The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2021-06-05 13:29:16

รายงานวิจัยการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น อาจารย์พันทิวา ทับภูมี

ผู้วิจัย : อาจารย์พันทิวา ทับภูมี

93

บารุงการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ และมีการประเมินระบบเทคโนโลยีที่ใช้ในการปฏิบัติงาน การ
ประเมนิ ผลอยู่ในระดบั ต้องปรบั ปรงุ คดิ เปน็ ร้อยละ 42.86 ตามลาดับ ดงั แสดงในตารางท่ี 19

ตารางที่ 19 ผลการตรวจเชค็ รายการระบบและกลไกการทางานรปู แบบวิธีการจดั การข้อมูล
สารสนเทศเพ่ือการบรหิ าร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขต
ขอนแก่น ด้านการจดั เกบ็ ขอ้ มูลสารสนเทศส่วนบคุ คล

รายการตรวจสอบ ผลการตรวจสอบ

(Audit Checklist) มี ไมม่ ี

ด้านการจดั เก็บข้อมลู สารสนเทศส่วนบคุ คล

1. การบนั ทกึ ข้อมูลงบประมาณทีใ่ ช้ในการจดั เกบ็ ขอ้ มูล 71.43 28.57

2. การบันทกึ ประวัติของบคุ คลกรท่ีปฏบิ ัตงิ าน/นิสติ 71.43 28.57

3. การรวบรวมผลงานตา่ งๆ เชน่ งานวจิ ยั 61.90 38.10

4. บันทึกการบริการข้อมูลวชิ าการส่วนบุคคลหรอื ชมุ ชน 52.38 47.62

5. บนั ทกึ การทานุบารุงการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ 42.86 57.14

6. มีการประเมนิ ระบบเทคโนโลยีทใ่ี ช้ในการปฏบิ ัตงิ าน 42.86 57.14

รวม 57.14 42.86

4.6 ผลการสัมภาษณ์เร่ือง การบริหารจัดการข้อมลู สารสนเทศเพือ่ การบริหาร มหาวิทยาลยั
มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น

4.6.1 แบบสังเกตกระบวนการการทางานของบุคลากรท่ีมีส่วนร่วม (Observations
Participant) ในการจัดการข้อมูล

จากการสังเกตกระบวนการทางานของบุคลากรสายปฏิบัติงานของแต่ละสานักงาน
ด้วยการสังเกตพฤติกรรมและการแสดงออกของผู้ปฏิบัติงานของฝ่ายต่าง ๆ ควบคู่กับการสัมภาษณ์
ผู้ปฏิบัติงาน และเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัย ผู้วิจัย พบว่า ในการปฏิบัติงานด้านข้อมูล
สารสนเทศเพ่ือการจัดเก็บฐานข้อมลู ต่างๆ ดว้ ยการจดั ทาเปน็ แฟ้มข้อมูลสานักงานแต่ละสานักงานมีการ
จดั เก็บข้อมูลไว้แต่ยังขาดความชานาญ และยังจัดข้อมูลยังไม่เป็นระบบมากนัก บางกลุม่ งานยังขาดการ
ประสานงานกัน ทาให้เมื่อต้องการใช้ข้อมูลไม่สามารถนาออกมาใช้ได้ แต่ในบางสานักก็สามารถจัดเก็บ
ข้อมูลได้อย่างเป็นระบบมีการวางแผนงาน จัดประชุมเพ่ือวางระบบในการจัดเก็บข้อมูล ทาให้สามารถ
นามาใช้งานได้อย่างสะดวกและรวดเรว็

จากการสัมภาษณ์บุคลากรในการปฏิบัติงาน พบว่า ในการบริหารจัดการข้อมูลยังมี
ความสับสน เนื่องจากบุคลกรบางคนยังไม่มีประสบการณ์ ขาดการประสานงานและกระจายงานกัน
การใช้งานในระบบสารสนเทศยังมีความขัดคล่องจากอินเตอร์เน็ต ระบบการจัดการข้อมูลยังเป็นเรื่อง
ไกลตัวสาหรับบุคลากรบางคน เนื่องจากระบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมีความซับซ้อนต้องอาศัย
ความชานาญและการฝกึ ฝน เพ่ือใหส้ ามารถใชง้ านได้อย่างคล่องแคล่วและเหมาะสมกับงาน

94

การสังเกตการเข้าร่วมกิจกรรมของบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น พบว่า กิจกรรมท่ีทางมหาวิทยาลัยทเ่ี ป็นโครงการพฒั นาบุคลากร เช่น การ
จัดอบรม การประชุมสัมมนา เป็นต้น ทั้งน้ีจัดข้ึนมีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาบุคลากรและสร้างความ
สามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้มีความรัก ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ซึ่งแต่ละกิจกรรมท่ีจัด
นั้นบุคลากรตา่ งใหค้ วามร่วมมอื และมกี ารเข้ารว่ มจานวนมาก

4.6.2 การประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) ซึ่งหัวข้อที่ใช้ในการประชุมย่อย คือ การ
จัดการขอ้ มลู สารสนเทศเพือ่ การบรหิ ารงาน

โดยผู้วิจัยได้มีการรวบรวมข้อมูลจากการจัดประชุมกลุ่มย่อย ในการศึกษาหัวข้อ การ
จัดการข้อมูลสารสนเทศ ซ่ึงสัมภาษณ์บุคลากรระดับปฏิบัติการ กลุ่มงานละ 3 รูป/คน โดยมี
รายละเอียดดังน้ี 1) กลุ่มงานบริหาร 2) กลุ่มงานวางแผนวิจัยและพัฒนา 3) กลุ่มงานห้องสมุดและ
สารสนเทศ 4) กลุ่มงานวิชาการและคุณภาพการศึกษา 5) กลุ่มงานวางแผนและงบประมาณ 6) กลุ่ม
งานทะเบียนและวัดผล และ7) กลุ่มงานบริการการศึกษา ซึ่งจากการประชุมกลุ่มย่อยทาให้สามารถ
ขอ้ มลู ทไ่ี ด้จากการสัมภาษณ์ ไดด้ งั นี้

ในการระบบจัดการขอ้ มลู สารสนเทศในมหาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขต
ขอนแก่น การจัดการข้อมูลสารสนเทศในมหาวิทยาลัย มีการจดั การข้อมูลในรูปแบบของระบบ MIS แต่
ยังขาดการจัดทาข้อมูลให้เป็นระบบและไม่มีความชัดเจน ซงึ่ ยงั มีข้อจากัดเรอ่ื งความรู้ความสามารถของ
บุคลากร และบุคลากรบางท่านยังไม่ทราบถึงวิธีการจัดเก็บข้อมูลของมหาวิทยาลัยว่ามีการจัดจัดการ
อย่างไร ซึ่งหากขาดการจัดการข้อมูลไม่ดีพอแต่ละหน่วยงานก็ไม่สามารถเช่ือมโยงข้อมูลกันได้อย่าง
ท่ัวถึงทาให้ขาดประสิทธิภาพในการทางาน ดังน้ัน ในการจัดการข้อมูลสารสนเทศจึงควรมีการจัดกลุ่ม
งานเพ่ือไปดูแลระบบการจัดการข้อมูล มีการจัดอบรมสัมมนาแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างหน่วยงาน
สานกั งานทัง้ ภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ซึ่งนาไปสู่การจดั ทาเปน็ วธิ ีและขั้นตอนการปฏิบัตงิ านได้
ควรการจัดการข้อมูลโดยภาพรวมเพื่อนาไปใช้เป็นระบบฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัยท่ีส ามารถนาไปสู่
การจดั การในระบบสารสนเทศทีม่ ีความสมบูรณ์ และมกี ารสรุปและประเมนิ เมือ่ ดาเนนิ การเสร็จส้นิ

การพัฒนาการบริหารข้อมูลสารสนเทศมีความสาคัญต่อมหาวิทยาลัย คือ เป็นหัวใจ
หลักในการปฏิบัติงานยุคใหม่ All in one เป็นการปฏิบัติงานท่ีสามารถทาทุกอย่างได้ทุกข้ันตอนของ
กระบวนการจัดเก็บข้อมูล ในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศท่ีดีก็สามารถทาให้ทางานได้อย่าง
รวดเร็ว เพราะการตดิ ตอ่ สื่อสารเพือ่ ความรวดเร็วและกระชับเวลาในการบรหิ ารและเกิดประโยชน์สูงสุด
สร้างการเปล่ียนแปลงในการบริหารจัดการและการดาเนินงาน ซึ่งการพัฒนาการบริหารข้อมู ล
สารสนเทศมีความสาคัญต่อการบริหารจัดการต่อมหาวิทยาลัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นองค์ประกอบที่
สาคัญในการตัดสินใจในการขับเคลื่นและพัฒนามหาวิทยาลัย เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และ
นโยบายของผู้บริหาร ดังน้ันจึงควรมีการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศให้มีความทันสมัย เข้าใจง่าย
สามารถใชง้ านได้ง่าย อละมคี วามเหมาะสมกบั ลกั ษณะงาน

การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศมีข้อดีในการเป็นอยา่ งมาก เนื่องจากในการบริหาร
จัดการข้อมูลสารสนเทศมีความจาเป็นในการต่อทุกหน่วยงาน เป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการบ่ง
บอกถึงศักยภาพองค์กร สามารถสร้างระบบงานที่เข้าถึงง่าย รวดเร็ว ทันใจ Thailand 4.0 ส่งผลดีต่อ
ผ้ปู ฏิบัติงานโดยตรง เพ่ือร่วมงานและหน่วยงานในทุกระดับ บุคลากรทราบและเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ

95

ได้ง่ายย่ิงขึ้น สะดวกในการจัดเก็บและค้นหาข้อมูล ทาให้ได้ข้อมูลที่มีคุณค่าและเป็นระบบระเบียบมาก
ขนึ้

จากการให้บุคลากรจากสานักงานต่างๆ โดยแต่ละสานักงานก็มีข้ันตอนที่แตกต่างกัน
คือ

1) รวบรวมข้อมูล 2) วิเคราะห์/แยกแยะ 3) ประมวลข้อมูล 4) บันทึกผล 5)
นาเสนอต่อผบู้ ริหาร

1) ศึกษาและทาความเข้าใจในระบบสารสนเทศให้ดี 2) สงสัยและสอบถาม
ทา่ นผู้รู้ 3) ศึกษาเรยี นรูใ้ นระบบสารสนเทศ 4) ศกึ ษาดงู านจากหนว่ ยงานทมี่ รี ะบบสารสนเทศท่มี ี

1) ออกแบบฟอร์มสาหรับระบบข้อมูลตามลักษณะของข้อมูลแต่ละประเภท
2) เก็บรวบรวมข้อมูลดิบและแยกประเภทของข้อมูล 3) วิเคราะห์ขอ้ มูลจัดระบบทางมัตติมิเดียนามาใช้
ในการจัดเก็บขอ้ มลู สารสนเทศ

และมีบางสานักงานที่ไม่มีการจัดระบบ และมีการแนะนาให้ผู้วิจัยวิเคราะห์
และสร้างเครื่องมือ เพอื่ นามาใหบ้ คุ คลากรใชป้ ฏิบัติการร่วมกัน

ดังน้ัน บุคลากรจึงช่วยกันสรุปขั้นตอนในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเพื่อการ
บริหาร สามารถสรุปไดด้ ังน้ี คอื

1) ศึกษาและทาความเข้าใจระบบสารสนเทศ 2) จัดเตรียมและรวบรวมข้อมูล 3)
วิเคราะห์/แยกประเภทของข้อมูล 4) ประมวลและสรุปข้อมูล 5) นาข้อมูลไปจัดเก็บในรูปแบบ
สารสนเทศ สามารถสร้างข้นั ตอนการจดั การข้อมูลสารสนเทศได้ดงั น้ี

96

ศกึ ษาและทาความเข้าใจระบบสารสนเทศ

จดั เตรียมและรวบรวมข้อมลู

วิเคราะห์/แยกประเภทของข้อมูล

ประมวลและสรปุ ข้อมลู

นาขอ้ มลู ไปจัดเก็บในรูปแบบสารสนเทศ

ภาพท่ี 9 ขั้นตอนการจดั การขอ้ มูลสารสนเทศ
- ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศ ซ่ึงจากการสัมภาษณ์
บคุ ลากรสายปฏบิ ตั งิ านแตล่ ะสานกั ก็พบว่า
1) ระบบการจัดการงานควรมีการปรับปรุง ขาดการวางแผนท่ีเป็นระบบ ขาดการ
ตดิ ตามการแก้ไขปญั หา สรา้ งความแตกตา่ ง (คิดนอกระบบ)
2) บุคลากรขาดความรู้ความสามารถ อัตรากาลังมีไม่เพยงพอ ขาดแคลนอุปกรณ์/
เคร่อื งมือท่ที นั สมยั
3) ขาดผู้ดูแลโดยตรงตามความถนัดและเหมาะสม อุปสรรค เมื่อมีเหตุผลขัดข้องเร่ือง
สารสนเทศเกดิ ข้นึ ลา่ ชา้ ในการแกไ้ ข
4) ไมส่ ามารถเปดิ ใชง้ านได้ตามระบบการจดั การ เนอ่ื งจากอินเตอรข์ ัดขอ้ ง
5) ระบบไม่เข้าถงึ บคุ ลากร ไมม่ คี วามชัดเจนในการแบง่ หน้าท่ี
6) บคุ ลากรไมส่ นใจเรียนรูร้ ะบบสารสนเทศ
7) การประสานงานยังไม่มีสิทธิภาพเท่าท่ีควร เพราะต่างคนก็ต่างทา เจ้าหน้าที่
บคุ ลากรที่เกย่ี วขอ้ งตอ้ งมีความรู้ ความสามารถในการใชม้ ลู สารสนเทศ
8) ขอ้ มลู ดบิ มีความคลาดเคล่ือน ไมเ่ ป็นปัจจุบัน

97

9) การจัดทาข้อมูลโดยกระบวนวิเคราะห์ให้สาเร็จเป็นข้อมูลสารสนเทศและการ
นาไปใช้ในการบรหิ าร

4.6.3 การสัมมนาเชิงวิชาการเร่อื ง วิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ เพื่อนาไปสู่การจัดทา
คมู่ ือการปฏบิ ตั งิ าน

จากการศกึ ษาผู้วจิ ัยได้ทาการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผบู้ ริหารระดับสูง จานวน 5 รูป/คน
ผบู้ ริหารระดับกลาง จานวน 5 รปู /คน และผู้บริหารระดับต้น จานวน 5 รูป/คน ซ่งึ จากการสัมมนาเรื่อง
วิธีการจัดการขอ้ มลู สารสนเทศ เพ่อื นาไปสคู่ ู่มือการปฏิบตั ิงาน พบวา่

การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศภายในมหาวิทยาลัยมหาจุฬลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตขอนแก่น มีการบริหารจดั การข้อมูลในมีระบบสารบัญอินเตอรเ์ น็ต ซ่ึงเป็นการระบบทีส่ ามารถ
เข้าถึงได้ง่าย บุคลากรสามารถเข้าได้ทุกส่วนงาน มีการวางระบบเพ่ือให้ส่วนงานสามารถเข้าไปสืบค้น
ข้อมลู ตามสารบญั ของขอ้ มูลในระบบอนิ เตอร์

การจัดทาวารสารอิเล็กทรอนิกส์ เน่ืองด้วยมหาวิทยาลัยมหาจึฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาลัยขอนแก่น ได้จัดประชุมวิชาการและนาไปสู่การจัดทาวารสารธรรมทรรศน์ ทั้งน้ีเพ่ือใช้เป็นฐาน
ข้อมุลในการเผยแพร่ข้อมูลงานวิจัยต่างๆ ของบุคลากรสายวิชาการ สายปฏิบัติงาน และนิสิตได้มีพ้ืนท่ี
ในการเผยแพร่ผลงานรวบไปถึงเการเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกได้มีส่วนในการนาผลงานมาตีพิมพ์
วารสารได้อีกด้วย ดังน้นั การจัดทาวารสารอิเลก็ ทรอนิกส์จึงมคี วามสาคัญอย่างมากเพ่ือเผยแพร่งานวิจัย
ได้อยา่ งทว่ั ถึง สะดวกในการใชง้ านและสามารถเขา้ ถงึ ได้ทุกพ้นื ที่

การจัดทาระบบการเงนิ และการบัญชี เป็นการสร้างฐานข้อมูลไว้เพ่ือเป็นการนาข้อมูล
หรือสถานะทางการเงินของมหาวิทยาลัยและบุคลากรไปจัดเก็บไว้เพื่อใช้ในการประกอบการจัดทา
งบประมาณต่างๆ รวมท้ังการวางแผนงบประมาณในการใช้จ่าย ระเบียบการเบิกจ่ายต่างๆ ทาให้
บคุ ลากรสามารถเขา้ ถงึ ระบบการเงนิ ได้งา่ ยยงิ่ ขน้ึ

การจัดทาระบบอาจารย์ที่ปรกึ ษา ซง่ึ สานักงานวิทยาลัยสงฆ์ขอนแก่น ได้จัดทาข้ึนเพ่ือ
วตั ถปุ ระสงคใ์ นการบริการนสิ ิตและอาจารย์ท่ีสามารถเข้ามาใชง้ านและพูดคุยติดต่อกัน สรา้ งปฏสิ มั พนั ธ์
ที่ดีระหว่างอาจารย์และนิสิต ซึ่งเปน็ การจัดทาระบบท่ีมคี วามทันสมยั สามารถเข้าใชง้ านไดง้ า่ ย

และการใช้ระบบทะเบียนนิสิตร่วมกับ มจร. ส่วนกลาง เป็นระบบที่ใช้ลงทะเบียนของ
นิสิต ซ่ึงนิสิตสามารถเข้าไปลงทะเบียนเรียนและตรวจสอบผลการศึกษาได้ โดยเป็นระบบที่ มจร.
ส่วนกลางเป็นผดู้ ูแลและควบคมุ การดาเนินงาน

ในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญสาหรับใช้ตัดสินใจ
เพื่อดาเนินการและพัฒนางานในด้านต่างๆ ทาให้การบริหารจัดการและการบริการมีประสิทธิภาพ ซึ่ง
การบริหารจัดการข้อมลู สารเทศมีส่วนช่วยให้การขับเคลอ่ื นของการจัดเก็บขอ้ มูลเปน็ ไปได้อย่างสมบรู ณ์
แบบ เนื่องจากการจัดเก็บข้อมูลท่ีเป็นอิเล็กทรอนิกส์สามารถนาเสนอข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว สามารถ
สบื ค้นได้ทุกท่ีโดยไม่ต้องนาเอกสารไปด้วย ถือว่าเปน็ ระบบท่ีเปน็ ประโยชน์ต่อองค์เปน็ อยา่ งมาก มีความ
รวดเร็วในการใช้ข้อมูลประกอบการดาเนนิ การและการตดั สินใจ ทาใหท้ ราบสถานะปัจจบุ ันตามพันธกิจ
ของมหาวิทยาลัย เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการบริหารจัดการเงินอย่างมี
ประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงควรมีการส่งเสริมและพัฒนาให้บุคลากรสามารถจัดการกับข้อมูลในแต่ละ
สานกั งาน เพ่ือนาไปจดั เก็บข้อมูลใหเ้ ป็นระบบมากยงิ่ ข้ึน

98

จากการเสนอแนวทางในการสร้างขั้นตอนในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศของ
ผู้บริหารระดับสูง ระดับกลางและระดับต้น เพื่อนาไปใช้ในหารบริหารจัดการข้อมูล สามารถสร้าง
ขัน้ ตอนได้ดงั นี้

1) ตัง้ คณะทางานใหส้ อดคลอ้ งกับบรบิ ท
2) วเิ คราะห์ความต้องการของสว่ นงาน
3) การออกแบบระบบการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ
4) การนาข้อมลู เข้าสรู่ ะบบท่ีมีการประมวลผลและสังเคราะห์อย่างครบถว้ น
5) การประเมินคุณภาพการใหบ้ รกิ ารเพ่ือปรับปรงุ การดาเนินการด้านโปรแกรม

ภาพท่ี 10 ข้ันตอนการบรหิ ารจัดการข้อมูลสารสนเทศสาหรับผู้บริหาร
ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร ผู้บริหารมี
มุมมองว่า การลงทุนยังไม่ตอบวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการใช้ข้อมูลสารสนเทศ เพ่ือการ
บริหารงานตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัย ทาให้ข้อมูลที่เผยแพร่ระหว่างกันน้ันเป็นเพียงเน้ือหาท่ี
ขาดการประมวลผลไปใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ดังน้ัน ในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศจึง
จาเป็นต้องมีการ work shop ก่อนจัดทาระบบ เพ่ือให้ได้ระบบที่ตรงกับความต้องการของหน่วยงาน
และใช้งานไดอ้ ยา่ งเปน็ ประโยชนส์ ูงสุด

99

4.7 บทสรุปผลการศกึ ษารูปแบบการจดั การข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น

