ทางทจ่ี ะก่อใหเ้ กิดผลผลิตโดยการจัดการและลกั ษณะต่างๆ ในการทจี่ ะสรา้ งเกณฑท์ ี่มคี ุณภาพ47
ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (Management Information System) หรือระบบ
สารสนเทศเพ่ือการจัดการ ตามคานิยามของกรมสามัญศึกษา หมายถงึ การเก็บรวบรวมขอ้ มูลและ การ
ดาเนินการประมวลผลให้เป็นสารสนเทศ เพ่ือใช้ในการบริหารและการจัดการ ระบบสารสนเทศ เพ่ือ
การบรหิ ารเป็นการรวมผู้ใช้และเครอื่ งคอมพิวเตอร์เข้าไวด้ ้วยกนั 48 มีจดุ มุ่งหมายในการจัดหาสารสนเทศ
เพ่ือใช้สนับสนุนการดาเนินการการบริหารจัดการ (Management) และการตัดสินใจ (Decision
Making) ในองค์กiเป็นระบบที่ใช้ประโยชน์จาก ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์กระบวนการท่ีทา
ดว้ ยมอื เปน็ ตวั แบบสาหรบั การวเิ คราะห์ การวางแผน การควบคุมและการตัดสินใจ49
ลูกัส กล่าวว่า ในการ ตัดสินใจและควบคุมการดาเนินงานขององค์การชุดของ
กระบวนการท่ีประมวลผลข้อมูล เพ่ือการ บริหารองค์การเป็นไปอย่างสัมฤทธิ์ผลและมีคุณภาพ
ประกอบด้วยการสารวจการรวบรวม ข้อมูลธุรกิจ ช่วยเก็บตัวเลขและข่าวสารเพ่ือช่วยในการดาเนิน
ธรุ กิจและการตัดสินใจ50
ทพิ วรรณ อู่ทรัพย์ กล่าวว่า ระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหาร หมายถึง ระบบการ เก็บ
รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลให้เกิดสารสนเทศ เพื่อนาไปใช้ประโยชน์ในการ
สนับสนุนการดาเนินงาน การจัดการและการตัดสินใจของหน่วยงาน จากความหมายของระบบ
47 Scott, P. 1970, The Process of Conceptual Change in Science, (New York : Cornell
University, 1970), P 211.
48 อ้างแล้ว, กรมสามัญศึกษา, เอกสารประกอบการประชุมปฏิบัติการเพ่ือจัดทาแผนหลักในการเร่งรัด
พัฒนาคุณภาพการศึกษา แนวทางพัฒนาคุณภาพการศึกษาของกรมสามัญศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ,
(กรุงเทพ : กรมสามญั ศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, 2538), หนา้ 13.
49 ชมุ พล ศฤงคารศิริ, ระบบสารสนเทศเพ่อื การจัดการ, (กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจากัด ป.สัมพันธ์พาณิชย์,
2543), หน้า 2 – 3.
50 Lucus, StephenE, Transformational leadership: Principal, leadership and school
culture, Doctoral dissertation, (The University of Missouri, Columbia, 1990), P 208 – 509.
34
สารสนเทศเพ่ือการบริหาร ข้างต้นสรุปได้ว่า ระบบสารสนเทศ เพื่อการบริหาร เป็นระบบการจัดเก็บ
ข้อมูล การวเิ คราะห์ข้อมลู เพ่อื ให้เกิดสารสนเทศและสารสนเทศนนั้ สามารถนาไปใช้ในการตดั สินใจและ
ยังอาจให้ความหมายได้ว่า ระบบสารสนเทศเป็นวิธีการหรือกระบวนการในการบริหารจัดการข้อมูล
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการนาประโยชน์ไปใช้ดังน้ันระบบ สารสนเทศเพ่ือการบริหาร จึงมีความ
แตกต่างกันตามความต้องการในแต่ละองค์การและ การวิเคราะห์ข้อมูล ระบบสารสนเทศเพื่อการ
บรหิ าร จะชว่ ยในการจดั การข้อมูลทตี่ อ้ งการใช้ในระบบ51
Davis & Olson ให้ความหมายของระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารไว้ว่า เป็นการ
ประสานระบบเคร่ืองจกั รกลและคนซงึ่ ช่วยจัดหาข้อสารสนเทศเพอ่ื สนับสนุนการปฏิบัติการการบริหาร
จัดการและการตัดสินใจ ให้สอดคล้องกับหน้าท่ีขององค์การ โดยจะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer
Hardware) และคาส่ังการทางาน (Software) การทางานด้วยมือ (Manual Procedure) รูปแบบกา
วเิ คราะห์การวางแผน การควบคุม ฐานข้อมูล (Data base) และการตดั สินใจ52
กล่าวโดยสรุป ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร หมายถึง ระบบสารสนเทศท่ี
เอ้ืออานวยให้สามารถมีข้อมูลท่ีจะนามาใช้ในการบริหารประกอบด้วยบุคคลท่ีรวมกันเป็นโครงสร้าง มี
ระเบียบวิธกี ารปฏิบัติที่จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง บริหารและใช้วิธีการประมวลผลทั้งดว้ ยมือและด้วย
เครื่องจักร สามารถเรียกใช้ได้ทันความต้องการของผู้บริหารและเป็นประโยชน์ในการวางแผนและ
ควบคมุ งานให้ดาเนินไปอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
2.3.2 ความสาคัญของระบบสารสนเทศเพื่อการบรหิ าร
นักวชิ าการ นักการศึกษากลา่ วถึง ความสาคญั ของระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหาร ไว้
ดงั นี้
ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร มีความสาคญั อย่างยง่ิ ต่อองค์การและหน่วยงานต่างๆ
ทั้งภาครฐั และเอกชน องคก์ ารหรือหนว่ ยงานใดสามารถพัฒนาระบบสารสนเทศ เพ่ือการบริหารได้อยา่ ง
มีประสิทธิภาพจะทาให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในเรื่องสาคัญๆ ได้อย่างรอบคอบและสามารถ
ตรวจสอบ พิจารณาประเด็นและปัจจัยต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวกับการพัฒนาได้อย่างถ่ีถ้วนและสามารถกาหนด
แนวทางในการแก้ปญั หาได้ด้วยความม่นั ใจ53
กรมสามัญศึกษา ได้กล่าวถึง ความสาคัญของระบบสารสนเทศไว้ว่าสารสนเทศ เป็น
กญุ แจไปสู่ความสาเร็จของการบริหารงาน เพราะหน่วยงาน คือ ระบบการจัดทาสารสนเทศน่ันเองและ
51 ทิพย์วรรณ อู่ทรัพย์, (2544). การพัฒนาระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารของวิทยาลัยสารพัดช่าง
กาฬสินธ์ุ, (วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม, 2544), หนา้ 20.