จากการศึกษาเร่ืองวิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ ผู้วิจัยได้นาข้อมูลที่ได้จากการเก็บ
ข้อมูลจากแบบสัมภาษณ์ การตรวจสอบรายการระบบการทางานสารสนเทศ การสัมภาษณ์กลุ่มย่อย
การสัมภาษณ์เชิงลึกในกลุ่มผู้บริหาร จึงสามารถสรุปการดาเนินงานได้ คือ จากการเก็บข้อมูลใน
แบบสอบถามของบคุ ลากรจากสายงานต่างๆ จานวน 50 รปู /คน ทาให้สามารถทราบรปู แบบการจัดการ
ข้อมูลสารสนเทศมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่ ในด้านต่างๆ ที่มีขนั้ ตอน
โดยรปู แบบการจดั การขอ้ มูลสารสนเทศ ทั้ง 3 ดา้ น มผี ลการปฏิบัตงิ านอยู่ในระดบั มาก = 3.54 (S.D.
= 0.32) ซ่ึงด้านท่ีมีการระดับการปฏิบัติมากท่ีสุด คือ ด้านการนาข้อมูลไปใช้ มีระดับการปฏิบัติมาก
= 3.69 (S.D. = 0.46) เน่ืองมาจากในการนาไปใช้เป็นการปฏิบัติงานท่ีบุคลากรได้ปฏิบัติหน้าที่อยู่เป็น
ประจาทาให้มรี ปู แบบในการปฏบิ ัติงานท่ีเหน็ เด่นชัด และสามารถปฏิบัตงิ านไดด้ ี และด้านที่มีการปฏิบัติ
น้อยท่ีสุด คือ ด้านปัจจัย มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.41 (S.D. = 0.38) เนื่องมาจากข้อจา
กดัทางด้านทรัพยากร เครือ่ งมือ อุปกรณ์ต่างๆ ท่ีใช้ในสานักงานผนวกกับข้อมูลสารสนเทศที่เป็นข้อมูล
ทต่ี ้องทาการเรียนรูใ้ หม่ ต้องมีการปรบั ปรุงอย่เู สมอจึงทาให้บุคลากรบางส่วนยงั ไม่สามารถปฏิบตั ิงานได้
อย่างเต็มศักยภาพ ดังนนั้ ในด้านของปจั จัยจึงต้องมีการสนับสนนุ เครอื่ งมือ เครื่องใชอ้ ย่างครบถ้วนและ
ให้มีความทนั สมยั อยเู่ สมอ เพอ่ื ให้สามารถปฏิบตั งิ านได้ตามวตั ถปุ ระสงคท์ ่วี างไว้

การดาเนินตามรูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น บุคลากรมีความเห็นว่าการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศมีความสาคัญ
เปน็ มากเพราะการจดั เก็บขอ้ มูลในระบบสารสนเทศเป็นการจัดเก็บข้อมูลทส่ี ามารถจดั เรยี งขอ้ มูลด้อย่าง
เป็นระบบง่ายต่อการใช้งาน สามารถใช้งานได้ทุกที่และมีความทันสมัย แต่ท้ังน้ีในการจัดการบริหาร
ข้อมูลสารสนเทศก็ทั้งปัญหาและอุปสรรค ซ่ึงในปัญหาที่เกิดข้ึนส่วนใหญ่คือ การขาดกาลังของบุคลากร
ที่มีความรู้ความสามารถทางด้านสารสนเทศ และปัจจัยทางด้านทรัพยากรที่สาคัญ โดยปัจจัยมีส่วนใน
การช่วยให้งานบรรลุเป้าหมายตามแบบแผนท่ีวางไว้ หากขาดองค์ประกอบใดไปงานก็ไม่สามารถสาเร็จ
หรือสมบูรณไ์ ด้

ในการศกึ ษาผลการตรวจสอบรายการระบบและกลไกการทางานรปู แบบวธิ กี ารจดั การ
ขอ้ มูลสารสนเทศเพื่อการบรหิ าร มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น ของแต่
ละสานักงานทาให้สามารถทราบข้อมูลของสานักงานต่างๆท่ีมีการปฏิบัติงานที่ว่ามีเคร่ืองมือหรอื แนวาง
ที่ปฏิบัติอย่างไร ซ่ึงโดยรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับพอใช้ คิดเป็นร้อยละ 66.06 ด้านที่มีคะแนน
มากท่ีสุดคือ ด้านการดาเนินงานตามภารกิจหลักของหน่วยงาน ผลการประเมินอยู่ในระดับดีมาก คิด
เป็นร้อยละ 82.14 เน่ืองมาจากมีการกาหนดภารกิจหลักของหน่วยงานที่เด่นชัดตามแผนที่วางไว้อย่าง
เป็นรูปธรรม มีแผนการดาเนินการที่เป็นข้ันตอนจึงทาให้สามารถดาเนินงานได้อย่างดี ซึ่งหากมีแนวทาง
ในการดาเนินแล้วจะทาให้ผ้ปู ฏิบตั ิมีเป้าหมายที่แน่ชัดและชัดเจนมากยิง่ ข้นึ และด้านทมี่ ีผลการประเมิน
น้อยที่สุดคือ ด้านการบริการวิชาการแก่ชุมชน ผลการประเมินอยู่ในระดับปรับปรุง คิดเป็นร้อยละ
50.48 ซ่ึงด้านการบริการวิชาการแก่ชุมชนเป็นการท่ีนาผลจากการดาเนินงานแต่ละหน่วยไปเผยแพร่
ให้กับชุมชนหรือหน่วยงานภายนอกให้ทราบ โดยในการเผยแพร่บริการวชิ าต่างๆ ยังไม่ท่ัวถึง เพราะใน
การบริการวิชาการชองแต่ละสานักงานจะมีรูปแบบท่ีต่างกัน สานักงานบางสานักงานยังไม่สามารถเข้า
ไปบริการวิชาชุมชนได้ เนื่องจากยังขาดปัจจัยเสริมในการเข้าบริการวิชาการแก่ชุมชน ดังน้ัน จึงควรมี

100

การสนับสนุนโครงการบริการวิชาการแก่ชุมชน เพื่อเป็นการส่งเสริมให้บุคคลภายนอกหรือชุมชนได้มี
โอกาสเข้ามาศึกษาเรียนรู้วิธีการปฏิบัติงานหรือด้านๆ ของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
มากย่ิงขน้ึ และยงั เปน็ การสรา้ งปฏิสัมพนั ธ์ระหวา่ งมหาวิทยาลยั กับชมุ ชนท่ีดอี กี ดว้ ย

จากการศึกษาสัมมนาเร่ืองวิธกี ารจัดการขอ้ มูลสารสนเทศ ประกอบด้วยการสัมภาษณ์
ผู้บริหารระดับสูง จานวน 5 รูป/คน ผู้บริหารระดับกลาง จานวน 5 รูป/คน และผู้บริหารระดับต้น
จานวน 5 รูป/คน โดยจากการเก็บข้อมูลการสัมภาษณ์ของผู้บริหารได้มีการแนะนาแนวทางในการ
บริหารจดั การข้อมูลสารสนเทศนาไปวางแผนในการปฏิบัติงานเพ่อื ให้สามารถปฏิบัติงานตามภารหน้าท่ี
ซ่งึ ในการบรหิ ารจัดการข้อมลู สารสนเทศน้ันได้มกี ารกาหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานไว้ ทาใหเ้ ขา้ ใจวธิ ีการ
มากยิ่งขน้ึ

การทาวิจัยในคร้ังนี้ได้ทาการศึกษารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น โดยทาการศึกษาข้อมูลทั้งด้านบุคคล เทคโนโลยี
สารสนเทศ และด้านการบริหารจัดการข้อมูล โดยสามารถสรุปข้อมูลดังกล่าวที่มีการเชื่อมโยงกันท้ัง 3
ดา้ น

1. ด้านบุคคล มีส่วนเก่ียวข้องในการบริหารจัดการะบบสารสนเทศท่ีสาคัญ เนื่องจาก
ตัวบุคคลเป็นผู้ขับเคล่ือนให้ระบบสามารถดาเนินไปได้อย่างสมบูรณ์ตามแผนที่วางไว้ โดยในตัวบุคคล
จะตอ้ งมีการวางแผนในการบรหิ ารจดั การระบบสารสนเทศ มกี ารจัดกระบวนการคิดเพ่ือพฒั นาระบบใน
การนาไปใช้ ดังน้ันเมือ่ ไดร้ ะบบที่เป็นตัวขบั เคลอ่ื นระบบการบริหารจัดการแลว้ ตัวบคุ คลกจ็ ะนาระบบที่
ได้ไปปรับใช้ตามกรอบแผนที่ได้วางไว้ ซ่ึงบุคคลในการฏิบัติงานประกอบด้วย ผู้บริหาร เป็นผู้ท่ีคอย
กาหนดนโยบาย วางแผน จัดสรรงบประมาณตา่ งๆ ให้เหมาะสมกับนโยบายและคอยติดตามการปฏิบัติ
ของเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่เป็นผู้คอยรับนโยบายจากผู้บริหารเพื่อนามาปฏิบัติงานตามภาระหน้าที่ได้
มอบหมาย และในระหว่างการนาไปใช้จะต้องมีการปัญหาท่ีเกิดขึ้นจึงต้องมีการปรับปรุงระบบอยู่เสมอ
โดยในท่ีน้ีระบบสารสนเทศยังเป็นเร่ืองท่ีต้องพัฒนาอยู่มาก เน่ืองจากผู้ปฏิบัติงานยังขาดความรู้และ
ประสบการณใ์ นการจดั เกบ็ ขอ้ มูลให้เป็นสารสนเทศ ดังนน้ั จึงควรมีการอบรมพัฒนาบคุ คล

2. ด้านสารสนเทศ มีส่วนในการสนับสนุนนโยบายให้สามารถขับเคล่ือนตามนโยบาย
การนาข้อมูลสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการเป็นประยุ กต์เพ่ือให้การจัดเก็บข้อมูลให้มีความ
สะดวก รวดเร็วและทันสมัย มีความต่อเน่ืองทันต่อเหตุการณ์ โดยปัจจุบันการเข้าถึงระบบสารสนเทศมี
ความสะดวกเป็นอย่างมาก สามารถตรวจสอบข้อมูลและง่ายต่อการนาไปใช้ ระบบสารสนเทศเป็นการ
กระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติงานได้พัฒนาสติปัญญาเพ่ือการจัดเก็บข้อมูลให้มีความเป็นระเบียบและนาไปเป็น
ฐานข้อมูลในการศึกษาค้นคว้าต่อไป แต่สารสนเทศต้องมีความความถูกต้อง รวดเร็วและเป็นปัจจุบัน มี
ความสมบูณ์ชัดเจน และมีความสอดคล้องกับความต้องการของนโยบายและแผนการปฏฺบัติ ทั้งนี้เพ่ือ
การใช้ประโยชนข์ องของระบบสารสนเทศให้มีความเหมาะสมและเกิดประโยชนสฺ ูงสดุ ตอ่ หนว่ ยงาน

3. ดา้ นการบริหารจดั การ มีส่วนในการทาให้กลุ่มบุคคลในองค์กรเขา้ มาทางานร่วมกัน
เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ การบริหารจัดการประกอบด้วยการวางแผน การจัดการองค์กร การจัดสรร
ทรัพยากร คือ การจัดวางทรัพยากนบุคคล ทรัพยากรการเงิน ทรั พยากรเทคโนโลยี และ
ทรัพยากรธรรมชาติ การสั่งการและการควบคุมองค์กรเพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันอย่างมี
ประสิทธิภาพ ดังน้ันในการบริหารจัดการสารสนเทศจะต้องมีการติดตามการปฏิบัติงานอยู่เสมอเพื่อให้
เป็นไปตามนโยบายทีว่ างไว้

101

ดังน้ัน การศึกษารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น จึงต้องมีการเช่ือมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องท้ัง 3 ด้าน ที่กล่าวมา คือ ด้าน
บุคคล ด้านสารสนเทศ และด้านการบริหารจัดการ เพราะหากการจัดการข้อมูลสารสนเทศขาดด้านใด
ดา้ นหนึง่ ไปก็จะใหไ้ ดข้ ้อมูลที่ไม่สมบรู ณ์

ท้ังน้ีจากการรวบรวมข้อมูลในการทาวิจัยในครัง้ นี้ผวู้ ิจัยจึงได้จัดทาเป็นคู่มอื ปฏิบัตงิ าน
กลุ่มงานบริหาร วิทยาลัยสงฆ์ขอนแก่นข้ึน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของ
เจ้าหน้าประจาวิทยาลัย และได้ทาการเผยแพร่คู่มือไปยังสานักงานต่างๆ เพ่ือเป็นตัวอย่างในการจัดทา
คู่มือปฏิบัติงานอีกด้วย ท้ังนี้ได้การจัดทาคู่มือบริหารหลักสูตรของวิทยาเขตขอนแก่นจานวน 14
หลักสูตร และได้คู่มือบริหารหลักสูตรท่ีสมบูรณ์คือ หลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการสอน
ภาษาไทย

102

บทท่ี 5
สรปุ อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ

การศึกษาวิธีจดั การข้อมูลสารสนเทศ พัฒนาวิธีจัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร และ
วิเคราะห์การเชื่อมโยงมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ผู้วิจัยสามารถ
สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ได้ดงั น้ี

5.1 สรปุ ผลการวิจยั
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาวิธีจัดการข้อมูลสารสนเทศ พัฒนาวิธีจัดการข้อมูล

สารสนเทศเพ่ือการบริหาร และวิเคราะหก์ ารเชอื่ มโยงมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยา
เขตขอนแก่น โดยรปู แบบวิจัยเป็นแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) ประกอบด้วยการวิจัย
เชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยจแนก
ข้อมูลท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถาม จานวน 50 ชุด การสัมภาษณ์เชิงลึกสาหรับผู้บริหารจานวน 15
รูป/คน และการสัมภาษณ์กลุ่มย่อย จานวน 21 รูป/คน โดยมีจานวนกลุ่มเป้าหมายรวมท้ังสิ้น 85 รูป/
คน โดยใช้แบบสอบถามสถิตริ ้อยละ ค่าเฉล่ยี คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์เนื้อหา

5.1.1 สรปุ ขอ้ มูลท่วั ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
ผลจากการศึกษาข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถามในการวิจัยคร้งั นี้ จานวน 50 รูป/คน

โดยสามารถจาแนกตามเพศของผู้ตอบสอบถามคือ เป็นเพศชาย จานวน 29 รูป/คน คิดเป็นร้อยละ 58
และเป็นเพศหญิง จานวน 21 คน คิดเป้นร้อยละ52 มีอายุอยู่ระหว่าง 30-39 ปี จานวน 18 รูป/คน คิด
เป็นร้อยละ 36, อายอุ ยูร่ ะหวา่ ง 40-49 ปี จานวน 16 คดิ เปน็ รอ้ ยละ 32, อายุต่ากวา่ 30 ปี จานวน 10
คิดเป็นร้อยละ 20 และอายุ 50 ปีขึ้นไป จานวน 6 คิดเป็นร้อยละ 12 มีสถานภาพเป็นคฤหัสถ์ จานวน
38 .คน คิดเป็นร้อยละ 76 เป็นบรรพชิต จานวน 72 รูป คิดเป็นร้อยละ 24 ผู้ตอบแบบสอบถามมี
ตาแหน่งงานเปน็ นักวิชาการศกึ ษา จานวน 26 รปู /คน คิดเป็นร้อย 52 เปน็ อาจารย์ จานวน 15 รูป/คน
คิดเป็นร้อยละ 30 และเป็นนักจัดการท่ัวไป จานวน 9 รูป/คน คิดเป็นร้อยละ 18มีระดับการศึกษา
ปริญญาโท จานวน 22 รูป/คน คิดเป็นร้อยละ 44 ระดับปริญญาตรี จานวน 20 รูป/คน คิดเป็นร้อยละ
40 และปริญญาเอก 8 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 16 และผตู้ อบแบบสอบถามมปี ระสบการณใ์ นการทางาน ต่า
กว่า 5 ปี และ 5-15 ปี จานวน 16 รปู คน คิดเป็นร้อยละ 32, 16-25 ปี จานวน 12 รูป/คน คิดเป็นรอ้ ย
ละ 24 และ 25 ปขี ้นึ ไป 6 คดิ เป็นรอ้ ยละ 12

5.1.2 สรุปรูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น

จากการศึกษารูปแบบการจดั การข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่ ด้วยการตอบแบบสอบถามของบุคลากรจากสายงานต่างๆ ในมหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น จานวน 50 รูป/คน พบว่า รูปแบบการจัดการข้อมูล
สารสนเทศ ทั้ง 3 ด้าน มีผลการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก = 3.54 (S.D. = 0.32) และเมื่อแยกเป็น
รายด้านพบวา่ ด้านที่มีการระดบั การปฏบิ ัติมากท่ีสุด คือ ด้านการนาข้อมูลไปใช้ มีระดับการปฏิบัติมาก

103

= 3.69 (S.D. = 0.46) รองลงมาคือ ด้านกระบวนการบริหารข้อมูลสารสนเทศ มรี ะดับการปฏิบัติมาก
= 3.50 (S.D. = 0.34) และด้านท่ีมีการปฏิบัติน้อยที่สุด คือ ด้านปัจจัย มีระดับการปฏิบัติปานกลาง
= 3.41 (S.D. = 0.38)

5.1.2.1 รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่ ดา้ นกระบวนการบรหิ ารขอ้ มลู สารสนเทศ

จากการศึกษารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น สามารถพิจารณาเป็นรายด้านได้ คือ ด้านกระบวนการบริหาร
ข้อมูลสารสนเทศ โดยรวมมีระดับการปฏิบัติมาก = 3.50 (S.D. = 0.34) และเมื่อแยกออกเป็นขั้น
พบวา่ ข้ันทม่ี ีระดับการปฏบิ ัติมากที่สุด คอื ข้ันการเกบ็ รวบรวมข้อมลู มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.61
(S.D. = 0.70) รองลงมาคือ ขั้นการจัดหน่วยหรือคลังข้อมูลในหน่วยงาน มีระดับการปฏิบัติมาก =
3.53 (S.D. = 0.45), ขั้นการตรวจสอบข้อมูล มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.52 (S.D. = 0.44), ข้ันการ
วิเคราะห์ข้อมูล มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.48 (S.D. = 0.53) และข้ันท่ีมีการปฏิบัติน้อยที่สุด
คือ ข้นั การประมวลผล มรี ะดับการปฏบิ ตั ิปานกลาง = 3.38 (S.D. = 0.40) ตามลาดบั

5.2.1.2 รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น ด้านปจั จยั

จากการศึกษารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น สามารถพิจารณาเป็นรายด้านได้ คือ ด้านปัจจัย โดยรวมมี
ระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.41 (S.D. = 0.38) และเมื่อแยกออกเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่มีระดับ
การปฏิบัติมากท่ีสุด คือ มีห้องหรืออาคารสาหรับการบริหารระบบข้อมูลสารสนเทศ มีระดับการปฏิบัติ
มาก = 3.86 (S.D. = 0.93) รองลงมาคือ มีการกาหนดงบประมาณสาหรับการบริหารระบบข้อมูล
สารสนเทศ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.56 (S.D. = 0.93), มีเคร่ืองคอมพิวเตอร์และเครือข่าย
อินเตอร์เน็ตสาหรับที่สาหรับสืบค้นและส่งข้อมูลสารสนเทศ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.54 (S.D. =
0.97), มีตู้ แฟ้ม วัสดุท่ีใช้สาหรับการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.42
(S.D. = 0.70), การปรับปรุงแก้ไขข้อมูลท่ีวิเคราะห์ ท่ีไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ มีระดับการปฏิบัติปาน
กลาง = 3.42 (S.D. = 0.93), ผู้บริหารให้ความสาคัญต่อการบริหารข้อมูลสารสนเทศ มีระดับการ
ปฏิบัติปานกลาง = 3.30 (S.D. = 0.81), มีเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่ใช้สาหรบั การจัดเก็บและประมวลผล
ขอ้ มูลสารสนเทศ มีระดับการปฏบิ ัติปานกลาง = 3.10 (S.D. = 0.74) และข้อท่ีมีการปฏิบัติน้อยที่สุด
คือ บุคลากรผู้รับผิดชอบในการดาเนินงานมีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการบริหารระบบข้อมูล
สารสนเทศ มีระดบั การปฏิบตั ิปานกลาง = 3.10 (S.D. = 0.76) ตามลาดับ

5.2.1.3 รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น ดา้ นการนาขอ้ มลู ไปใช้

จากการศึกษารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น สามารถพิจารณาเป็นรายด้านได้ คือ ด้านการนาข้อมูลไปใช้
โดยรวมมีระดับการปฏิบัติมาก = 3.69 (S.D. = 0.46) และเมื่อแยกออกเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่มี
ระดับการปฏิบัติมากท่สี ุด คือ การนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ เพ่ือการพฒั นาบุคลากร มรี ะดับการปฏิบัติ
มาก = 4.26 (S.D. = 0.69) รองลงมาคือ การนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ เพื่อการประชาสัมพันธ์ของ
มหาวิทยาลัย มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.80 (S.D. = 0.93) และการนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ เพ่ือ

104

การจัดการเรียนรู้ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.80 (S.D. = 0.99), การนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ เพื่อ
การควบคุมการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.74, (S.D. = 1.01),
การนาข้อมลู สารสนเทศไปใช้ เพอ่ื กาหนดเป็นแผนปฏิบตั ิของมหาวิทยาลัย มีระดบั การปฏิบัติปานกลาง

= 3.44 (S.D. = 0.91), การนาขอ้ มูลสารสนเทศไปใช้เพื่อการตัดสนิ ใจวินิจฉยั ส่ังการของผู้บรหิ ารของ
มหาวทิ ยาลัย มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.40 (S.D. = 0.83) และข้อที่มีการปฏิบัติน้อยที่สุด คือ
การจัดใหร้ ะบบการให้บรกิ ารให้บริการข้อมูลสารสนเทศแก่หน่วยงานท่ีเกี่ยวขอ้ ง มีระดับการปฏบิ ัติปาน
กลาง = 3.38 (S.D. = 0.86) ตามลาดบั

5.2.2 แนวทางการพัฒนารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น

จากการศึกษาแนวทางการพัฒนารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ด้วยการตอบแบบสอบถามของบุคลากรจากสายงาน
ต่างๆ ในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น จานวน 50 รูป/คน พบว่า แนว
ทางการพัฒนารปู แบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศ มผี ลการปฏิบตั ิงานอยู่ในระดับมาก = 3.61 (S.D.
= 0.54) และเม่ือแยกเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่มีการระดับการปฏิบัติมากที่สุด คือ การจัดเก็บ รวบรวม
ประมวลผล และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.84 (S.D. = 0.96)
รองลงมาคือ สามารถพัฒนาระบบสารสนเทศเปน็ คู่มอื เพื่อใช้ในมหาวิทยาลัยได้ มีระดับการปฏบิ ัตมิ าก

= 3.78 (S.D. = 0.89), มีระบบรับส่งข้อมูลข่าวสารในหน่วยงาน มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.68
(S.D. = 0.94), บคุ ลากรในมหาวิทยาลัยสามารถเขา้ ถึงระบบสารสนเทศ และสามารถเก็บข้อมลู ได้อย่าง
เป็นระบบ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.66 (S.D. = 0.87), แหล่งบริการสืบค้นข้อมูลทางการวิชาการ
ข้อมูลการประกันคุณภาพภายใน มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.64 (S.D. = 0.96), ระบบสารสนเทศมี
ความทันสมัย มีความถูกต้องครบถ้วน มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.60 (S.D. = 0.86), ระบบสารสม
เทศมีประโยชน์ต่อการดาเนินงาน มีระดบั การปฏบิ ัตมิ าก = 3.58 (S.D. = 0.81), ความรวดเรว็ ในการ
เข้าถึงข้อมูล มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.56 (S.D. = 0.97), ความเหมาะสม การนาไปใช้งานได้จริง
ความน่าเช่ือถือมีความสมบูรณ์ครบถ้วนได้มาตรฐาน มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.52 (S.D. = 0.84)
และข้อท่ีมีการปฏิบัติน้อยที่สุด คือ ระบบสารสนเทศใช้งานง่าย มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.28
(S.D. = 0.70)

5.2.3 ผลการสมั ภาษณ์เร่อื ง การบรหิ ารจดั การขอ้ มูลสารสนเทศเพ่ือการบรหิ าร
มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น

5.2.3.1 แ บ บ สังเกตกระบ วน การ การท างาน ข องบุ ค ลากรที่ มี ส่วน ร่วม
(Observations Participant) ในการจัดการข้อมลู

จากการสังเกตกระบวนการทางานของบุคลากรสายปฏิบัติงานของแต่ละสานักงาน
ด้ายการสังเกตพฤติกรรมและการแสดงออกของผู้ปฏิบัติงานของฝ่ายต่าง ๆ ควบคู่กับการสัมภาษณ์
ผู้ปฏิบัติงาน และเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัย ผู้วิจัย พบว่า ในการปฏิบัติงานด้านข้อมูล
สารสนเทศเพ่ือการจัดเก็บฐานข้อมูลต่างๆ ด้วยการจดั ทาเป็นแฟม้ ขอ้ มูลสานกั งานแต่ละสานกั งานมีการ
จัดเกบ็ ข้อมูลไว้แต่ยังขาดความชานาญ และยังจัดข้อมูลยังไม่เป็นระบบมากนัก บางกลุ่มงานยังขาดการ
ประสานงานกัน ทาให้เม่ือต้องการใช้ข้อมูลไม่สามารถนาออกมาใช้ได้ แต่ในบางสานักก็สามารถจัดเก็บ

105

ข้อมูลได้อย่างเป็นระบบมีการวางแผนงาน จัดประชุมเพื่อวางระบบในการจัดเก็บข้อมูล ทาให้สามารถ
นามาใชง้ านได้อยา่ งสะดวกและรวดเรว็

จากการสัมภาษณ์บุคลากรในการปฏิบัติงาน พบว่า ในการบริหารจัดการข้อมูลยังมี
ความสับสน เนื่องจากบุคลกรบางคนยังไม่มีประสบการณ์ ขาดการประสานงานและกระจายงานกัน
การใช้งานในระบบสารสนเทศยังมีความขัดคล่องจากอินเตอร์เน็ต ระบบการจัดการข้อมูลยังเป็นเร่ือง
ไกลตัวสาหรับบุคลากรบางคน เนื่องจากระบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมีความซับซ้อนต้องอาศัย
ความชานาญและการฝึกฝน เพ่อื ใหส้ ามารถใชง้ านได้อยา่ งคลอ่ งแคลว่ และเหมาะสมกับงาน

การสังเกตการเข้าร่วมกิจกรรมของบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่ พบว่า กิจกรรมท่ีทางมหาวทิ ยาลัยทเ่ี ปน็ โครงการพัฒนาบุคลากร เชน่ การ
จัดอบรม การประชุมสัมมนา เป็นต้น ทั้งนี้จัดขึ้นมีวัตถุประสงค์เพ่ือพัฒนาบุคลากรและสร้างความ
สามัคคีเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน ให้มีความรัก ความเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่ซ่ึงกันและกัน ซึ่งแต่ละกิจกรรมท่ีจัด
นัน้ บุคลากรต่างใหค้ วามรว่ มมือและมีการเขา้ ร่วมจานวนมาก

5.2.3.2 การประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) ซึ่งหัวข้อท่ีใช้ในการประชุมย่อย
คือ การจัดการขอ้ มูลสารสนเทศเพอื่ การบรหิ ารงาน

โดยผู้วจิ ัยไดม้ ีการรวบรวมข้อมูลจากการจัดประชุมกลุ่มย่อย ในการศึกษา
หวั ข้อ การจัดการข้อมูลสารสนเทศ ซ่ึงสัมภาษณ์บุคลากรระดับปฏิบัติการ กลุ่มงานละ 3 รปู /คน โดยมี
รายละเอียดดังนี้ 1) กลุ่มงานบริหาร 2) กลุ่มงานวางแผนวิจัยและพัฒนา 3) กลุ่มงานห้องสมุดและ
สารสนเทศ 4) กลุ่มงานวิชาการและคุณภาพการศึกษา 5) กลุ่มงานวางแผนและงบประมาณ 6) กลุ่ม
งานทะเบียนและวัดผล และ7) กลุ่มงานบริการการศึกษา ซ่ึงจากการประชุมกลุ่มย่อยทาให้สามารถ
ข้อมลู ท่ีไดจ้ ากการสมั ภาษณ์ ได้ดังนี้

ในการระบบจัดการข้อมูลสารสนเทศในมหาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น การจัดการข้อมลู สารสนเทศในมหาวิทยาลัย มกี ารจัดการข้อมูลในรูปแบบ
ของระบบ MIS แต่ยงั ขาดการจัดทาข้อมูลให้เปน็ ระบบและไม่มีความชัดเจน ซ่งึ ยังมีข้อจากัดเรือ่ งความรู้
ความสามารถของบุคลากร และบุคลากรบางทา่ นยังไมท่ ราบถึงวิธีการจัดเก็บข้อมูลของมหาวิทยาลัยว่า
มกี ารจดั จัดการอยา่ งไร ซึ่งหากขาดการจัดการข้อมูลไม่ดีพอแต่ละหน่วยงานก็ไมส่ ามารถเชือ่ มโยงขอ้ มูล
กันได้อย่างทั่วถึงทาให้ขาดประสิทธิภาพในการทางาน ดังน้ัน ในการจัดการข้อมูลสารสนเทศจึงควรมี
การจัดกลุ่มงานเพ่ือไปดูแลระบบการจัดการข้อมูล มีการจัดอบรมสัมมนาแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่าง
หน่วยงาน สานักงานท้ังภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ซ่ึงนาไปสู่การจัดทาเป็นวิธีและขั้นตอนการ
ปฏิบัติงานได้ ควรการจัดการข้อมูลโดยภาพรวมเพ่ือนาไปใช้เป็นระบบฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัยที่
สามารถนาไปสู่การจัดการในระบบสารสนเทศท่ีมีความสมบูรณ์ และมีการสรุปและประเมินเมื่อ
ดาเนินการเสรจ็ สิน้

การพัฒนาการบริหารข้อมูลสารสนเทศมีความสาคัญต่อมหาวิทยาลัย คือ
เป็นหัวใจหลักในการปฏิบัติงานยุคใหม่ All in one เป็นการปฏิบัติงานท่ีสามารถทาทุกอย่างได้ทุก
ขั้นตอนของกระบวนการจัดเก็บข้อมูล ในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศที่ดีก็สามารถทาให้ทางาน
ได้อย่างรวดเร็ว เพราะการติดต่อสื่อสารเพื่อความรวดเร็วและกระชับเวลาในการบริหารและเกิด
ประโยชน์สูงสุด สร้างการเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการและการดาเนินงาน ซึ่งการพัฒนาการ
บริหารข้อมูลสารสนเทศมีความสาคัญต่อการบริหารจัดการต่อมหาวิทยาลัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็น

106

องค์ประกอบท่ีสาคัญในการตัดสินใจในการขับเคล่ืนและพัฒนามหาวิทยาลัย เพื่อให้บรรลุ ตาม
วัตถุประสงค์และนโยบายของผู้บริหาร ดังน้ันจึงควรมีการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศให้มีความ
ทันสมัย เข้าใจงา่ ยสามารถใช้งานไดง้ า่ ย อละมีความเหมาะสมกบั ลกั ษณะงาน

การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศมีข้อดีในการเป็นอย่างมาก เนื่องจากใน
การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศมีความจาเป็นในการต่อทุกหน่วยงาน เป็นประโยชน์ในการบริหาร
จัดการบ่งบอกถึงศักยภาพองค์กร สามารถสร้างระบบงานท่ีเข้าถึงง่าย รวดเร็ว ทันใจ Thailand 4.0
ส่งผลดีต่อผู้ปฏิบัติงานโดยตรง เพื่อร่วมงานและหน่วยงานในทุกระดับ บุคลากรทราบและเข้าถึงข้อมูล
สารสนเทศได้ง่ายยิ่งขึ้น สะดวกในการจัดเก็บและค้นหาข้อมูล ทาให้ได้ข้อมูลที่มีคุณค่าและเป็นระบบ
ระเบียบมากข้ึน

จากการให้บุคลากรจากสานักงานต่างๆ โดยแต่ละสานักงานก็มีขั้นตอนท่ี
แตกต่างกนั คือ

1) รวบรวมข้อมูล 2) วิเคราะห์/แยกแยะ 3) ประมวลข้อมูล 4) บันทึกผล 5)
นาเสนอตอ่ ผ้บู รหิ าร

1) ศึกษาและทาความเข้าใจในระบบสารสนเทศให้ดี 2) สงสัยและสอบถาม
ท่านผ้รู ู้ 3) ศึกษาเรยี นรใู้ นระบบสารสนเทศ 4) ศกึ ษาดูงานจากหนว่ ยงานท่มี ีระบบสารสนเทศท่มี ี

1) ออกแบบฟอร์มสาหรับระบบข้อมูลตามลักษณะของข้อมูลแต่ละประเภท
2) เก็บรวบรวมข้อมูลดิบและแยกประเภทของข้อมูล 3) วิเคราะห์ข้อมูลจัดระบบทางมัตติมิเดียนามาใช้
ในการจัดเก็บขอ้ มลู สารสนเทศ

และมีบางสานักงานท่ีไม่มีการจัดระบบ และมีการแนะนาให้ผู้วิจัยวิเคราะห์
และสรา้ งเครอ่ื งมอื เพื่อนามาใหบ้ คุ คลากรใชป้ ฏบิ ตั กิ ารรว่ มกนั

ดังนั้น บุคลากรจึงช่วยกันสรุปขั้นตอนในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเพื่อการ
บริหาร สามารถสรุปไดด้ ังนี้ คือ

1) ศึกษาและทาความเข้าใจระบบสารสนเทศ 2) จัดเตรียมและรวบรวมข้อมูล 3)
วิเคราะห์/แยกประเภทของข้อมูล 4) ประมวลและสรุปข้อมูล 5) นาข้อมูลไปจัดเก็บในรูปแบบ
สารสนเทศ สามารถสรา้ งขั้นตอนการจัดการข้อมูลสารสนเทศไดด้ งั น้ี

- ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศ ซึ่งจากการสัมภาษณ์
บุคลากรสายปฏบิ ัติงานแตล่ ะสานกั ก็พบวา่

1) ระบบการจัดการงานควรมีการปรับปรุง ขาดการวางแผนท่ีเป็นระบบ ขาดการ
ติดตามการแก้ไขปญั หา สรา้ งความแตกต่าง (คดิ นอกระบบ)

2) บุคลากรขาดความรู้ความสามารถ อัตรากาลังมีไม่เพยงพอ ขาดแคลนอุปกรณ์/
เครื่องมอื ท่ีทันสมัย

3) ขาดผู้ดูแลโดยตรงตามความถนัดและเหมาะสม อุปสรรค เมื่อมีเหตุผลขัดข้องเร่ือง
สารสนเทศเกิดขนึ้ ล่าชา้ ในการแกไ้ ข

4) ไม่สามารถเปิดใชง้ านไดต้ ามระบบการจดั การ เน่ืองจากอนิ เตอรข์ ดั ขอ้ ง
5) ระบบไม่เข้าถงึ บุคลากร ไม่มคี วามชัดเจนในการแบ่งหนา้ ท่ี
6) บุคลากรไมส่ นใจเรยี นร้รู ะบบสารสนเทศ

107

7) การประสานงานยังไม่มีสิทธิภาพเท่าท่ีควร เพราะต่างคนก็ต่างทา เจ้าหน้าท่ี
บคุ ลากรที่เกยี่ วขอ้ งตอ้ งมีความรู้ ความสามารถในการใชม้ ูลสารสนเทศ

8) ขอ้ มูลดบิ มคี วามคลาดเคลอ่ื น ไมเ่ ป็นปจั จบุ นั
9) การจัดทาข้อมูลโดยกระบวนวิเคราะห์ให้สาเร็จเป็นข้อมูลสารสนเทศและการ
นาไปใชใ้ นการบริหาร
5.2.3.3 การสัมมนาเชิงวิชาการเรื่อง วิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ เพื่อนาไปสู่
การจัดทาคมู่ ือการปฏิบัตงิ าน

จากการศึกษาผู้วิจัยได้ทาการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้บริหารระดับสูง จานวน
5 รูป/คน ผู้บริหารระดับกลาง จานวน 5 รูป/คน และผู้บรหิ ารระดับต้น จานวน 5 รูป/คน ซ่ึงจากการ
สมั มนาเรือ่ งวิธกี ารจัดการข้อมลู สารสนเทศ เพ่ือนาไปสู่คู่มือการปฏิบตั งิ าน พบวา่

การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศภายในมหาวิทยาลัยมหาจุฬลงกรณราช
วิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น มกี ารบริหารจัดการข้อมลู ในมีระบบสารบัญอนิ เตอร์เนต็ ซ่งึ เป็นการระบบที่
สามารถเข้าถึงได้ง่าย บุคลากรสามารถเข้าได้ทุกส่วนงาน มีการวางระบบเพื่อให้ส่วนงานสามารถเข้าไป
สบื ค้นข้อมูลตามสารบญั ของข้อมลู ในระบบอนิ เตอร์

การจัดทาวารสารอิเล็กทรอนิกส์ เน่ืองด้วยมหาวิทยาลัยมหาจึฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วิทยาลยั ขอนแกน่ ได้จดั ประชุมวิชาการและนาไปสู่การจัดทาวารสารธรรมทรรศน์ ทั้งน้ีเพื่อใช้
เป็นฐานข้อมุลในการเผยแพร่ข้อมูลงานวิจัยตา่ งๆ ของบุคลากรสายวชิ าการ สายปฏิบัติงาน และนสิ ิตได้
มีพ้ืนท่ีในการเผยแพร่ผลงานรวบไปถึงเการเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกได้มี ส่วนในการนาผลงานมา
ตีพิมพ์วารสารได้อีกด้วย ดังน้ันการจัดทาวารสารอิเล็กทรอนิกส์จึงมีความสาคัญอย่างมากเพื่อเผยแพร่
งานวิจยั ไดอ้ ยา่ งท่ัวถึง สะดวกในการใช้งานและสามารถเขา้ ถึงได้ทุกพ้ืนท่ี

การจัดทาระบบการเงินและการบัญชี เป็นการสร้างฐานข้อมูลไว้เพื่อเป็นการ
นาข้อมูลหรือสถานะทางการเงินของมหาวิทยาลัยและบุคลากรไปจัดเก็บไว้เพื่อใช้ในการประกอบการ
จดั ทางบประมาณต่างๆ รวมทั้งการวางแผนงบประมาณในการใช้จ่าย ระเบียบการเบิกจ่ายต่างๆ ทาให้
บุคลากรสามารถเขา้ ถึงระบบการเงนิ ไดง้ ่ายยง่ิ ขึ้น

การจัดทาระบบอาจารย์ท่ีปรึกษา ซึ่งสานักงานวิทยาลัยสงฆ์ขอนแก่น ได้
จัดทาขึ้นเพ่ือวัตถุประสงค์ในการบริการนิสิตและอาจารย์ที่สามารถเข้ามาใช้งานและพูดคุยติดต่อกัน
สร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างอาจารย์และนิสิต ซ่ึงเป็นการจัดทาระบบท่ีมีความทันสมัย สามารถเข้าใช้
งานได้งา่ ย

และการใช้ระบบทะเบียนนิสิตร่วมกับ มจร. ส่วนกลาง เป็นระบบท่ีใช้
ลงทะเบียนของนิสิต ซ่ึงนิสิตสามารถเข้าไปลงทะเบียนเรียนและตรวจสอบผลการศึกษาได้ โดยเป็น
ระบบที่ มจร. สว่ นกลางเป็นผู้ดูแลและควบคุมการดาเนินงาน

ในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญสาหรับใช้
ตัดสินใจ เพื่อดาเนินการและพัฒนางานในด้านต่างๆ ทาให้การบริหารจัดการและการบริการมี
ประสิทธิภาพ ซ่ึงการบริหารจัดการข้อมูลสารเทศมีส่วนช่วยให้การขับเคลื่อนของการจัดเก็บข้อมูล
เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจากการจัดเก็บข้อมูลท่ีเป็นอิเล็กทรอนิกส์สามารถนาเสนอข้อมูลได้
อยา่ งรวดเร็ว สามารถสืบค้นไดท้ ุกท่ีโดยไม่ต้องนาเอกสารไปด้วย ถือว่าเปน็ ระบบที่เปน็ ประโยชนต์ ่อองค์
เป็นอย่างมาก มีความรวดเร็วในการใช้ข้อมูลประกอบการดาเนินการและการตัดสินใจ ทาให้ทราบ

108

สถานะปัจจุบันตามพันธกิจของมหาวิทยาลัย เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการ
บริหารจัดการเงนิ อย่างมปี ระสิทธิภาพ ดังนั้นจึงควรมีการส่งเสริมและพฒั นาให้บคุ ลากรสามารถจัดการ
กบั ข้อมูลในแต่ละสานกั งาน เพ่ือนาไปจัดเก็บข้อมลู ใหเ้ ป็นระบบมากยิง่ ขึ้น

จากการเสนอแนวทางในการสร้างขั้นตอนในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศของ
ผู้บริหารระดับสูง ระดับกลางและระดับต้น เพ่ือนาไปใช้ในหารบริหารจัดการข้อมูล สามารถสร้าง
ขน้ั ตอนได้ดงั นี้

1) ต้ังคณะทางานให้สอดคลอ้ งกบั บริบท
2) วิเคราะหค์ วามต้องการของส่วนงาน
3) การออกแบบระบบการจดั เกบ็ ข้อมลู สารสนเทศ
4) การนาขอ้ มลู เขา้ สูร่ ะบบที่มกี ารประมวลผลและสงั เคราะห์อย่างครบถว้ น
5) การประเมินคณุ ภาพการให้บรกิ ารเพ่ือปรับปรุงการดาเนินการด้านโปรแกรม
ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร ผู้บริหารมี
มุมมองว่า การลงทุนยังไม่ตอบวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการใช้ข้อมูลสารสนเทศ เพ่ือการ
บริหารงานตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัย ทาให้ข้อมูลที่เผยแพร่ระหว่างกันนั้นเป็นเพียงเน้ือหาที่
ขาดการประมวลผลไปใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ดังน้ัน ในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศจึง
จาเป็นต้องมีการ work shop ก่อนจัดทาระบบ เพื่อให้ได้ระบบที่ตรงกับความต้องการของหน่วยงาน
และใช้งานไดอ้ ย่างเปน็ ประโยชน์สงู สดุ

5.2 อภิปรายผลการวิจัย
การศึกษาวิธีจัดการข้อมูลสารสนเทศ พัฒนาวิธีจัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร และ

วิเคราะห์การเช่ือมโยงมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ซึ่งในการศึกษา
วิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ ได้มีการดาเนินงานของสานักงานแต่สานักที่แตกต่างกัน ทั้งนี้มาจาก
ปัจจัยที่แตกต่างกัน มีความพร้อมทางทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกัน จึงทาให้การบริหารจัดการข้อมูล
สารสนเทศได้ไม่เท่ากัน ดังน้ันจึงควรมีการเตรียมความพร้อมของบุคลากร เคร่ืองมือและอุปกรณ์ต่างๆ
ให้มีความพร้อมในการดาเนินงาน ซึ่งในการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศมีประโยชน์อย่างมากในการใช้งาน
และสารมรถนาไปปรบั ทาเปน็ คมู่ ือการปฏบิ ัตงิ านได้