52 Davis, Gordon B. & Olson, Margrethe H, Management information system : Conceptual
foundation, structure, and development, 2nd ed., (New York : McGraw-Hill, 1985), P 6.
53 อาไพ พรประเสริฐสกุล, การวิเคราะห์และออกแบบระบบ, พิมพ์คร้ังที่ 2, (กรุงเทพฯ : ศูนย์เทคโนโลยี
อเิ ลก็ ทรอนิกส์, 2537), หน้า 10.
35
ผู้บริหาร ก็คือ ผู้รู้จักเลือกใช้สารสนเทศท่ีหมุนเวียนอยู่ในหน่วยงานนั้นๆ ให้เกิดประโยชน์ ระบบ
สารสนเทศมีความจาเป็นกเ็ พราะเหตุผล 5 ประการ54
1) การบรหิ ารงานในปจั จุบันมคี วามยุ่งยากกวา่ ในอดีต
2) ขนาดขององคก์ ารทดี่ าเนินการใหญก่ ว่าในอดตี
3) การเปลย่ี นแปลงทางดา้ นเทคโนโลยเี ป็นไปอย่างรวดเร็ว
4) การกระจายขา่ วสารขอ้ มูลเปน็ ไปอยา่ งรวดเรว็ และกวา้ งขวาง
5) มีการท างานอยา่ งเปน็ ระบบในลกั ษณะ Feedback control
วรี ะ สุภากิจ กล่าวว่า สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานเป็นแหล่งปฐมภูมิของข้อมูล พ้ืนฐานทาง
การศึกษา ถ้าสถานศึกษาขาดระบบสารสนเทศท่ีมีคุณภาพ นอกจากจะไม่สามารถใช้ ข้อมูลและ
สารสนเทศในการบริหาร หรือการปฏิบัติงานของโรงเรียนแล้ว ยังส่งผลกระทบถึง หน่วยงานที่ใช้ข้อมูล
จากสถานศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน เพอ่ื การวางแผนและการตดั สินใจอีกดว้ ย55
จติ ติมา เทียมบุญประเสริฐ กล่าวถึง ความสาคญั ของระบบสารสนเทศ เพอ่ื การบรหิ าร
ว่าเป็นระบบงานที่ผสมผสานข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง หรือระบบย่อยหลายๆ ระบบ ท่ีมีความสัมพันธ์
กันจัดทาสารสนเทศเป็นภาพรวมท่ีสมบูรณ์ทั้งระบบ นาไปใช้ในการตัดสินใจสาหรับ ผู้บริหารทุกระดับ
ช่วยให้ผู้บริหารสามารถเรียกค้นข้อมูลได้เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดอย่างรวดเร็วและ พัฒนางานได้บรรลุ
จุดม่งุ หมาย โดยรวมขององคก์ าร56
กล่าวสรุปได้ว่า ระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหาร มีความสาคัญต่อการบริหารงาน
ตง้ั แต่ การวางแผน การจดั ระบบงาน การดาเนนิ งานและการประเมินผลงาน เปน็ กุญแจสู่ความสาเรจ็ ใน
การ บริหารองค์การน่ันเอง
2.3.3 องคป์ ระกอบท่สี าคัญในการจัดระบบสารสนเทศในสถานศึกษา
การจัดระบบสารสนเทศในสถานศึกษา มีองค์ประกอบท่ีสาคัญ 4 ประการ คือ
ผู้บริหารผู้ปฏิบัติงานสารสนเทศ เทคโนโลยีที่นามาใช้ และแผนพัฒนาระบบสารสนเทศ57 ซ่ึงมีลักษณะ
ดังนี้
1) บริหาร ต้องมีหน้าท่ีและความรับผิดชอบ ในการวางแนวทางในการพัฒนาเพ่ือให้
ได้มาซ่ึงสารสนเทศที่ตอ้ งการ โดยพจิ ารณาถึงประเด็นสาคัญหลายๆ ประเด็น อาทิคณุ ภาพสารสนเทศที่
มีอยู่ในปัจจุบัน สารสนเทศใดที่ควรให้มีเพิ่มขึ้นจากแหล่งข้อมูลท่ีนามาผลิตใช้สารสนเทศและรูปแบบ
สารสนเทศและผู้บริหารในฐานะองค์ประกอบแรกต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการพิจารณา
54 อ้างแล้ว, กรมสามัญศึกษา, เอกสารประกอบการประชุมปฏิบัติการเพ่ือจัดทาแผนหลักในการเร่งรัด
พัฒนาคุณภาพการศึกษา แนวทางพัฒนาคุณภาพการศึกษาของกรมสามัญศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ,
(กรงุ เทพ : กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2538), หนา้ 6.