การสัมภาษณ์การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคในการบริหาร
จัดการข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบริหาร ผู้บริหารมีมุมมองว่า การลงทุนยังไม่ตอบวัตถุประสงค์และ
เป้าหมายในการใช้ข้อมูลสารสนเทศ เพื่อการบริหารงานตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัย ทาให้ข้อมูล
ท่ีเผยแพร่ระหว่างกันนั้นเป็นเพียงเน้ือหาท่ีขาดการประมวลผลไปใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ดังนั้น
ในการบริหารจดั การข้อมลู สารสนเทศจึงจาเป็นต้องมีการ work shop ก่อนจัดทาระบบ เพื่อใหไ้ ด้ระบบ
ที่ตรงกับความต้องการของหน่วยงานและใช้งานได้อย่างเป็นประโยชน์สูงสุด สอดคล้องกับการศึกษา
ของ นิพนธ์ เทศวงศ์ (2541) ท่ีได้ศึกษาเรื่อง สภาพและปัญหาการใช้สารสนเทศเพ่ือการบริหารของ
ผ้บู ริหารโรงเรียนมธั ยมศึกษา สังกดั กรมสามัญศึกษาส่วนกลาง พบว่า สว่ นมากผบู้ ริหารและผู้ปฏบิ ัติงาน
มีความรู้เก่ียวกับสารสนเทศเพื่อการบริหารโดยการศึกษาด้วยตนเอง ฝ่ายวิชาการใช้ประโยชน์สาหรับ
ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารมากท่ีสุด โรงเรียนกาหนดและดาเนินการสาหรับขั้นตอนของระบบ
สารสนเทศเพื่อการบริหารเองเป็นส่วนมาก โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่มีการเชื่อมโยงระบบเครือข่าย

109

คอมพิวเตอร์ภายนอก โรงเรียนกาหนดรูปแบบการจาแนกข้อมูล การเก็บข้อมูลและพัฒนาโปรแกรม
เป็นส่วนน้อย ปัญหาในการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร คือ การขาดแคลนบุคลากรท่ีมีความรู้
อุปกรณ์เครื่องมือล้าสมัยและไม่เพียงพอ โรงเรียนแต่ละแห่งมีแนวปฏิบัติแตกต่างกัน และระบบ
สารสนเทศเพ่ือการบริหารไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และสอดคล้องกับผลการศึกษาของเบญจมาภรณ์
ทองสอดแสง (2541) ศึกษาเร่ือง การจัดระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาด
ใหญ่ สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศึกษา 10 พบว่า ปัญหาการจัดระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหาร
ผู้บริหารและผู้จัดระบบสารสนเทศเห็นว่าปัญหาการจัดระบบสารสนเทศเพื่อบริหาร คือ การเก็บรวม
รวมข้อมูล การประมวนผลข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การเก็บรักษาข้อมูล การนาเสนอข้อมูลและ
ปัญหาเกีย่ วกับวัสดุและคุรภุ ณั ฑ์ในการจดั เก็บขอ้ มูลอยู่ในระดบั ปานกลาง

ในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเป็นองค์ประกอบที่สาคัญสาหรับใช้ตัดสินใจ เพ่ือ
ดาเนินการและพัฒนางานในด้านต่างๆ ทาให้การบริหารจัดการและการบริการมีประสิทธิภาพ ซึ่งการ
บริหารจัดการข้อมูลสารเทศมีส่วนช่วยให้การขับเคล่ือนของการจัดเก็บข้อมูลเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์
แบบ เนื่องจากการจัดเก็บข้อมูลที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์สามารถนาเสนอข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว สามารถ
สบื ค้นได้ทกุ ท่ีโดยไมต่ ้องนาเอกสารไปด้วย ถอื ว่าเป็นระบบที่เป็นประโยชน์ตอ่ องค์เปน็ อย่างมาก มีความ
รวดเร็วในการใช้ขอ้ มูลประกอบการดาเนนิ การและการตดั สนิ ใจ ทาให้ทราบสถานะปัจจบุ ันตามพันธกิจ
ของมหาวิทยาลัย เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการบริหารจัดการเงินอย่างมี
ประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงควรมีการส่งเสริมและพัฒนาให้บุคลากรสามารถจัดการกับข้อมูลในแต่ละ
สานักงาน เพื่อนาไปจัดเก็บข้อมูลให้เป็นระบบมากย่ิงข้ึน สอดคล้องการศึกษาของจักราวุธ สอนโกษา
(2550 : 79) ได้ทาการศึกษาเรื่อง การพัฒนาระบบสารสนเทศการ บริหารงานบุคคล สานกังานเขต
พื้นท่ีการศึกษาขอนแก่น เขต 1 จังหวัดขอนแก่น พบว่า หลังจากท่ี ได้ดาเนินการพัฒนาระบบ
สารสนเทศการบริหารงานบุคคล สานกังานเขตพื้นที่การศึกษาขอนแก่น เขต 1 ตามข้ันตอนการพัฒนา
4 ข้ันตอน การศึกษาและวิเคราะห์ระบบ การออกแบบระบบ การติดต้ังระบบ และดูแลรักษาและการ
ประเมินผลโดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป Micro Soft Excel ในการ จัดเก็บข้อมูลการประมวลผลข้อมูล
และการนาเสนอข้อมูลใชก้ระบวนการศึกษาเชิงปฏิบัติการ 2 วงรอบ มีกิจกรรมในการพัฒนาคือ การ
ประชุมเชิงปฏิบัติการและการนิเทศจากการดาเนินงานศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ ให้ระบบสารสนเทศมีความ
ทันสมัยสะดวกในการนา ไปใช้ในการบริหาร จัดการไม่ว่าจะเป็นเร่ืองการแต่งต้ังโยกย้ายการพิจารณา
ความดีความชอบ การบรรจุแต่งต้ังและอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวข้อง เจ้าหน้าท่ีผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความเข้าใจ มี
ความตระหนักในความสาคัญของการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดเก็บข้อ มูลการ
ประมวลผลข้อมูลและการนาเสนอข้อมูล ทาให้ระบบงานขับเคลื่อนไปด้วยความม่ันใจ สะดวกรวดเร็ว
และมีคณุ ภาพ

จากการศกึ ษาครัง้ น้ผี ู้วจิ ัยไดน้ าขอ้ มูลมาวิเคราะห์และสังเคราะห์ทั้งท่ีเป็นปริมาณและคุณภาพ
โดยผลการศึกษาการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศมีความสาคัญในการบริหารจัดการข้อมูลของทุก
สานักงาน การเก็บข้อมูลไว้เป็นฐานในระบบสารสนเทศนับเป็นการบริหารจัดการข้อมูลท่ีมีความ
สะดวกสบาย ทันสมัยมากย่ิงข้ึน งา่ ยตอ่ การเข้าไปใชง้ าน ดังน้ันในการบรหิ ารจดั การข้อมูลสารสนเทศจึง
ควรสนับสนุนให้บุคลากรได้มีการเรียนรู้ อบรมการใช้งานให้มีความชานาญในการจัดเก็บข้อมูลมาก
ยิ่งขนึ้ มกี ารจัดทาขั้นคตตอนการปฏิบตั ิงานอย่างชดั เจนเพอ่ื นาไปจัดทาเป็นคู่มือการปฏบิ ัติงานได้

110

5.3 ขอ้ เสนอแนะ
5.3.1 ข้อเสนอแนะในการทาวิจัยในคร้ังนี้
5.3.1.1 ควรมีการเสนอให้สานักงานแต่ละสานักงานมกี ารจดั การทาคู่มือเพ่ือใช้ในการ

ปฏิบัติงาน
5.3.1.2 ควรมีการนาเสนอรูปแบบการบริหารจัดการข้อมูลท่ีเหมาะสมกับการใช้งาน

ของสานกั งาน

5.3.2 ขอ้ เสนอแนะในการทาวจิ ยั ในครั้งตอ่ ไป
5.3.2.1 ควรมีการศึกษารูปแบบการจัดเกบ็ ข้อมูลของสานกั แต่สานักงานเบบเชิงลึกมา

เปรียบกนั
5.3.2.2 ควรมีการศึกษาวิจัยรูปแบบการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารของ

สถาบนั ศึกษา

111

บรรณานุกรม

การประถมศึกษาแห่งชาติ, สานกั งาน, ระบบสารสนเทศและแนวปฏบิ ัติในการ จดั ระบบสารสนเทศ
ระดบั โรงเรียน,(กรุงเทพมหานคร : คุรุสภา 2537), หน้า 21-22.

กรมสามญั ศกึ ษา, แนวทางการนิเทศการศึกษากรมสามญั ศึกษา. (กรงุ เทพฯ : สานักพิมพ์เสมาธรรม,
2536), หน้า 78.

กรมสามญั ศกึ ษา, เอกสารประกอบการประชุมปฏิบัติการเพ่ือจดั ทาแผนหลักในการเรง่ รัดพฒั นา
คณุ ภาพการศึกษา แนวทางพัฒนาคณุ ภาพการศึกษาของกรมสามัญศกึ ษาของ
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, (กรงุ เทพ : กรมสามญั ศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2538), หนา้ 139.

กรมวชิ าการ, หลกั สตู รการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน, พมิ พค์ รัง้ ท่ี 2 , (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพองคการ
รบั สงสนิ ค้าและพสั ดุภณั ฑ์, 2544), หนา้ 2.

คณะกรรมการการประถมศึกษาแหงชาติ, สานกั งาน, ชุดฝึกอบรมด้วยตนเองการนิเทศภายใน
โรงเรยี นประถมศกึ ษาอย่างเป็นระบบ. (กรุงเทพฯ: ครุ สุ ภาลาดพรา้ ว, 2541), หน้า 52.

คงคารตั น์ กจิ จานนท,์ การศกึ ษาสภาพและปญั หาระบบสารสนเทศเพอการบริหาร ใน
สถาบันอุดมศึกษาของรัฐม (วทิ ยานิพนธ์ครศุ าสตรมหาบัณฑติ สาขาอุดมศึกษา บัณฑิต
วิทยาลยั , จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2539), หนา้ บทคดั ย่อ.

ครรชิต มาลยั วงศ์, กา้ วไกลไปกบั คอมพวิ เตอร์: สาระคอมพิวเตอร์ทข่ี ้าราชการต้องร,ู้ (กรงุ เทพฯ :
ศูนย์เทคโนโลยีอเิ ลก็ ทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แหง่ ชาติ, 2538), หนา้ 65.

จติ ติมา เทียมบุญประเสริฐ, ระบบสารสนเทศเพ่ือการจดั การ, พมิ พค์ รั้งท่ี 2, (กรงุ เทพฯ : โปรแกรม
วชิ าวิทยาการคอมพวิ เตอร์ คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยสี ถาบันราชภฏั สวนดุสิต, 2544),
หน้า 10.

จักราวุธ สอนโกษา, การพัฒนาระบบสารสนเทศการบริหารงานบุคคล สานักงานเขตพ่ืนท่ี
การศึกษาขอนแก่น เขต 1 จงั หวดั ขอนแก่น, (การศกึ ษามหาบณั ฑติ สาขาวชิ าการบรหิ าร
การศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. มหาสารคาม, 2550), หน้า 79.

ชุมพล ศฤงคารศริ ,ิ ระบบสารสนเทศเพอื่ การจัดการ, พมิ พ์ครัง้ ท่ี5, (กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์ คลังวชิ า,
2543), หน้า 57.

ณัฏฐพันธ์ เขจรนนั ท์และคณะ, TQAM กลยทุ ธ์การสรา้ งองค์การคุณภาพ, (กรุงเทพฯ :
เอ็กซเปอร์เนท็ , 2545), หนา้ 110.

ทักษิณา สวนานนท,์ ค่มู ือการใชโ้ ปรแกรม PageMaker 4.0, (กรงุ เทพมหานคร ไฮเทคพร้นิ ตง้ิ ),
2536, หน้า 34.

ทพิ วรรณ หลอ่ สวุ รรณรัตน,์ ทฤษฎอี งคก์ ารสมยั ใหม่, (พิมพค์ รั้งท่ี 5), (กรงุ เทพมหานคร:
สานกั พิมพ์แซทโฟร์พรน้ิ ตง้ิ , 2547), หน้า 25.

ทองอนิ ทร์ วงศ์โสธร, ประเภทและลกั ษณะของสารสนเทศเพ่อื การบริหารการศกึ ษา ในประมวล
สาระชดุ วิชาระบบสารสนเทศเพอ่ื การจัดการและเทคโนโลยการบริหาร การศกึ ษา หน่วย
ที่ 1 ( ตอนที่ 1.3), (นนทบรุ :ี มหาวิทยาลยั สุโขทยธรรมาธริ าช, 2537), หนา้ 113.

112

ธงชยั สันตวิ งษ,์ การบริหารงานบคุ คล, (กรงุ เทพมหานคร : สานักพิมพ์ไทยวัฒนาพาณิช, 2533),
หนา้ 67-68.

นติ ยา ทบั พมุ่ , ปัญหาและความตอ้ งการจาเปน็ ในการพัฒนาการจดั ระบบ การสนเทศทางการ
ศกึ ษาของโรงเรยี นประถมศึกษา สังกดั สานกั งานการ ประถมศกึ ษาจังหวดั ลพบรุ ี,
(วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญามหาบณั ฑิต สถาบันราชภฏั เทพสตร,ี 2544), หนา้ 30 – 35.

นพิ นธ์ เทศวงศ,์ สภาพและปัญหาการใช้ระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารของผบู้ รหิ าร โรงเรยี น
มัธยมศกึ ษา สงั กดั กรมสามญั ศึกษาส่วนกลาง, วิทยานิพนธ์ศกึ ษาศาสตร มหาบณั ฑิต
สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา, (กรงุ เทพมหานคร: บัณฑิตวทิ ยาลัย
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, 2541), หน้า บทคดั ยอ่ .

เบญจมาภรณ์ ทองสอดแสง, การจดั ระบบสารสนเทศเพอ่ื การบรหิ ารในโรงเรยี น มัธยมศกึ ษาขนาด
ใหญ่ สังกัดกรมสามญั ศกึ ษา เขตการศกึ ษา 10, (วทิ ยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑิต มหา
วทิ ยาลยัขอนแก่น, 2541), หนา้ บทคดั ย่อ.

บรรยง อัมพวาและคณะ, รายงานศึกษาวิจัยการศึกษารปู แบบและแนวทางการพัฒนา ระบบข้อมูล
และสารสนเทศเพ่ือการวางแผนพัฒนาโรงเรียน, (ราชบุรี: สานักงานโครงการพฒั นา
ทรพั ยากรมนุษ ภาคกลางและภาคตะวันออก, 2540), หนา้ 15.

ประธาน สุนทรไชยา, สภาพปัจจบุ นั และปัญหาการใช้ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อการจัดการ
งานกองอาคารและสถานท่ี มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ 2545),
หน้า บทคัดย่อ.

พิชติ สุขเจรญิ พงษ,์ “วิธกี ารเชงิ ระบบ”, ในเอกสารการสอนชดุ วชิ าระบบสารสนเทศเพื่อการจดั การ
หนว่ ยที่ 1-8, พิมพค์ ร้ังที่ 2, (กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช, 2538), หน้า 110.

ไพโรจนค์ ชชา, ระบบข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบรหิ ารงานโรงเรยี น. กรงุ เทพฯ: สหธรรมกิ , 2540),
หน้า 199.

ราชบณั ฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
ศิรวิ ฒั นอนิ เตอร์พร้ิน, 2546), หนา้ 80

วีระ สุภากจิ , ระบบสารสนเทศเพือ่ การจัดการ, (จากทฤษฎสี กู่ ารปฏบิ ตั ิในโรงเรยี น ม.ป.ท., 2539),
หนา้ 309.

วรรณพร วีเกง่ , การศึกษาสารสนเทศเพอื่ การบรหิ ารของผ้บู รหิ ารสถาบนั เทคโนโลยีราชมงคล
วทิ ยาเขตตาก, (มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วทิ ยาเขตตาก, 2542), หน้า บทคดั ย่อ.

ศรไี พรศักด์ิ รงุ่ พงศากุล, เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ. กรุงเทพฯ : ซเี อด็ ดูเคช่ัน . สถาบัน
ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย,ี กรงุ เทพฯ : สถาบันฯ 2547),
หนา้ 153 – 154.

สานิตย์ กายาผาด, เทคโนโลยีสารสนเทศเพอ่ื ชีวติ , พมิ พ์ครั้งที่2, (กรุงเทพฯ : เฮริ ด์ เวฟ 154 เอด็
ดเู คชัน่ , 2542), หน้า 129.

สภุ าพร พศิ าลบุตรและนารีรัตน์ หวงั สนุ ทราพร, ระบบสารสนเทศเพ่ือการบรหิ าร ทรพั ยากรมนุษย,์
(กรุงเทพมหานคร วี.เจ.พรนิ้ ตงิ้ ,2547), หน้า 27.

สุโขทัยธรรมาธริ าช, มหาวิทยาลัย, องคก์ ารและการจดั การ, พมิ พค์ รั้งที่ 6, (นนทบุรี :
มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, 2548), หน้า 32.

113

สุทธาสนิ ี ประสานวงศ์, ปัจจยั ทีม่ ีผลตอการตัดสินใจของผูปกครองในการสงเดก็ เขา เรียนระดบั
การศกึ ษาปฐมวัยของโรงเรียนเอกชน จงั หวัดมหาสารคาม”, (วทิ ยานิพนธศกึ ษาศาสตร
มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภฎั มหาสารคาม, 2550), หน้า 36.

สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ, แนวทางการประกันคณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา เพอ่ื
พร้อมรบั การประเมนิ ภายนอก, (กรุงเทพฯ: พิมพ์ดี, 2544), หน้า 12.

สานกั งานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาต,ิ การพัฒนาสถานศกึ ษาทั้งระบบ ส่กู ารปฏริ ูป
การศกึ ษา, (กรุงเทพฯ: ผแู้ ต่ง, 2542), หน้า 17-18.

สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และสถาบนั เพมิ่ ผลผลิตแห่งชาต,ิ การจดั การ
ความรจู้ ากทฤษฎสี ู่การปฏิบัติ, (กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการพฒั นา ระบบราชการ
และสถาบันเพมิ่ ผลผลติ แห่งชาต,ิ 2548), หน้า 122.

สมทบ สยามไชย, การพฒั นาระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารงานโรงเรียนวดั หนองคัน (ไจพทิ ยา
คาร) อาเภอท่าใหม่ จังหวัดจนั ทบรุ ี / สมทบ สยามไชย, (งานนพิ นธก์ ารศกษามหาบัณฑิต,
สาขาวชิ าการบรหิ ารหารศกึ ษา, คณะศึกษาศาสตร์, มหาวิทยาลัยบูรพา, 2550), หน้า
บทคดั ย่อ.

สมยศ นาวีการ, การบริหารเพ่อื ความเลศิ , (กรงุ เทพฯ: บรรณกิจ, 2533), หนา้ 186-187.
อาไพ พรประเสริฐสกลุ , การวิเคราะหแ์ ละออกแบบระบบ, พมิ พค์ รัง้ ท่ี 2, (กรุงเทพฯ : ศูนย์

เทคโนโลยอี ิเลก็ ทรอนกิ ส์, 2537), หน้า 10.
Davis, Gordon B. & Olson, Margrethe H, Management information system :

Conceptual foundation, structure, and development, (2nd ed.), (New York
: McGraw-Hill, 1985), P 6.
Gatewood, Robert D., Taylor, Robert., & Ferrell, O.C, Management : Comprehension
analysis, and application, (New jersey: Richard D. Irwin, 1995), P.40-41.
Lucus, StephenE, Transformational leadership: Principal, leadership and school
culture, Doctoral dissertation, (The University of Missouri, Columbia, 1990),
P 208 – 509.
Schermerhorn, John R., Hunt, James G., & Osborn, Richard N, Organizational
Behavior, 7th ed, (New York: John Wiley & Son, 2000), P.155.
Schermerhorn, John R., Hunt, Management, 7th ed, (New York: John Wiley & Son,
2002), P.97.
Scott, P. 1970. The Process of Conceptual Change in Science, (New York : Cornell
University,1970), P 211.
Stoner, James AF, Management, (New jersey: Prentice-Hall, 1978), P.53-54.

114

ภาคผนวก

115

ภาคผนวก ก. บทความการวจิ ัย

116

การบริหารจดั การขอ้ มลู สารสนเทศเพ่ือการบรหิ ารมหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั
วิทยาเขตขอนแก่น

An Administrative Management of Informative Data for the Administration of
Mahachulalongkornrajavidyalaya University Khonkaen Campus

อมรรัตน์ เตชะนอก
พันทวิ า ทับภมู ี

Amonrat Techanok
Phanthiwa Thabphumee

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย
Mahachulalongkornrajavidyalaya University

บทคัดยอ่

การศึกษาวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) ประกอบด้วย
การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) มี
วัตถปุ ระสงค์คือ 1) เพ่อื ศกึ ษาวิธีจัดการข้อมูลสารสนเทศ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขต
ขอนแก่น 2) เพ่ือพัฒนาวิธีจัดการจัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น 3) เพ่ือวิเคราะห์ การเช่ือมโยงข้อมูลสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวทิ ยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น ไปยังหน่วยงานภายในและหนว่ ยงานภายนอก กลุ่มเปา้ หมายท่ีใชใ้ นงานวจิ ัย
คร้งั นี้เป็นบุคคลกรมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น รวมท้ังส้ิน 86 รูป/คน โดย
แยกเป็น ด้านปริมาณ คือ จากการแจกแบบสอบถาม บุคลากรท่ีมีส่วนเก่ียวข้องระดับปฏิบัติการ จานวน 50
รูป/คน ดา้ นคุณภาพ การสมั ภาษณ์เชงิ ลึก ไดแ้ ก่ 1) สัมภาษณ์ผูบ้ รหิ ารระดบั สงู จานวน 5 รปู /คน 2)สัมภาษณ์
ผบู้ ริหารระดบั กลาง จานวน 5 รูป/คน 3) สัมภาษณ์ผู้บริหารระดับต้น จานวน 5 รูป/คน และ4) สัมภาษณ์
บคุ ลากรระดบั ปฏิบัตกิ าร กลุ่มงานละ 3 รปู /คน เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในการเก็บขอ้ มูล โดยผู้ศึกษาไดใช้แบบสอบถาม
ท่ีสร้างขึ้นเองสามารถแบ่งออกได้ดังน้ี เคร่ืองมือเชิงปริมาณ คือ 1) แบบสอบถามเก่ียวกับแนวทางการพัฒนา
รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศ 2) แบบ Checklist รายการระบบและกลไกการทางานของแต่ละ
สานักงาน เครื่องมือเชิงคุณภาพ 1) แบบสัมภาษณ์และการสงั เกตกระบวนการการทางานของบุคลากรท่ีมีส่วน
ร่วม (Observations Participant) ในการจัดการข้อมูล 2) การประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) 3) การ
สมั มนาเชงิ วิชาการเรื่อง วธิ ีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ เพื่อนาไปสู่การจดั ทาคูม่ ือการปฏิบัติงาน การวิเคราะห์
ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูปทางสถิติ และข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ข้อมูลท่ีได้จากการ
บรรยายเชงิ พรรณนา

ผลการวจิ ัยพบว่า
1) รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต
ขอนแก่น ด้วยการตอบแบบสอบถามของบุคลากรจากสายงานต่างๆ ในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น จานวน 50 รูป/คน พบว่า รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศ ท้ัง 3 ด้าน มีผล
การปฏิบตั ิงานอยูใ่ นระดบั มาก = 3.54 (S.D. = 0.32) และเม่ือแยกออกเปน็ ข้ันพบว่า ขัน้ ทมี่ ีระดับการปฏิบัติ
มากที่สุด คือ ขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูล มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.61 (S.D. = 0.70) รองลงมาคือ ขั้นการ

117

จดั หนว่ ยหรอื คลังขอ้ มูลในหน่วยงาน มีระดบั การปฏบิ ัตมิ าก = 3.53 (S.D. = 0.45), ข้นั การตรวจสอบข้อมูล
มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.52 (S.D. = 0.44), ขั้นการวิเคราะห์ข้อมูล มีระดับการปฏิบัติปานกลาง =
3.48 (S.D. = 0.53) และขน้ั ที่มีการปฏิบัตินอ้ ยท่ีสุด คือ ขั้นการประมวลผล มีระดบั การปฏิบัติปานกลาง =
3.38 (S.D. = 0.40) ตามลาดบั

2) แนวทางการพัฒนารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ด้วยการตอบแบบสอบถามของบุคลากรจากสายงานต่างๆ ในมหาวิทยาลัยมหา
จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่ จานวน 50 รูป/คน พบว่า แนวทางการพฒั นารูปแบบการจดั การ
ข้อมลู สารสนเทศ มีผลการปฏบิ ตั ิงานอย่ใู นระดับมาก = 3.61 (S.D. = 0.54)

3) การตรวจสอบรายการระบบและกลไกการทางานรูปแบบวธิ ีการจดั การข้อมูลสารสนเทศเพ่ือ
การบริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น โดยรวมมีผลการประเมินอยู่ใน
ระดบั พอใช้ คดิ เป็นรอ้ ยละ 66.06

4) การสัมมนาเรื่องวิธีการจดั การข้อมูลสารสนเทศ ประกอบด้วยการสมั ภาษณ์ผู้บริหารระดับสูง
จานวน 5 รูป/คน ผู้บริหารระดับกลาง จานวน 5 รูป/คน และผู้บริหารระดับต้น จานวน 5 รูป/คน โดยจาก
การเก็บข้อมูลการสัมภาษณ์ของผู้บริหารได้มีการแนะนาแนวทางในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศนาไป
วางแผนในการปฏิบตั ิงานเพอ่ื ใหส้ ามารถปฏิบตั งิ านตามภารหนา้ ท่ี ซ่ึงในการบรหิ ารจดั การขอ้ มลู สารสนเทศน้ัน
ไดม้ ีการกาหนดข้ันตอนการปฏบิ ัตงิ านไว้ ทาให้เขา้ ใจวิธกี ารมากยงิ่ ขน้ึ การทาวิจัยในคร้ังนี้ผูว้ ิจัยจงึ ได้จัดทาเปน็
คู่มือปฏิบัติงานกลุ่มงานบริหาร วิทยาลัยสงฆ์ขอนแก่นข้ึน โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือใช้เป็นแนวทางในการ
ปฏิบัติงานของเจา้ หน้าประจาวทิ ยาลัย และได้ทาการเผยแพร่คมู่ ือไปยงั สานกั งานต่างๆ เพอื่ เปน็ ตวั อย่างในการ
จัดทาคู่มือปฏิบัตงิ านอกี ดว้ ย ทั้งนีไ้ ด้การจดั ทาคู่มอื บรหิ ารหลักสูตรของวทิ ยาเขตขอนแกน่ จานวน 14 หลกั สตู ร
และไดค้ ู่มอื บริหารหลกั สูตรที่สมบูรณ์คือ หลกั สตู รครุศาสตร์บณั ฑติ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย

คาสาคัญ : รูปแบบ, การบริหารจัดการ, สารสนเทศ, การจัดการข้อมูลสารสนเทศ, การบริหารจัดการข้อมูล
สารสนเทศเพอ่ื การบริหาร

ABSTRACT

The purposes of this study were aimed at 1) studying the management of informative data
of Mahachulalongkornrajavidyalaya University Khonkaen Campus, 2) developing the management of
informative data for the administration of Mahachulalongkornrajavidyalaya University Khonkaen Campus,
and 3) analyzing the network of informative data connected to both internal and external departments of
Mahachulalongkornrajavidyalaya University Khonkaen Campus. The study was a mixed method research
included qualitative and quantitative research. The target group in the study was 86
Mahachulalongkornrajavidyalaya University Khonkaen Campus staffs, who were monks and lay people.
The questionnaires used in a quantitative research were 50 operational staffs. And In-depth Interview used
in a qualitative research was 1) 5 chief executives, 2) 5 vice executives, 3) 5 primary executives, and 4) 3
operational staffs from each department. Research tool used was questionnaires that could be divided
into 2 main groups were 1) quantitative tools; questionnaires of the development of informative data
management, and checklist of system and mechanism of each department; and 2) qualitative tools;
interview and observation forms of observation participants in data management, focus group, and

118

academic seminar on informative data management. Quantitative data analysis was by computer
programs as statistics and descriptive analysis.

The results of the study were found as follows:
1. The format of informative data management of Mahachulalongkornrajavidyalaya University
Khonkaen Campus by way of completing the questionnaires of 50 staffs was found that that 3 managements
were in a high level, = 3.54 (S.D. = 0.32). As for considering in each level. It was found that the highest level
was data collection, = 3.61 (S.D. = 0.70). And there were data store of each department, = 3.53 (S.D. =
0.45); data verification, = 3.52 (S.D. = 0.44), data analysis, = 3.48 (S.D. = 0.53), and data evaluation, =
3.38 (S.D. = 0.40), respectively.
2. The method of informative data development of Mahachulalongkornrajavidyalaya
University Khonkaen Campus by way of completing the questionnaires of 50 staffs was found in a high level,
= 3.61 (S.D. = 0.54).
3. The verification of system and mechanism on informative data management for the
administration of Mahachulalongkornrajavidyalaya University Khonkaen Campus was totally 66.06%.
4. The seminar on informative data management included data collection was recommended
the method of informative data management for attaching in work process as obligation by interviewing 5
chief executives, 5 vice executives, and 5 primary executives. The researchers had formed this study as
operation manual of administrative division of Khonkaen Campus and spread out to each department in
which the purpose was to be the guideline for permanent staffs. Meanwhile, there were administrative
manuals for 14 curriculums in Khonkaen Campus and the completed one was Bachelor of Education
Program in Teaching Thai Language.

Keywords: Format, Administration, Information, Informative Data Management,
An Administrative Management of Informative Data for the Administration

คานา

การศึกษาวิจัยเร่ืองนี้ เกิดขึ้นจากความสนที่จะศึกษาการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเพื่อการ
บริหาร มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น เนอ่ื งจากผู้วิจัยเปน็ ผู้ปฏิบัติงานและมี
ส่วนรับผิดชอบการจดั เกบ็ ข้อมลู บุคลากรสายวชิ าการ ข้อมูลเกยี่ วกับงานบรหิ ารวิชาการ ขอ้ มูลหลกั สตู ร ข้อมูล
โครงการ/กิจกรรม ข้อมูลเอกสารงานวิชาการ ของวทิ ยาเขตขอนแก่น เพื่อนาเสนอผลงานวจิ ัยไปใชเ้ ป็นข้อมูล
ประกอบการพัฒนาระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต
ขอนแก่นให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพ่ือศึกษาวิธีจัดการข้อมูลสารสนเทศ เพ่ือ
พัฒนาวิธีจัดการจัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร และเพื่อวิเคราะห์ การเช่ือมโยงข้อมูลสารสนเทศ
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น ไปยงั หนว่ ยงานภายในและหน่วยงานภายนอก

119

เคร่อื งมอื และวธิ กี ารศกึ ษา

ในการศึกษาวิจยั เรื่องนี้ เปน็ การวจิ ัยเปน็ การศกึ ษาวิจยั แบบผสมผสาน (Mixed Method Research)
ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative
Research) โดยมีวธิ ีการศึกษา 2 รูปแบบ คือ 1) การวิจยั เอกสาร (Documentary Research) เป็นการศึกษา
จากเอกสารตา่ ง ๆ ตามแนวคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการจัดการข้อมลู สารสนเทศเพ่ือการบริหาร การเชื่อมโยงข้อมูล
สารสนเทศ หนังสือตาราวิชาการ วาสาร อินเตอร์เน็ต เอกสารงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง แล้วนามาประมวลความ
เสนอในรูปแบบการบรรยายเชิงพรรณนา 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการศึกษา ด้านการเงิน ด้านการวิจัย ด้านพัฒนา
นิสิต และด้านทรัพยากรมนุษย์ 2) การวิจัยภาคสนาม (Field Research) เป็นขั้นตอนหลังจากศึกษาเอกสาร
จนได้แนวทางหรอื แนวคดิ ตา่ งๆ ทเี่ กย่ี วข้องกับวธิ ีการจัดการข้อมูลสารสนเทศเพื่อการบรหิ ารของมหาวทิ ยาลัย
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั แลว้ นามาเป็นแบบสอบถาม จากผู้บริหารระดับสงู ผบู้ รหิ ารระดบั กลาง ผูบ้ ริหาร
ระดับต้น และบุคลากรระดบั ปฏิบัตกิ ารของมหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย

ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คณะผู้ศึกษาวิจัยใช้แบบสัมภาษณ์กรณีตัวอย่าง
เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานแต่ละกลุ่มงานท่ีนาแนวคิดการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ ไปประยุกต์ใช้กับการจัดเก็บ
ข้อมูลและสัมภาษณ์ผู้บริหารและผู้มีส่วนเก่ียวข้องดังนี้ 1) กลุ่มเป้าหมาย เป็นบุคคลกรมหาวิทยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น รวมทั้งสิน้ 86 รปู /คน โดยแยกได้ดังน้ี ด้านปริมาณ คือ จากการแจก
แบบสอบถาม บุคลากรทีม่ ีสว่ นเกีย่ วขอ้ งระดับปฏิบัติการ จานวน 50 รูป/คน และดา้ นคุณภาพ การสัมภาษณ์
เชงิ ลกึ จานวน 31 รูป/คน

ผลการศึกษา

จากการศึกษารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตขอนแก่น สามารถพิจารณาเป็นรายด้านได้ คือ ด้านกระบวนการบริหารข้อมูลสารสนเทศ โดยรวมมี
ระดับการปฏิบัติมาก = 3.50 (S.D. = 0.34) และเม่ือแยกออกเป็นขั้นพบว่า ขั้นท่ีมีระดับการปฏิบัติมาก
ท่ีสุด คือ ขั้นการเก็บรวบรวมข้อมูล มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.61 (S.D. = 0.70) รองลงมาคือ ขั้นการจัด
หน่วยหรอื คลังข้อมูลในหน่วยงาน มีระดบั การปฏบิ ตั ิมาก = 3.53 (S.D. = 0.45), ขัน้ การตรวจสอบขอ้ มูล มี
ระดับการปฏิบัติมาก = 3.52 (S.D. = 0.44), ข้ันการวิเคราะห์ข้อมูล มีระดับการปฏิบัติปานกลาง =
3.48 (S.D. = 0.53) และข้ันที่มีการปฏิบัตินอ้ ยทส่ี ุด คือ ขนั้ การประมวลผล มีระดับการปฏิบัติปานกลาง =
3.38 (S.D. = 0.40) ตามลาดับ สามารถสรปุ เปน็ รายด้านได้ดงั น้ี

1) ด้านกระบวนการบริหารข้อมลู สารสนเทศ โดยรวมมีระดับการปฏิบตั ิมาก = 3.50 (S.D. =
0.34) และเมื่อแยกออกเป็นขั้นพบว่า ขั้นท่ีมีระดับการปฏิบัติมากท่ีสุด คือ ข้ันการเก็บรวบรวมข้อมูล มีระดับ
การปฏิบัติมาก = 3.61 (S.D. = 0.70) รองลงมาคือ ข้ันการจัดหน่วยหรือคลังข้อมูลในหน่วยงาน มีระดับ
การปฏิบัติมาก = 3.53 (S.D. = 0.45), ขั้นการตรวจสอบข้อมูล มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.52 (S.D. =
0.44), ขั้นการวิเคราะห์ข้อมูล มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.48 (S.D. = 0.53) และขั้นท่ีมีการปฏิบัติ
น้อยทส่ี ุด คือ ข้นั การประมวลผล มรี ะดับการปฏิบตั ิปานกลาง = 3.38 (S.D. = 0.40) ตามลาดบั

2) ด้านปัจจัย โดยรวมมีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.41 (S.D. = 0.38) และเม่ือแยก
ออกเป็นรายข้อพบว่า ข้อท่ีมีระดับการปฏิบัติมากที่สุด คือ มีห้องหรืออาคารสาหรับการบริหารระบบข้อมูล
สารสนเทศ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.86 (S.D. = 0.93) รองลงมาคือ มีการกาหนดงบประมาณสาหรับ

120

การบรหิ ารระบบข้อมลู สารสนเทศ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.56 (S.D. = 0.93), มีเคร่อื งคอมพวิ เตอรแ์ ละ
เครือข่ายอินเตอร์เน็ตสาหรับท่ีสาหรับสืบค้นและส่งข้อมูลสารสนเทศ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.54 (S.D.
= 0.97), มีตู้ แฟ้ม วัสดุที่ใช้สาหรับการจัดเก็บข้อมูลสารสนเทศ มีระดับการปฏิบัตปิ านกลาง = 3.42 (S.D.
= 0.70), การปรับปรงุ แกไ้ ขข้อมูลที่วเิ คราะห์ ท่ไี ม่ตรงกับวัตถุประสงค์ มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.42
(S.D. = 0.93), ผบู้ ริหารใหค้ วามสาคัญตอ่ การบริหารข้อมลู สารสนเทศ มีระดับการปฏบิ ัตปิ านกลาง = 3.30
(S.D. = 0.81), มีเคร่ืองคอมพิวเตอร์ท่ีใช้สาหรับการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลสารสนเทศ มีระดับการ
ปฏิบัติปานกลาง = 3.10 (S.D. = 0.74) และข้อท่ีมีการปฏิบัติน้อยที่สุด คือ บุคลากรผู้รับผิดชอบในการ
ดาเนินงานมีความรู้ความเข้าใจในกระบวนการบริหารระบบข้อมูลสารสนเทศ มีระดับการปฏิบัติปานกลาง
= 3.10 (S.D. = 0.76) ตามลาดบั

3) ด้านการนาข้อมูลไปใช้ โดยรวมมีระดับการปฏิบัติมาก = 3.69 (S.D. = 0.46) และเม่ือ
แยกออกเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่มีระดับการปฏิบัติมากท่ีสุด คือ การนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ เพื่อการพัฒนา
บุคลากร มรี ะดับการปฏิบตั ิมาก = 4.26 (S.D. = 0.69) รองลงมาคือ การนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ เพ่ือการ
ประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัย มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.80 (S.D. = 0.93) และการนาข้อมูล
สารสนเทศไปใช้ เพ่ือการจัดการเรียนรู้ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.80 (S.D. = 0.99), การนาข้อมูล
สารสนเทศไปใช้ เพ่ือการควบคุมการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ มีระดบั การปฏิบัตมิ าก = 3.74,
(S.D. = 1.01), การนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ เพื่อกาหนดเป็นแผนปฏิบัติของมหาวิทยาลัย มีระดับการปฏิบัติ
ปานกลาง = 3.44 (S.D. = 0.91), การนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้เพ่ือการตัดสินใจวินจิ ฉัยสั่งการของผู้บริหาร
ของมหาวิทยาลัย มีระดับการปฏิบัติปานกลาง = 3.40 (S.D. = 0.83) และข้อท่ีมีการปฏิบัติน้อยท่ีสุด คือ
การจัดให้ระบบการให้บริการให้บรกิ ารข้อมลู สารสนเทศแก่หน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง มรี ะดับการปฏิบตั ิปานกลาง

= 3.38 (S.D. = 0.86) ตามลาดับ
ผลการศึกษาแนวทางการพัฒนารูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง

กรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ด้วยการตอบแบบสอบถามของบุคลากรจากสายงานต่างๆ ใน
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น จานวน 50 รูป/คน พบว่า แนวทางการพัฒนา
รูปแบบการจัดการข้อมูลสารสนเทศ มีผลการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก = 3.61 (S.D. = 0.54) และเมื่อ
แยกเป็นรายข้อพบว่า ข้อท่ีมีการระดับการปฏิบัติมากที่สุด คือ การจัดเก็บ รวบรวม ประมวลผล และการ
วิเคราะห์ขอ้ มูลอย่างเป็นระบบ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.84 (S.D. = 0.96) รองลงมาคือ สามารถพัฒนา
ระบบสารสนเทศเป็นคู่มือ เพ่อื ใชใ้ นมหาวิทยาลัยได้ มีระดบั การปฏบิ ัตมิ าก = 3.78 (S.D. = 0.89), มีระบบ
รับส่งข้อมูลข่าวสารในหน่วยงาน มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.68 (S.D. = 0.94), บุคลากรในมหาวิทยาลัย
สามารถเข้าถึงระบบสารสนเทศ และสามารถเก็บข้อมูลได้อย่างเป็นระบบ มีระดับการปฏิบัติมาก = 3.66
(S.D. = 0.87), แหลง่ บริการสืบคน้ ขอ้ มูลทางการวิชาการ ข้อมลู การประกนั คุณภาพภายใน มีระดบั การปฏิบัติ
มาก = 3.64 (S.D. = 0.96), ระบบสารสนเทศมีความทันสมัย มีความถูกต้องครบถ้วน มีระดับการปฏิบัติ
มาก = 3.60 (S.D. = 0.86), ระบบสารสมเทศมีประโยชน์ต่อการดาเนินงาน มีระดับการปฏิบัติมาก =
3.58 (S.D. = 0.81), ความรวดเรว็ ในการเข้าถึงข้อมลู มรี ะดับการปฏิบัติมาก = 3.56 (S.D. = 0.97), ความ
เหมาะสม การนาไปใชง้ านได้จรงิ ความน่าเชื่อถือมคี วามสมบูรณ์ครบถ้วนได้มาตรฐาน มรี ะดับการปฏิบัติมาก

= 3.52 (S.D. = 0.84) และข้อท่ีมีการปฏิบัติน้อยท่ีสุด คือ ระบบสารสนเทศใช้งานง่าย มีระดับการปฏิบัติ
ปานกลาง = 3.28 (S.D. = 0.70)

121

ผลการสัมภาษณ์เร่อื ง การบริหารจดั การขอ้ มูลสารสนเทศเพือ่ การบริหาร มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น โดยผู้วิจัยได้มีการรวบรวมข้อมูลจากการจัดประชุมกลุ่มย่อย ใน
การศึกษาหัวข้อ การจัดการข้อมูลสารสนเทศ ซ่ึงสัมภาษณ์บุคลากรระดับปฏิบัติการ กลุ่มงานละ 3 รูป/คน
โดยมีรายละเอียดดังน้ี 1) กลุ่มงานบริหาร 2) กลุ่มงานวางแผนวิจัยและพัฒนา 3) กลุ่มงานห้องสมุดและ
สารสนเทศ 4) กลุ่มงานวิชาการและคุณภาพการศึกษา 5) กลุ่มงานวางแผนและงบประมาณ 6) กลุ่มงาน
ทะเบียนและวดั ผล และ7) กลุ่มงานบรกิ ารการศึกษา ซ่ึงจากการประชุมกลุ่มย่อยทาให้สามารถข้อมูลทีไ่ ดจ้ าก
การสัมภาษณ์ ได้ดังน้ี