55 วีระ สุภากจิ , ระบบสารสนเทศเพอ่ื การจดั การ, (จากทฤษฎสี กู่ ารปฏิบตั ใิ นโรงเรยี น ม.ป.ท., 2539), หน้า
309.
56 อ้างแล้ว, จิตติมา เทียมบุญประเสริฐ, ระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ :
โปรแกรมวิชาวิทยาการคอมพวิ เตอร์ คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสถาบนั ราชภฏั สวนดสุ ิต, 2544), หนา้ 7-8.
57 กรมสามัญศึกษา, แนวทางการนิเทศการศึกษากรมสามัญศึกษา. (กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์เสมาธรรม,
2536), หนา้ 78.
36
ความคุ้มค่าของสารสนเทศหรือผลประโยชน์ท่ีจะได้รับ ทั้งในรูปแบบตวั เงินและผลประโยชน์ทางอ้อมที่
จะเกิดข้ึนด้วย ผู้บริหารเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาระบบสารสนเทศ เพราะ
ผู้บริหารเป็นผู้ให้เงิน ให้คน และทิศทางในการพัฒนาระบบสารสนเทศผู้บริหารจะต้องเข้าใจขั้นตอน
พัฒนาระบบสารสนเทศและจะต้องตัดสินใจแก้ไขปัญหาและอุปสรรคใดๆ ท่ีเกิดข้ึนให้เหมาะสมกับ
สถานการณ์ท่ีเป็นอยู่ หน่วยงานสารสนเทศที่ควรได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหาร 3 ประการ คือ 1.
สนับสนุนการจดั ตั้งหน่วยงาน 2. สนับสนุนในการคัดเลือกเจ้าหน้าทป่ี ระจาหน่วยงาน 3. สนับสนุนใน
การดาเนนิ การ
2) ผู้ปฏิบัติงานสารสนเทศ นอกจากจะมีความรู้ ความสามารถในการประมวลผล
ข้อมูลแล้วยังจะต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี กล้าพูดความจริงและต้องมีความอดทนต่อผลกระทบต่างๆ ท่ี
เกิดข้ึนมาได้เป็นอย่างดี เช่น ความล่าช้าของงานในส่วนที่ผู้บริหารดาเนินการ ข้อผิดพลาดจากความไม่
เคยชินกบั ระบบใหม่และจะต้องมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ซ่ึงจะต้องมีความรับผดิ ชอบใน
การปฏบิ ตั ิงาน
3) เทคโนโลยีท่ีนามาใช้ในปัจจุบัน เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาท ในการพัฒนาระบบ
สารสนเทศอย่างมากประกอบกับความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ทาให้มีทางเลือก
มากมายหลายอย่าง ซึ่งมีผลเสียแตกต่างกันอย่างสูงด้วย ผลที่เกิดขึ้นกระทบต่อความสาเร็จของการ
พัฒนาระบบสารสนเทศโดยตรง กรมสามัญ ได้กล่าวถงึ การเลือกเทคโนโลยีมาใช้ในระบบสารสนเทศว่า
จะต้องระมัดระวัง อย่าเลือกเพราะต้องการทดลอง ควรคานึงถึงประโยชน์ของงานเป็นหลัก และข้อ
สาคัญก็คือ ขอ้ จากัดของเวลา งบประมาณและกาลงั คนท่ีมอี ยู่
4) แผนในการพัฒนาระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหาร จะต้องมีแผนที่ชัดเจน มีความ
เป็นไปได้อย่างสูง ดังที่แผนพัฒนาระบบสารสนเทศเป็นการกาหนดข้ันตอนในการปฏิบัติงานและ
คาดคะเนระยะเวลาสาหรับการพัฒนาและปรับใช้ระบบสารสนเทศ โดยพิจารณาข้อมูลท่ีได้จาก
การศึกษาความเป็นไปได้ซึ่งเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่จะใช้เป็นแนวทางในช่วงของการพัฒนาและปรับใช้
ระบบสารสนเทศ กรมสามัญศึกษา ได้กล่าวถึง การทาแผนพัฒนาระบบสารสนเทศว่า จะต้องได้มาจาก
การพจิ ารณารว่ มกัน ระหว่างผู้ใช้ ผู้จดั ทาสารสนเทศมีการประกาศใชใ้ ห้ทราบโดยทั่วกันและดาเนินการ
ไปตามแผนที่กาหนดไว้
2.3.4 การใชร้ ะบบสารสนเทศเพอื่ การบริหาร
ส า ร ส น เท ศ เป็ น ส่ิ ง ส า คั ญ แ ล ะ จ า เป็ น ต่ อ ก า ร ด า เนิ น งา น ข อ งห น่ ว ย ง า น เพ่ื อ ใช้
ประกอบการวางแผนการบริหารงาน การกากับ ติดตาม ประเมินผลการดาเนินการให้บรรลุเป้าหมาย
วัตถุประสงค์และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อหน่วยงาน สานักงานการประถมศึกษาแห่งชาติ ซึ่งเป็น
หนว่ ยงานที่รับผดิ ชอบในการจดั การศึกษาให้กับเยาวชนของชาติ จงึ ไดก้ าหนดนโยบายและแนวทางการ
พัฒนาประสทิ ธภิ าพการบริหารจัดการและการใชข้ อ้ มูลสารสนเทศ58 ไว้ดงั นี้
58 อ้างแล้ว, คณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหงชาติ, สานกั งาน, ชุดฝึกอบรมดว้ ยตนเองการนิเทศภายใน
โรงเรยี นประถมศึกษาอยา่ งเป็นระบบ. (กรงุ เทพฯ: ครุ ุสภาลาดพรา้ ว, 2541), หน้า 33-35.