ในการระบบจดั การขอ้ มูลสารสนเทศในมหาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแก่น
การจัดการข้อมูลสารสนเทศในมหาวิทยาลยั มกี ารจดั การข้อมูลในรูปแบบของระบบ MIS แตย่ ังขาดการจัดทา
ขอ้ มูลให้เป็นระบบและไม่มีความชัดเจน ซึ่งยังมีข้อจากัดเรื่องความรู้ความสามารถของบุคลากร และบุคลากร
บางท่านยังไม่ทราบถึงวิธีการจัดเก็บข้อมูลของมหาวิทยาลัยวา่ มีการจัดจัดการอย่างไร ซ่ึงหากขาดการจัดการ
ขอ้ มูลไม่ดพี อแตล่ ะหน่วยงานกไ็ มส่ ามารถเชื่อมโยงข้อมูลกนั ไดอ้ ยา่ งท่ัวถงึ ทาให้ขาดประสิทธภิ าพในการทางาน
ดังนั้น ในการจัดการข้อมูลสารสนเทศจึงควรมีการจัดกลุ่มงานเพ่ือไปดูแลระบบการจัดการข้อมูล มีการจัด
อบรมสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างหน่วยงาน สานักงานท้ังภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย ซึ่งนาไปสู่
การจัดทาเป็นวิธีและข้ันตอนการปฏิบัติงานได้ ควรการจัดการข้อมูลโดยภาพรวมเพ่ือนาไปใช้เป็นระบบ
ฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัยท่ีสามารถนาไปสู่การจัดการในระบบสารสนเทศท่ีมีความสมบูรณ์ และมีการสรุป
และประเมินเมื่อดาเนินการเสร็จสน้ิ

การพัฒนาการบริหารข้อมูลสารสนเทศมีความสาคัญต่อมหาวิทยาลยั คือ เป็นหัวใจหลกั ในการ
ปฏิบัติงานยุคใหม่ All in one เป็นการปฏิบัติงานท่ีสามารถทาทุกอย่างได้ทุกข้ันตอนของกระบวนการจัดเก็บ
ขอ้ มลู ในการบรหิ ารจดั การข้อมูลสารสนเทศท่ีดีกส็ ามารถทาใหท้ างานได้อยา่ งรวดเร็ว เพราะการตดิ ต่อสอื่ สาร
เพ่ือความรวดเร็วและกระชับเวลาในการบริหารและเกิดประโยชน์สูงสุด สร้างการเปล่ียนแปลงในการบริหาร
จัดการและการดาเนินงาน ซึ่งการพัฒนาการบริหารข้อมูลสารสนเทศมีความสาคัญต่อการบริหารจัดการต่อ
มหาวิทยาลัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญในการตัดสินใจในการขับเคลื่นและพัฒนา
มหาวิทยาลัย เพ่ือให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และนโยบายของผู้บริหาร ดังน้ันจึงควรมีการบริหารจัดการข้อมูล
สารสนเทศใหม้ ีความทันสมยั เขา้ ใจง่ายสามารถใชง้ านได้งา่ ย อละมีความเหมาะสมกบั ลกั ษณะงาน

การบรหิ ารจัดการข้อมูลสารสนเทศมีข้อดใี นการเปน็ อยา่ งมาก เนอ่ื งจากในการบริหารจัดการข้อมูล
สารสนเทศมคี วามจาเปน็ ในการตอ่ ทุกหน่วยงาน เปน็ ประโยชน์ในการบริหารจดั การบง่ บอกถึงศกั ยภาพองค์กร
สามารถสร้างระบบงานที่เข้าถึงงา่ ย รวดเร็ว ทนั ใจ Thailand 4.0 ส่งผลดตี ่อผู้ปฏิบตั ิงานโดยตรง เพอ่ื รว่ มงาน
และหน่วยงานในทุกระดับ บุคลากรทราบและเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศได้ง่ายย่ิงขึ้น สะดวกในการจัดเก็บและ
ค้นหาข้อมูล ทาให้ได้ข้อมูลท่ีมีคุณค่าและเป็นระบบระเบียบมากข้ึน จากการให้บุคลากรจากสานักงานต่างๆ
โดยแตล่ ะสานกั งานก็มีข้ันตอนที่แตกตา่ งกัน ซง่ึ สามารถสรา้ งขัน้ ตอนการจดั การข้อมูลสารสนเทศได้ดังนี้

122

ศึกษาและทาความเข้าใจระบบ
สารสนเทศ

จัดเตรียมและรวบรวมข้อมลู

วิเคราะห/์ แยกประเภทของขอ้ มลู

ประมวลและสรุปข้อมลู

นาข้อมูลไปจัดเก็บในรปู แบบสารสนเทศ

ผลการสัมมนาเชิงวิชาการเร่ือง วิธีการจัดการข้อมูลสารสนเทศ เพื่อนาไปสู่การจัดทาคู่มือการ
ปฏิบัติงาน จากการศึกษาผู้วิจัยได้ทาการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้บริหารระดับสูง จานวน 5 รูป/คน ผู้บริหาร
ระดับกลาง จานวน 5 รูป/คน และผ้บู ริหารระดับต้น จานวน 5 รูป/คน ซึ่งจากการสัมมนาเร่ืองวิธีการจัดการ
ข้อมลู สารสนเทศ เพอื่ นาไปส่คู ู่มือการปฏบิ ตั งิ าน พบวา่

การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศภายในมหาวิทยาลัยมหาจุฬลงกรณราชวิทยาลัยวิทยาเขต
ขอนแก่น มีการบริหารจัดการข้อมูลในมีระบบสารบัญอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นการระบบที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย
บคุ ลากรสามารถเข้าได้ทุกส่วนงาน มีการวางระบบเพือ่ ให้ส่วนงานสามารถเข้าไปสืบค้นข้อมลู ตามสารบัญของ
ขอ้ มูลในระบบอินเตอร์

การจัดทาวารสารอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องดว้ ยมหาวทิ ยาลัยมหาจึฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัย
ขอนแก่น ได้จัดประชุมวิชาการและนาไปสู่การจัดทาวารสารธรรมทรรศน์ ท้ังน้ีเพื่อใช้เป็นฐานข้อมุลในการ
เผยแพรข่ อ้ มลู งานวจิ ยั ต่างๆ ของบคุ ลากรสายวชิ าการ สายปฏิบตั ิงาน และนิสติ ได้มพี นื้ ที่ในการเผยแพรผ่ ลงาน
รวบไปถึงเการเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกได้มีส่วนในการนาผลงานมาตีพิมพ์วารสารได้อีกด้วย ดังนั้นการ
จดั ทาวารสารอิเล็กทรอนกิ ส์จึงมีความสาคัญอยา่ งมากเพ่อื เผยแพร่งานวิจัยได้อย่างท่ัวถึง สะดวกในการใช้งาน
และสามารถเข้าถึงได้ทกุ พน้ื ที่

การจัดทาระบบการเงินและการบัญชี เป็นการสร้างฐานข้อมูลไว้เพ่ือเป็นการนาข้อมูลหรือ
สถานะทางการเงินของมหาวิทยาลัยและบุคลากรไปจัดเก็บไว้เพ่ือใช้ในการประกอบการจัดทางบประมาณ
ต่างๆ รวมท้ังการวางแผนงบประมาณในการใช้จ่าย ระเบียบการเบิกจ่ายต่างๆ ทาให้บุคลากรสามารถเข้าถึง
ระบบการเงนิ ไดง้ า่ ยยิ่งข้นึ

การจัดทาระบบอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งสานักงานวิทยาลัยสงฆ์ขอนแก่น ได้ จัดทาข้ึนเพื่อ
วัตถุประสงค์ในการบริการนิสิตและอาจารย์ท่ีสามารถเข้ามาใช้งานและพูดคุยติดต่อกัน สร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดี
ระหว่างอาจารยแ์ ละนิสิต ซง่ึ เปน็ การจัดทาระบบท่มี ีความทนั สมัย สามารถเข้าใชง้ านได้ง่าย

และการใช้ระบบทะเบียนนิสิตร่วมกับ มจร. ส่วนกลาง เป็นระบบที่ใช้ลงทะเบียนของนิสิต ซึ่ง
นิสิตสามารถเข้าไปลงทะเบียนเรียนและตรวจสอบผลการศึกษาได้ โดยเป็นระบบที่ มจร. สว่ นกลางเป็นผู้ดูแล
และควบคุมการดาเนินงาน

123

ในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญสาหรับใช้ตัดสินใจ เพ่ือ
ดาเนินการและพัฒนางานในด้านต่างๆ ทาให้การบริหารจัดการและการบริการมีประสิทธิภาพ ซึ่งการบริหาร
จัดการข้อมูลสารเทศมีส่วนช่วยให้การขับเคล่ือนของการจัดเก็บข้อมูลเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ เนื่องจาก
การจัดเก็บข้อมูลที่เป็นอเิ ล็กทรอนกิ ส์สามารถนาเสนอข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว สามารถสืบคน้ ไดท้ ุกที่โดยไม่ต้อง
นาเอกสารไปด้วย ถือว่าเป็นระบบท่ีเป็นประโยชน์ต่อองค์เป็นอย่างมาก มีความรวดเร็วในการใช้ข้อมูล
ประกอบการดาเนินการและการตัดสินใจ ทาให้ทราบสถานะปัจจุบันตามพันธกิจของมหาวิทยาลัย เป็น
ประโยชน์ต่อการพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการบริหารจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ดังน้ันจึงควรมีการ
ส่งเสริมและพัฒนาใหบ้ ุคลากรสามารถจัดการกับข้อมูลในแต่ละสานกั งาน เพ่ือนาไปจัดเก็บข้อมูลให้เป็นระบบ
มากยิ่งขึ้น

จากการเสนอแนวทางในการสร้างข้ันตอนในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศของผู้บริหาร
ระดบั สงู ระดับกลางและระดบั ต้น เพ่อื นาไปใช้ในหารบรหิ ารจัดการข้อมูล สามารถสร้างข้ันตอนไดด้ งั นี้

1) ต้ังคณะทางานใหส้ อดคลอ้ งกบั บรบิ ท
2) วิเคราะหค์ วามตอ้ งการของส่วนงาน
3) การออกแบบระบบการจดั เก็บข้อมูลสารสนเทศ
4) การนาข้อมลู เขา้ สรู่ ะบบที่มกี ารประมวลผลและสังเคราะห์อยา่ งครบถ้วน
5) การประเมนิ คุณภาพการให้บรกิ ารเพ่อื ปรับปรงุ การดาเนนิ การด้านโปรแกรม
ปัญหาและอปุ สรรคในการบริหารจัดการขอ้ มลู สารสนเทศเพือ่ การบริหาร ผู้บรหิ ารมมี ุมมอง
วา่ การลงทุนยังไม่ตอบวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการใช้ข้อมูลสารสนเทศ เพื่อการบริหารงานตามพันธกิจ
หลักของมหาวิทยาลัย ทาให้ข้อมูลท่ีเผยแพร่ระหว่างกันน้ันเป็นเพียงเน้ือหาที่ขาดการประมวลผลไปใช้
ประโยชน์อย่างหลากหลาย ดังนน้ั ในการบริหารจดั การข้อมลู สารสนเทศจึงจาเป็นต้องมกี าร work shop ก่อน
จัดทาระบบ เพ่อื ใหไ้ ดร้ ะบบที่ตรงกบั ความตอ้ งการของหนว่ ยงานและใช้งานได้อย่างเป็นประโยชนส์ ูงสดุ

อภิปรายผลการศึกษา

การศึกษาวิธีจัดการข้อมูลสารสนเทศ พัฒนาวิธีจัดการข้อมูลสารสนเทศเพ่ือการบริหาร และ
วิเคราะห์การเชื่อมโยงมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ซ่ึงในการศึกษาวิธีการ
จัดการข้อมูลสารสนเทศ ได้มีการดาเนินงานของสานกั งานแต่สานกั ท่ีแตกต่างกนั ท้ังน้มี าจากปจั จัยท่ีแตกต่าง
กัน มีความพร้อมทางทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกัน จึงทาให้การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศได้ไม่เท่ากัน
ดังนั้นจึงควรมีการเตรียมความพร้อมของบุคลากร เคร่ืองมือและอุปกรณ์ต่างๆ ให้มีความพร้อมในการ
ดาเนนิ งาน ซึง่ ในการจดั เกบ็ ขอ้ มลู สารสนเทศมีประโยชน์อย่างมากในการใช้งานและสารมรถนาไปปรบั ทาเป็น
คมู่ อื การปฏบิ ัติงานได้

การสัมภาษณ์การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเก่ียวกับปัญหาและอุปสรรคในการบริหาร
จัดการขอ้ มูลสารสนเทศเพ่ือการบรหิ าร ผบู้ ริหารมมี ุมมองวา่ การลงทุนยงั ไมต่ อบวัตถุประสงค์และเปา้ หมายใน
การใช้ข้อมูลสารสนเทศ เพื่อการบริหารงานตามพันธกิจหลักของมหาวิทยาลัย ทาให้ข้อมูลที่เผยแพร่ระหว่าง
กันนั้นเป็นเพียงเน้ือหาท่ีขาดการประมวลผลไปใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ดังน้ัน ในการบริหารจัดการ
ขอ้ มูลสารสนเทศจึงจาเป็นตอ้ งมีการ work shop ก่อนจัดทาระบบ เพื่อให้ได้ระบบทตี่ รงกบั ความต้องการของ
หน่วยงานและใช้งานได้อย่างเป็นประโยชน์สูงสุด สอดคล้องกับการศึกษาของ นิพนธ์ เทศวงศ์ (2541) ท่ีได้
ศึกษาเรื่อง สภาพและปัญหาการใช้สารสนเทศเพ่ือการบริหารของผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดกรม
สามัญศึกษาส่วนกลาง พบว่า ส่วนมากผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานมีความรู้เกี่ยวกับสารสนเทศเพ่ือการบริหาร

124

โดยการศึกษาด้วยตนเอง ฝ่ายวิชาการใช้ประโยชน์สาหรับระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารมากที่สุด โรงเรียน
กาหนดและดาเนินการสาหรับข้ันตอนของระบบสารสนเทศเพื่อการบรหิ ารเองเป็นส่วนมาก โรงเรยี นส่วนใหญ่
ไม่มีการเช่ือมโยงระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายนอก โรงเรียนกาหนดรูปแบบการจาแนกข้อมูล การเก็บ
ข้อมูลและพัฒนาโปรแกรมเป็นส่วนน้อย ปัญหาในการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร คือ การขาดแคลน
บุคลากรท่ีมีความรู้ อุปกรณ์เคร่ืองมือล้าสมัยและไม่เพียงพอ โรงเรียนแต่ละแห่งมีแนวปฏิบัตแิ ตกต่างกัน และ
ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และสอดคล้องกับผลการศึกษาของเบญจมาภรณ์
ทองสอดแสง (2541) ศึกษาเร่ือง การจัดระบบสารสนเทศเพ่ือการบริหารในโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่
สังกัดกรมสามัญศึกษา เขตการศกึ ษา 10 พบวา่ ปัญหาการจัดระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร ผู้บริหารและผู้
จดั ระบบสารสนเทศเห็นวา่ ปญั หาการจัดระบบสารสนเทศเพื่อบรหิ าร คือ การเก็บรวมรวมข้อมูล การประมวน
ผลข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การเก็บรักษาข้อมูล การนาเสนอข้อมูลและปัญหาเก่ียวกับวัสดุและคุรุภัณฑ์ใน
การจดั เก็บข้อมูลอยู่ในระดบั ปานกลาง

ในการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศเป็นองค์ประกอบที่สาคัญสาหรับใช้ตัดสินใจ เพ่ือ
ดาเนินการและพัฒนางานในด้านต่างๆ ทาให้การบริหารจัดการและการบริการมีประสิทธิภาพ ซึ่งการบรหิ าร
จัดการข้อมูลสารเทศมีส่วนช่วยให้การขับเคล่ือนของการจัดเก็บข้อมูลเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ เน่ืองจาก
การจัดเก็บข้อมูลที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์สามารถนาเสนอข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว สามารถสืบค้นไดท้ ุกที่โดยไม่ต้อง
นาเอกสารไปด้วย ถือว่าเป็นระบบท่ีเป็นประโยชน์ต่อองค์เป็นอย่างมาก มีความรวดเร็วในการใช้ข้อมูล
ประกอบการดาเนินการและการตัดสินใจ ทาให้ทราบสถานะปัจจุบันตามพันธกิจของมหาวิทยาลัย เป็น
ประโยชน์ต่อการพัฒนาทรัพยากรบุคคล และการบริหารจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงควรมีการ
ส่งเสรมิ และพัฒนาใหบ้ ุคลากรสามารถจัดการกับข้อมูลในแตล่ ะสานักงาน เพ่ือนาไปจัดเก็บข้อมูลให้เป็นระบบ
มากย่ิงขึ้น สอดคล้องการศึกษาของจักราวุธ สอนโกษา (2550 : 79) ได้ทาการศึกษาเร่ือง การพัฒนาระบบ
สารสนเทศการ บริหารงานบุคคล สานกังานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาขอนแก่น เขต 1 จังหวัดขอนแก่น พบว่า
หลังจากท่ี ได้ดาเนินการพัฒนาระบบสารสนเทศการบริหารงานบุคคล สานกังานเขตพื้นท่ีการศึกษาขอนแก่น
เขต 1 ตามขั้นตอนการพัฒนา 4 ขั้นตอน การศึกษาและวิเคราะห์ระบบ การออกแบบระบบ การติดตั้งระบบ
และดูแลรักษาและการประเมินผลโดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป Micro Soft Excel ในการ จัดเก็บข้อมูลการ
ประมวลผลข้อมลู และการนาเสนอขอ้ มลู ใชก้ระบวนการศึกษาเชิงปฏบิ ตั ิการ 2 วงรอบ มีกจิ กรรมในการพัฒนา
คือ การประชุมเชิงปฏิบัติการและการนิเทศจากการดาเนินงานศกึ ษาค้นคว้าครั้งนี้ ให้ระบบสารสนเทศมคี วาม
ทันสมัยสะดวกในการนา ไปใช้ในการบริหาร จัดการไม่ว่าจะเป็นเร่อื งการแต่งตั้งโยกย้ายการพิจารณาความดี
ความชอบ การบรรจุแต่งตั้งและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าท่ีผู้ปฏิบัติงานมีความรู้ความเขา้ ใจ มีความตระหนัก
ในความสาคัญของการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดเก็บข้อ มูลการประมวลผลข้อมูลและการ
นาเสนอขอ้ มลู ทาใหร้ ะบบงานขับเคลอื่ นไปดว้ ยความม่ันใจ สะดวกรวดเร็วและมคี ุณภาพ

จากการศึกษาคร้ังน้ีผู้วิจัยได้นาข้อมูลมาวิเคราะห์และสังเคราะห์ท้ังที่เป็นปริมาณและคุณภาพ
โดยผลการศกึ ษาการบริหารจดั การขอ้ มลู สารสนเทศมีความสาคญั ในการบริหารจัดการข้อมูลของทุกสานักงาน
การเก็บข้อมูลไว้เป็นฐานในระบบสารสนเทศนับเป็นการบริหารจัดการข้อมูลท่ีมีความสะดวกสบาย ทันสมัย
มากย่ิงขึ้น งา่ ยต่อการเข้าไปใช้งาน ดังนนั้ ในการบริหารจัดการขอ้ มลู สารสนเทศจงึ ควรสนับสนนุ ให้บุคลากรได้
มีการเรียนรู้ อบรมการใช้งานให้มีความชานาญในการจัดเก็บข้อมูลมากย่ิงขึ้น มีการจัดทาข้ันคตตอนการ
ปฏิบตั งิ านอย่างชดั เจนเพ่อื นาไปจดั ทาเปน็ คู่มอื การปฏบิ ตั งิ านได้

125

สรปุ และขอ้ เสนอแนะ

ข้อเสนอแนะในการทาวจิ ัยในครงั้ นี้
1) ควรมกี ารเสนอใหส้ านกั งานแต่ละสานักงานมีการจดั การทาค่มู ือเพื่อใช้ในการปฏิบตั งิ าน
2) ควรมีการนาเสนอรูปแบบการบรหิ ารจัดการขอ้ มูลทเ่ี หมาะสมกบั การใชง้ านของสานักงาน

ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจัยในครัง้ ตอ่ ไป
1) ควรมีการศึกษารูปแบบการจดั เก็บขอ้ มูลของสานักแตส่ านักงานเบบเชิงลึกมาเปรียบกนั
2) ควรมีการศกึ ษาวจิ ัยรปู แบบการจดั ระบบสารสนเทศเพอื่ การบริหารของสถาบนั ศึกษา

บรรณานุกรม

การประถมศึกษาแหง่ ชาต,ิ สานกั งาน, ระบบสารสนเทศและแนวปฏบิ ตั ิในการ จดั ระบบสารสนเทศ
ระดบั โรงเรียน,(กรุงเทพมหานคร : ครุ ุสภา 2537), หน้า 21-22.

กรมสามัญศกึ ษา, แนวทางการนิเทศการศกึ ษากรมสามัญศึกษา. (กรุงเทพฯ : สานกั พมิ พเ์ สมาธรรม,
2536), หน้า 78.

กรมสามัญศึกษา, เอกสารประกอบการประชุมปฏบิ ตั ิการเพือ่ จัดทาแผนหลกั ในการเร่งรดั พฒั นา
คณุ ภาพการศึกษา แนวทางพัฒนาคุณภาพการศึกษาของกรมสามญั ศกึ ษาของ
กระทรวงศึกษาธิการ, (กรงุ เทพ : กรมสามญั ศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, 2538), หน้า 139.

กรมวิชาการ, หลักสูตรการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน, พิมพ์คร้งั ท่ี 2 , (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพองคการ
รับสงสนิ ค้าและพัสดภุ ัณฑ,์ 2544), หนา้ 2.

คณะกรรมการการประถมศึกษาแหงชาติ, สานกั งาน, ชุดฝึกอบรมดว้ ยตนเองการนิเทศภายใน
โรงเรยี นประถมศึกษาอยา่ งเปน็ ระบบ. (กรงุ เทพฯ: คุรสุ ภาลาดพรา้ ว, 2541), หนา้ 52.

คงคารตั น์ กจิ จานนท์, การศกึ ษาสภาพและปญั หาระบบสารสนเทศเพอการบริหาร ใน
สถาบนั อุดมศกึ ษาของรฐั ม (วทิ ยานพิ นธค์ รศุ าสตรมหาบัณฑติ สาขาอุดมศกึ ษา บณั ฑติ
วทิ ยาลยั , จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, 2539), หนา้ บทคดั ย่อ.

ครรชิต มาลัยวงศ,์ ก้าวไกลไปกับคอมพิวเตอร์: สาระคอมพิวเตอร์ที่ข้าราชการต้องร้,ู (กรงุ เทพฯ :
ศนู ย์เทคโนโลยอี ิเล็กทรอนกิ ส์และคอมพวิ เตอรแ์ ห่งชาต,ิ 2538), หนา้ 65.

จติ ติมา เทยี มบญุ ประเสรฐิ , ระบบสารสนเทศเพือ่ การจัดการ, พิมพค์ รัง้ ท่ี 2, (กรุงเทพฯ : โปรแกรม
วิชาวทิ ยาการคอมพวิ เตอร์ คณะวิทยาศาสตรเ์ ทคโนโลยสี ถาบนั ราชภฏั สวนดุสติ , 2544),
หนา้ 10.

จักราวธุ สอนโกษา, การพัฒนาระบบสารสนเทศการบริหารงานบคุ คล สานักงานเขตพนื่ ท่ี
การศึกษาขอนแก่น เขต 1 จงั หวดั ขอนแก่น, (การศึกษามหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการบรหิ าร
การศกึ ษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. มหาสารคาม, 2550), หนา้ 79.

ชมุ พล ศฤงคารศริ ,ิ ระบบสารสนเทศเพอื่ การจดั การ, พมิ พ์คร้ังท่ี5, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ คลังวชิ า,
2543), หน้า 57.

ณัฏฐพันธ์ เขจรนนั ทแ์ ละคณะ, TQAM กลยทุ ธก์ ารสรา้ งองคก์ ารคณุ ภาพ, (กรงุ เทพฯ :
เอก็ ซเปอร์เน็ท, 2545), หน้า 110.

ทกั ษณิ า สวนานนท์, คู่มอื การใช้โปรแกรม PageMaker 4.0, (กรงุ เทพมหานคร ไฮเทคพริ้นตงิ้ ),
2536, หนา้ 34.

126

ทิพวรรณ หลอ่ สุวรรณรัตน์, ทฤษฎีองคก์ ารสมัยใหม่, (พมิ พ์ครั้งที่ 5), (กรุงเทพมหานคร:
สานกั พมิ พ์แซทโฟรพ์ ร้นิ ต้ิง, 2547), หน้า 25.

ทองอนิ ทร์ วงศ์โสธร, ประเภทและลักษณะของสารสนเทศเพือ่ การบรหิ ารการศกึ ษา ในประมวล
สาระชดุ วิชาระบบสารสนเทศเพอ่ื การจดั การและเทคโนโลยการบริหาร การศึกษา หน่วย
ที่ 1 ( ตอนท่ี 1.3), (นนทบุรี: มหาวิทยาลยั สโุ ขทยธรรมาธริ าช, 2537), หนา้ 113.

ธงชยั สนั ติวงษ,์ การบริหารงานบุคคล, (กรุงเทพมหานคร : สานักพมิ พ์ไทยวัฒนาพาณชิ , 2533),
หน้า 67-68.

นติ ยา ทบั พมุ่ , ปญั หาและความตอ้ งการจาเป็นในการพฒั นาการจดั ระบบ การสนเทศทางการ
ศกึ ษาของโรงเรยี นประถมศึกษา สงั กัดสานกั งานการ ประถมศึกษาจังหวัดลพบรุ ,ี
(วิทยานิพนธป์ รญิ ญามหาบัณฑติ สถาบนั ราชภัฏ เทพสตรี, 2544), หนา้ 30 – 35.

นิพนธ์ เทศวงศ,์ สภาพและปัญหาการใชร้ ะบบสารสนเทศเพือ่ การบริหารของผบู้ ริหาร โรงเรยี น
มธั ยมศกึ ษา สงั กดั กรมสามัญศึกษาส่วนกลาง, วิทยานพิ นธ์ศึกษาศาสตร มหาบณั ฑิต
สาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา, (กรุงเทพมหานคร: บัณฑิตวทิ ยาลัยมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์,
2541), หน้า บทคดั ย่อ.

เบญจมาภรณ์ ทองสอดแสง, การจดั ระบบสารสนเทศเพอื่ การบริหารในโรงเรียน มธั ยมศกึ ษาขนาด
ใหญ่ สังกดั กรมสามญั ศึกษา เขตการศกึ ษา 10, (วิทยานิพนธป์ ริญญามหาบัณฑิต มหา
วทิ ยาลยขั อนแก่น, 2541), หน้า บทคดั ย่อ.

บรรยง อัมพวาและคณะ, รายงานศกึ ษาวจิ ัยการศึกษารูปแบบและแนวทางการพฒั นา ระบบขอ้ มูล
และสารสนเทศเพื่อการวางแผนพฒั นาโรงเรยี น, (ราชบรุ ี: สานักงานโครงการพฒั นา
ทรัพยากรมนษุ ภาคกลางและภาคตะวันออก, 2540), หนา้ 15.

ประธาน สนุ ทรไชยา, สภาพปัจจุบนั และปญั หาการใช้ระบบเครือขา่ ยคอมพวิ เตอรเ์ พ่ือการจัดการ
งานกองอาคารและสถานท่ี มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่ , มหาวิทยาลัยขอนแกน่ 2545),
หนา้ บทคัดย่อ.

พิชิต สขุ เจริญพงษ,์ “วิธีการเชงิ ระบบ”, ในเอกสารการสอนชดุ วิชาระบบสารสนเทศเพือ่ การจดั การ
หน่วยที่ 1-8, พมิ พ์ครง้ั ที่ 2, (กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช, 2538), หนา้ 110.

ไพโรจนค์ ชชา, ระบบข้อมูลสารสนเทศเพ่อื การบรหิ ารงานโรงเรียน. กรุงเทพฯ: สหธรรมิก, 2540),
หน้า 199.

ราชบณั ฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์
ศริ วิ ัฒนอินเตอร์พริ้น, 2546), หนา้ 80

วีระ สภุ ากิจ, ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ, (จากทฤษฎีสกู่ ารปฏบิ ัตใิ นโรงเรยี น ม.ป.ท., 2539),
หน้า 309.

วรรณพร วเี ก่ง, การศกึ ษาสารสนเทศเพอื่ การบรหิ ารของผบู้ ริหารสถาบันเทคโนโลยรี าชมงคล
วทิ ยาเขตตาก, (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคล วทิ ยาเขตตาก, 2542), หนา้ บทคดั ย่อ.

ศรีไพรศกั ดิ์ รงุ่ พงศากุล, เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์และสารสนเทศ. กรุงเทพฯ : ซเี อด็ ดูเคช่ัน . สถาบัน
ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลย,ี กรุงเทพฯ : สถาบนั ฯ 2547),
หนา้ 153 – 154.

สานิตย์ กายาผาด, เทคโนโลยสี ารสนเทศเพอื่ ชวี ิต, พิมพ์คร้ังที่2, (กรงุ เทพฯ : เฮิรด์ เวฟ 154 เอ็ด
ดูเคชัน่ , 2542), หน้า 129.

127

สุภาพร พศิ าลบุตรและนารีรัตน์ หวงั สนุ ทราพร, ระบบสารสนเทศเพอื่ การบรหิ าร ทรพั ยากรมนษุ ย,์
(กรุงเทพมหานคร ว.ี เจ.พร้ินต้งิ ,2547), หน้า 27.

สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย, องค์การและการจดั การ, พิมพ์ครัง้ ท่ี 6, (นนทบุรี :
มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช, 2548), หน้า 32.

สุทธาสินี ประสานวงศ์, ปจั จัยทม่ี ีผลตอการตัดสนิ ใจของผปู กครองในการสงเด็กเขา เรียนระดบั
การศกึ ษาปฐมวยั ของโรงเรยี นเอกชน จงั หวัดมหาสารคาม”, (วทิ ยานพิ นธศกึ ษาศาสตร
มหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลัยราชภฎั มหาสารคาม, 2550), หน้า 36.

สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาต,ิ แนวทางการประกนั คณุ ภาพภายในสถานศึกษา เพอ่ื
พรอ้ มรับการประเมินภายนอก, (กรุงเทพฯ: พิมพด์ ี, 2544), หน้า 12.

สานกั งานคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ, การพฒั นาสถานศึกษาทง้ั ระบบ สู่การปฏิรูป
การศกึ ษา, (กรงุ เทพฯ: ผแู้ ต่ง, 2542), หนา้ 17-18.

สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) และสถาบนั เพมิ่ ผลผลิตแหง่ ชาต,ิ การจดั การ
ความรูจ้ ากทฤษฎสี ู่การปฏบิ ัติ, (กรุงเทพฯ: สานกั งานคณะกรรมการพฒั นา ระบบราชการ
และสถาบันเพิ่มผลผลติ แหง่ ชาต,ิ 2548), หน้า 122.

สมทบ สยามไชย, การพัฒนาระบบสารสนเทศเพอ่ื การบริหารงานโรงเรียนวัดหนองคัน (ไจพทิ ยา
คาร) อาเภอท่าใหม่ จังหวดั จนั ทบรุ ี / สมทบ สยามไชย, (งานนิพนธก์ ารศกษามหาบัณฑิต,
สาขาวชิ าการบริหารหารศกึ ษา, คณะศกึ ษาศาสตร,์ มหาวิทยาลัยบูรพา, 2550), หนา้ บทคดั ยอ่ .

สมยศ นาวีการ, การบริหารเพอื่ ความเลศิ , (กรงุ เทพฯ: บรรณกิจ, 2533), หน้า 186-187.
อาไพ พรประเสริฐสกลุ , การวิเคราะหแ์ ละออกแบบระบบ, พมิ พค์ รง้ั ท่ี 2, (กรงุ เทพฯ : ศนู ย์

เทคโนโลยอี เิ ล็กทรอนิกส,์ 2537), หน้า 10.
Davis, Gordon B. & Olson, Margrethe H, Management information system :

Conceptual foundation, structure, and development, (2nd ed.), (New York
: McGraw-Hill, 1985), P 6.
Gatewood, Robert D., Taylor, Robert., & Ferrell, O.C, Management : Comprehension
analysis, and application, (New jersey: Richard D. Irwin, 1995), P.40-41.
Lucus, StephenE, Transformational leadership: Principal, leadership and school
culture, Doctoral dissertation, (The University of Missouri, Columbia, 1990),
P 208 – 509.
Schermerhorn, John R., Hunt, James G., & Osborn, Richard N, Organizational
Behavior, 7th ed, (New York: John Wiley & Son, 2000), P.155.
Schermerhorn, John R., Hunt, Management, 7th ed, (New York: John Wiley & Son,
2002), P.97.
Scott, P. 1970. The Process of Conceptual Change in Science, (New York : Cornell
University,1970), P 211.
Stoner, James AF, Management, (New jersey: Prentice-Hall, 1978), P.53-54.

128
ภาคผนวก ข. กิจกรรมที่เกย่ี วขอ้ งกบั การนาผลจากโครงการวิจยั ไปใชป้ ระโยชน์

129

กิจกรรมทเ่ี ก่ียวข้องกับการนาผลจากโครงการวจิ ัยไปใชป้ ระโยชน์
กิจกรรมด้านการส่งเสริมบุคคลาการเพือ่ พัฒนาระบบการจดั การสารสนเทศ

มกี ารจัดสมั มนาเชงิ วชิ าการเร่ือง วิธกี ารจดั การข้อมูลสารสนเทศ เพ่ือนาไปสกู่ ารจดั ทา
คู่มอื การปฏิบตั งิ าน ซ่ึงเป็นการแลกเปลย่ี นเรยี นร้กู ันระหว่างบคุ คลาการดา้ นเจา้ หนา้ ที่สายปฏบิ ัตกิ าร
กบั สายวิชาในการจัดการขอ้ มูลสารสนเทศ โดยสามารถมีแนวทางทน่ี ามาใชใ้ นการจดั ทาระบบจดั เก็บ
ข้อมลู สารสเทศได้อยา่ งเป็นระเบยี บและง่ายต่อการนาขอ้ มูลมาใช้

มีการจัดประชุมย่อย โดยแยกตามสานักงานต่างๆ ทั้งนี้ในการประชุมทจัดขึ้นเพื่อให้
บุคคลากรท่ีทางานในสานักเดียวกันได้ร่ววมกันเสนอแนวทางการแก้ปัญหาข้อมูลสารสนเทศ และทา
ให้สามารถไดข้ อ้ มลู ท่ชี ัดเจนและตรงกับเป้าหมายมากทีส่ ุด

มีการพฒั นาระบบการจัดการสารสนเทศ ด้วยการนาเอาระบบเทคโนโลยสี มยั ใหม่มาใช้
เพอ่ื ใหบ้ ุคลากรสามารถเข้าถงึ ข้อมลู ไดอ้ ย่างรวดเรว็

มกี ารจัดโครงการอบรมบุคลากรสายวิชาเกีย่ วกับเรอ่ื งระบบการจดั การ TQF และการ
ทาประวัติและผลงานของเจ้าหนา้ ที่สายปฏบิ ตั กิ ารและวิชาการ โดยในระบบ TQF เปน็ ระบบท่ีสามรถ
จดั เก็บข้อมูล มคอ 3, มคอ 5 และผลการเรยี นของนสิ ติ ซึง่ ระบบท่ีนามาจดั การขอ้ มูลสารสนเทศมี
ความเหมาะสมกบั การใชง้ านและสอดคลอ้ งกบั การนาขอ้ มูลไปใชไ้ ด้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ

ทั้งนี้จากการรวบรวมข้อมูลในการทาวิจัยในคร้ังนี้ผู้วิจัยจึงได้จัดทาเป็นคู่มือ
ปฏิบัติงานกลุ่มงานบริหาร วิทยาลัยสงฆ์ขอนแก่นขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแนวทางในการ
ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าประจาวิทยาลัย และได้ทาการเผยแพร่คู่มือไปยังสานักงานต่างๆ เพ่ือเป็น
ตัวอย่างในการจัดทาคู่มือปฏิบัติงานอีกด้วย ท้ังนี้ได้การจัดทาคู่มือบริหารหลักสูตรของวิทยาเขต
ขอนแก่นจานวน 14 หลักสูตร และได้คู่มือบริหารหลักสูตรท่ีสมบูรณ์คือ หลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต
สาขาวชิ าการสอนภาษาไทย

130

คมู่ อื การบริหารหลักสตู รปรญิ ญาตรี

หลกั สตู รครศุ าสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอน
ภาษาไทย

(หลักสตู ร ๕ ป)ี

ปรับปรุงหลักสูตรเม่ือ วนั ท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑

หลกั สตู รผ่านกรรมการประจาคณะเมอ่ื วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๖๑

หลกั สูตรผ่านกรรมการสภาวชิ าการเมอ่ื วันท่ี ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑

หลักสตู รผ่านกรรมการสภามหาวิทยาลยั เมอื่ วนั ที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑



คานา

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ได้ดาเนินการเปิดสอน
หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ และต่อมาได้
ปรับปรุงหลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๖ และ
ล่าสุดได้ปรับปรุงหลักสูตรเม่ือปีพุทธศักราช ๒๕๖๑ โดยได้เปลี่ยนช่ือหลักสูตรเป็น หลักสูตร ครุศา
สตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย (๕ ปี) หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งได้รับความ
เห็นชอบจากสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อนมุ ตั หิ ลักสูตรในคราวประชุมครั้งท่ี ๓ /
๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑

ดังน้ันคณะกรรมการบริหารหลักสูตรฯ โดยความเห็นชอบของวิทยาลัยสงฆ์ขอนแก่น จึงได้
ร่วมกนั จดั ทา แผนบริหารหลักสูตรปริญญาตรี หลกั สตู รครุศาสตรบณั ฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย
(หลักสูตร ๕ ปี) ขึ้น เพื่อให้หลักสูตรใช้เป็นแนวทางในการบริหารหลักสูตรให้มีคุณภาพ สอดคล้อง
ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๒ (TQF: HEd) และแนวทางการ
ปฏิบัติตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๘ และให้เป็นไปตาม เกณฑ์
มาตรฐานหลักสูตรระดบั ปริญญาตรี พ.ศ. ๒๕๕๘ ต่อไป

คณะกรรมการบริหารหลกั สูตรครุศาสตรบณั ฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย
มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่
๘ สิงหาคม ๒๕๖๑



สารบัญ

เรื่อง หน้า

คานา ก

สารบญั ข

สารบัญตาราง ค

สารบญั ภาพ ง

สว่ นท่ี ๑ ข้อมูลท่ัวไปของมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ๑

สว่ นท่ี ๒ ขอ้ มลู ท่ัวไปของสาขาวิชาการสอนภาษาไทย มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณ

ราชวิทยาลยั วิทยาเขตขอนแกน่ ๘

สว่ นที่ ๓ สาระสาคัญของแผนบริหารหลกั สตู ร เพ่ือใช้ในการบรหิ ารและพฒั นาผลการบรหิ าร

หลักสตู ร ภายใต้การประกนั คุณภาพการศกึ ษาภายในระดบั หลักสูตร ๑๗

ส่วนที่ ๑
ข้อมลู ทว่ั ไปของมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น

๑. ประวตั ิความเป็นมาและพัฒนาการของของมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั
วทิ ยาเขตขอนแกน่

เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ พระราชสารเวที (ปัจจุบันท่ีพระธรรมวิสุทธาจารย์) เจ้าอาวาสวัดธาตุ
(พระอารามหลวง) และรองเจ้าคณะภาค ๙ ในสมัยน้ัน มีความดาริให้จัดตั้งมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ วิทยาเขตขอนแก่น เพื่อเป็นสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษาสาหรับ
พระภิกษุสามเณรในจังหวัดขอนแก่น ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๙ และในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
โดยความสนับสนุนของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสภมหาเถร) นายกสภา มหาจุฬาลง
กรณราชวิทยาลัยและพระเถรานุเถระทุกระดับในเขตปกครองคณะสงฆ์จังหวัดขอนแก่น เม่ือทุกอย่างมี
ความพร้อมจึงเสนอเรื่องขออนุมัติการจัดตั้งไปยังมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยมหา
จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้อนุมัติให้จัดต้ังวิทยาเขตขอนแก่นเม่ือวันท่ี ๓ตุลาคม ๒๕๒๘ ตามหนังสือท่ี
๗๑๔/๒๕๒๘ ลงวันท่ี ๑๒ ธันวาคม ๒๕๒๘ ซึ่งลงนามโดย พระมหานคร เขมปาลี (ปัจจุบันที่พระราช
รัตนโมล)ี เลขาธิการมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย (ตาแหน่งในขณะนั้น) โดยใชช้ ื่อเป็นทางการว่า "มหา
จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชูปถมั ภ์ วทิ ยาเขตขอนแก่น"

มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยมีคาสั่งท่ี ๘ ลงวันท่ี ๒๗ มีนาคม ๒๕๒๙ แต่งต้ังให้พระราช
สารเวที เป็นผู้รักษาการตาแหน่งรองอธิการบดี และแต่งตั้งให้ พระมหาโสวิทย์ โกวิโท เป็นผู้รักษาการ
ตาแหน่งคณบดีคณะพุทธศาสตร์ และมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ได้เปิดภาค
การศึกษาครั้งแรกวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ในคณะพุทธศาสตร์ สาขาวิชาเอกศาสนา มีนิสิต
จานวน ๒๑ รูป และได้กาหนดเปิดป้ายมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น เมื่อวันท่ี ๒๕
มิถุนายน ๒๕๓๐ โดยมี สมเดจ็ พระพฒุ าจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร) เป็นประธาน

ตอ่ มาเนื่องจากมพี ระภิกษุ สามเณร คฤหัสถ์ ในท้องถ่ินและประเทศใกล้เคียง สนใจสมัคร
เขา้ ศึกษาเป็นจานวนมาก อาคารเรียนทมี่ ีอยู่เดมิ ทว่ี ัดธาตุฯ ไม่เพยี งพอต่อการจดั การเรยี นการสอน พระ
ครูสิริสารธรรม เจ้าคณะตาบลโคกสี จงึ ให้ใช้ที่ดินโคกสร้างหล่ม วัดป่าศรีเจริญธรรม เป็นท่ีต้ังวิทยาเขต
แห่งใหม่ ประกอบด้วย อาคารเรียน อาคารหอสมุดสารสนเทศ อาคารสถานีวิทยุกระจายเสียง และ
อาคารหอประชุม และเม่ือวันท่ี ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๐ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช
กมุ ารี ทรงเปิดป้ายมหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ตาบลโคกสี และทรง
เปิดป้ายอาคารหอสมดุ สารสนเทศ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อปุ เสณมหาเถร)