37
1) กาหนดเป็นนโยบายและมาตรการให้หน่วยงานทุกระดับจัดข้อมูลสารสนเทศอย่าง
เป็นระบบตามหลกั วชิ าการ โดยสนบั สนุนอย่างจริงจงั
2) พัฒนาบุคลากรทุกระดับให้มีความรู้ ความเข้าใจและตระหนักถึงความสาคัญ ของ
ข้อมลู และการใช้ข้อมูลสารสนเทศเพอื่ การบริหารและปฏิบตั งิ านทุกระดับ
3) เรง่ ทาเทคโนโลยสี มัยใหมม่ าใชเ้ พ่ือเพ่มิ ประสทิ ธิภาพการบรหิ ารและการใชข้ ้อมูล
4) กาหนดวันข้อมลู สารสนเทศและใช้ตรงกันทุกระดับ
5) ให้หน่วยงานทุกระดับ วิเคราะห์ภารกิจและกาหนดรายงานข้อมูลสารสนเทศท่ี
หน่วยงานแตล่ ะระดบั ตอ้ งมีและตอ้ งใชใ้ นหนึ่งปี
การวางแผนการดาเนินการ การตัดสินใจ การจัดองค์กร การบริหารบุคลากร และการ
อานวยการเพื่อให้งานสารสนเทศบรรลุวัตถุประสงค์ รวมท้ังการกากับดูแลและควบคุมงานเพ่ือให้การ
ดาเนินงานจัดระบบสารสนเทศเป็นไปตามเป้าหมาย นอกจากนั้น สามารถนาสารสนเทศมาช่วยในการ
ตัดสนิ ใจ การวางแผน การดาเนินงาน ตลอดจนการประเมินผล ดงั ภาพที่ 7 ดงั นี้
การวางแผน
การ ระบบสารสนเทศ การจดั ระบบงาน
ประเมินผล
การดาเนนิ งาน
ภาพท่ี 7 แสดงความสัมพนั ธข์ องระบบสารสนเทศกับการบริหารโรงเรยี น
ท่มี า (กรมสามญั ศกึ ษา, 2538)
2.3.5 ระบบสารสนเทศกบั การวางแผน
ทองอนิ ทร์ วงศ์โสธร ได้กล่าวถงึ การวางแผน การวางแผนเป็นองคป์ ระกอบหน่งึ ของ
การบรหิ าร59 ซึ่งมีขั้นตอน 3 ประการ คือ
1) การกาหนดนโยบายและแผน
2) การนานโยบายและแผนไปปฏิบัติ
3) การประเมนิ นโยบายและแผน
การวางแผนจึงเป็นไปตามกระบวนการของทั้ง 3 ข้ันตอน ดังกล่าว การกาหนด
นโยบายและแผน สารสนเทศที่สาคัญสาหรับข้ันตอนนี้ ได้แก่ สารสนเทศที่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อม
ภายนอก (external environment) และสารสนเทศท่ีเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมภายใน (internal
59 อ้างแล้ว, ทองอินทร์ วงศ์โสธร, ประเภทและลักษณะของสารสนเทศเพ่ือการบริหารการศึกษา ใน
ประมวลสาระชุดวิชาระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการและเทคโนโลยการบริหารการศึกษา หน่วยที่ 1 ( ตอนท่ี
1.3), (นนทบุร:ี มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยธรรมาธริ าช, 2537), หนา้ 96-98.
38
environment) ข้อมูลท่ีเก่ียวกับสภาพแวดล้อมภายนอก ทาให้ทราบว่า ประเทศชาติจะพัฒนาไปใน
ทิศทางใด มีแนวโน้มทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองอะไรบ้าง ส่วนข้อมูลสภาพแวดล้อมภายใน ทาให้เรา
ทราบว่าองค์การหรือหน่วยงานนั้นมจี ุดอ่อน จดุ แขง็ อยา่ งไร เมือ่ นาข้อมูลท้ังสองประการนี้ มาพิจารณา
ประกอบกัน จะสามารถทาให้ผู้บริหารกาหนดวัตถุประสงค์และนโยบายได้ถูกต้อง เหมาะสมกับจุดแข็ง
จดุ อ่อนของหนว่ ยงานตามสภาพแวดล้อมภายใน ทาให้เราทราบวา่ องค์การหรือหน่วยงานมีจดุ อ่อน จุด
แข็งอย่างไร เมื่อนาข้อมูลท้ังสองประเภท มาพิจารณาประกอบกัน สามารถทาให้ผู้บริหาร กาหนด
วัตถุประสงค์และนโยบายในการบริหารได้ถูกต้องสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง และเหมาะสมกับ
จดุ ออ่ น จุดแขง็ ของหน่วยงานหรือองคก์ ร
2.3.6 ประโยชนข์ องการจดั การสารสนเทศเพือ่ การบรหิ าร
ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ระบบสารสนเทศและการบริหารต่างมีอิทธิพลต่อกัน ระบบ
สารสนเทศที่ดี จะมีประโยชน์ต่อการบริหารดงั นี้
1) การกาหนดเป้าหมาย หมายถึง จดุ หมายปลายทางทต่ี ้องการความสาเรจ็ เป้าหมาย
ของโรงเรียนก็คือ การจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ สามารถพัฒนานักเรียนให้มีคุณลักษณะที่พึง
ประสงค์ตามท่ีหลักสูตรต้องการ การกาหนดเป้าหมายท่ีสอดคล้องกับองค์การ จะต้องอาศัยสารสนเทศ
ต่างๆ ทง้ั ในเร่ืองนักเรยี น ครู ความตอ้ งการของชมุ ชน การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี เป็นตน้
2) การวางแผนและการตัดสินใจ การวางแผนเปน็ หนา้ ที่ขอผู้บริหารโรงเรยี น การ
วางแผนเปน็ กระบวนการตอ่ เน่ือง ที่ประกอบดว้ ยขั้นตอนสาคญั 3 ประการ คือ
- การกาหนดนโยบายและแผน
- การนานโยบายและแผนไปปฏิบตั ิ
- การประเมินผลนโยบายและแผน
สว่ นในเร่ืองการตัดสินใจนน้ั ผู้บริหารจะต้องมกี ารตัดสินใจอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่ว่า
จะเป็นการตัดสินใจเรื่องท่ีเก่ียวกับนักเรียน การเงินและงบประมาณ หรือการบริหารบุคลากร ระบบ
สารสนเทศจะช่วยให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม ถ้าผู้บริหารได้รับสารสนเทศที่ล่าช้า
บกพร่อง หรือไมถ่ กู ตอ้ ง จะเปน็ ผลใหก้ ารตดั สนิ ใจอยา่ งผิดๆ
3) การจัดและปรับปรุงโครงสร้างองค์กร การจัดองค์กรเป็นเร่ืองท่ีสาคัญ ที่เก่ียวข้อง
กับการแบ่งงานกันทาพร้อมกับการแบ่งอานาจหน้าที่ ที่เหมาะสมให้ การรวมกลุ่มของงานในโครงสร้าง
เดียวกัน มีการติดต่อสัมพันธ์กันภายในองค์กร การจัดองค์กรท่ีถูกต้องเหมาะสมจะช่วยให้เกิดประโยชน์
ในด้านใช้ทรัพยากรต่างๆ อย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพสูง ผู้ท่ีมีหน้าท่ีรับผิดชอบในการจัดการองค์กร
จะต้องทราบลักษณะสารสนเทศเก่ียวกับงาน สายการบังคับบัญชา ขอบเขตการบังคับบัญชา การแบ่ง
งานกันทา อานาจหน้าที่ ความรบั ผิดชอบ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างงาน แตล่ ะงานและสภาพแวดลอ้ มต่างๆ
ท่ีเปลี่ยนแปลงไปด้วย องค์กรจะต้องมีการจัดและปรับปรุงโครงสร้างขององค์กรให้เหมาะสมและ
สอดคล้องกับปัจจัยเหล่าน้ี รวมถึงการจัดหน่วยงานที่รับผิดชอบเก่ียวกับการจัดเก็บและรวบรวม
สารสนเทศอกี ดว้ ย
4) การบริหารงานบุคคล การบริหารงานบุคคลน้ัน ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ได้แก่
การวางแผนบุคคล การเลือกสรร การพัฒนาบุคคล การประเมินผลการปฏิบัติงาน การเปล่ียนแปลง
ฐานะของบุคลากร การบริหารบุคคลมีวัตถุประสงค์เพ่ือ ใช้คนให้ถูกกับงานและถูกกับเวลาอันจะทาให้
เกิดขวัญและกาลังใจในการปฏิบัติงาน องค์กรจะประสบความสาเร็จจะต้องอาศัยสารสนเทศต่างๆ
39
มากมาย ทง้ั ในส่วนท่ีเก่ียวกับบุคคล เช่น อายุ เพศ การศึกษา ความถนัด ความสามารถพเิ ศษ การเล่อื น
ข้ันเงินเดือนในรอบปีท่ีผ่านมา เป็นต้น นโยบายและเป้าหมายขององค์กรและสภาพแวดล้อมภายนอก
องค์กรด้วย เช่น นโยบายของรัฐ ค่านิยมของคนในสังคม อาชีพและวัฒนธรรมท้องถ่ินเปน็ ตน้ ถา้ องคก์ ร
ขาดขวัญและกาลังใจ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลขององค์กรจะลดลงและองค์กรอาจจะเลิกล้มไปใน
ทส่ี ุด
5) การอานวยการหรือการส่ังการ การอานวยการเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร ที่จะใช้
ความสามารถชักจูงบุคลากรให้ปฏิบัติงานอย่างดีที่สุด จนบรรลุผลสาเร็จตามวัตถุประสงค์ขององค์กร
การอานวยการหรือการส่ังการ จะต้องใช้ศิลปะต้องเข้าใจเรื่องของบุคคล (พฤติกรรมและแรงจูงใจ)
ความเป็นผู้นา การติดต่อส่ือสาร โดยอาศัยสารสนเทศ ในเร่ืองเหล่าน้ีเช่น ช่องทางการติดต่อสื่อสาร
ข้อมลู เก่ยี วกับตัวบุคคล
6) การควบคุม หมายถึง การบังคับให้มีกิจกรรมต่างๆ เป็นไปตามแผนงาน ที่กาหนด
ไว้ผู้บริหารจะต้องทาการประเมินผลการปฏิบตั ิงานในด้านตา่ งๆ และจะตอ้ งตรวจสอบดูว่า มีส่งิ ใดบ้างที่
จะต้องทาการแก้ไข การตรวจสอบผลงานดังกล่าวมักจะกระทาโดยการพิจารณา จากรายงานท่ีเป็น
ทางการ เช่น การรายงานเก่ียวกับนักเรียน ผลการสอบ รายงานผลการปฏิบัติงานตามโครงการต่างๆ
รายงานการจัดซ้ือจัดจ้าง เป็นต้น เพื่อนามาเปรียบเทียบกับวัตถุประสงค์และมาตราฐานที่กาหนดไว้ใน
แผนงาน