เมือ่ วันที่ ๑ พฤษภาคม ปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ วทิ ยาเขตขอนแกน่ ได้ขยายทท่ี าการจาก วัด
ธาตุ ตาบลเมอื งเก่า อาเภอเมือง จังหวดั ขอนแก่น มาต้งั อยู่ ณ เลขท่ี ๓๐ หมู่ท่ี ๑ ถนนขอนแก่น-น้าพอง
ตาบลโคกสี อาเภอเมอื ง จังหวดั ขอนแก่น

2

๒. ปรัชญา วิสัยทัศน์ พันธกิจ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (SWOT Analysis) ของมหาวิทยาลัย
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแกน่

๒.๑ ปรัชญา
จัดการศกึ ษาพระพทุ ธศาสนา บรู ณาการกับศาสตรส์ มัยใหม่ พฒั นาจิตใจและสังคม

๒.๒ วิสัยทัศน์ของวิทยาเขตขอนแก่น
จดั การศกึ ษาและเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภูมิภาคอิน

โดจนี
๒.๓ พนั ธกิจของมหาวิทยาลยั
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย มีภารกิจหลัก ๔ ประการ คือ ผลิต

บัณฑิต วิจัยและพัฒนา ส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการวิชาการแก่สังคม และทะนุบา รุง
ศิลปวัฒนธรรม

๑) ด้าน ผลิตบัณฑิต ดาเนินการผลิตและพัฒนากาลังคนให้สอดคล้องกับความ
ต้องการของคณะสงฆ์และสงั คมในการพัฒนาประเทศ โดยมีเป้าหมายชัดเจนที่จะพฒั นาคณุ ลกั ษณะของ
บัณฑิตที่พึงประสงค์คือ มีปฏิปทาน่าเล่ือมใส ใฝ่รู้ใฝ่คิด เป็นผู้นาด้านจิตใจและปัญญา มีความสามารถ
ในการแก้ปัญหา มีศรัทธาอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา รู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม รู้เท่าทันความ
เปล่ียนแปลงทางสังคม มีโลกทัศน์ที่กว้างไกล มีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองให้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม
และจริยธรรม

๒) ด้านวิจัยและพัฒนา ดาเนินการศึกษา ค้นคว้า วิจัย และพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ให้
สามารถนาไปใช้ในการผลิตให้มีคุณภาพและประสิทธภิ าพ เพ่ือความสามารถในการพึ่งตนเอง และการ
แข่งขนั ในระดบั นานาชาติ

๓) ด้านการส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการวิชาการแก่สังคม ให้บริการวิชาการ
ทางพระพุทธศาสนาแก่หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในด้านให้คาปรึกษาแนะนาด้านศาสนา
และการพัฒนาสงั คม รวมท้ังการฝึกอบรมและการพัฒนาจรยิ ธรรมอันจะก่อให้เกิดสังคมทเี่ หมาะสมเพ่ือ
การพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมภูมภิ าคและประเทศชาติ

๔) ด้านการทะนุบารุงศิลปวัฒนธรรม อนุรักษ์และฟื้นฟูศิลปะและวัฒนธรรม อันเป็น
จารีตประเพณี รวมทั้งศิลปะบริสุทธ์ิและศิลปะประยุกต์ เพื่อให้มหาวิทยาลัยเป็นศูนย์รวมของชุมชน
และแบบอย่างท่ีดีของสงั คม

๓. ค่านยิ มของมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่
ศกึ ษาพระไตรปิฎกและวิชาชัน้ สงู สาหรบั พระภิกษสุ ามเณรและคฤหสั ถ์

๔. เอกลกั ษณ์และอตั ลักษณ์ของมหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตขอนแก่น
เอกลกั ษณม์ หาวิทยาลยั คือ "บริการวชิ าการดา้ นพระพุทธศาสนา"
อัตลักษณม์ หาวทิ ยาลยั คือ "ประยุกต์พระพุทธศาสนาเพอ่ื พฒั นาจติ ใจและสังคม"
อัตลกั ษณ์บณั ฑิต คือ "มศี รทั ธาอุทิศตนเพ่ือพระพทุ ธศาสนา"

3

๕. ประเด็นยุทธศาสตร์ เป้าประสงค์ และกลยุทธ์ตามแผนยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ
ราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตขอนแกน่

แผนพัฒนาวิทยาเขตขอนแก่น เป็นแผนกลยุทธ์การศึกษาระดับอุดศึกษา ระยะที่ ๑๒ (พ.ศ.
๒๕๖๒-๒๕๖๔) (ฉบับปรับปรุง) จัดทาข้ึนภายใต้ วิสัยทัศน์ และนโยบายท่ีคณะกรรมการประจาวิทยา
เขตขอนแก่น ได้ให้ความเห็นชอบในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เม่ือวันพุธท่ี ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๑
ในแผนพฒั นาวิทยาเขตขอนแก่น ฉบับปรบั ปรงุ น้ี ประกอบด้วยบทที่ ๑ บทนา บทท่ี ๒ สถานการณ์ดา้ น
การบริหารจัดการปัจจุบัน บทที่ ๓ กระบวนการจัดทาแผนพัฒนาวิทยาเขตขอนแกน่ ระยะท่ี ๑๒ บทท่ี
๔ รายละเอียดแผนพัฒนาวิทยาเขตขอนแก่น ระยะท่ี ๑๒ และบทท่ี ๕ การนากลยุทธ์สู่การปฏิบัติและ
แนวทางการประเมินผลตวั ชีว้ ัด ซงึ่ มรี ายละเอียด ดงั นี้

แผนพัฒนาวิทยาเขตขอนแก่น ระยะท่ี ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔) จัดทาขึ้นโดยคณะทางานจัด
ทาแผนพัฒนาวิทยาเขตขอนแก่น ซ่ึงได้ประชุมพิจารณาช่วงปรับปรุง วิทยาเขตขอนแก่นได้ทาการ
ปรับปรุงแผนพัฒนาระหว่างวันที่ ๑๙-๒๐ เมษายน ๒๕๖๑ โดยเชิญนางศิริวิช ดโนทัย นักวิเคราะห์
นโยบายและแผน เชี่ยวชาญ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มาให้ความแนะนา
หลังจากนั้น วันที่ ๒๖-๒๗ เมษายน ๒๕๖๑ ได้ทาการวิพากษ์แผนจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทาให้ได้
แผนพัฒนาวิทยาเขตขอนแก่น ฉบับสมบูรณ์ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๑ คณะกรรมการประจาวิทยา
เขตขอนแก่น มมี ตใิ ห้ความเห็นชอบ ดังนี้

ยุทธศาสตร์ที่ ๑ มี ๒ วัตถปุ ระสงค์ ๘ ตัวชวี้ ดั ๑๘ โครงการ
ยทุ ธศาสตรท์ ี่ ๒ มี ๓ วตั ถปุ ระสงค์ ๕ ตัวชีว้ ดั ๕ โครงการ
ยุทธศาสตรท์ ่ี ๓ มี ๓ วตั ถปุ ระสงค์ ๑๓ ตวั ชวี้ ดั ๑๐ โครงการ
ยุทธศาสตร์ที่ ๔ มี ๒ วัตถปุ ระสงค์ ๓ ตัวชีว้ ดั ๑ โครงการ
ยทุ ธศาสตร์ท่ี ๕ มี ๑ วตั ถปุ ระสงค์ ๑ ตัวช้ีวดั ๑ โครงการ
แผนพัฒนาวิทยาเขตขอนแก่นดังกล่าว ได้เสนอคณะกรรมการประจาวิทยาเขตขอนแก่น ให้
ความเหน็ ชอบ ในคราวประชุมครง้ั ที่ ๒/๒๕๖๑ เมือ่ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ซึ่งจะเปน็ ประโยชน์ใน
การนาไปพจิ ารณาจัดทาคาขอตง้ั งบประมาณรายจ่ายประจาปี จดั ทาเป็นแผนปฏิบตั ิการประจาปแี ละใช้
เป็นเคร่ืองมือสาหรับผบู้ ริหารทุกระดับต่อไป

4

๖. โครงสร้างการแบ่งส่วนราชการของของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขต
ขอนแก่น

5
๗. หน่วยงานและภารกจิ ในความรบั ผิดชอบของมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
วิทยาเขตขอนแก่น

๘. โครงสร้างการบริหารของคณะ รวมถึงอาคารเรียน และพ้ืนท่ีที่อยู่ในความรับผิดชอบของ
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแกน่

6

ส่วนที่ 2 ข้อมลู ท่วั ไปของสาขาวิชาการสอนภาษาไทย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วทิ ยาเขตขอนแก่น

๑. ประวตั ิความเป็นมาและพัฒนาการของสาขาวิชาการสอนภาษาไทย
มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ได้ดาเนินการเปิดสอนหลักสูตร

พุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ และต่อมาได้ปรับปรุง
หลักสูตรพุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๖ และ ล่าสุดได้
ปรับปรุงหลักสูตรเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๖๑ โดยได้เปล่ียนช่ือหลักสูตรเป็น หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต
สาขาวิชาการสอนภาษาไทย (๕ ปี) หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๑ ซ่ึงได้รับความเห็นชอบจากสภา
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อนุมัติหลักสูตรในคราวประชุมครั้งที่ ๓ /๒๕๖๑ เมื่อวันท่ี
๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑

๒. ปรัชญา วิสัยทศั น์ พนั ธกิจ การวเิ คราะห์สภาพแวดล้อมของของสาขาวชิ าการสอนภาษาไทย
๒.๑ ปรชั ญาของหลักสตู รสาขาวชิ าการสอนภาษาไทย
หลักสตู รพุทธศาสตรบัณฑิต คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย เปน็

หลกั สตู รท่มี ีความเชื่อวา่ บณั ฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย จะต้องเปน็ ผูม้ ีความรอบรู้ และใฝร่ ู้ด้าน
วชิ าการ มีจิตวิทยาของความเปน็ ครู และมีจิตสานึกในการบรกิ าร และช่วยเหลือบคุ คลตามจรรยาบรร
วชิ าชีพ บนพืน้ ฐานของคณุ ธรรม ศลี ธรรม มนุษยธรรม และเปน็ แบบอยา่ งที่ดตี ่อสังคม

๒.๒ วสิ ยั ทศั น์
จัดการศกึ ษาและเผยแผ่พระพทุ ธศาสนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนอื และภูมิภาคอนิ โด

จนี
๒.๓ พันธกจิ

สาขาวิชาการสอนภาษาไทย พันธกจิ สอดคลอ้ งกับ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราช
วทิ ยาลยั ๔ ประการ คือ ๑) ผลติ บัณฑิต ๒) วจิ ยั และพัฒนา ๓) ส่งเสรมิ พระพทุ ธศาสนา และ ๔)
บรกิ ารวิชาการแกส่ งั คม และทะนุบารุงศลิ ปวัฒนธรรม

๒.๔ การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมของภาควชิ าหรือสาขาวิชา
สถานการณ์หรือการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ทีพ่ ิจารณาในการวางแผนหลักสูตรเป็นไปตาม

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี ๑๒ (พุทธศักราช ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) ซึ่งสานักงาน
คณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้จัดทาบนพ้ืนฐานของกรอบยุทธศาสตร์
ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๗๙) ซึง่ เป็นแผนหลักของการพฒั นาประเทศ และเปา้ หมายการพฒั นาที่
ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) รวมทั้งการปรับโครงสร้างประเทศไทยไปสู่
ประเทศไทย ๔.๐ ตลอดจนประเด็นการปฏิรูปประเทศ นอกจากนั้นได้ให้ความสาคัญกับการมีส่วนร่วม
ของภาคีการพัฒนาทุกภาคส่วน ทั้งในระดับกลุ่มอาชีพ ระดับภาค และระดับประเทศในทุกข้นั ตอนของ
แผนฯ อย่างกว้างขวางและตอ่ เนื่อง เพอ่ื ร่วมกนั กาหนดวิสยั ทัศน์และทิศทางการพัฒนาประเทศ รวมทั้ง
ร่วมจัดทารายละเอียดยุทธศาสตร์ของแผนฯ เพ่ือมุ่งสู่ “ความมั่นคง มั่งค่ัง และยัง่ ยืน ” (คณะกรรมการ
พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ๒๕๖๐ : คานา)

7

พิจารณาด้านวงการศึกษาไทยในปัจจุบัน พบว่าเกิดปัญหาการขาดแคลนครู และการท่ี
ครูสอนไม่ตรงสาขาวิชาที่จบมา โดยเฉพาะสาขาวิชาภาษาไทย ที่มักจะขาดแคลนครูท่ีจบด้านการสอน
ภาษาไทย และเนอ่ื งจากภาษาไทยเป็นภาษาประจาชาติที่คนไทยก็ใช้ภาษาไทยเป็นด้วยกันทั้งนั้น ทาให้
เกดิ ปัญหาวา่ ใครเข้ามาสอนภาษาไทยกไ็ ด้ทั้งน้ัน ด้วยเหตุน้ที าให้ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนภาษาไทยเกอื บ
ทุกระดับของนักเรียนระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานต่ากว่าเกณฑ์ที่กระทรวงศึกษาธิการกาหนด สถาบัน
ผลติ ครูจึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแกป้ ญั หา โดยการผลิตครทู ่ีตรงกับสาขาวิชาเข้าไปพัฒนาผู้เรียนให้
มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด โดยเฉพาะอย่างย่ิงการเกิดข้ึนของประชาคอาเซียน ภาษาไทยจึงจาเป็นที่
จะตอ้ งมีการพัฒนาเพอื่ ให้มบี ทบาทในประชาคมอาเซียนต่อไป

การพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอนมีความจาเป็นต้องคานึงถึงข้อมูลทางด้าน
สังคมและวัฒนธรรมท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบันอยู่เสมอซ่ึงจะทาให้หลักสูตรและการสอนมีความสอดคล้องกับ
สภาพปัจจบุ ันของสังคม สามารถแก้ปญั หาและสนองความตอ้ งการของสังคมได้

โดยเฉพาะอย่างย่ิงการใช้ภาษาไทย ปัจจุบันภาษาไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากโดย
การเปลี่ยนแปลงน้ีไม่ใช่การเปล่ียนแปลงท่ีก่อให้เกิดความเจริญงอกงามของภาษา หากแต่เป็นการ
เปลี่ยนแปลงอันก่อให้เกิดความวิบัติของภาษาจนปัจจุบันหลายๆหน่วยงานต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการ
ดารงรกั ษาภาษาไทยอันเป็นภาษาประจาชาตไิ มใ่ หว้ ิบตั ิ ถูกกลนื และอาจจะสูญสิ้นไปไดใ้ นอนาคต

การส่งเสริมการศึกษาด้านภาษาไทย เป็นกลไกด้านหนึ่งในการดารงไว้ซึ่งวัฒนธรรมไทย
ที่สืบทอดจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันอีกทั้งภาษาไทยมีความเป็นมาควบคู่กับวิถีชีวิตของสังคมไทยมาช้า
นานการผลิตครูภาษาไทยมีส่วนในการเสริมสร้างวัฒนธรรม ประเพณีและค่านิยมที่งดงามในความเป็น
ไทย สามารถแก้ปัญหาและสนองความต้องการของสังคมได้อย่างเหมาะสมและเป็นภูมิปัญญาหน่ึงใน
ภูมิภาคอาเซียน

๓. คา่ นยิ มของสาขาวิชาการสอนภาษาไทย
สบื สานภาษาไทย ใสใ่ จวิชาการ ประสานสามัคคี

๔. เอกลักษณแ์ ละอัตลักษณ์ของสาขาวชิ าการสอนภาษาไทย
เอกลักษณ์มหาวิทยาลัย คือ มุง่ เน้นวชิ าการ สบื สานภาษาไทยและวฒั นธรรมไทย
อัตลักษณ์มหาวทิ ยาลัย คือ "ประยกุ ต์พระพุทธศาสนาเพื่อพัฒนาจิตใจและสงั คม" สานึกดี
มุ่งม่ัน สรา้ งสรรค์ สามคั คี
อัตลกั ษณ์บัณฑิต คือ "มศี รัทธาอุทศิ ตนเพื่อพระพุทธศาสนา

8

๕. ประเด็นยุทธศาสตร์ เป้าประสงค์ และกลยุทธ์ตามแผนยุทธศาสตร์ของสาขาวิชาการสอน
ภาษาไทย

แผนผังยทุ ธศาสตรข์ องแผนพัฒนาบคุ ลากรของสาขาวิชาการสอนภาษาไทย
จัดการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื และภูมภิ าคอนิ โดจีน

พันธกจิ ของสาขาวชิ าการสอนภาษาไทย
๑. ยกระดบั คณุ ภาพและมาตรฐานของผลผลิต ใหเ้ ป็นที่ยอมรับของสงั คม
๒. พฒั นาศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้
๓. สง่ เสรมิ การบริการวิชาการด้านพระพทุ ธศาสนาบูรณาการกบั หลักสตู ร
การศึกษา และการทานุบารงุ พระพุทธศาสนา และศลิ ปวัฒนธรรม
๔. พัฒนาระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศเพื่อการศกึ ษา
๕. พัฒนาระบบบริหารจัดการศกึ ษาใหไ้ ดม้ าตรฐานตามหลกั ธรรมาภิบาล

ประเดน็ ยุทธศาสตร์ของสาขาวชิ าหลักสูตรและการสอน
๑. ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของผลผลิต
๒. พัฒนาศกั ยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้
๓. ส่งเสริมการบรกิ ารวชิ าการดา้ นพระพุทธศาสนาบรู ณาการกับหลกั สตู รการศึกษา และการ
ทานุบารงุ พระพุทธศาสนา และศิลปวัฒนธรรม
๔. พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา
๕. พฒั นาระบบบริหารจัดการศึกษาให้ได้มาตรฐานตามหลกั ธรรมาภิบาล

ประเด็นยุทธศาสตร์ของแผนพฒั นาบคุ ลากร กลยุทธ์ของแผนพัฒนาบุคลากร

ยทุ ธศาสตร์ท่ี ๑. ยกระดบั คุณภาพและมาตรฐาน กลยุทธ์ที่ ๑ เสรมิ สร้างและพัฒนาทกั ษะความรู้

ของผลผลิต ให้เปน็ ท่ียอมรับของสงั คม แก่บุคลากร

กลยุทธท์ ี่ ๒. สร้างความม่นั คงและกา้ วหน้าใน

วชิ าชพี

ยทุ ธศาสตร์ที่ ๒. พฒั นาศักยภาพด้านการวิจัยและ กลยุทธท์ ี่ ๑ สง่ เสรมิ และพัฒนาความรดู้ า้ นการ

พัฒนาองค์ความรู้ วจิ ยั แก่บุคลากร

ยุทธศาสตรท์ ่ี ๓. สง่ เสรมิ การบรกิ ารวชิ าการดา้ น กลยุทธท์ ี่ ๑ ส่งเสรมิ บคุ ลากรให้พัฒนาหลกั สตู ร

พระพุทธศาสนาบรู ณาการกบั หลักสูตรการศกึ ษา การอบรม หรือสัมมนา เพื่อบรกิ ารวิชาการ

และการทานบุ ารุงพระพทุ ธศาสนา และ

ศลิ ปวฒั นธรรม

ยทุ ธศาสตรท์ ่ี ๔. พัฒนาระบบเทคโนโลยี กลยุทธท์ ่ี ๑ สง่ เสริมความรู้ดา้ นระบบเทคโนโลยี

สารสนเทศเพื่อการศึกษา สารสนเทศแกบ่ ุคลากร

ยทุ ธศาสตรท์ ี่ ๕. พัฒนาระบบบริหารจดั การศกึ ษา กลยทุ ธท์ ี่ ๑. ส่งเสรมิ และทักษะทางด้าน

9

ประเดน็ ยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาบคุ ลากร กลยุทธข์ องแผนพฒั นาบุคลากร
ให้ได้มาตรฐานตามหลกั ธรรมาภิบาล
ภาษาตา่ งประเทศ
กลยุทธ์ท่ี ๒ สรา้ งระบบคุณธรรม จรยิ ธรรมและ
จรรยาบรรณแกบ่ ุคลากร
กลยุทธท์ ี่ ๓ จัดทาแผนรับบคุ ลากรใหมท่ ่ีมีคุณวฒุ ิ
ตรงตามความต้องการของสาขาวชิ า

๖. โครงสร้างการแบ่งสว่ นราชการของสาขาวชิ าการสอนภาษาไทย

ผอู้ ำนวยกำร

คณะกรรมการประจา รองผอู้ านวยการ

กรมการบริหารหลกั สูตร

ผอู้ านวยการหลักสตู ร

อาจารย์ประจาหลกั สตู ร อาจารย์ประจาหลักสูตร อาจารยป์ ระจาหลักสตู ร

เลขาหลกั สตู ร

10

๗. หนว่ ยงานและภารกจิ ตามความรบั ผิดชอบของสาขาวิชาการสอนภาษาไทย

คณะกรรมการประจา ผู้อำนวยกำร
รองผูอ้ านวยการ

กรมการบริหารหลักสตู ร

ผอู้ านวยการหลักสตู ร

อาจารยป์ ระจาหลักสูตร อาจารย์ประจาหลกั สตู ร อาจารย์ประจาหลกั สูตร

เลขาหลักสตู ร

๘. โครงสรา้ งการบริหารของสาขาวชิ าการสอนภาษาไทย

คณะกรรมการประจา ผู้อำนวยกำร
รองผู้อานวยการ

กรมการบริหารหลักสตู ร

ผูอ้ านวยการหลกั สตู ร

อาจารยป์ ระจาหลกั สูตร อาจารย์ประจาหลักสตู ร อาจารยป์ ระจาหลกั สูตร

เลขาหลกั สูตร


Click to View FlipBook Version