2.4 แนวคิดและทฤษฎีทางการจัดการ
2.4.1 ความสาคญั ของแนวความคดิ และทฤษฎีทางการจัดการ
แนวความคิดของการจัดการโดยท่ัวไปในอดีต จะเป็นการมุ่งเน้นในการประสานงาน
กันระหว่างผู้บริหารกับบุคลากรเพ่ือมุ่งในการเพ่ิมประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร แต่จาก
การที่ผู้บริหารมีสมมติฐานว่ามนุษย์ว่าเป็นผู้ท่ีมีเหตุผลในการปฏิบัติงาน และประสิทธิภาพของผลงาน
เกิดจากการแบง่ งานกันทาตามความถนัด แต่ผ้บู ริหารไม่ได้ให้ความสาคัญเกย่ี วกับปัจจัยทางด้านสภาวะ
แวดล้อมและพฤติกรรมของมนุษย์ในองค์การทาให้การปฏิบัติงาน และประสิทธิภาพของผลงานไม่
เป็นไปตามที่ตอ้ งการ เช่น การท่ีบุคลากรไม่ทราบวัตถุประสงค์ท่ีชัดเจน งานมีลักษณะท่ีเป็นงานประจา
จนขาดการความสาคัญต่อความต้องการของลูกค้า แต่ผลผลิตสามารถจาหน่ายได้ท้ังหมด และ
ทรัพยากรที่มคี ุณภาพมใี ห้ใช้ได้อย่างไมจ่ ากัด เป็นตน้
แม้ว่าแนวความคิดทางการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์จะช่วยเพ่ิมผลผลิตให้มากข้ึนก็ตาม
แต่ก็ สามารถทาให้เกิดปัญหาเก่ียวกับมนุษย์ข้ึนได้ เช่น คนงานส่วนใหญ่ไม่ชอบงานในลักษณะท่ีเป็น
งานประจาจนเป็นผลทาให้ผู้บริหารคิดหาทางนาไปสู่การขยายงาน การเพ่ิมคุณค่าของงาน และการให้
อานาจตัดสินใจกับพนักงานเพิ่มขึ้น หรือการนาแนวความคิดของการจ่ายค่าตอบแทนตามจานวน
ผลงานมาประยุกต์ใช้กับคนงานจนสามารถเพิ่มผลผลิตได้เกินจากมาตรฐานที่กาหนด ซึ่งจะได้รับ
ค่าตอบแทนท่ีสูงกว่าคนงานท่ีทาได้ต่ากว่ามาตรฐานก็สามารถผลักดันให้คนงานแต่ละคนทางานได้ตาม
เป้าหมายท่ีกาหนด ในการจ่ายคา่ ตอบแทนตามระบบดังกล่าวน้ีผู้บริหารเชื่อว่าจะทาให้หัวหน้าคนงานมี
กาลังใจท่ีจะสอนงานให้คนงานทางานให้ดีขนึ้ กวา่ เดิมดว้ ย
ในการออกแบบองค์การโดยผูบ้ รหิ ารจะตอ้ งเผชญิ กับการตัดสนิ ใจท่ีมีความยุ่งยากและ
ซับซ้อน หลายประการ ผลลัพธ์ของการตัดสินใจที่ต้องการ คือ โครงสร้างองค์การที่มีความเหมาะสม
40
ท่ีสุด ที่ได้จากแนวคิดและทฤษฎีทางการจัดการเพ่ือให้องค์การสามารถบรรลุผลสาเร็จที่ต้องการ
โดยท่ัวไปการออกแบบองค์การจะมีความเก่ียวข้องกับการตัดสินใจท่ีสาคัญของผู้บริหาร ได้แก่ การแบ่ง
งาน ออกเป็นงานย่อยๆ ตามลาดับความสาคัญ การจัดสรรอานาจหน้าท่ีระหว่างงานเพ่ือการตัดสินใจ
การรวมกลุ่มงานแต่ละด้านเข้าด้วยกัน และการกาหนดขนาดของกลุ่มงานของผู้บริหารแต่ละคนอย่าง
เหมาะสม60 ดังนี้
1. ผู้บริหารจะต้องดาเนินการแบ่งงานออกเป็นงานย่อยๆ ตามลาดับความสาคัญ ซ่ึง
คุณลักษณะท่ีสาคัญประการหน่ึงของการแบ่งงานนั้น คือ การมุ่งเน้นด้านความชานาญ ความเช่ียวชาญ
เฉพาะดา้ นของงาน ถงึ แม้วา่ งานจะมลี กั ษณะท่แี ตกต่างกนั ก็ตาม
2. ผู้บริหารจะต้องดาเนินการรวมกลุ่มงานแต่ละด้านเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสมงานที่
สามารถรวมกลุ่มเข้าด้วยกันอาจจะอย่บู นรากฐานของความคลา้ ยคลึงกันเปน็ สาคญั
3. ผู้บริหารจะต้องดาเนินการจดั สรรอานาจหน้าท่ีระหว่างงานเพื่อให้บุคลากรสามารถ
ทาการตัดสินใจ โดยไม่ต้องขออนุมัติจากผู้บริหารทุกคร้ังทาให้บุคลากรมีสิทธิเพื่อการตัดสินใจภายใน
ขอบเขตท่กี าหนดไว้ จนส่งผลทาให้การดาเนินงานได้อย่างราบร่นื จากการตัดสนิ ใจที่ทนั เหตกุ ารณ์
4. ผู้บริหารจะต้องกาหนดขนาดของกลุ่มงานของผู้บริหารแต่ละคนอย่างเหมาะสม
ดังน้นั โครงสรา้ งองค์การยอ่ มจะมีความแตกต่างกันตามการตัดสนิ ใจของผ้บู ริหาร จากการใช้แนวคิดและ
ทฤษฎีทางการจัดการ และถ้าหากพิจารณาถึงการตัดสินใจของผู้บริหารข้างต้นแล้ว จะพบว่า ในการ
แบ่งงานกันทาเฉพาะด้านจะขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านความเชี่ยวชาญมากหรือน้อยในการมอบอานาจหน้ าที่
จะขึ้นอยู่กับปัจจัยความมากหรือน้อยของอานาจหน้าที่ท่ีได้รับมอบการจัดแผนกงานจะขึ้นอยู่กับ
ปัจจัยพื้นฐานด้านความเหมือนกันหรือความแตกต่างกันของลักษณะงาน และ ขนาดในการควบคุมจะ
ขนึ้ อยกู่ ับปจั จยั ของจานวนบคุ ลากร เป็นตน้
เพื่อให้การแก้ไขปัญหาด้านบุคลากรให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างสอดคล้องกับความ
ต้องการขององค์การนั้น ผู้บริหารสามารถทาได้โดยการจัดโครงสร้างองค์การและกาหนดแนวทางการ
จัดการที่มีความเหมาะสมกับสภาวะแวดล้อม เช่น การแสวงหาผู้บริหารท่ีมีความชานาญเฉพาะด้าน
นามาบริหารงาน การมุ่งเน้นเกี่ยวกับการแบ่งงานกันทาของบุคลากร การแสวงหาบุคลากรท่ีมีความ
ชานาญ เฉพาะด้านมาปฏิบัติ การใช้วธิ ีการจูงใจดา้ นเงนิ เดือนและตาแหน่งงาน การสงั เกตและวิเคราะห์
งาน เพ่ือหาวิธีการทางานที่ดที ี่สุด เป็นต้น จากแนวคิดและทฤษฎีทางการจัดการข้างต้นจะเป็นแนวทาง
ที่ผู้บริหารสามารถนามาปรับใช้ได้และสามารถก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทางาน ดังนั้นผู้บริหารจึง
ควรให้ความสาคัญกับแนวคิดและทฤษฎที างการจัดการ เพื่อท่ีจะทาใหผ้ ู้บรหิ ารสามารถตดั สินใจกาหนด
แนวทางทม่ี คี วามเหมาะสมตลอดจนองค์การสามารถบรรลผุ ลสาเรจ็ ตามทตี่ ้องการได้อย่างราบรืน่
ทฤษฎีองค์การเป็นศาสตร์ที่มีการพัฒนามาไม่นานนัก ทั้งนี้เนื่องมาจากในเบื้องต้น
สังคมส่วนใหญ่เป็นสังคมแบบเกษตรกรรม ทฤษฎีองค์การจึงเป็นส่ิงที่ไม่มีความจาเป็นจนถึงในช่วงต้น
ของศตวรรษท่ี 19 สภาพสังคมได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมอุตสาหกรรมส่งผลให้ทฤษฎีองค์การ เร่ิม
ได้รับความสนใจขึ้น มีการพัฒนา รวมทั้งมีวิวัฒนาการต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทฤษฎีองค์การจึง
เป็นแนวความคิดท่ีมีความสัมพันธ์และแสดงถึงภาพรวมของพฤติกรรมของบุคคล กลุ่มย่อยและกลุ่ม
ต่างๆ ภายในองคก์ ารอย่างเปน็ ระบบสามารถแสดงถึงปฏิสมั พันธข์ องรูปแบบความสัมพันธ์ ระหวา่ งสว่ น
60 สมยศ นาวกี าร, การบริหารเพื่อความเลศิ , (กรุงเทพฯ: บรรณกจิ , 2533), หนา้ 163-164.
41
ต่างๆ ของกิจกรรมในองค์การ ดังน้ันโดยเน้ือหาท่ีแท้จริงแล้วทฤษฎีองค์การ คือ การกาหนดกรอบของ
แนวความคิดจากทฤษฎีต่างๆ ที่ศึกษาเฉพาะเรื่องโครงสร้างขององค์การ (Organization design)
กล่าวคือ การกาหนดโครงสรา้ งขององค์การ เป็นการศึกษาเพ่ืออธิบายถึงการจัดโครงสร้างองค์การ การ
ออกแบบองคก์ ารรวมทั้งการเสนอทางเลอื กในการบรหิ ารองคก์ ารอย่างมีประสิทธภิ าพ
แนวคดิ และทฤษฎที างการจัดการ
ในการจัดแบ่งกลุ่มแนวคิดและทฤษฎีทางการจัดการจากอดีตจนถึงปัจจุบันน้ันมีอยู่
ด้วยกันหลายแนวความคิดและทฤษฎี61 ดงั น้ี
1. แนวความคิดทางการจัดการในสมัยเดิมหรือยุคคลาสสิก (Classical Perspective)
สาหรับแนวความคิดทางการจัดการในยุคของทฤษฎีสมัยเดิมหรือยุคคลาสสิก สามารถ แยกได้เป็น 3
แนวความคิดหลกั ดังนี้
1.1 แ น ว ค ว า ม คิ ด ท า ง ก า ร จั ด ก า ร เชิ ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ (Scientific
Management)
1.1.1 ผลงานของเฟรดเดอริด วินสโลว์ เทย์เลอร์ (Frederick
Winslow Taylor’s)
1.1.2 ผลงานของแฟรงค์ บังเกอร์ กิลเบรธ และลิลเลี่ยน มอลเลอร์
กลิ เบรธ (Frank, B. Gilbreth & Lillian, E.M. Gilbreth)
1.2 แนวความคิดการจัดองค์การระบบราชการ (Bureaucratic Organization)
1.2.1 ผลงานของแมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber)
1.3 แนวความคดิ ทางการจดั การเชิงกระบวนการ (Process Management)
1.3.1 ผลงานของเฮนร่ี ฟาโยล์ (Henri Fayol)
1.3.2 ผลงานของกูลิค ลูเธอร์และเออร์วิค (Gulick, Luther., &
Lyndall F. Urwick)
1.3.3 ผลงานของเจมส์ ดี. มูนี่ และอัลเลน ซี. เรลลี่ (James D.
Mooney., & Alan C. Rieley)
2. แนวความคิดทางการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Management
Perspective) สาหรับแนวความคิดทางการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์น้ี สามารถแยกแนวความคิด
ได้เป็น 3 แนวความคิดหลัก ดงั น้ี
2.1 แนวความคิดทางการจดั การเชงิ มนษุ ยสัมพันธ์
2.1.1 ผลงานของเอลตัน เมโย (Elton Mayo)
2.2 แนวความคดิ ทางการจัดการเชงิ สังคมศาสตร์
2.2.1 ผลงานของแมรี่ ปาร์คเกอร์ ฟอลเลต็ (Mary P. Follett)
2.3 แนวความคดิ ทางการจัดการเชิงพฤติกรรมศาสตร์
2.3.1 ผลงานของอบั ราฮาม เอช มาสโลว์ (Abraham H. Maslow)
61 สุโขทยั ธรรมาธิราช, มหาวทิ ยาลัย, องคก์ ารและการจดั การ, พมิ พ์ครั้งท่ี 6, (นนทบรุ ี :
มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช, 2548), หน้า 32.
42
2.3.2 ผลงานของดรักกลาส แมกเกรเกอร์ (Douglas McGregor)
2.3.3 ผลงานของครสิ อาร์กีริส (Chris Argyris)
3. แนวความคิดทางการจัดการสมัยใหม่ (Contemporary management perspective)
สาหรบั แนวความคิดทางการจดั การสมัยใหม่สามารถแยกได้เป็น 3 แนวความคิด ดังน้ี
3.1 แนวความคิดทางการจัดการเชิงปริมาณ (Quantitative management
perspective)
3.2 แนวความคิดเชงิ ระบบ (System perspective)
3.3 แนวความคิดเชิงสถานการณ์ (Contingency perspective)
3.3.1 ผลงานของโจแอน วดู วาร์ด (Joan Woodward)
3.3.2 ผลงานของลอรเ์ รน็ ซแ์ ละลอรช์ (Lawrence, P.R., & Lorsch, J.W.)
4. แนวความคิดทางการจัดการยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization Management)
สาหรับแนวความคดิ ทางการจัดการยุคโลกาภวิ ตั น์ คือ การควบคุมคณุ ภาพ
แนวความคิดทางการจดั การในสมยั เดิมหรือยคุ คลาสสิก
จากแนวความคิดทางการจัดการในยุคของทฤษฎีสมัยเดิมหรือทฤษฎีองค์การยุค
คลาสสิก (Classical organization theory) ในการแบ่งหน้าท่ีในการทางานจะให้ความสาคัญกับการ
แบ่งหน้าที่ โดยใช้หลักคุณธรรมในการแบ่งงานเป็นสาคัญท่ีจะทาให้เกิดประสิทธิภาพในองค์การ
นอกจากนี้ยงั มุ่งเน้นถึงหลักความชานาญเฉพาะด้าน เช่น ถ้าผ้ใู ดได้รับหน้าท่ีและความรับผิดชอบงานใด
แล้ว ก็ให้ไปพัฒนางานน้ันให้จนเกิดความเชี่ยวชาญ รวมทั้งมีการวัดความสามารถของคนด้วยการ
สอบแข่งขัน ซึ่งเป็นการใช้ระบบคุณธรรม เพราะคนต้องใช้ความสามารถจงึ จะเข้าสู่ตาแหนง่ ได้ รวมท้งั มี
การวดั ดา้ นความชานาญและประสบการณข์ องบุคลากรในดา้ นภารกิจท่ีถูกกาหนดไว้
นอกจากนี้ทฤษฎีในสมัยเดิมยังได้มุ่งเน้นถึงหลักการควบคุม โดยการออกกฎระเบียบ
และการควบคุมบุคลากรอย่างใกล้ชิด เพื่อให้บุคลากรสามารถปฏิบัติงานได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
นอกจากนี้เพื่อเป็นหลักประกันให้งานสาเร็จลุล่วงลงได้ด้วยความราบรื่น อย่างไรก็ตามยังก่อให้เกิด
ผลกระทบตามมา เช่น การที่บุคคลจะอิงกฎระเบียบในการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัดทาให้ความสัมพันธ์
ระหว่างบุคคลในองค์การลดลงและมาตรฐานนั้น ถูกนามาใช้เป็นเป้าหมายแทนท่ีจะใช้กลไกช่วยในการ
บรรลุเป้าหมาย ถ้ากฎระเบียบกาหนดว่าพฤติกรรมลักษณะใดไม่เป็นที่ต้องการผู้ปฏิบัติก็จะพยายาม
หลกี เลี่ยง ซ่งึ การกระทาเช่นน้ีจะให้ไมบ่ รรลุวัตถปุ ระสงค์ขององค์การ ในทางตรงขา้ มผู้ปฏิบตั ิควรจะตอ้ ง
พยายามทจี่ ะทาในสิ่งทส่ี อดคล้องกับวัตถุประสงค์มากไปกว่าหน้าท่ีที่กาหนดไว้ในงานนั้น จงึ จะสามารถ
บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ขององค์การอย่างมีประสิทธภิ าพ
จากแนวความคิดทางการจัดการในสมัยเดิมหรือยุคคลาสสิกน้ัน สามารถแยกได้เป็น
แนวคิดท่ีสาคัญ 3 แนวความคิด ได้แก่ แนวความคิดทางการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ แนวความคิดการ
จัดองค์การระบบราชการ และแนวความคิดทางการจัดการเชิงกระบวนการ สาหรับแนวความคิดการ
จัดการเชิงวิทยาศาสตร์นี้ได้รับแรงกระตุ้นมาจากการปฏิวัติทางอุตสาหกรรม ซึ่งแสดงดังภาพท่ี 8
แนวความคิดทางการจัดการในสมยั เดิมหรือยคุ คลาสสกิ